- โหมโรงเขียนบทและกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง บอกเล่าเรื่องราวของศร เด็กหนุ่มผู้หลงใหลการเล่นระนาดมาตั้งแต่เด็ก
- ศร เป็นตัวอย่างของการเดินตามความฝันที่พรสวรรค์อย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น วินัยในการฝึกฝน ความรับผิดชอบต่อตนเอง การเรียนรู้ทั้งจากความพ่ายแพ้และชัยชนะ ที่สำคัญคือการเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น
“ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด ที่เริ่มจากตัวโน้ตเรียบง่าย ก่อนจะค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น หากเราเรียนรู้จังหวะของมัน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และใช้กลเม็ดต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะสามารถร้อยเรียงบทเพลงของชีวิตได้อย่างไพเราะลื่นไหล แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือจังหวะที่คาดไม่ถึง”
นี่คือบทสรุปที่ผมบอกตัวเองหลังจากกลับมาชมภาพยนตร์โหมโรงในรอบ 19 ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไป และเข้าใจใหม่ว่าโหมโรงไม่ใช่เพียงภาพยนตร์สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมหรือการจุดกระแสดนตรีไทยเท่านั้น แต่ยังแฝงข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความล้มเหลว การล้มแล้วลุก และการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตผ่านเรื่องราวของนายศร หรือท่านครูในวัยชรา
[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]
ศรเกิดในครอบครัวนักดนตรีแห่งอัมพวา ซึ่งแวดล้อมไปด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะ พ่อของศรเป็นครูสอนดนตรีไทยชื่อดัง ส่วนพี่ชายเป็นมือระนาดเอก
ศรเองก็มีพรสวรรค์นั้นเช่นกัน ตั้งแต่เด็กเขามักอาศัยการครูพักลักจำและฝึกซ้อมระนาดอย่างเงียบๆ ด้วยตัวเอง จนพ่อและพี่ชายทึ่งในความสามารถของเขา และหมายมั่นปั้นมือให้ศรกลายเป็นระนาดเอกคนต่อไป
ในวันที่ศรจะเข้าร่วมพิธีไหว้ครูเพื่อเรียนดนตรีกับพ่อ พี่ชายกลับถูกคู่ปรับที่เป็นนักเลงระนาดดักฆ่าจนเสียชีวิต ทำให้พ่อของเขาสะเทือนใจและสั่งห้ามศรไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับระนาดอีก
แต่ด้วยความหลงใหลในเสียงระนาด ทุกคืนศรจะลอบขโมยผืนระนาดของพ่อไปฝึกฝนในวัดกลางป่า จนพระรูปหนึ่งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นจึงหาทางเตือนสติพ่อของศร ทำให้พ่อใจอ่อนและยอมให้ศรทำพิธีไหว้ครูเพื่อรับเป็นลูกศิษย์
หลังจากได้รับการชี้แนะจากพ่อ ประกอบกับความมีวินัยทุ่มเทในการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ศรในวัยหนุ่มจึงกลายเป็นระนาดเอกที่ไม่มีใครล้มได้ ซึ่งจุดนี้เองผมสังเกตว่าเขาเริ่มเสพติดชัยชนะ และลำพองในฝีมือตัวเองถึงขั้นขาดซ้อมเพื่อแอบไปเล่นพนัน
“เก่งมากแล้วสินะ ไอ้ศร ถึงไม่ได้ใส่ใจจะมาฝึกซ้อม ปล่อยให้ทั้งวงเขารอเอ็งอยู่คนเดียว” พ่อของศรตำหนิ
แทนที่จะรู้สึกผิด ศรกลับเถียงพ่อในทำนองว่า “ขาดซ้อมแค่หนสองหนคงไม่เป็นอะไร” ซึ่งคำพูดนี้ทำให้ผมนึกถึงนักกีฬาดาวรุ่งหลายคนที่แม้จะมีชื่อเสียงเร็วจากผลงานที่โดดเด่นเกินอายุ แต่พอถูกสิ่งเร้านอกสนามเข้ามายั่วยวนกลับไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้ และเลือกให้ค่ากับความสุขชั่วขณะมากกว่าผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว สิ่งที่ตามมาคือการไม่สามารถยืนระยะในวงการได้ และสถานะจากดาวรุ่งที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นดาวร่วงที่ไม่มีใครสนใจในที่สุด
ศรเองก็เกือบจะมีโชคชะตาที่ไม่ต่างกัน แม้ว่าไม่กี่วันจากนั้นเขาจะยังดีพอที่จะประชันระนาดเอาชนะคู่ปรับจากราชบุรี แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ศรตามพ่อไปดูการแสดงวงปี่พาทย์ของเพื่อนที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก เขากลับถูกมือระนาดเอกของวงหลอกให้ช่วยขึ้นแสดงฝีมือแทน (เพราะมือระนาดเอกรู้ว่าจะต้องแข่งกับขุนอิน)
ศรจึงจับพลัดจับผลูได้ประชันระนาดกับขุนอิน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นระนาดเอกที่เก่งที่สุด แน่นอนว่าศรพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ พร้อมตระหนักว่าฝีมือระนาดของตนยังห่างไกลกับชั้นเชิงอันดุดันและทรงพลังของขุนอินอยู่หลายขุม
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองของศรพังทลายไปในชั่วข้ามคืน เขาซมซานกลับอัมพวาด้วยจิตใจที่บอบช้ำไปด้วยความผิดหวัง หวาดกลัว และวิตกกังวล ถึงขนาดที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ และไข้ขึ้นในที่สุด
เท่านั้นไม่พอ ศรเริ่มกลายเป็นคนติดเหล้า เขาใช้เวลาทั้งวันซ่อนตัวอยู่ในป่า ไม่กล้าออกไปเจอหน้าใคร และมักซ้อมตีระนาดอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยการเอาโซ่มามัดข้อมือทั้งสองข้าง เพื่อหวังจะตีระนาดได้ดุดันแบบขุนอิน แต่ยิ่งทำผลลัพธ์ก็ยิ่งแย่ลง และคิดจะเลิกเล่นระนาด
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนของศรคือการที่เพื่อนของเขาแวะมาเตือนสติว่าคนทุกคนล้วนมีความเก่งและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน ศรจึงฉุกคิดได้ว่า หากเขาจะเอาชนะขุนอินด้วยการตีให้ดุดันกว่าและเล่นระนาดแบบเดิมคงเป็นไปไม่ได้
ไม่นาน ศรก็ค้นพบวิธีการเล่นดนตรีในแบบของตัวเองพร้อมกลวิธีใหม่ในการเอาชนะขุนอิน หลังจากสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของต้นมะพร้าวที่ถูกลมพัดไหวไปมา ซึ่งจังหวะการเคลื่อนไหวนี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงบันดาลใจในการรังสรรค์วิธีการเล่นระนาดทางใหม่ที่สดใส เป็นธรรมชาติและมีจังหวะที่พลิ้วไหวอย่างมีอิสระ
ในเวลาเดียวกัน มีสมเด็จฯ พระองค์หนึ่งจากกรุงเทพเดินทางมาคัดเลือกระนาดเอกไปเล่นให้กับวงปี่พาทย์ในวังบูรพาภิรมย์ ศรจึงเดินทางไปคัดตัวพร้อมกับแสดงทางระนาดใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบ แม้ว่าท่วงทำนองระนาดของเขาจะฟังแปลกประหลาด ผิดจากแบบแผนการตีระนาดทั่วไป แต่ลึกลงไปกลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร สมเด็จฯ จึงทำการทาบทามกับพ่อเพื่อขอรับตัวศรไปชุบเลี้ยงในวังฯ
ศรดีใจเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเขารู้ว่า สมเด็จฯ ต้องการให้เขาลงประชันระนาดกับขุนอินที่เป็นระนาดเอกของเจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง
สิ่งที่น่าสนใจคือพอฝันร้ายกลับมา ศรก็จมดิ่งเข้าสู่โหมดวิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ ติดเหล้า และลามหนักถึงขั้นหนีออกจากวังฯ กลางดึก
ณ จุดนี้ ผมเข้าใจศรอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยถูกทำลายความภาคภูมิใจไปแล้ว ดังนั้นหากครั้งนี้เขาถูกขุนอินสอนเชิงจนเป็นที่น่าอับอายขายหน้าอีก เขาอาจไม่มีหน้ากลับมาเล่นดนตรีอีกเลยก็ได้
ถึงอย่างนั้น การหนีปัญหาอาจทำได้เพียงชั่วคราว ยิ่งเราหลีกหนีความกลัวไปมากเท่าไหร่ มันกลับยิ่งทำให้ผลลัพธ์แย่ลงเท่านั้น เพราะ นอกจากจะไม่ทำให้เราชนะแล้ว มันจะยิ่งทำให้เราจมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ตลอดไป โดยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองด้วยซำ้
หลังหลบหนีมาพักใจ ศรก็พบว่าพ่อของเขาล้มป่วยทันทีที่ทราบว่าเขาหนีออกจากวังฯ เขาจึงไปเยี่ยมพ่อ แต่แทนที่พ่อจะโกรธ พ่อกลับเข้าใจศรและขอให้เขาทบทวนถึงสิ่งที่เขาต้องการในชีวิต ทั้งยังยินดีที่จะสนับสนุนศรในเส้นทางที่เขาเลือก
“เอ็งไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเอ็งแน่ใจว่าเอ็งต้องการอย่างนี้ ข้าก็จะไม่บังคับเอ็ง แล้วข้าจะไปทูลขออภัยโทษให้เอ็งเอง”
เมื่อทบทวนกับตัวเองดีแล้ว ศรจึงรีบกลับไปรับโทษกับสมเด็จฯ ซึ่งสมเด็จฯ ได้ให้อภัย พร้อมกับแนะนำให้เขารู้จักกับ ‘ครูเทียน’ ครูดนตรีไทยคนใหม่ ที่จะมาบ่มเพาะฝีมือของศรเพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือกับขุนอิน
ผมมองว่าการได้ครูเทียนมาถือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะขณะที่ครูดนตรีคนอื่นในวังฯ มักด่าศรว่าเขาตีระนาดแปลกๆ ราวกับ ‘หมาสะบัดน้ำร้อน’ และกดดันให้ศรกลับมาตีระนาดตามแนวทางดั้งเดิม แต่ครูเทียนกลับเข้าใจและเห็นถึงเสน่ห์ของทางระนาดที่แม้จะแปลกหู แต่ก็เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เขาจึงสนับสนุนศรในแบบที่ศรเป็น รวมถึงแบ่งปันข้อคิดในเรื่องแพ้ชนะ
“ไอ้ผิดน่ะ ไม่ผิดหรอก เอ็งตีได้แม่นยำทุกลูกนั่นแหละ แต่ข้าขอฟังที่มันเป็นดนตรีแท้ๆ งามๆ หน่อยได้ไหม ประชันครั้งนี้ ถึงเอ็งจะแพ้เขาย่อยยับ เอ็งก็คงไม่ได้แพ้เขาตลอดไปหรอก หรือถ้าเอ็งจะชนะ ชัยชนะของเอ็ง มันจะยั่งยืนสักแค่ไหนกันเชียว
แล้วไอ้เชือกนี่มันขึงตึงเกินไป ฟังแล้วรำคาญหูว่ะ ข้าผ่อนเชือกให้เอ็งแล้ว ส่วนเอ็งน่ะ พร้อมเมื่อไหร่ก็ลองดูอีกทีแล้วกัน”
ในวันประชัน วงปี่พาทย์ทั้งสองวงบรรเลงได้ดีและไร้ข้อผิดพลาด สมเด็จฯ ทั้งสองพระองค์จึงให้ตัดสินผลแพ้ชนะด้วยการให้ศรเดี่ยวเพลงเชิดแบบตัวต่อตัวกับขุนอิน ปรากฏว่ารอบนี้กลับเป็นขุนอินที่มีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขาไม่เคยเจอทางระนาดที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน ขุนอินจึงตีระนาดด้วยความกังวลและพยายามเร่งจังหวะเพื่อปิดเกมให้เร็วที่สุด ต่างกับศรที่พยายามเร่งตามจังหวะให้ทัน หรือไม่ก็เร่งจังหวะแซงขุนอินเล็กน้อย จนมาถึงช่วงชิงดำที่ขุนอินเร่งสปีดข้อมือมากเกินไป จนเกิดอาการข้อมือค้างและแพ้ภัยตัวเองไปในที่สุด
สิ่งที่ผมประทับใจในฉากนี้คือการที่ศรเข้าไปกราบขอขมาขุนอินด้วยความเคารพ ซึ่งการที่ภาพยนตร์มีการตัดฉากสลับไปมาระหว่างศรในวัยหนุ่มกับวัยชรา ทำให้ผู้ชมเห็นรูปขุนอินที่แขวนไว้ในห้องพระของศร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ศรไม่ได้มองขุนอินเป็นคู่แข่งหรือศัตรู แต่กลับมองขุนอินในฐานะของครูคนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เขาสามารถเอาชนะความกลัว พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของตัวเองด้วยการตั้งใจฝึกฝนและสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ในการเล่นระนาดจนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
ชีวิตของศรจึงสะท้อนบทเรียนสำคัญว่า พรสวรรค์อาจไม่เพียงพอหากขาดความพยายามและการฝึกฝน ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวก็เป็นบททดสอบที่ต้องอาศัยความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความกลัวและอุปสรรค
นอกจากนี้ เราอาจต้องการกัลยาณมิตรที่ดีสักคน เพื่อชี้แนะแนวทางให้เราเติบโตและสามารถสร้างสรรค์เส้นทางชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ เหมือนกับบทสรุปที่ผมบอกกับตัวเอง…
“ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด ที่เริ่มจากตัวโน้ตเรียบง่าย ก่อนจะค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น หากเราเรียนรู้จังหวะของมัน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และใช้กลเม็ดต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะสามารถร้อยเรียงบทเพลงของชีวิตได้อย่างไพเราะและลื่นไหล แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือจังหวะที่คาดไม่ถึง”