Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: September 2022

Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง
Dear ParentsMovie
29 September 2022

Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Orange is the new black เป็นซีรีส์ที่จะพาเข้าไปรับรู้เรื่องราวในเรือนจำหญิงแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและฐานะ รวมถึงค่อยๆ เล่าอดีตของแต่ละคน โดยเฉพาะ ‘ดอกเกต’ และ ‘โจ’ สองตัวละครที่มีเรื่องราวน่าสนใจ
  • การไม่ค่อยเคารพตัวเอง เพราะไม่มีใครเคยเคารพพื้นที่นี้ของเราและการไม่เคารพขอบเขตพื้นที่ ก็นำไปสู่การละเลยเสียงของความคิดและความต้องการของตัวเอง รวมไปถึงของคนอื่นได้
  • การเป็นนักโทษที่มีเพศสภาพเป็นหญิงนั้นมีเรื่องต่างๆ มากมายที่ทำให้ดูยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น และถึงแม้ว่าผู้หญิงเหล่านี้จะเข้าไปรับโทษในสิ่งที่ตัวเองทำผิด แต่พวกเธอก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมนุษย์

(ลิ้งก์บทความที่กล่าวถึง https://thepotential.org/life/healthy-boundary/)

Tags:

พื้นที่ส่วนตัวสุขภาพจิตพ่อแม่คุกคามทางเพศ (sexual harassment)ความสัมพันธ์ความรักชีวิต

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

คลี่ม่าน ‘มายาคติทางการศึกษา’ เปิดพื้นที่เรียนรู้บนความแตกต่างหลากหลายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างทาง: ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข
Social Issues
28 September 2022

คลี่ม่าน ‘มายาคติทางการศึกษา’ เปิดพื้นที่เรียนรู้บนความแตกต่างหลากหลายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างทาง: ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ครูคือผู้เสียสละ’ ‘เด็กคือผ้าขาว’ ‘การศึกษาต้องก้าวทันโลก’ ชุดความคิดเหล่านี้ถูกขีดเส้นใต้ว่าเป็นมายาคติที่ฝังรากอยู่ในสังคมไทยมานาน
  • ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนถอดรื้อมายาคติและวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อระบบการศึกษาไทย 
  • มายาคติทำงานกับผู้คนตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการ หากไม่มีการตั้งคำถาม สังคมก็อาจไม่ได้พิจารณาชุดความคิดอื่นมาประกอบ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัย

ข้อใดต่อไปนี้คือชุดความคิดที่ถูกต้องในระบบการศึกษาไทย?

ก.ครูคือผู้เสียสละ

ข.เด็กคือผ้าขาว

ค.การศึกษาต้องก้าวทันโลก

ง.ถูกทุกข้อ

[คำถามข้อนี้มีเวลาให้คิด 1 นาที]

ถ้าได้คำตอบแล้ว…กรุณาเก็บไว้ในใจก่อน เพราะไม่ว่าคุณจะเลือกข้อไหน สิ่งที่อยากชวนคิดต่อก็คือ ความคับแคบของการกำหนดคำตอบให้เลือกในรูปแบบเดียวกับข้อสอบปรนัย ที่ทำให้เราไม่สามารถอภิปรายใช้เหตุผล และพลาดโอกาสในการตั้งคำถามที่อาจจะเปิดทางให้เห็นคำตอบหรือทางออกที่ดีกว่าเดิม

ถึงบรรทัดนี้ หลายคนคงพอจะเห็นบางแง่มุมแล้วว่า คำถามข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของความผิดเพี้ยนในระบบการศึกษาที่ประกอบขึ้นด้วยมายาคติหลายชุด ซึ่ง The Potential ชวน ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาคลี่ม่าน ‘มายาคติ’ ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคม เพื่อคลายเงื่อนปมที่ร้อยรัดการศึกษาไทยให้ก้าวช้ากว่าที่ควรจะเป็น

มายาคติ: ชุดความคิดที่ต้องทบทวน

หากย้อนกลับไปหาที่มา คำว่า ‘มายาคติ’ (Myth) ในช่วงหนึ่งถูกจัดอยู่ในทฤษฎีกลุ่มโครงสร้างสัญวิทยา (Structural Semiology) ว่าด้วยการประกอบสร้างความหมายทางวัฒนธรรม โดย โรล็องด์  บาร์ตส์ (Roland Barthes) ได้จัดวางแนวคิดสำคัญๆ ซึ่งผูกโยงกันเป็นคำจำกัดความของมายาคติ ได้แก่  วัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเสกสรรปั้นแต่ง 

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ดร.อดิศร เกลี่ยคำนิยามของมายาคติที่ใช้เป็นกรอบในการพูดคุยครั้งนี้ว่า หมายถึง ชุดความคิด ความเชื่อ ที่ถูกถ่ายทอดหรือส่งต่อๆ กันมาในสังคมหรือในบริบทหนึ่งๆ ซึ่งชุดความคิด ความเชื่อเหล่านี้ถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบวัฒนธรรม ฐานคิด หรือคุณค่าที่คนในสังคมนั้นๆ มีร่วมกัน 

“เพราะฉะนั้น มายาคติไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดีหรือดี แต่เรากำลังศึกษาว่า ชุดความคิด ความเชื่อแบบหนึ่งๆ ว่ามันส่งผลกระทบต่ออะไรบ้าง 

วิธีคิด วิธีปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งระดับนโยบายของประเทศว่าเวลาที่เราตัดสินใจในบางสิ่งบางอย่าง แล้วเราใช้มายาคตินั้นๆ เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ บางทีมันทำให้เราลืมที่จะตั้งคำถามว่า เอ๊ะ..ตกลงนี่มันจริงเสมอไปหรือเปล่า แล้วมันคงยังใช้ได้กับสถานการณ์ วัฒนธรรม หรือความคิดความเชื่อในปัจจุบันหรือเปล่านะครับ 

เพราะว่าบางทีมันมีความขัดแย้งในตัวคนของแต่ละยุคสมัยเหมือนกัน แต่พอคนบางรุ่นยังยึดถืออยู่กับวิธีคิดแบบเดิม มันก็ทำให้การที่เราจะเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของการศึกษาหรือว่าการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมเป็นไปได้ยาก เพราะว่าเรายังคงอยู่กับวิธีคิดหรือว่าความเชื่อแบบเดิมๆ”

ที่สำคัญคือ เมื่อชุดความคิดความเชื่อนั้นอยู่กับสังคมมาเป็นระยะเวลานาน คนจำนวนหนึ่งมักจะคิดว่านั่นคือ ‘ความจริง’ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยปราศจากการตั้งคำถาม

“บางทีเราคิดว่ามันเป็นความจริงไปเรียบร้อยแล้ว คิดว่านั่นคือสิ่งที่มันต้องเป็น เพราะฉะนั้นบางทีเราลืมตั้งคำถามว่า คนรุ่นใหม่เขาคิดแบบเดียวกับเราหรือเปล่า หรือว่าเราลืมตั้งคำถามว่า เพราะวิธีคิดแบบนี้ที่เราคิดว่ามันดีอยู่แล้ว มันส่งผลกระทบในด้านลบยังไงบ้างหรือเปล่าต่อคนบางกลุ่ม 

ยกตัวอย่างเช่น มายาคติเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ ซึ่งเรามักจะมองว่าเด็กที่เก่งและประสบความสำเร็จ คือคนที่ต้องสอบเข้าคณะแพทย์ได้ หรือตัองเป็นคนที่ได้เกรดดีๆ ซึ่งมายาคติแบบนี้ แน่นอนว่าด้านหนึ่งมันก็ช่วยผลักดัน สนับสนุนให้คนตั้งใจเรียน พยายามที่จะแข่งขัน เพื่อให้ตัวเองสามารถที่จะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางที่สังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็กำลังบอกเราว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นไปในทิศทางแบบนั้น ก็หมายความว่าคุณอาจเป็นคนที่ถูกมองว่าไม่เอาไหน เป็นคนที่ไม่เก่งพอ หรือเป็นคนที่โรงเรียนไม่ให้ความสำคัญ เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้บอกว่า มันดี หรือ ไม่ดี แต่เรากำลังตั้งคำถามกับมัน แล้วเราควรจะเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นแบบนี้กลับมาพูดคุยกัน เพื่อเราจะได้เข้าใจตรงกัน แล้วก็เพื่อเราจะได้ชวนกันมองว่ามันมีความเป็นไปได้อื่นๆ บ้างหรือเปล่า”

‘ครูคือผู้ให้’: บางสิ่งที่หายไปในความเป็นครู

มายาคติแรกที่ ดร.อดิศร ชวนให้เราทบทวนตั้งคำถามกับประโยคที่ว่า ครูคือผู้ให้ ครูคือผู้เสียสละ ครูคือเรือจ้าง มีหน้าที่ส่งเด็กจากฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อความคาดหวังของสังคมว่า ครูจะต้องเป็นเสียสละอยู่เสมอ

“รากคิดเกี่ยวกับเรื่องครูคือผู้เสียสละ เราจะเห็นได้ทุกๆ ปีช่วงใกล้วันครู โฆษณาที่ออกมาในแง่ของการเชิดชูครูที่ทำเพื่อลูกศิษย์ อดหลับอดนอนยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ลูกศิษย์ของเราได้ดิบได้ดี  แล้วพอมาผนวกกับยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งครูถูกคาดหวังจากทางฝั่งนโยบายฝั่งภาครัฐ อย่างตอนนี้ที่กำลังมีข่าวกันอยู่ เรื่องของกระบวนการในการทำประเมินที่มันไปกินเวลาครู แทนที่จะได้ใช้เวลาในชั้นเรียนกับนักเรียน ก็ไปเสียเวลากับการทำเอกสาร 

คำถามก็คือเวลาที่เรามองว่าครูคือผู้ต้องเสียสละแบบนี้ ส่วนที่มันไม่ถูกตั้งคำถามคือ แล้วภาครัฐหายไปไหน เวลาที่เรามองว่าครูคือผู้ที่ต้องลงไปช่วยเหลือเด็ก  เอ๊ะ..มันเป็นหน้าที่ของครูอย่างเดียวหรือเปล่า จริงๆ แล้วมันมีหน้าที่ของภาครัฐใช่ไหม มันมีหน้าที่ของภาคอื่นๆ ที่ต้องเข้ามาช่วยกันทำให้เด็กนักเรียนแต่ละคนสามารถที่จะมีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์นะครับ 

เพราะฉะนั้นพอครูถูกเรียกร้องให้ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลายเป็นว่าครูเองก็รู้สึกคาดหวังกับตัวเองว่าต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุดเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราต้องยอมรับก่อนว่าการที่ครูสามารถเสียสละ ทำงานโดยที่หวังที่จะให้ลูกศิษย์ของครูนั้นได้ดีเนี่ยมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เลวร้าย แต่คำถามก็คือเวลาที่เราคาดหวังกับครูในลักษณะแบบนี้ เราลืมตั้งคำถามในลักษณะที่เป็นวิชาชีพของตัวครูเอง 

ที่ผ่านมาเวลาที่เราพูดถึงครูที่ดี เรามักจะมองว่าเป็นครูที่เสียสละ เป็นครูที่ทำงานหนัก แต่เราไม่เคยตั้งคำถามว่าการเสียสละหรือการทำงานหนักนั้นมันเกี่ยวข้องกับการที่เขาสามารถสอนเด็กด้วยศักยภาพให้สามารถเข้าถึงความรู้ความเข้าใจต่างๆ ทักษะต่างๆ ที่เด็กควรจะต้องมีหรือเปล่า แต่เราไปโฟกัสเฉพาะแค่ว่าครูคนนี้เสียสละมากพอหรือเปล่า ทำงานหนักหรือเปล่านะครับ

เราลืมไปว่าจริงๆ บทบาทที่สำคัญและเป็นบทบาทหลักของครูก็คือการสอน การสอนในที่นี้คือการสอนให้เด็กเกิดความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์นำไปปฏิบัติได้ แต่คำถามเหล่านี้มันไม่ค่อยถูกตั้งเท่าไร ครูก็เลยมีหน้าที่ในแง่ของการเอาความรู้มาถ่ายทอดให้กับเด็กอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราไม่ค่อยได้พูดถึงกันในสังคมเท่าไรนัก 

เพราะฉะนั้นมายาคติเหล่านี้ที่มันกำกับวิธีคิดของเราเกี่ยวกับเรื่องของครู  มันก็เลยทำให้บางทีเราลืมที่จะมองครูในอีกบทบาทหนึ่งเช่นกัน ในแง่ของบทบาทความเป็นมืออาชีพของตัวครูเองนะครับ

อีกแง่หนึ่งก็คือเวลาที่เรามองว่าครูเป็นผู้เสียสละ ส่วนหนึ่งจะพบว่าครูเองพอถูกคาดคั้นหรือว่าคาดหวังจากสังคมมาก ก็เกิดอาการที่เรียกว่า Burn Out ใช่ไหมครับ เพราะเรามองว่าครูจะต้องเป็น  Role Model เป็นแม่พิมพ์ของชาติ เป็นพ่อพิมพ์ของชาติ ทั้งที่จริงๆ แล้วครูก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน เราไม่เห็นจะต้องคาดหวังว่าทุกๆ คนจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวได้อย่างงดงาม  เพราะจริงๆ แล้วเด็กสามารถเรียนรู้จากความเป็นมนุษย์ในตัวครูเองได้นะครับ 

ครูไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาด แต่ครูควรจะต้องเป็นคนที่สามารถยึดมั่นในวิชาชีพของตัวเอง มีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัวเอง แต่นอกเวลางานนั่นก็เป็นโอกาสของตัวครูเองที่เขาจะทำในสิ่งที่ต้องการได้ แล้วครูก็ควรจะต้องมีเวลาพักผ่อน มีเวลาที่จะใช้กับครอบครัว ครูไม่จำเป็นที่จะต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาลงในแง่ของการดูแลเด็กทั้งหมดทั้งมวลใช่ไหมครับ เพราะครูเองก็มีชีวิตมีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน 

มิติเหล่านี้มักจะไม่ค่อยพูดถึงในแง่ของการจัดการศึกษาเท่าไร เพราะเรามองครูในลักษณะที่เป็นวิชาชีพที่จะต้องยกย่องขึ้นไว้ที่สูงเท่านั้นครับ”

‘เด็กเป็นผ้าขาว’: สีสันความแตกต่างหลากหลายที่ถูกระบายทับ

พร้อมๆ ไปกับความคาดหวังที่สูงยิ่งที่มีต่อตัวครู ในทางตรงกันข้ามเด็กนักเรียนก็ถูกกดทับด้วยมายาคติที่มองว่าพวกเขาเปรียบเสมือนผ้าขาว บริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งผู้ใหญ่สามารถระบายสีอะไรลงไปก็ได้ โดยหวังผลว่ามันจะสวยงามตามแบบที่ตนเองต้องการ

ดร.อดิศร มองว่าชุดความคิดนี้ทำให้ผู้ใหญ่นิยามเด็กบนความเปราะบาง และจำเป็นต้องได้รับการดูแล(สั่งสอน) อย่างดีที่สุด

“ทีนี้พอเวลาเรามองเด็กในลักษณะที่เขาเหมือนกับเป็นผู้รับอย่างเดียว เราลืมไปว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้เด็กเองเขาเติบโตมาในสังคมที่มันมีความหลากหลาย มีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเขามีความคิด ความเข้าใจในโลกและชีวิตนะครับ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ระบบการศึกษาควรจะมองเขาในลักษณะที่เขาเองก็มีความคิดและความสามารถที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้นอกเหนือจากการที่ผู้ใหญ่สั่งสอนเขา 

เมื่อไรก็ตามที่เรามองว่า ครูหรือว่าผู้ใหญ่มีหน้าที่ในแง่ของการสั่งสอนเด็กอย่างเดียว เราก็จะมองว่าเขาอยู่ในสถานะที่อาจจะต่ำกว่าเรา แล้วหน้าที่ของเราก็คือการทำให้เขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องไม่ดี มายาคติแบบนี้ด้านนึงมันก็ช่วยโอบอุ้มให้เด็กๆ ของเราสามารถเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความเหมาะสม 

แต่อีกด้านหนึ่ง พอเรามองว่าเด็กเป็นเสมือนกับผ้าขาว เราก็มักจะมองว่าหน้าที่ของเราคือการไปแต่งแต้ม เราไม่ได้มองว่าจริงๆ แล้วผ้าแต่ละชนิดมันมีความแตกต่างหลากหลาย ผ้าแต่ละชนิดไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด เด็กก็เหมือนกัน เด็กเองก็มีความแตกต่างหลากหลาย เด็กมีความเข้าใจ มีความคิดอ่าน มีความต้องการ มีความปรารถนา มีความถนัด มีความสนใจที่ไม่เหมือนกัน 

ทีนี้พอเรามองว่าเด็กเป็นผ้าขาวเหมือนกันหมด หน้าที่ของเราก็คือการลงไปแต่งแต้มเหมือนๆ กันไปหมด ระบบการศึกษาในบ้านเรามันก็เลยไม่ได้มองว่าคนมีลักษณะที่เป็นปัจเจกบุคคล มีลักษณะที่อาจจะต้องการกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน มีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน มีความรู้ ความสามารถที่แตกต่างกัน 

แต่พอเรามองว่าทุกอย่างเหมือนกันหมดเป็นผ้าขาวเหมือนกันหมด ก็เลยขาดมิติในแง่ของการที่จะมองเด็กให้เห็นความเป็นปัจเจก ให้เห็นความหลากหลายในตัวของพวกเขา อันนี้เป็นประเด็นที่สองในแง่ของมายาคตินะครับ”

‘การศึกษาต้องก้าวทันโลก’: หมุดหมายที่อาจผิดทิศในโลกที่พลิกผัน

อีกหนึ่งมายาคติที่ ดร.อดิศร ชวนปรับโฟกัสให้เห็นกันชัดๆ ก็คือ การศึกษาต้องก้าวทันโลก ชุดความคิดนี้ดูเผินๆ ไม่น่าจะมีอะไรโต้แย้ง แต่หากลองตั้งหลักกันสักนิด ตั้งคำถามอีกสักครั้งว่า แท้จริงแล้วโลกกำลังไปทางไหน บางทีอาจเราจะพบคำตอบที่ดีกว่า

“เวลาที่เราพูดว่าการศึกษาต้องก้าวให้ทันโลกเนี่ย โลกตอนนี้กำลังไปทางไหนนะครับ จากงานวิจัยเราพบว่า ผู้ใหญ่ คนทั่วๆ ไปมักมองว่าตอนนี้โลกมีสองลักษณะใหญ่ๆ ลักษณะแรกคือ มองว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย โลกเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจเยาวชนคนรุ่นใหม่ ยาเสพติด อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ทำให้เขาออกนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้นในโลกที่มันเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ ผู้ใหญ่ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหาวิธีการจำกัดขอบเขตของการที่เยาวชนจะถูกล่อล่วงไปในลักษณะแบบนั้น วิธีการของผู้ใหญ่ก็คือการตีกรอบให้กับเขา แล้วก็พยายามสั่งสอนเขาให้เป็นคนดี พยายามให้เขาอยู่ในศีลในธรรม

อีกลักษณะหนึ่งก็คือ โลกที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความพลิกผันอยู่ตลอดเวลา โลกที่มันกำลังวิ่งไปข้างหน้าแล้วเราบอกให้เขาต้องวิ่งตามให้ทัน ทีนี้การต้องวิ่งตามให้ทันโลกที่มันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเนี่ย ส่วนหนึ่งก็เลยพยายามที่จะจินตนาการว่าต้องทำอะไรกับเด็กบ้าง เราก็พยายามจัดการการศึกษาต่างๆ ที่มันมีความก้าวหน้า พยายามที่จะกำหนดเป้าหมายว่าเดี๋ยวโลกมันจะไปทางนี้แหละ ฉะนั้นเราต้องสร้างเด็กให้มันไปตอบรับกับโลกแบบนี้ แต่ถามหน่อยว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วมีใครจินตนาการถึงการเผชิญกับสถานการณ์โควิดอย่างนี้บ้าง แล้วเราก็พบว่าโลกหลังโควิดเนี่ยมันเป็นโลกที่เราไม่ได้จินตนาการมาก่อน โลกที่ทุกอย่างมันถูกจับให้มาอยู่ในโลกออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งวิธีคิดต่อเรื่องของการจัดการศึกษามันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป

ที่ผ่านมาเรามักจะละเลยวิธีการในการที่เราจะมองความเปลี่ยนแปลงของโลก คือเรามองว่าถ้าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เข้าสู่ระบบเทคโนโลยี เราก็พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น จัดหลักสูตรต่างๆ ให้มันไปตอบสนองในเรื่องเดียวกันหมด ก็คือการไปตอบสนองให้เด็กเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เรื่องที่มันขาดหายไปก็คือ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการในการพัฒนาเด็กในด้านอื่นๆ เพราะมองว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด งบประมาณทุกอย่าง นโยบายทุกอย่าง ก็เลยทุ่มเทไปทางด้านนี้หมด จนลืมไปว่า จริงๆ แล้วเด็กเองเขาก็ยังมีความเป็นมนุษย์ เขายังมีความต้องการที่หลากหลาย เขายังความต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องภายในของเขา การจัดการกับสภาวะซึมเศร้าหรือว่าการจัดการกับสภาวะหลายๆ อย่างที่เขาต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน 

แต่พอเราไปมองเฉพาะแค่เรื่องที่ว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มันก้าวไปสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด เราก็เลยพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปสู่เป้าหมายตรงนั้น แล้วก็ลืมเป้าหมายอื่นๆ ที่เด็กควรจะได้รับการพัฒนาไปด้วยเช่นกัน”

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า มายาคติทำงานกับผู้คนในสังคมตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการในชีวิตประจำวัน ซึ่งหากไม่มีการตั้งคำถามว่า ชุดความคิดหรือวิธีการมองโลกเช่นนี้ส่งผลอย่างไร สังคมก็อาจตกอยู่ในภาวะเหมือนถูกสะกดจิตแล้วทำตามกันไป แทนที่จะพิจารณาชุดความคิดอื่น หรือคุณค่าอื่นมาประกอบ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมและความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ถือเป็นอนาคตที่มีอยู่จริง

ก้าวพ้นมายาคติ สู่การศึกษาที่เปิดกว้างและรับฟัง

ท่ามกลางความพร่ามัวของเลนส์ที่ผู้คนใช้มองโลกมานาน แน่นอนว่าย่อมมีความเคยชินและความเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือความจริงที่ชัดเจน การไปให้พ้นจากมายาคติจึงมีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เป็นทั้งความหวังและความท้าทาย 

“เราต้องสอนให้คนรุ่นใหม่รู้จักที่จะตั้งคำถามนะครับ กับสิ่งที่เรามองว่าเป็นความปกติ เป็นสิ่งที่เรามองว่ามันเป็นแบบนี้แหละอย่าไปเปลี่ยนมันเลย เมื่อไรก็ตามที่เราเริ่มส่งเสียงมากขึ้น ไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว แต่ว่าหลายๆ คนเริ่มส่งเสียงมากขึ้น ผมคิดว่าคนที่เป็นคนออกนโยบาย คนที่เขาต้องทำงานในเชิงของการมองภาพกว้าง เขาก็อาจจะเริ่มได้ยินเสียงนะครับ เป็นเสียงของคำถาม เป็นเสียงของการตั้งข้อสังเกต เป็นเสียงของการที่เราอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องทะเลาะกัน แต่เราสามารถที่จะเห็นต่างกันได้ 

ผมคิดว่าสังคมไทยเนี่ย เราไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นต่าง เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่ให้คุณค่ากับความประนีประนอมค่อนข้างสูง ทีนี้ความประนีประนอมเหล่านี้หลายๆ ครั้งมันทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้สนทนา ได้สื่อสาร ได้บอกเล่าถึงความคิด ความรู้สึกของแต่ละคน ให้เข้าใจ แล้วก็มารับฟังกันอย่างแท้จริง” ดร.อดิศร เสนอบันไดขั้นที่หนึ่งเพื่อออกจากวังวนนี้

“ผมคิดว่าการเริ่มต้นด้วยการรับฟังเป็นเรื่องที่สำคัญมากในสังคมนะครับ เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่เราเอาชุดความคิดความเชื่อของเราชุดเดียว มาเป็นตัวกำหนดในการออกนโยบายหรือออกกฎหมายหรือออกระเบียบต่างๆ เมื่อนั้นเราจะพบว่ามีอีกหลายคนมากที่เขาอาจจะมีวิถีชีวิต มีวิถีการมองโลก มีไลฟ์สไตล์ที่อาจจะไม่สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายหรือนโยบายเหล่านั้น แล้วมันผลักเขาไปสู่การเป็นคนชายขอบของสังคม แล้วปัญหาหลายๆ เรื่องในสังคมไทยปัจจุบัน ปัญหาเรื่องของความรุนแรง เรื่องของการแสดงออกที่เรามองว่าเป็นเรื่องของความก้าวร้าว จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งมันเริ่มมาจากการที่เราไม่เปิดพื้นที่ของการรับฟังเสียงที่แตกต่างหลากหลายนะครับ” 

โดยเฉพาะกับเยาวชนคนรุ่นใหม่  การรับฟังอย่างใส่ใจและเรียนรู้ว่าเขาคิดอ่านอย่างไร มองโลกอย่างไร มีความคิดความเชื่อแบบไหน ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม 

“ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการจัดการเรียนรู้ต้องเห็นความหลากหลายของผู้เรียน เห็นว่าแต่ละคนเขามีเป้าหมายในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วหลายๆ คนเรียนในหลักสูตรเดียวกัน เรียนในวิชาเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องมีเป้าหมายในชีวิต หรือมีวิธีการในการเรียนรู้ที่เหมือนกัน 

การที่เราค่อยๆ ฟังกัน แล้วหาพื้นที่ตรงกลางที่สามารถรองรับความแตกต่างหลากหลายตรงนี้ได้ ผมคิดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยขยับให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้”


มองในมุมนี้ สิ่งที่สถาบันการศึกษาควรใส่ใจมากขึ้น คือการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่ในชั้นเรียนเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้ทั้งชีวิตของตัวผู้เรียนเอง ที่เรียกว่าเป็น Lifelong Learning 

“การเรียนรู้ตลอดชีวิตจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราจะสร้างให้ผู้เรียนสามารถเป็น Lifelong Learner เป็นผู้เรียนที่สามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต สิ่งเหล่านี้สถาบันการศึกษาควรต้องเป็นคนเริ่มต้น เราต้องช่วยให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ที่ตรวจสอบได้ว่าความรู้ที่ไปได้มาจากอินเทอร์เน็ตนั้นมันมีหลักฐาน มีองค์ประกอบในแง่ของการที่ความรู้ชุดหนึ่งๆ มันถูกสร้างขึ้นมาแบบไหน แล้วตัวเขาเองต้องสามารถประเมินได้ว่าความรู้หรือทักษะเหล่านี้มันถูกต้อง มันจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นบทบาทหน้าที่ของสถาบันการศึกษาจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วมันก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ จากคนรุ่นใหม่

แนวโน้มที่เราอาจจะพบเห็นมากขึ้นในอนาคตก็คือ คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้ใช้เวลาสี่ปีแล้วก็เรียนในระดับมหาวิทยาลัยรวดเดียวจบ แต่อาจจะเป็นการเรียนแล้วทำงานไปด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สถาบันการศึกษาเองต้องปรับตัวให้ได้ เพราะคนรุ่นใหม่เขาไม่จำเป็นจะต้องเรียนตามระบบอีกต่อไป เขาสามารถที่จะเข้าถึงความรู้และเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งเราจำเป็นจะต้องเข้าใจแล้วก็ต้องสนับสนุน ไม่ใช่ไปขัดขวางแล้วพยายามบังคับให้เขาเข้าสู่กฎเกณฑ์ที่เราตั้งเอาไว้ ซึ่งมันถูกผลิตขึ้นเมื่อหลายสิบกว่าปีที่แล้ว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยจนถึงปัจจุบัน” 

ถึงตรงนี้ มายาคติทางการศึกษาที่สืบต่อกันมานอกจากจะไม่ใช่เข็มทิศที่เที่ยงตรงแล้ว สังคมน่าจะต้องมีชุดความคิดที่ขับเคลื่อนระบบการศึกษาไทยให้ไปต่อได้อย่างสอดคล้องกับบริบทของยุคสมัย

“จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนะครับ ท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เคยพูดเอาไว้นานมากแล้วว่า การศึกษา ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนเติบโตและสามารถที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ รัฐมีหน้าที่ในแง่ของการสนับสนุนให้เยาวชนแต่ละคนสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพของเขา และเมื่อไรก็ตามที่คนแต่ละคนสามารถที่พัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่ เขาก็จะสามารถที่จะ contribute หรือว่าสร้างสิ่งดีๆ กลับเข้ามาสู่สังคม เขาจะสามารถช่วยให้สังคมมีทรัพยากรที่มีคุณภาพ แล้วก็สามารถทำสิ่งดีๆ ได้นะครับ 

แต่ตอนนี้วิธีคิดของฝั่งรัฐก็คือ ยังมองระบบการศึกษาในลักษณะเป็นโรงงานอยู่ พอเราตื่นเต้นกับเรื่องทักษะในศตวรรษที่ 21 เราก็ให้ทุกคนไปเรียนทักษะในศตวรรษที่ 21 กันหมด พอมีเรื่องเอไอทุกคนก็ต้องไปเรียนเอไอกันให้หมด เราลืมไปว่าจริงๆ แล้วเยาวชนแต่ละคนเขามีความหลากหลาย แล้วเขาก็มีความสนใจที่แตกต่างกัน ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาได้ทำในสิ่งที่สนใจ เข้าถึงศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เขาย่อมจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มันเป็นสิ่งที่ดีและตอบกลับมาที่สังคมเสมอ”

ดร.อดิศร ย้ำว่าสังคมไม่ต้องการความเหมือนกัน ความเหมือนกันไม่ได้ทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า สังคมเจริญก้าวหน้าได้ก็ต่อเมื่อเราสนับสนุนความหลากหลายของผู้คนในสังคม 

“แต่ละคนเหมือนเป็นภาพต่อของจิ๊กซอว์ที่มาทำให้สังคมมีความสมบูรณ์มากขึ้น ถ้าเราสามารถมองเห็นศักยภาพของคนที่มีความหลากหลายแบบนี้ ผมเชื่อว่าสังคมจะก้าวไปข้างหน้าได้ แล้วเราจะไม่ย่ำอยู่กับที่ ไม่พยายามจะทำให้ทุกคนกลายเป็นนวัตกร ไม่พยายามจะทำให้ทุกคนเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของเอไอหรือว่าโค้ดดิ้งต่างๆ เหมือนกันไปหมด เราจะสามารถมองเห็นว่าแต่ละคนมีความงอกงาม มีความแตกต่างหลากหลายและเขาสามารถช่วยให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าได้อย่างไรบ้าง

ผมคิดว่าตอนนี้นักวิชาการ นักการศึกษารุ่นใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งรุ่นอาวุโสหลายๆ คน เริ่มมองเห็นแล้วว่าเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดการศึกษา แล้วเสียงเหล่านี้เริ่มเป็นที่ได้ยินมากขึ้นในสังคม ผมคิดว่าเราเห็นแนวโน้มที่ดี แต่มันต้องใช้เวลาและแน่นอนว่าเราไม่ควรที่จะไปรอฮีโร่ พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแก้หรือเปลี่ยนแปลงการศึกษานะครับ

ตอนนี้มีคำที่เขากำลังใช้กันก็คือ All for Education ก็คือทุกๆ ภาคส่วนต้องลงมาช่วยกัน ต้องช่วยกันส่งเสียงอย่าให้มันเป็นการแค่เสียงของคนแค่ในภาคการศึกษา หรือเสียงของคนที่กำหนดนโยบายเท่านั้น แต่คนที่อยู่ในวงการอื่น ทุกคนเกี่ยวข้องกับเรื่องการศึกษาหมดไม่ทางใดก็ทางนึง เราควรต้องช่วยกันส่งเสียง อย่ายอมรับในสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ 

เราต้องช่วยกันส่งเสียงว่าเราต้องการการศึกษาที่ช่วยพัฒนาลูกหลานของเรา เยาวชนของชาติหรือคนรุ่นใหม่ ที่จะทำให้เขาสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณค่า เห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วก็มองเห็นว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้างในชีวิตนี้ ไม่ใช่การที่เราไปพยายามสร้างกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างเพื่อมากำกับควบคุมทำให้ทุกอย่างมันเป็นมาตรฐานเดียว เป็นระบบโรงงานแบบนั้นนะครับ”

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สภาวะของการเปลี่ยนผ่าน บนรอยต่อระหว่างชุดความคิดแบบเก่าและใหม่นั้น ย่อมมีทั้งความหวังและข้อกังวล 

“ความหวัง คงจะเป็นความหวังกับคนรุ่นใหม่นะครับ ผมเห็นว่าคนรุ่นใหม่มีวิธีคิด มีวิธีการมองโลกที่เขาเริ่มตั้งคำถามมากขึ้น เขาเริ่มส่งเสียงมากขึ้น เขากล้าที่จะบอกในสิ่งที่เขาไม่พอใจหรือสิ่งที่เขาต้องการออกมาได้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการที่เราจะสร้างพื้นที่ของการรับฟังเสียง แน่นอนว่าเราอาจจะต้องให้พื้นที่ของการรับฟังเสียงของคนรุ่นอื่นๆ ด้วยเช่นกันว่าเขาคิดเห็นอย่างไร พื้นที่ที่เรามีความเท่าเทียมกันในแง่ของการรับฟัง ผมคิดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหา ทั้งภาพใหญ่และภาพเล็กไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสังคมไทยเรายังมีความหวังกับคนรุ่นใหม่อยู่ แล้วเรายังสามารถที่รู้แล้วว่ามันมีปัญหาอะไร แล้วเขาพยายามที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบไหนนะครับ”

“ส่วนข้อกังวลผมมองว่าเรายังมีพื้นที่ลักษณะนี้ค่อนข้างน้อย แล้วอย่างที่บอกกัน มายาคติของคนในสังคมที่พอเห็นเยาวชนออกมาส่งเสียงเรียกร้องในหลายๆ เรื่อง ก็มักจะมองว่าพวกเขากำลังถูกหลอกบ้าง พวกเขาใช้ความรุนแรงบ้าง เราตัดการได้ยินเสียงที่เขากำลังส่งมา ซึ่งผมคิดว่าความน่าเป็นห่วงก็คือ พอเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นไปตามภาพลักษณ์ของการเป็นเยาวชนที่ดีที่เราตั้งใจเอาไว้ นั่นก็คือเยาวชนที่ดีต้องเป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ต้องเป็นคนที่นอบน้อมถ่อมตน ต้องเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ตั้งใจเรียน ต่างๆ เหล่านี้

พอเรามองว่าเยาวชนเขาไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของเรา เราก็แปะป้ายว่าเขาเป็นคนไม่ดี พอเราแปะป้ายว่าเขาเป็นคนไม่ดีปั๊บเราเลิกฟังความคิดเห็นจากเขาทันที ผมคิดว่าตรงนี้มันคือการปิดกั้นโอกาสของการที่เราจะได้ยิน ได้ฟังความคับข้องใจจากเขา ข้อเสนอของเขา หรือแม้กระทั่งอนาคตที่เขาเองต้องเป็นเจ้าของต่อไป สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเราต้องช่วยกันในฐานะผู้ใหญ่นะครับ ในแง่ของการสร้างพื้นที่ของการรับฟังกันให้มากขึ้น” ดร.อดิศร กล่าวทิ้งท้าย 

Tags:

การพัฒนาระบบการศึกษาโรงเรียนการศึกษานักเรียนมายาคติ

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

หลักสูตรคืออะไรกันแน่?
Learning Theory
27 September 2022

หลักสูตรคืออะไรกันแน่?

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หลักสูตรในปัจจุบันมีรากฐานมาจากแนวคิดแบบสมัยใหม่ (Modernism) ที่มองการจัดการหลักสูตรทางการศึกษาแบบอุตสาหกรรม เสมือนโรงงานผลิตสินค้าให้ได้ผลลัพธ์ตามมาตรฐานปลายทางที่กำหนดไว้
  • หรือแท้จริงหลักสูตรแฝงไปด้วยความรู้ของผู้กดขี่ที่พยายามจะแสร้งว่า ความรู้ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญเป็นความรู้ที่เป็นกลาง แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยชุดความรู้บางอย่างที่ถูกเลือกอย่างจงใจทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อหล่อเลี้ยงมายาคติ อำนาจ และโครงสร้างของความไม่เท่าเทียมเอาไว้
  • ชวนกลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรและการศึกษาของไทยในประเด็นต่างๆ ว่าจริงๆ แล้วหลักสูตร (Curriculum) คืออะไรกันแน่? เรากำลังมองหลักสูตรจากมุมมองแบบใด?

ที่ผ่านมา สังคมของเราต่างพูดคุยถกเถียงถึงการปฏิรูปหลักสูตรในหลากหลายประเด็น อาทิ เนื้อหาความรู้ ทักษะที่ควรสอน วิธีการสอนและการจัดการเรียนรู้ที่ควรจะเป็น การตัด ลด เพิ่มวิชาให้เหมาะสมกับยุคสมัย ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็มีประเด็นและข้อเสนอที่ต่างกันออกไป แต่จริงๆ แล้วหลักสูตร (Curriculum) คืออะไรกันแน่? เรากำลังมองหลักสูตรจากมุมมองแบบใด? ในข้อเขียนนี้จึงอยากชวนกลับมาสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตรผ่านมุมมองต่างๆ 

หลักสูตร คือ ‘สายพานการผลิต’

ในหนังสืออย่าง Curriculum : foundations , Principles, and Issues  Ornstein และ Hunkins ได้ฉายให้เห็นภาพการถกเถียงเรื่องหลักสูตรที่รวมไปถึงการสอนและการศึกษา โดยเขาชี้ให้เห็นว่า หลักสูตรในปัจจุบันมีรากฐานมาจากแนวคิดแบบสมัยใหม่ (Modernism) ที่มองการจัดการหลักสูตรทางการศึกษาแบบอุตสาหกรรม การศึกษาเป็นเสมือนโรงงานผลิตสินค้าให้ได้ผลลัพธ์ตามมาตรฐานปลายทางที่กำหนดไว้ ดังนั้น หลักสูตรจึงต้องกำหนดค่าเป้าหมายมาตรฐานการผลิต มีกระบวนการผลิต (เลือกคัดสรรความรู้ วิธีการ) และมีการวัดผลเพื่อเช็คคุณภาพสินค้า (ผลลัพธ์การเรียนรู้) ที่ซึ่งการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องนำไปสู่การวัดผลเชิงพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดเจน  

วิธีคิดแบบอุตสาหกรรมเช่นนี้ส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการสอน ผ่านสิ่งที่เรียกว่า แผนการสอน (lesson plan) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (behavioral objective) หลักสูตรอิงมาตรฐาน (standard based curriculum) และ best practice ที่ครูจะเป็นเสมือนเจ้าของโรงงาน ในการคิดค้นและสร้างระเบียบขั้นตอนของแบบแผนในการผลิตนักเรียนอย่างเป็นระบบ  อีกทั้งยังเป็นนักเทคนิคในการค้นหา เทคนิคหรือโมเดล เพื่อทำให้แผนการสอนที่วางไว้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น หากเทคนิควิธีการที่นำมาใช้ไม่เกิดผลตามที่คาดหวังไว้ ครูก็ต้องเปลี่ยนหรือปรับปรุงแผนต่างๆ ให้ดีขึ้น  

หลักสูตรบนฐานคิดแบบสมัยใหม่นี้จึงมีมุมมองว่า การสอนและหลักสูตรต้องมีรูปแบบ (Model) มีขั้นตอนที่ชัดเจน และต้องมีการวัดผลที่เที่ยงตรงแม่นยำ เพื่อให้บรรลุตามผลลัพธ์ที่คาดการณ์และวางไว้ล่วงหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าวิธีคิดเช่นนี้จะเข้ากันได้ดีกับปรัชญาการศึกษาบนแนวคิดแบบจารีต ที่เห็นว่าการพัฒนาให้มนุษย์เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เชี่ยวชาญ มีเหตุผลนั้น หลักสูตรต้องคัดเลือก สรรหาความรู้ คุณค่าสำคัญ ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญ และนำมาถ่ายทอด ส่งต่อ ฝึกฝนอย่างเข้มงวด เพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนา โดยครูมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลให้นักเรียนอยู่ในลู่ทาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับความรู้เต็มที่ ไม่ตกหล่น ดังนั้น การจะลำเลียงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญไปสู่ตัวนักเรียนจึงต้องอาศัยการจัดการที่เป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยจุดประสงค์ วิธีการ และการวัดประเมินผล 

หลักสูตรคือ ‘อำนาจ’  

อย่างไรก็ตาม Paulo Freire นักการศึกษาสายวิพากษ์ชาวบราซิล กลับเห็นว่าการที่หลักสูตรวางอยู่บนฐานคิดเช่นนั้น ไม่ต่างจากการเป็น ‘การศึกษาแบบฝากธนาคาร’ (Banking Education) ที่หลักสูตรกลายเป็นพื้นที่ของการส่งต่อความรู้จากครูไปสู่นักเรียนให้มากที่สุด นักเรียนจึงเป็นเหมือนวัตถุว่างเปล่าที่ถูกบงการให้รอรับความรู้ที่ครูมอบให้ผ่านสายพานการผลิต คล้ายกับการฝากเงินในธนาคาร ที่เมื่อถึงเวลา ครูก็เพียงทำหน้าตรวจสอบดูว่าความรู้ที่ถูกฝากไว้นั้น นักเรียนจดจำมันได้มากน้อยเพียงใด    

ยิ่งไปกว่านั้น “ความรู้ที่ถูกส่งผ่านหลักสูตรเป็นความรู้ของใครกัน?” เป็นคำถามสำคัญของ Freire และนักการศึกษาสายวิพากษ์หลายคน นักการศึกษาเหล่านี้มองว่า แท้จริงหลักสูตรไม่ได้มีความเป็นกลาง และแฝงไปด้วยความรู้ของผู้กดขี่ที่พยายามจะแสร้งว่า ความรู้ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญเป็นความรู้ที่เป็นกลาง แต่แท้จริงแล้วหลักสูตรเต็มไปด้วยชุดความรู้บางอย่างที่ถูกเลือกอย่างจงใจทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อหล่อเลี้ยงมายาคติ อำนาจ และโครงสร้างของความไม่เท่าเทียมเอาไว้  

ในแง่นี้ นักการศึกษาเชิงวิพากษ์ จึงเสนอว่า หลักสูตรควรเป็นพื้นที่ที่จะให้นักเรียนได้เปล่งเสียง (Voice) ถึงสภาพความเป็นจริงทางสังคมที่เขาดำรงอยู่ ผ่านการนำเอาประสบการณ์ เรื่องราว มาสร้างบทสนทนา (Dialogue) เพื่อทำความเข้าใจอำนาจที่กดทับ แล้วหาทางเปลี่ยนแปลงสังคม 

ในทำนองคล้ายกัน William Pinar ได้เสนอว่า หลักสูตรควรเป็นบทสนทนาที่นำพาให้ผู้เรียนได้เข้าไปสำรวจ ตรวจสอบ ได้สะท้อนคิดกับตัวเองที่เกี่ยวพันถึงอำนาจ การเมือง ประวัติศาสตร์ สังคม  เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็น ‘Independent thinker’ ที่สามารถตีความและให้ความหมายถึงอนาคตที่จะเชื่อมมาสู่ปัจจุบันของตัวเอง

หลักสูตร คือ ‘ความไม่แน่นอน’ 

ไม่เพียงแค่นักการศึกษาสายวิพากษ์ ที่วิพากษ์ถึงหลักสูตรบนฐานคิดแบบสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการคัดเลือกความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ มีแบบแผนที่ตรวจสอบความรู้ที่ส่งไปให้เด็กอย่างเป็นระบบ ซึ่งละเลยการมองหลักสูตรในฐานะอำนาจทางการเมือง และมองข้ามเสียงประสบการณ์ของผู้เรียน แต่นักการศึกษาหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) ยังได้วิพากษ์ว่าการเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนและยุ่งเหยิง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองการเรียนรู้เป็นเส้นตรงแบบสายพานและวัดการเรียนรู้ที่แท้จริงตามแบบมุมมองสมัยใหม่     

หลักสูตร จึงหมายถึงตัวเราท่ามกลางบริบททางสังคม การเมือง ประวัติศาสตร์ที่เราแต่ละคนจะก่อร่างสร้างความหมายของการเรียนรู้และประสบการณ์ของตัวเองขึ้นมา ผ่านการตีความ (interpretation) ที่ไม่มีวันสิ้นสุด การเรียนรู้จึงมีการเปลี่ยนแปลงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน (uncertainty)  ซึ่งต่างไปจากวิธีคิดแบบสมัยใหม่ที่ต้องการกำกับ ควบคุม และวัดผลให้ชัดเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น 

William Doll นักการศึกษาในสายนี้จึงเห็นว่า บทบาทของครูคือการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้นักเรียนสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เป็นของตัวเองขึ้นมา เพื่อเผชิญกับความท้าทายในโลกที่เขากำลังดำรงอยู่

นอกจากนี้ Gert Biesta ได้วิพากษ์ การศึกษาบนฐานแนวคิดสมัยใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ (calculate) ที่พยายามกำจัดความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามผลลัพธ์ออกไป พร้อมกับคอยกำกับว่าเด็กแต่ละช่วงวัยควรจะทำอะไรได้ จะเป็นอะไร และจะได้รับอะไร สำหรับเขา แท้จริงแล้วการศึกษาคือ ‘ความเสี่ยง (risk)’ เสมอๆ มันเป็นการเสี่ยงในการเรียนในสิ่งที่เราไม่ต้องการที่จะเรียน เสี่ยงที่เราจะเรียนในสิ่งที่เราไม่สามารถจิตนาการได้ว่าเราจะได้เรียนรู้ รวมไปถึงความเสี่ยงที่เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่คิดมาก่อนว่าเราต้องการจะรู้ ซึ่ง Biesta เห็นว่า ความเสี่ยงจะทำให้เราเห็นโลกในมุมที่ต่างออกไป (ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าควรเห็นอะไร) ผ่านการปั่นป่วน รบกวน ด้วยคำถามที่ไม่ง่าย ไม่คุ้นเคย ไม่ปลอดภัย คำถามที่จะรบกวนสำนึกทั่วไปของการรับรู้ในชีวิต และนำไปสู่คำถามต่อตัวเราที่สัมพันธ์กับคนอื่นและสังคม 

หลักสูตรคืออะไร?  ทั้งหมดนี้เป็นข้อเขียนสั้นๆ ที่พยายามตอบคำถามผ่าน 3 แนวคิด ซึ่งหวังว่าจะช่วยให้ผู้อ่านได้กลับมาตั้งคำถามว่า ข้อถกเถียงหรือข้อเสนอที่ผ่านมาเกี่ยวกับหลักสูตรและการศึกษาของไทยในประเด็นต่างๆ นั้นกำลังวางอยู่บนมุมมองแบบใด พร้อมๆ กับเป็นคำตอบจากคำถามปลายเปิดที่อยากชวนคิดต่อว่า สำหรับตัวเราแล้ว เราอยากเห็นหลักสูตรเป็นอย่างไร? และเป็นไปเพื่ออะไร?

อ้างอิง

Biesta, G. J. (2006). Beyond Learning Democratic Education for a Human Future. New York: Routledge.

Kincheloe, J. L. (2004). Critical Pedagogy Primer Second Edition. Peter Lang Inc.

Ornstein, A.C., & Hunkins, F. P. (2004). Curriculum: Foundations, Principles, and Issues. Toronto: Pearson.

Tags:

การศึกษาแบบฝากธนาคาร (Banking Education)Independent thinkerการศึกษาการเรียนรู้การใช้อำนาจหลักสูตร

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข
How to enjoy life
26 September 2022

‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • สูตรสำเร็จของความสำเร็จในชีวิตมักมาจากสองส่วนประกอบสำคัญ คือ ‘ความทะเยอทะยาน’ และ ‘ความสามารถ’ แน่นอนว่าหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็อาจทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายและล้มเหลวได้
  • องค์ประกอบสองอย่างนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่อาจต้องแลกกับความกดดัน ความเครียด การแข่งขันที่สูงมาก และการใช้ชีวิตแบบนี้อาจทำให้เราไม่มีความสุขเลยแม้จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนก็ตาม
  • เขาว่ากันว่าการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีจะทำให้มีความสุข แต่จะเป็นการมักน้อยเกินกว่าจะประสบความสำเร็จไหมหากความพอเพียงไม่ใช่ความพอดีของชีวิต เป็นไปได้ไหมที่เราจะทะเยอทะยานและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน

ผู้คนมักมีความเชื่อว่าการมีความทะเยอทะยานจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ นั่นทำให้ผู้คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีกลายเป็นผู้ล้มเหลวไปโดยปริยาย เราจึงเห็นว่าในสังคมนี้ มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องแข่งขันกันเพื่อประสบความสำเร็จและเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ 

อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานมีราคาที่ต้องจ่าย หลายครั้งที่นอกจากความสุขแล้วเรายังต้องเสียเวลาพักผ่อน เสียสุขภาพจิตจากความกดดันความเครียด 

การจะประสบความสำเร็จจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนที่มีความทะเยอทะยานระดับกลางไปจนถึงระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะพวกเขาเหล่านี้จะมีความกล้าเสี่ยงต่ำและมีแนวโน้มที่จะพอใจในจุดที่ตัวเองอยู่สูง ซึ่งจะแตกต่างคนที่มีความรู้ดี มีความสามารถสูง มีเป้าหมายสูง อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียงและอยากประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้มักจะมีความทะเยอทะยานมากและมีความสามารถที่จะไปถึงเป้าหมายของตนเองด้วย 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่าคนที่มีความทะเยอทะยานน้อยคือคนที่ไม่เก่ง และไม่ได้หมายความว่าคนที่ความทะเยอทะยานสูงคือคนที่ไม่รู้จักพอ เราต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในชีวิตเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจากหลายๆ ปัจจัย เช่น สถานะการเงินทางบ้าน สภาพแวดล้อมที่เติบโตมา การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว การมีความทะเยอทะยานสูงหรือต่ำเกินไปก็อาจทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายอะไรเลยก็เป็นได้

ตัวอย่างเช่น การมีความพอใจมักน้อยมากเกินไปจะทำให้ชีวิตวนอยู่กับที่ พลาดโอกาสก้าวหน้าไปเจอความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น หรือหากมีความทะเยอทะยานมากเกิน เราก็จะคอยหาเป้าหมายที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ต้องผลักตัวเองไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาซึ่งอาจทำให้เหนื่อยล้าและกดดันตัวเองได้ในที่สุด

การหาความพอดีระหว่างความทะเยอทะยานและความสุขจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากหาตรงกลางของสององค์ประกอบนี้ได้ เราก็จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จด้วยการมีความสุขและบรรลุเป้าหมายได้ในเวลาเดียวกัน 

“สูตรสำเร็จ” สู่ “สุข-สำเร็จ”

ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าสูตรสำเร็จของชีวิตที่สำเร็จคือความทะเยอทะยานประกอบกับความสามารถ อย่างไรก็ตาม เราต้องหาตรงกลางระหว่างความทะเยอทะยานและความสุขเพื่อให้ชีวิตไม่หดหู่เหี่ยวเฉาจนเกินไป เราหวังว่าคำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยให้ผู้อ่านได้ใช้ชีวิตอย่างสุข-สำเร็จ หาสมดุลและมีความสุขท่ามกลางงานที่ตึงเครียดและคาดเดาไม่ได้ไม่มากก็น้อย

  • วางสูตรสำเร็จใหม่

โดยปกติเราต้องเลือกระหว่าง ความทะเยอทะยาน ‘กับ’ ความสุข อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็น ความทะเยอทะยาน ‘และ’ ความสุข ดู เพราะในการบรรลุเป้าหมาย หลายครั้งเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเท่านั้น 

ชีวิตเราต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น อย่ากดดันตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ค่อยๆ เรียนรู้ไปอย่างมีความสุขจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากกว่า

  • วางเป้าหมายให้เหมือนเกมที่ท้าทาย

เมื่อเรามองเป้าหมายเป็นแรงผลักดัน เราจะรู้สึกสนุกกับการพยายามที่จะผ่านด่านไปให้ได้ เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่เลยในทันที เราอาจเริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายสำคัญเล็กๆ แบบวันต่อวันก่อน โดยการวางแผนแบบนี้จะทำให้โอกาสทำงานสำคัญสำเร็จได้มากขึ้น เพราะเมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ ความสุขความมั่นใจจะสะสมเพิ่มขึ้นทำให้เราเห็นภาพความสำเร็จได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและนำไปสู่ความมั่นใจที่จะบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นได้

  • และจงจำไว้ว่าเราทุกคนคือมนุษย์

เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่เมื่อถูกป้อนคำสั่งก็สามารถทำตามได้ตลอดเวลา อย่ากดดันตัวเองมากจนละเลยความรู้สึก บางครั้งเราต้องให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันบ้าง 

อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้และถามตัวเองดูว่าเราพอใจตรงจุดไหน ความพอดีของเราอยู่ตรงไหน เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดัน สร้างความทะเยอทะยานในจุดที่เราสบายใจ และอย่าเอาเป้าหมายหรือความสำเร็จตัวเองไปเทียบกับใคร เพราะบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ เราจะต้องพบกับความยากลำบาก เผชิญกับความท้าทาย และปัญหาจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อย่าบั่นทอนกำลังใจของตัวเองเพราะความไม่พอใจไม่พอดี ความทะเยอทะยานจะสัมฤทธิ์ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อเรามีความสุข และนั่นคือความสมดุลของ ‘สุขสำเร็จ’ ในชีวิตเรา

อ้างอิง

Ambition And Happiness: Having Both At The Same Time

How to Balance Ambition & Happiness

Tags:

การตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ความสุขความสำเร็จสุขภาพจิต

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Dr.Tong The Filter
    Life classroomHow to enjoy life
    ‘เราต่างเป็น Expert ของชีวิตตัวเอง’ ค้นพบศักยภาพที่จะมีความสุข กับ ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ฮุกกะ (Hygge): สุขแบบไม่หิวแสง จริตชีวิตในแบบฉบับคนเดนมาร์ก

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย
Movie
23 September 2022

Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Billy Elliot (บิลลี่ เอเลียต) เป็นภาพยนตร์แนว Coming of Age ในปี 2000 นำเสนอเรื่องราวของเด็กชายวัย 11 ปีที่ถูกพ่อส่งไปเรียนชกมวย แต่เจ้าตัวกลับแอบนำเงินไปเรียนบัลเล่ต์
  • ท่ามกลางค่านิยมของสังคมยุคนั้น พ่อคัดค้านอย่างหนักกับความรักในบัลเล่ต์ของเด็กผู้ชาย แต่ในที่สุดบิลลี่ก็พิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขามีความมุ่งมั่นที่จะเดินไปตามเส้นทางที่ฝันไว้
  • สำหรับพ่อผู้เคยไม่เห็นด้วยกับความหลงใหลในบัลเล่ต์ แต่เมื่อได้เห็นศักยภาพและด้วยพื้นฐานความรักที่มีต่อกัน เขาก็ยอมหันหลังให้กับอุดมการณ์ของตัวเองเพื่อสานฝันนอกกรอบของลูกชาย

ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นตุ๊กตา จำได้ว่าพ่อแม่ค่อนข้างตกใจ และกีดกันความรักระหว่างผมกับตุ๊กตาตัวนั้น จนกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก

พ่อบอกว่าตุ๊กตาคือของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิง ส่วนแม่ก็กลัวผมเบี่ยงเบนทางเพศ (ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและรับไม่ได้ในสังคมยุคก่อน)

ไม่นานนี้ ผมมีโอกาสชม ‘Billy Elliot’ ภาพยนตร์แนว  Coming of Age สัญชาติอังกฤษที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที British Academy of Film and Television Arts ในปี 2000 จากผลงานการกำกับของ Stephen Daldry ที่บางคนอาจคุ้นชื่อจากการเป็นผู้อำนวยการผลิตซีรีส์ชุด The Crown ทาง Netflix 

และแม้บิลลี่จะไม่ได้ชอบตุ๊กตาเหมือนผม แต่เขาก็ชอบเต้นบัลเล่ต์ ซึ่งบังเอิญว่าพ่อของบิลลี่ก็รู้สึกเหมือนผู้ชายสมัยนั้นว่าบัลเล่ต์มันเป็นกีฬาของผู้หญิงและหนุ่มตุ้งติ้ง

พ่อไม่เข้าใจ

บิลลี่ เอเลียต เป็นเด็กชายวัย 11 ปีที่อาศัยอยู่ในบ้านพักโทรมๆ กับย่า พ่อ และพี่ชาย ณ เมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ

แม้ครอบครัวจะมีฐานะไม่ค่อยดี ประกอบกับสถานการณ์ ‘การประท้วงหยุดงาน’ ของคนงานเหมืองที่พ่อและพี่ชายเป็นแกนนำคนสำคัญ ทำให้รายได้ขาดหาย แต่พ่อก็ยังอุตส่าห์เจียดเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้บิลลี่นำไปเรียนชกมวยที่โรงยิม โดยมีความฝันว่าบิลลี่จะเติบโตเป็นนักมวยที่เก่งเหมือนกับปู่ของเขา

บิลลี่เข้าเรียนมวยที่ยิมใกล้บ้านตามคำสั่งของพ่อ เขามีรูปร่างดีและช่วงชกที่ยาวกว่าคู่แข่ง แต่พอขึ้นสังเวียน เขากลับถูกน็อกคาเวทีทุกครั้ง เพราะเอาแต่โชว์ฟุตเวิร์กโยกหลอกคู่ต่อสู้ไปมาราวกับกำลังเต้นระบำ

เมื่อฝีมือไม่ก้าวหน้า โค้ชเลยสั่งให้บิลลี่ฝึกต่อยกระสอบหลังเลิกเรียน ซึ่งบังเอิญว่าตอนนั้นบริเวณที่สอนบัลเล่ต์ถูกกลุ่มผู้ประท้วงยืดมาทำเป็นห้องครัว ‘มิสซิสวิลกินสัน’ จึงมาขอยืมพื้นที่เพื่อทำการเรียนการสอนให้กับเด็กผู้หญิง

ด้วยท่วงท่าลีลาอันสง่างามของการเต้นบัลเล่ต์ ทำให้บิลลี่ถึงกับทึ่งและขอเข้ามาเต้นท่ามกลางนักเรียนบัลเล่ต์ผู้หญิง ซึ่ง ‘มิสซิสวิลกินสัน’ ก็ต้อนรับลูกศิษย์ต่างเพศเป็นอย่างดี 

หลังจากวันนั้น บิลลี่มักแอบมาเรียนบัลเล่ต์หลังชกมวยเสร็จ และคลั่งไคล้ถึงขั้นไม่เรียนมวย เพื่อเอาเงินมาเรียนบัลเล่ต์

แม้จะมีความสุขกับการเต้นบัลเล่ต์โดยผู้เป็นพ่อไม่รู้ แต่ค่านิยมของครอบครัวและคนรอบข้างก็ทำให้บิลลี่รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ตัวเองแอบมาเรียน ‘กีฬาของผู้หญิง’ เย็นวันหนึ่งเขาตัดสินใจบอกมิสซิสวิลกินสันว่าจะไม่เต้นบัลเล่ต์อีกต่อไป

“เด็กผู้ชายเต้นบัลเล่ต์น่ะเหรอ พวกตุ้งติ้งทั้งนั้น ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นผู้หญิง ผมต้องเรียนต่อยมวย”

ครูสอนบัลเล่ต์ยิ้มให้กับคำพูดไร้เดียงสาของบิลลี่ ก่อนแสดงความเห็นว่าถ้ารู้สึกเหมือนผู้หญิงก็อย่าเต้นให้เหมือน จากนั้นจึงลองใจบิลลี่ด้วยการขอรองเท้าบัลเล่ต์คืน แต่บิลลี่กลับไม่ยอม เธอเลยมั่นใจว่าบัลเล่ต์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตบิลลี่ไปแล้ว

ฟากบิลลี่เองก็เหมือนจะเริ่มรู้ตัวเช่นกัน ใจหนึ่งเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกปิดพ่อในเรื่องนี้ แต่อีกใจเขากลับกล้าทำอะไรบ้าๆ มากขึ้น เช่นการขโมยหนังสือสอนบัลเล่ต์จากห้องสมุด และนำมาฝึกฝนด้วยตัวเองที่บ้าน จนฝีมือบัลเล่ต์ก้าวหน้าแซงเพื่อนผู้หญิงทุกคนอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก พ่อของเขาก็เริ่มรู้สึกว่าลูกชายคนเล็กดูมีพิรุธอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะทราบจากโค้ชมวยว่าบิลลี่ไม่มาเรียนชกมวยและอาจหลงลืมความเป็นชายจากการไปเรียนบัลเล่ต์

ผมรู้สึกสงสารบิลลี่ตอนที่ถูกพ่อบุกมาอาละวาดขณะเรียนบัลเล่ต์ ซึ่งไม่เพียงแค่ความช็อก แต่ผมยังเห็นบิลลี่ถูกเพื่อนๆ ผู้หญิงหัวเราะเยาะ หนักกว่านั้นคือตอนกลับถึงบ้าน พ่อกลับตัดสินบิลลี่ว่าเป็นพวกตุ้งติ้ง พร้อมกำชับห้ามไม่ให้บิลลี่ข้องแวะกับบัลเล่ต์อีก

“บัลเล่ต์มันสำหรับเด็กผู้หญิง ไม่ใช่สำหรับเด็กผู้ชายนะบิลลี่ เด็กผู้ชายต้องเตะฟุตบอล ต่อยมวย หรือไม่ก็มวยปล้ำสิ เอาเป็นว่าไม่ใช่บัลเล่ต์ แกกำลังเปิดเผยตัวว่าแกเป็นพวกตุ้งติ้ง ฟังนะ นับตั้งแต่นี้ไป แกลืมเรื่องบัลเล่ต์ได้เลย ลืมเรื่องต่อยมวยไปด้วยเหมือนกัน ฉันทำงานแทบตายเพื่อหาเงินมาให้แกเรียนบัลเล่ต์น่ะเหรอ  ให้ตายเถอะ นับแต่นี้แกต้องอยู่บ้านดูแลย่า เข้าใจไหม”

ถึงบรรทัดนี้ เสียงในหัวของผมเริ่มแตกเป็นสองเสียง เสียงแรกคือเสียงที่สนับสนุนบิลลี่ เพราะบิลลี่ไม่ได้มีอาการตุ้งติ้งอย่างที่พ่อตีตรา ทั้งยังเต้นบัลเล่ต์ด้วยความแข็งแกร่ง ดังนั้นการที่พ่อมาปิดกั้นห้ามไม่ให้บิลลี่เต้นบัลเล่ต์ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อที่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่รับฟังลูก  และสร้างบาดแผลในใจให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว 

หนักกว่านั้น วัยเด็กเป็นวัยแห่งจินตนาการ การที่พ่อทำลายความรู้สึกบิลลี่ ก็ทำให้บิลลี่จินตนาการว่าพ่อของเขาใจร้ายกว่าความเป็นจริง สังเกตได้จากตอนที่เขาตะโกนใส่พ่อว่า “ผมเกลียดพ่อ พ่อเป็นคนไม่ดี”

ทว่าอีกเสียงหนึ่ง ผมกลับรู้สึกเข้าใจพ่อ เพราะตอนที่แม่บิลลี่ยังมีชีวิต แม่เปรียบเสมือนกับสะพานที่เชื่อมทุกคนในบ้านเข้าหากัน แต่พอแม่เสียชีวิต พ่อผู้มีนิสัยแข็งกระด้าง ดิบๆ แบบผู้ชายสายลุย ก็ไม่สามารถสานต่อความเป็นแม่ที่อ่อนโยนให้กับบิลลี่ หนำซ้ำพ่อยังต้องแบกรับหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำงานในเหมืองจนแทบไม่มีเวลาให้กับบิลลี่ ทำให้พ่อแสดงความรักออกมาในรูปแบบของตัวเอง ด้วยการแบ่งเงินให้บิลลี่ไปเรียนชกมวยและหวังว่าวันหนึ่งบิลลี่จะกลายเป็นนักมวยที่ดีและมีชื่อเสียง ไม่ต้องมาลำบากเหมือนกับตัวเขาหรือพี่ชายของบิลลี่

ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า ต่างคนก็ต้องมีความคิดของตัวเอง ขาดก็แต่ความเข้าอกเข้าใจในเหตุผลของกันและกัน เพราะต่างคนต่างอยากชนะอีกฝั่ง จนหลงลืมไปว่าทั้งคู่นั้นรักกันมากเพียงใด

ครูคือแม่ที่เข้าใจ

เมื่อพ่อไม่เข้าใจ บิลลี่เลยแอบไปหามิสซิสวิลกินสันเพื่อขอคำแนะนำ เธอจึงอาสาแอบสอนบัลเล่ต์ให้บิลลี่ฟรีๆ แบบตัวต่อตัว โดยตั้งเป้าให้บิลลี่ไปสอบคัดตัวที่ ‘Royal Ballet’ หรือโรงเรียนสอนบัลเล่ต์อันโด่งดังแห่งกรุงลอนดอน 

ฉากนี้ผมปลื้มใจไม่น้อย เมื่อได้เห็นความรักที่บิลลี่มีต่อพ่อ เพราะแม้พ่อจะไม่เข้าใจเขา แต่พอมิสซิสวิลกินสันต่อว่าพ่อ บิลลี่กลับรีบแก้ต่างว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพ่อ” 

ในคาบเรียนส่วนตัวครั้งแรก มิสซิสวิลกินสันให้บิลลี่นำของที่รักที่สุดมาด้วย ปรากฏว่าบิลลี่นำจดหมายก่อนตายของแม่มาให้เธออ่าน 

“…แม่รู้ว่าแม่คงเป็นเหมือนความทรงจำอันเลือนรางของลูกซึ่งมันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี มันคงเป็นเวลาอันเนิ่นนานและแม่คงไม่มีโอกาสได้ดูลูกเติบโต ดูลูกร้องไห้ หัวเราะ และตะโกน แม่คงไม่มีโอกาสอบรมสั่งสอนลูก แต่โปรดรู้ว่าแม่ภูมิใจที่ลูกเป็นลูกของแม่ จงเป็นตัวของตัวเอง และแม่รักลูกตลอดไป”

ผมรู้สึกว่าจดหมายของแม่ ตอกย้ำให้เห็นว่าบิลลี่โชคร้ายที่สูญเสียบุคคลที่รักและเข้าใจเขามากที่สุด แต่อีกใจความรักของแม่ ก็คล้ายส่งผ่านมายังมิสซิสวิลกินสันที่ดูจะซาบซึ้งกับข้อความนี้เป็นพิเศษ จนผมรู้สึกว่าเธอได้รับไม้ต่อในการทำหน้าที่แม่ให้กับบิลลี่ ด้วยการอุทิศเวลาให้กับลูกศิษย์โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

แต่บิลลี่กลับไม่คิดเหมือนผม เมื่อการฝึกเพื่อสอบคัดตัวทวีความเข้มข้นขึ้น บิลลี่ก็มักออกอาการใจฝ่อและตีโพยตีพายยามหมุนตัวไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงเริ่มงอแงและทำตัวไม่น่ารัก นั่นคือการไม่ฟังคำสั่งของมิสซิสวิลกินสัน ลามไปถึงขั้นต่อว่าครูผู้มีพระคุณด้วยคำพูดที่ไม่น่ารัก

“ผมพยายามแล้ว ครูจะไปรู้อะไร ครูมีบ้านหรูๆ กับสามีที่เมาได้ทั้งวัน ครูก็เหมือนคนอื่นๆ คอยแต่บอกว่าผมต้องทำอะไร ผมไม่อยากไปทดสอบคัดตัวอะไรงี่เง่านั่นอีก ครูอยากให้ผมทำเพื่อผลประโยชน์ของครูเอง เพราะครูเป็นคนล้มเหลว ครูไม่มีแม้กระทั่งโรงเรียนบัลเล่ต์เป็นเรื่องเป็นราว จนต้องมาขอแบ่งพื้นที่กับโรงยิมเก่าๆ ชีวิตของครูมันบัดซบเลยต้องมาลงที่ผมงั้นเหรอ”

บิลลี่ถูกตบหน้าแทนคำตอบ มิสซิสวิลกินสันเองก็เสียใจที่ใช้กำลังกับศิษย์รัก ทว่าฝ่ามือนั้นก็เหมือนน้ำที่สาดหน้าเรียกสติบิลลี่กลับมา เขารีบโผกอดครูที่รักและกลับมาตั้งใจฝึกฝนแทนคำขอโทษ จนมีฝีไม้ลายมือโดดเด่นไม่ธรรมดา

พ่อผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

บิลลี่นัดกับมิสซิสวิลกินสันว่าจะไปคัดตัวที่ Royal Ballet แต่พอวันคัดตัวมาถึง บิลลี่กลับไม่มาตามนัด เธอจึงบุกไปที่บ้านของบิลลี่ ก่อนปะทะคารมกับพ่อและพี่ชายของบิลลี่อย่างหนัก โดยเฉพาะพี่ชายที่ต่อว่าและขู่จะทำร้ายเธอหากยังขืนดึงน้องมาเกลือกกลั้วกับการเต้นรำพรรค์นี้อีก

“คุณกำลังทำอะไร จะทำให้เขาเสียคนไปทั้งชีวิตเหรอ ดูเขาสิ เขาเพิ่ง 11 ขวบเอง ให้ตายเถอะ ผมจะไม่ยอมให้น้องต้องเต้นกินรำกินเพื่อความพอใจของคุณหรอก เขาจะได้อะไรจากมัน คุณพาเขาไปไม่ได้ เขายังเด็ก ให้เขาใช้ชีวิตวัยเด็กเถอะ”

การพูดคุยจบลงอย่างล้มเหลว หลังจากนั้นพ่อกับพี่ชายก็ไม่คิดจะพูดกับบิลลี่ในเรื่องนี้อีก ทำให้บิลลี่เก็บกดและระบายมันผ่านการเต้น โดยเฉพาะในคืนคริสต์มาสที่เขาชวนเพื่อนชายมาเต้นบัลเล่ต์ในโรงยิม หารู้ไม่ว่าพ่อกำลังแอบดูพฤติกรรมของเขาด้วยความผิดหวัง

เมื่อเห็นพ่อ แทนที่จะแก้ตัวหรือก้มหน้าจำนน บิลลี่กลับตัดสินใจเต้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและแสดงศักยภาพทั้งหมดที่เขามี ท่ามกลางสายตาของพ่อที่เบิกกว้างและตกใจถึงขั้นวิ่งหนีออกจากโรงยิม 

พ่อวิ่งหนีบิลลี่ที่ตามมา และวิ่งออกไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านของมิสซิสวิลกินสัน เพียงแต่คราวนี้พ่อมาเพื่อปรึกษาเธอว่าบิลลี่ต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไหร่ในการสอบคัดตัว (แม้มิสซิสวิลกินสันยินดีจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนก็ตาม)

“ผมไม่ได้มาขอความอุปถัมภ์ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณทำให้บิลลี่ แต่เขาเป็นลูกของผม ผมจะจัดการเรื่องเงินเอง”

จากนั้นผมก็หลั่งน้ำตาให้กับฉากที่ พ่อ…หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของสหภาพแรงงานเหมืองถ่านหิน ผู้ต่อต้านรัฐบาลและก่นด่าผู้ที่ยอมจำนนกลับไปทำงานว่า ‘คนทรยศ’ แต่ตอนนี้เพื่อความฝันของบิลลี่ พ่อกลับละทิ้งศักดิ์ศรีและกลายเป็น ‘คนทรยศ’ ต่ออุดมการณ์ ด้วยการกลับไปทำงาน ท่ามกลางคำพูดดูถูกเหยียดหยามทั้งจากฝ่ายประท้วงและฝั่งตรงข้าม เพียงเพื่อหาเงินมาสนับสนุนความฝันที่ไม่การันตีความสำเร็จของบิลลี่ลูกรัก

ผมมองว่านี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อคนหนึ่งที่พึงจะมอบให้ลูก พ่อที่แม้จะจนทรัพย์สินแต่ก็ไม่ยอมจนใจต่อโชคชะตา และพร้อมหักหลังตัวเองเพื่อสานฝันให้ลูก 

มากกว่านั้นคือพ่อยอมนำเครื่องประดับของแม่มาจำนำด้วยความช้ำใจจนได้เงินครบจำนวน และสามารถพาบิลลี่ไปสอบคัดตัวจนได้รับคัดเลือก โดยที่พ่อไม่เคยปริปากทวงบุญคุณและสาธยายความยากลำบากในการหาเงินสักครั้ง จนในที่สุด ‘บิลลี่ เอเลียต’ เติบโตขึ้นและกลายเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ระดับแนวหน้าของอังกฤษ

Tags:

ความฝันครอบครัวลูกLGBTQA+วัยเด็กบัลเล่ต์ภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Playground
    หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ทำอย่างไรให้ห้องเรียนน่าเบื่อน้อยลง?
Education trend
22 September 2022

ทำอย่างไรให้ห้องเรียนน่าเบื่อน้อยลง?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้ว่าการเรียนการสอนภาคบังคับในโรงเรียนจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่กลับมีชั้นเรียนที่พวกเด็กๆ รู้สึกสนุกหรือจดจำได้ในฐานะประสบการณ์ชีวิตที่ดี และมีความกระตือรือร้นอยากเข้าเรียนอยู่น้อยมาก
  • หากเรียนไม่ทันและไม่เข้าใจ นักเรียนอาจเกิดอาการสิ้นหวังทางการเรียนรู้ (learned helplessness) ซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียดสะสม เพราะรู้สึกว่าช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลย ปฏิกิริยาตอบสนองจึงมีแบบเดียวคือ การหนีจากความจริง ปิดสวิตช์การเรียนรู้ตัวเองอย่างไร้ความหวัง ไม่แม้แต่จะพยายามต่อสู้
  • การมองหาจุดอ่อนของวิธีการ กระบวนการ และธรรมชาตินิสัย จึงสำคัญและอาจช่วยลดความน่าเบื่อของการเรียนในห้องเรียนและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้   

ปัจจุบันการเรียนภาคบังคับในโรงเรียนถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนักเรียนทั่วโลก หากนักเรียน-นักศึกษาคนใดสามารถเรียนได้ดีก็เข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษากันเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าการเรียนการสอนจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำกันเป็นร้อยล้านครั้งต่อวัน แต่กลับมีชั้นเรียนที่พวกเด็กๆ รู้สึกสนุกหรือจดจำได้ในฐานะประสบการณ์ชีวิตที่ดี และมีความกระตือรือร้นอยากเข้าเรียนอยู่น้อยมาก 

หากเราเข้าใจจิตวิทยาของนักเรียนและห้องเรียน และปรับวิธีการจัดชั้นเรียนให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น น่าจะช่วยให้ทั้งนักเรียนและครูอาจารย์มีความสุขมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีมากๆ 

จะเริ่มต้นกันอย่างไรดี?

มาดูเหตุผลที่นักเรียนนักศึกษามองว่าทำไมการเรียนน่าเบื่อกัน ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาที่ดีครับ 

เรื่องแรกเลยคือ ต้องตระหนักเสมอว่าหลักสูตรที่ใช้ในโรงเรียนเป็นหลักสูตรที่ออกแบบสำหรับ ‘คนส่วนใหญ่’ ที่เรียนได้ดีระดับ ‘เฉลี่ย’ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า สำหรับเด็กที่เรียนดีเป็นพิเศษหรือเรียนช้ากว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย ห้องเรียนก็อาจจะเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อมาก 

แต่เรื่องแบบนี้พอแก้ไขได้นะครับ สำหรับเด็กที่ฉลาดเกินกว่าเฉลี่ยมากๆ คุณครูและโรงเรียนควรจะจัดสอบเทียบความรู้ให้และย้ายชั้นให้สูงขึ้นให้เหมาะสมกับระดับสติปัญญา ส่วนคนที่เรียนอ่อนก็อาจต้องมีการสอนเพิ่มเติมหรือมีตัวช่วยอื่นที่จำเป็น ซึ่งต่างหากจากคนอื่นๆ ที่เหลือในห้อง 

เพื่อนในห้องที่เก่งๆ ก็สามารถช่วยปิดช่องว่างตรงนี้ได้เช่นกัน อาจจะดีกว่าด้วยเพราะสื่อสารด้วย ‘ภาษาเดียวกัน’ ได้มากกว่า  

กรณีหลังนี่ ยิ่งรู้เร็วก็ยิ่งแก้ไขได้ดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในสาขาวิชาแบบสะเต็มศึกษา ซึ่งพื้นฐานในระดับชั้นเรียนที่ต่ำกว่าจะนำมาใช้ซ้ำอีกในการเรียนการสอนระดับที่สูงขึ้น หากไม่เข้าใจแต่ต้นก็จะเกิดอาการเบื่อหน่ายในชั้นเรียนหลังๆ ได้ง่ายมาก เพราะตามไม่ทัน ไม่เข้าใจ กลายเป็นปัญหาแบบ ‘หิมะถล่ม’ ที่ตั้งต้นมันก้อนเล็กนิดเดียว แต่สะสมพลังงานจนถล่มได้แม้แต่ยอดเขาทั้งยอดในเวลาต่อมา

ในทางวิชาการเรียกอาการแบบข้างต้นนี้ว่า นักเรียนเกิดอาการสิ้นหวังทางการเรียนรู้ (learned helplessness) ซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียดสะสม เพราะรู้สึกว่าช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลยในสถานการณ์ที่ชวนสิ้นหวังเช่นนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองจึงมีแบบเดียวคือ การหนีจากความจริง ปิดสวิตช์การเรียนรู้ตัวเองอย่างไร้ความหวัง ไม่แม้แต่จะพยายามต่อสู้ 

สิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายคือ คะแนนจะตกลงในวิชานั้น และเด็กแสดงอาการกังวลใจ ขาดความมั่นใจ หรือผิดหวังในตัวเองให้เห็น ‘เฉพาะ’ วิชานั้นๆ แต่พอเรียนวิชาอื่นก็กลับกระตือรือร้นได้เหมือนเดิม

สำหรับตัวนักเรียนเอง หากพบปัญหานี้ก็ควรปรึกษากับครูหรือนักจิตวิทยาเพื่อหาทางออกร่วมกัน

ปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ พวกนักเรียนอาจรู้สึกน่าเบื่อเพราะ ไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนที่มีลักษณะพื้นฐานมาก ให้เข้ากับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ในกรณีนี้เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของผู้สอนที่จะต้องพยายามยกตัวอย่าง นำเอาความรู้จากในห้องเรียนมาแก้ปัญหากรณีศึกษาหรือตัวอย่างจากชีวิตจริง

หากทำได้ดี นักเรียนก็จะรู้สึกประทับใจและรู้สึกว่า การเรียนในห้องเรียนมีความน่าสนใจและน่าเบื่อน้อยลง

ประเด็นคล้ายๆ กันแต่แตกต่างกันเล็กน้อยคือ เด็กๆ อาจจะรู้สึกว่าเนื้อหาวิชาที่สอนในโรงเรียนไม่มี ‘ความหมาย’ สำหรับตัวพวกเขามากนัก 

สำหรับเรื่องนี้คงต้องยอมรับความจริงเบื้องต้นกันก่อนว่า โรงเรียนจำนวนมากทั่วทั้งโลก ล้วนสอนโดยมี ‘ตัวชี้วัด’ ความรู้แบบที่ใช้ ‘ข้อสอบมาตรฐาน’ ตรวจวัดได้ โดยหวังว่าความรู้เหล่านั้นที่ทางผู้ร่างหลักสูตรเห็นว่า ‘สำคัญและจำเป็น’ จะซึมซับเข้าสู่สมองของเด็กๆ

การทดสอบส่วนใหญ่จึงเป็นการทดสอบ ‘ความจำ’ เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ จำนวนมาก แทนที่จะวัดความสามารถในการเรียนรู้หรือความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล

ครูจำนวนมากจึงแบกรับความกดดันที่ต้องเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ให้จดจำ ‘ข้อมูล’ จำนวนมากเข้าไปในช่วงเวลาที่มีอย่างจำกัด เพราะจะมีผลกับการประเมินความสามารถของครูหรือโรงเรียนเอง ซึ่งวัดจากข้อสอบมาตรฐานระดับประเทศหรือระดับนานาชาติอีกทอดหนึ่ง หรือแม้แต่วัดจากจำนวนนักเรียนที่สอบเข้าโรงเรียนอื่นหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำได้มาก จึงเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะใช้สอนเกี่ยวกับ ‘ความหมายของชีวิต’ หรือสิ่งต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบกับพวกเด็กๆ นอกเหนือไปจากเนื้อหาที่จะใช้สอบ 

นอกจากนี้ ความรู้ที่ทันสมัยกว่าและเด็กสนใจมากกว่า และอาจใช้เป็นอาชีพในโลกยุคใหม่ได้ อย่างการนำเสนอหรือขายของผ่านยูทูบ เฟซบุ๊ก หรือติ๊กต่อกให้น่าสนใจ จึงยากที่จะเล็ดรอดผ่านเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการศึกษาได้ เพราะแม้แต่คนกำหนดหลักสูตรและคนสอนหนังสือต่างก็ล้วนไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่เห็นความสำคัญมากพอ   

ประเด็นต่อมานี้น่าจะได้พูดคุยกันในสถานศึกษามากขึ้น คือไม่ใช่เด็กทุกคนจะเรียนได้ดีผ่านการอ่านหรือการดูเท่านั้น 

ขยายความอีกนิดก็คือ สไตล์การเรียนรู้สำคัญมีอยู่ 4 แบบด้วยกัน คือ (1) การดู (2) การฟัง (3) การอ่านและการเขียน และสุดท้าย (4) การเคลื่อนไหวและสัมผัส (Kinesthetic) โดยสามแบบแรกนี่เข้าใจไม่ยาก คือบางคนได้ดูหรือเห็นเป็นภาพแล้วจะจำได้ไวมาก ส่วนบางคนได้ฟังแล้วจะจำขึ้นใจ และสำหรับบางคนต้องได้อ่านหรือเขียน ถึงจะจำได้ดีมาก สำหรับแบบสุดท้ายนี่ก็คือ พวกที่ชอบลงมือทำหรือได้ทดลองแล้วจะจำฝังใจนั่นเอง พวกนี้เหมาะมากจะได้มาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักทดลอง และนักวิจัย 

แน่นอนว่าการแบ่งแบบนี้เป็นการแบ่งแบบคร่าวๆ เท่านั้น หมายความว่าบางคนอาจจะเรียนรู้ได้ดีในหลายสไตล์ แต่ประเด็นสำคัญกว่าก็คือ หากวิธีการสอนไม่เข้าคู่กับสไตล์ความถนัดในการเรียน นักเรียนคนนั้นก็อาจทำได้ย่ำแย่ 

ข้อที่น่าขบคิดสำหรับครูอาจารย์ก็คือ กลเม็ดต่างๆ ที่ตัวเองใช้อยู่ในห้องเรียนนั้น สนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนที่ถนัดการเรียนรู้แบบต่างๆ มากน้อยแค่ไหน? การพูดและเขียนกระดานหรือฉายสไลด์อาจจะเป็นการทิ้งเด็กที่มีสไตล์การเรียนรู้แบบอื่นไว้ข้างหลังมากจนเกินไปหรือไม่? 

ไม่แต่เพียงสไตล์การรับรู้ข้อมูลของนักเรียนเท่านั้น ความชอบของแต่ละคนที่แตกต่างกันก็สำคัญมากเช่นกัน แต่ละคนย่อมมีวิชาที่ชอบและวิชาที่ไม่ชอบ 

แม้ว่าเด็กส่วนใหญ่จะทำพอให้ผ่านวิชาที่ไม่ชอบไปได้ แต่ก็คงมีเด็กไม่น้อยที่รู้สึกเสียเวลาและไม่อยากเข้าเรียนชั้นเรียนที่ตัวเองไม่มีความสนใจเลย 

นักเรียนที่เก่งวิชาการก็อาจไม่ชอบวิชาหมวดพละศึกษาที่ตัวเองไม่ค่อยได้ทำ (แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นบ้าง อาจมีคนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊บ้างเหมือนกัน) การพูดคุยเรื่องกีฬาอาจเป็นเรื่องสนุกสำหรับบางคน แต่ก็อาจเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับหลายคนที่อยากคุยเรื่องความรู้แปลกๆ ด้านภาษา ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์มากกว่า

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลเบื้องต้นที่สรุปได้ว่า โรงเรียนควรสนับสนุนให้นักเรียนทำกิจกรรมด้านศิลปะบางอย่างด้วย เช่น การเล่นดนตรี 

เพราะพบว่าเด็กนักเรียนที่สนใจและเล่นดนตรีได้ดี มักทำวิชาอื่นๆ ได้ดีกว่าเฉลี่ยไปด้วย [1] 

โดยเฉพาะดนตรีที่ต้องใช้อุปกรณ์ดนตรีอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การร้องเพลงเฉยๆ เพราะเมื่อนำคะแนนสอบที่ทำได้มาดู พบว่าเด็กๆ ที่ร่ำเรียนดนตรีมานานหลายปีและยังเล่นอยู่ในวงโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเป็นสมาชิกวงออร์เคสตรา มักทำคะแนนได้ดีกว่าเพื่อนร่วมรุ่นในวิชาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์!    

การเข้ากลุ่มของเด็กนักเรียนก็สำคัญ หากเด็กรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน หรือโดนกลั่นแกล้ง ก็จะทำให้งานกลุ่มกลายเป็น ‘นรก’ สำหรับเด็กคนนั้นได้ ครูควรสอดส่อง สังเกตปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับเพื่อน และหาทางช่วยเหลือ

เรื่องสุดท้ายคือ ชั่วโมงการเรียนที่ยืดยาวเกินไปมักทำให้เด็กๆ อ่อนล้า จนยากจะโฟกัสเนื้อหาในวิชาท้ายๆ ได้ จึงอาจจะรู้สึกว่าเหนื่อยและเบื่อวิชาท้ายๆ ของวัน การกำหนดจำนวนชั่วโมงเรียนต่อวันจึงมีความสำคัญ วิชาที่ต้องใช้แรงกายมากกว่าจึงอาจเหมาะกับช่วงเวลาเย็นๆ ใกล้เลิกเรียนมากกว่า 

การมองหาจุดอ่อนของวิธีการ กระบวนการ และธรรมชาตินิสัยทั้งหมดดังกล่าว จึงสำคัญและอาจช่วยลดความน่าเบื่อของการเรียนในห้องเรียนและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้   

อ้างอิง

1. A Population-Level Analysis of Associations Between School Music Participation and Academic Achievement,” by Martin Guhn, PhD, Scott D. Emerson, MSc, and Peter Gouzouasis, PhD, The University of British Columbia. Journal of Educational Psychology. Published online June 20, 2019.

Tags:

นักเรียนห้องเรียนการเรียนปัญหา

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesUnique Teacher
    เพราะอนาคตของเด็กถูกปูทางด้วย ‘ระบบการศึกษา’: ฝากปัญหาเดิมๆ ถึงรัฐบาลใหม่ จากใจครูบะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Imposter Syndrome: แด่ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘เก่งไม่พอ’
How to enjoy life
19 September 2022

Imposter Syndrome: แด่ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘เก่งไม่พอ’

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คนที่มีอาการนี้มักเจอวงจร (imposter cycle) ที่เริ่มจากการที่คุณได้รับงานบางอย่างมา คุณจะรู้เริ่มรู้สึกวิตกกังวล เครียด สับสนในตัวเอง ซึ่งก็จะมีสองทางเลือก คือ ผัดวันประกันพรุ่ง กับ ตั้งใจเตรียมตัวมากเกินความจำเป็น
  • ความรู้สึกเก่งไม่พอนี้เป็นความรู้สึกที่คนกว่า 70% เจออย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต คุณไม่ได้กำลังเจอสิ่งนี้เพียงลำพัง เพราะฉะนั้นอย่าเก็บมันความรู้สึกนี้ไว้คนเดียว
  • หนึ่งในวิธีรับมือ คือ การถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้ฉันไม่เก่ง ฉันล้มเหลว แล้วจะเป็นอย่างไร คุณจะรักตัวเองได้ไหม คุณจะใจเย็นกับตัวเองได้ไหม บางครั้งมันอาจเป็นเพียงแค่การที่คุณยอมรับว่าคุณก็มีด้านที่ไม่เก่ง แต่ก็มีด้านที่เก่งเช่นกัน มันไม่ใช่อะไรที่เก่งหรือไม่เก่งเลย

อาจมีบางจังหวะในชีวิตที่คุณกำลังรู้สึก ‘เก่งไม่พอ’ หรือ ‘ตัวเองดีไม่พอ’ ผมไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากคำพูดของคนอื่น หรือว่ามาจากเสียงที่คุณบอกตัวเอง แต่หากเสียงนั้นเริ่มก่อให้เกิดความรู้สึกสงสัย กังวล หรือกลัวจนเริ่มกวนใจ นั่นอาจเป็นสัญญาณของอาการที่รู้สึกว่า ตัวเองเก่งไม่พอ (imposter syndrome) ซึ่งมักเป็นคนที่คนอื่นมองว่าเก่ง มีความสามารถ แต่ลึกๆ ข้างในเขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งจริง เหมือนความสำเร็จไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นคือเกิดความกลัว และวิตกกังวลว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่ง คู่ควรพอที่จะได้ทำสิ่งต่างๆ หรือประสบความสำเร็จ

คนที่มีอาการนี้มักเจอวงจร (imposter cycle) ที่เริ่มจากการที่คุณได้รับงานบางอย่างมา คุณจะรู้เริ่มรู้สึกวิตกกังวล เครียด สับสนในตัวเอง ซึ่งก็จะมีสองทางเลือกคือ 

1) คุณผัดวันประกันพรุ่ง เพราะอารมณ์ที่ท่วมท้นคอยกวนใจจนคุณอยากหนี (สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการผัดวันประกันพรุ่งคือมันไม่ใช่เรื่องของการจัดการเวลา แต่คือการหลีกหนีความรู้สึกเครียด วิตกกังวลที่เกิดขึ้นในตัวเอง)

2) คุณตั้งใจเตรียมตัวมากเกินความจำเป็น (over-preparation) เมื่อทำงานได้สำเร็จคุณก็อาจรู้สึกผ่อนคลาย ดีใจอยู่สักครู่หนึ่ง ด้วยผลงานที่ดีอาจมีเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างเดินเข้ามาชมคุณ 

สิ่งที่คุณจะรู้สึกทันทีคือ งานนี้ไม่ได้สำเร็จเพราะความสามารถของคุณ คุณไม่ได้เก่งขนาดนั้น มันอาจสำเร็จเพราะความโชคดี อาจสำเร็จเพราะคุณพยายามอย่างหนักมาก เหมือนกับว่าคุณมองไม่เห็นว่าความพยายามนั้นมันสื่อถึงตัวตนหรือความสามารถของคุณ แล้ววงจรของการคิดว่าตัวเองไม่เก่ง (imposter cycle) ก็วนเวียนไปไม่มีสิ้นสุด 

ได้รับงาน – กังวล/ เครียด/ สงสัยตัวเอง – ทำงานหนัก/ ผัดวันประกันพรุ่ง – สำเร็จ – กังวล/ เครียด/ สงสัยตัวเอง 

คนเหล่านี้มักมีความคาดหวังที่สูงลิ่ว เขาจะอยากประสบความสำเร็จ อยากทำให้ได้ดี แต่เมื่อได้สิ่งเหล่านั้นเขากลับไม่ได้รู้สึกดี ความสำเร็จกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขายิ่งสงสัยในตัวเองยิ่งขึ้นว่าเขาดีพอเหรอ หรือกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเขาไม่ได้ทำได้เก่ง กลัวว่าคนที่เก่งกว่าจะมาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำได้มันก็ไม่ได้เก่งอะไร

คนเหล่านี้กลัวความล้มเหลวมาก ความล้มเหลวเหมือนเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเผชิญทำให้คนที่มีอาการคิดว่าตัวเองเก่งไม่พอมักจะมีลักษณะของคนที่รักความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ร่วมด้วย บางคนก็ทำงานหนักไม่ยอมหยุดแม้งานจะเสร็จ บางคนก็ตำหนิและกดดันตัวเองให้งานออกมาดี บางคนก็ลงรายละเอียดงานเยอะเกินไป บางคนก็ก็ผัดวันประกันพรุ่ง เพราะความเครียดและกดดัน 

งานวิจัยพบว่าคนกลุ่มนี้มักมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล ไม่เห็นคุณในตัวเอง และมีปัญหาเครียดที่ออกมาทางร่างกาย 

แม้จะมีการศึกษาเรื่องนี้ในจิตวิทยาอย่างแพร่หลาย แต่อาการนี้ไม่ใช่โรคทางจิตเวชแต่อย่างใด หากเพียงเป็นอาการของคนทั่วไปที่สามารถเจอได้บ่อยในผู้หญิง แต่ก็เกิดขึ้นกับผู้ชายได้เช่นกัน อ่านถึงจุดนี้คุณอาจกำลังรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง รู้สึกละอายใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ผมอยากบอกว่า “คุณไม่ได้กำลังเผชิญสิ่งนี้คนเดียว” 

ความรู้สึกเก่งไม่พอนี้เป็นความรู้สึกที่คนกว่า 70% เจออย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต คุณไม่ได้กำลังเจอสิ่งนี้เพียงลำพัง คุณไม่ได้โดดเดี่ยว คนที่มีอาการนี้มักรู้สึกละอายใจในตัวเอง (shame) กลัวถูกจับได้ว่าไม่เก่งจริง เพราะฉะนั้นอีกสิ่งที่สำคัญคือ อย่าเก็บความรู้สึกนี้ไว้คนเดียว

คนที่มีอาการนี้มักอยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้ยืนยันคุณค่าของเขา เวลาที่เขาทำอะไรได้สำเร็จแทนที่จะมีคำชมเล็กๆ น้อยๆ ว่าเขาเก่งนะ ดีมากเลย เพื่อเป็นกำลังใจให้ กลับนิ่งเฉยหรือไม่ได้มีความรู้สึกดีใจด้วย สิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนๆ หนึ่งที่จะรับรู้คุณค่าของตัวเอง 

การที่คนหนึ่งจะรับรู้ว่าตัวเองมีคุณค่าไหมเกิดจากการที่พ่อแม่หรือคนที่สำคัญในชีวิตเขาให้คำชม ฉลองกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ มันจะเป็นเหมือนต้นแบบที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า “ฉันก็เก่งเหมือนกันนะ” 

แต่ถ้าไม่มีคำชมเขาก็อาจเรียนรู้ว่า มันก็แค่ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสามารถของฉัน 

วิธีรับมือกับอาการที่รู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอ 101

  1. เฉลิมฉลอง หรือฝึกรู้สึกขอบคุณกับความพยายามของคุณ อย่าปล่อยให้มันเป็นเพียงสิ่งทีเกิดขึ้นแล้วหายไป ใช้เวลาอยู่กับความสำเร็จนั้นหน่อย ฝึกแบบนี้บ่อยๆ จะสามารถเอาความรู้สึกนี้ไปใช้ให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาได้ในช่วงที่เกิดความสงสัยในตัวเอง
  2. เวลาที่มีคนฟัง อย่าเพียงแค่เปิดหูรับฟังด้วยข้อมูล หรือคำพูดของเขา แต่ให้เปิดความรู้สึกตัวออกมาเพื่อสัมผัสคำชมนั้นจริงๆ เพื่อให้ ‘รู้สึก’ ไปกับสิ่งที่เขาพูดชื่นชม
  3. อย่าเอาคุณค่าของตัวเองไปฝากที่งานทั้งหมด คุณค่าของคุณมีมากกว่านั้น ผมนึกถึงคำว่า การยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข ถ้าคนรักของคุณกำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกแย่นี้คุณจะบอกเขาว่าอย่างไร ให้ลองเอาคำนั้นมาบอกตัวเอง และให้การยอมรับตัวเองอย่างไร้เงื่อนไขดูบ้าง
  4. ถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้ฉันไม่เก่ง ฉันล้มเหลว แล้วจะเป็นอย่างไร คุณจะรักตัวเองได้ไหม คุณจะใจเย็นกับตัวเองได้ไหม บางครั้งมันอาจเป็นเพียงแค่การที่คุณยอมรับว่าคุณก็มีด้านที่ไม่เก่ง แต่ก็มีด้านที่เก่งเช่นกัน มันไม่ใช่อะไรที่เก่งหรือไม่เก่งเลย (all-or-nothing thinking) 
  1. มองว่าความล้มเหลว ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีใครเก่งได้ตลอด ไม่มีใครสมบูรณ์แบบได้เสมอ เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนพิเศษที่คนอื่นมองว่าเก่ง หรือมีคนยอมรับตลอดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญมากกว่าสายตาคนอื่นคือ ถ้าวันนี้คนอื่นไม่ยอมรับคุณ คุณจะรักและยอมรับตัวเองไหม และถ้าเป็นไปได้ลองทำความเข้าใจความกลัวความล้มเหลวว่ามันมีที่จากอะไร อะไรทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยกับความล้มเหลว แล้วถ้าล้มเหลวความรู้สึกคุณจะเป็นอย่างไร 
  1. เล่าความรู้สึกกลัวและกังวลว่าตัวเองไม่เก่ง กลัวคนอื่นรู้ว่าตัวเองเก่งไม่พอให้คนอื่นฟังบ้าง อย่าปล่อยให้ความละอายใจทำให้คุณจมอยู่กับปัญหาเพียงคนเดียว ถ้าเป็นไปได้ให้หาคนที่เขามีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) คุณจะได้รู้สึกว่ามีคนเข้าใจ และอยู่ข้างๆ ในหุบเหวแห่งความกลัวและกังวลนั้น 

ถึงแม้อาการรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอจะไม่ใช่อาการทางจิตเวช แต่ก็เป็นอาการที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยไว้นานก็อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตได้ อยากเป็นกำลังใจให้นะครับ มันคงเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยกับการที่ต้องพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ได้ดี แต่กลับไม่สามารถรู้สึกอิ่มเอมกับความสำเร็จได้ แม้กระทั่งการต้องพยายามหนีความล้มเหลว ความรู้สึกเก่งไม่พอ แต่เหมือนยิ่งหนีกลับยิ่งรู้สึกสงสัยในตัวเองมากกว่าเดิมซะงั้น 

สิ่งที่ผมชอบพูดเวลาเขียนบทความสุขภาพจิตเสมอเลยคือ อยากให้ใจดีกับตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไป มันใช้เวลาในการทำความเข้าใจและสังเกตความรู้สึกตัวเองเสมอ แต่คุณจะเจอตัวเองที่มีความสุขมากขึ้น ตัวคุณที่อนุญาตให้ตัวเองไม่เก่ง อนุญาตให้ตัวเองล้มเหลว อนุญาตให้ตัวเองดื่มด่ำกับความสำเร็จ 

คำพูดหนึ่งที่ผมคิดว่าคนที่มีอาการเหล่านี้ต้องการอยู่ลึกๆ คือ

“ไม่ต้องเก่ง ฉันก็รักเธออยู่ดี”

อ้างอิง 

Bravata, D. M., Madhusudhan, D. K., Boroff, M., & Cokley, K. O. (2020). Commentary: Prevalence, predictors, and treatment of imposter syndrome: A systematic review. Journal of Mental Health & Clinical Psychology, 4(3).

Sakulku, J. (2011). The impostor phenomenon. The Journal of Behavioral Science, 6(1), 75-97.

Tags:

การรับมือคุณค่าความสำเร็จImposter Syndromeความรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอ

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Hate-Following: งานอดิเรกในโลกโซเชียลที่ผสมผสาน ‘การนินทา’ กับ ‘เทคโนโลยี’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

This Is Us: อย่าปล่อยให้ทางเลือกแย่ๆ ของพ่อแม่ทำให้ลูกกลัวที่จะแตกต่าง
Dear ParentsMovie
16 September 2022

This Is Us: อย่าปล่อยให้ทางเลือกแย่ๆ ของพ่อแม่ทำให้ลูกกลัวที่จะแตกต่าง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • This Is Us เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงครอบครัวของ ‘แจ็กและรีเบคก้า เพียร์สัน’ และลูกทั้งสาม (The big three) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘แรนดอล’ เด็กผู้ชายผิวดำที่พวกเขามารับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม โดยซีรีส์มีสไตล์การเล่าเรื่องแบบสลับช่วงเวลาไปมาหลายช่วงระหว่างเรื่องราวในอดีต 
  • ในวัยประถม คุณครูแนะนำให้ย้ายแรนดอลไปยังโรงเรียนอื่น ที่ส่งเสริมความสามารถทางคณิตศาสตร์ แต่แจ็กไม่อยากสร้างความแตกต่างให้แรนดอลและตัดสินใจจากความรู้สึกของตัวเอง จนเกือบขัดขวางโอกาสพิเศษของลูก
  • สุดท้ายแจ็กกลับมาลองสังเกตและได้ปรับความเข้าใจกับลูก แม้พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ที่ทำดีตลอดเวลา ไม่ได้รู้ทุกครั้งว่าจะต้องทำอย่างไร ยังเป็นมนุษย์ที่เผลอทำผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่มี growth mindset ที่พร้อมจะเรียนรู้ไปพร้อมกับลูกเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำพลาดไป

Tags:

ความเข้าใจThis Is Usความแตกต่างความผิดพลาดพ่อแม่ครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ
Early childhoodFamily Psychology
14 September 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • โรคสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) บุคคลจะมีแนวโน้มรักสะอาด จัดของเป็นระเบียบ กลัวการตัดสินใจและความผิดพลาด ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งลักษณะเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เช่น บางคนอาจจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ หรือ ซึมเศร้าได้ เพราะตัวเองไม่สามารถทำได้ตามที่ตัวเองหวังไว้
  • แม้ว่าระเบียบวินัย กฎกติกา และความสะอาด ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย แต่ ‘อะไรที่มากเกินไป หรือ น้อยเกินไป สามารถส่งผลเสียได้’ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นในบางสถานการณ์ เพราะแก่นสารของวัยเยาว์ คือ ‘การเรียนรู้เพื่อเติบโต ไม่ใช่เพื่อทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ’
  • กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างทางเขาต้องผ่านอะไรมามากมาย ทั้งทำผิด ทำพลาด ทั้งล้ม แล้วต้องลุก แต่ทุกๆ ก้าวคือการเรียนรู้  ดังนั้น ‘อย่าให้ความสมบูรณ์แบบสำคัญกว่าการเรียนรู้เพื่อเติบโต’

โรคสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) บุคคลจะมีแนวโน้มรักสะอาด จัดของเป็นระเบียบ กลัวการตัดสินใจ โลเล กลัวความผิดพลาด ไม่ยืดหยุ่น ไม่ประนีประนอม ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

ซึ่งลักษณะเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เช่น บางคนอาจจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder: OCD) หรือ ซึมเศร้า (Depression)  ได้ เพราะตัวเองไม่สามารถทำได้ตามที่ตัวเองหวังไว้ 

ตัวอย่างเคส: ‘เด็กหญิงผู้คาดหวังความสมบูรณ์’

เด็กหญิงวัย 5 ขวบบรรจงระบายสีในกรอบอย่างตั้งใจ ใครๆ ที่มองเธออยู่ต่างก็รู้ดีว่าเด็กหญิงทำสุดความสามารถของเธอ 

“ไม่นะมันเลอะออกนอกเส้น” เด็กหญิงหวีดสุดเสียง 

“ไม่เป็นไรหรอกลูก นิดๆ หน่อยๆ เอง หนูระบายสวยมากแล้ว” คุณแม่พยายามปลอบใจ 

“ไม่เอา หนูไม่ชอบภาพนี้แล้ว” เมื่อพูดจบประโยคดังกล่าว เด็กหญิงก็ขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะทันที 

ย้อนมาดูเบื้องหลัง ก่อนจะเป็นเด็กหญิงในวันนี้ พ่อแม่ของเธอรักความสะอาด ชอบให้ทุกอย่างอยู่ถูกที่ถูกทาง เป็นระเบียบอยู่เสมอ เด็กหญิงเติบโตมาท่ามกลางสายตาไม้บรรทัดของพ่อแม่ เธอถูกคาดหวังให้เป็นเด็ก เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ 

เวลาเธอไปเล่นในสนามเด็กเล่น เพียงไม่กี่นาทีคุณแม่จะเรียกให้เธอมาเช็ดมือด้วย กระดาษเปียกฆ่าเชื้อแอลกอฮอล์ เธอถูกสั่งห้ามเดินเท้าเปล่าออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธอทำเลอะเทอะ พ่อแม่จะรีบกรูเข้ามาทำความสะอาดตัวเธอทันที 

เด็กหญิงเรียนรู้มาโดยตลอดว่าเธอต้องเป็นระเบียบ ทุกอย่างต้องเรียบร้อย สะอาด และดูดีเสมอ นานวันเข้าจากแค่เรื่องความสะอาด และความเป็นระเบียบของข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเธอ ตอนนี้ได้ลามมาถึงชิ้นงานทุกชิ้นที่เธอทำ 

เมื่อเด็กหญิงทำผิดพลาด หรือ ทำชิ้นงานไม่ได้เป๊ะอย่างที่ใจเธอคิด เธอจะทำลายชิ้นงานนั้นทันที และอาจจะไม่กลับไปทำใหม่อีกแล้ว 

เด็กหญิงให้คุณค่ากับภายนอกที่ตาเห็นมากกว่าภายในที่ใจรู้สึก ความตั้งใจและความพยายามของเธอจะหมดค่าทันที เมื่อผลงานออกมาไม่เป็นดังหวัง

ในวัยของเด็กหญิงที่ควรจะวิ่งเล่น เล่นดิน เล่นทราย อย่างสบายใจ ระบายสีเลอะเทอะ ตามแต่จินตนาการจะนำพา ทุกวันนี้เธอกังวลว่า เสื้อผ้าของเธอจะเลอะเทอะ เท้าของเธอจะเปรอะเปื้อน มากกว่าความสนุกที่เธอควรจะได้รับ และเธอกังวลทุกครั้งที่ทำชิ้นงานศิลปะ เพราะเมื่อใดที่ระบายออกนอกกรอบ เมื่อนั้นคือการเริ่มทำแผ่นใหม่ทันที ไม่มีการ อ่อนข้อให้กับความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น 

เพื่อนๆ รอบตัวเด็กหญิงเริ่มถอยห่าง เพราะเธอไม่ยอมประนีประนอมกับใคร เพื่อนทำผิดเธอจะวิ่งรี่ไปฟ้องคุณครูทันที ไม่ยืดหยุ่นกับวิธีการเล่น เพราะเธอเชื่อว่า กฎก็คือกฎ 

ในช่วงแรกพ่อแม่ของเธอภูมิใจมากที่ลูกเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ และดูแลความสะอาดข้าว ของของเธอได้ดีมาก 

ยิ่งเด็กหญิงเข้าใกล้การเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ รอยยิ้มความสดใสของวัยเยาว์ค่อยๆเลือนหายไปเท่านั้น จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่เริ่มตระหนักว่า ‘ลูกกำลังจะไม่เป็น เด็กอีกต่อไปแล้ว’

พ่อกับแม่เล่าว่า พาเด็กหญิงไปซื้อของเล่นเป็นของขวัญที่เธอเรียนดี พ่อแม่ให้เด็กหญิง เข้าไปเลือกของเล่นที่เธอถูกใจ แต่สิ่งที่เด็กหญิงทำคือ เธอเดินไปรอบๆ แล้วกลับมาหาพ่อกับแม่พร้อมบอกพวกเขาว่า 

“หนูไม่อยากได้ของเล่น เพราะเล่นแล้วก็ต้องมาเก็บ หนูไม่อยากเล่นด้วย ไม่รู้ของเล่นสนุกยังไง” 

เด็กหญิงไม่มีความสุขกับวัยเยาว์ของเธอ เพราะตอนนี้เธอใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับ ‘มนุษย์ ไม้บรรทัด’ ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบจึงจะดีพอ แต่โลกของเราไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบหรอก ทุกอย่างมีส่วนบิดเบี้ยว ดีบ้าง แย่บ้าง ปะปนกันไป ไม่มีใครทำทุกอย่างได้ดีพร้อมตลอดเวลา 

‘ระเบียบวินัย’ เป็นโครงสร้างสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างสง่างาม กฎกติกาก็หล่อหลอมให้เด็กเคารพผู้อื่นในสังคม ความสะอาดก็มีส่วนช่วยให้เด็กๆ ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ 

อย่างไรก็ตาม ‘อะไรที่มากเกินไป หรือ น้อยเกินไป สามารถส่งผลเสียได้’ 

บางครั้งเราต้องเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นในบางสถานการณ์ เพราะบางสถานการณ์ บางสิ่งก็สำคัญกว่าผลงานที่สมบูรณ์แบบ บางสิ่งที่กล่าวถึงก็คือการได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้มนุษย์เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น 

เด็กก็เช่นกัน เราควรให้เขาได้เล่นเลอะเทอะบ้าง วาดภาพตามจินตนาการบ้าง ไม่ต้องระบายสีในกรอบ ไม่ต้องเขียนตัวอักษรได้ตรงเป๊ะทุกบรรทัด และไม่ต้องสมบูรณ์แบบทุกวัน เพราะแก่นสารของวัยเยาว์ คือ ‘การเรียนรู้ เพื่อเติบโต ไม่ใช่เพื่อทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ’

แนวทางลดการคาดหวังให้สมบูรณ์แบบ แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเด็กๆ 

1) ให้เด็กได้ลงมือทำ

แม้จะผิดพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะความผิดพลาดนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ สอน เขาให้ยอมรับและปรับเปลี่ยนแก้ไขเพื่อพัฒนาเติบโตต่อไป 

2) ให้เด็กได้เรียนรู้และยอมรับความแตกต่าง 

ใครที่ไม่เหมือนเขาไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี ทุกคนไม่ต้องเหมือนกันเสมอไปเพื่อจะดีพอ ทุกคนมีดีในตัว มีคุณค่าในแบบฉบับของตนเอง ทั้งนี้ตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนใครเพื่อจะดีพอ 

3) ให้ชื่นชมในความพยายามเป็นสำคัญ 

แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้ดีเลิศเลอ แต่เมื่อชื่นชมที่ความตั้งใจและความพยายาม เด็กจะมีกำลังใจในการพัฒนาต่อไป 

4) ให้ตำหนิที่การกระทำไม่ใช่ตัวตน 

เพราะพฤติกรรมหรือการกระทำเปลี่ยนแปลงได้ ในขณะที่ตัวตนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก 

5) ไม่ซ้ำเติมเมื่อลูกทำผิดพลาด 

เพราะคงไม่มีใครอยากทำผิดพลาดหรอกถ้าเลือกได้ ดังนั้นเมื่อลูกทำผิดพลาด ให้สอนเขาและเคียงข้างจนเขาแก้ปัญหานั้นได้ 

กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างทางเขาต้องผ่านอะไรมามากมาย 

ทั้งทำผิด ทำพลาด ทั้งล้ม แล้วต้องลุก แต่ทุกๆ ก้าวคือการเรียนรู้ 

ดังนั้น ‘อย่าให้ความสมบูรณ์แบบสำคัญกว่าการเรียนรู้เพื่อเติบโต’

อ้างอิง 

Sussex Publishers. (n.d.). Perfectionism. Psychology Today.

Retrieved  August 18, 2022, from https://www.psychologytoday.com/us/basics/ perfectionism

Tags:

การเลี้ยงดูเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปโรคย้ำคิดย้ำทำPerfectionismความสมบูรณ์แบบสุขภาพจิตพ่อแม่ซึมเศร้า

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    ปิน็อกกีโอ: มายาคติ ‘เด็กดี’ ในโลกยุคเก่า และการก้าวผ่านช่วงวัยด้วยความรัก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ปิน็อกกีโอ: มายาคติ ‘เด็กดี’ ในโลกยุคเก่า และการก้าวผ่านช่วงวัยด้วยความรัก
Book
10 September 2022

ปิน็อกกีโอ: มายาคติ ‘เด็กดี’ ในโลกยุคเก่า และการก้าวผ่านช่วงวัยด้วยความรัก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ปิน็อกกีโอ เป็นหนึ่งในตัวละครจากวรรณกรรมเด็กที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก แต่สิ่งที่ทำให้ปิน็อกกีโอ แตกต่างจากตัวละครในวรรณกรรมเด็กอื่นๆ คือ นิสัยที่ตรงกันข้ามกับนิยามของเด็กดีทุกอย่าง และมีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่สังคมคาดหวังจาก ‘เด็ก’ หรือ ‘ผู้ใหญ่’ 
  • เป้าหมายสำคัญในการเขียนเรื่องปิน็อกกีโอ เพื่อเป็นนิทานสอนเด็กให้รู้จักประพฤติตัวตามแบบอย่าง ‘เด็กดี’ ที่สังคมคาดหวัง โดยเล่าเรื่องราวให้ปิน็อกกีโอพบเจอกับวิบากกรรม เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของปิน็อกกีโอ
  • แม้การสอนอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ ในเรื่องปิน็อกกีโอ อาจจะ‘เชย’ และใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ในโลกยุคปัจจุบัน แต่แก่นสำคัญ ที่เป็นความจริงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ก็คือ ความรัก ความเข้าใจ และการให้โอกาส จะช่วยให้เด็กคนหนึ่ง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างแน่นอน

ปิน็อกกีโอ หรือที่หลายคนคุ้นในชื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พิน็อกคิโอ, พีน็อกคีโอ หรือ พิน็อคคีโอ นับเป็นหนึ่งในตัวละครจากวรรณกรรมเด็กที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก 

แต่สิ่งที่ทำให้ปิน็อกกีโอ แตกต่างจากตัวละครในวรรณกรรมเด็กอื่นๆ และกลายเป็นภาพจำของคนทั่วโลกเมื่อพูดถึงตัวละครตัวนี้ ก็คือ ความเป็นเด็กดื้อ ขี้เกียจเรียนหนังสือ และชอบโกหก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่สังคมคาดหวังจาก ‘เด็ก’ หรือ ‘ผู้ใหญ่’ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม

แล้วอะไรล่ะ ทำให้ตัวละครเด็กดื้ออย่าง ปิน็อกกีโอ ยังเป็นที่รักของนักอ่านทั่วโลก

ย้อนกลับไปเมื่อ 1883 หรือเมื่อ 139 ปีที่แล้ว การ์โล กอลโลดี นักเขียนชาวอิตาลี จากเมืองฟลอเรนซ์ ได้สร้างสรรค์วรรณกรรมเด็กเรื่อง การผจญภัยของปิน็อกกีโอ (The Adventure of Pinocchio) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเด็กที่ได้รับความนิยมยาวนานจวบจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังถูกดัดแปลงเป็นอะนิเมชั่นโดย วอลท์ ดิสนีย์ และทำให้ตัวละครปิน็อกกีโอ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมป๊อป

ปิน็อกกีโอ (ถอดเสียงตามฉบับแปลเป็นภาษาไทย โดย กมลเดช สงวนแก้ว สำนักพิมพ์ผีเสื้อ) เป็นเรื่องราวของหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ที่มีความปรารถนาอยากจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ก่อนที่ความฝันจะกลายเป็นจริงได้ ปิน็อกกีโอ ต้องผจญภัยผ่านพบอุปสรรคนานัปการ เพื่อพิสูจน์คุณค่าในตัวเองว่า เขามีความเหมาะสมและคู่ควรจะได้รับพรให้กลายร่างเป็นมนุษย์จริงๆ

โดยพื้นฐานและภูมิหลัง การ์โล กอลโลดี เคยเป็นนักข่าวและนักวิพากษ์สังคมด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เรื่องราวของปิน็อกกีโอ แฝงด้วยการเสียดสีและสอดแทรกนัยยะปัญหาโครงสร้างสังคม แต่ถึงกระนั้น เป้าหมายสำคัญในการเขียนเรื่องปิน็อกกีโอ ก็เพื่อเป็นนิทานสอนเด็กให้รู้จักประพฤติตัวตามแบบอย่าง ‘เด็กดี’ ที่สังคมคาดหวัง

แล้วอะไรล่ะ คือ สิ่งที่สังคมคาดหวังจาก ‘เด็กดี’

เด็กเอ๋ย..เด็กดี ต้องมีหน้าที่กี่อย่างด้วยกัน?

ในช่วงวัยหนุ่มของกอลโลดี อิตาลีอยู่ในช่วงของการรวมชาติ (หลังจากแตกเป็นรัฐอิสระมากมาย ในช่วงหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า สังคมที่ดี จะต้องปลูกฝังและสร้างตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเด็กที่ดีจะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม และจะช่วยกันผลักดันให้ประเทศชาติพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องและดีงาม

เด็กดีในนิยามของกอลโลดี คือ เด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่-ผู้ใหญ่ ตั้งใจเรียน ขยันหมั่นเพียร และไม่พูดโกหก ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั่นก็คือนิยามของเด็กดีตามแบบฉบับที่ทุกสังคมคาดหวังจากเด็กคนหนึ่ง

ทว่า ปิน็อกกีโอ ซึ่งเป็นหุ่นที่ถูกแกะสลักจากไม้ และจู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับนิยามของเด็กดีทุกอย่าง วินาทีแรกที่ปิน็อกกีโอมีร่างกายครบสมบูรณ์ จากฝีมือการแกะสลักของช่างไม้เจ๊ปเปตโต สิ่งแรกที่เจ้าหุ่นแสนซนทำก็คือ ดึงวิกผมของเจ๊ปเปตโต ผู้เป็นเหมือนพ่อของตัวเอง เอามาใส่หัวตัวเองเล่น จนเจ๊ปเปตโตต้องอุทานออกมาว่า

“ไอ้ลูกสารเลว! เกิดมายังไม่ทันเรียบร้อยดี แกก็เริ่มดื้อกับพ่อของแกแล้ว! ไม่ดีนะ ลูกน้อย ไม่ดี!”

เท่านั้น ยังไม่พอ ปิน็อกกีโอ ยังแผลงฤทธิ์ต่อด้วยการหนีออกจากบ้าน จนไปพบกับจิ้งหรีดพูดได้ ซึ่งคอยตักเตือนปิน็อกกีโอว่า

“เวรกรรมจะเกิดแก่เด็กที่ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ และเมื่อไม่พอใจก็ทอดทิ้งบ้านไป เด็กแบบนี้จะเอาดีอะไรไม่ได้ในโลกนี้ และไม่เร็วก็ช้า น้ำตาจะต้องเช็ดหัวเข่า”

หากยึดตามบริบทของการเลี้ยงเด็กในยุคปัจจุบัน ถ้อยคำตักเตือนของจิ้งหรีดพูดได้ อาจฟังดูสุดโต่งหรือเถรตรงเกินไป ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ขาวก็ดำ ไม่มีการประนีประนอม หรือยืดหยุ่น แต่หากเรามองอีกอย่างหนึ่งว่า แท้จริงแล้ว กอลโลดี ต้องการให้จิ้งหรีด เป็นเหมือนมโนธรรมฝ่ายดีในจิตใจของเด็ก ก็ดูจะสมเหตุสมผลและเข้าใจได้มากกว่า

ในทางจิตวิทยา ยังมีการถกเถียงไม่รู้จบว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับพื้นฐานจิตใจที่ดีงามหรือเลวร้าย หลายคนเชื่อว่า  เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับจิตใจที่ดีงาม แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงค่อยถูกแปดเปื้อนด้วยความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ ขณะที่อีกหลายคน มองตรงกันข้ามว่า พื้นฐานจิตใจของเด็ก ฝักใฝ่แต่เรื่องราวที่สนองสัญชาตญาณเป็นหลัก โดยไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมความดีงาม ดังนั้น จึงต้องมีผู้ใหญ่คอยอบรมสั่งสอนเพื่อให้เติบโตเป็นคนดีของสังคม

ปิน็อกกีโอ ก็เช่นกัน ทำทุกอย่างเพื่อสนองตอบความพอใจตามสัญชาตญานของตน โดยประกาศว่า จะไม่ไปโรงเรียน แต่จะไปวิ่งเล่นจับผีเสื้อ ปีนต้นไม้ กิน ดื่ม นอน เที่ยวเตร็ดเตร่ไปมาตั้งแต่เช้าจดเย็น

จิ้งหรีด ซึ่งเป็นตัวแทนมโนธรรมฝ่ายดีในจิตใจ เพียรพยายามเตือนสติปิน็อกกีโออีกหลายครั้ง แต่สิ่งที่มันได้รับกลับมา ก็คือ ถูกเจ้าหุ่นแสนดื้อ ใช้ไม้ตะลุมพุกฟาดเปรี้ยงจนถึงแก่ชีวิต

อนิจจา ปิน็อกกีโอ ฆ่ามโนธรรมฝ่ายดีในจิตใจตัวเองไปเสียแล้ว 

วิบากกรรมของวีรบุรุษ

แม้ว่าปิน็อกกีโอ จะเป็นวรรณกรรมเด็ก ที่มีความเป็นเทพนิยาย แต่โครงเรื่อง หรือรูปแบบการเดินเรื่อง กลับมีกลิ่นอายของตำนานพื้นบ้าน หรือมหากาพย์ยุคโบราณ ซึ่งตัวเอกของเรื่อง จะต้องผจญวิบากกรรมต่างๆ นานา เพื่อที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จและได้รับการเชิดชูให้เป็นวีรบุรุษ

ตำนานพื้นบ้าน หรือมหากาพย์ ที่มีการเล่าเรื่องตามขนบนี้ มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นมหากาพย์กิลกาเมช มหากาพย์โอดิสซี หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของเรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งตัวละครเอก ต้องผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ หรือถ้าเรียกตามภาษาสมัยใหม่ก็คงต้องใช้คำว่า ทำเควสต์เพื่อผ่านด่านต่างๆ ในเกมส์

เช่นเดียวกัน ปิน็อกกีโอ ซึ่งสร้างความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง จากการฆ่ามโนธรรมฝ่ายดีในจิตใจตัวเองไป จึงต้องคำสาปเช่นเดียวกับเหล่าวีรบุรุษยุคเก่าก่อน ให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคอันแสนหนักหนาที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า ยังคงมีคุณค่าที่คู่ควรกับการได้รับการยอมรับในฐานะวีรบุรุษอีกครั้ง

วิบากกรรมที่ปิน็อกกีโอต้องเผชิญ มีตั้งแต่ ถูกคนเชิดหุ่น ผู้มีฉายาว่า มนุษย์กินไฟ จับตัวและเตรียมโยนเข้ากองไฟ ถูกล่อลวงโดยหมาจิ้งจอกและแมว โดนจับแขวนคอปางตาย ถูกชาวไร่จับและบังคับให้เป็นหมาเฝ้าเล้าไก่ เกือบถูกชาวประมงจับโยนลงกระทะทอดปลา ถูกเปลี่ยนร่างเป็นลา (หรือฬา ตามศัพท์ที่ใช้ในหนังสือฉบับแปลของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) และถูกปลาฉลามยักษ์กลืนกินลงท้อง

ขณะที่วิบากกรรมต่างๆ ทำให้เหล่าตัวเอกในตำนาน เปลี่ยนร่างจากมนุษย์ธรรมดา กลายเป็นวีรบุรุษที่คู่ควรกับการเชิดชู อุปสรรคที่ถาโถม ก็ทำให้ปิน็อกกีโอ เปลี่ยนร่างจากหุ่นไม้ตัวหนึ่ง กลายเป็นเด็กชายที่มีเลือดเนื้อและวิญญาณได้เช่นกัน

อันที่จริงแล้ว การเปลี่ยนร่างจากหุ่นไม้กลายเป็นเด็กชายของปิน็อกกีโอ ยังมีนัยยะที่สื่อถึงการเปลี่ยนสภาพ จาก ‘เด็กเลว’ กลายเป็น ‘เด็กดี’ ตามมาตรฐานของสังคม

ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนร่างของปิน็อกกีโอ ยังเป็นเหมือนการก้าวผ่านช่วงวัย (coming of age) จาก ‘เด็กน้อย’ กลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ อีกด้วย

อ้อมกอดแห่งรัก…จักเอาชนะทุกสิ่ง

วิบากกรรมที่ถาโถม ทำให้ปิน็อกกีโอ เรียนรู้ว่า การโกหก การเกียจคร้าน ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นำพาแต่ความยุ่งยากและเลวร้ายมาสู่ตัวในภายภาคหน้า และเมื่อได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น ปิน็อกกีโอ จึงสามารถก้าวผ่านครั้งสำคัญในชีวิต และเปลี่ยนสภาพจากหุ่นไม้กลายเป็นเด็กชายจริงๆ

นอกเหนือจากการได้รับบทเรียนจากประสบการณ์ตรงของตัวเองแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ปิน็อกกีโอ สามารถก้าวผ่านครั้งสำคัญในชีวิตไปได้ ยังมาจากความรักของ ‘พ่อ’ และ ‘แม่’

แม้ว่าปิน็อกกีโอ ซึ่งเป็นหุ่นไม้ที่ถือกำเนิดจากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ได้มีพ่อแม่ที่แท้จริง แต่เขาก็มีช่างไม้ เจ๊ปเปตโต เป็นตัวแทนของพ่อ และเทพธิดาผมสีฟ้า เป็นตัวแทนของแม่

ในช่วงต้นของเรื่องราวในหนังสือ เราจะได้เห็นความรักและความปรารถนาดีที่เจ๊ปเปตโต มีให้กับเจ้าหุ่นไม้แสนดื้อ ไม่ว่าจะเป็นการยอมอดอาหาร เพื่อให้ปิน็อกกีโออิ่มท้อง หรือการยอมเสียสละเสื้อกันหนาวเพียงตัวเดียวที่มี เพื่อให้เจ้าหุ่นไม้ได้มีหนังสือเอาไว้อ่านที่โรงเรียน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อปิน็อกกีโอหนีออกจากบ้าน ช่างไม้ชายชรา พร้อมหัวใจที่แตกสลาย ก็ลงเรือล่องทะเลเพื่อออกตามหาลูกชายแสนดื้อ จนถูกปลาฉลามยักษ์กลืนกินเข้าไปในท้อง

ส่วนเทพธิดาผมสีฟ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของแม่ผู้แสนอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจ ก็คอยสั่งสอนและชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรให้กับปิน็อกกีโอ

“เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่… เด็กดีต้องเอาใจใส่ต่อการเรียนและการงาน… เด็กดีต้องพูดแต่ความจริง… เด็กดีไปโรงเรียนด้วยความเต็มใจ…”

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เทพธิดาผมสีฟ้า ได้ให้สิ่งที่มีค่ายิ่งแก่ปิน็อกกีโอ นั่นคือ ‘โอกาส’ ในการแก้ไขความผิดพลาดที่เคยทำลงไป

“เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า แม่จึงยกโทษให้เจ้า การที่เจ้าเศร้าโศกอย่างจริงใจทำให้แม่รู้ว่าเจ้ามีน้ำใจดี แม้เด็กที่มีน้ำใจดีอาจเกเรไปบ้างและหลงผิด ก็ยังพอมีหวังว่าจะกลับตัวเป็นคนดีและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง”

ถึงแม้ว่าการเทศนาสั่งสอนอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ ในเรื่องราวของปิน็อกกีโอ อาจเป็นอะไรที่ ‘เชย’ และใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ ในโลกยุคปัจจุบันที่มีเงื่อนไขแตกต่างจากสังคมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่แก่นสำคัญในหนังสือ ที่เป็นความจริงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ก็คือ ความรัก ความเข้าใจ และการให้โอกาส จะช่วยให้เด็กคนหนึ่ง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างแน่นอน

Tags:

การเลี้ยงดูเด็กดีปิน็อกกีโอพ่อแม่ความรัก

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel