Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2022

Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ
Movie
22 December 2022

Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • กุยโดและโจชัว คือสองพ่อลูกชาวยิวที่ถูกทหารนาซีจับตัวไปยังค่ายกักกันแรงงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
  • ด้วยความไร้เดียงสา โจชัวมักตั้งคำถามถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และทุกครั้งพ่ออย่างกุยโดจะคอยสรรหาคำโกหกเพื่อหวังให้โจชัวสบายใจและใช้ชีวิตในค่ายอย่างมีความสุข
  • มีคำเปรียบว่าหากนักศึกษาที่เรียนวิชาฝรั่งเศสต้องอ่านหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย นักศึกษาที่เรียนภาษาอิตาลีก็ควรชมภาพยนตร์ดีกรีออสการ์เรื่องนี้

ผมเป็นชาวพุทธ และกฎการเป็นชาวพุทธที่ดีคือต้องมีศีล 5 

ในจำนวนศีลทั้งห้าข้อ ผมพบว่าศีลที่ยากที่สุดของผมคือศีลข้อสี่ แปลง่ายๆ คือการละเว้นจากการพูดเท็จ ไม่เป็นจริง และคำล่อลวงอำพรางผู้อื่น

แต่ถึงจะนับถือศาสนาไหนหรือไม่นับถืออะไรเลย ผมเชื่อว่าหลายคนไม่ชอบคำโกหก ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่ชอบโกหก และมักอ้างถึงข้อดีของมัน โดยเฉพาะ ‘การโกหกสีขาว’ (White Lie) เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ หรือไม่ก็เพื่อถนอมความรู้สึกและรักษาน้ำใจผู้ฟัง แทนการพูดความจริงที่อาจเกิดผลร้ายต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฯลฯ

สำหรับผม ไม่ว่าจะโกหกแบบตั้งใจหรือโกหกสีขาว โกหกก็คือโกหก อย่างไรก็ตามการโกหกสีขาวนั้นก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะบางครั้งคำโกหกอาจให้ความหวังและพลังใจในการใช้ชีวิต เหมือนกับเรื่องราวของกุยโดและโจชัว สองพ่อลูกชาวยิวจากภาพยนตร์เรื่อง Life is Beautiful

 ‘กุยโด ออริฟิเซ่’ เป็นชาวยิวในเมืองอาเรสโซ ประเทศอิตาลี เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ทำให้เสน่ห์ของเขาไปมัดใจ ‘ดอร่า’ ลูกสาวของเศรษฐีจนถึงขั้นแต่งงานมีลูกกันเลยทีเดียว

ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของกุยโดมีชื่อว่า ‘โจชัว’ เกิดในปีค.ศ. 1940 โจชัวเป็นเด็กร่าเริง ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนพ่อไม่ผิดเพี้ยน

ในปี ค.ศ.1945 หรือปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารนาซีในฐานะที่เป็นพันธมิตรกับอิตาลี (ฝ่ายอักษะ) ได้บุกเข้าจับกุมชาวยิวทุกคนในเมืองอาเรสโซ ก่อนส่งไปยังค่ายกักกันแรงงาน

แน่นอนว่า กุยโดและโจชัว ไม่อาจเลี่ยงชะตากรรมนี้ พวกเขาถูกทหารนาซีบุกจับกุมถึงบ้านในวันเกิดปีที่ 5 ของโจชัว ซึ่งโจชัวค่อนข้างสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอคำอธิบายกับพ่อยกใหญ่ 

เช่นนี้ กุยโดจึงเริ่มต้นปฐมบทของ ‘การโกหกสีขาว’ เพื่อปกป้องลูกจากสถานการณ์สุดเลวร้าย โดยไม่สนใจสายตาอันเอือมระอาของเพื่อนชาวยิวด้วยกัน

1

แม้พระเจ้าจะดูโหดร้ายที่จงใจให้ทหารบุกจับกุมชาวยิวในวันเกิดของโจชัว แต่กุยโดไม่อาจปล่อยใจให้หมดอาลัยตายอยากเหมือนชาวยิวคนอื่นและพยายามโฟกัสที่ลูกชายของเขา…ทำยังไงก็ได้ให้โจชัวอยู่ในค่ายนรกนี้อย่างมีความสุข

กุยโดทราบดีว่าของเล่นที่ลูกชอบที่สุดคือ ‘โมเดลรถถัง’ ดังนั้นเขาจึงบอกลูกชายว่าการที่ต้องเดินทางมาค่ายแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนเตรียมตัวมาอย่างดีของเขาในฐานะพ่อ เพราะผู้ที่เข้ามาในค่ายนี้จะต้องร่วมเล่นเกมที่มีรางวัลใหญ่คือรถถังของจริง 

“มันเป็นเกมอย่างนึงลูก กติกาคือเราทุกคนเป็นผู้เล่น ทุกอย่างถูกวางไว้เป็นระบบ ผู้ชายอยู่ทางนี้ ผู้หญิงอยู่ทางนั้น แล้วก็มีทหารคอยให้กำหนดการต่างๆ มันยากนะลูกไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าใครทำผิดกฎจะถูกส่งกลับบ้านทันที ต้องระวังให้มาก แต่ถ้าชนะเราจะได้รถถังที่เป็นรถถังจริงๆ ใหม่เอี่ยมเลยล่ะ”

เดิมที ผมไม่เห็นด้วยกับกุยโด เพราะถ้าผมเป็นพ่อ ผมคงจะบอกความจริงกับลูก ไม่มีอะไรที่ต้องโกหก และยิ่งรู้ความจริงเร็วก็จะได้ช่วยกันคิดว่าควรหาวิธีเอาตัวรอดยังไงในค่ายนรกแห่งนี้ 

แต่พอทบทวนดูอีกที ผมกลับมองว่ากุยโดทำถูกแล้ว เพราะโจชัวเป็นแค่เด็ก 5 ขวบ ที่ดูยังไงก็ ‘เปราะบาง’ เกินกว่าจะเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย เผลอๆ อาจเสียสติ ทำตัวลนลาน ร้องห่มร้องไห้ หรืออาจทำอะไรที่ขัดหูขัดตาจนถูกทหารนาซีลากไปสังหาร

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าวัยเด็กเป็นวัยแห่งจินตนาการ ดังนั้นหากโจชัวทราบความจริง ความเลวร้ายต่างๆ ในค่ายย่อมทวีความรุนแรงมากขึ้นในความรู้สึก 

ดังนั้นในช่วงเวลาที่โจชัวสับสน กุยโดจึงพยายามเบี่ยงเบนอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของลูกให้เป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ผ่านการสร้างภาพลวงตาเรื่องเกมชิงรถถังซึ่งเป็นดั่งความฝันสูงสุดของโจชัว เพื่อให้โจชัวรู้สึกผ่อนคลายและมองสถานการณ์ในแง่บวก

2

ถึงจะเริ่มมองสถานการณ์ในแง่บวกมากขึ้น แต่พอโจชัวต้องเจอสภาพห้องนอนที่ทั้งเหม็น เบียดเสียด และแออัด หนูน้อยจึงออกอาการงอแงอยากกลับบ้าน กุยโดจึงต้องพยายามหาสิ่งเร้าใหม่ๆ ซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่าทหารนาซีได้บุกมาที่ห้องพร้อมโวยวายเสียงดัง เมื่อสอบถามเพื่อนเชลยข้างเตียง กุยโดจึงรู้ว่าทหารนายนี้กำลังต้องการล่ามภาษาเยอรมันเพื่ออธิบายกฎให้ฟัง 

แม้จะไม่รู้ภาษาเยอรมันสักคำ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่อยากปกป้องโลกอันสวยงามของลูกให้ดำรงต่อไป กุยโดจึงอาสาแปลกฎต่างๆ นั้นเพื่อเอื้อให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพร่ำบอกโจชัวนั้นดู ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ชอบธรรม’ ยิ่งขึ้น

“เกมเริ่มแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องเล่น ใครทำถึง 1,000 คะแนนก่อนชนะ รางวัลคือรถถัง 1 คัน ทุกวันเราจะประกาศชื่อคนที่คะแนนนำผ่านทางเครื่องขยายเสียง ใครได้คะแนนน้อยสุดต้องใส่เสื้อคำว่าไอ้งั่ง พวกเราทหารจะเล่นบทดุดัน ใครกลัวจะต้องถูกตัดคะแนน ซึ่งมี 3 กรณีคือ 1.ร้องไห้ 2.อยากหาแม่ 3.หิวและอยากกินของว่าง ดังนั้นอย่าแม้แต่จะคิด…”

ระหว่างที่กุยโดแปลภาษามั่วๆ ตามอำเภอใจ ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นผสมผสานแววตาอันลุกวาวในดวงตาของโจชัว นั่นเพราะก่อนหน้านี้ โจชัวหลงเชื่อคำพูดของพ่อเพียงส่วนหนึ่ง แต่พอเห็นพ่อออกไปแปลภาษาอย่างองอาจ ทำให้เขารู้สึกเชื่อพ่ออย่างสนิทใจ ทั้งยังเกิดความภาคภูมิใจในตัวของพ่อมากขึ้น

3

พออยู่ในค่าย กุยโดก็ต้องเผชิญกับความลำบากทางกายและใจที่เพิ่มขึ้น ทุกวันเขาต้องขนทั่งที่มีน้ำหนักราว 100 กิโลกรัมตั้งแต่เช้ายันเย็น ตกดึกก็ต้องมานั่งตอบคำถามของโจชัวที่นับวันยิ่งแสนรู้มากขึ้น

ตัวอย่างที่ผมชอบ คือตอนโจชัวนำเรื่องราวทั้งหมดไปเล่าให้เพื่อนตัวน้อยในค่ายฟัง ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เหมือนเขาสักคน ทั้งยังเตือนโจชัวให้ระวังทหารดุๆ เอาไว้ เพราะทุกคนอาจถูกนำไปเติมเชื้อเพลิงในเตาอบแทนไม้ หรือไม่ก็อาจถูกจับไปทำเป็นสบู่กับกระดุมเสื้อให้พวกทหาร 

“แล้วลูกก็เชื่อเหรอ (หัวเราะ) เด็กพวกนี้ร้ายกาจชะมัด พวกนั้นกลัวแพ้ล่ะสิเลยโกหกลูก ไม่มีรถถังเหรอ อย่าไปเชื่อเชียวนะ…ไม่เอาน่าพ่อนึกว่าลูกเป็นเด็กฉลาด กระดุม-สบู่ทำจากคน เป็นไปได้ก็บ้าแล้ว”

แต่ฉากที่ผมชอบที่สุดคงหนีไม่พ้น ตอนที่โจชัวยื่นคำขาดต่อกุยโดว่าจะกลับบ้าน แทนที่จะพยายามปลอบใจลูกหรือหาคำโกหกสวยหรูมาสนับสนุนตัวเองต่อไป กุยโดกลับเลือกที่จะตอบรับ ด้วยการเก็บเสื้อผ้าข้าวของก่อนเดินออกจากห้องท่ามกลางความสับสันของโจชัว

“ทำไมเราจะไปไม่ได้ล่ะ คิดว่าเขาจะทำอะไรเรา บังคับคนให้อยู่ที่นี่เหรอ ไม่หรอกลูก ทำได้ก็เกินไปแล้ว ไปกัน พ่อเก็บของใส่กระเป๋าแล้วไปกันเลย แต่น่าเสียดายคะแนนเรานำอยู่ด้วย เลิกตอนนี้เท่ากับสละสิทธิ์ รถถังของจริงนั่นก็ให้เด็กคนอื่นไป…เรามี 687 คะแนนนำอยู่ด้วย แต่ช่างมันไปกันเถอะ เราจะชนะอยู่แล้ว แต่ทำไงได้ ลูกอยากเลิกแล้วนี่”

คำพูดในลักษณะนี้ สำหรับผมเปรียบได้กับการลูบหลังแล้วตบหัว ซึ่งกุยโดทำมันอย่างแนบเนียน เริ่มจากการทำตามคำขอของโจชัวทันทีโดยไม่โต้แย้ง จนโจชัวถึงกับโพล่งออกมาว่า “เราไปได้จริงๆ เหรอครับ” ต่อมาคือการที่กุยโดซื้อเวลาด้วยการเก็บข้าวของ ก่อนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าด้วยการบ่นเสียดายรางวัลรถถังกับเพื่อนเชลยในห้อง เพื่อโน้มน้าวลูกให้เกิดความรู้สึกในทำนองว่า “พ่อกำลังจะได้รถถังอยู่แล้ว แต่เรากลับเป็นตัวถ่วง” ส่งผลให้โจชัวล้มเลิกความคิดกลับบ้านในท้ายสุด

4

นอกจากการหาอุบายให้ลูกมีกำลังใจจะอยู่ในค่ายกักกันต่อแล้ว กุยโดยังพยายามพิสูจน์ให้โจชัวเห็นว่าเรื่องที่ฟังมาจากคนอื่นนั้นไม่เป็นความจริง เช่น เรื่องของการสังหารเด็กในค่ายจนไม่มีเด็กอีกแล้ว (ยกเว้นโจชัว) โดยการพาโจชัวไปดูบรรดาลูกๆ ของทหารนาซีที่กำลังเล่นซ่อนหาอย่างสนุกสนาน ทำให้โจชัวมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น หรือตอนท้ายเรื่องที่ฝ่ายอักษะแพ้สงคราม ทำให้ทหารนาซีพากันระบายอารมณ์ด้วยการสังหารเชลย กุยโดจึงต้องตัดสินใจพาโจชัวไปแอบในตู้ไม้เล็กๆ ท่ามกลางเสียงปืน และสุนัขทหารที่วิ่งไล่กัดเชลยอย่างบ้าคลั่ง

“โจชัวมาดูนี่ลูก ดูสิเขาโกรธกันใหญ่เลย พวกนั้นกำลังตามหาลูก ที่วุ่นวายกันอยู่นี่เพราะลูกคนเดียว ลูกเป็นคนสุดท้ายที่ยังหาไม่เจอ พรุ่งนี้เช้าเกมเลิกจะมีการแจกรางวัล ถ้าคืนนี้ซ่อนไม่ให้ใครเจอ ลูกจะได้ 60 คะแนน ตอนนี้เรามี 940 บวกอีก 60 เราก็จะได้ที่1 และชนะเกมนี้ ทุกคนถึงตามหาลูกไง ดังนั้นคืนนี้ลูกจะพลาดไม่ได้และเป็นคืนตัดสิน เข้าไปซ่อนในตู้เร็วเข้า เดี๋ยวพ่อกลับมาจะล่อพวกนั้นไปอีกทาง”

เมื่อถูกโกหกด้วยสิ่งเร้าเดิม เพิ่มเติมคือระยะเวลาที่แน่ชัด ทำให้โจชัวตั้งใจซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ ในตู้ใบนั้นจนรอดชีวิต ส่วนกุยโดแม้จะเป็นตัวแทนของการคิดบวก แต่ภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นว่าการคิดบวกที่มาพร้อมกับการโกหกย่อมมี ‘ราคา’ ที่ต้องจ่าย

หลังชมภาพยนตร์จบ ผมมองว่าสำหรับเด็ก พ่อแม่คือบุคคลที่สำคัญและมีอิทธิพลที่สุด ดังนั้นแม้จะเห็นกุยโดโกหกโจชัวตลอดทั้งเรื่อง แต่หากบวกลบคูณหารกับความปรารถนาดีที่มอบให้โจชัวแล้ว ต้องยอมรับว่ากุยโดเป็นพ่อที่รู้จักลูกดี รู้ว่าลูกมีความรู้สึกนึกคิดยังไง ทำให้เมื่อเจอเหตุพลิกผันจนต้องไปอยู่ในค่ายกักกัน กุยโดสามารถปรับจูนความคิดของโจชัวผ่านการใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ (Theories of Motivation) หรือการกระตุ้นโจชัวให้เกิดแพสชันที่จะเล่นเกมชิงรถถังซึ่งเป็นสุดยอดความฝัน รวมถึงคอยอัพเดทคะแนนของเขากับลูกทุกคืน เพื่อให้ลูกรู้สึกมั่นใจและมีความหวังว่าอีกไม่นานก็สำเร็จ อีกไม่นานก็ได้นั่งรถถังกลับบ้าน

ดังนั้น Life is Beautiful จึงไม่ใช่แค่การบอกว่าชีวิตทุกชีวิตคือสิ่งสวยงาม แต่มุมมองในการดำเนินชีวิตต่างหากที่จะทำให้เรามีชีวิตที่งอกงาม

Life is Beautiful เป็นภาพยนตร์สัญชาติอิตาลี ที่คว้ารางวัลออสการ์ในปี  ค.ศ. 1998 ได้ถึง 3 สาขา คือ รางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, รางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม โดยได้ ‘โรแบร์โต เบนิญญี’ มารับบท ‘กุยโด’ รวมถึงกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง

Tags:

หนังออสการ์โกหกมองโลกในแง่บวกพ่อแม่ปฐมวัยภาพยนตร์เด็กการเลี้ยงดูLife is Beautiful

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Inside Out: เมื่อความเศร้าไม่ใช่วายร้าย แต่อาจเป็นทางบังคับที่พาเราไปพบความสุข

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 
Everyone can be an EducatorLife classroom
21 December 2022

‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • ศิลปินสตรีทอาร์ต ผู้ใช้จิตวิญญาณ ‘ขบถ’ เป็นแรงผลักดันในการเลือกเส้นทางตามความฝัน เขาไม่เพียงกล้าออกนอกกรอบของสังคม เพื่อเดินตามความหลงใหลในศิลปะ แต่ยังแหวกกฎการทำงานศิลปะในรูปแบบเดิมสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนตัวตนในแต่ละช่วงชีวิต กระทั่งก้าวข้ามสู่บทบาทคุณพ่อของลูกสาว ก่อเกิดเป็นคาแรกเตอร์ ‘เด็กน้อยสามตา’ ที่ทำให้คนทั่วไปทั้งที่เป็นสายอาร์ตและไม่ใช่… รู้จักเขามากขึ้น


ภาพ ‘เด็กน้อยสามตา’ ในชุดกระต่าย ที่ปรากฏบนผนังกำแพงทั้งในสถานที่สาธารณะและแหล่งท่องเที่ยว กลายเป็นภาพจำที่หลายคนมักใช้อ้างอิงถึงศิลปิน Alex Face (อเล็ก เฟส) แต่สำหรับคนในแวดวงศิลปะ โดยเฉพาะ Street Art (สตรีท อาร์ต-ศิลปะในพื้นที่สาธารณะ) เขาคือมือวางอันดับต้นๆ ที่ทำให้สตรีทอาร์ตไทยเป็นที่รู้จัก ไม่เฉพาะในเมืองไทยแต่รวมถึงในต่างประเทศด้วย

ทว่า กว่าจะมาเป็น อเล็ก เฟส ที่ใช้คำว่า ‘อาร์ติส’ เป็น ‘อาชีพ’ ได้อย่างเต็มปาก แม้จะไม่ถึงขนาดต้องต่อสู้กับแรงทัดทานในครอบครัวแบบที่เด็กๆ หลายคนเจอ แต่ก็จำเป็นต้องผ่านการยืนยันตัวตนครั้งแล้วครั้งเล่า กับความชอบความหลงใหลในศิลปะ ทั้งกับคนรอบข้าง ครูที่โรงเรียน หรือแม้แต่ป้าข้างบ้าน

The Potential ชวนอเล็ก เฟส หรือในชื่อจริง พัชรพล แตงรื่น คุยถึงชีวิตและการเติบโตของเขาบนเส้นทางสายศิลปะ ความเป็นขบถที่คอยหนุนหลังให้เขากล้าที่จะแตกต่าง จนมาถึงวันนี้กับบทบาทคุณพ่อของลูกสาว บนรอยต่อแห่งยุคสมัย เจเนอเรชัน และเส้นแบ่งที่เปลี่ยนไปของคำว่า ‘ในกรอบ’ และ ‘นอกกรอบ’ สังคม โดยมีฉากหลังเป็นนิทรรศการครั้งล่าสุดของเขา ‘20TH YEAR Alex Face’ by BANGKOK CITYCITY GALLERY

เด็กชายผู้หลงรักศิลปะ

ย้อนกลับไปตอนที่ ด.ช.พัชรพล ยังวิ่งเล่นอยู่แถวฉะเชิงเทรา เขาบอกว่าตัวเองเติบโตมาในครอบครัวธรรมดาๆ แวดล้อมด้วยสังคมที่ทัศนคติต่องานศิลปะยังเป็นได้แค่งานอดิเรก

“สมัยนั้นยังไม่มีการเรียนการสอนศิลปะเหมือนทุกวันนี้ แม้กระทั่งโรงเรียนประถมก็ไม่ได้มีครูสอนศิลปะที่เป็นเรื่องเป็นราว เราแค่ชอบวาดรูป ระบายสีเล่น ระบายสีแล้วมันไม่ออกนอกเส้นก็ภูมิใจ เลยทำต่อมาเรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นของเล่น ไปหาดินเหนียวในคลองมาผสมดิน มาปั้นเล่น ปีนต้นไม้ ไปหักกิ่งไม้ มาประดิษฐ์ หาปฏิทินมา Drawing วาดตาม ผมมองว่าเป็นเรื่องของการพัฒนาทักษะทางศิลปะโดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังทำงานที่เกี่ยวกับทักษะศิลปะอยู่”

อเล็ก เริ่มต้นเล่าถึงรักแรกของเขากับศิลปะที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งใครจะเรียกว่าเป็นแพสชันก็คงไม่ผิดนัก และเขาโชคดีที่ค้นพบความสนใจความหลงใหลของตัวเองตั้งแต่เด็ก

“กระทั่งได้มาเรียน ม.1 ถึงเริ่มมีห้องศิลปะ มีอาจารย์สอนศิลปะมาเทรนเราอย่างจริงจัง ผมก็รู้สึกว่าชอบ พร้อมไปฝึกกับครูทุกวันหลังเลิกเรียน ตอนช่วงพักเที่ยงไปวาดรูป แล้วก็ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดวาดรูป ก็เลยรู้ตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าอยากเรียนต่อศิลปะ”

“เรารู้ตัวเองว่าไม่สามารถไปเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ได้หรอก เพราะเรียนแล้วเบื่อ ไม่ได้มีความกระหายใคร่รู้ว่าเรียนคณิตศาสตร์แล้วเป็นยังไงต่อ ไปเรียนอย่างอื่นน่าจะไม่มีความสุข ก็เลยคิดว่าเรียนศิลปะนี่แหละ 

เราอยากวาดรูปเก่งขึ้น อยากวาดรูปทุกอย่าง น่าจะมีความสุขกว่า โดยที่ไม่คิดถึงรายได้อะไรหรอก เพราะเขาก็บอกว่าเป็นศิลปินไส้แห้งอยู่แล้ว ก็เอาวะ ตอนนั้นคิดเลยว่าแห้งก็แห้งวะ ขอให้ได้วาดรูปแล้วกัน”

เมื่อตกลงปลงใจจะเป็นศิลปินไส้แห้งแล้ว ด่านต่อไปคือการขอความเห็น(ด้วย)จากคนในครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องเผชิญกับความกังวลว่าทางนี้อาจจะไม่มั่นคง แต่อเล็กก็ไม่ได้ถอดใจ ใช้ความมุ่งมั่นและการพูดคุยอย่างมีเหตุผล เพื่อยืนยันการตัดสินใจของตัวเอง

“พ่อก็ไม่อยากให้เรียนศิลปะ จริงๆ อยากให้เรียนอะไรที่รู้สึกว่ามีอาชีพมั่นคงหน่อย แต่ผมก็ไปคุยกับเขาว่าผมอยากเรียน ผมคุยกับเขาว่า พ่อ ผมอยากวาดรูป เรียนวาดรูปก็จบปริญญาได้เหมือนกัน เราก็ไปหาข้อมูลมาคุยกับเขา ให้เหตุผลว่าเรียน ปวช. เสร็จแล้วไปต่อมหาวิทยาลัยได้ จบแล้วก็ได้ปริญญาเหมือนกัน พอเขาเห็นว่าเราเอาข้อมูลมาคุยจริงจัง มีเอกสารมาหมดเลย เขาก็บอก…แล้วแต่แล้วกัน ก็เลยได้เรียนศิลปะ”

ประกาศตัวตนผ่านสตรีทอาร์ต

ชีวิตนักศึกษาศิลปะของอเล็กเป็นไปอย่างที่หวัง เขาเรียนสาขาวิจิตรศิลป์ ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้น ราวปี ค.ศ. 2000 วัฒนธรรมดนตรีแนวฮิปฮอปกำลังเป็นที่นิยมในเมืองไทย ซึ่งวัฒนธรรมทางดนตรีนี้ได้หลอมรวมการพ่นสีหรือกราฟิตีเข้ามาด้วย เขาจึงเริ่มสนใจศึกษาและทดลองที่จะสร้างผลงานในแบบของตัวเอง แม้ว่าโดยหลักการและวิธีการทำงานจะหลุดกรอบจากที่เรียนมาก็ตาม

“เราชอบกราฟิตี เหมือนได้ไปศึกษาศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นศิลปะด้วย คิดว่าเป็นเหมือนไลฟ์สไตล์มากกว่า เป็นแฟชั่น ความคูล เราก็ไปดูว่ากราฟิตีประเทศอื่นเขาพ่นกันยังไง ไปศึกษาในเว็บไซต์ Graffiti.org ตอนนั้นจะมีกราฟิตีที่มาจากประเทศต่างๆ ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ทำให้เห็นความแตกต่างของกราฟิตีแต่ละประเทศ แล้วก็เริ่มซื้อหนังสือสตรีทอาร์ตที่เป็นของศิลปินอเมริกันยุคแรกๆ เริ่มเห็นว่ามีงานศิลปะที่เขาทำอีกแบบหนึ่งที่มันหลุดจากการเรียนของเราไปเลย พอศึกษามาสักระยะหนึ่ง ก็เริ่มซื้อสีมาพ่นเอง ชิ้นแรกพ่นบนรถเก่าเป็นชื่อผมเอง คือ Alex ซึ่งเป็นฉายาตอนเรียนอยู่แล้ว”

จากความชอบ ความสนุกที่ได้รวมพลพ่นสีป่าวประกาศตัวตนท้าทายกฎหมายบนกำแพงในที่สาธารณะ โดยเฉพาะตามตรอกซอยซอยในพื้นที่ลาดกระบัง เขาค่อยๆ ผสมผสานความรู้ด้านวิจิตรศิลป์เข้ากับเทคนิคการพ่นสีสเปรย์เพื่อทำวิทยานิพนธ์ จนคลี่คลายมาเป็นผลงานสตรีทอาร์ตที่มีเอกลักษณ์ทั้งสีสันลายเส้นและ Message (สาร) ที่แฝงนัยทางสังคม 

“ตอนทำธีซิสก็เริ่มเอามาผสมกัน ความชอบ อิทธิพลต่างๆ ที่เราได้มาจากงานกราฟิตีมาผสมกับการเรียนด้านวิจิตรศิลป์ของเรา โดยก็ต้องผ่านการพูดคุยกับอาจารย์ว่าเขายอมรับได้มั้ย เพราะอาจารย์บางคนก็ไม่ชอบ มองว่าเราไม่ได้ทำงานศิลปะ เป็นเรื่องที่เราต้องไปคุยกับอาจารย์ ต้องไปนำเสนออะไรใหม่ๆ ที่เรารู้สึกว่าเป็นยุคเราเข้าไปใส่ในการเรียน”

“ช่วงแรกก็สนุก ปีนตึกชั้น 3 ไปพ่นกัน อันตรายก็ไม่คิดอะไร แต่มันก็ค่อยๆ พัฒนาความคิดมาเรื่อยๆ เกิดกระบวนการเรียนรู้มาเรื่อยๆ เราพ่นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างในสิ่งที่เราทำไป ประกอบกับที่ผมเรียนศิลปะมา มีกระบวนการคิด กระบวนการสร้างสรรค์ที่เราใช้ในการเรียน ก็เริ่มเอามาใช้ด้วยกัน จากที่พ่นแล้วโดนด่ามาเยอะ มีปัญหาเยอะ ก็เลยเริ่มปรับวิธีการทำงาน เริ่มเอา Message อะไรต่างๆ เข้าไปใส่ในงาน นอกเหนือจากแค่ป่าวประกาศตัวเองอย่างเดียว เริ่มเอาความรู้ด้านวิจิตรศิลป์มาผสมกับเทคนิคสีสเปรย์ 

ผมก็เริ่มมองว่าผมทำสตรีทอาร์ต ทำศิลปะข้างถนนแล้วมีการส่ง Message ถึงคนที่เข้ามาดู เริ่มพัฒนาจากตรงนั้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ไปแอบพ่นสี ก็เริ่มหาพื้นที่ ใช้วิธีการเจรจา เป็นความสนุกในการที่เราได้เข้าไปในชุมชน ไปคุยกับเขาว่าตรงนี้ผมทำได้มั้ย เริ่มมีกระบวนการทำงานที่มีความประณีตขึ้น อยากให้ออกมาเป็นงานศิลปะมากกว่าที่จะเป็นแค่เขียนข้อความอย่างที่เราทำแบบเมื่อก่อน” 

อเล็กบอกว่า Message ที่เขาส่งผ่านผลงานไปยังผู้ชม ส่วนใหญ่ก็จะมาจากปัญหาสังคมรอบตัวที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่แล้ว หรือไม่ก็เฉพาะเจาะจงลงไปที่บริบทของพื้นที่นั้นๆ

“ผมมองว่างานสตรีทอาร์ตมันเป็นเครื่องมือให้เราสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยซ้ำ เพราะมันอยู่กับพื้นที่สาธารณะ

อันนี้ก็แล้วแต่ศิลปินแต่ละคนด้วยแหละ ว่าศิลปินที่พ่นหรือเพนท์ข้างถนนแต่ละคนมีวิธีการจะสื่อสารเรื่องอะไรบ้าง แต่ส่วนตัวผมก็เป็นประเด็นสังคมต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา ที่เรารู้สึกว่ามันมากระทบความรู้สึกเรา และมันเกิดขึ้นโดยสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น เพราะเราทำงานกับพื้นที่ ที่ไม่ได้อยู่ในแกลเลอรีอย่างเดียว แต่มันอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นเลย บางครั้งก็เอาเรื่องที่มันเกิดในบริเวณนั้นแหละ สภาพแวดล้อมนั้นแหละมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน”

‘ลูก’ คือจุดเปลี่ยนและแรงบันดาลใจ

จากศิลปินกราฟิตี ที่แนะนำตัวในพื้นที่สาธารณะด้วยการพ่นชื่อ Alex สู่ผลงานสตรีทอาร์ตสะท้อนประเด็นสังคมต่างๆ พัฒนาการทางศิลปะของ อเล็ก เฟส เติบโตไปพร้อมกับชีวิตของเขา โดยในปี 2009 ลูกสาวคนแรกกับบทบาทคุณพ่อมือใหม่ได้ขยับมุมมองหลายๆ อย่างทั้งต่อศิลปะและชีวิต ที่น่าสนใจคือการเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างคาแรกเตอร์ ‘เด็กน้อยสามตา’ ที่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็น ‘มาร์ดี’ ตามชื่อลูกสาว

“จริงๆ คาแรกเตอร์นี้ไม่ได้ชื่อมาร์ดีนะครับ มาร์ดีเป็นชื่อลูกสาวผม คนส่วนใหญ่เรียกว่าน้องมาร์ดี เพราะรู้ว่าผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากลูกสาว แต่ความจริงแล้วคาแรกเตอร์นี้ไม่ได้ตั้งชื่อไว้แต่แรก”

เมื่อชื่อมาร์ดีเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางผ่านความโด่งดังของคาแรกเตอร์เด็กน้อยสามตา เวลามีปัญหาเกิดขึ้น คุณพ่อจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับลูกสาวเพื่อป้องกันผลกระทบ 

“ในช่วงหนึ่งที่มีประเด็นทางสังคม พ่นคาแรกเตอร์ที่ภูเก็ตแล้วมีปัญหา กลายเป็นว่าชื่อเขาถูกเอาไปเขียนเป็นข่าวเยอะแยะไปหมดเลย ก็เป็นห่วงว่าวันหนึ่งเมื่อเขาเป็นวัยรุ่น อาจจะไปกระทบความเป็นส่วนตัวเขาหรือเปล่า ซึ่งเราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับลูก ผมก็เคลียร์กับเขามาตลอด เขาก็ค่อนข้างเข้าใจ คิดว่าไม่ใช่ชื่อเขา ไม่ใช่บริบทที่เป็นตัวเขา พยายามให้เขาแยกกัน”

สำหรับคาแรกเตอร์เด็กน้อยสามตาที่หลายคนหลงรักด้วยหน้ามุ่ยๆ ช่างสงสัยนั้น อเล็กบอกว่าเขาสังเกตและถ่ายทอดจากการแสดงอารมณ์ของลูกตั้งแต่ยังเล็กๆ ส่วนตาที่สามสื่อถึง ‘ตาระวังภัย’ แฝงไว้ด้วยความห่วงใยต่อสังคมโลกในอนาคต  

“เราอยากพูดประเด็นที่เกี่ยวกับอนาคตของลูก สังคมเราจะเป็นยังไง สังคมโลกจะเป็นยังไง มันเหมือนกับเป็น Turning Point แบบจุดใหญ่ในชีวิตด้วยซ้ำไป เพราะจากเมื่อก่อนที่เราทำงานด้วยการพ่นสี พ่นด้วยความสนุก ไม่ได้คิดอะไรมาก เหมือนกับแค่เราอยากจะทำเพราะความชอบ แต่พอเรามีลูก มันไม่ได้มองแค่ตัวเอง เหมือนผมกับแฟนเริ่มมองอะไรที่ไกลไปกว่านั้น 

ผมคิดว่าเด็กหน้ามุ่ย น่าจะพูดถึงอะไรบางอย่างได้เยอะ คนเขามาเห็น น่าจะทำให้ฉุกคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคต ทำไมเด็กคนนี้ถึงทำหน้าแบบนี้ มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเปล่า มีอะไรที่เราต้องคิดถึงบ้างหรือเปล่า ผมว่าคาแรกเตอร์เด็กพูดถึงประเด็นนี้ได้ เรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ 

ส่วนตาที่สามเป็นตาระวังภัย ก็มาจากสังคมที่เจอในช่วงเวลานั้น ผมห่วงเรื่องความปลอดภัยในสังคม อย่างเช่น ข้ามถนนแล้วโดนรถชนตรงทางม้าลาย มันเป็นเรื่องของฟังก์ชันที่สังคมควรจะต้องมีความปลอดภัยให้ประชาชน ผมรู้สึกว่าทำไมต้องเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตเราแบบนี้ พอเรายิ่งโตยิ่งรู้สึกว่าความปลอดภัยในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ แล้วตอนนั้นผมก็เลยคิดว่าต้องมีตาที่สามไว้คอยระแวงเหรอ ตามองข้างนี้ยังไม่พอ ต้องมองอีกข้าง ต้องมีตาที่สามใช่มั้ยในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตเรา ก็เลยกลายเป็นว่าทำให้งานมันมี Element ความเคลื่อนไหวในตัวงานด้วย”

นอกจากลูกสาวจะเป็นจุดเปลี่ยนแล้ว การเดินทางก็ทำให้เขาเห็นความแตกต่างในวิธีคิดและวิธีปฏิบัติต่อเด็ก อเล็กยกตัวอย่างประเทศเดนมาร์กที่ให้ความสำคัญกับเด็กค่อนข้างมาก

“ผมรู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับเด็กเยอะมาก เหมือนเขามองว่าเด็กเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ฟังเสียงเด็ก เด็กต้องการอะไร เขาฟัง แต่บ้านเราเขาไม่ได้มองว่าเด็กเป็นหน่วยหนึ่ง อย่างเช่น ผมไปร้านอาหาร เขาเอาแก้วมาวาง ไม่เอาแก้วเด็กมา เขาไม่นับคนนี้เหรอว่าเป็นหน่วยหนึ่งของโต๊ะนั้น เราต้องขอเพิ่ม ‘ขอของเด็กเพิ่มด้วยนะครับ’ ‘ขอจานแบ่งให้เด็กหน่อยครับ’ เขาไม่มองว่าเด็กเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติ 

หรือฟังก์ชันต่างๆ ที่มันออกแบบมา มันไม่ได้ออกแบบมาให้เด็ก Universal Design ต่างๆ มันก็ไม่ได้มีให้เด็ก หรือถ้านักศึกษาที่โน่นเขามีลูก เขาจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เงินเลี้ยงดู เหมือนระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาเขามีลูกไปด้วยได้ อยู่เป็นครอบครัวตั้งแต่เรียนเลย เพราะเขาต้องการทรัพยากรมนุษย์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ถ้าเป็นบ้านเรา ท้องตอนเรียนเป็นยังไง โดนด่า โดนประณาม ซึ่งค่านิยมต่างๆ ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องที่พูดยาก”

มุมมองเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนออกมาในผลงาน แต่ยังส่งผ่านไปถึงแนวทางการเลี้ยงลูก ซึ่งอเล็กมองว่าด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตนเองก็ไม่ต่างจากพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อเลือกทางที่ใช่สำหรับตัวเอง

“ผมว่าพ่อแม่รุ่นผมทุกคนมีวิธีการเลี้ยงลูกที่คล้ายๆ กัน คือไม่ได้บังคับลูก แล้วด้วยสภาพสังคมที่มันเปลี่ยนไป อย่างตอนผมเป็นเด็ก เราถูกเลี้ยงมาว่าโตมาคุณต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เพราะว่าสังคมถูกเซ็ตให้เป็นแบบนั้น ค่านิยมโดยทั่วไปก็เป็นตำรวจ หมอ วิศวกร เราจะได้ยินอาชีพแค่ไม่กี่อย่าง แล้วผมก็รู้สึกว่าในขณะนั้นถ้าให้เราทำแบบนั้นเราก็คงไม่ชอบ พอมีลูกเองก็รู้สึกว่าเราจะไม่ทำแบบนั้นกับลูก เราจะใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบเสริมทักษะให้ลูก ให้เขาลองทำหลายๆ อย่าง ให้เขาได้รู้ว่าเขาอยากทำอะไร ก็ไม่ได้ขนาดว่าตามใจ แต่ดูว่าเขาสนใจอะไร ให้เขาลองทำ เขาจะได้รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็เหมือนให้ลูกได้ทดลองแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ”

“ที่สำคัญการเลี้ยงลูกเราพยายามคุยด้วยเหตุผลตั้งแต่เด็กแล้ว เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่พอดีลูกผมเป็นแบบนี้ เราพยายามคุยด้วยเหตุผลตั้งแต่แรกว่าทำแบบนี้จะได้แบบนี้ บางอย่างเราก็ช่วยเลือกให้ เช่น เรียนว่ายน้ำ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะเรารู้ว่าสำคัญ เป็นทักษะการเอาชีวิตรอด ส่วนทักษะอื่นๆ ให้เขาเลือกเอง อย่างพอเขาเริ่มโตมา เขาบอกแม่ ‘หนูอยากตีกลอง’ เราก็ให้เขาไปตีกลอง หรือแม้แต่ศิลปะ ผมให้ไปเรียนศิลปะกับคนอื่นด้วยนะ ไม่ได้สอนเอง ผมไม่ได้คิดว่าเราทำงานศิลปะแล้วลูกต้องเรียนกับเรา ผมให้เขาไปเรียนกับคนอื่น ผมมองว่าเขาไปอยู่กับคลาส แล้วมีเพื่อนคนอื่นๆ มันไม่เหมือนกัน”

แน่นอนว่าถึงตรงนี้ คำถามที่หลายคนน่าจะอยากรู้ก็คือ เขาคาดหวังว่าลูกจะเอาจริงเอาจังทางด้านศิลปะเหมือนกับตัวเองหรือไม่

“เรื่องศิลปะถามว่าเขาชอบมั้ย ผมมองว่าเขาเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีแต่สี พู่กัน พ่อก็วาดรูปทั้งวัน ก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ เหมือนซึมซับการทำงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เขาก็วาดรูป เวลาเขาเบื่อๆ เขาก็นั่งดรอว์อิง แต่ผมไม่ได้ไปเคี่ยวเข็ญให้เขาต้องเป็นศิลปินแบบพ่อนะ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ผมมองว่าทุกอาชีพก็มีความยากหมด ไม่ได้สบาย เพราะฉะนั้นไม่ว่าทำอาชีพอะไรก็ต้องเจอความลำบาก ต้องเจอการฝ่าฟัน การแข่งขัน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเขาเบื่อ หรือว่าเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วเขานั่งวาดรูป ผมก็มองว่าเป็นสิ่งที่โอเคแล้ว ผมว่าการวาดรูปคือการได้โฟกัสและได้อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมว่าแค่นั้นก็โอเคแล้ว ในอนาคตเขาจะทำเป็นอาชีพมั้ย ก็แล้วแต่เขา”

ด้วยบริบทของโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงพลิกผัน พ่อแม่หลายคนต่างกังวลต่อการเติบโตของเด็กท่ามกลางอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้ อเล็กก็เช่นกัน แต่เขามองว่าพ่อแม่ไม่สามารถปกป้องลูกไม่ให้เผชิญกับปัญหาและความผิดหวังได้ สิ่งสำคัญจึงเป็นการเตรียมพร้อมให้เขาสามารถรับมือกับความผิดพลาดล้มเหลวโดยไม่เสียศูนย์ 

“ผมเคยกังวลตอนเขาเด็กๆ แต่พอเราเลี้ยงลูกมา ตอนนี้เขาอายุ 13 ปีแล้ว ผมก็พยายามให้ความพร้อมกับเขาในทุกเรื่อง ตอนนี้เริ่มเรียนรู้แล้วว่า คนเราต้องมีความผิดพลาด คนเราต้องเจอเรื่องที่ไม่ดี คนเราต้องเจอเรื่องอกหัก ต้องเจอเรื่องที่ผิดหวัง ผมคิดว่าเขาต้องเจอ และต้องเรียนรู้กับสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำไป 

ผมคุยกับภรรยาว่าเรามีหน้าที่ที่คอยเป็นเบาะให้เขาล้ม ไม่ว่าวันหนึ่งเขาจะเจอเรื่องไม่ดี เรื่องแย่ๆ อย่างไร แต่อย่างน้อยๆ ขอให้เขากลับมาหาครอบครัว แล้วมาคุยกัน อย่างน้อยเราเป็นที่ปรึกษาได้ คุยได้ บางเรื่องคุยกับแม่ได้ บางเรื่องคุยกับผมก็ได้ ผมคิดว่าเราเตรียมความพร้อมไว้แค่นั้นแหละ ที่จะคอยอยู่กับเขาเมื่อเขาผิดพลาด อย่างเช่นทุกคนจะมองว่ามีลูกผู้หญิงต้องไว้หนวดแล้ว ผมไม่รู้สึกว่าต้องบังคับให้เขาต้องไม่มีแฟน ผมมองว่าเขาต้องมีความสัมพันธ์”

“ผมมองว่าคนที่ไม่เคยมีความผิดพลาดเลย บางครั้งจัดการตัวเองไม่ถูก เวลาโตขึ้นแล้วเพิ่งมามีความสัมพันธ์ จัดการตัวเองไม่ได้ แล้วก็ก้าวออกจากความสัมพันธ์ไม่ได้ มีปัญหาไปกระโดดตึก หรือบางครั้งทำอะไรที่แบบไม่ได้คิด 

ผมอยากให้เขามีชีวิตปกติ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ให้เขาได้เรียนรู้ เรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่วัยรุ่น ผิดพลาดอะไรก็ผิดพลาดไป โตมาเขาก็จะรู้สึกว่าได้เรียนรู้แล้ว”

และถ้าเป็นไปได้ สิ่งที่เขาคาดหวังไม่ว่าจะในมุมของพ่อ ศิลปิน หรือมนุษย์คนหนึ่ง คงไม่มีอะไรมากไปกว่า…

“สุดท้ายผมอยากให้เขามีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี โตขึ้นไปตามวัย เรียนรู้อะไรไปตามวัยของเขาในสิ่งที่ควรจะเป็นปกติธรรมดาทั่วไป ผมอยากเห็นเขาเป็นแบบนั้น และผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย”

Tags:

สตรีทอาร์ตแรงบันดาลใจศิลปินศิลปะการเรียนรู้มนุษย์Alex Face

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • Life classroom
    ‘อาร์ตทอย’ มากกว่าดีไซน์คือตัวตน: โมเดลชีวิตที่ร่างจากความล้มเหลวของ วีระยุทธ์ วรพล

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ความหมายของชีวิต: เรียนรู้ และสร้างมันขึ้นมา

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Everyone can be an Educator
    SPIRITUAL SPACESHIP การออกไปตามหาความหมายบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ของ ‘เหิร’ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว
EF (executive function)Adolescent Brain
20 December 2022

‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ความผูกพันต่อสัตว์เลี้ยงทำให้เด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่รู้สึกว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นดังสมาชิกในครอบครัวมากกว่าแค่เป็น ‘สัตว์ที่เราเลี้ยง’
  • การมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ว่าคนหรือสัตว์อื่นคิดและทำแตกต่างจากที่ตัวเองคิดและทำ จึงต้องเรียนรู้เรื่องการปรับตัว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
  • การใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เลี้ยงย่อมทำให้เด็กยอมรับได้ไม่ยากว่า พวกมันมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง และสัตว์ก็ไม่เหมือนมนุษย์ พวกมันมีชีวิตที่พิเศษและมีความคิดอ่านในแบบของมันเอง

เรื่องประโยชน์ของการให้เด็กๆ มีสัตว์เลี้ยง มีคนพูดถึงกันอยู่มาก และข้อมูลงานวิจัยก็ค่อยๆ เพิ่มเติมแง่มุมที่คาดไม่ถึงเข้ามาอยู่เรื่อยๆ 

ถ้าลองสังเกตดู เด็กๆ มีธรรมชาติที่ชอบสัตว์ต่างๆ อยู่ในตัว จึงมีสัตว์ปรากฏอยู่ในหนังสือและรายการโทรทัศน์ต่างๆ รวมไปถึงสารคดีสำหรับเด็กอยู่เสมอๆ แต่สัตว์เลี้ยงเป็นมากกว่านั้น ความผูกพันต่อสัตว์เลี้ยงทำให้เด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่รู้สึกว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นดังสมาชิกในครอบครัวมากกว่าแค่เป็น ‘สัตว์ที่เราเลี้ยง’ ดังที่เห็นได้งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่พบว่า คนสูงอายุหรือคนที่ไม่ได้แต่งงานมักหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น โดยปฏิบัติกับสัตว์เหล่านั้นดังสมาชิกในครอบครัว [1] 

นอกจากจะเป็นเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวแล้ว สัตว์เลี้ยงยังเป็นปัจจัยกระตุ้นการสร้างความสัมพันธ์สำหรับเด็กๆ อีกด้วย  เห็นได้จากงานวิจัยชิ้นเดียวกันที่ชี้ว่า ครอบครัวอเมริกันมากถึง 63% ที่มีเด็กอ่อนอายุไม่เกิน 1 ขวบที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน เรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในออสเตรเลียที่ชี้ว่า คนออสเตรเลียมองหาสัตว์มาเลี้ยงเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเด็กๆ อายุถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน 

โดยที่เด็กจากบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงมีปัญหาการควบคุมอารมณ์ตนเองน้อยกว่า และเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีกว่าเด็กจากบ้านที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงด้วย [2] 

การทดลองในเด็กกลุ่มใหญ่มากคือ 4,000 คนที่มีอายุ 5–7 ปี ก็ได้ผลคล้ายคลึงกันคือ พบว่าเด็กๆ ที่มีสัตว์เลี้ยง เป็นกลุ่มมีปัญหากับเพื่อนๆ น้อยกว่าและมีพฤติกรรมการอยากเข้าสังคม อยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเพื่อนๆ มากกว่าด้วย [3]  

เรื่องนี้นักจิตวิทยาอธิบายว่า เป็นเพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ว่าคนหรือสัตว์อื่นคิดและทำแตกต่างจากที่ตัวเองคิดและทำ จึงต้องเรียนรู้เรื่องการปรับตัว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวที่มีลูกเพียงคนเดียว ไม่มีพี่น้อง และไม่ได้อยู่ร่วมกันกับญาติคนอื่นๆ 

อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่า เด็กอายุ 2–5 ปี ที่ครอบครัวมีสุนัข จะมีความกระตือรือร้นมากกว่า ใช้เวลากับจอน้อยกว่า และนอนหลับได้มากกว่าเด็กทั่วไปโดยเฉลี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมากกว่าเด็กที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงใดเลย [4]  

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งก็น่าสนใจครับ [5] นักวิจัยสรุปผลการศึกษาไว้ว่า ในการทดลองทำกับเด็กออทิสติก 764 คน พบว่า หากในบ้านมีสัตว์เลี้ยงจะช่วยลดความเครียดของเด็กได้ และยังเพิ่มโอกาสที่เด็กจะพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นได้มากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นมากสำหรับเด็กกลุ่มนี้  

หากครอบครัวมีรายได้น้อย เด็กก็ยิ่งได้ประโยชน์จากการเลี้ยงสัตว์และจะมีความผูกพันกับพวกมันมากขึ้นด้วย โดยการเลี้ยงทั้งแมวและหมาให้ผลดีมากกว่าการเลี้ยงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น 

การทดลองเล็กๆ ที่ทำในเด็กเล็กที่ยังไม่เข้าโรงเรียนจำนวน 12 คน ก็น่าสนใจดีครับ [6] นักวิจัยพบว่าหากให้เด็กๆ แยกรูปภาพตามหมวดหมู่ 3 หมวดที่แตกต่างกัน พวกหนูๆ ทั้งหลายจะทำผิดพลาดน้อยลง หากมีหมาพุดเดิลอยู่ด้วยขณะทดลอง 

ถือได้ว่าสัตว์เลี้ยงเป็นกำลังใจได้อย่างดีในการลงมือทำอะไรสักอย่างในเด็กเล็กนะครับ

ในยามเกิดโรคระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสัตว์เลี้ยงช่วยเรื่องสุขภาพจิตของวัยรุ่นที่เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน โดยชนิดของสัตว์เลี้ยงไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก แต่สำหรับสุนัขแล้ว กิจกรรมที่ช่วยมากที่สุดคือ การนำสุนัขออกไปเดินข้างนอกบ้าน [7]  

เรื่องหนึ่งที่นักวิจัยจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันก็คือ การมีสัตว์เลี้ยงในบ้านเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้เด็กแต่ละคนได้ประโยชน์ เพราะปัจจัยหลักจริงๆ คือ การใช้เวลาด้วยกันกับสัตว์เลี้ยงหรือความผูกพันต่อกัน 

เช่น การใช้เวลาพาสุนัขออกไปเดินเล่นบริเวณรอบๆ บ้านส่งผลดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณมีพี่หรือน้องที่เลี้ยงแฮมสเตอร์อยู่ในห้องของเขาหรือเธอเท่านั้น คุณก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากสายสัมพันธ์กับแฮมสเตอร์ตัวดังกล่าว แม้ว่าจะอยู่ในบ้านเดียวกันก็ตาม 

นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่าเด็กที่ไม่มีพี่หรือน้องจะผูกพันกับสัตว์เลี้ยงได้มากกว่า เสมือนใช้สัตว์เหล่านั้นเป็นตัวแทนพี่หรือน้องของตัวเอง [3]  

‘อายุ’ ของเด็กกับ ‘ชนิด’ ของสัตว์เลี้ยงก็ส่งผลกระทบกับความแนบแน่นของความสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยพบว่าเด็กอายุ 6–10 ปีจะผูกพันกับสัตว์เลี้ยงที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่า เช่น แมวและหมา หากเทียบกับนกและปลา ในขณะที่หากโตขึ้นมาอีกหน่อยคือ 11–14 ปี กลับผูกพันในลักษณะกลับกัน เช่น ชอบเลี้ยงหนูหรือแฮมสเตอร์มากกว่าหมาหรือแมว [8]   

มีการศึกษาที่พบว่าเด็กที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงสามารถสังเกตและจดจำใบหน้าของสัตว์เหล่านั้นได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกคือ อายุแค่เพียง 10 เดือนเท่านั้น [9] และเด็กอังกฤษที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้านมีแนวโน้มจะเชื่อว่า สัตว์มีความคิดจิตใจของตัวเองมากกว่า [10] 

การใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เลี้ยงย่อมทำให้เด็กยอมรับได้ไม่ยากว่า พวกมันมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง และสัตว์ก็ไม่เหมือนมนุษย์ พวกมันมีชีวิตที่พิเศษและมีความคิดอ่านในแบบของมันเอง 

แต่สัตว์คิดอย่างไรกับเด็กกันแน่? เราพอจะมีข้อมูลอะไรบ้างหรือไม่   

สุนัขได้รับการเลี้ยงดูและผสมพันธุ์จนได้คุณลักษณะต่างๆ ตามที่มนุษย์ต้องการ และการที่อาศัยร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลานาน จึงสร้างสายสัมพันธ์กับมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง และมีความเป็น ‘สัตว์เมือง’ มากกว่า ตรงกันข้ามกับแมวที่แม้จะเลือกมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ภายหลังสุนัข แต่ก็ยังคงความเป็นสัตว์ที่สันโดษและทำตามสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าอยู่มากกว่า

แต่แมวก็ถือมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตในครอบครัวได้เช่นกัน 

ดังเห็นได้จากการแสดงความดีใจด้วยการยกหางหรือเดินรอบๆ ขาและถูตัวกับขาของเรา ซึ่งเป็นพฤติกรรมเดียวกับที่พวกมันทำกับแมวด้วยกันเองที่พวกมันถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัว 

เชื่อกันว่าตัวกำหนดสายสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสัตว์เลี้ยงสักตัวกับเด็กก็คือ ประสบการณ์ในตอนพวกมันยังเป็นลูกสัตว์นั่นเอง เช่น สำหรับลูกแมวและลูกสุนัขก็คือ ช่วงที่พวกมันอายุ 8–16 สัปดาห์ หากช่วงเวลาดังล่าว มันไม่ได้พบเจอกับเด็กสักคนเลย แต่มาเจอเมื่ออายุหลัง 6 เดือนไปแล้ว พวกมันก็อาจไม่ได้มีความผูกพันที่ดีก็เป็นได้ 

จากมุมมองของพวกมัน เด็กทารกก็คือผู้ใหญ่ตัวเล็กกว่ามาก ยืนไม่ได้ ส่งเสียงแตกต่างออกไป และยังมีกลิ่นที่แตกต่างออกไปอีกด้วย ขณะที่เด็กที่โตมากับสัตว์เลี้ยงอาจจัดลำดับความสำคัญพวกมันไว้สูงมาก แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงจำเป็นต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคย 

หากคุณมีลูกคนแรก แล้วแมวที่คุณเลี้ยงฉี่รดเปลหรือรถเข็น ก็ต้องเข้าใจมุมมองของมันว่า มันไม่ได้ต้องการล้ำเส้นคุณ พวกมันก็เพียงแต่ไม่คุ้นกับกลิ่น เสียงร้อง และท่าทางของลูกของคุณที่เป็นสิ่งใหม่สำหรับมัน มันก็เลยงงๆ ว่าจะทำตัวอย่างไร 

จากทั้งหมดที่เล่ามา คงพอเห็นความสำคัญของสัตว์เลี้ยงต่อเด็กแล้ว ข้อควรระวังก็มีแค่บางครั้งต้องพยายามเข้าใจสัตว์เลี้ยงและคิดในมุมมองของพวกมันบ้าง กับต้องระมัดระวังโรคที่อาจมากับพวกมัน หากปล่อยให้พวกมันออกไปเจอกับสิ่งแวดล้อมหรือสัตว์พวกเดียวกันหรือสัตว์อื่นนอกบ้าน 

หากทำแบบนี้ได้เราก็จะได้เด็กและสัตว์เลี้ยงที่ต่างก็มีความสุขมากขึ้นเมื่ออยู่ร่วมชายคากัน แถมยังช่วยเรื่องพัฒนาการของเด็กๆ ได้อีกด้วย 

เอกสารอ้างอิง

[1] Bures, R.M. (2021). Integrating Pets into the Family Life Cycle. In: Well-Being Over the Life Course. SpringerBriefs in Well-Being and Quality of Life Research. Springer, Cham. https://doi.org/10.1007/978-3-030-64085-9_2 

[2] Paul G. Fisher (2020) Should families acquire pets to promote child development? The Journal of Pediatrics, Volume 220, Pages 1-3

[3] Hayley Christian et al. (2020) Pets Are Associated with Fewer Peer Problems and Emotional Symptoms, and Better Prosocial Behavior: Findings from the Longitudinal Study of Australian Children. J Pediatr. May; 220:200-206.e2. doi: 10.1016/j.jpeds.2020.01.012. 

[4] Hayley Christian et al.(2022) Association between preschooler movement behaviours, family dog ownership, dog play and dog walking: Findings from the PLAYCE study. Preventive Medicine Reports. Volume 26. doi.org/10.1016/j.pmedr.2022.101753

[5] Gretchen K Carlisle et al. (2020) Exploring Human-Companion Animal Interaction in Families of Children with Autism. J Autism Dev Disord. Aug; 50(8): 2793-2805. doi: 10.1007/s10803-020-04390-x.

[6] Nancy R. Gee et al. (2015) Preschoolers Make Fewer Errors on an Object Categorization Task in the Presence of a Dog. Anthrozoös. Volume 23, Issue 3, Pages 223-230. doi.org/10.2752/175303710X12750451258896

[7] Megan K. et al. (2022) Companion Animals and Adolescent Stress and Adaptive Coping During the COVID-19 Pandemic. Anthrozoös. Volume 35, Issue 5, Pages 693-712.  doi.org/10.1080/08927936.2022.2027093

[8] Katharina Hirschenhauser et al. (2017) Children Love Their Pets: Do Relationships between Children and Pets Co-vary with Taxonomic Order, Gender, and Age? Anthrozoös. Volume 30, Issue 3, Pages 441-456. doi.org/10.1080/08927936.2017.1357882

[9] Karinna Hurley and Lisa M. Oakes. (2018) Infants’ Daily Experience With Pets and Their Scanning of Animal Faces. Front. Vet. Sci., 10 July 2018. doi.org/10.3389/fvets.2018.00152

[10] Roxanne D. Hawkins and Joanne M. Williams (2016) Children’s Beliefs about Animal Minds (Child-BAM): Associations with Positive and Negative Child–Animal Interactions. Anthrozoös. Volume 29, Issue 3, Pages 503-519. doi.org/10.1080/08927936.2016.1189749

Tags:

ความแตกต่างความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)ความสัมพันธ์การเรียนรู้สัตว์เลี้ยงเด็กพัฒนาการเด็ก

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Like Stars on Earth: ไม่มีเด็กคนไหนไร้ค่า ขอแค่แสงสว่างจากใครสักคนเพื่อเปล่งประกาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ทุนที่สังคมต้องร่วมกันสร้าง หากอยากได้การศึกษาที่เป็นธรรม
Learning Theory
19 December 2022

ทุนที่สังคมต้องร่วมกันสร้าง หากอยากได้การศึกษาที่เป็นธรรม

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ในนิยามของ Coleman นักสังคมวิทยาชาวอเมริกา ทุนประกอบด้วย ทุนทางการเงิน ทุนมนุษย์ และทุนทางสังคม ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะสองอย่างหลัง
  • ในระบบการศึกษา การที่เด็กคนหนึ่งจะมีโอกาสพัฒนาศักยภาพตัวเองหรือประสบผลสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่เรื่องของความพยายามของปัจเจกหรือเรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของ ‘ทุน’ ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
  • บทความนี้พาสำรวจแนวคิดเรื่องทุน จากมุมมองสังคมวิทยาการศึกษา ว่า การประสบผลสำเร็จของเด็กคนหนึ่งเป็นเรื่องปัจเจก? หรือแท้จริงมีตุ้นทุนอะไรที่คอยผลักดันสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง? แล้วการศึกษาที่เป็นอยู่เป็นธรรมหรือไม่ ?

ในข้อเขียนส่งท้ายปี ผมอยากจะลองเขียนแง่มุมของการศึกษาจากสังคมวิทยาการศึกษา (Sociology of Education) หรือ SOE เพื่อช่วยเป็นอีกเลนส์ให้ครูและนักการศึกษาอย่างเราๆ ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษา หากถามว่าสังคมวิทยาการศึกษาคืออะไร คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คงเป็น การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ‘สังคม’ และ ‘การศึกษา’ ในมิติต่างๆ อาทิ หลักสูตร ตำราเรียน การเรียนการสอน ครู นโยบายทางการศึกษา ฯลฯ 

นักสังคมวิทยายังเห็นว่า SOE คือการเข้าไปสำรวจพื้นที่ทางสังคมเพื่อเผยให้เห็นนัยยะของความหมาย สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง หรือสิ่งที่ถูกทำให้มองไม่เห็นในความสัมพันธ์นั้นๆ ในทางหนึ่ง กำลังบอกเราว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปความเข้าใจด้วยความคุ้นเคยเดิม (common sense) ที่เรามีต่อสิ่งที่เห็น การประสบผลสำเร็จของเด็กคนหนึ่งเป็นเรื่องปัจเจก? หรือแท้จริงมีตุ้นทุนอะไรที่คอยผลักดันสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง? แล้วการศึกษาที่เป็นอยู่เป็นธรรมหรือไม่? ในข้อเขียนนี้จึงอยากพาไปสำรวจผ่าน SOE เพื่อตอบคำถามนี้ดูกัน

ทุนของเธอและฉันที่อาจไม่เท่ากัน 

เริ่มต้นด้วยงานศึกษาแนวชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) ของ Li ที่ศึกษาครอบครัวชาวจีนอพยพในแคนนาดา โดยจากการศึกษาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี ในช่วง 1998 -1999  เขาสังเกตว่า เด็กจาก 4 ครอบครัวมีระดับความเข้าใจภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองแตกต่างกัน โดยเด็กจากสองครอบครัวแรก ซึ่งมีพ่อแม่ทำงานด้านวิชาการ สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยมกว่าเด็กจากสองครอบครัวหลังที่พ่อแม่เป็นเจ้าของร้านอาหาร Li ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? สภาพแวดล้อมทางบ้าน (home environment) มีความเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร ต่อระดับความเข้าใจภาษาอังกฤษของเด็ก 

ในนิยามของ Coleman นักสังคมวิทยาชาวอเมริกา ทุนประกอบด้วย ทุนทางการเงิน (financial capital) ทุนมนุษย์ (human capital) และ ทุนทางสังคม (social capital) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะสองอย่างหลัง งานวิจัยของ Li บอกเราว่า 

ครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานวิชาการ มีทุนมนุษย์ คือความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานวิชาการมาโดยตลอด และมีทุนทางสังคม คือ สายใยภายในครอบครัว เวลาที่ใช้ร่วมกัน และเครือข่ายทางสังคม ทำให้เมื่อเด็กอยู่บ้าน พวกเขาจะได้อ่านหนังสือ ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษที่พ่อแม่ซื้อหรือยืมจากห้องสมุดในมหาวิทยาลัย 

นอกจากนี้เด็กจะได้รับการสอนเพิ่มเติมตั้งแต่ การอ่าน การเขียน ทำแบบฝึกหัด มีกิจกรรมพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอหลังเลิกเรียนและช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งเด็กทั้งสองครอบครัวยังเรียนอยู่ในโรงเรียนและชุมชนที่คนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางผิวขาวที่พูดภาษาอังกฤษ รวมถึงการที่พ่อแม่พาไปมหาวิทยาลัยบ่อยๆ หรือส่งไปเรียนเพิ่มเติม เช่น คลาสเรียนเปียโน ก็ช่วยให้เด็กได้มีโอกาสสื่อสารกับคนรอบข้างที่พูดภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา Li เรียกทั้งหมดนี้โดยสรุปว่า ทุนครอบครัว (family capital)  

ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวที่ทำร้านอาหาร แม้จะมีทุนทางการเงินมากกว่าสองครอบครัวแรก แต่ภูมิหลังด้านการศึกษา (ทุนมนุษย์) ไม่ได้สูงมากนัก และเวลาส่วนใหญ่ของพ่อแม่ทุ่มเทไปกับการทำงานในร้าน  เด็กในครอบครัวที่ 3 บ้านและร้านอาหารเป็นสถานที่เดียวกัน สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง จากการช่วยพ่อแม่ทำงาน และได้ลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้านช่วยสอนเป็นครั้งคราว แม้ว่าพ่อและแม่จะไม่ได้มีเวลาให้ และไม่ได้หาหนังสือมาให้เขาอ่านมากนัก สำหรับครอบครัวที่ 4 บ้านและร้านอาหารเป็นคนละสถานที่กัน เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่ที่บ้านไปกับวีดีโอและการ์ตูน การเข้าถึงหนังสือภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้หาซื้อมาไว้ให้ และไม่ได้ใช้เวลากับลูกมากนัก อีกทั้งสภาพแวดล้อมของรอบๆ บ้าน (ทุนทางสังคม) คือพื้นที่ย่านอาชญากรรม เด็กจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้านและอย่าไว้ใจผู้คน จึงเป็นเรื่องยากที่เด็กจะมีเพื่อนและได้สื่อสารภาษาอังกฤษ ส่งผลให้เด็กคนสุดท้องที่กำลังเรียนอยู่ grade 1 ไม่สามารถสื่อสารได้ทั้งสองภาษา และต้องพึ่งพาโปรแกรมการศึกษาพิเศษของโรงเรียน

ความเก่งและความพยายามจะทำให้ประสบผลสำเร็จ?

นัยยะหนึ่ง งานของ Li กำลังบอกเราว่า ในระบบการศึกษา การที่เด็กคนหนึ่งจะมีโอกาสพัฒนาศักยภาพตัวเองหรือประสบผลสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่เรื่องของความพยายามของปัจเจกหรือเรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของ ‘ทุน’ (capitals) ต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุน ผลักดัน และเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กแต่ละคนมีไม่เท่ากัน มากไปกว่านั้น Bourdieu นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ยังเห็นว่า 

ทุนทางวัฒนธรรม  (cultural capital) เช่น ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะบางอย่างที่สังคมให้คุณค่า และทุนทางสัญลักษณ์ (symbolic capital) เช่น ใบปริญญา รางวัล ชื่อเสียง ยังมีส่วนสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน 

ตัวอย่างที่เราคุ้นเคยกันดี คือ การได้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหรือชั้นนำ หรือการเรียนในสิ่งที่สังคมให้คุณค่า อย่างการเรียนสายวิทย์-คณิต หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งการจะสอบเข้าในสถานบันชั้นนำหรือเรียนในสายวิทย์ได้นั้น ก็เป็นผลมาจากทุนทางเศรษฐกิจ (economic capital) ที่ครอบครัวยอมจ่ายให้ลูกๆ ของตนเอง เช่น ผ่านการเรียนพิเศษ ซื้อคอร์สติว เป็นต้น ขณะเดียวกันสถาบันชั้นนำต่างก็ได้รับทุนและทรัพยกรที่มากกว่าสถาบันอื่นๆ อีกเช่นกัน ช่วยตอกย้ำและรักษาความได้เปรียบให้เกิดขึ้นในสังคม แน่นอนว่า ทุนต่างๆ เมื่อถูกสะสมก็ยังสามารถแปลงเป็นทุนอย่างอื่นได้เช่นกัน ดังเช่นในงาน Li ที่พ่อแม่ของเด็กจากสองครอบครัวแรกสามารถสะสมทุนทางวัฒนธรรมจากมหาวิทยาลัย และเปลี่ยนมันเป็นทุนมนุษย์ในการสอนลูกๆ ของพวกเขาให้มีความก้าวหน้าทางภาษาซึ่งก็กลายเป็นทุนทางวัฒนธรรมของลูกต่อไป เป็นต้น   

หากเราเห็นว่า ทุนต่างๆ มีส่วนสำคัญต่อโอกาสในการประสบความสำเร็จของเด็กคนหนึ่งๆ นั่นก็อาจชวนให้ท้าทายแนวคิดเรื่อง ‘meritocracy’ (แปลเป็นภาษาไทยโดย สฤณี อาชวานันทกุล ว่า ‘ลัทธิคู่ควรนิยม’) ในระบบการศึกษา แนวคิด meritocracy นี้เชื่อว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องของ ‘ความเก่งและความพยายาม’ (intelligence + effort) ของแต่ละคน เป็นเรื่องปัจเจก ยิ่งใครเก่งมากหรือมีความพยายามมากกว่าก็จะยิ่งเปิดประตูสู่โอกาสที่มากขึ้นตามมาด้วย ดังนั้น โรงเรียนจึงทำหน้าที่หลักในการฟูมฟักสั่งสอนและคอยจัดจำแนกนักเรียนด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ว่าใครควรไปอยู่ตรงไหนในสังคม พูดแบบง่ายๆ ใครที่ ‘ดีที่สุดและฉลาดที่สุด’ (best and brightest) จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปสู่ชนชั้นบนของสังคมได้ คนที่ขึ้นไปอยู่ในจุดนั้นจึงเป็นคนที่ ‘คู่ควร’ 

ในทางกลับกัน มุมมองสังคมวิทยาแบบ Conflict theory ยังได้วิพากษ์ระบบการศึกษาบนฐานคิดแบบ meritocracy ไว้ว่า แท้จริงแล้วชนชั้นทางสังคมไม่ได้เป็นภาพสะท้อนของความเก่งและความพยายามอย่างที่แนวคิดนี้กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่เป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำ และตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมของคนในสังคมให้ดำรงอยู่ต่อไป ด้วยการป่าวประกาศว่าการมีคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การขยัน การเชื่อฟัง และการเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ดี จะเป็นตั๋วใบสำคัญให้พวกเขาเลื่อนสถานะทางสังคมได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว แนวคิดดังกล่าวเพียงต้องการสร้างเด็กโดยทั่วไปให้เป็นแรงงานรับใช้ที่ดีของบรรดาชนชั้นนำอย่างแนบเนียน ด้วยการมองว่าความสำเร็จเป็นเรื่องของปัจเจกมากกว่าจะเป็นปัญหาของความไม่เท่าเทียมกัน

แนวคิดเรื่องทุน จากมุมมองสังคมวิทยาการศึกษาในข้อเขียนครั้งนี้จึงเปิดประเด็นคำถามสำคัญที่อยากชวนครูและนักการศึกษาของไทยกลับมาคิดทบทวนอย่างจริงจังว่า หากเราเชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้เป็นผลจากความเก่งหรือความพยายามของปัจเจก หากเราต้องการให้เด็ก ‘ทุกคน’ ได้รับโอกาสพัฒนาศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดหรือเติบโตมาในชนชั้นใดของสังคมก็ตาม อะไรบ้างคือทุนที่สังคมต้องร่วมกันสร้าง 

การศึกษาฟรี มีคุณภาพ เท่าเทียมและเสมอภาค และไม่ควรมีใครต้องเป็นหนี้เพื่อให้ได้เรียน?

ห้องสมุดสาธารณะ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายในทุกชุมชน?

ค่าแรงที่เป็นธรรมและวันหยุดที่เพียงพอให้พ่อแม่ได้ใช้เวลากับลูก?

……………………….?  

เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาที่เป็นธรรม 

อ้างอิง

Home environment and second‐language acquisition: the importance of family capital (https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/01425690701252028)

Social Class and Education  ใน Multicultural Education: Issues and Perspectives, 10th Edition

สิ่งที่ซ่อนในเงินเดือนหมื่นห้า ว่าด้วยการศึกษาในฐานะทุนทางสังคม(https://thematter.co/social/cultural-capital-is-what-life-coach-cant-see/49198)

โรงเรียนชั้นนำ และโรงเรียนของชนชั้นนำ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ https://www.matichon.co.th/article/news_1640148

Tags:

ทุนสังคม (social capital)ลัทธิคู่ควรนิย (meritocracy)การศึกษาโอกาสทางการศึกษาความพยายามความสำเร็จสังคมวิทยาการศึกษา (Sociology of Education)

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • micheal-apple-nologo
    Transformative learning
    Michael Apple ในช่วงเวลาที่เราต้องคำถามว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘เรื่องหลอกเด็ก’ หลุมพรางของความรู้(ไม่)เท่าทันสื่อ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Law of Jante: เอนจอยกับชีวิตด้วยแนวคิด ‘I ไม่ได้ดีเลิศไปกว่า You หรอก’

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

Inside Out: เมื่อความเศร้าไม่ใช่วายร้าย แต่อาจเป็นทางบังคับที่พาเราไปพบความสุข
Movie
15 December 2022

Inside Out: เมื่อความเศร้าไม่ใช่วายร้าย แต่อาจเป็นทางบังคับที่พาเราไปพบความสุข

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Inside Out บอกเล่าเรื่องราวของไรลีย์ แอนเดอร์สัน เด็กหญิงวัย 11 ปีที่มีชีวิตแสนสุขในรัฐมินนิโซตา ภายใต้การควบคุมดูแลของอารมณ์ทั้งห้า ได้แก่ ลั้ลลา เศร้าซึม ฉุนเฉียว หยะแหยง และกลั๊วกลัว
  • วันหนึ่งครอบครัวของไรลีย์จำเป็นต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ทำให้ไรลีย์ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ทำให้เราเห็นบทบาทของอารมณ์ต่างๆ
  • จุดน่าสนใจอยู่ที่วันหนึ่งเมื่อลั้ลลาคิดว่าเศร้าซึมนั้นเป็นอารมณ์ส่วนเกิน จึงพยายามขัดขวางไม่ให้เศร้าซึมเข้าควบคุมความคิดของไรลีย์ จนนำมาสู่เรื่องราวชุลมุนและตอนจบสุดประทับใจ

เวลารู้สึกเศร้าใจกับปัญหาชีวิต คุณจะระบายให้ใครฟัง?

สำหรับผม ผมมักเลือกระบายปัญหาของผมกับเสียงในหัวของตัวเอง ซึ่งหลักๆ จะมีเสียงของคนโลกสวยและเสียงของคนคิดลบที่คอยรับฟังและเกลี้ยกล่อมความคิดของผมให้เอนเอียงไปมา สลับกันแพ้สลับกันชนะ และให้คำตอบในชีวิตที่ถูกบ้างผิดบ้างคละเคล้ากันไป

ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านก็มีความคิดที่ต่อสู้กันในหัวแบบนี้เช่นกัน และความคิดดังกล่าวทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องราวของ ‘ไรลีย์ แอนเดอร์สัน’ เด็กหญิงวัย 11 ปีจากภาพยนตร์เรื่อง Inside Out

ไรลีย์เกิดในรัฐมินนิโซตาทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา เธอมีพ่อแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่น  มีธรรมชาติสวยๆ รายล้อม รวมถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นจากเพื่อนๆ ทีมฮอกกี้ ทำให้ชีวิตตลอด 11 ปีของหนูน้อยเปี่ยมไปด้วยความทรงจำแห่งความสุข 

สิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการเล่นกับอารมณ์ของสาวน้อยตลอดทั้งเรื่อง โดยเปรียบให้สมองของไรลีย์เป็นดั่งศูนย์บัญชาการทางอารมณ์ ซึ่งมีตัวละครอย่าง เศร้าซึม (Sadness) ฉุนเฉียว (Anger) หยะแหยง (Disgust) กลั๊วกลัว (Fear) และหัวหน้าอย่าง ลั้ลลา (Joy) คอยกำหนดพฤติกรรมของไรลีย์ผ่านแผงควบคุม 

1

ตอนไรลีย์ลืมตาขึ้นครั้งแรก เธอไม่รู้เลยว่าเธอเกิดมาพร้อมกับ ‘ลั้ลลา’ หรืออารมณ์แห่งความเบิกบานใจ ผู้ทำหน้าที่บันทึกความทรงจำ รวมถึงคอยหาแผนการที่ช่วยให้ชีวิตของไรลีย์มีแต่ความสุข

เมื่อไรลีย์เติบโตขึ้น สมองของเธอก็เริ่มให้กำเนิดอารมณ์ที่หลากหลายขึ้น อย่างเช่น หากไรลีย์ถูกบังคับให้กินผัก ‘หยะแหยง’ จะทำหน้าที่ต่อต้านผัก ด้วยเหตุผลว่าในผักอาจมีสารพิษเจือปน และหากพ่อแม่ยังคงดึงดันป้อนผักหรือบังคับให้ไรลีย์กินต่อไป ‘ฉุนเฉียว’ ก็จะรับช่วงต่อเข้ามาบังคับแผงควบคุม ด้วยการคว่ำจานอาหารทิ้งจนผักกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

เรียกได้ว่าอารมณ์แต่ละอารมณ์ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน จนเป็นที่มาของพฤติกรรม ‘ยี้ผัก’ ของไรลีย์

แต่ลำพังแค่อารมณ์เหล่านี้ ภาพยนตร์คงจืดชืดชวนง่วงนอน ดังนั้นผมจึงรู้สึกสนใจเป็นพิเศษกับการปรากฏตัวของ ‘เศร้าซึม’ ซึ่งหัวหน้าอย่างลั้ลลามองว่าเป็นส่วนเกินและไม่จำเป็นกับไรลีย์สักนิด

แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อวันหนึ่งพ่อของไรลีย์ต้องย้ายไปทำงานที่ซานฟรานซิสโก ทำให้ไรลีย์และแม่จำต้องย้ายตามออกไป

ด้วยความที่ซานฟานซิสโกเป็นเมืองดังและผู้คนแออัดพลุกพล่านกว่ามินนิโซตา ทำให้ไรลีย์ต้องเผชิญกับความไม่คุ้นชินหลายอย่าง ลั้ลลาจึงทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ไรลีย์ผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างราบรื่นและมีความสุข

ฉากแรกที่อยากพูดถึงคือ ฉากเล็กๆ ซึ่งอารมณ์ทุกตัวต่างวุ่นวายกับการทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับการไปโรงเรียนใหม่วันแรกของไรลีย์ ยกเว้นเศร้าซึมที่เดินคอตกเพราะไม่รู้จะช่วยอะไร ลั้ลลาจึงเดินมามอบหมายภารกิจโดยขีดเส้นวงกลมให้กับเศร้าซึม พร้อมกำชับให้เศร้าซึมยืนอยู่ในนั้น

น่าสงสารเศร้าซึม เพราะนอกจากไม่มีหน้าที่ให้ทำแล้วยังถูกกักบริเวณแบบเนียนๆ ลั้ลลามองว่าเศร้าซึมเป็นส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์ แต่เมื่อพิจารณาดูอีกครั้งหลังชมภาพยนตร์จบ ผมกลับนึกถึงฉากดังกล่าวบ่อยที่สุด เพราะสิ่งที่ลั้ลลาทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำให้ไรลีย์เป็นเด็กที่ ‘เก็บกด’ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเก็บกดทางอารมณ์นี้ สามารถพัฒนาไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตในอนาคต

นอกจากภาวะเก็บกดทางอารมณ์แล้ว ลั้ลลาคล้ายเป็นตัวแทนของความเชื่อที่มองว่า ‘เป็นเด็กต้องยิ้มแย้มแจ่มใส’ ‘ห้ามงอแง’ ‘ห้ามเศร้า’ ฯลฯ ดังนั้น สำหรับลั้ลลา…เศร้าซึมจึงเป็นเหมือนวายร้ายที่ควรอยู่ห่างจากแผงควบคุมให้มากที่สุด

2

ไม่เพียงแค่ลั้ลลาที่ปรารถนาให้ไรลีย์มีแต่ความสุข แม่ของไรลีย์เองก็มักบอกกับเธอแบบนั้น ซึ่งหากย้อนไปดูงานวิจัยด้านความสุขของหลายๆ ประเทศจะพบว่ายิ่งคนเราตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมีความสุขเท่าไหร่ พวกเขาก็มักจะทุกข์และห่างเหินกับความสุขมากขึ้นเท่านั้น 

ด้วยความที่ไรลีย์เป็นลูกประเภทเลี้ยงง่ายเชื่อฟัง ทำให้ผมรู้สึกว่ายิ่งไรลีย์พยายาม ‘ฝืนยิ้ม’ เวลาที่พ่อยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาให้เธอ หรือตอนเหงาๆ เซ็งๆ เธอก็พยายามหาเรื่องทำเพื่อเบี่ยงเบนอารมณ์นั้น ด้วยการชวนแม่ออกไปกินพิซซ่าเพื่อเติมความสุขเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับหนีเสือปะจระเข้เพราะพิซซ่าที่ร้านมีแต่หน้าผัก ทำให้สีหน้าเปื้อนยิ้มของเธอหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด 

ยิ่งเวลาผ่านไป พ่อของไรลีย์ก็ดูจะวุ่นวายกับงานมากขึ้นจนละเลยที่จะเล่นหรือแม้แต่ส่งไรลีย์เข้านอน ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่สู้ดีนัก เพราะไรลีย์ไม่มีเพื่อนและกินข้าวเที่ยงคนเดียวประจำ

เช่นเดียวกับสถานการณ์ของอารมณ์ภายในที่ชุลมุนสุดขีด เมื่อลั้ลลาและเศร้าซึมทะเลาะกันจนมีเหตุให้ทั้งคู่ถูกระบบความจำดูดหายไปจากศูนย์บัญชาการ แผงควบคุมจึงขาดผู้นำ และเป็นฉุนเฉียวที่ทำให้ไรลีย์ตระหนักว่าที่ผ่านมาเธอเครียดและเก็บกดแค่ไหนกับการปรับตัวกับชีวิตในซานฟรานซิสโก

     เมื่อคนเราเครียดหรือโกรธเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผมมองว่าเป็นธรรมดาที่เรามักจะหาผู้ร้าย ซึ่งสำหรับไรลีย์ ตัวร้ายที่พรากความสุขของเธอไปคือ ‘พ่อกับแม่’ ที่ย้ายเมืองโดยไม่ถามความรู้สึกเธอสักคำ ดังนั้นไรลีย์จึงวางแผนหนีออกจากบ้านเพื่อกลับไปยังมินนิโซตาอีกครั้ง

ฟากลั้ลลากับเศร้าซึมก็พยายามร่วมมือหาทางกลับไปยังศูนย์บัญชาการอีกครั้ง ซึ่งโชคดีที่ทั้งคู่พบกับ ‘บิงบอง’ หรือเจ้าช้างในจินตนาการที่ไรลีย์ในวัยเด็กสมมติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นของเธอยามต้องอยู่คนเดียว 

บิงบองอาสานำทั้งคู่ไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปยังศูนย์บัญชาการ แต่ระหว่างทาง บิงบองพบว่าพาหนะคู่กายของตัวเองถูกเจ้าหน้าที่ความทรงจำกวาดต้อนลงไปในเหวลึก ทำให้บิงบองทรุดตัวนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เช่นนี้ ลั้ลลาที่ใจร้อนอยากรีบกลับศูนย์บัญชาการเต็มทนจึงรีบเข้าไปปลอบบิงบองในสไตล์ตัวเอง เช่น การทำท่าตลกโปกฮา หรือการชวนให้บิงบองมองโลกในแง่ดี ไม่ต้องคิดมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่ากลับไม่ช่วยให้บิงบองรู้สึกดีขึ้น ซ้ำยังดูเสียใจมากกว่าเดิม

“เฮ้ ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเราแก้ไขได้ แค่ต้องกลับไปศูนย์สั่งการ สถานีรถไฟไปตรงไหน…หรือจะเล่นเกมนี้ไหมล่ะ เกมนี้สนุกนะ เธอชี้ทางสถานีรถไฟแล้วเราก็ไปกันเลย สนุกไหมล่ะ เร็วเลยไปสถานีรถไฟกัน”

ผมรำคาญความเห็นแก่ตัวของลั้ลลาในฉากนี้มาก เพราะเธอไม่เพียงเข้าไปปลอบใจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่ยังทำแบบขอไปที โดยไม่คำนึงถึง ‘กาลเทศะ’ และ ‘หัวใจอันบอบช้ำ’ ของบิงบองสักนิด

กลับกันผมเริ่มรู้สึกรักตัวละครอย่างเศร้าซึมมากขึ้น เพราะหลังจากลั้ลลาล้มเหลว เศร้าซึมก็เดินเข้าไปหาบิงบองด้วยสีหน้าสำรวมและเศร้าสลด  

     “เสียใจด้วย เขาเอาจรวดไป เขาเอาของรักนายไป หมดเลยไม่เหลือเลย เสียใจด้วย…นายกับไรลีย์เคยผจญภัยด้วยกันสนุกมากเลย”

นอกจากการแสดงความเสียใจแล้ว เศร้าซึมได้ทำหน้าที่ของเพื่อนอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการรับฟังบิงบองระบายความทุกข์อย่างตั้งใจ พร้อมกับกล่าวสนับสนุนสิ่งที่บิงบองพูดอย่างรู้จังหวะ กระทั่งบิงบองรู้สึกดีขึ้น นั่นเพราะเวลาเสียใจสิ่งที่เราต้องการคือคนที่เข้าใจมากกว่าคนที่ทำตัวเป็นผู้พิพากษา

3

ลั้ลลากับเศร้าซึมหาทางกลับศูนย์บัญชาการได้ในช่วงที่ไรลีย์กำลังขึ้นรถบัสเพื่อหนีพ่อแม่ไปยังมินนิโซตา พวกอารมณ์ตัวน้อยจึงรีบบอกลั้ลลาให้รีบแก้สถานการณ์ที่แผงควบคุม แต่ลั้ลลากลับยกหน้าที่นี้ให้เศร้าซึม เพราะลั้ลลาได้ทำลายอคติในใจตัวเองและเรียนรู้ว่าความเศร้าไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากความเศร้าในเวลาที่เหมาะสม 

“เธอทำได้ ไรลีย์ต้องการเธอ” ลั้ลลาให้กำลังใจเศร้าซึม

หลังคำพูดของลั้ลลา ผมสังเกตว่าเศร้าซึมมีสีหน้าที่มั่นใจมากขึ้น ก่อนช่วยเพื่อนๆ ยับยั้งการหนีของไรลีย์ได้สำเร็จ และตัดสินใจรวมพลังกับลั้ลลาในการบรรจุพลังแห่งความสุขและความเศร้าผสมผสานในความทรงจำวัยเด็กอันแสนอบอุ่น ทำให้ไรลีย์รีบวิ่งกลับบ้านและโผกอดพ่อแม่ด้วยความรู้สึกที่แสนวิเศษ

นอกจากการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้สำเร็จ ลั้ลลาเองก็ตระหนักถึงความสำคัญของเศร้าซึมมากขึ้น หลังตรวจพบว่าหนึ่งในความทรงจำหลักที่ไรลีย์มีความสุขที่สุด คือภาพตอนที่ไรลีย์อยู่รัฐมินนิโซตาและกอดกับพ่อแม่ใต้ต้นไม้ ก่อนถูกเพื่อนๆ วิ่งมาห้อมล้อมพร้อมกับยกไรลีย์โยนขึ้นฟ้าในชุดฮอกกี้ราวกับกำลังเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง

ด้วยความสงสัยว่าอะไรทำให้ไรลีย์มีความสุขขนาดนี้ ลั้ลลาจึงย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้า 

ภาพของไรลีย์ที่พลาดการทำคะแนนสำคัญในสนามฮอกกี้จนทีมของเธอพ่ายแพ้ เวลานั้นเศร้าซึมได้เข้ามาควบคุมให้ไรลีย์ร้องไห้ออกมาเพื่อระบายความผิดหวัง ทำให้พ่อแม่กับเพื่อนๆ ของเธอรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น และรีบเข้ามาปลอบประโลมไรลีย์จนเธอรู้สึกดีขึ้น ก่อนหัวเราะได้อีกครั้งท่ามกลางผู้คนที่รักเธอ

     หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมมองว่าอารมณ์เศร้าโศกเสียใจไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป แต่การปล่อยให้อารมณ์ชี้นำชีวิตต่างหากคือปัญหา

ดังนั้นหากเราสามารถเผชิญกับอารมณ์แต่ละชนิดอย่างมีสติและเท่าทัน โกรธในเวลาที่ต้องปกป้องตัวเอง ร้องไห้เวลาที่อ่อนแอ กลัวในสิ่งที่อาจเป็นภัยในอนาคต หรือแม้แต่เศร้าเพื่อให้รู้ว่าบางครั้งเราต้องการกำลังใจ เพราะมันอาจทำให้เราได้พบเพื่อนแท้ที่มี ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ (Empathy) เหมือนกับที่เศร้าซึมมีให้กับบิงบอง 

Inside Out เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันระดับมาสเตอร์พีซของค่าย Pixar (Disney) ที่คว้ารางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ Pete Doctor (“Up” , “Monster,Inc.”) นั่งแท่นผู้กำกับ 

Tags:

อารมณ์Inside Outความเศร้าพ่อแม่ปฐมวัยภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.1 ‘วัยทอง 2 ขวบ’ (Terrible 2) มีจริงหรือ?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Emotional Projection: ในโลกวุ่นวาย ใครใจร้ายรอด?
How to enjoy life
14 December 2022

Emotional Projection: ในโลกวุ่นวาย ใครใจร้ายรอด?

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ ‘การต่อว่าด่าทอผู้อื่น’ กลายมาเป็นวัฒนธรรมใหม่ในสังคมเรา  ทำไมคนเราถึงดุด่าว่ากล่าวกันง่ายดายขึ้นทุกวัน?
  • แรกเริ่มเดิมที เราอาจพบการต่อว่ากันมักจะเกิดขึ้นบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อที่ไม่เปิดเผยตัวตน เรามักเข้าใจว่าเหตุที่ผู้คนกล้าใช้ถ้อยคำรุนแรงในการแสดงความรู้สึกนึกคิดบนสื่อโซเชียล เป็นเพราะบางโซเชียลไม่มีการระบุตัวตน เมื่อไม่มีการบ่งบอกว่าตัวตนจริงๆ ของผู้ใช้เป็นใคร คนก็จะมีความกล้าที่จะพูดความคิดเห็นซึ่งหากพูดในโลกความจริงอาจก่อให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งได้
  • แต่ในปัจจุบัน แม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการระบุตัวตนหรือกระทั่งในโลกความจริง ผู้คนก็ยังเลือกแสดงออกความเกลียดชังด้วยถ้อยคำรุนแรงกันเป็นวงกว้าง และดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับสังคมเราทั้งไทยและเทศไปแล้ว
  • ดังนั้น การซ่อนตัวตนไว้ใต้บัญชีสื่อโซเชียลเพื่อใช้แสดงความคิดเห็นด้านลบจึงอาจไม่ใช่คำตอบของปัญหานี้ แล้วสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ลองนั่งเงียบๆ แล้วสำรวจความรู้สึกตัวเองกันว่าทำไมเราถึงเริ่มด่าทอผู้อื่นเมื่อเราไม่สบายใจ ผิดหวัง หรือเจ็บปวด

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Emotional Projection กันก่อน

Emotional Project คือกลไกป้องกันทางอารมณ์ประเภทหนึ่งในทางจิตวิทยา โดยกลไกนี้จะทำงานด้วยการที่ ‘อัตตา’ (Ego) หรือการยึดมั่นในตัวเอง ปฏิเสธแรงกระตุ้นซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วยการเอาความไม่ถูกต้องนี้ไปให้ผู้อื่น เพื่อให้เรายังมีอัตตายกตนต่อไปได้ พูดให้ง่ายก็คือ ไม่ยอมรับผิดแล้วโบ้ยให้คนอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนผิดและไม่ต้องเสียหน้านั่นเอง

ตามปกติธรรมชาติของมนุษย์ Emotional Projection มักพบในเด็กๆ และเมื่อเติบโตขึ้นจะค่อยๆ หายไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อดูบริบทสังคมปัจจุบันแล้ว ในผู้ใหญ่ก็มีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานไม่ดีจนถูกตำหนิจะโทษว่าเจ้านายไม่ดี ไม่ยุติธรรม หรือคนที่ไปจีบใครแล้วเขาไม่เลือกจะอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี นิสัยแย่ เลิกชอบเอง เป็นต้น

หากเราพบว่า เราพยายามตำหนิคนอื่นสำหรับความรู้สึกด้านลบของตัวเองเพื่อไม่ให้รู้สึกแย่กับตัวเองและพฤติกรรมของตัวเอง นั่นอาจหมายความว่าเรากำลังใช้กลไกป้องกันตัวเองนี้อยู่

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจจะยังไม่รู้สึกว่ามันเสียหายตรงไหน หรือเกี่ยวข้องอะไรกับวัฒนธรรมการด่าทอที่กำลังกล่าวถึงอยู่ แต่เราอยากจะบอกว่าการใช้กลไกป้องกันตัวเองแบบนี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดวัฒนธรรมหัวร้อนในสังคมที่เรากำลังเผชิญอยู่

ปัจจุบัน คนเรามีความรับผิดชอบกับอารมณ์ด้านลบของตัวเองต่ำถึงขนาดที่ว่าไม่รู้ว่าการกระทำหรือพฤติกรรมของตัวเองจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครบ้างหรือเปล่า ถ้อยคำที่รุนแรงเพียงไม่กี่คำจะสร้างบาดแผลในใจให้คนอื่นไปจนตลอดชีวิตของเขาเลยหรือไม่ การแสดงความเกลียดชังเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจะทำให้คนที่โดนเขาฝังใจจนไม่กล้าเปิดใจให้ใครไหม

และนอกจากมีผลกับคนอื่นแล้ว การไม่รับผิดชอบความรู้สึกตัวเองยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของเราเองด้วย เพราะว่าเราจะเริ่มมองว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่ดีพอจะอยู่ในชีวิตของเรา ผู้คนมักทำให้เราผิดหวัง โลกของเราเริ่มเต็มไปด้วยคนที่เราโยนความผิดไปให้

คำถามคือแล้วทำไมเราต้องไปผิดหวังกับคนอื่น ในเมื่อตัวเราเองยังทำตามที่คาดหวังไว้ไม่ได้ทั้งหมด 

ในขณะที่หลายครั้ง บางเรื่องก็แทบจะไม่ใช่เรื่องของเราด้วยซ้ำ ทำไมถึงต้องเอาใจลงไปผิดหวังเจ็บปวดกับเรื่องของคนอื่น ทำไมการที่เราเจ็บปวดเราเสียใจต้องเป็นคนอื่นที่ต้องมารับผิดชอบความรู้สึกของเรา

ในโลกแห่งความวุ่นวาย เป็นเรื่องปกติมากที่เราจะไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเองหรือไม่อยากรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเรา Emotional Projection จึงเป็นกลไกป้องกันที่มนุษย์ใช้ตั้งแต่ยังเด็กไม่รู้ความ และเมื่อโตขึ้น บางคนอาจจะเลิกใช้กลไกนี้ หรือบางคนก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังใช้กลไกนี้อยู่ แต่ในตอนที่ไม่รู้ตัวนี่เอง จิตใจของเราก็จะกำลังมองหาคนอื่นเพื่อที่จะต่อว่าด่าทอ

จะเป็นการดีกว่าไหมถ้าเราจะสามารถใช้ชีวิตแบบสงบๆ ไม่ไปเดือดร้อน ไปเกลียดชังด่าทอใครตามคนอื่นๆ เขาทำกัน

แนวทางการจัดการกับความรู้สึกตัวเอง

  • ยอมรับว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้จริงๆ

ในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทุกรูปแบบ ท้ายที่สุดแล้ว ตัวของใครก็ของมัน คนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่ จะให้มาถูกใจได้ดั่งใจเราทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราผิดหวังหรือเกลียดชัง ยอมรับอารมณ์เหล่านั้นและรับผิดชอบมันโดยการพยายามใช้เวลาจดจ่อกับความรู้สึกนั้นหรือคนคนนั้นให้น้อยลง หันไปสนใจอย่างอื่นที่จรรโลงใจแทนดีกว่า การยอมรับแบบนี้จะทำให้เราไม่โทษคนอื่น และไม่โทษตัวเองสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น และทำให้ไม่มีใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องขัดแย้งกัน

  • แทนสรรพนาม ‘ฉัน’ ในประโยค

แทนที่จะพูดว่า ‘เธอ’ ทำให้ฉันผิดหวัง ‘เธอ’ ทำให้ฉันเสียใจ ลองแทนสรรพนามตัวเองเข้าไปในประโยคเหล่านั้นดู เช่น ‘ฉัน’ ผิดเองที่คาดหวังกับเธอ (โปรดไม่ประชดประชันแดกดันผู้อื่นหรือตัวเอง) ลองคิดว่า แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเธอ ชีวิตของเธอ ฉันไม่ควรรู้สึกไม่ดี ให้ตัวเราเป็นคนยอมรับความผิดพลาดความไม่ถูกใจบ้าง ยอมรับความรู้สึกด้านลบตัวเอง และรับผิดชอบมัน เราจะได้โทษคนอื่นน้อยลงและสามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ทันทีโดยไม่ต้องรอปรับความเข้าใจในความไม่ถูกใจเราที่อาจเป็นตัวตนของเขาเอง

  • พยายามคิดหลายมุม

นี่อาจจะเป็นข้อที่ยากที่สุดเพราะเมื่อเวลาเกิดเรื่องขึ้น แน่นอนว่าเราต้องรู้สึกไม่ดีไปก่อนแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ลองพยายามนั่งเงียบๆ ใช้ความคิดว่าเราให้ความยุติธรรมกับการกระทำที่ไม่ได้ดั่งใจของอีกคนหรือยัง เราไปพยายามควบคุมพฤติกรรม ความรู้สึกของคนอื่นอยู่หรือเปล่า เขาสมควรได้รับโทษสำหรับอารมณ์เชิงลบของเราไหม ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด อย่ารีบหัวร้อนพ่นคำด่าออกไปก่อน

  • รับผิดชอบความรู้สึกคนอื่น(บ้างนิดหน่อย)

ถ้าจะบอกว่ามีแต่คนทำให้เราผิดหวัง ไม่มีใครไว้ใจได้ ก็อาจจะดูเป็นการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางไปสักหน่อย คนเราผิดพลาดได้เสมอ และเราเองก็อาจจะไปเป็นเรื่องไม่ได้ดั่งใจในชีวิตคนอื่นเหมือนกัน ดังนั้น หากมีเรื่องที่ดูแล้วน่าจะขัดแย้งไปจนถึงการทะเลาะกัน พยายามนิ่งคิดสักครู่ว่าเป็นความผิดของเราจริงๆ ไหม ถ้าจริงให้ขอโทษ อย่าเบี่ยงเบนด้วยการหยิบยกข้ออ้างข้อแก้ตัวขึ้นมา หรือหากเป็นคนใจร้อนสักหน่อย รู้ว่าผิดจริงแต่ยังขอโทษไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรที่จะเลี่ยงสถานการณ์ตึงเครียดไปก่อนเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่อย่าลืมรับผิดชอบความรู้สึกเขาด้วย

รับผิดชอบความรู้สึกคนอื่นบ้างเป็นเรื่องดี แต่อย่าให้มากเกินไปจนเราเสียศูนย์

  • หมั่นสังเกตและดูแลจิตใจตัวเอง

Emotional Projection มักเป็นกลไกในการเผชิญปัญหาที่เราจะใช้เมื่อเรารู้สึกตึงเครียด หรือมีอารมณ์เชิงลบเยอะ รวมถึงมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองเยอะ ลองสังเกตว่าเรามีอัตตายึดติดกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน ปรับใจให้เราไม่พยายามเห็นแก่ตัวเองเพียงอย่างเดียว และหมั่นดูแลจิตใจตัวเองด้วยการหากิจกรรมคลายเครียด หาเวลาว่างสำหรับงานอดิเรก หรือวางแผนไปทำอะไรสนุกๆ ให้ชีวิต

  • ถอยออกมาจากคนอันตราย

คนอันตราย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโจรผู้ร้ายผู้ชายแบดบอยอย่างใด แต่หมายถึงคนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเชิงลบบ่อยๆ คนที่ไม่เคยคิดว่ากำลังทำอะไรผิด คนที่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะเขาเหล่านี้จะโทษเราอยู่เสมอว่าเราเป็นต้นเหตุ เป็นคนที่ทำให้เขาเศร้า เสียใจ ผิดหวัง น้อยใจ จำไว้ว่าคนแบบนี้คือคนที่เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิด ให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นได้ และในท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นตัวเราเองที่เสียสุขภาพจิต แม้ว่าเราจะรับผิดชอบอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นแล้วก็ตาม

คนบางกลุ่มอาจมี Emotional Projection สูงได้ หากเขามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพบางอย่าง เช่น borderline, histrionic, โรคจิต และพวกหลงตัวเอง ดังนั้น หากพบเจอคนอันตรายแบบนี้ ให้หยุดพักความสัมพันธ์หรือเว้นระยะห่างออกมา เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของเราเอง

เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนใจร้ายไปพ่นพูดถ้อยคำรุนแรงแสดงความเกลียดชังตามอย่างที่คนอื่นทำ วัฒนธรรมด่าทอต่อว่าคนอื่นรวมถึงคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนไม่ใช่เรื่องที่ควรปรับตัวเข้าหา ลองกลับมานั่งทบทวนว่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นหลายๆ เรื่องที่เราอาจอินจนลงไปร่วมวงด่าร่วมวงว่า มันร้ายแรงถึงขนาดต้องพ่นถ้อยคำใจร้ายขนาดนั้นใส่กันเลยหรือเปล่า

การพูดคำไม่ดีสิ่งไม่ดีควรคิดให้เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้สื่อโซเชียลที่เมื่อพิมพ์อะไรออกไปแล้ว ในอนาคตก็เป็นหลักฐานกลับมามัดตัวเราได้ เพราะอะไรที่ขึ้นชื่อว่า ไม่ดี แล้ว ทำออกมาก็ย่อมไม่เกิดผลดีกับใคร ผลกระทบที่ตามมาจะดีร้ายแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่อย่างหนึ่งที่เรารู้และทำได้คือการจัดการความรู้สึกตัวเอง 

ความรู้สึกของเราเกิดขึ้นเองได้ ก็ต้องจัดการเองได้ อย่าผลักมันให้ไปเป็นเรื่องของคนอื่น 

การรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองไม่ใช่การยอมแพ้ การไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่คือการเข้าใจการจัดการที่ดีที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในโลกวุ่นวายนี้ได้อย่างมีความสุข

อ้างอิง

How to Take Responsibility for Your Feelings

Tags:

ความรู้สึกจิตใจสำรวจตนเองEmotional Projectionสุขภาพจิตอารมณ์

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    อ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจ ต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก: หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ Ep2

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Healing the trauma
    Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    เยียวยาโดยไม่ยึดติดกับบทบาท

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Wednesday : คนนอกในสายตาคนนอก จะยิ่งช้ำชอกสักแค่ไหน
Movie
9 December 2022

Wednesday : คนนอกในสายตาคนนอก จะยิ่งช้ำชอกสักแค่ไหน

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • เวนส์เดย์ แอดดัมส์ (Wednesday Addams) แห่งโรงเรียนเนเวอร์มอร์ ตัวละครเอกจากซีรีส์ Wednesday เด็กสาวหน้านิ่งผู้มีพฤติกรรมและทัศนคติที่ดูพิลึกพิลั่น เธอจึงคุ้นเคยกับความเป็น ‘คนนอก’ มาโดยตลอด
  • การถูกตราหน้าให้เป็นคนนอก มีความหมายเท่ากับการถูกผลักไสออกจากพื้นที่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายที่อยู่ข้างนอกแต่เพียงลำพัง
  • สิ่งที่เวนส์เดย์ทำ ในการรับมือกับการถูกเฉดหัวออกจากคอก คือวิธีการที่สามารถใช้รับมือกับสถานการณ์การเป็น ‘คนนอก’ ในโลกความเป็นจริงได้

นับตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงวัยรุ่น เวนส์เดย์ แอดดัมส์ (Wednesday Addams) คุ้นเคยกับความเป็น ‘คนนอก’ มาโดยตลอด

ด้วยบุคลิกที่นิ่งเฉย ไม่ชอบสุงสิงกับใคร, พฤติกรรมที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า ‘ปากแจ๋ว-ปากแซ่บ’ บวกกับรสนิยมที่ดูพิลึกพิลั่น (ในสายตาคนอื่น) ไม่ว่าจะเป็นการมีแมงป่องเป็นสัตว์เลี้ยง และการชำแหละซากสัตว์เป็นงานอดิเรก ทำให้เวนส์เดย์ ถูกประทับตรา ‘คนนอก’ ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่เธอย่างกรายเข้าสังคม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ

ใช่แล้วครับ ผมหมายถึงเวนส์เดย์ เด็กสาวหน้านิ่งแห่งโรงเรียนเนเวอร์มอร์ ตัวละครเอกจากซีรีส์ Wednesday ซึ่งกลายเป็นซีรีส์ที่มียอดการรับชมสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในช่อง Netflix แซงหน้าซีรีส์ดังอย่าง Stranger Things Season 4 ไปอย่างขาดลอย

นอกเหนือจากความสนุกสนานไม่เหมือนใคร ในแบบฉบับของทิม เบอร์ตัน ผู้กุมบังเหียนซีรีส์ชุดนี้ ที่ผสมผสานความตลกร้าย แฟนตาซี สยองขวัญ และสืบสวนสอบสวน เข้าด้วยกันอย่างกลมกล่อม อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนหลงรักเด็กสาวผมเปีย ผู้มาพร้อมแฟชั่นสไตล์โกธิค ก็คือ ความเป็นคนนอกของเธอนั่นเอง

นับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องใน EP แรก เราจะเห็นได้ว่า ทั้งพฤติกรรม ทัศนคติ บุคลิก หรือแม้กระทั่งรสนิยมทางแฟชั่น เวนส์เดย์ ไม่อาจเข้าพวกกับวัยรุ่นคนอื่นได้เลย ทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง

ท้ายที่สุด โกเมซและมอร์ทิเชีย ผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอ ตัดสินใจส่งเวนส์เดย์ ไปอยู่โรงเรียนประจำ ชื่อ เนเวอร์มอร์ (Nevermore Academy) สถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับคนนอก เพราะที่นี่คือแหล่งรวมนักเรียนที่ถูกจัดให้เป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่า แวมไพร์ ไซเรน กอร์กอน รวมถึงเด็กที่มีนิสัยไม่ปรกติธรรมดาทุกรูปแบบ

ลาริสซา วีมส์ ครูใหญ่ของโรงเรียน กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของโรงเรียนเนเวอร์มอร์ว่า สถาบันทางวิชาการ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1791 คือสถานที่ที่เปิดรับ ‘คนนอก’ หรือ outcast ทุกรูปแบบ ซึ่งหากเราไล่ดูรายชื่อศิษย์เก่าที่สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน จะมีชื่อของ เอ็ดการ์ แอลลัน โพ รวมอยู่ด้วย

(หมายเหตุ – เอ็ดการ์ แอลลัน โพ เป็นกวีและนักเขียนนิยายชาวอเมริกันที่มีตัวตนอยู่จริง แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกงานเขียนแนวสยองขวัญและอาชญากรรม สืบสวน-สอบสวน แต่คนส่วนใหญ่มองว่า โพ เป็นนักเขียนเพี้ยนๆ ที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของความตาย หรือพูดง่ายๆ ว่า เขาคือ ‘คนนอก’ คนหนึ่ง)

คนนอก หรือ outcast เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่ถูกกันออกจากกลุ่ม คนที่ไม่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานของกลุ่ม ซึ่งบางครั้ง เราอาจเรียกคนนอกด้วยคำอื่นๆ เช่น พวกนอกรีต หมาหัวเน่า หรือ คนนอกคอก

โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างติดใจกับคำว่า คนนอกคอก เพราะมันสื่อให้เห็นถึงชะตากรรมแสนทุกข์เข็ญของผู้ถูกตราหน้าให้เป็นคนนอก ถูกผลักไสออกจากคอก ที่มีนัยยะสื่อถึงความปลอดภัย ด้วยความที่มีรั้วรอบขอบชิด

การถูกตราหน้าให้เป็นคนนอก จึงมีความหมายเท่ากับการถูกผลักไสออกจากพื้นที่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายที่อยู่ข้างนอกแต่เพียงลำพัง

สาเหตุที่ทำให้คนๆ หนึ่ง ถูกขับไล่ไสส่งออกจากกลุ่ม (cast out) ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากพฤติกรรม หรือทัศนคติ ที่ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐาน หรือข้อบังคับของกลุ่ม จนทำให้บุคคลนั้นถูกสมาชิกในกลุ่มมองว่า ไม่ได้เป็นพวกพ้องเดียวกัน หรือไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกลุ่ม

อย่างไรก็ดี ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายหมื่นปี นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อธำรงรักษาความเป็นกลุ่ม หลายครั้งที่คนๆ หนึ่งถูกผลักไสให้กลายเป็นคนนอกกลุ่ม มีสาเหตุเพียงเพราะชาติกำเนิด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘จัณฑาล’ ในสังคมอินเดีย ซึ่งมีสาเหตุเพียงเพราะเกิดมาจากบิดามารดาที่ต่างวรรณะ ส่งผลให้ผู้เป็นจัณฑาล อยู่ในสถานภาพที่ต่ำสุด ยิ่งกว่าวรรณะล่างสุด คือ วรรณะศูทร ในระบบ 4 วรรณะของอินเดีย (อันประกอบด้วย พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์ และศูทร)

หรือกลุ่มคนที่มีชื่อเรียกว่า ‘บุราคุมิน’ ในสังคมญี่ปุ่นยุคเอโดะ อันหมายถึงกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่สกปรก เพราะคลุกคลีอยู่กับซากศพและเลือด อาทิ สัปเหร่อ คนชำแหละเนื้อ คนฟอกหนัง

ทั้งจัณฑาลและบุราคุมิน ถือเป็นคนนอกในระดับต่ำสุด จนแทบไม่เหลือความเป็นคนเสียด้วยซ้ำ 

แม้ว่าในยุคปัจจุบัน จารีตเกี่ยวกับการแบ่งชนชั้นจะถูกยกเลิกไปแล้ว ทว่า การเลือกปฏิบัติต่อคนที่สืบสายเลือดจากชนชั้นวรรณะ ‘คนนอก’ ยังคงมีอยู่ 

ย้อนกลับมาที่เรื่องราวความเป็นคนนอกของเวนส์เดย์ เรื่องราวน่าจะจบลงด้วยดี เมื่อเธอได้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะกับเธอ (จะมีที่ไหนเหมาะกับ ‘คนนอก’ ยิ่งไปกว่า โรงเรียนสำหรับคนนอก อีกล่ะ) แต่กลับกลายเป็นว่า แม้กระทั่งในสังคมของคนนอก เวนส์เดย์ก็ยังคงถูกตราหน้าว่าเป็น ‘คนนอก’ อยู่ดี

เป็นคนนอก ในสายตาของคนนอก มันจะยิ่งช้ำชอก สักแค่ไหน

โรแวน ลาสโลว์ นักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนเนเวอร์มอร์ อาจจะตอบคำถามนี้ เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่ถูกขับไล่ไสส่งออกจากกลุ่ม จนถึงกับต้องเอ่ยปากว่า

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า มันจะเป็นไปได้จริงๆ ไอ้การที่ต้องเป็นคนนอก ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยคนนอก”

ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เปราะบางทางอารมณ์ การถูกกีดกันออกจากกลุ่ม จะส่งผลกระทบทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียความมั่นใจ และรวมไปถึงบ่อนทำลายการเคารพและเห็นคุณค่าในตัวเอง (self esteem)

ซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ใช่ซีรีส์แนวดรามา หรือมุ่งเน้นปมปัญหาจิตวิทยาวัยรุ่น เวนส์เดย์จึงสามารถรับมือกับการถูกผลักให้เป็น ‘คนนอก’ ในโรงเรียนของคนนอก ได้อย่างไม่ลำบาก (ในขณะที่โรแวนทำไม่ได้) โดยอาศัยทัศนคติแบบ ‘ฉันไม่แคร์’ บวกกับความปากแจ๋ว-ปากแซ่บ และมิตรภาพจากเพื่อนดีๆ อย่างเช่น อีนิด ซินแคลร์ เด็กสาวมนุษย์หมาป่า และ ยูจีน ออตทิงเกอร์ เด็กหนุ่มผู้รักผึ้งเหมือนลูก

แม้ว่าเรื่องราวในซีรีส์ Wednesday จะเป็นโลกสมมติ ทว่า สิ่งที่เวนส์เดย์ทำ ในการรับมือกับการถูกเฉดหัวออกจากคอก คือวิธีการที่สามารถใช้รับมือกับสถานการณ์การเป็น ‘คนนอก’ ในโลกความเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น การมีความมั่นใจในตัวเอง, การยอมรับในสิ่งที่ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจุดแข็ง, การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ และการเลือกคบเพื่อนกลุ่มเล็ก ที่มีนิสัยใจคอคล้ายๆกัน อยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า

แม้โลกที่อยู่พ้นไปจากรั้วรอบขอบชิด อาจจะดูเวิ้งว้าง-ไม่ปลอดภัยเท่าภายในคอกอันแข็งแกร่ง แต่หากเรามีความมั่นใจในตัวเอง และมีเพื่อนที่คอยเดินเคียงข้างกัน การเป็นคน ‘นอกคอก’ ก็ไม่ช้ำชอกสักเท่าไหร่หรอก

อ้างอิง

How to deal with being an outcast https://viableoutreach.com/how-to-deal-with-being-an-outcast-tips-for-social-rejects/

5 tips for when you feel like an outsider or like you don’t belong https://www.life-with-confidence.com/feel-like-an-outsider.html

Burakumin : Japanese social class https://www.britannica.com/topic/burakumin

https://www.nevermoreacademy.com/mission/

https://addamsfamily.fandom.com/wiki/Rowan_Laslow

Tags:


Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

สื่อสารเพื่อเยียวยาหัวใจ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้น้อง: วันวิสาข์ มาเมือง พี่เลี้ยงอาสา มูลนิธิยุวพัฒน์
8 December 2022

สื่อสารเพื่อเยียวยาหัวใจ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้น้อง: วันวิสาข์ มาเมือง พี่เลี้ยงอาสา มูลนิธิยุวพัฒน์

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘โครงการพี่เลี้ยงอาสา’ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ในการรับฟัง ชวนคุย ชวนคิด ให้ทักษะในการใช้ชีวิตแก่เด็กๆ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเด็กขาดโอกาสที่รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิยุวพัฒน์
  • เด็กๆจะมีความรู้สึกว่ามีใครบางคนที่รับฟังเขาจริงๆ แม้จะไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักเป็นทั้งพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่สบายใจให้เขาได้พึ่งพิงในวันที่ยากสำหรับเขา
  • ไม่เพียงแต่เด็กๆ ในโครงการจะได้รับคำปรึกษาและมีที่พึ่งพิงทางจิตใจเท่านั้น แต่ ‘พี่เลี้ยง’ ที่เข้าร่วมโครงการเองก็ได้พัฒนาทักษะการฟัง การสื่อสาร และดึงศักยภาพของตัวเองมาใช้ในงานอาสาด้วย

“แม้ทุนการศึกษาจะทำให้เด็กเรียนหนังสือจนจบได้ แต่การที่เด็กคนนึงจะเติบโตมานั้นไม่ได้มีแค่เรื่องของทุนการศึกษาอย่างเดียว เพราะมันมีมิติอื่นๆ เข้ามาประกอบ ดังนั้นในเรื่องของความสุข ความทุกข์ และปัญหาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องทุนการศึกษาก็ต้องทำให้เด็กได้รับความช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน”

เม-วันวิสาข์ มาเมือง เจ้าหน้าที่มูลนิธิยุวพัฒน์ เล่าถึง ‘โครงการพี่เลี้ยงอาสา’ ที่มีจุดประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ในการรับฟัง ชวนคุย ชวนคิด ให้ทักษะในการใช้ชีวิตแก่เด็กๆ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเด็กขาดโอกาสที่รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิฯ

เพราะนอกเหนือจากภารกิจหลักของมูลนิธิที่ให้การช่วยเหลือเด็กๆ ด้วยการมอบทุนการศึกษาจนจบระดับมัธยมศึกษา และ ปวช.มาต่อเนื่องยาวนานจนเข้าปีที่ 30 แล้ว สิ่งที่ยุวพัฒน์มองว่าสำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลเยียวยาจิตใจและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้แก่เด็กๆ

เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่มักมีสภาพครอบครัวที่เปราะบาง ขาดที่พึ่งทางใจ และขาดผู้ที่จะแนะนำแนวทางในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง จึงเกิด ‘โครงการพี่เลี้ยงอาสา’ ที่ทำให้เด็กๆ นั้นมีใครสักคนที่สามารถขอคำปรึกษา ระบายปัญหาและความรู้สึกของเขาได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ ทางโทรศัพท์ และ เฟซบุ๊ก

“ปัญหาหลักที่พบตลอดการให้ทุนการศึกษาและการทำงานของมูลนิธิคือการที่มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่หลุดออกนอกระบบและเรียนไม่จบ นี่เป็นสิ่งที่บอกเราว่าการให้ทุนการศึกษาอย่างเดียวก็ไม่ได้การันตีว่าเด็กจะเรียนจบและไปถึงฝั่ง ระหว่างทางจึงควรมีการดูแลและประคับประคองเขาด้วย”

ไม่เพียงแต่เด็กๆ ในโครงการจะได้รับคำปรึกษาและมีที่พึ่งพิงทางจิตใจเท่านั้น แต่ ‘พี่เลี้ยง’ ที่เข้าร่วมโครงการเองก็ได้พัฒนาทักษะการฟัง การสื่อสาร และดึงศักยภาพของตัวเองมาใช้ในงานอาสา รวมถึงได้ลองแลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ที่อาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนเช่นกัน

‘พี่เลี้ยงอาสา’ รับฟังปัญหาในวันที่น้องเหนื่อยใจ

“เราพยายามสร้างกิจกรรมที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้ข้อมูลความรู้แก่เด็กๆ แต่ก่อนที่เราจะดีไซน์กิจกรรมขึ้นมา เราจะต้องตอบให้ได้ก่อนว่าปัญหาคืออะไร อย่างเราทำงานกับเด็ก ก็ต้องตอบให้ได้ว่าปัญหาของเด็กคืออะไร และในฐานะที่เราเป็นองค์กรที่ทำงานกับเด็ก เราจะแก้ปัญหานี้ยังไง ต้องมีธงตั้งต้นแบบนี้อยู่เสมอ ต้องรู้ความต้องการและปัญหาของเขา รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเด็กยังอยู่กับปัญหานี้อยู่”

โครงการพี่เลี้ยงอาสามี 3 กิจกรรมหลักๆ คือ การคุยกับเด็ก โดยการคุยผ่านโทรศัพท์หรือแชทเฟซบุ๊ก การทำงานคอนเทนต์ลงกลุ่มปิดเฟซบุ๊ก โดยทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อสร้างสรรค์สื่อขึ้นมา และการทำไลฟ์ให้ความรู้

จุดประสงค์ของกิจกรรมคุยโทรศัพท์และแชตคือ ต้องการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กๆ เพราะบางครั้งเด็กอาจมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดคุยกับที่บ้านหรือคุณครูที่โรงเรียน เขาก็จะมีพี่เลี้ยงอาสาที่สามารถพูดคุย ขอคำแนะนำ ปรึกษาและระบายได้

ส่วนจุดประสงค์ของการทำคอนเทนต์และไลฟ์ คือต้องการให้ข้อมูลแก่เด็กๆ หรือเวลาไลฟ์สด เด็กๆ ก็จะสามารถเข้ามาถามคำถามต่างๆ ซึ่งพี่ๆ ก็จะสามารถตอบเขาได้ทันที

โดยเด็กๆ ที่เข้าไปทำงานด้วยจะเป็นกลุ่มนักเรียนทุนยุวพัฒน์ ช่วงอายุ 13-18 ปี ที่เป็นเด็กขาดโอกาส ครอบครัวมีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง ที่มีราวๆ 7,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งกลุ่มปิดเฟซบุ๊กมีเด็กๆ เป็นสมาชิกอยู่ประมาณ 6,000 คน ปัจจุบันมีพี้เลี้ยงอาสามาแล้วทั้งหมด 14 รุ่น จำนวน 290 คน และช่วยดูแลน้องนักเรียนทุนได้กว่า 6,000 คน

ให้เด็กยืนได้ด้วยตัวเอง แม้ในวันที่ไม่มีพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ

ถึงวันนี้โครงการพี่เลี้ยงอาสาได้ดำเนินการมาถึงปีที่ 5 แล้ว มูลนิธิเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้เด็กๆ ได้เห็นมุมมองใหม่ แนะนำวิธีคิดที่ช่วยให้เขาเห็นทางออกของปัญหาที่แตกต่างจากที่เขาคิดหรือมองเห็นว่าจริงๆ แล้วปัญหามีทางออกเพียงแต่เราอาจจะมองไม่เห็น จึงต้องมีคนชวนให้เขามองเห็นทางออกนั้น ด้วยการพูดคุยและชวนคิดชวนตอบ 

“สิ่งนี้จะช่วยปรับมุมมองความคิด ทำให้เด็กเรียนรู้วิธีที่จะทบทวนตัวเอง  เวลาที่เขาเผชิญปัญหา เช่น ปัญหานี้เราเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง เราจัดการตรงไหนได้บ้าง ใครที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้บ้าง ถ้าไม่ใช่ทางออกนี้ มีทางออกอื่นอีกไหม โอกาสใหม่ๆ อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่เรารู้สึกว่าเป็นปัญหา

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เด็กอาจจะยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ด้วยตัวเอง เพราะเขาคือเด็ก แต่เขาจะมีวิธีคิดที่จะจัดการอย่างเป็นระบบในวันที่ไม่มีพี่เลี้ยงอาสาอยู่ข้างๆ เขา

และเวลาพี่เลี้ยงอาสามาทำงาน มันไม่ใช่การบอกเขาว่าต้องทำแบบนี้ๆ เท่านั้นนะตามลำดับ แต่พี่เลี้ยงอาสาจะถูกเติมทักษะบางอย่างเพื่อที่จะชวนน้องคุยหรือตั้งคำถาม เพราะเราเชื่อว่าการชวนเขาคุยหรือตั้งคำถามจะช่วยให้เขาเกิดกระบวนการคิดบางอย่าง สมมติว่าเรามาชวนน้องๆ คุย หรือรับฟังปัญหาของน้องๆ เขาก็จะได้วิธีการแก้ปัญหาหรือทางออกด้วยตัวของเขาเอง

และถ้าหากวันหนึ่งในอนาคตน้องๆ ไปเจอปัญหาแบบนี้หรือคล้ายๆ แบบนี้ แม้ว่าวันนั้นเขาจะไม่มีพี่เลี้ยงอยู่ก็ตาม เขาก็จะแก้ปัญหาและผ่านไปได้จากการที่เคยฝึกกระบวนการคิดจากการตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะการพูดคุยจะทำให้เขาได้ลองมองในมุมมองใหม่ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน เหมือนเป็นการช่วยกันปรับเปลี่ยนมุมมองความคิด”

นอกจากนี้ เธอก็อยากให้คนในสังคมลองเข้ามาร่วมโครงการนี้ดูเพื่อที่จะได้มีมุมมองและทัศนคติต่องานอาสาว่าเป็นงานที่ดี เพราะมากกว่าการได้ช่วยเหลือเด็กๆ และเพิ่มความมีใจรักในการทำงานจิตอาสาแล้ว ผู้ที่ทำงานอาสายังได้ฝึกทักษะจากกระบวนการทำงานและได้ดึงศักยภาพที่มีของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นการฝึกกระบวนการคิดและการพัฒนาทักษะต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ผ่านการทำงานอาสาจึงเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งผู้ให้และผู้รับ 

“ถึงแม้ว่าเราจะมีการเติมทักษะบางอย่างแก่ผู้เข้าร่วมเพื่อที่เขาจะเข้าไปทำงานกับเด็กต่อ แต่ว่าพี่เลี้ยงอาสาหลายๆ คนก็ดึงทักษะและความสามารถที่มีอยู่แล้วของตัวเองออกมาใช้กับงานด้วย เพราะงานพี่เลี้ยงอาสาไม่ได้ทำแค่เป็นเพื่อนชวนคิดชวนคุย หรือรับฟังเด็กอย่างเดียว แต่บางทีมันมีงานในโครงการที่เป็นสายคอนเทนต์และไลฟ์สดด้วย บางรุ่นพี่เลี้ยงก็มาไลฟ์พูดถึงอาชีพที่เขาทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชินและเป็นตัวตนของเขาอยู่แล้ว เขาเลยนำสิ่งนั้นออกมาแชร์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ”

มากกว่างานอาสา คือการเติมเต็มหัวใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

กระแสตอบรับส่วนใหญ่จากเด็กๆ คือเขามีความรู้สึกว่ามีใครบางคนที่รับฟังเขาจริงๆ แม้จะไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก แต่คนเหล่านั้นช่วยรับฟังเขาทุกอย่าง เป็นทั้งพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่สบายใจให้เขาได้พึ่งพิงในวันที่ยากสำหรับเขา

“บางทีเด็กไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่ทักสติ๊กเกอร์มาในแชท มาสวัสดี แค่นี้เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขามีใครสักคนแล้ว เด็กบางคนก็จะรู้สึกว่าในวันที่เขาท้อหรือเหนื่อย เขาก็อาจจะไม่ได้รู้หรอกว่าการให้กำลังใจตัวเองคืออะไร แต่เด็กเขาก็จะรู้ว่ายังมีพี่เลี้ยงอาสาอยู่ เขาก็จะโทรมาคุย แชทมาคุยด้วย”

ขณะเดียวกันในฝั่งพี่เลี้ยงเองก็สะท้อนกลับมาว่า เขารู้สึกได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองในบางเรื่องไม่คิดว่าจะทำอะไรแบบนี้ได้ และรู้สึกว่าตัวเองได้อะไรหลายอย่างกลับไปหลังจากเข้าร่วมโครงการนี้จริงๆ 

“สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราไม่เคยคาดหวังมาก่อน แต่ปรากฏว่ามันเกิดขึ้น บางคนก็บอกว่า มันเกิดการเรียนรู้ระหว่างเขากับเด็กขึ้น เพราะบางครั้งไม่ใช่แค่เด็กมาปรึกษาพี่เลี้ยงทางเดียว แต่พี่เลี้ยงยังสามารถขอคำแนะนำบางเรื่องจากเด็กได้ด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ซึ่งตรงนี้พี่เลี้ยงเขาก็บอกว่ามันทำให้เขาได้เห็นบางมุมที่ไม่เคยเห็นจากไหน หรือความรู้สึกเห็นคุณค่าในตัวเองที่เกิดขึ้นกับตัวพี่เลี้ยง

มีพี่เลี้ยงเคยบอกว่า เขาก็ไม่เคยคิดว่าการใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการรับฟังใครสักคน ช่วงเวลานั้นจะทำให้คนๆ นั้นได้รับอะไรบางอย่างมากมายขนาดนี้

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่การทำงานอาสาสมัครทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นมีคุณค่ามากมายแค่ไหนกับใครบางคน หรือในวันที่พี่เลี้ยงรู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้อ ภาพตอนที่เขาคุยกับน้องๆ ได้ช่วยเหลือน้องๆ ก็ย้อนกลับมาทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้

เราจะบอกเสมอว่า คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาเป็นพี่เลี้ยงอาสายุวพัฒน์ก็ได้ แต่หลังจากได้ทำงานพี่เลี้ยงอาสายุวพัฒน์แล้ว ขอแค่ให้มีภาพจำที่ดีกับงานอาสาและอยากทำงานนี้ต่อ ไม่ว่าจะกับยุวพัฒน์หรือที่ไหนก็ตาม”

ประคับประคองเด็กถึงสุดทาง ด้วยการประสานงานจากทุกภาคส่วน

ก่อนพี่เลี้ยงอาสาจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ มูลนิธิฯ จะมีการปฐมนิเทศในช่วงแรกของโครงการที่จะช่วยเติมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นแก่พี่เลี้ยง เช่น การฟังและการตั้งคำถามให้เป็นเครื่องมือติดตัว รวมถึง ข้อปฏิบัติในการทำงานตลอดการเป็นพี่เลี้ยงอาสา การเคารพในสิทธิของเด็ก การรักษาความลับ และการแจ้งกลับมาที่ยุวพัฒน์ ในกรณีที่เด็กเจอปัญหาในประเด็นอ่อนไหวเกินกว่าที่พี่เลี้ยงอาสาจะช่วยเหลือได้ เป็นต้น เพราะพี่เลี้ยงไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่าเด็กจะมาปรึกษาปัญหาอะไร ดังนั้นการสร้างทักษะเตรียมความพร้อมไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

“แต่ถ้ามีบางอย่างที่เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าน้องคนนี้มีความเสี่ยงที่จะเรียนไม่จบ หรืออะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่อเขา ให้แจ้งกลับมาที่มูลนิธิหรือเจ้าหน้าที่เป็นการส่วนตัว เราก็จะรับเคสต่อและให้ความช่วยเหลือต่อไป หรือว่าบางทีพี่เลี้ยงไม่รู้ว่าจะช่วยน้องๆ ยังไง หรือไม่รู้ว่าชวนมองชวนคุยยังไงให้บอกมูลนิธิได้เลย เพราะเราจะดูแลน้องๆ ต่อให้สุดปลายทางจนกว่าเด็กจะโอเคและได้รับความช่วยเหลือ

เพราะยุวพัฒน์ไม่ได้ทำงานแค่กับพี่เลี้ยงอาสา อย่างเคสที่เรารับเคสกลับมาและเราประเมินว่าปล่อยแบบนี้ไว้ไม่ได้ เราก็จะติดต่อประสานงานกับหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาช่วย แล้วมันก็จะกลายเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานที่จะสามารถช่วยเด็กได้”

โดยส่วนใหญ่ในกรณีนี้ มักจะกรณีของภาวะซึมเศร้า ซึ่งเมื่อเกิดภาวะแบบนี้ขึ้น ทางมูลนิธิก็จะประสานกับหน่วยงานที่แก้ปัญหานี้โดยตรง เช่น โรงพยาบาล และนักจิตวิทยา เพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ โดยที่ทางมูลนิธิจะคอยดูแลประคับประคองเด็กไปด้วย 

อีกกรณีหนึ่งที่พบบ่อยคือเด็กที่มีสถานะทางครอบครัวค่อนข้างลำบากมาก การให้ทุนการศึกษาอย่างเดียวอาจไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด ในกลุ่มนี้มูลนิธิจะประสานไปยัง อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล)  อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) พมจ. (สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด) หรือมูลนิธิในท้องถิ่นของเด็กให้ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ และคอยติดตามจนกว่าเด็กจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะเมื่อเด็กได้รับความช่วยเหลือ ครอบครัวของเขาก็จะพ้นวิกฤติไปด้วย

สร้างภาพจำที่ดีกับเด็กในวันนี้ ให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันหน้า

เด็กคือคนๆ หนึ่ง เขามีสิทธิที่จะมีปัญหา มีสิทธิที่จะไม่สบายใจและมีเรื่องทุกข์ร้อนได้ บางครั้งเวลาที่ผู้ใหญ่มีเรื่องไม่สบายใจหลายคนก็มักจะหาทางออกได้ด้วยตัวเอง แต่เด็กนั้นต่างกันด้วยวัย วุฒิภาวะ และศักยภาพ ทำให้หลายๆ ครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาที่เจออย่างไร และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในบางเรื่อง

“เราคิดว่าการที่มีใครสักคนมาช่วยเขา เหมือนกับช่วยดึงเด็กที่เจอปัญหากลับมาสู้และใช้ชีวิตต่อไปได้ ซึ่งจริงๆ การดึงเด็กขึ้นมาและช่วยเขานั้นไม่ได้ช่วยแค่ตัวเด็กอย่างเดียว แต่เราช่วยไปถึงครอบครัวของเขาด้วย เพราะมูลนิธิฯ คิดว่า ถ้าครอบครัวเด็กอยู่ได้ เด็กก็น่าจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี

การที่เด็กคนนึงที่มีสถานะเป็นเด็กขาดโอกาส เด็กกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มเสี่ยง พอวันหนึ่งเขาได้คุยกับใครสักคนที่มีทัศนคติที่ดี และได้คุยกับคนๆ นี้บ่อยๆ เราเชื่อว่าในอนาคตเขาอาจจะทำสิ่งนี้และไปช่วยเหลือคนอื่นต่อด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าเราคุยกับคนๆ นี้แล้วสบายใจ คนๆ นี้รับฟังเรา ไม่ตัดสินเรา เด็กอาจจะรู้สึกอยากเป็นคนแบบนี้ก็ได้ เด็กเขาจะมองเป็นแบบอย่าง และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น

เราอยากให้เด็กมีภาพจำที่ดี เพราะวันนึงเขาอาจจะเอาภาพจำนี้เป็นตัวตั้งต้นในการใช้ชีวิต เพราะเด็กมักจะเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ ถ้าเขามีแบบอย่างที่ดี ได้สัมผัสกับคนที่ดี ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะอยากเป็นแบบนั้นตาม”

เพราะสังคมคือส่วนหนึ่งในการเติบโตของเด็กทุกคน

“จริงๆ อยากให้คนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมกันเยอะๆ ค่ะ เพราะการที่เด็กจะเติบโตขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะถ้าเราลองมองให้ดี เรามีสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากมายที่หล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นมา เราเลยอยากให้คนในสังคมหรือคนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน สามารถช่วยให้เด็กคนหนึ่ง มีมุมมอง ทัศนคติและแนวคิดที่ดี เพื่อให้ได้รับโอกาสที่ดีต่อไป ก็อยากให้คนในสังคมเข้ามาช่วยกันเยอะๆ ค่ะ”

ซึ่งหากสนใจเป็นพี่เลี้ยงอาสา มูลนิธิยุวพัฒน์ สามารถสมัครผ่านเว็บไซต์และเพจยุวพัฒน์ โดยสมัครทุกเพศ ทุกอาชีพ เพียงแค่อายุ 23 ปีขึ้นไป และมีทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ทักษะการสื่อสาร การเขียน มีความคิดที่ยืดหยุ่นในการทำงาน รวมถึงเข้าใจและมี Empathy มีทัศนคติเชิงบวก พร้อมรับฟัง และมีใจที่จะทำงานอาสา

โดยแต่ละรุ่นจะรับสมัครพี่เลี้ยงประมาณ 15 – 18 คน มีระยะการทำงาน 4 เดือน พี่เลี้ยงอาสา 1 คน จะได้ดูแลน้องๆ 5 – 10 คน ซึ่งตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นที่ 14 มูลนิธิยุวพัฒน์มีพี่เลี้ยงอาสามาแล้ว 290 คน และมีน้องๆ ที่เข้าร่วมปรึกษาประมาณกว่า 6,900 คน

“เราหวังว่างานอาสาสมัคร และโครงการพี่เลี้ยงอาสามูลนิธิยุวพัฒน์จะมีคนอยากเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้น พอมาช่วยแล้วก็อยากให้เขาขยายไปยังงานอาสาอื่นๆ ช่วยอะไรก็ได้ โดยอาจจะเริ่มต้นที่โครงการนี้และขยายผลไปยังที่อื่นๆ ได้

เพราะมูลนิธิยุวพัฒน์ไม่ได้มีเจ้าของเป็นใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราอยากให้สังคมร่วมมาเป็นเจ้าของมูลนิธินี้ เราอยากให้เกิดการมีส่วนร่วม ร่วมกันมาเป็นหนึ่งกลไก หนึ่งมือ หนึ่งแรงที่จะเข้ามาช่วยเด็ก เพราะว่ายุวพัฒน์เราทำงานคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นการที่เราจะทำให้เด็กคนนึงเรียนจบ ประสบความสำเร็จ มีความสุขและเติบโตอย่างมีคุณภาพได้นั้น ต้องให้สังคมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วย เพราะเด็กก็คือสังคมของเราเหมือนกัน”

Tags:

ปัญหาสังคมมูลนิธิยุวพัฒน์พี่เลี้ยงอาสาอาสาสมัครซึมเศร้าวัยรุ่น

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน
Everyone can be an Educator
7 December 2022

ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘พันธุ์เจีย’ เกิดจากการรวมกันระหว่างคำว่า ‘พันธุกรรม’ และคำว่า ‘เจีย’ ในภาษาเขมร ที่แปลว่า ดี เมื่อรวมกันจึงกลายเป็น ‘พันธุ์ดี’ สื่อถึงการปลูกผักที่ใช้เมล็ดพันธุ์ดี และความปรารถนาดีในการส่งต่อผลผลิตจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค
  • The Potential ชวนอ่านเรื่องราวของ จีรนันท์ บุญครอง เจ้าของ พันธุ์เจีย – Pangaea Organic Garden คนรุ่นใหม่ที่กลับบ้านมาสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ตัวเองอยู่รอด และส่งต่อความรู้ที่ได้สู่ชุมชน เพื่อหวัง ‘อยู่ร่วม’ และ ‘อยู่รอด’ ไปด้วยกัน
  • ออกแบบการเรียนรู้ 4 หลักสูตร จากวิถีเกษตรของชุมชน คือ ปลูกผักอินทรีย์ ทำปุ๋ยอินทรีย์ ทำอาหารสัตว์ และแปรรูป เพื่อทำให้ชุมชนมีความรู้เรื่องการปลูกผักอินทรีย์ สามารถรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และสร้างสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ

“จริงๆ คำว่า คนรุ่นใหม่ มันเป็นคำที่สร้างความกดดันให้เรามาก เราแค่เป็นคนโชคดี ที่อยากกลับบ้านแล้วได้กลับ และรู้ว่าตัวเองจะกลับมาทำอะไร ให้อยู่ร่วม และ อยู่รอดได้ ในชุมชน”

นัน-จีรนันท์ บุญครอง เจ้าของไอเดีย ‘พันธุ์เจีย’ – Pangaea Organic Garden แบรนด์ผลผลิตทางเกษตรแบบปลอดสารพิษ และหน่วยจัดการเรียนรู้ โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่การพึ่งพาเครือข่ายที่ยั่งยืน หนึ่งในโครงการต้นแบบของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และภาคี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทุกช่วงวัย ทั้งในด้านการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ 

นันในวัย 27 ปี เธอเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่ไปเรียนในเมืองใหญ่ แล้วกลับมาลงหลักปักฐานที่บ้านเกิด สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ตัวเองอยู่รอดได้ และส่งต่อความรู้ที่ได้สู่ชุมชน เพื่อหวัง ‘อยู่ร่วม’ และ ‘อยู่รอด’ ไปด้วยกัน 

ซึ่งถ้าพูดถึงการกลับมาอยู่บ้าน ไม่วาจะด้วยความฝัน ความหวัง หรือด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่บีบรัดให้ต้องกลับมา คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ กลับไปแล้วจะทำอะไร? 

ถึงจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่คงดีไม่น้อยหากการกลับบ้านยังคงมีฐานทุนดีๆ จากชุมชน ทั้งทรัพยากร องค์ความรู้ หรือแม้แต่ระบบความสัมพันธ์ในชุมชนที่เป็นพื้นที่รองรับให้พวกเขาได้กลับมาเรียนรู้และสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวนั้นก็จะค่อยหายไป เช่นเดียวกับนันที่มีฝันอยากเห็นสังคมเปิดพื้นที่และเปิดโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

เก็บเกี่ยวชั่วโมงบินจากห้องเรียนในเมืองใหญ่ 

“สมัยเรียนที่เราตัดสินใจไปเรียนกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากอยู่บ้าน อยากไปเจอโลก อยาก explore (สำรวจ) อยากทำอะไรที่ไม่ลำบากเหมือนที่พ่อแม่ทำ แต่พอเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ก็ดันไปเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร กลายเป็นว่าอิน แล้วก็สะสม มันมีเรื่อง relate (เกี่ยวข้อง) กับอาชีพของพ่อแม่เราเลยอินไปด้วย นอกจากในห้องเรียนแล้วเราก็หาความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ไปเรื่อยๆ แล้วเราก็เห็นแนวทางในการขยายต่อ ในการพัฒนาของอาชีพนี้ได้มากขึ้น เพราะว่ามันมีตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ทำแตกต่างออกไป แล้วก็ประสบความสำเร็จ 

แล้วทีนี้ก็มีความคิดเรื่องการจะกลับมาอยู่บ้านตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เพราะไลฟ์สไตล์เราไม่เหมาะกับการใช้อยู่ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็เลยหาไปฝึกงานก่อน กะว่าได้โปรไฟล์มาแล้วไปสมัครงานที่มันเหมาะกับเราจริงๆ พอไปฝึกงาน ได้ไปอยู่ในไร่จริงๆ ปุ๊บ มันก็เลยอยากกลับบ้าน แล้วที่บ้านก็ไม่ได้มีแรงต้านอะไรเลย แม่อยากให้กลับบ้านอยู่แล้ว ครอบครัวไม่มีใครมาคาดหวังว่าเราจะต้องส่งเงินเดือนให้ทุกเดือน ถึงบอกว่าเราเป็นคนโชคดีคนนึงที่อยากทำอะไรก็ได้ทำ ถึงมันไม่ได้มีต้นทุนสูงอะไรมาก แต่มันคือการตัดสินใจของเรา แล้วก็ไม่มีใครมาห้าม” 

หลังจากเรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2562 นันจึงเลือกกลับมาทำร้านค้าผักออร์แกนิกออนไลน์ของตัวเอง ที่สามารถขายผักอินทรีย์ได้ในราคาสูงกว่าชุมชน ในชื่อ ‘พันธุ์เจีย’ ซึ่งเกิดจากการรวมกันระหว่างคำว่า ‘พันธุกรรม’ และคำว่า ‘เจีย’ ในภาษาเขมร ที่แปลว่า ดี เมื่อรวมกันจึงกลายเป็น ‘พันธุ์ดี’ สื่อถึงการปลูกผักที่ใช้เมล็ดพันธุ์ดี และความปรารถนาดีในการส่งต่อผลผลิตจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค  

โดยก่อนหน้านี้นันเป็นหนึ่งในอาสาคืนถิ่น มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับชุมชน เมื่อเรียนจบกลับมาทำไร่ ทำสวน ทำให้ได้เห็นฐานทรัพยากรและศักยภาพของคนในชุมชน เห็นดีมานด์จากการขายออนไลน์ของตัวเอง จึงอยากนำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่มาต่อยอดเพื่อสร้างการเรียนรู้ด้านอาชีพให้คนในชุมชน และตัดสินใจทำโครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่การพึ่งพาเครือข่ายที่ยั่งยืน โดยดำเนินการภายใต้พื้นที่บ้านหลวงอุดมและบ้านดงเค็ง ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

“เราอยากใช้โอกาสตรงนี้สร้างมูลค่าให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แทนที่เราจะทำคนเดียว อยู่รอดคนเดียว กลายเป็นอยู่ร่วมกับชุมชนให้เขารอดไปด้วยกันได้ได้ไหม แล้วการที่เราเข้าร่วมกระบวนการของโครงการอาสาสมัครคืนถิ่น มันก็จะเห็นกระบวนการการกลับบ้าน การหนุนเสริม การเสริมพลัง การให้เครื่องมือในการกลับมาอยู่บ้าน เห็นโครงสร้างต่างๆ แล้วก็ได้สำรวจชุมชน แล้วก็พอสิ้นสุดกระบวนการปุ๊บ เออ…เรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรแบบจริงๆ จังๆ ก็เลยเขียน proposal (เขียนโครงการ) ขอไป 

เป้าหมายกว้างๆ เลย คือ อยากอยู่ในสังคมที่ดี แต่เรารอให้มันดีขึ้นเองไม่ได้ มันช้าเกินไป เราต้องลงมือทำเอง”

นอกจากทำให้ชุมชนมีความรู้เรื่องการปลูกผักอินทรีย์ สามารถรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่นันอยากเห็นมากที่สุดคือ การสร้างสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ

4 หลักสูตรการเรียนรู้ จากวิถีเกษตรชุมชน

เมื่อการสร้างสังคมดีคือเป้าหมายใหญ่ บวกกับมีประสบการณ์ความรู้เรื่องการปลูกผักอินทรีย์เป็นฐานทุนในการทำงาน เธอจึงรวมทีมกับคุณครูเกษียณในโรงเรียนและคนในชุมชนที่มีความสนใจคล้ายกัน ออกแบบเวทีชี้แจงโครงการผ่านการเปิดวิดีโอการทำงานของ กสศ. และการพูดคุย โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทที่ทำโครงการนี้ต่อเนื่อง 3 ปีมาช่วยไขข้อข้องใจ ทำให้ข้อจำกัดในการสร้างความเข้าใจร่วมกับชุมชนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และใช้เวทีประชุมประจำเดือนที่ศาลากลางหมู่บ้านเป็นพื้นที่สร้างความเข้าใจกับคนในชุมชน และเดินหาตามบ้าน เพราะรู้ว่าใครสนใจและมีศักยภาพที่จะทำได้ 

ผลจากการพูดกับทีมงานและกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ ทีมงานได้นำมาออกแบบการเรียนรู้ทั้งหมด 4 หลักสูตร คือ การปลูกผักอินทรีย์ การทำปุ๋ยอินทรีย์ การทำอาหารสัตว์ และการแปรรูป ซึ่งทั้งหมดใช้กลุ่มอาชีพเดิมเป็นแกนในการพัฒนา ออกแบบหลักสูตรจากวิถีเกษตรที่เชื่อมโยงกัน เพื่อลดต้นทุน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน 

“4 หลักสูตรนี้ขายแนวคิดเรื่องเกษตรยั่งยืน เพราะเราเริ่มจากการปลูกผัก ก็ต้องมีการทำปุ๋ยตามมา ซึ่งทุกบ้านมีคอกวัวหมด มีพื้นที่ปลูกผักข้างบ้าน มีสระน้ำเพื่อเลี้ยงปลาก็ต้องใช้อาหารปลาที่ปกติต้องซื้อกระสอบละหลายร้อยบาทต่อเดือน แต่ถ้านานๆ กินปลาทีมันไม่คุ้ม เลยคิดว่านำมาแปรรูป เป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกัน โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายทุกคนได้เลือกเรียนรู้คนละ 1 หลักสูตร ซึ่งแต่ละอันถูกออกแบบให้ชาวบ้านทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบการเรียน และเนื้อหาด้วยตัวเองร่วมกับวิทยากรที่เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน หรือเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดที่เกษียณแล้ว เพราะกลุ่มเป้าหมายทุกคนคือ มีประสบการณ์ด้านการเกษตร เพียงแต่ยังต้องเติมความรู้ใหม่ เพื่อนำไปปรับใช้กับแปลงเกษตรของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ”

“ยกตัวอย่าง อาหารสัตว์ หมู่บ้านเรามีวัวประมาณ 500 ตัว แล้วก็ปลาอีกประมาณ 40 บ่อ แล้วแต่ละบ่อซื้ออาหารปลาเดือนละเป็นกระสอบ เดือนนึงก็หลายหมื่น แล้วอีกอย่างนึงคือ ทรัพยากรที่จะเอามาใช้เนี่ย มันหาได้ในชุมชนหมดเลย อย่างวัตุดิบที่เอามาใช้ทำอาหารปลา โรงสีในหมู่บ้านมีประมาณ 3-4 โรง มีรำข้าว มีปลายข้าวอยู่แล้ว ถ้ามันต่อยอดเป็นอาชีพได้มันเหมือนเป็นการลดการนำเข้าผลผลิตจากที่อื่น แล้วก็มาใช้ของคนในชุมชน เป็นการกระจาย หมุนเวียนเศรษฐกิจชุมชนจริงๆ ถึงแม้ไม่ลดต้นทุน ราคาเท่าเดิม แต่คนที่ได้รับตังค์มันอยู่ในชุมชนมันก็ยังดีนะ”

กว่าทุกอย่างจะเป็นรูปเป็นร่างได้ ผ่านการลองผิดลองถูกมาทั้งนั้น ความรู้ที่นำมาใช้ก็เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self – Directed Learning) ส่วนหนึ่งจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการไปดูงานจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ สะสมมาเรื่อยๆ 

“จริงๆ ตอนที่เราหาข้อมูล คนในหมู่บ้านเขาก็เป็นแหล่งข้อมูลให้เราได้อยู่แล้วแหละ ก็เลยสะสมมันมาเรื่อยๆ คือเรากลับมาปีนี้ก็ได้ปีที่ 3 เข้าปีที่ 4 แล้ว มันก็ลองผิดลองถูก ไม่ใช่ว่ารู้ทั้งหมด บางอย่างทำไปทำมาเพิ่งรู้ว่าอันนี้ไม่คุ้มก็มี เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่จริงๆ ก็อยากไปเรียนต่อเหมือนกัน จะได้ลดการผลิตซ้ำความผิดพลาด แต่ถ้ามันไม่ได้ผิดพลาดด้วยตัวเองจริงๆ มันก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริงๆ นะ เหมือนเราเรียนรู้จากการลงมือทำจริง”

“เราเชื่อมั่นว่าทุกคนเรียนรู้ได้ ฉะนั้นก่อนทำโครงการจึงตั้งใจว่าจะไม่ยัดเยียดความรู้ให้เขา แต่เราจะออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่มาจากความต้องการของเขาจริงๆ เรื่องไหนที่เห็นว่าหนักไปก็ทำความเข้าใจกับวิทยากรให้ออกแบบกระบวนการที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะหากใช้ทฤษฎีมากไป คนก็หนี”

เรียนรู้จากการลงมือทำ 

“สิ่งที่เราได้รับ… เอาจริงๆ นะ ตอนที่เขียน proposal เหมือนแบบจินตนาการว่าผลลัพธ์มันคงแบบนี้ๆ มีการรวมกลุ่ม มีการสร้างรายได้ มีการหมุนเวียนของเศรษฐกิจชุมชน แต่พอเรียนรู้จริงๆ มันคือการจัดการกลุ่มเลย เพราะว่าเราทำงานกับคน เราควรจะจัดการยังไง กิจกรรมนี้ถ้าเราอยากจะทำต่อควรทำยังไง ควรจะให้ใครรับผิดชอบ ควรจะบริหารต้นทุนยังไง ควรจะขายให้ใคร ควรจะสต็อกของยังไง 

สิ่งที่เรียนรู้มากที่สุดคือการจัดการ แล้วก็การทำงานกับคน การแก้ปัญหา เพราะว่ามันใหม่เรื่อยๆ เลย บางอย่างเราก็ไม่คาดคิด แล้วเราก็ไม่ได้มีพลังในการทำแบบนี้ตลอดเวลา คือคนในช่วงวัยเรา ไม่ใช่แค่เราเท่าที่คุยมา หลายคนมีอาการ depress หมด ซึมเศร้ากันหมด แต่ละคนเปรียบเทียบกับคนข้างๆ หมด บางอย่างเราคิดแล้วก็โทษตัวเองไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนในหมู่บ้านเขาไม่ได้คาดหวังไปขนาดนั้นเลย เขาเห็นแนวทางการพัฒนาต่อไปได้ก็ดีใจแล้ว สิ่งที่เราทำมันก็เป็นการพัฒนาตัวเองเหมือนกันนะ” 

นันแสดงความเห็นต่อว่า สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่ประสบกับภาวะเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะเราต่างเสพความสำเร็จของคนอื่นมากเกินไป 

“บางทีเราไปดูงานของชุมชนนี้ เขาประสานงานกันได้ครบทุกที่เลย แต่เขาทำมา 30 ปี แล้วนะ เรากลับมาบ้าน 3 ปี เราจะไปเปรียบเทียบกับเขาจริงๆ เหรอ เราจะไปด้อยค่าความสามารถของตัวเองทำไม เราก็ต้องพยายามเตือนตัวเองเอาไว้ ต้องหาจุดยืนของตัวเองจะได้ไม่หลงทาง จริงๆ การได้คุยกับทีมเรื่อยๆ จะดีมาก เพราะว่าถ้าปล่อยให้เราคิดเองคนเดียวมันก็จะฟุ้งซ่านอย่างนี้ แต่ถ้าได้คุยกันเราก็จะมาหาทางออก ผิดพลาดตรงไหน แล้วก็เริ่มใหม่ หาวิธีแก้ใหม่” 

นอกจากนี้นันยังเล่าว่า เธออยากเห็นการทำ CSA หรือ Community Supported Agriculture เกิดขึ้นในชุมชน 

“CSA มันคือ โมเดลๆ หนึ่ง ในการทำการเกษตรรูปแบบหนึ่ง เป็นการบริหารความเสี่ยงร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ผลิตแล้วก็ผู้บริโภค คุณค่าของระบบนี้คือ ผู้ผลิตผลิตอาหารที่ดีให้กับผู้บริโภค แล้วผู้บริโภคก็สนับสนุนผู้ผลิต โดยที่ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายนึงเป็นบุญคุณ คือแนวคิดหรือตรรกะของเกษตรกรหลายคน เวลามีคนมาซื้อของจะดีใจมาก ปลื้มใจมาก และคิดว่าสิ่งนั้นคือบุญคุณ ซึ่งในความคิดของเรา เราอยากให้ผู้ผลิตกับผู้บริโภคมีการ respect กัน มันเป็นการพึ่งพากัน ให้คุณค่าของทั้งสองฝ่าย เราตั้งใจผลิตให้คุณ แล้วคุณก็เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ มันก็คือการที่ทั้งสองฝ่ายต้องมี awareness ซึ่งกันและกัน” 

ไม่ว่าสิ่งที่นันทำอยู่นี้จะเป็นการสร้างโอกาส หรือลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ของชุมชนเล็กๆ ในชนบทแห่งนี้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ การเปิดพื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้ และไม่ใช่แค่ร่วมกิจกรรม แต่เป็นการร่วมคิด ร่วมออกแบบ ค่อยๆ เรียนรู้ไปด้วยกัน 

“ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ก่อนหน้านี้ที่เราเรียนมา เราไม่ได้เรียนจากความต้องการของเราจริงๆ มันเป็นหลักสูตร มันก็เลยเป็นเหมือนความเหลื่อมล้ำในระบบเหมือนกันนะ ว่าฉันไม่ได้ชอบสิ่งนี้แต่ก็ต้องเรียน เพื่อให้ได้วุฒิมา ทีนี้โครงการที่เราทำ ทุกอย่างมันเกิดจากการที่กลุ่มเป้าหมายและคณะทำงานที่อยู่ในหมู่บ้านเป็นคนออกแบบด้วยตัวเอง ตอนแรกเราคิดไว้แค่อาหารปลา ทำปุ๋ย ปลูกผัก แต่ทีนี้พอเราเอาไอเดียไปเสนอ เขาบอกว่าอยากได้อาหารวัวด้วย เพราะเลี้ยงวัวเยอะ หลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นมาทีหลัง มันเกิดขึ้นจากชาวบ้านคิดกันเองเยอะเลย เขามีภาพฝันของเขาเยอะเลย 

พอเราได้จัดกระบวนการตามที่เขาต้องการจริงๆ มันก็เลยเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสิ่งที่เขาไม่เคยรับมาก่อนด้วย เหมือนเป็นการเติมเต็มเขา อันนี้ในทัศนคติของเรา แล้วก็เหมือนเป็นการมอบโอกาสให้กับเขา อย่างบางคนไม่ได้รับการศึกษามาด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้การเข้าถึงการศึกษามันจะง่าย เปิดยูทูบก็ได้แล้ว แต่บางคนก็ยังไม่รู้ ยังเข้าไม่ถึง ต้องลองผิดลองถูก ล้มเหลวมาก็เยอะ แต่พอเราได้ทำรูปแบบกลุ่ม ได้เอาความรู้ที่ผ่านการล้มเหลวหรือผิดพลาดมาแล้วมาให้เลย มันก็เลยลดช่องว่างตรงนี้ เพราะบางคนไม่มีเวลา ไม่มีต้นทุนจะไปล้มเหลวแบบนั้น”

“ท้ายที่สุดแล้วหัวใจหลักที่เราทำโครงการ ที่เราทำงานทุกวันนี้ เราจะคิดเสมอ เตือนตัวเองว่าที่ทำอยู่ไม่ได้เพราะว่าจะไปทำให้คนอื่นยอมรับ คือที่เราทำอยู่เพื่อตัวเอง เพราะเราอยากเห็นสังคมดีขึ้น แล้วการที่สังคมดีขึ้นมันไม่ได้ดีมากจากการที่อยู่ๆ เขาเอาเงินมาให้เราแล้วเราดีขึ้น สมมติเราอยากเปิดร้านอาหารในชุมชน แต่เราอยากให้คนในชุมชนได้กินอาหารดีๆ นั้น แต่ก็ต้องจ่ายให้เราในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งก็หมายถึงการที่เขามีกำลังซื้อด้วย แล้วการที่เขามีกำลังซื้อก็คือเขาจะต้องมีฐานะที่ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเหมือนกัน คือค่าครองชีพหลายๆ อย่างมันต้องสมเหตุสมผลกับคุณค่าที่เขาอยู่” จีรนันท์ ทิ้งท้าย

Tags:

ความเหลื่อมล้ำการเรียนรู้กสศ.เกษตรพันธุ์เจีย ออร์แกนิกโครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่การพึ่งพาเครือข่ายที่ยั่งยืน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Life classroomSocial Issue
    Zookeeper ‘หมูเด้ง’ ผู้ไม่เคยผ่านหลักสูตรเลี้ยงฮิปโป แต่เรียนรู้ทุกวันจากการสังเกต: เบนซ์-อรรถพล หนุนดี

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ทำไมครูต้องสร้างบทเรียนเพื่อความยุติธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู
Transformative learningEducation trend
6 December 2022

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ ๕. คลังคำและวาทกรรมของครู โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
  • วาทกรรมและคำศัพท์ที่สั่งสมไว้ เป็นพลังสำคัญของการก่อเกิดความเป็นผู้กระทำการ โดยปัจจัยด้านประสบการณ์ชีวิตวัยเยาว์มีพลังมาก และปัจจัยด้านอายุ (age effect) และด้านรุ่น (generation effect) ก็เด่นชัด นี่คือทุนวัฒนธรรม (cultural resources) ของการเป็นผู้ก่อการของครู
  • สำหรับครูและผู้บริหารโรงเรียนแล้ว ความรู้เปรียบเสมือนตัวบ้าน ส่วนความสัมพันธ์เปรียบเสมือนฐานราก แม้จะมีความรู้ความสามารถสูงเพียงไร หากฐานความสัมพันธ์ไม่แข็งแรง โครงสร้างทั้งหมดก็พังได้โดยง่าย ความเก่งไม่สำคัญเท่าปฏิสัมพันธ์ เพราะความเชื่อหรือศรัทธาจะสร้างแรงบันดาลใจต่อการเรียน และนักเรียนจะหาทางฝึกทักษะหรือแก้ปัญหาได้เอง

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach (2015) เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ ๕ นี้ ตีความจากบทที่ 3 Teacher Vocabularies and Discourses

สาระในหนังสือ Teacher Agency นี้มีข้อมูลจาก ๒ แหล่ง คือจากการทบทวนวรรณกรรม กับจากการศึกษาจากการสัมภาษณ์และการสังเกตการทำงานของครู ๖ คน และผู้บริหาร ๓ คน ใน ๓ โรงเรียน ในตอนท้ายของบันทึกที่ ๔ เป็นการตีความความเชื่อหรือมิติด้านในของครูจากถ้อยคำหรือวาทกรรมของครู ในบันทึกนี้จะนำเอาถ้อยคำและวาทกรรมที่หลากหลายของครูมาตีความทำความเข้าใจมิติด้านนอก เชื่อมโยงความคิดกับการกระทำของครู 

หลักการสำคัญคือมนุษย์เราคิดผ่านภาษา “ถ้อยคำ” เป็นดั่งวัสดุที่คนเราใช้ช่วยการคิด คุณภาพของการคิดจึงขึ้นกับถ้อยคำและวาทกรรม วาทกรรมของครูจึงเป็นเสมือนหน้าต่างเปิดสู่ความคิดของครู ที่ทีมวิจัยนำมาเชื่อมกับการกระทำและความเป็นผู้ก่อการ ซึ่งหมายความว่า ความคิดของครูช่วยส่งเสริมหรือปิดกั้นความเป็นผู้ก่อการ  

นี่คือที่มาของการเข้าไปศึกษาด้วยวิธีชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) ในครู ๖ คน และผู้บริหาร ๓ คน ใน ๓ โรงเรียน เพื่อนำเอาถ้อยคำหรือวาทกรรมของครู และผู้บริหาร มาวิเคราะห์ว่าครูดำเนินการอย่างไรต่อหลักการ (concept), แนวความคิด (idea), ความเชื่อ (belief), และคุณค่า (values) ที่ตนมี และนำไปสู่การตีความว่าครูให้ความหมายต่อสถานการณ์ที่ตนดำเนินการอย่างไร โดยเน้นวิเคราะห์ครูเป็นรายคน 

การวิเคราะห์ถ้อยคำของครูในที่นี้มีเป้าหมายเพื่อตอบคำถาม “อย่างไร” (how) ครูพูดเกี่ยวกับการศึกษาอย่างไร พูดในแนวทางไหนและการพูดนั้นช่วยส่งเสริมหรือปิดกั้นความเป็นผู้ก่อการ ซึ่งหมายความว่า ทีมวิจัยมองว่า คำศัพท์และวาทกรรมในการพูดของครูเป็น “ทรัพยากร” (resource) เพื่อการบรรลุความเป็นผู้กระทำการ โดยที่ทีมวิจัยไม่เพียงต้องการทำความรู้จักว่า “ทรัพยากร” (หมายถึงคลังคำและวาทกรรมของครู) นี้มีหน้าตาอย่างไร แต่ต้องการรู้ว่ามันทำหน้าที่อย่างไรในการดำเนินการประยุกต์ใช้หลักสูตรใหม่ คือ Curriculum for Excellence 

ข้อเตือนใจคือ ทีมวิจัยศึกษาคำศัพท์และวาทกรรมของครูเป็นรายคน โดยต้องเข้าใจว่าครูไม่ได้สร้างคำศัพท์และวาทกรรมเหล่านั้นขึ้นเอง แต่คำศัพท์และวาทกรรมเหล่านั้นเป็นผลของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการให้ความหมายส่วนบุคคล (คือครู) กับคำศัพท์และวาทกรรมที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในแหล่งต่างๆ รวมทั้งวงการนโยบาย วิจัย และความเห็นของประชาชน ด้านการศึกษา  

คำศัพท์หรือวาทกรรมบางชิ้นมีพลังมาก เพราะบรรจุอยู่ในเอกสารระบุหน้าที่ของครู เช่น “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” และบางถ้อยคำก็เป็นแฟชั่น เช่น “การเรียนรู้เชิงรุก” (active learning) 

ในบันทึกนี้ ท่านผู้อ่านจะได้เห็นว่า ทรัพยากรคลังคำและวาทกรรมที่ครูใช้คิดและพูดนั้นเป็นผลของการผสมผสานประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์วิชาชีพของครู กับวาทกรรมในสังคมวงกว้าง และจะได้เห็นว่า วาทกรรมในวงกว้างบางชิ้นช่วยส่งเสริมวิธีที่ครูหาความหมายจากการปฏิบัติงานของตน แต่บางวาทกรรมก็ขัดขวางหรือสร้างความสับสน  

วาทกรรมเกี่ยวกับการศึกษาในโรงเรียนประถม 

สาระตอนนี้ว่าด้วยครู ๒ คน และผู้บริหาร ๑ คน ในโรงเรียนประถมในเมือง ที่คนหนึ่งเป็นครูค่อนข้างใหม่ ทำงานมาเพียง ๖ ปี อีกคนเป็นครูเก่ามาก ทำงานมาถึง ๓๐ ปี (ดูบันทึกที่ ๓) จะเห็นว่าครูทั้งสองสนิทกันมาก เพราะความสัมพันธ์แบบ mentor – mentee แต่มีวาทกรรมเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ Curriculum for Excellence แตกต่างกันมาก เขาสรุปว่า ครูที่ประสบการณ์การทำงานสั้นกว่า ได้รับอิทธิพลจากนโยบายปัจจุบันมากกว่า และมีแนวโน้มจะมีมุมมองมิติเดียวรุนแรงกว่า 

ทีมวิจัยมุ่งทำความเข้าใจว่า เมื่อครูพูดคุยกันเรื่องการศึกษา เขาพูดกันเรื่องอะไร ครูมองว่าโรงเรียนคืออะไร หน้าที่สำคัญของโรงเรียนคืออะไร ครูมองโครงการด้านการศึกษาอย่างไร

ข้อสรุปการศึกษาความคิดของครูประถมคือ ครูประถมมองการศึกษาเป็นเรื่องของชีวิตในอนาคต โดยครูคนหนึ่งบอกว่า เพื่อ “การเติบโต การดำรงชีวิตที่ดี  เพื่อชีวิต” ของนักเรียน

สาระในหนังสือ Teacher Agency นำเอาคำพูดของครู ๒ คน รวมทั้งคำพูดอีกหลายตอนของครูใหญ่ มาเสนอ พร้อมกับข้อสรุปของผู้เขียนแต่เพื่อความกระชับ ผมขอตีความมาเสนอเฉพาะส่วนข้อสรุปเท่านั้น 

ที่น่าสนใจคือครูท่านนี้ (คนสาว – ราเชล) มองว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นในทุกที่ และเกิดขึ้นตลอดเวลา รวมทั้งที่โรงเรียน โดยที่การเรียนรู้ไม่ใช่หมายถึงเฉพาะการเรียนรู้ด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมการเรียนรู้มิติอื่นๆ ที่เราเรียกว่าการเรียนรู้บูรณาการ (holistic learning) ซึ่งผมขอขยายความว่า ในสมัยนี้กล่าวสั้นๆ ได้ว่าเป็นการเรียนรู้ด้าน ASKV คือด้านเจตคติ (attitude), ทักษะ (skills), ความรู้ (knowledge), และคุณค่า (values) โดยที่ไม่ใช่เรียนแยกกันเป็นด้านๆ แต่เรียนรู้ทุกมิติไปพร้อมๆ กัน

คำว่า “ชีวิต” ในที่นี้ ครูราเชลเน้นที่ชีวิตการทำงาน 

ครูราเชลมองว่า หลักสูตร Curriculum for Excellence เป็นจุดเปลี่ยน เปลี่ยนจากการเน้นความรู้ มาเน้นทักษะซึ่งเธอเห็นด้วย โดยมองว่าทักษะในการทำสิ่งต่างๆ จะช่วยการดำรงชีวิตของศิษย์เมื่อออกจากโรงเรียนไปแล้ว ทั้งทักษะในการเรียน และทักษะในการทำสิ่งต่างๆ เธอบอกว่า ตัวเธอเองก็เปลี่ยนแปลงในช่วง ๖ ปีที่มาเป็นครู เดิมคิดว่าความรู้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แล้วค่อยๆ เห็นว่าในการเรียนรู้นั้น ต้องค่อยๆ บูรณาการความรู้เข้าด้วยกันเป็นทักษะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ตรงนี้ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency เห็นว่า เป็นมุมมองแบบแยกส่วน ไม่มองว่า ความรู้กับทักษะเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน อ่านจากถ้อยคำที่หนังสือคัดลอกมา ผมคิดว่าครูราเชลพูดเข้าใจยาก หรือคิดไม่ค่อยชัด คือมีคำศัพท์ด้านการศึกษาที่จำกัด 

ครูไอดิด ผู้มีอาวุโสในอาชีพครู ๓๐ ปี โดยไม่มีวุฒิครู บอกว่าตนได้ปฏิบัติตามแนวทางของหลักสูตร Curriculum for Excellence  มานานหลายปีแล้ว หลักสูตรนี้จึงไม่ใช่ของใหม่สำหรับเธอ และบอกว่าทางโรงเรียนได้กำหนดให้นักเรียนได้ฝึก ๑๒ ทักษะก่อนจบออกไป เพื่อไปเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม ตัวอย่างทักษะเช่น ทักษะในการทำงาน ทักษะในการดำรงชีวิต ทักษะในการเรียนรู้  

เธอบอกว่า ครูต้องสอนทั้งความรู้และทักษะ คำพูดของครูไอดิดมีรายละเอียดมากกว่า และระบุความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ได้ชัดเจนกว่า คงมาจากประสบการณ์การเป็นครูที่ยาวนาน โดยระบุว่าการสอนต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ระหว่างชั้นประถม ๑ ไปจนถึงประถม ๗ ในชั้นประถม ๑ เน้นที่การเลี้ยงดู และฝึกให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมเปลี่ยนจากความประพฤติผิดๆ ที่ติดมาจากบ้าน ซึ่งครูต้องแสดงให้เห็นว่าคนเราต้องเคารพซึ่งกันและกัน โดยครูก็แสดงต่อเด็กเป็นตัวอย่าง เมื่อถึง ป. ๗ เด็กก็จะได้รับการฝึกอย่างดี แต่ก็จะมีเด็กบางคนที่เกเร ต่อต้านสังคม ไม่ตั้งใจเรียน ตอนอายุ ๑๐ หรือ ๑๑ ขวบ ซึ่งครูต้องหาทางช่วยเด็กเหล่านั้น โดยชี้ให้เห็นว่าความรู้และทักษะเหล่านี้จะช่วยให้มีชีวิตที่ดีในภายหน้าอย่างไร  

จะเห็นว่า ครูทั้งสองพูดเรื่องการศึกษากับอนาคตของเด็กเหมือนกัน แต่ครูไอดิดพูดลงรายละเอียดมากกว่า แถมยังเปรียบเทียบประสบการณ์ของตนเองตอนเป็นนักเรียนชั้นประถม กับสภาพในโรงเรียนในปัจจุบัน ว่าสภาพในปัจจุบันดีกว่ามาก มีการเรียนแบบบูรณาการมากกว่ามาก และนักเรียนที่ไม่เก่งวิชาการ มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนด้านอื่น เช่น ด้านกีฬา ศิลปะ แสดงว่าครูไอดิดสะท้อนคิดเรื่องการศึกษาของตนเอามาเปรียบเทียบกับสภาพในปัจจุบัน 

หนังสือ Teacher Agency บอกว่าวาทกรรมที่แตกต่างกันของครูทั้งสอง มาจาก อิทธิพลของอายุ (age effect) และอิทธิพลของรุ่น (generation effect) โดยอิทธิพลของอายุแสดงออกมาชัดจากวาทกรรมของครูไอดิดว่า ตนได้เห็นการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง และบูรณาการมาก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นหลักสูตร five to fourteen (หลักสูตรเดิมที่เน้นวิชาการ ก่อนเปลี่ยนเป็นหลักสูตร Curriculum for Excellence) แล้ววนกลับมาใช้แนวทางเด็กเป็นศูนย์กลางและบูรณาการอีก เป็นวงจรวนซ้ำกลับมาที่เดิม โดยที่เมื่อเริ่มเป็นครูเธอสอนชั้น ป. ๑ ตอนนี้ก็วนกลับมาสอนชั้น ป. ๑ อีก แต่ตอนนี้มีประสบการณ์สูงขึ้นมาก ตอนแรกๆ ทำผิดไปเยอะเป็นข้อเรียนรู้ให้ได้พัฒนาเป็นครูที่ดีขึ้น 

จะเห็นว่า ประสบการณ์ช่วยให้ครูไอดิดมองภาพใหญ่ได้ และไม่ยึดติดกับหลักสูตรมากเกินไป ในขณะที่ครูราเชลไม่มีสินทรัพย์นี้ จึงขึ้นกับข้อกำหนดของหลักสูตรมากกว่า 

วาทกรรมเหล่านี้ไม่เพียงขึ้นกับประสบการณ์ส่วนตัว และประสบการณ์ในวิชาชีพครูเท่านั้น ยังขึ้นกับสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศในการทำงานของครูด้วย โดยสะท้อนจากคำพูดของครูใหญ่ (ซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกัน) ว่า ตนต้องรับผิดชอบทุกเรื่องทั้งเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย พัฒนาการด้านการศึกษาของนักเรียน รับผิดชอบตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเรื่องการปกป้องเด็ก การประเมินความเสี่ยง การประกันคุณภาพ หลักสูตร การรับเรื่องร้องเรียนจากพ่อแม่ เรื่องบุคลากร และทุกเรื่อง ระบบนิเวศในที่นี้คือกฎหมาย 

ในวาทกรรมยังสะท้อนวิธีการและลำดับความสำคัญด้วย สาระของถ้อยคำ บ่งบอกความเป็นคนมีความรับผิดชอบของครูใหญ่ และที่น่าชื่นชมคือ ท่านพูดเรื่องการเข้าไปช่วยเหลือครูในกรณีนักเรียนต้องการความช่วยเหลือ และยิ่งน่าชื่นชมยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อครูใหญ่พูดเรื่องการศึกษามีหน้าที่ช่วยให้คนพ้นจากความยากจน ที่เราเรียกกันว่า ความยากจนข้ามรุ่น ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะตัวครูใหญ่เองเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย โดยหนังสือ Teacher Agency ยกคำพูดของครูใหญ่มายืดยาวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมตีความว่า ผู้เขียนหนังสือต้องการสื่อว่า

ระบบนิเวศทางสังคมโดยรอบโรงเรียนหรือของนักเรียนมีอิทธิพลต่อความเป็นผู้ก่อการของครูด้วย ที่ไม่เพียงต้องการหนุนให้นักเรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้เท่านั้น แต่มุ่งผลระยะยาวและยิ่งใหญ่ คือปูพื้นฐานสู่ชีวิตที่ดี ซึ่งสะท้อนความเชื่อว่า การศึกษามีความหมายมากต่อชีวิตอนาคตของเด็ก 

ครูใหญ่พูดถึงหลักสูตร Curriculum for Excellence ว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพราะเธอดำเนินการอยู่แล้ว และ ความสามารถ (capacity) ๔ ด้าน ที่ระบุในหลักสูตร คือ ๑. เป็นผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จ (successful learner) ๒. เป็นบุคคลที่มั่นใจตนเอง (confident individual) ๓. เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ (responsible citizen) และ ๔. เป็นผู้ทำประโยชน์แก่สังคม (effective contributor) นั้นไม่ช่วยอะไรในทางปฏิบัติ เพราะมันเป็นคำกว้างๆ จับต้องไม่ได้ เธอต้องตีความทำเป็นแม่แบบ (template) สำหรับแนวทางดำเนินการเพื่อเป้าหมายดังกล่าว นี่คือวาทกรรมที่สะท้อนความเป็นครูผู้ก่อการของครูใหญ่ 

และยิ่งเห็นความเป็นครูผู้ก่อการของครูใหญ่มากขึ้นไปอีก เมื่อเธอพูดว่า หลักสูตร Curriculum for Excellence ดีมากที่ไม่ระบุรายละเอียดว่าต้องสอนคณิตศาสตร์กี่ชั่วโมง ภาษากี่ชั่วโมง ยกให้ทางโรงเรียนตัดสินใจเอง ทำให้มีความยืดหยุ่น

ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency สรุปข้อค้นพบจากวาทกรรมของครู ๓ คน จากโรงเรียนประถมในเมืองว่า สะท้อนอิทธิพลของอายุ และอิทธิพลของรุ่น คือครูที่มีประสบการณ์ยาวนานมีการสั่งสมวาทกรรมผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มีพลังมุ่งสู่อนาคตได้แข็งแรงกว่า มีอิทธิพลต่อพลังกระทำการในปัจจุบัน ส่งผลออกมาให้เห็นว่ามีความเป็นผู้ก่อการสูง ครูผู้ก่อการเหล่านี้ มีความเชื่อภายในตนไม่ตรงกับสัญญาณความต้องการจากภายนอก (หมายถึงหลักสูตร Curriculum for Excellence) เสียทีเดียว ผมขอแสดงความชื่นชมว่าครูสก็อตแลนด์มีวิญญาณครูและมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก 

วาทกรรมเกี่ยวกับการศึกษาในโรงเรียนมัธยม 

เริ่มจากวาทกรรมของผู้บริหารระดับสูง (เขาใช้คำว่า senior manager) คนหนึ่งของโรงเรียนมัธยมชายเขา ผู้เริ่มอาชีพครูในทศวรรษที่ 1970s ที่เมื่ออ่านวาทกรรมของท่านแล้วเห็นชัดว่า มีความลึกและสะท้อนอุดมการณ์ความเป็นครูที่สูงส่งมาก 

ท่านบอกว่าคุณภาพการศึกษาของสก็อตแลนด์ตกต่ำลง สมัยก่อนคนเข้ามาเป็นครูด้วยอุดมการณ์ ด้วยความรักและเห็นคุณค่าของความเป็นครู แต่เวลานี้คนเข้ามาเป็นครูเพื่ออาชีพหรือการมีงานทำเพื่อหาเลี้ยงชีพเป็นหลัก กล่าวใหม่ว่าสมัยก่อนครูเข้าสู่อาชีพครูเพื่อเป็นครู แต่สมัยนี้ครูเข้าสู่อาชีพครูเพื่อเป็นลูกจ้าง สมัยก่อนการศึกษามุ่งพัฒนาความเป็นมนุษย์หรือมิติด้านในควบคู่ไปกับการเรียนวิชา  แต่สมัยนี้เน้นเรียนวิชา ละเลยการพัฒนามิติด้านใน สมัยก่อนเชื่อกันว่าความก้าวหน้าของความเป็นครูเป็นกระบวนการบ่มเพาะที่เกิดขึ้นช้าๆ ค่อยๆ ยกระดับความรู้และประสบการณ์ไปเป็นขั้นตอนช้าๆ กว่าจะเป็นครูเต็มภาคภูมิใช้เวลาราวๆ ๗ ปี และอีก ๖ – ๗ ปี จึงมีความสามารถพอที่จะเป็นผู้ช่วยครูใหญ่ แต่เวลานี้ใช้วิธีเรียนลัดโดยเข้าเรียนในหลักสูตร ๓ ปี เพื่อเป็นผู้บริหารฟังคุ้นๆ นะครับ 

ท่านบอกว่าสมัยก่อนคนเข้าไปเป็นครูเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนครู หรือครอบครัวครู ในโรงเรียน ซึ่งหมายความว่า มุ่งหมายเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งมิติดังกล่าวจางลงไปมากในปัจจุบัน ทำให้ผมสงสัยว่ากระบวนการ PLC – professional learning community ได้รับการส่งเสริมแค่ไหน และมีการใช้งานแค่ไหน ในระบบการศึกษาของสก็อตแลนด์ ผมเพิ่งฟังเวทีเสวนาออนไลน์ “ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้” บทเรียนการจัดการเรียนรู้จากพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ จังหวัดระยอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม และจังหวัดสตูล เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๔ ได้เห็นคุณค่าของกระบวนการ PLC ของครูและผู้บริหารโรงเรียนไทยในการหาวิธีจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนในสถานการณ์โควิด ๑๙ ที่น่าชื่นชมมาก 

  อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้บริหารท่านนี้พูดถึงคือเรื่องการเรียนรู้ ท่านบอกว่าคนเราเรียนรู้เพราะมีความเจ็บปวด (pain) ที่เป็นความเจ็บปวดทางปัญญา (intellectual pain) ครูจึงต้องมีความกล้าหาญที่จะบอกศิษย์ว่าผลงานของเขายังไม่ดีพอ ครูจะช่วยเหลือให้เขาพัฒนาหรือปรับปรุงงานให้บรรลุคุณภาพของการเรียนรู้ระดับสูงให้จงได้ ทำให้ผมหวนระลึกถึงบทสนทนาของครูไทยกับวิทยากรอังกฤษเรื่องครูกับความสุขของนักเรียนในห้องเรียน ที่ผมบันทึกไว้ที่ www.gotoknow.org/posts/690252 ทั้งสาระของวาทกรรมของท่านผู้บริหารท่านนี้ และสาระในบล็อก Gotoknow ข้างต้น บอกตรงกันว่า ครูต้องมีวิธีการให้นักเรียนได้เรียนรู้จากความยากลำบาก หรือจากการสู้สิ่งยาก สมัยผมหนุ่มๆ อายุเลย ๓๐ ไม่กี่ปี ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว สอนผมว่า “ชีวิตที่ยากลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ” สำหรับท่านที่สนใจเรื่องการเรียนรู้ที่เริ่มจากความน่าเบื่อ ไปสู่การเรียนรู้ที่สนุกเพลิดเพลิน ผมขอแนะนำให้อ่านบล็อก ที่ www.gotoknow.org/posts/692023 ตรงข้อ ๖ มีคำแนะนำสั้นๆ ให้ไปอ่านรายละเอียดจากหนังสือต้นเรื่องได้  

ผู้บริหารท่านนี้พูดเรื่องการเรียนรู้ของนักเรียน ว่าต้องหนุนให้เข้าสู่มิติที่ลึก เข้าไปถึงระดับจิตวิญญาณให้ได้ ต้องไม่หยุดอยู่แค่รู้ระดับผิวเผิน ซึ่งหมายความว่าต้องช่วยให้นักเรียนมีเป้าหมาย และมีความกล้าหาญและมุมานะเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น 

คำถามในหนังสือคือครูจะเลือกปล่อยให้นักเรียนได้เรียนรู้ระดับผิวเผิน พร้อมกับความรู้สึกว่าครูใจดี หรือจะเลือกเคี่ยวกรำนักเรียนให้บรรลุการเรียนรู้ในมิติที่ลึกให้ได้ คำตอบของผมคือ ครูสามารถเลือกทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ ซึ่งหมายความว่านักเรียนได้เรียนสนุกด้วย และบรรลุผลการเรียนรู้ในมิติที่ลึกได้ด้วย อ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ ครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยง (https://www.scbfoundation.com/stocks/14/file/16061988173lfnp14.pdf)และบันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (https://www.gotoknow.org/posts/tags/สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก)

จะเห็นว่า วาทกรรมของผู้บริหารของโรงเรียนมัธยมชายเขามีมิติที่ลึกมาก แต่วาทกรรมของครูในโรงเรียนนี้อีก ๒ คน ต่างออกไปมาก เมื่อถามว่าการศึกษามีไว้เพื่ออะไร ครูมอนิกาตอบว่า เพื่อการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ แต่การเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียน แท้จริงแล้วคนเราเรียนรู้ในทุกที่ ทุกเวลา เมื่อเริ่มเป็นครูตนมุ่งสอนวิชา แต่ไม่ช้าก็ตระหนักว่าต้องให้นักเรียนได้เรียนทักษะทางสังคมด้วย รวมทั้งเรียนทักษะในการเรียนรู้ ครูต้องมีทักษะในการช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกวิธีจัดระบบการเรียนของตัวเอง วิธีมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ให้มีมารยาท มีทักษะในการคิด

แต่ ครูเคท ให้คำตอบ (ต่อคำถามว่า การศึกษามีไว้เพื่ออะไร) ต่างออกไปมาก ว่าเป็นการเตรียมตัวเด็กให้สามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการทำได้ เพื่อให้เด็กมีโอกาสเลือกทำสิ่งที่จะไม่สามารถทำได้หากไม่ได้รับการศึกษา ช่วยให้เด็กมีมุมมองที่กว้างขวางเกี่ยวกับชีวิตและผู้คน รวมทั้งมีมุมมองต่อสิ่งที่แตกต่างหลากหลายที่นักเรียนสามารถเลือกทำได้ในอนาคต

เมื่อถามว่าการศึกษามีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนผ่านการทดสอบใช่หรือไม่  ครูเคทตอบทันควันว่าไม่ใช่ การศึกษาต้องมีเป้าหมายกว้างกว่านั้น แต่การสอบก็มีความหมายเป็นเส้นทางสู่การศึกษาระดับสูงขึ้นไป ผู้เขียนหนังสือให้ข้อสังเกตว่า แม้ครูเคทจะพูดรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ในระบบการศึกษาของตนอย่างมากมาย แต่วาทกรรมของเธอไม่สะท้อนการใคร่ครวญสะท้อนคิดระดับลึกเกี่ยวกับวิชาชีพครูต่างจากวาทกรรมของผู้บริหารอย่างมาก 

ข้อสังเกตสำคัญคือ ทั้งครูราเชลและครูเคท เข้ามาเป็นครูหลังจากทำงานอื่นมาก่อน ซึ่งในสก็อตแลนด์มีครูแบบนี้น้อยมาก ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency ให้ข้อสังเกตว่า ทีมวิจัยขอให้ผู้บริหารโรงเรียนเลือกครูที่เอางานเอาการ เป็นตัวของตัวเอง มาเข้าโครงการ ได้ครูที่เข้ามาเป็นครูหลังผ่านประสบการณ์ทำงานอื่นมาก่อนถึง ๓ คน ทำให้เกิดคำถามว่า การได้ผ่านงานอื่นมาก่อน อาจช่วยสร้างความเป็นครูผู้ก่อการ

ครูซูซาน ที่โรงเรียนริมทะเลสาบ ก็เคยทำงานอื่นมาก่อนเป็นครู มีวาทกรรมผสมผสานระหว่างถ้อยคำแฟชั่นสมัยใหม่ ตามหลักสูตร Curriculum for Excellence (‘ส่งเสริมผู้เรียน’ ‘ให้ทางเลือก’ ‘ดูแลนักเรียนเป็นรายคน’ ‘ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก’ ‘ทักษะเพื่อการดำรงชีวิต’ ‘เพื่อพัฒนาเต็มศักยภาพ’) กับความเห็นว่าการศึกษาในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากประสบการณ์ในอดีตของตนเอง  

เธอกล่าวว่า การศึกษาของสก็อตแลนด์ เอาใจใส่นักเรียนในฐานะปัจเจกน้อยลง มีความเป็นทางการ (bureaucratic) มากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายและบุคลาการด้านการบริหารระดับสูงเพิ่มขึ้น (top heavy) งบประมาณโดนตัดลดลงและเป็นการตัดงบประมาณผิดที่ ความต้องการงบประมาณอยู่ที่โรงเรียนและห้องเรียน ไม่ใช่ที่ระบบบริหารส่วนกลาง การศึกษาจะมีคุณภาพดีอยู่ที่การส่งเสริมให้เด็กเรียน และบทบาทนั้นอยู่ที่ครูธรรมดา ผู้มีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจต่อเด็ก ให้อยากเรียน หน้าที่ครูอยู่ที่การสร้างแรงบันดาลใจมากกว่าที่การสอนวิชา 

ครูซูซานมองว่า ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แตกต่างจากทฤษฎีที่ระบุไว้ในหลักสูตร โดยระบุว่า การให้ทางเลือกและดูแลเป็นรายคนนั้นในทางปฏิบัติ ทางเลือกอยู่ที่ครู ไม่ใช่ที่นักเรียน นอกจากนั้น เธอยังแสดงข้อกังขา ว่าที่หลักสูตรระบุให้นักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองนั้น ในความเป็นจริงนักเรียนรับผิดชอบได้หรือ ในเมื่อนักเรียนที่เรียนเก่งยังเรียกร้องให้ครูสอนแบบถ่ายทอดความรู้ ยิ่งนักเรียนที่เรียนอ่อนยิ่งไม่สามารถรับผิดชอบตนเองได้ เรื่องนี้ผมตีความว่า ครูซูซานเข้าใจผิด คิดว่าครูต้องปล่อยให้นักเรียนรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนทันที ไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ของครูที่ต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความสามารถในการรับผิดชอบการเรียนรู้ของตน (self-directed learning) ขึ้นมา สำหรับเป็นปัจจัยหนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน มองอีกมุมหนึ่ง ครูซูซานมี fixed mindset เกี่ยวกับเรื่อง self-directed learning

ครูซูซานบอกว่า ตนสอนมากกว่าที่กำหนดไว้ในข้อสอบ ข้อสอบจึงเป็นต้นเหตุให้นักเรียนได้เรียนรู้แคบ โดยที่ตัวเธอได้เห็นนักเรียนที่สอบไม่ได้เกรดเอ แต่เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตที่ดี โดยที่สิ่งที่เกื้อหนุนให้นักเรียนพัฒนาไปเป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ปรากฏในตัววัดความสำเร็จของการศึกษา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เอาใจใส่ผลการสอบของศิษย์ โดยที่ตัวเธอเองทำได้ ไม่มีปัญหา  แต่วิถีปฏิบัติที่เน้นผลสอบมีผลต่อพฤติกรรมของครูโดยทั่วไปให้สอนเพื่อสอบ ส่งผลให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่แคบ 

ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency วิเคราะห์ว่า ครูซูซานมีบุคลิกส่วนตัว ที่ช่วยให้วิเคราะห์หลักสูตร ได้อย่างลึกซึ้งจริงจัง ว่าส่วนไหนสอดคล้องกับความเชื่อของตน ส่วนไหนขัดแย้ง มีทรัพยากรด้านวาทกรรมที่ช่วยให้นโยบายส่วนไหนที่เหมาะสม ส่วนไหนที่ไม่ รวมทั้งมีวาทกรรมที่ช่วยสร้างแรงขับดันภายในตนเอง สู่ความมีลักษณะของผู้ก่อการ และมีความสามารถประเมินสถานการณ์ที่กำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี ส่วนที่ไม่ชัดคือเธอได้วาทกรรมด้านการศึกษาเหล่านี้มาจากไหน

ครูซาร่า แห่งโรงเรียนริมทะเลสาบเช่นกัน เล่าที่มาที่ไปของความเป็นคนเอางานเอาการขยันขันแข็งว่าได้มาจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก โดยพ่อแม่สอนให้ขยันหมั่นเพียรในการเรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่พ่อเป็นคนขับรถบรรทุกและแม่เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร แต่ส่งเสริมให้ลูกเรียน ครูซาร่านำเอาคุณค่าเหล่านี้มาสอนลูกศิษย์ของตนว่าให้ขยันเรียน อย่าลอก อย่าทุจริต หรือมีพฤติกรรมเบี้ยวๆ บูดๆ หากมีปัญหาอะไรให้บอกครู ครูจะช่วย แต่ก็มีนักเรียนที่ขอไม่ทำงานส่วนนั้นส่วนนี้ หรือหลบเลี่ยงงาน ครูก็ต้องเข้าไปเข็น และพูดชี้ชวนให้นักเรียนทำงานเก็บผลงานอย่างเป็นระเบียบ ถึงคราวต้องสอบเพื่อเข้าเรียนขั้นต่อๆ ไป ก็จะผ่านโดยง่าย  

สะท้อนการมีทิศทางและเป้าหมายชัดเจนในการทำหน้าที่ครูของครูซาร่า เมื่อได้รับคำถามว่าประยุกต์แนวทางตามที่พูดในชั้นเรียนได้อย่างสบายใจใช่ไหม คำตอบคือใช่ และในทีมงานของวิชาที่สอนก็ใช่ แต่เมื่อถามขึ้นไปถึงระดับโรงเรียน เธอก็แสดงท่าทีลังเล และในที่สุดก็เล่าว่า บางเรื่องเธอไม่เห็นด้วยกับแนวทางของโรงเรียนแต่ก็ต้องประนีประนอม สะท้อนว่าการแสดงบทผู้ก่อการย่อมขึ้นกับระบบนิเวศที่แวดล้อมอยู่ด้วย 

ทีมวิจัยได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งของโรงเรียนริมทะเลสาบ ที่เป็นครูมาแล้ว ๓๓ ปี ท่านเคยเป็นครูประจำวิชามาก่อน แล้วเลื่อนเป็นครูแกนนำ (principal teacher) ท่านบอกว่าการทำหน้าที่ครูกับผู้บริหารใช้หลักการเหมือนกันคือสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน โดยแสดงความเอาใจใส่ ไม่ว่ากับเพื่อนครูหรือกับนักเรียน เมื่อนักเรียนเชื่อถือ (trust) ครู เขาจะตั้งใจเรียน และเรียนได้ผลดี เรียนสนุก และเติบโตเป็นคนดี 

ท่านผู้บริหารท่านนี้กล่าวเปรียบเทียบอย่างน่าฟังว่า สำหรับครูและผู้บริหารโรงเรียนแล้ว ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร และความรู้อื่นๆ รวมทั้งงานที่ทำเปรียบเสมือนตัวบ้าน ส่วนความสัมพันธ์เปรียบเสมือนฐานราก แม้จะมีความรู้ความสามารถสูงเพียงไร หากฐานความสัมพันธ์ไม่แข็งแรง โครงสร้างทั้งหมดก็พังได้โดยง่าย 

ความเก่งไม่สำคัญเท่าปฏิสัมพันธ์ เพราะความเชื่อหรือศรัทธาจะสร้างแรงบันดาลใจต่อการเรียน และนักเรียนจะหาทางฝึกทักษะหรือแก้ปัญหาได้เอง 

วาทกรรมของผู้บริหารท่านนี้บอกความสำคัญของปัจจัยด้านคน ที่คน (ทั้งครูและนักเรียน) รู้สึกว่าตนมีคุณค่า ครูรู้สึกว่าตนมีคุณค่าในเรื่องการสอน สิ่งที่สอนจึงไม่สำคัญเท่ากับวิธีสอน และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันซึ่งโรงเรียนนี้มีบรรยากาศนี้มาเป็นเวลานาน

สรุป

ผลของการสัมภาษณ์พูดคุยและสังเกตการทำงานของครู ๖ คน ผู้บริหาร ๓ คน ยืนยันว่า วาทกรรมและคำศัพท์ที่สั่งสมไว้ เป็นพลังสำคัญของการก่อเกิดความเป็นผู้กระทำการ โดยปัจจัยด้านประสบการณ์ชีวิตวัยเยาว์มีพลังมาก และปัจจัยด้านอายุ (age effect) และด้านรุ่น (generation effect) ก็เด่นชัด นี่คือทุนวัฒนธรรม (cultural resources) ของการเป็นผู้ก่อการของครู นอกจากนั้น ทุนระบบนิเวศ ในโรงเรียนและในระบบการศึกษาก็มีอิทธิพลเช่นเดียวกัน 

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 – 4 ได้ที่นี่ 

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู – The Potential

Tags:

หนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher AgencyTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestleyครูหนังสือ-วิจารณ์

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel