- เมื่อเราดิ่งลงไปในเนื้อหาของหนังสือ ก็จะทำให้เราหลีกห่างความกังวลและความเครียดได้ เข้าไปอยู่ในโลกสมมุติที่ผู้เขียนสร้างขึ้น การอ่านหนังสือจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ และจะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีเมื่อโตขึ้นด้วย
- การอ่านหนังสือวรรณกรรมดีๆ ยังช่วยทำให้เรามีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดียิ่งขึ้น เพราะหนังสือเหล่านี้ช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดอ่านและอารมณ์ของคนอื่นได้ดีขึ้น
- ทักษะการรับรู้และทำเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น ถือเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในชีวิตที่ต้องค่อยๆ บ่มเพาะให้มีมากขึ้นในชีวิต เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และชีวิตสมัยใหม่มีความสลับซับซ้อนมาก การอ่านจึงมีส่วนช่วยในเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้ว พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือผู้ปกครอง ต่างก็อยากให้ลูกหลาน ลูกศิษย์ มีความสามารถที่จะสร้างเนื้อสร้างตัว ดูแลตัวเองได้อย่างมั่นคงในอนาคต หลายคนอาจจะมองเรื่องการสะสมเงินและหาคอนเน็กชั่น เพื่อส่งลูกเข้า ‘โรงเรียนดีๆ’ เพื่อให้เกิดโอกาสดีๆ ต่อไปในอนาคต
แต่ส่วนมากอาจไม่รู้หรือหลงลืมวิธีมอบ ‘มรดก’ ที่ยั่งยืนไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะเป็นมรดกที่ฝังลงไปในตัวตน ดั่งเลือดเนื้อของตัวเด็กเอง นั่นก็คือ การอบรมบ่มนิสัยบางอย่างที่จำเป็นอย่างแยบคาย
วิธีการแบบหนึ่งที่มีประโยชน์มากและผ่านการพิสูจน์จากงานวิจัยสารพัดรูปแบบก็คือ การปลูกฝัง ‘นิสัยรักการอ่าน’
มีรายงานที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Scholastic [1] ที่ระบุว่า พ่อแม่ที่อ่านหนังสือแบบออกเสียงดังฟังชัดสำหรับเด็กๆ ตลอดช่วงวัยประถม มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ เหล่านี้กลายมาเป็นนักอ่านได้มากกว่าพ่อแม่ที่ไม่ทำ
เด็กที่โชคดีเหล่านี้จะรู้สึกว่า การอ่านหนังสือเป็นเรื่องสนุกและอยากอ่านหนังสือ โดยจะติดเป็นนิสัยรักการอ่าน โดยมีมากถึงกว่า 40% ของเด็กอายุ 6–11 ปี ที่เลียนนิสัยอ่านออกเสียงดังๆ ตามพ่อแม่หรือญาติในตอนที่อยู่ที่บ้าน เทียบกับเด็กราว 13% ที่จะไม่ทำเช่นนั้น
การที่พ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอนให้ฟังจะกลายมาเป็นงานอดิเรกที่เด็กๆ ชอบทำเมื่อโตขึ้นโดยอัตโนมัติ
การอ่านนิทานก่อนนอนยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งในทางอ้อมด้วย โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นกระดาษและตัวเล่ม เพราะมีงานวิจัย [2] ที่พบว่า การอ่านหนังสือจากกระดาษช่วยให้หลับได้ง่ายกว่าและยาวนานกว่าด้วย
ในการทดลองพบว่าคนที่ใช้อุปกรณ์ช่วยอ่านที่เรียกว่า e-reader หรือใช้แท็บเล็ตในการอ่าน ทำให้คนมากกว่าครึ่ง (54%) ได้เวลานอนน้อยลง เพราะต้องใช้เวลาอีก 20 นาที หลังจากหยุดใช้อุปกรณ์และหลับตาลง จึงจะนอนหลับได้สนิทจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเวลานอนที่น้อยกว่าคนที่อ่านหนังสือแบบที่เป็นกระดาษก่อนนอน
การอ่านยังเป็นการผ่อนคลายที่ดีมากอีกด้วย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ [3] พบว่า การอ่านช่วยลดความเครียดได้มากถึง 68% โดยแทบไม่ขึ้นกับประเภทของหนังสือที่อ่านเลย เมื่อเราดิ่งลงไปในเนื้อหาของหนังสือ ก็จะทำให้เราหลีกห่างความกังวลและความเครียดจากเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ เข้าไปอยู่ในโลกสมมุติที่ผู้เขียนสร้างขึ้น
การอ่านหนังสือจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ และจะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีเมื่อโตขึ้นด้วย
แต่การจะจูงใจให้เด็กๆ อ่านหนังสือ บ้านจำเป็นต้องมีหนังสือให้อ่านด้วย แล้วต้องมีหนังสือมากน้อยแค่ไหนกัน จึงจะเพียงพอหรือเหมาะสม?
งานวิจัยที่ทำในผู้ใหญ่ 160,000 คนใน 31 ประเทศระหว่าง ค.ศ. 2011–2015 [4] ทำให้สรุปได้ว่า บ้านที่มีหนังสือมากพอ ทำให้เด็กระดับมัธยมศึกษาในบ้านเหล่านั้นที่มีนิสัยช่างอ่าน มีความรู้และทักษะเทียบเท่ากับหนุ่มสาวเติบโตมาในบ้านที่ไม่มีหนังสือแบบเดียวกัน หลังเรียนจบระดับปริญญาตรีทีเดียว
จำนวนหนังสือที่เหมาะสมอาจจะแตกต่างกันได้มากในแต่ละประเทศ ไม่ได้มีความตายตัว เช่น ค่าเฉลี่ยในประเทศตุรกีคือ 27 เล่ม ขณะที่ในสหราชอาณาจักรคือ 143 เล่ม และส่วนในประเทศเอสโทเนียอาจต้องมีมากถึง 218 เล่ม
แต่อาจกล่าวโดยรวมๆ ได้ว่า ควรจะมีหนังสือในช่วง 80–350 เล่ม ซึ่งในกรณีหลังก็พอจะเรียกว่าเป็นห้องสมุดเล็กๆ ประจำบ้านได้
งานวิจัยในแฝดแท้ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการจำนวน 1,890 คู่ [5] ทำให้รู้ว่า แฝดคนที่อยู่ในบ้านที่สนับสนุนทักษะด้านการอ่านตั้งแต่เด็ก จะแสดงผลให้เห็นอย่างรวดเร็วมากคือ เห็นได้ชัดเจน (เมื่อเทียบกับแฝดอีกคน) ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
โดยทำคะแนนทิ้งห่างทั้งในแบบทดสอบการอ่านและแบบทดสอบระดับสติปัญญาทั่วไป
การมีหนังสือเป็นเล่มๆ นอกจากจูงใจให้เด็กๆ อยากอ่านแล้ว ยังมีประโยชน์สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ การอ่านหนังสือแบบจับต้องได้ ใช้มือกรีดเปิดผ่านแต่ละหน้าได้ ทำให้จดจำได้ง่ายกว่าและดีกว่า อีกทั้งเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งกว่า หากเทียบกับการอ่านหนังสือเล่มเดียวกันผ่านอุปกรณ์ e-reader ทั้งหลาย [6]
จึงไม่น่าแปลกใจว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่แม้จะสั่งหรือดาวน์โหลดหนังสือเก็บไว้ใน e-reader แล้ว แต่ก็ยังอ่านหนังสือเล่มที่ทำด้วยกระดาษต่อไปด้วยเช่นกัน และใช้กรณีแรกเป็นทางเลือกในกรณีที่อ่านจากหนังสือเล่มไม่สะดวก เช่น ฟัง ‘หนังสือเสียง’ เล่มเดียวกันนั้น ขณะขับรถหรือออกกำลังกาย
มีการสำรวจในปี 2012 พบว่ามีคนอเมริกันราว 1 ใน 5 หันมาอ่านอีบุ๊กกัน แต่กระนั้นคนอเมริกันราว 88% ในจำนวนนี้ ก็ยังคงอ่านหนังสือเล่มต่อไปด้วยเช่นกัน [7]
ถึงตรงนี้คงพอเห็นประโยชน์ของการมีหนังสือจำนวนมากในบ้าน และการอ่านหนังสือกับลูกๆ ในตอนที่เขายังอายุน้อย ว่านี่คือ ‘มรดก’ ที่สำคัญและมีประโยชน์มากที่ติดตัวพวกเด็กๆ ไปตลอดชั่วชีวิต
ประโยชน์สำคัญอีกข้อหนึ่งจะส่งผลในช่วงกลางหรือท้ายของชีวิต เพราะการอ่านช่วยทำให้สมองกระฉับกระเฉง แบบเดียวกับการไปออกกำลังกายที่โรงยิมนั่นแหละครับ การอ่านเพิ่มกำลังสมองและช่วยให้เรื่องความจำเสื่อมหรือสมองทำงานเชื่องช้าลง ล่าช้าออกไปได้
มีงานวิจัยที่สรุปว่าการอ่านหนังสืออย่างเป็นประจำ มีส่วนช่วยทำให้สมองเฉียบแหลมได้นานมากขึ้นและเสื่อมถอยช้าลง [8]
นอกจากนี้แล้ว ยังมีงานวิจัยที่สรุปว่า กิจกรรมอย่างการอ่านหนังสือ การเล่นหมากรุก หรือการเล่นเกมปริศนาแบบต่างๆ ลดโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์ลงได้ 2.5 เท่า หากเทียบกับคนที่ไม่นิยมทำกิจกรรมใช้สมอง เรียกว่าการอ่านหนังสือได้ถึง 2 เด้งคือ สมองเสื่อมช้าลงและมีโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่าอีกด้วย
ประโยชน์ข้อสุดท้ายที่อยากเล่าให้ฟังก็คือ การอ่านหนังสือวรรณกรรมดีๆ ยังช่วยทำให้เรามีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดียิ่งขึ้น เพราะหนังสือเหล่านี้ช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดอ่านและอารมณ์ของคนอื่นได้ดีขึ้น [9]
ดังนั้น จึงควรอ่านให้หลากหลายประเภทเข้าไว้ ทั้งในหมวดหนังสือความรู้หรือหนังสือฮาวทูต่างๆ ที่เป็นหนังสือ non-fiction และหนังสือที่เป็นเรื่องแต่งจำพวกนิยายต่างๆ
ทักษะการรับรู้และทำเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น ถือเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในชีวิตที่ต้องค่อยๆ บ่มเพาะให้มีมากขึ้นในชีวิต เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และชีวิตสมัยใหม่มีความสลับซับซ้อนมาก การอ่านจึงมีส่วนช่วยในเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมาก
ความที่การอ่านมีสารพัดประโยชน์ดังที่เล่ามา จึงไม่น่าแปลกใจว่าบรรดาผู้บริหารของบริษัทใหญ่ระดับโลก ผู้นำ และผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่า game-changer จึงอ่านหนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง โดยประเมินกันว่าอ่านกันอยู่ราว 3–5 เล่มต่อเดือนหรือสัปดาห์ละเล่มทีเดียว! [10]
ตัวอย่างคนดังที่เป็นหนอนหนังสือก็เช่น มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่อ่านหนังสือเดือนละราว 2 เล่ม
ขณะที่บิล เกตส์ ที่อ่านหนังสืออ่านน้อย 50 เล่มต่อปี เฉลี่ยสัปดาห์ละเล่ม ไม่อ่านเปล่าๆ เขายังเขียนสรุปและแนะนำให้คนอื่นลองอ่านหนังสือที่เขาประทับใจด้วย
ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เป็น 1 ในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกาบอกว่า เขาอ่านอยู่ที่ราววันละ 500 หน้า!
นิสัยรักการอ่านจึงเป็น ‘มรดก’ ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะมอบให้ลูกได้ครับ
เอกสารอ้างอิง
[1] https://www.scholastic.com/content/dam/KFRR/PastReports/KFRR2015_5th.pdf
[2] Falbe J, Davison KK, Franckle RL, et al. Sleep duration, restfulness, and screens in the sleep environment. Pediatrics. 2015;135(2):e367-e375. doi:10.1542/peds.2014-2306
[3] https://www.telegraph.co.uk/news/health/news/5070874/Reading-can-help-reduce-stress.html
[5] https://www.sciencedaily.com/releases/2014/07/140724094209.htm
[6] https://www.wired.com/2014/05/reading-on-screen-versus-paper/
[7] https://www.pewresearch.org/internet/2012/04/04/the-rise-of-e-reading-5/
[8] http://www.neurology.org/content/81/4/314