Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2023

อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง: อนาคตสีจางๆ ของเด็กไทย ในรั้วโรงเรียนที่ล้อมด้วยอำนาจและผลประโยชน์
Social IssuesMovie
30 November 2023

อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง: อนาคตสีจางๆ ของเด็กไทย ในรั้วโรงเรียนที่ล้อมด้วยอำนาจและผลประโยชน์

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ PHAR

  • อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง คือภาพยนตร์จากประเทศไทยที่ได้ไปเปิดตัวในเทศกาล Locarno Film Festival ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือชื่อ ‘คู่มือเอาตัวรอดในโรงเรียน’ ของกลุ่มนักเรียนเลว
  • ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวความรุนแรงในโรงเรียนที่ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงระเบียบวินัยที่ไม่เข้ากับยุคสมัยและการที่ธุรกิจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ซึ่งล้วนแล้วแต่ฉุดรั้งให้ระบบการศึกษาไทยไปไม่ถึงไหนสักที

“ใส่กระโปรงสั้นแบบนี้จะไปยั่วผู้ชายเหรอไง” 

นี่คือประโยคที่ผมฟังแล้วถึงกับสบถ หลังจากแม่เล่าให้ฟังในเช้าวันหนึ่งว่า สมัยเป็นแค่เด็กประถมเคยถูกครูฝ่ายปกครองเรียกออกมาประจานหน้าเสาธง ซึ่งเรื่องนี้ยังคงฝังใจแม่มาตลอด

แม่เล่าถึงสาเหตุที่กระโปรงสั้นกว่าระเบียบอย่างอัดอั้นว่า แม่เกิดในครอบครัวที่ฐานะไม่ดีนัก ทำให้ไม่สามารถซื้อกระโปรงได้บ่อยๆ ซึ่งในวันที่ยายซื้อกระโปรงใหม่ให้แม่ดีใจมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานด้วยความที่แม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยายจึงต้องเลาะชายกระโปรงให้ยาวขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระโปรงตัวนั้นไม่สามารถเลาะได้อีกต่อไป

แม้จะอายบ้างเวลาที่ถูกเพื่อนล้อเลียนเรื่องชายกระโปรงที่สีเข้มกว่าปกติ รวมถึงรอยเลาะที่ทั้งน่าเกลียดและมีรอยขาวๆ จากการใช้เตารีด แต่แม่บอกว่าสิ่งเหล่านี้เล็กน้อยและเทียบไม่ได้เลยกับการที่แม่ถูก ‘คุณครูฝ่ายปกครอง’ เรียกออกมายืนนอกแถว ‘ทุกเช้า’ พร้อมกับพูดดังๆ ให้แม่อับอายต่อหน้าเพื่อนเป็นประจำในทำนองว่า “ใส่กระโปรงสั้นแบบนี้จะไปยั่วผู้ชายเหรอไง” ทั้งที่แม่ของผมยังไม่ถึงวัยที่มีประจำเดือนด้วยซ้ำ

ที่สำคัญคือต่อให้แม่จะพยายามอธิบายถึงฐานะหรือขอให้ครูพิจารณารอยเลาะสุดน่าเกลียดนั้นยังไง ครูฝ่ายปกครองก็ไม่เคยรับฟังสักครั้ง แถมไม่ลดละที่จะดึงแม่ออกจากแถวมาประจานข้างเสาธงทุกวัน

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์]

อย่าอ้างระเบียบวินัยจนสร้างแผลในใจ ทำลายตัวตนของเด็ก

หลังจากได้ฟังเรื่องของแม่ ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง ‘อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง’ ซึ่งกำกับโดย สรยศ ประภาพันธ์ บอกเล่าเรื่องราวของอานน นักเรียนชั้นม.6 ที่ได้รับรางวัลทางวิชาการระดับนานาชาติ จนโรงเรียนยกย่องให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง และกลายเป็นแต้มต่อที่ทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ต่างกับเด็กนักเรียนคนอื่นที่ล้วนอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันเคร่งครัด โดยมี ‘ครูวาณี’ ครูฝ่ายปกครองที่จ้องลงโทษนักเรียนที่ทำผิดกฎในแต่ละวัน

ประเด็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ฉากแรกๆ ก็คือ การเข้าแถวกลางแดดหน้าเสาธง และการลงโทษเด็กที่ทำผิดกฏระเบียบของโรงเรียน (อย่างเกินกว่าเหตุ) เช่น ฉากที่ครูวาณีนำกรรไกรไปตัดผมนักเรียนชายจนแหว่งทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยม.ต้น ที่ทุกวันจันทร์ต้นเดือนจะมีการตรวจผม แต่บังเอิญว่าตอนนั้นพ่อแม่ของผมมีธุระช่วงปลายเดือน ทำให้ผมต้องไปตัดผมทรงขาวสามด้านก่อนวันตรวจหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งทั้งครูและเพื่อนๆ ต่างก็รับรู้ แต่พอวันตรวจผมมาถึง ผมกลับโดนเรียกไปหวดโดยไม่ฟังเหตุผล เพราะเส้นผมที่สั้นเกรียนเริ่มงอกออกมาเล็กน้อย ย้ำว่า ‘เล็กน้อย’ คล้ายกับคนที่ให้ช่างใช้หวีรองเวลาไถปัตตาเลี่ยน 

แม้เรื่องของผมอาจไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจมากนักเมื่อเทียบกับเรื่องของแม่ แต่พอนึกถึงทีไรก็พลอยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง และอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ‘เสื้อผ้าหน้าผม’ เกี่ยวข้องอะไรกับผลการเรียน ทำไมยังมีครูที่ยังคงหมกมุ่นกับระเบียบวินัยและพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับนักเรียน โดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและความแตกต่างหลากหลาย ทั้งที่เด็กแต่ละคนต่างก็มีสภาพครอบครัว มีตัวตน มีศักยภาพ มีความหวังความฝันที่แตกต่างกัน  

อำนาจนิยมในโรงเรียน ความเคยชินที่(แทบ)ไม่เคยเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ผมเชื่อเสมอว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้จะต้องมีกฎและกติกา เช่นเดียวกับกฎระเบียบของโรงเรียน แต่ประเด็นชวนคิดจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือการตั้งคำถามถึงระเบียบวินัยบางอย่างที่ดูจะไม่เข้ายุคสมัย เช่น การบังคับให้ทุกคนต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติกลางแดด นักเรียนที่ดีต้องตัดผมสั้นเกรียน หรือการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงที่แม้ปัจจุบันจะมีกฎห้ามครูใช้กำลังกับเด็ก แต่ครูจำนวนไม่น้อยกลับไม่แคร์และกลายเป็นผู้คุมกฎที่แหกกฎเสียเอง  

ฉากที่น่าสนใจคือฉากที่โรงเรียนต้องรับการตรวจสอบมาตรฐาน ทำให้ผู้อำนวยการเรียกประชุมครูเพื่อระดมความเห็นว่าจะจัดชั้นเรียนตัวอย่างแบบไหนเพื่อนำเสนอความสามารถของนักเรียน ครูรุ่นใหม่คนหนึ่งบอกว่าโรงเรียนน่าจะจัดกิจกรรมให้เด็กได้แสดง ‘ทักษะความคิดสร้างสรรค์’ ซึ่งจำเป็นต่อโลกยุคปัจจุบัน ขณะที่ครูวาณีเสนอให้จัดกิจกรรมที่เน้นเรื่อง ‘หน้าที่พลเมือง’ เพื่อเอาใจคณะกรรมการ น่าเสียดายที่ผู้อำนวยการตัดสินใจเลือกกิจกรรมสาธิตการไหว้ของครูวาณี

ฉากนี้ทำให้ผมเห็นภาพว่า ในแต่ละโรงเรียนก็คงจะมีแรงกระเพื่อมเล็กๆ จากครูรุ่นใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ที่สุดแล้วก็ไม่อาจต้านทานความคิดของครูหัวโบราณได้

และเมื่อวันที่คณะกรรมการตรวจสอบมาถึงโรงเรียน ครูวาณีได้เชิญมายังห้องประชุมที่มีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่ตระเตรียมไว้ จากนั้นเปิดวิดีทัศน์สอนการทำความเคารพผู้ใหญ่ด้วยการกราบไหว้ ซึ่งสิ่งที่คาใจคือคำพูดทิ้งท้ายของครูวาณีในลักษณะว่า “หากนักเรียนรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวต่อผู้ใหญ่ย่อมมีอนาคตที่สดใส”  ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเด็กในวันนี้เติบโตไปเป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวกันหมด พวกเขาจะสร้างสังคม(ไทย)แบบไหนในอนาคต   

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือทุกครั้งที่มีปัญหากับนักเรียน ครูวาณีจะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ โดยเธอมองว่าการใช้กำลังหรือการด่าทอเด็กนั้นเป็นวิธีในการอบรมสั่งสอนเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นพลเมืองดีในอนาคต

ผมมองว่าครูแบบครูวาณียังมีอยู่มากในปัจจุบัน เพียงแต่ครูวาณีในหลายๆ โรงเรียนอาจมีการอัพเกรดตัวเองให้ดูแนบเนียนยิ่งขึ้นในมาดของครูที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นก็ได้แต่ภาวนาว่าสักวันกระทรวงศึกษาธิการจะมีระบบตรวจสอบและลงโทษคุณครูที่ใช้อำนาจในทางที่มิชอบมากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้เด็กเป็นฝ่ายเปิดโปงครูด้วยคลิปวิดีโอหลักฐานอย่างที่เป็นข่าว 

ถึงที่สุดผมเชื่อว่ากุญแจสำคัญที่ครูคนหนึ่งจะไขเข้าไปในใจของเด็กได้ไม่ใช่กุญแจแห่งความกลัว แต่เป็นความรักความเข้าใจ เพราะในขณะที่ครูอยากได้นักเรียนที่เคารพเชื่อฟัง นักเรียนเองก็อยากได้ครูที่เข้าใจและรับฟังเขาเช่นกัน

เมื่อการศึกษากลายเป็นขุมทรัพย์ของผู้ใหญ่มากกว่าผลประโยชน์ของเด็ก

กลับมาที่อานน ซึ่งเป็นตัวแทนความเหลื่อมล้ำในโรงเรียน การให้ค่ากับเด็กเรียนเก่ง เพราะคาดหวังว่าความสำเร็จของเด็กจะนำชื่อเสียงมาให้โรงเรียน นำมาสู่เงินทุนสนับสนุนรวมถึงแป๊ะเจี๊ยะจากผู้ปกครอง ดังนั้นไม่ว่าอานนจะกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือขาดเรียนยังไง ผู้อำนวยการก็จะมีข้อยกเว้นให้อานนเสมอ

ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ก็สะท้อนความจริงว่าแม้อานนจะไม่เห็นด้วยที่ครูวาณีใช้ความรุนแรงกับเพื่อน แต่พอถูกเพื่อนๆ ชวนให้รวมตัวกันประท้วงครูวาณี อานนกลับปฏิเสธเพราะเขาได้ประโยชน์จากสิ่งที่เป็นอยู่

ด้านผู้อำนวยการพอเห็นว่าอานนไปคว้ารางวัลระดับนานาชาติ ก็ฉวยโอกาสนำความสำเร็จของอานนและนักเรียนเรียนเก่งมาอารัมภบทกับผู้ปกครองที่อยากนำบุตรหลานมาฝากเข้าโรงเรียน เพื่อเรียกเงินใต้โต๊ะเข้ากระเป๋าของตัวเอง ขณะที่อานนเองก็ใช้ความฉลาดของตัวเองหาเงินจากธุรกิจการศึกษาสีเทาๆ 

ผมชอบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำประเด็นธุรกิจการศึกษามาตีแผ่ เพราะไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ผู้ปกครองต่างอยากให้ลูกหลานเรียนเก่งเพื่อโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ดังนั้นนอกจากการส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนดังหรือสถาบันกวดวิชาที่ได้รับความนิยมแล้ว คุณครูในโรงเรียนบางคนก็เห็นโอกาสในการหา ‘รายได้เสริม’ นำมาสู่การรับจ้างสอนพิเศษนอกเวลา โดยมีจุดขายคือการนำข้อสอบมาบอกล่วงหน้า เรียกว่าเป็นการวิน-วิน สำหรับครูผู้หิวเงินกับนักเรียนที่อยากได้คะแนนดี จึงไม่น่าแปลกใจที่โรงเรียนแทบจะไม่แยแสเมื่อมีเด็กที่ครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงินมาขอความเห็นใจ 

สำหรับผม มันเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างแท้จริงที่ต้องยอมรับว่ารากฐานในการพัฒนาคนอย่างการศึกษากลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ที่ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ

Tags:

ความรุนแรงอำนาจนิยมครูโรงเรียนภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’
Learning Theory
28 November 2023

ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อครั้งเป็นเด็กเราเริ่มสวมบทบาทเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของกันได้อย่างไร? ทำไมเราจึงรู้ว่าต้องเล่นด้วยวิธีแบบนี้ เป็นเพราะการเรียนรู้นั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วัฒนธรรม’ ในสังคมที่คนคนหนึ่งเติบโตมา ผ่านผู้คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาเสมอ
  • Rogoff นักการศึกษาที่ศึกษาวัฒนธรรม จิตวิทยา และการเรียนรู้ อธิบายว่า ในแต่ละสังคมจะมี ‘กิจกรรมทางวัฒนธรรม (Cultural Activity)’ ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสาร คิด และเข้าใจประสบการณ์ในโลกที่เขาเติบโตมา
  • กิจกรรมทางวัฒนธรรมในแต่ละสังคม แต่ละครอบครัวแตกต่างกัน เราจึงต้องทำความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม (Cross -Culture) ด้วยเพราะตัวเราต่างเติบโตมาในวัฒนธรรมหนึ่งๆ มีกรอบคุณค่าแบบหนึ่งที่เอาใว้ใช้ตัดสินหรืออธิบายสิ่งต่างๆ เราจึงมีอคติอยู่เสมอ

หลายครั้งเรามักคุ้นเคยกับการตีความพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กผ่านความหมายอย่างแคบโดยมุ่งเน้นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กและครูในชั้นเรียน ว่าเด็กได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง มากน้อยเพียงใด พร้อมกับใช้มาตรฐานบางอย่างเข้ามาวัดประเมินว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามมาตรฐานแล้วหรือยัง เมื่อเด็กทำคะแนนได้ดีขึ้นหรือแย่ลงก็มักจบลงด้วยการคิดหาวิธีการส่งเสริมหรือลงโทษตามผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่ปรากฎ 

แต่ในความเป็นจริง พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไม่ได้เกิดขึ้นแค่ระหว่างเขาและครู เราลองนึกถึงง่ายๆ ว่าเราเริ่มใช้มีดปอกผลไม้หรือสับหมูเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ จากที่ไหน อย่างไร และจากใครกัน? เดาได้เลยว่าคำตอบส่วนใหญ่ของหลายคนมาจากคนในครอบครัวขณะทำกับข้าว บางคนอาจเรียนรู้จากการแอบมองแม่ทำตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ หรือบางคนอาจโตขึ้นมาอีกหน่อยจนครอบครัวอนุญาตให้ช่วยงานในครัวได้ เมื่อครั้งเป็นเด็กเราเริ่มสวมบทบาทเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของกันได้อย่างไร? เราเรียนรู้วิธีสร้างบทพูดระหว่างสวมบทบาทมาจากไหน ทำไมเราจึงรู้ว่าต้องเล่นด้วยวิธีแบบนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเพราะการเรียนรู้นั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วัฒนธรรม’ ในสังคมที่คนคนหนึ่งเติบโตมา ผ่านผู้คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาเสมอ

ในข้อเขียนนี้จึงอยากชวนผู้อ่านค่อยๆ กลับมาทบทวน ทำความเข้าใจพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กที่ไม่อาจแยกขาดจากวัฒนธรรม พร้อมกับชวนตั้งข้อสังเกตว่ามุมมองเช่นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาด้านพัฒนาการการเรียนรู้ได้อย่างไร 

เด็กและกิจกรรมทางวัฒนธรรม

เด็กไม่ได้เรียนรู้จากโรงเรียนเพียงเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมนอกรั้วโรงเรียนด้วย การเรียนรู้ของเด็กจึงแยกไม่ขาดจากสังคมที่เขาเติบโตมา แน่นอนว่าภายในสังคมมีทั้งระบบการศึกษาที่เป็นทางการ ร่วมกับกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เด็กปฏิสัมพันธ์ด้วย การเปลี่ยนแปลงภายในตัวเด็กจึงเกิดขึ้นจากตรงนี้ด้วยเช่นกัน

ในหนังสือ The Cultural Nature of Human Development Rogoff นักการศึกษาที่ศึกษาวัฒนธรรม จิตวิทยา และการเรียนรู้ ได้อธิบายไว้ว่า ในแต่ละสังคมจะมีสิ่งที่เรียกว่ากิจกรรมทางวัฒนธรรม (Cultural Activity) เกิดขึ้น (**ขอโน้ตไว้ว่าโรงเรียนก็คือหนึ่งในพื้นที่กิจกรรมทางวัฒนธรรมเช่นกัน) โดยที่ผู้คนในสังคมนั้นจะหยิบยื่นเครื่องมือวัฒนธรรม (Cultural tools) เป็นสะพานช่วยให้เด็กสามารถที่จะสื่อสาร คิด และเข้าใจประสบการณ์ในโลกที่เขาเติบโตมาได้ เครื่องมือวัฒนธรรมนั้นอยู่ในรูปของภาษาและสัญลักษณ์ เช่น หนังสือเรียน หนังสือนิทาน ป้ายบอกทาง เสียงเพลง คำพูด  การทำมือเป็นรูปต่างๆ เป็นต้น  

จากตัวอย่างเรื่องการใช้มีดที่ยกมาในช่วงต้นของบทความ ในมุมมองของ Rogoff เด็กทำสิ่งนี้ได้เพราะกิจกรรมในครัวเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ที่แม่ใช้ภาษาและท่าทางบางอย่างสอนเด็กๆ และนั่นทำให้เด็กเปลี่ยนแปลงจากคนที่ไม่สามารถใช้มีดได้กลายเป็นคนที่ใช้มีดเป็น ช่วงเวลารับประทานอาหารเย็นเป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เด็กถูกสอนมารยาทและบรรทัดฐานทางสังคม เช่น ในบางวัฒนธรรมเด็กๆ มักจะถูกสอนว่าการเคี้ยวอาหารเบาๆ เป็นสิ่งที่สุภาพ โดยมีแม่เป็นคนคอยทำหน้าที่ตำหนิเมื่อเด็กไม่ทำตาม นอกจากนี้บทบาทของเด็กในบางครอบครัวที่ถูกขอให้มาช่วยตระเตรียมจาน ช้อน ซ้อม ล้วนแสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานบ้าน และเริ่มถูกสอนให้รู้จักหน้าที่ในบ้าน สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะดูแลคนอื่นด้วยเช่นกัน 

‘กิจกรรมทางวัฒนธรรม’ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่เธอเสนอให้เราทำความเข้าใจเพื่อจะเข้าใจพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ว่าพวกเขามีการเรียนรู้และเกิดการเปลี่ยนแปลง (transformation) อย่างไร  

อันที่จริงแนวคิดของ Rogoff ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Vygotsky ที่มองว่าพัฒนาการการเรียนรู้นั้นสัมพันธ์กับสังคมประวัติศาสตร์ เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้คนก่อนหน้า ที่ได้สร้าง สั่งสม และส่งต่อ เครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต ลองนึกเล่นๆ ภาษาที่เราใช้พูดอยู่กันทุกวันก็มีที่มาอย่างยาวนานในสังคมมนุษย์ พัฒนาการของเด็กจึงมาพร้อมกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า จากนั้นจะค่อยๆ เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเขาขึ้นมา (internalizing) ช่วงปฏิสัมพันธ์นี้เอง ที่เกิดพื้นที่รอยต่อ (ZPD) ระหว่างระดับพัฒนาการในปัจจุบันและระดับถัดไปที่เป็นไปได้ของเด็ก (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ The Boy Who Harnessed the Wind เมื่อ ‘หนังสือเล่มหนึ่ง’ นำไปสู่ชัยชนะของเด็กชายต่อสายลม และ Vygotsky การจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาเติบโต)

ด้วยความที่กิจกรรมทางวัฒนธรรมในแต่ละสังคม แต่ละครอบครัวแตกต่างกัน Rogoff จึงเสนอว่าเราต้องทำความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม (Cross -Culture) เพราะตัวเราต่างเติบโตมาในวัฒนธรรมหนึ่งๆ มีกรอบคุณค่าแบบหนึ่งที่เอาใว้ใช้ตัดสินหรืออธิบายสิ่งต่างๆ เราจึงมีอคติอยู่เสมอ ดังนั้นการมองแบบ Cross-Culture จึงสำคัญ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ในบางสังคม เด็กจะช่วยผู้ใหญ่ทำงานตั้งแต่อายุ 4-5 ปี ขณะที่บางสังคมเด็กจะถูกกันให้ออกห่างจากงานของผู้ใหญ่ หากเราเติบโตมาในสังคมแบบที่สอง เราก็อาจรู้สึกทันทีว่าในสังคมแบบแรกนั้นค่อนข้างใจร้ายกับเด็ก แต่สำหรับ Rogoff เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าทำไมทั้งสองสังคมจึงมีวัฒนธรรมต่อเรื่องการทำงานที่แตกต่างกัน พวกเขามีการให้ความหมายเหล่านี้อย่างไร

ความ (ไม่) จงใจ ในวัฒนธรรม การเรียนรู้ และชนชั้น 

ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา แวดวงการศึกษาเริ่มหันหน้าเข้าสู่การค้นหาวิธีการและพัฒนาแบบทดสอบต่างๆ เพื่อวัดระดับความสามารถ ทักษะ หรือคุณสมบัติบางประการของนักเรียนอย่างจริงจัง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างมาตรฐาน และจัดจำแนกนักเรียนเข้าไปสู่ส่วนต่างๆ ของโครงสร้างการทำงานแบบสมัยใหม่ภายใต้ระบบทุนนิยม ในเวลาเดียวกันนี้เอง อิทธิพลดังกล่าว ก็ได้สร้างคำอธิบายของเด็กที่เดินไปสู่ความสำเร็จและเด็กผู้พ่ายแพ้ว่าเป็นเรื่องของการมีและไม่มีความรู้หรือขาดการพัฒนาทักษะบางอย่าง ผู้พ่ายแพ้หรือผู้ล้มเหลวจากการสอบและแบบวัดถูกบอกว่าพวกเขายังมีความรู้ไม่มากพอ พวกเขายังขาดการคิดหรือทักษะที่ดีพอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งเขาและเธอก็ควรได้รับการซ่อมแซมให้มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่วางไว้ 

เด็กที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียนเพราะพวกเขาไม่มีความรู้และขาดทักษะจริงหรือ? คำตอบคือไม่จริง นี่เป็นหนึ่งแง่มุมจากนักการศึกษาในกลุ่มที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมและการเรียนรู้ที่เห็นว่า อันที่จริงแล้ว แบบวัดหรือแบบทดสอบต่างๆ เหล่านี้ก็วางอยู่บนวัฒนธรรมและประสบการณ์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อคนที่เติบโตมาในวัฒนธรรมที่ต่างออกไปต้องมาทำแบบทดสอบ เขาจึงต้องเผชิญกับความท้าทายและยากที่จะประสบผลสำเร็จ ลองยกตัวอย่างแบบง่ายๆ เด็กกลุ่มหนึ่งเติบโตมาในสังคมที่อาจไม่รู้จักหอนาฬิกาบิ๊กเบนที่ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อเขาต้องเข้ารับการทดสอบหนึ่งที่มีการชูภาพหอนาฬิกานี้มาแล้วถามว่า ภาพดังกล่าวคืออะไร เกิดขึ้นเกิดที่ไหน นี่ก็อาจเป็นเรื่องยากมากที่เด็กจะตอบได้อย่างเฉพาะเจาะจง 

ในทางกลับกัน เด็กอีกกลุ่มที่อยู่ในสังคมที่คุ้นเคยกับประสบการณ์เรื่องนี้ เมื่อทำแบบทดสอบก็สามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น หากเรารีบสรุปทันที เราก็อาจสรุปว่า เด็กกลุ่มแรกไม่มีความรู้ดังกล่าว แต่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้มีความรู้ตามที่แบบทดสอบพยายามที่จะวัดต่างหาก 

ในอีกตัวอย่างของ Rogoff คือกรอบเวลาแบบสมัยใหม่ในสังคมทุนนิยมที่ถูกจัดใส่กล่องแบบแบ่งระยะ โดยแบ่งเวลาออกเป็นช่วงๆ เพื่อใช้วัดและประเมินคน ส่งผลให้มีการสร้างมาตรฐานช่วงอายุเพื่อประเมินความสามารถของเด็กว่าเขาช้า เร็ว หรือพอดีตามเกณฑ์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นตามกรอบจิตวิทยาแบบหนึ่ง โดยเฉพาะอิทธิพลของ Cognitive theory อย่าง Piaget (รวมถึง Moral Development ของ kohlberg theory) ที่พยายามอธิบายว่าพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กนั้นมีระดับขั้นที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ Rogoff ตั้งข้อสังเกตว่าเกณฑ์ของพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กที่ถูกกำหนดขึ้นนั้น ล้วนวางอยู่บนวัฒนธรรมของคนเพียงกลุ่มหนึ่ง 

Shirley Heath เป็นอีกคนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และในปี 1982 บทความ “What No Bedtime Story Means: Narrative Skills at Home and School” เธอได้นำเสนอข้อค้นพบจากการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา ที่เธอได้ลงไปศึกษาเปรียบเทียบเด็กในครอบครัวทั้ง 3 ชุมชน ซึ่งประกอบด้วย ชุมชนของชนชั้นกลางของคนผิวขาว (ถือเป็นคนกลุ่มหลัก) ชุมชนของชนชั้นแรงงานของคนผิวขาว และชุมชนชนของชนชั้นแรงงานของคนผิวดำ โดย Heath เชื่อว่าแต่ในแต่ละชุมชนต่างมีช่วงเวลาที่เด็กจะได้พัฒนาการอ่านออกเขียนได้ หรือ literacy events อยู่ แน่นอนว่า มันมีรูปแบบหรือกฎที่แต่ละสังคมสร้างและกำกับอยู่ และ Bedtime Story หรือช่วงเวลาก่อนเข้านอน เป็นหนึ่งในช่วงเวลานี้ที่เด็กจะได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการพูดและการเล่า (Narrative Skills) ขึ้นมาจากการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เช่น การอ่านหนังสือนิทาน ดูโทรทัศน์ เล่นของเล่น แต่กระนั้นช่วงเวลานี้ก็ดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมหลักสำหรับชุมชนของชนชั้นกลางของคนผิวขาวมากกว่า 

ในบทความชี้ว่า ความสำเร็จของเด็กชนชั้นกลางผิวขาวในโรงเรียน มาจากวัฒนธรรมการเรียนรู้ในโรงเรียนในเรื่องการอ่าน การเขียน และการสื่อสาร ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่บ้านของพวกเขา โดยเฉพาะเวลาเข้านอน ผู้ปกครองชนชั้นกลางผิวขาวสามารถสอนและสนับสนุนบุตรหลานในการเรียนรู้ผ่านหนังสือนิทานและกิจกรรมอื่นๆ ที่คล้ายกับโรงเรียน Heath ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่เรียนหนังสือได้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถในการเรียนรู้ ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเพราะโรงเรียนมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ต่างออกไปจากวัฒนธรรมการเรียนรู้ของเด็กต่างหาก 

ตัวอย่างเช่น ในชุมชนชนชั้นแรงงานของคนผิวขาว ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน เด็กจะได้รับการฝึกให้ถามคำถามและให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ แทนที่จะฝึกให้กล้าสื่อสารความคิดและความรู้สึกของตนเองออกมา สวนทางกับวัฒนธรรมที่สอนในโรงเรียนที่ครูมักจะถามว่าเขาคิดอย่างไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นหาก…? มันจึงทำให้เด็กไม่มั่นใจและยากที่จะตอบออกไป ส่วนในชุมชนแรงงานของคนผิวดำ แม้ไม่มีช่วงเวลาเข้านอนในฐานะ literacy events แต่กระนั้นเด็กในชุมชนก็จะเรียนรู้ Narrative Skills จากการพูดคุย เด็กๆ จะชอบใช้การพูดเป็นเรื่องราวออกมา เล่าออกมาเรื่อยๆ เพื่อสร้างความสนใจ และเมื่อผู้ใหญ่มีท่าทีต่อเขาในทางบวก เขาจะเรียนรู้ว่านี่เป็นการเล่าที่ดี แต่สุดท้ายโรงเรียนก็ไม่ได้มองเห็นทักษะเด็กจากตรงนี้  

นี่คือจุดยืนของ Heath ที่ไม่ได้โยนความผิดไปที่ตัวเด็ก แต่กลับเผยให้เห็นวัฒนธรรมในเนื้อตัวของมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกตีตราจากระบบวัฒนธรรม นี่ไม่ใช่ปัญหาในตัวบุคคล แต่เป็นปัญหาการทำความเข้าใจ และหากเราไม่ได้ตระหนัก มันอาจนำไปสู่การแปะป้ายเด็กได้โดยไม่รู้ตัว 

เธอไม่ได้ต้องการจะบอกว่าวัฒนธรรมของใครควรเป็นหลัก แต่เธอต้องการเขย่าให้เห็นว่า สำนึกต่อคำว่า ‘พัฒนาการเรียนรู้’ ของเราถูกสร้างบนวัฒนธรรมของใคร แบบไหน และนำมาซึ่งการเรียนการสอน การวัดผลการเรียนรู้อย่างไร และส่งผลอย่างไรต่อกลุ่มเด็กที่มีวัฒนธรรมต่างออกไป มากไปกว่านั้น Heath ได้ชวนให้เราไม่มองวัฒนธรรมและการเรียนรู้อยู่ในเลเยอร์เดียว แต่มองเห็นความสัมพันธ์กับกลุ่มทางสังคมและชนชั้นด้วยกันที่แต่ละกลุ่มมีการสร้างวัฒนธรรมและการเรียนรู้แตกต่างกัน มันจึงเป็นโจทย์ที่โรงเรียนควรตระหนัก และสร้างสะพานเชื่อมรอยต่อให้เกิดขึ้น   

มุมมองแบบ Cross-Culture ในการเรียนรู้อาจพาเรามองเห็นห้องเรียนที่ต่างไป เช่น การให้เหตุผลแบบนิรนัยที่เราคุ้นเคยกันดีในวิชาคณิตศาสตร์อย่าง “วัวทุกตัวกินหญ้า แมวเป็นวัว ดังนั้นแมวกินหญ้า” ซึ่งเด็กบางคนก็อาจบอกครูว่าครูผิดแล้ว ที่บ้านเขาวัวทุกตัวก็ไม่ได้กินหญ้า แล้วแมวก็ไม่ใช่วัวด้วย นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าเด็กมีวัฒนธรรมการคิดที่อิงกับบริบท หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง การจัดกลุ่มสิ่งใด ‘เข้าพวก’และ ‘ไม่เข้าพวก’ เช่น  ข้าว ปลา ไก่ เป็ด ครูอาจคิดบนวัฒนธรรมที่จัดจำแนกระหว่าง ‘สัตว์’ และ ‘พืช’ แต่สำหรับเด็ก เขาอาจคิดจากอาหารที่กินอยู่เป็นประจำกับสิ่งที่ไม่ค่อยได้กิน เมื่อเด็กต้องจำแนก แทนที่ ข้าว จะถูกแยกออกไปต่างหากตามความคาดหวังของครู เด็กอาจเลือกที่จะเอา เป็ด แยกออกไป แล้วบอกกับครูว่าเพราะเป็ดเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้กินบ่อยๆ 

ดังนั้น เมื่อเด็กต้องทำแบบทดสอบเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ก็อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเขามากกว่าที่ครูคิด หรือเขาอาจถูกตัดสินว่าทำแบบทดสอบผิดไปเลยก็ได้ 

ทั้งหมดนี้คือแง่มุมของการมองพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กที่สัมพันธ์กับ ‘วัฒนธรรม’ และหวังว่าจะเป็นอีกบทสนทนาที่ชวนผู้อ่าน โดยเฉพาะครูกลับมาตั้งคำถามสำคัญว่า อะไรบ้างคือกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตของเด็ก เด็กเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงอย่างไร (รวมไปถึงเรื่อง เพศ ชนชั้น) ที่ผ่านมาเรากำลังสอนด้วยวัฒนธรรมแบบไหน มองจากวัฒนธรรมของใคร และหากเราเข้าใจแว่นวัฒนธรรมมากขึ้น จะนำไปสู่บทบาทการเป็นครูของเราต่อไปอย่างไร  

Tags:

การศึกษาการเรียนรู้เด็กวัฒนธรรมกิจกรรมทางวัฒนธรรม (Cultural Activity)มุมมองความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม (Cross -Culture)ครู

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

Dear Evan Hansen : เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย?
Movie
24 November 2023

Dear Evan Hansen : เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย?

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  •  Dear Evan Hansen ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราววันเปิดเทอมชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายของ ‘เอเว่น แฮนเซน’ วัยรุ่นผู้รู้สึกว่าตัวเองเป็น Nobody ไร้ตัวตนในสังคม แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนชีวิตเขาไป ด้วยจดหมายปลุกใจถึงตัวเอง แต่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของ ‘คอนเนอร์’
  • คนที่ไม่เคยอยู่ในแสง กลับมีสปอร์ตไลท์สาดมาอยู่ที่ ‘เอเว่น’ เพราะจดหมายฉบับนั้นทำให้คนคิดว่าเอวานเป็นเพื่อนสนิทกับคอนเนอร์ เด็กหนุ่มที่จากไปด้วยการฆ่าตัวตาย
  • เราเคยคิดว่าตัวเองอาจเป็นคนเดียวบนโลกที่รู้สึกแบบนี้ แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เหมือนมันเข้ามาช่วยปลอบโยนส่วนหนึ่งในตัวเรา ทำให้พบว่าความจริงมีคนอีกมากมายที่เข้าใจความโดดเดี่ยวและกังวลแบบเดียวกันนี้อยู่

“เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย? เคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าเหมือนถูกลืมทิ้งไว้ในที่เปลี่ยวร้าง? เคยรู้สึกเหมือนเธอหายตัวได้รึเปล่า? เหมือนเธอล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน” 

เนื้อร้องส่วนหนึ่งจากหนัง Musical เรื่อง Dear Evan Hansen ที่เราเลือกหยิบมาเขียนเพราะรู้สึกมันเล่าภาพรวมของเรื่องนี้ได้อย่างดี

เรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากวันเปิดเทอมชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายของ ‘เอเว่น แฮนเซน’ วัยรุ่นผู้มีโรควิตกกังวลอย่างหนัก เขารู้สึกว่าตัวเองเป็น Nobody ไร้ตัวตนในสังคม เขาต้องเขียนจดหมายปลุกใจถึงตัวเองเป็นการบ้านสำหรับใช้ในการเข้าพบจิตแพทย์ แต่จดหมายที่เขาเขียนกลับทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตและเปลี่ยนชีวิตของเขาไปแบบไม่มีทางเหมือนเดิม

ด้วยจังหวะหรือเหตุบังเอิญของชีวิตที่จับพลัดจับผลูทำให้จดหมายฉบับนั้นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของ ‘คอนเนอร์’ เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ไร้ตัวตน ไม่มีเพื่อน เคยมีประวัติใช้ยาและมีอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งต่อมาเขาได้ฆ่าตัวตาย

ย้อนกลับไปช่วงปิดเทอม เอเว่นไปทำงานในอุทยานแห่งหนึ่ง เขามีความทรงจำที่สวยงามและเจ็บปวดในที่แห่งนั้น เขาปีนต้นไม้และตกลงมาจนแขนหัก แม่ของเขาแนะนำว่าเปิดเทอมใหม่แล้ว ลองหาเพื่อนโดยการชวนใครซักคนมาเซ็นเฝือกให้สิ

พอเปิดเทอมวันแรกเอเว่นเผลอหัวเราะแหะๆ ให้คอนเนอร์ตอนที่เขาถูกล้อเลียนอยู่ อาจเพราะรู้สึกว่าต่างเผชิญชะตากรรมที่คล้ายกันในการเข้าสังคม แต่คอนเนอร์ไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าเอเว่นหัวเราะเยาะ เขาโกรธและตะโกนใส่หน้าเอเว่นเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์ 

สักพักเมื่อเขาอารมณ์เย็นลงก็เลยชวนเอเว่นคุยพร้อมกับเซ็นเฝือกที่แขนให้ และพูดว่า “เท่านี้ พวกเราก็จะดูเหมือนมีเพื่อนแล้ว”

แต่หลังจากนั้นคอนเนอร์ดันบังเอิญไปเห็นชื่อน้องสาวของตัวเองในจดหมายที่เอเว่นกำลังปริ้นท์ออกมาแล้วคิดว่าเอเว่นตั้งใจเขียนจดหมายนี้ยั่วโมโหเขา เขาจึงปึงปังจากไปโดยไม่ฟังเหตุผลพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น

ความจริงคือเอเว่นแอบชอบ “โซอี้” น้องสาวของคอนเนอร์ และเมื่อโซอี้เข้ามาทักเขาก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้อย่างที่ตัวเองต้องการ นั่นทำให้เขาผิดหวังในตัวเองมากจนต้องเขียนระบายลงไปในจดหมาย

สามวันต่อมา พ่อแม่ของคอนเนอร์ขอเจอเอเว่นเพื่อมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตและมอบจดหมายที่พวกเขาคิดว่าคอนเนอร์เขียนให้เอเว่น

ทั้งครอบครัวคิดว่าคอนเนอร์ไม่มีเพื่อน แต่พอเห็นจดหมายนี้ พวกเขาก็มีความหวัง

ในตอนแรกเอเว่นพยามปฏิเสธแล้วว่าคอนเนอร์ไม่ได้เขียนจดหมายนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ พ่อแม่ของคอนเนอร์ยังไม่ได้เปิดใจรับสิ่งที่เอเว่นพยามยามบอก พวกเขากำลังรู้สึกตื้นตันที่ลูกชายของตัวเองมีเพื่อนสนิท ตัวของเอเว่นเองก็คงรู้สึกว่าอย่างน้อยให้พ่อแม่ที่น่าสงสารของคอนเนอร์เชื่อว่าคอนเนอร์ที่ตายไปแล้วมีเพื่อนน่าจะดีกว่า

แล้วยิ่งแม่บังเอิญเห็นชื่อคอนเนอร์ที่ถูกเขียนไว้บนเฝือกของเอเว่น เลยยิ่งเชื่อจริง ๆ ว่า เอเว่นคือเพื่อนสนิทของลูกชาย

จากการโกหกเพียงนิดเดียวกลายเป็นการโกหกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบครัวของคอนเนอร์ชวนให้เอเว่นไปกินข้าวเย็นที่บ้านเพราะอยากรับรู้เรื่องของลูกชายตัวเองให้มากขึ้นจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท เอเว่นตั้งใจจะไปบอกความจริง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ไหลไปตามน้ำ 

หลังจากนั้นซินเทีย (แม่ของคอนเนอร์และโซอี้) ก็ขอให้เอเว่นช่วยขึ้นไปพูดกล่าวคำอาลัยในงานรำลึกถึงคอนเนอร์ที่จัดขึ้นที่โรงเรียน ซึ่งนี่คือเรื่องใหญ่มากสำหรับเอเว่น ด้วยความเป็นโรควิตกกังวลและมันไม่ใช่แค่การพูดต่อหน้าสาธารณชนแต่มันคือการโกหกต่อหน้าทุกคน เขาตัวสั่นมือสั่นทำบทพูดตกกระจายไปหมด ทุกอย่างเกือบจะพัง แต่สุดท้ายเขาก็สามารถพูดออกมาได้เพราะหันไปเห็นรอยยิ้มของซินเทีย แม่ผู้ใจดี เชื่อมั่นและเหมือนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา การขึ้นไปพูดในครั้งนั้นดังจนเป็นไวรัลในอินเตอร์เน็ต ทุกคนต่างพากันสนใจและตระหนักเรื่องสุขภาพจิตในวัยรุ่น

จากคนที่ไม่เคยอยู่ในแสง กลับมีสปอร์ตไลท์สาดมาอยู่ที่เอเว่น เพราะจดหมายฉบับนั้นทำให้คนคิดว่าเอวานเป็นเพื่อนสนิทกับคอนเนอร์ เด็กหนุ่มที่จากไปด้วยการฆ่าตัวตาย

ความเศร้าอย่างนึงคือเรารู้สึกว่าเรื่องโกหกที่เอเว่นสร้างขึ้นมาเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขากับคอนเนอร์มีความทรงจำที่ดีร่วมกันยังไงบ้าง มันเป็นเหมือนเรื่องราวที่เขาอยากให้มันเกิดขึ้นจริงแต่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ที่เราสนใจอีกเรื่องนอกจากการพูดถึงความโดดเดี่ยวได้อย่างลึกซึ้งคือ มีตอนนึงที่เรื่องราวการโกหกมันบานปลายจนเริ่มทำร้ายครอบครัวของคอนเนอร์ เอเว่นเลยต้องสารภาพความจริงกับครอบครัวคอนเนอร์ทุกอย่าง ทุกคนช็อค ซินเทียบอกให้เอเว่นกลับไปเถอะ โดยไม่ว่าอะไรเขาซักคำ

และเมื่อเขาไปโรงเรียนกลับพบว่าไม่มีใครก่นด่ารังเกียจเขาอย่างที่คิด เมื่อเขาเจอโซอี้ โซอี้พูดว่าครอบครัวของเธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป เพราะแม่ของเธอบอกว่า “แม่เสียลูกชายไปคนนึงแล้ว” แม่ ไม่อยากทำลายเอเว่น กลัวว่าเอเว่นจะทำแบบเดียวกับที่คอนเนอร์ทำ

ตอนโซอี้พูดประโยคนี้ออกมามันเจ็บหัวใจมาก เธอคือคนที่ถูกแม่มองข้ามความรู้สึกอยู่เสมอ เธอเป็นอีกคนที่ยอมเสียสละ ยอมถูกคนทั้งโรงเรียนนินทา แม้กระทั่งเหตุการณ์นี้แม่ก็ยังปกป้องเอเว่นแทนที่จะเป็นโซอี้

ตอนที่คอนเนอร์จากไปไม่นาน แม่ก็พยายามปลุกความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับคอนเนอร์ขึ้นมา และอยากให้โซอี้ทำแบบเดียวกัน แต่โซอี้บอกว่าเธอจำได้แต่พี่ชายที่ใจร้ายเหมือนปีศาจเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แม่ปฏิเสธที่จะรับฟังต่อ เธอไม่อยากยอมรับความจริงข้อนั้น เธอแก้ตัวให้คอนเนอร์ว่า “พี่เขากำลังพยายามอยู่”

ในมุมนึงเราก็เก็ทว่าการเสียลูกคนนึงไปมันแย่จริงๆ และคงไม่ง่ายที่จะยอมรับ แต่สิ่งที่แม่ทำกับโซอี้ที่ยังคงหายใจอยู่ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ เพราะถ้าวันนึงโซอี้รับไม่ไหวแล้ว เธออาจเลือกปลดชีวิตของตัวเองไปอีกคนก็ได้

ส่วนตัวเราเคยรู้สึกเหงาแม้จะนั่งอยู่กับเพื่อนๆ เพราะไม่รู้จะร่วมในวงสนทนานั้นยังไง เราเคยกังวลเรื่องเข้าสังคมจนนอนไม่หลับ เคยรู้สึกกลัวที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย และเคยตัวสั่นหงึกๆ เวลาต้องพูดต่อหน้าสาธารณะ

เราเคยคิดว่าตัวเองอาจเป็นคนเดียวบนโลกที่รู้สึกแบบนี้ แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เหมือนมันเข้ามาช่วยปลอบโยนส่วนหนึ่งในตัวเรา ทำให้พบว่าความจริงมีคนอีกมากมายที่เข้าใจความโดดเดี่ยวและกังวลแบบเดียวกันนี้อยู่ ขอแค่เราลองหันมามองและลองเอ่ยปากถามเขาดู

Tags:

สุขภาพจิตวัยรุ่นมิตรภาพสังคมการทำร้ายตัวเองDear Evan Hansen

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • May i Quit Being Mom__cover
    Movie
    May I quit being a mom? ความพยายามดูแลแม่ญี่ปุ่นของรัฐบาล

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Skip and loafer: วิธีมองโลกแบบ ‘มิทสึมิจัง’ ใจดีกับตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ
Book
23 November 2023

รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘รถไฟขนเด็ก’ (il treno dei bambini) นิยายที่อิงประวัติศาสตร์ของอิตาลี ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลงานของ วิออลา ดาร์โดเน (Viola Ardone) แปลเป็นภาษาไทยโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ ที่หยิบยกเรื่องราวความรักที่แม่มีต่อลูก มาเป็นแก่นสำคัญในการเดินเรื่อง
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของ ‘อเมริโก สเปรันซา’ เด็กชายวัย 7 ขวบที่ถูกพ่อแม่ส่งตัวขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ เพื่อไปพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่เขาไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาในช่วงสงคราม และเส้นทางการเติบโตที่ทำให้เขาพบความหมายของคำว่า ‘ครอบครัว’
  • ทุกการกระทำในนามของความรัก มีความปรารถนาดีอยู่ในนั้น แต่ก็อย่างที่มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า ความรักมักมาพร้อมความไม่เข้าใจ บางครั้ง เราอาจรู้ว่าใครรักเรา ทว่า หลายครั้งที่เราไม่เข้าใจในการกระทำของคนที่รักเราเลย

ใครบางคนกล่าวไว้ว่า ความรักที่แม่มีให้กับลูก คือ ความรักที่ปราศจากเงื่อนไขใดๆ และควรนับเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด หากเทียบกับความรักประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความรักฉันชู้สาว ความรักของมิตรสหาย ความรักชาติ ศาสนา สถาบันองค์กรใดๆ หรือแม้กระทั่งความรักในอุดมการณ์อันสูงส่ง

ไม่แปลกที่เรื่องราวความรักของแม่ จะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในงานเขียนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิทานสำหรับเด็ก ไปจนถึงวรรณกรรมคลาสสิก ทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออก

วรรณกรรมเรื่อง ‘รถไฟขนเด็ก’ (il treno dei bambini) ผลงานของ วิออลา ดาร์โดเน (Viola Ardone) อาจารย์สอนภาษาละตินและนักเขียนชาวอิตาลี  แปลเป็นภาษาไทยโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ เป็นหนังสืออีกเล่มที่หยิบยกเรื่องราวความรักที่แม่มีต่อลูก มาเป็นแก่นสำคัญในการเดินเรื่อง

หนังสือเล่มนี้ เป็นนิยายที่อิงประวัติศาสตร์ของอิตาลี ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศได้รับความบอบช้ำอย่างหนัก โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ ซึ่งตกอยู่ในสภาพขาดแคลนทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค

พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาลในขณะนั้น แต่ก็มีบทบาททางการเมืองสูง ดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชน ด้วยการจัดขบวนรถไฟพิเศษ พาเด็กๆ จากครอบครัวยากจนทางภาคใต้ ขึ้นไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ทางภาคเหนือในช่วงฤดูหนาว

อเมริโก สเปรันซา เด็กชายวัย 7 ขวบในเมืองเนเปิลส์ ที่บุบสลายจากไฟสงคราม คือ หนึ่งในเด็กๆ ที่ถูกพ่อแม่ส่งตัวขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ เพื่อไปพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่เขาไม่เคยรู้จักหน้าค่าตา ณ ดินแดนถิ่นเหนือ ที่ภูมิประเทศ สภาพอากาศ แตกต่างจากเมืองในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เขาคุ้นเคย

เด็กน้อยจะรู้สึกอย่างไร เมื่อถูกแม่ของตัวเองส่งตัวไปอยู่กับคนอื่น แม้ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีทุกอย่างครบครัน ทั้งข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่มห่ม การศึกษา และความรัก

และที่สำคัญ ‘แม่’ ซึ่งอเมริโกเรียกว่า ‘แม่อันโตเนียตตาของผม’ เธอรู้สึกอย่างไร ที่ต้องส่งลูกในสายเลือดของตัวเองไปอยู่กับคนอื่น เหตุผลในนามของความหวังดี มีน้ำหนักมากกว่าความผูกพันของแม่อย่างนั้นหรือ

อันโตเนียตตา : แม่ของอเมริโก

อิตาลี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับความรักในครอบครัวเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะความรักระหว่างแม่กับลูก

พ่อชาวอิตาลี จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการหารายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว ขณะที่การเลี้ยงดูฟูมฟัก ตลอดจนให้ความรักแก่ลูก จะเป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ นอกจากการเป็นแม่บ้าน และ ‘แม่’ อย่างเต็มตัว

แต่ไม่ใช่กับ อันโตเนียตตา

อันโตเนียตตา มีลูกชายสองคน คนแรกชื่อ ‘ลุยจิ’ ป่วยเป็นโรคหอบหืดจนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นพอมีลูกคนที่สอง ซึ่งพ่อของเขาตั้งชื่อให้ว่า’ อเมริโก’ เธอตั้งใจจะเลี้ยงดูลูกคนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายดาย  โดยเฉพาะชีวิตของชาวเมืองเนเปิลส์ในยุคหลังสงคราม ความยากจนทำให้พ่อของอเมริโก ตัดสินใจไปหางานทำที่อเมริกา ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า นั่นเป็นการไปเพื่อเสี่ยงโชค หรือแค่ข้ออ้างในการทอดทิ้งครอบครัว

อันโตเนียตตา ต้องทำงานทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ ทั้งเก็บเศษผ้าเก่ามาซ่อมแซมแล้วขาย รวมไปถึงการ ‘ขาย’ อะไรบางอย่างให้กับคาเปเฟียร์โร เพื่อนบ้านที่เป็นพ่อค้าขายผ้า ซึ่งทุกครั้งที่คาเปเฟียร์โรมาที่บ้าน อันโตเนียตตาจะไล่ลูกชายให้ออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะเธอกับคาเปเฟียร์โร จะต้อง ‘ทำงาน’ ด้วยกันเพียงลำพังสองคน

ทุกอย่างที่อันโตเนียตตาทำ เธอทำเพื่อให้ลูกชายของเธอ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด นั่นรวมไปถึงการอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี

“แม่อันโตเนียตตาของผมเคยบอกว่า เรายากจนก็จริง แต่ไม่ขโมยของของใคร เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนเลว” 

ไม่เพียงแต่จะไม่ขโมยของจากคนอื่น อันโตเนียตตายังไม่คิดที่จะ “ขอ” จากใครด้วย เธอเคยพูดกับเพื่อนบ้านคนหนึ่งว่า

“ในชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยขออะไรจากใครเลย หรือถ้าขอก็คืนให้เสมอ แต่ถ้าคืนไม่ได้ ฉันก็จะไม่ขอ”

ท่ามกลางเสียงค่อนขอดนินทาจากเพื่อนบ้านว่า เธอกำลังขายลูกกิน ขณะที่บางคนบอกว่า พรรคคอมมิวนิสต์ จะพาเด็กๆ เหล่านั้นไปทำงานที่รัสเซีย บ้างก็ว่า เด็กๆ จะถูกส่งเข้าเตาเผาด้วยซ้ำ อันโตเนียตตา ตัดสินใจส่งลูกชายไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่เธอเองก็ไม่รู้จัก เพราะเชื่อว่า นั่นคือหนทางสุดท้ายที่จะให้อเมริโกได้มีอาหารกินอิ่มท้อง ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับ

มัดดาเลนา : แม่ผู้มีบาดแผลในใจ

ตัวละครสำคัญอีกตัวของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเปรียบเหมือนแม่คนที่สองของอเมริโก คือ ‘มัดดาเลนา’ หญิงสาวผมสั้นสวมกางเกงเหมือนผู้ชาย สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ผู้เป็นแกนนำสำคัญในการพาเด็กๆ ขึ้นรถไฟไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ทางภาคเหนือ เธอเป็นคนกล้าหาญ เคยต่อสู้กับทหารนาซีเยอรมันจนได้รับเหรียญประกาศเกียรติคุณ และยังเปี่ยมด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง

มัดดาเลนา เชื่อว่า ความหิวโหยไม่ใช่ความผิด แต่เป็นความอยุติธรรม และผู้หญิงจะต้องรวมตัวกันเพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น

แม้ว่าภาพลักษณ์จะดูเหมือนสาวแกร่ง ก๋ากั่น แต่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ ไม่ต่างอะไรจากแม่พระผู้คอยปลอบประโลมเด็กๆ ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวโดยสายเลือด ก่อนจะไปสู่อ้อมกอดของครอบครัวอุปถัมภ์

“ความรักมีหลายรูปแบบ ไม่เฉพาะในแบบที่พวกเธอคิด” มัดดาเลนา ขัดขึ้น “อย่างการมาอยู่บนรถไฟกับเด็กซนๆ เยอะแยะอย่างนี้ไม่เรียกว่าความรักหรอกหรือ แล้วพวกแม่ๆ ที่ยอมให้พวกเธอขึ้นรถไฟไปอยู่เมืองไกลๆ… นั่นก็ไม่เรียกว่าความรักเหมือนกันหรือ”

ทว่า บางครั้ง ภายใต้ผิวหน้าอันงดงามของความรัก อาจจะมีความเจ็บปวดร้าวรานซุกซ่อนอยู่ มัดดาเลนา เคยตั้งท้องและคลอดลูกสาวตั้งแต่ยังวัยรุ่น ด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกขับออกจากพรรค เพราะทำให้เสื่อมเสีย เธอตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างให้ลูกสาวของเธอหายไปจากชีวิต

อาจกล่าวได้ว่า ความพยายามของมัดดาเลนา ในการผลักดันโครงการรถไฟขบวนพิเศษ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆที่ตกทุกข์ได้ยาก แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ ความพยายามไถ่บาปแต่ครั้งวัยเยาว์ของเธอ

“สิ่งที่ฉันไม่อาจทำให้ลูกสาวของฉันได้ ฉันก็ทำให้ลูกๆ ของคนอื่น” 

แน่นอน ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายและตรงไปตรงมา มัดดาเลนา ไม่รู้เลยว่า ความปรารถนาดีของเธอ ทำให้ชีวิตของเด็กชายที่ชื่อ อเมริโก เปลี่ยนไปอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

อเมริโก : ลูกชายของแม่

อเมริโก สเปรันซา ไม่ใช่เด็กดีตามแบบฉบับ จะเรียกว่าเป็นเด็กกะล่อนก็ไม่น่าจะผิด เขาถูกครูตบกบาลอยู่บ่อยๆ เคยร่วมมือกับเพื่อนจับหนูมาตัดหาง ทาสีสวยๆ หลอกขายคนที่อยากเลี้ยงแฮมสเตอร์

แต่เขาเป็นเด็กจิตใจดี และรักแม่สุดหัวใจ เมื่อแม่บอกให้เขาขึ้นรถไฟเพื่อไปอยู่กับครอบครัวอื่นในช่วงฤดูหนาว เขาก็ยินดีไปโดยไม่อิดออด (แม้ว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ยอมไป จะเป็นเพราะคาดหวังจะได้รองเท้าคู่ใหม่ก็เถอะ)

ไม่เพียงแต่รองเท้าคู่ใหม่เท่านั้น เมื่ออยู่กับครอบครัวเบนเวนูติ อเมริโกยังได้อะไรอีกหลายอย่าง ทั้งอาหารอร่อย ความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่พี่น้อง และที่สำคัญ เด็กน้อยได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่เขารัก นั่นคือ เครื่องดนตรีที่มื่ชื่อว่า ไวโอลิน

ครั้นหมดฤดูหนาว ถึงเวลากลับคืนบ้านเกิด อเมริโก และเด็กๆ ที่ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษมาด้วยกัน ต่างรู้สึกหนักอึ้งในใจ เหมือนพวกเขากำลังต้องออกเดินทางออกจากบ้าน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังกลับบ้านต่างหาก

ต็อมมาซี เพื่อนของอเมริโก ใช้คำว่า “เราถูกแบ่งเป็นสองซีกเสียแล้ว”

จิตใจของอเมริโกถูกแบ่งเป็นสองซีกเสียแล้ว เด็กน้อยเริ่มสับสนและลังเลใจว่า ครอบครัวไหนคือครอบครัวของเขา และที่สำคัญ เขามีสิทธิที่จะเลือกครอบครัวหรือไม่

ในตอนที่กลับมาอยู่กับแม่อันโตเนียตตาอีกครั้ง ในใจของอเมริโกเต็มไปด้วยความสับสน เขารักแม่ของเขา แต่เขาก็รักครอบครัวใหม่ด้วยเช่นกัน แล้วถ้าจำเป็นต้องเลือก เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใคร

สุดท้าย กลายเป็นแม่อันโตเนียตตา ที่เป็นคนทำให้อเมริโกตัดสินใจได้ในที่สุด  เธอปิดบังไม่ให้เขารู้ว่าครอบครัวอุปถัมภ์ส่งจดหมายและฝากข้าวของมาให้ตลอด และที่สำคัญ เธอยึดไวโอลิน เครื่องดนตรีสุดรักของอเมริโก ซึ่งไม่ต่างจากการพรากเอาความฝันไปจากเด็กน้อย

“เอ็งต้องตื่นจากความฝันนั้นเสียทีนะ อเมริ ชีวิตของเอ็งอยู่ที่นี่…” แม่อันโตเนียตตา ตะคอกใส่หน้าเด็กน้อย พร้อมเสริมว่า “แม่ทำสิ่งที่ดีสำหรับเอ็ง”

การกระทำของแม่อันโตเนียตตา ทำให้อเมริโกตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ เขาเติบโตกลายเป็นนักไวโอลินที่มีชื่อเสียง ภายใต้ชื่อ อเมริโก เบนเวนูติ แต่เหมือนชีวิตยังหลงทาง เขาไม่เคยกลับไปเจอหน้าแม่อันโตเนียตตาอีกเลย จนถึงวันที่แม่เขาจากโลกนี้ไป

อเมริโก กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง กลับมาเพื่อค้นหาและพบเจอหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงความหมายของคำว่า ‘ครอบครัว’

สำหรับผมแล้ว หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่นิยายฟีลกู้ด ไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับเด็ก หากแต่เป็นเรื่องราวชีวิตจริงของคนๆ หนึ่ง ที่เส้นทางชีวิตของเขา ถูกถักทอ ถูกร้อยรัด หรือกระทั่งถูกลากจูงด้วยความรักของผู้คนหลายคน

แน่นอนว่า ทุกการกระทำในนามของความรัก มีความปรารถนาดีอยู่ในนั้น แต่ก็อย่างที่มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า ความรักมักมาพร้อมความไม่เข้าใจ บางครั้ง เราอาจรู้ว่าใครรักเรา ทว่า หลายครั้งที่เราไม่เข้าใจในการกระทำของคนที่รักเราเลย

แต่ก็นั่นแหละ บางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องราวของความรัก อาจไม่จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจ แค่ใช้ความรู้สึกก็พอ

หนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เข้าใจ และชวนให้ขบคิดสงสัย ซึ่งก็อาจเป็นเจตนาของผู้เขียนที่ต้องการให้เราคิดต่อไปเอง ไม่ว่าจะเป็น ใครคือพ่อที่แท้จริงของอเมริโก คนที่ไปเสี่ยงโชคที่อเมริกา หรือเพื่อนบ้านที่ชื่อคาเปเฟียร์โร (ผู้มีชื่อจริงว่า ลุยจิ อเมริโอ) หรือแม้แต่การกระทำหลายๆ อย่างของแม่อันโตเนียตตา

แต่ก็นั่นแหละ บางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องราวของความรัก อาจไม่จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจ แค่ใช้ความรู้สึกก็พอ

ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของมัดดาเลนา ที่บอกกับอเมริโกว่า

“อเมริ บางครั้ง คนที่ปล่อยเราไปก็รักเรามากกว่าคนที่รั้งเราไว้”

Tags:

หนังสือความรักเด็กครอบครัวสงครามรถไฟขนเด็กil treno dei bambiniพ่อแม่

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Young Sheldon: จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่? 
Dear Parents
17 November 2023

Young Sheldon: จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่? 

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ซีรีส์ Young Sheldon เล่าเรื่องราววัยเด็กของเชลดอน (Sheldon) คาแรคเตอร์หลักที่จี๊ดจ๊าดที่สุดในซีรีส์คอมเมดี ‘The Big bang Theory’ นักฟิสิกส์ผู้มีความอัจฉริยะด้านไอคิวสูง ที่นอกจากความฉลาดก็คือความซื่อตรงจริงใจที่บางครั้งก็เป็นทั้งด้านดี และทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บหัวไปตามๆ กัน
  • แม่ของเชลดอนเป็นคนเคร่งศาสนา ในขณะที่เชลดอนไม่เชื่อในพระเจ้า ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เขาเชื่อในตัวแม่ของเขา
  • เชลดอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและความเชื่อที่ต่างออกไปได้โดยไม่มีผู้ใหญ่หรือฝ่ายไหนก็ตามตัดสินว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชื่อนั้น ‘โง่’ หรือ ‘แย่’ กว่า

ถ้าใครเป็นแฟนคลับซีรีส์ The Big bang Theory จะต้องแอบกรี๊ดเบาๆ แบบเราแน่นอนเมื่อรู้ว่าซีรีส์ Young Sheldon ได้เข้ามาสตรีมมิ่งใน Netflix แล้ว!

เชลดอน (Sheldon) คือคาแรคเตอร์หลักที่จี๊ดจ๊าดที่สุดในซีรีส์คอมเมดี ‘The Big bang Theory’ เขาคือนักฟิสิกส์ผู้มีความอัจฉริยะด้านไอคิวสูงปรี๊ด มีความรอบรู้และมีความจำเป็นเลิศจนบางครั้งก็เหมือนหุ่นยนต์เอไอเดินได้ บางคนก็บอกว่าเขาบ้า แต่เขาก็มักจะตอบกลับไปว่า “เขาไม่ได้บ้า แม่พาเขาไปตรวจแล้ว” (I’m not crazy, my mother had me tested.) จุดเด่นของเขานอกจากความฉลาดก็คือความซื่อตรงจริงใจที่บางครั้งก็เป็นทั้งด้านดี และทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บหัวไปตามๆ กัน

เรามักจะคิดว่า เชลดอนเติบโตมายังไงกันนะถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ (ฮ่าาา) และซีรีส์ Young Sheldon ก็คือโอกาสที่จะได้รู้เรื่องราวของเชลดอนให้มากขึ้น โดยซีรีส์ได้ย้อนกลับไปเล่าเรื่องของเชลดอนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

เชลดอนเติบโตในเมืองเทคซัส สหรัฐอเมริกา เขาอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ มีมอ (Meemaw ชื่อที่เขาใช้เรียกยายของเขา) พี่ชาย และน้องสาวฝาแฝด เชลดอนเข้าเรียนชั้นม.ปลายตั้งแต่อายุ 9 ขวบและเริ่มเรียนมหาลัยตอนอายุ 11 ขวบ

‘แมรี’ แม่ของเชลดอนเป็นคนเคร่งศาสนา ในขณะที่เชลดอนไม่เชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเชื่อคือสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างวิทยาศาสตร์ แล้วมันจะมีตอนหนึ่งที่เขาไปโบสถ์กับแม่เพราะกลัวว่าแม่จะรู้สึกเหงา เขาบอกว่าถึงเขาจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เขาเชื่อในตัวแม่ของเขา

แต่เมื่อเชลดอนไปโบสถ์ เขาก็ได้ไปถามคำถามที่ท้าทายความเชื่อของบาทหลวง จนบาทหลวงต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

บาทหลวงเลยลองตั้งคำถามชวนคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงต้องไม่ด่วนตัดสินใจไปก่อนรึเปล่า เชลดอนควรได้วิจัยก่อนจะสรุปว่าพระเจ้ามีจริงมั้ย

เมื่อเชลดอนเริ่มหันมาสนใจในศาสนา เขาบอกกับครอบครัวว่าเขาตัดสินใจจะศึกษาทุกศาสนารวมถึงความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ด้วย เพราะมันคือการขยายฐานข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่า แมรี แม่ของเขาผู้เคร่งในศาสนาคริสต์แบบแบปติสต์ไม่เห็นด้วยอย่างแรง เชลดอนเลยถามกลับด้วยความซื่อตรงว่า “ชาวอเมริกันอย่างผมไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกศาสนาเองหรอ” ซึ่งนี่คือคำถามของเด็กอายุ 9 ขวบอย่างเชลดอนที่ทำให้แมรีถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

วันหนึ่งหลังจากเชลดอนศึกษาหลากหลายศาสนามาสักพัก แมรีเข้ามาพูดคุยเพราะหวังใจลึกๆ ว่าเชลดอนจะหันมาเชื่อในศาสนานิกายเดียวกับที่เธอนับถือ เชลดอนถามว่า

“แม่จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่” แมรีตอบว่า “แม่ไม่มีทางที่จะโกรธลูกลง ลูกคือผู้แสวงหาความจริงของตัวเอง” 

แม้สุดท้ายผลจะออกมาว่าเชลดอนก็ยังคงเชื่อในวิทยาศาสตร์มากกว่าพระเจ้าอยู่ดี (แน่ล่ะ) แต่เขาก็ได้ความรู้เกี่ยวกับศาสนามาอย่างแน่นปึ้ก และยังคงไปเข้าร่วมที่โบสถ์อยู่เรื่อยๆ พร้อมกับการตั้งคำถามท้าทายความเชื่อตลอดไป โดยที่แม่ก็ไม่โกรธอย่างที่ได้พูดไว้กับเขา

จากประสบการณ์ที่เราเจอมาทำให้เรารู้สึกประทับใจในเหตุการณ์นี้เป็นพิเศษ เพราะเราเติบโตมากับการต้องเชื่อฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน

 แต่เชลดอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและความเชื่อที่ต่างออกไปได้โดยไม่มีผู้ใหญ่หรือฝ่ายไหนก็ตามตัดสินว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชื่อนั้น ‘โง่’ หรือ ‘แย่’ กว่า

แล้วยิ่งเป็นเรื่องศาสนาด้วย เราว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเปิดใจให้กัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดและต้องป้องกันตัวเอง การที่ต่างฝ่ายต่างรับฟังกันมันได้เผื่อที่ว่างให้กับการเป็นครอบครัวที่ยังรักและเคารพซึ่งกันและกัน 

และซีรีส์นี้ยังเต็มไปด้วยประเด็นเรื่องชีวิตและครอบครัวที่เราสนใจอีกมากมาย อย่างตอนนึงที่เชลดอนกับ ‘มิสซี่’ ได้เข้าร่วมวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของฝาแฝด 

มิสซี่ เป็นพี่น้องฝาแฝดของเชลดอน ที่ไม่มีอะไรเหมือนเชลดอนเลย เธอไม่ใช่เด็กที่จะถูกเรียกว่าเด็กน้อยอัจฉริยะ เธอเข้าเรียนตามวัยและสนใจเรื่องทั่วไปอย่างที่เด็กประถมส่วนใหญ่สนใจ 

งานวิจัยที่พวกเขาเข้าร่วม นอกจากการตอบคำถาม ก็มีกิจกรรมให้ดูภาพที่ไม่มีคำอธิบายเพื่อให้มิสซี่และเชลดอนอธิบายภาพจากท่าทางและบรรยากาศ มิสซี่สามารถเล่าเรื่องราวและคาดเดาอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตในภาพได้ รวมถึงจินตนาการเรื่องราวต่อจากประสบการณ์ของตัวเองได้อีกตังหาก

ต่างกับเชลดอนที่มองเห็นแต่ข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมาและเมื่อถูกถามจี้ถึงความหมายของท่าทางต่างๆ ในภาพ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเพราะไม่เข้าใจว่านักวิจัยต้องการอะไรจากเขา เขาคิดว่าจุดประสงค์ของการวิจัยคือการทดสอบว่าเขาฉลาดแค่ไหน นักวิจัยจึงบอกว่า ‘ความอัจฉริยะมีหลายรูปแบบ’ (There are different kinds of Intelligence.) แต่เชลดอนไม่ซื้อความคิดนั้น และยืนยันว่ามันมีรูปแบบเดียวก็คือแบบที่เขาเป็นอยู่ 

กลับมาที่มิสซี่ เธอถูกนักวิจัยชมว่า เธอมีสายตาที่แหลมคม สามารถมองเห็นสิ่งที่บางครั้งคนก็มองข้าม ซึ่งทำให้มิสซี่เผยออกมาว่า เธอมักจะอยู่คนเดียวบ่อยๆ เธอเลยคิดว่ามันทำให้เธอกลายเป็นคนช่างสังเกต “พ่อกับพี่ชายคนโตอยู่ทีมเดียวกัน แม่กับยายมักจะดูแลเชลดอน เลยไม่มีใครสนใจเธอเท่าไหร่ เธอบอกว่าเหมือนพวกเขาอยู่ทีมเดียวกัน แล้วทีมของเธอมีแค่เธอคนเดียว” ซึ่งคำตอบนั้นของมิสซี่ทำให้ทั้งครอบครัวตระหนักได้ว่าควรเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับเธออีกครั้ง

เรารู้สึกว่าเขาเอาประเด็นเหล่านี้มาเล่าได้อย่างดี ทั้งเรื่องความฉลาดเฉลียวที่แตกต่างกัน ไม่ได้มีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรถูกชื่นชมแค่อย่างเดียว หรือการถูกครอบครัวมองข้ามโดยไม่ตั้งใจ และรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้เก็บรายละเอียดความเป็นเชลดอนไว้ครบถ้วน ทั้งความฉลาดที่น่าทึ่ง และความจริงใจจนกวนประสาท เหตุการณ์หลายอย่างที่เชลดอนเคยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในตอนโตก็โผล่มาให้เราได้ดูจนต้องแอบกรี๊ดคนเดียวเบาๆ 

เราคิดว่า ไม่ว่าจะเริ่มจากดูซีรีส์เรื่องไหนก่อน ระหว่าง Young Sheldon กับ The Big bang Theory ก็น่าจะดูรู้เรื่องทั้งนั้น และทำให้รู้สึกว่าคาแรคเตอร์เชลดอนสมบูรณ์และเสมือนจริงยิ่งขึ้นไปอีก หรือถึงไม่อินกับคาแรคเตอร์ของเชลดอนก็เหมือนได้ไปรู้จักครอบครัวตลกๆ (มีทั้งครอบครัวที่เราเติบโตมาและครอบครัวที่เราเลือกเอง) ผสมความอบอุ่น และมีพาร์ทน้ำตาซึมแน่นอน

Tags:

ปฐมวัยซีรีส์ศาสนาครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    The Makanai: cooking for the maiko house ประเทศที่คนจะทำอาชีพอะไรก็ได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.5 ‘เด็กพูดโกหก’ 

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ
Healing the trauma
16 November 2023

ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • บางครั้งเราจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทำร้ายทารุณ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผูกพันกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นโทษต่อเรา หรือทำร้ายเราทางกายหรือจิตใจ
  • เด็กแต่ละคนตอบสนองต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกัน บางคนอาจจะเก็บไว้ มาแสดงอารมณ​์ออกไป ซึ่งผลที่ตามมานั้นอาจทำให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ชินกับการกดความโกรธไว้ในใจ
  • ขั้นตอนสำคัญของการเยียวยาและออกมาหากต้องการก็คือ ยอมรับให้ได้ก่อนว่าพฤติกรรมนั้นๆ มันทำร้ายหรือเป็นโทษกับเราจริงๆ และเลิกหลอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค

1.

ความผูกพันอันไม่น่าไว้วางใจ

เคยไหม? ที่เกิดรู้สึกผูกพันกับใครบางคนอย่างเข้มข้น และยังรู้สึก ‘คุ้นๆ’  ‘ฉันเคยไปที่นี่มาแล้วในอดีตและมันยังไม่จบ’ สัญชาตญาณบรรพกาลถูกกระตุ้น 

ในขณะเดียวกันก็รู้แต่แรกหรือทีหลังว่ามีความทารุณอยู่ แต่.. ก็ถูกดูดเข้าไปเหมือนคนโดนของ ถูกสะกดโดยจอมขมังเวทย์ ราวกับคนชอบดูหนังผีสยดสยองและจิตวิตยาเขย่าขวัญแม้มันรบกวนใจ

แล้วเราก็ผูกพันกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นโทษต่อเรา หรือทำร้ายเราทางกายหรือจิตใจ..

2.  

ผูกพันกับคนที่ทำร้ายทารุณ

 ในความผูกพันลักษณะดังกล่าว ฝ่ายหนึ่งจะซ้ำวงจรความเสน่หาและความรุนแรงอย่างแปรปรวนและถืออำนาจบงการมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ยอมจำนน ฝ่ายหลังมักพยายามเอาใจ ปกป้องหรือหาเหตุผลแก้ตัวให้ฝ่ายที่ทำไม่ดีกับตัวเอง, ซ่อนความต้องการและความรู้สึกของตัวเพราะถ้าพูดออกไปจะโดนเล่นงาน ฯลฯ ซึ่งความผูกพันที่มีลักษณะเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเชิงโรแมนติกเสมอไป 

กระจกและการเวียนสลับบท

อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ได้เรียนรู้มากนักหากลดทอนว่าอีกฝ่ายเท่านั้นกระทำทารุณส่วนเราก็แค่ถูกกระทำ หากเราผ่านการเยียวยามาและเข้มแข็งพอจะมองแล้ว อีกฝ่ายสามารถเป็น ‘กระจก’ ส่องหลายพฤติกรรมลบๆ แบบเดียวกันที่เราก็เคยทำ อีกทั้งทำให้เห็นส่วนที่ยังไม่ได้เยียวยาของตัวเอง  การถูกทำร้ายและการทำร้ายนั้นปฏิสัมพันธ์กันอยู่ ซึ่งหากบทบาทนั้นสลับไปมาได้ นั่นแปลว่าหลายครั้งเราก็อาจทำร้ายทารุณอีกฝ่ายเหมือนกัน เราสามารถเพิ่มความตระหนักรู้และเห็นความย้อนแย้งในสิ่งทั้งปวงรวมถึงในตัวเอง ที่สุดแล้วก็ไม่อาจยึดถือว่าเรื่องเล่าใดเรื่องเล่าหนึ่งเป็นคำตอบเดียวถาวร

ความสัมพันธ์ของเด็กกับผู้ดูแลซึ่งเด็กต้องพึ่ง

แต่หากจะมองว่ามีใครคนหนึ่งมีพฤติกรรมทำร้ายเป็นหลัก (ในที่นี้ขอเน้นเฉพาะทางจิตใจก่อน) คนที่เสี่ยงจะผูกพันกับคนที่ทำร้ายเขา ก็คือคนที่เคยถูกทำร้ายทารุณลักษณะนั้นๆ ในอดีตซึ่งมักเป็นวัยเด็ก (หรืออีกมุมหนึ่ง เด็กไม่ได้ถูกทำร้ายแต่ก็รู้สึกบาดเจ็บและด้อยค่าตนเองไปแล้ว และพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เจตนาทำร้าย เช่น พ่อแม่จำเป็นต้องทิ้งเด็กตั้งแต่แรกเกิดหรือทอดทิ้งเด็กในโอกาสต่างๆ ที่เด็กกำลังต้องการเพราะจำเป็น)  

ทว่าบางกรณีพ่อแม่อารมณ์ร้อนฉับไวในการระเบิดอารมณ์ใส่เด็กเป็นอาจิณเมื่อไม่ได้ดั่งใจ, พรั่งพรูถ้อยคำลดทอดคุณค่า, คอยหักล้างความเป็นจริงที่เด็กรับรู้ถ้าหากมันจะไปกระทบตัวตนของพ่อแม่ ฯลฯ 

เด็กแต่ละคนตอบสนองต่อเหตุการณ์ทำนองเดียวกันไม่เหมือนกัน หนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากสถานการณ์ลักษณะนี้ก็คือ เด็กสร้างความชอบธรรมให้พฤติกรรมที่เป็นโทษกับตัวเองซึ่งกระทำโดยคนที่เด็กรักและต้องพึ่งพา เด็กโทษตัวเองแทน สัญญาณเตือนภัยและการตอบโต้จะทำงานอย่างไรหากอันตรายมาจากคนที่ดูแลเด็ก? เด็กอาจไม่เคยรู้สึกดีพอ หวาดระแวงว่าจะถูกทำโทษ ชินกับการทำให้ความทุกข์ของตัวเป็นเรื่องเล็กและความจริงของตัวไม่มีความหมาย อีกทั้งคอยปรับพฤติกรรมคำพูดให้ถูกใจพ่อแม่และคนรอบข้าง 

ผู้ใหญ่กับการสานสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

เด็กคนนั้นโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ชินกับการกดความโกรธ ปกป้องอาณาเขตตัวเองได้ยาก และละเลยสัญญาณเตือนภัยแม้จะสัมผัสเค้าลาง โดยเฉพาะเมื่อมันคุ้นมาก และที่ผ่านมาก็เอาแต่บอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” “ความรู้สึกคนอื่นสำคัญกว่าของเรา” 

ในความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก หากเขาได้รับการทุ่มเทกระหน่ำรักในตอนต้นจากคนที่มีพฤติกรรมทารุณแต่เขาคุ้นกับพฤติกรรมและยังไม่ได้ทำงานกับแผลเก่า มันก็ง่ายที่จะถูกดึงดูด (ส่วนความสัมพันธ์ที่นำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีกว่าก็ดันไม่น่าสนใจ) อาจถึงขั้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่ถูกด้อยค่า ถูกปั่นให้สงสัยในความรับรู้ของตัวเอง (gaslighted) ถูกแยกให้โดดเดี่ยวทำให้ถูกบงการโดยอีกฝ่ายโดยง่ายนั้น เป็นเคมีที่เข้ากันอย่างอัศจรรย์ เป็นจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหาย หลงเชื่อว่าความรักดำรงอยู่ในการถูกข่มเหงและในความโมโหโทโสจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ หมกมุ่นกับคนที่ไม่เสถียรเหมือนต้องเดินบนเปลือกไข่ที่จะถูกทำโทษตลอดเวลา ฯลฯ  

ความสัมพันธ์อันทารุณในแวงวงทางจิตใจ

หากผู้ที่มีบาดแผลในวัยเด็กไปซ้ำรอยความสัมพันธ์ที่มีการทำร้ายทารุณกับคนในแวดวงแนวหมอดูคนทรง, สำนักจิตวิญญาณอุดมการณ์ ‘ดีงาม’  ในเครือข่ายความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์และสิเน่หาอื่นๆ เรื่องราวก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้น บรรดาผู้รอดอาจถูกต่อว่าแทนทั้งที่ยังต้องพยายามเยียวยาตนเองอย่างหนักและมักแก้ต่างให้กับผู้ทำทารุณ และ/หรือกระทำสิ่งที่กฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดต่อตนด้วยซ้ำไป 

เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ผู้สนใจศึกษาเพิ่มจากสื่อต่างๆ ได้เอง หนังสือซึ่งพยายามไม่ตัดสินฝ่ายใดเลยที่แนะนำคือ The Wisdom of Imperfections มีประเด็นน่าสนใจ เช่น 

● ความต้องการ(ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่)เป็นคนโปรด/วงในของครูบาอาจารย์ เจ้าลัทธิต่างๆ เป็นเสมือนความหิวโหยความรักจากพ่อแม่อย่างหนึ่ง

● ผู้มีลำดับขั้นสูงใช้อำนาจเหนือ(ซึ่งอาจไม่รู้ตัวว่าใช้)ในทางที่เป็นโทษในที่ลับต่อผู้ศรัทธาบางคน และอาจปั่นให้ผู้ศรัทธาสงสัยความรับรู้ของตนเอง แต่ผู้ศรัทธาอาจเป็นแพะรับบาปแทน 

● ความเชื่อทาง ‘จิตวิญญาณ’ บางทีก็ถูกนำมาชดเชยคุณค่าในตัวที่ผู้ศรัทธารู้สึกขาด หรือความเชื่อกลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงความป่วยไข้ร่วมกันของผู้มีศรัทธา(แม้คนเราหาปัญญาได้จากสิ่งที่ถูกเรียกว่าป่วย) 

● การนำอำนาจกลับมาที่ตนเองของผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ

3.

ตื่นๆ! ยอมรับก่อนว่ามีบางอย่างที่เป็นโทษ ซึ่งไม่ใช่การติดอยู่ในบทเหยื่อ

ไม่ว่าบริบทจะเป็นเช่นไร เราอาจตระหนักว่าได้พยายามใช้ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้ายมาแก้ไขอดีตที่พ่อแม่ หรือใครสักคนเคยกระทำหรืองดเว้นการกระทำบางอย่างกับเรา

อีกทั้ง เราสามารถทำความเข้าใจ เห็นใจและให้อภัยอีกฝ่ายได้ 

แต่.. ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมทารุณต่อเรา เพราะเขาเองก็เคยถูกพ่อแม่/ผู้ดูแลทำแบบนั้นมาก่อนหรืออะไรก็ตาม ขั้นตอนสำคัญของการเยียวยาและออกมาหากต้องการก็คือ ยอมรับให้ได้ก่อนว่าพฤติกรรมนั้นๆ มันทำร้ายหรือเป็นโทษกับเราจริงๆ และเลิกหลอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค 

เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมต่อไปหรอกนะ 

อ้างอิง

The Wisdom of Imperfections โดย Rob Preece

Healing Trauma in a Toxic Culture with Dr. Gabor Maté | Being Well Podcast

How to be a Cult Leader สารคดีซึ่งมีฉายใน Netflix 
How to Tell if You’re in a Trauma Bonding Relationship: An unhealthy relationship characterized by cycles of ‘love-bombing” and abuse โดย Melissa Porrey LPC, NCC

No Such Thing as a Good Cult with Mark Vicente Part 1 | Navigating Narcissism with Dr. Ramani WATCH THIS! To learn how to break the trauma bond with a narcissist หมายเหตุ* หากต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมแบบแรงชัดจัดเต็มให้ดูเนื้อหาของ Dr.Ramani Suryakantham Durvasula แต่หากต้องการข้อมูลที่นุ่มนวลขึ้นให้ค้นหาชื่อ Dr.Gabor Maté 

Tags:

การเลี้ยงดูสุขภาพจิตพ่อแม่ความรุนแรงการเยียวยา

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Social Issue
    ยุติการบูลลี่ เริ่มต้นที่ทัศนคติของผู้ใหญ่: พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘ตัดออกดีกว่าเพิ่มเข้า’ การคิดนอกกรอบแบบลดทอนที่อาจเป็นทางออกของปัญหาเดิมๆ
How to enjoy life
14 November 2023

‘ตัดออกดีกว่าเพิ่มเข้า’ การคิดนอกกรอบแบบลดทอนที่อาจเป็นทางออกของปัญหาเดิมๆ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘การคิดแบบลดทอน’ เป็นการคิดนอกกรอบแบบหนึ่ง แทนที่จะคิดแบบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมระบบเดิมซึ่งทำกันจนแทบจะเป็นอัตโนมัติ เสมือนเชื่อว่าสิ่งที่คุ้นเคยและเห็นกันอยู่ทุกวันนั้น เป็นสิ่งที่แทบจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว
  • ความพยายามแก้ปัญหาด้วยการตัดออกจำเป็นต้องอาศัย ‘ความพยายาม’ มากกว่าการเพิ่มเข้า ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ต้องใช้ความพยายามน้อยกว่า ผู้คนก็มี ‘ระบบอัตโนมัติ’ ประจำตัวที่จะใช้การเพิ่มเข้ามากกว่าการตัดออก
  • ยกตัวอย่างหูฟังแบบไร้สาย ถ้าสายหูฟังเกะกะและไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก การไร้สายก็ไม่ได้ทำให้หูฟังหล่นหายง่ายหรือบ่อยอย่างที่หลายคนเชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนปรับตัวใช้หูฟังแบบไร้สายมากขึ้นเรื่อยๆ

การฝึกคิดนอกกรอบเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนทั่วไป เพราะเราถูกหล่อหลอมให้คิดเหมือนๆ กัน เพื่อที่จะได้มีสัมพันธภาพที่ดีกับคนในกลุ่ม และอยู่รอดได้ดีโดยเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ แบบคนยุคโบราณ แต่การจะเกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ หรือนวัตกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้นั้น เราจำเป็นต้องคิดใหม่ทำใหม่ 

การคิดนอกกรอบแบบหนึ่งที่ยากและคนยังพูดถึงกันไม่มาก เพราะเรื่องนี้ใหม่แม้แต่กับนักวิจัยเองก็คือ ‘การคิดแบบลดทอน’ แทนที่จะคิดแบบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมระบบเดิมซึ่งทำกันจนแทบจะเป็นอัตโนมัติ เสมือนเชื่อว่าสิ่งที่คุ้นเคยและเห็นกันอยู่ทุกวันนั้น เป็นสิ่งที่แทบจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว

นี่คือเรื่องอันตราย เพราะความเชื่อดังกล่าวไม่จริงเลยแม้แต่น้อย!

โลกของเราดีขึ้นทุกวันด้วยการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีละน้อยเป็นหลัก และมีเป็นครั้งคราวที่เป็นการเปลี่ยนแบบปุบปับ ดังที่เราเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า ‘ดิสรัปชัน (disruption)’ กันบ้างแล้ว ตัวอย่างที่เห็นต่อหน้าต่อตาคือ การมาถึงของ generative AI ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ตอบคำถามยากๆ ที่คนทั่วไปตอบไม่ได้ วาดรูปที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือวางแผนต่างๆ (แผนการทำงาน แผนการเดินทาง แผนการนำเสนอ ฯลฯ) ให้ 

หลายคนหลายวงการถึงกับตื่นตระหนกกับการมาถึงของ ChatGPT กับ Midjourney และ AI อื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ว่ามันจะมาแย่งงานและลดทอนมูลค่าผลงานจากฝีมือมนุษย์หรือไม่ คนที่ทำงานจำเพาะบางอย่างที่อาจสร้างมูลค่าสูงมาก เช่น งานศิลปะ กำลังจะถูกด้อยค่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานได้คล้ายคลึงกัน แต่เร็วกว่าและถูกกว่าอย่างมาก 

กลับมาที่เรื่องการคิดนอกกรอบ ตัวอย่างหนึ่งของวิธีการคิดแบบนี้ที่น่าสนใจคือ แนวคิดแบบลดทอน เช่น สิ่งที่เรียกว่า ‘จักรยานสมดุล (balance bike)’

ใครที่มีลูกหลานที่เป็นเด็กและต้องการขี่จักรยานเป็น อาจจะสังเกตเห็นการฝึกเด็กเล็กๆ ให้รู้จักกับการขี่จักรยานที่มักเริ่มจากการใช้จักรยานที่มีล้อเสริมเล็กๆ อีก 2 ล้อทางด้านหลังหรือไม่ก็เป็นจักรยานแบบ 3 ล้อที่มี 1 ล้อหน้าและ 2 ล้อหลัง ซึ่งทำให้รถจักรยานแบบนี้สมดุลไม่ล้มเองง่ายๆ ตามธรรมชาติอยู่แล้ว 

นี่คือการคิดแบบเพิ่มเติมเข้าไปในสิ่งที่มีอยู่เดิมเพื่อแก้ปัญหา  

เมื่อเด็กเล็กคุ้นกับจักรยานแบบนี้สักพักแล้ว จึงมีโอกาสฝึกปั่นจักรยาน 2 ล้อ ได้มีโอกาสล้มค่ำคะมำหงาย จนค่อยๆ ทรงตัวอย่างสมดุลบนจักรยาน 2 ล้อได้ในที่สุด

‘จักรยานฝึกหัด’ ที่เล่ามานี้มีการเพิ่มล้อเข้าไป 1 ล้อหรือ 2 ล้อ แต่เรื่องนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะจักรยานฝึกหัดแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘จักรยานสมดุล’ ดังที่เอ่ยถึงข้างต้นที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จักรยานแบบใหม่นี้นอกจากจะไม่เพิ่มล้อเข้าไปแล้ว ยังเอาที่เหยียบสำหรับถีบออกไปด้วย 

ดังนั้น เด็กๆ จะได้ฝึก ‘การทรงตัว’ กันจริงๆ โดยใช้เท้ายันพื้นและยกขึ้น โดยไม่ต้องถีบขณะฝึกทรงตัว นี่คือการคิดแบบลดทอนที่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด!

มีตัวอย่างอื่นอะไรอีกบ้าง?

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นกันในชีวิตประจำวันก็คือ หูฟังแบบไร้สาย ถ้าสายหูฟังเกะกะและไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก การไร้สายก็ไม่ได้ทำให้หูฟังหล่นหายง่ายหรือบ่อยอย่างที่หลายคนเชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนปรับตัวใช้หูฟังแบบไร้สายมากขึ้นเรื่อยๆ 

อีกตัวอย่างได้แก่ ในประเทศยุโรปบางประเทศมีความพยายามปรับเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างในระบบจราจร ทำให้พบว่าป้ายสัญญาณหรือไฟจราจรไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการจราจรเท่าไหร่ การทำในทางตรงกันข้ามกลับช่วยได้ เช่น การเอาเส้นกลางถนนออกในเมืองวิลไชร์ สหราชอาณาจักร ทำให้คนขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวังมากขึ้นและลดอุบัติเหตุได้มากถึง 35%

ฮันส์ มอนเดอร์แมน (Hans Monderman) วิศวกรการจราจรชาวดัทช์ถึงกับกล่าวว่า “หากคุณทำเหมือนกับว่าผู้คนปัญญาอ่อน พวกเขาก็จะทำตัวเหมือนคนปัญญาอ่อน” [1]  

แต่แน่นอนการปรับปรุงระบบจราจรดังกล่าวต้องทำหลายอย่างไปพร้อมๆ กันหรือทำไปด้วยกัน  ไม่ได้ทำง่ายๆ แค่ตัดเอาป้ายสัญญาณ เส้นถนน หรือไฟออกไปเฉยๆ แต่ต้องมีการออกแบบถนนด้วยแนวคิดใหม่เพื่อให้ขับขี่ยวดยานต่างๆ สัญจรได้เหมาะสมมากที่สุด 

ลองนึกดูว่ามนุษยชาติใช้เวลานานกี่ปีกว่าจะมีจักรยานสมดุลและหูฟังไร้สายเกิดขึ้น แทบจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ทำไมจึงคิดกันไม่ออกนานขนาดนี้? การที่จะตอบคำถามทำนองนี้ได้ เราอาจจำเป็นต้องเริ่มจากทำความเข้าใจกับมนุษย์เราว่า 

ทำไมจึงแอบติดนิสัยชอบเพิ่มเข้ามากกว่าชอบหยิบออก อะไรเป็นต้นเหตุและจะแก้ไขได้อย่างไร?

ไลดี คลอตซ์ (Leidy Klotz) วิศวกรที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ร่วมมือกับเกเบรียล อดัมส์ (Gabrielle Adams) นักจิตวิทยาสังคมในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ร่วมมือกันหาคำตอบในเรื่องนี้และพบว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาอะไรสักเรื่อง ผู้คนมีแนวโน้มจะเลือกวิธีการแก้ปัญหาโดยการเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไปในสมการที่ใช้แก้ปัญหามากกว่าตัดออกจริงๆ ด้วย 

เช่น พวกเขาพบว่าในการทดลองที่มีอาสาสมัคร 91 คน เมื่อได้รับโจทย์ให้สร้างภาพที่ได้สมมาตรขึ้นมา ซึ่งทำได้โดยการเพิ่มเติมชิ้นส่วนใหม่เข้าไปหรือดึงชิ้นส่วนเก่าที่มีอยู่ออกแล้วจัดใหม่ มีคนแค่ 20% (18 คน) เท่านั้นที่ใช้วิธีดึงออก [2]  

อีกการทดลองหนึ่งทีมวิจัยวิเคราะห์คำแนะนำหรือแนวคิดที่มีผู้เสนอให้กับคนที่จะขึ้นเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยคนหนึ่งแล้วพบว่า มีเพียง 11% จากข้อเสนอทั้งหมด 651 เรื่องเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการลดจำนวนระเบียบ ข้อบังคับ หรือโปรแกรมการทำงานใดๆ ลง 

นักวิจัยทั้งคู่และทีมงานได้ทำการทดลองเพิ่มอีก 8 ชุดกับอาสาสมัครมากกว่า 1,500 คนเพื่อหาคำตอบว่าอะไรทำให้เกิดแนวโน้มเช่นนี้ โดยอาสาสมัครพวกนี้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีหรือไม่ก็เป็นคนที่มาจากเว็บไซต์ Amazon Mechanical Turk ที่เป็นเว็บระดมทุนจากมหาชน โดยการระบุให้อาสาสมัครต้องรักษาสมดุลของโครงสร้างส่วนยอดของตัวต่อเลโก้ที่มีตัวต่อแค่เพียงตัวเดียวตั้งอยู่บนส่วนยอดสุดของฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีรางวัลล่อใจ 1 เหรียญหากทำได้สำเร็จ 

ในการนี้หากผู้เข้าร่วมทดลองต้องการเพิ่มเติมตัวต่อจะโดนตัดเงิน 10 เซนต์ต่อชิ้น แต่หากจะนำตัวต่อออกก็สามารถทำได้โดยไม่เสียเงิน โดยแจ้งกับกลุ่มหนึ่ง (กลุ่มทดลอง) ว่า “แต่ละชิ้นของตัวต่อที่เติมเข้าไปต้องเสีย 10 เซนต์ แต่การเอาตัวต่อออกไม่เสียเงิน” ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง (กลุ่มควบคุม) จะได้รับคำบอกกล่าวว่า “แต่ละชิ้นที่เติมเข้าไปต้องเสีย 10 เซนต์” เพียงเท่านั้น

ผลลัพธ์ก็คือมีอาสาสมัครราว 2 ใน 3 ของกลุ่มแรก (มากกว่า 60%) ที่เลือกวิธีดึงเอาตัวต่อออกแทนที่จะเติมเข้าไป เปรียบเทียบกับ 41% ของกลุ่มหลังที่ทำแบบเดียวกัน 

นักวิจัยสรุปว่าหากผู้เข้าร่วมทดลองได้รับการกระตุ้นเตือนว่า มีโอกาสทำภารกิจให้สำเร็จ (และได้รางวัล) ผ่านการดึงชิ้นตัวต่อออกได้ พวกเขาก็มีแนวโน้มจะทำเช่นนั้นมากขึ้น 

ในทางตรงกันข้าม หากทำการทดลองดังกล่าวไปพร้อมๆ กับต้องคอยนับจำนวนของสิ่งของบนจอแสดงผลไปพร้อมๆ กัน แต่ละคนก็มีแนวโน้มที่จะแก้ปัญหาด้วยการเติมเข้ามากกว่าการตัดออก ชี้ให้เห็นว่าความพยายามแก้ปัญหาด้วยการตัดออกจำเป็นต้องอาศัย ‘ความพยายาม’ มากกว่าการเพิ่มเข้า 

ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ต้องใช้ความพยายามน้อยกว่า ผู้คนก็มี ‘ระบบอัตโนมัติ’ ประจำตัวที่จะใช้การเพิ่มเข้ามากกว่าการตัดออก 

นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่าเรื่องนี้สอดคล้องกับ ‘ตรรกวิบัติแบบต้นทุนจม (sunk cost fallacy)’ ที่ทำให้ใครต่อใครหมดตัวไปกับการเล่นหุ้นหรือทำกิจการต่างๆ เพราะยังคงเชื่อในการตัดสินใจในอดีตว่าถูกต้อง แม้ว่าจะมีหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่าการตัดสินดังกล่าวไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้ว จึงเสียดายเงิน เวลา และความพยายามที่ผ่านมา มากกว่าจะพิจารณาว่าจะต้องเสียสิ่งเหล่านี้มากขึ้นไปอีกหากยังดันทุรังทำแบบเดิมต่อไป 

จึงเลือกเติมแทนที่จะตัด ซึ่งวิธีการแบบหลัง (ตัดออก) เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า 

เรื่องการฝึกคิดนอกกรอบแบบลดทอน ‘ตัดออกดีกว่าเพิ่มเข้า’ จึงเป็นทางเลือกที่อาจจะดีก็ได้ในหลายกรณีและควรฝึกคิดให้ชินและเลือกนำมาใช้ให้มากขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม 

เอกสารอ้างอิง

[1] https://bigthink.com/the-present/want-less-car-accidents-get-rid-of-traffic-signals-road-signs/ 

[2] Scientific American Mind, July-August 2021, 14-16 

Tags:

ความพยายามการคิดนอกกรอบการคิดแบบลดทอนการแก้ปัญหา

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Rumination: ทำไม ‘การหมกมุ่นครุ่นคิด’ ถึงไม่ใช่การคิดทบทวนตัวเองที่ดีนัก แล้วเราจะหยุดความคิดนี้ได้อย่างไร

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative learning
    ‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

    เรื่อง The Potential

  • How to enjoy life
    Law of Jante: เอนจอยกับชีวิตด้วยแนวคิด ‘I ไม่ได้ดีเลิศไปกว่า You หรอก’

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม
Social Issues
6 November 2023

เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เล่าถึงการศึกษาที่พูดถึงนักเรียนและชนชั้นทางสังคม จากหนังสือ Learning to Labor : How Working Class Kids Get Working Class Jobs หรือ เรียนไปเป็นแรงงาน ของ Paul Willis
  • Willis ตั้งคำถามสำคัญว่า “ภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่ในเวลานั้น อะไรที่ทำให้เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานของชนชั้นแรงงาน?”
  • การเรียนเพื่อให้คุณสมบัติเหมาะสมตามที่โรงเรียนต้องการนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (เลื่อนลำดับชั้นทางสังคมได้) มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้พวกเขามองหา “งานอะไรก็ได้” (ที่รู้สึกว่าจะให้โอกาสที่คุ้มค่ากว่า)

หากให้แนะนำหนังสือการศึกษาที่พูดถึงนักเรียนและชนชั้นทางสังคมสักเล่ม ‘Learning to Labor : How Working Class Kids Get Working Class Jobs] หรือ ‘เรียนไปเป็นแรงงาน : เด็กจากชนชั้นแรงงานได้งานในชนชั้นแรงงานได้อย่างไร’ (1977) คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งที่ผมนึกถึง หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากงานวิจัยและความสนใจเฉพาะของ Paul Willis นักสังคมวิทยาสายวัฒนธรรรมศึกษา (Cultural Studies) ชาวอังกฤษ เขาได้ตั้งคำถามสำคัญว่า “ภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่ในเวลานั้น อะไรที่ทำให้เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานของชนชั้นแรงงาน?” สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่สรุปได้อย่างง่ายดายว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก

ความเท่าเทียมของโอกาสอาจเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง

ก่อนจะเล่าถึงหนังสือเรียนไปเป็นแรงงาน (Learning to Labor) เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ ผมอยากจะเล่าถึงบริบททางประวัติศาสตร์การศึกษาโลกคร่าวๆ เสียก่อน ย้อนกลับไปราวหลังทศวรรษ 1960 ประเด็นคำถามทางการศึกษาได้ย้ายจากคำถามที่ว่าการศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร มาสู่คำถามที่ว่าจะทำอย่างไรให้การศึกษาเป็นพื้นที่ยกระดับคุณภาพชีวิต พูดง่ายๆ คือจากคำถามบนแนวคิด progressivism ที่เสนอว่าการศึกษาต้องสร้างประชาธิปไตยและความเท่าเทียมในสังคม ได้แปรเปลี่ยนไปสู่คำถามบนแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่าการศึกษาต้องมอบโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้แต่ละคนมีโอกาสเลื่อนสถานะทางชนชั้นได้ พร้อมกันนี้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง หรือ Civic rights movement ได้มีการต่อสู้เรียกร้องให้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนดำมีโอกาสเท่าเทียมกับคนขาวในการเข้าถึงการศึกษา กระแสของโลกในเวลานั้นทำให้นักการศึกษาจำนวนไม่น้อย หันมาสนใจว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีและประสบความสำเร็จ (ซึ่งก็คือการเลื่อนลำดับชั้นทางสังคม) กระแสดังกล่าวทำให้งานของ Tyler อย่าง Basic Principles of Curriculum and Instruction เข้ามามีบทบาทสำคัญในแง่ของการพัฒนาหลักสูตรและการสอน โดยมีข้อเสนอหลักก็คือหลักสูตรต้องมีการจัดการที่ดี ตอบสนองตามความต้องการของเด็ก และมีเป้าหมายที่ชัดเจน (คลิกอ่านข้อถกเถียงว่าด้วยหลักสูตร https://thepotential.org/knowledge/curriculum/)

แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงนั้นไม่ได้เป็นไปตามคำป่าวประกาศของฝ่ายปฏิรูปเสรีนิยม ระบบการศึกษากลับกลายเป็นกลไกที่จำแนกนักเรียนแต่ละกลุ่มออกจากกันมากขึ้น ใครมีคุณสมติเพียบพร้อมตามที่ระบบต้องการก็ถูกจัดสรรไปอยู่ในระดับบนของพีระมิดแห่งชนชั้น ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 งานเขียน Schooling In Capitalist America ของ Bowles และ Gintis ได้วิพากษ์อย่างจริงจังถึงระบบการศึกษาในเวลานั้นว่าเป็นไปเพื่อตอบสนองระบบทุนนิยม โรงเรียนถูกจัดตั้งให้เป็นกลไกผลิตนักเรียนเพื่อตอบสนองช่วงชั้นทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับงานของ Michael Apple ในช่วงเวลานั้น ที่ชี้ให้เห็นในทำนองเดียวกันว่า โรงเรียนเป็นกลไกทางอุดมการณ์ที่มุ่งรักษาความไม่เท่าเทียมทางสังคมผ่านหลักสูตร

ฝากฝั่งอังกฤษในช่วงทศวรรษเดียวกันนี้ แม้ความสนใจของ Willis จะวางอยู่บนความสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับระบบทุนนิยม แต่งานของเขากลับให้ข้อสรุปที่ต่างออกไปจาก Bowles Gintis และ Apple (คลิกอ่าน  มุมมอง Michael Apple https://thepotential.org/social-issues/career-education/) เขาไม่ได้มองว่าโรงเรียนในระบบทุนนิยมมีอิทธิพลหลัก โดยมีนักเรียนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกกระทำ ถูกปรับแต่งให้เข้ากับระบบอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับเสนอว่าที่จริงแล้วภายใต้วัฒนธรรมชนชั้นแรงงาน ทั้งภายในกลุ่มเดียวกันเองและระหว่างกลุ่ม ล้วนมีส่วนสำคัญที่ผลิตซ้ำความสัมพันธ์แบบทุนนิยมให้ดำรงอยู่   

เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? แล้วมันนำไปสู่การที่เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานในชนชั้นแรงงานอย่างไร? 

ใน Learning to Labor  Willis มุ่งความสนใจต่อรูปแบบวัฒนธรรมรองของนักเรียนชายกลุ่มเด็กดื้อ (non-conformist) ที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวชนชั้นแรงงาน 12 คน ในโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ในย่านอุตสาหกรรม เขาใช้เวลา 6 เดือน ในการเก็บข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) ในช่วงก่อนจบการศึกษา และไม่กี่เดือนหลังจบการศึกษาของเด็กทั้ง 12 คน (ซึ่งบางคนเริ่มต้นการเป็นแรงงานแล้ว) ด้วยการลงไปสังเกต คลุกคลี สัมภาษณ์ พูดคุย จดบันทึกประจำวันแบบไม่เป็นทางการ รวมถึงยังได้สัมภาษณ์บุคลากรในโรงเรียน คนงาน และครอบครัวของเด็กบางส่วนอีกด้วย

ในโรงเรียน Willis พบว่า กลุ่มเด็กชายเหล่านี้ ไม่ได้รับรู้ตัวตนแบบ passive หรือเป็นวัตถุนิ่งเฉยที่ไม่โต้ตอบใดๆ กับโรงเรียน (ดังที่ ได้ Bowles Gintis และ Apple เชื่อ) แต่พวกเขามีการต่อต้าน โต้กลับต่อโรงเรียนเช่นกัน Willis เรียกสิ่งนี้ว่า ‘วัฒนธรรมต่อต้านโรงเรียน’ หรือ ‘counter-school culture’ ที่ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะดูเหมือนเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ เป็นทางการ และควบคุมอย่างเข้มงวดตลอดเวลาก็ตาม แต่เด็กชายกลุ่มนี้กลับตอบโต้ ท้าทายอำนาจของโรงเรียน และต่อต้านระบบระเบียบที่เป็นอยู่เป็นประจำ พวกเขามักจะก่อกวนครู ไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจตารางเรียน แกล้งเด็กที่ตั้งใจเรียน หรือดื่มเหล้าอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับการเป็นนักเรียนดีที่โรงเรียนอยากให้เป็น วัฒนธรรมเช่นนี้ยังเป็นภาพเดียวกันกับวัฒนธรรมในโรงงาน (shopfloor culture) ที่ชนชั้นแรงงานแสดงออกเพื่อแสวงหาวิธีการตอบโต้เงื่อนไขการทำงานในระบบทุนนิยม  

การต่อต้านหรือตอบโต้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไร้เหตุผล แต่พวกเขาเรียนรู้ถึงจังหวะ โอกาส และประเมินความคุ้มค่าของความเสี่ยงและผลลัพธ์ในตำแหน่งที่เขายื่นอยู่เสมอ Willis ยังพบว่า กลุ่มเด็กชายได้ขยายความเข้าใจถึงการทำงานของการศึกษาภายใต้ระบบทุนนิยมด้วยเช่นกัน เช่น การเรียนเพื่อให้คุณสมบัติเหมาะสมตามที่โรงเรียนต้องการนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (เลื่อนลำดับชั้นทางสังคมได้) มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้พวกเขามองหา “งานอะไรก็ได้” (ที่รู้สึกว่าจะให้โอกาสที่คุ้มค่ากว่า) วัฒนธรรมดังกล่าวได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Penetration’ ขึ้นมาในตัวของพวกเขา หรือง่ายๆ คือการค่อยๆ รุกคืบความเข้าใจว่าระบบทุนนิยมกำลังกระทำต่อตัวเขาอย่างไร  

หากพวกเขาเป็นนักต่อต้านและเห็นว่าทุนนิยมกระทำต่อพวกเขาอย่างไร เหตุใดเด็กจากชนชั้นแรงงานถึงยังได้ทำงานในชนชั้นแรงงานอยู่? งานของ Willis ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แม้พวกเขาจะมองเห็นอยู่บ้างว่าระบบกระทำต่อพวกเขาอย่างไร แต่ความเข้าใจแค่เพียงบางส่วนกลับไม่สามารถพัฒนาไปสู่การเชื่อมโยงส่วนอื่นๆ เพื่อมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้ เพราะภายในวัฒนธรรมของเด็กและชนชั้นแรงงานเองก็ได้สร้างเส้นแบ่งอำนาจทางเพศและเชื้อชาติขึ้นมาโดยวางอยู่บนแนวคิดความเป็นชายที่เหนือกว่า และพวกเขาเองก็แสวงหางานที่จะสร้างความได้เปรียบภายใต้กฎเกณฑ์นี้เช่นกัน เช่น อย่างน้อยเขา (การเป็นชายผิวขาวทำงานชนชั้นแรงงาน) ก็เหนือกว่าคนอื่นๆ (กลุ่มเพศหญิงและคนเชื้อชาติอื่น) Willis เรียกสิ่งนี้ว่า ‘half rejection’ (การปฏิเสธครึ่งหนึ่ง) ซึ่งทำให้ท้ายที่สุดแล้ว แม้เด็กกลุ่มนี้จะมีการต่อต้าน ตอบโต้ต่อระบบที่เป็นอยู่ แต่นั่นก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและจบลงด้วยการยอมรับสภาพ 

ดังนั้น การเป็นนักเรียนที่ไม่ดี ดื้อ ต่อต้าน จึงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไว้ของระบบการศึกษาแบบทุนนิยม แต่อย่างไรเสียก็แทบจะไม่มีอันตรายต่อระบบด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Willis ก็ไม่ได้ละเลยโครงสร้างส่วนบน เช่น สื่อสาธารณะ บทบาทของครู การสอน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นตัวแทนทางอุดมการณ์ที่ทำงานสอดประสานกับวัฒนธรรมของกลุ่มเด็ก ทำให้ความเข้าใจต่อระบบไม่สามารถขยายกว้างออกไปได้ (Limitation) 

Learning to Labor ให้อะไรกับเราในฐานะครู

แม้งานของ Willis จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างในประเด็นเรื่องการไม่ได้ศึกษาเด็กผู้หญิงในชั้นแรงงานร่วมด้วย หรือการมองเด็กแบบ ‘เด็กดี’ และ ‘เด็กดื้อ’ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นมุมมองที่แคบเกินไป ถึงกระนั้นคุณูปการของหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญต่อช่วงเวลาปัจจุบันอย่างมาก  สำหรับผมมี 3 ข้อหลักๆ ด้วยกัน ข้อแรกเลยคือการดำรงอยู่ของชนชั้นทางสังคมในสังคมทุนนิยม เราไม่สามารถมองว่าระบบเศรษฐกิจเท่านั้นที่กำหนดและควบคุมผู้คนผ่านโรงเรียน โดยมีนักเรียนเป็นผลลัพธ์แบบ passive แต่ความจริงแล้วในระดับวัฒนธรรมเอง แต่ละชนชั้นนั้นต่างก็เป็นตัวแทนทางสังคมที่ผลิตซ้ำและค้ำจุนระบบที่เป็นอยู่อย่างแข็งขันเสียเอง   

ข้อที่สอง โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์จากระบบอำนาจ แต่เป็นพื้นที่ของการต่อรอง ต่อสู้ ช่วงชิงได้เช่นกัน หลายครั้งเรามักจะมองว่าการศึกษาถูกครอบงำเป็นหลัก จนหลงลืมว่าในตัวมันเอง การศึกษาก็สามารถเป็นพลังของการปลดแอกจากการครอบงำได้ (คลิกอ่าน แนวคิดการศึกษาเพื่อการปลดแอก https://thepotential.org/social-issues/teacher-as-political-work/) และข้อสุดท้าย เราไม่สามารถพูดเรื่องชนชั้นทางสังคม การต่อต้าน และการศึกษา โดยปราศจากการทำความเข้าใจในเชิงวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับระบบทุนนิยมได้

อ้างอิง

Learning to Labor: How Working Class Kids Get Working Class Jobs Morningside Edition, 1981 

Tags:

โรงเรียนโอกาสความเท่าเทียม (equality)ทุนนิยมเด็กชนชั้นแรงงานวัฒนธรรมต่อต้านLearning to Labor

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ทำให้วิถีประชาธิปไตยอยู่ในโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesCreative learning
    อาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน”

    เรื่อง The Potential

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

‘ทักษะที่ขาดหาย’ ความ(ไม่)พร้อมของเด็กปฐมวัย จากการสำรวจ School Readiness Survey: รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง
Social Issues
6 November 2023

‘ทักษะที่ขาดหาย’ ความ(ไม่)พร้อมของเด็กปฐมวัย จากการสำรวจ School Readiness Survey: รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • เด็กปฐมวัยมีความพร้อมที่จะเรียนรู้เมื่อเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือไม่? 
  • เจาะลึกการสำรวจ ‘ความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษา หรือ School Readiness Survey: SRS’ กับ รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) และคณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • ในการสำรวจมีการลงพื้นที่เพื่อทดสอบทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัยทั้งในด้านภาษา คณิตศาสตร์ และ Executive Functions (EFs) โดยไม่ได้ต้องการค้นหา ‘เด็กเก่ง’ แต่กำลังค้นหา ‘เด็กที่ไม่พร้อม หรือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ’ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยยังขาดทักษะในเรื่องใดบ้าง

“การสำรวจข้อมูลอาจไม่ทำให้ชีวิตชาวบ้านดีขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนที่จะมีคำตอบต้องรู้สาเหตุ สิ่งแรกที่อยากฝากคือคำกล่าวของ Lord Kelvin ผู้พัฒนามาตรฐานการวัดอุณหภูมิสัมบูรณ์ หรือระบบเคลวิน (Kelvin) ที่ว่า ‘If you cannot measure it, you cannot improve it.’ ถ้าเราวัดไม่ได้ ลืมมันได้เลยว่าเราจะแก้ได้ และนั่นคือ check point ที่ทีมวิจัยพยายามทำ เพราะเทอร์โมมิเตอร์ไม่ใช่ยา แก้ปัญหาให้คนเป็นไข้ไม่ได้ แต่เราใช้เทอร์โมมิเตอร์ตลอดเวลาเพื่อบอกว่าเรามีปัญหาไหม เช่นเดียวกับงานวิจัย เราไม่มีคำตอบจากการเก็บข้อมูล แต่ในทางกลับกันเราหวังว่าข้อมูลจะนำไปสู่ความเข้าใจในรากของปัญหาที่ชัดเจนขึ้น”

The Potential ชวนติดตามการพัฒนา ‘เครื่องมือสำรวจและประเมินศักยภาพความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ตามช่วงวัยสำคัญทั้งระดับประเทศและในระดับจังหวัด’ โดยพามาเจาะลึกการสำรวจ ‘ความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษา หรือ School Readiness Survey: SRS’ กับ รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) และคณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนึ่งในข้อมูลชุดสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการยกระดับทุนมนุษย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทุกช่วงวัยให้แก่ประเทศ 

รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง

เลือกปักหมุด ‘เด็กปฐมวัย’ หัวใจสำคัญลดความเหลื่อมล้ำ

โครงการสำรวจความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษา คือโครงการภายใต้ความร่วมมือของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลสถานะความพร้อม และสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยมีการเก็บข้อมูลลงลึกรายบุคคลและนำเสนอออกมาเป็นรายจังหวัด เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายที่ช่วยแก้ปัญหาต้นทาง ปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รศ.ดร.วีระชาติ เล่าถึงการเข้าร่วมโครงการฯ ว่า ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ กสศ. ในโครงการ Thailand School Readiness Survey (TSRS) ซึ่งเริ่มต้นโดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท (ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) แล้วก็ขอรับอาสาว่าสนใจเรื่องเด็กปฐมวัย ถึงจะสอนเด็กปฐมวัยไม่เป็น แต่รู้สึกว่าเป็นช่วงวัยที่มีอนาคต แล้วก็มีงานวิจัยรองรับมากมาย 

“ศ.ดร.เจมส์ เจ เฮคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลประจำปี พ.ศ. 2542 กล่าวไว้ว่า ‘การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว’ เพราะการพัฒนาเด็กปฐมวัยถือได้ว่าเป็นการสร้างรากฐานในการพัฒนาชีวิตที่สำคัญ และไม่เพียงจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำที่ยั่งยืนที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

สำหรับความมุ่งหวังของโครงการ รศ.ดร.วีระชาติ บอกว่า เป้าหมายเพียงต้องการเข้าใจว่า “เด็กปฐมวัยมีความพร้อมที่จะเรียนรู้เมื่อเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือไม่”

“ที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปเก็บข้อมูลเด็กปฐมวัยทั่วประเทศ ซึ่งเราไม่สามารถเก็บทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศได้ในปีเดียว เนื่องด้วยปัจจัยด้านกำลังคน ทรัพยากรต่างๆ รวมถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ส่งผลให้เราใช้เวลาในการสำรวจทั้งหมด 4 ปีการศึกษา เราสามารถเก็บข้อมูลทักษะต่างๆ และพัฒนาการของเด็กที่คิดว่าจำเป็นสำหรับการใช้ในระดับประถมศึกษาจากเด็กทั้งหมด 43,000 คน ตัวเลขอาจจะไม่เยอะ แต่คิดว่าเกือบ 10% ของเด็กปฐมวัยในประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นฐานข้อมูลชุดหนึ่งที่มีประโยชน์ในการทำความเข้าใจและเรียนรู้การพัฒนาการศึกษาของเด็กปฐมวัยต่อไปในอนาคต”

ทดสอบทักษะพื้นฐาน มุ่งควานหา ‘เด็กไม่พร้อม’

ในการดำเนินโครงการ รศ.ดร.วีระชาติ เล่าว่า มีการลงพื้นที่เพื่อวัดทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัยทั้งในด้านภาษา คณิตศาสตร์ และ Executive Functions (EFs) โดยตัวอย่างบททดสอบ เช่น  ในด้านภาษาจะมี ‘การวัดความเข้าใจในการฟังเนื้อหา’ ซึ่งเราจะอ่านข้อความอัดเทปไว้แล้วนำไปเปิดให้เด็กฟัง จากนั้นก็ถามคำถาม 5 ข้อ เพื่อดูว่าเด็กจับใจความได้หรือไม่ อีกตัวอย่างคล้ายๆ กัน เรียกว่า ‘Mental Transformation’ เหมือนการวัดไอคิวแต่ไม่ซับซ้อนเท่า โดยการทดสอบจะมีรูปเงาอยู่ 2 รูป จากนั้นถามเด็กว่าถ้านำ 2 รูปนี้มาต่อกัน แล้วจะได้ออกมาเป็นรูปใดใน 4 รูปที่มีให้เลือก เป็นคำถามที่ต้องใช้จินตนาการระดับหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด 5 ข้อเช่นเดียวกัน 

ส่วนการทดสอบทักษะ Executive Functions (EFs) ทีมวิจัยได้ทดสอบทักษะความจำการใช้งาน โดยนำ ‘Digit Span Memory’ มาประยุกต์ใช้ วิธีการคือให้เด็กดูตัวเลข เช่น บนจอมีตัวเลขสองตัว คือ 4 กับ 2 ก็จะเปิดให้เด็กดูตัวเลขประมาณ 10 วินาที จากนั้นจะปิดแล้วถามว่าเลขที่เห็นคือเลขอะไร แต่ให้ตอบทวนย้อนหลัง ซึ่งคำตอบที่ได้จะเป็น 2 กับ 4 หากตอบคำถามจำนวนสองตัวเลขได้แล้ว ก็จะเพิ่มจำนวนตัวเลขเป็นลำดับ 

“สิ่งที่ผมต้องการให้เห็นคือ ตัวอย่างการทดสอบทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่เด็กจะต้องมีผ่านการทำกิจกรรม หรือผ่านการเรียนรู้ที่สม่ำเสมอ ฉะนั้นสบายใจได้ว่า หมุดหมายของการทดสอบ เราไม่ได้ต้องการส่งเสริมให้โรงเรียนเร่งเรียนเขียนอ่าน แต่ในทางกลับกันเราต้องการให้สถานศึกษามีคุณภาพมากขึ้น คุณครูต้องทำกิจกรรมให้เด็กได้มีโอกาสคิด มีโอกาสทำ เพื่อให้เขามีจินตนาการที่จะตอบสิ่งเหล่านี้ได้”

อย่างไรก็ดีเมื่อถามถึงความมุ่งหวังของการทดสอบเหล่านี้ รศ.ดร.วีระชาติ บอกชัดเจนว่า ไม่ได้ต้องการค้นหา ‘เด็กเก่ง’ แต่กำลังค้นหา ‘เด็กที่ไม่พร้อม หรือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ’ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยยังขาดทักษะในเรื่องใดบ้าง

“ผมไม่ได้ตามหาเด็ก Genius แต่กำลังตามหาเด็กที่มีปัญหา ผมอยากรู้ว่ามีจำนวนมากเท่าไร หลายครั้งเวลามีการทดสอบ หลายคนจะบอกว่าคะแนนเต็มร้อยได้กี่เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ แต่ผมชวนมองอีกมุมหนึ่ง ผมพยายามหาว่าเด็กไทยมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้มากที่สุดคือข้อเดียวจากคำถาม 5 ข้อ ที่เหลือตอบผิดหมด เด็กกลุ่มนี้มีจำนวนมากขนาดไหนในแต่ละจังหวัด แล้วเราก็หวังว่าจังหวัดจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์  

ผมอยากเสนอว่า ต่อไปวงการการศึกษาแทนที่จะบอกว่าโรงเรียนไหนได้อันดับหนึ่ง เราควรเปลี่ยนมาดูว่ามีเด็กกี่เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่ที่ยังต้องการความช่วยเหลือ” 

ผลสำรวจเด็กปฐมวัย พบ ‘ปัญหาทักษะการฟัง’ 

รศ.ดร.วีระชาติ เล่าว่า ผลการทดสอบในภาพรวม หากนำทุกหมวดของด้านภาษาและคณิตศาสตร์มารวมกันจะพบว่าไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่เมื่อดูในหัวข้อย่อยลงไป เช่น ทักษะการฟังข้อความ หรือ Listening Comprehension จะเห็นว่าบนแผนที่ประเทศไทยแทบจะปรากฏสีแดงในทุกพื้นที่ ไม่ต้องบอกเลยว่าจังหวัดไหนบ้างเพราะว่าแดงเกือบหมด ขณะที่ทักษะ Mental Transformation ดูไม่แย่เท่ากับทักษะด้านการฟัง ซึ่งในมุมหนึ่งถือเป็นเรื่องแปลก เพราะถ้าครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน ทักษะการฟังข้อความ เด็กควรจะทำได้ 

“ผมถือว่าเป็นเรื่องน่ากังวล จังหวัดหรือพื้นที่ควรจะลุกขึ้นมา แล้วมาคุยกันว่าเราต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษาและอาจจะต้องพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงดูของผู้ปกครองด้วย นอกจากนี้ถ้าเราไปดูเรื่องของ EF หรือการทดสอบ Digit Span Memory ที่วัดว่าเด็กสามารถจดจำและนำเอามาใช้งานได้แค่ไหน ผลการสำรวจพบว่าสัดส่วนของเด็กที่มีปัญหาอาจจะดูไม่เยอะมาก แต่ก็เห็นสีแดงแล้วก็สีชมพูมากพอสมควร ซึ่งในระดับวิชาการเราค่อนข้างเชื่อว่าเกิดจากการที่เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นให้เขาคิด หรือกระตุ้นให้เขาทำ” 

เด็กปฐมวัยความพร้อมต่ำ สัมพันธ์กับ ‘ความยากจนของครอบครัว’

การสำรวจความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาไม่ได้มีเพียงทักษะการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานสำคัญเท่านั้น ทีมวิจัยยังออกแบบคำถามที่สะท้อนไปถึงข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือน ซึ่งมีข้อค้นพบที่น่าสนใจว่า ความไม่พร้อมของเด็กปฐมวัย ส่วนหนึ่งอาจมาจาก ‘ความยากจนของครอบครัว’ 

รศ.ดร.วีระชาติ เล่าว่า เราถามคำถามผู้ปกครองของเด็กเพิ่มเติมด้วยว่า “ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ท่านเคยมีปัญหาอาหารไม่เพียงพอหรือไม่” ซึ่งก็ไม่รู้เขาตอบจริงหรือไม่จริง แต่มีผู้ปกครองจำนวนมากพอสมควรที่ตอบว่ามีปัญหา เรานำข้อมูลเด็ก 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบกัน คือเด็กที่พ่อแม่ตอบว่ามีปัญหาอาหารไม่เพียงกับเด็กที่พ่อแม่ตอบว่าไม่มีปัญหา ปรากฏว่าเด็กที่พ่อแม่ตอบว่ามีปัญหาอาหารไม่เพียงพอในบางครั้งทำคะแนนได้ต่ำกว่า พูดง่ายๆ ว่ามีปัญหามากกว่า มันตอกย้ำว่าความยากจนมีผลต่อความพร้อมและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

“มันไม่ใช่แค่ว่าทุกคนเกิดมาเดี๋ยวก็โตไปได้ มันมีปัจจัยหลายส่วน หากถามว่าผมตอบได้ไหมว่าเพราะอะไร ก็อาจจะมีสาเหตุมากมาย ซึ่งผมยังตอบไม่ได้ อาจเพราะความยากจนทำให้เด็กขาดการทำกิจกรรมที่กระตุ้นพัฒนาการ ความยากจนอาจทำให้เด็กขาดความรู้ที่จะมาทำกิจกรรมที่เหมาะสม หรือความยากจนอาจทำให้เขาอยู่ในโรงเรียนที่ไม่ดี ซ้ำเติมกันไปหมด”

พัฒนา ‘ครูที่ดี’ ฟื้นฟูทักษะการเรียนรู้เด็กปฐมวัย 

รศ.ดร.วีระชาติ บอกว่า อีกปัญหาอุปสรรคของการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนระดับปฐมวัย คือ ‘เครื่องมือมีแต่ไม่ถูกนำไปใช้’ 

“ทุกคนต้องยอมรับว่า บางครั้งไม่ใช่ว่าไม่มีเครื่องมือ เครื่องมือมีแต่ไม่ถูกนำเอาไปใช้ สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจระดับหนึ่งว่าเครื่องมือที่มีน่าจะมีโอกาส เพราะได้ไปทำการทดลองที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปีการศึกษา 2562 เราได้สร้างหลักสูตรอบรม 1 วันขึ้นมา เรียกว่า On-Site Training นำครูที่อยากเปลี่ยนวิธีการสอนมาฝังตัวอยู่ที่ศูนย์อบรม 2 สัปดาห์ ฝึกทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน แต่ละวันเปลี่ยนกิจกรรมไปเรื่อยๆ จนครูมีทักษะมากพอ และด้วยที่เราเป็นนักวิจัย จึงทำเป็น Randomize Control Trial ออกแบบการทดลองวัดผลว่ากลุ่มครูที่เข้าอบรมและไม่เข้าอบรมมีพัฒนาการต่างกันหรือไม่ ผลการทดลองพบว่าหลักสูตรที่จัดขึ้นส่งผลให้ครูสามารถสอนนักเรียนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะทักษะด้านภาษาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดประมาณ 50%”

ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น รศ.ดร.วีระชาติ อธิบายว่า เพราะกิจกรรมที่ฝึกให้ครูทำส่วนใหญ่ เรียกว่า Plan Do Review เป็นการส่งเสริมให้เด็กวางแผน ตอนเด็กวางแผนครูก็คุยด้วย ตอนเด็กทำ ครูก็ไปเล่นด้วย เด็กก็ใช้ภาษาและสุดท้ายเด็กจะกลับมารีวิว เขาก็ใช้ภาษามากขึ้น จึงไม่แปลกที่ทักษะด้านภาษาของเด็กจะโดดเด่นเพิ่มขึ้นมา ยิ่งเฉพาะทักษะด้านการฟัง หรือ Listening Comprehension ที่เคยมีปัญหา ก็ดีขึ้นมา ส่วนหนึ่งเพราะมีการกระตุ้นการใช้ภาษาตลอดเวลา 

“กิจกรรมที่เราให้ครูทำ เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรพิเศษพิสดารเลย คืออ่านหนังสือให้เด็กฟัง และบวกกับส่งเสริมครูให้เด็กยืมนิทานกลับบ้าน เป็นนิทานที่มีที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนอยู่แล้ว เราตั้งชื่อกิจกรรมว่า ‘พานิทานกลับบ้าน’ ผู้ปกครองอ่านเสร็จแล้วก็มาแลกเปลี่ยนกัน เป็นวิธีง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ และไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณ ปรากฏว่าเราเห็นทักษะด้าน Listening comprehension และ Mental Transformation เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน 

สิ่งหนึ่งที่เราอยากเสนอให้ลองพิจารณา เป็นบทเรียนที่เราได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ ซึ่งเชื่อมโยงสอดคล้องกับงานวิจัยทั่วโลก นั่นคือ ‘การพัฒนาครูที่ดี’ โดยเฉพาะครูที่อยู่ในชนบท ครูที่ไม่ได้ทักษะสูงมากๆ เป็นครูธรรมดา แต่ต้องพัฒนาเขาแบบเจาะจง บอกให้ชัดเจนว่าอยากให้เขาทำอะไร มีอุปกรณ์ช่วยเขาให้มากที่สุด ถ้าคุณให้เครื่องมือที่ช่วยเขาแบบเจาะจงมากพอ ครูจะสามารถทำได้ แล้วผลจะออกที่เด็ก”

‘กิจกรรมเยี่ยมบ้าน’ กระตุ้นครอบครัวสร้างการเรียนรู้ 

แน่นอนว่า ‘คุณภาพของครูและสถานศึกษา’ คือปัจจัยที่สำคัญมากต่อการพัฒนายกระดับการศึกษาเด็กปฐมวัย แต่อีกตัวแปรที่มีบทบาทไม่แพ้กันและไม่อาจมองข้ามได้ คือ ‘คุณภาพการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง’

รศ.ดร.วีระชาติ เล่าว่า บทเรียนที่ได้จากการ Survey School Readiness คือเราพบว่ามีครัวเรือนที่ไม่มีหนังสือนิทานที่บ้านเลยมากถึง 40% ผลที่ตามมาคือมีผู้ปกครองประมาณ 50% ที่ไม่อ่านหนังสือให้เด็กฟังเลย เรามองว่าการไม่มีหนังสือคือต้นเหตุ และความไม่เข้าใจว่ากิจกรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ซึ่งสะท้อนว่าครัวเรือนขาดความพร้อม ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำตามมาคือ ‘การพัฒนาทักษะของผู้ปกครอง’

“ตอนนี้เรากำลังทดลองร่วมกับ กสศ. ใน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ใช้กิจกรรมที่เรียกว่า ‘การไปเยี่ยมบ้าน’ เราไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเพื่อสอบถามรายละเอียดผู้ปกครอง แต่เราไปเยี่ยมเพื่อนำอุปกรณ์ไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้ปกครองและเด็กพร้อมกันเลย ช่วยพัฒนาผู้ปกครอง กระตุ้นให้เขาสร้างกิจกรรมกับลูกหลาน เพราะเราเชื่อว่าสิ่งนี้คือการสร้างความพร้อม เป็นการพัฒนาสถาบันครอบครัวที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุด ซึ่งเป็นงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่มีความท้าทายและคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ในปีหน้า”

สำหรับการดำเนินงานหลังจากนี้ รศ.ดร.วีระชาติ บอกว่า โครงการกำลังเร่งตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) ก่อนส่งต่อฐานข้อมูลที่ได้ไปแต่ละจังหวัด รวมทั้งอาจนำเครื่องมือทดสอบที่พัฒนาขึ้นมาปรับให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานของครูมากขึ้น โดยสุดท้ายในฐานะนักวิจัยหวังเพียงว่าข้อมูลที่ร่วมพัฒนาขึ้นกับ กสศ. นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำนโยบายที่แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม 

Tags:

ครูการศึกษาไทยครอบครัวเด็กปฐมวัยทักษะโครงการสำรวจความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษาSchool Readiness Survey: SRSรศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social IssuesEducation trend
    ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    สังคมดี เพราะเด็กรู้คิดและคิดดี มีคุณครูเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Joie de Vivre: เพลินใจกับสิ่งรอบตัว ปลดปล่อยแผนการสุดรัดกุม ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบชาวฝรั่งเศส
How to enjoy life
1 November 2023

Joie de Vivre: เพลินใจกับสิ่งรอบตัว ปลดปล่อยแผนการสุดรัดกุม ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบชาวฝรั่งเศส

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Joie de Vivre หมายถึง ‘ความเพลิดเพลินใจในการใช้ชีวิต’   เป็นแนวคิดการใช้ชีวิตให้มีความสุขในแบบเฟรนช์สไตล์ โดยโฟกัสด้านบวก-ข้อดีของอีกฝ่ายหรือสิ่งที่มีที่เป็นอยู่ เสพอรรถรสของสิ่งรอบตัวนำไปสู่ความโรแมนติก
  • เป็นแนวคิดที่จะไม่เพิกเฉยความต้องการลึกๆ ในใจตัวเอง ไม่กดทับความเป็นเด็กน้อยในตัวที่หลับใหลอยู่ เป็นการออกมาใช้ชีวิตโดยยังสามารถรักษาคาแรกเตอร์ในแบบของตัวเองได้เต็มเปี่ยมอยู่
  • แก่นของ Joie de Vivre มีจริตของการ ‘ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น’ บอกเป็นนัยถึงชีวิตที่ปล่อยให้มันแค่ ‘เป็นไป & ผ่านไป’

ความงดงามของกรุงปารีสแบบที่เราเห็นทุกวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่ครั้งอดีตกาลอันเนิ่นนาน แต่เป็นผลงานของ บารง โอสมานน์ (Baron Haussmann) ที่ได้รับคำสั่งเมื่อปี 1854 จากจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ให้ปรับปรุงแปลงโฉมกรุงปารีสที่เสื่อมโทรมให้ออกมาสวยงามยิ่งใหญ่ตระการตา 

และแล้วทุกอย่างก็ถูกเนรมิตภายใน 17 ปีให้หลัง ผังเมืองอันเป็นระบบระเบียบ สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องอันงดงาม และระบบสาธารณูปโภคชั้นยอดคือมรดกตกทอดที่อยู่มาจวบจนทุกวันนี้ บัดนี้ ใครที่ได้เดินทอดน่องเตร็ดเตร่ไปทั่วกรุงปารีสและอีกหลายเมืองในฝรั่งเศส ก็สามารถ ‘เพลิดเพลินใจ’ ไปกับทัศนียภาพอันงดงามรอบตัวได้ไม่ยาก

เรื่องนี้เองนำมาสู่มรดกตกทอดทางจิตใจอีกอย่างที่อาจสำคัญไม่แพ้กัน คือการผลิบานของแนวคิด ‘Joie de Vivre’ 

Joie de Vivre ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินใจ

ถ้าอ่านแบบภาษาฝรั่งเศสตามตัวจะอ่านได้ว่า ฉวา เดอ ฝี-ฝร (Joie de Vivre) 

หรืออาจแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า ‘Joy of Living’ สำหรับการออกเสียงแบบฝรั่งเศส อาจจะยากไปหน่อย ในบทความนี้เลยจะขออนุญาตเขียนทับศัพท์ไปเลยว่า Joie de Vivre 

Joie de Vivre หมายถึง ‘ความเพลิดเพลินใจในการใช้ชีวิต’ เป็นแนวคิดการใช้ชีวิตให้มีความสุขในแบบเฟรนช์สไตล์ที่ถึงแม้จะถูกตีความได้หลากหลายมากแต่ล้วนเพลิดเพลินใจไปพร้อมกัน

คาแรกเตอร์ที่โดดเด่นมากคือ ‘การสังเกตสิ่งรอบตัว’ และพยายามมองในมุมศิลปะ เรื่องนี้อาจไม่แปลก ถ้าใครได้ไปใช้ชีวิต บินไปเที่ยว หรือแค่ดูผ่านตาจากภาพยนตร์ ก็มักเห็นวัฒนธรรมหนึ่งของชาวฝรั่งเศสที่มีเสน่ห์เหลือเกิน นั่นคือ การออกมานอกคาเฟ่ ณ ที่นั่งเอาดอร์ริมทางเท้า มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา หรือมองดูผลงานสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่สง่างามของฝรั่งเศสที่พบเห็นได้ทั่วไป

ความเพลิดเพลินใจในการใช้ชีวิตนี้ ยังโฟกัสด้านบวก-ข้อดีของอีกฝ่ายหรือสิ่งที่มีที่เป็นอยู่  ความเพลิดเพลินใจที่ได้เสพอรรถรสของสิ่งรอบตัวนำไปสู่ความโรแมนติก และเป็นการดำเนินชีวิตที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกของการ ‘ถูกเซอไพรส์’ โดยที่เราเองก็ไม่สามารถวางแผนคาดการณ์ได้ แต่แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะอะไรๆ ผิดคาด กลับรู้สึก ‘สนุก’ อมยิ้มไปกับมันและพร้อมหัวเราะออกมา

Joie de Vivre จะไม่เพิกเฉยความต้องการลึกๆ ในใจตัวเอง ไม่กดทับความเป็นเด็กน้อยในตัวที่หลับใหลอยู่ เป็นการออกมาใช้ชีวิตโดยยังสามารถรักษาคาแรกเตอร์ในแบบของตัวเองได้เต็มเปี่ยมอยู่ มีความกระตือรือร้นในการลองทำสิ่งใหม่ ไปสถานที่ใหม่ๆ สนทนาพบเจอผู้คนใหม่ๆ 

ปัจจัยที่โอบรับแนวคิด Joie de Vivre 

Joie de Vivre ปรากฎในวรรณกรรมตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 และเริ่มถูกพูดถึงอย่างเอิกเกริกเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 โดยมีนักเขียนหลายคนนำไปกล่าวถึงในหนังสือของพวกเขา อาทิ

  • ฌูลส์ มิเชอเลต์ (Jules Michelet) ตีพิมพ์ The Insect (ปี 1857) กล่าวถึง ความเพลิดเพลินใจที่ได้สำรวจสิ่งมีชีวิตอันละเอียดอ่อน
  • เอมิล โซลา (Emile Zola) ตีพิมพ์ La Joie de vivre (ปี 1883) กล่าวถึง ความเพลิดเพลินใจที่ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรม

ตัวอย่างหนังสือเหล่านี้ได้เริ่มมีอิทธิพลทางความคิดกับผู้อ่านชาวฝรั่งเศสทีละเล็กทีละน้อย แต่อานิสงส์มิติอื่นๆ ก็สำคัญควบคู่ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะสภาพบ้านเมืองที่สวยงามจากการวางผังเมืองอันยอดเยี่ยมของเหล่าสถาปนิก สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านเมืองที่มีศิลปะสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการและโรแมนติกในเวลาเดียวกัน วัฒนธรรมอาหารของชาวฝรั่งเศสที่หยั่งรากลึก ไม่ว่าจะการจิบกาแฟตามคาเฟ่อันแสนเบิกบานใจ การตกแต่งจานชามอาหารให้สวยงาม การจิบไวน์อันแสนพิถีพิถัน ประณีต และเนิบช้า หรือรสนิยมลีลาการแต่งกายที่เป็นผู้นำด้านแฟชั่นเสมอ

หรือยุคโมเดิร์นขึ้นมาหน่อยก็ต้องขอบคุณสวัสดิการพื้นฐานจากภาครัฐที่ทำให้ประชาชนล้มบนฟูกได้ในระดับหนึ่ง เมื่อตัวเองไม่ต้องหาเช้ากินค่ำหรือปากกัดตีนถีบขนาดนั้น ก็พอเจียดเวลาและแบ่งเบามันสมองมาเสพความเพลิดเพลินของชีวิตให้จรรโลงใจ

หลากหลายปัจจัยทำงานควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ และนั่นเองทำให้ Joie de Vivre ผลิบานออกดอกออกผลอย่างลงตัว

Joie de Vivre กับจิตวิทยาและอัตราความสุข

แม้ Joie de Vivre จะเป็นเรื่องที่ฟังดูเป็นนามธรรมค่อนข้างสูงและถูกตีความไปได้อย่างหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มันส่งผลต่อระดับความสุขและจิตวิทยาของมนุษย์เราโดยตรง

อันดับแรกเลย คนเราคิดหรือรู้สึกอย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น เมื่อเราฝึกให้สมองคิดบวกเอนจอยเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัวได้ จิตใจก็สงบเย็นลงและมีความสุขขึ้น เดิมทีเรามักคิดว่าสมองเป็นสารตั้งต้นในการสั่งการลงไปสู่ร่างกาย แต่ข้อเท็จจริงด้านวิทยาศาสตร์ล่าสุดเปิดเผยว่า ร่างกายก็สามารถส่งผลต่อการทำงานของสมองได้เหมือนกัน เช่น ถ้าเราเริ่มต้นสอดส่องสิ่งรอบตัวและเฟ้นหาความแปลกใหม่อย่างเพลิดเพลินใจ (นึกภาพตอนเราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ เป็นครั้งแรก) จากนั้นสมองจะเริ่มปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย สมองจะโฟกัสสิ่งใหม่ๆ ฮอร์โมนผ่อนคลายจะหลั่งออกมาให้เรารู้สึหเพลิดเพลินใจและมีความสุข

ยิ่งเรามีความสุขมากเท่าไร อายุยิ่งยืนมากเท่านั้น ยิ่งเราสุขใจและปราศจากความเครียดคิดเล็กคิดน้อยมากแค่ไหน ยิ่งช่วยชะลอวัยให้เราไม่แก่เร็วตามมากเท่านั้น เรื่องนี้ต่อให้ไม่รับรู้ข้อมูลเชิงวิชาการเราก็พอเดากันได้จากประสบการณ์ตัวเอง คนรอบตัวคนไหนที่เฟรนลี่ร่าเริงหัวเราะง่าย หัวเราะบ่อย ยิ้มง่าย ไม่เป็นไร ให้อภัยง่าย ก็มักจะมีความสุข ผิวพรรณหน้าตาดูเป็นมิตร มีออร่าที่ดึงดูดให้น่าเข้าหา

ความน่าสนใจคือ ชาวฝรั่งเศสพยายามเพลิดเพลินใจและมีความสุข…แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการมองข้ามเรื่องทุกข์ร้อน การไม่บ่น หรือแสดงออกความคิดเห็นที่อาจไปขัดแย้งกับผู้อื่นในกระแสหลัก ชาวฝรั่งเศสขึ้นชื่อว่าชอบแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการนัดหยุดงานบ่อยที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่เมื่อ Joie de Vivre ยังคงทำงาน พวเขาจะมองเห็นข้อดีของสิ่งที่เกิดขึ้น เพลิดเพลินใจกับสิ่งรอบตัวดีๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่

เรากล่าวไปแล้วว่า การฝึกตัวเองให้ช่างสังเกตสิ่งรอบตัวเป็นวิธีค้นพบ Joie de Vivre ได้ดีเยี่ยม ซึ่งต้องมาพร้อมกับ ‘ความอดทน’ ในการสังเกตให้มากพอและนานพอด้วยระดับหนึ่ง เรื่องนี้สอดคล้องโดยตรงกับการบ้านของอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่สั่งให้กับนักศึกษา โดยมีโจทย์ง่ายๆ คือ ให้นักศึกษาไปนั่งจ้องมองผลงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง…แค่นั้น จบ ไม่ต้องทำอะไรซับซ้อนเพิ่มอีกเลย (โดยมีเงื่อนไขให้แวะเข้าห้องน้ำได้)

แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง นักศึกษาหลายคนพบว่าเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ตัวเองจะจดจ่อโฟกัสสิ่งตรงหน้าได้เกินแม้แค่ 2-3 นาที และความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นเมื่อนักศึกษาฝืนอดทนจดจ่อโฟกัสไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30-60 นาที พวกเขาเริ่ม ‘มองเห็น’ รายละเอียดที่แฝงอยู่ในผลงานศิลปะชิ้นนั้น ความเป็นไปได้ของสิ่งรอบตัว ครอบครัวที่พาลูกๆ มาใช้เวลากัน หนุ่มสาวที่จูงมือมาออกเดต และ…ความสงบสุขเพลิดเพลินใจที่ได้อยู่กับปัจจุบันตรงหน้าแบบอธิบายไม่ถูก

โอบกอด Joie de Vivre สู่ชีวิตเรา

ก่อนจะเพลิดเพลินใจได้ อันดับแรกเราต้องมีสมาธิจดจ่อ ต้อง ‘ให้เวลา’ (Pay attention) กับเรื่องนั้นมากพอ เราอาจต้องมองอะไรให้นานขึ้น กินดื่มอย่างเนิบช้า แตะเบรกแห่งชีวิตเพื่อลดความเร่งรีบในการทำสิ่งต่างๆ 

และเราจะทำแบบนั้นไม่ได้เลยถ้าเราทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปในเวลาเดียวกัน จึงต้องเลือกโฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่งและตัดทิ้งบางเรื่อง หรือนำมันมาต่อคิวข้างหลัง เช่น ถ้าเรามีโอกาสได้ไปนั่งร้านคาเฟ่สวยๆ บรรยากาศดีๆ อาหารเครื่องดื่มเลิศรส เราก็ควรหยุดเล่นหยุดมองมือถือแต่มองสิ่งแวดล้อมรอบตัว หยุดก้มหน้ามองหน้าจอแต่มองคนรอบตัวและมองหน้ากัน เราใช้วิธีนี้ได้โดยตรงเพื่อขจัดปัญหาการตามรอยสถานที่เที่ยวเยอะแยะ…แต่กลับไม่ได้ดื่มด่ำ พลาดการเสพประสบการณ์ที่จะประทับในความทรงจำ

อีกเคล็ดลับที่ช่วยได้มากคือลองพยายาม ‘ถอดแพทเทิร์น’ สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เช่น งานสถาปัตยกรรมของตึกอาคารแห่งหนึ่ง จากเดิมที่มองชื่นชมด้วยความสวยงาม ก็ลองถอดรูปแบบแพทเทิร์นออกมาดู เช่น 

  • เราอาจเริ่มเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันแสนลงตัวของกระจกทรงโค้งมน (Arch) ที่เข้ากับตัวตึก 
  • เห็นการออกแบบทางลาดหน้าทางเข้าตึกรองรับเพื่อทุกคน (Universal Design) ซึ่งรวมถึงผู้ใช้วีลแชร์ด้วย 
  • เมื่อเดินเข้าไปแล้วพบกับความละเอียดอ่อนของการตกแต่งภายในแบบสมมาตร (Symmetry) ที่ช่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย 

เพียงเท่านี้ ความเพลิดเพลินใจก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว?

หลายคนพบเจอกับโลกรอบตัวที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันทรหดและความเครียดสุดขีดจากราคาที่ต้องจ่ายเมื่อพ่ายแพ้ บางที Joie de Vivre อาจเป็นตัวช่วยที่เยียวยาใจและอำนวยความสะดวกให้เราใช้ชีวิตในโลกที่ช่างแสนวุ่นวายได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

เพราะถ้าสังเกตให้ดี แก่นของ Joie de Vivre มีจริตของการ ‘ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น’ จะว่าไปแล้ว ใครบ้างที่สามารถควบคุมอนาคตได้? Joie de Vivre บอกเป็นนัยถึงชีวิตที่ปล่อยให้มันแค่ ‘เป็นไป & ผ่านไป’ แผนการอันแสนรัดกุมที่มีอยู่ ก็เป็นเพียงแผนการที่ออกแบบสร้างขึ้นในปัจจุบันโดยอิงกับเหตุการณ์ในอดีต 

แต่ท้ายสุดแล้วไม่มีใครกุมบังเหียนอนาคตได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรปล่อยวางแล้วเพลิดเพลินใจไปกับสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ตรงหน้าไม่ดีกว่าเหรอ?

Tags:

ความสุขการใช้ชีวิตความอดทนการคิดบวกการเยียวยาจิตใจ

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel