Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: March 2024

‘อยากจำกลับลืม’ เข้าใจการทำงานของสมอง เพิ่มประสิทธิภาพการจดจำให้แม่นยำและยืนยาว
Learning Theory
26 March 2024

‘อยากจำกลับลืม’ เข้าใจการทำงานของสมอง เพิ่มประสิทธิภาพการจดจำให้แม่นยำและยืนยาว

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • การที่เราจำไม่ได้ เป็นเพราะไม่ใส่ใจจำมันต่างหาก! แต่เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นสำคัญ เราอาจจดจำและทำให้มันกลายเป็นความทรงจำระยะสั้นและระยะยาวต่อไปได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด
  • เราสามารถ ‘อัปเกรด’ ความทรงจำให้ยาวนานมากขึ้น โดยอาศัยการระลึกถึงหรือท่องจำซ้ำๆ และในกระบวนการก็ต้องใช้ความพยายามและอาจโดนรบกวนจากความทรงจำอื่นได้ด้วย
  • สิ่งที่จะช่วยให้ความทรงจำดีขึ้น กลับเป็นเรื่องการออกกำลังอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดไปยังสมองได้ดีขึ้น และการกินอาหารอย่างเหมาะสม มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอ เพราะการจดจำต้องใช้พลังงานและแร่ธาตุไม่น้อย

เคยสงสัยไหมครับว่า คำพูดอย่างที่บอกต่อไปนี้ อันไหนถูก อันไหนผิด

ฉันจำได้แม่นเลยเรื่องนั้น ไม่มีวันลืมเลือน

ฉันไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอก ฉันเชื่อของฉันอย่างนี้

หมอนั่นมีความจำแบบภาพถ่าย

เล่นครอสเวิร์ดหรือซูโดกุสิ จะได้ไม่ความจำเสื่อม

อ่านอัดๆ มันเข้าไปก่อนสอบนี่แหละ จำได้ดีนัก

แทบทั้งหมดนั้น มีส่วน ‘ผิด’ มากกว่าถูก 

ในสังคมสมัยใหม่ เด็กๆ ต้องเข้าโรงเรียน ต้องเรียนวิชาต่างๆ มากมายมหาศาล ระดับที่พวกเขาบอกว่า ต้องขอร้องชีวิตกันเลยทีเดียว! 

พอเรียนจบ เข้าทำงาน ก็ยังต้องจดจำและเรียนรู้อะไรใหม่ที่ไม่เคยเรียนในสถาบันการศึกษาอีกมากมาย 

การจะรับมือกับชีวิตประจำวันที่ต้องจดจำอะไรมากมายเข้าไปในหัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แล้วจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้เรื่องพวกนี้ง่ายดายมากขึ้น หรือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นบ้าง?  

วิธีการที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ ต้องทำความเข้าใจว่าสมองของคนเราทำงานอย่างไรกันแน่ เราจดจำเรื่องต่างๆ ได้อย่างไร หรืออะไรมารบกวนความแม่นยำในการจดจำลงบ้าง? การที่จะดึงเอาความทรงจำเหล่านั้นออกมาใช้งานได้ดังใจต้องทำอย่างไร? ฯลฯ

เราจะเริ่มกันตรงว่าความจำเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีกี่แบบ เพราะความรู้เรื่องนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการฝึกฝนให้ความจำดี 

ความจำคืออะไรแน่? 

นิยามความทรงจำแบบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ ความสามารถในการเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลนั้นกลับมาใช้งานได้เมื่อต้องการ 

โดยทั่วไปมักแบ่งความทรงจำออกเป็นกว้างๆ เป็น 3 แบบคือ 1 ความทรงจำเพื่อการใช้งานแบบสั้นมากหรือเพื่อการใช้งานเฉพาะหน้า (working memory) 2 ความทรงจำระยะสั้น (short-term memory) และ 3 ความทรงจำระยะยาว (long-term memory) โดยแต่ละแบบอาจแบ่งย่อยได้อีกแล้วแต่จะจัดกันไป  

บางคนแทนที่จะจัดแบบนี้ ก็อาจจะจัดให้ ความทรงจำจากประสาทสัมผัส (sensory memory) แทนที่ working memory โดยที่เรารับรู้ความจำแบบนี้อยู่ตลอดเวลาผ่านตัวรับต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ความทรงจำแบบนี้จะคงอยู่เพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ก็อาจจะกลายมาเป็นความทรงจำระยะสั้นหรือระยาวต่อไปได้ หากเรา ‘เอาใจใส่’ กับมัน ‘เป็นพิเศษ’ และทบทวนข้อมูลนั้นซ้ำๆ ไปสักพัก

ตรงนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญมากที่ต้องจำใส่ใจไว้เสมอ  

การที่เราลืมสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพราะเราความจำเสื่อม แต่เป็นเพราะข้อมูลมันมีมหาศาลตลอดเวลา เรารับรู้ข้อมูลพวกนี้ แต่มีความสามารถอย่างจำกัด จึงไม่สามารถจดจำทุกอย่างไว้ได้ และที่สำคัญที่สุดคือการที่เราจำไม่ได้ เป็นเพราะไม่ใส่ใจจำมันต่างหาก! 

ยกตัวอย่าง มีการสำรวจว่าคนทั่วไปจำค่าพาย (pi) ได้ยืดยาวเพียงใด ปรากฏว่าในจำนวนคน 941 คนที่เข้ามาตอบแบบสอบถาม ปรากฏว่ามีคนราว 1 ใน 5 (19 %) ที่จำได้ถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 5 คือจำคำตอบได้ว่าเท่ากับ 3.14159 และมีแค่เพียงราว 5% ที่จำได้ถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 9 คือ 3.141592653 [1] 

แม้แต่คนที่ทำงานในนาซา ส่วนใหญ่ก็จำถึงแค่ทศนิยมตำแหน่งที่ 6 เท่านั้น เพราะไม่คิดว่าจำเป็นต้องจำให้มากกว่านั้น ขณะที่คนที่จำค่าพายได้มากที่สุดเป็นคนอินเดีย สามารถจดจำได้มากถึง 70,030 ตำแหน่ง ทิ้งห่างคนอินเดียอีกคนที่ได้ที่ 2 ไปแค่ 30 ตำแหน่ง [2]

ตัวอย่างอื่น เช่น คนทั่วไปคงจำไม่ได้ว่าเช้านี้เดินออกจากบ้านโดยก้าวเท้าซ้ายหรือขวาก่อน ต่อให้โดนถามเมื่อก้าวไปไม่ถึง 10 ก้าว ก็คงตอบแบบไม่มั่นใจนัก เพราะเราไม่ได้เห็นว่าเรื่องแบบนี้สำคัญกับชีวิตของเราจึงไม่ได้ตั้งสติจดจำเอาไว้ การจะจดจำเรื่องแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ‘ตั้งใจจะจำ’ เท่านั้น เช่น หากเป็นคนเชื่อหมอดู และโดนหมอดูกำชับให้เดินโดยก้าวเท้าขวาออกจากบ้านก่อนเท่านั้น ก็อาจจำได้!  

สรุปว่าเรื่องแรกที่ควรรู้คือ เราจำเรื่องอะไรตั้งมากมายไม่ได้ เพราะเรา ‘ไม่ได้ตั้งใจจำ’ มันไว้ ต่อเมื่อเรารู้สึกว่ามันสำคัญด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เราก็อาจจดจำและทำให้มันกลายเป็นความทรงจำระยะสั้นและระยะยาวต่อไปได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นอาจจะเล็กน้อยเพียงใด (เช่น จำค่าพายได้มากๆ หรือจำเท้าข้างที่ก้าวออกจากบ้านได้) หากเรามีสติมากพอ และมีความตั้งใจจะจดจำไว้มากพอ เราก็สามารถจะจดจำได้สารพัด  

คราวนี้มาดูความจำที่ยาวขึ้นมาอีกเล็กน้อยคือ ความทรงจำระยะสั้น 

ความทรงจำระยะสั้นอาจจะยาวได้ถึงสัก 20 วินาที เช่นเวลาที่เราต้องจดจำ OTP สั้นๆ (อาจจะแค่ 4 หรือ 6 ตัวอักษรหรือตัวเลข) เพื่อเข้าระบบหรือดาวน์โหลดอะไรสักอย่าง หรือจำเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อเร่งด่วนและไม่มีอุปกรณ์อะไรช่วยจด ต้องอาศัยการท่องไว้ในใจ  

ความทรงจำระยะสั้นก็เหมือนกับ working memory ที่สั้นกว่าคือ เราก็จะลืมเลือนมันไปอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการทบทวนความจำส่วนนั้นในภายหลัง 

ดังนั้น การทบทวนความรู้หลังจากได้เรียนไป จึงมีความสำคัญมาก [3] 

เรื่องน่าสนใจต่อไปก็คือ ความทรงจำแบบนี้อาจจะโดน working memory รบกวนหรือแทรกแซงได้ด้วย จึงต้อง ‘ใส่ความพยายาม’ ในการท่องจำซ้ำหลายๆ หน เพื่อสร้างเส้นทางการส่งกระแสประสาทขึ้นในสมองให้ชัดเจน เมื่อทบทวนซ้ำๆ บ่อยเข้า สมองก็จะขยับขยายย้ายตำแหน่งความจำที่เก็บไว้ในส่วน พรี-ฟรอนทัลคอร์เทกซ์ (pre-frontal cortex) หรือเปลือกสมองส่วนหน้า ไปยังสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ที่เอาไว้จดจำและจัดระเบียบความจำระยะยาวแทน [3] 

การซ้อมซ้ำๆ เช่น ซ้อมตีลูกเทนนิส ปั่นจักรยาน วิ่ง หรือทุ่มฝ่ายตรงข้ามในยูโด ฯลฯ ก็เป็นวิธีการทำให้กล้ามเนื้อจดจำการทำงาน จนเกิดเป็นทักษะอย่างที่เรียกว่า ‘ความทรงจำของร่างกาย (body memories)’ ขึ้น บางคนก็เรียกว่าเป็น ‘ความทรงจำของกล้ามเนื้อ’ 

ในทำนองเดียวกัน การทำโจทยคณิตศาสตร์บ่อยๆ ก็ทำให้สมองจดจำรูปแบบโจทย์ได้ และทำโจทย์ได้เร็วขึ้น ตอบได้แม่นยำขึ้นเช่นกัน   

ดังนั้น เรื่องสำคัญลำดับที่สองที่ควรจดจำไว้ในใจเสมอคือ เราสามารถ ‘อัปเกรด’ ความทรงจำให้ยาวนานมากขึ้น โดยอาศัยการระลึกถึงหรือท่องจำซ้ำๆ และในกระบวนการก็ต้องใช้ความพยายามและอาจโดนรบกวนจากความทรงจำอื่นได้ด้วย 

สำหรับความทรงจำระยะยาว นอกจากการจดจำกระบวนการ เช่น วิธีการทรงตัวเพื่อขี่จักรยาน และการทำโจทย์คณิตศาสตร์ซ้ำๆ แล้ว ยังมีการจดจำชื่อ วันสำคัญ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันหรือได้รับการกระตุ้นอย่างแรงในทางอารมณ์ เช่น การจดจำรายละเอียดของการไปเดตแรกและจูบแรกในชีวิต หรือการประสบพบเจออุบัติเหตุหรือประสบการณ์เฉียดตาย 

เมื่อเราตั้งใจจดจำเหตุการณ์ เนื่องจากผลของตัวกระตุ้นภายนอกใดๆ ก็ตาม ร่วมด้วยการระลึกถึงหรือท่องจำ เกี่ยวกับสิ่งนั้นอยู่อย่างซ้ำๆ สมองก็จะกระตุ้นเซลล์สมองที่จดจำเรื่องนั้นไว้ในตอนแรกสุด และสร้างเส้นทางการดึงข้อมูลออกมาใช้จากสมองส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (ไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของสมองก็ตาม เพราะการจดจำไม่ได้ใช้สมองส่วนใดส่วนหนึ่งเพียงส่วนเดียว)  

นี่เป็นวิธีการเก็บและดึงข้อมูลออกมาใช้ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก [3]

เรื่องที่สามที่สำคัญจึงได้แก่ การจดจำให้ได้ในระยะยาวนั้น นอกจากอาศัยการท่องจำในเบื้องต้นแล้ว ยังต้องมีการนำออกมาใช้งานอยู่เรื่อยๆ ยิ่งบ่อยก็ยิ่งดี เพื่อทำให้กระแสประสาทวิ่งในวงจรประสาทจำเพาะบางเส้นทางได้คล่อง ซึ่งจะทำให้จดจำได้แม่นยำและดึงข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

แต่สมองของเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ และการสร้างความทรงจำมีปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อม ตัวกระตุ้น อารมณ์ความรู้สึก หรือแม้แต่ความเชื่อและการตีความสถานการณ์นั้นๆ มาเกี่ยวข้องด้วย บางครั้งการดึงข้อมูลออกมาใช้งาน ก็ต้องอาศัยสมองหลายส่วนทำงานไปพร้อมๆ กัน 

ปัจจัยทั้งหมดนี้จึงส่งผลกระทบ ทำให้ความแม่นยำของความจำลดลงไปด้วย 

ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่เรานึกถึงเหตุการณ์ใดก็ตาม เราก็อาจนำเอาอารมณ์ ความรู้สึก มุมมอง ‘ใหม่ๆ’ ใส่เติมเข้าไปผสมรวมกับเหตุการณ์ ‘เก่า’ ที่จำเอาไว้ด้วย โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้ความทรงจำผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ด้วย [3]  

เราจึงไม่ได้จำเหตุการณ์ต่างๆ ได้แบบที่พวกมัน ‘เกิดขึ้นจริง’ เพราะความทรงจำนั้นได้ผ่านกระบวนการทำงานของสมอง มีการตีความและเติมอคติต่างๆ เข้าไปได้ตลอดเวลา ความจำจึงเชื่อได้พอสมควร แต่เชื่อไม่ได้ 100% เพราะอาจผิดเพี้ยนได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านไปนานเข้า 

ส่วนเรื่องความทรงจำแบบภาพถ่าย (photographic memory) นั้น มีคนที่จำเรื่องต่างๆ ได้ละเอียดลออมากอย่างไม่น่าเชื่ออยู่จริง แต่สมองก็ไม่เคยทำงานแบบการถ่ายภาพเลย คนพวกนี้จึงจำไม่ได้  ‘ทุกอย่าง’ เหมือนระลึกถึงภาพถ่ายขึ้นมาในหัวจริงๆ เพียงแต่จดจำรายละเอียดได้มากอย่างน่าทึ่ง 

ปกติแล้วจะพบคนที่มีความสามารถแบบนี้ในกลุ่มเด็กมากกว่า และค่อนข้างจะหายากในผู้ใหญ่ 

เรื่องการบริหารสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุ ด้วยการแก้ปริศนาหรือเล่นเกมรูปแบบต่างๆ นั้น อาจ ‘ช่วยได้บ้าง’ ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ ‘ช่วยได้มาก’ ขนาดนั้น มีขอบเขตของผลกระทบที่แคบกว่านั้น เช่น คนที่เล่นครอสเวิร์ด ก็มีแนวโน้มจะเล่นเกมทำนองนี้ได้ดีขึ้น หลังเล่นไปสักพัก เพราะความคุ้นชิน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ไปช่วยพัฒนาศักยภาพสมองให้เพิ่มขึ้นโดยตรง  

การแก้ปริศนาจึงช่วยให้สมองกระฉับกระเฉงได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับช่วยให้ความจำโดยรวมดีขึ้น อันที่จริงแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้ความทรงจำดีขึ้น กลับเป็นเรื่องการออกกำลังอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดขึ้นไปยังสมองได้ดีขึ้น และการกินอาหารอย่างเหมาะสม มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอต่างหาก 

เพราะการจดจำต้องใช้พลังงานและแร่ธาตุไม่น้อย [3]  

ความเชื่อเรื่องสุดท้ายที่อยากกล่าวถึงคือ การท่องจำเนื้อหาอย่างเข้มข้นก่อนการสอบนั้น สามารถช่วยให้จดจำได้ดีเป็นพิเศษ จริงหรือไม่? 

คำตอบคือ เรื่องนี้ไม่จริงเลย อันที่จริงแล้วกลับเทียบไม่ได้กับการแบ่งเวลาศึกษาอย่างเหมาะสม และการได้พักผ่อนอย่างเพียงพอก่อนการสอบ

 วิธีการแบบหลังนี้มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ยิ่งการพักผ่อนนั้นปราศจากสิ่งรบกวน เช่น ไม่มีการเล่นมือถือ ปิดโทรทัศน์ และปิดม่านหน้าต่างให้ห้องมืดพอสมควร ทำให้ร่างกายได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง ก็ยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนมาก [3]  

หากทำทั้งหมดนี้ได้ ก็น่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจดจำและการทำงานของสมองให้ดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เอกสารอ้างอิง

[1] https://fivethirtyeight.com/features/how-many-digits-of-pi-you-have-to-have-memorized-to-be-special/

[2] https://www.pi-world-ranking-list.com/?page=lists&category=pi&sort=digits

[3] Psychology Now (2022) Vol. 2, p.30-33

Tags:

ความเอาใจใส่การฝึกฝนความทรงจำแบบภาพถ่าย (photographic memory)ความจำใช้งานการจดจำสมองการพักผ่อน

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Dr.Yongyud-1
    How to enjoy life
    จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • positive-parenting-nologo
    Adolescent Brain
    Positive Parenting: เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ เสริมสร้างสมองที่แข็งแกร่ง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    ‘ทิ้งไว้ไหงจำได้เพิ่ม’ ความลับของสมองที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการ…อยากลืมกลับจำ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: จดจ่อ-แบ่งส่วน-เปลี่ยนจุดสนใจ ในระบบความจำใช้งาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์
Social Issues
25 March 2024

‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แอปพลิเคชั่น ‘BuddyThai’ คือเพื่อนคู่ใจของเด็กและวัยรุ่นที่กำลังเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นการถูกบูลลี่ ความเครียดจากการเรียน หรือแรงกดดันจากครอบครัวและสังคม
  • สิ่งสำคัญคือการทำให้พวกเขารู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง หรือมี Self Awareness เพื่อรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวน เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจผู้อื่น และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยปกป้องตัวเราเองจากคนอื่น และป้องกันไม่ให้เราเป็นคนที่ไปทําร้ายคนอื่นด้วย
  • “หลักๆ เราไม่ได้สอนให้สู้กลับเมื่อโดนบูลลี่ แต่สอนให้เด็กแข็งแกร่ง อย่าไปรู้สึกตัวเล็กตามคนอื่น เราทํายังไงก็ได้ให้เขาแข็งแรงมากพอ ไม่ว่าจะเจอการบูลลี่จากในชีวิตจริงหรือโลกออนไลน์”

“เราไม่ได้พยายามจะมาบอกว่า ให้ไปหยุดคนบูลลี่ หรือการบูลลี่ต้องหายไปเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่เราพยายามพูดคือ เราเริ่มได้นะ เราเป็นคนหนึ่งคนที่สามารถเริ่มจะเข้าใจตัวเองได้”

“เรื่องลดการบูลลี่มันก็คือการสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับเด็กๆ เพื่อที่จะลดบาดแผลในวัยเด็กให้กับเขา”

มุมมองที่ได้จากประสบการณ์ในการลงพื้นที่รับฟังปัญหาของเด็กนักเรียนทั่วประเทศ ถูกใช้เป็นแนวทางในการออกแบบแอปพลิเคชั่น ‘BuddyThai’ เพื่อให้เป็นเพื่อนคู่ใจของเด็กและวัยรุ่นที่กำลังเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นการถูกบูลลี่ ความเครียดจากการเรียน หรือแรงกดดันจากครอบครัวและสังคม

อ้างอิงตามสถิติของกรมสุขภาพจิต พบว่าในปี 2563 เด็กไทยถูกบูลลี่กว่า 600,000 คน ติดอันดับ 2 ของโลก ถ้านับรวมกับปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ซึมเศร้า ความวิตกกังวล ฯลฯ นี่คือปัจจัยที่ขัดขวางการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยและการพัฒนาคุณภาพของสังคมไทยในอนาคต 

ที่ผ่านมาแม้ว่าหลายหน่วยงานจะให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นกันมากขึ้น แต่ข้อจำกัดหนึ่งคือการเข้าถึงและสร้างความไว้วางใจเพื่อให้สามารถดูแลและให้การช่วยเหลือเด็กๆ ได้อย่างทันท่วงที แอปพลิเคชัน ‘BuddyThai’ จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมต่อความรู้และการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตกับเด็กๆ ที่กำลังมองหาตัวช่วยในเรื่องนี้

พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการแอปพลิเคชัน BuddyThai บอกว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) กรมสุขภาพจิต และกลุ่มโรงเรียนในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร โดยมีความตั้งใจที่จะให้แอปนี้เป็นเหมือน ‘เพื่อนสนิท’ และพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กในทุกเวลา ไม่ว่าจะในยามฉุกเฉิน เวลาที่เด็กรู้สึกโดดเดี่ยว หรือเวลาที่เขาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร โดยมีฟังก์ชั่นฝากข้อความ ให้เด็กๆ สามารถมาเขียนสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึก หรือความคิด ความกังวลในใจของเขาได้ เป็นเหมือนที่ระบายและคอยรับฟังเขา 

โดยจุดเริ่มต้นในการพัฒนาแอปฯมาจากไอเดียของ กึ้ง- เฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) ที่ต้องการหยิบยกประเด็นปัญหาสุขภาพจิต และ ‘การบูลลี่’ มาพูดถึง เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคน และสามารถเกิดกับคนได้ในทุกช่วงวัย และมีความเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ แต่ต้องประกอบด้วยพื้นฐานที่ดีในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะ ‘ด้านสุขภาพจิต’ เพราะหากเด็กมีสุขภาพจิตที่ดี เขาก็จะสามารถจัดการกับตัวเองและสังคมรอบข้างได้ดี และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

“จากสถิติของกรมสุขภาพจิต มีเด็กไทยโดนบูลลี่นับแสนคน ก็เลยเป็นไอเดียของคุณกึ้งที่จึงอยากทำแอปนี้ขึ้นมา ให้เป็นพื้นที่ที่เด็กๆ สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ได้เรียนรู้จากสื่อที่ friendly ย่อยง่าย เหมาะกับเด็กรุ่นใหม่” พีเจ กล่าว

หลังจากเปิดให้ใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่ามีปัญหามากมายที่เด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือ เช่น การถูกทำร้าย ท้องไม่พร้อม ซึมเศร้า ไปจนถึงคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะมีทีมงานคอยคัดกรอง หากเป็นเรื่องฉุกเฉินจะมีการส่งต่อข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที

กึ้ง- เฉลิมชัย มหากิจศิริ และ พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

จากการเก็บข้อมูลของทีมงาน อะไรคือปัญหาที่พบมากที่สุด?

ปัญหาของเด็กทีเราพบมากที่สุดคือโรคซึมเศร้า (Depression) โดยจากการเก็บข้อมูลผ่าน School Tour ก็พบว่าปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กเป็นซึมเศร้าคือ ‘โซเชียลมีเดีย’ เพราะมันทําให้เด็กเกิดการเปรียบเทียบกัน ทำให้เขามี Self esteem ต่ำลง เด็กเขาจะรู้สึกว่า ‘ทำไมหนูไม่เก่งอะไรเลย’ ‘หนูไม่มีอะไรดีเลย’ แม้แต่เรื่องเล็กๆ เขาก็ตั้งคำถาม เช่น ทำไมเราเต้นติ๊กต่อกแล้วไม่เห็นจะสวยเหมือนเพื่อน อะไรแบบนี้เป็นต้น พอเกิดแบบนี้ขึ้นก็จะเกิดการเปรียบเทียบและด้อยค่า หรือบางทีเด็กเขาทำอะไรสักอย่างแล้วถูกล้อเลียน 

ซึ่งในยุคนี้มันไม่ใช่แค่การล้อเลียนในโรงเรียน แต่ถูกดึงไปล้อเลียนในโลกออนไลน์มากขึ้น กลายเป็น Social Bullying เพราะปัจจุบันมันมีแพลตฟอร์มที่มันเข้ามากระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้นค่ะ

เพราะนิยามคำว่า ‘บูลลี่’ ของเราคือการทําให้คนอื่นตัวเล็กลง ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม เช่น พูดกดเขา แกล้งเขา หรือทําให้เขารู้สึกว่าไม่เข้าพวก ซึ่งสามารถเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นทั้งในชีวิตจริง และในโลกออนไลน์ 

และจากการไปลงพื้นที่จริงทำให้เห็นว่าปัญหาการบูลลี่และปัญหาสุขภาพจิตของเด็กๆ นี่ถือเป็นประเด็นเร่งด่วนมากๆ น้องๆ เองก็มีการตระหนักรู้ถึงปัญหานี้บ้างแต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมเท่าไหร่ เราได้คุยกับเด็กๆ และคุณครูในหลายๆ โรงเรียน ก็เห็นได้เลยว่าเรื่องของการบูลลี่และปัญหาสุขภาพจิตยังคงวนเวียนในสังคมอยู่เสมอ 

กลุ่มเป้าหมายของเราคือเด็กประถมถึงมัธยมต้น ซึ่งเป็นวัยที่จากสถิติแล้วมีปัญหาเรื่องการบูลลี่มากที่สุด คุณกึ้งที่เป็นผู้บริหารเขาก็มองว่า เราควรแก้ปัญหานี้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยทำให้เขาตระหนักได้ว่า สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่คืออารมณ์แบบไหน พฤติกรรมที่เขากำลังทำอยู่ก่อให้เกิดอารมณ์แบบใดและส่งผลยังไงกับคนอื่น รวมถึงเราจะรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวนนี้ยังไงดี

และมองว่าการเตรียมพร้อมในสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางความคิด และเป็นที่พึ่งพาทางอารมณ์และจิตใจให้เด็กๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อถึงวันที่เขาต้องก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและออกไปเผชิญโลกภายนอก เขาก็จะสามารถจัดการกับตนเองได้ รวมถึงยังสามารถกระจายความรู้เรื่องช่องทางการช่วยเหลือให้แก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ถูกบูลลี่ได้เช่นกันค่ะ

ซึ่งในช่วงแรกก่อนการพัฒนาแอปพลิเคชัน บริษัทก็ได้มีการลงพื้นที่ทำกิจกรรมในรูปแบบ ‘School Tour’ หรือการลงพื้นที่ในต่างจังหวัด โดยมีจุดประสงค์หลักคือ การไปทำกิจกรรมเพื่อมอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบูลลี่ และพัฒนาทักษะต่างๆ ให้แก่เด็กๆ แต่หลังจากการทำกิจกรรมไปช่วงหนึ่ง ก็พบว่าการลงพื้นที่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเท่าที่ควร เพราะเป็นการแก้ปัญหาแค่เฉพาะระยะสั้นๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับเด็กในระยะยาว ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถลงพื้นที่ได้ จึงเกิดเป็นไอเดียในการสร้างแอปพลิเคชันขึ้นมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กและสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงค่ะ

ทำไมถึงต้องเป็น ‘BuddyThai’ ?

เริ่มแรกเราไม่อยากให้แอปนี้เป็นแอปที่น่ากลัว ที่พอมีติดเครื่องแล้วจะทำเด็กจะรู้สึกว่า ‘ฉันป่วยเหรอ’ หรือ ‘ฉันเป็นซึมเศร้าเหรอ’ แต่อยากให้เป็นแอปที่ทำให้เด็กรู้สึกว่ามัน Friendly (เป็นมิตร) กับเขา คําว่า ‘Buddy’ เลยถูกหยิบขึ้นมาใช้ เนื่องจากเป็นคำที่เข้าใจได้ง่ายว่าเป็นเพื่อนคู่ใจ 

ซึ่งจุดประสงค์หลักของการทําแอปคือ เราอยากสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นเพื่อนของผู้ใช้งาน เป็นสะพานเชื่อมให้ ‘คนที่ต้องการความช่วยเหลือ’ ไปเจอความช่วยเหลือที่ถูกต้อง 

และเราก็มีความร่วมมือกับโรงเรียนในกลุ่มเขตกรุงเทพมหานคร ที่เป็นพาร์ทเนอร์ เพื่อที่จะลงไปทำ School Tour กับโรงเรียนกลุ่มนี้ ในการให้ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแอป เพราะเขาก็มีนโยบายตรงกับคอนเซ็ปต์ของเราคือ อยากทําให้โรงเรียนเป็นที่ๆ ปลอดภัยสําหรับเด็กทั้งทางกายภาพและทางความรู้สึก จึงเป็นการร่วมมือกันในเฟสแรก แล้วก็ไปร่วมกับกรมสุขภาพจิตในการดำเนินงานหลังจากนั้นถัดมา ซึ่งทางกรมสุขภาพจิตเขาก็เอาข้อมูลความรู้ในหนังสือต่างๆ มาให้เรา ส่วนเราก็ใช้ทีมพัฒนาแอปมาย่อยข้อมูลจากเขาให้เข้าใจง่ายและสนุก เพราะต้องทำให้ดึงดูดเด็กเข้ามา เพื่อที่จะสามารถดึงเขาจากการเล่นโซเชียลอื่นๆ มาเข้าแอปเราทุกวันให้ได้ 

โดยจุุดเด่นของ BuddyThai ที่เห็นได้ชัดคือ เราเป็นแอปที่มี 3 เลเวล คือ PRE-ON-POST หมายถึงก่อนถูกบูลลี่ ตอนที่ถูกบูลลี่ และหลังการถูกบูลลี่ ซึ่งช่วงก่อนถูกบูลลี่ก็ต้องทำให้เขารู้ว่าควรเข้าใจอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง เข้าใจว่าการบูลลี่คืออะไร และเมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นต้องแก้ไขยังไง ส่วนนี้ก็จะเป็นการให้ความรู้เชิงรุกที่จะอยู่ในฟีเจอร์ของแอป และให้ข้อมูลความรู้ต่างๆ

ส่วนช่วง ON หมายถึงในวันที่อยู่ในสถานการณ์นั้น เช่น กําลังโดนทําร้าย กําลังเศร้ามากๆ เราก็มีปุ่ม SOS หรือปุ่มขอความช่วยเหลือ ที่ไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหนเราก็จะเชื่อมต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้

และช่วง POST หมายถึง เมื่อเราโดนบูลลี่แล้ว เรากําลังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูใจตัวเอง หรืออยากเข้าใจตัวเอง ก็จะมีฟีเจอร์ Mood Tracking ให้ประเมินอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง และสามารถเข้ามาดูได้ว่าภาพรวมความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร ดีขึ้นมั้ยหรือแย่ลง นอกจากนี้เราก็มีการวางแผนในเฟสที่ 2 ว่าจะพัฒนาในเรื่องการติดตามผลให้มีการเชื่อมต่อกันอย่างลื่นไหล ไร้รอยต่อ เช่น เมื่อส่งเคสให้กับจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ก็จะสามารถติดตามผลเรื่อยๆ ได้ เพราะเราจะคอยดูแลเด็กจนกว่าจะปิดเคส

ซึ่งในปี 2024 นี้เรามีแผนเพื่อจะเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานมากขึ้น โดยมีการจัด School tour ตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อไปให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น ว่าจริงๆ เรื่องนี้มันสำคัญมากนะ และเราก็มีอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วย เป็นที่ปรึกษาให้กับน้องๆ ได้ ณ ตอนนี้เราจับมือกับสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นน้องๆ ที่เข้าใจเรื่องปัญหาของเด็กจริง ๆ

และเรายังได้จัดกิจกรรมร่วมกับทางหน่วยงานกรุงเทพมหานครที่เล็งเห็นปัญหาในจุดเดียวกันนี้เช่นกัน การลงพื้นที่ไปประชาสัมพันธ์ BuddyThai Application ทำให้ได้เจอเด็กๆ จากหลากหลายกลุ่มมากๆ ทำให้เขาได้รู้จักและลองใช้งานจริง รวมถึงเรายังมีแผนที่จะสนับสนุนให้คุณครู รวมถึงผู้ปกครองหันมาใช้แอปนี้เพื่อสอดส่องพฤติกรรมของเด็กๆ ด้วยเช่นกันค่ะ โดยอาจขยายผลในเฟสถัดไปค่ะ

แล้วแต่ละฟีเจอร์ในแอปสามารถช่วยเด็กได้อย่างไรบ้าง?

ประเด็นหลักคือ เราต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอปเรามีประโยชน์สําหรับเขา ซึ่งฟีเจอร์หลักที่มีตอนนี้คือ Mood Tracking, แบบสอบถาม-แบบฝึกหัด และปุ่ม SOS ฉุกเฉิน

อย่างการทํา Mood Tracking ก็เป็นการทำให้เด็กรู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง หรือมี Self Awareness คือได้รู้ว่าตอนนี้เขากำลังสะสมความเครียดอยู่นะ ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือ ทำให้เขาได้สังเกตตัวเองว่า เอ๊ะ ทำไมเราเศร้าต่อเนื่อง หรือเรามีความสุขต่อเนื่อง

โดยคำว่า ‘Self Awareness’ ในที่นี้คือคีย์เวิร์ดหลักที่จะช่วยสร้างให้เด็กเรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ได้ในทุกสถานะ โดยการสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง 

นอกจากนี้ เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจผู้อื่น และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น ซึ่งก็เป็นขั้นตอนของมัน ที่เมื่อเราเห็นว่าเรามีข้อดีอะไร มีข้อเสียอะไร เราก็จะเริ่มเห็นคนอื่นว่าเขาก็เก่งในเรื่องของเขา และมีข้อดีหรือข้อเสียที่แตกต่างออกไปไม่เหมือนกับเรา พอเรายอมรับในความแตกต่างได้ ปัญหาเรื่องการบูลลี่ก็จะน้อยลง

ส่วนแบบสอบถามและแบบฝึกหัด จุดประสงค์หลักคือต้องการจำลองเป็นเพื่อนชวนคิดและเพื่อนที่ให้ความรู้ ซึ่งรูปแบบของส่วนนี้คือการแปลงแบบสอบถามที่มันยากๆ ให้สนุก ด้วยกับกับกับผู้ใช้งาน โดยการสร้างสถานการณ์สมมติขึ้นมาให้เด็กเลือกตอบ ว่าถ้าเป็นเขาจะเลือกทางไหน หากเด็กตอบผิดก็จะมีคำอธิบายเด้งขึ้นมาทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น อันนี้ก็จะเป็นส่วนที่ช่วย Educate สานต่อ ว่าเมื่อเด็กเขาเริ่มเข้าใจความแตกต่าง เริ่มรู้เท่าทางความรู้สึกตัวเองแล้ว ถัดมาก็ต้องรู้จักการอยู่รอดในสังคม รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์นี้ฉันต้องทํายังไง หรือ สิ่งที่ฉันเป็นอยู่เรียกว่าอะไร แล้วส่งผลอะไรบ้าง

ฟีเจอร์สำคัญสุดท้ายคือ ปุ่ม SOS เป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถขอความช่วยเหลือได้ทันที จุดประสงค์หลักคือ เราอยากจะตอบโจทย์ในเรื่องของการที่เด็กไม่รู้ว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากไหนดี ที่ไหนคือที่ที่ถูกต้อง นี่ก็จะเป็นการแมตช์ให้ถูกเรื่อง เช่น คิดฆ่าตัวตาย ต้องโทรเบอร์นี้ หรือถูกทําร้าย ต้องโทรอีกเบอร์หนึ่ง ฟีเจอร์นี้เป็นอีกทางหนึ่งที่เราช่วยชี้ช่องให้เขารู้ว่าทุกปัญหามีทางออกค่ะ

ซึ่งหลังจากเปิดตัวแอปอออกไป มีผลตอบรับในทางที่ค่อนข้างดีค่ะ เพราะตอนนี้ก็มียอดดาวน์โหลดกว่า 5,000 ดาวน์โหลด แล้วก็มีคนเข้ามาใช้งานฟีเจอร์ SOS เป็นหมื่นๆ ครั้ง ก็เห็นได้เลยว่าผู้ใช้งานที่ใช้ประโยชน์จากแอปที่เราพยายามพัฒนาได้อย่างดีเลยค่ะ 

โดยกลุ่มเป้าหมายที่เราลงไปทำงานด้วยก็จะมีตั้งแต่มัธยมต้นและมัธยมปลาย แต่ช่วงอายุของผู้ใช้งานจริงค่อนข้างโตกว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราคาดไว้ เนื่องจากตอนแรกเราคิดว่าเป็นกลุ่มอายุ 9-15 ปี แต่ในความจริงคือเป็นกลุ่มวัยมัธยมไปจนถึงพ้นมัธยม แต่จากฟีดแบ็คของคุณครู เขาก็บอกว่าแอปนี้อาจจะเหมาะกับเด็กโตมากกว่า ที่เขาพอจะคิดวิเคราะห์แยกแยะได้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ไหน และกำลังประสบปัญหาอะไร

เรามองเห็นแนวทางการพัฒนาแอปในอนาคตมากขึ้นด้วยค่ะ การทำ School Tour ได้รับการร่วมมือกับน้องๆ สภาเด็กแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความตระหนักรู้ และรู้เท่าทันปัญหาเด็กและเยาวชนในประเทศไทยเป็นอย่างดี แล้วก็จากการลงพื้นที่ School Tour ตามโรงเรียนต่างๆ ก็ทำให้เราได้รับฟีดแบ็คจากเด็ก ผู้ปกครองและคุณครูอยู่เสมอ เพราะเขามองว่าในบางเรื่องครูก็เข้าไปช่วยเหลือไม่ทัน หรือบางครั้งตัวผู้ปกครองเองก็อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กเครียด แอปบัดดี้เลยวางตัวให้เป็นเสมือนเพื่อนที่ทุกคนสามารถไว้ใจได้ค่ะ

ตอนที่ไปลง School Tour มีกระบวนการทำงานและสื่อสารกับเด็กยังไง?

จริงๆ เรื่องการบูลลี่ก็มีคอนเซ็ปต์เหมือนกับแคมเปญหยุดใช้ถุงพลาสติก เพื่อลดโลกร้อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนเรามองไม่เห็นภาพว่าการหยุดใช้แค่คนเดียวจะส่งผลอะไร 

รู้แค่ว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่ก็เหมือนจับต้องไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าควรเริ่มที่ตรงไหน แต่ถ้าเราทำให้ทุกคนมองเห็นเป็นภาพในฐานะคนหนึ่งคน ที่ถ้าเราไม่เริ่ม แล้วใครจะเริ่ม การที่คนหนึ่งคนเริ่ม มันก็จะเป็นการสร้างตัวอย่างให้คนรอบข้างเห็นและสร้างอิทธิพลให้คนอื่นทำตามได้ ทำให้สิ่งที่เราทำกลายเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งในการสร้างสังคมที่ดีค่ะ

เพราะเราไม่ได้พยายามจะมาบอกว่า ให้ไปหยุดคนบูลลี่ หรือการบูลลี่ต้องหายไปเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างต้องเป็นศูนย์ แต่สิ่งที่เราพยายามเข้าไปพูดคือ เราเริ่มได้นะ เราเป็นคนหนึ่งคนที่สามารถเริ่มจะเข้าใจตัวเองได้  นี่คือคอนเซ็ปต์ของเรา ที่รู้สึกว่าการได้ลงพื้นที่ และการได้เข้าไปเจอเด็กยังคงเป็นเรื่องสําคัญที่เราจะไปให้กําลังใจเขา

ซึ่งตอนลงพื้นที่เราไม่ได้มีเวลาเยอะมากพอที่จะอยู่กับเด็กทั้งวัน แต่เป็นการเข้าไปในช่วงพักเที่ยงสั้นๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเข้าไปก็ต้องเข้าถึงเด็กด้วยความสนุก โดยตั้งจุดประสงค์หลักของกิจกรรมให้เชื่อมโยงกับสิ่งที่เราต้องกรสื่อสาร เช่น ให้เล่นเกมกอดคอกัน โยกซ้ายโยกขวาโดยห้ามล้ม จุดประสงค์ของกิจกรรมนี้คือทำให้เด็กเขาเห็นภาพเปรียบเทียบว่า หากเราอยู่คนเดียว เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะล้มหรือไม่ล้ม แต่ถ้าเรามีเพื่อนที่ช่วยพยุงกัน มีคนข้างๆ คอยดึงขึ้นมา ก็จะทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น 

หรือกิจกรรม ‘Pass Love Forward’ คือการเขียนกระดาษโน้ตขอบคุณคนข้างๆ แล้วส่งต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มกระดาษ เราก็จะอธิบายเขาว่า การชื่นชมกันนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชมอะไรก็ได้ แต่เราทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทางบวกก็พอ อันนี้เราก็เหมือนสอนให้เขารู้จักแสดงออกอารมณ์ในทางบวกให้แก่คนอื่น โดยเริ่มจากอะไรง่ายๆ และสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ก็มีการเชิญวิทยากร หรือแขกรับเชิญจากหลากหลายวงการ เช่นจากสภาเด็กบ้าง จากกลุ่มนักร้องบ้าง หรืออินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok มาพูดถึงประเด็นเรื่องการบูลลี่ เพื่อที่จะทำให้เด็กเขารู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ในฐานะไหนก็ล้วนเคยมีประสบการณ์ร่วมเหมือนกับเขา

แต่หลักๆ เราไม่ได้สอนให้สู้กลับเมื่อโดนบูลลี่ แต่สอนให้เด็กแข็งแกร่ง อย่าไปรู้สึกตัวเล็กตามคนอื่น เราทํายังไงก็ได้ให้เขาแข็งแรงมากพอ ไม่ว่าจะเจอการบูลลี่จากในชีวิตจริงหรือโลกออนไลน์

นอกจากนี้ เราก็เข้าไปให้ความรู้แก่เด็กในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เด็กรับรู้สิทธิของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการถูกคุ้มครองอย่างถูกต้อง การขอความช่วยเหลืออย่างถูกต้อง และสิทธิในการดํารงชีวิตด้วยค่ะ

จากประสบการณ์ในการลงพื้นที่และรวบรวมข้อมูลสำหรับทำแอปนี้ คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับเด็กคืออะไร?

เรื่องการรู้เท่าทันตัวเอง หรือ Self awareness ก็เป็นเรื่องสำคัญค่ะ เพราะมันทําให้เรารู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เป็นแบบไหนอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็จะช่วยปกป้องตัวเราเองจากคนอื่น และป้องกันไม่ให้เราเป็นคนที่ไปทําร้ายคนอื่นด้วย ทำให้เราเห็นความรู้สึกตัวเอง เห็นข้อดีและข้อเสียของตัวเอง และยอมรับตัวเองว่าความแตกต่างของเรามันคือไม้บรรทัดของเราเอง

เพราะการมี Self awareness จะนำไปสู่การสร้าง Self Esteem ที่ทําให้เด็กมั่นใจในการเป็นตัวเองมากขึ้น และนี่คือกุญแจสําคัญในการที่เขาจะแข็งแกร่งและอยู่ในสังคมนี้ได้ และนอกจากนี้การเข้าใจตัวเองก็จะส่งผลให้เริ่มเข้าใจผู้อื่น และเมื่อเข้าใจผู้อื่นเราจะเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้นค่ะ

เพราะจริงๆ เรื่องลดการบูลลี่มันก็คือการสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับเด็กๆ เพื่อที่จะลดบาดแผลในวัยเด็กให้กับเขา แต่พูดถึงเรื่องสุขภาพจิตแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่จับต้องยากมาก เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ําแข็ง ที่เราไม่เคยเห็นมันเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดขึ้นตอนไหนด้วยซ้ํา แต่มันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเติบโตมากลายเป็นคนคนหนึ่ง 

เพราะฉะนั้นวัยเด็กคือวัยที่กำลังสร้างภูเขาน้ําแข็ง ที่กำลังสร้างฐานข้างล่างจนกลายมาเป็นตัวตนของเขาที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไปในสังคม นี่จึงเป็นจุดที่สําคัญมาก

อีกสิ่งสำคัญเลยคือพ่อแม่ ครู และผู้ปกครอง ที่เป็นคนที่จะช่วยเด็กๆ สร้างภูเขาน้ำแข็ง และผลักดันและร่วมด้วยช่วยกันกับเด็กให้เขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพให้ได้ คอยเป็นกำลังใจ และพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา รวมถึงอยู่ข้างๆ เขาด้วยความเข้าใจ ว่าเด็กยุคนี้มีความกดดันของเขา เพราะผู้ใหญ่ต้องเข้าใจก่อนว่าในวัยเรายังไม่มีโซเชียลมีเดีย สภาพสังคมของเราแตกต่างกัน เราเลยไม่ควรเอาไม้บรรทัดของเราไปวัดหรือตัดสินใคร 

เพราะไม้บรรทัดในโลกใบนี้มีมากมายเต็มไปหมด ทั้งไม้บรรทัดของสังคม ไม้บรรทัดของโลก ไม้บรรทัดของโรงเรียน หรือไม้บรรทัดของบริษัท เพราะความคาดหวังของแต่ละคนนั้นมีเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ยากคือการเลือกไม้บรรทัดให้ตัวเอง 

ดังนั้นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองคือการช่วยเหลือและนําพาให้เด็กเขาได้พบเจอกับไม้บรรทัดที่ดีที่สุดของเขา เพื่อที่เขาจะสามารถเป็นตัวเองได้อย่างมั่นใจ และเติบโตอย่างมีความสุขในสังคมที่เขาอยู่ค่ะ

Tags:

self-awarenessการบูลลี่BuddyThaiสุขภาพจิตวัยรุ่นการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)พื้นที่ปลอดภัย

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน
Movie
22 March 2024

The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • The Holdovers (ฤดูหนาวนี้ไม่ไร้ไออุ่น) เป็นภาพยนตร์อเมริกันบอกเล่าเรื่องราวของครูพอลที่ถูกบังคับให้อยู่เวรในช่วงคริสต์มาสเพื่อดูแลนักเรียนจอมแสบอย่างแองกัสที่ถูกแม่ยกเลิกนัดกะทันหัน ขณะที่เพื่อนๆ ของเขาต่างออกไปเฉลิมฉลองกับครอบครัว
  • แม้ครูพอลกับแองกัสจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อน แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกัน คนสองวัยจึงค่อยๆ ทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้งจนค้นพบตัวตนอีกด้านและภูมิหลังอันแสนเจ็บปวดของกันและกัน นำมาสู่มิตรภาพและการเยียวยาบาดแผลในอดีต 
  • The Holdovers กำกับโดย อเล็กซานเดอร์ เพย์น ที่เคยได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจาก Sideways และ The Descendants โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งให้ ดาไวน์ จอย แรนดอล์ฟ (แมรี่) คว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 96

“เราไม่บอกกับเด็กที่ถูกทิ้งในวันคริสต์มาสว่าไม่มีใครต้องการเขา” 

คำพูดของแมรี่ หัวหน้าเชฟของโรงเรียนบาร์ตันจากภาพยนตร์เรื่อง The Holdovers ปลุกให้ครูพอลได้สติและย้อนกลับมาทบทวนพฤติกรรมของตัวเองหลังจากที่เขาพลั้งปากต่อว่าลูกศิษย์ในวันสำคัญ

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

The Holdovers บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ครูพอล’ ครูวิชาอารยธรรมโบราณขี้หงุดหงิดแห่งโรงเรียนบาร์ตันที่ถูกบังคับให้อยู่เวรในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ปี 1970 เพื่อดูแลเด็กนักเรียนจอมแสบอย่าง ‘แองกัส’ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากที่เขาถูกแม่ยกเลิกนัดกะทันหันเพื่อไปฮันนีมูนกับพ่อเลี้ยง โดยมี ‘แมรี่’ หัวหน้าเชฟที่เพิ่งสูญเสียลูกชายจากสงครามเวียดนามคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของทั้งคู่

หากมองแองกัสผ่านสายตาของครูพอล เขาคือเด็กเรียนดีที่บ้านรวยแต่นิสัยเสีย โดยเฉพาะในคาบเรียนสุดท้ายก่อนหยุดคริสต์มาสที่มีการประกาศผลสอบ ปรากฏว่านักเรียนส่วนใหญ่ได้คะแนนไม่ดีนัก พวกเขาจึงอ้อนวอนครูพอลเพื่อขอสอบอีกครั้ง ครูพอลจึงแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยการสอนบทเรียนใหม่เพื่อให้ทุกคนกลับมาสอบหลังวันหยุด ทว่าแองกัสที่ได้คะแนนดีที่สุดในห้องกลับช็อตฟีลทุกคนด้วยการขอให้ครูพอลยกเลิกชั้นเรียนเหมือนกับที่ครูส่วนใหญ่ทำ นั่นทำให้ครูพอลตอบโต้ด้วยการสั่งให้ทุกคนไปอ่านหนังสือเอาเอง

ฟากแองกัสเองก็มองว่าครูพอลคือผู้ใหญ่งี่เง่าใจร้ายที่บ้าอำนาจสุดๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ โดยเฉพาะการตัดไฟหลายจุดในโรงเรียน ทำให้ทั้งคู่ต้องมาหลบหนาวและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออยู่ด้วยกัน ครูพอลยังคงสไตล์เผด็จการที่คอยกำหนดตารางชีวิตประจำวันให้แองกัสไล่ตั้งแต่การตื่นนอน การออกกำลังกายกลางหิมะ การรับประทานอาหาร และการอ่านหนังสือตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการผ่อนผันใดๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่จึงแปลกใจที่ช่วงต้นของภาพยนตร์ จอมแสบอย่างแองกัสจะพยายามท้าทายและแหกกฎเสมอ โดยเฉพาะการแอบใช้โทรศัพท์ในโรงเรียนเพื่อจองโรงแรมสักที่ ทำให้ครูพอลที่คอย ‘จับผิด’ ลูกศิษย์ตลอดเวลารู้สึกโกรธถึงขั้นสั่งกักบริเวณ 

“ครูบอกว่าดูแลผมเหรอ ครูเป็นผู้คุมเรือนจำหรือพ่อบ้าน ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย โอเคไหม มีแค่คนขี้แพ้สองคนและแม่ผู้น่าสงสาร ดังนั้นหยุดไร้สาระเรื่องนี้สักที ครูเมินผม ผมก็จะเมินพวกคุณทั้งคู่ด้วย…การได้อยู่กับครูก็ไม่ต่างอะไรกับถูกลงโทษครั้งใหญ่” 

แม้การพยายามแอบหนีออกนอกโรงเรียนจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎระเบียบและดูอันตรายสำหรับเด็กมัธยม แต่ผมเข้าใจความรู้สึกของแองกัสดีว่าการเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงคริสต์มาสมันแย่แค่ไหน แถมยังต้องมาติดแหงกอยู่กับครูพอลที่เอาแต่บังคับและปฏิบัติตัวราวกับเป็น ‘หุ่นยนต์ตำรวจ’ 

จุดเปลี่ยนสำคัญของภาพยนตร์คือการที่ครูพอลพาลูกศิษย์กับแมรี่ไปปาร์ตี้คริสต์มาสที่บ้านเจ้าหน้าที่โรงเรียนคนหนึ่ง แต่ครูพอลกลับสั่งให้แองกัสกลับโรงเรียนเร็วกว่าที่คิด ทำให้แองกัสที่ปิ๊งเด็กสาวคนหนึ่งเข้าอย่างจังถึงขั้นหัวเสียและอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อครูพอลว่า นี่เป็นสิ่งดีๆ สิ่งเดียวที่เขามีนับตั้งแต่ถูกกักตัว

“เธออยากให้ครูเตือนความจำเธออีกครั้งไหม มันไม่ใช่ความผิดครูที่เธอต้องติดอยู่ที่นี่ เธอคิดว่าครูอยากอยู่ดูแลเธอนักหรือไง ไม่เลย ครูคอยสวดภาวนาให้แม่ของเธอรับโทรศัพท์หรือให้พ่อของเธอนั่งเฮลิคอปเตอร์ เรือดำนำ้ หรือไม่ก็ขี่จานบินมารับเธอที่นี่” 

สิ้นเสียงของครูพอล ผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่ทั้งเจ็บปวดและเคว้งคว้างของแองกัส เพราะคำพูดของพอลไม่ต่างอะไรกับการจี้แผลใจของเด็กที่ถูกครอบครัวปฏิเสธในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของปี เช่นเดียวกับแมรี่ที่ตระหนักว่าครั้งนี้ครูพอลใช้คำพูดแรงเกินไป เธอจึงตัดสินใจเตือนเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เราไม่บอกกับเด็กที่ถูกทิ้งในวันคริสต์มาสว่าไม่มีใครต้องการเขา คุณเป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย” 

ตกดึกคืนนั้น ครูพอลนอนทบทวนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวเองด้วยท่าทีสำนึกผิด ซึ่งผมมองว่าแม้ครูพอลจะเก่งวิชาการ แต่ที่ผ่านมาเขากลับเป็นได้แค่ ‘ผู้สอน’ ไม่ใช่ ‘ครู’ ของลูกศิษย์

หลังจากรู้ว่าตัวเองทำพลาดไป สิ่งที่ครูพอลตัดสินใจทำทันทีคือการปรับปรุงตัวให้เป็นคนที่มี Empathy มากขึ้นด้วยการทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการตกแต่งต้นคริสต์มาสและปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นกันเอง เพื่อชดเชยความรู้สึกของการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญกับครอบครัว ทั้งยังมอบของขวัญชิ้นสำคัญคือ การจัดทริปทัศนศึกษาที่เมืองบอสตันตามคำขอของแองกัส 

ที่เมืองบอสตัน คนสองวัยได้ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แองกัสได้รู้ว่าครูพอลไม่ใช่คนใจร้ายอย่างที่เขาคิด แถมยังมีแผลใจเช่นเดียวกัน โดยตอนหนึ่งครูพอลผู้ซึ่งพร่ำสอนให้นักเรียนทุกคนพูดความจริง เขากลับโกหกเพื่อนคู่อริสมัยเป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ดที่บังเอิญเจอกันว่าตอนนี้เขาสอนหนังสือที่ต่างประเทศ 

ซึ่งครูพอลสารภาพกับแองกัสภายหลังว่า แท้จริงแล้วเขาไม่มีวุฒิปริญญาตรีด้วยซ้ำ เพราะถูกกล่าวหาว่าขโมยผลงานวิทยานิพนธ์ของเพื่อนคนนี้ ทั้งที่เพื่อนต่างหากที่ขโมยผลงานของครูพอล แต่ด้วยความที่เพื่อนเป็นลูกของคนที่บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัย ทำให้ครูพอลถูกไล่ออก แต่โชคดีที่ครูใหญ่คนก่อนของโรงเรียนบาร์ตันรับเขามาเป็นครู

ส่วนครูพอลเองก็เห็นตัวตนอีกด้านของแองกัส ผ่านฉากที่เขารู้ว่าแองกัสต้องการมาบอสตันเพราะอยากไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งระหว่างนั้นเขาก็พบว่าแองกัสเองก็กินยา ‘ลิเบรียม’ หรือยาที่ใช้รักษาความผิดปกติจากความวิตกกังวลเหมือนกัน ทำให้ครูพอลรู้สึกเห็นอกเห็นใจแองกัสมากขึ้น

ผมสังเกตว่าสายตาของครูพอลที่มองแองกัสเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฉากสำคัญของเรื่องที่แองกัสสะอึกสะอื้นกลางร้านอาหารหลังเผยความกลัวในใจว่า สักวันเขาอาจกลายเป็นคนที่ป่วยทางจิตเหมือนพ่อ

“ไม่เลย แองกัส ฟังนะ เธอไม่ใช่พ่อของเธอ ไม่มีใครที่เป็นเหมือนพ่อตัวเองได้ ครูก็ไม่เหมือนพ่อ ไม่ว่าพ่อของครูจะพยายามยัดเยียดครูมากแค่ไหนก็ตาม 

ครูพบว่าโลกใบนี้ขมขื่นและอยู่ยาก ดูเหมือนโลกก็รู้สึกแบบนี้กับครูเหมือนกัน ซึ่งครูคิดว่าเธอและครูต่างมีสิ่งนี้ แต่อย่าเข้าใจผิด เธอมีความท้าทาย เธอเป็นคนไม่ธรรมดา ก้าวร้าวและโกรธง่ายมากๆ แต่เธอไม่ใช่พ่อของเธอ เธอเป็นลูกผู้ชายที่เป็นตัวของเธอเอง ไม่สิ เธอเป็นแค่เด็ก เธอเพิ่งเริ่มต้นและเธอฉลาด เธอยังมีเวลาที่จะพลิกสถานการณ์ 

ชาวกรีกมีคำพูดว่าทุกๆ ก้าวที่คุณทำคือการหลีกเลี่ยงโชคชะตา สิ่งเหล่านี้คือขั้นตอนที่นำเธอไปสู่ชะตากรรมนั้น แต่นั่นเป็นเพียงแนวคิดวรรณกรรม เพราะในชีวิตจริง อดีตของเธอไม่ได้เป็นตัวกำหนดชะตากรรม” 

หลังชมภาพยนตร์จบ ผมมีโอกาสได้อ่านความเห็นของ David Hemingson ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่าน Metro Philadelphia ซึ่งน่าจะเป็นบทสรุปว่าแท้จริงแล้วแก่นแท้ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือความรักและความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

“แองกัสมีความลับที่น่าอับอาย โดยเฉพาะสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความลับที่น่าอับอายของพ่อ ซึ่งเขากลัวว่ามันคือชะตากรรมของเขา(ในอนาคต)  

แมรี่มีภาระที่ใหญ่ที่สุด เธอมีภาระที่คาดไม่ถึงจากการสูญเสียเคอร์ติส (ลูกชาย) และเธอไม่สามารถมูฟออนจากโรงเรียนนี้ไปได้เพราะมันเป็นที่สุดท้ายที่เธออยู่กับเขา ดังนั้นเธอจึงติดอยู่ที่นั่น 

ส่วนพอลโกหกนักเรียนของเขามาตลอดอาชีพการงานของเขาเกี่ยวกับการเป็นนักวิชาการ ดังนั้นคนเหล่านี้แต่ละคนจึงแตกสลาย ทั้งสามคนรักษาซึ่งกันและกันและตกหลุมรักกัน แต่ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับเวลา ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่ไปไกลเกินไป แต่ไกลพอที่เราจะเข้าใจว่าทําไมพวกเขาถึงห่วงใยกัน และความผูกพันนั้นจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาที่เหลือไปตลอดชีวิตได้อย่างไร”

สำหรับผม The Holdovers ถือเป็นตำราชีวิตอีกเล่มที่ย้ำเตือนว่า Don’t judge a book by its cover. หรืออย่าให้คุณค่าใครผ่านเปลือกที่เราเห็น เพราะในชีวิตจริงเราต่างเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ต่างคนต่างมีเรื่องราว มีปมปัญหา และมีสิ่งต่างๆ ที่ซุกซ่อนในใจมากมาย 

บางทีถ้าเราลองมองลึกเข้าไปในใจของคนที่เราไม่ชอบ เราอาจค้นพบตัวตนอีกด้านที่อ่อนไหว บอบช้ำ และต้องการความเข้าอกเข้าใจจากใครสักคนเช่นเดียวกัน

Tags:

เด็กครอบครัวบาดแผลทางจิตใจพ่อแม่โรงเรียนภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Maddiction: เพราะเป็นคนดีจึงหัวร้อน หรือเพราะหัวร้อนแล้วรู้สึกดี? รับมือกับความโกรธที่อาจก่อตัวจากปมในวัยเด็ก
Social IssuesHealing the trauma
20 March 2024

Maddiction: เพราะเป็นคนดีจึงหัวร้อน หรือเพราะหัวร้อนแล้วรู้สึกดี? รับมือกับความโกรธที่อาจก่อตัวจากปมในวัยเด็ก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คนที่ ‘หัวร้อน’ ใส่คนอื่น ส่วนหนึ่งมักจะรู้สึกว่า การกระทำของตัวเองเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการปกป้องความถูกต้อง และความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือมาตรฐานความดีบางอย่าง
  • ความหัวร้อนนี้มีพื้นฐานมาจาก ‘ความโกรธ’ ซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ เช่นเดียวกับความยินดี ความเศร้า ความกลัว หรือความเกลียดชัง
  • นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า การเลี้ยงดูจากครอบครัวในช่วงวัยเด็ก ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หัวร้อนมากกว่าคนอื่นๆ มีปัญหาในการจัดการอารมณ์โกรธ โดยมักมาจากครอบครัวที่ดูสับสน มีแต่เรื่องวุ่นวาย ขาดทักษะการสื่อสาร การแสดงออกทางอารมณ์อย่างถูกวิธีและสร้างสรรค์

มนุษย์ได้วิวัฒนาการจนถึงขั้นอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีอารยธรรม ตั้งแต่เมื่อราวห้าพันปีที่แล้ว แต่ทำไมมนุษย์ผู้มีอารยะ ได้รับการปลูกฝังจริยธรรม มีทั้งความรู้สึกผิดชอบ-ชั่วดี รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้สามารถรวมกลุ่มกันได้โดยสันติ ยังคงถูกครอบงำด้วยอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานที่เรียกว่า ‘ความโกรธ’

ในยุคปัจจุบัน ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์สามารถเอาชนะอารมณ์ความรู้สึกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดความเจ็บปวด การรักษาอาการซึมเศร้า การเพิ่มความสุขในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่า เราจะยังไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกบันดาลโทสะได้เสียที

ยิ่งไปกว่านั้น ความเกรี้ยวกราดทางอารมณ์ในสังคมสมัยใหม่ ดูจะเป็นอะไรที่รุนแรงขึ้น และไร้เหตุผลมากขึ้น ถึงขั้นที่มีข่าวว่า เราสามารถทำร้าย หรือผรุสวาทด่าทอคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เพียงเพราะความโกรธในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ขับรถแทรกเลน จอดรถติดกำแพงรั้วบ้านคนอื่น หรือแม้แต่การเห็นคนอื่นไม่แสดงความเคารพสิ่งที่ตนเองเคารพ

จุดร่วมที่น่าสนใจอย่างยิ่งของหลายๆ กรณีที่หยิบยกขึ้นมา ก็คือ คนที่ ‘หัวร้อน’ ใส่คนอื่น มักจะรู้สึกว่า การกระทำของตัวเองเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการปกป้องความดีงาม ความถูกต้อง และความสงบเรียบร้อยของสังคม

ความเกรี้ยวกราดจากความเข้าใจผิดๆ ยังไม่น่าตกใจเท่าข้อมูลที่นักจิตวิทยาค้นพบว่า การหัวร้อนเพื่อพิทักษ์คุณธรรม กำลังกลายเป็นสิ่งเสพติดทางอารมณ์ของคนบางกลุ่มไปแล้ว

อารมณ์ ‘โกรธ’ สัญชาตญานเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์

ความโกรธ คือ อารมณ์พื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ เช่นเดียวกับความยินดี ความเศร้า ความกลัว หรือความเกลียดชัง ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงความรู้สึกแล้ว ความโกรธยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน

เมื่อมนุษย์พบเจอประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจ ถูกคุกคาม หรือถูกปฏิเสธ ความรู้สึกโกรธจะเกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นให้มนุษย์เกิดความรู้สึกอยากต่อสู้ และเอาชนะสิ่งที่เป็นสาเหตุของความโกรธนั้น ซึ่งนั่นเองทำให้ ความโกรธ กลายเป็นตัวแปรในการผลักดันให้มนุษย์เอาชนะอุปสรรค และภัยคุกคามในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นักล่า หรือภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ

แล้วความรู้สึกฉุนเฉียว พลุ่งพล่านทางอารมณ์ เกิดขึ้นได้อย่างไร

นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า ความโกรธ เป็นอารมณ์มือสอง (second-hand emotion) โดยอธิบายว่า ความรู้สึกโกรธ ไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่จะต้องเกิดขึ้นหลังจากเกิดความรู้สึกเจ็บปวด ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ

แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถนำไปสู่ความรู้สึกโกรธได้ หากแต่จะต้องมีปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น การอนุมาน การประเมิน หรือการตีความหมายว่า สิ่งๆ นั้น หรือบุคคลนั้น เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเจ็บปวด ความรู้สึกโกรธจึงปะทุขึ้นโดยพุ่งเป้าหมายไปที่สาเหตุดังกล่าว 

นักจิตวิทยาบางคน กล่าวว่า ความโกรธ เป็นความรู้สึกเชิงสังคม (social emotion) เพราะความรู้สึกโกรธจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ทำให้โกรธ และผู้ถูกทำให้โกรธ ซึ่งในบางครั้ง ผู้ทำให้โกรธและผู้ถูกทำให้โกรธ อาจเป็นคนๆ เดียวกัน อย่างเช่น ความรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ และในบางครั้ง ผู้ทำให้โกรธก็อาจไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นสถานการณ์หรือเหตุการณ์ เช่น การจราจรที่ติดขัด ทำให้ผู้คนที่กำลังพลาดนัดหมายรู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นโมโห

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า บางครั้ง ความโกรธ ถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือกลไกเพื่อลดทอนความรู้สึกเจ็บปวด ตัวอย่างเช่น เมื่อเราถูกคนอื่นทำร้ายจนเกิดความรู้สึกเจ็บปวด แต่หากเราบันดาลโทสะขึ้นมา เราจะหลงลืมความรู้สึกเจ็บปวดนั้น และความโกรธจะกระตุ้นให้เราตัดสินใจสู้เพื่อเอาชนะผู้ที่มาทำร้ายได้

ในปัจจุบัน มนุษย์ไม่จำเป็น (หรือมีความจำเป็นน้อยลง) ในการอาศัยความโกรธเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคในการดำรงชีวิต ถึงกระนั้น อารมณ์เกรี้ยวกราด การบันดาลโทสะ หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกกันว่า ‘อาการหัวร้อน’ กลับยังคงอยู่คู่กับเรา และดูเหมือนจะยิ่งพัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้าย และไร้เหตุผลมากขึ้น

เสพติดอาการ ‘หัวร้อน’ เพราะเชื่อว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

พฤติกรรมการแสดงออกถึงความโกรธ ที่พบบ่อยในสังคมสมัยใหม่ จนกลายเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง ก็คือ อาการหัวร้อนของคนดี หรือ การบันดาลโทสะของคนที่เชื่อว่า ตนเองกำลังปกป้องคุณธรรม หรือมาตรฐานความดีบางอย่าง

‘คนดี’ เหล่านี้เชื่อว่า พวกเขามีความชอบธรรมที่จะแสดงพฤติกรรมเกรี้ยวกราดและรุนแรง เพราะมันคือการกระทำในนามของ ‘ความดี’ ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านี้มักเกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่า คนๆ นั้นจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ดร.เจเรมี เชอร์แมน (Jeremy Sherman) นักจิตวิทยาผู้มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับอารมณ์โกรธ เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Maddiction หรือ การเสพติดอาการหัวร้อน โดยอธิบายว่า

“ยิ่งเราเกรี้ยวกราดใส่คนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดียิ่งขึ้น และพอเรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากขึ้น ก็เลยคิดว่ามันเป็นพันธะหน้าที่ที่เราจะต้องหัวร้อนใส่คนอื่น ที่ทำอะไรไม่ถูกไม่ควร” ดร.เชอร์แมน กล่าว

อาการหัวร้อนของคนดี เกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่การโกหกเล็กๆ น้อยๆ การไม่เคารพกฎจราจร การจูงหมาไปขับถ่ายในที่สาธารณะ การจอดรถริมรั้วบ้านคนอื่น หรืออย่างในเมืองไทย ก็เคยมีกรณีคนดีหัวร้อนที่กลายเป็นข่าวคราวหลายครั้ง เช่น การทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันบนท้องถนน การผรุสวาทด่าทอถึงขั้นลงไม้ลงมือ เพราะเห็นคนอื่นไม่เคารพในสิ่งที่ตนเองเคารพเทิดทูน

แน่นอนว่า การรู้สึกเดือดดาลเมื่อเห็นความอยุติธรรม เป็นสิ่งที่ดี เพราะความโกรธจะเป็นแรงกระตุ้นให้เราลุกขึ้นสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ดร.เชอร์แมน ได้ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้ว คนที่เสพติดอาการหัวร้อน ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาคิดว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง หรืออุดมการณ์อันสูงส่งอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่รู้สึกดี ที่ได้ระบายความเกรี้ยวกราดใส่คนอื่น ที่พวกเขาคิดเอาเองว่า ‘ไม่ดี’ เท่ากับตนเอง

“ศรัทธาหรือความเชื่อในความดี อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คนรู้สึกโกรธและลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกดี ที่ได้ระบายความโกรธใส่คนอื่น แล้วทำให้ตัวเองดูสูงส่งขึ้น เป็นตัวการทำให้พวกเขาติดอยู่ในวังวนของการเสพติดอาการหัวร้อน” ดร.เชอร์แมน กล่าว

ดร.เจอร์รี เดฟเฟนแบคเกอร์ (Jerry Deffenbacher) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกับอารมณ์โกรธ กล่าวว่า คนที่มีอาการหัวร้อนได้ไวกว่าคนอื่นมีอยู่จริง แม้ว่าบางครั้ง พวกเขาจะไม่ได้แสดงความโมโหออกมาอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือ คนเหล่านี้จะมีความอดทนต่ำต่อเรื่องหงุดหงิด หรือความไม่สะดวกสบายแค่เล็กๆ น้อยๆ

ที่น่าสนใจก็คือ คนกลุ่มนี้ มักจะแสดงอาการหัวร้อนออกมา เมื่อพบเจอเรื่องราวที่พวกเขาคิดว่า ไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่ดีงาม ตามมาตรฐานที่พวกเขาเชื่อ

ถึงแม้จะมีหลักฐานทางวิชาการที่ชี้ว่า อาการหัวร้อนได้ง่ายของหลายคน เป็นผลมาจากพันธุกรรม หรือลักษณะเฉพาะตัวที่พบในยีน แต่นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า การเลี้ยงดูจากครอบครัวในช่วงวัยเด็ก ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ใครบางคนหัวร้อนมากกว่าคนอื่นๆ

มีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า คนที่มีปัญหาในการจัดการอารมณ์โกรธ มักจะมาจากครอบครัวที่ดูสับสน มีแต่เรื่องวุ่นวาย และขาดทักษะในการสื่อสาร หรือแสดงออกทางอารมณ์อย่างถูกวิธีและสร้างสรรค์

3 ขั้นตอน จัดการอารมณ์กราดเกรี้ยวในตัวคุณ

แม้ว่าการเกิดความรู้สึกโกรธ จะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่หากเรารู้สึกโกรธบ่อย หรือโกรธง่ายจนเกินความควบคุม อาจนำไปสู่ผลเสีย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ดร.ชาร์ลส สปีลเบอร์เกอร์ (Charles Spielburger) นักจิตวิทยา ผู้ศึกษาพฤติกรรมและการแสดงอารมณ์โกรธของมนุษย์ กล่าวว่า ความโกรธ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หัวใจจะเต้นแรงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น รวมถึงระดับฮอร์โมนหลายตัว ทั้งอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ อาจนำไปสู่การเกิดโรคหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า นอนไม่หลับ แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงโรคเบาหวาน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหัวร้อน ที่นำไปสู่การทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ซึ่งอาจจบลงด้วยการบาดเจ็บ หรือเลวร้ายทื่สุดคือ ถึงแก่ชีวิต

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกับอารมณ์โกรธ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คนมักจะจัดการกับอารมณ์โกรธอย่างผิดวิธี ด้วยการพยายามกดมันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด เพราะโทสะที่ถูกปิดกั้นไว้ จะยิ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจและสุขภาพร่างกายของคนๆ นั้น

ดร.สปีลเบอร์เกอร์ ได้สรุป 3 ขั้นตอนในการจัดการกับอารมณ์หัวร้อน คือ 1 ปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกวิธี 2 เบี่ยงเบนความรู้สึกโกรธ และ 3 ทำจิตใจให้สงบลง

“การปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกวิธี ชัดเจน แต่ไม่ก้าวร้าว เช่น การพูดกับคู่กรณีว่า คุณกำลังรู้สึกไม่พอใจเพราะอะไร รวมถึงบอกอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่คุณต้องการคืออะไร และทั้งคู่จะมีวิธีหาทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่อย่างไร” ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าว

อย่างไรก็ดี นักจิตวิทยาอีกหลายคน เสริมว่า เทคนิคในการสื่อสารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยใช้คำพูดที่ไม่ก้าวร้าว เช่น “ฉันคิดว่า เราน่าจะทำแบบนี้” แทนที่จะใช้คำว่า “คุณจะต้องทำแบบนี้”

สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ก็คือ การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในหัว แต่ควรหยุดไตร่ตรองจนแน่ใจว่า สิ่งนั้นจะไม่ยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น

ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าวว่า ส่วนการเบี่ยงเบนความรู้สึกโกรธ คือ แทนที่จะคิดถึงอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้เปลี่ยนไปถึงสิ่งที่เป็นเรื่องเชิงบวกมากกว่า เช่น ถ้าคุณกำลังหัวร้อนกับรถคันอื่นที่พยายามแทรกเลนเข้าไป ให้ลองคิดว่า คนขับรถคันนั้นอาจจะไม่คุ้นเส้นทาง ถ้าคุณชะลอความเร็วเพื่อให้รถคันนั้นได้เปลี่ยนเลนเข้ามา คุณอาจช่วยให้เขาไม่พลาดนัดหมายสำคัญในวันนั้นก็ได้

ขณะที่การทำจิตใจให้เย็นลง สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการหายใจลึกๆ ช้าๆ พยายามหายใจให้ลึกไปถึงช่องท้อง ไม่ใช่แค่บริเวณทรวงอก หรือ พูดกับตัวเองว่า “ใจเย็นๆ นะ” “ไม่เป็นไรนะ” พูดช้าๆ ซ้ำๆ พร้อมกับหายใจลึกๆ

ท้ายที่สุด ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าวว่า “หากคุณปล่อยให้ตัวเองหัวร้อน โดยไม่พยายามจัดการกับอารมณ์โกรธ สักวันหนึ่ง จะต้องมีใครสักคนเจ็บตัว และคนนั้นอาจเป็นตัวคุณเองก็ได้”

อ้างอิง

1.Maddiction : Addiction to self-righteous outrage ; https://www.psychologytoday.com/intl/blog/jerkology/202108/maddiction-addiction-self-righteous-outrage

2.Psychology of anger ; https://www.mentalhelp.net/anger/

3.Control anger before it control you ; https://www.apa.org/topics/anger/control

4.Understanding anger ; https://www.verywellmind.com/what-is-anger-5120208

Tags:

การจัดการอารมณ์สุขภาพกายใจการเลี้ยงดูMaddictionการเสพติดอาการหัวร้อน

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • loneliness-nologo
    How to enjoy life
    ‘ภัยเงียบของความเหงา’ เมื่อคนมากมายไม่อาจเติมช่องว่างทางความรู้สึก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • meditation-nologo
    Adolescent Brain
    การฝึกสมาธิ (Meditation): วิธีเรียบง่ายที่จะช่วยปรับสมองวัยรุ่นให้พร้อมรับมือกับความว้าวุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘แม่โสสะ’ แม่ที่มีอยู่จริงของลูก 16 คนที่เธอไม่ได้ให้กำเนิด แต่รักหมดหัวใจ: แม่อ้อย- ลักษณี เลื่อนล่อง

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Character building
    อยู่อย่างอ่อนโยนในโลกอันเกรี้ยวกราด 

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน
Relationship
19 March 2024

Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Parasocial Relationship คือ ความสัมพันธ์แบบข้างเดียวที่เราทึกทักเอาเองว่าตัวเองมีความผูกพันส่วนตัวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง กล่าวคือ เราอาจมีความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกับดาราคนหนึ่งมาก ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้จักเราเลย
  • ข้อดีคือ ทำให้เรามีต้นแบบที่ดี ช่วยคลายความเหงา และช่วยเติมเต็มความปรารถนา แต่หากเราหมกมุ่นในดารามากเกินไป อาจนำไปสู่ความผูกพันและความผิดหวังหากดาราคนนั้นไม่ปฏิบัติตัวตามที่เราคาดหวังไว้
  • ความสัมพันธ์นี้อาจทำให้ประสบปัญหาการเงิน เพราะนำเงินไปทุ่มเทกับดาราจนหมด อีกทั้งยังอาจมองผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ดาราที่ตัวเองชอบเป็นศัตรู เพราะรู้สึกว่าดาราเป็นส่วนหนึ่งในตัวตน การโจมตีดาราก็คือการโจมตีตัวตนของเราด้วย 

ทุกคนล้วนมีดาราที่ตนเองชื่นชอบและติดตามอยู่เป็นประจำ ดาราคือบุคคลมีชื่อเสียงที่ปรากฏตัวในสื่อต่างๆ ยิ่งในยุคของโซเชียลมีเดีย การรู้จักดาราก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทุกคนสามารถติดตามและรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายเพียงใช้โทรศัพท์เครื่องเดียว

ด้วยวิธีที่ง่ายดายเช่นนี้ทำให้เรารับรู้เรื่องราวของดาราเป็นอย่างดีจนอาจก่อให้เกิดความผูกพันบางอย่าง เรารู้สึกว่าตัวเองมีความใกล้ชิดกับดารามากจนเหมือนเพื่อนสนิท แต่เพื่อนสนิทคนนี้กลับไม่เคยอยู่ในสายตาของดาราเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับความสัมพันธ์แบบรักข้างเดียว หรือที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม’ (Parasocial Relationship)

Parasocial Relationship คืออะไร?

ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม หรือ Parasocial Relationship คือ ความสัมพันธ์แบบข้างเดียวที่เราทึกทักเอาเองว่าตัวเองมีความผูกพันส่วนตัวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง กล่าวคือ เราอาจมีความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกับดาราคนหนึ่งมาก ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้จักเราเลย

Parasocial Relationship เป็นคำที่คิดขึ้นโดยนักสังคมวิทยา Donald Horton และ Richard Wohl ในปี 1956 ทั้งสองได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ลักษณะนี้โดยสรุปไว้ว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ผู้ชม (เรา) และผู้แสดง (ดารา) เหมือนได้สื่อสารกันต่อหน้า แต่แท้จริงแล้วเป็นภาพลวงตาที่ผู้ชมคิดไปเองว่าได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้แสดงจริงๆ ทำให้เกิดความสนิทสนมที่เป็นเท็จขึ้นมา

ในบริบทของ Horton และ Wohl หมายถึงสื่อโทรทัศน์และวิทยุเท่านั้น แต่ในปัจจุบันที่โลกก้าวล้ำไปมากกว่านั้น Parasocial Relationship จึงไม่จำเป็นต้องเกิดกับดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเท่านั้น เรายังสามารถพัฒนาความสนิทสนมเช่นนี้กับตัวละครสมมุติที่ไม่มีจริงได้ เช่น ตัวละครในนิยาย ซีรีส์ ภาพยนตร์ หรืออนิเมะ

Parasocial Relationship จะประกอบไปด้วย 3 สิ่งต่อไปนี้

  1. การมีปฏิสัมพันธ์แบบทางเดียวหลายๆ ครั้ง (Parasocial Interaction) – ปฏิสัมพันธ์นี้เราจะรู้สึกว่ามีการตอบสนองซึ่งกันและกันเกิดขึ้น เช่น เมื่อเราติดตามดารา เรารู้สึกว่าดาราก็รู้ว่าเรากำลังติดตามเขาอยู่ เรารู้สึกว่าดารารับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา
  2. การมีความผูกพันแบบทางเดียว (Parasocial Attachment) – ความผูกพันในที่นี้หมายถึงการแสวงหาความใกล้ชิดผ่านการใช้สื่อในมือของเรา เช่น ดูซีรีส์ที่เขาแสดงซ้ำๆ หรือตามส่องความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย
  3. การขาดข้อผูกพันหรือภาระหน้าที่ (Lack of Obligation) – ไม่มีใครต้องรับผิดชอบในความสัมพันธ์นี้ เราสามารถถอนตัวออกมาได้ทุกเมื่อโดยไม่มีความผิดอะไร เพราะอีกฝ่ายก็ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของความสัมพันธ์นี้

แล้วความสัมพันธ์แบบนี้ส่งผลกับเราอย่างไร?

เมื่อค้นหาเกี่ยวกับ Parasocial Relationship ในอินเทอร์เน็ต เราจะพบข้อมูลจากหลายแหล่งที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ลักษณะนี้ได้ในด้านลบ แต่นักจิตวิทยาคลินิก Dr. Adam Borland (2023) ได้กล่าวถึง Parasocial Relationship ไว้ว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี

หากเราประสบกับ Parasocial Relationship ในด้านบวกและนำไปสู่การมีอารมณ์และสังคมที่ดี นั่นก็เป็นเรื่องดี แต่หากความสัมพันธ์นี้เข้ามาควบคุมบงการชีวิตของเรามากเกินไป นั่นก็เป็นสัญญาณว่าเรากำลังประสบกับปัญหาทางสุขภาพจิตที่ต้องได้รับการแก้ไข

Dr. Borland ได้กล่าวถึงข้อดีของ Parasocial Relationship ไว้ดังนี้

  • ทำให้เรามีต้นแบบที่ดี – เมื่อเรารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร เราก็อยากจะเป็นเหมือนกับคนนั้น การชื่นชอบดาราทำให้เรามองเห็นสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องดี เราจึงอยากทำตามสิ่งเหล่านั้นเพื่อที่จะได้ดูดีเหมือนเขา
  • ช่วยคลายความเหงา – Parasocial Relationship ทำให้เรารู้สึกได้เชื่อมต่อ สบายใจ และมีเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกเหงาและเดียวดาย เช่นในช่วงต้นการระบาดของโควิด-19 ที่ทุกคนต้องอยู่แต่ในบ้าน
  • ช่วยเติมเต็มความปรารถนา – หลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา การเห็นดาราที่เราชอบประสบความสำเร็จในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เรารู้สึกยินดีและสมหวังไปกับเขา เพราะความสัมพันธ์นี้ทำให้เรารู้สึกว่าได้ร่วมเดินทางและฝ่าฟันอะไรมาด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม นักจิตบำบัด Angela Ficken (2023) ได้กล่าวถึงความเสี่ยงใน Parasocial Relationship ไว้ว่า คนที่หมกมุ่นในดารามากเกินไป อาจนำไปสู่ความผูกพันทางอารมณ์และความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้นหากดาราคนนั้นไม่ปฏิบัติตัวตามที่เราคาดหวังไว้ อีกทั้งความหมกมุ่นที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ความห่างเหินในความสัมพันธ์กับคนในชีวิตจริง

คนที่ตกอยู่ใน Parasocial Relationship จนไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของตน อาจเกิด ‘ภาวะหลงผิดว่ารัก’ (Erotomania) ซึ่งเป็นภาวะทางจิตที่บุคคลหลงคิดไปเองว่าอีกฝ่ายรักตนเหมือนกับที่ตนรัก โดยอีกฝ่ายมักเป็นดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง

ภาวะหลงผิดว่ารักอาจนำไปสู่พฤติกรรมคุกคามดารา นั่นคือการตามติดดาราที่มากเกินไปจนสร้างความหวาดกลัวให้กับดารา บุคคลที่มีพฤติกรรมนี้มักเรียกว่า ‘สตอกเกอร์’ หรือ ‘ซาแซงแฟน’

Dr. Borland ยังเสริมถึง Parasocial Relationship ที่เป็นพิษว่า อาจทำให้ประสบกับปัญหาทางการเงิน เพราะนำเงินไปทุ่มเทกับดาราจนหมด อีกทั้งยังอาจมองผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ดาราที่ตัวเองชอบเป็นศัตรู เพราะรู้สึกว่าดาราเป็นส่วนหนึ่งในตัวตน การโจมตีดาราก็คือการโจมตีตัวตนของเราด้วย

นอกจากนี้ Parasocial Relationship กับการซื้อสินค้ามีความเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด จากการศึกษา ‘อิทธิพลของการโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์บนแอปพลิเคชันติ๊กต็อกต่อความตั้งใจซื้อสินค้า’ ของภูรินทร์ จุนประทีปทอง (2565) ด้วยการเก็บข้อมูลจากคนไทยอายุระหว่าง 14-46 ปี จำนวน 224 คน มีหนึ่งในข้อค้นพบว่า

“ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อในทางบวกมากที่สุดอันดับหนึ่งคือ ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม” 

โดย ‘ความตั้งใจซื้อ’ ในที่นี้ หมายถึงความตั้งใจหรือความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าในอนาคต

สรุปได้ว่า ความรักความสนิทสนมในอินฟลูเอนเซอร์แบบ Parasocial Relationship ส่งผลให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าที่อินฟลูเอนเซอร์คนนั้นนำเสนอหรือแนะนำ จึงไม่แปลกใจหากคนที่หมกมุ่นในความสัมพันธ์ลักษณะนี้จะประสบกับปัญหาทางการเงินได้

หากความสัมพันธ์นี้ก่อให้เกิดปัญหา เราควรทำอย่างไร?

เนื่องจาก Parasocial Relationship ไม่มีข้อผูกพันหรือภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราจึงสามารถถอนตัวออกมาจากความสัมพันธ์นี้ได้ทุกเมื่อ โดย Dr. Borland แนะนำว่าควรเริ่มด้วยการยอมรับในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับในความรู้สึกที่เกิดขึ้น การยอมรับอาจเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ

เมื่อยอมรับแล้วควรปฏิบัติตามต่อไปนี้ เพื่อมูฟออนจากความสัมพันธ์นี้

  • พักการใช้โซเชียลมีเดีย – หากไม่สามารถพักได้ก็ให้บล็อกหรือเลิกติดตามดาราคนนั้น รวมถึงกลุ่มแฟนคลับและข่าวที่เกี่ยวกับดาราคนนั้น
  • โฟกัสความสัมพันธ์กับคนในชีวิตจริง – ออกไปหาเพื่อนหรือครอบครัวเพื่อใช้เวลาร่วมกัน หรือออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องนึกถึงดาราคนนั้น
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ – ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักบำบัด เพื่อรับความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของเรา บางทีเราอาจเคยประสบกับการกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ร้ายแรงจนกลายเป็นปมให้เราต้องโหยหาความสัมพันธ์ในลักษณะนี้

อ.ธาม เชื้อสถาปนศิริ (2566) อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เตือนถึง Parasocial Relationship ไว้ว่า “พยายามที่จะลดการไปสร้างความสัมพันธ์แบบ Parasocial เพราะว่ามันไม่จีรังยั่งยืน มันเป็นความสัมพันธ์ที่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจ…ขึ้นอยู่กับโซเชียลมีเดียและอัลกอริทึม มันไม่จริงแท้เลย แล้วมันเป็นแต่เราที่ให้ความสัมพันธ์ทางเดียวไปกับเขา”

สุดท้ายนี้ ความรักความชื่นชอบและความสนิทสนมแบบข้างเดียวต่อดาราไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป หากมันทำให้เรามีกำลังใจและกลายเป็นคนที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราต้องรู้เท่าทันและตระหนักไว้ว่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้มีไว้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ 

เราควรแบ่งเวลาให้กับโลกโซเชียลและโลกความจริงอย่างเท่าเทียม เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ในชีวิตของเราเอาไว้

อ้างอิง

ชัวร์ก่อนแชร์ Sure And Share. (2566). ชัวร์ก่อนแชร์ Keyword : PARASOCIAL ? — ความสัมพันธ์ที่อาจเกิดกับเหล่าแฟนคลับ.

ภูรินทร์ จุนประทีปทอง. (2565). อิทธิพลของการโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์บนแอปพลิเคชันติ๊กต็อกต่อความตั้งใจซื้อสินค้า.

Cleveland Clinic. (2023). Friend or Faux: Are Parasocial Relationships Healthy?

Duszynski-Goodman, L. (2023). What Are Parasocial Relationships—And Are They Healthy?

PPTV Online. (2565). “ภาวะหลงผิดคิดว่ารัก” มโนว่าเขามีใจจนถึงขั้นคุกคามจนอีกฝ่ายหวาดกลัว.

TODAY. (2564). ‘เซฮุน EXO’ ถูกซาแซงแฟนคุกคามหนักโทรหา 100 สายต่อวัน. 

Vinney, C. What Is a Parasocial Relationship?

Zuraikat, L. (2020). The Parasocial Nature of the Podcast. In Hendricks, J.A. (Ed.), Radio’s Second Century: Past, Present, and Future Perspectives (pp. 39-52). Rutgers University Press.

Tags:

สุขภาพจิตโซเชียลมีเดียความสัมพันธ์ความรักParasocial Relationshipภาวะหลงผิดว่ารัก (Erotomania)

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’
Family Psychology
17 March 2024

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • ในขณะที่พ่อแม่พยายามทุกอย่างเพื่อเลี้ยงลูกให้เป็น The Best แต่หลายครั้งผลกลับเป็นตรงกันข้าม เด็กมีความกดดัน เครียดและเป็นทุกข์ บางคนถึงขั้นมีปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว ซึ่งเป็นที่มาของการทำเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’ ของ ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ 
  • คีย์เวิร์ดของการเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ คือ ‘พอดี’  และ ‘สมดุล’ โดยมี 2 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ ‘ความรู้’ และ ‘เวลา’ ที่พ่อแม่ยุคใหม่จำเป็นต้องมีเพื่อประคับประคองลูกให้มีทักษะการใช้ชีวิตในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลข่าวสารและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • “ยุคนี้มันเลยไม่ง่าย ผมคิดว่าพ่อแม่ต้องรู้เยอะนิดนึง ถ้ามาเริ่มฝึกเลี้ยงลูกกันตอนลูกอายุ 15 ก็แบบ…เศร้าไปแล้ว กรีดข้อมือไปแล้ว กินยาฆ่าตัวตายผูกคอกระโดดตึกไปแล้ว มันเหมือนช่างที่ต้องมาซ่อมรถที่จมน้ำ สู้ดูแลลูกดีๆ ตั้งแต่แรกจะง่ายกว่า”

เลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง? 

เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ?

เลี้ยงลูกให้เป็นแชมป์?

เลี้ยงลูกให้เป็นซุป’ตาร์?

ดูเหมือนพ่อแม่ต่างอยากให้ลูกเป็นอะไรสักอย่างที่ตนเองปรารถนา แต่สิ่งหนึ่งที่แทบจะไม่อยู่ในความคาดหวัง คือ การเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ 

ข่าวร้ายคือลูกหลายคนไม่สามารถเป็น ‘ลูกในอุดมคติ’ ของพ่อแม่ได้ ทำให้พ่อแม่แสดงความผิดหวังและอาจกดดันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจ จนในที่สุดความหวังดีของพ่อแม่ได้กลายเป็น ‘ยาพิษ’ ที่กัดกร่อนความรู้สึกอันเปราะบางของลูกวันแล้ววันเล่า นำมาสู่เป็นปัญหาสุขภาพจิตซึ่งนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรง  

The Potential ชวน ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจและผู้เขียนหนังสือ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’ มาพูดคุยถึงนิยามการเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติท่ามกลางสังคมที่หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมแนะนำวิธีการปรับตัวของพ่อแม่ รวมถึงทักษะสำคัญของเด็กในศตวรรษที่ 21

ก่อนอื่นอยากให้คุณหมอเล่าที่มาของการสร้างเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

เริ่มจากเวลาดูเคสแล้วพบว่าหลายปีก่อนมันมีแนวคิดแบบเลี้ยงลูกให้เป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งแนวคิดเลี้ยงลูกให้เป็น The Best เป็นอัจฉริยะมันมีโอกาสทำให้เด็กป่วย แล้วตอนนั้นผมมีคนไข้คนหนึ่งที่ซัฟเฟอร์กับการที่เขาไม่ดีพอ ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ผมก็เลยถามว่าไม่สามารถจะเป็นคนแบบปกติทั่วๆ ไป แบบ Normal Person ไม่ได้เหรอ เขาบอกว่าไม่ได้ คือถ้าไม่สามารถเป็น The Best ก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ 

ผมคิดว่าจริงๆ การเลี้ยงลูกให้เป็นคนธรรมดาเนี่ยมันโอเคแล้วนะ ประกอบกับผมได้คุยกับภรรยาที่เป็นจิตแพทย์เด็ก ว่าเด็กกำลังซัฟเฟอร์กับการพยายามโตไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราเลยพยายามจะฉุดผู้ปกครองให้กลับมาคิดว่า เลี้ยงลูกให้เป็นคนแบบปกติก็โอเคนะ 

อยากให้ช่วยขยายความคำว่า ‘ปกติ’ ที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดูแลเด็กได้

ถ้าเอาคำเดียวเลย มันก็คือ ‘สมดุล’ ผมว่าคอนเซ็ปต์ของผมกับแฟนเหมือนกันคือ ต้องเลี้ยงให้สมดุล สำหรับคอนเซ็ปต์ที่ผมเคยไป Propose (นำเสนอ) ที่ TED Talks จะมีอยู่ 3 อย่าง หนึ่งเป็นเรื่อง ชมตัวเองได้ให้อภัยตัวเองเป็น คือให้ฉันรักตัวเอง มี Self Compassion ไม่โหดกับตัวเองมากใจดีกับตัวเองเป็น เอาแค่ว่ามองเห็นข้อดีตัวเองเพื่อจะได้มี Self Esteem หรือถ้าเวลาผิดพลาดก็มี Resilence (ล้มแล้วลุกเร็ว) แบบกลับมาได้ แบบ Growth mindset 

สองจะเป็นเรื่อง Growth กับ Development คือมีการเติบโต มีการพัฒนาแบบ Individualized หมายถึงว่าทุกคนควรพัฒนา แต่ต้องพัฒนาในทางที่ตัวเองได้เลือก คืออาจจะยังไม่ถูกหรือว่ายังไม่ใช่ แต่ว่าได้เลือก เพราะคำว่าเลือกนี้สำคัญ

แล้วก็ใน Pace คือ สปีดของตัว ผมคิดว่าอันนี้สำคัญ เพราะปัญหาของเด็กคือถูกเร่งให้พัฒนาโดยที่ไม่ใช่สปีดของตัว เหมือนคนวิ่งมาราธอน บางคนวิ่งเร็วบางคนวิ่งช้า แต่พอทุกคนถูก Push ให้เร็วเหมือนกันหมด อันนี้ก็ทำให้ป่วยได้ เพราะฉะนั้นการพัฒนาไปใน Pace ของตัว คือรู้ว่าเราไปได้เร็วประมาณนี้ แต่ว่าไปในทางที่ได้เลือก คือได้เลือกโดยที่พ่อแม่ช่วยในเรื่อง Information (ข้อมูล) ถ้าจะไปก็ไปทางที่ดี ทางที่ดีมีทางไหนบ้างให้เลือกลองไปดู หรือต่อให้ไปแล้วผิดทาง ผมว่าก็ยังไม่แย่เพราะว่าเขาได้เลือก แล้วค่อยไปทางใหม่คือค้นหาตัวเองต่อไป

สามจะเป็นเรื่องไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้วก็ไม่ให้ใครมาเบียดเบียนตัวเอง อันนี้จะเน้นเรื่อง ‘สมดุลของความสัมพันธ์’ หมายถึงสมดุลของการ Give and Take คือเราไม่ Give มากเกินไป เพราะ Give มากเกินไป เราจะ Burnout หรือถ้า Take มากเกินไป เราจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระต้องมีแต่คนมาคอยช่วย สุดท้าย Self Esteem มันก็แย่ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นภาระ เพราะฉะนั้นสมดุลของ Give and Take หรือสมดุลในเรื่องของ Space ว่าจะอยู่ใกล้กับใคร เพราะถ้าผูกพันกันมากเกินไป มันก็อึดอัด ถ้าห่างเหินเกินไปมันก็เหงา  

จริงๆ ผมว่าถ้าทำ 3 อันนี้ได้ ผมว่าพอแล้ว ขอแค่นี้ครับ มีความสัมพันธ์ที่กำลังดี ค่อยๆ พัฒนาไปในสเต็ปที่เหมาะกับตัว ระหว่างทางก็ใจดีกับตัวเองหน่อย

เป้าหมายคือการทำงานความคิดกับพ่อแม่หรือคนที่ดูแลเด็ก จนถึงตอนนี้คุณหมอเห็นความไม่ปกติอะไรบ้าง

ผมเข้าใจพ่อแม่ยุคนี้นะ ต้องบอกว่ายุคนี้เลี้ยงลูกยากกว่าแต่ก่อนจริง แต่ก่อนคือยุคก่อนจะมีอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นตัวพลิกเกม เพราะว่าพอมีอินเทอร์เน็ต คนบนโลกนี้จะรู้เท่าๆ กัน รู้ว่ามันมีใครทำอะไรได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ สำเร็จกว่านี้ มันเป็นได้มากกว่านี้ คือพอเราได้ข้อมูลเยอะเราจะเริ่มอยาก เพราะฉะนั้นพ่อแม่หรือลูกเองก็จะเริ่มรู้ว่ามันมีอะไรที่ดีกว่านี้นะ เช่น เดี๋ยวนี้ลูกอาจจะไปเจอว่าการเลี้ยงลูกแบบที่พ่อแม่เราทำอยู่เนี่ยมันไม่โอเค เมื่อเทียบกับพ่อแม่ที่ฟินแลนด์ที่ฮอลแลนด์ อะไรแบบนี้ 

ทีนี้พ่อแม่ก็เลยต้องรู้เยอะขึ้น ทำให้หนึ่งพ่อแม่ที่รู้ไม่ทันลูกก็จะลำบาก สองคือการแข่งขัน พอมันมีอินเทอร์เน็ต มีการแข่งขันที่ทุกคนสามารถเป็นดาราได้เอง สามารถ Propose อะไรได้เอง สามารถมีตัวตนขึ้นมาได้เอง เพราะฉะนั้นการแข่งขันในยุคมีอินเทอร์เน็ตมันก็สูง ผมมองว่าพ่อแม่ยุคนี้เลยเครียดกว่ายุคก่อน เพราะกลัวลูกจะแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ เอาตัวไม่รอด พอกลัวปุ๊บ การเลี้ยงลูกก็ขับเคลื่อนด้วยความกลัว มันก็จะเร็ว ต้องทำให้เร็วทำให้เยอะทำให้มาก เด็กก็เลยเครียด เพราะว่าการแข่งขันยุคนี้มันก็น่ากลัวกว่าตอนผมเป็นเด็กจริงๆ 

ในความยากนี้คุณหมอมีคำแนะนำอย่างไรเพื่อไม่ให้พ่อแม่สร้างแรงกดดันให้กับลูกมากเกินไป

หนึ่งก็ต้องซัปพอร์ตเขา ผมว่าพอมันยากก็แปลว่าพ่อแม่ต้องมี Strategy (กลยุทธ์) มากกว่าแต่ก่อน ผมก็จะคุยว่าเขาต้องเก่งขึ้นกว่าพ่อแม่สมัยก่อน เพราะว่าเด็กสมัยนี้เครียดกว่าแต่ก่อน คือสมัยก่อนพูดยังไงก็ได้ แต่สมัยนี้พ่อแม่ต้องมีวิธีพูดวิธีปลอบ เพราะว่าไม่งั้นเด็กก็จะ Burnout คือผมว่าถ้ามี Strategy ที่มากขึ้นก็จะช่วยให้ลูก Survive (อยู่รอด) ได้มากขึ้น 

ปัญหาที่ผมเจอคือพ่อแม่มักใช้วิธีเดิมในการเลี้ยงลูกแค่เพิ่มความเข้มข้น เหมือนเรื่องการเรียนรู้ที่มีหลายวิธี แต่วิธีที่พ่อแม่ใช้ส่วนใหญ่คือการให้อ่านหนังสือเยอะๆ ติวพิเศษจันทร์ถึงอาทิตย์แบบเช้ายันค่ำ

เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่มีความรู้มากขึ้นด้วย ว่าการเรียนรู้มันมีหลายแบบ มันมีเรื่องของการทดลอง การ Reflection การถามให้คิด หรือใช้สื่อมีเดียให้เป็นประโยชน์ ผมคิดว่าถ้าเขามี Strategy มากขึ้น เขาก็น่าจะเลี้ยงลูกได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันยากขึ้นแต่เขาก็ต้องเก่งขึ้น เป็นพ่อแม่ที่มีความชำนาญในการเป็นพ่อแม่มากขึ้น 

ตอนนี้เด็กหรือวัยรุ่นที่เข้ามาพบคุณหมอส่วนใหญ่จะมีปัญหาในด้านไหนมากที่สุด

เป็นปัญหาด้านอารมณ์ครับ แล้วก็มีโรคแบบ Autism สมาธิสั้น อันนี้เยอะด้วยอุบัติการณ์อยู่แล้ว ก็ยังหาไม่เจอนะว่าอะไรทำให้เยอะ แต่เรื่องที่ 10 ปีหลังมานี้ตัวเลขของปัญหาด้านอารมณ์มันกระฉูดขึ้นมา จนติด Top 3 ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นทุกที่ก็คือ พวกปัญหาอารมณ์ ซึมเศร้า วิตกกังวล เครียด รวมถึงปัญหาพฤติกรรมใช้สารเสพติดก็สูงขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันสัมพันธ์กันคือ นอกจากเด็กเครียด ผมว่าครอบครัวก็เครียดนะ ยิ่งเราผ่านช่วงโควิดช่วงเศรษฐกิจที่มันไม่ดี พ่อแม่เองก็เครียด เครียดเรื่องตัวเอง เรื่องงาน แล้วพอพ่อแม่เครียดมันส่งผลกับลูกแน่นอนครับ เช่น พอลูกเครียด ลูกหันไปหาพ่อแม่ อ้าวพ่อแม่เราเครียดกว่า ลูกก็พึ่งพ่อแม่ไม่ได้ พอพึ่งพ่อแม่ไม่ได้ ลูกก็ต้องไปหาเพื่อน เพื่อนบอกว่าสูบอันนี้แล้วหายเครียดเร็ว อย่างนี้เด็กก็ไปเลย 

ทีนี้เราจะมีวิธีหรือแนวทางที่ช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับความเครียดในชีวิตได้อย่างไร

เรามักจะคุยกันว่า จะทำยังไงกับลูกดีนะ แต่เราไม่ค่อยพูดถึงว่า พ่อแม่จะทำยังไงให้ตัวเองโอเคสำหรับลูก เหมือนสมัยก่อนผมเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งซึ่งชื่อเหมือนเพจผม พาร์ทสุดท้ายจะเป็นเรื่องวิธีจัดการกับตัวเองของพ่อแม่ คือพ่อแม่ต้องมีสกิล เช่นเวลาเครียด ถ้าพ่อแม่จัดการมันไม่ได้ พ่อแม่ก็จะไปบอกลูกไม่ได้ว่าเครียดแล้วทำยังไง หรือถ้าพ่อแม่ยังพูดไม่เป็น ยังคุยกันเองไม่เป็น พ่อแม่ก็จะไปสอนลูกไม่ได้ว่าเวลามีปัญหากับเพื่อนให้พูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องมีสกิลในการดูแลตัวเองและต้องเอาตัวให้รอดก่อน เหมือนขึ้นเครื่องบินแล้วมีเหตุฉุกเฉิน พ่อแม่ก็ต้องใส่หน้ากากให้ตัวเองก่อน 

ผมมองว่าพ่อแม่ต้องมีทักษะชีวิต และการทำให้ตัวเองมีความสุข เป็นคนปกติ บางคนจะชอบพูดว่าพ่อแม่ก็ต้องปกติก่อน ซึ่งปกติหมายถึงพ่อแม่ต้องรักตัวเอง พ่อแม่ต้องมี Growth ของตัว แล้วพ่อแม่ก็ต้อง Relate กับสิ่งแวดล้อมให้มันสมดุล ถ้าเขาทำได้ ผมว่าเขาจะมั่นใจที่จะไปบอกลูกว่า มันทำอย่างนี้นะ ซึ่งอันนี้สำคัญมากเพราะเด็กจะเชื่อใครหรืออยาก Follow ใคร เด็กต้องได้เห็นว่าคนๆ นั้นโอเคนะ 

ดังนั้นถ้าพ่อแม่บอกว่าใช้ชีวิตอย่างนี้สิดี เด็กก็จะดูว่าชีวิตพ่อแม่ดีหรือมีความสุขหรือเปล่า ผมคิดว่าอันนี้สำคัญพอๆ กับการดีลกับลูกเลยนะ คือเด็กต้องเห็นว่า เฮ้ยชีวิตคนนี้ดีจัง เขาทำยังไงนะ แล้วเขาอยากจะทำตาม ทีนี้พอพูดแล้วมันจะง่าย สังเกตว่าปัญหาตอนนี้ที่พ่อแม่พูดแล้วลูกไม่ค่อยฟัง เพราะลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ฉันไม่โอเค พ่อแม่ฉันเชยระเบิด ความรู้ก็น้อย เดี๋ยวนี้มีเด็กที่ความรู้เยอะกว่าพ่อแม่อยู่เยอะครับ เด็กรู้สึกว่าตัวเองรู้เยอะกว่า แล้วพอพ่อแม่มาสอน เด็กก็แหวะ เพราะความรู้ของพ่อแม่ไม่ได้อัปเดตเลย แค่นี้ก็สอนไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กรู้สึกว่าพ่อแม่เรานี่โคตรคูลเลย โคตรเจ๋งเลย อยากเป็นอย่างนี้บ้าง แค่พ่อแม่บอกว่า อ๋อ…พ่อแม่ทำแบบนี้นะ 1-2-3 เชื่อว่าลูกจะจดตามยิกๆ เลย เพราะว่ามันเป็นตัวอย่างที่เขาอยากจะเป็น พ่อแม่เลยต้องทำตัวเองให้โอเคด้วย 

ถ้าถามผมว่าคนเป็นพ่อแม่ต้องทำยังไง หนึ่งคือไปทำให้ตัวเองโอเคก่อน สองต้องมีสกิลในการดีลกับลูก ซึ่งสกิลในการดีลกับลูกเนี่ย เดี๋ยวนี้มันหาได้ง่ายมาก ฟรีก็เยอะถูกไหมครับ แต่บางทีโอกาสที่พ่อแม่จะมาหาวิธีอัปสกิลตัวเองเกี่ยวกับการเลี้ยงดูมันน้อย โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกหลายคนอาจจะมองว่าฉันเคยเลี้ยงมาแบบนี้ก็รอดมาแล้ว

ผมมองว่าพ่อแม่ทุกคนต่างยุ่ง ส่วนใหญ่จะมาหาหมอเมื่อมันเละหรือมีปัญหาไปแล้ว ซึ่งจริงๆ มาซ่อมทีหลังเนี่ย ผมว่ามันค่อนข้างใช้เวลา ดังนั้นถ้าใช้เวลาเหมือนกัน อยากให้พ่อแม่ใช้เวลาดูแลลูกดีๆ จะไม่เหนื่อยตอนมีปัญหา คือถ้าเลี้ยงลูกเหมือนที่พ่อแม่โตมามันก็ลุ้นนิดนึงนะว่าแล้วเราจะรอดไหม คือผมคิดว่ามันไม่ใช่ว่าเลี้ยงไม่ดี แต่ว่าสิ่งแวดล้อมยุคนี้ยุคที่แข่งขันกัน มันไม่เอื้อให้เลี้ยงยังไงก็ได้ครับ เลี้ยงยังไงก็ได้พอมาเจอกับ Stress (ความเครียด) มาเจอกับการแข่งขัน แบบที่นี่รับเด็ก 10 คน แต่มีคนสมัคร 500 คน อะไรทำนองนี้ เด็กจะไม่รอด

เพราะฉะนั้นยุคนี้มันเลยไม่ง่าย ผมคิดว่าพ่อแม่ต้องรู้เยอะนิดนึง ถ้ามาเริ่มฝึกเลี้ยงลูกกันตอนลูกอายุ 15 ก็แบบ…เศร้าไปแล้ว กรีดข้อมือไปแล้ว กินยาฆ่าตัวตายผูกคอกระโดดตึกไปแล้ว มันเหมือนช่างที่ต้องมาซ่อมรถที่จมน้ำ สู้ดูแลลูกดีๆ ตั้งแต่แรกจะง่ายกว่า

ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ การซ่อมใจนี่จริงๆ มันเป็นไปได้ไหม ซ่อมแล้วมันจะเหมือนเดิมหรือไม่ หรือว่าซ่อมได้แค่ไหน

มนุษย์เราไม่มีทาง Unlearn หมายถึง อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่มีทางลืม แต่ว่าเรียนรู้ใหม่ Relearn เรียนรู้ใหม่หรือเรียนรู้ที่จะอยู่กับอะไรที่มันเกิดไปแล้ว อันนั้นทำได้ ฉะนั้นหลังๆ ถ้าเขาพูดถึงบาดแผลทางใจ มันเกิดไปแล้ว มันเหมือนแผลเป็น บางทีการเลี้ยงดูมันทำให้เกิดแผลเป็น แผลเป็นมันก็ยังอยู่ เพียงแต่การซ่อมใจมันจะทำให้เราสนใจมันน้อยลง คือเหลือบมาเห็นแต่ไม่ได้รู้สึก หรือความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์นั้นน้อยลง ใช้ชีวิตอยู่ได้ หรือว่าไปมีความสุขกับเรื่องอื่นได้แบบนี้เป็นไปได้ แต่ถามว่าทำให้หายไปเลยได้ไหม มันไม่ได้ครับ

คือทำให้เขายอมรับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น?

มันเหมือนแผลเป็นครับ อ๋อ…มันเคยเกิดเรื่องนี้กับเรา แต่มันไม่เจ็บเท่าเดิมนะ ให้เราอยู่กับอะไรที่มันแก้ไขไม่ได้ จิตบำบัดระยะหลังๆ เขาก็จะเน้นเรื่องนี้ เพราะว่าหลายๆ เรื่องมันแก้ไม่ได้

ผมอยากจะฝากถึงสังคมภายนอกว่า ‘หมอทำได้แค่นี้ครับ’ ส่วนระบบอื่นๆ อย่างระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบท้องถิ่น จริงๆ ถ้าเอื้อให้พ่อแม่ไม่เครียด จะช่วยงานผมได้มากเลย 

เช่น สิ่งที่เขาว่าเลี้ยงเด็กต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน ผมเห็นด้วยมากๆ คือถ้าสมมติบางครอบครัว มันคล้ายๆ กำลังอยู่ในภาวะคับขัน แต่ระบบเกื้อกูล เช่น ครอบครัวเดิม ชุมชนหรือหน่วยงานรัฐ อะไรที่คอยช่วยเหลือครอบครัว ถ้าระบบพวกนั้นดี มันจะช่วยประคับประคองครอบครัวได้เยอะ เพราะอย่างที่ผมว่า เราเลี้ยงเด็กให้ดีมันควรจะช่วยกันเลี้ยง 

ส่วนระบบการศึกษา มันควรแข่งขันกันด้วยวิธีที่ไม่ทำให้เด็กเครียดจนเกินไป เช่น มีการรับเด็กจากหลายๆ ความถนัด หรือมีห้องเฉพาะทางต่างๆ อะไรอย่างนี้ หรือระบบเศรษฐกิจอะไรที่มันเอื้อให้กับเด็กที่ซัฟเฟอร์กับการที่เกิดมาแล้วชอบอาชีพที่ถูกกำหนดว่าเป็นวิชารอง สังเกตไหมว่าพอมีวิชาหลักวิชารอง เด็กบางคนจะรู้สึกแย่มาก ทำไมเราไม่เกิดมาชอบฟิสิกส์ ทำไมเราไม่เกิดมาชอบชีวะ ทำไมเราดันเกิดมาชอบดนตรีศิลปะ ชอบเต้น ขนาดหน่วยกิตยังไม่เท่ากันเลย 

ผมมองว่าเด็กเลยรู้สึกแย่ที่ทำไมตัวเองชอบวิชารอง แล้วยิ่งพ่อแม่บวกเข้าไปว่า ทำไมไม่ชอบวิชาหลัก เด็กก็ต้องหลอกตัวเองไปว่า เราชอบวิชาหลัก พอเด็กเริ่มหลอกตัวเอง เด็กก็หาตัวเองไม่เจอ เพราะฉะนั้นแล้วก็จะมีเด็กบางคนที่โตไปเป็นคนอายุ 20 กว่าที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าตกลงเราชอบอะไร เพราะหลอกตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าไม่สามารถชอบอย่างอื่นได้ นอกจาก 5 วิชาหลัก

ผมว่าถ้าทำให้ระบบการศึกษาช่วยเรื่องนี้ได้ งานผมจะลดลงเยอะ ผมบอกเลย ถ้าถามผมเนี่ยจะลดปัญหาได้จริงๆ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำอะไรเกี่ยวกับครอบครัว อะไรที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสังคมเนี่ยมีผลกับเด็กทั้งหมด เพราะปัจจุบันพ่อแม่เขาก็ทำได้เท่าที่เขาทำได้ ลำพังแค่หาเงินมาปลดหนี้ที่บ้านก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว ถ้าให้เวลากับลูกมากๆ บางทีครอบครัวอาจจะล่มก็ได้ เพราะว่าเรื่องอื่นมันก็โหดกับเขาอยู่ ดังนั้นการจะรอแค่ให้จิตแพทย์ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง มันไม่พอหรอก ผมทำได้แค่ให้พ่อแม่ดูแลตัวเองด้านสุขภาพจิต ให้ลูกมีความเข้มแข็งมีทักษะ ผมทำได้แค่นี้

แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า พ่อแม่ที่มีเงินมีเวลาจะสามารถเลี้ยงดูลูกได้ดีกว่า?

ใช่ มันเหมือนเขามีต้นทุน แต่ทีนี้ถ้ามีต้นทุนแล้วเขาไม่ใช้ หรือเขาใช้วิธีเดิมกับสังคมแห่งการแข่งขัน โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมันทำให้คนมีความเครียด เพราะฉะนั้นทักษะที่จำเป็นมากกว่าสมัยก่อนน่าจะเป็นเรื่องการจัดการความเครียด ถ้ามีความเครียดเข้ามาแล้วจัดการไม่ดีก็ไปกินเหล้า ไปทำร้ายจิตใจคนอื่น แต่ถ้ามีทักษะการจัดการความเครียดที่ดี เข้าใจว่าคนเราจะรวยจะจนจะเก่งไม่เก่ง ยังไงก็หลีกเลี่ยงความเครียดที่มาจากการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันเลยมีทักษะที่คนยุคนี้ควรจะมีเพิ่มกว่าแต่ก่อนที่ไม่ต้องมีความรู้เรื่องการจัดการอารมณ์มากนัก จะด่าก็ได้ แต่ขอให้ทำมาหากิน เพาะปลูกพืชเก่งๆ ขายของเก่งๆ ให้มีเงินเยอะๆ แล้วก็ Survive ได้ แต่สมัยนี้มันไม่พอ

ยิ่งมีการเปรียบเทียบ เด็กๆ เราเริ่มไปเห็นว่า อ๋อ มันมีการพูดแบบ Non-Violence มันมีการแสดงความรักแบบต่างๆ แล้วเด็กก็หันมาดูที่บ้าน พอเขาไปเห็นว่ามันมีอะไรที่ดีกว่า แล้วทำไมบ้านเราไม่มี บ้านเราก็ออกจะรวยทำไมแค่พูดดีๆ ก็พูดกันไม่ได้ เด็กก็จะเริ่มมีคำถามเพราะไปเห็น สมัยก่อนมันไม่เห็นเพราะมันไม่มีอินเทอร์เน็ต 

ผมมีคนไข้ที่เอาแบบประเมินการเลี้ยงดูส่งไปในไลน์ครอบครัว ให้พ่อแม่ลองประเมินว่าพ่อแม่เลี้ยงดูหนูโอเคหรือเปล่า เนี่ยมันอยู่ในยุคที่เด็กประเมินการเลี้ยงดูพ่อแม่แล้วว่าพ่อแม่เลี้ยงหนูไม่โอเคนะในพาร์ทนี้ 

ถ้าให้คุณหมอแนะนำ อะไรคือ The Must สำหรับทักษะที่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องช่วยเสริมให้ลูก

หนึ่ง เด็กควรมี Self Monitoring ภาษาพูดบ้านเราเขาเรียกว่า ‘มีสติ’ ถ้าเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอก เขาเรียก Situational Awareness ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น มีอันตรายหรือเปล่า ทางหนีไฟอยู่ทางไหน นั่นคือการประเมินสถานการณ์ภายนอก

แต่การประเมินสถานการณ์ข้างใน เขาเรียก Self Monitoring ตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรา ตอนนี้เรารู้สึกยังไง ตอนนี้เราคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงคิดอย่างนั้น แล้วตอนนี้อารมณ์นี้มันมาจากอะไร คือกำลังรู้ว่าตอนนี้ Something is not right in myself ควรจะมีอันนี้ก่อนเลยเพราะว่าบางคนไม่มี บางคนอารมณ์มันแย่มาก ก็ไป External (แสดงออกมาภายนอก) เช่น พอกินเหล้าแล้วอารมณ์มันดีขึ้นก็กินโดยที่ไม่ตั้งคำถามอะไร กินเหล้า ไปต่อยคน ไปมีเซ็กส์ ไปใช้ยา อะไรอย่างนี้ แล้วพบว่าอารมณ์มันดีด้วยการทำอะไรสักอย่าง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในนี้คืออะไร พอเราไม่ค่อยรู้ว่าข้างในเราเป็นยังไง มันก็แก้ไขยาก 

ผมว่าการมี Self Monitor สำคัญ ถ้ารู้แล้วว่าบางอย่างมันไม่โอเค ทีนี้จะไปแก้ข้างใน ผมว่าไม่ยากนะ เพราะว่าทฤษฎีเยอะแยะ ไปเสิร์ชหาได้ว่าถ้ากำลังกลัว กำลังกังวล กำลังเศร้า กำลังเสียเซลฟ์ มันมี How to เยอะแยะ แต่ต้องรู้ก่อนว่าข้างในนี้มีอะไร แล้วถึงจะไปแก้ได้

สอง Communication (การสื่อสาร) เป็นเครื่องมือสำคัญที่เอาไว้ Relate กับโลกภายนอก จะดีลกับคนอื่น ถ้ามีคนเอาเปรียบเรา เราจะพูดกับเขายังไง Call for help จะสื่อสารอารมณ์ หรือจะใช้มันเพื่อช่วยคนก็ได้นะ ใช้ซัปพอร์ตใช้สร้างสัมพันธ์ ผมว่าสกิล Communication สำคัญมาก

สาม ผมว่าอันนี้อาจจะสัมพันธ์กับการใช้สื่อโดยตรง คือ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) เพราะข้อมูลตอนนี้มันเยอะ ซึ่งอย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่ก็ด้วย ต้องแยกให้เป็นว่าข้อมูลอันไหนจริง ข้อมูลอันไหนเป็นประโยชน์ เพราะว่าพอข้อมูลมันเยอะแล้วกรองไม่ค่อยได้ มันจะมีผลกับความเชื่อ เมื่อเราเชื่ออะไรสักอย่างแล้วความเชื่อมันจะผลักดันให้ชีวิตเราไปทางนั้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่า Critical Thinking สำคัญมากสำหรับการอยู่ในโลก โดยเฉพาะโลกโซเชียล อันนี้คนจริงคนปลอม อันนี้โจรนะ ถ้าแยกไม่ได้ผมว่าอันนี้ก็ลำบาก

ถ้าเอาสัก 3 อัน ผมมองว่า 3 อันนี้สำคัญสุดละ มี Self Monitor มีวิธี Relate มีทักษะในการสื่อสารกับคน แล้วก็มีความคิดแบบ ‘เอ๊ะ’ ช่างสังเกต มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ 

ทุกวันนี้มีแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมากมาย คุณหมอมองเรื่องนี้อย่างไร พ่อแม่ต้องคอยอัปเดตตลอดไหม

ผมรู้สึกว่าเรื่องเลี้ยงลูก จะมีทฤษฎีใหม่ทุกปี เช่น เรื่อง Self Compassion หรือระยะหลังๆ ก็มีเรื่อง Growth Mindset มีเรื่อง Grit มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งอีกเดี๋ยวก็จะมีอีก แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าอะไรที่มากไปก็ไม่ดี หรือน้อยไปก็ไม่ดี เพราะสุดท้ายมันจะมีอยู่หลักเดียวก็คือเลี้ยงลูกให้พอดี

นอกจากนี้ผมเป็นห่วงพ่อแม่ที่ศึกษาความรู้เยอะๆ นะ คือสมัยก่อนผมจะพยายามบอกว่าอย่าเอาไปทั้งหมด ผมพบพ่อแม่จำนวนหนึ่งที่กลัวก็เลยศึกษา ปรากฎว่ายิ่งศึกษาก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม สรุปคือ เลี้ยงลูกนี่มันยังไงนะ แล้วที่ทำอยู่นี่ถูกไหม 

สำหรับผม ตัว Knowledge เป็นเหมือนเมนูอาหาร คือเราไม่ต้องกินทั้งหมดและไม่ต้องชอบมันทั้งหมด แต่ให้เราเลือกอันที่มัน Match กับบ้านเรา มัน Match กับลูกเรา มันต้อง Individualized แล้วพ่อแม่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ผมเลยเน้นเรื่องสมดุล พอคิดอย่างนั้น หลังๆ เลยไม่อยากพยายามจะ Propose (เสนอ) อะไรไปเยอะๆ ผมรู้สึกว่าจริงๆ มีคนพูดเรื่องเลี้ยงลูกเยอะมากเลยนะ ยิ่งตอนนี้มีคำทางจิตวิทยามากมาย ซึ่งกลายเป็นคำที่ใช้ในสื่อเยอะมาก แล้วก็มีคำใหม่ๆ ที่ผมก็ไม่ค่อยรู้จักเต็มไปหมด ซึ่งหลายคนมักนั่งตีความว่าสิ่งที่เขาเจอแบบนี้ใช่ไหม ตรงกับคำศัพท์นั้นหรือเปล่า

ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่ได้รับข้อมูลใหม่ๆ ด้านจิตวิทยา เด็กๆ เขาก็รับรู้ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วย?

ผมว่าข้อดีมันก็มีนะ มันทำให้คนตื่นตัว ผมว่าพอมนุษย์รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นี่มันคืออะไร มันจะเข้าใจง่าย แล้วมันจะหาทางไปง่าย แต่ข้อเสียก็มี ก็คือว่าบางคนก็จดไว้เลย อ๋อเรามีทั้งอันนี้อันนู้นอันนั้น เห็นแล้วท้อ

ข้อดีคือมันเป็นยุคที่คนก็ตื่นตัวเรื่องจิตวิทยา มีคนสนใจ โดยเฉพาะเด็กๆ สนใจเรื่องจิตวิทยา ในมุมมองผม ผมว่าดี คือเขาจะได้รู้ว่า อ๋อ…นอกจากการไปจัดการโลกภายนอก โลกภายในมันก็จัดการได้ ทำให้ดีขึ้นได้ ทำให้สวยขึ้นได้ ทำให้เข้มแข็งขึ้นได้

ยุคนี้ข้อดีของการมีข้อมูลเยอะๆ ก็มีครับ เด็กก็อยากจะจัดการตัวเองให้ได้ สังเกตเด็กยุคหลังๆ จะมีความรู้เรื่องจิตวิทยา เด็กยุคนี้อาจจะ Empathy (เข้าอกเข้าใจ) กันง่ายกว่าคนยุคก่อนก็ได้ เพราะว่าเขาถูกเทรนด์มา หรือว่าบางโรงเรียนก็เริ่มมีหลักสูตรเรื่องการสื่อสารกัน เด็กน่าจะจัดการอันนี้ได้ดีขึ้น ซึ่งมันก็จะ Match กับปัญหาที่มันเยอะขึ้น ปัญหาคือพ่อแม่ตามไม่ทัน เด็กบางคนรู้วิธีคุยมากกว่าพ่อแม่ พ่อแม่ยังพูดไม่เป็นเลย

แล้วบทบาทมันจะเหมือนสลับกันนะ เด็กบางคนอาจจะกลายเป็นคนเหมือนแบก Conflict (ความขัดแย้ง) ในบ้านนะ เพราะว่ากลายเป็นคนที่สกิลดีสุด ซึ่งถ้าผู้ใหญ่ศึกษาความรู้จิตวิทยาให้ทันเด็กจะดีมาก ทำให้คุยกันรู้เรื่องว่า อ๋อ…พ่อกำลัง Empathy อย่างนี้จะดีจะคุยกันรู้เรื่อง

ถ้าดูจากแนวโน้มตอนนี้แล้ว คิดว่าปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ อะไรน่าเป็นห่วงที่สุด 

ผมว่าเรื่องคุณภาพในการเลี้ยง ที่จริงเขาไม่ได้เลี้ยงแย่ลงนะ แค่เขาเลี้ยงเหมือนแต่ก่อน ซึ่งแต่ก่อนคือยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือสื่อที่สามารถล่อลวงเด็ก อย่างสมัยก่อนจะปล่อยให้เด็กไปตกปลาที่คลองหลังบ้าน ปล่อยให้เด็กเข้าไปเก็บของป่า อันตรายอย่างมากก็คือเจองู แต่ยุคนี้เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลจากไหนก็ได้ อย่างจะทำบุหรี่ไฟฟ้าใช้เอง เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที

ผมคิดว่าพอพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบแต่ก่อนมันเลยอาจจะทำให้เด็กเราไม่รอด เพราะฉะนั้นปัญหาคือวิธีเลี้ยง สองคือเวลา ซึ่งเวลาอาจจะเหมือนแต่ก่อนนะ เขาก็คิดว่าแต่ก่อนนั้นพ่อแม่เขาก็มีเวลาให้เขาประมาณนี้ แต่ยุคนี้ไม่มีเวลาไม่ได้ 

ยุคนี้เลี้ยงเด็กแบบไม่ใกล้ชิดไม่ได้ เพราะว่ามันมีคนพร้อมจะใกล้ชิดเขามากกว่าเรา สามารถแชท ส่งรูป ส่งอะไรเยอะแยะ โดยที่เราไม่รู้ ผมคิดว่าเวลาต้องมีมากกว่านี้ ทักษะต้องมีมากกว่านี้ ถึงจะเลี้ยงแล้วเซฟ

พ่อแม่ต้องมีทักษะในการดูแล เพราะยุคนี้ผู้ใหญ่เองก็อยู่ยากขึ้น ฉะนั้นถ้าอยู่โดยมีสุขภาพจิตที่ดีต้องรู้วิธีว่าทำยังไงให้สุขภาพจิตดี ใน Chaos (ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย) ที่เราเจออยู่ตอนนี้ ยิ่งสมัยนี้คนมีลูกน้อยลง เพราะว่าต้นทุนเราก็ไม่ได้มาก เวลาก็ไม่ได้เยอะ จะให้มีลูก 5 คน 7 คน เหมือนแต่ก่อนคงยาก เพราะฉะนั้นมีลูกน้อยลงก็ควรจะมีเวลาให้เขามากขึ้น เลี้ยงเขาให้ดี เลี้ยงให้มีคุณภาพ 

ผมมองว่าเรื่อง Knowledge ไม่ยากนะ แต่เวลาเป็นเรื่องที่เกินกำลังแพทย์ พ่อแม่อาจจะมีเวลามากขึ้นถ้าหน่วยงานอื่นช่วยให้พ่อแม่มีเวลามากขึ้น เช่นกฎหมายแรงงาน ชั่วโมงเรียนที่โรงเรียน การสร้างสวนสาธารณะใกล้บ้าน จริงๆ มันมีผลนะ ถ้าบ้านมีสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทุกเย็นก็ไปเดินกันได้ เสาร์อาทิตย์ก็แวะไปก่อนพ่อแม่ไปทำงาน ก่อนลูกไปเรียน ผมว่าพวกนี้มันถึงจะช่วย ซึ่งเรื่องเวลา จิตแพทย์ช่วยไม่ได้ แต่หน่วยงานอื่นอาจช่วยให้พ่อแม่มีเวลากับลูกได้ อันนี้ก็สำคัญ บวก Knowledge ไปอีกหน่อย พ่อแม่รู้ว่าเวลาที่มีอยู่น้อยนิดนี้จะทำยังไงให้ลูกเข้มแข็ง ครอบครัวเข้มแข็ง แล้วก็ไปทำ ผมอยากเสนอแค่นี้ เวลา กับ ความรู้ สองอย่าง อย่างอื่นไม่เป็นไร

Tags:

Growth mindsetเวลาทองการเลี้ยงลูกทักษะชีวิตSelf-CompassionครอบครัวSelf Esteemผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Dear Parents
    ไม่ต้องรักลูกทุกคนเท่ากันก็ได้ แต่อย่าใจร้ายกับลูกคนไหนเลย

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    ‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นอนผิด…ชีวิตเปลี่ยน! ทำไมแค่นอน(ให้ถูก) ชีวิตก็ดีขึ้นทุกด้านได้แล้ว
How to enjoy life
14 March 2024

นอนผิด…ชีวิตเปลี่ยน! ทำไมแค่นอน(ให้ถูก) ชีวิตก็ดีขึ้นทุกด้านได้แล้ว

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อคุณภาพการนอนไม่ดี หรือ ‘นอนไม่พอ’ จะส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดฮวบอย่างมีนัยยะสำคัญ
  • REM หรือ ช่วงหลับตื้น มีส่วนช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์จิตใจที่สงบขึ้น โดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุการณ์แง่ลบที่มากระทบจิตใจ REM จะเสมือนมาช่วย ‘ฮีลใจ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีสไตล์การนอนแบบ 2 ช่วงเวลาต่อวันเสมอ (Biphasic sleep) หรือก็คือ ‘งีบกลางวัน-นอนกลางคืน’ ที่ถ้าใครได้ลองทำเป็นประจำจะพบว่ามันเวิร์กกว่าการทำงานใช้เวลายิงยาวทั้งวัน กิจกรรมที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพขึ้น

ใครเป็นเหมือนกันบ้าง? วันไหนที่ ‘นอนไม่พอ’ ตื่นเช้ามาวันนั้นจะหัวไม่แล่น สมองไม่อยากรับอะไร ขี้เกียจลุกไปทำงาน จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ มึนๆ เบลอๆ โลกไม่ค่อยสดใส แถมอารมณ์เสียง่าย ใครมาพูดจากระทบกระทั่งอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ระเบิดลงแล้ว

นี่คือตัวอย่างสุดคลาสสิกที่พวกเราหลายคนเป็นกันเมื่อคุณภาพการนอนไม่ดี พูดรวมๆ คือ…ไม่ค่อยมีความสุข โดยมีสาเหตุตั้งต้นมาจากเรื่องเดียวเลยคือ คุณภาพการนอนหลับไม่ค่อยดี 

ผลวิจัยยังเผยว่า หากนอนหลับไม่ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันจนเรื้อรังติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดฮวบอย่างมีนัยยะสำคัญ เพิ่มโอกาสการเป็นโรคมะเร็งถึง 2 เท่า และเพิ่มโอกาสเกิดโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ด้วย

ทีนี้ อยากให้ทุกคนลองนึกภาพวันที่ ‘นอนหลับเต็มอิ่ม’ วันนั้นเราจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีแรง สมองแล่น รู้สึกอยากทำอะไรใหม่ๆ รู้สึกมีความหวัง มองโลกในแง่บวก สดใสกับเรื่องเดิมๆ มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ 

มิติของชีวิตในแต่ละวันพลิกกลับตาลปัตรอย่างน่าอัศจรรย์เพียงเพราะ…การนอนหลับ

ทำไมแต่ละวัน(รู้สึก)ดีขึ้นได้ด้วยการนอน?

การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องขอชวนไปสำรวจ วิทยาศาสตร์การนอน สักเล็กน้อย  หลายคนน่าจะคุ้นหูมาบ้างแล้วว่า คนเรามีวงจรการนอนหลับ 2 แบบคือ

1. Non-rapid eye movement sleep (NREM) การนอนหลับแบบที่ไม่มีการกรอกตา หรือที่เราเรียกกันว่า ช่วงหลับลึก 

2. Rapid eye movement sleep (REM) การนอนหลับแบบที่ดวงตากรอกไปมา หรือที่เรียกกันว่า ช่วงหลับตื้น

ทั้ง 2 แบบจะเกิดขึ้นสลับกันเป็นรอบทุกๆ 90 นาที เริ่มที่ NREM ก่อน ถึงค่อยตามมาด้วย REM สลับกันไป

แล้วทั้ง 2 แบบทำหน้าที่ต่างกันยังไง? อธิบายแบบง่ายๆ คือ

NREM ทำหน้าที่ ‘จัดระเบียบข้อมูล’ โดยจะเก็บรักษาข้อมูลสำคัญไว้ให้ปลอดภัย พร้อมกับกำจัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นทิ้งไป กล่าวคือ ในแต่ละวันที่เราออกมาใช้ชีวิต สมองเราพบเจอข้อมูลใหม่นับไม่ถ้วน แต่ไม่ใช่ข้อมูลทุกเรื่องที่สลักสำคัญกับเรา เราไม่สามารถและไม่ควรเก็บข้อมูลล้านแปดทบๆ กันใหม่แบบนี้ทุกวี่ทุกวัน 

NREM เสมือนมาคัดเลือกและเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น เช่น จะเก็บข้อมูลจดจำประโยคชวนฉุกคิดที่อ่านเจอในบทความของ The Potential ขณะที่ลบข้อมูลคนแปลกหน้า ใครก็ไม่รู้ที่พบเจอกันเวลาขึ้นรถไฟฟ้า BTS

REM ทำหน้าที่ ‘เชื่อมโยงข้อมูล’ ต่างๆ เข้าหากัน ช่วงเวลานี้เองที่ก่อกำเนิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่เราอาจคิดไม่ออกก่อนหน้า เป็นปรากฎการณ์ที่หลายคนเซอไพรส์ว่า ก่อนนอนคิดไม่ออก…แต่ตื่นนอนมาไอเดียแก้ปัญหาจู่ๆ ก็เด้งขึ้นมา! ถึงกับมีเคล็ดลับว่า ก่อนนอนให้คิดทบทวนถึงปัญหาคร่าวๆ และรีบเข้านอนซะเพื่อให้ REM สร้างไอเดียครีเอทีฟขึ้นมาตอนตื่นนอน 

นอกจากนี้ REM ยังมีส่วนช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์จิตใจที่สงบขึ้น โดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุการณ์แง่ลบที่มากระทบจิตใจ REM จะเสมือนมาช่วย ‘ฮีลใจ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


ในแต่ละคืน โดยเฉลี่ย ผู้ใหญ่ต้องการเวลานอนหลับราว 7-8 ชั่วโมง ขณะที่เด็กเล็กอยู่ที่ 8-10 ชั่วโมง และจะขาด NREM & REM อย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลย โดยเวลาเข้านอนที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ประมาณ 4 ทุ่ม เด็กเล็กอยู่ที่ 2-3 ทุ่ม ขณะที่เด็กวัยรุ่นจะเขยิบดึกขึ้นไปอยู่ที่ 5 ทุ่ม – เที่ยงคืนเป็นอย่างน้อย เป็นสาเหตุว่าทำไมพ่อแม่มองลูกๆ วัยรุ่นว่า ‘นอนดึก’ ขณะที่ลูกวัยรุ่นมองว่าปกติ เพราะความแตกต่างของธรรมชาติร่างกายในแต่ละช่วงวัยนั่นเอง

มนุษย์ดึกดำบรรพ์นอนแบบไหน?

มีธรรมเนียมของชาวสเปนอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘เซียสต้า’ (Siesta) หรืองีบนอนกลางวันสั้นๆ ที่นักท่องเที่ยวน่าจะได้เคยสัมผัสพบเห็นเมื่อไปเยือนสเปน แต่การ ‘ง่วง & งีบ’ ช่วงกลางวันบ่ายๆ ไม่ได้เป็นเรื่องของสังคม-วัฒนธรรมเท่านั้น ‘ง่วงนอนตอนบ่าย’ ไม่ใช่เรื่องเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับคนสเปนหรือคนไทย แต่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทุกประเทศทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องของชีววิทยาที่ฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วต่างหาก!

ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรืออันที่จริงยุคดึกดำบรรพ์สมัยบรรพบุรุษเรายังหาของป่าล่าสัตว์ ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในพื้นที่ไหนของโลก มีอารยธรรมแบบไหน อายุเท่าไร เพศอะไร…เราจะเป็นสัตว์สังคมที่มีสไตล์การนอนแบบ 2 ช่วงเวลาต่อวันเสมอ (Biphasic sleep) หรือก็คือ ‘งีบกลางวัน-นอนกลางคืน’ 

การงีบช่วงบ่ายสั้นๆ แค่เพียง 15-20 นาที ช่วยให้เรากลับมามีแรง สมองแล่นได้แบบเหลือเชื่อ ถ้าใครได้ลองทำเป็นประจำจะพบว่ามันเวิร์กกว่าการทำงานใช้เวลายิงยาวทั้งวัน กิจกรรมที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพขึ้น ปรับอารมณ์ให้ร่าเริงและทนต่อแรงกดดันได้ดีขึ้น เอนจอยกับวันนั้นๆ ได้แบบเต็มอิ่มกว่าเดิม

อันที่จริง การงีบกลางวัน-นอนกลางคืน พวกเราหลายคนน่าจะเคยผ่านและลืมมันไปแล้ว เพราะระบบการศึกษาของเด็กอนุบาลหลายแห่งมักจะให้เด็กได้งีบช่วงบ่าย เพราะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กเล็กนั่นเอง

แค่นอนให้ถูกวิธี ชีวิตแต่ละวันก็เอนจอยขึ้นแล้ว

อยากเข้านอนและหลับอย่างมีคุณภาพ ต้องเริ่มที่ช่วงเวลา ‘ก่อน’ เข้านอนตั้งแต่ตอนเช้าเลย อันดับแรกคือ ‘คาเฟอีน’ โดยเฉพาะจากกาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่คนกินและติดกันทั่วโลก 

คาเฟอีนในกาแฟมี Half life อยู่ที่ราว 5-7 ชั่วโมง Half life คือ ระยะเวลาที่ร่างกายเราจะกำจัดสลายคาเฟอีนปริมาณครึ่งหนึ่งออกไปจากร่างกาย เช่น ถ้าคุณดื่มกาแฟตอนบ่าย 3 โมง เมื่อถึงเวลา 3 ทุ่ม จะยังคงมีสารคาเฟอีนตกค้างหลงเหลืออยู่ในร่างกายคุณถึงครึ่งหนึ่ง จึงไม่แปลกเลยที่ใครดื่มกาแฟตอนบ่าย 3 แล้วจะมีปัญหานอนไม่หลับหรือนอนหลับแต่ไม่ค่อยสดชื่นมีคุณภาพ

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ยอมรับอีกว่ากาแฟเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เราเอนจอยกับชีวิต หลายคนไม่ได้ดื่มกาแฟเพราะฟังก์ชั่นมานานแล้ว แต่ดื่มเพราะสุนทรียะ ศิลปะ เรื่องเล่า โซลูชั่นตรงนี้เห็นจะเป็นการ ‘บาลานซ์’ ปริมาณและช่วงเวลาการดื่มซะมากกว่า ดื่มได้ในแต่ละวัน แต่ไม่ควรดื่มเยอะเกินไป และถ้าเป็นไปได้อย่าดื่มหลังจากเลยช่วงบ่ายไปแล้วก็จะไม่กระทบคุณภาพการนอนตอนกลางคืนนัก

อย่างไรก็ตาม แม้การเข้านอนเร็วประมาณ 4 ทุ่ม และนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ NREM & NEM ทำงานสร้างประโยชน์ให้กับเราเต็มที่ดังที่ได้กล่าวไป จะเป็นเรื่องเรียบง่าย สากล และน่าจะประยุกต์ใช้กับใครหลายคนได้

แต่สำหรับคนนอนดึกเป็นทุนเดิม การเปลี่ยนพฤติกรรมให้คงอยู่ต่อไปในระยะยาวเป็นสิ่งที่ใช้เวลาหล่อหลอม เพราะการทำงานของสมองและร่างกายคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลับ แรงต้านจะเยอะ ผัดวันประกันพรุ่งจะเกิด

นักวิจัยด้านจิตวิทยาสังคมเผยว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราต้องใช้เวลาประมาณ 66 วันกว่าอุปนิสัยใหม่ (New habit) จะเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ

อย่างเช่น จากเดิมถ้าเราเป็นคนเข้านอนประมาณเที่ยงคืน แล้วตื่นเช้างัวเงียก่อนไปทำงานต้องอัดกาแฟ 2 แก้ว ถ้าคุณอยากเข้านอนเร็วขึ้นเป็นตอน 4 ทุ่ม ต้อง ‘ค่อยๆ ปรับเวลา’ เข้านอน อย่ากระโดดจากเที่ยงคืน มา 4 ทุ่มในคืนเดียวเพราะโอกาสสูงมากที่จะล้มเหลว แต่ให้ค่อยๆ เข้านอนเร็วขึ้นสัปดาห์ละ 15 นาที ผ่านไปราว 2 เดือน ทั้งกิจวัตรประจำวันของเราและร่างกายเองจะสามารถปรับตัวเพื่อเข้านอนตอน 4 ทุ่มได้สำเร็จ

ปกติเวลาเราพูดถึงการมีสุขภาพร่างกายที่ดีแข็งแรง เรามักจะนึกถึงการกินอาหารและออกกำลังกาย มีหนังสือที่แตกย่อยโภชนาการอาหารที่ควรทานอย่างละเอียดยิบ มีคนมาแชร์เทคนิคการออกกำลังกายที่ตอบโจทย์สรีระร่างกายของแต่ละคนอย่างแตกฉาน แต่มีไม่มากนักที่จะโฟกัสที่การนอนหลับ ซึ่งอย่างมากก็มักพูดถึงแบบกว้างๆ เช่น “นอนให้ได้วันละ 8  ชั่วโมงนะ” สั้นๆ จบ โดยไม่มีการสาธยายต่อ 

เมื่อถกเถียงถึงการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเคล็ดลับการเอนจอยชีวิตในแต่ละวัน การนอนหลับจึงเป็นอีกเรื่องที่ถูกมองข้าม ถูกเพิกเฉย ถูกประเมินค่าต่ำ (พอๆ กับการหายใจ) 

นอนผิด…ชีวิตเปลี่ยน แต่ถ้านอนให้ถูก…ชีวิตก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้เช่นกัน มาฝึกนอนให้ถูกต้องเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นทุกด้านกันเถอะ!

อ้างอิง

หนังสือ Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams โดย Matthew Walker

https://www.researchgate.net/publication/32898894_How_are_habits_formed_Modeling_habit_formation_in_the_real_world

https://www.sleepfoundation.org/how-sleep-works/biphasic-sleep

https://www.moshikids.com/articles/age-appropriate-bedtimes-for-kids-in-2022/#:~:text=6%2D12%20years%20old%3A%20should,asleep%20until%20around%2011%20pm

https://www.healthline.com/health/how-long-does-it-take-to-form-a-habit#takeaway

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8602722/

Tags:

ความสุขการนอนสุขภาพวิทยาศาสตร์การนอนREMNREM

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • dragon-parents-nologo
    Family Psychology
    ‘Dragon Parents’ พ่อแม่ผู้ยอมรับอนาคตที่ไม่แน่นอน ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    รวม 7 เล่ม หนังสือ ‘ฮีลใจ’ ที่ชวนให้หยุดโบยตีชีวิต แล้วผลิบานในจังหวะเวลาของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Life classroomSocial Issues
    ‘เราต้องมีสิทธิเป็นตัวของตัวเอง’ ก้าวข้าม Beauty Standard กับ ซิลวี่ – ภาวิดา มอริจจิ

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

‘บ้านไม่เป็นบ้าน โรงเรียนไม่เป็นโรงเรียน’ เด็กไทยต้นทุน(ชีวิต)ต่ำ: รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี
Social Issues
10 March 2024

‘บ้านไม่เป็นบ้าน โรงเรียนไม่เป็นโรงเรียน’ เด็กไทยต้นทุน(ชีวิต)ต่ำ: รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • อะไรคือปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงในเด็กและเยาวชนมีแนวโน้วเพิ่มขึ้น The Potential คุยกับ นพ.สุริยเดว ทริปาตี ผู้ออกแบบเครื่องมือฟังเสียงเด็ก หรือการสำรวจทุนชีวิต
  • 15 ปี กับกว่า 1 แสนตัวอย่างของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั้งในและนอกรั้วโรงเรียน พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ทุนชีวิตของเด็ก ซึ่งประกอบด้วย บ้าน โรงเรียน ชุมชน เพื่อน และตัวตน อ่อนแอลงในทุกๆ ด้าน
  • “เสียงสะท้อนของเด็กคือ เขาไม่มีความสุข ไม่ได้มีความรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่มีความรู้สึกดีต่อบ้าน ชุมชน โรงเรียนและเพื่อน” ซึ่งการที่ทุนชีวิตอ่อนแอและบกพร่องนี้คือสาเหตุสำคัญของพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ

“ไม่มีดอกไม้ดอกไหนไม่อยากผลิบาน”  …เด็กๆ ก็เช่นเดียวกัน คงไม่มีเด็กคนไหนไม่อยากเปล่งประกาย หรือต้องกลายเป็นตัวร้ายในสายตาของคนอื่น  

และไม่ว่าจะดอกไม้หรือเด็กคนหนึ่ง เมื่อมีรอยด่างพร้อยเกิดขึ้น สิ่งที่สังคมควรตั้งคำถามมากกว่าเพ่งโทษ คือ เขาเติบโตจากดิน น้ำ และรากแบบไหน?

“สิ่งที่หมอค้นพบคือ ระบบนิเวศของเด็กป่วยซะยิ่งกว่าตัวเด็ก ระบบนิเวศของเด็กอาการหนักกว่าตัวเด็ก” รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม กล่าวจากประสบการณ์ของกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์วัยรุ่น และผู้ดูแลงานวิจัยชุด ‘ทุนชีวิต’ ซึ่งเริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน โดยใช้ระบบนิเวศที่แวดล้อมเด็ก 5 ด้านเป็นตัวชี้วัดได้แก่ พลังตัวตน พลังครอบครัว พลังชุมชน พลังเพื่อนและกิจกรรม

“ตอนนั้นมันไม่มีเครื่องมือในการฟังเสียงเด็ก หมอก็เลยพัฒนาเครื่องมือขึ้นมาเป็นการฟังเสียงด้านบวก ว่าเขารู้สึกดีหรือไม่อย่างไร โดยหมอถอดหัสออกมาเป็น 5 พลังตามระบบนิเวศ  คือ บ้าน ชุมชน โรงเรียน เพื่อน และสุดท้ายคือ พลังตัวตนของตัวเอง หมอใช้คำว่า ถ้ามีทุนชีวิตที่แข็งแรงมันจะมีพลังบวกสูงมาก”

15 ปี กับกว่า 1 แสนตัวอย่างของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั้งในและนอกรั้วโรงเรียน ข้อค้นพบที่น่าจะทำให้เห็นเค้าลางบางประการของปัญหาเด็กและเยาวชนกับความรุนแรง ก็คือ ทุนชีวิตของเด็ก อ่อนแอลงเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้าน 

สำรวจทุนชีวิต เครื่องมือฟังเสียงเด็ก

“ทุนชีวิตในความหมายของหมอ คือ มิติทางสังคมล้วนๆ เลยนะครับ” 

นพ.สุริยเดว เล่าถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบงานวิจัยชุดนี้ว่ามาจากการลงพื้นที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงต่างๆ  และเห็นความจำเป็นว่าประเทศไทยต้องสร้าง ‘เครื่องมือฟังเสียงเด็ก’  

“คุณรู้ไหมเวลาที่ดูภาพตัดขวางของสมอง ก่อการดีหรือก่อการร้ายมันมาจากมิติคิดของสมองทั้งนั้นเลยนะ ซึ่งมันแบ่งออกมาเป็นสมองสามส่วน คือ สมองส่วนสัญชาตญาณ หรือชื่อเล่นๆ ทางการแพทย์เรียกว่า Reptilian Brain ความหมายก็คือสมองส่วนสัตว์เลื้อยคลาน มนุษย์เรามีไว้ดำรงชีพ กิน นอน หายใจ สัญญาณชีพอยู่ตรงนี้ ซึ่งตัวเฮียก็มี

แต่มนุษย์เราเพิ่มขึ้นไปอีกคือ สมองส่วนที่สอง คือ สมองส่วนอารมณ์ ซึ่งส่วนนี้พลังมันเยอะ มันซ่อนอยู่ข้างใน เขาเรียก Limbic System คนจะเสพติดอะไรทั้งหลายมาจากฤทธิ์ของในสมองส่วนอารมณ์ล้วนๆ สร้างความพึงพอใจอะไรต่างๆ แล้วสมองส่วนนี้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมี ตัวเฮียไม่มี 

แต่มนุษย์เราเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ ‘เบรกเกอร์’ พลังทุนชีวิตคือทั้งกำปั้น (ตัวตน ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ชุมชน) ความหมายคืออีก 4 นิ้วนี้ช่วยเป็นตัวเบรกเกอร์ให้กับสมองส่วนอารมณ์ คลี่ 5 นิ้วนี้ออกมาจึงกลายเป็นทุนชีวิตคือตัวเอง ซึ่งพลังมันเยอะ แล้วมีบ้านชุมชนโรงเรียนและเพื่อนเป็นตัวเบรกเกอร์ ถ้าพลังทุนชีวิตดี กำปั้นนี้จะกลายเป็น ‘กำปั้นพลังบวก’

ถ้าพูดถึงเด็กก็จะกลายเป็นทุนชีวิตของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งอันนี้หมอพัฒนาเป็นเครื่องมือฟังเสียง เวลาเราใช้คำว่าฟังเสียงเด็ก แสดงว่าคนสะท้อนเสียงนี้เป็นเด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ ไม่ใช่หมอคิด”

สำหรับการออกแบบชุดคำถาม นพ.สุริยเดว บอกว่าใช้เวลาหลายปีในการวิเคราะห์ครอบครัวในบริบทแบบไทยๆ จนได้คำถามง่ายๆ ที่สามารถสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเด็กได้  

“ยกตัวอย่างเช่น การเป็นต้นแบบที่ดี เด็กสามารถสะท้อนได้เลยว่าฉันมีผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดี เขาควรจะใช้ Positive Family Communication ขอโทษที่ใช้ภาษาอังกฤษ ความหมายคือเขาต้องมีปิยวาจาใช่ไหม แสดงว่ามันก็จะมีข้อคำถาม ถามว่า ‘ฉันมีผู้ปกครองที่ปรึกษาได้ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่’ ‘ฉันมีพ่อแม่ที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้’ อย่างนี้ ‘ฉันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อเข้าบ้าน’ อันนี้เซฟตี้เลยว่าทุกครั้งที่ฉันเข้าบ้าน ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ฉันปรึกษาได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ฉันพูดคุยกับพ่อแม่ได้แม้เรื่องสื่อ เพราะสื่อตอนนั้นก็มาแรง เอากรณีศึกษามาเหลาความคิดกับพ่อแม่ ฉันสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ อันนี้คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัว 

ในชุมชนก็มีนะ ‘ฉันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่ออยู่ในชุมชน’ ‘ฉันมีพี่ป้าน้าอาที่เป็นแบบอย่างที่ดี’ หรือ ‘ฉันเห็นชุมชนของฉันให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน’ ‘ฉันมีโอกาสในการแบ่งปันน้ำใจให้กับเพื่อนบ้าน’ อย่างนี้ ‘ฉันมีเพื่อนบ้านคอยให้กำลังใจกันและกัน’

แม้กระทั่งพลังตัวตน ‘ฉันพูดความจริงเสมอถึงแม้บางครั้งจะทำได้ยาก’ ‘ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า’ ‘ฉันมีเป้าหมายในชีวิต’ ‘ฉันเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันเอง’ ‘ฉันกล้าคิดกล้าพูดกล้าเสนอความคิดเห็นแม้ความคิดเห็นฉันจะต่างกับผู้อื่น’ 

ตัวชี้วัดในลักษณะนี้มันกลายเป็นเครื่องมือในการฟัง และทั้งหมดจะถูกถอดรหัสออกมาเป็น ‘ทุนชีวิต’ ซึ่งภาษาอังกฤษหมอใช้คำว่า ‘Life Assets’ เป็นเครื่องมือวัดพลังบวกผ่านระบบนิเวศ ไม่ใช่ Development Assets”

ส้มทั้งประเทศ เด็กไทยต้นทุนต่ำ

นับจากจุดตั้งต้นในการออกแบบเครื่องมือฟังเสียงเด็กในปี 2552 นพ.สุริยเดว บอกว่ามีการเก็บข้อมูลมาเป็นระยะ คือในปี 2554, 2556, 2560, 2562 และตั้งแต่ปี 2564-66 เก็บข้อมูลทุกปี โดยคำตอบของเด็กๆ จะถูกนำมาแบ่งเป็น 4 สี, สีเขียว คือดีมาก, สีเหลือง ถือว่าดี, สีส้ม เริ่มส่งสัญญาณเตือน, ส่วนสีแดง เข้าขั้นมีปัญหา ซึ่งตลอดระยะเวลา 15 ปี เมื่อนำสีต่างๆ มาพล็อตลงบนแผนที่ประเทศไทย ภาพที่ปรากฎ ต้องบอกว่าน่ากังวลใจทีเดียว

“ปีแรกที่หมอเก็บทั่วประเทศ ปี 2552 ไม่มีพื้นที่ไหนสีแดงครับ แต่ไม่มีพื้นที่ไหนสีเขียว เราก็เริ่มประหลาดใจ ทุกพลังไม่มีอันไหนสีเขียวเลย ทั้งบ้าน ชุมชนโรงเรียน เพื่อน และตัวเองด้วย ไม่มีขึ้นสีเขียว แต่มีสเกลได้เปรียบ ต้องใช้คำว่าฐานที่มั่นได้เปรียบ คือบ้านหรือครอบครัว พอปี 2554 หลายพลังมันเหมือนเดินบันไดลงมา หมอเริ่มเห็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี 

ในปี 2562 ก่อนโควิด 19 ระบาด รู้ไหมทุนชีวิตมันสะท้อนเสียงสัญญาณแดงทั้งประเทศแล้วนะ มาจากอะไรรู้ไหม พลังชุมชนตกต่ำกว่า 60% แสดงว่าความรู้สึกเด็กที่มีต่อชุมชนมันห่างหายไป แสดงว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้น ชุมชนไม่เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง แล้วยิ่งพอมาดูช่วงที่โควิดระบาดและหลังโควิด โอ้โห ยิ่งตกลงไปอีก ประเด็นใหญ่คือพลังชุมชนอ่อนหมดเลยทั้งประเทศไทย 

แต่พอเอาทุกพลังมารวมความกัน สีส้มทั้งประเทศเลยครับ ส่วนภาคกลางและกรุงเทพมหานครแดงทุกพลัง แปลว่าเสียงสะท้อนของเด็กคือ เขาไม่มีความสุข ไม่ได้มีความรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่มีความรู้สึกดีต่อบ้าน ชุมชน โรงเรียนและเพื่อน” 

ยิ่งเมื่อปรับโฟกัสเข้ามาที่ครอบครัวและโรงเรียน ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่ใกล้ตัวเด็ก ยิ่งพบสัญญาณอันตราย 

“ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะบูลลี่หรืออะไรทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มันจะไปเป็นสีแดง อย่าลืมว่านี่คือเสียงของเด็กว่าเขารู้สึกปลอดภัยไหมในโรงเรียน เขามีครูเป็นแบบอย่างที่ดีไหม เขาอยากเรียนให้ได้ดีโดยไม่เอาเปรียบผู้อื่น อะไรเหล่านี้มันอยู่ในข้อคำถามที่เด็กเป็นคนตอบ” 

เด็กมีปัญหา ระบบนิเวศมีปัญหากว่า

เมื่อเด็กคนหนึ่งตกอยู่ในวงจรของความรุนแรง ไม่ว่าจะในฐานะผู้กระทำหรือผู้ถูกระทำ สิ่งที่สังคมต้องขยายภาพให้ชัดคือ มือที่มองเห็นและมองไม่เห็น ที่ทั้งโอบอุ้มและผลักไสเด็กคนนั้น ซึ่งในนิยามของ นพ.สุริยเดว นั่นคือ ‘ทุนชีวิต’ หรือระบบนิเวศที่แวดล้อมตัวเด็ก

“วันนี้สิ่งที่หมอค้นพบคือ ระบบนิเวศของเด็กป่วยซะยิ่งกว่าตัวเด็ก ระบบนิเวศของเด็กอาการหนักกว่าตัวเด็ก หมอใช้งานวิจัยตอบทั้งนั้นไม่ใช่คิดเอาเอง รวมทั้งการที่หมอเป็นหมอเองด้วยแล้วมีโอกาสตรวจคนไข้วัยรุ่น 

หมอจะเปรียบเทียบให้ฟังว่า 100 เคสที่มาพบหมอ เราพบว่าครึ่งหนึ่งนั้นหมอรักษาคนที่พามา คือพ่อแม่ และอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมาก็คือครู แสดงว่า 75% ของเด็กที่ส่งมาว่าเป็น ‘เด็กมีปัญหา’ นั้น 75% คือบริวารของเด็กที่มีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางรายต้องส่งบริวารไปพบจิตแพทย์ผู้ใหญ่ มาด้วยเด็กแท้ๆ แต่คนได้ยากลับบ้านคือผู้ใหญ่ เพราะอาการหนักเกินเด็ก เหตุและปัจจัยที่มาจากตัวเด็กจริงๆ คือ 25% อันนี้เป็นข้อค้นพบที่หมอเห็น”

“เหตุที่กำลังเกิดขึ้นบนความรุนแรง ไม่ว่ากรณีกราดยิง หรือกรณีของป้าคนหนึ่งที่ถูกเยาวชนทำร้ายจนเสียชีวิตไปเมื่อเร็วๆ นี้ ย้อนกลับไปดูจะเห็นเลยว่าบ้านไม่เป็นบ้าน แต่นอกจากสมมติฐานของผู้ใหญ่ที่ชอบพูดกันว่า ถ้าบ้านอยู่ในสภาวะยากลำบาก บ้านเป็นครอบครัวหย่าร้าง พ่อแม่มีการศึกษาน้อย พวกนี้เลี้ยงลูกมีความเสี่ยง เสี่ยงยาเสพติด เสี่ยงอะไรสารพัด หมอล้มสมมติฐานนี้ด้วยงานวิจัยของหมอว่า มีข้อที่ 4 เพิ่มคือ ‘เลี้ยงลูกมีทุนชีวิตต่ำ’ เป็นบ้านที่มีการศึกษา พ่อแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้หย่าร้าง แล้วก็ร่ำรวยคือมีฐานะ แต่เงื่อนไขคือเลี้ยงลูกให้มีทุนชีวิตต่ำ

คะแนนทุนชีวิตที่ต่ำนั้นพร้อมจะมีพฤติกรรมเสี่ยง อย่าว่าแต่ความรุนแรงเลย ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กติดเกม ปัญหาพ่อแม่วัยใส ทุกปัญหาที่กำลังระดมเกิดขึ้นในประเทศไทยบนวาระแห่งสารพัดชาติที่กำลังเกิดขึ้นนี้ หมอบอกให้เลยว่ามันมาจากรากเหง้าของทุนชีวิตที่อ่อนแอหมดเลย

เพราะฉะนั้นเวลาหมอตอบคำถาม หมอจึงตอบได้ชัดเจนว่า ระบบนิเวศมันป่วยซะยิ่งกว่าตัวเด็ก ทีนี้พอระบบนิเวศป่วย ทุนชีวิตอ่อนแอ พลังบวกมันดรอปลงไปเนี่ยพฤติกรรมเสี่ยงมันจะออกมาทันทีเลย เด็กก็ก่อเหตุก่อการได้หมด เพราะฉะนั้นหมอแทบจะอธิบายได้เลยว่า ปรากฏการณ์ความรุนแรงในเด็กและเยาวชนที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น  มันเกิดขึ้นบนทุนชีวิตที่กำลังอ่อนแอและบกพร่องครับ”

ทุนชีวิตอ่อนแอ ความรุนแรงเพิ่มขึ้น

“หมอไม่ได้โทษจุดใดจุดหนึ่ง แต่หมอกำลังสะท้อนว่า ทุนชีวิตมันกำลังอ่อนแอ” ในขณะที่ปัจจัยยั่วยวนเพิ่มขึ้น คือจริงๆ ปัจจัยยั่วยวนมันก็มีมาอยู่เดิม แต่มันเพิ่มขึ้น มันมาแบบประเภท Exponential Curve เพราะมันมีโซเชียลมีเดีย มันมีโลกแห่งไซเบอร์” นพ.สุริยเดว ชี้ถึงปัจจัยที่ซ้ำเติมความรุนแรงในเด็กและเยาวชน

“สมัยก่อนเพื่อนแกล้งเพื่อนมีไหม มันก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่มันไม่ได้ลงยูทูบ ไม่มีทวิตเตอร์ (X) ก็อยู่เฉพาะในห้องนั้นใช่ไหม อย่างมากที่สุดอาจจะมีเพื่อนข้างห้องที่รู้แค่นั้น แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ ฉะนั้นปัจจัยยั่วยวนมันมีตัวคูณเข้าไป ในขณะที่ปัจจัยเกื้อหนุน หรือเบรกเกอร์ไว้เบรกอารมณ์ได้มันอ่อนแบบตกเหว 

ยกตัวอย่างบ้านไม่เป็นบ้าน วันนี้พ่อแม่ไม่เหลือเวลา อย่ามาพูดเพียงแต่ว่าเพราะเรายากจน ‘โน’ ขนาดร่ำรวย บ้านอยู่ด้วยกันแท้ๆ ก็เป็นแค่หลังคาบ้านอาศัยอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ลูกต่างคนก็ต่างก้มหน้าดูโซเชียลมีเดียของตัวเอง พ่ออยู่ที่ห้องทำงานแม่อยู่ที่ห้องครัวแล้วลูกก็อยู่ห้องส่วนตัว ต่างคนก็ต่างมีพื้นที่ของตัวเอง สื่อสารกันผ่านโซเชียลมีเดีย ปัจจัยเกื้อหนุนแย่ลงไปเยอะ

แถมไม่พอนะ ‘สื่อสารพร้อมบวก’ ไม่ใช่ ‘สื่อสารพลังบวก’ พร้อมบวกกันเลย ภายในบ้าน สังเกตได้จากอะไร อันที่ชัดมากที่สุดของโลกใบนี้เลย ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ปัญหาประเทศไทยนะ เป็นปัญหาของโลก อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นตอนโควิด 19 อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ แล้วอัตราการหย่าร้างมันเกี่ยวอะไร ก็เพราะเริ่มเห็นสันดาน เริ่มเห็นธาตุแท้ของกันและกัน ชัดเลย 

แต่ก่อนเขารักษาระยะห่าง ไปทำงานกลับมาเจอกันไม่กี่ชั่วโมงก็เข้านอนแล้ว สมมุติไม่ถูกคอ เคมีไม่ตรงกัน เช้าก็รีบๆ ต่างคนต่างออกไปทำมาหากิน ถูกไหม เสาร์-อาทิตย์ ถ้าเกิดพ่อบ้านเครียดมากนักก็ไปตีกอล์ฟ ไปทำกิจกรรม หายตัว อันนี้บังเอิญเขาให้อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ คือมันไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนในโลกนะ ที่ล็อกทุกคนไว้อยู่ในกล่องเดียวกัน แล้วมาอยู่ร่วมกัน ทีนี้ธาตุแท้มันออกสิว่าเราจะพูดยังไง 

นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำให้ ศูนย์คุณธรรมต้องออก ‘โครงการหนึ่งหัวใจ’ หนึ่งเรื่องเลยคือ ‘ครอบครัวพลังบวก’ ไม่ใช่พร้อมบวกนะ แล้วหนึ่งใน Hot Issue ที่เป็นประเด็นของประเทศคือ ‘วิธีการสื่อสารกันภายในบ้าน’ ไม่น่าเชื่อนะว่านี่ขนาดปัจจัยเกื้อหนุนให้อยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่กลับพร้อมบวกกัน”

ปลดล็อกความรุนแรง เริ่มต้นที่บ้านและโรงเรียน

เมื่อเหตุปัจจัยคือเงามืดที่อยู่ข้างหลังเด็ก ทางออกของปัญหาก็น่าจะอยู่ที่การทำให้ทุกอย่างสว่างขึ้น ซึ่งในองค์ประกอบของทุนชีวิตทั้ง 5 นพ.สุริยเดวขอให้เร่งแก้ไข 2 ระบบนิเวศที่ใกล้ชิดตัวเด็กอย่าง ‘บ้าน’ และ ‘โรงเรียน’ ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย

“สมมติว่าชุมชนไม่เป็นชุมชนแล้ว เราควบคุมชุมชนไม่ได้ ขอ 2 ระบบนิเวศได้ไหม บ้านกับโรงเรียน เมื่อลูกกลับมาบ้าน บ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย แม้ชุมชนข้างนอก ออกรั้วบ้านไป โอ้โห…มันเละเทะ แต่บ้านมันเป็นที่ close เด็ก ที่พ่อแม่ก็เป็นต้นแบบที่ดี แล้วใช้ความรักความอบอุ่น และต้องไม่สำลักความรักด้วยนะ โปรดเข้าใจด้วยนะ เพราะการเลี้ยงลูกจนสำลักความรักก็มีปัญหา 

พูดง่ายๆ คือร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน มีการเหลาความคิด มีการจัดการแบบคลุกวงใน เป็นครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยที่สร้างการมีส่วนร่วม ฟังเสียงเด็ก ฟังเสียงซึ่งกันและกัน ทุกคนรักใคร่กลมเกลียว สามารถจัดการอารมณ์ได้ และพ่อแม่เองก็เป็นต้นแบบที่ดี เวลามีความเครียด โมโห ลูกก็เห็นอยู่ว่าพ่อเครียดเป็น พ่อโมโหเป็น แต่พ่อมีวิธีการจัดการความเครียด เป็นตัวอย่างให้เห็นภายในบ้าน แล้วประพฤติปฏิบัติดีภายในบ้าน พ่อกับแม่รักกันดี อย่างนี้หมอไม่ค่อยเห็นว่าจะทำให้ลูกไปก่อการอะไรข้างนอกนะ แถมมอนิเตอร์กำกับติดตามด้วย”

เมื่อถามถึงหัวใจสำคัญของการทำให้บ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย คุณหมอยกตัวอย่างข้อคำถามในงานวิจัยที่สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางได้ เช่น เวลาลูกเจอความเครียด ลูกก็มาคุยกับพ่อแม่ได้ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ หรือการมีผู้ใหญ่คนอื่นที่สามารถปรึกษาได้ (Non-parental Model) เพราะบางเรื่องเด็กอาจไม่อยากเล่าให้พ่อแม่ฟัง  

“พวกนี้ถือเป็นพลังทุนชีวิตหมดเลย มันไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวนะ แต่หมายถึงวิถีชีวิตที่กำลังดำเนินไปวันต่อวันทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ซึ่งที่โรงเรียน โรงเรียนก็ต้องมีการจัดการ มีการบริหารความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้ปกครองกับครู อย่างเรื่องการบูลลี่ ถ้าบ้านกับโรงเรียนทำงานกันดีๆ ป้องกันได้ มีระบบช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งระบบพวกนี้มีนะในประเทศไทย ไม่ใช่ไม่มี แต่มันไม่ถูกปัดฝุ่นออกมาใช้ให้มันเข้มแข็งและเอาจริงเอาจัง 

แล้วแถมมีชมรมเพื่อน ในการเป็นพื้นที่ปล่อยของ ปล่อยของดีๆ นะ ไม่ใช่ปล่อยของเสีย สมัยหมอเด็กๆ เลิกเรียนยังไปเตะฟุตบอล ยังไป After School อะไรต่างๆ แล้วมีชมรมให้เพียบเลย เดี๋ยวนี้มันมีแค่ 2 ชอยส์ฮะ ตกลงไปเรียนแล้วไปกวดวิชา หรือเรียนแล้วไปนั่งเล่นเกม มันไม่เหลือแม้กระทั่งคำว่าชมรมกีฬาอะไรทั้งหลาย มันเหลือพื้นที่น้อยลงไปมาก

แต่ถ้าเราจัดการแค่ 2 ระบบนิเวศนี้ให้มันเป็นพื้นที่ปลอดภัย หมอว่ามันจะช่วยเด็กไปได้เกินครึ่ง ปัญหาทั้งหมดนี้จะเบาบางไปทันที” 

ผนึกกำลังออกแบบระบบเฝ้าระวังการบูลลี่

นอกจากคืนทุนชีวิตแตะเบรกความรุนแรงในเด็กและเยาวชนแล้ว การช่วยเหลือเด็กๆ ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย อย่าง ‘การกลั่นแกล้งรังแก’หรือ บูลลี่ (Bully) ก็เป็นที่สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ

“วิธีคิดคือมีใครบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคมในรั้วโงเรียน หนึ่ง มีเด็กเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องใช่ไหม สอง มีครูใช่ไหม สาม ก็คือมีผู้ปกครอง เราใช้ สามส่วนนี้ ผนึกกำลังแล้วออกแบบ และเมื่อสามส่วนนี้เป็นทรัพยากรมนุษย์ และที่สำคัญบูลลี่นี้ส่งผลกระทบไปที่ตัวเด็ก  เสียงของเด็กจึงเป็นเสียงสวรรค์ เสียงที่สำคัญที่สุด 

ทีนี้จะเริ่มต้นอย่างไรก็คือ ‘ฟังเสียงเด็ก’ และฟังอะไร ก็ฟังว่าเขากำลังเดือดร้อนกับการบูลลี่ใช่ไหม บูลลี่มีกี่แบบ บูลลี่ทางกาย ลงไม้ลงมือกันเลย บูลลี่ทางเพศ Sexual bully  บูลลี่ทางไซเบอร์ก็มี Cyber bully  แล้วก็ประเภท Social Sanction อย่างเช่นเพื่อนเทหมด อันนี้ส่งผลทางด้านจิตใจอารมณ์และสังคม 

ถ้ามันมีหมวดใหญ่ๆ ในลักษณะนี้ เราตั้งคำถามถามเด็กได้ไหมว่า พฤติกรรมการกระทำหรือคำพูดอะไร เอาแค่ 3 ประเด็นก็ได้ ที่ลูกไม่อยากได้ยินเลยในรั้วโรงเรียน ไม่อยากเห็นเลย แล้วสำรวจทั้งโรงเรียนของเราผ่านเด็กทั้งหลาย แน่นอนเขาตอบแค่ 3 แต่สมมติสำรวจมา 3,000 จะรู้เลยว่าอะไรเป็นประเด็นร่วม อาจจะได้ 4-5 ประเด็น แล้วนำ 4-5 ประเด็นนี้มาทำบูลลี่โปรแกรมในรั้วโรงเรียน 

ทีนี้พอจะทำบูลลี่โปรแกรม ใครจะเข้ามาเป็นกองกำลังในการช่วยกันบ้าง ก็ออกแบบโดยการให้เพื่อนในดวงใจ ครูในดวงใจ หรือผู้ปกครองที่เป็นจิตอาสา มาเป็นกองกำลังร่วม ครูที่อยู่ในดวงใจอาจไม่จำเป็นต้องเป็นครูแนะแนวหรือครูจิตวิทยาก็ได้ จะเป็นครูเคมีฟิสิกส์ชีวะคณิต แต่บังเอิญจริตให้ นึกออกไหม เป็นครูใจดีที่เด็กนึกถึงเวลามีปัญหา  

ผอ.จะรู้ทันทีเลยว่า เรามีกองกำลังพลังบวกอยู่ในรั้วโรงเรียนสักประมาณไหน และมีประเด็นอะไรบ้างที่น่าห่วงใย แล้วดึงกองกำลังเหล่านี้มาออกแบบร่วมกัน จะสร้างพลังการมีส่วนร่วมขึ้นมาทันทีเลยครับ โดยไม่จำเป็นต้องรอกระทรวงสั่ง 

ถ้าฟังเสียงจริงจากเด็กๆ นะ เขารู้ครับว่าในรั้วโรงเรียนมันเกิดอะไรขึ้น แล้วแต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกันด้วย เพราะเราไม่รู้เลยว่าบริบทของโรงเรียนนี้กับเพื่อนที่แกล้งกันนี่มันคืออะไร แล้วกรุณาอย่าให้เขาเปิดเผยชื่อ ช่วยกันออกแบบให้เป็น ‘ระบบเฝ้าระวัง’ ใช้กลไกของโรงเรียน เช่น เพื่อนช่วยเพื่อน รุ่นพี่กับรุ่นน้องเป็นบัดดี้กัน ครูทั้งครูจิตวิทยาและมีครูที่อยู่ในดวงใจของเด็กๆ ช่วยดูแล

เรื่องบางเรื่องเอากรณีศึกษาเข้ามาถกกัน การป้องกันการบูลลี่ เช่น Cyber Bully แทนที่เราจะเอากรณีที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเรา เราล้างชื่อเพื่อนออก เราเอาแต่ประเด็นพฤติกรรมมาตั้งบนโต๊ะ แล้วลองระดมสมองกันสิ เราจะแก้ปัญหานี้ยังไง หรือถ้ายังคิดไม่ออกก็ไปเอากรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในบ้านในเมือง ในข่าวที่เกิดขึ้นแล้วมาลองวิเคราะห์กันสิ ว่าถ้าเป็นเรา เราจะแก้ปัญหากันยังไง

ถ้าสมมุติมันเกิดกระบวนการนี้ขึ้นมานะ เชื่อไหมครับมันจะเกิด Anti-Bully Program ทั้งบ้านทั้งเมืองเลย โดยไม่ต้องรอคำสั่งข้างบน โดยไม่ต้องรอโมเดล ซึ่งหมอบอกว่ามัน ‘ป่าช้า’ เกินไป หมอคิดว่ารอทำไม ทรัพยากรมีอยู่กับมือที่จะสามารถทำได้ดี นี่ยิ่งถ้าคณะกรรมการขาดตกบกพร่องอะไรนะ คณะกรรมการสถานศึกษามีไปทำไม แล้วยังมีนอกรั้วโรงเรียนที่มีชุมชนล้อมรอบ ถ้าเราทำเกราะกำบังดีๆ นะ ดีไม่ดีชุมชนล้อมรอบเองเขาจะมาเป็นระบบเฝ้าระวังให้เราอีก”

นพ.สุริยเดวย้ำว่า เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ Anti-Bully Program ได้ผลก็คือ ‘การฟังเสียงเด็ก’ ทั้งเด็กผู้ถูกกระทำและเด็กที่ก่อความรุนแรง

“มันมีเด็กจำนวนหนึ่งที่เราต้องเข้าใจว่า พอเขาเป็นผู้แพ้ แพ้ซ้ำซากและแถมโดนเพื่อนล้อซ้ำซาก Self มันพัง เวลาที่ Self มันพัง แล้วบวกกับทุนชีวิต บ้านไม่เป็นบ้าน โรงเรียนก็ไม่เป็นโรงเรียน เขาพร้อมจะก่อการได้ทุกอย่างเลยนะ เพราะ Self มันพังไปหมดแล้ว  

ยิ่งถูก aroused (กระตุ้น) ขึ้นมา หรือถูกเพื่อนยั่วยุแทนที่จะห้าม ด้วยความที่ Self มันพังไปหมดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาก่อการก่อเหตุอย่างที่เป็นข่าวได้

เวลา Self มันพังไปหมดแล้ว มันเหมือนชีวิตที่พังทลายลงแล้ว ถ้าจะปั้นมันขึ้นมาใหม่ ระบบนิเวศจะเป็นตัวที่สำคัญที่สุดที่จะตอบ ไม่ใช่กฎหมาย เพราะถ้าเอากฎหมายมา ไอ้เด็กแก๊งค์ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่ไม่รู้กฎหมาย ไม่ใช่ไม่รู้ความเสี่ยง เอาเขามานั่งคุยตัวต่อตัว ไม่ใช่เขาไม่รู้หรอกว่าพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่เสี่ยงชีวิต อาจจะตายได้คอขาดแขนขาดได้ ไม่ใช่ไม่รู้ครับ ทฤษฎีรู้แต่ทำไมยังทำ เพราะต้องการยอมรับในหมู่เพื่อน พอ Self มันพัง เขาต้องการการยอมรับในหมู่เพื่อน แล้วเราใช้ ‘พื้นที่ที่ดีให้เป็นการ Build Self’ ไม่ได้เหรอ ต้องรอให้มันเกิดเหตุอย่างนี้ไปอีกเท่าไหร่ หรือจะให้สร้าง Self บนสิ่งที่เป็นซากปรักหักพัง มันไม่ใช่” 

แก้เหตุและปัจจัย กฎหมายแค่ปลายทาง

ทุกครั้งที่เกิดเหตุรุนแรงจากการกระทำของเด็กและเยาวชน สังคมมักชี้นิ้วไปที่ ‘กฎหมาย’ ว่าไม่สามารถป้องปรามการกระทำผิดของเด็กได้ เรื่องนี้ นพ.สุริยเดวเองก็ถูกถามความเห็นอยู่บ่อยครั้งว่าควรจะแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษหรือไม่

“จริงๆ ทุกอย่างมันมีเหตุและปัจจัยของมัน แต่เราไม่เคยไปแก้เหตุและปัจจัย เพราะเรามองแต่ว่าจะต้องลงโทษเด็ก เอากฎหมายมา กฎหมายเอาให้เข้ม ถ้าถามว่า “หมอจะแก้กฎหมายไหม” หมอบอก “แก้” เพราะพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กมีมาตั้งแต่ 2546 ประมาณ 20 ปีมาแล้ว ตอนนี้แค่นิยามคำว่า ‘เด็ก’ ใน พรบ.คุ้มครองเด็ก กับในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดี ศาลคดีเด็กเยาวชนและครอบครัวกลางนั้น นิยามคำว่าเด็กและเยาวชนสองอันนี้ไม่เหมือนกัน เอาแค่นิยามนะ แล้วมาดูนิยามทางจิตวิทยา ก็ไม่เหมือนกันกับในนั้นอีก ไปปรับจูนกันให้มันเข้าที่เข้าทางกันหน่อยได้ไหม 

อันที่สอง กฎหมายจำเป็นจะต้องไปเข้มกับระบบนิเวศร่วมด้วย ระบบนิเวศในความหมายของหมอคืออะไร เช่น พ่อแม่ พ่อแม่ที่ไม่มีความรู้ไม่มีทักษะเลย เข้าโรงเรียนพ่อแม่ เข้าสู่กระบวนการพัฒนาทักษะ อันนี้ไม่มีปัญหา พ่อแม่ที่มีความรู้มีทักษะและขี้เกียจเลี้ยงลูก อันนี้กฎหมายจะเข้ามาเข้มไหม เช่น ลูกคุณออกไป 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม คุณไม่รู้เลยเหรอว่าเขาไปทำอะไร เอามอเตอร์ไซค์ไปซิ่งอย่างนี้ คุณไม่รู้เลยเหรอว่าเขาเอาไปไหน แล้วอย่างนี้พ่อแม่จะรับผิดชอบยังไง กฎหมายจะต้องไปเข้มไหมกับ Parenting Style แบบนี้ 

หรือกรณีพ่อแม่ที่รู้อยู่ว่าทารุณกรรมลูกตัวเอง วันๆ เมาเหล้าติดการพนัน โอ้โหมันมีเต็มเลย แล้วลูกอยู่กับครอบครัวในลักษณะนี้ได้ยังไง กระทรวงพ่อแม่จะทำงานไหม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดึงเด็กออกมา กฎหมายจำเป็นต้อง Revise (แก้ไขปรับปรุง) พวกนี้นะ ถ้าเราไม่ทำ ความรุนแรงจะบานเป็นดอกเห็ด เรายังจะมีพฤติกรรมเสี่ยงอีกเพียบ เพราะว่าบ้านไม่เป็นบ้าน โรงเรียนก็ไม่เป็นโรงเรียนที่ดี เพราะเราใช้ระบบแพ้คัดออก คัดเด็กจำนวนหนึ่ง แล้วภูมิใจอยู่แค่ Top of  the Iceberg แค่กลุ่มที่เป็นเด็กเลี้ยงง่าย แล้วก็เข้าสู่สายพานได้ แล้วเราก็พอใจกับเด็กที่อยู่ในสายพาน แต่เด็กที่หลุดจากสายพาน เราไม่สน หมอว่านี่ไม่ใช่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการต้อง keep เด็กทั้งระบบ ไม่ได้ keep แค่เด็กกลุ่มเดียวครับ”

“ดังนั้น ยกเลิกระบบแพ้คัดออกในชั้นเด็กเล็กได้ไหม ประถมก็ไม่ต้องมีเกรด เอาสมรรถนะเข้า แล้วเรียนรู้บน Skills for your Life ไม่ใช่ Life Skills นะ Skills for your Life ความหมายคือ มี Life Skills, มี Living Skills, Literacy Skills, Career Skills อย่าลืมนะสมรรถนะหมายถึง คิดเป็น พูดเป็น ทำเป็น ทำให้เกิดขึ้น อยู่เป็น อยู่ร่วมกับสังคมได้”

ระบบแพ้คัดออก กร่อนเด็กให้เปราะบาง

“ระบบการศึกษาที่เป็นแบบแพ้คัดออก มันกำลังสร้างสังคมที่เปราะบาง บน BANI World เพราะมันเป็นระบบที่ต้องมีเด็กแพ้ซ้ำซาก แพ้แล้วแพ้อีก 

แพ้ในการสอบเข้าโรงเรียนไม่พอ แพ้ในห้อง เพราะทุกอย่างว่ากันด้วยเกรด แพ้แล้วแพ้อีก แพ้ซ้ำซากจนเกิดความวิตกกังวล แล้วกลายไปเป็นภาวะซึมเศร้าจนคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งวัยรุ่นทุกวันนี้ของเราฆ่าตัวตาย 2 รายต่อวัน ขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่เหมือนกัน หมอว่าเราประมาทกับเรื่องนี้ไม่ได้”

เพื่อออกจากความเสี่ยงนี้ นพ.สุริยเดว ชวนย้อนกลับไปเติมอีกหนึ่งในทุนชีวิตของเด็กที่สำคัญ นั่นคือ ‘ตัวตน’ (Self)

“จริงๆ ก็ทำได้ไม่ยาก แต่ทุกวันนี้ที่มันหลุดจากจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ไปเนี่ย เพราะครอบครัวมันไม่เป็นครอบครัว คือเวลาเราบอกว่าจะสร้าง Self ไปสร้างที่ไหน มันก็ต้องสร้างในระบบนิเวศที่ตัวเองอาศัยอยู่ สร้างในบ้าน พ่อแม่เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็น พูดคุยกัน ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้ความก้าวร้าว คุยกันได้ พ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดี เปิดพื้นที่ให้ลูกได้มีโอกาสสร้าง Self ของตัวเอง 

แต่มันยากตรงไหนรู้ไหม ทุกวันนี้ก็คือบ้านมันไม่เป็นบ้าน แล้วจิตสำนึกของผู้ใหญ่ไม่เปิด หมอใช้คำว่าเป็น Fixed Mindset แบบมันไม่เป็น Open คือแม้แต่ตัวพ่อแม่เองก็รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ว่าตกลงฉันไม่ดีตรงไหน เขาไม่ได้ก้มลงมองดูตัวเองนะ ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ไม่ได้ก้มลงมองดูตัวเองเลยว่า ตัวเองนั้นกำลังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหรือไม่ 

ถามว่าการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เป็นองค์ประกอบในการสร้าง Self อย่างไร สมมุติว่าหมออยากจะให้ลูกจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ แน่นอนหมอก็ต้องมีอารมณ์ แต่ตอนที่หมอมีอารมณ์นั้น หมอมีวิธีการสะท้อนอารมณ์แล้วจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร และกลับมาคุยกับลูกตอนสติดีๆ อย่างไร ที่ทำให้ลูกสัมผัสได้ว่า บ้านมันไม่ได้ใช้ความรุนแรง เด็กก็จะเกิดการเรียนรู้โดยไม่ต้องสอนเลยนะ เพราะเขาเห็นอยู่ว่าพ่อเขาทำยังไง

วิถีชีวิตต่างหากที่หมอคิดว่าสร้าง Self ได้หมด อันนี้หนึ่งแล้วนะคือ Open Mindset ผู้ใหญ่ก้มลงมองดูตัวเองสักหน่อย อันที่สอง เมื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองก็เปิดโอกาสให้ลูกด้วยสิ เปิดพื้นที่ให้เขาได้มีโอกาส มันไม่มีอะไรที่สำเร็จรูปตายตัวนะ ว่าถ้าเกิดคนพี่เก่งคณิตวิทย์แล้วลูกคนน้องจะต้องคณิตวิทย์ตาม ทำไมหมอถึงได้ออกมาพูดว่า ‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ เพราะหมอกำลังจะส่งสัญญาณให้กับพ่อแม่อยู่สองอย่าง หนึ่งคือ อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ เพราะถ้าท่านเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ งานนี้มีเจ็บแน่นอน สองก็คือ ยอมรับความสามารถของลูกที่หลากหลาย เปิดโอกาสเปิดพื้นที่ให้เขา เราเปิดตัวเรา เราเปิดใจเปิดพื้นที่ให้กับลูก เปิดโอกาสให้กับลูก หมอว่านี่คือวิธีการสร้าง Self แล้วนะ มันยากเหรอ 

ถ้าเป็นในรั้วโรงเรียนก็ตัวครูตัวผู้บริหารก้มลงมองดูตัวเองหน่อยสิ เราเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่หรือไม่ ลูกศิษย์วิพากษ์เราได้ไหม สมมุติว่าลูกศิษย์วิพากษ์ปุ๊บ แปรงติดฝาผนังฝังดินเลย โอ้…อย่างนี้เราเองก็ Fixed Mindset ไม่เกิดครับ 

อีกเรื่องหนึ่งคือ เราต้องไม่ตีตราเด็กว่าถ้าเป็นเด็กเรียนดีต้องอยู่หน้าห้อง ถ้าเป็นเด็กเรียนไม่ดีต้องไปอยู่หลังห้อง หรือเป็นเด็กนอกห้อง ถ้าเราไม่ตีตราเด็กแสดงว่าเรามีข้อที่สองแล้ว เราเปิดพื้นที่ให้เขาได้มีโอกาสแจ้งเกิดบนความสามารถที่หลากหลาย เราตัดเกรดทิ้ง เพราะเราจะไม่เปรียบเทียบเด็กต่อเด็กกัน เพราะมันจะได้ไม่บั่นทอนจิตใจเขา 

นี่คือการสร้าง Self ของคนทั้งประเทศ มันยากตรงไหน หมอไม่เข้าใจ ไอ้ที่มันยากคือ หนึ่ง อัตตาสูง ฉันไม่ก้มลงมองดูตัวเอง แต่แกต้องทำ สอง ฉันจะไม่ฟังเสียงแก แล้วฉันไม่ให้เปิดโอกาส เพราะฉันมีชุดความคิดอยู่ว่า ทั้งหมดนี้จะต้องเรียนมาสไตล์นี้ ทั้งหมดนี้จะต้องทำงานสไตล์นี้ คือถ้าชุดความคิดมันฟิกซ์แบบนี้ และแม้กระทั่งการเปิดโอกาสก็ไม่มี Self พังครับ Self ไม่เหลือครับ เราจะมีภาวะซึมเศร้าภาวะความรุนแรง มีเด็กหลุดออกจากระบบอีกเพียบเลยครับ” 

ระบบนิเวศที่ดีสำหรับเด็ก พันธกิจที่รัฐต้องจัดให้

หลังจากฉายภาพทั้งมือที่มองเห็นและมองไม่เห็นที่ผลักเด็กๆ สู่สารพัดปัญหา คำถามก็คือ แล้วเราจะออกจากวังวนที่ฉุดรั้งศักยภาพเด็กไทยไปได้อย่างไร  นพ.สุริยเดว มองว่าทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาท เริ่มจากทุนแรกในชีวิตของเด็ก นั่นคือ ‘ครอบครัว’

“สำหรับครอบครัวกรณีที่ไม่มีความรู้ไม่มีทักษะ ซึ่งสมัยนี้ต้องยอมรับว่าพ่อแม่ตามไม่ทันจริงๆ มันมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างครอบครัวพลังบวก หมอไม่อยากใช้คำว่า ‘โรงเรียนพ่อแม่’ นะ เพราะเวลาเราพูดในลักษณะนี้จะกลายเป็นเอาพ่อแม่มาอบรมสั่งสอน ซึ่งมันผิดหลัก ไม่ใช่ แต่ความหมายของครอบครัวพลังบวกก็คือ หลายๆ ครอบครัวมาระดมสมอง มานั่งคุยกันและหา solution ที่ดี ที่ทำให้พ่อแม่ที่ไม่มีความรู้ไม่มีทักษะ อัพสกิลตัวเองขึ้นมาได้ กับการเลี้ยงลูกว่าถ้าเป็นวัยรุ่นจะต้องพูดสไตล์ไหน ถ้าเป็นวัยเด็กปฐมวัยพูดสไตล์ไหน พอเกิดเหตุขึ้นมาเราจะมีวิธีแก้ยังไง มันเกิดการเรียนรู้ไปด้วยกัน อันนี้เป็นเรื่องที่รัฐต้องจัด

สองก็คือ ถ้าพ่อแม่ขี้เกียจเลี้ยงลูก รัฐก็ต้องไป revise (ปรับปรุง)กฎหมาย เพื่อเข้มกับกรณีพ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลยไม่เลี้ยงลูกตัวเอง ในต่างประเทศพ่อแม่ติดคุกเลยนะ เพราะว่าปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพัง แล้วลูกไปก่อการ ลูกมีปัญหาขึ้น ประเด็นที่สาม คือพ่อแม่ที่เสียโอกาส อันนี้รัฐต้องจัดสวัสดิการ มีตั้งแต่รัฐสวัสดิการไปจนถึงสังคมสวัสดิการ 

ถามว่าตัวอย่างที่หมอทำในระดับสังคมสวัสดิการมีไหม มีครับ ตัวอย่างศูนย์คุณธรรมก็มีครับ คำว่า ‘สหกรณ์พ่อแม่’ หมอก็ไม่ได้พูดเล่น มันมีชุมชนที่เกิดขึ้นจริงๆ เกิดขึ้นจากพ่อแม่ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่ทำงานเสาร์-อาทิตย์จะไม่มีข้าวกิน อันนี้เสียโอกาสในการเลี้ยงลูก มีความตั้งใจนะแต่มันไม่สามารถ ถ้ากรณีอย่างนี้สังคมสวัสดิการเกิดสหกรณ์พ่อแม่ นอกจากจะดูแลลูกเราก็ดูแลลูกคนอื่นไปด้วย แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อาจจะเข้าเวรเดือนละครั้งสองครั้ง เราอาจจะเสียรายได้ไป 2 วัน แต่การันตีได้ว่าเรามีเพื่อนบ้านช่วยกันดูแลลูก เราใส่ ‘ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน’ ที่มีทักษะ เช่น การเฝ้าระวัง การส่งต่อขอความช่วยเหลือ การพูดคุยกับลูกต่างวัยกัน พวกนี้หมอทำเป็นหนังสือที่ชาวบ้านอ่านได้รู้เรื่อง มีวิธีง่ายๆ ที่ปฏิบัติได้ทันที กระบวนการแบบนี้เราก็ทำในสังคมสวัสดิการได้ 

พ่อแม่ประเภทที่สี่ คือประเภทที่ไม่สมควรเป็นพ่อแม่ กฎหมายจำเป็นจะต้องให้อำนาจเจ้าพนักงานของรัฐ แล้วสร้าง ‘ระบบเฝ้าระวัง’ ถ้ามีการรายงานว่าพบเด็กถูกกระทำหรือมีความเสี่ยง ให้สหวิชาชีพลง แล้วถ้าเป็นจริงต้องกันลูกออกครับ เพราะว่าไม่อย่างนั้นลูกจะเสีย อยู่กับพ่อแม่ที่วันๆ เมาเหล้า เล่นการพนัน หรือข่มขืนทารุณกรรมลูก ไม่ไหวนะอย่างนี้ 

ถัดจากครอบครัว มาดูเรื่องโรงเรียน กล้าๆ หน่อยได้ไหมกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศยกเลิก ‘ระบบแพ้คัดออก’ ในชั้นเรียนเด็กเล็กให้หมดทั้งประเทศไทย แล้วใช้ ‘หลักสูตรสมรรถนะ’ บนหลักการก็คือไม่ใช่เรียนรู้เพียงแค่ให้มีวิชาติดตัว แต่สามารถมีสัมมาชีพได้ในบริบทชุมชนท้องถิ่นซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือนกัน 

โรงเรียนใส่ Bully Program ที่หมอพูดถึง เคารพให้เกียรติกันและกัน โดยใช้หลักการ Open Mindset ของตัวเราแล้วอย่าลืม Open Idea เปิดโอกาสรับฟัง เปิดโอกาสให้เขามีพื้นที่ มันก็ Build Self ของเขาขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าทำสองอันนี้ได้ ปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงในเด็กหายไปครึ่งนึง เยอะแล้วนะ 

เติมอีกสักนิดนึงคือ ชุมชน ‘สร้างระบบเฝ้าระวัง’ ไว้เลย มีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นปุ๊บ กดปุ่มแตรสัญญาณเหมือนอัคคีภัย ให้มันรู้ไปเลยว่า ถ้าโจรเข้านี่มันจะยังจะอยู่รอดได้ยังไง เพราะมันเกิดโซเชียลแซงชั่นนึกออกไหม แล้วชุมชนก็ต้องมีพื้นที่ให้ปล่อยของ เด็กสามารถมาปล่อยของทำความดีกันได้ หมอว่าถ้านโยบายในลักษณะนี้ ระดับ Micro System ปัญหาอย่างน้อย 3 ใน 4 คงหายไป ดีขึ้นแน่นอน”

บทความที่เกี่ยวข้อง

โลกโกลาหล (BANI World) Ep1 Brittle: ในโลกที่เปราะบาง เด็กต้องไม่แตกหักด้วยทักษะความยืดหยุ่น

โลกโกลาหล (BANI World) Ep2 Anxious: ความวิตกกังวลที่หายขาดได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ

โลกโกลาหล (BANI World) Ep3 Nonlinear: ยิ่งพลิกแพลงได้ ยิ่งมั่นคง ในโลกที่ไร้เหตุผลและคาดเดาได้ยาก

โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

Tags:

นพ.สุริยเดว ทรีปาตีครอบครัวทุนชีวิตตัวตนสภาพแวดล้อมการบูลลี่ชุมชนPositive Family Communicationระบบการศึกษาโรงเรียน

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี
Unique Teacher
4 March 2024

เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

เรื่อง The Potential

  • ด้วยภูมิหลังที่เติบโตในเมืองและเป็นเด็กเรียนทำให้ ผอ.นันทิยา เชื่อว่าการพัฒนานักเรียนคือการส่งเสริมด้านวิชาการ แต่หลังจากได้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการที่โรงเรียนวัดสลักเพชร เธอพบว่าวิธีนี้ใช้ไม่ผล
  • หัวใจสำคัญในการแก้โจทย์ยากของโรงเรียนที่ติดลบเกือบทุกด้านคือ ผอ.และครูต้องปรับมายเซ็ต สร้างพื้นที่ปลอดภัย แล้วจึงนำนวัตกรรมจิตศึกษาและ PBL มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น
  • การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ นักเรียนกลายเป็น ‘นักเรียนรู้’ เห็นคุณค่าในตัวเองและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ครูเป็นกัลยาณมิตรกัน ชุมชนกลับมาสนับสนุนโรงเรียน

– เด็กไม่ตั้งใจเรียน ลักขโมย ติดยาเสพติด ท้องในวัยเรียน

– ครูไม่มีขวัญกำลังใจ สอนไปวันๆ รอการโยกย้าย

– ชุมชนขาดศรัทธาต่อโรงเรียน

– โรงเรียนมีปัญหางบประมาณ อาคารทรุดโทรม อาหารกลางวันไม่มีให้เด็ก ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง โรงกรองน้ำพัง-น้ำเปล่าไม่มีบริการ

ทั้งหมดนี้คือโจทย์สุดหินที่ผู้อำนวยการสาวร่างเล็ก นันทิยา บัวตรี ดีกรีปริญญา 4 ใบ ต้องแบกรับนับตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสลักเพชร จังหวัดตราด

“ต้องบอกก่อนว่าตัวเราเองเป็นเด็กเรียน เรียนปริญญามาถึง 4 ใบ แล้วก็ไม่ได้จบครูมาตั้งแต่แรก ปริญญาใบแรกเรียนจบ วทบ. เคมี  ใบที่สองเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์พลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปริญญาใบที่ 3-4 เรียนด้านบริหารการศึกษา เรารู้สึกว่าเราเรียนมาอย่างหนักหน่วงมาก ตอนที่มาถึงที่นี่คิดเลยว่าต้องแก้ที่การศึกษา มุ่งเน้นเรื่องการเรียนเด็กไปเลย”

แต่หลังจากทำงานไปได้สักพัก แนวทางที่ตั้งไว้แต่แรกแทบไม่ได้ผล แก้ปมนึงก็ไปเจออีกปมนึง ถามครูที่อยู่มาก่อน ครูก็ว่า “ผอ.อยู่ในเมืองมา ไม่รู้หรอกว่าเด็กที่นี่กร้านมาก”

 “แต่เราไม่คิดแบบนั้นนะ เด็กไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เชื้อชาติใด เขาต้องมีหัวใจที่เท่ากัน แต่ว่าการหล่อหลอมเขาทำยังไงไม่รู้ พฤติกรรมเขาถึงออกมาเป็นแบบนี้ และเขามองว่าพฤติกรรมเขาไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น หรือไม่ดี เพราะวิถีโดยรวมก็เป็นแบบนั้น 

แล้วพอถามเด็กว่าเรียนจบออกไปจะทำอะไร เด็กบอกว่าไม่ทำอะไร เพราะพ่อแม่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวก็มีคนมาตามไปเป็นลูกจ้าง ฟังแล้วรู้สึกว่ามันขาดแม้กระทั่งความหวัง ความฝันก็ไม่มี”

แล้วตอนนั้นเริ่มต้นแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไร

เราก็มานั่งแก้ปัญหาทีละอันร่วมกับชุมชน ร่วมกับผู้นำ ไปคุยกับนายอำเภอบ้าง ขอการสนับสนุน แต่ไม่เป็นผลเลย เราไปแก้ข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองหนัก พอไปข้อที่สอง ข้อที่หนึ่งก็กลับมา ในขณะที่เราคุยกับตำรวจ เรื่องปรับพฤติกรรมเรื่องเด็กขโมยของ ปัญหายาเสพติดก็กลับมา พอไปดูยาเสพติด ตัดต้นไม้กำจัดพื้นที่ป่ารอบโรงเรียน ลดพื้นที่ซ่องสุมเด็ก ปรากฏตัดตรงนี้ เขาก็ย้ายไปที่อื่น เขาก็รู้การหาพื้นที่ปลอดภัยเขา

ขณะเดียวกันเราก็พยายามแก้ปัญหาคือเรื่องไฟฟ้า เพราะคุณภาพชีวิตเด็กขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ด้วย ไปขอขยายเขตไฟฟ้ากับถนนในโรงเรียน ไปแบบกัดไม่ปล่อย ปรากฏว่าในที่สุดเราก็ได้ขยายเขตไฟฟ้าและถนนเข้ามาโรงเรียน 

ในขณะที่เรากำลังหมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหา หลายคนก็จะบอกว่าเดี๋ยวครบปีก็ย้าย พยายามหาทางออกให้กับเรา แต่เรามองว่าเราย้ายไปแล้วที่นี่จะทำยังไง มีคุณครูบอกว่าให้เราทำใจ เราบอกไม่ เราเรียนมาอย่างหนักเพื่อให้เรามาทำงาน เราต้องได้งาน และมันต้องสำเร็จเราถึงจะไป คือเราไม่ได้บอกว่าเราจะแก้ปัญหาได้ แต่เราอยู่ตรงนี้ เราก็ต้องทำงาน

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้มองเห็นทางออก

การจะไปปรับคนอื่นได้ ต้องปรับตัวเองก่อน การให้การศึกษาแบบนั้นมันไม่ได้ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของเด็กๆ หรือว่าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้  เรายืนมองเด็กหน้าเสาธงทุกเช้า อบรมแล้วก็ยังแยกกลุ่มอีก ซึ่งร้อนและเหนื่อยมาก คุณครูประกาศอบรมเด็กหน้าเสาธงซึ่งดังมาก พอตกเย็น ผู้ปกครองจะมาถามว่า เมื่อเช้าที่ครูว่า…ใช่ลูกบ้านนั้น บ้านนี้มั้ย เราก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องภายใน กลายเป็นประจานเด็ก 

เวลาถามเด็กว่า ถ้าเป็นไปได้อยากได้ครูแบบไหน เด็กก็บอกอยากได้ครูใจดี ไม่ได้อยากถูกตี ซึ่งเราก็อยากเปลี่ยน แต่เราไม่วิธีการหรือนวัตกรรมอะไร 

กระทั่งมีผอ.ท่านหนึ่งมาถามว่ารู้จักโรงเรียนนอกกะลามั้ย ให้ลองไปอบรม ครั้งแรกเราก็บอกว่าไม่รู้จักหรอก แล้วก็คงไปไม่ได้  เพราะติดอยู่แต่กับปัญหาของโรงเรียน ต่อมาท่านรองฯ ก็มาบอกอีกว่า ลองดูนะ โรงเรียนนอกกะลาอาจจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ ตอนนั้นมีมีโควต้าของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มาสนับสนุนโรงเรียน เราก็เชื่อว่าท่านต้องแนะนำสิ่งที่ดี ก็ตอบว่าสนใจ 

ครั้งแรกไปอบรมที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แต่ด้วยใจที่คิดวนแต่ปัญหา เราก็หอบความรู้สึกนั้นไป เราก็มองว่า สิ่งที่ครูใหญ่วิเชียรพูดมันแก้ปัญหาโรงเรียนเราไม่ได้หรอก เราก็คิดว่าโรงเรียนของคุณทำได้สิ ก็คุณเป็นเอกชน คุณเลือกครูได้ ผู้ปกครองก็ง้อคุณ แต่ที่นี่ผู้ปกครองไม่ง้อเรา แล้วครูเราก็เลือกไม่ได้ คือเราแทบไม่ได้ฟังอะไรเลย ได้มาแค่คำเดียววันนั้น คือ ‘ฉันคือใคร’ ตอนนั้นเราก็ยังคิดไม่ได้หรอก พอกลับครูก็ถามว่าได้อะไรมาบ้าง เราก็บอกว่าไม่ได้อะไรเลย

หลังจากนั้นคำว่า ‘ฉันคือใคร’  ยังผุดวนในหัวตลอดเวลา สุดท้ายเราคิดได้ว่า ต้องเริ่มที่ตัวฉันจริงๆ ทุกเรื่อง คุณจะไปปรับเปลี่ยนคนนั้นคนนี้ แต่คุณยังไม่เปลี่ยนเลย คุณยังรู้สึกว่าอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ใช่ คนนี้ไม่ถูก ตลอดเวลา มายด์เซ็ตเราไม่ได้สนใจเลยว่าเขาต้องการอะไร เราสนใจแต่ว่าสิ่งที่เราเห็นวันนี้ ไม่เหมือนกับที่เห็นในเมือง สิ่งที่เห็นนี้คือไม่ใช่ สิ่งที่เห็นในเมืองคือใช่ มุมมองเราเป็นแบบนั้น 

และด้วยตัวเราเป็นเด็กเรียน ลูกเราเป็นนักเรียนทุน เราก็จะรู้สึกว่าการกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ต้องเอาเป้าหมายมา เป้าหมายคือต้องจบมหาวิทยาลัย ต้องมีอาชีพ เราบอกกับตัวเองแบบนั้นตลอด 

เราลืมไปว่าจริงๆ แต่ละคนเขามีเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตเขา เด็กต้องการแค่มีข้าวกิน มีที่นอน มีงานทำ เขาต้องการแค่นี้ เขาไม่ได้ต้องการเป็นหมอ เป็นวิศวกร ที่นี่เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาต้องการแค่คุณภาพชีวิตเล็กๆ ของเขา แต่พอเราไปดูอาชีพเขาคืออาชีพที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ ออกเรือ กับตัดยาง ถ้ามีภัยธรรมชาติ ออกเรือไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถ้าฝนตก ตัดยางไม่ได้ หมด ไม่มีรายได้ นี่คือสภาพครอบครัวของเขา ซึ่งมันส่งผลต่อเด็ก เวลามีปัญหาเขาจะไปหากลุ่มเพื่อน ไปในที่ที่เขาสามารถพูดได้ ซึ่งไม่ได้มีใครแนะนำ

พอตัดสินใจแล้วว่าต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตตัวเองก่อน กระบวนการจากนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง 

เราต้องเริ่มจากเปลี่ยนความคิดเราก่อน แล้วก็เปลี่ยนความคิดครู เพราะเราไม่สามารถลงไปคุยกับเด็ก 200 กว่าคนได้ทุกคนทุกวัน ฉะนั้นเรามีหน้าที่สร้างครู ครูมีคุณภาพเมื่อไหร่ ครูจะไปสร้างเด็กที่มีคุณภาพ เราก็เลยโยนโจทย์ไปเลยว่า อยากพัฒนาครู ครูใหญ่วิเชียรก็บอกว่าให้ส่งครูไปอบรม 

แต่ก่อนบรรยากาศระหว่างเรากับครูก็แย่มาก เพราะครูเขาเคยทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม พอเรามาแก้ บรรยากาศก็ตึงมาก เวลาประชุมมีแต่ความโมโห นั่งโต๊ะประชุมก็ตบโต๊ะ ครูคนไหนเถียงก็ชี้เลยว่า เธอมานั่งแทนฉัน 1 เดือน ถ้าเธอแก้ปัญหาได้ เราจะยอม แต่พอกลับบ้านน้ำตาไหลทุกครั้ง บรรยากาศแย่มาก ไม่มีหรอก ความรักความอบอุ่นในโรงเรียน มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้า ผอ.ทำแบบนี้จะไม่มีคนรัก เราพูดเลยว่าเราไม่ได้มาหาความรัก เรามาทำงาน ไม่ได้งาน เราไม่ยอม

พอส่งครูไปอบรมที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา กลับมาเห็นครูคุยกัน เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวครู มายด์เซ็ตครูเริ่มเปลี่ยน เขาไปอบรมไม่กี่ครั้งก็เริ่มเปลี่ยน เราไป 5 วันไม่เปลี่ยนเลย ก็เลยกลับไปใหม่ พอเราเริ่มตั้งใจศึกษา เราก็เข้าใจสิ่งที่ครูใหญ่นำเสนอว่าเป็นเรื่องของสมอง เมื่อสมองเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยน เราเรียนมาสายวิทย์มา ก็เออใช่ พฤติกรรมมาจากกระบวนการคิด ถ้าเปลี่ยนความคิดได้เมื่อไหร่ พฤติกรรมก็ต้องเปลี่ยน พอตัวเราเปลี่ยน ครูเปลี่ยน บรรยากาศในโรงเรียนก็เปลี่ยน จากนั้นก็ตัดสินใจนำนวัตกรรมจิตศึกษา มาปรับใช้ในโรงเรียน

นำจิตศึกษามาปรับใช้ในกระบวนการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างไรบ้าง  

เราประกาศเลยว่าจากวันนี้ไปเราจะทำเรื่องจิตศึกษาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้เหมือนลำปลายมาศทุกอย่างตั้งแต่เช้ายันเย็น เราจะยกเลิกออด ตอนนั้นครูจะบอกว่ายกเลิกออดได้ยังไง ขนาดมีออดเด็กยังมาไม่ทัน เราก็บอกว่าลำปลายมาศทำได้ เราก็ต้องทำได้ คือเราลองปรับเปลี่ยนสิ่งเป็นกายภาพ สองวันเท่านั้น เด็กพร้อมกันแล้วเงียบกริบเลย แล้วก็นำกระบวนการต่างๆ ของจิตศึกษามาใช้ในสร้างการตระหนักรู้ของเด็ก ทำให้เด็กเห็นคุณค่าของตนเอง ผ่านกิจกรรมสนามพลังบวก จิตวิทยาเชิงบวก และกิจกรรมจิตศึกษา 

สิ่งที่พบหลังจากนำนวัตกรรมจิตศึกษามาปรับใช้คือ เราเห็นแววตาเด็กที่มีความสุข เห็นเด็กนักเรียนอยากมาเรียนมากขึ้น

 ผู้ปกครองบอกว่า ผอ.ทำยังไงดี เดี๋ยวนี้วุ่นวายมากเลยตอนเช้า ลูกก็เร่งอยากจะมาแต่โรงเรียน เดี๋ยวไปไม่ทันกอดครูก่อนเข้าห้องเรียน ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้ปกครองเห็นการเปลี่ยนแปลง ส่วนเด็กๆ ก็มีเดินมาบอกเราว่า คุณครูดีจังเลยค่ะ ยิ่งแก่ยิ่งใจดี เพราะว่าเทอมที่แล้วยังดุอยู่เลย (หัวเราะ) มันก็เป็นเสียงสะท้อนที่ชัดเจนว่าตัวเรา หรือบรรยากาศในโรงเรียนเราเปลี่ยนแปลงจริงๆ 

นอกจากเรื่องของจิตศึกษาแล้ว ยังมีนวัตกรรมการเรียนรู้อะไรที่นำมาใช้อีกบ้าง

มีเรื่องการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ PBL (Problem–based Learning) ตอนแรกก็ลอกแผนการสอนของลำปลายมาศมาเลย เสร็จแล้วครูก็มาบอกว่า ผอ. โรงเรียนเราไม่มีที่ทำผ้า เปลี่ยนเป็นงานจักสานได้มั้ย บางคนก็ ผอ. เราไม่มีที่เลี้ยงหนอน เปลี่ยนเป็นหน่วยประมงได้มั้ย ผอ.เราไม่มีนาข้าว เราเปลี่ยนเป็นผักได้มั้ย เห็นเลยว่าครูเขาก็เริ่มปรับ ช่วงแรกๆ ครูบางคนอาจจะไม่อยากทำ แต่ต้องทำเพราะรับนโยบายไปจากเรา แต่พอเขาเริ่มทำแล้วเห็นว่าเด็กเปลี่ยน บรรยากาศห้องเรียนเปลี่ยน ครูก็เริ่มสนุกกับการเรียนรู้ ครูจึงคิดที่จะเปลี่ยนแล้วก็ปรับนำมาใช้ สุดท้ายเราแทบไม่ได้เอาแผนของลำปลายมาศเลย ทุกวันนี้เราทำแผนเอง กระบวนการเอง 

หน่วยเรียนรู้ PBL จะบูรณาการกันใน 5 กลุ่มสาระวิชา คือ วิทยาศาสตร์ สังคม การงานศิลปะ พละ และสุขศึกษา สิ่งสำคัญของการออกแบบการเรียนรู้จะเน้นเป้าหมายก่อนว่าอยากให้เด็กเรียนรู้เรื่องอะไร แต่การจะตั้งเป้าหมายได้ต้องรู้ปัญหาก่อน เช่น เด็กเรายังมีปัญหารักถิ่นฐานไม่มากพอ สิ่งสำคัญในการออกแบบแผนการสอนคือ ไม่ใช่แค่ให้เด็กรู้ แต่เด็กต้องตระหนักรู้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไปถึงตรงนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า 

ดังนั้นเราต้องทำให้เด็กกระหายอยากเรียนรู้ เครื่องมือสำคัญคือการตั้งคำถาม เราต้องถามต้องยั่วยุให้เขาอยากรู้ ถ้าเขาอยากรู้แล้ว และเรารู้ว่าเขาขาดอะไร เราก็เติมให้ได้ทันที 

อยากให้ ผอ. ลองยกตัวอย่างหน่วยเรียนรู้ PBL ที่เราพัฒนาขึ้นเอง 

ยกตัวอย่าง หน่วยพรานทะเล ครูจะพาเด็กไปเรียนรู้ในสถานที่จริง เช่น สะพานปลา จากนั้นครูจะกระตุ้นความอยากรู้เด็กด้วยคำถาม เช่น รู้มั้ยว่าปลานี้เอาไปทำอาหารได้ หรือปลาเหล่านี้ขายกันราคาเท่าไหร่ พยายามใช้คำถามสร้างแรงบันดาลใจจนกว่าเด็กจะพูดว่า ‘เขาจับปลากันยังไง’ เมื่อเด็กกระหายที่จะเรียนรู้ ครูจะใช้วิธีตั้งคำถามเชื่อมโยงไปที่สาระการเรียนรู้ต่างๆ เช่น ออกไปจับปลาแล้วอาจจะเจอลม พายุ เชื่อมไปที่ความรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ แล้วถ้าเราออกไปจับแล้วเกิดพายุล่ะ เด็กก็จะถามว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดลมพายุ นั่นสิ เราก็ต้องดูท้องฟ้า ดูเมฆเป็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทั้งนั้น แล้วเราจะจับสัตว์น้ำยังไง เราไม่มีเงินซื้ออวน แต่ชุมชนเรามีไม้ไผ่เยอะมาก ก็ไปเรียนรู้การทำเครื่องมือประมง แล้วรู้มั้ยว่าบางพื้นที่ห้ามจับสัตว์ทะเล ก็เชิญวิทยากรจากรมอุทยานฯ มาสอน ได้ความรู้ด้านกฎหมาย แถมตามมาด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและหน้าที่พลเมือง ยังไม่พอนะ เด็กต้องทำอาหารด้วยและต้องครบ 5 หมู่ วิชาสุขศึกษาและการคำนวณโภชนาการก็เพิ่มเข้ามาอีก 

นอกจากนี้ยังเชิญปราชญ์ชาวบ้านมาสอนว่าจับปลาอย่างไร รู้ได้ยังไงว่าจะเกิดพายุ เช่น เมฆแบบนี้ฝนมาแน่ แล้วต้องไปหลบตรงไหนถึงจะปลอดภัย สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีในบทเรียน และการที่ปราชญ์ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ทำให้เขาภูมิใจตัวเอง ได้เห็นเด็ก เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน และเขาก็จะเป็นกระบอกเสียงไปสู่ชุมชนภายนอก ทำให้เกิดแรงสนับสนุนกลับเข้ามาในโรงเรียน ทำให้โรงเรียนพัฒนาไปได้เร็ว เมื่อชุมชนยอมรับ เขาก็จะมาเป็นเจ้าของโรงเรียนร่วมกับเรา มันก็จะเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน 

หลังจากปรับมายเซ็ตเปลี่ยนการเรียนการสอนแล้ว ผอ.เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรภายในโรงเรียนบ้าง 

หลังๆ เด็กไม่ทะเลาะกัน กระบวนการที่เราใส่เข้าไป ทำให้เขาเห็นคุณค่าและเคารพตัวเอง มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เกิดการเคารพซึ่งกันและกัน เข้าใจกันมากขึ้น และเด็กเขามีอะไรทำ พอมีอะไรที่น่าสนใจที่โรงเรียน เขาก็ไม่ไปซ่องสุมกัน 

กระทั่งวันหนึ่งตำรวจมาหาเรา จากที่เขาเคยมาขอพบ มาจับเด็ก ครั้งนี้เขาบอกว่า อยากเข้ามาขอถอดบทเรียนว่าทำไมเด็กจึงเลิกบุหรี่ได้ ทำไมที่นี่จึงไม่มียาเสพติดอีกเลย 

ตอนโรงเรียนมีการประเมินโรงเรียนพระราชทาน ระดับประถมศึกษา เราเชิญผู้ปกครองเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วย ผู้ปกครองได้เห็นเด็กๆ นำเสนอผลงานในห้องเรียนตนเอง กรรมการก็ถามผู้ปกครองถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็ก เขาก็บอกว่า ช่วงแรกรู้สึกว่าลูกเถียง แต่พอหลังๆ มา เขารู้สึกว่าลูกเขาพูดแบบมีเหตุมีผล ลูกจะบอกมาเป็นข้อๆ เลยว่า แม่ต้องคิดแบบนี้ก่อน ทำอย่างนี้ก่อน เหมือนเอากระบวนการในโรงเรียนไปบอกให้แม่ใช้แก้ปัญหา ซึ่งหลังๆ เขาเข้าใจ ไม่มีการทะเลาะกัน มีการปรับจูน และเข้าใจซึ่งกันและกัน ครอบครัวก็อบอุ่นขึ้น 

แม้แต่ตัวครูในโรงเรียนเองก็เปลี่ยนไปเยอะ อย่างครูวิชาการ บอกว่า สามีบอกว่าเหมือนได้เมียใหม่เลย ลูกก็บอกว่าได้เหมือนแม่ใหม่ เพราะแม่ก็เลิกบ่นมากขึ้น แม่มีคำแนะนำลูกในการแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้น 

การเปลี่ยนแปลงของเด็กด้านใด ที่ ผอ. รู้สึกว่าเป็นจุดสำคัญที่ทำให้โรงเรียนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

เด็กของเรากลายเป็นนักเรียนรู้กันหมดแล้ว เมื่อเกิดปัญหาอะไรมา เขาก็จะไม่กลัว เวลามีปัญหา เขาจะคิดวิเคราะห์ว่า อ๋อ เพราะเขาเป็นแบบนี้ เพราะเขาคิดอย่างนี้ ทุกวันนี้กีฬาสีของโรงเรียนเรา ปีไหนถ้าเด็กไม่เดินมาบอกว่าอยากจัดกีฬาสีเราก็ไม่จัด ถ้าเด็กอยากให้มีกีฬาสี เขาจะเดินมาบอก มันเกิดจากกระบวนการที่เราใส่ให้เขาไป หล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนี้ 

เขาจะเดินมาเลย ผอ.ครับ ผมเป็นตัวแทนของน้องๆ และเพื่อนๆ ทุกคน พวกเราอยากมีกีฬาสี เราก็จะถามว่าอยากมีกีฬาสีต้องทำยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเรากลับไปคิดกันมาก่อน เราก็บอกว่าไปคุยกันแล้วมาดีเฟนด์ให้ ผอ.ฟัง ต้องรู้ว่าจะจัดกี่วัน ทำอะไรบ้าง แข่งอะไรบ้าง จะค้นหานักกีฬายังไง แบ่งกี่สี นักกีฬามีเสื้อสี เราจะทำยังไงกับเสื้อสี จะเอาเงินจากไหนมาทำ แล้วต้องมีเครื่องเสียง มีเต็นท์จะหาจากไหน จะเอาเงินที่ไหนมาเช่า แล้วอาหารของเพื่อนๆ น้องๆ ตลอดกิจกรรม บริหารจัดการยังไง ไปคิดกันมา 

ที่เราให้เด็กมีส่วนร่วมในการคิดและการจัดกิจกรรม เพราะเป้าหมายของงานกีฬาสี เราไม่ได้ต้องการแค่ให้เด็กออกกำลังกาย แต่เราอยากให้เด็กเรียนรู้การวางแผน การช่วยเหลือกัน การทำงานเป็นทีม ความสามัคคี การเรียนรู้ที่จะยอมรับซึ่งกันและกัน สิ่งนี้ต่างหากที่เราอยากเห็น ฉะนั้นเราต้องให้เด็กเขาคิด 

ทุกวันนี้อะไรคือการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กที่ภูมิใจมากที่สุด

เด็กเป็นนักเรียนรู้และรู้จักกระบวนการคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ปกติเด็กก็นั่งรอ รู้เลยว่าเดือนนี้เขามีกีฬาสี เดี๋ยวครูก็บอก รอลุ้นจับสีแค่นั้น แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องคิดกว้างกว่านั้น เขาเดินมาบอก ผอ. ครับ ที่เช่าเครื่องเสียง เขาคิดวันละ 3,000 บาท ใช้ 3 วันก็ราคา 9,000 บาท เราจะบอกว่าแล้วหนูจะมีวิธีการพูดให้เขาลดราคาได้มั้ย สรุปเด็กก็ไปอีก ปรากฏว่าเขาลดราคาให้ 3 วันเหลือ 3,000 บาท เพราะเขาอยากมาช่วยเด็กๆ ด้วย แล้วเราก็ถามว่าจะเอาเงินจากไหน เขาก็บอกว่าจะเก็บค่าเสื้อสี ผมขอบวกเพิ่มคนละ 5 บาท เพื่อมาบริหารจัดการตรงนี้ แล้วอาหารกลางวันจะทำยังไง เด็กก็บอกว่าเรามีเงินค่าอาหารกลางวันโรงเรียนอยู่แล้ว เอามาบริหารจัดการแทนได้มั้ยครับ ปรากฏว่าชุมชนไลน์มาทุกวัน เด็กแต่ละสี ออกไปขอเงินสนับสนุน แต่เขามีหนังสือจากโรงเรียนไปนะ 

สรุปงานกีฬาสีจัดไป 3 วัน ยิ่งใหญ่มาก เพราะชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเด็กๆ ทักษะเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และไม่ได้เกิดขึ้นในปีเดียว 

ถ้าเราติดอาวุธทางปัญญาให้เด็กด้วยความรู้ เด็กไปไหนไม่รอดหรอก ความรู้ที่ให้ในวันนี้ ไม่กี่ปีข้างหน้าก็ล้าสมัยแล้ว เราวิ่งตามไม่ทันหรอก 

แต่ถ้าเราติดอาวุธให้เขาด้วยกระบวนการ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มาด้วยจิตศึกษา และPBL ถ้าเราไม่ปรับมายด์เซ็ตของเด็กและครู มันไปต่อไม่ได้ ถ้าเราจะบอกต่อกับโรงเรียนอื่น ต้องเริ่มจากจิตศึกษา ปรับมายด์เซ็ตของผู้คนให้เห็นตรงกันก่อน เป้าหมายต้องชัดเจน จากนั้นใส่กระบวนการลงไปไม่ยากแล้ว 

อยากให้ ผอ. แนะนำถึงโรงเรียนอื่นๆ ที่อาจจะเริ่มต้นจากติดลบเหมือนกัน ว่าบทบาทของ ผอ. สำคัญยังไงต่อการพัฒนาโรงเรียน 

โรงเรียนอื่นที่ต้องเผชิญปัญหา ไม่ว่าปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราไม่อยากให้โฟกัสที่ปัญหา เราอยากให้โฟกัสว่าทำไมถึงเกิดปัญหามากกว่า ซึ่งคือตัวผู้คน พฤติกรรมของผู้คน เป็นพฤติกรรมที่ออกมาจากความคิด ดังนั้นเปลี่ยนใครก่อน เปลี่ยนความคิดผู้บริหารก่อนเลย แต่เดิมที่เคยทำมา การสั่งการ การควบคุม การบังคับ การทำแบบนั้นไม่สำเร็จ ถ้าสำเร็จจะไม่เกิดปัญหาเลยสักโรงเรียนเดียว เพราะนโยบายจากข้างบนมีมาอยู่แล้ว 

ดังนั้นเปลี่ยนความคิดก่อน เริ่มที่ตัวเราก่อน ผอ.ที่จะสั่งการให้ครูทำตามนโยบาย ล้มเลิกความคิดตรงนั้นก่อน แล้วหันมามองที่พฤติกรรมของตัวบุคคล เราต้องเปลี่ยนความคิดเขาอย่างไร เขาถึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ 

จากนั้นมาดูพฤติกรรมที่แท้จริงของเด็กว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เขาหวาดกลัว เขาไม่ได้รู้สึกว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย บ้านไม่ใช่ที่ปลอดภัย เขาจึงไปซ่องสุมกันที่อื่น และเขารู้สึกว่าครูคุยไม่ได้ พ่อแม่คุยไม่ได้ เขาก็ไปคุยกับเพื่อนๆ เขารู้สึกว่าโรงเรียนไม่น่าสนใจ ครูก็น่ากลัว พ่อแม่ก็ดุ กลายเป็นเขาก็ไปอยู่กับคนที่เขารู้สึกปลอดภัย ไปทำอะไรที่เขารู้สึกว่าไม่มีใครมาห้ามเขา ก็เลยเป็นแบบนั้น ฉะนั้นคุณก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ 

ต้องเริ่มจากว่า ผอ.เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ครูหรือยัง ไม่ใช่เห็นหน้า ผอ. ก็นั่งรอวันย้ายอย่างเดียว ผอ. เดินมาก็หนีไปกันหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีวันสำเร็จหรอก คุณต้องเปลี่ยนก่อน ทำให้คุณครูเข้าหา ผอ. เพราะเราไม่มีทางเห็นทุกเรื่อง ทำอย่างไรให้เขาอยากเล่าให้เราฟัง เช่นเดียวกับเด็กมี 200 กว่าคน ผอ. ไม่มีทางจะไปเห็นเด็ก 200 กว่าคนในทุกๆ วินาที 

ดังนั้นทำอย่างไรให้เด็กมีปัญหาแล้วกล้าเดินมาหาเรา การสั่งการ คาดโทษใช้ไม่ได้ผลแล้ว และความคิดของเราแค่คนเดียวไม่ตอบโจทย์แล้วว่าจะแก้ปัญหาได้ ต้องเกิดจากความคิดของทุกคน รวมถึงเด็กด้วย เพราะสุดท้ายเรากำลังทำโจทย์ที่เด็ก 

เราแนะนำว่าคุณต้องมีโจทย์ใหม่ ไม่ใช่โจทย์พื้นที่ ไม่ใช่โจทย์นโยบาย โจทย์ไม่ใช่ตัวคุณ ว่าทำแบบนี้แล้วจะได้รางวัล โจทย์คุณคือเด็ก แล้วถ้าครูมองเห็นโจทย์เดียวกัน โรงเรียนนี้ก็จะทำได้ เพราะถ้าโจทย์คุณครูคือเด็ก คุณจะมองผลลัพธ์ที่ตัวเด็ก คุณจะไม่ถามว่าคุณทำแล้วได้อะไร แต่คุณจะถามว่าคุณทำแล้วเด็กเป็นอย่างไร แล้วคุณจะเปลี่ยนวิธีการคิด เราเปลี่ยนโดยการตั้งเป้าหมายใหม่ เป้าหมายต้องชัดเจน และต้องเป็นเป้าหมายเดียวกันทั้งองค์กร

ตลอดระยะเวลาที่ทำมา ครูเคยถามว่า ผอ. ไม่เหนื่อยเหรอคะ ไม่มีหรอกไม่เหนื่อย เพียงแต่เราวางเป้าหมายปักธงไว้แล้ว เวลาที่เราเหนื่อย เราก็แค่เดินช้าลง แต่เป้าหมายเราไม่เคยเปลี่ยน  ถ้าเราบอกว่าจะพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก ต่อให้ใช้เวลานานแค่ไหนก็ต้องทำ เพียงแต่เราต้องไม่ออกนอกเส้นทาง

สำหรับเป้าหมายการพัฒนาโรงเรียนต่อจากนี้ ผอ. ตั้งเป้าไว้อย่างไร 

ที่ผ่านมาเราบอกครูใหญ่วิเชียรเสมอว่า ครูใหญ่อาจจะมองว่าเราทำเพื่อเด็กโรงเรียนวัดสลักเพชร แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าเราทำเพื่อเด็กโรงเรียนวัดสลักเพชรอย่างเดียว แต่เราทำเพื่อวงการศึกษาทั้งหมด ตราบใดที่เราทำโรงเรียนนี้สำเร็จ คนก็จะมาถาม มาดูงาน ซึ่งเราไม่ได้อะไรจากงานดูงาน ไม่ได้สักนิดเดียว เพราะเราไม่เก็บเงิน เจตนาของเราคือต้องการพัฒนาระบบการศึกษา ดังนั้นถ้าเรามีวิธีการแล้ว เราอยากจะเป็นต้นแบบและกระบอกเสียงเพื่อขยายผลความสำเร็จไปสู่โรงเรียนอื่นๆ เพื่อให้เด็กเกิดทักษะและผลสัมฤทธิ์แบบเดียวกัน 

ที่สำคัญตอนนี้ไม่ได้มองแค่เรื่องการศึกษาอย่างเดียวแล้ว อยากเน้นไปที่การพัฒนา ‘คุณภาพชีวิตเด็กและชุมชน’ ด้วย เราเห็นเด็ก ม.3 ของเราเรียนจบไป เรียนดีแค่ไหนก็ไม่มีงานทำ เลยไปของบประมาณจนได้มาสร้างห้องเรียนอาชีพเรียบร้อยแล้ว และได้ดำเนินการทำ MOU ร่วมกับวิทยาลัยอาชีพ 3 แห่ง เพื่อให้เขาลงมาสอนทักษะอาชีพกับเด็กๆ ทั้งนี้จะมีการดึงผู้ประกอบการในพื้นที่ลงมาคุยด้วย เพื่อพัฒนาเด็กให้มีทักษะแรงงานตรงกับความต้องการปลายทาง รวมทั้งสร้างองค์ความรู้ที่จะนำไปใช้ต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากขึ้น หวังว่าจะเป็นช่วยสร้างโอกาสให้เขามีอาชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม 

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)จิตศึกษาพื้นที่ปลอดภัยโรงเรียนวัดสลักเพชรผอ.นันทิยา บัวตรีคุณภาพชีวิตProblem based Learning(PBL)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ครูไก่แจ้ – สิทธิพงษ์ ติยเวศย์ : ครูอาสาวิชาคณิตศาสตร์ ที่เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าในตัวเองมากกว่าท่องสูตร

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เรา ‘เห็น’ ‘เป็น’ อย่างไร: มุมมองที่เราเห็นในชั้นเรียนสัมพันธ์กับการทำงานครูของเราอย่างไร
Learning TheoryBook
4 March 2024

เรา ‘เห็น’ ‘เป็น’ อย่างไร: มุมมองที่เราเห็นในชั้นเรียนสัมพันธ์กับการทำงานครูของเราอย่างไร

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การสอนของครูไม่ได้แยกจากความเชื่อที่ครูมี ในหนังสือ ‘ทุกการสอนเป็นไปได้’ โดย ชลิพา ดุลยากร เล่าถึง 30 เรื่องราวจากเหล่าครู ว่าทำอะไรบ้างในชั้นเรียน แบบไหน อย่างไร เพื่อเปลี่ยนแปลงชั้นเรียนจากกรอบเดิม รวมถึงความเชื่อและชุดคุณค่าที่ครูยึดถือลงไปในระหว่างบรรทัดด้วย   
  • ในชั้นเรียนเรื่อง ‘สัญญาลูกผู้ชาย’ ครูหาวให้เด็กเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการทำสัญญาแบบ challenge กับครู แทนการลงโทษที่ทำให้เด็กกลัว ให้นักเรียนได้ทบทวนตัวเองและคิดหาทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของตัวเอง
  • การสอนมาพร้อมกับการมองเห็นแบบหนึ่งในตัวมันเอง เราไม่ได้มองเพียงแค่เห็นว่าสิ่งๆ นั้นคืออะไรเท่านั้น แต่เราเห็นมันเป็นอย่างไรเสียมากกว่า และมันจะแสดงออกมาผ่านการสอนของเรา

ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้กลับไปอ่านหนังสือ ‘ทุกการสอนเป็นไปได้’ ที่เขียนโดย ชลิพา ดุลยากร หรือนะโม ผู้ก่อตั้ง Inskru พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอนอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาที่อ่านง่าย สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และสั้นกระชับ ผมจึงใช้เวลาอ่านเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็จบ ความประทับใจแรกก็คงเหมือนกับใครหลายคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คือได้รับรู้ถึง 30 เรื่องราวจากเหล่าครูที่พยายามเปลี่ยนแปลงชั้นเรียนของพวกเขาให้ออกไปจากกรอบเดิมๆ ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป เรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่ทำให้ใจฟูมากๆ  

แต่เมื่อได้กลับมาอ่านซ้ำ หนังสือเล่มนี้ก็ค่อยๆ พาให้ผมได้กลับมาคิดเกี่ยวกับการสอนของครูมากขึ้น อันที่จริง ครูแต่ละคนต่างมีความเชื่อหรือชุดคุณค่าที่ยึดถือแตกต่างกันไป แน่นอนว่าชุดคุณค่าเหล่านั้นย่อมส่งผลต่อการสอนและการเป็นครูในแต่ละวันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ พูดอีกแบบ การสอนของครูไม่ได้แยกจากความเชื่อที่ครูมี หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้นำเสนอแค่ว่า ครูเหล่านี้ทำอะไรบ้างในชั้นเรียน แบบไหน อย่างไร แต่มันยังได้บรรจุความเชื่อและชุดคุณค่าที่ครูยึดถือลงไปในระหว่างบรรทัดด้วย   

ในชั้นเรียนเรื่อง ‘สัญญาลูกผู้ชาย’ ครูหาวได้เลือกใช้วิธีปรับพฤติกรรมโดยให้เด็กเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการทำสัญญาแบบ challenge กับครู มากกว่าจะเป็นการลงโทษที่ทำให้เด็กกลัว ให้นักเรียนได้ทบทวนตัวเองและคิดหาทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของตัวเอง ครูหาวคือครูที่เคยเชื่อว่าความกลัวเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาพฤติกรรมของเด็กได้ ครูกำกับควบคุมและลงโทษเพื่อให้เขาเงียบ ฟัง และอยู่ในร่องในรอยให้ได้มากที่สุด แต่ความเปลี่ยนแปลงมาจากการสังเกตตัวเองและนักเรียนที่ต่างคนต่างไม่มีความสุขในชั้นเรียน บรรยากาศในห้องเรียนที่แสนอึดอัด เต็มไปด้วยการควบคุมและระมัดระวัง มากกว่าการเปิดใจเข้าหากัน นับตั้งแต่ครูเห็นข้อสังเกตเหล่านั้น และตามมาด้วยการปรับวิธีการ ความกลัวก็ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อใจ 

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ‘การบ้านที่มีความหมาย’ ครูโบว์เล่าว่า บ่อยครั้งการบ้านเป็นเพียงงานที่ต้องทำตามสั่งเพื่อให้ได้คะแนน ทำแล้วก็ส่งๆ กันไป แต่เธอเปลี่ยนการบ้านให้มีคุณค่าด้วยโปรเจกต์วิชาวิทยาศาสตร์ เธอให้เด็กแต่ละคนสวมบทบาทเป็นบริษัทก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ต้องวิเคราะห์ว่าประเทศที่จะไปลงทุนสร้างนั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะอะไร? โดยให้ระยะเวลาเด็กได้สืบค้นเพื่อมาถกเถียงกัน เด็กในชั้นเรียนของครูโบว์จริงจังและสนุกไปกับสิ่งนี้ เพราะการบ้านชิ้นนี้มีความคิดเห็นของเด็กอยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม เป็นงานที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง หลังจบโปรเจกต์ เด็กหญิงกลุ่มหนึ่งบอกกับครูโบว์ว่า “หนูว่าพวกหนูบ้ามากค่ะครู หาข้อมูลมาถกเถียงได้เป็นวันๆ จนลืมไปว่ามีการบ้านวิชาอื่น” เช่นเดียวกับเด็กชายคนหนึ่งที่พูดในทำนองเช่นเดียวกัน “ครูครับ ยิ่งค้นยิ่งสนุก”  ประโยคจากเด็กๆ ทั้งสอง สำหรับเธอมันยังเป็นความภูมิใจที่เธอทำให้เด็กอยากจะเรียนรู้   

เรา ‘เห็น’ ‘เป็น’ อย่างไร 

สำหรับผมแล้ว นอกจากการสอนจะไม่ได้แยกจากคุณค่าแบบใดแบบหนึ่งที่ครูถือไว้ อย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องราวครูหาวและครูโบว์ และในอีก 28 เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่คุณค่าแบบใดแบบหนึ่งยังนำมาซึ่งสายตาที่ครูจะ ‘มองเห็น’ นักเรียน ห้องเรียน โรงเรียน และสังคมที่แตกต่างกันด้วย แม้เราจะเป็นครูเหมือนกัน เข้าไปสอนในชั้นเรียนเดียวกัน แต่เมื่อคุณค่าที่เรายึดถือแตกต่างกัน นั่นก็หมายถึงการมองเห็นบางสิ่งบางอย่างก็ต่างออกไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม    

หากลองกลับไปที่การสอนของครูหาว การมองเห็นนักเรียนของเขามาจากมุมของความเชื่อใจและให้โอกาส นี่คือสายตาที่กำลังเห็นว่านักเรียนไม่ใช่เป็นปีศาจร้ายที่ต้องกำราบ แต่นักเรียนถูกมองเห็นผ่านสายตาของครูในฐานะคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดได้ 

นัยยะหนึ่งจึงเป็นคำถามกลับมาด้วยเช่นกันว่า เราเห็นนักเรียนของเราจากมุมมองแบบไหน (หรือจากสายตาแบบไหน? ทำไมเป็นเช่นนั้น) เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของครูโบว์ เธอเห็นการบ้านเป็นอีกความหมายซึ่งต่างไปจากสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย บ่อยครั้งการบ้านถูกมองเห็นเป็นเสมือนตั๋วแลกคะแนน แต่ครูโบว์กลับสวมสายตาอีกแบบและมองเห็นการบ้านเป็นช่วงเวลาของการสร้างความภูมิใจและเป็นเจ้าของร่วมให้กับเด็กได้ 

การสอนจึงมาพร้อมกับการมองเห็นแบบหนึ่งในตัวมันเอง เราไม่ได้มองเพียงแค่เห็นว่าสิ่งๆ นั้นคืออะไรเท่านั้น แต่เราเห็นมันเป็นอย่างไรเสียมากกว่า และมันจะแสดงออกมาผ่านการสอนของเรา เช่น การที่ครูให้ความสำคัญกับพหุวัฒนธรรมศึกษา (multicultural education) ระยะการมองเห็นของครูต่อนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าก็อาจไม่ใช่แค่ว่าเขาชื่ออะไร เกรดเท่าไหร่ แต่รวมไปถึงเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น ร่วมด้วย (อ่านต่อได้ที่ ห้องเรียนที่ ‘เห็น’ นักเรียนตรงหน้ามากกว่าชื่อที่ปักบนอกเสื้อ) ที่นำมาซึ่งคำถามต่อการสอนของครูว่าจะจัดการศึกษาอย่างไรให้เป็นธรรม 

ในหนังสือ ‘สังคมศึกษาทะลุกะลา’ เรื่องราวของครูทิวต่อชั้นเรียนของเขาได้วางอยู่บนการมองเห็นที่มีระยะไปไกลกว่าเพียงชั้นเรียน แต่คือการมองเห็นเพื่อนร่วมสังคมที่ไม่ใช่เพียงผู้คนเดินผ่านไปมา แต่คือการสวมเลนส์ของอยุติธรรมลงไป และพาให้ครูทิวเห็นว่าใครบางคนกำลังถูกกีดกันและกดขี่ การมองเห็นของครูทิวได้นับรวมเอาสิ่งที่ถูกมองข้ามหรือถูกเห็นอย่างเลือนลางเข้ามาสู่บทเรียน ผ่านการสอน ‘สังคมศึกษาเพื่อความเป็นธรรม’

ในอีกทางหนึ่ง ยังมีนัยยะให้เราตั้งคำถามว่า ในการสอน เรามองเห็นใครบ้างในสังคมนี้ เขาและเธอถูกมองเห็นอย่างไร และเรามองเห็นเขาและเธอแบบไหน เรารู้สึกอย่างไร มันจะแปรเปลี่ยนมาสู่ชั้นเรียนหรือการเป็นครูของเราอย่างไร เช่นเดียวกันกับบท ‘สังคมศึกษาเพื่อจินตนาการใหม่’ ในเล่มเดียวกัน ครูแนนได้มองเห็นสังคมที่เป็นอยู่ไม่ต่างจากดิสโทเปีย แต่ถึงกระนั้นเธอก็นิยามห้องเรียนด้วยความหมายอีกแบบ เธอเห็นมันเป็นแหล่งบ่มเพาะความหวังและความกล้าจินตนาการถึงสังคมที่ต่างไปจากเดิม สายตาเหล่านี้จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห้องเรียนของครูเหล่านี้แตกต่างจากห้องเรียนของครูหลายคน ที่ถูกมองเห็นเป็นเพียงสถานที่ของการชั่งตวงวัด ว่าใครเก่งหรือฉลาดกว่าใคร

การสอนคือการเลือกมองเห็น

ผมชอบประโยคหนึ่งในรีวิวของครูกุ๊กกั๊ก ร่มเกล้า ที่เขียนไว้ตอนต้นของหนังสือ ‘ทุกการสอนเป็นไปได้’ ว่า “มันปั่นป่วนอยู่ในหัวว่า เออ..ยังไม่ได้ลองทำอะไรแบบนี้เลย” นัยยะของคำถามนี้กำลังบอกกับเราว่า ครูทำงานบนความเชื่อคุณค่าบางอย่าง แต่กระนั้นความเชื่อหรือคุณค่าแบบหนึ่งๆ ก็นำมาซึ่งสายตาที่เราจะมองเห็นบางสิ่งและไม่เห็นบางสิ่งในเวลาเดียวกันด้วย 

นั่นก็เพราะบ่อยครั้งเรายืนอยู่บนคุณค่าแบบหนึ่งเป็นเวลานานจนรู้สึกเป็นเรื่องปกติ และอาจหลงลืมโดยไม่ได้ตั้งใจว่า เรายังเห็นมันจากสายตาอีกแบบได้ เราเห็นมันในความหมายอื่นได้เช่นกัน    

ดังนั้น การทำให้เกิดอาการ ‘ปั่นป่วน’ ผ่านการได้พบเจอเรื่องราวของครูจากชั้นเรียนที่หลากหลายจึงมีความสำคัญ ในฐานะกระจกสะท้อนให้เรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเห็นอะไรในชั้นเรียนของเรา เราเห็นมันเป็นอย่างไร เราเห็นอะไรบ้าง และอะไรที่เรามองไม่เห็น อย่างที่สอง ผมนึกถึงสิ่งที่ Ivan Goodson* เรียกว่า ‘something new in the other’ หรือ ‘สิ่งใหม่ในคนอื่น’ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราต่างได้เรียนรู้เรื่องราวจากคนอื่น มันไม่ใช่แค่รู้ว่าเขาเป็นใคร เป็นครูแบบไหน แต่อีกทางหนึ่ง มันค่อยๆ ขยายการมองเห็นของเราและเปิดทางให้กับการรับรู้และเรียนรู้ที่จะมองเห็นในแบบอื่น (จากคนอื่น) ซึ่งเป็น ‘สิ่งใหม่’ เป็นความหมายที่เราอาจไม่คุ้นชิน และหลอมหลวมเป็น ‘something of living value’ บางสิ่งที่มีคุณค่าของชีวิต นั่นคือการมีขอบฟ้าของการมองเห็นที่ต่างไปจากเดิม หรือเห็นพื้นที่เดิมด้วยสายตาที่คมชัดขึ้น เพื่อให้เราใช้มองกลับไปยังนักเรียนของเรา ห้องเรียนของเรา โรงเรียน และสังคมเรา หรือแม้กระทั่งตัวเราเองในวันรุ่งขึ้นของการสอน พร้อมกับคำตอบใหม่ๆ ของคำถามที่ว่า

เรามองเห็นอะไร?  

เรามองเห็นมันเป็นอย่างไร? 

ทำไมเรามองเห็นมันเป็นแบบนั้น?

มันจะนำเราไปสู่การสอนแบบไหน?

หมายเหตุ
*อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ เขียนไว้ในหนังสือ Narrative Pedagogy: Life History and Learning

 

Tags:

หนังสือนักเรียนการมองเห็นทุกการสอนเป็นไปได้

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Creative learning
    คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel