Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2022

‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร
Everyone can be an EducatorSocial Issues
29 August 2022

‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • วิชานอกห้องเรียน ช่วยเติมเต็มการเรียนรู้ของเด็กๆ การที่คนหนึ่งจะสมบูรณ์มากขึ้น หรือมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้ ต้องให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจ จะทำให้จิตวิญญาณของนักเรียนรู้เกิดขึ้น
  • Saturday School หรือ โรงเรียนวันเสาร์ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทยผ่านการเข้าร่วมโครงการต่างๆ และช่วยตอบโจทย์การเรียนรู้ในวิชานอกห้องเรียน รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนรู้
  • พัฒนาเด็กด้วยการเสริมสร้างสมรรถนะ 4 ด้าน หลักๆ คือ การรับรู้และเข้าใจตนเอง, ความคิดแบบพัฒนาได้, การล้มแล้วลุก และพฤติกรรมเอื้อต่อสังคม ทำให้เขามีความตั้งใจในการเรียนในวันปกติมากขึ้นตามไปด้วย

หลายคนอาจเคยตั้งคำถามในตอนเรียนหนังสือว่า ‘ทำไมเราต้องเรียนในสิ่งที่เราไม่สนใจ’ หรือ ‘ทำไมเราถึงเรียนสิ่งที่อยู่นอกเหนือหลักสูตรไม่ได้’ 

วิชาตามหลักสูตรแกนกลางพื้นฐานที่เราเรียนกันอยู่ในทุกๆ วัน หรือในอดีตนั้น อาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนหลายคนที่มีความฝันหรือมีเป้าหมายในอนาคตที่ไปไกลมากไปกว่า 8 สาระการเรียนรู้พื้นฐาน หลายคนจึงมองหาโอกาสในการเรียน ‘วิชานอกห้องเรียน’ มากขึ้น

ซึ่งบางคนอาจมีโอกาสได้เรียน ‘วิชานอกห้องเรียน’ ตามที่ใจปรารถนา เพื่อไปสู่ความฝันของตัวเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอีกจำนวนมากเลยทีเดียวที่มีความฝันแต่ไม่ได้รับโอกาสนั้น ทำให้บางครั้งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจึงกลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่หากไม่มีโอกาสหรือต้นทุนมากพอก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะฉะนั้นการมีองค์กรที่มาช่วยเหลือจึงเป็นเรื่องสำคัญ

The Potential คุยกับ ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร อดีตโปรแกรมเมอร์และศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผันตัวมาก่อตั้ง Saturday School หรือ โรงเรียนวันเสาร์ มูลนิธิด้านการศึกษาที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทยผ่านการเข้าร่วมโครงการต่างๆ และช่วยตอบโจทย์การเรียนรู้ในวิชานอกห้องเรียน รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนรู้

เป้าหมายขององค์กรคืออยากจะเห็นเด็กไทยทุกคนได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน กล้าที่จะเดินตามความฝันของตัวเอง และไปสู่ศักยภาพสูงสุดเพื่อกลับมาเปลี่ยนแปลงชุมชนรอบข้าง

“Saturday School เลือกวิชานอกห้องเรียน เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เติมเต็มการเรียนรู้ของเด็กๆ ถ้าเป็นวิชาปกติในห้องเรียนก็จะมีคุณครูสอนอยู่แล้ว 

แต่การที่จะทำให้คนคนนึงทำให้ตัวเองสมบูรณ์มากขึ้น หรือมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้ ต้องให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจ เพราะจะทำให้เขาได้เกิดการเรียนรู้ที่อาจจะมากกว่าการเรียนรู้จากวิชาปกติด้วยซ้ำ”

ไม่เพียงแค่ลดความเหลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้ของเด็กๆ เท่านั้น แต่ความตั้งใจอีกข้อของคุณยีราฟ และ Saturday School คือการเปิดพื้นที่ให้ ‘คนทั่วไป’ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา เพราะมองว่าองค์ความรู้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงในหลักสูตรหรือตำรา แต่ยังมีอยู่ในภาคประชาชนค่อนข้างมาก

“เราอยากจะเห็นสังคมแบบไหน ประเทศแบบไหน เพื่อนร่วมโลกแบบไหน หรือเราอยากเห็นประเทศไทยดีขึ้นขนาดไหน ผมก็คิดว่าคนทั่วไปน่าจะมามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา”

Saturday School จึงมีความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาการศึกษา ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม เพราะเชื่อว่าการศึกษาจะสามารถช่วยพัฒนาคนและสังคมได้ และยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีความตั้งใจอยากจะช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งอาสาสมัครจะไม่ได้มาเพื่อ ‘ให้’ เท่านั้น เพราะที่นี่จะทำให้ทุกคนได้ ‘รับ’ อะไรกลับไปเช่นเดียวกัน

ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School หรือ โรงเรียนวันเสาร์

อะไรคือแรงบันดาลใจในการก่อตั้ง Saturday School

ย้อนกลับไปนานนิดนึงนะครับ ตั้งแต่ตอนม.ปลาย ผมได้มีโอกาสได้เรียนที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งก็เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย 

ผอ.ที่โรงเรียนตอนนั้นก็ได้คุยว่า เด็กทุกคนที่มาโรงเรียนได้รับเงินทุนจากโรงเรียน และเงินทุนนี้ก็มาจากภาษีของประชาชน ผอ.จะพยายามบอกตลอดว่าเรามี Mission ในตัวเองที่จะไปช่วยพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเป็นอีกหนึ่ง Vision ที่สำคัญสำหรับชีวิตที่ทำในสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ 

แต่ระหว่างทางก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าประเทศไทยควรที่จะต้องพัฒนาในหลายๆ เหตุการณ์ อย่างตอนผมเข้ามหาวิทยาลัยก็มีชุมนุมแถวมหาวิทยาลัย ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วในประเทศเรามันมีอะไรต้องพัฒนาอีกเยอะ ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอะไรบางอย่างให้ประเทศไทยดีขึ้น แต่ตอนนั้นเราก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก

แล้วตอนปีสี่ก็มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ช่วงปี 2554 ตอนนั้นก็จะมีอาสาสมัครมารวมตัวกันที่จุฬาช่วยแพ็กถุงยังชีพ มีศูนย์พักพิงให้ ตอนนั้นผมเป็นหัวหน้านิสิตของคณะวิศวะ ก็ทำงานและได้มีโอกาสได้ช่วยดูแลเหล่าอาสาสมัครที่เขามาจากข้างนอก ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีความหวังกับประเทศไทยมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้วคนก็อยากมาช่วยเหลือกันจำนวนมากเลยทีเดียว เป็นความรู้สึกที่เราเห็นและมีความสุขที่ได้มาช่วย ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือคนอื่นและช่วยเหลือสังคม เหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าตอนเรียนจบน่าจะได้ลองทำอะไรบางอย่าง

คิดไปคิดมารวมกับสิ่งที่เราอินก็กลับมาที่เรื่องของ ‘การศึกษา’ ผมคิดว่าการศึกษาน่าจะเป็น Root Cause อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ประเทศดีขึ้น คนมีคุณภาพมากขึ้น เลยสนใจเรื่องการศึกษา ระหว่างนั้นหลังผมเรียนจบ ผมก็ไปทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ปีนิดๆ เพราะจบวิศวะภาคคอมพ์มา พอเป็นโปรแกรมเมอร์ได้สักพักก็เริ่มคิดว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เพื่อที่จะพัฒนาสังคม

เราเลยลองไปเป็นครูจริงๆ ในโรงเรียนขยายโอกาสของ กทม. อยู่ 2 ปี ก็เห็นว่าเด็กๆ มีความสามารถในตัวเองค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งแวดล้อม การเรียนการสอนในวันธรรมดาอาจจะยังไม่ได้ตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพของเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่ ก็เลยเริ่ม Saturday School มาตั้งแต่ตอนนั้น ก็ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งในโรงเรียน นอกโรงเรียน พาเด็กออกไปทำกิจกรรมข้างนอก พอคนข้างนอกเข้ามาข้างใน จัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ทำให้เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น 

เราเห็นว่าเรามีศักยภาพที่จะทำให้เด็กโตไปได้ดีขึ้น และเป็นอีกหนึ่งอย่างที่คิดว่าคนทั่วไปน่าจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้ เพราะว่าระบบการศึกษาหรือบุคลากรที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาอาจจะขยับตัวยากหรือว่าอาจจะยังไม่ได้มีมุมมองที่คิดว่าจะทำยังไงให้มันเปลี่ยนแปลงไปได้ ผมคิดว่าคนทั่วไปมีความสามารถยังมีอีกเยอะแยะมากมายเลย ที่อยากทำให้การศึกษาไทยหรือสังคมไทยดีขึ้น เลยเปิดพื้นที่ตรงให้เป็นพื้นที่ที่การมีส่วนร่วมนั้นเกิดขึ้นครับ

มองว่าวิชานอกห้องเรียนมีความสำคัญอย่างไร

จริงๆ ที่ Saturday School เลือก ‘วิชานอกห้องเรียน’ เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เติมเต็มการเรียนรู้ของเด็กๆ ถ้าเป็นวิชาปกติในห้องเรียนก็จะมีคุณครูสอนอยู่แล้ว แต่การที่จะทำให้คนคนนึงทำให้ตัวเองสมบูรณ์มากขึ้น หรือมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้ ต้องให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจ เพราะจะทำให้เขาได้เกิดการเรียนรู้ที่อาจจะมากกว่าการเรียนรู้จากวิชาปกติด้วยซ้ำ 

การเรียนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราเชื่อว่าเด็กมีสิ่งนี้อยู่ในตัวเอง เป็นเรื่องของการรักที่จะเรียนรู้ แต่มันอาจจะถูกทำให้หายไประหว่างทางที่อยู่ในระบบการศึกษา

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะไปกระตุ้นเด็กๆ ได้เนี่ย ผมเชื่อว่าการที่เด็กได้เรียนวิชานอกหลักสูตรหรือสิ่งที่ตัวเองสนใจจะทำให้ศักยภาพหรือจิตวิญญาณของนักเรียนรู้เกิดขึ้น และเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่เขาได้รับการจุดประกายโดยใครบางคน

โครงการหลักๆ ของ Saturday School มีอะไรบ้าง

จริงๆ โครงการของ Saturday School มีเยอะแยะมากมายเลย แต่ว่าโครงการหลักๆ ที่เรารับอาสาสมัครเข้ามามีส่วนร่วมก็จะมีประมาณ 3-4 โครงการ 

โครงการหลักที่สุดคือ ‘โครงการนอกหลักสูตรวันเสาร์’ ที่ทำกับเด็กระดับชั้นม.ต้น เราก็จะรับอาสาสมัครมาสอนวิชานอกหลักสูตรให้กับเด็กๆ พวกเต้น ศิลปะ ร้องเพลง ดนตรี กีฬา ทำหนังสั้น การแสดง หรือทำอาหารต่างๆ เป็นวิชาที่ให้เด็กเป็นคนเลือกเองก่อนว่าเด็กอยากเรียนวิชาอะไร แล้วเราก็จะเปิดวิชานั้นในโรงเรียนนั้น 

โครงการนี้รับอาสาสมัครเป็น ‘ใครก็ได้’ ที่อยากสอนวิชาต่างๆ มาสอนให้กับเด็กๆ ในวันเสาร์ต่อเนื่องกันประมาณ 10 สัปดาห์ โดยครั้งที่ 11 เราจะมีวัน Big Day ที่เด็กๆ จะแสดงความสามารถของตัวเอง เช่น เด็กที่เรียนเต้นมา 10 สัปดาห์ เขาก็จะมาเต้นโชว์บนเวที หรือถ้าเรียนทำอาหารมาก็อาจจะเป็นการออกบูธทำอาหาร 

เราพัฒนาเด็กด้วยการเสริมสร้างสมรรถนะ 4 ด้าน หลักๆ คือ การรับรู้และเข้าใจตนเอง, ความคิดแบบพัฒนาได้, การล้มแล้วลุก และพฤติกรรมเอื้อต่อสังคม นี่เป็น 4 ตัวที่ไม่ว่าเด็กเขาจะเรียนอะไร เราอยากจะพัฒนาเด็กใน 4 ด้านนี้ให้มากขึ้น 

ผมว่า Soft Skill หรือสิ่งที่อยู่ในตัวของเด็กๆ เนี่ยจะทำให้เด็กๆ ขับเคลื่อนชีวิตของตัวเองไปได้ ทั้งตอนมีหรือไม่มีเราก็ตาม

อีกโครงการ ‘Saturday School Student Support’ เป็นการซัพพอร์ตเด็กๆ ที่อยู่ในช่วงม.ปลาย หรือว่าอาชีวะให้เขาไปถึงฝั่งฝัน อาจเป็นการเข้ามหาวิทยาลัยหรือการประกอบอาชีพที่เขาต้องการ ให้ชัดเจนมากขึ้นและมีทางไปของเขาตามที่เขาฝันไว้มากขึ้น 

เป็นโปรแกรมที่เรารับอาสาสมัครมาเป็นพี่เลี้ยงเป็น Mentor ให้กับน้องๆ โดยจะช่วยน้องๆ ค้นหาตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้ข้อดีข้อเสีย และส่วนที่เราต่อยอดอีกคือเราพยายามให้พี่เลี้ยงพาเด็กๆ ไป Connect กับองค์กรต่างๆ ที่เด็กๆ จะสามารถไปทำโครงการร่วมกันได้ ไป Explore ในบริษัทว่าเขาทำอะไรบ้าง ในสายอาชีพที่น้องๆ สนใจ เช่น ด้านสายการสื่อสารเราก็จะเข้าไปหา Thai PBS เพื่อให้น้องๆ ได้ไปเรียนรู้กับพี่ๆ ที่อยู่ในองค์กร เพื่อที่จะให้น้องเขารู้ว่าเขาสนใจด้านนี้นั้นมีอะไรอยู่บ้าง แล้วก็ทางที่จะไปถึงอาชีพต่างๆ ได้จะต้องทำยังไงบ้าง

และอีกโครงการหนึ่งคือ ‘Saturday School International’ เนื่องจากการเรียนรู้ของเด็กๆ สำคัญมาก ยิ่งเวลาที่เขาเรียนรู้ภาษา ทั้งภาษาที่ 2 หรือภาษาที่ 3 ได้ ก็จะทำให้เด็กเขาได้เปิดการเรียนรู้ไปอีกทั่วโลก เป็นการทำให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องภาษา ตอนนี้ก็จะเน้นภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยอาสาสมัครตอนนี้ก็จะเป็นบุคคลทั่วไปในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ 

คิดว่าการสร้างพื้นที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และค้นหาตัวเอง จะทําให้มุมมองเกี่ยวกับการศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

ในเรื่องของการศึกษาเนี่ย คือเด็กๆ ที่เราเข้าไปทำงานด้วยเขามีพื้นฐานครอบครัวที่ยากจนจนถึงปานกลาง ส่วนใหญ่แล้วที่บ้านของเด็กบางคนเขาอาจจะไม่ได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษามากนัก การที่เด็กได้เรียนรู้แล้วก็มาเจอพี่ๆ ที่จบมหาวิทยาลัยดีๆ เขาก็จะได้รับแรงบันดาลใจกลับไป พอเขามีศักยภาพของตัวเองเพิ่มขึ้นรู้ว่าตัวเองสามารถไปได้ไกลกว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ทำให้เขาจุดมุ่งหมายที่อยากไปเรียนต่อ หรือพัฒนาตัวเอง เข้าการศึกษามากขึ้น

ผมคิดว่าเรื่องมุมมองต่อการศึกษาของเด็กๆ นั้นน่าจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ผมคิดว่า ‘การเรียนรู้’ กับ ‘การศึกษา’ นั้นต่างกันนิดหน่อย ในส่วนการเรียนรู้น่าจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือเด็กเขาอยากเรียนรู้มากขึ้น แล้วก็รู้ว่าตัวเองสามารถที่จะเรียนรู้ได้ ส่วนเรื่องของการศึกษาก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้เขาไปถึงเป้าหมายที่อยากจะไปได้ ซึ่งมีพี่ๆ ที่เป็นอาสาสมัครเป็นแรงบันดาลใจ

ทําไมจึงอยากเปิดโอกาสให้คนทั่วไปในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการศึกษา

ถ้ามองภาพใหญ่ การศึกษาคือการพัฒนาคน เพราะการที่จะทำให้สังคมประกอบไปด้วยคนแบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาค่อนข้างเยอะ สังคมที่จะอยู่อย่างมีความสุข มีคุณภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมไปได้เนี่ย การศึกษานั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะหล่อหลอมคนคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพทั้งการใช้ชีวิตตัวเอง และการเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สังคมดีขึ้น 

เพราะฉะนั้นผมว่าสังคมหรือคนทั่วไปอย่างเราๆ เนี่ย เราอยากจะเห็นสังคมแบบไหน ประเทศแบบไหน เพื่อนร่วมโลกแบบไหน หรือเราอยากเห็นประเทศไทยดีขึ้นขนาดไหน ผมก็คิดว่าคนทั่วไปน่าจะมามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา

อีกมุมหนึ่งผมมองว่าการศึกษาในปัจจุบันนี้ขึ้นกับทางภาครัฐค่อนข้างเยอะ แล้วการบริหารจัดการอาจจะยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร การที่เราจะปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า หรือว่าอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเนี่ย เป็นจุดที่ผมคิดว่าเรารอไม่ได้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ และในขณะเดียวกัน เรามี Resource ที่ดีๆ อยู่ในภาคประชาชนทั่วไปและภาคเอกชนค่อนข้างเยอะ ที่จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กๆ ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมเลยคิดว่าคนทั่วไปมีความสำคัญในการที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเด็กๆ ในระบบการศึกษาปัจจุบัน

มีกระแสตอบรับจากเด็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการอย่างไรบ้าง?

เด็กที่เข้ามาร่วมส่วนใหญ่ผมคิดว่าเขาน่าจะชอบกิจกรรมของเรานะครับ 

พอเขาได้มาเรียนสิ่งที่เขาสนใจ พฤติกรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง พอเขารู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพ มีความสามารถในสิ่งที่เขาสนใจ มันทำให้ Mindset และลักษณะนิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงไปด้วยในวันเรียนธรรมดา 

เราก็ได้ยินเสียงจากคุณครูในโรงเรียนว่าเด็กบางคนที่เขาไม่ตั้งใจเรียน หรือมาบ้างไม่มาบ้าง พอเขาได้เรียนวิชาที่เขาสนใจจริงๆ กับพี่ๆ ที่เขาอาจจะมาให้พื้นที่ปลอดภัย ได้ทดลอง เรียนรู้และสนใจเด็กๆ ทำให้การที่เด็กเขาได้รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถนะ รู้สึกว่าเขาก็กล้าที่จะเรียนรู้มากขึ้น มี Growth Mindset มากขึ้น ทำให้เขามีความตั้งใจในการเรียนในวันปกติมากขึ้นด้วย และมาโรงเรียนมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราได้ยินอยู่เรื่อยๆ 

สิ่งที่คุณครูเขาเห็นเด็กก็เป็นแบบหนึ่ง คือเด็กเขาอาจจะขี้อาย ไม่ค่อยกล้า แต่พอคุณครูได้เห็นเด็กในวัน Big Day ปรากฏว่าเด็กกลายเป็นอีกคนหนึ่งเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะได้ยินเสียงจากคุณครูที่ดูแลเด็กๆ ในโรงเรียนค่อนข้างต่อเนื่อง ก็จะมีข้อสังเกตเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำในทุกซีซั่น

แล้วกระแสตอบรับจากอาสาสมัครเป็นอย่างไร?

การที่อาสาสมัครได้มาทำงานร่วมกัน อันดับแรกคือเขาได้ทำเพื่อสังคม ได้มาทำเพื่อเด็กๆ และการศึกษาไทย อย่างที่สองคือพออาสาสมัครมาจากหลากหลายอาชีพ หลากหลายแบ็กกราวนด์ หลากหลายอายุ ซึ่งการที่มีแบ็กกราวนด์กับอายุที่แตกต่างกันเลยทำให้มีความหลากหลายในประมาณหนึ่ง ซึ่งอาสาสมัครที่มาทำงานร่วมกันเนี่ย ทั้งเป็น Core Team Staff และครูอาสา เขาก็ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทำให้อาสาสมัครแต่ละคนได้เรียนรู้จากคนอื่นด้วยที่ทำงานด้วยกัน 

เวลาสอนเราไม่ได้ให้เขาไปสอนคนเดียวแต่จะให้สอนกันเป็นทีม แล้วก็มีทีมงานที่ไปช่วยกันไปช่วยพัฒนาครูอาสาและพัฒนากันเอง สร้างโครงการขึ้นมาด้วยกัน สิ่งที่เขาได้กลับไปก็จะมีการพัฒนาสกิลขึ้นมาเป็น Head Team มาเป็น Project Manager บางคนก็ได้เรียนรู้จากเพื่อนๆ ที่มาร่วมคิดร่วมสร้าง ดีไซน์การสอนไปด้วยกัน ก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคนก็ได้เพื่อนที่มีจิตใจที่อยากจะให้กับสังคมเช่นกัน 

เสียงตอบรับก็ค่อนข้างจะ Enjoy แต่ในขณะเดียวกันก็มีความยากลำบากในบางส่วนเหมือนกัน เพราะอาสาสมัครเขาก็ต้องทำงานหรือเรียนในวันธรรมดา หลังเลิกเรียนหรือหลังเลิกงานเขาก็จะมานัดคุยกันผ่านออนไลน์บ้าง ออฟไลน์บ้าง แล้ววันเสาร์อาทิตย์ก็จะไปสอนเด็ก การที่เขาทำงานเยอะๆ เนี่ยก็จะมีความยากลำบากเหมือนกัน ทีนี้ก็เป็น Learning ของแต่ละคนแล้วว่าเขาจะจัดสรรเวลายังไง 

บางคนก็รู้สึกว่าตัวเองมีความอยากที่จะใช้ชีวิตได้อย่างแอ็กทีฟมากขึ้น จริงๆ คนอื่นอาจจะคิดว่า มาวันเสาร์อีกแล้วต้องมาทำหลังเลิกงานเนี่ยมันจะเหนื่อยไปไหม ซึ่งมันก็อาจจะเหนื่อยจริงๆ แต่หลายคนเขาก็สะท้อนกลับมาว่ามันคุ้มค่านะ มันทำให้ชีวิตมีความกระตือรือร้นมากขึ้น

คิดว่า Saturday School จะมีส่วนในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยได้มากน้อยแค่ไหน

การที่เราทำโครงการอาสาสมัครเนี่ย เราก็อยากจะขยายไปให้หลากหลายพื้นที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้เราพยายามที่จะขยายมากขึ้นในกรุงเทพฯ และมากขึ้นในต่างจังหวัด ถ้าในกรุงเทพเราก็มีประมาณเกือบ 10 โรงเรียน ที่เรารันทุกๆ ซีซั่น และทุกๆ โปรเจกต์ ส่วนในต่างจังหวัดเราก็เริ่มขยายครั้งแรกไปที่ภูเก็ต และในปีนี้เราขยายไปอีก 2 จังหวัดคือ ขอนแก่นและนนทบุรี ซึ่งเราก็ตั้งใจว่าจะขยายไปทั่วประเทศในอีกไม่เกิน 5 ปีนี้ อันนี้เรามองในมุมของการขยายพื้นที่ในการรับอาสาสมัครที่จะเข้ามาทำนะครับ

แต่ว่าถ้าเรามองในปริมาณเด็กที่จะได้รับการเรียนการสอนตรงนี้อาจจะไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับเด็กทั้งประเทศ เลยมองว่ากระบวนการต่างๆ หรือหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทยอาจจะต้องทำควบคู่กันไปด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำเรามองว่า 

อีกขาหนึ่งคือเราอยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาด้วย อาจจะเป็นการที่เราทำเป็นต้นแบบอะไรบางอย่างที่ทำให้คนมองเข้ามองแล้วเห็นว่าสิ่งนี้มีความสำคัญ และสามารถทำให้เด็กเรียนรู้เติบโตได้นะ และในระบบการศึกษาจะปรับยังไง

จริงๆ ตอนนี้เราก็ได้ไปทำงานร่วมกับสำนักการศึกษากทม. อยู่เหมือนกัน จากการที่มีนโยบายของผู้ว่าฯ ท่านใหม่ เราก็เข้าไปมีส่วนร่วมที่จะทำให้คนทั่วไปเข้ามาเปลี่ยนแปลง มาช่วยพัฒนาการศึกษามากขึ้น และ Connect กับคนต่างๆ เข้ามาในโรงเรียน กทม.มากขึ้น

โดยสำนักการศึกษากทม. เขาก็จะดูแลโรงเรียนของกทม.อยู่แล้ว เราก็ไป Work ในมุมของการเป็นโครงการที่ทำให้โรงเรียนเปิดพื้นที่ด้วย แล้วก็เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้ามาพัฒนาโรงเรียนในมุมต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเด็กๆ

อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่เราขับเคลื่อนอยู่ ซึ่งในอนาคตเราก็เชื่อว่า เราอยากจากร่วมมือกับเครือข่ายอื่นๆ ในการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เปลี่ยนแปลงกระบวนการพัฒนาบุคลากรทางด้านการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น และเปลี่ยนระบบทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน

ถ้าการเรียนรู้ด้วยโมเดลของ Saturday School สามารถเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาไทยได้ คิดว่าอนาคตการศึกษาไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ภาพคือเด็กทุกคนก็จะมีศักยภาพมากขึ้น ผมคิดว่าเด็กจะอยากเรียนรู้และอยากจะพัฒนาตัวเองมากขึ้น และได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ และสิ่งที่มากกว่านั้นคือ เราเห็นการศึกษาไทยที่เด็ก Happy ที่จะไปโรงเรียน แล้วก็คุณครูก็ Happy ในการสอน หรืออาจจะเป็นภาพที่โรงเรียนเป็นแค่พื้นที่ แต่เด็กได้เรียนด้วยตัวเอง ภาพในอนาคตผมว่ามันเป็นได้หลายแบบ การเรียนรู้อาจจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนอย่างเดียวก็ได้

ผมคิดว่าในอนาคต หลังจากการศึกษาเริ่มเปลี่ยนแล้วสังคมก็จะเปลี่ยน สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นว่าอาจจะไม่ดีในตอนนี้ ผมว่ามันก็อาจจะถูกแก้ไขจากการที่คนเริ่มมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งการใช้ชีวิตกับตัวเองและสังคม

มีอะไรอยากฝากถึงเด็กๆ หรืออาสาสมัครที่อยากเข้าร่วมโครงการบ้าง

สำหรับเด็กๆ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้และอยากที่จะเรียนรู้ ก็อยากให้ทุกคนไม่หยุดที่จะเรียนรู้ อยากให้หาอะไรที่ตัวเองสนใจหรือถ้ามีโอกาสก็เข้ามาติดตาม Saturday School ได้

สำหรับอาสาสมัคร ถ้ามีเวลาว่างไม่มากก็น้อย ผมว่าการที่เรามาช่วยกันพัฒนาเด็กๆ และพัฒนาการศึกษาเนี่ย อาสาสมัครของ Saturday School ก็กลับไปแล้วได้รับอะไรหลายอย่างจากการที่ตั้งใจมาให้ บางทีการที่เราตั้งใจมาให้ก็เป็นสิ่งที่ดีกับคนอื่น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะได้อะไรบางอย่างที่ดีต่อตัวเขากลับไปเหมือนกัน ทั้งเรื่องของการได้สังคมที่ดีและการพัฒนาตัวเอง แล้วก็การได้พัฒนาสังคม ไปจนถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น ผมก็อยากขอเชิญชวนมาร่วมเปลี่ยนแปลงการศึกษาไปด้วยกันครับ

(ติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการของมูลนิธิ Saturday School เพิ่มเติมได้ที่ www.saturday-school.org หรือ เพจ Saturday School)

Tags:

การเรียนรู้การศึกษาไทยพื้นที่การเรียนรู้ความรักในการเรียนรู้ (Love of Learning)Saturday schoolวิชานอกห้องเรียนยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Everyone can be an EducatorSpace
    วิชาตาลโตนด: ห้องเรียนเสียดฟ้าของ ‘อำนาจ ภู่เงิน’ ภูมิปัญญาหอมหวานที่รอคนสานต่อ

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ข้อเสนอ ‘ปฏิรูปการศึกษา’ คลายปมปัญหาที่ฉุดรั้งเด็กไทย : ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential

  • Social IssuesCreative learning
    ‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ทักษะพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรมี: ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง จังหวัดเชียงใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Losers EP.3 แบล็ค แจ็ค: พรสวรรค์ที่เกือบสูญเปล่า เพราะคำว่า ‘Low Self-Esteem’
Movie
26 August 2022

Losers EP.3 แบล็ค แจ็ค: พรสวรรค์ที่เกือบสูญเปล่า เพราะคำว่า ‘Low Self-Esteem’

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • บทความนี้อ้างอิงเนื้อหาจากสารคดีชุด Losers ตอน Black Jack ที่เผยแพร่ทาง Netflix ในปี 2019 เป็นเรื่องราวของแจ็ค ไรอัน อัจฉริยะด้านบาสเกตบอลที่ถูกแมวมองหลายสำนักรุมจีบตั้งแต่เรียนมัธยม
  • แม้จะได้เข้าร่วมโรงเรียนและวิทยาลัยดังๆ แต่ด้วยวินัยที่ย่ำแย่ทำให้แจ็คถูกตะเพิดออกจากทีมบาสเกตบอลทุกครั้ง กระทั่งหมดโอกาสที่จะไต่เต้าเข้าสู่โลกของ NBA
  • แม้นิยามความล้มเหลวในความหมายของมนุษย์จะต่างกัน แต่ในวัย 35 ปี แจ็คยังคงขอให้แม่ช่วยจ่ายค่าเช่าบ้าน จนวันหนึ่งเขาได้พบกับโค้ชผู้มองเห็นความพิเศษในตัวเขา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝันที่เฝ้ารอมาทั้งชีวิต  

ผมเคยสงสัยว่าทำไมคนเก่งๆ มีพรสวรรค์ มีความสามารถหลายคน กลับไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนถึงกับยอมทิ้งความฝันของตัวเอง บางคนหลงผิดจนพาตัวเองดำดิ่งสู่ด้านมืดของชีวิต กระทั่งวันที่ผมได้ดูสารคดีชุด Losers ตอน Black Jack ผมก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า แค่พรสวรรค์หรือทักษะอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ เพราะสิ่งสำคัญกว่านั้นคือการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในวัยเด็กที่เป็นได้ทั้ง ‘แต้มต่อ’ หรืออาจเป็นดั่ง ‘ฝันร้าย’ ที่ตามหลอกหลอนไปตลอดชีวิต

‘แจ๊ค ไรอัน’ เกิดในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในย่านบรูคลิน (นิวยอร์ก) พ่อของแจ็คเป็นกรรมกรอยู่ที่ท่าเรือ ความน่าสนใจของครอบครัวไรอันคือลูกทุกคนจะกลัวพ่อ…ผู้ที่ปกครองทุกคนในบ้านอย่างเผด็จการ  

พ่อของแจ๊คเป็นคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิต อย่างตอนรับประทานมื้อค่ำ หากแจ๊คทำตัวตลกโปกฮาจนน้องๆ หัวเราะ สิ่งที่พ่อทำคือการตบเข้าที่ใบหน้าของน้องอย่างแรงจนแจ๊ครู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุ ขณะเดียวกันแจ๊คเองก็เผชิญกับความกดดันจากพ่ออยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เขาเล่นอเมริกันฟุตบอลตั้งแต่ 8 ขวบ เพียงเพราะเป็นกีฬาที่พ่อหลงใหล หรือการไม่ซื้อจักรยานให้แจ๊คเพราะพ่อของเขาไม่เห็นความสำคัญ

“แม้ผมจะมีชื่อนามสกุลเดียวกับพ่อ แต่คนอื่นมักเรียกพ่อว่าร็อคกี้ เวลาที่พ่อพอใจผม พ่อจะเรียกผมว่าแจ็คสัน แต่ถ้าวันไหนพ่อไม่พอใจผม พ่อจะเรียกผมว่า ‘ฟัค-โอ’ ในตอนนั้นผมจึงมีฉายาว่าฟัคโอ และผมไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเลยสักนิด”

ผมไม่แปลกใจนักที่แจ๊คบอกว่าตัวเองเป็นพวก ‘Low Self-Esteem’ เพราะการที่พ่อบังคับกดดันและคอยแต่ตำหนิ ย่อมทำให้ความมั่นใจหรือภาคภูมิใจในตัวเองหายไปเป็นธรรมดา แต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่แจ๊คหาทางเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองด้วยการแกล้งเพื่อนเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“ตอน 7 ขวบ แม่แอบซื้อจักรยานให้ผม ผมขึ้นไปขี่มันและอวดทุกคนว่าผมขี่จักรยานแบบไม่ใช่มือจับได้ ทันใดนั้นเอง ผมก็..ตู้ม! ฟันจูบพื้นเต็มๆ หมอเลยต้องทำฟันใหม่ให้ผม ซึ่งตอนผมอยู่ในห้องเรียน ผมชอบถอดฟันไปวางบนไหล่เพื่อนๆ จากนั้นทุกคนก็จะขำจนล้มไปกลิ้งกับพื้น และผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เจ๋งที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม”

แจ๊คต้องฝืนเล่นอเมริกันฟุตบอลเป็นเวลา 4 ปี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่กีฬาที่เขาชอบ แต่เขากลับเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของลีกเยาวชนในวัย 12 ปี ทว่าปีถัดมา แจ๊ครวบรวมความกล้าเพื่อบอกพ่อว่าจะไม่เล่นอเมริกันฟุตบอลอีกแล้ว และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขาดสะบั้น

หลังจากเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอล แจ๊คก็นำตัวเองเข้าสู่โลกของบาสเกตบอล โดยมีพี่ชายของเขาเป็นแรงบันดาลใจ

“ผมหลงใหลบาสเกตบอลมากเพราะพี่ของผมคือผู้เล่นที่เก่งมากในสวนสาธารณะ ผมเห็นความรักและการนับถือที่เขาได้รับ ผมเลยอยากเป็นเหมือนเขาบ้าง”

ด้าน ‘ซูซาน’ น้องสาวของแจ๊ค บอกว่าแจ๊คมักสนุกกับการเล่นบาสในแบบที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและตะโกนเรียกชื่อของเขา และมันเป็นสิ่งที่แจ๊คทำได้ดีที่สุด

“เวลาเดียวที่ผมเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวเอง คือเวลาไปสวนสาธารณะนั่นและเล่นได้ดี” แจ๊ค กล่าว

เมื่อได้ปลดแอกตัวเองจากคำสั่งของพ่อและได้รับการยอมรับจากหนทางที่ตัวเองเลือก แจ๊คก็เริ่มสะสมความมั่นใจ จนนำมาสู่ความฮึกเหิม เขาแอบมาซ้อมบาสเกตบอลตอนตีสองเป็นประจำเพื่อหวังก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นของสวนสาธารณะ

‘โอกาส’ ที่(เกือบ)คว้าไว้ไม่ได้

พอขึ้นมัธยม ทักษะด้านบาสเกตบอลของแจ๊คก็โดดเด่นขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เขาหมกมุ่นกับมันจนเกินไป ทำให้ผลการเรียนตกต่ำถึงขั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2 แห่ง ส่งผลให้ต้องจำใจเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งสุดท้ายที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนของคนผิวสี

การเป็นคนขาวในดงของคนผิวสีในเวลานั้น ทำให้แจ๊คค่อนข้างเครียดและกังวลว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ เขาจึงค่อยๆ สร้างการยอมรับด้วยการคัดตัวเข้าทีมบาสเกตบอลและโชว์ฟอร์มจนเพื่อนๆ ต้องซูฮก

แต่แล้ว แจ๊คก็เริ่มมีพฤติกรรมไม่น่ารักที่หลายคนส่ายหัว โดยเฉพาะระหว่างการแข่งขัน หากโฆษกสนามหรือกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามพูดอะไรที่ไม่เข้าหู แจ๊คจะตอบโต้ด้วยความบ้าคลั่ง อย่างเช่น การโชว์บั้นท้ายจนถูกไล่ออกจากสนาม หรือตอนที่ไปเล่นบาสเกตบอลที่สวนสาธารณะ หากวันนั้นแจ๊คเล่นไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เขาจะอาละวาดด้วยการเขวี้ยงถังขยะไปทั่วสนาม และลามไปจนถึงขั้นโยนลูกบาสข้ามไปบนทางหลวง

“ผมจำได้ว่าผมมักจะขี้โมโหเพราะผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ ดังนั้นการถูกบอกว่าผมทำสิ่งที่ผิดตลอดเวลา ผมจะเสียสติและทุกอย่างจะพังหมดเลย ผมมีความโกรธเหล่านี้อยู่ในตัว”

ที่แจ๊คบอกว่าขี้โมโหเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ ตรงนี้ผมมองว่า ‘มีเหตุผล’ เพราะสิ่งที่แจ๊คกลัวที่สุดคือการไม่ได้รับการยอมรับ ดังนั้นหากใครเล่นบาสเก่งกว่าหรือกลบรัศมีความเด่นของเขา ย่อมเปรียบได้กับการราดแอลกอฮอล์ลงไปบนบาดแผล ทำให้แจ๊คต้องปกป้องตัวเอง (แบบผิดๆ) ด้วยการแสดงความเกรี้ยวกราด เพราะกลัวจะถูกคนอื่นลดทอนคุณค่าของตัวเอง

อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของ ‘แจ๊ค ไรอัน’ ยังคงโด่งดังจนไปเข้าหูของหัวหน้าโค้ชบาสเกตบอลของทีม ม.เซนต์จอห์น ถึงขั้นที่ตัวโค้ชแวะมาดูฟอร์ม พร้อมกับส่งผู้ช่วยมาติดตามผลงานในภายหลัง 

แม้ลีลาในสนามจะโดดเด่น โดยเฉพาะการชู้ตทำคะแนนราว 40 แต้มต่อเกมส์ แต่ในวันที่ผิดฟอร์ม แจ๊คกลับทำตัวเป็นอันธพาลที่อาละวาดเสียงดังในโรงยิม ทำให้ผู้ช่วยโค้ชของเซนต์จอห์นเลิกสนใจเขาในที่สุด 

ผมมองว่าฝีมือบาสเกตบอลอันฉกาจของแจ๊คเปรียบได้กับร้านอาหารที่รสชาติอร่อยแต่เจ้าของร้านปากเสีย ดังนั้นต่อให้บางคนจะเอือมระอา แต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ก็อยากลิ้มรสอาหารร้านนี้อยู่ดี

แจ๊คยังคงได้รับเชิญให้เข้าไปเป็นนักบาสในมหาวิทยาลัยอื่นอีกราวสามแห่ง แต่แล้วกลับลงเอยด้วยการถูกไล่ตะเพิดออกจากทีมทุกครั้ง ด้วยเหตุผลสั้นๆ คือการไม่มีระเบียบวินัย ขาดซ้อม ติดสุรา และขัดคำสั่งของโค้ช ซึ่งผมรู้สึกเสียดายกับโอกาสที่แจ๊คไม่เคยตั้งใจรักษามันไว้สักครั้ง

หลังถูกไล่ออกจากวิทยาลัยบรูคลิน ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ 4 แจ๊คก็รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวจนไม่อยากไปเรียนที่ไหนอีก เขาจึงนำตัวเองกลับไปเป็นราชาบาสเกตบอลของสวนสาธารณะหลังบ้าน และหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานในตลาดปลาอย่างไร้จุดหมาย นอกจากนี้แจ๊คยังใช้เวลาไปกับการนอนอาบแดดมากขึ้นเพื่อดึงดูดใจแก่ผู้คนที่พบเห็น 

“ผมเล่นบาสได้ดีมากจนเอาชนะทุกคนได้แล้ว ผมจึงไปหาสวนแห่งใหม่ การเล่นสตรีทบอลเป็นเหมือนสวรรค์ของผม ไม่ต้องมีคนมาบอกว่าผมต้องทำยังไง ผมรู้สึกฟรีสไตล์ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ”

ระหว่างนั้น ซูซานยอมรับว่าพ่อไม่ปลื้มพี่ชายของเธอสักเท่าไหร่ เพราะการเล่นสตรีทบอลไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับการออกไปหางานทำจริงๆ จังๆ และพ่อเองก็รู้สึกขายขี้หน้าไม่น้อยในเรื่องของแจ๊ค

แต่แจ๊คก็ไม่สะทกสะท้าน เขายังคงใช้ชีวิตแบบฟรีสไตล์ ตระเวนเล่นบาสตามสวนสาธารณะหลายแห่ง จนได้พบกับโอกาสครั้งสำคัญ เมื่อนักข่าวกีฬาชื่อดังของสหรัฐฯอย่าง ‘พีท เวสซีย์’ ที่ผ่านมาเห็นฟอร์มการเล่นอันสุดยอดของเขาต่อหน้าต่อตาตัวเอง

จากนั้นนักข่าวชื่อดังก็พาแจ๊คไปคัดตัวกับ ‘บิล ฟิตช์’ โค้ชทีมนิวเจอร์ซี เน็ตส์ แต่แจ๊คก็ยังเป็นแจ๊ค ผู้ทิ้งขว้างโอกาสและไม่คิดจะปรับปรุงตัวเอง

“เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในทีม ขณะเดียวกันเขาก็สร้างมลพิษให้โรงยิมด้วย เขาชอบถอดฟันปลอมออกมา ขว้างลูกบาสขึ้นหลังคา เขามีปัญหาครับ ไม่ต้องสงสัยเลย เขามีกลิ่นเหล้า และแจ๊ค ไรอัน เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถ้าแจ๊คมาด้วยทัศนคติที่ดีตั้งแต่แรกและพัฒนาเหมือนมืออาชีพทั่วไป เขาอาจเป็นมืออาชีพได้” พีท กล่าว

เมื่อไม่ผ่านการคัดตัวครั้งนี้ แจ๊คก็ตระหนักว่าประตูสู่การเป็นนักบาส NBA ได้ปิดลงตลอดกาล แจ๊คค่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งกับความล้มเหลว จนดูเหมือนว่านี่คือช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุดในชีวิตของเขา

‘ถูกที่ ถูกเวลา’  จังหวะแห่งการค้นพบตัวเอง

“ไม่นาน พ่อผมก็เสียชีวิต ตอนนั้นผมอายุ 35 แต่แม่ยังช่วยผมจ่ายค่าเช่าบ้าน คืนหนึ่งผมโทรหาน้องสาวบอกเธอว่าผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมอยากยิงกบาลตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะหาปืนจากไหน ซึ่งซูซานก็เป็นห่วงผมมากจึงให้เบอร์โทรบาทหลวงไว้คนหนึ่ง”

แจ๊คพยายามติดต่อและฝากข้อความหาบาทหลวงคนนั้น แต่บาทหลวงก็ไม่เคยติดต่อกลับมาสักที อย่างไรก็ดี พระเจ้ากลับได้ยินเรื่องราวของเขา และส่งชายคนหนึ่งไปยังสวนสาธารณะที่แจ็คเล่นบาสอยู่เป็นประจำ

“ผมเหมือนอยู่จุดต่ำสุด ไปไหนไม่ได้แล้ว ผมก็เลยทำสิ่งที่ทำอยู่ต่อไป เล่นบาสในลีกของสวนสาธารณะ และตอนนั้นมีโค้ชเพี้ยนๆ คนหนึ่งเห็นผมควงลูกบาสอยู่บนนิ้ว เขาบอกผมว่า ‘แจ็คกี้ อะไรเนี่ย นายทำได้ยังไง’ เขาบอกจะพาผมไปคัดตัวที่ฮาร์เล็ม วิซาร์ด ผมบอกจริงดิเพราะผมรู้ว่าพวกเขาคือใคร ทั้งเทคนิค-การดังก์- ตลก และทุกอย่าง โอ้แม่เจ้านี่คือเหตุผลที่ผมอยู่ที่นี่ งานนี้ผมจะไม่ทำพัง”   

‘ฮาร์เล็ม วิซาร์ด’ คือทีมบาสเกตบอลที่ไม่มุ่งเน้นชัยชนะ แต่เน้นการสร้างสีสันความบันเทิงให้ผู้ชมเป็นหลัก ทำให้ทีมมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐฯ โดยมีแฟนคลับกลุ่มหลักๆ คือเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ 

“คุณต้องมีความมั่นใจ มีพรสวรรค์ ต้องรักและทำให้ผู้ชมมีความสุข แจ๊คตลกจริงๆ เขามีความสนุกสนานเหลือล้น และคงเป็นความเสียหายมาก ถ้าไม่ให้โอกาสเขา” ท็อดด์ เดวิส เจ้าของฮาร์เล็ม วิซาร์ด กล่าว 

ตามธรรมเนียมของสมาชิกทีมฮาร์เล็ม วิซาร์ด คือทุกคนต้องมีฉายาเป็นของตัวเอง ด้วยความที่แจ๊คเป็นคนขาวคนเดียวของทีม ทำให้เขาได้ฉายาว่า Black Jack ผู้เป็นที่รักของเด็กๆ 

ซิกเนเจอร์ของแจ๊คในการแสดงโชว์คือการควงลูกบาสหมุนติ้วๆ ไปบนนิ้วมือ หัว และจมูก ซึ่งแจ๊คเองก็ดูมีความสุขกับสีหน้าแววตาและเสียงหัวเราะของผู้ชมเป็นอย่างมาก 

“สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุด คือพ่อไม่ได้เห็นผมเป็นฮาร์เล็ม วิซาร์ด เพราะพ่อคงหยุดขำไม่ได้ พ่อคงพูดว่า ‘ดูไอบ้านี่สิพวก ทั้งชีวิตของมัน มันเอาแต่ทำแบบนี้ และผมก็ด่ามัน ไม่ให้ควงลูกบาสในบ้าน และนี่คือสิ่งที่มันใช้ทำมาหากิน’”

ไม่เพียงแค่การยอมรับจากเด็กๆ และผู้คนทั่วไป แจ๊คยังรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด เมื่อแม่ชีคนหนึ่งเดินมาหาเขาหลังจบการแสดงและบอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเปรียบได้กับการทำงานให้กับพระเจ้า

“แจ๊ครีบโทรมาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง เพราะแม่ชีคือตัวแทนของการยอมรับ แม่ภูมิใจในตัวแจ๊คมากที่เขาค้นพบสิ่งที่เหมาะกับเขา และขอบคุณพระเจ้าที่แม่ได้เห็นมันก่อนที่แม่จะตาย” ซูซาน กล่าว

‘งานที่ใช่’ เติมเติม Self Esteem ที่พร่องไปในวัยเด็ก

สำหรับเรื่องความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือ Self Esteem ที่แจ๊คขาดหายในวัยเด็ก ผมมองว่าเป็นเพราะพ่อยัดเยียดความต้องการของตัวเองให้กับแจ๊ค โดยไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง และไม่เคยสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบ ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่แจ๊คต้องการจริงๆ คือการได้รับความรักและความนับถือ

ดังนั้นการเล่นบาสใน NBA หรือการเป็นนักกีฬาผู้เปี่ยมด้วยวินัย จึงไม่ใช่ทางที่ใช่ แต่เป็นการ ‘โชว์ออฟ’ เพื่อเติมเต็มความภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่เคยได้รับจากพ่อ โดยมีลูกบาสเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างแจ๊คกับผู้คน 

“การแสดงให้เด็กๆ ดู ผมโหยหามัน เพราะมันคือเชื้อเพลิงของผม ความภาคภูมิใจในตัวเองของผมตอนนี้พุ่งสูงไปถึงข้างบนแล้ว ผมได้ทำงานที่เจ๋งที่สุดในโลก ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ผมภูมิใจที่ค้นพบที่สิ่งที่ผมรัก เปลี่ยนมันเป็นงาน และผมไม่เคยอยากเกษียณเลย”

จากคนที่ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และให้แม่จ่ายค่าเช่าบ้านในวัย 35 จนพี่น้องและเพื่อนหลายคนเอือมระอา มาวันนี้แจ๊คได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ และหากจะให้ผมสรุปเรื่องราวทั้งหมดแบบ Happy Ending อีกครั้ง ผมคงขออนุญาตหยิบยกบทสัมภาษณ์ของ ‘เทิร์ก’ เพื่อนสนิทของแจ๊คที่กล่าวถึงซี้เก่าไว้ว่า…

“เราได้แต่ฝันถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ คุณนึกออกไหม การตื่นขึ้นมา และทำสิ่งที่มันไม่ใช่งานด้วยซ้ำ เพราะเมื่อคุณรักสิ่งที่คุณทำแล้ว มันจะไม่ใช่งาน แต่น่าเสียดายที่โลกนี้มีคนเป็นทุกข์มากมายเหลือเกินที่ต้องตื่นไปทำงาน ทำหน้าที่ที่เขาไม่ชอบ…แต่นั่นไม่ใช่สำหรับแจ๊ค”

Tags:

คุณค่าLosersนักกีฬาโอกาสพรสวรรค์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Weerathep pomphan-cover
    Life classroom
    ‘เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ’ นักฟุตบอลทีมชาติที่มีครอบครัวเป็นกองหลัง: วีระเทพ ป้อมพันธุ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • “บนโลกนี้มีเด็กเก่งมากมาย เขาแค่ไม่ได้รับโอกาส” คุยกับ ไมกี้ – นิธิยุทธ วงศ์พุทธา นักประดิษฐ์รุ่นเยาว์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    Losers EP.2 เซอร์ยา โบนาลี: อย่าปล่อยให้เสียงของใครดังกว่าเสียงหัวใจตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Hate-Following: งานอดิเรกในโลกโซเชียลที่ผสมผสาน ‘การนินทา’ กับ ‘เทคโนโลยี’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

คืนรัก(ษ์)โลกสีคราม คืนความรู้สู่ชุมชน:  ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร นักนิเวศวิทยาทางทะเล
Everyone can be an Educator
24 August 2022

คืนรัก(ษ์)โลกสีคราม คืนความรู้สู่ชุมชน:  ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร นักนิเวศวิทยาทางทะเล

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • หากหญ้าทะเลหายไป บ้านของสัตว์หน้าดินก็หาย สัตว์ทะเลก็จะลดน้อยลง ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงชนิดที่เป็นอาหารของมนุษย์ด้วย…นี่น่าจะเป็นแก่นสารสำคัญที่นักนิเวศวิทยาทางทะเลพยายามส่งต่อ ‘ความรู้’ และ ‘ความตระหนักรู้’ ไปสู่สังคม 
  • เปิดห้องทำงานที่มีฟ้ากว้างๆ แทนหลังคา มีชายหาดและท้องทะเลเป็นโต๊ะทำงาน และมีปลาปูตัวเล็กตัวน้อยเป็นเพื่อนแก้เหงา ของ ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร นักนิเวศวิทยาทางทะเล จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คุยกันถึงภารกิจการสำรวจและวิจัยระบบนิเวศ ‘หอสี่หลัง’ อุทยานธรณีโลกสตูล
  • บทบาทของนักนิเวศวิทยาทางทะเลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างองค์ความรู้ แต่ยังขยายไปถึงการส่งต่อความรู้สู่ชุมชน-สังคม เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

เรือเล็กฝ่าคลื่นลมจากฝั่งมาจนถึงสถานที่ที่รู้จักกันในชื่อ ‘หอสี่หลัง’ หาดทรายผืนใหญ่กลางทะเลอันดามันที่เก็บซ่อนสิ่งชีวิตเล็กๆ อันน่าทึ่งไว้ท่ามกลางความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็น หญ้าใบพาย หญ้าทะเลเล็กจิ๋วที่สุดในประเทศไทย. ปูทหาร กองพลสุดคิวท์ผู้ไม่เคยรุกรานใคร หรือ ปูก้ามดาบ ที่ชอบเบ่งกล้ามอวดสาวเป็นงานอดิเรก

ทันทีที่เรือเทียบชายหาด ‘หอสี่หลัง’ อุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Geopark)  ท่ามกลางแสงแดดจ้าในวันฟ้าใสที่ใครต่อใครพากันหาร่มเงาหลบร้อน หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ เหมือนสำรวจอะไรบางอย่าง ก่อนจะชี้ชวนให้คนอื่นๆ ได้ร่วมเรียนรู้กับการค้นพบของเธอในฐานะ นักนิเวศวิทยาทางทะเล (Marine Ecologist)

“เท่าที่ทีมสำรวจมา หญ้าใบพายเจอได้หลายที่ แต่ที่นี่มีขนาดเล็กมาก น่าสนใจและน่าศึกษาต่อไปว่าทำไมที่นี่ถึงมีขนาดเล็กอย่างนี้” ผศ.ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พูดถึง ‘หญ้าใบพาย’ หญ้าทะเลขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยที่มีสถานภาพเป็นชนิดที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ก่อนจะเชื่อมโยงให้เห็นความสำคัญในห่วงโซ่อาหาร

“พวกหญ้าทะเลจะเป็นผู้ผลิตเบื้องต้นของห่วงโซ่อาหาร เวลาเขาอยู่ด้วยกันแน่นๆ พวกตะกอนก็จะมาอัดแน่นอยู่ทำให้เกิดสันทรายปนโคลน สิ่งมีชีวิตก็จะอยู่อาศัยได้ แล้วในโคลนเหล่านี้ก็จะมีสารอินทรีย์ ไส้เดือนทะเล หอย กุ้ง สัตว์หน้าดินต่างๆ  เขาก็จะมาอาศัยอยู่ เป็นลักษณะที่อยู่อาศัยที่จำเพาะในแนวหญ้าทะเล ซึ่งพวกปลา ปู กุ้ง ที่เราใช้ประโยชน์ทางการประมง ก็อาศัยสิ่งมีชีวิตพื้นทะเลเหล่านี้แหละเป็นอาหารของเขา”

กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ หากหญ้าทะเลหายไป บ้านของสัตว์หน้าดินก็หาย สัตว์ทะเลก็จะลดน้อยลง ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงชนิดที่เป็นอาหารของมนุษย์ด้วย …และนี่น่าจะเป็นแก่นสารสำคัญที่นักนิเวศวิทยาทางทะเลพยายามส่งต่อ ‘ความรู้’ และ ‘ความตระหนักรู้’ ไปสู่สังคม

ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร นักนิเวศวิทยาทางทะเล จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Marine Ecologist คือใคร?  

ก่อนจะไปถึงคำอธิบายว่า Marine Ecologist คือใคร? อยากชวนทุกคนให้จินตนาการถึงห้องทำงานที่มีฟ้ากว้างๆ แทนหลังคา มีชายหาดและท้องทะเลเป็นโต๊ะทำงาน และมีเพื่อนใหม่อย่างน้องปู น้องปลา มาทักทายเป็นครั้งคราว

ดร.กริ่งผกา ให้คำจำกัดความอย่างเป็นทางการของ Marine Ecologist  หรือ นักนิเวศวิทยาทางทะเล ว่าหมายถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต และปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล 

“ถ้ากล่าวในเชิงวิชาการ เราทำงานวิจัยเพื่อตอบคำถามหลักๆ ที่ว่า ในทะเลนั้นมีสิ่งมีชีวิตอะไร อยู่ที่ไหน อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มีสิ่งมีชีวิตนั้นๆ อยู่หรือไม่อยู่อาศัย ณ ที่หนึ่งๆ  

ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์หลักๆ คือ การอนุรักษ์เพื่อการใช้ทรัพยากรชีวภาพในทะเลอย่างยั่งยืน เช่น การที่เราอนุรักษ์พะยูน เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เราก็ต้องทราบว่าพะยูนกินหญ้าทะเล และมีที่อยู่อาศัยหลักๆ คือบริเวณแหล่งหญ้าทะเล เราต้องอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเลก่อนจึงจะอนุรักษ์พะยูนได้ 

หรือ การทำประมง เราศึกษาว่าควรจับปลาขนาดไหน เพื่อให้ปลาได้มีโอกาสสืบพันธุ์สร้างลูกหลานก่อนที่จะถูกจับ ความรู้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากการศึกษาวิจัยด้านนิเวศวิทยาทางทะเลทั้งสิ้น การทำงานเป็นนักนิเวศวิทยาทางทะเล สามารถเรียนจบมาได้จากหลากหลายสาขา เช่น ชีววิทยา นิเวศวิทยา การจัดการสิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ทางทะเล หรือประมง” 

ทำไมต้องศึกษาระบบนิเวศ ‘หอสี่หลัง’ 

ในบทบาทของนักนิเวศวิทยาทางทะเล และอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ นอกจากภารกิจการเรียนการสอนแล้ว งานวิจัยคือการเติมความรู้ให้กับตนเองและวิชาการด้านนี้ โดยมีเป้าหมายปลายทางคือการคืนความรู้สู่สังคมชุมชน 

“เมื่ออุทยานธรณีสตูลได้รับการแต่งตั้งเป็นอุทยานธรณีระดับโลกโดยยูเนสโก ทางผู้บริหารอุทยานธรณีโลกสตูลได้ประสานความร่วมมือกับ สวทช. ที่จะให้มีการทำวิจัยในพื้นที่ด้านความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ขณะนั้นพื้นที่หอสี่หลังเป็นจุดท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม จึงได้กำหนดให้หอสี่หลังเป็นพื้นที่ศึกษาหนึ่งในโครงการด้วย ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็เน้นแนวชายฝั่ง เช่น บ่อเจ็ดลูก แหลมสน บุโบย และเกาะต่างๆ ในเขตอุทยานธรณีโลกสตูล เช่น เกาะลิดี เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี”

ดร.กริ่งผกา กล่าวถึงที่มาของโครงการ ‘การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน’ โดยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งประกอบด้วยทีมวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ส่วนงานวิจัยด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ดำเนินการโดยนักวิจัยจากวิทยาลัยชุมชนสตูล  

สำหรับวัตถุประสงค์ของการศึกษาด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ก็เพื่อสร้างฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ สร้างองค์ความรู้ให้มัคคุเทศก์ท้องถิ่นได้นำไปใช้เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว และเพื่อสร้างแนวทางการจัดการทรัพยากรชีวภาพของระบบนิเวศชายฝั่งทะเล ในอุทยานธรณีโลกสตูล 

“เราพบสิ่งมีชีวิตทั้งหมด 566 สปีชีส์ แบ่งออกเป็นสาหร่ายทะเล 25 ชนิด พืชมีท่อลำเลียง (หญ้าทะเล และพืชบก) 11 ชนิด สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หอย กุ้ง ปู ไส้เดือนทะเล 301 ชนิด สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา นก โลมา พะยูน 229 ชนิด” 

และที่ต้องขีดเส้นใต้หนาๆ คือ นักวิจัยพบ หญ้าใบพาย Halophila beccarii  หญ้าทะเลขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยที่มีสถานภาพเป็นชนิดที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์  (Vulnerable Species) ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN Redlist) โดยพบเป็นผืนใหญ่ที่หอสี่หลัง 

“หญ้าชนิดนี้มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์เนื่องจากมักเจริญเติบโตขึ้นในพื้นที่น้ำกร่อยซึ่งเป็นพื้นที่แคบๆ ในแนวชายฝั่งทะเล จึงอ่อนไหวต่อการถูกรบกวนโดยกิจกรรมของมนุษย์ 

นอกจากนี้หญ้าใบพายที่หอสี่หลังยังมีขนาดเล็กมากจึงถูกทับถมด้วยตะกอนได้ง่าย กิจกรรมใดๆ ที่เป็นการรบกวนตะกอน เช่น การทำประมง อวนลาก อวนรุน การก่อสร้างริมชายฝั่ง จึงส่งผลเสียต่อหญ้าใบพาย หรือการปลูกต้นไม้ชายเลน จะทำให้เกิดการบดบังแสงและหญ้าใบพายจะขึ้นอยู่ในบริเวณนั้นไม่ได้” ดร.กริ่งผกา แสดงความกังวลถึงผลกระทบที่โยงใยในห่วงโซ่อาหาร

“เราพบว่าการมีหญ้าใบพายอยู่ในพื้นที่หอสี่หลัง ทำให้เกิดการสะสมของตะกอน บริเวณพื้นทะเลมีความแน่นขึ้น และเกิดเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังพื้นทะเลหลายชนิด ที่เป็นอาหารของทั้งมนุษย์ เช่น หอยหวาน หรือ หอยตลับ และเป็นอาหารของสัตว์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลา ชนิดต่างๆ หญ้าทะเลยังเป็นอาหารของสัตว์หลายชนิด เช่น พะยูน เต่าทะเล อีกด้วย”

คืนความรู้สู่ชุมชน ผ่านแพลตฟอร์ม ‘นวนุรักษ์’

ภายใต้ระบบนิเวศคือปฏิสัมพันธ์และความเชื่อมโยง ดังคำกล่าวที่ว่า ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’ บทบาทของนักนิเวศวิทยาทางทะเลจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างองค์ความรู้ แต่ยังขยายไปถึงการส่งต่อความรู้สู่ชุมชน-สังคม เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

“โครงการนี้ สวทช. ให้ทุนสนับสนุนตั้งแต่การสำรวจในภาคสนามเพื่อจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ และการถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน โดยเน้นที่มัคคุเทศก์ในท้องถิ่น ซึ่งสามารถนำเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตต่างๆ และการอนุรักษ์ไปถ่ายทอดต่อแก่นักท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวและให้การศึกษาถ่ายทอดความรู้แก่คนทั่วไปด้วย” 

ดร. กริ่งผกา เล่าถึงการนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ว่า นอกจากจะดำเนินการผ่านการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนแล้ว ยังมีการผลิตเนื้อหาเพื่อนำเสนอบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ ซึ่งนักวิจัยจะนำเข้ารายการสิ่งมีชีวิตที่พบได้ในระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล พฤติกรรมสัตว์ หรือเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจต่างๆ 

ปัจจุบันมีการนำเข้าข้อมูลในนวนุรักษ์แล้วกว่า 1,030 รายการ เนื้อหาเหล่านี้ผู้ที่สนใจ มัคคุเทศก์ หรือผู้บริหารจัดการอุทยานธรณีโลกสตูล สามารถเข้าถึงได้ในเว็บไซต์ (https://navanurak.in.th/) หรือแอปพลิเคชันของนวนุรักษ์ 

“การทำงานร่วมกันในลักษณะนี้ทำให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพทางทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล เช่น การอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเลที่หอสี่หลัง โดยการระมัดระวังไม่ให้กิจกรรมของมนุษย์รบกวนแนวหญ้าทะเล การท่องเที่ยวชมนกเหยี่ยวแดงที่ถูกต้อง โดยการไม่ให้อาหารล่อ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมเหยี่ยวส่งผลเสียระยะยาวต่อประชากรเหยี่ยวแดง” 

ความคาดหวังของ Marine Ecologist 

เพราะมนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในระบบนิเวศอันซับซ้อนและเกื้อกูลกันได้ การศึกษาวิจัยด้านนิเวศวิทยาทางทะเลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้เราเข้าใจธรรมชาติและมีแนวทางที่เหมาะสมในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน 

“เราคาดหวังว่างานวิจัยด้านนี้จะได้รับความสนใจและรัฐให้ความสำคัญ” ดร. กริ่งผกา ชี้ชัด ก่อนจะชวนคนรุ่นใหม่ให้ปรับโฟกัสมาที่งานด้านให้มากขึ้น

“ในประเทศไทยยังมีช่องว่างของความรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาทางทะเลอยู่อีกมาก หลายคำถามยังไม่ได้รับคำตอบ อยากเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่มาทำงานด้านนี้ให้มากขึ้น”

สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศ นักนิเวศวิทยาคนนี้ไม่ขออะไรมากมาย  …แค่ไม่ทำร้าย-ทำลายธรรมชาติก็พอ

 “วิธีการที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้ระบบนิเวศนั้นเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามธรรมชาติโดยเราไม่ไปรบกวน 

เพราะหลายๆ ครั้งเราพบว่าการเข้าไปจัดการโดยขาดความรู้นั้นส่งผลเสียมากกว่า แต่ถ้าอยากมีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติ เราอาจทำได้โดยการนำ ‘ส่วนเกิน’ ออกจากระบบนิเวศ เช่น การเก็บขยะริมทะเล หรือการเข้าพื้นที่ไปหาความรู้โดยพยายามไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง”

Tags:

วิทยาศาสตร์ธรรมชาตินักนิเวศวิทยาทางทะเลหอสี่หลัง อุทยานธรณีโลกสตูลดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘เรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม’ บทสนทนาว่าด้วย ควอนตัม ความเชื่อ และการศึกษา กับ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ 

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Life classroomVoice of New Gen
    นิศาชล คำลือ: ถึงอวกาศจะไม่มีอากาศ แต่ทำให้อยากหายใจเพื่อค้นหาดาวดวงต่อไป

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?
Adolescent Brain
23 August 2022

สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ของติ๊กต่อก มีความสามารถในการคัดเลือกคลิปแบบจำเพาะสำหรับคุณได้อย่างเยี่ยมยอด ทำให้เราดูต่อเนื่องกันไปได้ไม่หยุดหย่อนเป็นชั่วโมงๆ 
  • การนั่งไถ่ชมวิดีโอสั้นๆ อย่างเพลิดเพลิน ร่างกายจะหลั่งโดพามีนตลอดเวลา ทำให้ผู้ชมอายุน้อยปรับความสนใจไปทำกิจกรรมอื่นที่เคลื่อนไหวช้ากว่าได้ยาก
  • วิธีป้องกันและแก้ไขที่สำคัญที่สุดและเป็นขั้นตอนแรกก็คือ ต้องระลึกรู้ตัวเองว่าติดติ๊กต่อกมากจนเริ่มเป็นปัญหาแล้ว และต้องการแก้ไขในเรื่องนี้

ถึงวันนี้คนส่วนใหญ่น่าจะต้องเคยได้ยินชื่อหรือเคยดูคลิปจากแอป ‘ติ๊กต่อก (TikTok)’ มากันบ้างแล้ว 

สถิติล่าสุดคือ แอปดังกล่าวแพร่หลายในประเทศมากกว่า 150 ประเทศ และมีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 1,000 ล้านคนแล้ว เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวก็มีดาวน์โหลดไปใช้งานมากกว่า 200 ล้านครั้งเข้าไปแล้ว [1]  

กลุ่มผู้ใช้งานหลักปัจจุบันคือ คนอายุตั้งแต่ 13–60 ปี  

หากดูเฉพาะผู้ใช้งานประจำอย่างสม่ำเสมอพบว่า ‘ติ๊กต่อก’ อยู่ที่อันดับ 4 โดยเป็นรองก็แค่เฟซบุ๊ก (2.9 พันล้านคน) ยูทูบ (2.2 พันล้านคน) และอินสตาแกรม (1.4 ล้านคน) ซึ่งทำให้เจ้าตลาดโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กถึงกับหวั่นใจ จนต้องเพิ่มฟังก์ชันหมวด ‘รีลส์และวิดีโอสั้น’ ในการนำเสนอ ซึ่งก็คลิปสั้นที่ต่อกรโดยตรงกับติ๊กต่อกนั่นเอง 

แต่ที่ตลกก็คือ ในช่วงขาขึ้นของติ๊กต่อกอย่างตอนนี้ รีลส์ในเฟซบุ๊กจำนวนมากเลย เอามาจากจากแอปติ๊กต่อกนั่นเอง!

ลำพังคนเข้าไปใช้แอปโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มีคนเป็นห่วงแล้วว่า จะส่งผลกระทบกับความคิดความอ่านและการเรียนรู้แค่ไหน โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน แต่กรณีของติ๊กต่อกที่บางคนนั่งดู นอนดูอย่างเพลิดเพลินต่อกันวันละเป็นชั่วโมงๆ จะส่งผลกระทบอะไรบ้างหรือไม่?

เริ่มมีคนแสดงความเป็นห่วงและอันที่จริงแล้ว มีรายงานการวิจัยที่ระบุว่า อาจจะมีผลลบหลายอย่างเกิดขึ้นได้ หากดูติ๊กต่อกต่อเนื่องกันวันละนานๆ ผลกระทบพวกนี้หนักหนาแค่ไหนกันแน่? 

คำเตือนแรกสุดที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือ บทสัมภาษณ์ที่ลงใน Wall Street Journal (2 เมษายน 2022) ในหัวข้อ TikTok Brain Explained: Why Some Kids Seem Hooked on Social Video Feeds (คำอธิบายเกี่ยวกับสมองแบบติ๊กต่อก: ทำไมเด็กๆ ดูจะติดฟีดวิดีโอโซเชียล) [2] 

ในบทความดังกล่าวชี้ว่า “การไหลหลั่งของโดพามีนอย่างไม่รู้จบ เมื่อได้ชมวิดีโอสั้นๆ ทำให้ผู้ชมอายุน้อยปรับความสนใจไปทำกิจกรรมอื่นที่เคลื่อนไหวช้ากว่าได้ยาก” 

การปล่อยให้ร่างกายหลั่งโดพามีนตลอดเวลา ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เรากำลังปล่อยให้เด็กไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินได้ไม่หมดไม่สิ้น! 

ขณะที่นิตยสาร Forbes (18 ม.ค. 2020) ก็พาดหัวหวือหวาไม่แพ้กันว่า Digital Crack Cocaine: The Science Behind TikTok’s Success (โคเคนดิจิทัล: วิทยาศาสตร์เบื้องหลังความสำเร็จของติ๊กต่อก) โดยสื่อนัยยะว่า ติ๊กต่อกทำให้สมองติดคลิปวิดีโอและต้องเสพต่อเนื่องแบบเดียวกับคนติดโคเคนที่เป็นสารเสพติด 

หากไม่ได้ดูก็จะเกิดอาการ ‘ลงแดง’ เอาง่ายๆ [3]  

ฉะนั้น ‘สมองแบบติ๊กต่อก’ จึงดูจะเป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริง ดังที่มีงานวิจัยเรื่องนี้ที่ตีพิมพ์อยู่หลายฉบับ ลองมาดูตัวอย่างบางส่วนกัน 

งานวิจัยชิ้นแรกตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications [4] โดยผู้วิจัยพบว่าเมื่อทำแบบจำลองคณิตศาสตร์ขึ้น ก็เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การใช้แอปติ๊กต่อกติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้การตั้งสมาธิและควบคุมความคิดเพื่อทำเรื่องต่างๆ นั้น ทำได้ในเวลาที่หดสั้นลงลงอย่างมีนัยสำคัญ 

ปรากฏการณ์นี้ไม่พบในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ทดสอบร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม

เรื่องแบบนี้ส่งผลกับอินฟลูเอนเซอร์ระดับท็อปเอง ดังกรณีของ ติ๊กต่อกเกอร์ (TikToker) ชื่อ เอ็มม่า แชมเบอร์เลน (Emma Chamberlain) ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 10 ล้าน โดยเธอพบว่าติ๊กต่อกทำให้เธอหมกมุ่นกับมันอย่างรุนแรง จนในที่สุด เธอต้องใช้วิธี ‘หักดิบ’ ลบโปรไฟล์ของเธอทิ้ง เธอมองว่าการตัดสินใจครั้งนั้นถือเป็นย่างก้าวที่ ‘เปลี่ยนชีวิต’ เลยทีเดียว โดยเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากลบแอปติ๊กต่อกทิ้ง เธอก็เลิกกลิ้งไปกลิ้งมาส่องแอปทั้งวัน วันละหลายๆ ชั่วโมงโดยไม่สนใจโลกรอบตัว 

เริ่มสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้อีกครั้ง

เอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ของติ๊กต่อก มีความสามารถในการคัดเลือกคลิปแบบจำเพาะสำหรับคุณ (For You) ได้อย่างเยี่ยมยอด ทำให้เราดูต่อเนื่องกันไปได้ไม่หยุดหย่อนเป็นชั่วโมงๆ 

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง [5] จากมหาวิทยาลัยเยลและมหาวิทยาลัยยอร์กเผยให้เห็นว่า ระบบอัลกอริทึมของติ๊กต่อกทำงานแตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลอื่นๆ ที่เหลือ โดยอัลกอริทึม (algorithm) ของมันเน้นไปที่วิดีโอที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละคนมากๆ 

ผู้ใช้งานแต่ละคนจะไม่ได้เชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ใช้งานคนอื่น แต่กลับมีลักษณะคล้ายกับปฏิสัมพันธ์กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา 

มีงานวิจัยชิ้นอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่า การตอบสนองของเอไอแบบนี้ ทำให้เราตอบสนองกับมันได้มากกว่า ทำให้หลั่งโดพามีนได้ง่ายกว่า และเสพติดมันได้ง่ายและได้มากขึ้นเรื่อยๆ 

ปรากฏการณ์แบบนี้มีข้อเสียอะไรบ้างหรือไม่?

การที่คลิปติ๊กต่อกมีความยาวเพียง 15 วินาที ทำให้คนที่ดูมันเยอะๆ ตลอดเวลา เช่น วันละหลายๆ ชั่วโมง ตื่นมาก็ดูเลย จะนอนก็ต้องดูก่อน มีแนวโน้มจะมีสมาธิที่สั้นลง เบื่ออะไรที่ยาวๆ จนไม่สามารถอ่านหนังสือเล่มหนาๆ หรือดูสารคดียาวๆ ได้ เพราะกิจกรรมสองอย่างหลังนี้ ต้องใช้สมาธิจดจ่ออย่างยาวนานต่อเนื่องมากกว่า และเป็นกิจกรรมที่ลักษณะการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้ากว่า   

แม้แต่คลิปยูทูบที่ยาวกว่าก็ยังอาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ!!!

แต่ผลเสียที่ร้ายแรงกว่าก็คือ สมองเราอาจจะสับสน เชื่อในสิ่งที่เห็นในติ๊กต่อก ซึ่งผ่านการปรับแต่งดัดแปลง ราวกับมันเป็นเรื่องจริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ เช่น ทำให้เราซื้อสินค้าที่โฆษณาบนติ๊กต่อกได้ง่ายกว่าปกติจากความคุ้นเคยที่เห็น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความต้องการใช้งาน

มีวิธีการป้องกันหรือแก้ไขไม่ให้เกิดผลเสียดังกล่าวหรือไม่?

การหยุดติ๊กต่อกก็อาจจะคล้ายกับความพยายามเลิกสิ่งเสพติดต่างๆ คือ ต้องอาศัยกำลังใจไม่น้อย แต่ที่สำคัญที่สุดและเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญก็คือ ต้องระลึกรู้ตัวเองว่าติดติ๊กต่อกมากจนเริ่มเป็นปัญหาแล้ว และต้องการแก้ไขในเรื่องนี้ 

หากเป็นกรณีเด็กในบ้าน ก็อาจต้องทำข้อตกลงให้ดูติ๊กต่อกได้น้อยลง และชวนให้ไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายและสติปัญญาให้มากขึ้น มองหางานอดิเรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬา ดนตรี การท่องเที่ยว หรือแม้แต่กิจกรรมอาสาสมัครทั้งหลาย ฯลฯ 

นอกจากนี้ ยังมีแอปอีกหลายแอปที่สามารถตั้งเวลาเตือน ทำให้เรารู้ตัวว่าใช้เวลากับแอปติ๊กต่อกมากเกินไปแล้วได้ สามารถดาวน์โหลดแอปพวกนี้มาใช้เป็นตัวช่วยได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการนอนไม่พอที่เป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่น ซึ่งอาจทำความเสียหายกับสมองได้มาก จึงควรเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายให้ห่างไกลห้องนอนไว้  

สรุปง่ายๆ คือ จัดการเรื่องการใช้เวลาให้เหมาะสมมากขึ้น แต่หากมีอาการติดมาก อาจต้องขอรับความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดต่อไป 

เอกสารอ้างอิง

1. https://wallaroomedia.com/blog/social-media/tiktok-statistics/ 

2. https://www.wsj.com/articles/tiktok-brain-explained-why-some-kids-seem-hooked-on-social-video-feeds-11648866192

3. https://www.forbes.com/sites/johnkoetsier/2020/01/18/digital-crack-cocaine-the-science-behind-tiktoks-success/?sh=6fdb1e8078be 

4. Lorenz-Spreen, P., Mønsted, B.M., Hövel, P. et al. Accelerating dynamics of collective attention. Nat Commun 10, 1759 (2019). https://doi.org/10.1038/s41467-019-09311-w 

5. Bhandari, A., & Bimo, S. (2020). TIKTOK AND THE “ALGORITHMIZED SELF”: A NEW MODEL OF ONLINE INTERACTION. AoIR Selected Papers of Internet Research, 2020. https://doi.org/10.5210/spir.v2020i0.11172 

Tags:

โซเชียลมีเดียสมองสมาธิสั้นติ๊กต่อก (TikTok)

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhood
    สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก่อนตัดสินใจโพสต์รูปของลูกลง SOCIAL MEDIA

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

A Street Cat Named Bob : แค่มีเธอเคียงข้าง โลกก็ไม่อ้างว้างเกินไป
Book
19 August 2022

A Street Cat Named Bob : แค่มีเธอเคียงข้าง โลกก็ไม่อ้างว้างเกินไป

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • หนังสือเรื่อง A Street Cat Named Bob ชื่อภาษาไทยว่า ‘บ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนน’ เขียนโดย James Bowen (เจมส์ โบเวน) แปลโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ สำนักพิมพ์ springbooks เป็นเรื่องราวระหว่างเจมส์ โบเวน นักดนตรีเปิดหมวก กับแมวจรจัดสีส้ม ซึ่งกลายเป็นไวรัลโด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลเมื่อหลายปีก่อน
  • การที่มีแมวสีส้มมานั่งใกล้ๆ ทำให้ภาพลักษณ์ที่เหมือนขี้ยาของนักดนตรีผมยาว แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้อ่อนโยน รักสัตว์ และดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ รายได้ในรูปของทิป จากคนที่ดูการเล่นดนตรีเปิดหมวกของโบเวน
  • นอกเหนือจากการช่วยให้โบเวนได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ได้ลุกขึ้นยืนหยัดในฐานะคน ที่เป็นผู้เป็นคนกว่าเมื่อก่อนแล้ว บ๊อบยังมอบสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งให้แก่โบเวน นั่นคือ โอกาสในการเป็นผู้ให้

ในห้วงเวลาที่คนเราดิ่งลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต สิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่มืออันแข็งแกร่งทรงพลัง ที่สามารถฉุดดึงเราขึ้นจากปลักตมเน่าเหม็นได้ในพริบตา หากแต่เป็นแค่มือธรรมดา ที่เพียงแค่คอยแตะบ่าเบาๆ แล้วบอกกับเราว่า 

“ฉันจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอก ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ จนกว่าเธอจะลุกขึ้นยืนได้เอง”

และในบางครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องเป็นมือด้วยซ้ำ สิ่งที่ช่วยปลุกปลอบกำลังใจให้กับเรา อาจเป็นแค่สายตาที่ปลอบโยนของใครสักคน หรือหางที่กวัดแกว่งของหมาตัวน้อย หรืออาจเป็นแค่อุ้งเท้านุ่มนิ่มของแมวจรจัดสักตัว

หนังสือเรื่อง A Street Cat Named Bob หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘บ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนน’ เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นจากเรื่องจริงของสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้น ระหว่างเจมส์ โบเวน นักดนตรีเปิดหมวก กับแมวจรจัดสีส้ม ซึ่งกลายเป็นไวรัลโด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลเมื่อหลายปีก่อน และทำให้บ๊อบ กลายเป็นแมวสีส้มที่มีคนรู้จักมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

ความโด่งดังของเจ้าบ๊อบ ทำให้โบเวนถ่ายทอดเรื่องราวของมันตีพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่นักอ่าน จนต้องมีเล่มต่อๆ มาอีก 5 เล่ม และสุดท้าย เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างแมวสีส้มมีผ้าพันคอ กับนักดนตรีหนุ่มผมยาว ได้กลายเป็นภาพยนตร์ฟีลกู้ด ที่สร้างความประทับใจให้แก่คอหนังและทาสแมวทั่วโลก

มิตรภาพระหว่างคนกับแมวคู่นี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่โบเวน ดิ่งลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต เขาติดยา เป็นคนจรจัดไร้บ้าน ไม่มีอาชีพการงานที่มั่นคง โบเวนมีโอกาสที่จะแก้ตัวใหม่หลายครั้ง แต่เขาไม่สนใจไขว่คว้าโอกาสที่ผ่านเข้ามา

“เราทุกคนล้วนได้รับโอกาสให้แก้ตัวทุกเมื่อเชื่อวัน โอกาสเหล่านั้นรอให้เรารับไป เพียงแต่เรามักจะไม่ค่อยสนใจเท่านั้นเอง”

จนกระทั่งโอกาสนั้นเข้ามาในรูปของแมวจรจัดตัวหนึ่ง ซึ่งโบเวนตั้งชื่อมันว่า ‘บ๊อบ’

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า อะไรคือเหตุผลทำให้โบเวนเปิดใจรับโอกาสที่โผล่เข้ามาในรูปแมว อาจเพราะเขาเป็นทาสแมวมาตั้งแต่เด็ก หรืออาจเพราะจิตใจที่อ่อนโยน ทำให้โบเวนทนไม่ได้ที่จะไม่ดูแลแมวจรจัดที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บและหิวโหย

หรือไม่แน่ว่า ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเพราะความตั้งใจของบ๊อบตั้งแต่แรก

เราไม่ได้เลือกแมว แต่แมวต่างหากที่เลือกเรา

คำกล่าวข้างต้น อาจดูเป็นเรื่องตลกที่ตั้งใจเขียนให้เป็นมีม แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีความจริงอยู่ในคำกล่าวนั้น เพราะหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า บรรพบุรุษของแมวไม่ได้ถูกคนทำให้กลายเป็น ‘สัตว์เลี้ยง’ แต่มันเลือกที่จะเข้าหาคนเอง โดยเริ่มต้นจากความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ (แมวช่วยจับหนูให้คน คนให้อาหารและที่พักพิงแก่แมว) ก่อนจะพัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม

ขณะที่หมาถูกคนทำให้กลายเป็น ‘สัตว์เลี้ยง’ ได้ง่าย เพราะสัญชาตญานการเคารพลำดับชั้นในฝูง ทำให้หมามองคนที่เลี้ยงดูมันเป็นจ่าฝูง แต่แมว ไม่ใช่สัตว์สังคม มันไม่รู้จักลำดับชั้นในฝูง การที่แมวสักตัวหนึ่งเข้ามาอยู่กับคน เพราะมันเลือกที่จะมาเอง เลือกที่จะอยู่เอง และขณะเดียวกัน แมวก็สามารถเลือกที่จะไปเองได้ด้วยเช่นกัน

แม้ว่าการอยู่กับคนจะทำให้แมวได้รับผลประโยชน์ แต่ด้วยความที่แมวมีสัญชาตญานนักล่าสูง ทำให้มันสามารถหาอาหารกินเองได้ (ซึ่งต่างจากหมา ที่ถูกทำให้กลายเป็น ‘สัตว์เลี้ยง’ จนแทบไม่สามารถล่าเหยื่อได้ด้วยตนเองอีกต่อไป) และนั่นหมายความว่า แมวไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคน ก็สามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าในชนบท หรือในเมืองใหญ่

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมว จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ตรงไปตรงมา แทบไม่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง และก็คงไม่ผิด ถ้าเราจะกล่าวว่า การที่แมวตัวใดตัวหนึ่ง เลือกอยู่กับคนๆ หนึ่ง เป็นเพราะความพึงพอใจ (หรือความรัก) ล้วนๆ

ย้อนกลับมาที่ความสัมพันธ์ระหว่างโบเวนกับบ๊อบ จะเห็นได้ชัดว่า บ๊อบเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยู่กับโบเวน แม้ว่าการพบกันในตอนแรกอาจเป็นความบังเอิญ และความสงสารทำให้โบเวนยอมให้บ๊อบเข้ามาอยู่ในห้องพักด้วย โดยเขาตั้งใจว่า เมื่อบ๊อบหายดีแล้ว เขาจะปล่อยให้มันกลับไปใช้ชีวิตแมวจรข้างถนนดังเดิม เนื่องจากโบเวนรู้ตัวดีว่า สถานะคนจรจัดที่หาเลี้ยงตัวเองด้วยการเล่นดนตรีเปิดหมวก ไม่น่าจะเป็นสถานภาพที่มั่นคงพอจะเลี้ยงดูใคร หรือ ‘อะไร’ สักตัวได้

แต่โบเวนคิดผิด เพราะสิ่งที่บ๊อบต้องการ ไม่ใช่การเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีคนดูแล หากแต่เป็น ‘มิตรภาพ’ บนพื้นฐานการยอมรับกันและกันอย่างเท่าเทียม

จากคำบอกเล่าของโบเวนในหนังสือ เขาพยายามทิ้งบ๊อบไว้ข้างถนน และแอบหนีไปเล่นดนตรีเปิดหมวก แต่บ๊อบกลับเดินตามเขาไปติดๆ กระโดดขึ้นรถโดยสารประจำทางคันเดียวกัน ทำให้ในที่สุด โบเวนต้องยอมให้บ๊อบตามไป ‘ทำงาน’ กับเขาด้วย

 แล้วโบเวนก็พบว่า เขาตัดสินใจไม่ผิด การที่มีแมวสีส้มหน้าตาหล่อเหลามานั่งใกล้ๆ ทำให้ภาพลักษณ์ที่เหมือนขี้ยาของนักดนตรีผมยาว แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้อ่อนโยน รักสัตว์ และดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ รายได้ในรูปของทิป จากคนที่ดูการเล่นดนตรีเปิดหมวกของโบเวน (เมื่อมีบ๊อบมาเป็นแมวกวัก) พุ่งสูงสุดเท่าที่เขาเคยเล่นดนตรีเปิดหมวกมา

และนั่นคือ จุดเริ่มต้นในการประกอบอาชีพอย่างจริงจังของโบเวน

คน + แมว = คนใจดีน่ารัก

“การเห็นผมอยู่กับแมว ทำให้ผมดูอ่อนโยนลงในสายตาของพวกเขา” โบเวน กล่าว 

ต้องบอกว่า โบเวนไม่ได้คิดไปเอง เพราะเคยมีงานสำรวจหลายชิ้น สรุปได้ว่า ชายหนุ่ม หรือหญิงสาว ที่กำลังจูง หรืออุ้มสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นแมว หรือหมา จะดูเป็นคนใจดี น่ารัก และไม่เป็นพิษเป็นภัยในสายตาคนอื่น ขณะที่บางคนถึงกับบอกว่า ผู้ชายหรือผู้หญิงที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างๆ จะดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากขึ้น

และที่น่าสนใจก็คือ ผู้ถูกสำรวจหลายคน บอกว่า เขาหรือเธอ รู้สึกสบายใจที่จะเดินเข้าไปพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างๆ มากกว่าคนแปลกหน้าที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างกาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนแปลกหน้าที่อยู่ในสถานะคนจรจัด ติดยาเสพติด ซึ่งรวมกันแล้ว น่าจะจัดอยู่ในสถานภาพที่ต่ำสุดในสังคม

จากพื้นฐานครอบครัวที่แตกร้าว ทำให้โบเวน เดินเข้าสู่เส้นทางที่พาตัวเองก้าวลงเหวลึกลงเรื่อยๆ ในโลกที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน เป็นโลกที่เปลี่ยวเหงาอย่างโหดร้ายที่สุด ในที่สุด โบเวน หันเข้าหายาเสพติดที่รุนแรงมากขึ้น นั่นคือ เฮโรอีน เพื่อให้มันเป็นเพื่อนเคียงข้างเขาก้าวผ่านความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่

“เป็นเรื่องง่ายที่จะหาข้ออ้างสำหรับการติดยาเสพติด.. สำหรับผมมันเกิดจากความเปล่าเปลี่ยวล้วนๆ เฮโรอีนทำให้ผมตายด้านกับความโดดเดี่ยว… เฮโรอีนจึงเป็นเพื่อนผม”

ขณะที่ยาเสพติดทำให้ความเป็นคนของโบเวน ถูกลดทอนลงเรื่อยๆ ยิ่งผนวกกับการไร้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพ จนต้องกลายเป็นคนจรจัดไร้ที่ซุกหัวนอน ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น โบเวนแทบไม่เหลือความเป็นคนในสายตาของคนอื่นอีกแล้ว

“การนอนข้างถนนในกรุงลอนดอน ทำลายศักดิ์ศรีและความมีตัวตนของเรา จริงๆแล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ ที่เลวร้ายที่สุดคือ มันจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับตัวเรา พวกเขาเห็นเราอยู่ข้างถนน แต่ปฏิบัติกับเราราวกับว่าไม่มีตัวตน พวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรา ในไม่ช้าเราก็จะไม่มีเพื่อนแท้อยู่บนโลกใบนี้”

การถูกมองและถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่คน อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โบเวน เพิกเฉยต่อโอกาสในการแก้ตัว ที่ผ่านเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งปฏิเสธโอกาสที่จะแก้ตัว ชีวิตของโบเวนก็ยิ่งตกต่ำลง ยิ่งชีวิตของเขาตกต่ำลง เขาก็ถูกสังคมทอดทิ้งมากขึ้น วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น

จนกระทั่ง แมวชื่อ บ๊อบ ก้าวเข้ามาในชีวิตของโบเวน

“การมีบ๊อบอยู่ด้วย ทำให้ผมมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน… มันทำให้ผมเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะหลังจากที่เคยไม่มีชีวิตจิตใจมาก่อน ผมกำลังได้ตัวตนกลับคืนมา จากที่ไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญ ตอนนี้ ผมกำลังจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง”

นอกเหนือจากการช่วยให้โบเวนได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ได้ลุกขึ้นยืนหยัดในฐานะคน ที่เป็นผู้เป็นคนกว่าเมื่อก่อนแล้ว บ๊อบยังมอบสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งให้แก่โบเวน นั่นคือ โอกาสในการเป็นผู้ให้

สุขจากการเป็นผู้ให้

การเป็น ‘ผู้ให้’ น่าจะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่อยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิต และรับบทบาท ‘ผู้รับ’ มาโดยตลอด

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ บอกกับเราว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่บ๊อบมอบให้โบเวน ก็คือ โอกาสในการแสดงบทบาทของการเป็นผู้ให้ ดูแลช่วยเหลือผู้อื่น และสิ่งที่ตามมาก็คือ ความรับผิดชอบ การเลิกยาเสพติดอย่างเด็ดขาด และการประกอบอาชีพอย่างจริงจัง จนโบเวนได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง

“ผมไม่เคยมีความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่นในชีวิตอย่างจริงจัง… ผมจำเป็นต้องดูแลตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ… ผลคือ ผมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง… การที่บ๊อบเข้ามาในชีวิตผมเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ อยู่ดีๆ ผมก็มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมา สุขภาพและความสุขของอีกคนขึ้นอยู่กับผม”

ในตอนท้ายของเรื่อง บอกกับเราว่า การมีบ๊อบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่เพียงแต่ทำให้โบเวน ปีนขึ้นจากเหวลึกที่ต่ำสุดในชีวิต ได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้ง แต่ยังช่วยให้เขากลับมาประสานรอยร้าวในครอบครัวอีกด้วย

และการที่บ๊อบสามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เพราะมันมีมนต์วิเศษอะไรเลย แต่เป็นเพราะบ๊อบรู้ว่า ในห้วงเวลาที่คนเราดิ่งลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ก็เพียงแค่ใครสักคน (หรือแมวสักตัว) ที่อยู่เคียงข้าง จนถึงวันที่เราลุกขึ้นยืนได้เอง

………………..

หมายเหตุ – บ๊อบกับโบเวน อยู่ด้วยกันจนถึงวันที่บ๊อบจากโลกไป เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2020 ในปัจจุบัน โบเวน ทำงานเป็นนักเขียน และอุทิศเวลาที่เหลือให้กับงานสังคมสงเคราะห์ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสัตว์และคนจรจัด

Tags:

สัตว์เลี้ยงการให้A Street Cat Named Bobบ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนนJames Bowenแมวโอกาส

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Social Issues
    เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • “บนโลกนี้มีเด็กเก่งมากมาย เขาแค่ไม่ได้รับโอกาส” คุยกับ ไมกี้ – นิธิยุทธ วงศ์พุทธา นักประดิษฐ์รุ่นเยาว์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • EF (executive function)Adolescent Brain
    ‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Losers EP.3 แบล็ค แจ็ค: พรสวรรค์ที่เกือบสูญเปล่า เพราะคำว่า ‘Low Self-Esteem’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

สารจากรูปแบบความสัมพันธ์กับสิ่งของ
Myth/Life/Crisis
18 August 2022

สารจากรูปแบบความสัมพันธ์กับสิ่งของ

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • บางครั้งความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งของในบ้าน สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง น่าคิดว่าเรามีสัมพันธ์กับวัตถุต่างๆ อย่างไร และสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตหรือไม่
  • วัตถุและสิ่งของที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน อาจบอกเราได้ว่าสภาพความเป็นอยู่หรือพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างไร โดยสิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตกลับมาให้เราเห็นได้อย่างน่าสนใจ
  • ลองมองไปรอบๆ อีกที ว่าวัตถุที่เราสัมพันธ์ด้วยกำลังส่งสารอะไรแก่เรา มีที่มาที่ไปอย่างไร และ‘รูปแบบ’ ที่เราสัมพันธ์กับของสิ่งหนึ่ง กำลังเกิดซ้ำในมิติอื่นๆ ของชีวิตด้วยหรือไม่

1.

เวลาชาร์ตโทรศัพท์มือถือ ก่อนนำมาใช้ได้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มจริงๆ ก่อนหรือเปล่า?

โทรศัพท์มือถือที่ไม่ใส่ใจจะชาร์จให้เต็มในระหว่างวัน

คุณเสาร์(นามสมมุติ)เคยชินกับการโหมงานติดต่อกันทีละนานๆ โดยไม่ค่อยเว้นช่วงเวลาให้ตัวเองพักเต็มที่ เขาทำตามความเคยชินกระทั่งร่างกายเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดินไปมาในบ้าน  

เพื่อนของคุณเสาร์ถามขึ้นว่า “ปรกติเวลาชาร์ตโทรศัพท์ คุณปล่อยให้แบตเตอรี่เต็มก่อนนำมาใช้หรือเปล่า?” 

เขาแวบเข้าใจรูปแบบบางอย่างชัดขึ้น เพราะยกเว้นการชาร์จแบตข้ามคืน ในระหว่างวันนั้นเมื่อแบตที่พร่องไปได้รับการเติมขึ้นมาเพียงนิดหน่อยแล้ว เขาก็มักจะนำโทรศัพท์มาใช้ต่อเลย จนหลายครั้งก็ถึงขั้นโทรศัพท์ดับไปเอง

และสิ่งนี้ก็สะท้อนกลับมายังรูปแบบการทำงานที่เขาไม่ค่อยเว้นวรรคเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่หลังจากจบงานหนึ่งๆ ก่อนจะเริ่มงานต่อๆ ไป ด้วย  

การทำงานได้ถูกเขาใช้ตอบสนองแรงขับที่ต้องการถมช่องว่างแห่งประสบการณ์ ส่วนโทรศัพท์มือถือยังถูกเขาใช้ตอบสนองความปรารถนาจะเชื่อมต่อกับมนุษย์คนอื่นและหนีออกจากความเดียวดาย 

แต่การพักและการเว้นช่องว่างก็เป็นส่วนหนึ่งของความเต็ม รวมถึงเป็นส่วนสำคัญของการก้าวต่อไป ในที่สุด เขาก็ได้กลับมาสัมผัสกับอีกด้านในตัวเองที่ปรารถนาในความหยุดนิ่ง เงียบงันและปลีกวิเวก

สิ่งของพังๆ 

เมื่อเห็นโทรศัพท์หน้าจอแตกร้าวแบบที่แทบจะอ่านอะไรไม่รู้เรื่องแล้วและวัตถุพังๆ ของใครก็ตาม ดูผิวเผินคล้ายผู้ถือครองนั้นเป็นคนประหยัด หรือเขาอาจมีความทรงจำบางอย่างติดอยู่กับวัตถุพังๆ อันนั้น

แต่อีกอย่างที่ถามได้ก็คือ 

เหตุใดคนๆ นั้นจึงไม่สนใจซ่อมสิ่งต่างๆ ให้ทำงานได้สมบูรณ์ หรือไม่ยอมทิ้งอะไรที่หมดสภาพที่จะใช้ต่อแล้ว? 

เขารู้สึกว่าตน ควรค่ากับอะไรพังๆ หรือไม่?

หรือ กลัวว่าถ้าเขาไม่พังแล้ว จะต้องพลัดพรากกับคนที่สัมพันธ์อยู่ด้วยตอนนี้ หรือไม่? 

เขากำลังทนกับความสัมพันธ์พิษซึ่งมีความทารุณกรรมบางอย่างร่วมด้วยหรือไม่? 

เขาให้ค่ากับการ ‘ทนทุกข์’ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับการร่วมทุกข์อย่างมีปัญญาหรือไม่? 

วิถีการเงินของเขาเป็นอย่างไร?

เขามีอาการป่วยเรื้อรังที่ไม่ใส่ใจจะรักษาหรือไม่สนใจจะทำงานกับมันให้คลี่คลายด้วยหรือไม่? 

เขากำลังทนใช้สิ่งของอย่างอื่นที่ทำให้ชีวิตและจิตใจติดขัด เพียงเพราะคนอื่นนำมาให้ใช้นานแล้วและขี้เกียจเปลี่ยน หรือเพียงแค่ ไม่กล้าปฏิเสธ หรือไม่? เขาไม่กล้าปฏิเสธคนอื่นในเรื่องที่เป็นนามธรรมอย่างความคาดหวังและอุมดมการณ์ที่ถูกยัดเยียดมาจากภายนอกด้วยหรือไม่? หากเขาไม่ต้องการ อะไรทำให้เขาไม่กล้าสลัดมันทิ้งไป?

สถานการณ์ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ถาม และสารของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปได้ อย่างไรก็ตาม ถึงจุดหนึ่ง เราทุกคนอาจต้องล่องเรือออกจากสิ่งที่คุ้นเคย และลอกคราบผลัดเปลี่ยน

2.

ความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งของในบ้าน ยังบอกอะไรได้อีกหลายอย่าง

ชายคนหนึ่งวางเครื่องใช้ไฟฟ้าพังๆ ทิ้งไว้ในครัวเป็นเวลานาน เมื่อถูกถาม เขานึกขึ้นได้ว่าเขามักทิ้งของพังๆ ไว้แล้วพ่อเขาจะนำไปซ่อม เขานึกได้อีกว่าตนทำแบบนี้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย

ยังมีคนซุกซ่อนของที่ทำให้ขุ่นเคืองกันเอาไว้ในบ้าน เช่น ถ้วยแตกร้าวที่เป็นของโปรดคนรักซึ่งยังคงหาว่าตนทำมันพังทั้งที่ตนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย การดำรงอยู่ของถ้วยแตกร้าวนั้นสะท้อนว่าฝ่ายที่ถูกกล่าวหาดูเหมือนยังมีอะไรจะบอก และเธอยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยในบ้านของตัวเอง

มีคนที่กองข้าวของรุงรังไว้บนฝั่งหนึ่งของเตียง มากเสียจนขวางทางเปิดประตูห้องนอน เมื่อถูกถาม เขาสะเทือนใจมาก เตียงนอนนั้นเชื่อมโยงกับสัมพันธ์รักและความชิดใกล้ เขาบอกว่าคนรักเก่าทำลายเขา และเขาหวาดกลัวที่จะมีความสัมพันธ์รักโรแมนติกอีก 

น่าสนใจว่าเราสัมพันธ์กับวัตถุต่างๆ อย่างไร? ในบ้านเรามีอะไรบ้าง เราวางอะไรไว้ตรงไหน, ผนังห้องนอนเราแขวนรูปอะไรไว้บ้าง? หรือแม้แต่รูปแบบการกินข้าว ใครบางคนมักตักของกินมีราคาที่ตัวเองชอบให้คนอื่นกินไปก่อน หรือบางคนรีบกินของที่ชอบเยอะๆ ไปก่อน หรือบ้างก็เก็บของชอบไว้ให้ตัวเองกินทีหลัง แล้วบางทีก็เลยอดกิน, วิถีที่เราเล่นของเล่นหรือเล่นกับเพื่อนเล่นในวัยเด็กเป็นอย่างไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ มันเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตหรือไม่ อย่างไร?

มันกำลังส่งเสริมเรา หรือมันกำลังขัดขวางความไหลลื่นงอกงามของชีวิตเรา?

3.

ลองมองไปรอบๆ อีกทีสิ วัตถุที่เราสัมพันธ์ด้วยกำลังส่งสารอะไรแก่เรา? 

มันมีที่มาที่ไปอย่างไร?

‘รูปแบบ’ ที่เราสัมพันธ์กับของสิ่งหนึ่ง กำลังเกิดซ้ำในมิติอื่นๆ ของชีวิตด้วยหรือไม่?

อ้างอิง

Listen to Monster in Your Closet โดย Star Hansen

Tags:

ความสัมพันธ์การใช้ชีวิตรูปแบบสิ่งของ

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ความท็อกซิกไม่ได้ถูกสร้างในวันเดียว ถอนพิษด้วยการรู้ทันความต้องการตนเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Bai Lan’ เมื่อชีวิตไม่อยากทำอะไร นอกจากการตื่นสายและใช้ชีวิตไปวันๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Brooklyn Nine-Nine: ถึงรับปากไม่ได้ว่าพ่อจะเข้าใจ แต่พ่อจะพยายาม

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ถอดบทเรียน 4 โมเดล พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ สู่อนาคตการศึกษาที่ยั่งยืน
18 August 2022

ถอดบทเรียน 4 โมเดล พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ สู่อนาคตการศึกษาที่ยั่งยืน

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ตลอด 50 ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ระบบการศึกษาไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ จนทำให้เป้าหมายทางการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและระดับอุดมศึกษา ถูกเบี่ยงเบนไปจากคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
  • งานประชุมวิชาการ Education Journey 50 ปี การศึกษาไทย จัดเสวนาหัวข้อ ‘ถอดบทเรียนงานพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนจากโมเดลกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย’ จากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ใน 4 โครงการ
  • แต่ละโครงการต่างมีมุมมอง เป้าหมาย และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป ทว่ามีเป้าหมายร่วมกันคือ การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ สร้างการเปลี่ยนแปลงและช่วยพัฒนาการศึกษาในแต่ละพื้นที่

ตลอด 50 ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าระบบการศึกษาไทยนั้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจสังคม ความเชื่อ และการให้คุณค่ากับปริญญาบัตร จนทำให้เป้าหมายทางการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและระดับอุดมศึกษา ถูกเบี่ยงเบนไปจากคุณภาพการเรียนรู้ สู่การมุ่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของความสำเร็จตามค่านิยมของสังคม

อีกทั้งการยึดโยงกับระบบราชการ ได้ทำให้เกิดแนวปฏิบัติของโรงเรียนที่สนองตอบการวัดและประเมินผลแบบตายตัว บุคลากรทางการศึกษาถูกโถมทับด้วยภาระงานและนโยบายจากบนลงล่าง ขาดแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ ส่งผลต่อการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่สามารถส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพลิกผันของสังคมโลก

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาได้มีความพยายามจากหลายภาคส่วนเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ให้พ้นไปจากกับดักดังกล่าว โดยหลายโครงการได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและช่วยพัฒนาการศึกษาในแต่ละพื้นที่ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งใน งานประชุมวิชาการ Education Journey 50 ปี การศึกษาไทย ได้มีการ ‘ถอดบทเรียนงานพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนจากโมเดลกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย’ จากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ใน 4 โครงการ ได้แก่ 

โครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดย รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์

โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา โดย รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ หัวหน้าชุดโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา

โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง โดย ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ.

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น โดย ดร.ศุภโชค ปิยะสันต์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี จังหวัดเชียงราย

แต่ละโครงการต่างมีมุมมอง เป้าหมาย และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป The Potential ชวนถอดรหัสความสำเร็จของแต่ละโครงการผ่านการบอกเล่าของผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 ท่าน 

โครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา: รศ.ประภาภัทร นิยม

“เรื่องของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เป็น Movement ของการเปลี่ยนแปลงทิศทางการศึกษา เดิมการศึกษาจะเป็นในลักษณะของการที่ ‘ผู้จัดอยากจัดอะไร’ แต่ไม่ได้ถามว่า ‘ผู้รับอยากได้อะไร’ ทีนี้พอเรามาปรับกลับหัวกลับหางกัน คือไปสู่การที่ผู้รับการศึกษาอยากได้อะไร จึงเป็นการปฏิรูปการศึกษาอีกแบบหนึ่งที่วิธีคิดไม่เหมือนเดิม

ความเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ต้องทดลองใน Education Sandbox ก็เป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งในช่วงนั้นเรามีวิสัยทัศน์ของรัฐบาลคือ ประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และพูดถึงเรื่องคณะกรรมการอิสระที่ท่านได้ชูประเด็นการบริหารจัดการศึกษาใหม่ที่เน้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และมีพรบ. ขึ้นมาหลายฉบับ ซึ่งก็มีการร่างพรบ.การศึกษาฉบับใหม่ด้วย มีพรบ. ย่อยคือ พรบ. ปฐมวัย และ พรบ. พื้นที่นวัตกรรมการสึกษา”

รศ.ประภาภัทร เล่าว่า นี่เป็นไอเดียที่ไปผสานกับคณะกรรมการอิสระ ก็เลยดีไซน์  Education Sandbox ในสเกลจังหวัดที่เป็นสเกลที่จัดการได้พอสมควร เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาที่มีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 4 ข้อ ได้แก่

  1. สร้างและพัฒนากลไกความร่วมมือทุกภาคส่วน
  2. เพิ่มผลสัมฤทธิ์ ผลิต/พัฒนา/ขยายผล นวัตกรรมการศึกษา
  3. ลดความเหลื่อมล้ำ
  4. กระจายอำนาจและให้อิสระ

ซึ่งจุดเด่นของกระบวนการทำงานก็คือ การทำเรื่องของ Ownership และ Empowerment เพื่อสร้างความรู้สึกของการเป็นเจ้าของของการจัดการศึกษาในพื้นที่ของจังหวัด โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจจากภาคีต่างๆ แล้วมาแชร์เป้าหมายร่วมกัน

“กลไกที่ดำเนินงานสำคัญๆ ก็มีคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และจากคณะกรรมชุดนี้ก็ตั้งอนุกรรมการไปอีก 6 ชุด เพื่อดูแลเรื่องของวิชาการ บุคคล งบประมาณ ยุทธศาสตร์ และการมีส่วนร่วม และมีคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่ในจังหวัด หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ ดำเนินงานในพื้นที่และประสานกับคณะกรรมการนโยบายฯให้บรรจุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ประกอบไปด้วยองค์ประกอบในพื้นที่ที่มาจากเขตพื้นที่การศึกษาของ สพฐ. ไม่ว่าจะเป็น สพป. สพม. และทุกสังกัดทั้ง อบจ. อบต. และมีทั้งภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมมาเป็นคณะกรรมการขับเคลื่อน ก็ค่อนข้างจะดูดีทั้งสองชุด แต่ก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น

หลักๆ คือเราไปเคลื่อนสร้างระบบนิเวศในพื้นที่ของการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ รวมถึงนิเวศในโรงเรียนแและสถานศึกษาเสียใหม่ เพราะไม่เช่นนั้นภาชนะดีๆ ที่เราได้มาก็จะเล็กเกินไป หรือรั่ว หรือรับไม่ได้ บางทีใส่ไปครั้งหนึ่งก็หายไป ไม่มีคนทำต่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราไปทำคือไปเคลื่อนระบบนิเวศให้สมบูรณ์ขึ้นทั้งในระดับจังหวัด และระดับสถานศึกษา

เราต้องการความร่วมมือจากผู้คนหลายฝ่ายมาก ตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับปฏิบัติ ที่สำคัญคือต้องทำอย่างไรเราจึงจะสามารถสร้างระบบนิเวศขึ้นมาใหม่ทำให้สิ่งที่เราคิดและทำ สามารถเกิดขึ้นจริงกับนักเรียนได้”

“นวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมและความสำเร็จที่เกิดขึ้น มี 2 ระดับด้วยกันค่ะ ระดับบนก็จะเป็นระดับนโยบาย ที่มีการออกประกาศของคณะกรรมการนโยบายที่ออกในราชกิจจานุเบกษาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิชาการที่ปลดล็อกไปได้หลายอย่าง

โรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสามารถเลือกใช้หลักสูตรได้หลายประเภท ไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานปี 2551 ที่มี 8 สาระวิชา แต่สามารถที่จะเลือกพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของตัวเองได้ และมีการออกประกาศเกณฑ์รับรองการวัดและประเมินผล เทียบโอนตามมาตรฐาน

ลงไปในระดับกลาง หรือ MESO ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดว่าจะใช้วิธีไหน แต่ที่ดิฉันทำที่ระยองก็สามารถไปได้เยอะ เกิดโครงสร้างที่จริงจังและชัดเจนมากขึ้น เพราะเราใช้ฐานภาคีการมีส่วนร่วมอยู่วงตรงกลาง อีกด้านคือสร้างเป้าหมายร่วมกันเป็น Ownership จากภาคีประมาณ 65 ภาคี ให้มีความเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าภาพ

ใน 10 จังหวัดจึงมียุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และมีหลักสูตรจังหวัดด้วยคือ ‘Rayong Macro’ พอจัดระบบหลักสูตรได้ จึงเริ่มมีการโฟกัสที่ท้องถิ่น การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาก็มีความเป็นไปได้

ต่อมาในเรื่องการ Empowerment ก็เกิดนวัตกรรมขึ้นเยอะแยะเลย มีการสร้างกลไกในพื้นที่ขึ้นที่เรียกว่า Rayong Inclusive Learning Academy เกิดนวัตกรรมเชิงระบบและการยกระดับทั้งสภาพสังคม เทคโนโลยี และชุมชน โรงเรียนก็จะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง เราก็ใช้งานวิจัยเข้าไปช่วยทำเป็นการเปลี่ยน 7 เรื่ององคาพยพ

ยกระดับที่ 2 คือการลงไปทำกับโรงเรียน ก็จะได้เรื่องของครู สมรรถนะครู และผู้อำนวยการ รวมถึง School Concept ต่างๆ ซึ่งน่าอัศจรรย์ใจมากที่ 50 โรงเรียนนั้นมี School Concept ไม่เหมือนกันเลย เพราะแต่ละแห่งก็ขึ้นอยู่กับบริบท บางแห่งใกล้ชิดกับการเกษตร ก็เน้นทางเกษตร บางแห่งอยู่ใกล้เทคโนโลยีเขาก็ไปทาง AI เป็นต้น

ยกระดับที่ 3 คือผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ในระดับกลางที่เป็นโครงสร้าง สถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย คณะกรรมการบริหาร (Rayong Inclusive Learning Academy: RILA) โดยตัว Move หลัก หรือ RILA Move คือภาคีที่จัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ ที่จะไปเชื่อมโยงกับโรงเรียนด้วย

และเราจะมี RTA หรือ Rayong Teacher Academy ตรงนี้คือการผลิตครูโดยเอาคนระยองมาเป็นครูระยอง แล้วจึงค่อยเอาเข้าสู่ระบบ เราก็รับสมัครคนที่เรียนสายต่างๆ แล้วอยากเป็นครู โดยจัดโปรแกรม 4 โปรแกรม 

ส่วนในระดับ Micro หรือระดับโรงเรียนและสถานศึกษา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่สร้าง School Vision ด้วยกัน ในโรงเรียนเล็กๆ พบว่าทำได้ง่ายมาก เพราะเขามีความเป็นเจ้าของและมีฝันของตนเอง เราก็ไปช่วยเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน และปรับบทบาทมายเซ็ตผู้อำนวยการและครูให้มีความเป็นโค้ช ผู้อำนวยการหลายคนก็กลายเป็น Super Coach ที่สามารถไปโค้ชโรงเรียนอื่นๆ ได้ด้วย และเกิดเป็นระบบโค้ชในพื้นที่ กลายเป็นระบบ Micro และ Meso ก็มาเชื่อมต่อและเสริมกัน”

โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา: รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ


โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของ 8 มหาวิทยาลัยใน 18 จังหวัด โดย  ‘เพาะพันธุ์ปัญญา’ เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ ดังนั้น Pain point ของเพาะพันธุ์ปัญญาและการศึกษา คือการที่คุณครูขาดทักษะการสอนโครงงานใน ‘แนวคิดผลเกิดจากเหตุ’ อีกทั้งยังไม่มีใครพัฒนาครูในเรื่องนี้ทั้งกระบวนทัศน์ การสอน การประเมิน และการเรียนรู้

“การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้วิชาโครงงานปิดตายมาหลายทศวรรษ ครูยังขาดการตั้งคำถาม ทั้ง Cognitive และ Affective ก็ไม่ดีพอ จับประเด็นแบบ KM ไม่คล่อง จึงมีปัญหาทั้งกระบวนการ AL และ PLC ระบบอำนาจที่ครอบงำมานานทำให้ครูไม่กล้าหลายๆ อย่าง รวมถึงกรรมการสถานศึกษาและชุมชนไม่ได้รับการ Empower เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา

ประเด็นที่กล่าวมาเป็นจุดที่เราเข้าไปทำ แต่ที่เหลือยังมีอีกมากมาย ทีนี้พอเรามาวิเคราะห์การศึกษาในช่วงนั้นประมาณสัก 20  ปีที่แล้ว นี่ก็เป็น Standard Base Education ที่ทุกคนก็ยอมรับว่าทำให้การศึกษามันถดถอย มันอาจจะดีในบางส่วน เช่น พื้นที่การศึกษาที่กำลังเดินไปข้างหน้า

สมรรถนะจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดการปฏิบัติ ซึ่งเราต้องใช้ VASK ในการทำงาน เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้เด็กไทยมีสมรรถนะ มันหนีไม่พ้นที่เราต้องเข้าใจการเรียนรู้ทั้งสามขั้นของ Bloom ว่า จากการเรียนไปสู่ขั้นเข้าใจและไปสู่การนำไปใช้” 

สรุปหลักการเพาะพันธุ์ปัญญาในการศึกษา

  1. การเรียนรู้ต้องผ่านประสบการณ์ ปฏิรูปวิชาโครงงาน ปฏิบัติให้ถึงปริยัติโดยผ่านปฏิเวธ
  2. วิจัยคือเส้นทางไปสู่ปัญญาผ่านการสร้างความรู้ วิจัยอยู่ที่เด็ก ไม่ใช่ครู
  3. โครงงาน RBL เป็นทางลัดของ CBE และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำคุณภาพการศึกษา
  4. ต้องเป็น RBL ที่มีสมมุติฐานในระบบคิด ‘ผลเกิดจากเหตุ’ จากโจทย์มีบริบทใกล้ตัว
  5. ต้องพัฒนาระบบ/กลไกการเรียนรู้จากการทำโครงงาน
    • พัฒนา mindset การเรียนรู้จากการทำโครงงาน (หลักสูตร การสอน การประเมิน)
    • พัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ศน.
    • พัฒนาผู้ผลิตและพัฒนาครูให้เข้าใจและมีสมรรถนะ (ในการผลิตและพัฒนา)

“การพัฒนาครูเราต้องมองเป็น 3 เฟือง คือ 1 เราต้องพัฒนาระบบนิเวศในโรงเรียนก่อน ระบบที่ 2 ระบบพัฒนาครู เพราะระบบแรกต้องหมุนเฟืองระบบพัฒนาครู และระบบที่ 3 คือระบบ ศน.(ศึกษานิเทศก์) ที่มาช่วยหนุนเฟืองของการทำโครงงานที่ครูเป็นโค้ชมันจะไปได้ แต่ถ้า ศน. หมุนผิดทาง ปัญหามันจะเกิด conflict ระหว่างครูกับสถานศึกษาขึ้นทันที”

“เมื่อพูดถึงเรื่องการพัฒนาทักษะของเด็ก คือเมื่อเด็กเป็นผู้ปฏิบัติเอง เราก็รู้นะ เพราะเวลาเด็กเขามานำเสนอเราจะดูออกเลยว่าเขาพูดในสิ่งที่เขาทำ ไม่ได้พูดในสิ่งที่ครูสอนให้ท่อง เด็กเหล่านี้เวลาทำงานเขาจะมีทักษะสำคัญหลายๆ ทักษะ ที่เราเห็นชัดคือทักษะทางสังคมที่สูงมาก เพราะว่าเขามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ออกไปชุมชน ถกเถียง หาความเห็น ยอมรับความเห็นซึ่งกันและกัน 

การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม คือเวลาเด็กทำงานเราจะเห็นอย่างหนึ่งคือ เด็กเกิดการปะทะกัน เกิดปะทะทางอารมณ์ ฉุนเฉียวบ้างอะไรบ้าง เป็นธรรมชาติของเด็ก แต่เราต้องสร้างและดึงจุดนั้นออกมาเป็นการเรียนรู้ เด็กพวกนี้จะคิดเป็นทำเป็น แก้ปัญหาเป็น สื่อสารเป็น เพราะฉะนั้นทักษะใหม่ที่เราพยายามจะทำในหลักสูตรสมรรถนะ เขาก็ได้กันครบ 

มนุษย์เรารู้จากประสบการณ์ คุณครูก็มีหน้าที่ดึงเอาประสบการณ์ที่เขารู้  แต่จะทำยังไงจึงจะดึงสาระวิชาที่เรียนไปแล้วในห้องเรียนมาบูรณาการให้เกิดความรู้ใหม่ให้ได้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือเด็กทำ แล้วครูโค้ชให้เด็กเกิดการเรียนรู้ขึ้น เราจึงเรียกว่าเป็น ‘โครงการวิจัย’

ส่วนเรื่องของความสำเร็จผมแยกออกเป็น 3 ปัจจัยหลัก ประการแรกคือ มีทุนและมีเวลาที่มากพอและต่อเนื่อง สกว. สนับสนุนมาระยะ 10 ปีแรก หรือเรียกว่า ‘ยุววิจัย’ ให้เด็กทำวิจัย ในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา เพราะฉะนั้นเราสะสม เรามีทุน เรามีเวลาพอ เราสั่งสมความรู้มาค่อนข้างเยอะ

ประการที่สองคือ มีอิสรภาพพอสมควรในการทำงาน ไม่มีใครมายุ่งกับเราเท่าไหร่นัก บอร์ดรับฟังความคิดเห็นกันละกัน และซัพพอร์ตเราสารพัด สิ่งนี้จึงทำให้คนทำงานสบายใจในการทำงาน

จุดสำคัญที่สุดคือประการที่สาม เรามีขบวนการพี่เลี้ยงจาก 8 มหาวิทยาลัย  สิ่งที่เราทำคือเราสร้างหนี้บุญคุณ เราไปเปลี่ยนหนี้ที่ครูเคยได้ในระบบอำนาจ เพราะเป็นระบบที่เราเอาพี่เลี้ยงเข้าไป โดยที่เราเทรนด์พี่เลี้ยงใหม่ทุกๆ 6 เดือน ซึ่งเขาก็ไม่ใช่นักการศึกษา แต่เราเทรนด์ให้เขาเข้าใจเรื่องการศึกษา เข้าใจครู เข้าใจปัญหาของเขา เราเข้าไปอย่างกัลยาณมิตร และใช้จิตตปัญญา”

“ในการนำไปขยายผลต่อสู่ชุมชน ที่ผมเน้นคือเรื่องผลเกิดจากเหตุ หลายคนก็อาจนึกว่าเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ใช่เลย โครงงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดไม่ใช่โครงงานวิทยาศาสตร์ เพราะส่วนใหญ่จะทำในห้องแล็บ ไม่มีชีวิตชีวาและอารมณ์ความรู้สึก เราจึงไปสามารถโค้ชเด็กให้เขา Transform จากประสบการณ์ทางอารมณ์ความรู้สึกได้ เพราะฉะนั้นโครงงานเป็นเหตุเป็นผลที่มีคุณค่าที่สุดของเพาะพันธุ์ปัญญาคือ โครงงานในชุมชนและโครงงานทางด้านสังคมศาสตร์

ระบบเหตุผลแบ่งเป็น 2 ระบบ คือระบบเหตุผลของธรรมชาติ ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะกฎของธรรมชาติเป็นอย่างนั้น กับเหตุและผลของมนุษย์ เป็นระบบที่มนุษย์กำหนดผลในอนาคต เพราะนั้นสังคมศาสตร์จึงเป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นวิทยาศาสตร์สังคมใต้กฎของมนุษย์ แต่ละพื้นที่จึงมีกฎต่างกัน

เด็กจึงสามารถประยุกต์ระบบเหตุผลได้ซึ่งเหตุผลของมนุษย์ก็สามารถดิ้นได้ การทำโครงงานจึงสามารถปฏิรูปการสอนสังคมศาสตร์ได้ด้วย ถ้าเราเข้าใจว่าระบบเหตุผลมันอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ที่มนุษย์สร้างสังคมขึ้นมา เราจะออกแบบโครงงานขึ้นมาแบบที่ไม่ใช่แบบสอบถาม แต่เป็นวิธีที่สร้างเหตุและสังเกตผล เด็กก็จะสามารถสร้างหลักการทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขึ้นมาได้”

โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง: ดร.อุดม วงษ์สิงห์

“ต้นทางของการผลิตครู เราต้องเห็นปลายทางของโรงเรียน เพื่อที่เราจะสร้างครูให้ทำงานอยู่ในโรงเรียนได้และลดปัญหาต่างๆ ซึ่งพื้นที่สำคัญของการสร้างคุณภาพการเรียนรู้คือโรงเรียน”

ดร.อุดม วงษ์สิงห์ เล่าว่าได้ทำงานร่วมกับ กสศ.ประมาณ 3 ปีกว่า ทำให้ได้เห็นถึงต้นทุนก่อนหน้าของภาคีเครือข่ายค่อนข้างมาก ซึ่งโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ TSQP นั้นได้คีย์เวิร์ดมาเป็นตัวนำ โดย T คือ Teacher, S คือ School, Q คือ Quality และ P คือ Program หรือ Project

“ผมย้อนกลับไปถึงความเชื่อของเรื่องนี้ ว่าทำไมเราถึงเชื่อว่าโรงเรียนจะพัฒนาตนเองได้ เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หัวใจการจัดการเรียนรู้คือห้องเรียน แต่ว่าห้องเรียนก็คงไม่ได้ตั้งอยู่ในที่สาธารณะทั่วไป แต่ตั้งอยู่ในโรงเรียน ดังนั้นห้องเรียนกับโรงเรียนจึงเป็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ เราก็เลยหันไปดูไกด์ไลน์ของการทำงาน และเราก็มองว่ามีใครบ้างที่พูดถึงเรื่องนี้

เราไปเจอวิจัยชิ้นสำคัญของ John Hattie เป็นการวิจัยขนาดใหญ่ที่วิเคราะห์มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ หรือคุณภาพของเด็กหรือผู้เรียนบ้าง จากการวิจัยก็ได้มาเป็น 6 เรื่องที่สำคัญๆ คือ

  1. ครูต้องรู้จักศักยภาพของเด็ก
  2. การรวมพลังของครูทั้งโรงเรียน
  3. นักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาตัวเอง
  4. การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับช่วงวัย
  5. การปรับเปลี่ยนวิธีการออกแบบการเรียนรู้ของครู
  6. การดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยงหรือการจับสัญญาณเด็กนักเรียนให้ได้

นี่เป็น 6 ปัจจัยที่สำคัญมากๆ ที่จะส่งผลต่อปัจจัยการเรียนรู้ของเด็ก เพราะฉะนั้นกสศ. เองจึงได้มาออกแบบการเรียนรู้ของเด็ก โดยกระบวนการทำงาน 2 ส่วนที่สำคัญในโรงเรียน คือชั้นเรียนหรือโรงเรียนที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวเด็กที่สุด เราก็เลยสร้างเป็นโมเดลที่เป็นมาตรการของการหนุนการเรียนรู้ทั้งในสองส่วนให้ครอบคลุม ทั้งในโรงเรียนที่เป็นระบบบริหารจัดการและชั้นเรียน”

“ช่วง 3 ปีกว่าๆ ของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ประมาณ 700 โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการของเราเป็นโรงเรียนที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก คือเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีเด็กยากจน ด้อยโอกาสในสัดส่วนที่สูง เพราะฉะนั้นมาตรการที่เราพยายามให้โรงเรียนหมุนตามมาตรการ ก็มีนวัตกรรมให้โรงเรียนเลือกจาก 11 พี่เลี้ยงหรือ 11 ทีม ที่เข้าไปช่วย เราก็พยายามทำให้เกิด 2 ส่วน จากทั้งโรงเรียน ทั้งการบริหารจัดการและนวัตกรรมทีใช้ในชั้นเรียน เพื่อสร้างเด็กให้เกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 หรือว่า เรียกว่า ‘สมรรถนะ’ นั่นเอง ก็คือในส่วนของ VASK (Attitude, Skills, Knowledge) หรือคุณค่าที่เด็กจะต้องเห็น

โมเดลที่เกิดขึ้นจากโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) ในต้นแบบเองเราพบทั้ง 4 เรื่อง เรื่องแรกคือ ผลการเรียนของเด็ก โดยโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการกับทาง TSQP ผลการเรียนของเด็กก็สูงขึ้น โดยจะเป็น RT ของเด็กชั้น ป.1 ก็สูงขึ้น ในรายละเอียดในเชิงสถิติและตัวเลข

สองคือทักษะของเด็ก โครงการนี้ไม่ได้จำกัดทักษะแค่เฉพาะในชั้นเรียนหรือโรงเรียน แต่มีการถามไถ่ถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้มีส่วนร่วมในการฟีดแบ็กทักษะของเด็ก ทั้งในชีวิตประจำวันด้วยซึ่งเด็กก็ได้นำกลับไปใช้ที่บ้านตัวเอง

และเรื่องทัศนคติ หรือ Attitude ซึ่งถ้าเราดูแค่ที่ตัวเด็กอย่างเดียวคงไม่ได้ ผลที่เกิดขึ้นใน 700 โรงเรียน เราพบว่าคุณครูส่วนใหญ่ ประมาณ 60-70% มีทัศนคติที่มองว่าตัวเองต้องปรับจากคนสอนมาเป็นคนแนะนำหรือเป็นโค้ชในการเรียนรู้ของเด็ก

อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโครงการ ในมาตรการที่เราใส่เข้าไป ที่เห็นผลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือฐานข้อมูล ที่ทุกโรงเรียนต้องทำระบบสารสนเทศ ซึ่งเราก็ต้องบันทึกข้อมูลเชิงคุณภาพลงไปด้วยว่าเด็กแต่ละคนเขามีภูมิหลัง หรือครูค้นพบอะไรบ้างจากการเยี่ยมบ้าน พอใส่ข้อมูลตรงนี้ลงไปก็จะทำให้ระบบการช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ดีขึ้น ก็ไม่ถึงกับว่าเป็นรายบุคคลเสียทีเดียว แต่เราจะได้จัดกลุ่มเด็กว่าแต่ละกลุ่มต้องดูแลอย่างไรด้วยลักษณะอาการที่คล้ายกัน

ส่วนที่สองคืออัตราการหลุดออกจากระบบของโรงเรียนหรือเด็ก drop out  จากการสำรวจปีล่าสุด เราเก็บข้อมูลของเด็กที่เป็นช่วงชั้นรอยต่อก็พบว่ามี 78% ที่คงอยู่

จากช่วงโควิดที่ผ่านมา ผู้ปกครองหันมามองเด็กมากขึ้น จริงอยู่ว่าโรงเรียนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มเด็กที่ยากจนค่อนข้างเยอะ แต่พอเด็กอยู่บ้านก็ได้ใกล้ชิดกับผู้ปกครอง ผู้ปกครองก็มีการถามเข้ามาที่โรงเรียน ว่าทำอย่างไรให้ช่วยลูกของเขาหน่อย ถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ เพราะเราเห็นว่าผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้

สุดท้ายการปรับตัวของโรงเรียนที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เราคาดหวังให้เปลี่ยน 6 มาตรการที่เราหมุนในโรงเรียนบางส่วน ก็ได้ถอดเอาไปใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมของโรงเรียน อันนี้ทุกโรงเรียนก็จะมีครูแกนนำ แต่ในมิติของครูแกนนำในโครงการ TSQP จะไม่มี Power ในลักษณะของการบอกหันซ้ายหันขวาได้ทั้งโรงเรียน แต่ว่าเป็นครูที่มีทักษะทางวิชาการที่จะช่วยผู้อำนวยการและเพื่อนครูในการจัดการเรียนรู้ในลักษณะของ Active Learning ให้ได้”

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นและพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล: ดร.ศุภโชค ปิยะสันต์ 

โครงการนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนที่ห่างไกล โดยเชื่อมโยงกับโครงการเดิมที่รู้จักกันในชื่อของ ‘โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น’ ที่พยายามตอบโจทย์สังคมในประเด็นที่ว่า คุณภาพครูมีส่วนทำให้ระบบการศึกษามีคุณภาพต่ำ ซึ่งแท้จริงแล้วสาเหตุอย่างหนึ่งอาจจะมาจากการผลิตครูยังไม่รัดกุมเท่าไรนัก

“พอผลักดันทั้งโครงการเพื่อพัฒนาท้องถิ่น และโครงการครูรุ่นใหม่หลายโครงการ ก็ยังไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ จนกระทั่งได้มาพบกับทาง กสศ. จึงเป็นโครงการที่แก้ปัญหาคุณครูที่โยกย้ายในพื้นที่ห่างไกล เพราะเราประสบปัญหาโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล มีอัตราการโยกย้ายสูงเพราะครูไม่ใช่ครูพื้นถิ่น 

กสศ.เองก็มองว่าวิธีลดความเหลื่อมล้ำคือให้คนในพื้นถิ่น ที่มีโอกาสในการเรียนต่ำอยู่แล้วให้มาเรียนไปเป็นครู และกลับมาสอนที่ถิ่นตัวเอง เพราะจะยิ่งทำให้ได้แต้มต่ออีกหลายเท่า ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ จึงเกิดขึ้น

โครงการนี้จึงเป็นที่ผลิตครูเพื่อตอบสนองชุมชน ในขณะที่ผมเองก็ทำงานต่อเนื่องอีกนิดหนึ่ง คือพอเราผลิตครูเพื่อให้กลับไปพัฒนาท้องถิ่นตัวเอง เราก็ต้องป้องกันบางเรื่องในท้องถิ่นตัวเองด้วย จึงเกิด ‘โครงการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล’ ซึ่งผมก็มีโอกาสได้ไปเตรียมโรงเรียนให้กับน้องๆ ที่กำลังจะจบครู ให้กลับไปทำงานที่โรงเรียนในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีคุณภาพ 

เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมการทำงานบางอย่างที่โรงเรียนเปลี่ยนแปลง แรงเสียดทาน อุปสรรคบางอย่าง การทำงานของโรงเรียนบางอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ก็จะถูกทีมพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเข้าไปช่วยปรับมายเซ็ตของคุณครู  ปรับวัฒนธรรมของโรงเรียน หาน็อตตัวสำคัญเพื่อจะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน และกระตุ้นให้โรงเรียนพัฒนาตนเอง”

ดร.ศุภโชค มองว่าปัญหาในการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล เป็นเรื่องของการโยกย้ายคุณครู เพราะคุณครูที่มาทำงานอาจจะอยู่ได้สักระยะหนึ่ง แต่เวลาต่อมาก็จะโยกย้ายไปที่อื่น จึงเกิดสภาวะขาดแคลนคุณครู ดังนั้นโครงการที่ทำมาจึงเป็นโครงการที่ทำให้ครูสามารถอยู่และทำงานพัฒนาโรงเรียนได้ในระยะยาวและยั่งยืน


“สิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตครู หลักสูตร หรือเทคนิคในการผลิตครูออกมาเปลี่ยนไป จากที่เขาใช้วิธีการเดิมๆ ก็จะถูกแทรกแซงด้วยวิธีการ กระบวนจากความต้องการของพวกเรามากขึ้น เราก็ฟีดแบ็กให้กับมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการว่า เราอยากได้ครูแบบนี้ ชุมชนแบบนี้

ปีแรกเราก็หมุนเครื่องมือสำคัญตัวหนึ่งที่เราเชื่อว่ามันเปลี่ยนแปลงโรงเรียนได้ คือกระบวนการ PLC ที่มีประสิทธิภาพ แต่หลายโรงเรียนมักจะ Misconcept กระบวนการ PLC ไปคุยกันเรื่องอื่น แต่จริงๆ Q-PLC เป็นเรื่องของการเรียนรู้ โดยเรื่องหนึ่งที่เราค้นพบว่าเราต้องผลักให้โรงเรียนรู้เรื่องนี้มากขึ้น กระบวนการหลักที่สำคัญของโครงการนี้คือ เราจะเซ็ตทีมขึ้นมาอีกทีมหนึ่ง เรียกว่า ‘ทีมหนุนเสริม’ ที่จะใช้พลังจากทีมเดิม 

จุดเด่นของโครงการนี้ประเด็นหนึ่งคือ การหมุนโรงเรียนวิธีนี้เป็นการหมุนในแนวระนาบด้วยตัวโรงเรียนเองและตัวเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้โรงเรียนกันเอง ไม่ใช่แนวดิ่งที่เป็นเชิงสั่งการจากกระทรวงหรือสพฐ. เราออกแบบวิธีการทำงานและเครื่องมือ จนกระทั่งเรามองว่าปีแรกก็พอ Q-PLC ได้ 

ปีถัดมาก็เรียนรู้ว่าการ PLC ต้องวิ่งไปหาห้องเรียนเลย ถึงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจึงพัฒนาเครื่องมือที่สำคัญให้กับโรงเรียนกลุ่มนี้ ทั้งคู่มือการทำงานของโรงเรียน รวมทั้งพัฒนาซอฟท์แวร์ ทุ่นแรงให้กับทีมทำงาน เพื่อที่จะทำให้เราทำงานกันง่ายขึ้น แล้วก็ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมากขึ้น หลังจากดำเนินการกันก็พบกลไกสำคัญที่เป็นน็อตอยู่ 3 ตัว คือ

  1. การใช้กระบวนการ PLC เป็นคานงัดสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างวัฒนธรรมคุณภาพของโรงเรียน โดยเชื่อมโยงกับการประเมินเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพตามหลักเกณฑ์ วPA ที่กำลังประกาศใช้
  2. การหนุนเสริมและสนับสนุนทรัพยากรซอฟท์แวร์ลดภาระงานธุรการ สื่อการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ แหล่งความรู้และองค์ความรู้ที่จำเป็นในการจัดการเรียนรู้สำคัญให้แก่ครู โดยเน้นเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นที่ห้องเรียน
  3. พัฒนาผู้บริหารที่เป็นตัวแปรสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเร่งพัฒนาทักษะที่จำเป็น(Q-Goal /Q-Info/Q-Network) เจตคติ (ความทุ่มเท อุดมการณ์ ความเป็นนักพัฒนา) และสนับสนุนองค์ความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาโรงเรียนแก่ผู้อำนวยการ

และกลไกลหนึ่งที่หมุนอยู่และทำให้โรงเรียนทำได้ดีคือการหนุนเสริม เราก็ได้ถอดบทเรียนจากทีมหนุนเสริมทั่วประเทศ และวิธีการเข้าถึงโรงเรียนในแนวระนาบ ที่เรียกว่า S.A.V.E Model” 

รูปแบบการหนุนเสริมเพื่อพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล (S.A.V.E Model)

  1. Solution : ทีมหนุนเสริมและโรงเรียนร่วมทำความเข้าใจ และหาแนวทางในการพัฒนา
  2. Access : เข้าถึง สร้างความไว้วางใจ และพัฒนา
  3. Value : ค้นหาปัจจัยความสำเร็จเพื่อสร้างคุณค่าในการทำงานของโรงเรียน
  4. Encourage : นำพาต่อยอด จนเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องของการผลิตครูอย่างเดียว แต่เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคุณครูที่จะไปบรรจุที่โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านั้นด้วย เรื่องของการพยายามเข้าไปทำงานในวัฒนธรรมการทำงานในโรงเรียน เรื่องของการ PLC ที่มีคุณภาพ และการพยายามที่จะสร้างความร่วมมือและทำให้เห็นว่าในโรงเรียนมีทั้งที่เป็นผู้นำตามตำแหน่งและผู้นำตามธรรมชาติ และการทำงานร่วมกับเครือข่าย”

Tags:

โครงการการพัฒนาการศึกษาระบบการศึกษาการศึกษานักเรียน

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Social IssuesVoice of New Gen
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.6 ลูกจะฟังและเชื่อใจพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่พูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ
Family PsychologyEarly childhood
16 August 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.6 ลูกจะฟังและเชื่อใจพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่พูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การพูดคำไหนคำนั้นและการสัญญา มีความหมายกับเด็กๆ มาก ไม่ใช่แค่เพียงความคาดหวังของเขาที่มีต่อคำพูดเหล่านั้น แต่เพราะผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญในชีวิตเขาเป็นผู้พูดและให้คำมั่นสัญญา
  • ในกรณีที่ลูกต่อรองเวลาในการเล่น การพูดคำไหนคำนั้น จึงหมายถึง “เมื่อทำข้อตกลงหรือกติกาใดไว้ ควรทำตามข้อตกลง หรือกติกานั้น” ความยืดหยุ่นที่พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถทำได้ คือ “การเผื่อเวลาให้กับเด็กๆ”
  • การที่พ่อแม่จะสัญญาอะไรกับลูกควรพิจารณาว่า สัญญานั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับวัยของลูก ไม่เกินวัย เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ ไม่เกินกำลัง และไม่เกินจริง เพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจากการไม่การรักษาสัญญาหรือไม่พูดความจริงคือ “ลูกจะไม่ไว้ใจพ่อแม่” 

พ่อแม่พูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ 

‘เมื่อคำพูดของเราไม่เพียงพอต่อการสอน การกระทำคือการสอนที่ชัดเจน’ 

  • ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ 1 

เด็กชายบอกคุณแม่ว่า “หิวแล้ว อยากกินขนม” 

คุณแม่บอกเด็กชายว่า “กินข้าวก่อน แล้วค่อยกินขนมได้” 

เด็กชายทำเป็นไม่ได้ยินแล้ววิ่งไปหยิบถุงขนมเตรียมจะเปิดกินด้วยตัวเอง 

คุณแม่พูดบอกอีกครั้ง “แม่บอกว่าไง เราจะกินข้าวก่อน เอาขนมไปเก็บ” 

เด็กชายไม่ฟังแล้วแกะถุงขนมทันที จากนั้นก็หยิบขนมเข้าปากไปคำโต 

คุณแม่ยอมแพ้ แล้วบอกเด็กชายว่า “กินชิ้นเดียวนะ แล้วเก็บ” 

แต่เด็กชายก็ยังกินต่อไปจนพอใจ แล้วจึงวางถุงขนมลง 

เวลาที่เด็กเล็กทำ การสอนเด็กเล็ก จึงไม่ควรสอนโดยการพูดบอกเพียงอย่างเดียว แต่ตัวเราต้องเข้าไปถึงตัวของเขา สอนโดยการทำให้ดู พาเขาทำ และถ้าทำไม่ได้ก็จับมือ 

ถ้าสิ่งที่เด็กกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เราก็ควรเข้าไปหยุดถึงตัว

(1) ย่อตัวลง 

(2) สบตาลูก 

(3) จับมือลูก 

(3) พูดชัดเจน “ทำไม่ได้” และ “อะไรทำได้” 

(4) พาเขาทำ 

(5) ทำด้วยกัน 

(6) ปล่อยเขาลองทำเอง 

ในกรณีนี้ คุณแม่ต้องเข้าไปถึงตัวเด็กชาย แล้วขอถุงขนมกลับมา พร้อมกับบอกชัดเจน ว่า “เรากินข้าวเสร็จแล้ว ถึงจะกินขนมได้” ถ้าเด็กชายไม่ให้คืน คุณแม่ต้องยืนหยัด หยิบถุงขนมออกจากมือ แม้จะทำให้เด็กชายไม่พอใจ และร้องไห้โวยวายออกมา เมื่อสิ่งนั้นไม่เหมาะสม เราไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น ลูกไม่พอใจได้ 

ในวัยที่ลูกยังยับยั้งช่างใจไม่ได้ เป็นหน้าที่ของพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่ต้องสอนให้เขาเรียนรู้ว่า “เขาจำเป็นต้องรอคอยและ ทำสิ่งที่ควรทำก่อน” นั่นก็คือ “กินข้าวให้เสร็จจึงจะกินขนมได้” 

‘เมื่อเราไม่พูดคำไหนคำนั้น คำพูดของเราจะไม่ศักดิ์สิทธิ์’ 

  • ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ 2 

แม้จะถึงเวลาอาบน้ำแล้ว แต่เด็กหญิงยังไม่อยากอาบน้ำ เพราะยังอยากเล่นต่อ คุณแม่เตือนว่า “ได้เวลาอาบน้ำแล้วนะ” 

เด็กหญิง “ขออีก 5 นาทีนะคะ” 

คุณแม่ลังเลก่อนจะยอมให้เด็กหญิงเล่นต่ออีก 5 นาที แม้จะหมดเวลาแล้ว เมื่อครบ 5 นาทีคุณแม่มาเรียกอีกครั้ง 

คุณแม่ “ครบ 5 นาทีแล้ว ไปอาบน้ำเร็ว” 

เด็กหญิง “ขออีก 5 นาทีนะคะ เมื่อกี้มันเร็วไป” 

เธอต่อรองขออีก 5 นาที ครานี้คุณแม่เริ่มหงุดหงิดแล้ว จึงเสียงแข็งว่า “ไปอาบน้ำ” เด็กหญิงยอมไปอาบน้ำในวันนี้ 

ในวันต่อมา เด็กหญิงเริ่มใช้การต่อรองขอเวลาเพิ่มในการทำทุกๆ อย่าง “ขอเล่นอีก 5 นาทีนะ” 

“ขอดูอีก 5 นาทีนะ” 

“ขอนอนต่ออีก 5 นาทีนะ” 

และทุกครั้งที่ครบ 5 นาที เธอจะขอต่อเวลาเช่นนี้เสมอ ซึ่งมักจะจบลงที่ความหงุดหงิด ระหว่างแม่ลูก 

นานวัน ไม่ใช่แค่การต่อรองเวลา เด็กหญิงเริ่มใช้การต่อรองกับสิ่งอื่น เช่น การซื้อของ เล่น และการขอทำสิ่งที่อยากทำก่อนสิ่งที่ไม่อยากทำ 

การพูดคำไหนคำนั้น จึงหมายถึง “เมื่อทำข้อตกลงหรือกติกาใดไว้ ควรทำตามข้อตกลง หรือกติกานั้น” 

ความยืดหยุ่นที่พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถทำได้ คือ “การเผื่อเวลาให้กับเด็กๆ” เช่น 

• การใช้ ‘กฎ 5 นาที’ เราจะเตือนเด็กๆ ก่อนหมดเวลาทำกิจกรรมหรือก่อนเวลาจะต้อง ทำอะไรเป็นระยะเวลา 5 นาที เพื่อให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว ‘Cool down’ หรือ ‘Warm up’ ก่อนจะกิจกรรมจะจบลงหรือต้องเริ่มทำกิจกรรมใด 

• การทำตารางเวลาร่วมกัน ทำให้เด็กๆ ได้มีโอกาสกำหนดสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำหรือ รู้ลำดับของกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น เด็กๆ จะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมากขึ้น 

• การให้ตัวเลือกที่เหมาะสม เช่น ลูกจะอาบน้ำก่อน หรือ ทำการบ้านก่อน ลูกเลือกได้ แต่ถ้าทำสองสิ่งนี้เสร็จแล้วลูกสามารถเล่นอิสระหรือฟังนิทานได้ก่อนจะถึงเวลานอน 

การพูดคำไหนคำนั้น ผู้ใหญ่จึงไม่ใช่ผู้สั่งการ แต่เป็นผู้รักษากติกา และช่วยเด็กๆ ให้ทำตามหน้าที่ของตน เมื่อเด็กๆ เลือกที่จะไม่ทำตามกติกาหรือไม่ทำตามหน้าที่ ให้ผู้ใหญ่ ทำตามขั้นตอน ดังนี้ 

(1) ให้การเตือนก่อนหมดเวลา 5 นาที เช่น “อีก 5 นาทีเตรียมเก็บของ/ปิดทีวีนะ” (2) พูดทวนกติกาหรือสิ่งที่ต้องทำต่อไป เช่น “หมดเวลาแล้วค่ะ ได้เวลาอาบน้ำแล้วนะ”

(3) ถ้าลูกโวยวาย/ต่อรอง ให้ย้ำคำเดิมว่า “หมดเวลาแล้ว ไปอาบน้ำค่ะ” 

(4) ลูกไม่ยอมไป 

ในกรณีเด็กเล็กให้พาเขาไปด้วยกัน อาจจะใช้การอุ้มหรือจูงมือเดินไปด้วยกัน ในกรณีเด็กโต (เราอุ้มไม่ไหว) ใช้การคุยกับเขาชัดเจนว่า “เราตกลงกันไว้แล้ว ถ้าลูกไม่ ไป กิจกรรมต่อจากนี้ที่เราอยากทำจะไม่เหลือเวลาท” 

ซึ่งในเด็กวัยรุ่นหรือเด็กที่โตมากๆ ผู้ใหญ่จะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก เพราะเขาโตเกินกว่าจะฟังสิ่งที่เราพูดแล้ว ดังนั้นควรสอนเรื่องวินัยหรือสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก

(5) ถ้าลูกโวยวายขั้นสุด (Tantrum) ให้พาเขามานั่งที่สงบและปลอดภัย รอเขาสงบ แล้ว จึงพูดย้ำว่า “แม่รู้ว่าลูกไม่อยากอาบน้ำ แต่ยังไงเราก็ต้องอาบน้ำ เราไปอาบน้ำกันนะ”  แล้วพาเขาไปอาบน้ำ ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องพูดบ่น อธิบายอะไรยืดยาว แค่เพียงบอกเขาด้วยน้ำเสียงสงบ แต่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร ก็เพียงพอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์เข้าไป หากเราเหนื่อยมากในวันนั้น ให้พูดให้น้อย จะช่วยลดการเกิดอารมณ์ทั้งของลูก และของเราเอง 

(6) เมื่อทำสิ่งที่ควรทำได้สำเร็จ ให้กอดเขาและบอกอีกครั้งว่า “แม่รู้ว่าหนูไม่อยากทำ แต่เราจำเป็นต้องทำ และวันนี้หนูก็ทำได้” 

‘เมื่อเราไม่รักษาสัญญาและไม่พูดความจริงกับลูก เขาจะไม่ไว้ใจเรา’

  • ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ 3 

พ่อแม่สัญญากับเด็กชายว่าจะพาไปซื้อหุ่นยนต์บังคับวิทยุถ้าเขาช่วยเฝ้าหน้าร้านขายของของที่บ้านครบหนึ่งเดือน 

เมื่อครบหนึ่งเดือนเด็กชายทวงสัญญาจากพ่อแม่ แต่พ่อแม่กลับบอกเขาว่าไม่เคยสัญญา อะไรแบบนั้น 

สาเหตุที่พ่อแม่ปฏิเสธว่าไม่เคยสัญญาอะไรแบบนั้น เพราะตอนนี้เงินในบัญชีของทั้งคู่แทบไม่มีเหลือ แต่ไม่อยากบอกความจริงให้เด็กชายรับรู้ 

เด็กชายร้องไห้โวยวาย และพยายามทวงสัญญาดังกล่าว 

พ่อแม่เห็นท่าไม่ดีจึงบอกว่า ถ้าเขาทำงานอีกหนึ่งสัปดาห์ พ่อแม่จะซื้อให้ทันทีเลย ในครานี้เด็กชายไม่ยอมทำอีกต่อไป 

ในกรณีนี้ การที่พ่อแม่จะสัญญาอะไรกับลูกเราควรพิจารณาว่าสัญญานั้น (1) เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับวัยของลูก ไม่ใช่สัญญาที่ทำอะไรเกินวัยของลูก เช่น ลูกวัย 6 ปี อยากได้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง อันนี้ก็ไม่เหมาะสมนัก (2) เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกินกำลังของเรา ไม่เกินกำลังทรัพย์ และไม่เกินจริง 

ในเหตุการณ์พ่อแม่อาจจะให้สัญญากับเด็กชายเพราะ ณ เวลานั้นพ่อแม่อาจจะพอมี กำลังทรัพย์ถึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทางบ้านไม่เหลือเงินในบัญชี ตรงจุดนี้พ่อแม่ควรพูดความจริงกับลูกให้เขารับรู้ แต่เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจตามวัย เช่น 

“พ่อแม่สัญญากับลูกว่าถ้าลูกทำงานบ้านครบหนึ่งเดือน เราจะซื้อหุ่นยนต์ให้ลูก แต่ตอนนี้บ้านของเรามีเงินเหลือน้อยมาเลยลูกทำให้เราอาจจะซื้อของเล่นนี้ไม่ได้เหมือนตอนแรกที่สัญญา ซึ่งเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้ พ่อแม่ขอโทษนะลูก จะเป็นไปได้ไหมที่พ่อแม่จะทำบางอย่างที่พ่อแม่สามาถทำได้เพื่อชดเชยให้ลูก หรือ ขอเวลาพ่อแม่เก็บเงินก่อนได้ไหมลูก” 

ซึ่งถ้าลูกอาจจะผิดหวัง แล้วรู้สึกโกรธหรือเสียใจ ให้เรายอมรับและเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับลูก แม้การพูดความจริงอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกเสียใจและผิดหวัง แต่ดีกว่าการผิดสัญญากับลูกโดยไม่อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง และปล่อยให้เขาเข้าใจผิดต่อไป 

คำสัญญาที่เรามอบให้กับลูก มีความสำคัญมากๆ เพราะเขาจดจำสัญญานั้นได้เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่ามองข้ามคำสัญญานั้น และรักษาสัญญาเสมอ 

การพูดความจริง แม้จะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดในบางครั้ง แต่อย่างน้อยยิ่งพูดเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีเวลาทำใจมากเท่านั้น เพราะหากลูกมารู้ความจริงทีหลังด้วยตัวเขาเอง เขาอาจจะรู้สึกผิดและเจ็บปวดกว่านั้นนัก 

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นจากไม่รักษาสัญญาหรือการไม่พูดความจริงคือ “การที่ลูกจะไม่ไว้ใจพ่อแม่” 

ด้วยเหตุนี้ ในกรณีที่เราไม่ได้มั่นใจว่า เราสามารถทำสิ่งนั้นได้ แต่ก็คิดว่าอาจจะมีแนวโน้มทำได้บ้าง และเราไม่อยากให้เด็กน้อยผิดหวัง เราสามารถบอกเขาว่า “แม่จะลองพยายามสุดความสามารถ แต่ถ้าเกิดแม่ทำไม่ได้ในครั้งนี้ อยากให้ลูกให้อภัยแม่ และในครั้งต่อไปแม่จะพยายามต่อไป” 

เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ว่า “ความคาดหวัง” ครั้งนี้ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะได้เผื่อใจไว้บ้าง เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปดังหวัง อย่างน้อยเขาจะไม่เสียใจจนเกินไป 

********** 

สุดท้ายการรักษาคำพูดด้วยการพูดคำไหนคำนั้น และการสัญญานั้นมีความหมายกับเด็กๆ มาก เพราะไม่ใช่แค่เพียงความคาดหวังของเขาที่มีต่อคำพูดเหล่านั้น แต่เพราะผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญในชีวิตเขาเป็นผู้พูดและให้คำมั่นสัญญา เด็กๆ พัฒนาความเชื่อใจ และเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมจากผู้ใหญ่ที่เขารัก เป็นบุคคลที่เขาสามารถเชื่อใจได้ 

เด็กๆ ที่เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เขาเชื่อใจได้ มีแนวโน้มจะเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ที่เชื่อมั่นในตนเองและรักษาคำพูดเช่นกัน 

ไม่ใช่แค่เพียงเด็กที่ต้องการสภาพแวดล้อมหรือบุคคลที่เขาสามารถเชื่อใจได้ ผู้ใหญ่อย่างเราก็เช่นกัน เราจึงควรพูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ

Tags:

การเลี้ยงลูกเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปการพูดความจริงคำสัญญาความเชื่อใจพ่อแม่

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • MovieDear Parents
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

“แค่เขาติดกระดุมเม็ดเดียวได้ แม่ก็มีความสุขแล้ว” การเติบโตไปด้วยกันของ ‘แม่คนพิเศษ’ กับ ‘ลูกคนพิเศษ’: โสภา สุจริตกุล แม่ของเด็กดาวน์ซินโดรม
11 August 2022

“แค่เขาติดกระดุมเม็ดเดียวได้ แม่ก็มีความสุขแล้ว” การเติบโตไปด้วยกันของ ‘แม่คนพิเศษ’ กับ ‘ลูกคนพิเศษ’: โสภา สุจริตกุล แม่ของเด็กดาวน์ซินโดรม

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เด็กพิเศษก็คือมนุษย์คนหนึ่งในสังคมเหมือนกัน อย่ามองเขาด้วยสายตาสงสารหรือเวทนา ตัดความสงสารทิ้งไปให้เขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเอง เขาสามารถทำอะไรๆ ได้เหมือนที่เด็กปกติทำ เพียงแต่ว่าอาจจะช้าหน่อย
  • ชวนเรียนรู้การเติบโตไปด้วยกันของ ‘แม่คนพิเศษ’ กับ ‘ลูกคนพิเศษ’ เล่าผ่าน แม่แดง – โสภา สุจริตกุล แม่ผู้ให้โอกาสลูกได้ลองในสิ่งที่อยากลอง ชื่นชมเมื่อเขาทำได้ และเป็นกอดอุ่นๆ ในวันที่เขาทำไม่ได้อย่างใจหวัง
  • สิ่งสำคัญคือ ‘เวลา’ และ ‘กำลังใจ’ การเลี้ยงลูกดาวน์ซินโดรมคนเป็นแม่จะเหนื่อยคูณสอง เพราะต้องคอยกระตุ้นพัฒนาอย่างใกล้ชิด ทุกๆ ย่างก้าวการเติบโตของเขาจึงพิเศษสำหรับแม่

ภาพและเรื่องราวของ ‘เสือ – ฉายวิชญ์ สุจริตกุล’ เด็กดาวน์ซินโดรมในวัย 33 ปี ที่ปัจจุบันเป็นครูสอนเต้นและนักกีฬาคนพิการทีมชาติ อาจทำให้หลายคนรู้สึกประทับใจในศักยภาพของเขาที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงความแปลกแยกภายใต้ความหมายของคำว่า ‘เด็กพิเศษ’ เลย

ทว่าเบื้องหลังการเติบโตมาอย่างดีของหนุ่มน้อยคนนี้ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าความทุ่มเทของคุณแม่คนพิเศษ แม่แดง – โสภา สุจริตกุล ที่พยายามเติมเต็มทุกอย่างให้กับลูกเพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตในโลกใบใหญ่ได้อย่างปกติ ซึ่งไม่เพียงความสุขที่ได้จากการเห็นพัฒนาการแต่ละขั้นของลูก แม่แดงบอกว่าลูกคนนี้ทำให้ตนเองได้เรียนรู้และเติบโตเช่นเดียวกัน

“เขาให้ความรู้แม่เยอะมาก… ความรู้ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้ ความเข้าใจว่าลูกเราสามารถทำอะไรได้” 

เคล็ดลับของแม่แดงไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่ให้โอกาสลูกได้ลองในสิ่งที่อยากลอง ชื่นชมเมื่อเขาทำได้ และเป็นกอดอุ่นๆ ในวันที่เขาทำไม่ได้อย่างใจหวัง


ในวันที่เรารู้ว่า…ลูกของเราเป็น ‘เด็กพิเศษ’

“ในวันแรกที่เรารู้ว่าลูกของเราเป็นเด็กพิเศษ มันก็ช็อคเพราะว่าลูกคนแรกเราปกติ แล้วเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องดาวน์ซินโดรมเลย พอรู้แล้วก็อย่างที่แม่พูดประจำว่า เขาเป็นลูกเรา เราเลี้ยงลูกคนโตยังไง เราก็น่าจะเลี้ยงเขาแบบนั้น แต่เราก็ต้องมีที่ปรึกษาอย่างคุณหมอ เพื่อที่จะได้รู้วิธีการเลี้ยงเขาให้เติบโตมาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติ เราต้องทำยังไงบ้าง” แม่แดง เล่าความรู้สึกในวันที่รู้ว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรมและการเตรียมพร้อมเพื่อประคับประคองเขาหลังลืมตาดูโลก

[ในบทความจากเว็บไซต์ของสถาบันราขานุกูล กรมสุขภาพจิต โดยนายแพทย์ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น อธิบายไว้ว่า

‘เด็กพิเศษ’ มาจากคำเต็มว่า ‘เด็กที่มีความต้องการพิเศษ’ หมายถึงเด็กกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือเป็นพิเศษ เพิ่มเติมจากวิธีการตามปกติ ทั้งในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ และการเข้าสังคม เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพของเขาเอง โดยออกแบบการดูแล ช่วยเหลือเด็ก ตามลักษณะความจำเป็นและความต้องการของเด็กแต่ละคน]

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกในการเป็นแม่ของแม่แดง ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่มนุษย์แม่คนหนึ่งจะให้ลูกได้ การมีคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการของเด็กพิเศษเป็นที่ปรึกษาจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด 

“สิ่งที่คุณหมอให้แม่มาคือทฤษฎีว่าเด็กกลุ่มดาวน์ซินโดรมต้องทำอย่างนี้นะ ฝึกแบบนี้นะ บอกตรงๆ ว่าตอนเขาคลอดออกมาเขาอ่อนหมดเลย อ่อนทั้งตัวขนาดดูดนมยังไม่ได้เลย พอดีไปเจออาจารย์หมอที่ราชานุกูล อาจารย์หมอปัญญาเป็นคนเทรนเสือมาตลอด แต่เขาก็ทำอะไรเยอะมากไม่ค่อยได้ เพราะเขามีโรคที่มากับตัวเขา มันจะมีโรคหัวใจ ตาเป็นต้อ กล้ามเนื้อในช่องปากอ่อน ข้อต่อหลวม มันมีเยอะเลยโรคที่เกี่ยวกับเด็กดาวน์ซินโดรมที่ติดมากับเขา แต่เสือได้มาทั้งหมดเลย ไม่มีอย่างเดียวคือไทรอยด์”

ความแตกต่างในการเลี้ยงดูลูกที่เป็นดาวน์ซินโดรมกับเด็กทั่วไป

สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในสายตาของคนเป็นแม่คือเรื่องของ ‘พัฒนาการตามวัย’ ที่เด็กดาวน์ซินโดรมจะล่าช้ากว่าเด็กทั่วไป มากน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหลักๆ อยู่ที่การเลี้ยงดูที่ต้องฝึกให้เขาเป็นไปตามช่วงวัย แม้พัฒนาการเขาจะเป็นไปอย่างช้าๆ บางอย่างอาจใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี แต่แม่แดงเชื่อมั่นว่าลูกจะทำได้ในสักวันหนึ่ง 

“เราต้องฝึกพัฒนาการให้เขาเป็นไปตามช่วงวัย บางอย่างฝึกได้บ้างยังไม่ได้ต้องใช้เวลาแต่เราไม่เคยทิ้งเลยนะสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งแต่เริ่มฝึกพัฒนาการมา เขาไม่ได้เดือนนี้ เดือนหน้าเขาอาจจะได้ แม่ก็ฝึกเขาซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะได้ พอได้แล้วคุณหมอก็จะให้การบ้านมาใหม่เรื่อยๆ”

“อย่างเช่นการฝึกการคว่ำตัว คลาน นั่ง ยืน สมมติเขาอยากจะคว่ำ แล้วเขาคว่ำไม่ได้สักที แม่ก็ต้องช่วยเอาอะไรไปหนุนให้เขาสามารถคว่ำได้ แต่ทำซ้ำๆ จนกว่าเขาจะคว่ำได้เอง แล้วก็ต้องให้กำลัง เอ้าฮึบๆ ได้แล้วลูก เอาอีกหน่อยๆ มันเหมือนกับเราเชียร์กีฬา ตื่นเต้นนะถ้าลูกจะทำอะไรได้สักอย่างหนึ่ง เราคิดอยู่ในใจเขาจะทำได้ไหม”

พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะต้องฝึกการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน เช่น การทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัว ซึ่งแม่แดงบอกว่าสอนกันเป็นปีเลย “แค่เขาติดกระดุมได้เม็ดเดียวแม่ก็ดีใจแล้ว”

“อย่างเรื่องการแต่งตัว การติดกระดุม คือมือเขาเวลาจะหยิบอะไรแต่ละอย่างมันอ่อนไปหมด กล้ามเนื้อมือในตอนนั้นของเขามันยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ ช่วงวัยแรกเริ่มจนถึง 3 ขวบ ต้องพัฒนาการทุกส่วนของร่างกายเขาให้มันแข็งแรง กล้ามเนื้อมัดเล็กเขาต้องได้ก่อน”

สิ่งสำคัญคือ ‘เวลา’ และ ‘กำลังใจ’ พ่อแม่ ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็ก ไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กกลุ่มไหน เขาควรได้รับเวลาในการฝึกฝนพื้นฐานการใช้ชีวิต

บางสิ่งบางอย่างที่เขายังทำไม่ได้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเขาจะทำไม่ได้เลย ใจเย็นๆ เราต่างก็เคยเป็นเด็กมาทั้งนั้น โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกดาวน์ซินโดรมที่คนเป็นแม่จะเหนื่อยคูณสอง เพราะต้องคอยกระตุ้นพัฒนาอย่างใกล้ชิด ทุกๆ ย่างก้าวการเติบโตของเขาจึงพิเศษสำหรับแม่

ในวันที่จูงมือลูกเข้าโรงเรียน เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป

“พอเขาโตถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียน ซึ่งเมื่อ 30 ปีที่แล้วหาโรงเรียนที่เขาให้เรียนร่วมกับเด็กทั่วไปยากมาก แม่ใช้ความพยายามมาก เพราะไม่อยากให้ลูกไปโรงเรียนที่พิเศษ ความคิดของแม่คือการไปเรียนแบบนั้นเหมือนพัฒนาการเขาจะไม่ค่อยก้าวหน้า แม่ก็เลยอยากเอามาเรียนร่วมกับเด็กทั่วไป 

แต่กว่าจะได้โรงเรียนให้เขาต้องไปทำความเข้าใจกับโรงเรียนและผู้ปกครองคนอื่นๆ ว่า หนึ่งลูกเราไม่ได้เป็นโรคติดต่อนะ สองถ้าลูกเราไปรังแกคนอื่น เราขอรับลูกเรามาฝึกพัฒนาการใหม่ แต่เราก็จะขอมาเรียนอีก แล้วทางคุณหมอของราชานุกูลเขารับรองว่าว่าเสือสามารถไปเรียนกับเด็กทั่วไปได้ เพราะว่าพัฒนาการเขาใกล้เคียงกับเด็กปกติ สมมติว่าเด็กปกติเรียนตอน 3 ขวบ เสือก็ 3 ชวบครึ่ง ห่างกันไม่มากนัก ซึ่งโชคดีที่โรงเรียนมีครูการศึกษาพิเศษที่เข้าใจ และเราเชื่อมกันทุกวันว่าลูกเรามีอะไรไหม จะให้เพิ่มเติมอะไรไหม”

หากถามว่าการที่ลูกเป็นเด็กพิเศษคนเดียวในโรงเรียนมีปัญหาอะไรหรือไม่นั้น แม่แดงตอบทันทีว่า “ครูไม่กังวล แต่ผู้ปกครองต่างหากที่กังวล บางโรงเรียนมีครูที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการศึกษาพิเศษ เขาจะเข้าใจ แล้วเวลาประชุมผู้ปกครองแม่ก็จะเข้าไปร่วมประชุมด้วยว่า ลูกเราเป็นอย่างนี้นะ ขอโอกาสให้เขาเรียนรู้ด้วย ถ้ามีปัญหาแม่รับกลับทันที จนเรียนจบอนุบาล 3” 

การเรียนของเสือไม่มีปัญหาอะไร แม่แดงบอกว่าเขาเรียนรู้ได้ดีเลย แต่การเลื่อนระดับชั้นจาก ป.1 สู่ ป.2 หรือจาก ป.6 ขึ้นไปยังระดับมัธยมศึกษานั้นเป็นเรื่องที่คุณแม่กังวล

เนื่องจากในสมัยนั้นการหาโรงเรียนที่สามารถเรียนร่วมกันระหว่างเด็กทั่วไปกับเด็กพิเศษเป็นเรื่องที่ยาก จึงใช้วิธีให้ลูกเรียนซ้ำชั้นเพื่อยื้อเวลาจนกว่าจะหาโรงเรียนได้ 

“ลูกก็ถามประจำว่าทำไมให้เขามาเรียนซ้ำ ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ในชั้นที่เรียนด้วยกันก็ได้เลื่อนชั้นไปแล้ว แม่ก็ให้เหตุผลเขาไปว่า วิชานี้ยังไม่ได้จุดนี้ เตี๊ยมกับครูประจำชั้น เพราะเมื่อก่อนเรียนซ้ำชั้นได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้มันต้องขึ้นไปตามเกณฑ์ของเขา ซึ่งเกรดเขาก็ผ่านนะได้ 2 กว่า” 

แต่การเรียนซ้ำชั้นนี้ที่ทำให้เสือได้ค้นพบความชอบของตัวเองจากการที่เขาต้องเรียนซ้ำวิชาสปช. (สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เช่น วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศาสนา การเมืองการปกครอง หน้าที่พลเมือง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์), กพอ. (การงานและพื้นฐานอาชีพ) และสลน. (สร้างเสริมลักษณะนิสัย เช่น จริยศึกษา ดนตรี-นาฏศิลป์ ศิลปะ ลูกเสือ-เนตรนารี) กลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรเก่า พ.ศ. 2521

“พอจบมาเขาก็รำสวย เต้นสวย ติดมาตั้งแต่ป.5 เลย ก็เลยเป็นความชอบไปเลย แม่ดีใจมากที่เขาชอบ ทำให้เขาได้ค้นพบตัวเองด้วย งานที่โรงเรียนทุกครั้งเขาก็จต้องไปรำ ไปเต้น นี่เป็นจุดที่แม่คิดว่ามันเป็นของแถมนะ จากความกังวลแล้วได้ของแถมมา” 

และการที่คุณแม่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกดีรับการศึกษานั้น มีเสียงต่างๆ นานา ตั้งคำถามว่า เรียนไปทำไม? ซึ่งแม่แดงตอบด้วยความมั่นใจว่า

“เรารู้ว่าลูกของเราไปได้ ก็ไปได้โรงเรียนคริสต์อยู่แถวจอมทอง ซึ่งเขาก็รับหมด แล้วลูกเขาชอบด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็จะมีบัดดี้ที่เป็นเด็กทั่วไปคอยช่วยเหลือหนึ่งปี จนจบม.3 จากนั้นก็มาต่อปวช. เขาเรียนเกี่ยวกับการตลาด ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เวลามีงานกลุ่มเขาก็ทำ ตอนแรกไม่มีใครรับเข้ากลุ่มนะ แต่พอเพื่อนเห็นว่าทำงาน มีงานส่งตลอด ครูยกตัวอย่างงานหน้าห้อง คราวนี้เพื่อนๆ ก็แย่งกันเอาเข้ากลุ่มเลย มาอยู่กลุ่มเราบ้างสิ

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนจำจนถึงเดี๋ยวนี้ว่าเสือทำกิจกรรมอะไร ติดตามกันในโซเชียลเยอะพอสมควร”    

นอกจากเรื่องของพัฒนาการตามวัย การดูแลตัวเองต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ ‘เพศศึกษา’ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจึงเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าอาจช้ากว่าเด็กทั่วไปสักหน่อย วิธีที่ดีที่สุดคือการพาเขาไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพราะคุณหมอจะสอนเรื่องเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี 

“แม่พาไปหาหมอเรื่องเพศที่จุฬาฯ ไป 3 ครั้ง คุณหมอบอกแม่ว่า น้องทำเป็นหมดทุกอย่างแล้ว เรื่องเพศศึกษา เขาทำเป็นหมด ทำในที่มิดชิด เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ในพื้นที่ส่วนตัวของเขา แม่ก็แนะนำหลายๆ คนว่า ถ้าลูกเป็นแบบนี้อย่าปล่อย ให้ไปปรึกษาจิตแพทย์วัยรุ่น ถ้าทิ้งไว้บางคนอาจไปทำประเจิดประเจ้อ ในที่สาธารณะ เพราะไม่มีใครสอน”

หัวใจของการเลี้ยงลูกคือ ‘การสื่อสาร’ 

‘การสื่อสาร’ เป็นหัวใจสำคัญในการเลี้ยงลูกของทุกๆ ครอบครัว ไม่เฉพาะครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องเห็นความสำคัญของการสื่อสาร ซึ่งเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต

“ลูกเราต้องเรียนรู้ สื่อสารเป็นคำพูดให้ได้ วิธีการสื่อสารของแม่คือ ต้องการอะไรต้องบอก บอกไม่ได้ก็เขียน ต้องรู้ว่าตัวเองจะสื่อสารอะไรออกไป พูดให้คนอื่นเข้าใจ และพูดให้ถูก อย่าเร็วต้องพูดช้าๆ เพราะคนตรงข้ามเขาจะฟังเราไม่รู้เรื่อง ค่อยๆ คิดก่อนที่จะพูดออกมา”

ที่สำคัญต้องสอนให้เขารู้จัก ‘การรอคอย’ และ ‘เคารพกฎระเบียบ’ ซึ่งกฎระเบียบต้องเรียนรู้กันตั้งแต่ที่บ้าน 

“กฎระเบียบจริงๆ มันต้องมีอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่การบังคับ เป็นกฎระเบียบที่เราปฎิบัติร่วมกัน แล้วเราจะสอนเขายังไงให้เขายอมรับได้ แม่จะวางกรอบว่าได้หรือไม่ได้ก็ลองก่อน ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรจะไม่บังคับ แล้วไม่ได้เพราะอะไรต้องบอก อันนี้มันเป็นจุดๆ นึงที่เขาสามารถอยู่ในสังคมได้ เพราะเราทำในบ้านก่อนแล้วก็ในชุมชนที่เราอยู่” 

สำหรับแม่แดงแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้ให้กับลูก ให้เขาพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ คือการสนับสนุนให้เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบและอยากจะทำ

“พื้นฐานของพ่อแม่เราต้องรู้อยู่แล้วว่าลูกเราชอบอะไรหรือสนใจอะไร ถ้าลูกชอบเราควรสนับสนุนเขา ไม่ห้ามเขา อย่างน้อยก็ให้เขาได้ลองว่ามันใช่ตัวเขาไหม ถ้าเขาท้อมาเราก็ถามเขาว่า จะไม่เอาแล้วใช่ไหม? ให้เขาลองกลับไปคิดใหม่นะวันสองวันก็ค่อยมาบอกแม่แล้วกัน ให้เวลาเขาได้อยู่กับตัวเองก่อน เราไม่คะยั้นคะยอ เอาคำตอบเดี๋ยวนี้ ให้โอกาส ให้เวลา ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจกับเขา”

และด้วยความที่เสือเป็นเด็กเรียนรู้ อยากลองทำสิ่งใหม่ๆ เสมอ บางทีก็จะยึดติดกับการทำสิ่งๆ นั้นมากเกินไป หากทำไม่ได้ก็จะต้องทำให้จนได้ หรือจะเรียกว่าเป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าอย่างหนึ่งก็ได้ แน่นอนว่าการทดลองบางครั้งก็ล้มเหลว 

“มีสิ่งที่เขาลองมันล้มเหลวเหมือนกันคือการเต้นฮิปฮอปที่เอาหัวปักลงพื้นแล้วหมุน เขาทำไม่ได้ แม่บอกว่าฮิปฮอปมันมีหลายอย่างไม่ต้องปักหัวก็ได้ อันนี้ไม่ได้ก็ลองแบบใหม่ อย่าเครียดเลยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาก็เชื่อนะ แล้วเราก็เตี๊ยมกับคุณครูที่สอนเขาด้วยว่าไม่ได้อย่างนี้เราก็เอาอย่างอื่นก็ได้ แล้วก็ป๊อปปิ้งเขาชอบมากพอเขาทำได้แล้วเขาก็ต่อยอดเอาท่าเต้นของเขามามิกซ์รวมกัน มีทั้งฮิปฮอป ป๊อปปิ้ง แจ๊ส ครีเอทท่าเต้นขึ้นมา ตอนนี้เขาก็เป็นครูสอนเต้นแล้ว”

บทเรียนสำคัญจากการเลี้ยงดูลูกที่เป็นดาวน์ซินโดรม

การมีลูกที่เป็นเด็กดาวน์ซินโดรมให้อะไรกับคนเป็นแม่อย่างแม่แดงมากมาย หลายคนบอกว่าลูกคือของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่ คุณแม่ของเด็กดาวน์ซินโดรมคนนี้ก็เช่นกัน นอกจากลูกจะเป็นของขวัญแล้วการมีลูกคนพิเศษคนนี้เหมือนได้ของแถม ทำให้แม่คนนี้เข้มแข็งได้มากกว่าที่ตัวเองคิดเสียอีก 

“การเลี้ยงดูลูกที่เป็นดาวน์ซินโดรม ทำให้แม่ได้รู้จักความอดทน ความเข้มแข็ง รู้จักการให้อภัย รู้จักปล่อยวาง ถ้าเราไม่มีลูกอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะเข้มแข็งได้ขนาดไหน จะเป็นยังไง จริงๆ เขาให้ความรู้แม่เยอะมากเกี่ยวกับการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม ความรู้ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้ ความเข้าใจว่าลูกเราสามารถทำอะไรได้ 

แล้วแม่ก็ปล่อยวาง ใครอยากพูดอะไรก็มาเถอะ ถ้าเอากลับไปคิดทุกอย่างลูกเราก็จะไม่ได้พัฒนา เราควรรับฟังลูกให้มากกว่าเสียงคนอื่น แม่ก็คิดอยู่ในใจว่า ลูกเธอไม่เป็นไม่รู้หรอก เขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรบ้าง พัฒนาลูกยังไงบ้าง แล้วได้ผลกับลูกเรายังไงบ้าง”

“สมัยก่อนคนจะมองว่าการมีลูกที่เป็นเด็กพิเศษ มันจะพัฒนายังไง เพราะว่าสมองมีน้อยมาก แม่บอกว่าไม่เป็นไรแม่จะเอาจากข้างนอกเข้าไปใส่ให้เขา มันอาจไม่ได้มากเหมือนเด็กปกติแต่มันก็ได้ที่เราพอใจ แม่จะกอบโกยข้างนอกเข้ามาข้างใน ข้างในเขาไม่มีก็ต้องเอาข้างนอกมาทดแทน

แต่ปัจจุบันดีขึ้นมากแล้ว เปิดกว้าง แล้วก็หาความรู้ได้ง่ายด้วย เสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็รู้แล้วว่าจะรับมือยังไง จะพัฒนาลูกยังไงได้บ้าง ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่มี” 

เสียงจากภายนอกก็สำคัญ แต่เสียงของลูกเราสำคัญกว่า “ตัวเราเองต้องมีความมุ่งมั่นก่อน ของแม่จะตั้งความหวังแต่ไม่สูงที่ได้มามันแค่เป็นของแถม ทัศนคติของสังคมทำอะไรแม่ไม่ได้ เรามองบนมองเฉยผ่านไป เพราะเรามองลูกเราแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เขาว่า”

ความสุขของการเป็น ‘แม่คนพิเศษ’

ถึงแม้จะมีความกังวลและกลัวในการเลี้ยงลูกอยู่บ้าง แต่ก็เพราะลูกคือความสุขของแม่ การได้เห็นลูกค่อยๆ เติบโตในทุกๆ วัน คงเป็นสิ่งที่คนเป็นแม่เฝ้ารอ ไม่ต่างกับคุณแม่คนพิเศษ ไม่ว่าลูกเป็นอย่างไรลูกก็คือคนพิเศษที่เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของแม่เสมอ

“สิ่งเล็กๆ น้อยที่เขาทำได้แต่ละขั้นตอน มันเป็นกำลังใจ เป็นยาวิเศษ เป็นความสุขของแม่ เขาทำอะไรได้สักอย่างก็แล้วแต่ แค่เขาติดกระดุมเม็ดเดียวได้ แม่ก็มีความสุขแล้ว มันเป็นความสุขของมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นแม่คน ที่เห็นลูกดาวน์ซินโดรมของเราทำได้ คนอื่นบอกเขาทำไม่ได้ แต่ทำไมเราทำให้เขาทำได้”

ความสุขที่สุดอีกอย่างหนึ่งของแม่ก็คือการที่ลูกได้เป็นผู้ให้ ส่งต่อความสุข แบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่นๆ 

“เสือชอบแบ่งปัน ให้เด็กๆ ให้กับสังคม หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนขอมา เขาไปหมด ให้แม่พาไป ไปเป็นวิทยากรบ้าง ไปเต้นบ้าง แล้วเงินที่ได้มาเขาแทบจะเอาคืนให้หน่วยงานนั้นๆ เขาไม่เอาเลย บางคนเขาบอกว่าทำไมไม่เอาเงิน เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไรเขามีเงินเดือนแล้ว แล้วเขาก็ไปเปิดหมวกเต้นที่คลองโอ่งอ่างกับกลุ่มเพื่อนตอนที่ยังไม่มีโควิด เงินส่วนนั้นเขาก็เอาไปให้ทุนการศึกษาเด็กพิเศษ แล้วที่เขามาให้ทุนการศึกษาเด็กเพราะเขาเห็นตัวอย่างจากมูลนิธิน่านฟ้าที่เชิญเขาไปเต้นแล้วมีการแจกทุน เลยอยากทำบ้างถึงเงินจะไม่เยอะแต่ว่าเขาได้ช่วยได้แบ่งปัน ไม่ใช่แค่แม่มีความสุขอย่างเดียวทั้งครอบครัวก็มีความสุข”

ความกังวลถึงอนาคตของลูก ในวันที่อาจไม่มีแม่อยู่แล้ว 

“แม้แต่เด็กปกติก็กังวล ยิ่งเด็กพิเศษแม่ก็กังวลเป็นร้อยๆ เท่าเหมือนกัน จริงๆ ถ้าเขาไปก่อนเราก็ไม่เป็นไร ถ้าเราไปก่อนเขาแม่คิดว่าเขาน่าจะอยู่ได้ หนึ่งเขามีเงินเดือน มีชีวิตประจำวันเหมือนคนปกติทั่วไป และญาติพี่น้องคงไม่ปฏิเสธเขา เขาสามารถดูแลตัวเองได้ดียิ่งกว่าคนปกติด้วยซ้ำ เพราะกิจวัตรของเขาทำมาเป็นระบบตั้งแต่เล็กๆ ทุกอย่างอยู่ในสมองเขาหมด เขาจะมีระเบียบวินัยของเขาจนถึงเดี๋ยวนี้ เขาทำกับข้าวได้ ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ตากผ้า เก็บผ้า พับผ้าได้ แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย เชื่อว่าเขาจะอยู่ได้” 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงห่วงอยู่ห่างๆ เมื่อไม่มีแม่อยู่แล้ว ไม่มีคนคอยเตือนสติ กลัวว่าเขาจะไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน 

“สุดท้ายฝากไปถึงพ่อแม่ ถ้าในครอบครัวมีเด็กพิเศษ ไม่เฉพาะกลุ่มเด็กดาวน์ซินโดรม อย่าเก็บไว้ที่บ้าน จริงๆ ถ้ารู้ว่าเป็นเด็กพิเศษควรจะไปปรึกษาแพทย์ เอามาปฏิบัติกับลูกคนพิเศษของเรา แต่อย่าคาดหวังว่าทำวันนี้แล้วจะได้ในวันนี้

 เด็กพิเศษต้องให้โอกาสและให้เวลาเขา ที่สำคัญเลยคือพ่อแม่อย่าใจร้อนว่าจะต้องได้อย่างนี้ๆ เด็กปกติยังไม่ได้อย่างที่เราคาดหวังเลย”

อย่างไรก็ตาม เด็กพิเศษก็คือมนุษย์คนหนึ่งในสังคมเหมือนกัน อย่ามองเขาด้วยสายตาสงสารหรือเวทนา ตัดความสงสารทิ้งไปให้เขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเอง 

“เด็กพิเศษก็ทำอะไรๆ ได้เหมือนที่เด็กปกติทำได้นั่นแหละ เพียงแต่ว่าอาจจะช้าหน่อย จะให้ทำให้ได้ดั่งใจคงเป็นไปไม่ได้ มีคำๆ หนึ่งที่อาจารย์ท่านหนึ่งบอกแม่ประมาณว่า การจะอะไรให้กับเด็ก ต้องสอนที่เขาอยากทำ ไม่ใช่สอนให้เขาทำอย่างที่เราอยากถ่ายทอด ลูกแม่เองเขาได้โอกาส แล้วเพื่อนดี เพื่อนยังนึกถึงเขาอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้มองเขาเป็นเด็กพิเศษอะไร แต่มองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วก็จะไม่ช่วยเหลือแบบพิเศษ เขาโชคดีแม่ก็โชคดีด้วย”   

Tags:

เด็กพิเศษเด็กการเลี้ยงดูดาวน์ซินโดรมแม่

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Space
    ‘ขี่ม้า’ มากกว่ากีฬาคือการพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ‘เด็กโกหก’ อาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เข้าใจธรรมชาติการโกหกจากงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน
Dear ParentsBook
10 August 2022

Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • หนังสือ ‘Toxic Parents’ หรือ ‘มูฟออนชีวิต ถอนพิษพ่อแม่เผด็จการ’ เขียนโดย ดร.ซูซาน ฟอร์เวิร์ด นักจิตบำบัด ที่มาพร้อมกับคำอธิบายว่า ‘ปลดปล่อยตัวคุณจากมรดกพ่อแม่เป็นพิษสู่การเป็นคนใหม่ ไม่ผลิตซ้ำบาดแผลแห่งการเติบโต’
  • คำอธิบายของหนังสือเล่มนี้เหมือนชี้ให้เราเห็นว่ามีทางออก และทำให้เห็นถึงสาเหตุของการกระทำอัตโนมัติของเราที่ถูกปลูกฝังโดยพ่อแม่ รวมไปถึงต้นตอของการกระทำของพ่อแม่ ทำให้เห็นโครงสร้างของปัญหา
  • หนังสือไม่ได้ไม่ขายฝัน ว่าทุกคนจะกลับมาดีกับพ่อแม่ได้เหมือนอย่างที่เคยฝันไว้ เพราะไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะกล้าหาญมากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ หรือยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ หรือเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่น

Tags:

สุขภาพจิตพ่อแม่การเติบโตครอบครัวลูกการเลี้ยงดูToxic Parents

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  •  The Road: ถึงโลกล่มสลาย…แสงสว่างยังอยู่ในใจเธอเสมอ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel