Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: April 2024

อยู่อย่างอ่อนโยนในโลกอันเกรี้ยวกราด 
Character building
29 April 2024

อยู่อย่างอ่อนโยนในโลกอันเกรี้ยวกราด 

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • โลกคงจะดีขึ้นแน่ หากเราทำดีต่อกันให้มากขึ้น หยาบคายต่อกันให้น้อยลง
  • สำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง การสอนเรื่องความสุภาพ ความอ่อนโยนให้กับลูก สิ่งที่ตรงไปตรงมา แต่อาจจะยากที่สุดได้แก่ การทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
  • เด็กๆ ควรได้รับคำเตือนที่ว่า “สิ่งที่อยู่ในความคิดเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่แสดงออกมามีผลต่อตัวเองและคนอื่นเสมอ” เพื่อเป็นการสร้างเบรกให้เท่าทันความคิด เพราะคนอื่นจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราพูดและทำ

การที่เด็กสักคนจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีงามในสภาพสิ่งแวดล้อมทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็เป็นความจำเป็นอย่างที่สุด นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่าอุปนิสัยสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่เราจะมอบให้แก่ลูกหลานได้ ซึ่งจะมีคุณค่าและประโยชน์ไปตลอดชีวิตของเขาและเธอเหล่านี้ได้แก่ การมีทักษะทางสังคมที่ดีกับคนรอบข้าง ซึ่งก็แน่นอนว่ารวมเอาทักษะทางอารมณ์ไว้ด้วย  

มีงานวิจัยชิ้นหนี่งที่ชี้ว่า เด็กที่แสดงลักษณะนิสัยเข้ากันได้ดีและเป็นที่รักของเพื่อนๆ มีโอกาสมากกว่าเด็กที่ไม่เป็นเช่นนี้ถึง 4 เท่าที่จะเรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยในขณะอายุไม่ถึง 25 ปี [1]  

อุปสรรคสำคัญเรื่องหนึ่งที่ทำให้เพื่อนไม่รักและไม่อยากคบค้าสมาคมด้วยคือ การทำตัวหยาบคายทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็อาจส่งผลเสียในระยะยาวได้เป็นอย่างยิ่ง 

อันที่จริงแล้วคนยิ่งมีอายุมากขึ้น ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะทำตัวหยาบคายมากขึ้นด้วย เพราะสมองส่วนหน้า (frontal lobe) เกิดความเสื่อมถอย ทำงานแย่ลง จึงทำให้คนสูงอายุบางคนแทนที่จะสุขุมมากขึ้น กลับควบคุมตัวเองได้น้อยลง กลายเป็นคนโผงผางและหยาบคายมากขึ้น [2]

คำว่า ‘หยาบคาย’ อาจแตกต่างกันได้มากนะครับ สำหรับแต่ละคน แต่ที่คล้ายกันแน่นอนคือ รวมเอาไว้ทั้งการเลือกใช้คำพูด การแสดงออกอย่างไม่มีมารยาทหรือไม่สนใจมารยาททางสังคม เช่น การไม่ขอบคุณ การดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือด่าว่าโวยวายคนให้บริการในที่สาธารณะ ในกรณีหลังนี้แม้จะใช้คำปกติสามัญก็ยังถือเป็นเรื่องหยาบคายสำหรับคนส่วนใหญ่เช่นกัน 

ทำไมคนเราจึงหยาบคายใส่กัน? 

ถ้าความหยาบคายเป็นเรื่องไม่ดี ทำไมพบว่ามีคนทำแบบนี้ใส่คนอื่นจนแทบเป็นเรื่องปกติ มีสาเหตุและปัจจัยอะไรที่ส่งเสริมให้เป็นเช่นนั้น? 

น่าสนใจว่าความหยาบคายกับความรุนแรงในสังคมมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่? 

มีหลายทฤษฎีที่มีผู้หยิบยกขึ้นมาใช้อธิบาย เป็นไปได้ว่ากิริยาแย่ๆ และมารยาทที่เลวทราม อาจจะเคยมีหน้าที่หรือประโยชน์บางอย่างทางสังคม เช่น มีทฤษฎีหนึ่งระบุว่าเมื่อคนมาอยู่รวมตัวกันมากขึ้นจนเป็นเมือง คนในชุมชนก็มีแนวโน้มตาม ‘จิตใต้สำนึก’ ที่จะป้องกันตัวเองจากอันตรายที่มากับคนแปลกหน้า เช่น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่ไม่เคยมีอยู่แต่เดิมในชุมชนนั้น [2]  

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีแนวโน้มที่จะแสดงกริยาหยาบคายหรือไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับคนแปลกหน้าและพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ โดยเฉพาะในท้องถิ่นที่อาจเคยพบหรือพบการระบาดของโรคร้ายแรงบางอย่างอยู่ นักวิจัยระบุว่าลักษณะเช่นนี้ยังสังเกตเห็นได้แม้แต่ในปัจจุบันในหลายพื้นที่ที่ยังคงมีการระบาดของโรคร้ายแรง เช่น ในประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกา 

เรื่องเดียวกันนี้อาจขยายตัวต่อไปจนทำให้เกิดอคติเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ที่ไม่อาจลบล้างไปได้ง่ายๆ เพราะเกิดจากจิตใต้สำนึก หากเรานำคำอธิบายเรื่องนี้ไปทาบกับปรากฏการณ์ที่เราเห็นคนตะวันตกแสดงความรังเกียจ หรือแย่กว่านั้นคือลงมือทำร้าย คนที่หน้าตาแบบเอเชียหรือดูคล้ายคนจีน ในระหว่างเกิดการระบาดของโควิด-19 ก็พอจะเห็นเค้าลางความเป็นไปได้ของคำอธิบายนี้ 

ในสถานที่ทำงานซึ่งเราจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่ขณะลืมตาอยู่ในที่นั้น อาจกลายเป็นนรกได้ง่ายๆ หากไม่มีการควบคุมพฤติกรรมการทำงานให้ดี มีงานวิจัยที่ทำต่อเนื่องกันถึง 14 ปี ทำให้รู้ว่าคนแทบจะทุกคน (98%) เคยมีประสบการณ์ต้องเจอกับคนเกรี้ยวกราดที่ทำตัวหยาบคายในที่ทำงาน [3]  

ความหยาบคายมักไม่ใช่เรื่องปัจจุบันทันด่วน แต่มักเกิดจากการสะสมบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน โดยมีรากของปัญหาที่อาจเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ และในหลายกรณีย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กเลยทีเดียว

ปัจจัยที่ทำให้คนทำตัวหยาบคายมีอยู่มากมายทีเดียว หนังสือ The Civility Solution: What to Do When People Are Rude ของ พี. เอ็ม. ฟอร์นี (P. M. Forni) ระบุสาเหตุไว้ถึง 11 อย่างด้วยกัน [4] มีทั้งเรื่องความคิดแบบวัตถุนิยม ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน เรื่องของความไม่ยุติธรรมในสังคมก็มีส่วนเช่นกัน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้กลายเป็นการแก้แค้น ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของความหยาบคายได้ด้วยเช่นกัน 

การทำตัวนิรนามได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ก็ทำให้คนเราไม่แคร์ต่อคนอื่นมากนัก เพราะหลงคิดไปว่าเมื่อไม่มีใครรู้จัก ก็ย่อมทำอะไรได้ตามใจ โดยหลีกเลี่ยงจะโดนลงโทษได้ง่ายๆ ซึ่งไม่จริง เพราะมีคนโดนกฎหมายลงโทษการโพสต์และคอมเมนต์อย่างไม่มีความรับผิดชอบในชื่อปลอมหรือชื่อสมมุติมาแล้วเป็นจำนวนมาก    

ปัจจัยที่เหลือทั้งหมดอิงอยู่กับความคิดที่ยึดถือเอาตัวเองเป็นใหญ่ เป็น ‘ศูนย์กลางจักรวาล’ ทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ “ก็อยากทำแบบนี้ ไม่สนใจใครจะคิดไง” การมีอีโก้มาก หรือในทางกลับกันคือ มีความรู้สึกไม่มั่นคงสูง หวั่นไหวง่าย มองคนอื่นในแง่ร้ายก็อาจมีส่วนได้ การเป็นคนที่เครียดง่าย แต่ไม่รู้ว่าจะควบคุมหรือจัดการอย่างไร ทั้งเครียดจากงานและเรื่องที่บ้าน เป็นคนโกรธง่าย หรือกลัวง่าย ก็มีส่วนเช่นกัน

สุดโต่งไปอีกทางคือ พวกหลีกหนีการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หันไปสิงสถิตอยู่ในโลกดิจิทัล นี่ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้กลายเป็นคนหยาบคายได้เช่นกัน และปัจจัยสุดท้ายคือ การเป็นคนมีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งต้องเยียวยากันทางการแพทย์อย่างจริงจัง   

สำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ต้องสอนเรื่องความสุภาพ ความอ่อนโยนให้กับลูกหลาน สิ่งที่ตรงไปตรงมา แต่อาจจะยากที่สุดได้แก่ การทำให้เห็นเป็นตัวอย่างนั่นเอง

ที่น่าสนใจคือ การอ่านนิทานหรือเรื่องเล่าต่างๆ ที่ส่งสารว่าการมีนิสัยน่ารัก ไม่ทำตัวหยาบคาย เป็นวิธีหนึ่งที่ดีมากในการส่งเสริมและให้กำลังใจกับเด็กๆ ให้ทำตัวเป็นคนน่ารัก จะดีขึ้นไปอีกหากให้เด็กๆ วิเคราะห์วิจารณ์เองว่า ตัวละครใดที่ทำตัวไม่ดี ทำตัวหยาบคาย จะประสบกับเรื่องร้ายๆ ในชีวิตอย่างไรได้บ้าง [5]

เด็กที่โตมากขึ้นมาหน่อย บางคนน่าจะสามารถหยิบยืมวิธีแก้ปัญหาดีๆ ในหนังสือมาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย 

การตั้ง ‘กฎของบ้าน’ ว่าต้องไม่ทำตัวหยาบคายหรือเอาแต่ใจอย่างไม่เหมาะสม เช่น ไม่ได้ดังใจก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงอ ผนวกรวมกับบทลงโทษที่เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไป และที่สำคัญคือต้องทำในทันที เพื่อให้เด็กๆ เห็นความเชื่อมโยง ก็มีส่วนในการกล่อมเกลาอุปนิสัยอ่อนโยนในตัวลูกหลานได้ แต่ทั้งนี้ควรต้องแยกแยะสาเหตุให้ดี เพราะบางครั้งการที่เด็กทำตัวงอแงอาจจะมีสาเหตุง่ายๆ มาจากเรื่องแค่เราให้เวลากับพวกเขาน้อยเกินไป ซึ่งก็ควรต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือให้เวลากับเด็กๆ ให้มากขึ้น 

เด็กๆ ควรได้รับคำเตือนที่ว่า “สิ่งที่อยู่ในความคิดเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่แสดงออกมามีผลต่อตัวเองและคนอื่นเสมอ” เพื่อเป็นการสร้างเบรกให้เท่าทันความคิด เพราะคนอื่นจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราพูดและทำ การที่เราทำอะไรกับคนอื่นจึงส่งผลกระทบกับตัวเราเองด้วยเช่นกัน 

คำแนะนำที่ดีและใช้ได้จริงอีกอย่างก็คือ แทนที่จะบอกกับเด็กๆ ว่า “ห้ามทำอะไร” ให้บอกกับพวกเขาว่า “หากทำอะไร แล้วจะได้อะไร (ในทางบวก)” เพราะในทางจิตวิทยาเป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า การให้รางวัลเป็นแรงหนุนทางบวกที่เข้มข้นกว่าการลงโทษมาก เช่น แทนที่จะบอกว่า “หากหนูไม่เก็บของเล่นให้เสร็จเดี๋ยวนี้ หนูก็จะอดไปเล่นข้างนอก” ให้เปลี่ยนเป็น “หนูจะได้ออกไปเล่นข้างนอกทันทีที่หนูเก็บของเล่นเสร็จ” แม้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองอย่างก็เหมือนกันนั่นเอง [6]

คุณควรตระหนักอยู่เสมอว่า เด็กๆ อาจทำผิดพลาดได้ และควรได้รับโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดพวกนั้นเสมอ เปิดโอกาสเด็กๆ ได้แก้ไขตัวเอง และทำเรื่องที่ดีทดแทนหรือแก้ไขเรื่องไม่ดีที่ทำไปแล้วก่อนหน้าได้  

เช่น ถ้าเด็กพูดจาหยาบคาย ก็ให้บอกว่า “พ่อ/แม่ไม่ได้ยินที่หนูพูดหรอกนะ ถ้าหนูไม่พูดให้ดีกว่านี้” วิธีนี้จะทำให้เด็กๆ เรียนรู้จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น       

โลกคงจะดีขึ้นแน่ หากเราทำดีต่อกันให้มากขึ้น หยาบคายต่อกันให้น้อยลง และระลึกเสมออย่างที่นักแสดงคนดัง รอบิน วิลเลียมส์ เคยกล่าวไว้ 

“ทุกคนที่เราพบล้วนแล้วแต่กำลังสู้รบอยู่ในสมรภูมิที่คุณไม่รู้เลย จงดีต่อกันเสมอ”

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.washingtonpost.com/local/education/want-your-kids-to-go-to-college-and-get-a-job-make-sure-they-learn-how-to-share-in-kindergarten/2015/07/16/4c30726a-2b4e-11e5-a250-42bd812efc09_story.html?hpid=z5

[2] The Science of Rudeness. Psychology Now (2023) Vol. 4, pp. 26-27

[3] https://hbr.org/2013/01/the-price-of-incivility

[4] P.M. Forni (2010) The Civility Solution: What to Do When People Are Rude, St. Martin’s Press

[5] https://www.parenting.org/article/Pages/battling-rudeness-part-1-the-causes-and-consequences-in-kids.aspx

[6] https://www.parents.com/disrespectful-children-8609412

Tags:

คำพูดการจัดการอารมณ์Rudenessทักษะทางสังคมความหยาบคาย

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • meditation-nologo
    Adolescent Brain
    การฝึกสมาธิ (Meditation): วิธีเรียบง่ายที่จะช่วยปรับสมองวัยรุ่นให้พร้อมรับมือกับความว้าวุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ‘ไม่ปฎิเสธ ไม่ยัดเยียด’ สอนให้ลูกเท่าทันความรู้สึกเมื่อต้องห่างกัน

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Adolescent Brain
    “เอสเซนส์” 4 แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

‘สื่อสารเป็น’ วิชาที่เริ่มจากฟังเสียงตัวเอง เข้าใจสุขทุกข์ผู้อื่น ก่อนส่งต่อคำพูดและการกระทำที่ดี: ครูธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุล โรงเรียนปัญญาประทีป
Creative learning
29 April 2024

‘สื่อสารเป็น’ วิชาที่เริ่มจากฟังเสียงตัวเอง เข้าใจสุขทุกข์ผู้อื่น ก่อนส่งต่อคำพูดและการกระทำที่ดี: ครูธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุล โรงเรียนปัญญาประทีป

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • วิชาสื่อสารเป็นคือวิชาชีวิตในหน่วยการเรียนรู้เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวที่นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนปัญญาประทีปจะต้องเรียนรู้
  • หัวใจสำคัญของการสื่อสารเป็นคือการเรียนรู้และรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง พร้อมกับการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเข้าอกเข้าใจ
  • แนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้มีพื้นฐานมาจาก ‘วาจาสุภาษิต’ ในหลักพุทธธรรม ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้โดยการพานักเรียนไปสัมผัสกับประสบการณ์และผู้คนที่หลากหลาย ผ่านการทำกิจกรรมนอกรั้วโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ เข้าถึงหัวใจของการสื่อสารที่แท้จริง

“ระหว่างที่กำลังนั่งคุยกันอยู่นี้ ก็มีคำว่าสื่อสารคั่นกลางระหว่างเรา ทีนี้จะทำอย่างไรให้การสื่อสารที่มีอยู่นั้นมันดี จะทำอย่างไรให้ระหว่างเรามันเป็นสนามหญ้านุ่มๆ เป็นสวนดอกไม้ เราต้องไม่ทำให้มันเป็นกองไฟ หรือพื้นที่ที่โรยด้วยตะปูและกับระเบิด อันนี้คือแนวคิดของการสร้างวิชาสื่อสารเป็น” 

ธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุล หรือ ‘ครูตู่’ โรงเรียนปัญญาประทีป จังหวัดนครราชสีมา กล่าวด้วยรอยยิ้มขณะเริ่มต้นบทสนทนาถึงความสำคัญของวิชาบูรณาการ ‘สื่อสารเป็น’ ที่เขารับหน้าที่เป็นครูผู้สอน โดยวิชานี้ถือเป็นหนึ่งในหน่วยการเรียนรู้ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ครูตู่บอกว่าด้วยความที่โรงเรียนปัญญาประทีปเป็นโรงเรียนวิถีพุทธปัญญา การสอนวิชาชีวิตต่างๆ จึงคิดอยู่บนพื้นฐานคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านสองหัวข้อสำคัญคือ หลัก ‘ไตรสิกขา’ และ ‘ภาวนา 4’ ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของนักเรียนในแต่ละระดับชั้น

ครูตู่ – ธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุล โรงเรียนปัญญาประทีป

“ครูอยากบ่มเพาะนักเรียนช่วงวัยรุ่นที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างเข้มข้นที่สุด แต่ครูก็คิดว่าจะทำยังไงให้ชีวิตของนักเรียนทั้งชีวิต หรือที่เราเรียกว่าองค์รวมพัฒนาไปด้วยกัน 

คือความรู้ทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าคิดไว้แล้ว คำว่า ‘ไตรสิกขา’ ไตร แปลว่า สาม, สิกขา แปลว่า การศึกษา รวมแล้วแปลว่า การศึกษาชีวิตทั้งสามด้านของมนุษย์ เริ่มด้วยศีล ต่อไปที่สมาธิ และปัญญา ซึ่งคำศัพท์ภายนอกอาจเรียกว่า สังคม จิตใจ และสติปัญญาความรู้

ไตรสิกขาถ้าแยกออกมาชัดๆ จะกลายเป็น ‘ภาวนา 4’ ซึ่งเป็นหลักเชื่อมโยงกัน ถ้ากายแบ่งออกมาจะเป็น กายภาวนา กับ ศีลภาวนา สมาธิแตกออกเป็น จิตภาวนา ปัญญาก็ตรงตัวเป็น ปัญญาภาวนา 

ส่วนของกาย ศีลเป็นสิ่งที่พัฒนาได้เลยตอนนี้ เพราะจะกลายเป็นจิตและปัญญาของเรา ศีลภาวนาคือทำยังไงให้เราอยู่กับสังคมได้อย่างมีความสุขไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ซึ่งวิชาสื่อสารเป็นอยู่ในธีมศีลภาวนา โดยพระอาจารย์ชยสาโร (องค์ประธานที่ปรึกษาโรงเรียนปัญญาประทีป) บอกว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการสื่อสาร ครูก็มาคิดต่อว่าถ้าเราจะพัฒนาความสัมพันธ์ของคนกับคน หรือคนกับกลุ่มคน เราจะมีวิธีการพัฒนาอย่างไร”

หลังจากขอคำปรึกษาจากพระอาจารย์ชยสาโรแล้ว ครูตู่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเรื่อง ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) เพื่อนำมาเป็นไอเดียในการออกแบบการเรียนรู้ผ่าน 3 บทเรียนสำคัญ

“บทเรียนแรกชื่อว่า ‘การสื่อสารภายใน’ สื่อสารกับชีวิตตัวเอง ชีวิตคืออะไร ก็จะนำเรื่องขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มาให้เด็กๆ เรียนรู้ว่าชีวิตมนุษย์จะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ซึ่งมันอาจเป็นความรู้เชิง ‘สุตมยปัญญา’ เป็นปัญญาที่ได้จากการฟัง เป็นความรู้เชิงความรู้ความจำ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะทำให้ความรู้ชุดนี้กลายเป็นความรู้เชิงประจักษ์

บทเรียนที่สอง จะให้เด็กๆ พิจารณาว่าแล้วชีวิตเป็นอย่างไร ผ่านหลักไตรลักษณ์ คือทุกชีวิตต่างมีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง ทุกชีวิตเป็นทุกข์ ทุกข์ในที่นี้ไม่เหมือนทุกข์ในอริยสัจ 4 เพราะความหมายของทุกข์ในไตรลักษณ์มันมีความขัดแย้งขัดเคืองซึ่งทำให้มันต้องเปลี่ยน เช่น กายของเรามีดิน น้ำ ลม ไฟ น้ำกับไฟมันขัดแย้งกัน ลมกับดินก็ขัดแย้งกัน มันจึงเป็นปัจจัยให้ต้องเปลี่ยนตามหลักอนิจจัง ข้อที่ 3 ก็คืออนัตตา มันไม่มีใครเป็นเจ้าของโดยแท้จริง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามเหตุปัจจัย 

บทเรียนที่สาม ชีวิตเป็นไปอย่างไร ก็คือเป็นไปตามหลักกรรมนั่นเอง มีเหตุก็ต้องมีผล ตามหลักปฏิจจสมุปบาท มีสิ่งนี้ย่อมมีสิ่งนี้ เราพูดหรือทำแบบนี้ ผลที่รับกลับมามันก็เกิดต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราบอกว่าฉันรู้สึกดีกับเธอจังเลย หรือกระทั่งกูเกลียดมึงในภาษาวัยรุ่น มันก็มีเป็นทอดๆ ต่อไป”  

อย่างไรก็ตาม ครูตู่ยอมรับว่าความรู้ที่เขาพูดมาล้วนเป็นสิ่งที่ไกลตัวจากวัยรุ่น ดังนั้นการจะทำให้นักเรียนของเขาเข้าถึงหลักธรรมต่างๆ ได้จำเป็นต้องสร้างกิจกรรมให้เขาได้เป็นผู้ทดลองและเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“สำหรับการสื่อสารภายใน ครูได้กำหนดเวิร์กชอปให้เขามาลองนั่งท่าเทพบุตรเป็นเวลา 15 นาที เพราะที่ผ่านมาเด็กๆ จะทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้าอยู่แล้ว แต่สังเกตว่าเด็กส่วนใหญ่มักเอามือลงเท้าพื้น หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นนั่งท่าเทพธิดา เป็นเพราะเขาเอาใจกับกายมาผูกกันว่าร่างกายเจ็บ ใจเขาก็ไม่ไหวด้วย 

พอครูให้เขานั่งยาวขึ้นกว่าตอนขอศีล เด็กๆ ก็จะนั่งจนรู้สึกว่านิ้วมันจะหักอยู่แล้ว แต่ครูก็ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนท่า ถ้ามีใครเปลี่ยนท่า ครูขอเริ่มจับเวลาใหม่ ซึ่งระหว่างนั้นครูก็จะบรรยายไปด้วยเพื่อให้เขาเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน สัญญาแปลว่าความจำ ความจำมันบอกเราว่านั่งท่านี้จะเกิดอะไรขึ้น เวทนาคือความรู้สึกที่รับรู้ถึงความเจ็บ สังขารปรุงแต่ง ปรุงแต่งว่านิ้วจะหักแล้ว เดี๋ยวเข่าจะเล่นกีฬาไม่ได้ คือให้เขารู้ความรู้สึกภายในก่อนจะออกมาเป็นการกระทำ เขารู้ว่ามันกำลังปรุงอยู่นะ เขาก็เลยไม่เปลี่ยนท่า การกระทำก็เลยถูกยับยั้งเอาไว้ก่อน 

ทีนี้สมมติวันหนึ่งภายในบอกว่าโกรธเพื่อนมาก แทนที่จะด่าหรือเดินไปต่อยเลย การเรียนรู้เรื่องการสื่อสารภายในจะเป็นตัวยั้งเขาว่าตอนนี้มันกำลังปรุงแต่งให้เขาคิดว่าคนนี้มันไม่ดี มันเลวสุดๆ มันควรโดนแบบนี้”

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะหลังจากเด็กๆ สามารถฝ่าด่านความปวดเมื่อยไปได้ครบ 15 นาที ครูตู่จะรีบส่งน้ำแข็งให้ทุกคนถือไว้คนละก้อนโดยมีกฎว่าห้ามปล่อยและห้ามสลับข้าง เพื่อ ‘ขโมยความรู้สึก’ จากขาไปอยู่ที่มือ ซึ่งครูตู่บอกว่าบทเรียนนี้สอนให้รู้ว่ากายกับใจไม่จำเป็นต้องผูกกันตลอดเวลา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่เที่ยงที่เชื่อมโยงไปถึงหลักไตรลักษณ์อีกด้วย

“พอทำกิจกรรมเสร็จ ครูจะให้เขียน AAR (After Action Review) เพื่อสรุปความรู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนร่วมกิจกรรมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราอยากให้เด็กๆ ที่นี่ได้มีปัญญาเชิงประจักษ์ เป็นปัญญาที่เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ใช่แค่การฟังแล้วจำ”

ครูตู่บอกว่าเมื่อเด็กๆ เข้าใจตัวเองผ่านการสื่อสารภายในมากขึ้นแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเรียนรู้การเข้าใจผู้อื่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนกับคน โดยการออกไปพูดคุยและรู้จักกับผู้คนในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลาย 

“ครูจะพาพวกเขาไปออกทริปที่เป็นการพาเด็กๆ ไปเจอกับสังคมที่มีความแตกต่างกับสังคมภายในโรงเรียนที่เขาเคยเจอ เช่น การไปพูดคุยสัมภาษณ์เยาวชนที่ก้าวพลาดที่บ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ แต่ก่อนจะไปเราต้องทำความคิดก่อน คำถามไหนที่ถามแล้วจะไม่กรีดแผลเก่าเขา คำถามไหนถามแล้วรู้สึกว่าเรากับเขามีการแบ่งชนชั้น คำถามไหนที่ถามแล้วเขากับเรารู้สึกเป็นพวกเดียวกันเพื่อให้เขาเปิดใจเล่าให้เราฟัง ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก 

ครูจะบอกนักเรียนเสมอว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันคือ ‘รักสุข เกลียดทุกข์’ สั้นๆ แค่นี้ มีใครไหมไม่รักที่จะมีความสุข มีใครไหมที่รักอยากจะได้ทุกข์มา มีใครไหมที่ไม่เกลียดทุกข์ ไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าคนจะพลาดขนาดไหนในชีวิต เขาก็ยังรักสุข เกลียดทุกข์เหมือนเรา เพียงแต่เขาไม่มีความรู้พอ จิตใจไม่เข้มแข็งพอ หรือมีเหตุปัจจัยอื่นๆ ขับเคลื่อนให้เขาทำแบบนั้น เหมือนเด็กคนหนึ่งที่บอกว่าเขาอยู่โรงเรียนสามัญเพียงแต่มีเพื่อนเป็นเด็กช่าง วันหนึ่งเขาเห็นเพื่อนคนนั้นถูกคู่อริทำร้าย เขาก็แค่เข้าไปช่วยและใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าไปทีเดียว แต่มันกลับทำให้คนที่ถูกฟาดเสียชีวิต เขาเลยต้องติดอยู่ที่นี่ มันเลยทำให้พอพูดคุยแล้วเห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนเหล่านั้นทำความผิด เด็กๆ ก็จะรู้สึกว่าตัวเขาก็พลาดได้เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ดังนั้นเหตุปัจจัยที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนนั้นอยู่ที่ใจที่สติของเรา”

นอกจากการทำความเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนต่าง ‘รักสุข เกลียดทุกข์’ ที่เปรียบเสมือนคาถาประจำวิชาแล้ว สิ่งที่ครูตู่ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ ‘หลักวาจาสุภาษิต’ ซึ่งเป็นดั่งหลักยึดและหัวใจสำคัญของวิชาสื่อสารเป็น 

“ครูชอบคำที่บอกว่า ‘ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด พูดแล้วคำพูดเป็นนายเรา’ ฉะนั้นสิ่งที่เราจะพูดต้องมีหลักวาจาสุภาษิตเป็นหลักยึด เริ่มจากข้อแรกว่าเป็นจริงไหม ข้อสองเป็นจริงแล้วเป็นประโยชน์หรือเปล่า ถ้ามันเป็นจริงแต่ไม่มีประโยชน์ควรพูดไหม สามคือถูกที่ถูกเวลาไหม 

ถ้าเกิดเพื่อนมีกลิ่นตัวแต่เราไปบอกเขาในระหว่างที่เพื่อนเต็มห้องแบบนี้มันก็ไม่ถูก สี่คือเจตนาของเราเป็นยังไง เพราะถ้าเจตนาในการพูดคือการตั้งใจทำร้ายเขา อย่างนั้นก็ไม่ผ่าน ข้อสุดท้ายคือภาษาที่ใช้ต้องเหมาะสมกับคู่สนทนาและมีความสุภาพ ซึ่งถ้าผ่านทั้งห้าข้อไปได้ เด็กๆ ก็จะสามารถสื่อสารได้ทั้งการพูดและการเขียนอย่างถูกต้องโดยไม่สร้างผลเสียให้กับตัวเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น” 

เมื่อขึ้นเทอมสอง ครูตู่จะจัดกิจกรรมสำคัญที่ถือเป็นไฮไลท์ของวิชาสื่อสารเป็นนั่นคือการทำ ‘ละครเวที’ เพราะการเล่นละครเวทีจะทำให้เด็กๆ ฝึกมองโลกและเรียนรู้วิธีคิดในมุมของผู้อื่น 

“ละครเวทีจะช่วยในเรื่อง Public Speaking แน่ๆ แต่ก่อนหน้านั้นครูจะฝึกเขาก่อนด้วยการให้ทำ TED Talks ที่แต่ละคนต้องไปหาเรื่องที่เขาสนใจมาพูดให้ครูและคนอื่นๆ ฟัง ประมาณ 10 นาที จากนั้นจะเป็นโปรเจกต์ละครเวทีเพื่อส่งเสริมให้เขากล้าพูดในที่สาธารณะ รู้จักถอดความเป็นตัวเองออก เอาชีวิตของคนอื่นมาสวมทับเพื่อแสดงออกไป

บางปี มีการแสดงเรื่องซีอุย ครูก็ให้เขาศึกษาว่าซีอุยคือใคร เหตุปัจจัยที่ทำให้เขามีพฤติกรรมแบบนี้ มีความคิดแบบนี้คืออะไร หลังจากนั้นไปศึกษา น้อมเข้ามาเป็นตัวเอง คนที่แสดงเป็นซีอุยก็ต้องน้อมภูมิหลังชีวิตของซีอุยมา แล้วค่อยๆ ซ้อม Personality ที่ทำให้คนเห็นว่าซีอุยน่าจะแสดงออกมาแบบไหน ถ้าเกิดเขาถูกพ่อตบตีตั้งแต่เด็ก เขาน่าจะเป็นคนที่ Friendly ไหม เขาจะเป็นคนที่ Introvert ไหม อันนี้ก็แล้วแต่เขา ให้เขาไปหาบุคลิกภาพของซีอุยเข้ามาในตัวเขา ส่วนการสื่อสารที่เป็นอวัจนภาษาก็จะต้องแสดงออกให้เห็นว่าลักษณะการกินเครื่องในครั้งแรกกับครั้งที่ 20 เป็นเหมือนกันไหม มันก็จะมีรายละเอียดเรื่องกระบวนการละครเข้ามา แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการสื่อสารทั้งสิ้น”

ครูตู่บอกว่าหลังจากผ่านวิชาสื่อสารเป็นไปแล้ว สิ่งที่หลายคนสะท้อนกลับมาคือ เด็กๆ มีทักษะในการเรียนรู้และรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง พร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่งผลให้ ‘ความสัมพันธ์’ ในห้องเรียนดีขึ้น เด็กรู้จักการขอบคุณ ขอโทษ ชื่นชม และตักเตือนกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร

“จริงๆ ทุกกิจกรรมจะย้อนกลับไปที่หลักแรกของโรงเรียนคือ ‘ไตรสิกขา’ การศึกษาชีวิตทั้งสามด้าน เป็นกระบวนการที่ต้องร้อยเรียงสอดคล้องหมุนไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฐาน Head Hand Heart ฐานหัว ฐานกาย ฐานใจ ต้องสัมพันธ์กัน เหมือนกิจกรรมที่พาเด็กๆ ไปข้างนอกไปเจอคนที่แตกต่างหลากหลายนั้น เราต้องเตรียมใจเขาให้พร้อมมากๆ ก่อน หลังจากนั้นมันจะออกมาเป็นคำพูดและการกระทำที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการพัฒนาสามฐานนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตองค์รวมมันก็จะถูกยกขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ

การสื่อสารเป็นทำให้เราอยู่กับสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น เช่น การพูดจะพูดยังไงให้ดี พอผ่านหลักวาจาสุภาษิตมาแล้ว เมื่อเด็กๆ เขาพูดดีมันก็เกิดเป็นปัญญา เกิดเป็นความรู้ส่วนตัวว่าการพูดแบบนี้แหละมันทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น มันทำให้คนฟังมีความสุข สามารถอยู่กันอย่างมีความสุขรักใคร่ช่วยเหลือ แต่ถ้าเกิดเขาพูดผิดซึ่งก็ไม่แปลกที่คนเราอาจจะมีเผลอบ้าง เขาก็จะกลับมาทบทวนได้ว่าทำไมเขาพูดแล้วเพื่อนถึงร้องไห้ เขาขาดหรือตกหลักข้อไหนทำให้ผิดพลาดไปหรือเปล่า เขาก็จะเกิดปัญญา 

เพราะฉะนั้น กาย ศีล จิต ปัญญาเหมือนจะแยกกัน แต่จริงๆ ทำงานร่วมกันตลอดเวลา โรงเรียนจึงสอนการสื่อสารว่าในหลักวิชาการคืออะไร ให้เด็กเข้าใจและสามารถเอาไปใช้โดยมีหลักยึดที่ดี (กาย ศีล ภาวนา วาจาสุภาษิต) จากพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นวิชาชีวิตในแง่ของการใช้ภาษาในการสื่อสาร ถ้าความรู้กับใจมันดีมันพร้อม มันก็จะผลักออกมาเป็นคำพูดและการกระทำที่ดี ก็จะเกิดคำที่ชื่อว่า สื่อสารเป็น”

Tags:

โรงเรียนปัญญาประทีปวิชาสื่อสารเป็นครูตู่-ธีรยุทธ พงษ์ศิริยะกุลสุข-ทุกข์วัยรุ่นการจัดการอารมณ์การสื่อสารภายใน

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    อกหักครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา
Book
23 April 2024

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ (Don’t Feed the Monkey Mind) เขียนโดย เจนนิเฟอร์ แชนนอน นักจิตบำบัดเฉพาะทางด้านการรักษาโรควิตกกังวล แปลเป็นภาษาไทยโดย สุดคะนึง บูรณรัชดา สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป
  • แชนนอนเล่าถึงต้นตอของความวิตกกังวลทั้งหลายที่ฝังแน่นในจิตใจมนุษย์ โดยอุปมาว่าในสมองของเรามีลิงจอมซนที่คอยเฝ้าสังเกตและก่อกวนความคิด รวมถึงพฤติกรรมของเราตลอดเวลา จนเป็นที่มาของการทนต่อความไม่แน่นอนไม่ได้ รักความสมบูรณ์แบบ และรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ ที่เกินตัว
  • เคล็ดลับในการจัดการความวิตกกังวลหรือลิงในสมองคือการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT) เพื่อรู้เท่าทันกลลวงต่างๆ ของลิง เพราะแม้เสียงของลิงจะดังในสมองของเราบ่อยครั้ง แต่เราก็ไม่ใช่ลิงตัวนั้น

“คุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ไหม 

ชอบผัดวันประกันพรุ่งเวลาเจองานยากๆ 

ค้นกูเกิลทุกครั้งที่มีอาการผิดปกติ 

คอยเช็กว่าคนรักปลอดภัยดีหรือไม่ 

ไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้าเพราะกลัวพูดจาไม่ฉลาดออกไป 

ถ้าคำตอบคือใช่ คุณกำลังถูกลิงตัวป่วนในสมองเล่นงาน”

คำถามหลังปกหนังสือ ‘หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ’ (Don’t Feed the Monkey Mind) ของเจนนิเฟอร์ แชนนอน นักจิตบำบัดเฉพาะทางด้านการรักษาโรควิตกกังวลซึ่งมีประสบการณ์มากว่า 20 ปี ทำให้ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่ขี้กังวลและมักกลัวไปเองล่วงหน้าต่อเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น

แชนนอนเองก็ไม่ต่างกัน เธอยอมรับว่าเธอเองก็เคยเป็นคนที่มีความวิตกกังวลมาก่อน ทั้งยังพยายามหาวิธีบำบัดรักษาตัวเองกับนักบำบัดหลายคน ซึ่งนักบำบัดส่วนมากมักเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่า “ปัญหาของมนุษย์มีต้นกำเนิดในวัยเด็ก หากเข้าใจสิ่งที่เกิดในวัยเด็กอย่างลึกซึ้ง เราจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเองตามธรรมชาติ” และแม้แชนนอนจะทราบว่าสาเหตุของความวิตกกังวลเป็นเพราะพ่อของเธอชอบตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์เธอ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความวิตกกังวลของเธอลดลงกว่าเดิม

หลังจากพยายามศึกษาแนวทางในการบำบัดหลากหลายประเภท วันหนึ่งเธอค้นพบว่าสาเหตุของความวิตกกังวลไม่สำคัญเท่าวิธีที่นำมาใช้ตอบสนองมัน เธอจึงเริ่มสนใจการบำบัดความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT (Cognitive behavioural therapy) ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เธอรู้ทันและก้าวข้ามความวิตกกังวลไปได้

แชนนอนบอกว่าความวิตกกังวล ตื่นตระหนก หวาดหวั่น กังวลใจ เปรียบได้กับ ‘ลิงจอมซน’ ที่คอยก่อกวนความคิดและปั่นป่วนพฤติกรรม ซึ่ง ‘ลิง’ หรือ ‘ภาวะวิตกกังวล’ คือสัญญาณที่กระตุ้นให้เราลงมือทำอะไรสักอย่างซึ่งเกิดจากมุมมองของลิงมีต่อภัยคุกคาม เช่น หากเราเป็นคนขี้อายและไม่กล้าแสดงออกแต่ดันถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดบนเวทีในงานเลี้ยงบริษัทที่มีคนจำนวนมาก สมองลิงก็จะรีบสั่งให้เราหาทาง ‘หลีกเลี่ยง’ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้งการมือสั่น ติดอ่าง ประหม่า หรืออะไรก็ตามที่ดูน่าอับอายขายหน้า…หากเราต้องขึ้นเป็นอยู่บนเวทีจริงๆ  

จากที่ผมยกตัวอย่างจะเห็นว่าสมองลิงมักครอบงำให้เราเลือกทำในสิ่งที่ ‘ปลอดภัย’ ซึ่งถ้าเป็นผม ผมก็คงจะขุดสารพัดเหตุผล (ไม่สบาย/ติดธุระที่บ้าน) มาใช้เพื่อจะไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ถนัดและอาจทำลายภาพลักษณ์ของผมให้แย่ลง แต่ในมุมของแชนนอน วิธีดังกล่าวเปรียบได้กับการโยนกล้วยให้ลิงในสมองเข้าใจว่ามันทำหน้าที่ถูกต้องที่เตือนเรา ดังนั้นหากเราต้องเผชิญเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต ลิงก็จะยิ่งกดดันให้เรารู้สึกกังวลในเรื่องดังกล่าวมากขึ้นกว่าเดิม

“เมื่อเราตอบสนองภาวะวิตกกังวลด้วยการหลบเลี่ยงหรือต่อต้าน นั่นคือเรายืนยันว่าภัยคุกคามเป็นจริง เท่ากับเราให้อาหารลิงซึ่งทำให้วงจรความวิตกกังวลและวิธีคิดแบบลิงยังคงดำเนินต่อไป”

คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะหยุดเลี้ยงลิงในสมองอย่างไร ซึ่งแชนนอนแนะนำการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT) ที่ทำให้เราตระหนักว่าเสียงแห่งความวิตกกังวลทั้งหลายคือเสียงของลิง และลิงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรา แต่เราไม่ใช่ลิง 

เมื่อเสียงในหัวที่ดังและกดดันจนเราวิตกกังวลบ่อยๆ เป็นเพียงเสียงของลิง เราจึงไม่ควรปล่อยให้เสียงของมันดังกว่าเสียงของเรา แต่การจะเอาชนะลิงจอมซนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสมองของเรามาอย่างยาวนานได้ ต้องอาศัยความอดทนแบบค่อยเป็นค่อยไปผ่าน ‘กลยุทธ์วิธีคิดแบบเปิดกว้าง’ 

“เราต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ และเรียนรู้ที่จะทดแทนกลยุทธ์เอาตัวรอดด้วยกลยุทธ์เปิดกว้าง เพื่อให้เกิดวิธีคิดที่อนุญาตให้เราก้าวไปข้างหน้าได้”

สำหรับกลยุทธ์เปิดกว้างหรือวิธีคิดที่อนุญาตให้เราก้าวไปข้างหน้าได้นั้น แชนนอนได้ยกตัวอย่างไว้หลายข้อ ซึ่งตัวอย่างที่ผมชอบที่สุดคือ หากเราเป็นคนที่มีความคิดว่าถ้าทุกอย่างไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ เท่ากับวันนี้ทุกอย่างพังหมด แชนนอนจะแนะนำให้เราลองคิดแบบเปิดกว้างว่าการฝึกยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างยืดหยุ่นและเรียนรู้ที่จะรับมือหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนนั้นสำคัญกว่า เพราะมันจะทำให้เราฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

“กลยุทธ์เปิดกว้างไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อลดความวิตกกังวล แต่เพื่อก้าวข้ามความวิตกกังวล เสมือนการเอาชนะไพ่ตายของลิง”

อย่างไรก็ตาม แชนนอนบอกว่าแม้เราจะฝึกกลยุทธ์เปิดกว้างได้ในเกือบทุกสถานการณ์ที่เจอ แต่เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุดเมื่อฝึกในสถานการณ์ที่มีเดิมพันต่ำซึ่งคุกคามลิงไม่มากนัก หรือพูดอีกมุมหนึ่งคือเราควรฝึกกลยุทธ์แบบเปิดกว้างโดยเริ่มต้นจากการค่อยๆ ทำในเรื่องง่ายๆ เพื่อให้เราปรับตัวทีละนิดโดยไม่เสียกำลังใจระหว่างทาง เช่น เมื่อก่อนเราอาจพยายามเลื่อนการยื่นภาษีหรืออะไรก็ตามที่เกลียดออกไปก่อน แต่ตอนนี้เราจะกำหนดเวลา แล้วลองใช้เวลาสักห้านาทีเพื่อลงมือทำสิ่งนั้น  หรือหากเราชอบทบทวนอดีตเพื่อมองหาข้อผิดพลาด เราก็ลองปล่อยให้ตัวเองไม่แน่ใจว่าได้ทำผิดพลาดไปในอดีตหรือไม่

สอดคล้องกับบทท้ายๆ ที่แชนนอนเน้นย้ำว่าสมองลิงมักกล่อมให้เราเป็นผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ ดังนั้น เราควรเฉลิมฉลองกับความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิต เช่น 

  • การทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำคัญกว่าการเอาตัวเองไปเทียบกับความสำเร็จของผู้อื่น 
  • ข้อผิดพลาด การตัดสิน และคำวิจารณ์เป็นสัญญาณว่าฉันได้ลองเสี่ยงแล้ว และอาศัยโอกาสนั้นเพื่อการเติบโต
  •  ฉันรู้ว่าฉันจะทำบางอย่างได้ดีและบางอย่างได้ไม่ดี แต่มันไม่ได้สะท้อนคุณค่าของฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และความไม่สมบูรณ์แบบและการทำผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์

“ค่านิยมที่คุณต้องปลูกฝังให้ตัวเอง ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าเสี่ยง และการผจญภัย นอกจากนี้ยังต้องอาศัยการยอมรับ และการเห็นอกเห็นใจ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เมื่อคุณทำพลาดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณยังต้องการความยืดหยุ่น และความสามารถในการฟื้นตัวจากปัญหา เพื่อเยียวยาตัวเองจากความผิดพลาดนั้นด้วย

เมื่อเราเลิกเก็บภาวะวิตกกังวลไว้ด้วยการให้อาหารลิงอย่างต่อเนื่อง วงจรความวิตกกังวลก็จะพังทลายลง หากลิงส่งสัญญาณเตือนภัยแล้วเราไม่ตอบสนองว่ามีภัยคุกคามจริงๆ บ่อยครั้งเข้าลิงจะเริ่มเรียนรู้ว่าสถานการณ์นั้นไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะรับมือ ยิ่งคุณตอบสนองต่อสัญญาณเตือนภัยน้อยเท่าไร ลิงก็ยิ่งกระตือรือร้นน้อยลงเท่านั้น เมื่อคุณเลิกให้อาหารลิง ท้ายที่สุดคุณจะประสบภาวะวิตกกังวลน้อยลง ความกังวลก็ลดลงไปด้วย”

นอกจากนี้ ผมยังชอบที่แชนนอนกล่าวไว้ว่าสิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้คือการระบุแง่มุมของการฝึกฝนที่เราทำได้ดีและชมเชยทุกแง่มุมนั้น เพราะถึงจะไม่มีใครบอกได้ว่าการฝึกเปิดกว้างจะพาเราไปสู่จุดไหนหรือนำรางวัลใดมาสู่ชีวิต แต่ตราบใดที่เรายังฝึกและให้กำลังใจตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอ

“เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจตัวเอง เราก็เรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไปพร้อมกัน การเปรียบเทียบและวิพากษ์วิจารณ์มีความหมายต่อเราน้อยลงเมื่อเรามองเห็นว่าทุกคนล้วนเป็นมนุษย์และพลาดพลั้งได้ ลองคิดดูสิว่าเราจะรู้สึกเบาสบายขนาดไหนเมื่อได้สลัดภาระแห่งความสมบูรณ์แบบออกจากชีวิต”

Tags:

ความคิดDon't Feed the Monkey Mindหยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณพฤติกรรมหนังสือความวิตกกังวล

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    อ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจ ต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก: หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ Ep2

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

ถักทอการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิต เชื่อมห้องเรียนกับชุมชนแบบไร้รอยต่อ: โรงเรียนบ้านขุนแปะ เชียงใหม่
Creative learning
21 April 2024

ถักทอการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิต เชื่อมห้องเรียนกับชุมชนแบบไร้รอยต่อ: โรงเรียนบ้านขุนแปะ เชียงใหม่

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • จาก ‘วัฒนธรรมการทอผ้า’ ถูกผสมผสานกลายเป็น ‘การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)’ ซึ่ง ‘ครูบี-รัตติพร คงประจันทร์’ โรงเรียนบ้านขุนแปะ จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในครูผู้พัฒนาหน่วยเรียนรู้ผ้าทอที่บูรณาการหลากหลายศาสตร์วิชา เล่าว่าโรงเรียนมีจุดมุ่งหมายให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ และฝึกทักษะที่นำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้
  • ‘ภูมิปัญญาการทอผ้า’ ไม่เพียงถูกดึงมาใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบ Project-based learning ในชั้นเรียนเท่านั้น แต่ยังขยายผลองค์ความรู้สู่ ‘ชุมนุมผ้าทอ’ ของโรงเรียน
  • ข้อดีของการเรียนรู้เชิงรุก นอกจากจะพัฒนาทักษะด้านการคิดและการแก้ปัญหาแล้ว ยังช่วยให้เด็กทำงานเป็นทีมได้ และยอมรับซึ่งกันและกัน

“ตอนออกแบบแผนการสอนยากมาก แต่ตอนสอนมันดีมากเลย เพราะนักเรียนสนใจ เขาฟังเรา เขาทำความเข้าใจ นักเรียนมีความรู้มากขึ้น เป็นผลดีที่เกิดขึ้นกับตัวเด็ก”

ครูรัตติพร คงประจันทร์ หรือ ‘ครูบี’ โรงเรียนบ้านขุนแปะ จังหวัดเชียงใหม่ เล่าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเมื่อหลายปีก่อนโรงเรียนได้ดึงฐานทุน ‘วัฒนธรรมการทอผ้า’ มาผสมผสาน ‘การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)’ พัฒนาหน่วยเรียนรู้ผ้าทอที่บูรณาการหลากหลายศาสตร์วิชา เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะที่นำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ รวมทั้งยังได้อนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาผ้าทอของชุมชน  

ครูรัตติพร เล่าว่า โรงเรียนบ้านขุนแปะ เป็นโรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษา ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รุ่นที่ 4  เป็นโรงเรียนขนาดกลางกึ่งเล็ก มีนักเรียน 265 คน โดยทั้งหมดเป็นชาวปกาเกอะญอ ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือเกษตรกรรม เมื่อว่างเว้นจากการทำนา ปลูกผัก ผู้หญิงจะทอผ้าตามประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนาน แต่ปัจจุบันด้วยยุคสมัย การทอผ้าเริ่มหายไป เพราะเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ความประณีต และความอดทน ยิ่งที่นี่ใช้การทอแบบกี่เอว นั่งทอนานๆ จะปวดเอวและล้าตามข้อแขน

“สาเหตุที่โรงเรียนเพิ่มหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าทอ เพราะมองว่านอกจากจะช่วยสืบสานประเพณีและอนุรักษ์ผ้าทอที่เป็นวิถีของชุมชนแล้ว การทอผ้ายังเป็นอีกวิชาชีพหนึ่งที่นักเรียนนำไปใช้สร้างรายได้ และไม่อยากให้เด็กๆ ลืมเลือนวัฒนธรรมการทอผ้าไป” 

หน่วยเรียนรู้ ‘ผ้าทอมือ’ บูรณาการเชื่อมสหวิชา 

เดิมทีบ้านขุนแปะมี ‘ชุมนุมการทอผ้า’ ที่ชาวบ้านมารวมตัวกันทอผ้าแบบกี่เอวที่เป็นวัฒนธรรมชุมชนอยู่แล้ว ผู้ปกครองจะสอนเด็กเรียนรู้วิธีการทอและการย้อมผ้าอยู่บ้างตามวิถีชุมชน แต่เมื่อโรงเรียนบ้านขุนแปะเข้าร่วมโครงการ TSQP ได้นำมาออกแบบเป็น ‘แผนการเรียนรู้’ ที่บูรณาการเชื่อมโยงตัวชี้วัดของวิชาต่างๆ มาไว้ด้วยกัน 

“เวลาออกแบบแผนการสอน เราต้องคุยร่วมกับครูวิชาอื่นๆ เช่น แผนเรียนรู้ผ้าทอ ต้องดูว่าสามารถเชื่อมโยงตัวชี้วัดในรายวิชาไหนได้บ้าง ถ้าเชื่อมไม่ได้เลย ครูอาจจะต้องปรับใหม่ ถ้าหากว่าเชื่อมกับวิชาอื่นๆ ได้ ก็ดำเนินการตามแผนไปเลย ซึ่งในแผนการสอนผ้าทอจะมีกิจกรรมให้เด็กออกแบบลายผ้า เด็กต้องวัดและคำนวณพื้นที่ ทำให้เขาได้เรียนคณิตศาสตร์ 

ในขั้นตอนการทำชิ้นงาน เด็กๆ จะได้ใช้วิชาวิทยาศาสตร์ เพราะต้องมีการทดลอง ลองผิดลองถูก ยกตัวอย่าง การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ เด็กจะต้องค้นหาสีธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น เวลาย้อม ถ้าย้อมไม่ติด อาจจะต้องหาสารบางอย่างที่ช่วยให้ผ้าติดสีได้ เขาก็จะมีการวิจัย ทดลอง ซึ่งเด็กๆ ทดลองนำยางกล้วยเข้ามาใช้ ปรากฏว่าช่วยทำให้ผ้าติดสีได้ดี แต่ระยะเวลาที่เราแช่ผ้าอาจจะน้อยเกินไป สีเลยไม่เข้ม” นอกจากนี้การที่เด็กๆ ได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชน หาวัตถุดิบในท้องถิ่น ยังทำให้พวกเขาได้เรียนรู้วิชาสังคม ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงประวัติศาสตร์ชุมชนด้วย และสุดท้ายเมื่อเด็กทอผ้าขายได้ ก็จะได้ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ ทั้งการคำนวณต้นทุนและกำไร

สนุกกับกิจกรรมทอผ้า สร้างผลงานจากผ้าทอ 

ในแผนการเรียนรู้ผ้าทอ เด็กๆ จะได้สัมผัสกระบวนการผลิตผ้าทอ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มจากการออกแบบลายผ้าผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การย้อมสีธรรมชาติ กระบวนการทอผ้าผืน การปักผ้า รวมถึงการแปรรูปพัฒนาผลิตภัณฑ์

ครูรัตติพร เล่าว่า เราให้เด็กออกแบบลายผ้าผ่านคอมพิวเตอร์ และให้นักเรียนทดลองทอออกมาเป็นผืน ซึ่งก็จะเป็นชิ้นงานของนักเรียนเลย จากนั้นเอามาแปรรูปเป็นสินค้า  พอได้ผลงานออกมานักเรียนก็มีความภูมิใจ ส่วนถ้าบางคนไม่สนใจในเรื่องผ้าทอ เขาอาจจะคิดนวัตกรรมที่นำมาใช้ร่วมกับผ้าทอได้ เช่น บางคนอยากออกแบบเครื่องทอผ้า เพื่อให้เพื่อนทอผ้าได้สะดวก เพราะเห็นว่าเพื่อนทอผ้านานๆ ก็จะปวดเอวบ้าง เป็นความคิดตามสไตล์ของเด็กผู้ชาย 

“ในกระบวนการเรียนรู้ เด็กๆ จะได้ลงสำรวจในชุมชนของตัวเอง และนำมาใช้เป็นข้อมูลออกแบบ วางแผน ซึ่งขั้นตอนวางแผนจะยากนิดหน่อย เพราะเด็กจะต้องเป็นคนคิดเอง โดยที่เราไม่มีการชี้นำ 

ในขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ เริ่มแรกจะต้องออกแบบในกระดาษ หรือสร้างแบบเป็นโมเดลไว้ก่อน เสร็จแล้วต้องมีการนำเสนอชิ้นงานให้เพื่อนๆ ฟัง และช่วยกันคอมเมนต์ เพื่อแก้ไขปรับปรุงก่อนจะลงมือผลิตชิ้นงานจริง เมื่อเด็กพัฒนาชิ้นงานเสร็จแล้ว จะต้องนำมาเผยแพร่ให้คนอื่นรับทราบ เช่น เผยแพร่ให้น้องๆ ในโรงเรียนรับรู้ หรือนำเสนอต่อหน้าคณะครูอาจารย์ 

ในการนำเสนอ เราจะให้เด็กๆ เล่าถึงนวัตกรรมที่นำมาใช้ และต้องประเมินตนเองว่า ตลอดการทำกิจกรรมมีความพึงพอใจมากน้อยแค่ไหน เจอปัญหาอะไรบ้าง แก้ปัญหาได้ไหม ทำอย่างไร เป็นโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งแผนการเรียนรู้ที่นำมาใช้ทั้งหมดนี้จะมีโค้ชและนักวิชาการของ กสศ. เข้ามาช่วยให้คำแนะนำในการจัดกิจกรรม” 

แน่นอนว่าการที่เด็กๆ ต้องคิดและวางแผนการทำงานด้วยตนเองคงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งระหว่างการผลิตชิ้นงานย่อมต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรค ครูรัตติพรบอกว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเกิดสรรถนะ ส่วนกลไกที่จะขับเคลื่อนนำพาเด็กไปสู่ผลลัพธ์นั้นได้ คือ ‘การทำหน้าที่โค้ชของครู’

“ตอนที่เด็กออกแบบในกระดาษนั้นดูเหมือนง่าย แต่พอนำมาสร้างจริงมันยาก มันมีปัญหาระหว่างทางที่เขาเจอ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องแก้ไข ซึ่งเราเป็นครูที่อยู่ข้างหลัง ต้องทำหน้าที่เป็นโค้ช คอยสังเกตพฤติกรรม ถ้าตรงนี้เด็กไปไม่ได้แล้ว เราต้องเอามือเข้ามาช่วย แต่ถ้าหากเด็กยังไปต่อได้ เราปล่อยเขาไปเลย ให้เขามีอิสระในการคิด แต่ถ้าไปไม่ได้จริงๆ เราค่อยเข้ามาช่วย หรือในช่วงนำเสนอ ที่เปิดให้เพื่อนๆ คอมเมนต์งาน ครูต้องคอยอยู่เบื้องหลัง เป็นคนฟัง ช่วยเก็บรายละเอียด และเติมในส่วนที่ขาด เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนางานให้สมบูรณ์” 

การปรับแผนการสอนจากการเขียนบนกระดานมาสู่การเรียนรู้เชิงรุก ผ่านนวัตกรรมทั้ง Project Base Learning และ OECD ซึ่งครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นทั้งผู้แนะนำและนักออกแบบกิจกรรม นับเป็นโจทย์ยากและท้าทายในการปรับตัวอย่างมาก

“ยากมากนะ” ครูรัตติพร กล่าวและเล่าว่าการเรียนเมื่อก่อนมันง่าย เปิดหนังสือ สอนบนกระดานแล้วก็จบ แต่พอมาเจอ PBL เริ่มมีการปรับแผน แต่ก็ยังอิงเนื้อหาในหนังสือค่อนข้างเยอะ แต่พอมาใช้ OECD เรียกว่าเปลี่ยนรูปแบบเลย คือหนังสือเป็นแค่เนื้อหาที่ครูต้องดูเอง ไม่ใช่เอามาใช้กับเด็ก เราต้องสังเคราะห์เนื้อหาในหนังสือ วิเคราะห์ตัวชี้วัดมาให้มากที่สุด ในแต่ละเทอมที่ต้องออกแบบแผนการเรียนรู้แบบนี้ ยากมากกว่าจะผ่าน เพราะพอครูออกแบบแผนเสร็จ ต้องประชุมร่วมกัน เพื่อนำเสนอแผนต่อครูทุกคน เพื่อให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับตัวชี้วัดของแต่ละรายวิชา ที่สำคัญคือต้องออกแบบให้นักเรียนสนใจ

“ตอนออกแบบแผนการสอนยากมาก แต่ตอนสอนมันดีมากเลย เพราะนักเรียนสนใจ เขาฟังเรา เขาทำความเข้าใจ นักเรียนมีความรู้มากขึ้น เป็นผลดีที่เกิดขึ้นกับตัวเด็ก และพอได้ฝึกทำบ่อยๆ เราก็ชินเรื่องของกระบวนการ ทำให้สามารถสอดแทรกและพัฒนาแผนการสอนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น การนำเทคโนโลยี หรือเทคนิคการสอนที่ช่วยให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้มาใช้มากขึ้น”

‘ชุมนุมผ้าทอ’ ต่อยอดสร้างอาชีพเด็กและชุมชน 

นอกจากการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้ว กสศ. ยังจัดกิจกรรมให้ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนบ้านขุนแปะและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้สลับกันเดินทางเยี่ยมเยือนโรงเรียนระหว่างกัน เพื่อเป็นเวทีให้เด็กๆ ได้พบปะและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 

ครูรัตติพร เล่าว่า นักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมาร่วมออกแบบลายผ้าทอและแนะนำการแปรรูปผ้าทอให้ทันสมัยมากขึ้น จากเมื่อก่อนเรามีแค่กระเป๋าย่ามและเสื้อ เด็กๆ มาช่วยคิดว่าน่าจะมีกระเป๋าผ้าที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รวมถึงใช้ได้กับทุกช่วงอายุ ทุกคนร่วมกันออกแบบขึ้นมา และนักเรียนโรงเรียนเราเป็นฝ่ายผลิตและจำหน่าย ช่วงนั้นขายกระเป๋าได้มากถึง 2,000 กว่าใบ

ภูมิปัญญาการทอผ้าไม่เพียงถูกดึงมาใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบ Project-based learning ในชั้นเรียนเท่านั้น ครูรัตติพร ยังขยายผลองค์ความรู้สู่ ‘ชุมนุมผ้าทอ’ ของโรงเรียน และเปิดให้นักเรียนที่สนใจเข้าร่วมเรียนรู้

ครูรัตติพร เล่าว่า ชุมนุมผ้าทอตอนนี้มีนักเรียนอยู่ประมาณ 20 คน เพราะมากกว่านี้ครูจะดูแลไม่ทั่วถึง ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง อยู่ชั้น ป.4-6 แล้วก็มีเด็กมัธยม การเรียนรู้จะแบ่งตามระดับชั้นและความถนัด อย่างเด็ก ป.4 ที่ดูจะยังเล็กหน่อย จะให้ม้วนผ้า ซึ่งเขาม้วนผ้าฝ้ายเก่งมาก เพราะมีทุนความรู้มาจากที่บ้าน แล้วก็ให้ทดลองปัก เขาก็ปักได้ ส่วนเด็ก ป. 5 กำลังฝึกปัก สำหรับเด็ก ป.6 จะปักมือได้แล้ว เราก็จะให้เริ่มปักดอกไม้ เริ่มชิ้นงานจริงๆ ขณะที่เด็กมัธยมจะถนัดในเรื่องของการทอ ก็ให้เขารับผิดชอบการทอผ้า รวมไปจนถึงการขึ้นผ้า เรียกว่าเด็กๆ จะทำได้ตั้งแต่การม้วนผ้า ทอผ้า ปักผ้า ตัดเย็บ และแปรรูปขาย เป็นกิจกรรมที่จบในหลักสูตรเลย ซึ่งความรู้และทักษะต่างๆ เหล่านี้ จะติดตัวเขา และสามารถนำไปใช้ต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคตได้เลย 

“เด็กที่มาทำกิจกรรมในชุมนุม เราคิดค่าแรงให้ด้วย เช่น ถ้าปักดอกไม้จะได้ดอกละ 10 บาท เสื้อ 1 ตัว ใช้ดอกไม้ประมาณ 20 ดอก เด็กคนที่ปักจะได้เงิน 200 บาท หรือถ้าหากเป็นเด็กชั้นเล็กๆ เช่น ป. 4 เขาปักไม่ได้แต่อยากเอาผ้าไปม้วน เราให้เขานำไปม้วนได้เลย ตามแต่นักเรียนจะรับไหว และคิดเงินให้ลูกละ 15 บาท เมื่อม้วนเสร็จก็นำมาส่ง แล้วก็ให้รับอันใหม่ไปทำต่อ ส่วนนักเรียนที่ทอผ้าได้ก็จะรับด้ายไปทอ” 

ชุมนุมผ้าทอไม่ได้เพียงสร้างทักษะอาชีพและรายได้เสริมให้กับนักเรียนที่สนใจ แต่ยังส่งผลกระจายรายได้ไปยังครอบครัว รวมถึงนักเรียนที่เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วไม่ได้ศึกษาต่อ  

“จากเดิมเราทำแค่นักเรียน แต่ตอนนี้เราขยายผลสู่ชุมชน เราให้ผู้ปกครองที่สนใจอยากร่วมกิจกรรมมาติดต่อกับที่โรงเรียนได้ เราก็จัดผ้าให้ โรงเรียนจะเป็นเหมือนตัวกลางกระจายสินค้าให้ชุมชนได้เขามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังมีนักเรียนที่จบ ม.3 ไปแล้ว แต่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องช่วยที่บ้านทำเกษตร ก็มารับทอผ้ากับโรงเรียน ทำเป็นเหมือนอาชีพเสริม เวลาว่างที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้าว เขาจะนั่งทอผ้า แล้วเอามาส่งให้โรงเรียน ทำให้เขามีรายได้ ก็เป็นความภูมิใจที่นักเรียนมีความรู้เอาไปสร้างอาชีพได้ และยังสามารถสานต่อให้ผ้าทอคงอยู่สืบเนื่องไปกับโรงเรียนและชุมชน”

ผลการเรียนรู้เชิงรุก เด็กสนุก คิดเป็น แก้ปัญหาได้ 

หลังจากโรงเรียนบ้านขุนแปะนำแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกมาปรับใช้ในห้องเรียน ครูรัตติพร บอกว่า ผลการเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ เด็กสนใจเรียนมากขึ้น

 “จากเมื่อก่อนที่เราเรียนแต่เนื้อหาสาระบนกระดาน ครูสอนไป เด็กก็ง่วงเหงาหาวนอน บางคนก็นอนไปบ้าง ไม่ได้สนใจ พอเราเปลี่ยนจากการเรียนในหนังสือมาสู่การปฏิบัติจริง ได้ทดลองจริง เขาก็มีความสุข สนุกที่ได้คิด พอถึงชั่วโมงเรียน เด็กมานั่งรอกันอยู่เต็มแล้ว จากเมื่อก่อนไม่มาเรียนเร็วขนาดนี้ ก็ดีขึ้น 

แล้วที่สำคัญคือเราเห็นพัฒนาด้านความคิดของเด็ก คือเขาได้ฝึกคิดมากขึ้น มีอิสระในการคิดมากขึ้น ทำงานเจอปัญหาเขาได้เรียนรู้วิธีแก้ การเรียนแบบนี้ช่วยฝึกเด็กให้คิดว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก ไม่ใช่ว่าเจอปัญหาแล้วตัน เราได้สอนเด็กไปในตัว เราอยากให้เด็กเรียนแล้วมีความสุข ไม่อยากให้เครียดไปกับเนื้อหา หรือหมกมุ่นอยู่กับการท่องจำ อยากเน้นให้เขาเข้าใจมากกว่า”

นอกจากทักษะด้านการคิดและการแก้ปัญหาแล้ว ครูรัตติพรมองว่า ข้อดีของการเรียนรู้เชิงรุกยังช่วยให้เด็กทำงานเป็นทีมได้ และยอมรับซึ่งกันและกัน 

“เราเคยเจอนักเรียนที่เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะว่าทำอะไรไม่เป็น แต่ในความที่เขาทำอะไรไม่เป็น เขาก็มีความเก่งของเขา นักเรียนที่นี่ค่อนข้างอยู่กับชุมชน ต้องตัดไม้ เดินป่า หาของป่า เขาถนัด แต่เด็กอีกคนหนึ่งเป็นคนดอย แต่เขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ มาก่อน เขาไม่ถนัดเรื่องตัดไม้ เดินป่า แต่ว่าเขาพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก พอต้องมาอยู่รวมกัน ทำงานร่วมกัน มันเหมือนว่าเด็กเขาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน ได้ช่วยกัน รู้ความถนัดของเพื่อน และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน เป็นข้อดีอย่างหนึ่งจากการเรียนกิจกรรมแบบนี้”

ขับเคลื่อนการเรียนรู้เชิงรุก ครูต้องยืดหยุ่น เป็นนักเรียนรู้ 

จากประสบการณ์ในการออกแบบแผนการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ครูรัตติพร บอกว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้แผนการสอนสัมฤทธิ์ผลได้ ครูต้องเป็นนักเรียนรู้และมีความยืดยุ่นอยู่เสมอ 

“การออกแบบแผนการเรียนรู้ไม่มีอะไรที่ตายตัว เราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ค่อนข้างเยอะ บางครั้งต้องไปอ่านงานวิจัยว่ามีรูปแบบการสอนแบบไหนที่จะนำมาใช้กับเด็กได้บ้าง รูปแบบการเรียนการสอนที่แปลกใหม่จะทำให้เด็กสนุกกับกิจกรรม ยิ่งเป็นงานที่ลดกระดาษและเน้นการลงมือปฏิบัติจริงได้ เด็กจะยิ่งให้ความสนใจมากเท่านั้น”

ที่สำคัญการออกแบบการเรียนรู้ต้องสอดคล้องรองรับกับสถานการณ์ของโรงเรียน และบริบทของชุมชน

ครูรัตติพร เล่าว่า ครูต้องเลือกสิ่งที่เข้ากับตัวนักเรียนและอิงบริบทของชุมชนจริงๆ แผนการเรียนรู้ผ้าทออาจจะเข้ากับโรงเรียนบ้านขุนแปะได้ เพราะเชื่อมโยงกับวิถีของคนภาคเหนือ แต่ถ้าจะนำไปใช้กับโรงเรียนในภาคใต้ อาจจะไม่ได้ เพราะว่าบริบทชุมชน สภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน ภาคเหนือมีวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับผ้าทอ การเกษตร การปลูกผัก ส่วนภาคใต้จะมีกิจกรรมประมงเข้ามา ฉะนั้นแผนการสอนจะใช้เหมือนกันหมดไม่ได้ เราต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทของตัวเองและชุมชน เด็กถึงจะเกิดสมรรถนะได้ 

อย่างไรก็ดี ครูรัตติพรบอกว่า ประโยชน์ของการได้มีโอกาสมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายใต้โครงการ TSQP  ช่วยให้ครูออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางได้ 

“การเรียนสมัยก่อน ครูก็เขียนบนกระดาน ให้เด็กท่องจำ ซึ่งเด็กจำได้ ณ ตอนนั้น แต่พอหมดชั่วโมง เด็กก็ลืม คืนเนื้อหาส่งครูหมด ซึ่งเท่ากับเขาไม่ได้รับความรู้อะไรเลย ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์ แต่วันนี้ที่มีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนที่มุ่งเน้นไปที่ตัวเด็ก ให้เด็กได้ทำกิจกรรม จะทำให้เขามีความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กไปตลอด ต่อให้ผ่านไปกี่ปีเขาก็ยังคงเข้าใจและรู้เรื่อง มันกลายเป็นวิทยาการที่ติดตัวเขา ตกตะกอนและอยู่กับตัวของเขาไปตลอด”

Tags:

Creative LearningActive Learningภูมิปัญญาการจัดการเรียนรู้โรงเรียนบ้านขุนแปะผ้าทอโรงเรียน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Education trendSocial Issues
    ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    การศึกษาพื้นฐานในยุคโควิด-19: จะเปิด-ปิดโรงเรียนอย่างไร?

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ
How to enjoy life
19 April 2024

‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • การอดทนรอคอย สามารถขยายไปเป็น ‘ทักษะชีวิต’ (Life skill) อย่างหนึ่งได้เลยทีเดียว แต่แรงจูงใจที่สำคัญของการทำให้คนประสบความสำเร็จในการอดทนรอคอย คือเขาต้องรู้ว่า ‘ผลลัพธ์ที่ได้จากการรอ’ คืออะไร
  • การทดลองมาร์ชเมลโลว์ (The Marshmallow Experiment) ได้ข้อสรุปว่า เด็กที่รู้จักอดทนอดกลั้นต่อผลลัพธ์ข้างหน้าที่ดีกว่าตอนนี้ มีแนวโน้มประสบความสำเร็จโดยรวมและพึงพอใจต่อชีวิตมากกว่า 
  • ในบางช่วงโมเมนต์ของชีวิต ถ้าเราเชื่อว่าอนาคตคือผลของการกระทำในวันนี้ บางทีสิ่งที่วันนี้เราควรทำมากที่สุดในวันนี้ อาจเป็นการยับยั้งชั่งใจและรอคอยอย่างมีสติ

เชื่อเลยว่าหนึ่งในเรื่องที่ยาก อึดอัดใจ และสวนทางกับสัญชาตญาณบางอย่างในตัวคนเราก็คือ ‘การอดทนรอ’ มันขัดกับแรงขับเคลื่อนในใจลึกๆ ที่อยากได้อยากลงมือทำมันเดี๋ยวนี้ มันเล่นกับความไม่แน่นอนในชีวิตเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเปิดไพ่ออกมาเป็นอย่างไร

แต่ก็เพราะการอดทนรอคอยเดียวกันนี้เอง ใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยม มักเป็นกุญแจสู่ชีวิตที่มีความสุข เข้าใจตัวเอง สำเร็จในแบบตัวเอง และเราก็พึงพอใจกับตัวเองสุดๆ ดังเช่นวลี ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

รางวัลชีวิตจากการอดใจรอมาร์ชเมลโลว์

มีตัวอย่างงานวิจัยคลาสสิกตลอดกาลในเรื่องการอดทนรอ ซึ่งคิดว่าหลายคนน่าจะต้องเคยได้ยินได้อ่านมาบ้างแล้ว นั่นคือ การทดลองมาร์ชเมลโลว์ (The Marshmallow Experiment)

นักจิตวิทยาและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด วัลเทอร์ มิชเชิล (Walter Mischel) ทำการทดลองหนึ่งขึ้นในทศวรรษที่ 1960 ที่กลายมาเป็นพื้นฐานของจิตวิทยาและกรณีศึกษาที่ผู้คนเจเนอเรชันต่อมาได้ร่ำเรียนกัน 

เขานำเด็กเล็กอายุ 4-5 ขวบ มานั่งอยู่ในห้องพร้อมจานใส่ขนมตรงหน้าก่อนเดินออกจากห้องไปและได้มอบทางเลือก 2 ทางให้เด็กเลือก

  1. ได้รับรางวัลเป็นขนมมาร์ชเมลโลว์ 1 ชิ้น หากกดกริ่งให้ทีมวิจัยกลับมา ‘ภายใน 15 นาที’
  2. ได้รับรางวัลเป็นขนมมาร์ชเมลโลว์ 2 ชิ้น หากกดกริ่งให้ทีมวิจัยกลับมา ‘หลังผ่านไป 15 นาทีแล้ว’

ผลลัพธ์แตกออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งข้อ 1 เด็กที่กดกริ่งภายใน 15 นาที (ไม่อดทนรอนาน) และ ข้อ 2 เด็กที่กดกริ่งหลังผ่านไป 15 นาที (ยอมอดทนรอ)

จากนั้น เหล่านักวิจับได้ติดตามเส้นทางพัฒนาการของชีวิตของเด็กๆ แต่ละกลุ่มเหล่านี้เป็นเวลาอีกหลายทศวรรษอย่างต่อเนื่องจนพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ และได้พบว่า เด็กข้อ 2 ที่ยอมอดทนรอได้ มีอัตราการอ้วนที่ต่ำกว่า บริหารความเครียดได้ดีกว่า ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีกว่า มีหน้าที่การงานและระดับรายได้ที่สูงกว่า หรือก็คือมีผลลัพธ์โดยรวมในชีวิตที่ดีกว่าเด็กข้อ 1 ที่อดทนรอไม่ได้

เมื่อติดตามมาถึงราวทศวรรษ 1990 ทีมนักวิจัยการทดลองมาร์ชเมลโลว์นี้จึงเคาะข้อสรุปว่า เด็กที่รู้จักอดทนอดกลั้นต่อผลลัพธ์ข้างหน้าที่ดีกว่าตอนนี้ มีแนวโน้มประสบความสำเร็จโดยรวมและพึงพอใจต่อชีวิตมากกว่า 

แรงจูงใจและเงื่อนไขของการรอคอย

แต่ข้อสรุปจากการทดลองมาร์ชเมลโลว์อาจไม่ได้เป็น ‘เส้นตรง’ ขนาดนั้น เราต้องให้เชิงอรรถตัวเองไว้ด้วยว่า กลุ่มเด็กที่เข้ารับการทดลองมาจากครอบครัวชนชั้นกลางชาวอเมริกันที่มีอันจะกินระดับหนึ่ง เด็กๆ อาจเติบโตมาในสถานการณ์ที่พอจะรอคอยอะไรได้บ้างเพราะพื้นฐานไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว

นอกจากนี้ การรอคอยอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ

  1. รอแบบลมๆ แล้งๆ 
  2. รอผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่จะเกิดขึ้นแน่นอน

ถ้านักวิจัยไม่สร้างเงื่อนไขเวลา ‘15 นาที’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ดูเหมือนจะไม่นานเกินไป-ไม่สั้นเกินไป สำหรับบริบทการให้เด็กเล็กอายุแค่นี้มานั่งในห้องทดลองแบบนี้ การรอคอยของเด็กอาจกลายเป็นการรอคอยที่สูญเปล่า รอแบบลมๆ แล้งๆ เพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ดีกว่าจะออกดอกออกผลเมื่อไร

อย่าลืมว่า แรงจูงใจที่สำคัญของการทำให้คนประสบความสำเร็จในการอดทนรอคอยคือเขาต้องรู้ว่า ‘ผลลัพธ์ที่ได้จากการรอ’ คืออะไรกันแน่? 

กรณีของงานวิจัย เด็กกลุ่มหลังรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการรอคือการได้รับขนมมาร์ชเมลโลว์ที่มากขึ้นเท่าตัว เมื่อบวกลบคูณหาร ประกอบกับสัญชาตญาณ เด็กบางกลุ่มรู้ว่า ‘คุ้มที่จะรอ’ คุณค่าที่ได้ในอนาคตอันใกล้จะมากกว่าคุณค่าในปัจจุบันแน่นอน…ขอแค่อดทนรออีกสักนิดนึง!

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อลงรายละเอียดในการทดลองอีกนิดจะพบว่า กลุ่มเด็กที่มีความยับยั้งชั่งใจในการรอคอย น้องๆ ไม่ได้ ‘นั่งรออยู่เฉยๆ’ ไม่ได้นั่งจับเวลาให้ถึง 15 นาที ไม่ได้นั่งสมาธิเพื่อควบคุมจิตใจตัวเองให้สู้กับความเบื่อ แต่น้องๆ กลับหาอะไรทำที่ตัวเอง ‘รู้สึกสนุก’ เพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอ ไม่ว่าจะถอดรองเท้าออกมาเล่น นั่งฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่าเป็นการ ‘เลี้ยงความสนุก’ ให้อยู่กับตัวไปนานๆ ให้ไฟแห่งความตื่นเต้นไม่รีบด่วนดับหายไป หรือเบี่ยงเบนไม่ให้ไปไปหมกมุ่นคิดถึงการรอคอยที่แสนทรมานใจในตัวมันเอง

เรื่องนี้สำคัญต่อผู้ใหญ่แบบเราๆ เช่นกัน เพราะความสนุกเป็นแรงจูงใจขั้นสูง ทั้งในการอดทนรอคอย ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ในการเผชิญหน้ากับความท้าทายยากๆ

ผลวิจัยนี้ยังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่สามารถนำไปใช้สอนลูกตัวเองได้ โดยเฉพาะพัฒนาการที่เริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ฝึกลูกตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเด็กโตไปอาจประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิตได้ เพราะ ‘โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา’ มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราต้องยับยั้งชั่งใจและมีความอดทนรอคอยอย่างสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าข้างหน้า ไม่ว่าจะในการเรียน การทำงาน การคบเพื่อน สุขภาพ หรือบทบาทของตัวเองต่อสังคม 

การยับยั้งชั่งใจอดทนรอคอยจึงเป็นอีกทักษะที่พ่อแม่ควรฝึกลูกตั้งแต่ยังเล็ก เป็นการอดทนรอในปัจจุบันที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีทวีคูณในอนาคตนั่นเอง

‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก

เราอยู่ในสังคมเร่งรีบ ทุกอย่างต้องด่วนจี๋ คาดหวังผลลัพธ์แบบ ‘ทันที’ แค่การสั่งเดลิเวอรี่แล้วระบบโหลดหน้านานขึ้น 2-3 วินาที ก็มากพอที่ทำให้บางคนหงุดหงิดอารมณ์เสียและถึงขั้นย้ายค่ายไปใช้แอปคู่แข่งในการสั่งเลยก็ได้

การมีคาแรกเตอร์เป็นคนที่อดทนรอคอยให้เป็น เปรียบเสมือนมีภูมิคุ้มกันในการยับยั้งชั่งใจต่อสิ่งล่อลวงใจ อาจไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ดี แต่มันแค่มาหาเราในวันที่เรายังไม่พร้อมหรือยังไม่ถึงเวลาที่ใช่ ทางออกคงเป็นการ ‘บาลานซ์’ ระหว่างสิ่งที่อยากทำอยากได้ตอนนี้กับผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในอนาคต 

ถ้าเราพิจารณาให้ลึกขึ้นจะพบว่า การอดทนรอคอยนี้สามารถขยายไปเป็น ‘ทักษะชีวิต’ (Life skill) อย่างหนึ่งได้เลยทีเดียว และจะดีมากๆ ถ้าเราเริ่มตั้งแต่เด็กๆ คำถามคือ…แล้วพ่อแม่ควรฝึกเด็กยังไงดี? 

พ่อแม่สามารถฝึกการอดทนรอให้สอดแทรกลงไปอยู่ในชีวิตประจำวันของเด็กๆ ได้ อันดับแรก ต้องยอมรับความจริงว่า พ่อแม่เองก็ไม่ควร ‘ตามใจลูก’ ไปซะทุกเรื่อง บางเรื่องที่ต้องรอ…ก็ต้องสอนให้เขารู้จักรอ และจะดีกว่ามากถ้าพ่อแม่ร่วมเดินทางไปกับลูก

เหตุการณ์ที่พ่อแม่หลายคนพบเจอเหมือนกันคือ ‘ลูกๆ ร้องไห้งอแงจะเอาของเล่นให้ได้’ แต่การพูดสั่งสอนว่าให้รอแบบปากเปล่าก็คงไม่ได้ผลนัก แต่ให้พ่อแม่ลอง ‘ร่วมเดินทาง’ ไปกับลูก ช่วยลูกๆ คิดว่าต้องทำอะไรบ้างในการซื้อของเล่นชิ้นนั้น 

เช่น ปกติพ่อแม่ให้เงินค่าขนม 100 บาทต่อวันลูกต้องแบ่งเงินเป็นค่ากินข้าว 60 บาทต่อวันโดยไม่อดอาหาร เพื่อเอาที่เหลืออีก 40 บาทเป็นเงินออมในการซื้อของเล่น แต่แน่นอนว่า เงิน 40 บาทออมวันเดียว ไม่พอในการซื้อของเล่น เพราะของเล่นมีราคา 400 บาท ดังนั้น ลูกต้องออมทั้งหมด 10 วัน เป็นระยะเวลาที่ต้องอดทนยับยั้งชั่งใจ

นอกจากฝึกทักษะการอดทนรอแล้ว ยังฝึกทักษะการเงิน การวางแผน การคิดคำนวณ การรู้จักความชอบของตัวเอง และเพิ่มความสนุกระหว่างทางการเก็บออมเงินด้วย

อีกเทคนิคคือ ให้ลูกๆ เข้ามามี ‘ส่วนร่วม’ กับพ่อแม่ซะเลย ยื่นมือมาช่วยเหลือ เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ปลายทางด้วยกัน ทั้งยังเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในแบบเจาะลึกรายละเอียดและได้ประสบการณ์หน้างานจริง แถมลูกก็ตระหนักว่าการอดทนรอคอยลักษณะนี้ไม่ใช่การรออยู่เฉยๆ อีกต่อไป 

ทั้งนี้ เมื่อลูกๆ อดทนรอได้สำเร็จ พ่อแม่ควรพูดชมขอบคุณเป็นการให้ ‘รางวัล’ ปิดท้าย ทำยังไงก็ได้ให้ลูกรู้สึกว่ารางวัลที่ได้จากการรอคอย เป็นความสุขล้นปลายทางที่เหนือกว่า

สุดท้ายแล้วในบางช่วงโมเมนต์ของชีวิต ถ้าเราเชื่อว่าอนาคตคือผลของการกระทำในวันนี้ บางที…สิ่งที่วันนี้เราควรทำมากที่สุดในวันนี้ อาจเป็นการยับยั้งชั่งใจและรอคอยอย่างมีสติ…

อ้างอิง

https://jamesclear.com/delayed-gratification

https://www.vox.com/2014/9/24/6833469/marshmallow-test-self-control

https://heconomist.ch/2023/05/24/the-art-of-patience-how-delayed-gratification-paves-the-path-to-success/#:~:text=This%20term%20refers%20to%20the,fulfillment%20of%20a%20desired%20outcome.

https://welldoing.org/article/delayed-gratification-why-patience-such-essential-skill

Tags:

การเติบโตชีวิตความสำเร็จการรอคอยการอดทน

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • IMG_3795
    Healing the trauma
    เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • BookMyth/Life/Crisis
    ไม่ต้องแตกสลายเพื่อจะพบแสงสว่าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?
Dear Parents
18 April 2024

แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ความกตัญญู’ คือคุณธรรมและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ แต่บ่อยครั้งที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักใช้คำว่า ‘กตัญญู’ เป็นหวายที่ฟาดลงกลางใจลูก เพื่อให้เขายอมทำตามความต้องการของตัวเอง และนั่นจึงทำให้ความกตัญญูกลายเป็นภาระทางความรู้สึกที่หนักอึ้งและอยากโยนทิ้งไปในที่สุด

“มึงกล้าดียังไงมาสอนกู ถ้ามึงเก่งนักก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วอย่าได้สะเออะมาขอตังค์กูใช้อีก”

พ่อตะโกนด่าผมเมื่อยี่สิบปีก่อนอย่างเหลืออด หลังจากที่ผมตั้งคำถามว่าถ้าพ่อรักและกตัญญูกับปู่มากนัก ทำไมพ่อถึงไม่ไปอยู่ดูแลปู่ด้วยตัวเอง จะมาบังคับผมเพื่ออะไร  

ตั้งแต่จำความได้ พ่อของผมเป็นคนค่อนข้างให้ความสำคัญกับการสอนให้ผมกตัญญูกับปู่ เพราะปู่เป็นคนที่ทำให้ลูกหลานทุกคนมีสมบัติเหลือกินเหลือใช้ในวันนี้ ทั้งยังนำรูปแขวนผนังขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรจีน-ไทยระบุถึง 最十生人 (สิ่งที่สุดของชีวิต 10 ข้อ)  โดยข้อที่พ่อให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่อง 人生最大罪恶是不孝 (บาปกรรมที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการไม่กตัญญู) 

พ่อมักเล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นคนที่กตัญญูกับปู่มาก ไม่ว่าปู่จะสั่งหรือใช้ให้พ่อทำอะไร พ่อไม่เคยปฏิเสธปู่เลยสักครั้ง แม้ว่าหลายเรื่องจะขัดใจและทำให้พ่อเป็นทุกข์ก็ตาม 

แต่ถึงแม้พ่อจะพยายามอธิบายว่าพ่อกตัญญูมากแค่ไหน น่าเสียดายที่ผมไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง อาจจะดูใกล้เคียงแค่เรื่องเดียวคือ พ่อมักซื้อของกินอร่อยๆ ไปให้ปู่สัปดาห์ละครั้ง

ช่วงที่ผมอายุประมาณ 10 ปี พ่อเริ่มใช้ให้ผมไปอยู่กับปู่ที่บ้านของลุงในวันอาทิตย์ (เพราะครอบครัวลุงไม่มีใครอยู่บ้าน) เดิมทีผมคิดว่าผมคงมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เปล่าเลย พ่อบังคับผมให้ไปอยู่กับปู่ทุกสัปดาห์เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้ปู่แทนพ่อ โดยไม่ถามความเต็มใจของผมสักคำ ขณะที่พ่อของผมกลับไปเที่ยวเล่นสนุกสนานและไม่เคยมาอยู่รับใช้ปู่แบบผมแม้แต่ครั้งเดียวตราบจนปู่สิ้นลม

แม้เวลานั้นผมจะยังเด็ก แต่ก็พอทราบว่าปู่กับพ่อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันเท่าไรนัก เพราะที่ผ่านมาผมจะเห็นพ่อมาหาปู่แค่เพียงผิวเผิน ตอนเจอหน้าก็ทักกันพอเป็นพิธี จากนั้นพ่อจะมุ่งคุยแต่กับย่าแค่เพียงคนเดียว แต่เมื่อพ่อต้องรับส่งผมที่บ้านปู่ทุกอาทิตย์ ปู่ก็มักอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมพ่อต่างๆ นาๆ โดยเฉพาะเรื่องชอบเที่ยวและรักสบาย ทำให้บางสัปดาห์ผมเห็นการปะทะคารมเป็นภาษาจีนที่ผมฟังไม่รู้เรื่องนัก 

ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ผมหน้าตาละม้ายคล้ายพ่อ ทำให้ปู่มักชอบหาเรื่องตำหนิรูปร่างหน้าตาของผมเสมอ โดยเฉพาะการล้อว่าผมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับตือโป๊ยก่าย(ปีศาจหมูจากเรื่องไซอิ๋ว)อยู่เสมอ หรือถ้าไม่หาเรื่องตำหนิ ปู่ก็มักแสดงความเอ็นดูผมในแบบที่ผมอึดอัดและไม่ชอบเอามากๆ โดยเฉพาะการเรียกผมมากอดแล้วจับอวัยวะเพศของผม 

สิ่งที่เจ็บปวดมากๆ คือพ่อไม่เคยปลอบใจเวลาผมเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ซ้ำยังด่าว่าผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น หรือคิดมากไปเองคนเดียว “ปู่มึงเขาก็จับxxx (อวัยวะเพศ) หลานคนอื่นเป็นปกติเพราะเขาเอ็นดู มึงอย่ามากระแดะ” จนผมเริ่มไม่อยากทนอยู่กับปู่และตัดสินใจบอกพ่อไปตรงๆ ในวันหนึ่งว่าผมก็อยากออกไปเที่ยววันอาทิตย์เหมือนเพื่อนที่โรงเรียนหรือลูกพี่ลูกน้องคนอื่นบ้าง ทำไมพ่อต้องมาบังคับให้ผมต้องไปขลุกอยู่กับปู่ทุกอาทิตย์ แล้วถ้าพ่อกตัญญูจริงอย่างที่ชอบโม้ให้ผมฟัง ทำไมพ่อถึงไม่มาอยู่กับปู่เองเลยล่ะ มาทำให้ดูหน่อยสิว่าการกตัญญูมันทำกันยังไง

“มึงกล้าดียังไงมาสอนกู ถ้ามึงเก่งนักก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วอย่าได้สะเออะมาขอตังค์กูใช้อีก”

พ่อตะโกนอย่างเหลืออด ก่อนจะทุบตีผมราวกับผมเป็นศัตรูที่พ่อเกลียด จำได้ว่าผมเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ แถมหลังจากนั้นยังถูกหักค่าขนม ถูกสั่งห้ามเล่นเกม รวมถึงสั่งให้ผมคัดลายมือคำว่า “人生最大罪恶是不孝 บาปกรรมที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการไม่กตัญญู” ด้วยตัวบรรจงจำนวน 4 หน้า และแน่นอนว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมบ่นเรื่องนี้กับพ่อ

ผมจำได้ว่าหลังจากวันนั้น ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่แทนพ่อไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มมีความผูกพันและอยากอยู่กับปู่ไปโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันผมก็ทำหูทวนลมทุกครั้งเวลาที่พ่ออวดอ้างว่าตัวเองเป็นลูกที่แสนกตัญญูยังไงบ้าง ซึ่งพ่อก็คงรับรู้ได้และมักหาโอกาสพูดกรอกหูผมบ่อยๆ ว่าผมอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อ ‘สอน’ ในวันนี้ แต่ถ้าผมโตขึ้นจนอายุเลขสามนำหน้า ผมจะเข้าใจและนึกขอบคุณพ่อมากขึ้น 

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ผมอายุสามสิบเศษ ผมไม่รู้สึกเสียใจสักนิดที่ผมไปดูแลปู่ของผม แต่สิ่งที่คาใจเสมอคือนิยามคำว่า ‘กตัญญู’ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมกับพ่อตีความเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน

สำหรับผม ‘กตัญญู’ คือการกระทำไม่ใช่คำพูด ผมมองว่าการกตัญญูที่สอนลูกได้ดีที่สุด คือพ่อแม่ต้องแสดงความกตัญญูต่อปู่ย่าตายายให้ลูกเห็นอย่างสม่ำเสมอ ให้ลูกได้มีภาพจำของความรักความอบอุ่นในครอบครัวและค่อยๆ ซึมซับ โดยไม่จำเป็นต้องไปสั่งสอนหรือบังคับด้วยซ้ำ 

ผมเชื่อว่าการกตัญญูต้องไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีวันหยุดพักผ่อน และไม่ใช่สิ่งที่ทำแทนกันได้ เหมือนกับการกินข้าวที่ใครกินคนนั้นก็อิ่ม เช่นนั้นการสร้างความกดดันและโยนความกตัญญูของเราไปไว้บนบ่าของลูกหรือตัวตายตัวแทนคนอื่นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองรู้สึกสบายใจจึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และมองว่าสิ่งนี้เป็นวิธีที่ขี้ขลาด …เป็นความเห็นแก่ตัวที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเองว่าฉันก็เป็นลูกที่กตัญญูคนหนึ่ง 

Tags:

พ่อแม่dear parentsครอบครัวบาดแผลทางจิตใจความกตัญญู

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Playground
    หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน
Playground
11 April 2024

หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • หลานม่าเป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากค่าย GDH บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เอ็ม’ หลานชายที่หวังรวยทางลัดด้วยการไปดูแลอาม่าที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
  • นอกจากเรื่องราวอันซาบซึ้งระหว่างเอ็มกับอาม่า ที่น่าสนใจคือวิถีชีวิตและการเลือกปฏิบัติที่ลูกหลานคนจีนหลายบ้านต้องเผชิญ ซึ่งอาจไม่ได้มีตอนจบที่สวยงามแบบในภาพยนตร์

ถ้าให้จัดอันดับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในโลก ผมมั่นใจว่าอาม่าเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ

ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข การเปิดใจรับฟังปัญหาของผมโดยไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องดรามาน่ารำคาญ และการเป็นพื้นที่ปลอดภัย คือกุญแจสามดอกที่ทำให้อาม่าครองใจผมมาตลอด แม้ว่าแปดปีก่อนอาม่าจะหนีผมไปอยู่บนสววรค์แล้วก็ตาม 

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

ผมคิดถึงอาม่าอีกครั้ง หลังจากชมภาพยนตร์เรื่อง ‘หลานม่า’ ของค่าย GDH ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เอ็ม’ หนุ่มหน้าตี๋ที่หวังรวยทางลัดด้วยการย้ายไปดูแลอาม่าที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย โดยหวังใจว่าอาม่าจะยกมรดกให้เป็นการตอบแทน 

แม้การอยู่ร่วมกันของคนต่างเจเนอเรชันจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำเกิดขึ้นในหลายๆ โมเมนต์ แต่นั่นกลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้อาม่าลืมเหงาจากการเฝ้ารอลูกหลานที่มักมาพร้อมหน้ากันตามเทศกาลต่างๆ จนสุดท้ายการดูแลอาม่าที่เริ่มต้นเพราะหวังรวย ค่อยๆ เปลี่ยนให้หลานอย่างเอ็มได้รู้ว่าความรักอันบริสุทธิ์ของอาม่านั้นมีค่ามากกว่าสมบัติชิ้นไหนๆ

เดิมที ผมอยากเขียนถึงเรื่องราวอันซาบซึ้งระหว่างเอ็มกับอาม่าว่ามีความคล้ายหรือต่างกับผมยังไง แต่พอมานั่งทบทวนอีกครั้งหลังผ่านไปร่วมสัปดาห์ ผมกลับพบว่าสิ่งที่ผมอยากแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านจริงๆ คือเรื่องสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่ลูกหลานคนจีนหลายบ้านเผชิญซึ่งอาจไม่ได้มีตอนจบที่สวยงามแบบในภาพยนตร์ 

ประเด็นแรกคือเรื่องเทศกาลรวมญาติต่างๆ เช่น ‘วันเชงเม้ง’ ที่ลูกหลานรุ่นใหม่หลายคนเข้าร่วมน้อยลงกว่าแต่ก่อน หรือไม่ก็จำใจไปให้มันจบๆ แบบที่เอ็มทำในช่วงต้นของภาพยนตร์ แน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้มักเป็นสิ่งที่พ่อแม่ลุงป้าน้าอามักหยิบยกมากล่าวหาโจมตีว่าคนรุ่นใหม่ไม่กตัญญูต่อบรรพบุรุษบ้าง คิดถึงแต่ตัวเองบ้าง ไม่เคารพธรรมเนียมประเพณีบ้าง หรืออะไรก็ตามที่เป็นการสร้างความรู้สึกผิดบาปในใจของคนที่ไม่เข้าร่วม  

แม้ผมจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังคงเข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้ทุกปี แต่ผมกลับไม่เคยคิดว่าญาติของผมที่ไม่ได้เข้าร่วมจะเป็นคนอกตัญญูหรือลืมรากเหง้าแต่อย่างใด เพราะบางคนติดงาน บางคนศรัทธาในหลักศาสนาของตัวเองและไม่เชื่อว่าวิญญาณอาม่าจะยังคงนอนเล่นอยู่ใต้ฮวงซุ้ย บางคนพ่อแม่แทบไม่พามาเจออาม่าตอนยังมีชีวิต แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือญาติบางคนไม่อยากมาเจอกับสภาพแวดล้อมอัน Toxic

สภาพแวดล้อมอัน Toxic ในความหมายของผมคือเมื่อญาติๆ มารวมตัวกัน พวกผู้ใหญ่มักจะอวดลูกอวดหลานพร้อมกับเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกของพี่น้องกันอย่างสนุกปาก ทั้งเรื่องผลการเรียน การงาน(เงินเดือน) รวมไปถึงรูปร่างหน้าตา ฯลฯ ทำให้ลูกหลานที่ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่จดจำฝังใจ 

เข้าคอนเซ็ปต์ “คนพูดไม่จำ คนฟังไม่ลืม” ซึ่งหากมองในมุมที่ผมพบเจอ ผู้ใหญ่ที่ไม่น่ารักเหล่านี้มักเป็นคนขี้อิจฉาและอาจมีปมในอดีตมาก่อนทำให้ต้องหาปมเด่นของลูกมากลบปมด้อยของตัวเอง เช่น ตอนเด็กๆ ตัวเองเรียนไม่เก่งแต่พอลูกเรียนเก่งเลยต้องเอามาข่มลูกของคนที่เรียนไม่เก่ง หรือ ตอนเด็กๆ ตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับ แต่พอมีลูกแล้วลูกกลับทำงานได้ดิบได้ดีก็จะชอบเปิดเผยอาชีพและรายได้ของลูกตัวเองพร้อมกับถามลูกคนอื่นอย่างเสียมารยาท ส่งผลให้พื้นที่ที่ควรจะเป็น Safe Zone อย่างครอบครัว กลายสภาพเป็น War Zone ในหลายๆ ครั้ง

ในทางกลับกัน ผมเชื่อว่าหากงานรวมญาติเต็มไปด้วยบรรยากาศของความรักความอบอุ่น ไม่มีการเปรียบเทียบ พร้อมกับชื่นชมลูกหลานแต่ละคนในแบบที่เขาเป็นอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงตอนที่อากงอาม่ามีชีวิต หากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยี่ยมเยียนดูแลอากงอาม่าไม่ขาด  (ไม่ใช่แค่มาเป็นพิธี) ผมเชื่อว่าคนรุ่นก่อนไม่จำเป็นต้องไปสอนคนรุ่นใหม่ด้วยซ้ำว่า ‘ความกตัญญู’ คืออะไร เพราะวิธีการสอนที่ดีที่สุดคือการประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง (Show, don’t tell.)

ประเด็นถัดมาคือการที่ภาพยนตร์ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของลูกสาวที่เทียบไม่ได้เลยกับลูกชาย ซึ่งประเด็นของอาม่าในภาพยนตร์ถือเป็นตัวอย่างของความย้อนแย้งได้เป็นอย่างดี

เริ่มจากตอนอาม่าเป็นสาว อาม่ายอมลาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เพื่อหวังให้พี่ชายได้เรียนหนังสือจนจบ จากนั้นก็ช่วยดูแลพ่อแม่มาโดยตลอด ทว่าพอพ่อแม่เสียชีวิตกลับยกมรดกทั้งหมดให้กับพี่ชาย ซึ่งอาม่าก็เจ็บช้ำน้ำใจถึงความอยุติธรรมนี้มาก แต่ตัดมาปัจจุบันที่อาม่าใกล้เสียชีวิต กลับไม่ยอมยกมรดกให้แม่ของเอ็มที่คอยดูแลปรนนิบัติและยกมันให้กับลูกชายเช่นกัน เรียกได้ว่าแม้ตัวเองจะไม่ชอบที่พ่อแม่ทำกับตัวเองแบบนั้น แต่พอมีลูกตัวเองกลับทำในแบบเดียวกัน

คนจีนสมัยก่อนมักเปรียบเปรยว่า ลูกสาวคือฮวงซุ้ยของคนอื่น (别人的风水) แม่ของผมเล่าว่าสมัยที่จีนยังปิดประเทศและให้ประชาชนมีลูกได้คนเดียว หากบ้านไหนที่ยากจนแล้วได้ลูกสาว พ่อแม่มีแนวโน้มอย่างสูงที่จะเอา ‘ขี้เถ้ายัดปาก’ (ฆ่าให้ตาย)  หรือหากบ้านไหนมีเงินหน่อยก็อาจไปตรวจว่าได้ลูกเพศไหน เพื่อจัดการทำแท้งลูกสาวตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะคนจีนมองว่าพอลูกสาวแต่งงานออกไปก็กลายเป็นคนของตระกูลอื่น ตายไปก็ไปเป็นผีประจำฮวงซุ้ยที่บันดาลโชคลาภให้ลูกหลานตระกูลอื่น ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมบัติใดๆ หรือหากลูกสาวมาจากตระกูลร่ำรวย พ่อแม่ก็อาจแบ่งสมบัติให้บ้าง (แต่ก็เทียบกับลูกชายไม่ได้อยู่ดี)

สอดคล้องประเด็นเรื่องรักลูกรักหลานเท่ากันของอาม่าในเรื่อง ซึ่งในฐานะลูกหลานคนจีน ผมรู้สึกไม่เชื่อสักนิด อาจเพราะครอบครัวผมมักพูดกรอกหูผมมาแต่เด็กว่า “นิ้วยังไม่เท่ากันจะให้กูรักพวกมึงเท่ากันได้ยังไง” ทำให้ผมรู้สึกรับความจริงข้อนี้ได้บ้างเวลาที่พ่อแม่ของผมปฏิบัติต่อผมกับพี่น้องอย่างไม่เท่าเทียม ต่างกับหลายๆ บ้านที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมักบอกว่ารักลูกรักหลานเท่ากัน แต่การกระทำกลับย้อนแย้ง โดยเฉพาะการแสดงความรักกับลูกคนโตแบบออกนอกหน้าและการพูดดีทำดีกับลูกหลานที่นานๆ มาเยี่ยม แต่กลับร้ายกาจเหลือเกินกับลูกหลานที่อยู่ดูแลใกล้ชิด  

นอกจากนี้ ผมได้อ่านความเห็นของผู้ชมภาพยนตร์เรื่องหลานม่าและพบว่าแม้เกินครึ่งจะซาบซึ้งถึงความรักระหว่างอาม่ากับเอ็ม ทั้งยังสนับสนุนให้ลูกหลานรีบดูแลอาม่าตอนที่ยังมีชีวิต แต่ความเห็นอีกด้านก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลายคนโชคร้ายไม่ได้มีอาม่าหรือพ่อแม่ที่น่ารักอย่างคนอื่น โดยเฉพาะอาม่าสมัยเป็นแม่ที่เอาแต่เที่ยวเล่น กินเหล้า ติดพนัน ชอบใช้กำลังทำร้ายลูกหลาน แต่พอตัวเองแก่ชรากลับโทษว่าลูกหลานอกตัญญูไม่ยอมมาดูแล หรือเอาแต่ขอเงินลูกหลานไปผลาญในสิ่งอบายมุขทั้งหลายอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าที่สุดแล้วหากตัดเรื่องบาปบุญคุณโทษออกไป…ใครหว่านพืชเช่นใดก็ควรได้ผลเช่นนั้นหรือไม่?   

Tags:

ความกตัญญูภาพยนตร์ครอบครัวลูกหลานม่า

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ
8 April 2024

‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • การที่เด็กคนหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ส่งการบ้าน หรือทำการบ้านแบบส่งๆ เขียนด้วยลายมือที่อ่านไม่ออก อารมณ์หุนหันพลันแล่น ทำลายสมาธิเพื่อนในห้องเรียน อาจเป็นเพราะเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้
  • คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ เพจ ‘เลี้ยงลูกตามใจหมอ’ ถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เด็ก ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ ทั้งในด้านพัฒนาการและมองไปถึงระบบการศึกษาที่ไม่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตตัวเองได้
  • “มันก็ต้องบูรณาการทั้งระบบการศึกษา วิธีการสอน การวัดผล นั่นคือฝั่งของโรงเรียน ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ต้องเข้ามาด้วย ไม่ใช่ผลักภาระมาที่ครู ที่บ้านไม่มีใครอ่านหนังสือให้ลูกฟังเลยตั้งแต่เด็ก เด็กจะไปรักการอ่านได้ยังไง ไม่เคยมีอะไรทำให้เกิดการเรียนรู้”

คุณครูท่านหนึ่งเปิดสมุดแบบฝึกหัดที่ให้การบ้านนักเรียนของตัวเองไป เพื่อจะตรวจทานดูว่า การบ้านที่ให้ไปนั้น เด็กๆ เข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ต้องปวดใจเมื่อพบว่าลายมือที่เด็กเขียนส่งมาเป็นลายมือที่อ่านไม่ออกเลยสักนิด คุณครูเกิดความสงสัยในตัวเองว่า 

“นี่เป็นเพราะเราสอนไม่เข้าใจ หรือ เด็กคนนั้นมีปัญหาด้านการเรียนรู้กันนะ” 

สถานการณ์จำลองข้างต้นคุณครูหลายท่านน่าจะเคยพบเจอกันมาบ้าง พฤติกรรมที่เด็กแสดงมาเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทั้งคุณครูและผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กหลายด้าน 

The Potential ชวนหาคำตอบในเรื่องนี้กับ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือ หมอวิน กุมารแพทย์ โรงพยาบาลนครธน และเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกตามใจหมอ’ กัน

เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อะไรคือสาเหตุ

การที่เด็กคนหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในด้านการเรียนรู้ เช่น ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ส่งการบ้าน หรือทำการบ้านแบบส่งๆ เขียนด้วยลายมือที่ไม่สามารถอ่านเป็นคำได้ หรือในด้านอารมณ์ เช่น มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น พูดจาโวกเวกโวยวาย และทำลายสมาธิของเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องเรียน ฯลฯหมอวินชวนทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องผ่านการวิเคราะห์ทั้งในมุมของครูผู้สอนและผู้เรียน 

“แน่นอนคุณครูทุกคนมีความคาดหวังว่าเด็กต้องใฝ่เรียน สั่งงานไปก็ควรจะต้องรับผิดชอบตัวเอง ทำส่ง เวลาทำส่งคุณครูก็คงคาดหวังเหมือนกันว่า ทำส่งก็คงจะต้องทำงานให้ครบถ้วน เรียบร้อย ครูจะได้รู้ว่าเขาเข้าใจอะไรบ้าง ไม่เข้าใจอะไรบ้าง จะได้เสริมต่อ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ เขียนก็ยึกยือ ทำงานก็ดูแบบไม่ได้ตั้งใจ บางอันก็ทำไม่เสร็จ ทั้งหมดนี้มันอยู่ที่บริบทที่ความคาดหวังของครูว่าเด็กคนหนึ่งควรจะตอบสนองกับการเรียนยังไง” 

“ส่วนผู้เรียน อันนี้เราพูดถึงในกรณีที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของพัฒนาการ ปัญหาเรื่องการเรียนอื่นๆ เราก็จะพบว่าเด็กสมัยนี้ ปัญหาคือเขาไม่ได้มีแรงจูงใจในการเรียนขนาดนั้น โดยเฉพาะถ้าเขาเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นการศึกษาแบบคัดออก ก็คือชื่นชมเด็กเก่งเท่านั้น เด็กไม่เก่งก็อาจจะมีความรู้สึกว่า ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไร ทำอะไรก็ไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำได้ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร เพราะฉะนั้นเด็กบางคนก็เลยไม่มีแรงจูงใจในการเรียน เพราะว่าเขา relate (เชื่อมโยง) กับชีวิตเขาไม่ได้ 

มีเด็กหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ฉันเรียนเลขไปทำไม สุดท้ายก็มีเครื่องคิดเลขอยู่ดี จะเขียนไปทำไม สุดท้ายแล้วทุกวันนี้ก็มี Google Translate (ช่วยแปลภาษา) มี Google Collection (ช่วยบันทึกและจัดระเบียบผลการค้นหาด้วย AI นำมาเก็บไว้เป็น Collection) มี AI มาช่วยแก้ภาษา เขาจึงไม่รีเลทกับชีวิตเขาว่ามันมีความหมายในการเรียน มันเลยขาดแรงจูงใจ” 

หมอวินมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบการศึกษาอาจไม่ตอบโจทย์ผู้เรียน หลักสูตรไม่เอื้อต่อให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตตัวเองได้ 

“ทำไม่ครบก็ถูกครูด่า กลับไปบ้านพ่อแม่ก็ไม่เคยคุยด้วย พ่อแม่อาจจะยิ่งดุ คุณครูบอกทำการบ้านไม่ส่ง บางบ้านตีอีก ยิ่งทำให้การเรียนการทำการบ้านความรู้สึกเป็นเชิงลบกับผู้เรียน ไปเรียนทุกวันกลับบ้านไปโดนด่าทั้งที่บ้านทั้งที่โรงเรียน ฉันอุตส่าห์ทำการบ้านมา แต่ฉันเขียนลายมือไม่สวย อาจจะเขียนส่งๆ ไปก่อน เอาให้ครบ ก็ยังถูกด่า แทนที่จะมีใครเห็นว่าอย่างน้อยฉันก็ทำนะ และมีแรงจูงใจเชิงบวกว่า อะไรที่ทำให้เขาทำได้มากขึ้น ดีขึ้น เขียนสวยขึ้น มันไม่มีแรงจูงใจอะไรเลย 

ซึ่งในแง่ของการเรียนทุกคนก็รู้ว่า การอ่านออกเขียนได้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากเลยของการเรียนรู้ในอนาคต 

ถ้าอ่านไม่ได้เขียนไม่ออก AI ก็ช่วยคุณไม่ได้นะ ไม่รู้จักตัวอักษร ไม่รู้จักสรุปความ ในอนาคตงานการง่ายๆ เอกสารราชการจะไปติดต่อใคร พูดจาไม่รู้เรื่อง เขียนไม่ได้เลย มันจะไปทำอะไรได้ ซึ่งอันนี้คุณครูก็หวังดีมาก แต่ผู้เรียนไม่รีเลท เพราะฉะนั้นทำอย่างไรถึงจะสร้างแรงจูงใจในการเรียน ให้ผู้เรียนรู้ว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตเขานะ”

นอกจากนี้ หมอวินเสริมในมุมของครูผู้สอนว่า “ครูเองก็ถูกกดทับด้วยระบบ ห้ามติด 0 ห้ามติด ร. อีก เขาก็เลยมีความคาดหวังว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น ในขณะเดียวกันผู้เรียนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาการเรียนการสอนเกิดขึ้น ทั้งหมดถูกครอบด้วยระบบการศึกษาไทย ซึ่งอาจทำให้มันไม่เกิดความเชื่อมโยงในชีวิต ท่องอย่างเดียวเพื่อไปสอบ แต่ไม่เกิดความเชื่อมโยงว่าฉันจะเอาสิ่งที่เรียนไปใช้ยังไงบ้าง เช่น มัธยมฯ ฉันจะเรียนตรีโกณไปทำไม ฉันจะเรียนกราฟพาราโบลาไปเพื่ออะไร บางทีมันไม่เกิดการเชื่อมโยง หรือเรียนไปแล้วมันไม่สนุก” 

“มันก็ต้องบูรณาการทั้งระบบการศึกษา วิธีการสอน การวัดผล นั่นคือฝั่งของโรงเรียน ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ต้องเข้ามาด้วย ไม่ใช่ผลักภาระมาที่ครู 

ที่บ้านไม่มีใครอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังเลยตั้งแต่เด็ก เด็กจะไปรักการอ่านได้ยังไง ไม่เคยมีอะไรทำให้เกิดการเรียนรู้ อย่างเช่นไม่เคยมีใครมานั่งเล่นบทบาทสมมติกับเด็ก ไม่เคยมีใครมานั่งสนใจในสิ่งที่ลูกสนใจ มันเลยรีเลทกันไม่ได้ ทำให้วันๆ ก็ผลักภาระออกนอกบ้านให้คุณครูผู้สอน เมื่อเกิดปัญหา ตัวเองก็ไม่ช่วยเข้าไปแก้ปัญหา ให้เป็นภาระครู แล้วคุณครูบางคนก็อาจไม่สนใจ ผลักเป็นภาระของครูชั้นปีต่อไป เมื่อจบประถมฯ ยังไม่ได้ ก็ผลักเป็นหน้าที่ของครูมัธยมฯ”

LD, สมาธิสั้น ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก

ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็ก นอกเหนือจากการขาดแรงจูงใจในการเรียน หมอวินบอกว่ายังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูและผู้ดูแลเด็กต้องพิจารณาด้วยความใส่ใจ นั่นคือ เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งมีด้วยกันหลายภาวะที่ส่งผลต่อการเรียนของเด็ก โดยหลักๆ ที่พบเจอ คือ LD: Learning Disability หรือบกพร่องทางการเรียนรู้ และอีกอย่างที่เจอไม่น้อยไปกว่ากันคือ สมาธิสั้น หรือ ADHD: Attention Deficit Hyperactivity Disorder

“ที่หมอเคยหาข้อมูลมีเมื่อปี 61 เอาแค่โรงเรียนในสังกัด กทม. แสนกว่าคน ในชั้นประถม 1-6 มีประมาณ 13% ที่มีปัญหา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เยอะนะ และในนั้นมีอีกเท่าไหร่ที่มีความบกพร่องและมีอีกเท่าไหร่ที่ระบบการศึกษาไม่ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้ แอลดีโดยภาพรวมหรือการบกพร่องทางการเรียนรู้มันอยู่ประมาณสัก 5-10% ของผู้เรียนอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กห้องนึงมี 40-50 คน จะมี 1-2 คน ที่บกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการอ่าน การเขียน แล้วก็การคำนวน”

เมื่อถามว่า LD ส่งผลต่อการอ่านออกเขียนได้ของเด็กอย่างไร? หมอวินอธิบายว่า…

“เมื่อเด็กมีปัญหาเรื่องการอ่าน เขาก็ไม่เข้าใจบทเรียน เอาการบ้านไปทำก็อ่านไม่รู้เรื่อง หรือการคำนวนมีเด็กที่ก็ยังไม่เก่งเลข ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาเรื่องการเรียนผ่านการที่อ่านไม่ได้ สะกดไม่เป็น คำนวนไม่ได้ สิ่งที่ได้คือการเรียนตก หรือทำการบ้านไม่ได้ แล้วก็เกิดปัญหา 

บางคนที่เขาเขียนหยุกหยิกๆ คือเขาจะพอรู้ว่าเขาจะสื่อสารอะไร แต่เขาเขียนออกมาไม่ได้ หรือบางคนอ่านไม่ออกว่าโจทย์ต้องการอะไร หรืออ่านไม่ได้เลย อันนี้จะต้องประเมินตั้งแต่ไอคิว เอาไปทำเทสว่ามีความบกพร่องทางการเรียนหรือเปล่า เพื่อวินิจฉัยโรค ซึ่งส่วนใหญ่โรงเรียนจะเป็นคนบอก แล้วก็จะเป็นพ่อแม่ที่พามาพบหมอพัฒนาการเพื่อทำการประเมิน” 

ส่วนในกลุ่มสมาธิสั้น หรือ ADHD: Attention Deficit Hyperactivity Disorder มี 2 กลุ่มอาการหลักก็คือ สมาธิสั้น กับ พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น โดยกลุ่มสมาธิสั้น อาการที่แสดงออกมาคือไม่จดจ่อใส่ใจกับงานใด ถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ขี้ลืม ลืมแม้กิจวัตรตัวเอง ลืมทำงานที่ได้รับผิดชอบ รวมไปถึงเหม่อลอยง่าย และอีกกลุ่มคือพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ส่วนใหญ่มักมีอาการหยุกหยิก อยู่ไม่เป็นสุข ไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องเรียนได้จนครบเวลา หรืออยู่ๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมา ฟังคำถามไม่เคยจบพูดแทรกตลอด การฟังไม่ดี เมื่อเจอปัญหาจำเป็นต้องส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ หมอพัฒนาการเด็ก เพื่อประเมินและรักษา 

นอกจากนี้ หมอวินยังเสริมอีกกลุ่มอาการที่มีปัญหาเรื่องสติปัญญา แบบไปสุดด้านใดด้านหนึ่ง คือ เด็กที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ หรือ Gifted Child ซึ่งมักจะขี้เบื่อ ต้องการการเรียนรู้ที่ท้าทายและยากขึ้น ส่วนอีกฟากหนึ่งก็คือ สติปัญญาล่าช้า หรือ IQ ต่ำ แต่ทั้ง IQ และ LD เหล่านี้อาจสัมพันธ์กับพันธุกรรมได้ ซึ่งทั้งหมดก็จะแสดงออกด้วยปัญหาการเรียน 

และภายใต้ปัญหาการเรียนของเด็กคนหนึ่ง หมอวินอธิบายว่า สิ่งที่คนเห็นมักจะเห็นแค่ด้านพฤติกรรม เช่น ไม่ใส่ใจ ไม่ส่งงาน ไม่มีความรับผิดชอบ โดดเรียน ไม่มาเรียน แต่ลึกลงไปอาจมีปัญหาอื่นซ่อนอยู่ ยังไม่รวมถึงปัญหาทางกลุ่มอารมณ์ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอีกมากมายที่ส่งผลกับการเรียน 

“คุณครูหลายคนก็จะบอกว่า เวลาเด็กมีปัญหาทางการเรียน ไปขุดๆ เถอะ เด็กมีปัญหาที่บ้านด้วย คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ค่อยใส่ใจด้วย มันก็เลยทำให้ปัญหาของเด็กมันไม่ได้รับการแก้ไข 

คือคุณครูใส่ใจคนเดียวไม่ได้ พ่อแม่ก็ต้องใส่ใจด้วย แล้วพอคุณครูบอกให้ไปหาแพทย์บางทีก็ไม่พาไป ก็แก้ไขไม่ได้ มองว่าปัญหาเรื่องการเรียนก็เป็นที่ครู คุณครูสอนไม่เข้าใจ เด็กเรียนตก ปัญหาอยู่ที่ครูสอนเด็กไม่รู้เรื่อง แต่จริงๆ แล้วมันมีปัญหาของเด็กอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันแก้ปัญหาทั้งทางบ้านแล้วก็คุณครู”

อ่านหนังสือกับลูก เล่นบทบาทสมมุติ กระตุ้นพัฒนาการ เปิดประตูสู่ทักษะในอนาคต

ในฐานะคุณพ่อท่านหนึ่ง หมอวินมองว่าการอ่านสำคัญกับลูกอย่างมาก และเป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เล็กๆ 

“บางคนอ่านตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง เพราะแค่การได้ยินผ่านหน้าท้องก็กระตุ้นพัฒนาการเด็กแล้ว หลายคนบอกลูกยังไม่รู้หนังสือเลย อ่านให้ฟังจะได้ประโยชน์อะไร แต่แค่ได้ยินเสียง ได้เห็นปากขยับ เสียงขึ้นสูงลงต่ำเด็กจับได้หมด จับน้ำเสียงจับสำเนียง จับการสื่อสารผ่านคุณแม่ และที่สำคัญเวลาเรานั่งอ่านนิทาน เด็กมักจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัก เด็กได้ความรักเต็มที่ 

การอ่านจึงเป็นกิจกรรมที่ง่ายที่สุดในการกระตุ้นพัฒนาการ และเป็นการกระตุ้นทำให้เด็กรักการอ่าน เมื่อรักการอ่านมันเปิดประตูไปสู่ทักษะอีกมากมายเลยในอนาคต 

เมื่อพอมองเห็นว่าการอ่านมันสนุก มีเรื่องราว เด็กอาจจะเริ่มชอบตัวละครบางตัว เริ่มต่อยอดจากตัวละครนั้น ชอบสัตว์ สัตว์ตัวนี้หรือเรื่องราวที่อยู่ในนิทานที่สอดแทรกเข้ามาทำให้เด็ก ได้ในความรู้ ในความสนุก ได้ความคิดเพิ่มเติม แล้วบางทีก็ปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้” 

เรื่องราวของนิทานยังเป็นบทสนทนาชั้นดี ที่พ่อแม่จะได้ชวนลูกคิด วิเคราะห์ แยกแยะ แต่หมอวินย้ำว่า “นิทานก็คือนิทาน ไม่ใช่เซกชั่นดัดสันดานเด็กนะ” 

“เพราะบางคนอ่านนิทาน อ่านไปตำหนิลูกไป เช่น อ่านนิทานที่สอนเรื่องการแปรงฟัน ด่าตั้งแต่หน้าแรก นี่เห็นไหม เขาแปรงฟัน ฟันเขาขาว หนูไม่แปรงฟัน ฟันก็จะผุ เหมือนกลายเป็นเซกชั่นที่เรามานั่งแล้วตำหนิลูกว่า ทำไม่ทำเหมือนในนิทาน อ่านนิทานไปในแบบที่นิทานต้องการสื่อสาร ไม่ต้องเอาอันนี้มาติ หรือมาทำให้เด็กรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เรื่องนี้ก็ต้องระวัง” 

นอกจากนี้ ‘การเล่น’ เช่น การเล่นบทบาทสมมติกับเด็ก ก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กได้ดีเช่นกัน 

“ยกตัวอย่าง เล่นขายของกับลูก แม่ซื้อมาม่า 2 ห่อ จ่ายเงินด้วยเงินปลอมไป เด็กก็จะเริ่มบวกลบได้ ได้ขายไปเท่านี้อันนี้เหลือกี่อัน แล้วเมื่อของพวกนี้มันถูกเชื่อมโยงในสิ่งที่เขาสนใจ ในอนาคตเขาก็อยากบวกลบเลขได้ เพราะมันสัมพันธ์กับสิ่งที่เขาสนใจและพัฒนาไปเรื่อยๆ”

ดังนั้น พ่อแม่ควรเริ่มจากการที่อ่านให้ฟัง ชี้ชวนกันคุย และท้ายที่สุดเด็กจะอ่านได้ด้วยตัวเอง การที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เขาเล็กๆ จึงถือเป็นแต้มต่อเมื่อเขาเข้าไปเรียนในระบบการศึกษา 

“หลายๆ บ้านไม่อ่านนิทานให้ลูกฟัง ใช้หน้าจอเลี้ยงลูกเป็นหลัก พวกนี้มันส่งผลเสียทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อพัฒนาการของเด็กและไม่ได้ช่วยให้เด็กเป็นคนรักการเรียน” 

แต่ละบ้านจึงควรจะมีนิทานเล่มโปรดสักเล่ม หมอวินบอกว่าแค่นิทานเล่มโปรดเพียงเล่มเดียวสามารถต่อยอดได้มากมาย 

“นิทาน 1 เล่ม อ่าน 100 รอบ แต่ละรอบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ หรือถ้าไม่มีหนังสือจริงๆ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา สามารถเอามาเล่าให้ลูกฟังได้หมด เด็กจะเริ่มรู้กับตัวเลขผ่านสิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น รู้จักเลข 1 โดยที่ไม่ต้องมานั่งบอก ไม่ต้องมานั่งขีดเขียนว่านี่คือเลข 1 เพราะเดินผ่านแม่บอกนี่ไงซอย 1 ทุกวัน 

คุณพ่อคุณแม่เป็นตัวหลัก หนังสือก็คือสื่อ ถ้าไม่มีสื่อที่เป็นหนังสืออยู่ในมือ สื่อรอบตัว ถุงขนม หรือป้ายบิลบอร์ดต่างๆ จริงๆ สามารถอ่านให้ลูกฟังได้หมด อุ๊ย! แมวตัวนั้น สมมติมีบิลบอร์ดรูปแมวใส่แว่นตาดำ แมวใส่แว่นตาดำใส่ไปทำไมนะ เริ่มตั้งคำถาม ลูกอาจจะตอบ เราพูดต่อ นี่ก็เป็นนิทานเรื่องสั้นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้”

เล่นให้เต็มที่ อ่านเขียนเมื่อพร้อม สร้างแรงจูงใจในการเรียน เชื่อมโยงกับชีวิต 

วิธีการสอนที่น่าสนใจของคุณครูก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกอยากเรียน 

“คงเคยได้ยินว่าเด็กหลายคนไม่สนใจการสอนเพราะครูดุเกินไป เด็กบางคนเกลียดวิชานั้นเพราะคนคนเดียว และเกลียดไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นเวลามันเกิดเหตุว่าผู้เรียนไม่สนใจ มันดูได้ทั้งระบบการศึกษา วิธีการสอน ปัจเจกบุคคล ครูผู้สอนและวิธีการตัดเกรด วิธีการวัดผล มันบวกกันทุกอย่างเลย ที่จะทำให้การเรียนมันไปได้”

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่หมอวินเน้นย้ำคือ เด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เท่ากัน ดังนั้นอย่าพยายามสนใจว่า อ่านได้หรือเขียนได้เมื่อไหร่ 

“ในวัยอนุบาลเดี๋ยวนี้เน้นอ่านออกเขียนได้ แบบบังคับให้ต้องอ่านออกแล้วต้องเขียนได้ ซึ่งเด็กมีความพร้อมไม่เท่ากัน เด็กหลายคนยังไม่พร้อมจับปากกา ซึ่งจริงๆ วัยอนุบาลไม่ใช่วัยที่เราต้องมานั่งอยู่เฉยๆ และจับปากกา 

วัยอนุบาลเป็นวัยที่พลังงานในตัวเยอะ ต้องวิ่งเล่นปีนป่าย พอถึงเวลามานั่งอ่านนิทาน เห็นตัวอักษร ได้ยินการออกเสียง เพื่อสร้างความหมายในการที่เด็กคนหนึ่งจะอ่าน และเมื่อกล้ามเนื้อมือพร้อม สมองพร้อม และความรักการอ่านพร้อม เด็กจะอยากเขียนเอง 

แต่เด็กหลายคนถูกบังคับให้นั่งเฉยๆ แล้วก็คัด ก.ไก่ และมันเริ่มไม่เกิดความหมายในการที่เด็กคนนึงจะนั่งเขียนได้ แตกต่างจากการที่ สมมติตุ๊กตาตัวโปรดชื่อกุ๊กไก่ อยากจะเขียนชื่อตุ๊กตาจัง มาม๊าสอนหนูเขียนหน่อย เวลาเราให้ปุ๊บเขาก็พร้อมเขียน เพราะเขาอยากเขียนตามที่ร่างกายเขาพร้อมที่จะเขียน หลายคนจึงบอกว่า เข้าป.1 ยังเขียนไม่ได้ แต่เมื่อพร้อมแป๊บเดียวเท่านั้นเอง เขียนได้แล้ว เพราะฉะนั้นในวัยอนุบาลไม่ต้องเร่งขนาดนั้น แต่เมื่อเข้าวัยประถม อันนี้เป็นวัยที่ต้องเริ่มละ เริ่มที่จะอ่านออกเริ่มที่จะเขียนได้ตามวัย”

สำหรับช่วงปฐมวัยควรเน้นที่ ‘การเล่น’ ก็คือการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างเต็มที่ โดยการวิ่งเล่นปีนป่าย หรือลงมือทำงานศิลปะ รวมไปถึงการอ่านนิทานที่ทั้งภาพและเสียงที่ดึงดูดความสนใจของเด็ก 

“การขีดเขียนตามวัย วิธีการขีดเขียนไม่ใช่นั่งเขียน ก.ไก่ การขีดเขียนตามวัยคือในเด็กเล็กๆ อาจจะเป็นสีเทียนมาขีดเป็นเส้นยุ่งๆ จากนั้นก็อาจจะมีภาพมาให้ได้ระบายสีโดยที่ออกนอกภาพก็ได้ไม่เป็นไร แต่ความแม่นยำในการระบายสีจะเริ่มมากขึ้น จากขีดเป็นเส้นตรง เริ่มขีดวงกลมได้ เริ่มสามเหลี่ยมได้ เริ่มสี่เหลี่ยมได้ เด็กก็จะเริ่มประกอบกันเป็นภาพที่มากขึ้นได้ พอเริ่มประกอบเป็นภาพ พอลากเส้นตรงได้ เขาจะเริ่มทำอะไรที่มันยากขึ้นคือ เขียนตัวอักษรได้ ไล่ไปตามสเต็ปที่ควรจะเป็น 

เด็กบางคนเขาก็ชอบนะ นั่งคัดก.ไก่ แต่ถ้าถูกบังคับให้นั่งเขียน ทัศนคติจะเริ่มไม่ดีในการเรียน ก็จะพบว่ามีการศึกษาหลายอันบอกว่า การนั่งขีดเขียนให้เป็นตั้งแต่อนุบาล กับเริ่มมาขีดเขียนตามวัยที่เขาควรจะเขียนได้ในวัยประถมเนี่ย ปลายทางไม่ต่างกัน แต่ทัศนคติสุดท้ายต่อการขีดเขียนและต่อการเรียนต่างกัน คนที่ถูกบังคับ ทำให้เกิดทัศนคติลบต่อการเรียนคือไม่ชอบเรียน มากกว่ากลุ่มที่ไปตามวัยที่ควรจะเป็น 

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว วัยอนุบาลก็เลยไม่มีมานั่งขีดเขียน เล่นเป็นหลัก โรงเรียนบูรณาการก็เกิดขึ้นตรงจุดเพราะจุดนี้แหละ ก็คือเล่นให้พร้อมที่จะเรียนรู้จริงในวัยประถม แต่การเรียนวิชาการก็ไม่ผิดนะ แต่กลับมาบ้านต้องเล่นให้พอด้วย เพราะที่โรงเรียนเขาอาจจะถูกบังคับให้นั่งเฉยๆ ขีดเขียนเยอะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกลับมาบ้านก็ต้องเล่นให้เป็นไปตามวัยอย่างเต็มที่”

นอกจากการอ่านออกเขียนได้ จะเป็นพื้นฐานของทักษะที่สำคัญแล้ว ยังสะท้อนถึงอนาคตคุณภาพของประชากรได้ด้วย นี่จึงเป็นความน่ากังวลที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อคุณภาพประชากรในประเทศไม่ดี ศักยภาพของประเทศก็ไม่ดีตามไปด้วย โอกาสการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็ไม่ดี จะมีนักลงทุนคนไหนอยากมาลงทุนในประเทศที่ทรัพยากรบุคคลไม่ดี 

ครอบครัว โรงเรียน และรัฐ บูรณาการ 3 ภาคส่วน ช่วยกันแก้ปัญหาเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้   

เมื่อปัญหาการอ่านออกเขียนได้มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมาย ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องในระดับประเทศ ทางออกของปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน 

เริ่มจากในระดับครอบครัว หมอวินเน้นว่า พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพตั้งแต่แรก คำว่า ‘เลี้ยงลูกให้มีคุณภาพ’ หมายความถึงการเลี้ยงลูกไปตามวัย ไม่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวและใส่ใจในทุกๆ การเติบโตของลูก และที่สำคัญคือ ส่งเสริมให้เป็น 

“ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนก็ต้องส่งเสริมให้รักการอ่านตั้งแต่อยู่ที่บ้าน แล้วก็ให้เขาเล่นแบบปลายเปิดอย่างเต็มที่ ให้เขาเติบโตในแบบของเขา ไม่ต้องบังคับ บ้านไหนที่เลี้ยงแบบบังคับว่าต้องเรียนตามที่คุณพ่อคุณแม่อยากจะให้เรียน อาจจะทำให้เขายิ่งไม่รีเลทเข้าไปใหญ่ว่า การเรียนนั้นมันมีคุณค่าให้กับเขายังไง 

หลายคนบอกต้องเรียนสายนี้เท่านั้น ต้องเรียนไปเป็นอย่างนี้เท่านั้น เด็กเลยยิ่งไม่ชอบการเรียน เหมือนมันถูกบังคับให้เรียนในสิ่งที่เขาไม่ได้อยากเรียน แล้วก็เรียนในแบบที่เขาไม่ได้อยากเรียน มันพัฒนาศักยภาพในตัวเขาได้ไม่เต็มที่”

สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่อาจจะต้องวางความคาดหวังลงบ้าง มองให้เห็นว่าลูกของเรามีความชอบ ความถนัดในด้านไหน และสนับสนุนทั้งทุนการศึกษาและเสริมแรงใจไปพร้อมๆ กัน 

“ในฝั่งคุณครูก็คือให้ดูว่า เด็กคนนั้นมีปัญหาพฤติกรรม หรือปัญหาของพัฒนาการอยู่ภายใต้นั้นหรือเปล่า เช่น เด็กคนนี้ป่วนคลาสมาก ทำให้การเรียนการสอนยากลำบาก พูดเสียงดัง หุนหันพลันแล่น สมาธิสั้นหรือเปล่า ลองเอาแบบคัดกรองของกรมอนามัยมาลองติ๊กดู คุณครูสามารถไปดาวน์โหลดมาใช้ได้ ถ้ามี คุณพ่อคุณแม่พามาพบแพทย์นะครับเพื่อประเมินในรายละเอียดอีกที่ว่าจำเป็นจะต้องรับการรักษาไหม เพราะสมาธิสั้น มียาที่ช่วยอยู่นะครับ 

แล้วก็เด็กสมาธิสั้นไม่ใช่โตไปแล้วจะหายนะ คือโตไปก็เป็นสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ ซึ่งก็จะส่งผลกับการใช้ชีวิตของเขาได้อีกเยอะมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมั่นใจในตัวเอง ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การเข้าสังคม ทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์อีกเยอะมาก เพราะฉะนั้นรีบเจอตั้งแต่วัยประถมตอนต้นดีที่สุด และรีบแก้ไขรักษากันนะครับ ซึ่งถ้ารักษามีโอกาสหายสูง” 

“และเด็กหลายคน ผู้ใหญ่หลายคนที่โตมาก็มีความบกพร่องในการเรียน ถ้าไปลองหาอ่าน คนที่ได้รางวัลโนเบลหลายคน ก็มีความบกพร่องทางการเรียน กว่าจะอ่านออกก็นานมาก แต่ด้วยความเข้าใจที่ดีของคุณครู เขาก็สามารถผ่านมาแล้วก็ทำให้ได้รับรางวัลโนเบล เยอะแยะคนที่ประสบความสำเร็จชีวิต แต่บกพร่องทางการเรียนก็ผ่านมาได้ เพราะคุณครูเข้าใจและพ่อแม่เข้าใจ แล้วก็ทำให้การเรียนมันผ่านไปได้”

“ถ้าพูดถึงหลักสูตรเรื่องนี้หมอว่าก็ปรับขึ้นเยอะนะ อย่างเช่นไม่มีการสอบเข้าป.1 ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งนะที่ทำให้เด็กไม่ต้องถูกบังคับให้อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่วัยอนุบาล ในวัยที่เขาอาจยังไม่พร้อม 

สองก็คือการปรับแบบเรียน ก็ต้องไปถามครู แบบเรียนที่เขาใช้งานอยู่ หลายแบบเรียนก็ไม่ได้สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว ไม่ได้ทำให้เขารีเลทกับการใช้ชีวิตจริงๆ เช่น เด็กที่ไม่ชอบวิชาสังคม ประวัติศาสตร์ แต่พอเป็นพอสแคสต์ประวัติศาสตร์ยอดวิวพุ่ง แสดงว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล บางทีให้ไปนั่งท่องปีพ.ศ.อะไร เกิดอะไรขึ้น เพื่ออะไร รู้ไปทำไมว่าปีนี้เกิดอะไร คำถามคือเหตุการณ์นี้มันส่งผลยังไงกับชีวิต มันน่าจะมีตัวเชื่อมโยงกับชีวิตมากกว่าที่จะไปนั่งจำและสอบปรนัย ก ข ค ง แต่สุดท้ายผู้เรียนจำอะไรไม่ได้เลย”

การแก้ปัญหาจึงต้องทำอย่างบูรณาการทั้งที่บ้าน โรงเรียน และรัฐ ไปพร้อมๆ กัน

Tags:

สมาธิสั้นเด็กไทยLD: Learning Disabilityหมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐระบบการศึกษาการอ่านการเล่นสมมติ (pretend play)การเขียนพัฒนาการเด็ก

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Kru-gar_cover 2
    Creative learning
    ‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • phonics-nologo
    Learning Theory
    สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘การอ่าน’ คือต้นทุน(เปลี่ยน)ชีวิตเด็ก กำหนดอนาคตประเทศไทย: พญ.ปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี – หมอแพมชวนอ่าน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ผลสอบ PISA’ กับความจริงที่ว่า ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ ความสามารถเด็กไทยลดลง

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 
Healing the trauma
4 April 2024

Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • มนุษย์มีแบบแผนบางอย่างเสมอ เหตุการณ์ที่เจอและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจ เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรม แต่บางครั้งแบบแผนเหล่านั้นอาจจะกลับมาทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัว
  • จริงๆ กลไกป้องการทางจิตใจ น่าจะต้องออกแบบมาเพื่อป้องกันเราจากความเจ็บปวดทางจิตใจ แต่กลับไม่ได้ช่วยป้องกันเราจากความเจ็บปวดเสมอไป เมื่อใช้กลไกป้องกันจิตใจแบบเดิมซ้ำๆ มากเกินไปกลับยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นแล้วเราก็ต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนเดิม 
  • กลไกป้องกันทางจิตใจนี้มักจะพบในกลุ่มคนที่มีปัญหาความสัมพันธ์ มันจะทำให้เกิดการตีความหมายการกระทำของอีกฝ่ายผิดไป หากยิ่งเกิดมากขึ้นก็จะยิ่งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ 

คุณอาจเคยเจอคนที่ไปไหนก็กลัวคนอื่นจะไม่ชอบ แล้วเขาก็มักจะเจอคนไม่ชอบเขาอยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่ามีคนจำนวนหนึ่งโอเคกับเขา แต่ก็มีจำนวนหนึ่งเลยที่ไม่ค่อยชอบเขา คุณฟังเรื่องราวของเขาจนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่อีกใจก็รู้สึกตงิดอยู่ลึกๆ ว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น 

มนุษย์เป็นแบบนี้ เรามักจะมีรูปแบบหรือแพทเทิร์นบางอย่างในชีวิตเสมอ แพทเทิร์นบางอย่างอาจเป็นกระบวนการคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งส่วนมากคนเรามักจะไม่รู้ตัว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พยายามสร้างแพทเทิร์นให้ตัวเองอยู่แล้ว เพราะการมีแบบแผนบางอย่างมันจะทำให้เราคิดน้อยลง นั่นหมายถึง เราเปลืองพลังงานน้อยลง เคยสังเกตไหม บางคนรู้สึกเครียดทีไรก็จะหยิบมือถือขึ้นมาตลอด บางคนกระวนกระวายใจเมื่อไหร่ก็จะต้องออกไปสูบบุหรี่ บางคนเวลาคุยกับคนอื่นทีไรก็จะชอบมีความคิดวิ่งเข้ามาในหัวอยู่เสมอว่า “เขาจะคิดยังไงกับเรานะ” 

อย่างที่บอกว่า มนุษย์มีแบบแผนบางอย่างเสมอ เหตุการณ์ที่เจอและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจ เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือพฤติกรรม อาจเกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายนอก เช่น เราอยู่ในวัดก็มีแนวโน้มว่าสถานที่นี้จะทำให้เราเจอคนที่พูดเพราะ แต่บางอย่างที่เราเจอก็อาจเกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายในได้เช่นกัน เคยเห็นคนรอบข้างที่ไปที่ไหนเขาก็เจอแต่คนน่ารักไหมครับ คุณอาจรู้สึกว่าเขาโชคดีจังที่เจอคนรอบข้างที่ดี การที่จะดึงดูดคนที่น่ารัก อบอุ่น ใส่ใจ ซ้ำๆ คนนั้นก็อาจจะมีต้องมีต้นทุนบางอย่างในตัวเขาด้วย เช่น เขาอาจเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้าง พยายามเข้าใจความรู้สึกคนอื่นเสมอ ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นความโชคดีเสมอไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นแพทเทิร์นซ้ำๆ

ชีวิตเป็นแพทเทิร์นที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว สิ่งนี้แหละที่ทำให้เกิดแบบแผนที่เราเอามาทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่น่าสนใจของรูปแบบกลไกป้องกันจิตใจคือ จริงๆ กลไกป้องการทางจิตใจ น่าจะต้องออกแบบมาเพื่อป้องกันเราจากความเจ็บปวดทางจิตใจ แต่กลับไม่ได้ช่วยป้องกันเราจากความเจ็บปวดเสมอไป เมื่อใช้กลไกป้องกันจิตใจแบบเดิมซ้ำๆ มากเกินไปกลับยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นแล้วเราก็ต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนเดิม หมายความว่าไม่มีรูปแบบป้องกันจิตใจแบบใดที่ใช้งานได้ดีทุกเหตุการณ์ คุณอาจเป็นคนที่เก็บกดอารมณ์เก่งเวลาที่ต้องทำงานกับลูกค้า แต่การเก็บกดอารมณ์ที่มากเกินไปในครอบครัวก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีของการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง 

ปัญหาของมนุษย์อยู่ตรงนี้แหละครับ พอชีวิตเราเป็นแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปัญหาหลายๆ อย่างก็มักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ที่น่าตกใจมากๆ คือ ใครจะคิดว่าการที่เรามีปมบางอย่างในจิตใจจะเป็นสาเหตุให้เราเอามากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

ยกตัวอย่าง คุณเป็นคนที่เกลียดตัวเอง เวลาเจอคนอื่นคุณก็มักจะคิดเสมอว่าคนอื่นจะต้องไม่ชอบฉันแน่เลย ทั้งที่จริงนั่นเป็นความคิดที่คุณมีกับตัวเอง แต่การจะมองว่าเราไม่ชอบตัวเองมันก็เจ็บปวดเกินไป เราเลยใช้กลไกป้องกันจิตใจที่ถ่ายโอนความคิดหรือความรู้สึกบางอย่างไปให้คนอื่น (จิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า projection) แต่มนุษย์ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เราสามารถสร้างให้คนอื่นเป็นในแบบที่เราคิดจริงๆ ได้ด้วย นี่อาจเป็นคำตอบสำหรับหลายๆ คนที่มักเจอแพทเทิร์นในชีวิตซ้ำๆ แล้วรู้สึกว่าทำไมคนอื่นต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนอื่นทำแบบนั้นจริงๆ แต่อีกส่วนอาจเป็นเพราะเราสร้างให้คนอื่นทำแบบนั้นกับเราก็ได้ หากมองในตัวอย่างที่ยกมาเมื่อกี้ เวลาที่เราสร้างให้คนอื่นเป็นในแบบที่เราคิด อาจเกิดจากการที่คุณเชื่อว่าคนอื่นจะไม่ชอบคุณ คุณก็เลยอาจจะพูดจาไม่ดีใส่เขาก่อนเพื่อปกป้องตัวเอง เขาทำอะไรนิดหน่อย คุณก็ตีความหมายการกระทำเลยว่าเขาน่าจะไม่ชอบคุณแน่ๆ พอคุณมีมุมมองต่อเขาไม่ดีก็ยิ่งมีแนวโน้มที่คุณจะปฏิบัติต่อเขาไม่ดี พอเขารู้สึกไม่ถูกให้เกียรติมากพอ เขาก็เริ่มไม่ชอบคุณจริงๆ แล้วมันมายืนยันความเชื่อของคุณว่านี่ไงเขาเกลียดฉันจริงๆ ด้วย ทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Projective Identification

อีกสักตัวอย่าง สมมุติว่าคุณเป็นคนไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวของตัวเองไม่ได้น่าสนใจ แล้ววันหนึ่งคุณก็น้อยใจที่คนอื่นไม่ค่อยรับฟังคุณ (ความจริงคือคุณนั่นแหละที่ไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองออกไป คนอื่นเลยคิดว่าคนไม่ค่อยอยากแบ่งปันเรื่องส่วนตัว) คุณเลยบอกว่าคนอื่นไม่ให้ความสำคัญฉันเลย (projection) ทั้งที่จริงนี่คือความรู้สึกที่คุณมีกับตัวเอง คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญแต่การจะยอมรับแบบนั้นมันก็เจ็บปวดเกินไปคุณเลยถ่ายโอนมุมมองเชิงลบนั้นไปให้คนอื่นแทน และเหมือนเดิมครับ มนุษย์มีความสามารถพิเศษที่สามารถสร้างให้คนอื่นคิดว่าเราไม่สำคัญจริงๆ ได้ด้วย คุณก็อาจจะไม่เล่าเรื่องตัวเองแบบนั้นไปเรื่อยๆ เพื่อนสนิทถามเรื่องทั่วไปในชีวิต คุณก็เล่าแบบผิวเผินเพราะรู้สึกไม่ได้เชื่อใจมากพอว่าเขาสนใจเรื่องของคุณ พอเพื่อนสนิทรับรู้ว่าคุณไม่อยากเล่า เขาก็ถามเรื่องส่วนตัวคุณน้อยลง แล้วการกระทำนั้นก็มายืนยันความเชื่อของคุณว่านี่ไงคนอื่นไม่ให้ความสำคัญฉันหรอก (projective identification) แล้วคุณก็เก็บเรื่องราวของตัวเองไว้เพียงคนเดียวจนติดเป็นแพทเทิร์นในชีวิตแบบไม่รู้ตัว 

คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการจัดการกับกลไกป้องกันทางจิตใจเหล่านี้ที่ส่งกระทบต่อความสัมพันธ์ 

หนึ่ง, การตระหนักรู้ในตัวเอง (self-awareness) หมั่นคิดทบทวนความคิด-ความรู้สึกของตัวเองเวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อะไรที่มักจะเป็นปัญหาซ้ำๆ ในความสัมพันธ์ ที่แนะนำให้สังเกตผ่านความสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์มักเป็นกระจกสะท้อนที่ทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น และหากเกิดปัญหาจากหลายๆ ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ใกล้กันก็อาจบอกได้ว่าเรากำลังมีแพทเทิร์นบางอย่างที่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว 

สอง, เมื่อสังเกตเห็นแพทเทิร์นที่เราใช้ในความสัมพันธ์ พยายามตระหนักรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น และความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว ซึ่งปกติกลไกป้องกันทางจิตใจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ ไม่แปลกเลยที่จะสังเกตไม่เห็นในช่วงแรก หรือเห็นแล้วก็อาจจะแก้ไขไม่ได้ทันที อะไรที่เป็นแพทเทิร์นมักใช้เวลาเสมอ

สาม, ให้เวลาตัวเอง คุณอาจรู้สึกตกใจที่เห็นแพทเทิร์นตัวเองเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ คุณอาจรู้สึกแย่จากการเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จากรูปแบบที่คุณสร้างขึ้นมา ใจเย็นกับตัวเองเข้าไว้ ค่อยๆ ใช้เวลา 

สี่, ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ แพทเทิร์นเหล่านี้อาจมีที่มาของปัญหาที่มีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขด้วยตัวเอง หากรู้สึกว่ารับมือไม่ได้ ไม่รู้จะจัดการอย่างไร จัดการแล้วก็ไม่ดีขึ้น รู้สึกแย่มากกว่าเดิมก็ออกไปหาผู้เชี่ยวชาญได้เลยครับ สุขภาพจิตเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้ชีวิตมากๆ 

ปรากฎการณ์แบบนี้อาจฟังดูซับซ้อนเหมือนไม่น่าเกิดขึ้นจริงกับคนทั่วไป แต่เชื่อไหมครับ มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน เพียงแต่มันแยบยลมากๆ จนมองเห็นได้ยาก ยิ่งกว่านั้น การมองเห็นแล้วยอมรับยิ่งจะยากไปใหญ่เพราะมนุษย์มักจะมีกลไกทางจิตใจที่ปฏิเสธความจริงที่เจ็บปวด กลไกพวกนี้มักเกิดขึ้นโดยที่ไม่เรารู้ตัว (unconscious) 

กลไกป้องกันทางจิตใจนี้มักจะพบในกลุ่มคนที่มีปัญหาความสัมพันธ์ มันจะทำให้เกิดการตีความหมายการกระทำของอีกฝ่ายผิดไป หากยิ่งเกิดมากขึ้นก็จะยิ่งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ เพราะเราไม่ได้มองเขาอย่างที่เขาเป็น เราไม่ได้เข้าใจเจตนา ความคิด ความรู้สึกของเขาจริงๆ แต่เรามองเขาผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายของเรา แล้วเผลอคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเจอ ซึ่งไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป คนที่เราเจอในทุกวันนี้คือคนใหม่ คนในอดีตคือคนในอดีต แน่นอนว่าอดีตส่งผลต่อตัวเราในปัจจุบันอย่างมาก แต่ก็อย่าลืมว่าคนในปัจจุบันสุดท้ายก็จะกลายเป็นคนในอดีต ถ้าอยากมีอดีตที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนในปัจจุบันก็อาจช่วยให้คุณมีประสบการณ์ในอดีตที่ดีก็ได้ เพราะเดี๋ยววันนี้ก็จะผ่านไปอีกวัน 

Tags:

ความรู้สึกบาดแผลในจิตใจProjective Identificationปมสุขภาพจิต

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Simone Blies Rising : นักกีฬาที่ยืนยันว่าความเจ็บปวดในจิตใจสำคัญไม่แพ้ความเจ็บปวดภายนอก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    เยียวยาโดยไม่ยึดติดกับบทบาท

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Emotional Projection: ในโลกวุ่นวาย ใครใจร้ายรอด?

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป
Creative learning
3 April 2024

‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘แกะสลักชีวิต’ คือหน่วยการเรียนรู้สุดท้ายในวิชาบูรณาการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ที่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนปัญญาประทีปจะต้องเรียนรู้ก่อนจบการศึกษา
  • หัวใจสำคัญของการแกะสลักชีวิต คือ การสำรวจตัวเอง เรียนรู้ผู้อื่นผ่านการลงมือปฏิบัติ และสะท้อนคิดเพื่อที่จะเข้าใจตัวเอง ก่อนจะสกัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคหรือจุดอ่อนออกไป
  • “เมื่อเด็กๆ ได้มองเห็นตัวเองและหาวิธีแก้ปัญหาในวิธีของตัวเองอย่างจริงจังต่อเนื่อง ในที่สุดสายตาของเด็กๆ ที่มองปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ก็จะกว้างขึ้นและละเอียดลึกซึ้งกว่าเดิม”

“คุณครูหลายๆ คนในโรงเรียนแห่งนี้เป็นดั่งพื้นที่ปลอดภัย เป็นผู้ที่สนับสนุนในทุกความฝันและการตัดสินใจของเด็ก เป็นผู้ที่ให้กำลังใจทุกครั้งที่เราล้มลง และยินดีกับเราทุกครั้งเมื่อเราสำเร็จ

คุณครูโรงเรียนนี้มักไม่ค่อยมีคำว่าถูกหรือผิด เพราะคุณครูในปัญญาประทีปให้ความสำคัญกับความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ที่ได้ และผมเชื่อว่าการศึกษาที่ดีไม่ใช่การวางท่อประปา การศึกษาที่แท้จริงไม่ใช่การผลิตเด็กออกมาให้เป็นพิมพ์เดียวกัน แต่ให้แต่ละคนได้เปล่งประกายที่สุดในแบบที่เขาสามารถเป็นได้”

สุนทรพจน์บางส่วนของน้องไวศ์ วงศ์ทวีทอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปัญญาประทีป ที่กล่าวในงานปัจฉิมนิเทศสะกิดความสนใจของผมให้ออกเดินทางไปยังโรงเรียนทางเลือกวิถีพุทธปัญญาแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 82 ไร่ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อทำความเข้าใจแนวทางการจัดการเรียนรู้ของที่นี่ 

สำหรับผม หน่วยการเรียนรู้ที่สนใจมากเป็นพิเศษ คือ วิชาแกะสลักชีวิต ซึ่ง ‘ครูขวัญ’ ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา เป็นผู้สอน โดยวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาบูรณาการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ถือเป็นวิชาชีวิตวิชาสุดท้ายที่โรงเรียนจะถ่ายทอดแก่น้องๆ ม.6 ก่อนจะโบยบินสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสิ่งท้าทายต่างๆ มากมาย

‘แกะสลักชีวิต’ เริ่มง่ายๆ จากการเข้าใจตัวเอง

“โรงเรียนเราสอนวิชาการตามปกติเหมือนโรงเรียนอื่นค่ะ” ครูขวัญเริ่มบทสนทนา ก่อนอธิบายว่าสิ่งที่แตกต่างไปจากหลายๆ โรงเรียนคือการสอดแทรกวิชาบูรณาการ 3 หน่วยกิตที่ชื่อ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’  ซึ่งเป็นหลักสูตรรวบรวม ‘วิชาชีวิต’ ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อสอนให้เด็กๆ ในแต่ละระดับชั้นได้มีทักษะชีวิตที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ

“ในหลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว คุณครูจะแบ่งออกเป็นวิชาต่างๆ ตามความเหมาะสม ม.1 จะสอนวิชากินเป็นอยู่เป็น ม.2 สอนวิชาซับเหงื่อโลก ม.3 สอนวิชาโตก่อนโต ม.4 สอนวิชาสื่อสารเป็น ม.5 สอนเรื่องสัมมาธุรกิจ และ ม.6 สอนวิชาแกะสลักชีวิต ซึ่งครูจะสอนวิชาโตก่อนโตกับแกะสลักชีวิต

อย่างตอนเด็กๆ ขึ้นชั้นม. 3 จะเป็นช่วงที่เขากำลังจะเข้าสู่ม.ปลายเพื่อเลือกสายการเรียน ดังนั้นครูก็เอาวิชาแนะแนวมาขยายผลเป็นวิชาโตก่อนโต หลักๆ จะเป็นการทำให้เด็กๆ ได้รู้จักตัวเองว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไร ถนัดอะไร ชอบอะไร แล้วที่ฉันเรียนหนังสือไปนั้นฉันเรียนเพื่ออะไร เพื่อในที่สุดแล้วฉันจะได้รู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อไปในอนาคต โดยไฮไลต์คือเขาจะต้องไปฝึกงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ในอาชีพที่เขาสนใจ ซึ่งครูก็จะมีโจทย์อื่นๆ ด้วย เช่น อาชีพที่เป็นงานบริการสังคม เพื่อให้เขาเรียนรู้สกิลที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างการจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วยตัวเอง รวมถึงได้สัมผัสว่าการเป็นฟันเฟือนหนึ่งของสังคมเป็นอย่างไร”

สำหรับวิชาแกะสลักชีวิต ครูขวัญบอกว่าวิชานี้เป็นเหมือนวิชาที่รวบรวมทุกสิ่งที่สอนในโรงเรียนมาสรุปและทบทวนให้นักเรียนเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งหลักคิดของวิชานี้มาจากเรื่องการแกะสลักม้าของไมเคิล แองเจลโล ที่เผยเคล็ด(ไม่)ลับว่า เขาไม่ได้แกะม้า แต่แกะสิ่งที่ไม่ใช่ม้าออกไป

“มีนักเรียนที่เพิ่งจบไปพูดเรื่องนี้ในงานสุนทรพจน์ว่าการอยู่ในโรงเรียนนี้ไม่ใช่แค่การมาเรียน แต่เป็นการแกะสลักชีวิตอยู่ตลอดซึ่งในการแกะสลักม้าของแต่ละคนนั้น ย่อมเห็นภาพม้าที่รออยู่ด้านในเนื้อม้าไม่เหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการเรียนรู้ว่าม้าของคุณเป็นยังไง ซึ่งคำสอนของพระอาจารย์ชยสาโร (องค์ประธานที่ปรึกษาโรงเรียนปัญญาประทีป) และความรู้ที่ได้จากคุณครูแต่ละคนก็คืออุปกรณ์ในการแกะสลักที่ช่วยให้ม้าของเขาค่อยๆ ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น 

ดังนั้นวิชานี้เราจะออกแบบคอร์สร่วมกัน เพื่อเตรียมเด็กแต่ละคนให้พร้อมก่อนที่จะจบออกไป เหมือนกับเป็นการฝากวิชาชีวิตครั้งสุดท้ายให้เขา”

ครูขวัญบอกว่ากิจกรรมแรกของการแกะสลักชีวิตคือการสำรวจตัวเองเชิงลึก ผ่านการให้นักเรียนแต่ละคนได้วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง,จุดอ่อน, โอกาส,อุปสรรค) ของตัวเอง ทั้งยังเพิ่มระดับความเข้มข้นของกิจกรรมดังกล่าวด้วยการให้เพื่อนๆ คุณครู รวมถึงผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการคอมเมนต์หรือวิจารณ์นักเรียนอย่างเป็นกัลยาณมิตร

“สมมติว่านักเรียนชื่อปั่น ครูก็จะให้เขียนทุกคนข้อดีของปั่น อะไรที่ปั่นเก่งปั่นถนัด หรืออะไรที่เป็นข้อดีปั่นอวดได้เลย ต่อไปเป็นข้อเสีย ข้อเสียอะไรที่เป็นนิสัยไม่ดีของปั่น อะไรที่เพื่อนรู้สึกว่าปั่นติดค้างอยู่ในนั้น คือครูจะตีโจทย์ของคำว่าข้อดีข้อเสียอย่างละเอียดเพื่อให้เด็กเขียนออกมาเยอะที่สุด เพราะฉะนั้นเด็กๆ แต่ละคนจะมีลิสต์ข้อดีข้อเสียของตัวเองเยอะมาก

ซึ่งการที่จะทำแบบนี้ได้ แล้วเพื่อนทุกคนสามารถเขียนถึงกันและกันได้ หรือการที่เขาต้องนำ SWOT ไปให้คุณพ่อคุณแม่ คุณครู หรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่เขาสนิททำมันโหดมากถ้าเราไม่ได้เตรียมเด็กมาดีก่อน โดยเฉพาะ ‘วิชาสื่อสารเป็น’ ที่เขาได้เรียนรู้การสื่อสารกับมนุษย์ว่าเพื่อนคือเพื่อนทุกข์ คนตรงหน้าคุณคือเพื่อนทุกข์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่เขากำลังพูดอยู่ คุณต้องหาให้เจอว่าความทุกข์เขาคืออะไร แล้วคุณไปแก้ความทุกข์นั้นให้เขา แล้วทุกอย่างมันก็จะโอเคขึ้น 

เพราะฉะนั้นเราจะทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกันจริงๆ และสิ่งที่อยู่ในนี้เราจะไม่เอาไปตลบหลังกันอีกที ดังนั้นกิจกรรมนี้จะทำให้เขาได้พบอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเองว่าคนทุกคนต่างมีข้อดีข้อเสีย และจุดที่ยังต้องจัดการเพิ่มเติม” 

‘เงาตามงาน’ สำรวจโลกจริงก่อนสำรวจใจตัวเอง

เมื่อให้เด็กๆ ส่องกระจกสำรวจตัวเองแล้ว  โรงเรียนจะเปิดโอกาสให้นักเรียนม.6 ได้มีโอกาสกลับไปฝึกงานอีกครั้ง ซึ่งการฝึกงานนี้จะคล้ายกับวิชาโตก่อนโตของนักเรียนชั้นม.3 แต่ใช้ระยะเวลานานกว่า เพื่อให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้จากห้องเรียน

“ที่จริงคำว่าฝึกงานครูใช้ในฐานที่เข้าใจ เพราะจริงๆ แล้วคำที่ถูกต้องคือเงาตามงาน (Job Shadowing) เด็กๆ ก็จะไปติดต่อหาคนที่เขาอยากตามค่ะ สมมติมีเด็กสนใจอาชีพนักข่าว เขาก็จะไปขอยืนอยู่ใกล้ๆ และสังเกตตลอดเวลาว่านักข่าวจะต้องทำอะไรบ้าง จะไม่ได้เป็นการ train for skills เพราะเราไม่ได้เรียนอะไรมาก่อน ฉะนั้นเด็กจะยังไม่ได้ทำงานจริง แต่อาจจะได้หัดได้ลองทำอะไรบ้าง ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้ชีวิตจริงว่าเขาโอเคไหมกับอาชีพนี้ คนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขามีความคิด มีการจัดการกับตัวเองกับโลกใบนี้ยังไงบ้าง 

ครูอยากให้เขาไปเห็นภาพจริงของการมีชีวิตมากกว่า เพราะครูจะให้เขาไปทำให้เหมือนเลย ถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามเชียร์ให้ไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะอยากให้เด็กรู้จักดูแลตัวเอง ใช้เงินเป็นก้อน ทำเหมือน First Jobber ทุกอย่าง”

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะเลือกเป็นเงาตามงานในอาชีพที่เขาอยากเป็นในอนาคต เพราะบางคนก็เลือกไปเป็นเงาตามงานในอาชีพที่เขาสนใจและอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในอาชีพนั้นมากขึ้น

“มีเด็กรุ่นหนึ่งเขาเริ่มต้นไปเป็นเงาตามงานสถาปนิกก่อน แต่พอเป็นได้สักพักเขาก็ลองไปเป็นเงาตามงานพนักงานเก็บขยะที่แชร์กันเป็นไวรัลในอินเตอร์เน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนแรกทางเขตก็ไม่ต้องการรับใครไปฝึกงาน แต่พอเด็กไปนั่งดักรอรถเก็บขยะก็ได้พูดคุยจนได้ไปตามเก็บขยะที่ซอยอ่อนนุชอยู่ 2 – 3 คืน เด็กก็ได้ทำจริงๆ คือเอามือจ้วงล้วงลงไปในน้ำครำจนเกือบสุดแขน เด็กคนนี้ก็มาเขียนว่ามันเกิดขึ้นอะไรในใจเขาบ้าง เขาได้รู้ว่าการเด็ดดอกไม้มันสะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ และสำหรับเขาพี่คนนี้เป็นเหมือนกับฮีโร่ของประเทศเรา เพราะถ้าไม่มีคนทำอาชีพนี้ ประเทศเราคงเต็มไปด้วยขยะทุกตรอกซอกซอย

เด็กคนต่อมาเขียนเล่ามาว่าผมไปฝึกงานที่ปั๊มน้ำมันของเพื่อน แม่ก็เป็นห่วงมากพร้อมกับเตือนว่าต้องระวังตัวนะ เวลามีพวกคนขับสิบล้อมาเติมน้ำมันตอนกลางคืนอย่าไปคุยนะ เดี๋ยวเขาจะแบบนั้นแบบนี้ ช่วงแรกๆ เขาก็กลัวและระวังตัวเป็นพิเศษทุกครั้งที่มีรถสิบล้อหรือรถส่งของเข้ามา แต่พอฝึกงานจบ เขากลับพบว่าจริงๆ แล้วคนที่ใจร้ายที่สุดคือคนที่ขับรถที่แพงที่สุดมากกว่า อย่างคนขับรถสิบล้อไปซื้อของในเซเว่น เขาก็ซื้อมาฝาก บอกไอ้น้องเอาไปกิน กินข้าวหรือยัง ทำไมตัวเล็กแค่นี้มาทำงานล่ะ 

กลับกันคนที่มองเขาด้วยสายตาดูถูกคือคนที่ขับรถที่แพงที่สุด ตัวเล็กแค่นี้ทำงานเป็นหรือเปล่า ระวังนะเดี๋ยวทำรถพี่เสียหาย เขาก็ได้กลับไปบอกแม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เหมือนที่แม่บอกไว้ มันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ครูก็รู้สึกว่ามันต้องให้เขาไปเรียนรู้แบบนี้แหละ เขาถึงจะเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง”

หลังออกไปเรียนรู้ชีวิตผ่านการเป็นเงาตามงาน ครูขวัญบอกว่าผลลัพธ์คือนักเรียนของเธอมองเพื่อนมนุษย์ด้วยความเข้าอกเข้าใจมากขึ้น เพราะในชีวิตเราไม่สามารถตัดสินใครคนหนึ่งด้วยหน้าฉากที่เราเห็นเพียงอย่างเดียว

“ในที่สุดแล้วเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันมีทุกรสชาติในทุกสิ่งที่เขาทำ ฉะนั้นเขาก็แค่ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้ว make something good ออกมา อันนี้คือเป้าหมายของการที่เราให้เขาไปฝึก ไม่ได้อยากให้เขาไปทำเชิงวิชาชีพอย่างเดียว อยากให้เขารู้วิชาชีวิตกลับมามากกว่า 

นอกจากนี้มันจะสอดคล้องกับสิ่งหนึ่งที่ครูสอนในโรงเรียนเรื่อยๆ เลยคือเรื่อง Empathy เพราะว่าเพื่อนมนุษย์ทุกคนมีทุกข์ที่แตกต่างกัน แล้วก่อนที่คุณจะตัดสินคน คุณเข้าใจทุกมุมทุกเรื่องของเขารึยัง ลองเอาไฟฉายส่องเขาทุกๆ ด้านก่อน”

Transformation Project ถึงเวลาขจัดจุดอ่อนในชีวิตออกไป 

เมื่อเด็กๆ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นผ่านการทำ SWOT ก่อนออกไปลิ้มลองรสชาติของชีวิตจริงนอกรั้วโรงเรียน ก็ถึงเวลาที่ครูขวัญจะชวนให้ทุกคนนำประสบการณ์เหล่านั้นย้อนกลับมาเชื่อมโยงกับตัวเองผ่านการทำโปรเจกต์ที่ชวนให้เด็กๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านการแกะสลักเอาสิ่งที่เป็นจุดอ่อนหรืออุปสรรคในชีวิตออกไปอย่างน้อย 1 ข้อ 

“ก่อนปิดเทอม 1 ครูจะพาเขาทำ Transformation Project เพราะหลังจากที่เด็กคนหนึ่งรู้จักตัวเอง รู้ว่าฉันอยากเป็นอะไรแล้ว ในที่สุดเขาจะกลับมาพร้อมสิ่งที่ฉันอยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุด 1 หรือ 2-3 อย่าง ซึ่งครูจะสอน Iceberg Model ด้วยค่ะ ว่าปัญหาที่คุณเห็นอยู่มันคืออันนี้ (ยอดเขาเหนือระดับน้ำ) คุณต้องไปเรียนรู้ว่าข้างล่างที่มองไม่เห็นมันคืออะไร ที่สุดแล้วต้นกำเนิดมันคืออะไร อย่างเด็กบางคนแบบว่าพังมาก ทะเลาะกับที่บ้านเพราะไม่ยอมติว ในที่สุดแล้วไปพบว่า จริงๆ แล้วเขาไม่มีเวลา Register ตัวเอง เขามัวแต่วิ่งไปกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ 

มีเด็กคนหนึ่งบอกว่าหนูมีความสุขน้อยกว่าคนทั่วไป เขาก็ไปหาว่าจะทำยังไง เริ่มจากลองทำแบบทดสอบระดับความสุข จุดบอดที่ทำให้เขามีความสุขน้อยคืออะไร ซึ่งครูจะให้ออกแบบว่าเขาต้องการจะจัดการอะไรกับตัวเอง ให้เขาพยายามศึกษาหาต้นตอที่แท้จริง แล้วเขาจะได้ลองทำวิจัยสั้นๆ เพื่อจัดการกับปัญหานั้นในแบบที่เขาคิดมาดีแล้ว โดยมีการเก็บข้อมูลเชิงโปรเจกต์ มีการวัดผล Before & After อย่างชัดเจน รวมไปถึงกระบวนการติดตามที่มีพ่อแม่มาช่วยดูและประเมินผล ก่อนที่สุดท้ายจะให้เด็กๆ มา Report กันว่าแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงยังไง”

ครูขวัญกล่าวเพิ่มเติมว่าเมื่อเด็กๆ ได้มองเห็นตัวเองและหาวิธีแก้ปัญหาในวิธีของตัวเองอย่างจริงจังต่อเนื่อง ในที่สุดสายตาของเด็กๆ ที่มองปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ก็จะกว้างขึ้นและละเอียดลึกซึ้งกว่าเดิม 

“พอได้ทำโปรเจกต์นี้เป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เขาจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขามี Muscle memory (ความจำที่เกิดจากประสบการณ์ในการพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นทักษะติดตัวระยะยาว) ที่ทำให้ผ่านมันไปได้ถ้าลงมือทำจริงๆ แล้วเขาจะรู้ว่าฉันก็ทำมันสำเร็จได้เหมือนกัน” 

อย่างไรก็ตาม แม้วิชาชีวิตจะไม่มีผลต่อองค์ความรู้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และหลายๆ โรงเรียนต่างมุ่งเน้นผลิตเด็กที่เก่งวิชาการโดยมีปลายทางอยู่ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่ครูขวัญเชื่อว่าวิชาชีวิตที่เธอมอบให้เด็กๆ จะช่วยให้เขารับมือกับเรื่องต่างๆ ในอนาคตได้อย่างมีสติมากขึ้น

“ทุกวันนี้สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเราลืมไปหมดเลย ทำให้เราต้องไปทำตอนที่มันเร่งด่วนแต่ไม่สำคัญแล้ว การให้วิชาชีวิตลูกก็เหมือนกัน พ่อแม่ลืมให้ สังคมก็ลืมให้ หรือให้อะไรบางอย่างที่ไม่ควรให้ แล้วไม่เคยมีคนชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งนี้คืออะไรที่เขากำลังเสพมันอยู่ ครูเลยคิดว่ามันต้องมีที่ที่ทำแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนทางเลือก ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำให้ลูกที่บ้านได้จะดีมากเลย 

ครูคิดว่าวิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต มันต้องมาพร้อมกันเหมือน Head Hand Heart มนุษย์ต้องมีหัว ต้องมีใจ ต้องมีการลงมือทำ ทุกอย่างมันต้องสอดรับกัน ซึ่งรุ่นพี่ที่จบไปแล้วหลายคนมักกลับมาสะท้อนว่าที่สุดแล้ววิชาชีวิตต่างๆ ที่ฝึกไปมันสามารถนำดึงมาใช้จริงๆ โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างการนั่งสมาธิเพื่อให้มีสติ แล้วกลับมาที่ลมหายใจ (อยู่กับปัจจุบันขณะ)”

ถึงตรงนี้ ผมอดถามไม่ได้ว่า โรงเรียนนี้จะทำให้เด็กโลกสวยหรือเปล่า เขาจะเอาตัวรอดได้ใช่ไหม ซึ่งครูขวัญตอบอย่างมั่นใจว่า

“โลกสวยนี่แหละจะทำให้ไม่ต้องเอาตัวรอด เพราะว่าเขาไม่ได้มองว่าคนที่ไม่เหมือนเขาเป็นภัยคุกคาม เขามองว่าเป็นเพื่อนทุกข์แทนที่จะมองว่าพี่คนนั้นน่ากลัวจังเลย แต่การที่เขามองโลกสวยเพราะเขามีแนวโน้มจะเข้าใจมากกว่ากลัว ดังนั้นเฉดสีของเด็กๆ เลยอาจจะละมุนกว่าเฉดปกตินิดนึง”

Tags:

วิชาชีวิตสำรวจตนเองโรงเรียนปัญญาประทีปครูขวัญ-ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนาวิชาแกะสลักชีวิตTransformation Projectความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ทักษะชีวิต

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • flexible learning-1
    Social Issues
    ‘ห้องเรียนระบบสอง’ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตามโจทย์ชีวิตจริง:  นวัตกรรมการศึกษาแก้ปัญหาเด็ก Drop Out โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Family Psychology
    Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    เอาชนะอัลกอริทึม (1) : Me, We และ Why ติดทักษะการจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ’10 ทักษะชีวิต’ ที่ต้องมี กับคีย์เวิร์ดดีๆ ที่ช่วยให้ปีฉลูผ่านฉลุย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel