- สูตรสำเร็จของความสำเร็จในชีวิตมักมาจากสองส่วนประกอบสำคัญ คือ ‘ความทะเยอทะยาน’ และ ‘ความสามารถ’ แน่นอนว่าหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็อาจทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายและล้มเหลวได้
- องค์ประกอบสองอย่างนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่อาจต้องแลกกับความกดดัน ความเครียด การแข่งขันที่สูงมาก และการใช้ชีวิตแบบนี้อาจทำให้เราไม่มีความสุขเลยแม้จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนก็ตาม
- เขาว่ากันว่าการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีจะทำให้มีความสุข แต่จะเป็นการมักน้อยเกินกว่าจะประสบความสำเร็จไหมหากความพอเพียงไม่ใช่ความพอดีของชีวิต เป็นไปได้ไหมที่เราจะทะเยอทะยานและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน
ผู้คนมักมีความเชื่อว่าการมีความทะเยอทะยานจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ นั่นทำให้ผู้คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีกลายเป็นผู้ล้มเหลวไปโดยปริยาย เราจึงเห็นว่าในสังคมนี้ มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องแข่งขันกันเพื่อประสบความสำเร็จและเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ
อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานมีราคาที่ต้องจ่าย หลายครั้งที่นอกจากความสุขแล้วเรายังต้องเสียเวลาพักผ่อน เสียสุขภาพจิตจากความกดดันความเครียด
การจะประสบความสำเร็จจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนที่มีความทะเยอทะยานระดับกลางไปจนถึงระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะพวกเขาเหล่านี้จะมีความกล้าเสี่ยงต่ำและมีแนวโน้มที่จะพอใจในจุดที่ตัวเองอยู่สูง ซึ่งจะแตกต่างคนที่มีความรู้ดี มีความสามารถสูง มีเป้าหมายสูง อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียงและอยากประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้มักจะมีความทะเยอทะยานมากและมีความสามารถที่จะไปถึงเป้าหมายของตนเองด้วย
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่าคนที่มีความทะเยอทะยานน้อยคือคนที่ไม่เก่ง และไม่ได้หมายความว่าคนที่ความทะเยอทะยานสูงคือคนที่ไม่รู้จักพอ เราต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในชีวิตเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจากหลายๆ ปัจจัย เช่น สถานะการเงินทางบ้าน สภาพแวดล้อมที่เติบโตมา การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว การมีความทะเยอทะยานสูงหรือต่ำเกินไปก็อาจทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายอะไรเลยก็เป็นได้
ตัวอย่างเช่น การมีความพอใจมักน้อยมากเกินไปจะทำให้ชีวิตวนอยู่กับที่ พลาดโอกาสก้าวหน้าไปเจอความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น หรือหากมีความทะเยอทะยานมากเกิน เราก็จะคอยหาเป้าหมายที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ต้องผลักตัวเองไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาซึ่งอาจทำให้เหนื่อยล้าและกดดันตัวเองได้ในที่สุด
การหาความพอดีระหว่างความทะเยอทะยานและความสุขจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากหาตรงกลางของสององค์ประกอบนี้ได้ เราก็จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จด้วยการมีความสุขและบรรลุเป้าหมายได้ในเวลาเดียวกัน
“สูตรสำเร็จ” สู่ “สุข-สำเร็จ”
ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าสูตรสำเร็จของชีวิตที่สำเร็จคือความทะเยอทะยานประกอบกับความสามารถ อย่างไรก็ตาม เราต้องหาตรงกลางระหว่างความทะเยอทะยานและความสุขเพื่อให้ชีวิตไม่หดหู่เหี่ยวเฉาจนเกินไป เราหวังว่าคำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยให้ผู้อ่านได้ใช้ชีวิตอย่างสุข-สำเร็จ หาสมดุลและมีความสุขท่ามกลางงานที่ตึงเครียดและคาดเดาไม่ได้ไม่มากก็น้อย
- วางสูตรสำเร็จใหม่
โดยปกติเราต้องเลือกระหว่าง ความทะเยอทะยาน ‘กับ’ ความสุข อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็น ความทะเยอทะยาน ‘และ’ ความสุข ดู เพราะในการบรรลุเป้าหมาย หลายครั้งเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเท่านั้น
ชีวิตเราต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น อย่ากดดันตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ค่อยๆ เรียนรู้ไปอย่างมีความสุขจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากกว่า
- วางเป้าหมายให้เหมือนเกมที่ท้าทาย
เมื่อเรามองเป้าหมายเป็นแรงผลักดัน เราจะรู้สึกสนุกกับการพยายามที่จะผ่านด่านไปให้ได้ เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่เลยในทันที เราอาจเริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายสำคัญเล็กๆ แบบวันต่อวันก่อน โดยการวางแผนแบบนี้จะทำให้โอกาสทำงานสำคัญสำเร็จได้มากขึ้น เพราะเมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ ความสุขความมั่นใจจะสะสมเพิ่มขึ้นทำให้เราเห็นภาพความสำเร็จได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและนำไปสู่ความมั่นใจที่จะบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นได้
- และจงจำไว้ว่าเราทุกคนคือมนุษย์
เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่เมื่อถูกป้อนคำสั่งก็สามารถทำตามได้ตลอดเวลา อย่ากดดันตัวเองมากจนละเลยความรู้สึก บางครั้งเราต้องให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง
อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้และถามตัวเองดูว่าเราพอใจตรงจุดไหน ความพอดีของเราอยู่ตรงไหน เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดัน สร้างความทะเยอทะยานในจุดที่เราสบายใจ และอย่าเอาเป้าหมายหรือความสำเร็จตัวเองไปเทียบกับใคร เพราะบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ เราจะต้องพบกับความยากลำบาก เผชิญกับความท้าทาย และปัญหาจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อย่าบั่นทอนกำลังใจของตัวเองเพราะความไม่พอใจไม่พอดี ความทะเยอทะยานจะสัมฤทธิ์ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อเรามีความสุข และนั่นคือความสมดุลของ ‘สุขสำเร็จ’ ในชีวิตเรา
อ้างอิง