ตลอดเวลาการอ่านหนังสือ THE HAPPINESS ADVANTAGE เราเห็นเรื่องราวส่วนดีๆ ที่มาจากความคิดเชิงบวกและเห็นผลกระทบจากความคิดเชิงลบที่มีอำนาจทั้ง 2 ขั้ว ขั้วลบเป็นดังโดมิโนตัวแทนชีวิตจิตใจล้มครืนลงทั้งกระดานในเวลาไม่กี่นาที ขั้วบวกเป็นเหมือนตัวต่อเลโก้ นวัตกรรมของเล่นแห่งยุคสมัยสร้างสรรค์จินตนาการได้ไม่รู้จบ เป็นอำนาจความคิดคล้ายกับ AS A Man Thinketh ของ JAMES ALLEN นักเขียนด้านปรัชญาชื่อก้องที่เสนอมาตั้งแต่ 100 กว่าปีที่แล้วว่า ความคิดกำหนดชีวิต จะสำเร็จหรือล้มเหลว ล้วนเป็นผลจากความคิดที่มีพลังกว่าที่เราจะคิดถึงหรือตีกรอบได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถประเมินศักยภาพแท้จริงของตัวเองว่ามันสิ้นสุดที่ใด แต่หากทำให้ความสุขเป็นศูนย์กลาง โอกาสที่ความสำเร็จจะหมุนรอบตัวเราก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้น
All The Bright Places เป็นภาพยนตร์โรแมนติกดรามาสัญชาติอเมริกันในปี 2020 กำกับโดย Brett Haley และได้นักแสดงนำชื่อดังอย่าง Justice Smith มารับบทธีโอดอร์ ฟินช์
แนวคิด Law of Jante ช่วยเราให้ไม่ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่หล่อหลอมให้เราหัดคิดทบทวน เปิดพื้นที่ให้เราได้ตกผลึกทางความคิดได้ลึกซึ้งกว่าเดิม คิดวิเคราะห์ถี่ถ้วน รอบคอบในการตัดสินใจ บอกลาการคิดอะไรแบบผิวเผิน
และประเด็นนี้เองได้นำพาเราให้พบกับ กฎของยานเต้ (Law of Jante) ของชาวสแกนดิเนเวียนที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
Law of Jante กฎที่เตือนว่า “เราอาจไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นหรอก”
แม้ว่า Law of Jante จะมีคำว่า ‘Law’ (กฎหมาย) อยู่ก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้ในประเทศจริงๆ แต่เสมือนเป็นกฎทางสังคมที่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten social rules) มากกว่า
โดยต้นกำเนิดของ Law of Jante เป็นเรื่องราวที่มาจากนิยายเรื่องหนึ่งที่แต่งโดย อัคเซล ซันเดอโมส (Aksel Sandemose) นักเขียนชาวสแกนดิเนเวียน
แม้ Law of Jante จะมีต้นกำเนิดจากในนิยาย แต่มันกลับมี ‘อิทธิพลทางความคิด’ในโลกแห่งความจริงต่อผู้คนในแถบสแกนดิเนเวีย เพราะได้รับการเผยแพร่บอกต่ออย่างกว้างขวาง ชาวสแกนดิเนเวียนหลายคนก็อ่านหรือได้รับรู้แนวคิดนี้มาตั้งแต่เด็กๆ และปรับใช้กับการดำเนินชีวิต
ถ้าให้อธิบายง่ายๆ Law of Jante กระตุ้นให้เรา ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เราอาจเห็นคนอื่นตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ในมุมมองของเรารู้สึกว่ามันไม่ make sense เอาซะเลย
แต่อย่าเข้าใจผิดเชียว Law of Jante ไม่ได้จะมา ‘กดทับ’ ศักยภาพในตัวคุณหรอก (นั่นเป็นคนละเรื่องกัน) แต่จะมายกระดับจิตใจคุณให้มองเห็นคุณค่าและความแตกต่างหลากหลายของผู้อื่นต่างหาก
เมื่อเรามาพิจารณาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น อาจมีคำถามว่า Law of Jante กำลังกดทับศักยภาพความสามารถของชาวสแกนดิเนเวียน หรือทำให้พวกเขาเป็นคนเก็บกดทางอารมณ์รึเปล่า? คำตอบส่วนใหญ่ก็น่าจะไม่ เพราะชาวสแกนดิเนเวียนถูกจัดอันดับเป็นชาติที่คนมีความสุขติดอันดับต้นๆ ของโลกมาโดยตลอดไม่ว่าจะถูกจัดอันดับโดยสำนักไหนก็ตาม
ตัวอย่างเช่น GDP ต่อหัว (GDP per capita) ของชาวสแกนดิเนเวียนในปี 2021
สวีเดน อยู่ที่ประมาณ 176,000 บาทต่อเดือน
เดนมาร์ก อยู่ที่ประมาณ 197,000 บาทต่อเดือน
นอร์เวย์ อยู่ที่ประมาณ 258,000 บาทต่อเดือน
Law of Jante ยังเปลี่ยนสายตาของเราให้มองอีกด้านหนึ่ง เช่น จากเดิมโฟกัสที่การฉุดรั้ง เตะตัดขา ด้อยค่า หาจุดอ่อน และคอยหาทางขิงกันและกัน ก็เปลี่ยนเป็นการช่วยเหลือค้ำจุน สมานแผลที่ขา หาจุดแข็ง และเคารพซึ่งกันและกัน สุดท้ายทุกคนน่าจะได้ประโยชน์และมีความสุขเอนจอยกับการใช้ชีวิตทั่วหน้ากัน
อ้างอิง
Nordgreen UK. (2019, March 26). Exploring Jante Law: The Cultural Norms in Scandinavian Countries. https://nordgreen.co.uk/blogs/nordic-culture/jante-law
Danish Jante Law: Why is Denmark So Happy? (2017, May 12). Brewminate: A Bold Blend of News and Ideas. https://brewminate.com/danish-jante-law-why-is-denmark-so-happy/
Statista. (2022, October 11). GDP per capita at current prices in the Nordic countries 2010-2022, by country. https://www.statista.com/statistics/1274468/gdp-per-capita-nordic-countries/
ในบรรดากรอบคิดหรือชุดคำศัพท์ที่ใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น BANI World เป็นคำที่กำลังได้รับความสนใจในวงวิชาการ
ในมุมมองด้านการศึกษา Transparency in Learning and Teaching (TiLT)หรือ ความโปร่งใสในการเรียนรู้และการสอน เป็นชุดกลยุทธ์การสอนอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในชั้นเรียน กลยุทธ์การสอนนี้มุ่งเน้นการนำเสนอและสร้างความเข้าใจให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการเรียนรู้และตอบข้อสงสัยต่อไปนี้ของผู้เรียน
ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้เรียน ตีพิมพ์ในวารสารด้านการศึกษา “The Journal of Effective Teaching” ปี 2013 กล่าวถึงการออกแบบการเรียนการสอนที่มีความโปร่งใสว่า
ส่วนคำว่า Empathy (ความเข้าอกเข้าใจ) เป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา เป็นความรู้สึกที่เราเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร? เป็น Feeling (ความรู้สึก) ว่า I understand your feeling. และคำว่า Compassion คล้ายๆ กับ empathy คือการที่ I understand you.ผสมกับ I would like to help you. (ฉันเข้าใจคุณ และ ฉันอยากจะช่วยคุณ) 3 คำนี้จึงเป็นก้อนรวมที่คุณนีทเรียกว่า ‘ความใจดี’ นั่นเอง
“อันดับแรกคุณจะใจดีกับใครได้คุณต้องมี empathy ก่อน คือเข้าใจความรู้สึกว่า เขากำลังเศร้าเพราะเขาอกหัก เขากำลังเศร้าเพราะเขาโดนแม่ด่า พอมี empathy เสร็จมันต้องเกิด I would like to help you. ก็จะมีความ compassion เข้ามาผสม ว่าเออ…ฉันอยากช่วยแกอะ สุดท้ายคือการช่วยเหลือมันต้องแสดงออกมาแบบ kindness ไม่ใช่แบบสมมติด่าเพื่อน เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเศร้า ผู้ชายคนเดียว อันนี้มันไม่ kindness แม้ว่าคุณอยากจะช่วยให้เพื่อนคลายจากความทุกข์ แต่คุณก็ต้องแสดงท่าทาง kindness ออกมา เช่น แกๆ ฉันเข้าใจ มากอดๆ นะ”
เราทำช่องTiktok ซึ่งเป็นช่องวิเคราะห์การ์ตูนผ่านจิตวิทยา ในตอนที่ทำบางทีเราก็ใจร้ายกับตนเอง บ่นคลิปตนเอง จริงๆ เราก็พยายามใจดีกับตนเองนะ แต่มันก็ไม่ strong พอ เพราะเราก็เป็นคนธรรมดาที่ต้องการคนใจดีมาช่วยอ่าเนอะ เช่น ทาง JAM เชิญเราไปพูดใน Special Live ของ Conan the Movie 25 เจ้าสาวฮัลโลวีน หรือ พี่เอิ้น Pochi Pochi ซึ่งเขาคือคนที่เรานับถือ ก็ชวนไป live เรื่อง “น้องซูเล็ตต้า” ความใจดีที่มีคนมอบโอกาสให้ ทำให้เราคิดว่า สิ่งที่ทำนั้นมีคุณค่า! Social support (การสนับสนุนทางสังคม) มันสำคัญเนอะ”
เราเคยเขียนบทความลงใน potential ชื่อว่า PERMA (ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!) มันเป็นสุขภาวะที่ทำให้คนเรามีความสุข มันมีด้วยกันอยู่ 5 ตัว P E R M A หนึ่งองค์ประกอบนั้นคือตัว R – Relationship ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ซึ่งการที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อมีปัญหาแน่นอนว่ายังมีคนที่คอยช่วยเหลือเราเสมอ”
ชีวิตเป็นเรื่องยากและน่าปวดหัว ผู้คนจึงชอบอธิบายมันด้วยการใช้อุปลักษณ์ อย่าง Life is a rollercoaster ที่สื่อว่าชีวิตก็คือรถไฟเหาะ มีขึ้นก็ย่อมมีลงเป็นเรื่องธรรมดา บางช่วงอาจจะสนุกสุดเหวี่ยง แต่บางช่วงก็คงจะน่ากลัวไม่แพ้กัน มันก็คงจะเป็นเรื่องจริงนั่นแหละ
แต่หากเรามองในภาพรวม บางครั้ง Life is also a train ชีวิตอาจเป็นรถไฟยาวเหยียดหลายขบวนที่แล่นผ่านกัน สวนทางกัน และเฉียดกัน ไม่มีที่ใดเป็นจุดหมายปลายทางจริงๆ เราเพียงแค่ก้าวขึ้นไปบนรถไฟขบวนหนึ่ง จากสถานีใดสถานีหนึ่ง เราอาจจะอยู่บนรถไฟขบวนนั้นแค่ชั่วครู่เดียว หรืออาจจะอยู่ไปจนสุดสายเลยก็ได้ จากนั้นเราก็จะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟขบวนอื่น เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นนั้นจะก้าวออกจากรถไฟโดยไม่พูดอะไรกับเราเลยแม้แต่คำเดียว แต่บางครั้งบางคราวเราก็อาจจะเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ใครบางคนทำหล่นไว้ (หรือแกล้งทำหล่นไว้)