Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: March 2021

เดินสำรวจหอยขาวอ่าวท่าชนะ ในวันที่ธรรมชาติจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู
23 March 2021

เดินสำรวจหอยขาวอ่าวท่าชนะ ในวันที่ธรรมชาติจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อ่าวท่าชนะ เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหอยสารพัดชนิด โดยเฉพาะ “หอยขาว” ซึ่งนับเป็นหอยเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชาวประมงและเป็นอาหารเพื่อการดำรงชีวิตตามธรรมชาติของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งการลดจำนวนลงของหอยขาวที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ เช่น อุณหภูมิน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น มลพิษทางน้ำ ส่งผลกระทบต่อการแพร่ขยายพันธุ์
  • ความมุ่งมั่นและตั้งใจในการสำรวจและเก็บข้อมูลหอยขาวของกลุ่มนักเรียนวัยมัธยมปลายที่เรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มเยาวชนหอยขาวพาเพลิน’ เป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ให้มีการจัดการ การดูแลรักษา และสร้างข้อตกลงเพื่อการเก็บหอยขาวภายในหมู่บ้านขยายไปถึงระดับตำบล ด้วยการกำหนดขนาด ให้เก็บได้เฉพาะหอยขาวขนาดใหญ่ เพื่อให้หอยขนาดเล็กมีเวลาเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ สร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ชาวประมงในอนาคต

ภาพ : เพจเยาวชน Active Citizen Suratthani

หันมาใช้ถุงผ้า ไม่ใช้หลอด งดใช้ถุงพลาสติก และอีกหลายแคมเปญที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง ให้ผู้คนปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตและมีส่วนร่วมกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลายคนอาจไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองทำได้แต่เมื่อต้องทำ ต้องปรับ เพราะมีกฎระเบียบกำหนดหรือเพราะข้อบังคับใดๆ ก็ตาม แล้วได้ลงมือทำ จึงค่อยๆ ปรับตัว เกิดความเคยชิน และทำให้ดีขึ้นได้  

คนเมืองอาจไม่เห็นการถูกรุกรานของธรรมชาติซึ่งๆ หน้าเหมือนผู้คนที่อยู่กับป่า เขา หรือทะเล แต่ก็ไม่สามารถเลี่ยงผลกระทบได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือความหนาแน่นของมลภาวะที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จนทำให้ต้องเผชิญกับปัญหา PM 2.5 

แต่อีกด้านหนึ่งยิ่งเราอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขาดสมดุลในระบบนิเวศน์ชัดเจนขึ้น เหมือนอย่างที่ แบงค์ – จักรกฤษณ์ วัจนะพันธุ์, เมย์ – พรพิมล เพ็ชรรอด, หยาด – สุพรรณษา เช้าวังเย็น และ โอ๊ต – อนุวัฒน์ แก้วทอง ตัวแทนเยาวชน “กลุ่มหอยขาวพาเพลิน” จากอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เห็นกับตาตัวเองจนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างกับ “อ่าวท่าชนะ” ในชุมชนของพวกเขา

อ่าวท่าชนะเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวบ้านดอนมีความยาวตลอดทั้งชายฝั่งประมาณ 30 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลวัง ตำบลท่าชนะ และตำบลคันธุลี อ่าวแห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหอยสารพัดชนิด เช่น หอยขาว หอยไฟไหม้ หอยราก หอยสับเค็ด และหอยแมลงภู่ แบงค์ บอกว่า “หอยขาว” ถือเป็นหอยเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชาวประมงและเป็นอาหารเพื่อการดำรงชีวิตตามธรรมชาติของผู้คนในพื้นที่  

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าหอยขาวและทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่อำเภอท่าชนะลดจำนวนลงอย่างมาก เนื่องจากการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าริมคลอง ป่าชายเลน การใช้เครื่องมือผิดประเภทในการจับสัตว์น้ำ หรือแม้แต่ปัญหาขยะมูลฝอย อีกทั้งยังไม่มีการส่งเสริมการเลี้ยงหอยขาวอย่างแพร่หลายในกลุ่มชาวบ้าน มีเพียงการเพาะเลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์โดยกรมประมงเสียเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณหอยขาวจึงยิ่งลดลงอย่างน่าใจหาย เรื่องน่าเศร้า คือ บางหาดแทบหาหอยขาวไม่ได้อีกแล้ว

“เมื่อก่อนหอยขาวมีเยอะขนาดที่พอให้คนจากบ้านอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ติดทะเลเข้ามาเก็บมาคราดหอยได้ด้วย แต่ตอนนี้หอยขาวกลายเป็นสัตว์น้ำหายากแม้กระทั่งคนในชุมชนเองยังแทบหาไม่ได้” แบงค์ กล่าว

แบงค์ บอกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนสำหรับหอยขาว คือ หอยที่จับได้มีขนาดเล็กลงและมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหอยขาวในชุมชนตนเอง ทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของหอยขาว รวมทั้งศึกษาความสัมพันธ์ของผู้คน ชุมชน ทัศนคติ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้ โครงการการศึกษาเบื้องต้นการจัดการหอยขาวอย่างยั่งยืนบริเวณอ่าวท่าชนะของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพราะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต่อการนำมาวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหา และเป็นความรู้ที่ถูกต้องแก่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ คนในชุมชน และชาวประมงที่ใกล้ชิดกับทรัพยากรทางทะเลมากที่สุด  

วันนี้กลุ่มเยาวชนหอยขาวพาเพลินจะพาพวกเราไปเรียนรู้เรื่องราวของหอยขาวอ่าวท่าชนะ พวกเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย!!

ตัวแทนเยาวชน “กลุ่มหอยขาวพาเพลิน” อ่าวท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นักวิทย์รุ่นเยาว์แห่งอ่าวท่าชนะ

เก็บตัวอย่างหอยขาวโดยวัดขนาดความยาว ความกว้าง และความหนาด้วยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) และชั่งน้ำหนักตัวอย่างหอยที่เก็บได้ในทุกๆ เดือน

ประมาณการณ์อายุของหอยขาวที่เก็บได้ สอบถามวิธีการเก็บหอยขาวจากชาวประมงในท้องถิ่น ศึกษาระบบนิเวศน์ของหอยขาว การแพร่กระจายและความหนาแน่นของหอยขาวในแต่ละจุด

สุ่มนับตัวอย่างหอยขาวจากแต่ละจุด (สถานี) ทุกเดือน เพื่อนำจำนวนที่นับได้มาคิดเป็นจำนวนหอยต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยใช้วิธีการวางแปลง

เก็บข้อมูลคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของน้ำทะเล เช่น สภาพดิน และอุณหภูมิ

เก็บตัวอย่างน้ำทะเลเพื่อวิเคราะห์ค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำ และส่องกล้องจุลทรรศน์ดูชนิดของแพลงค์ตอนในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ 

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่พวกเขาลงมือทำ!!

“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” เป็นสิ่งที่ผู้ฟังอย่างเราคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา เพราะจากน้ำเสียงที่เล่า แววตาที่เห็น พวกเขาดูตื่นเต้นและสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่มากโข

แบงค์เล่าว่าแรงผลักดันในการทำโครงการครั้งนี้มีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน อย่างแรกมาจากประสบการณ์ทำโครงการของรุ่นพี่ปีก่อนที่ศึกษาเรื่องเปลือกหอยขาว แล้วนำเปลือกหอยขาวมาทำเป็นแผ่นรองนวดเท้า กระทั่งพบว่าเปลือกหอยขาวหายากมาก สืบค้นไปมาจนรู้ว่าเพราะจำนวนหอยขาวลดน้อยลง และเรื่องที่สองเป็นผลกระทบที่ตามมาเมื่อจำนวนหอยขาวลดลงชาวประมงก็ขาดรายได้

“เดิมทีไม่ได้มีข้อตกลงหรือมีการวางแนวทางของชุมชนว่าต้องเก็บเฉพาะหอยตัวใหญ่ที่โตเต็มวัยเท่านั้น เพื่อให้หอยขนาดเล็กได้เจริญเติบโต มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจอยากอนุรักษ์หอยขาว ด้วยการศึกษาระบบนิเวศวิทยาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหอยขาว ในอนาคตถ้าชาวประมงได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงหอยขาวที่ถูกต้อง และหอยขาวมีปริมาณมากขึ้นก็จะสร้างรายได้ให้กับพวกเขาต่อไป” แบงค์ อธิบาย

โครงการการศึกษาเบื้องต้นการจัดการหอยขาวอย่างยั่งยืนบริเวณอ่าวท่าชนะของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งนี้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับวิชาชีววิทยาในห้องเรียนของพวกเขา โดยมี ครูปรียา วิบูลย์พันธ์ ครูประจำรายวิชาเป็นที่ปรึกษาโครงการ แกนนำเยาวชนเป็นกลุ่มเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันในโรงเรียนท่าชนะซึ่งถือเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ สำหรับกลุ่มเยาวชนการศึกษาเรื่องหอยขาวเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะขั้นตอนการทำโครงการที่เชื่อมโยงกับวิชาชีววิทยา โดยเฉพาะกายวิภาคศาสตร์  (Anatomy) ที่เกี่ยวกับโครงสร้างของหอย รวมถึงวิชาเคมี

พวกเขาเล่าเป็นลำดับขั้นตอนอย่างคล่องแคล่วว่า การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการหอยขาวแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ หนึ่ง การศึกษาด้านสังคมศาสตร์ เพื่อเก็บข้อมูลความรู้ ทัศนคติ วิธีการจับและการจัดการหอยขาวในพื้นที่ การใช้ประโยชน์จากหอยขาวของชาวประมง รวมถึงปริมาณหอยที่จับในรอบ 1 ปีเฉลี่ยจากปริมาณหอยที่จับได้ในแต่ละวัน เพื่อคำนวณผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ

ส่วน สอง การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมบริเวณแหล่งที่อยู่ของหอยขาว ชนิดแพลงค์ตอนซึ่งเป็นแหล่งอาหารของหอยรวมถึงสัตว์ทะเล และการแพร่กระจายของประชากรหอยขาว พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ในโลกของพืชและสัตว์ทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศของหอยขาวที่ไม่สามารถจำแนกจากลักษณะภายนอกได้ ต้องผ่าดูโครงสร้างภายในเท่านั้น รวมถึงชนิดของแพลงค์ตอนในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน บางชนิดอยู่ที่น้ำตื้น บางชนิดอยู่ที่น้ำลึก

“เรื่องการจำแนกเพศ แม้แต่ชาวบ้านเองยังแยกด้วยตาเปล่าไม่ได้ พวกเราบันทึกข้อมูลลักษณะภายนอกของหอยขาวก่อนว่าด้านไหนเป็นด้านบน ด้านหน้า ส่วนไหนเป็นท้อง แล้วผ่าเพื่อส่องกล้องจุลทรรศน์ดูโครงสร้างภายใน ซึ่งภายในก็มีรูปลักษณะเหมือนกันอีก ต่างกันตรงที่เซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ หอยขาวตัวเมียจะมีโครงสร้างภายในเป็นลักษณะกลม มีฟองอากาศอยู่ตรงกลาง ส่วนตัวผู้มีลักษณะคล้ายพื้นดินที่แตกระแหง”โอ๊ต อธิบาย

ตัวแทนเยาวชน “กลุ่มหอยขาวพาเพลิน” อ่าวท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

หอยขาวเป็นหอยสองฝาเปลือกหนา มีรูปทรงคล้ายรูปไข่ เปลือกมีลายละเอียดสีเหลืองบนพื้นขาวหรืออาจมีสีขาวล้วน ผิวเปลือกเป็นมันเงาสวยงาม ข้อมูลจากกรมประมง ระบุว่า หอยขาวโตเต็มที่มีขนาดประมาณ 8 – 10 เซนติเมตร พบอาศัยตามชายฝั่งทะเลบริเวณที่เป็นทรายละเอียดปนโคลนในเขตน้ำขึ้นน้ำลง ฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายลึกประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร พวกเขาเก็บตัวอย่างน้ำทะเล แพลงค์ตอนและหอยขาว จาก 4 สถานีหลัก ได้แก่ หาดปากกิว ตำบลวัง หาดดอนทะเล หาดคันธุลี ตำบลคันธุลี และหาดนางลอย อำเภอท่าชนะ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของหอยขาว โดยแต่ละสถานีทำการเก็บตัวอย่างทั้งหมด 3 แนวสำรวจ (Line Transect Method) รวมแล้วได้ทั้งหมด 12 สถานี แบงค์ บอกว่า พวกเขาวางแผนเก็บตัวอย่างข้อมูลหอยขาว 4 ครั้งต่อปีตามช่วงฤดูกาลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 ถึงเมษายน 2563 ในช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุดเพื่อความสะดวกในการเก็บตัวอย่าง

“หอยขาวเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนผืนทรายที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ได้ การลดจำนวนลงของนหอยขาวเป็นผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ เช่น อุณหภูมิน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น แหล่งอาหารในน้ำมีน้อยลงเพราะมลพิษทางน้ำ และหอยขาวต้องการสารอาหารจากน้ำทะเลด้วย เมื่อระบบนิเวศน์ขาดความสมดุลก็ส่งผลกระทบต่อการแพร่ขยายพันธุ์ของหอยขาว หาดนางลอยเป็นหาดที่เก็บหาหอยได้น้อยที่สุด เพราะเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว สภาพแวดล้อมละแวกนี้เลยได้รับผลกระทบจากผู้คนมากที่สุด” โอ๊ตและเมย์ช่วยกันอธิบายข้อมูลจากการสืบค้น

นอกจากนี้ยังใช้แบบสัมภาษณ์ร่วมกับการสังเกตสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ทำงานร่วมกับชาวประมงที่จับหอยขาวเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม รวมทั้งผู้นำชุมชน เรียกว่า “การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบประชาชนมีส่วนร่วม” 

หลังจากได้ข้อมูลทางสังคมศาสตร์และข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์มาแล้ว พวกเขานำข้อมูลทั้งสองส่วนมากลั่นกรองและวิเคราะห์อีกครั้งเพื่อสรุปเป็นชุดข้อมูลสำหรับนำมาเผยแพร่ 

“ยกตัวอย่างหาดปากกิว พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่หวงห้าม พวกเราต้องโทรขออนุญาตผู้ใหญ่บ้านก่อน เพื่อเข้าไปในพื้นที่และติดต่อสัมภาษณ์ ถามข้อมูลเกี่ยวเก็บปริมาณหอยขาวที่เก็บได้ในอดีตเทียบกับปัจจุบัน ช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลงที่สามารถเข้าไปเก็บหอย ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็ให้ความสำคัญและห่วงใยในสถานการณ์หอยขาวที่เป็นอยู่ เลยได้ปรึกษาต่อว่าจะทำอย่างไรให้คนในชุมชนหันมาสนใจอนุรักษ์หอยขาว เช่น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลในเวทีประชาคมหมู่บ้าน แล้วมีการบังคับใช้ระเบียบชุมชนอย่างเข้มข้นมากขึ้น

เรื่องการห้ามลักลอบเก็บหอยในบนที่หาดปากกิวเป็นระเบียบที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีคนตรวจตรา พอมีโครงการของพวกเราเข้าไป ก็ทำให้มีการใช้ระเบียบเข้มข้นขึ้น และเพิ่มเติมให้มีการปิดหาดเป็นช่วงๆ เพื่อเว้นระยะการจับหอย 

มีการวางข้อตกลงเรื่องการเก็บหอยขาวในพื้นที่ด้วยการกำหนดขนาด ให้เก็บได้เฉพาะหอยขาวขนาดใหญ่ เพื่อให้หอยขนาดเล็กมีเวลาเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ เราได้ทำสมุดเล่มเล็กให้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับหอยขาว แหล่งที่อยู่และแหล่งอาหาร รวมถึงวิดีโอเพื่อนำเสนอให้เห็นภาพผลกระทบของปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันและอนาคต สื่อตรงนี้เราเคยใช้นำเสนอเพื่อนๆ นักเรียนในงานของโรงเรียนด้วย” แบงค์ กล่าว

“การให้ข้อมูลที่ถูกต้องสะท้อนให้เห็นสิ่งที่ชาวบ้าน รวมถึงคนภายนอกทำผิดพลาดไป โดยเฉพาะการเก็บหอยโดยไม่คัดแยกขนาด เราแสดงข้อมูลที่เปรียบเทียบให้ชาวบ้านเห็นว่าในช่วงปี ระยะไหนมีหอยเยอะ ระยะไหนเก็บหอยได้น้อย แล้วแนะนำให้มีการเว้นช่วงเก็บหอย ข้อมูลที่นำเสนอช่วยสร้างจิตสำนึก และทำให้คนในพื้นที่เข้าใจว่าทำไมควรคราดหอยตามฤดูกาลและทำไมต้องเลือกเก็บเฉพาะหอยที่โตแล้ว เพื่อไม่ไปเบียดเบียนวัฏจักรของหอย หรือแม้แต่นักเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้ร่วมทำโครงการ หลายคนมาบอกว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอได้รู้เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าต้องช่วยกันดูแลรักษาระบบนิเวศน์ให้ดีขึ้น แล้วความรู้ที่ได้รับเขาสามารถนำไปบอกต่อคนในครอบครัวได้ ขยายกลุ่มนักอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชนให้มีฐานใหญ่” เมย์ กล่าวเสริม

ตัวแทนเยาวชน “กลุ่มหอยขาวพาเพลิน” อ่าวท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

พลังเยาวชนกับแรงขับเคลื่อนภายในตัวเองและสังคม

ข้อมูลจากการทำโครงการ รวมถึงการรวมตัวกันทำโครงการอย่างแข็งขันของกลุ่มเยาวชน เป็นแรงกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมาสนใจและฉุกคิดถึงการหายตัวไปของหอยขาว ขยายไปถึงสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่ รวมถึงปัญหาสภาพแวดล้อมในภาพรวม

“เวลาเข้าไปหาผู้ใหญ่เราไปด้วยความตั้งใจ เอาข้อมูลไปบอกอย่างเป็นกันเอง ชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียจากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนเห็นอยู่แล้วว่าหอยขาวหายากขึ้น จนเกิดการตั้งคำถามของคนในพื้นที่อ่าวท่าชนะว่าจะทำอย่างไรถึงช่วยอนุรักษ์และทำให้ปริมาณหอยขาวกลับมาเยอะเหมือนเดิม แล้วร่วมมือกันปฏิบัติตามระเบียบชุมชนที่วางไว้ บางคนยังบอกเราด้วยซ้ำไปว่าถ้าเขาทำอย่างนี้มาตั้งแต่แรก หอยขาวอาจยังมีจำนวนมากจนไม่เกิดโครงการนี้ก็ได้ ในระยะยาวอยากฟื้นฟูให้ธรรมชาติกลับมาอุดมสมบูรณ์ อยากให้คนภายนอกที่เข้ามาออกไปแล้วพูดว่า ที่นี่มีธรรมชาติที่สวยงาม ของกินครบ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา เพราะระบบนิเวศน์ดี และอยากเห็นคนในชุมชนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งอย่างนี้ต่อไป” เมย์ กล่าว

นอกจากการขับเคลื่อนด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนแล้ว โครงการยังสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่กลุ่มเยาวชนด้วย

“ก่อนมาทำโครงการผมแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับหอยขาวเลยทั้งที่บ้านติดทะเล ส่วนตัวชอบวิชาวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว พอได้มาเรียนรู้นอกห้องเรียนแบบนี้เลยรู้สึกสนุก ได้ฝึกการคิดการวางแผน ก่อนนี้หลายคนมุ่งเรื่องเรียนเป็นหลักไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรม แต่พอได้มาทำโครงการได้หาหอยทะเล ได้เรียนรู้เรื่องอนุรักษ์หอยขาว ได้เที่ยวเล่นน้ำทะเล พวกเราก็มีความสุขกับการทำกิจกรรม การทำงานร่วมกันทำให้ได้ฝึกฝนการทำงานเป็นทีม ความสามัคคี การเข้าใจซึ่งกันและกันในกลุ่ม และการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แล้วก็เกิดสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมขึ้นกับตัวเอง สมัยก่อนไปเที่ยวปิคนิกตามหาด ถ้าไม่มีถังขยะผมอาจทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ แต่ตอนนี้ผมเก็บขยะมาทิ้งที่บ้าน โครงการทำให้ใส่ใจกับเรื่องรอบตัว ได้นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ผมรู้สึกตื้นตันใจที่โครงการของเราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้” แบงค์ กล่าว

แม้แกนนำเยาวชนได้จบการศึกษาจากโรงเรียนท่าชนะแล้ว ความมุ่งมั่นและตั้งใจในการสำรวจและเก็บข้อมูลหอยขาวของกลุ่มนักเรียนวัยมัธยมปลายกลุ่มหนึ่ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ให้มีการจัดการ การดูแลรักษา และการสร้างข้อตกลงเพื่อการเก็บหอยขาวภายในหมู่บ้านขยายไปถึงระดับตำบล มีการริเริ่มการอนุรักษ์แหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติที่เชื่อมไปยังสัตว์ทะเลชนิดอื่น เช่น ปูม้า เป็นต้น ช่วยให้หอยขาวและสัตว์ทะเลห่างไกลจากการเป็นแค่ตำนาน แต่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาและการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลต่อยอดเพื่อการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงหอยขาว ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณหอยขาว สร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ชาวประมงในอนาคต

“พวกเราคิดว่าอยากจัดตั้งชุมนุมอนุบาลหอยขาว เพื่อเพาะพันธุ์และอนุรักษ์หอยขาวในธรรมชาติ แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป สิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนี้ คือ การใช้สื่อวิดีโอ สมุดเล่มเล็กและโปสเตอร์สื่อสารข้อมูลให้คนได้รับรู้ ระยะหลังพวกเราได้เห็นหอยขาวที่เก็บมาตัวใหญ่ขึ้น ระบบนิเวศน์ทั้ง 4 หาดดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องขยะที่เห็นน้อยลงไปมาก พวกเรามีความเชื่อมั่นและมีความหวังว่าโครงการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้” แบงค์ กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

สิ่งแวดล้อมฟื้นฟูหอยขาวอ่าวท่าชนะProblem based Learning(PBL)active citizen

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • ผ้าสบงและป้ายรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ การลุกขึ้นมาจัดการป่าของเยาวชนบ้านหนองสะมอน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningVoice of New Gen
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life Long Learning
    การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

Firefly Lane : บางทีเราก็ต้องการใครสักคนที่เชื่อในตัวเรา บอกว่าตัวเราเปล่งประกายและมีคุณค่าได้จากศักยภาพที่ตัวเองมี
Movie
18 March 2021

Firefly Lane : บางทีเราก็ต้องการใครสักคนที่เชื่อในตัวเรา บอกว่าตัวเราเปล่งประกายและมีคุณค่าได้จากศักยภาพที่ตัวเองมี

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Firefly Lane (2021) ซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของ ‘เคท’ และ ‘ทัลลี่’ สองเพื่อนซี้ที่นิสัยต่างสุดขั้ว เคทที่ภายนอกดูเป็นคนขี้อาย มักถูกแกล้งประจำ แต่จิตใจข้างในเธอกลับเข้มแข็ง ต่างจากทัลลี่ที่ข้างนอกดูเป็นสาวมั่น แข็งแกร่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความกลัว
  • เมื่อทัลลี่โดนแฟนแม่ลวนลาม เธอเผลอทำร้ายร่างกายเค้าโดยไม่ตั้งใจเพราะความกลัวที่เคยโดนข่มขืน แม่ของเธอโมโหและพูดใส่หน้าของทัลลี่ว่า ‘เค้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย’ กลับกันตอนที่เคทรู้เรื่องที่ทัลลี่ถูกข่มขืน เธอไม่ตัดสินทัลลี่ซักนิด เพียงแต่ถามว่าเป็นอะไรมั้ย
  • บางทีคนเราก็ต้องการคนที่เชื่อในตัวเรามากกว่าที่เราเชื่อในตัวเอง เพื่อซัพพอร์ต หรือมาย้ำกับเราว่าชีวิตมันมีทางเลือกเสมอ เราไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนแบบที่สังคมบอกให้เราเป็น เราไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนติดยา ใจแตก ขี้โกหก เพราะพ่อแม่ไม่สนใจ ไม่มีเวลาเลี้ยงดูเรา เราเลือกทางชีวิตของเราเองได้นะ

Tags:

พ่อแม่การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ซีรีส์เพื่อน

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    เวลาในขวดแก้ว: ชีวิตแหลกสลายมักเริ่มต้นด้วยความรักที่ขาดหาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Dear ParentsMovie
    Queer eye: รายการที่บอกให้เห็นคุณค่าตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่มี และเราสมควรได้รับความรักเช่นกัน

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • MovieFamily Psychology
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

ยศธร ไตรยศ…ในฐานะประชาชนผู้ประสบภัย ภาพถ่ายจะนำไปสู่สังคมที่เท่าเทียม
Everyone can be an Educator
18 March 2021

ยศธร ไตรยศ…ในฐานะประชาชนผู้ประสบภัย ภาพถ่ายจะนำไปสู่สังคมที่เท่าเทียม

เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • แพชชันที่ต้องการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรม ผนวกรวมเข้ากับความรักในการถ่ายภาพ ออกมาเป็นเส้นทางของ NGO ที่ต้องการใช้ภาพถ่ายบอกเล่าและขับเคลื่อนปัญหาสังคมของ ยศธร ไตรยศ ช่างภาพอิสระและหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Realframe
  • “มีคนทักเยอะมากนะว่าเราไม่เป็นกลาง หรือเป็น propaganda ของความเชื่ออีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้แคร์ Media Literacy แบบเก่ามันบอกว่าคุณต้องสร้างสมดุล แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องสร้างสมดุลเพราะเราเลือกตั้งแต่แรกแล้ว ผมก็ทำในสิ่งที่ผมเชื่อ คุณก็ทำของคุณไปดิ แล้วในยุคสมัยหนึ่งที่สถานการณ์ไม่ได้บีบเรื่องประชาธิปไตยแบบนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่คุมสื่อกระแสหลักเยอะแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะไปสร้างสมดุลให้เขาอีกทำไม”
  • “แค่คุณสงสัย หรือว่า critical กับมัน คุณไม่สยบยอมกับความเชื่อที่อำนาจนิยมหรือความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมาก็โอเคแล้วในประเด็นนั้นๆ เหมือนคุณโยนคอนเทนต์บางอย่างลงไปให้คนเถียงกัน ดูเขาเถียงกัน เราก็มีความสุขแล้วนะ ไม่ใช่ว่าเขานั่งด่ากันนะ แต่เพราะประเด็นนี้มีคนพูดแล้ว บางคนอธิบายอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอีก”
ภาพ ยศธร ไตรยศ

ปัจจัยอะไรบ้างที่มีพลังมากพอให้มนุษย์เลือกที่จะทำอย่างหนึ่งซ้ำๆ เป็นเวลายาวนาน ไม่วอกแวก ตั้งใจไปเรื่อยๆ แม้ว่าผลลัพธ์ของมันจะยังไม่เป็นที่พอใจ แม้ว่าอาจจะใช้เวลาอีกยาวนาน และไม่มีอะไรมาการันตีความสำเร็จได้

บทสนทนากับ ยศธร ไตรยศ หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Realframe โยนคำถามนี้ออกมาอย่างชัดเจนระหว่างการแลกเปลี่ยน มันเต็มไปด้วยกลิ่นของความตรงไปตรงมา มั่นใจ สุดโต่งคล้ายสัญชาตญาณสัตว์ป่า แต่สิ่งที่จับได้คือเขาคงความยึดมั่นในหลักการที่จะใช้ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือในการสะท้อนเสียงของคนเล็กคนน้อย 

ยศธร ไตรยศ

Realframe คือ ชื่อกลุ่มช่างภาพที่มีแนวคิดถ่ายรูปเพื่อเป็นแรงสะท้อนของสังคม มุ่งประเด็นสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และความเท่าเทียมของบุคคลที่มีสิทธิเสียงน้อยในสังคม เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ นักโทษการเมืองในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแรงงานข้ามชาติ 

ปัจจุบันถ้าเข้าไปสำรวจดูในหน้าเพจหรือเว็บไซต์ เราจะเห็นภาพถ่ายที่บันทึกสถานการณ์การเมือง ม็อบ การต่อสู้ของแรงงาน ไปจนกระทั่งพลังงานทางเลือกปรากฏอยู่ภายใต้แนวคิดที่สนับสนุนพื้นฐานของอุดมการณ์ที่กล่าวมาโดยชุดภาพถ่ายแต่ละเซ็ตมักจะบ่มเพาะอารมณ์ที่สุดโต่งของผู้ที่อยู่ในภาพ ความเชื่อทางการเมืองที่ชัดเจน ภาพที่ขัดกับวาทกรรมของสังคม หรือแง่มุมธรรมดาในชีวิตของพลเมืองชั้นสองในมุมที่ไม่ถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่

“เราสนใจเรื่องคน เรื่องชาติพันธุ์ พอคุณไปลงพื้นที่แล้วได้ยินแต่คำว่ากะเหรี่ยง แต่คุณไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นอย่างไรจริงๆ เวลาเราไปเที่ยว แล้วเราเจอคนที่แต่งตัวสวยๆ มาให้ดู แต่พอไปกับ NGO มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เราก็ชอบความจริงของมัน มันตื่นเต้นและมีประเด็นที่หักล้างความเชื่อเก่าๆ ที่เราถูก propaganda มาตั้งแต่เด็กๆ”

จุดเริ่มต้นในการถ่ายภาพของยศธรไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากนัก นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยวแล้วเก็บภาพทิวทัศน์ ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ ผ่านการถ่ายฟิล์มจนเมื่อพบเจอวิถีชีวิตที่แตกต่าง และได้พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ชนบท ทิศทางการถ่ายภาพก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพื้นฐานความสนใจเรื่องความเป็นไปในสังคมตั้งแต่ยังเด็กทำให้แพชชันค่อยๆ เติบโต จากนั้นยศธรจึงเริ่มติดตามเพื่อนที่ทำงานเป็น NGO ไปลงพื้นที่

หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยศธรจึงเริ่มเส้นทางของ การเป็น NGO เจ้าหน้าที่รณรงค์ด้านแรงงาน ทำงานภายใต้ประเด็นสิทธิมนุษยชน ความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรมโดยที่ยังไม่ละทิ้งความชอบด้านการถ่ายภาพ 

กลับกัน เมื่อรวมตัวกับเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองคล้ายกันในเว็บบอร์ด Shutter J ยศธรรู้สึกว่าภาพถ่ายสามารถเป็นเครื่องมือในการสื่อสารประเด็นสังคม และสร้างการถกเถียงต่อไปได้ไม่สิ้นสุด เขาจึงเปิดเพจ Realframe ขึ้นเพื่อคราฟต์อุดมการณ์และความเชื่อทางการเมืองต่อ ณ ขณะที่สถานการณ์การเมืองกำลังเดือดพล่านอยู่พอดี นั่นคือช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ที่เกิดการสลายการชุมนุม มีผู้เสียชีวิต มีเหยื่อของความอยุติธรรม และมีรัฐประหาร

ความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องชนชั้นเริ่มต้นและขยายวงเหมือนไฟลามทุ่ง การทำงานทางความคิดของยศธรก็เติบโตเบ่งบานไปตามปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เขามีโอกาสได้ฟังข้อมูลและข้อเท็จจริงตามเวทีต่างๆ ตะลุยไปม็อบ เป็นช่วงเวลาที่อะดรีนาลีนลงวิ่งมาราธอนเพราะได้ทดลองและโลดแล่นไปในสนามของอุดมการณ์ 

“ผมก็ทำในสิ่งที่ผมเชื่อ คุณก็ทำของคุณไปดิ”

จนถึงวันนี้ แม้จะถ่ายภาพน้อยลง แต่ความฝันในการตั้ง Realframe ให้เป็น NGO ด้านภาพถ่ายก็ยังคงวิ่งมาราธอนระยะยาวอยู่ เขาต่อยอดจุดยืนด้วยการจัดเวิร์กช็อบถ่ายภาพให้กับผู้ที่สนใจและไม่ทอดทิ้งความมั่นใจที่จะชนกับแรงปะทะที่เกิดขึ้นจากสังคมโดยรอบ

ในขณะที่ภาพถ่ายของ Realframe บันทึกสังคม มันก็บันทึกตัวเขาเข้าไปด้วย

ภาพถ่ายควรจะสร้างการถกเถียงและพาไปในโลกที่คุณอาจจะไม่เคยคิด

Realframe จะเป็นกลุ่มช่างภาพที่ทำงานในแนวทางไหน

ใช้ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามไปจนถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม แค่นั้นเอง แต่ถ้ามันไปไกลกว่านั้นเราก็ยินดี เราไม่นิยามตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้หรอก มันเว่อร์เกินไป เวลาที่การเมืองมันเบาลง ก็มีตามไปถ่ายงานอื่นๆ ที่เป็นประเด็นสังคม เช่น น้ำท่วม เราอยากเป็น NGO ที่ทำงานภาพถ่าย ซึ่งไอเดียของเพื่อนในกลุ่มไม่ได้เหมือนเรา 100% นะ แค่ให้คุณยังพูดเรื่องสังคม พูดเรื่องประชาธิปไตยอยู่ ทุกคนยังเชื่อและยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน อย่างน้อยที่สุดคุณต้องยืนข้างประชาชนนะเว้ย 

มีคนทักเยอะมากนะว่าเราไม่เป็นกลาง หรือเป็น propaganda ของความเชื่ออีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้แคร์ Media Literacy แบบเก่ามันบอกว่าคุณต้องสร้างสมดุล แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องสร้างสมดุลเพราะเราเลือกตั้งแต่แรกแล้ว ผมก็ทำในสิ่งที่ผมเชื่อ คุณก็ทำของคุณไปดิ แล้วในยุคสมัยหนึ่งที่สถานการณ์ไม่ได้บีบเรื่องประชาธิปไตยแบบนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่คุมสื่อกระแสหลักเยอะแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะไปสร้างสมดุลให้เขาอีกทำไม 

การสร้างสมดุลมันคือการทำงานจากฝั่งมุมมองของเสรีนิยมได้ไหม ใครจะไม่ชอบก็ได้ มันก็เลยกลายเป็นว่าคนที่มอง Realframe คือ คนที่เชื่อในมุมมองแบบประชาธิปไตย ในขณะที่คนที่เขาไม่เอาก็ไม่เอาเลย 

แล้วเราตั้งคำถามถึงประเด็นของการสื่อสารของเราในทำงานบ้างไหมจากคำวิพากษ์หรือบริบทของสังคมที่ผ่านมา

ถ้าพูดแบบหนักแน่นเราว่าไม่ เพราะเราต้องการให้สังคมเปลี่ยน

เรารู้สึกว่าสิ่งนี้ถูก?

ใช่ เราไม่เคยขยับออกจากมุมนี้ ซึ่งมันไม่ได้ดีอย่างเดียว มันพลาดโอกาสหลายๆ อย่าง ในสังคมที่มันเอื้อต่ออำนาจนิยมหรือเอื้อต่อการสยบยอม การจะได้มาซึ่งแหล่งทุนนั้นทำให้คุณพลาดอะไรไปเยอะมาก ซึ่งเราไม่ทำงานให้กลุ่มเหล่านี้

สิ่งที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายที่สุดจากอำนาจนิยมที่ทำให้เรามีกระแสต้านขนาดนี้คืออะไร 

ถ้าเลวร้ายที่สุดก็คือคุณเพิกเฉยต่อความตายของคนโดยที่คนที่ทำคือรัฐ มีคนตายเพราะมันเป็นจำนวนมากนะ ความที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมันทำให้เสียงของคนกลุ่มหนึ่งไม่มีความหมาย ถูกมองข้าม ถูกย่ำยี ทุกอย่างมันเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่มซึ่งไม่ใช่คนหมู่มากของสังคม คุณต้องทำให้กติกามันแฟร์จริงๆ แล้วค่อยว่ากัน ถ้าหลักการมันถูกต้องตามประชาธิปไตยในรูปแบบสากล พอเราอยู่ในประเทศนี้ เรามีสิทธิเต็มที่ และเราควรจะหยัดยืนเพื่อมัน 

แล้วอย่างนั้นกลุ่มเป้าหมายที่ Realframe อยากจะสื่อสารคือพวกเดียวกันหรือใคร

ไม่ใช่ เราคิดว่าเราท้าทายมันอยู่ เราจำไอเดียความรู้สึกของเราได้เลยว่าเราพยายามจะเอาขนบเดิมๆ มาพูดผ่านภาพ แล้วเราก็ท้าทายมันในเชิงประจักษ์ของภาพว่ามันไม่ใช่ในแบบที่คุณเชื่อหรือเปล่า คุณเห็นภาพความตาย หรือความแปลกประหลาดต่างๆ ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไหม แต่บางครั้งที่เราพยายามจะตั้งคำถามกับมันผ่านรูปๆ หนึ่ง บางคนอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเราบันทึกมันไว้ในฐานะของเครื่องบันทึกความทรงจำ มันย้อนกลับมาทำงานใหม่ได้ เช่น ความเชื่อที่คุณคิดว่ามันดี ทุกวันนี้มันยังดีอยู่ไหม เช่น เมื่อก่อนเราทำ Realframe Timeline คือการเอารูปที่มีอยู่แล้วมาแชร์ เป็นเหตุการณ์เดียวกันกับเมื่อก่อนคุณบอกว่ามันดี ตอนนี้คุณยังคิดว่ามันดีอยู่ไหม

เรามีจุดประสงค์ที่จะท้าทายความคิดของคนในสังคม แต่ถ้าจุดยืนของเราคือสิ่งที่พวกเขาต่อต้าน แล้วเขาจะเข้าใจมันได้อย่างไร

มันเป็นเรื่องที่ไม่ 100% เราบอกได้ว่าที่ผ่านมามีหลายครั้งที่คนจะตีความเข้าข้างความเชื่อในแบบของตัวเองเสมอเมื่อดูภาพของเรา ดังนั้นคนๆ หนึ่งอาจจะมองว่าโคตรวิพากษ์ ในขณะที่อีกคนจะมองว่าโคตรเข้าข้างเลยทั้งๆ ที่เราอาจจะตั้งใจวิพากษ์ นี่มันคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานภาพ คือมันจะถูกตีความในแบบที่เราไม่ได้เจตนา เราแฮปปี้กับการเห็นคนถกเถียง มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะในสังคมประชาธิปไตย 

แม้ว่าจะทำให้เกิด hate speech?

เอาปืนมายิงกันหรือเปล่าล่ะ ถ้าคุณไม่ได้นัดต่อยกันนอกรอบก็โอเค ตราบใดที่ไม่ทำให้เราติดคุก เราก็ปล่อยไป แต่ไม่ได้บ่อยนักหรอกที่จะมีคนมาเถียงเรื่องรูปของเรา 

ความตั้งใจในการใช้ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ระดับความเปลี่ยนแปลงที่คุณคิดอยู่ในระดับไหน

แค่คุณสงสัย หรือว่า critical กับมัน คุณไม่สยบยอมกับความเชื่อที่อำนาจนิยมหรือความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมาก็โอเคแล้วในประเด็นนั้นๆ เหมือนคุณโยนคอนเทนต์บางอย่างลงไปให้คนเถียงกัน ดูเขาเถียงกัน เราก็มีความสุขแล้วนะ ไม่ใช่ว่าเขานั่งด่ากันนะ แต่เพราะประเด็นนี้มีคนพูดแล้ว บางคนอธิบายอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอีก เราก็ไม่ได้ปังขนาดนั้น Realframe มีคอนเทนต์ที่มีคนแชร์บ้างหรือมันไปซัพพอร์ตงานของบางคนบ้างก็ดี เรามีภาพที่เป็นเชิงประจักษ์ที่ทำให้ประเด็นของเขาแข็งแรงขึ้น เราก็ยินดี ไม่ใช่ว่าเราไปเปิดประเด็นที่มันใหม่เสมอไป 

บริบททางการเมืองในภาพถ่ายของ Realframe มาจนถึงตอนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในเชิงมุมมองหรือการเล่าเรื่อง

เรารู้สึกว่ามันขยายหรือแตกแขนงคอนเทนต์หรือประเด็นในการทำงานเพิ่มมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนเริ่มด้วยการเมืองจ๋าๆ เลยนะ จนเราเริ่มมองออกเลยว่าเราเห็นคนในม็อบ กลายเป็นประเด็นรากหญ้า กลายเป็นประเด็นที่ว่าเขามาเพราะอะไร แตกประเด็นไปสู่เรื่องชาติพันธุ์ 

ประเทศโลกที่สามแบบบ้านเรา ประเด็นเจ๋งๆ โคตรเยอะเลย เพราะเป็นประเทศที่ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรชัดเจน มีปัญหาก็รอคอยให้เราแก้ มีเรื่องประหลาดๆ ที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย หรือหลักสากลอีกเยอะ บ้านเราพยายามจะบอกว่าตัวเมืองไทยไม่เหมือนใคร แต่เรารู้สึกว่ามันก็พูดเรื่องเดียวกับที่โลกนี้พูด นั่นคือ globalization เราเป็นพลเมืองโลก ทุกวันนี้เขาประสบปัญหาอะไรล่ะ ปัญหาพวกนั้นเราก็มีไง เราก็พยายามตีแผ่มาว่ามันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับที่โลกเขาพูด เพียงแต่คุณอย่าไปพยายามหมกเม็ดซ่อนมันไว้โดยที่บอกว่า มันเฉพาะเมืองไทย ฝรั่งไม่เข้าใจ เราพยายามพูดให้มันเป็นเรื่องสากลแต่ว่าเล่าผ่านคนตัวเล็กๆ

ความยากมันไม่ได้อยู่ที่การคิด มันอยู่ที่ว่าคุณสนุก มีแพชชันกับมัน แล้วรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสหรือเปล่า มันไม่ได้ทำให้คุณรวย แต่ภาพถ่ายมันพาคุณไปในโลกที่คุณอาจจะไม่เคยคิด 

เราพูดแทนเรื่องของเรา ไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร

ความสนุกในการทำงานแบบนี้คืออะไร

ถ้าชัดๆ คือเราก็ได้เรียนรู้ไปกับเขา เรารู้สึกว่าเราชอบที่ได้ไปอยู่ท่ามกลางปัญหาความทุกข์ ความขัดแย้งอะไรบางอย่าง คือเราไม่ได้มีความสุขกับการเห็นความขัดแย้ง ความเศร้านะ แต่รู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่ง ได้เป็นเพื่อนเขาในยามนั้น รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า เราไม่รู้จะนิยามยังไง เหมือนคนที่พยายามทำงานหรือเล่นบทพระเจ้ามั้ง การเติบโตขึ้นในสายการกุศลต่างๆ ก็พยายามหาคุณค่าให้ตัวเอง ให้อภัยตัวเอง เป็นหอคอยงาช้างให้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ในการเล่นบทอะไรบางอย่าง

แต่การเล่นบทของเราก็นำไปสู่ประโยชน์ต่อคนอื่นไหม

แต่ก่อนไม่ได้คิดขนาดนั้นนะ เมื่อก่อนรู้สึกว่าเติบโตมาจากสถานการณ์แบบนั้นน่ะ เราไม่ได้เป็นคนรวย พ่อแม่จบมัธยม ไม่ได้เป็นคนมีการศึกษา แล้วเรารู้สึกว่าเราอยู่ในสายพานของการถูกกดทับ เป็นคนจนในเมืองที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเรียน เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของใดๆ ก็ตามที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน 

เราไม่ได้พูดแทนเขา เราพูดแทนเรื่องของเรา ไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร ไม่ได้เป็นปากเสียงให้กับคนที่จนกว่า บ้านที่อยู่ในกทม.ตั้งแต่เด็กๆ ก็ถูกรื้อ เราเลยพูดได้เต็มปากว่าเราเข้าใจเวลาเราเจอคนที่ถูกไล่รื้อ มันไม่เหมือนกับการที่คุณไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้วมาเล่าเรื่องของคนอีกโลกหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งในประชากร เราพูดว่าเราเป็นคนจนได้ในช่วงหนึ่ง ทั้งตอนที่เป็นเด็ก และตอนที่โตมาทำงานใหม่ๆ เราก็ยังจนอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังลุ้นอยู่ คาบลูกคาบดอก มันอยู่ในสถานะนั้นมาเสมอ ก็เลยอินน่ะ มีความรู้สึกของการเป็นพวกพ้อง ว่าถ้าคุณทุกข์ เราก็ทุกข์กับคุณจริงๆ 

เราเคยถ่ายรูปคนแล้วเราร้องไห้ก็มี มันมีภาพที่ขึ้นมาในหัวเราแล้วมันเศร้าจริงๆ คือครอบครัวเขาตายน่ะ แล้วเขามาเพื่อเรียกร้องบางอย่าง แต่ทำไมเขาต้องตาย ก็น้ำตาไหลอยู่หลังชัตเตอร์ มีหลายครั้งที่กลัวตัวเองร้องไห้ตอนถ่ายรูป

พอมันรู้สึกเชื่อมโยงโดยธรรมชาติ เรา romanticise มันมากไปบ้างไหม 

ไม่เคยรู้สึกว่าเรา romanticise ใครมากเกินไป เพราะอย่างที่บอก ด้วยความเป็นพวกพ้อง เรารู้สึกว่าเรามีสิทธิพูดในฐานะเพื่อนร่วมชะตากรรม เราพูดจากมุมของเรา เราเป็นคนจน เคยถูกละเมิด เราก็พูดจากหัวอกของผู้ถูกละเมิดไม่ใช่จากคนนอกที่มาให้ความช่วยเหลือ เรามีแพชชันในการเล่าเรื่อง มันก็เลยเป็นตัวเรามากๆ ประมาณหนึ่ง

เวลาเป็นประเด็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เราสามารถสื่อสารมันออกมาโดยไม่ตัดสินได้ไหม หรือหลายอย่างเราตัดสินไปแล้ว

เราพยายามจะไม่ตัดสิน แต่เราเป็นคนตัดสินไปแล้ว (หัวเราะ) 

เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมคนถึงกลัวการเลือกข้าง หรือการตัดสินบางอย่าง เราเชื่อเรื่องวิธีการนะ ถ้ากระบวนการตั้งแต่แรกมันผิด มันก็ผิดมาตลอด เราเชื่อว่าสิ่งที่เราเลือกมันถูก ต่อให้คนมาสั่นคลอน มาวิพากษ์เรายังไง แต่การที่เราจะยืนอยู่ในจุดที่ไม่เลี้ยวออกไปที่อื่นก็ยากนะ ความเชื่อที่เรามีมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะว่าเราอ่านหนังสือ จดบันทึก แต่มันสะสมมาตั้งแต่เราเด็กๆ ในฐานะผู้ประสบภัยคนหนึ่งของประเทศนี้ เพราะฉะนั้นมันถูกพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เลยไม่จำเป็นว่าคุณโดนวิพากษ์อะไรนิดหน่อยแล้วจะพ่ายแพ้ไป

ทุกวันนี้ถ่ายภาพไปเพื่ออะไร

เลือกประเด็นในการทำงานอย่างไร

เลือกบนพื้นฐานของความสนใจซึ่งมันไม่พ้นเรื่องสิทธิมนุษยชนกับประชาธิปไตย แล้วเราก็ต้องมานั่งดูว่าพื้นที่ไหนที่มันยังไม่มีคนพูดถึงมากเท่าไหร่แต่สำคัญ อย่างเรื่องสามจังหวัดชายแดนที่ไปอยู่ในพื้นที่ของฝ่าย propaganda ที่พูดเรื่องของความรุนแรง ความเจ็บปวด การตาย เราแค่รู้สึกว่าอยากพูดให้มันครอบคลุม อยากพูดถึงต้นเหตุของความรุนแรงที่เราเชื่อว่ามันจากกระบวนการยุติธรรมที่มันบิดเบี้ยว จนกระทั่งคนไม่สามารถใช้ตรงนี้เป็นทางออก เขาเลยต้องตอบโต้ด้วยวิธีการอื่น โดยเราเล่าผ่านตัวละครที่เป็นเรื่องของคนเล็กๆ น้อยๆ แต่ประเด็นนี้โคตรสากลและพูดกันทั่วโลกมานานแล้ว ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐที่โคตรรุนแรง แต่บ้านเรากลับให้ฉันทามติโดยการเพิกเฉย คนเมืองเพิกเฉย

รู้อย่างไรว่าคนเมืองเพิกเฉย

ก็ไม่เคยตั้งคำถามว่ารัฐจับแพะหรือเปล่า เราเชื่อว่าการเพิกเฉย การไม่ตั้งคำถามก็คือการให้ฉันทามติในการฆ่า ในการทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยอ้อมแล้ว เพราะเราไม่ซักฟอกเขา 

ตำรวจจับคนในกรุงเทพฯ หรือในพื้นที่อื่น เราจะถามว่าตำรวจจับแพะหรือเปล่า มักจะมีคำถามจากนักข่าวเองหรือว่าจากคนในสังคมเอง แต่ในสามจังหวัด เราจะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่จับคนได้ถูกเสมอ เพราะอะไร เพราะมันมีความเป็นชาตินิยมบางอย่างที่ฝังอยู่ในตัวเรา มี propaganda ที่ฝังอยู่ในทัศนคติของคนเมืองหรือคนนอกพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกว่าดินแดนตรงนั้นเป็นของประเทศเราที่เราต้องรักษาไว้ คนที่เป็นผู้ขัดแย้งนี่ผิด เพราะเขาพยายามจะเอาดินแดนตรงนี้ไป มันก็เลยกลายเป็นว่าพื้นที่นั้นก็เต็มไปด้วยโจร ผู้ร้าย ความรุนแรง 

แต่สุดท้ายมันจะเปลี่ยนแปลงความคิดคนทั่วไป หรือคนที่ไม่อยากรับรู้ข้อมูลตรงนี้ได้ไหม

เราคิดว่าคนที่สุดโต่งจริงๆ เขาไม่แม้แต่จะมาดูเลย เพียงแต่ว่ามันจะมีคนที่เว้นที่ว่างไว้สำหรับความสวยงามบางอย่างซึ่งเราก็นำเสนอมันในพื้นที่อื่นๆ เราพยายามรักษาวิธีคิดแบบคนนอกนะ ว่าในพื้นที่มีอะไรบ้างวะ มันมีแต่โจรจริงๆ หรือเปล่า มีคนที่คิดแบบนี้อยู่ เราคิดว่ามันทำงานกับคนเหล่านี้  อย่างน้อยให้เขาตั้งคำถามว่ามีชีวิตคนธรรมดาบ้างไหมวะ มีวินมอเตอร์ไซค์ไหม มีชาวนาไหม คนข้างนอกไม่รู้เลยนะ มันเหมือนกลายเป็นดินแดนลึกลับ เราคิดว่าแค่คนสงสัย แล้วเราตอบเขาได้ มันก็คืนความมนุษย์ให้คนในพื้นที่ ให้คนมองว่า เฮ้ย มันก็น่าจะมีเรื่องอื่นๆ เหมือนกัน

ภาพถ่ายควรจะให้คนดูตั้งคำถามลักษณะนี้

ใช่ ที่เหลือมันก็เป็นส่วนของเขาว่าจะพาตัวเองไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน หรือว่าในระดับการทำงานของเรา จะมีพื้นที่อื่นๆ ที่สามารถทำให้เราต่อยอดจากคำถามตรงนั้นไปสู่ประเด็นที่รุนแรงหรือลึกกว่า มันจะค่อยๆ เชื่อมโยงเข้าไปว่าตัวละครที่เราเอามาเล่าเขาไม่ใช่คนธรรมดานะ แต่เป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคงนะ ยิ่งถ้าเรามีพื้นที่แล้วมีคนสนใจ มันก็ยิ่งเข้าทางเรา เพราะเรามีโอกาสจะได้อธิบาย เรื่องพวกนี้อย่าไปเหนื่อยที่จะอธิบาย บางทีมันไม่สามารถจบด้วยการเอาภาพถ่ายมาดูแล้วเข้าใจหมดทุกอย่าง มันต้องการพื้นที่ เวลา และคำอธิบายรองรับเยอะ 

มีวิธีคิดในการทำงานกับซับเจ็กต์และประเด็นเหล่านี้อย่างไร เช่น นิทรรศการ Grayzone มีเรื่องสามจังหวัด มุสลิมในประเด็นที่อ่อนไหว

ถ้ามันใหม่สำหรับเราทั้งในเชิงประเด็นและพื้นที่ เราจะรีเช็คมันเรื่อยๆ ค้นหาข้อมูลและสอบถามจนเราเชื่อมั่นว่ามันเป็นแบบนั้นอย่างน้อย 70 80 90% น่ะ ถ้าไม่งั้นเราจะไม่ลงมือทำ งานเราไม่ใช่งานสารคดีที่ต้องไปสัมภาษณ์รัฐ สัมภาษณ์ทหารนะว่าคิดยังไง ผมไม่สนใจเพราะผมฟังคุณพูดมาตลอดชีวิตแล้ว ผมขอไปพูดกับคนที่เขาไม่มีพื้นที่ให้พูดบ้าง แล้วผมค่อนข้างที่จะเชื่อว่าข้อมูลที่ผมมีอยู่มันสนับสนุนสิ่งที่ผมเชื่อ มันไม่หลงทางหรอก มันมีคนที่เจ็บจริง ตายจริง ได้รับผลกระทบจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเขามานั่งเล่าให้คุณฟังโดยที่เขาไม่ได้อะไรและเสี่ยงด้วย แต่เขาทำทำไมล่ะ ต้องตอบคำถามตรงนั้นมากกว่า

เวลาที่เราเข้าไปถึงเคส เราก็ต้องเข้าไปอธิบายด้วยตัวเองว่าเราเป็นใคร ทำอะไรอยู่ อยากได้อะไรจากเขา และเราจะการันตีอะไรให้เขาได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามจะบอกทุกคนว่าเราการันตีความปลอดภัยให้ไม่ได้หรอกว่าจะไม่เกิดผลกระทบอะไรตามมา เพียงแต่ว่าเราจะอยู่ข้างๆ เขาถ้ามันมีปัญหาอะไร มาปรึกษาเราได้ เราจะให้ความช่วยเหลือ ด้านกฎหมายต่างๆ ที่เรามีคอนเน็คชันอยู่ เราจะไม่ทิ้งให้คุณไปสู้เอาเอง และบอกเขาว่าในระดับการใช้งานว่า เขาจะไปปรากฎอยู่ในพื้นที่ไหน อย่างถ้าเราเอาภาพเขามาใช้ในงานแสดงเราก็ไม่ได้ใส่ชื่อชัดเจนนะ ในหมวดหมู่ของภาพที่ค่อนข้างจะมีเนื้อหารุนแรง ก็จะกำหนดกลุ่มคนดูเฉพาะกลุ่ม ฉายได้เฉพาะที่จริงๆ 

เราเข้าหาเขาแบบเพื่อน แต่ก็พยายามระมัดระวังตัวเองอยู่เหมือนกันเวลาไปพูดแบบนี้ เราบอกเขาเสมอว่าเราไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วเราจากไปนะ เราอยู่กับคุณ เป็นเพื่อนคุณ ถึงทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เราขับรถไปเยี่ยมเขาเองถึงที่บ้านจากตอนแรกที่ต้องมีคนนำทาง เมื่อความกลัวมันหายไปแล้วมันก็เหลือแค่ความรู้สึกที่ว่าอยากไปเยี่ยมบ้านเพื่อน

คุณทำประเด็นสิทธิมนุษยชน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะไปละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนที่ถ่าย มีวิธีคิดกับเรื่องนี้อย่างไร

เบื้องต้นเลยคือคุยว่าโอเคไหม ถ้าไม่โอเคก็จบตั้งแต่แรกเลย เรารู้สึกว่าเขาไม่ควรจะต้องแบกรับอะไรแล้ว บาดแผลที่เขาเผชิญมาในเคสแบบนี้ ถ้าเขาอยากสู้ เราจะสู้ไปกับเขา แต่ถ้าเขารู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว อยากอยู่เงียบๆ ก็ต้องเคารพเขานะ แต่ถ้าสมมติเขาอนุญาตแล้ว เราจะขยี้ถ่ายกันไปถึงตรงไหน มันก็ต้องดูความเหมาะสม เขาไม่ได้ขีดเส้นตรงๆ หรอก แต่เราอ่านมันจากประสบการณ์ ไม่ต้องไปพยายามอะไรมาก แค่เคารพกัน แต่ถ้าเราอยากได้งานมากกว่าที่บอกไว้ เราจะบอกเขาว่าเราขออนุญาตติดต่อกลับมาอีกทีนะ 

แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถคาดคะเนผลกระทบที่จะเกิดกับเขาได้ ทั้งในแง่ชีวิตประจำวันของเขาและในประเด็นที่มีปัญหา

เราพยายามบอกว่ามันมีผลกระทบแน่นอน ประเด็นคือเขารู้สึกว่าเขาถูกกระทำมาเยอะแล้ว คนพวกนี้แรงขับของเขามีไง ถ้าเขาทำอะไรได้บ้างเขาก็อยากทำ บางคนตั้งคำถามว่าเราไปทำให้บาดแผลเขาขึ้นมาหรือเปล่า เรารู้สึกว่าเท่าที่เราคุยมันมีความเจ็บช้ำอยู่จริง แต่ในขณะเดียวกัน การที่เรารับฟัง เข้าไปพูดคุยกับเขาในขณะที่คนจากพื้นที่อื่นไม่เคยมีใครรับฟังเขา เราพบว่ามันเป็นการเยียวยาเขาได้ที่เขารู้สึกว่าเขามีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งที่เชื่อเขา ที่อยู่ข้างๆ เขา การย้ำบางอย่างมันทำให้เขาพูดแล้วเขาน้ำตาคลอ แต่ว่าในทางหนึ่งเขาก็ได้ระบาย เรารู้สึกว่าเขาต้องการเพื่อนมากเหมือนกันในเวลาแบบนั้น มันก็พิเศษนะ เรื่องที่แม้ว่ายากที่จะเชื่อก็ดันมีคนเชื่อและรับฟัง

ทำไมถึงจัดเวิร์กช็อบถ่ายภาพกับ Realframe

อยากสร้างคนทำงานด้านนี้เยอะๆ ภาพถ่ายมันไปไกลกว่าที่คุณมาเฟี้ยวกันหรือเปล่าว่ากูเก่งกว่ามึง หรือว่ามันสวย มันควรจะให้อะไรกับใครบางคน หรือมันควรจะหาคุณค่าอื่นๆ ให้กับภาพได้ เราเคยไปเวิร์คช็อบของ Angkor Photo (เวิร์คช็อบภาพถ่ายเข้มข้นด้านข่าว สารคดีที่กัมพูชา) ไปเจอคนที่มาจากประเทศอื่นๆ เลยได้แลกเปลี่ยนกับเขา บ้านเราภาพถ่ายข่าวมันยังไม่ได้พูดโดยตัวภาพถ่ายเอง แต่อยู่ภายใต้การทำงานของเนื้อหา ภาพเป็นแค่ส่วนประกอบ ในขณะที่ต่างประเทศไปไกลกว่านั้นแล้ว เป็นภาพเชิงสารคดีเลย ภาพเล่านำ เราเลยอยากกลับมาทำโมเดลนั้นในบ้านเราบ้าง แทบจะเอาไอเดียของเขามาเลย แต่ก็ปรับให้เหมาะกับบริบทบางอย่าง อย่างน้อยที่สุดให้เขาเห็นว่าภาพทำอะไรได้มากกว่าความสวย เราค่อนข้างชอบคำว่า Inspiration (แรงบันดาลใจ) นะเพราะเราโตมากับมัน รู้สึกว่ามันสำคัญสำหรับคนที่จะไปทำงานต่อในรูปแบบใดก็ได้ แค่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงได้เพราะภาพๆ นี้ นี่ก็สำคัญ

จากวันนั้น (ปลายปี 2560) ถึงวันนี้เห็นพัฒนาการอะไรที่ชัดเจน 

เราว่าที่ชัดๆ เลยคือพวกเราเองมากกว่า ได้รูปแบบการทำงานที่รู้สึกว่าได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น กระบวนการถกเถียงหรือ Coaching ต่างๆ มันเลยกลายเป็นเวิร์คช็อบ 5 – 6 วัน ที่เราพยายามลดทอนประเด็นลงมาให้อยู่ในความเป็นไปได้ภายใต้เวลาที่มีข้อจำกัด ในด้านของผู้เข้าร่วม มันได้รับความสนใจเสมอตั้งแต่ครั้งแรก มีคนมีฝีมือ คนเก่ง มีโปรไฟล์ บางคนเราก็งงว่าเขาสมัครมาทำไมวะ (หัวเราะ) เขาต้องมาสอนเราหรือเปล่า

การสร้างเวิร์กช็อบแบบนี้ สร้างพื้นที่ที่พิเศษมากกว่าการเป็นช่างภาพที่ทำงานคนเดียวอย่างไร

ให้ตายนะ ความเป็นช่างภาพก็ยังอยากทำงานด้วยตัวเอง แต่พอเติบโตขึ้นทั้งในแง่องค์กรและส่วนตัวทำให้เราลงพื้นที่ทำงานได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โอกาสที่จะได้จับกล้องลดน้อยลง คุณต้องมานั่งทำงานอื่นๆ เช่น การจัดการเวิร์กช็อบก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ว่ามันก็สนุก แล้วเราได้ community ของคนที่มีความสนใจงานเชิงสังคมหรืออยากพัฒนาวงการภาพถ่ายให้ไปไกลมากขึ้น ทัดเทียมใกล้เคียงกับสากลมากขึ้น อาจจะมีความเฉพาะตัวตรงที่เป็นช่างภาพไทยๆ ที่สนใจสังคมมารวมกันอยู่ที่นี่ แต่เราพยายามเปิดออกไปสู่กลุ่มอื่นๆ ด้วย เราอยากเป็นคำตอบให้เขาเหมือนกันว่าภาพถ่ายมันทำเป็นอะไรได้มากกว่าความสวย สร้างเป็น community มีคนที่ทำงาน NGO หรือแม้แต่คนที่ทำงานในภาครัฐก็มาร่วมกับเรามันทำให้เกิดสังคมของการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือทรัพยากรบางอย่างในการทำงาน ทำให้งานของเราเติบโตมากขึ้น

ประเด็นที่คุณต้องการสื่อสาร เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยมันเป็น Echo Chamber (สภาวะที่ข้อมูลข่าวสาร ความคิดอยู่ในระบบปิด) ไหม

เมื่อก่อนมันเป็นแบบนั้นนะ แต่เดี๋ยวนี้คุณพูดไม่ได้เว้ย คุณเห็นเด็กนักศึกษาไหม เราเชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าวันหนึ่งคนจะตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน หรือประชาธิปไตยว่ามันสำคัญ มันต้องมาแน่นอนในประเทศแบบนี้ โลกเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ คุณไปขวางทางโลกได้เหรอ เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่ามันจะมีคุณค่าขึ้นมาในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มคนที่มี Ideology (อุดมการณ์) แบบเดียวกัน ก็เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งของการทำงาน ถ้าเขาเชื่อมั่น ก็เป็นการขยายวงกว้างความแข็งแรงของการทำงานของ ฐานผู้ติดตามของเรามากขึ้น เมื่อบริบทสังคมมันพร้อมกับเรื่องแบบนี้แล้ว โอกาสก็จะเข้ามา 

ทุกวันนี้ถ่ายภาพไปทำไม

เอาแบบจากใจคือไม่รู้จะทำอะไร (หัวเราะ) มันเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด แต่มันก็เศร้าประมาณหนึ่งว่าเรายังวิ่งอยู่ในสหพันธ์ของแรงงานที่ยังเป็นคนหาเช้ากินค่ำนะ เราไม่รู้ว่าถ้าเราเหนื่อยแล้ว ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว เราจะซัพพอร์ตตัวเองด้วยอะไร ก็มีความพยายามในการยกระดับองค์กรที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเรายังไม่ได้อยู่ได้จริงในการเป็นแบรนด์ Realframe, Photo Production หรือเป็น Content Creator นี่ก็เป็น 10 ปีแล้ว มันก็ยังไม่ได้ดูแลเรา แต่เป็นเราที่ดูแลมัน เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลยว่ามันจะไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ เราแค่หวังว่าการถ่ายภาพของเรา การทำงานหนัก (ซึ่งมันก็โรแมนติก) มันจะตอบแทนให้เราอยู่ได้ในวันหนึ่ง

Tags:

ชาติพันธุ์การถ่ายภาพRealframeประเด็นทางสังคมยศธร ไตรยศ

Author:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    Nexplore กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ทุกคนคิดแบบ Superhero Thinking ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Dear Parents
    การเมือง เรื่องที่ควรเริ่มคุยจากในครอบครัว : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Creative learning
    เวิร์คชอปภาพถ่ายพลังงานทางเลือกที่เล่าตั้งแต่เรื่องแดดไปจนถึงขยะความเชื่อ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

การศึกษาคือการปลดปล่อย ไม่ใช่การกดขี่ : ‘ครูทิว’ ครูคูลที่ออกไปเคียงข้างนักเรียนเพื่อสุดท้ายกลับมาเคียงข้างครู
Unique Teacher
17 March 2021

การศึกษาคือการปลดปล่อย ไม่ใช่การกดขี่ : ‘ครูทิว’ ครูคูลที่ออกไปเคียงข้างนักเรียนเพื่อสุดท้ายกลับมาเคียงข้างครู

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ครูทิว – ว่าที่เรือตรีธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูวิชาสังคมศึกษาหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีจุดยืนชัดเจน คือ การอยู่เคียงข้างนักเรียนในทุกสถานการณ์ เปิดพื้นที่ให้นักเรียน รวมถึงสังคมได้ตั้งคำถามว่า เราต้องการนักเรียนแบบไหน ต้องการครูแบบไหน รวมถึงต้องการระบบการศึกษาแบบไหนกันแน่ 
  • “วิชาหนึ่งของม.4 ชื่อว่าการเมืองการปกครองไทย เราจัดทริปทัวร์สถานที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ เสียค่ารถกันเอง กินข้าวเอง นั่งรถเมล์ต่อเดียวจากหน้าโรงเรียนไปลงพิพิธภัณฑ์ผ่านฟ้า พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า เราก็ชวนคุยเรื่องป้อมมหากาฬ คุยเรื่องถนนราชดำเนิน เสร็จแล้วก็ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คุยเรื่อง 2475 เห็นอะไรบ้าง รับรู้อะไรกันบ้าง จากนั้นไปอนุสรณ์สถาน สนามหลวง ธรรมศาสตร์”
  • ‘ครูขอสอน’ หนึ่งในหน้างานครูทิวที่ตั้งใจอยากแก้ปัญหาครู และมองว่าครูเป็น key person ที่สำคัญที่สุดในการทำงาน เป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการศึกษา อยู่ใกล้ชิดเด็กที่สุด เด็กจะดีจะร้าย จะได้รับการดูแลยังไง การสอนยังไงก็อยู่ที่ตัวครูนี่แหละ ถ้าครูไม่ได้ทำหน้าที่เต็มที่ หรือทำหน้าที่บกพร่อง ก็ย่อมส่งผลต่อนักเรียน

นักเรียน คือ คนที่ทำให้ครูเห็นปัญหาในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นภาระงานเอกสาร ความกดดันเชิงระบบที่ทำให้ครูไม่ได้ทำหน้าที่ครูเต็มที่ ซึ่งการสื่อสารทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ครูได้เปล่งเสียงบอกว่าระบบรัดรึงการทำงานอย่างไร พูดเพื่อแก้ไขปัญหาให้ครูได้ทำหน้าที่ครูจริงๆ เสียที 

รายการพอดแคสต์ ‘ข้างๆ ครูคูล’ ตอนที่ 2 สนทนาในประเด็นนี้กับ ครูทิว – ว่าที่เรือตรีธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูวิชาสังคมศึกษาหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีจุดยืนชัดเจน คือ การอยู่เคียงข้างนักเรียนในทุกสถานการณ์ เปิดพื้นที่ให้นักเรียน รวมถึงสังคมได้ตั้งคำถามว่า เราต้องการนักเรียนแบบไหน ต้องการครูแบบไหน รวมถึงต้องการระบบการศึกษาแบบไหนกันแน่ จากนั้นก็ขับเคลื่อนสังคมครูในห้องเรียนและในเชิงระบบไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่

ทำความรู้จักตัวตนครูทิว ผ่านเด็กชายธนวรรธน์กันสักหน่อย

เด็กชายธนวรรธน์ในวันนั้น เป็นเด็กแก้มยุ้ยๆ คนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ จนกลายเป็นหนอนหนังสือในเวลาไม่นาน จุดเริ่มมาจากคุณพ่อที่เป็นบรรณารักษ์ ส่วนคุณแม่ก็ชอบอ่านหนังสือให้ฟังตลอด ตอนเด็กเวลาแม่ไปทำธุระก็จะรอที่ห้องสมุดประชาชนจันทบุรี เราอยู่กับหนังสือมาตลอดตั้งแต่อนุบาลด้วยซ้ำ แต่เพิ่งจะมาจริงจังช่วงประถม อ่านทั้งหนังสือความรู้รอบตัว สังคม แผนที่ วิทยาศาสตร์ ทำให้ในวัยเด็กมักอินเรื่องสังคมกับวิทยาศาสตร์มาก แล้วก็สนใจความรู้รอบโลกด้วย และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันแรกนั่นคือนักเขียน

จำได้ว่าตอนม.สามเทอมสองได้แฮร์รี่พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์เป็นรางวัลสอบได้ที่หนึ่ง เพราะเคยเปรยๆ กับครูไว้ หลังจากนั้นก็อ่านหนังสือเยอะมากๆ ซึ่งบางเล่มก็ทำให้เราวางไม่ลงเลย อย่างแฮร์รี่พอตเตอร์ กับอีกเล่มที่จุดประกายเรื่องบ้านเมือง ประวัติศาสตร์ การเมือง ก็คือ ‘ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน’

จากหนอนหนังสือที่ฝันอยากเป็นนักเขียน มาเป็นครูทิว ครูคูลๆ ในวันนี้ได้อย่างไร?

สักตอนป.5 คนอื่นก็อยากเป็นทหาร เป็นพยาบาล เป็นครู เป็นหมอ ตามสไตล์เด็กๆ ในโลกทัศน์เรามีอยู่แค่นั้น แต่เราวาดรูปมาเลย ใส่เสื้อกาว์น ถือหลอด อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ คือเราอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เยอะ ชอบค้นคว้า ชอบทดลอง และเราก็เป็นเด็กวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน พอสักมัธยม เริ่มสโคปมาแล้ว อยากเป็นนักธรณี เพราะชอบผจญภัย ชอบหินแร่ ชอบสำรวจ ปีนเขา อย่างอินเดียน่าโจนส์อะไรแบบนั้น 

ปรากฏว่าพอ ม.3 เลือดรักชาติเข้าเส้น อยากเป็นทหารเรือ จนสุดท้ายแล้วตอนม.4 เราไปเลือกตั้งกรรมการนักเรียนแต่ก็ไม่ได้เป็น นับแต่นั้นเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เราเลือกสมัครไปเพราะอะไร เราบอกว่าเราอยากทำเพื่อโรงเรียนใช่ไหม? แล้วจำเป็นต้องเป็นแค่กรรมการนักเรียนเหรอ ก็ย้อนกลับมายังอนาคตของเรา อาชีพของเรา ตอนนั้นเรารักชาติ อยากทำเพื่อคนอื่น อยากเสียสละ แล้วมีแต่ทหารเหรอที่เสียสละหรือว่าทำเพื่อชาติ เราก็มองย้อนกลับไปครับว่า เราถนัดอะไร ทำอะไรได้ดีบ้าง 

แต่การเป็นครูนี่จริงๆ แล้วพยายามหนีมาตลอดนะ เพราะที่บ้านพ่อแม่ก็เป็นครูมาก่อน คือโตมากับบ้านพักครู ห้องเรียน ญาติพี่น้องก็เป็นครูกันหมดเลย แล้วครูสมัยประถมฯ ก็บอกว่าเราน่ะดีเกินกว่าที่จะเป็นครู แล้วเป็นครูมันไม่ดียังไง?

เราก็เลยย้อนกลับมาทบทวนตัวเองว่า หนึ่ง – เพื่อนชอบมาปรึกษาเรา แล้วมักจะได้คำตอบที่ดีเสมอ สอง – ผมเป็นประธานชุมนุมวิทยาศาสตร์ เป็นคนคิดกิจกรรมของชุมนุมในทุกๆ สัปดาห์ และเรารู้สึกสนุกมากกับการออกแบบกิจกรรม ออกแบบการเรียนรู้ แล้วก็เห็นเพื่อนๆ น้องๆ ในชุมนุมสนุก เรามีความสุขมาก

สาม – เป็นจุดที่ทำให้เราคิดได้เลย คือ การเป็นสตาฟกีฬาสี ดูแลกีฬาวอลเลย์บอล และเนื่องจากไม่มีนักกีฬาเลย สีผมก็มีแต่เด็กห้องคิงส์ ผมก็ไปออดอ้อนน้องม.2 ซึ่งต้องเรียนวิชาพละ เราก็บอกน้องๆ ว่าจะสอนวอลเลย์บอลให้นะ น้องจะได้สอบได้ แต่มาลงกีฬาให้พี่หน่อย ก็เริ่มจากปูพื้นฐานก่อน เด็กเขาทำไม่ได้ก็พยายามเทรนด์ พยายามสู้กับเขา จนวันหนึ่งครูประจำชั้นเข้ามาถามว่าทำยังไง เด็กครูไม่ยอมเล่นกีฬาเลย แต่อยู่กับเราไม่ยอมกลับบ้าน ก็ตอบกลับไปว่าเขาคงมีความสุขมั้ง แล้วพอเล่นไปแล้ว เขารู้สึกว่าเขาทำได้ และพอตอนกีฬาสี เขาก็ทำได้จริงๆ ถึงแม้ไม่ได้เหรียญทอง แต่ทุกคนรู้สึกแฮปปี้ รู้สึกประสบความสำเร็จ 

จากวันแรกที่เริ่มต้นจนวันนี้ เขาทำได้ เขาแก้ไขสิ่งที่เขาผิดพลาด เขาโอเค แล้วทุกคนก็มาขอบคุณเราว่าเป็นเพราะเรา เลยรู้สึกเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้สักต้น แล้วเห็นมันโต แต่วันนี้ต้นไม้มาขอบคุณเราว่าขอบคุณนะที่ใส่ปุ๋ยเขาอย่างนี้ ที่รดน้ำเขาอย่างนี้ ที่ทำให้เขาโตแบบนี้ นี่มันความรู้สึกของคนเป็นครู สงสัยอาชีพทีเหมาะกับชีวิตที่สุดก็ต้องเป็นครูนี่แหละ

พอมาเป็นครูแล้วมีสไตล์การสอนแบบไหน?

เวลาเข้าไปคาบแรก ผมจะบอกกับเด็ก คุณต้องเป็นตัวของตัวเองนะ แล้วครูก็จะเป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน หมายความว่าเราจะไม่แอ๊บ แต่เรารู้นะมารยาท หรือขอบเขตของการวางตัวเป็นยังไง แต่เราอย่าละทิ้งตัวตน เพราะความเป็นมนุษย์ เราต้องมีอัตลักษณ์ มีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวของตัวเอง 

บทบาทหน้าที่ก็ส่วนหนึ่ง การวางตัวและมารยาททางสังคมก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็มีสเปซว่างพอที่เราจะเป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากครูไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองในห้องเรียนได้แล้ว เด็กก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ และไม่มีความมั่นใจ 

ดังนั้น ถ้าถามว่าตัวตนในตอนที่สอนเป็นยังไง ผมว่าผมเป็นคนตลก คือ เป็นคนที่มีความสุขกับรอยยิ้มคนอื่น รู้แหละว่าปล่อยมุกนี้ไปแล้วจะแป๊ก แต่ก็ยังขยันปล่อย แต่เชื่อไหมพอทำแบบนี้ ผมกลับรู้สึกว่าเด็กมีไหวพริบกับผมมากขึ้น ไม่ใช่แค่ยิงมุกนะ แต่หมายถึงเรื่องการตอบคำถาม หรือการเรียนด้วยซ้ำที่เขารู้สึกกล้าตอบ กล้าพูด แล้วก็สบายใจที่จะอยู่กับเรา ตอนนี้สอนม.ต้นและม.ปลายด้วย คร่อมเลย ซึ่งเทอมนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์ ม.3 กับเหตุการณ์ปัจจุบัน ม.5

ครูทิวสนใจการเมือง ถึงขั้นตั้งชมรมรัฐศาสตร์การเมืองด้วย มีความเป็นมาอย่างไร?

ก่อนหน้านี้ผมอยู่โรงเรียนเก่าเรามีชมรมนักกฎหมาย เพราะผมสนใจเรื่องการเมือง เรื่องกฎหมายพวกนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะมีรายการแข่งขันกฎหมายเยอะมาก โดยปกติครูจะไปจิ้มเด็กมาแล้วบอกให้เราส่งที พอเราเริ่มทำเราก็รู้สึกว่าจริงๆ มันน่าจะมีเด็กที่สนใจอีกเยอะ ผมก็เลยประกาศลอยๆ ใครสนใจก็มาสมัคร 

ปรากฏว่าคนมาสมัครเยอะ เพราะเด็กเขาสนใจเรื่องกฎหมายรอบตัวเพื่อที่จะปกป้องสิทธิของตัวเอง คนในครอบครัว หรือเพื่อนๆ แม้แต่เรื่องการบ้านการเมืองเขาอยากรู้เท่าทัน กลายเป็นว่าเด็กที่ไปแข่งตอบปัญหากฎหมายกับผมเป็นเด็กที่สนใจจริงๆ ไม่ได้ไปจิ้มมา

พอมาอยู่โรงเรียนนี้ เลยตั้งใจว่าเราจะเปิดพื้นที่นี้ คือ กฎหมาย การเมือง ให้กับเด็กที่มีความสนใจและต้องการจะพูด เพราะบางครั้งโดยเฉพาะเรื่องกฎหมายในระดับมัธยมค่อนข้างจะหาครูที่อินไซด์ตอบคำถามเขาได้ หรืออธิบายหลักการโดยละเอียดได้น้อยมาก 

ส่วนเรื่องการเมือง บางทีก็ด่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างนั้น แต่บนหลักวิชาการก็น้อยคนอีกที่จะชวนเขาวิเคราะห์ได้ขนาดนี้ ดังนั้น จึงอยากจะชวนเพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็กเขาได้แสดงตัวตน ได้แสดงความคิดเห็น

ครูทิวพาเรียนการเมืองการปกครองรอบรั้ว จากการตั้งคำถามและหาคำตอบ

วิชาหนึ่งของม.4 ชื่อว่าการเมืองการปกครองไทย เราก็จัดทริปทัวร์สถานที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ ซึ่งไม่ใช้งบประมาณเลย เสียค่ารถกันเอง กินข้าวเอง นั่งรถเมล์ต่อเดียวจากหน้าโรงเรียนไปลงพิพิธภัณฑ์ผ่านฟ้า พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองอยู่แล้ว เราก็ชวนคุยเรื่องป้อมมหากาฬ คุยเรื่องถนนราชดำเนิน เสร็จแล้วก็ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คุยเรื่อง 2475 เห็นอะไรบ้าง รับรู้อะไรกันบ้าง จากนั้นไปอนุสรณ์สถาน สนามหลวง ธรรมศาสตร์ 

เด็กเขาก็ถามว่าอาจารย์ตรงนี้เลยเหรอ ตรงที่หนูยืนอยู่ตรงนี้ใช่ไหมต้นโพธิ์ต้นนี้ใช่ไหม เอ๊ะ…ตึกนี้เหมือนในรูปเลย เขารู้สึกอิน และเริ่มตั้งคำถามกับหนังสือเรียน หรือกับเนื้อหาที่เราชวนคุยก่อนหน้านี้ เป็นทริปที่สนุกมาก เด็กเหนื่อยนะ แต่เด็กรู้สึกแฮปปี้ เพราะไม่เคยมีใครพาเขาเที่ยวอย่างนี้เลย

หลังจากจบทริป ผมให้เด็กเขียนคำถาม แต่ยังไม่มีคำตอบนะ หลายๆ คำถามมันสะท้อนว่าเขาเริ่มตั้งคำถามกับอะไรบางอย่างแล้ว ซึ่งเราอาจได้เปรียบที่อยู่กรุงเทพฯ และใกล้ด้วย แต่ที่อื่นรอบโรงเรียนก็มีแหล่งเรียนรู้อยู่เยอะแยะ อยู่ที่คุณครูจะศึกษาแล้วสกัดตรงนั้นออกมาให้นักเรียนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งการที่เด็กตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเห็นทุกวัน ทำให้ทั้งเด็กและครูได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน 

เมื่อสักครู่พูดถึงการเรียนรู้นอกห้องเรียนแล้ว อยากให้แบ่งปันโครงการดีๆ ที่กำลังทำกับเพื่อนครูอยู่ตอนนี้ด้วย

เป็นการทำงานของเครือข่ายครู ชื่อว่า ‘ครูขอสอน’ คือ เราจะนิยามตัวเองว่าเป็นกลุ่มคนที่อยากเห็นครูได้ทำหน้าที่สอนและพัฒนานักเรียนอย่างแท้จริง และเราตั้งชื่อนี้เพื่อให้สังคมได้ตั้งคำถามว่า…แล้วครูไม่ได้สอนหรือ 

ก่อนหน้านี้เรารวมตัวกันอย่างหลวมๆ เพราะหลายคนเป็นครูนักกิจกรรม ไปเจอกันตามเวิร์กชอปต่างๆ เจอกันตาม TED CLUB บ้าง จนเริ่มสนิทกันและแชร์กันในเรื่องการศึกษา เพราะแต่ละคนเป็นครูรุ่นใหม่ไฟแรง แล้วก็มีการขับเคลื่อนหรือพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในหน้างานตัวเองอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็จะต้องมี pain point มีสิ่งที่ทุกคน suffer มาจากที่ทำงาน มาจากโรงเรียน มาจากระบบการศึกษา การแชร์กันทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว ไม่ได้เผชิญปัญหานี้คนเดียวนะ ยังมีเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมอุดมการณ์อีกเยอะ ก็รวมกลุ่มกันขับเคลื่อนเพื่อให้สังคมเริ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษาว่า การศึกษาที่ควรเป็นมันควรจะเป็นอย่างไร และอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรค 

เราคิดว่าครูเป็น key person ที่สำคัญที่สุดในการทำงาน เป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการศึกษา อยู่ใกล้ชิดเด็กที่สุด เด็กจะดีจะร้าย จะได้รับการดูแลยังไง การสอนยังไงก็อยู่ที่ตัวครูนี่แหละ ถ้าครูไม่ได้ทำหน้าที่เต็มที่ หรือทำหน้าที่บกพร่อง มันก็ทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น ใช้ครูเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนกลไกทุกอย่าง ทั้งเรื่องระบบราชการ ผู้บริหาร ปัญหาการประเมินการเรียนการสอนหลักสูตร การดูแลช่วยเหลือนักเรียน ให้ครูเป็นศูนย์กลางโดยใช้ชื่อกลุ่มว่าครูขอสอน

ครูขอสอนจึงทำงานในแง่วิชาการ ในเชิงทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย

เราเน้นไปเชิงนโยบาย อย่างในโรงเรียนเราก็จะมีพาร์ทห้องเรียนเชิงบวก แต่เรารู้สึกว่าบางครั้ง แม้ครูพยายามมากแค่ไหนในหน้างานตัวเอง แต่ครูบางคนก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาเชิงระบบ 

ดังนั้น ครูขอสอนจึงไปทำอะไรที่แตะเชิงโครงสร้าง หรือแตะเชิงระบบว่าถ้าเราแก้ที่ระบบ หรือแก้โครงสร้างตรงนี้ได้จะปลดล็อกปัจเจก หรือครูแต่ละคนสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เต็มที่อย่างมีศักยภาพมากขึ้น เราจึงคุยกันเรื่องพระราชบัญญัติการศึกษา เพราะมันมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงอยู่ และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่เราติดตามอยู่ อย่างปีที่แล้วเราก็ตั้งวงเสวนาแล้วก็รวบรวมข้อคิดเห็น ข้อเสนอแล้วก็ไปยื่นต่อกรรมาธิการศึกษาอย่างนี้เป็นต้น

เคยมีวงเสวนาเกี่ยวกับครู ‘ครูไทยยังไงดี?’ หรือ ‘ห้องเรียนไทย’ ‘อนาคตที่อยากเห็น การศึกษาที่อยากเป็น’ ทำไมครูถึงไม่ได้สอนภาระหน้าที่อะไรต่างๆ เอางานวิจัย เอางานต่างๆ มาซัพพอร์ท สนับสนุน รวมถึงช่วงที่มีเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางการเมือง หรือว่าการที่มีการลงโทษรุนแรง กลุ่มก็ออกแถลงการณ์ และชี้ให้เห็นว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องเชิงโครงสร้างอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้สิทธิเสรีภาพกับนักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่ครู ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง รวมถึงการที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน เรามีความคิดเห็น มีจุดยืนตรงนี้อย่างไร เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

หลังจากเกิดปรากฏการณ์สังคม การเมือง ความรุนแรงที่สะท้อนระบบและอำนาจจากโครงสร้าง ครูทิวก็ขยับสู่กระทรวงศึกษาธิการเพื่อทวงพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน

ใช่ครับ เรามีกิจกรรมชื่อ ‘ครูลุยกระทรวงทวงพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน’ โฟกัสเรื่องสิทธิมนุษยชนกับพื้นที่ปลอดภัยที่จะทำให้นักเรียนเติบโต มีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ สติปัญญาอย่างเต็มที่จริงๆ โดยไม่ถูกลิดรอน หรือถูกตัดทอนเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเราไม่ได้หมายความว่าครูทุกคนเป็นอย่างนั้น แต่ระบบภาพรวมยังเกิดแบบนั้นอยู่ ถ้าไม่เกิดปัญหาอย่างนี้ เราจะไม่เห็นนักเรียนนักศึกษาออกมาระเบิด ออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมายขนาดนี้ 

ฉะนั้น สิ่งที่เราจะไปทำคือชวนคนสะท้อนปัญหา มองให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างว่าความรุนแรงที่เกิดกับนักเรียน หรือแม้แต่เกิดกับครู ทำไมครูถึงเป็นแบบนั้น ทำไมถึงเกิดปัญหาในโรงเรียนอย่างนี้ นี่ครูจะต้องเจออะไรบ้าง โรงเรียนเป็นยังไง ระบบการศึกษาเป็นยังไง ก็จะมีการแสดง มีเพลง มีทิชเชอร์ทอล์กมาพูดเกี่ยวกับห้องเรียน โรงเรียนและระบบ รวมถึงระบบผลิตครูด้วย วันนั้นเรามีนิสิตครูมาพูดด้วย แล้วสุดท้ายก็จะเป็นแถลงการณ์ บอกข้อเรียกร้องต่อรัฐมนตรี กรรมาธิการศึกษา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คุรุสภา รวมถึงสโมสรนิสิตคณะคุรุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ทั่วประเทศด้วย

เสียงเหล่านี้ไปถึงผู้ใหญ่ แล้วได้รับการตอบรับอย่างไรบ้าง?

คิดว่าเขารับรู้ แต่ด้วยแว่นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือใดๆ ก็แล้วแต่ ในการมองประเด็นแต่ละประเด็น ทำให้มองแตกต่างกันไป สำหรับผู้ใหญ่ ณ ตอนนี้เหมือนกับผู้ใหญ่ในกระทรวงรู้ข่าวที่เราจะไปประชิดกระทรวง เขาก็คุยกันว่าเขาอยากจะเปิดพื้นที่ให้พวกเราเข้าไปพูดคุย แล้วเขาก็ดูเห็นด้วย 

จริงๆ แล้วผมเข้าใจว่าหลายๆ ประเด็นเป็นเรื่องที่เขาอาจกำลังทำอยู่ คนก็อาจจะเห็นด้วยแต่ติดอุปสรรค ติดปัญหาบางอย่าง ซึ่งแม้ว่าเราเองอยู่จุดนั้น เราอาจจะมีข้อจำกัดเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราต้องพูด เรารู้สึกว่ากลไกหรือระบบมันไม่ได้ตอบโจทย์ ถ้าตอบโจทย์ก็คงจะไม่มีคนไปส่งเสียงอยู่หน้ากระทรวงหรือแม้แต่เด็กที่ออกมาพูด นั่นแสดงว่าระบบมันเป็นปัญหาแล้วแหละ

และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็อาจมีปัญหาในเชิงระบบ หรือบางอย่างที่คาราคาซัง แล้วพันกันเหมือนหูฟังในกระเป๋า ดังนั้น ผมก็เลยพยายามใช้วิธีการผ่านครูขอสอนให้สังคมตั้งคำถาม แล้วต้องการเสียงจากสังคม ฉันทามติ มีเป้าหมายเดียวกันว่าต่อไปนี้สังคมเราต้องการการศึกษาแบบนี้ ต้องการครูแบบนี้ ต้องการนักเรียนแบบนี้ เพื่อชวนไปในทิศทางเดียวกัน แล้วปมทั้งหลายจะคลี่คลายไปในทิศทางเดียวกันจากกระแสเหล่านี้

ปรากฏการณ์ที่เยาวชน โดยเฉพาะนักเรียนลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับระบบ ส่งเสียงกับพื้นที่ที่ลิดรอนสิทธิ มองเรื่องนี้อย่างไร?

การเอาตัวเราเข้าไปชัดเจนว่าอยู่ข้างนักเรียนในการสื่อสารเรื่องนี้ จริงๆ ตอนแรกก็ค่อนข้างลังเล และลำบากใจอยู่เหมือนกันด้วยอะไรหลายๆ อย่าง คิดว่าครูหลายๆ คนก็น่าจะรู้สึก แม้แต่ในโรงเรียนการจะคุยเรื่องนี้กับเด็กว่าครูจะซัพพอร์ทแค่ไหน ครูก็ยังไม่สบายใจเลย 

แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นข้อเรียกร้องของเด็ก หนึ่ง – เรื่องการหยุดคุกคามเขา สอง – เรื่องของกฎระเบียบต่างๆ การยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าหลัง ที่ยังตีกรอบเกินความจำเป็น และส่วนที่สาม คือ การปฏิรูปครู ปฏิรูประบบการศึกษา ซึ่งเรารู้สึกว่าการที่เขาเรียกร้องปฏิรูปครู สิ่งที่เด็กพูดเขามองเห็นว่าครูต้องเจอปัญหาอะไรบ้างที่ทำให้ครูไม่สามารถสอนหรือทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ แสดงว่าเขาเข้าใจเราและมองเห็นปัญหา 

แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือสังคมมักจะมองว่าครูไปตัดสินเด็กเหล่านี้ที่ผมมองว่าเขาเป็นพลเมืองตื่นรู้ เป็นคนที่ตั้งคำถาม แล้วมองเห็นความไม่เป็นธรรมและออกมาเรียกร้อง แม้ว่าบางปัญหาไม่ใช่ปัญหาของเขาเอง แต่เขาก็มาต่อสู้เพื่อขจัดเรื่องพวกนี้ออกไป

เรารู้สึกว่าบางครั้งผู้ใหญ่หลายๆ คนมักจะไปตัดสินเขาว่าเป็นเด็กก้าวร้าว เป็นเด็กไม่ดี ไม่ตั้งใจเรียน โดยไม่ฟังเลยว่าจริงๆ ที่เขาพูดคืออะไร และต้องการอะไร ผมก็รู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ และรู้สึกว่ามีครูจำนวนมากเลยที่รู้สึกเหมือนเรา รู้สึกอยากอยู่เคียงข้างเขา เข้าใจเขา อยากจะชวนเขามาคุยดีๆ

จุดเริ่มต้นที่พาครูทิวมายืนเคียงข้างนักเรียนในวันนี้

จุดเริ่มต้น คือ นักเรียนทักมาหาผม เพราะอยากจะให้คนเป็นครูจริงๆ มาขยายเรื่องนี้ ซึ่งจะมีน้ำหนักมากกว่า ด้วยความที่เราอยู่ในสื่อหรือว่าขับเคลื่อนหลายๆ ประเด็นอย่างนี้ ซึ่งเด็กเขามองเห็นเรา และเขารู้สึกว่าเขาอยากได้ครูแบบนี้ ครูที่ฟังเขา ครูที่ไม่ตัดสินเขา แล้วพร้อมที่จะคุยกับเขา อันไหนที่เขาเข้าใจผิด ยังรับรู้ไม่ถ้วนทั่วเราก็พร้อมที่จะอธิบายให้เขาฟัง

เราก็ลังเล แต่การที่นักเรียนออกกันมาเยอะขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องเจอแรงเสียดทานเยอะมาก แล้วผู้ใหญ่อย่างเราจะปล่อยให้เขาสู้โดยลำพัง ทั้งๆ ที่ประเด็นที่เขาสู้มันเพื่อเราด้วย ก็เลยตัดสินใจไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็พยายามไปลดช่องว่างที่มองเห็นของครูในแก่นแท้ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ บอกว่าเรามีวิธีการไหนบ้างที่จะอยู่ร่วมกัน แล้วมองอนาคตร่วมกันยังไง นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามเท่าที่จะไปได้ในทุกเวที เพื่อให้นักเรียนเขารู้สึกอุ่นใจที่มีครูอย่างนี้ รวมถึงครูอีกหลายคนที่พร้อมเคียงข้างนักเรียน เขาก็รู้สึกได้รับ empower 

การชัดเจนในจุดยืนแบบนี้ มีฟีดแบคทั้งทางบวกและลบอย่างไรบ้าง?

ในทางบวก จริงๆ แล้วคนที่เห็นด้วยแล้วก็สนับสนุนเราก็มี ไม่เห็นด้วยก็มี เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราขับเคลื่อนก็เป็นประเด็นเรื่องการศึกษา ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจและดีลกับความรู้สึกตัวเองได้ คือ ครูร่มเกล้า ช้างน้อย เคยกล่าวไว้ว่า เกราะที่จะป้องกันเราเวลาเราทำอะไรก็ตาม หนึ่ง – ต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูดหรือขับเคลื่อนแน่นๆ เวลาใครถาม เราสามารถโต้แย้งได้ สอง – ต้องเข้าใจกฎหมาย อย่างผมเองถือว่าผมเข้าใจ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครู, พ.ร.บ.การศึกษา เข้าใจจรรยาบรรณวิชาชีพ แล้วก็กฎหมายบ้านเมืองต่างๆ ในระดับหนึ่งและก็พยายามศึกษา 

ในการปราศรัยทุกครั้งจะพูดเสมอว่าจริงๆ แล้วครูทำอะไรได้ ครูทำอะไรไม่ได้ สโคป หรือกรอบของเราอยู่ตรงไหน ถ้าเรายังทำในกรอบก็ทำไปเลย ถ้าเรานอกกรอบเมื่อไรค่อยว่ากัน เราก็ยอมรับว่ามันผิด แต่ถ้าอะไรที่มันยังอยู่ในกรอบ และถ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา แสดงว่าสังคมนี้ประเทศนี้ไม่มีหลักนิติธรรมแล้ว ไม่มีมาตรฐานแล้ว 

ส่วนสุดท้ายก็คือสื่อ เราอยู่กลางสปอร์ตไลต์แล้ว หลายคนก็เตือนผมด้วยความเป็นห่วงว่าเราจะเป็นเป้า คนเขาก็จะจ้องเล่นงานเราได้ชัด แต่ถึงจะอยู่กลางสปอร์ตไลต์ สังคม สื่อ หรืออื่นๆ เขาก็มองเห็นเหมือนกัน 

ดังนั้น การเป็นผู้ใหญ่ ผมพูดถึงการเป็นคนทั่วไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นครูหรือเป็นใครตาม ถ้าเราคิดว่าเราถูกแล้วก็จะไม่กลัวแสงสว่าง เด็กๆ ทุกคนผมเชื่อว่าโตเข้าหาแสง เขาต้องการแสงสว่าง แล้วผู้ใหญ่อย่างเราจะกลัวแสงสว่างทำไม ถ้าเราอยู่บนความถูกต้องและความเที่ยงธรรม

มาถึงเรื่องอำนาจในชั้นเรียน ครูทิวมีความเห็นและการบริหารจัดการเรื่องนี้ในชั้นเรียนอย่างไร?

ผมว่าอำนาจเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ตามหลักแล้วเราจะเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเท่ากัน แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน คือ อำนาจของมนุษย์ต่างหาก อำนาจที่เกิดจากอัตลักษณ์ แหล่งที่มา ซึ่งเหล่านั้นเป็นเปลือก แก่นแท้คือเราเป็นมนุษย์ แต่เปลือกเหล่านั้นก็คือสิ่งที่สังคมกำหนด สมมติขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความเป็นชายเป็นหญิง เป็นครูเป็นนักเรียน เป็นผู้ใหญ่เป็นเด็ก ผิวขาว ผิวดำ ยศถาบรรดาศักดิ์ ฐานะทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าเป็นแหล่งที่มาของอำนาจ 

ซึ่งแหล่งที่มาของอำนาจทางสังคม ทำให้ระนาบของอำนาจไม่เท่ากันด้วย เช่น ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างครูกับนักเรียนในสังคมไทย เมื่อเทียบกับสังคมตะวันตกก็ไม่เท่ากัน คือ เด็กตะวันตกเขาเคารพครู แต่เป็นความห่าง ความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง ซึ่งผมรู้สึกว่าสังคมเราสูงกว่า เพราะครูมีสถานะพิเศษ เหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผมได้เข้าเวิร์กชอบของไทยซียูอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วก็จุดประกายไม่ใช่แค่เรื่องของชั้นเรียน แต่เป็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้เลย มันคือเรื่อง power dynamic หรือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ คือการดีลระหว่างคนที่มีอำนาจมากกว่ากับคนที่มีอำนาจน้อยกว่า คนที่เป็นกระแสหลักกับคนชายขอบ ทีนี้ก็เริ่มรู้สึกถึงการใช้อำนาจเหนือ หรือจะใช้อำนาจร่วมเท่านั้นเอง ซึ่งนี่เป็นแก่นของทอล์ค TEDxYouth@BANGKOK จึงทำให้เราได้คำอธิบายและนำไปทำวิธีคิดในการจัดการชั้นเรียน 

พูดง่ายๆ ว่าการใช้อำนาจของคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคือการได้รับอะไรบางอย่าง เอาเปรียบ กดขี่ หรือบังคับ กำหนดคุณค่าผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า แต่การใช้อำนาจร่วม คือการใช้อำนาจที่เรามีไปเพื่อสนับสนุน รับฟัง ส่งเสริม ให้ร่วมตัดสินใจ แบ่งอำนาจให้กับเขา

คนเรามีแหล่งที่มาของอำนาจไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่พอเราแชร์อำนาจจะทำให้เราเข้าไปใกล้เคียงกัน ช่องว่างเราก็จะลดลง แล้วในการใช้อำนาจร่วม ทั้งคู่จะรู้สึกยินดี รู้สึกภาคภูมิใจ รู้สึกมีความมั่นใจในตัวเอง ต่างจากคนใช้อำนาจเหนือ ซึ่งคนที่ใช้อำนาจเหนือก็แฮปปี้อยู่แล้ว ฉันรู้สึกภูมิใจและถูกต้อง แต่คนที่ถูกกดขี่ เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต

พอเราใช้อำนาจร่วมกับนักเรียนและเพื่อนครู เห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน ตัวเรา หรือตัวครูอย่างไรบ้าง?

เอาที่เห็นได้ชัดคือในห้องเรียน เรามักจะบอกว่าเด็กไม่ค่อยกล้าพูด ไม่ค่อยกล้าตอบ เวลาถามว่า นักเรียนข้อนี้ตอบอะไร ก้มหน้าก้มตา หรือเกี่ยงกันตอบ เป็นเพราะเขากลัวผิด เพราะเราไปคอยตัดสินเขาอยู่เสมอ แต่พอเปิดพื้นที่แล้วพยายามรับฟัง โดยไม่ตัดสิน ไม่ใช้อำนาจไปลงโทษ เขาก็กล้า กล้าลองผิดลองถูก แล้วก็พร้อมที่จะเรียนรู้กับเรา 

เวลาเด็กมีปัญหา แน่นอนครูต้องดูแล ถ้าเด็กไม่บอกว่าเขามีปัญหาอะไร ครูก็ไม่รู้ แต่พอทำแบบนี้เด็กเขากล้าที่จะเดินเข้ามาหา มาถาม ‘ครู ครูคิดยังไง เป็นครู ครูจะทำยังไง หนูเจออันนี้มา’ ก็ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เด็กก็รู้สึกดี เราเองก็รู้สึกดี

ผมรู้สึกยิ้มทุกครั้งเวลาใช้วิธีการสอนที่เราไม่ได้ยืนพูดอย่างเดียว คือ มีบรรยายอยู่ แต่พอเป็นแบบที่ให้เขาได้มีอำนาจกำหนดความรู้ หรือได้ถ่ายทอดอะไรบางอย่างที่เขารู้ออกมา เราเห็นแววตา เห็นสีหน้า รอยยิ้มของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า นั่นแหละคือการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

สุดท้ายแล้วครูทิวมีประเด็นไหนที่อยากจะแบ่งปันกันอีกบ้าง 

ผมคิดว่าตัวเองก็ยังต้องขวนขวาย ไปเรียนรู้ ไปเปิดโลก เปิดประสบการณ์ อย่างตอนไปแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลีย รู้สึกว่าเรามองโลกเปลี่ยนไป มองการศึกษาเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้น ผมคิดว่าผมยังต้องเรียนรู้โลกกว้างอีกเยอะเพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลง แล้วก็พร้อมที่จะเคียงข้าง และเชื่อว่ามีครูอีกจำนวนมากที่เชื่อเหมือนกัน มีอุดมการณ์ร่วมกัน นักเรียนเองก็เช่นเดียวกัน เราจะต่อสู้ตรงนี้ไปด้วยกัน

ในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่ ผมว่ามันไม่มีตรงกลาง เพราะถ้าเกิดความไม่ยุติธรรม ความไม่ถูกต้องขึ้นในสังคม มันมีแต่ผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่เท่านั้น หากเราเพิกเฉยในสถานการณ์นี้เท่ากับเราเข้าข้างผู้กดขี่อยู่ ดังนั้นเราต้องยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้สังคมเป็นธรรมมากขึ้น เราจะต้องต่อสู้ให้เกิดความถูกต้อง แล้วทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ โดยใช้การศึกษานี่แหละเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนโลก เพราะการศึกษาคือการปลดปล่อย ไม่ใช่การกดขี่ 

Tags:

ประชาธิปไตยวิชาสังคมข้างๆ ครูคูลธนวรรธน์ สุวรรณปาลเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Unique Teacher
    ‘ครูสอญอ’ ครูสังคมศาสตร์ที่อยากแชร์วิธีจัดห้องเรียนประชาธิปไตย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Unique Teacher
    วิชาประวัติศาสตร์ที่ต้องคิด และไม่ใช้ปัจจุบันตัดสินความผิดถูก ของครูโจ้ – ศรัณยพงศ์ จันทะศรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Learning Theory
    อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ PHAR

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Social media detoxification: เมื่อโลกใบที่สองทำร้าย ล้างพิษ (โรค) โซเชียล กับ ‘หมอเอิ้น – พิยะดา หาชัยภูมิ’ จิตแพทย์นักแต่งเพลง
17 March 2021

Social media detoxification: เมื่อโลกใบที่สองทำร้าย ล้างพิษ (โรค) โซเชียล กับ ‘หมอเอิ้น – พิยะดา หาชัยภูมิ’ จิตแพทย์นักแต่งเพลง

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • การเสพประสบการณ์ผ่านสื่อต่างๆ เป็นเรื่องที่ดี ถ้ารู้เท่าทัน แต่ปัญหาก็คือหากถูกโซเชียลมีเดียครอบงำโดยไม่รู้ตัวอาจส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อาจเกิดปัญหาเรื่องพัฒนาการ และในกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตัวตนและต้องการการยอมรับจากสังคม
  • การเสพติดโซเชียลมีเดีย อาจมีกลไกคล้ายกับการที่สมองติดยาและสมองติดเกม ส่วนหนึ่งเกิดจาก Sensation seeking คือใช้แล้วมีความสุข อีกส่วนคือ Self-medication การใช้โซเชียลบำบัดความเครียด ซึ่งถ้าเราสามารถจับสัญญาณของปัญหานี้ได้ นั่นคือการตระหนักรู้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
  • สำหรับคนที่รู้สึกว่ากำลังได้รับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย คำแนะนำคือ ทบทวนประโยชน์ของแพลตฟอร์มและเป้าหมายในชีวิต รู้ตัวเองว่าเราหรือโซเชียลมีเดียเป็นนาย ถ้าเราเป็นนาย เราต้องเป็นผู้เลือก 

ภาพ : ปริสุทธิ์

ทุกๆ เช้าที่เราตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่หลายคนมักจะทำก็คือ หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็ค notified ต่างๆ และแน่นอนว่าพฤติกรรมการชำเลืองมองเป็นระยะๆ หรือจดจ่อเป็นชั่วโมงๆ ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนเข้านอน สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องราวทุกเรื่องบนโลกแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเราก็โลดแล่นอยู่ในโลกโซเชียล 

ทว่าถ้าใครได้ดูสารคดี The Social Dilemma ทาง Netflix จะเห็นแง่มุมที่แตกต่าง เมื่อเราไม่ได้เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีหรือโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่แพลตฟอร์มเหล่านั้นต่างหากที่เล่นกลกับจิตใจของมนุษย์ และพยายามทำให้เราติดกับ!

ตอนหนึ่งในสารคดีได้พูดถึง สถิติการฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจหลังปี 2013 ซึ่งเป็นปีที่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กกำลังเป็นที่นิยม และโซเชียลมีเดียต่างๆ เริ่มครอบงำความคิดของผู้คนมากขึ้น หมายความว่าอาจจะมีกลุ่มเสี่ยงที่ถูกโซเชียลมีเดียทำร้ายทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ มากไปกว่านั้นเชื่อมโยงไปถึงคำถามที่ว่า การใช้โซเชียลมีเดียทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้หรือไม่ 

แม้ว่าในทางจิตวิทยา เหตุปัจจัยอาจไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่ในยุคสมัยที่ใครๆ ต่างก็มีโลกสองใบ คือโลกแห่งความเป็นจริงและโลกโซเชียล น่าสนใจว่าสื่อออนไลน์เหล่านี้การทำงานกับจิตใจเราอย่างไร ลึกซึ้งและซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญ ถ้าเราเผลอตกหลุมพรางของโซเชียลมีเดียควรจัดการกับมันอย่างไรดี 

The Potential ชวนทุกคนมาสำรวจพฤติกรรมการเสพติดโซเชียลของตัวเอง เพื่อตระหนักถึงผลกระทบต่อชีวิตและจิตใจที่เปลี่ยนไป แล้วจัดการล้างสารพิษจาก (โรค) โซเชียลที่เข้ามามีผลต่อภาวะอารมณ์ของเรากับ หมอเอิ้น-พิยะดา หาชัยภูมิ จิตแพทย์และนักแต่งเพลง ด้วยวิธีทางจิตวิทยาที่เรียกว่า social media detoxification

ผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดียที่มากเกินไปของวัยรุ่นมีอะไรบ้าง และรุนแรงมากแค่ไหน

วัยรุ่นเจน Z เจนเอลฟ่า คือวัยที่เติบโตมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการใช้โซเชียลมีเดียของพวกเขาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างขาดไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะพูดถึงปัจจัยสี่ มีอาหาร ที่อยู่ ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม แต่สมาร์ทโฟนกลายเป็นปัจจัยที่ห้าที่หกไปแล้ว ที่ไหนมี WiFi ที่นั้นน่าอยู่ เป็นความต้องการพื้นฐานหนึ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งการเติบโตมาพร้อมกับสิ่งนี้  มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีก็คือว่า เราจะเห็นประสบการณ์ที่หลากหลาย ถ้าเป็นกลุ่มเด็กเจน Y จะเป็นช่วงวัยที่คาบเกี่ยวกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือธรรมดาๆ กำลังพัฒนาสู่สมาร์ทโฟนใช้งานได้ครบจบในเครื่องเดียว ส่วนหนึ่งก็จะเติบโตมาตามธรรมชาติ โตมาตามแบบแผน มีกิจกรรม Outdoor ที่ฮิตกันในแต่ละช่วง เช่น ช่วงหนึ่งฮิตเล่นสเก็ตบอร์ด  เล่นโรลเลอร์เบลด ดีดหนังยาง แต่ความเพลิดเพลินของเด็กสมัยนี้จะเป็นเกมอะไรที่ฮิตในช่วงนี้มากกว่า การ์ตูนตอนเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ที่ต้องรอดูก็ไม่ค่อยมีละ เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้เราดูตอนไหนเมื่อไรก็ได้แบบไม่จำกัด 

เงื่อนไขที่เคยมีก็ไม่มีแล้ว ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าถ้าเด็กๆ ไม่มีกรอบของเวลา คือหนึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ได้คัดกรองเกมหรือสื่อที่จะเข้ามาสู่สายตา สู่ประสาทสัมผัสของลูก สองไม่ได้มีการวางเวลา เด็กๆ รักสนุกอยู่แล้ว ทุกคนรักสนุก เวลาทำอะไรสนุกๆ ก็ชอบอยู่ตรงนั้น ก็จะทำให้เราลืมเรื่องการจัดการเวลาไป 

แต่การเสพประสบการณ์ผ่านสื่อต่างๆ เป็นเรื่องที่ดี ถ้าเรารู้เท่าทันก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้หลายๆ เรื่อง เหมือนเราดูละครแล้วเห็นนางเอกเป็นหมอ แล้วอยากเป็นหมอ เราก็จะมีฝัน เด็กเองถ้าเขาเสพอะไรแล้วมันมีความเป็นไอดอล มีจินตนาการของเขา มีฝันของเขา มันก็จะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการคิดของเขาได้ เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลอกเลียนแบบได้ เพราะฉะนั้นการคัดเลือกสิ่งที่เด็กๆ จะเสพหรือสิ่งที่จะอยู่ในโทรศัพท์ก็เลยเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ กับพัฒนาการและการเติบโต สำหรับเด็กยุคใหม่ 

ส่วนข้อเสียแน่นอนว่าถ้าไม่ควบคุม ไม่คัดกรอง ในเด็กเล็กก็จะมีผลกระทบในเรื่องของพัฒนาการ ทางด้านร่างกายเลย เช่น กล้ามเนื้อ เราจะสังเกตว่า การละเล่น ความเพลิดเพลินของยุคสมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย เราจะได้ใช้กล้ามเนื้อทุกมัด ผ่านความเพลิดเพลินจากการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเตะฟุตบอล กระโดดยาง เล่นหมากเก็บ เราก็มีการใช้กล้ามเนื้อมือในการรวบ ใช้ไหวพริบ ซึ่งการเล่นทั้งหมดไม่ใช่การเล่นแบบไร้ความหมาย แต่การเล่นทุกอย่างมีการกระตุ้นประสาทสัมผัส การเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นกล้ามเนื้อมัดเล็กก็ถูกใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ก็ถูกใช้

ในขณะที่ปัญหาของเด็กยุคนี้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่กับโซเชียลมีเดียนานๆ เราจะพบว่า เด็กเริ่มมีปัญหาดวงตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า มีปัญหาเรื่องสายตา ต้องใส่แว่นตาตั้งแต่อายุน้อยๆ เขียนตัวหนังสือได้ยาก เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กไม่ทำงาน เพราะการที่เด็กอยู่กับโซเชียลมีเดียมากเกินไป ทำให้ได้ใช้กล้ามเนื้อน้อยลง พัฒนาการและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ก็น้อยลง 

แล้วถ้าพูดถึงเรื่องของสติปัญญา เขาอาจจะได้ข้อมูลมากมาย แต่การได้รับข้อมูลมากมายไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีการเรียนรู้ที่ดีหรือฉลาดขึ้น ในทางกลับกันการที่เขารับสื่อทางเดียวและดูความเคลื่อนไหวตลอดเวลาจะพบว่า เด็กยุคนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้นมากขึ้น แล้วกลายเป็นสมาธิสั้นไม่จริง เป็นสมาธิสั้นเทียม 

‘โรคสมาธิสั้น’ ก็คือความผิดปกติในพัฒนาการของสมองในส่วนของสมาธิที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด สมองเราก้อนใหญ่ๆ ในแต่ละส่วนของสมองทำหน้าที่แตกต่างกัน ดูแลการทำงานในร่างกายที่ต่างกัน ในส่วนของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ในเรื่องของสมาธิ การโฟกัส ในเด็กสมาธิสั้นจริง สมองส่วนสมาธิเขาเติบโตช้ากว่าปกติ แต่สมองด้านอื่นก็ทำงานปกติ เผลอๆ จะดีกว่าคนปกติด้วยซ้ำ แต่พอเวลาที่เราไม่มีสมาธิ การที่จะเรียนรู้อะไรจะเป็นเรื่องยาก เพราะสมาธิเป็นประตูบานแรกที่จะรับข้อมูลเข้ามาในสมองแล้วมาเก็บไว้ในความจำระยะสั้นก่อน ถ้ามันถูกดึงออกมาใช้ก็จะเริ่มเข้ามาอยู่ในความจำระยะยาว ดังนั้นการที่เราไม่มีสมาธิตั้งแต่ครั้งแรกในการรับข้อมูล การจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ในสมอง เกิดเป็นความจำระยะสั้นระยะยาวก็จะยากขึ้น 

เด็กที่เติบโตหรือถูกเลี้ยงมากับการใช้โซเชียลมีเดีย เนื่องด้วยคุณพ่อคุณแม่ไม่มีเวลา ทิ้งให้อยู่กับยูทูบ เกม ทีวี เด็กกลุ่มนี้มีโอกาสสมาธิสั้น แต่มันเกิดจากการเลี้ยงดู ไม่ได้เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติ

ผลกระทบดังกล่าว สามารถขยายผลจนทำให้เกิดโรคซึมเศร้าหรือมีภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติ?

มีผลในเรื่องของสุขภาพจิตได้แน่นอน แต่ถามว่ามันจะเป็นสาเหตุหลักของการเป็นซึมเศร้าเลยไหม อาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว สมมติว่าเด็กคนหนึ่งเล่นมือถือจนมีปัญหานำร่องในเรื่องของสมาธิก่อน สิ่งที่ตามมาก็คือเขาก็จะไม่มีสมาธิในการทำอะไรสักอย่างให้เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน การที่เขาจะตั้งใจเรียนเวลาอยู่ในห้องเรียนก็จะเป็นเรื่องยาก ผลการเรียนก็ออกมาไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าวัฒนธรรมของครอบครัว วัฒนธรรมของสังคมมองว่า เด็กที่เรียนดี ผลการเรียนดีคือการยอมรับ เด็กคนนั้นก็จะมีผลต่อความมั่นใจในตัวเองในทันที เพราะฉันเรียนไม่เก่ง ผลการเรียนไม่ดี เรียนไปก็ไม่เข้าหัว ไม่มีสมาธิ หรือในอีกแบบหนึ่งพอไม่มีสมาธิแล้วก็ไม่อยากเรียน โดดเรียนไปเล่นเกม ไปทำอย่างอื่นที่ตัวเองสนใจ แต่ครอบครัวไม่เข้าใจ ไม่ได้เห็นด้วย ทั้งพ่อแม่และโรงเรียนก็มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี มีปัญหา เขาก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาของสังคมเลยทันที 

ปัญหานี้จะเกิดเยอะในเด็กเล็ก แต่ถ้าเกิดเป็นเด็กวัยรุ่น เขาก็จะเริ่มต้นค้นหาความเป็นตัวเอง ค้นหาการยอมรับ ก่อนจะมีโซเชียลมีเดียเราอาจจะอยากได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ จากคนในครอบครัว จากเพื่อน จากครู จากสังคมที่เราอยู่ การเปรียบเทียบส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากการเปรียบเทียบกับคนกันเองในบ้าน หรือเด็กข้างบ้านบ้าง ซึ่งแค่เปรียบเทียบกับข้างบ้านเราก็ไม่ชอบแล้วนะ 

แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่สามารถจะเห็นคนบนโลกได้หมดเลย การเปรียบเทียบจึงเกิดได้มากกว่าเดิม ยังไม่รวมถึงการที่เด็กเปรียบเทียบตัวเองกับคนในโซเชียลด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อนก็จะไม่ใช่เพื่อนที่มีตัวตนแค่ในโรงเรียนเท่านั้นแล้ว ยังหมายถึงเพื่อนที่อยู่ในโซเชียลด้วย ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก 

เด็กคนไหนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง อาจจะไม่ได้ประคับประคองว่า ตอนนี้ในวัยของเขาอะไรเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หาและต้องการเป็นพิเศษ ไม่ได้รู้ว่าการที่เราจะมีความมั่นใจอย่างถูกต้องได้อย่างไร  สิ่งเหล่านี้มันทำให้เด็กๆ เปราะบางและอ่อนไหวได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าการที่ทำแบบนี้แล้วครูชอบ เพื่อนชอบ แต่พอโพสต์ลงโซเชียลกลับมีคอมเมนต์ตำหนิ หรือบูลลี่ เช่น ลงรูปหน้าสด เพื่อนคนหนึ่งบอกน่ารัก แต่อีกคนบอกทำไมหน้าจืดจังเลย ทำไมหูกาง ก็เริ่มนอยด์ละ แล้วตกลงอันไหนดีไม่ดี แล้วถามว่าอันไหนมีอิมแพคมากกว่ากัน ก็ต้องอันที่มีจำนวนเยอะกว่า ตัวตนของเรามันกลายเป็นภาพที่คนอื่นเห็นแล้วใครก็ไม่รู้มาตัดสิน อันนี้คือความอันตราย 

ถ้าเกิดว่าเด็กเติบโตมาโดยที่ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่ได้หมายความว่าเป็นการควบคุมหรือบีบบังคับอะไรเด็กให้ผิดธรรมชาติในตอนนี้ ต้องบอกว่าการมีโซเชียลมีเดียมันกลายเป็นธรรมชาติของเด็กสมัยนี้ไปแล้ว แต่การที่เขาไม่มีพี่เลี้ยงมันก็สุ่มเสี่ยงมากกับการที่เขาจะมีความเปราะบางทางด้านจิตใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวตนเขาอยู่ตรงไหน อะไรคือฉัน อะไรคือความมั่นใจ ผลลัพธ์มันก็เลยกลายเป็นความอ่อนไหว อ่อนไหวเวลาที่เจอปัญหา นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้ เป็นผลกระทบที่อาจจะทำให้เด็กคนหนึ่งอาจจะเป็นซึมเศร้าได้ง่ายขึ้นได้นั่นเอง 

เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นโซเซียลมีเดียไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด แต่เป็นเพราะโลกความจริง บริบทสังคม สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ และการที่เราไม่รู้ทันเทคโนโลยีทำให้มันเป็นปัญหา 

หมอยกตัวอย่าง 2 เคส เคสหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิง มีไอดอลเป็นดาราเกาหลี พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าเด็กให้ความสำคัญกับไอดอลคนนั้นมากขนาดไหน วันดีคืนดีเด็กคนนี้ก็ไปอยู่ในแอคหลุมในเฟซบุ๊กใช้ชื่อปลอมโปรไฟล์ปลอม แต่กลุ่มที่เขาอยู่คือกลุ่มที่เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย คนในนั้นก็เป็นแอคหลุมหมด เพราะเขาจะได้โชว์วิธีการ ประสบการณ์ว่าเคยทำร้ายตัวเองมายังไง แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นตอนที่ไอดอลของเขาฆ่าตัวตาย เด็กก็เลยมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย แล้วก่อนที่ไอดอลจะฆ่าตัวตายในเอ็มวีของไอดอลเกาหลีคนนี้ก็มีฉากหนึ่งที่เอาลิปสติกมากรีดข้อมือ เด็กก็ทำตามแต่ใช้มีดคัตเตอร์กรีดข้อมือแทน จะเห็นว่าพอคุณพ่อคุณแม่เองไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่แรก ลูกเข้าไปอยู่ในหลุมแบบนี้โดยที่คนรอบข้างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เขามีความพึงพอใจอะไรบางอย่าง เด็กจึงมีความเชื่ออะไรบางอย่างที่บิดเบี้ยวไป

อีกเคสหนึ่งเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งเขามีปัญหาในการจัดการความโกรธ ความไม่พอใจของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไปทำร้ายใครนะ เขาเป็นคนที่โกรธแล้วเก็บ สิ่งที่เป็นความโปรดปรานของเขาในระยะหลังๆ คือ การเสพซีรีส์ที่รุนแรง ฆาตกรรม มันทำให้เขามีความรู้สึกสะใจ เขาเสพมันมากจนติด ไม่ดูไม่ได้ต้องดูทุกวัน แล้วก็อินเหมือนตัวเองเป็นตัวละครในซีรีส์ฆาตกรรมนี้ แล้วมีอยู่วันหนึ่งเขาเปิดเพลงเสียงดัง น้าเขาก็ตะโกนบอกว่าทำไมเสียงดังจัง เปิดเบาๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้ดุด่าอะไร แต่อีโก้จากการอินในตัวละครนั้นมันทำงานทันที เขาบอกหมอว่าอยากเอามีดไปแทงน้าตอนนั้นเลย แล้วเด็กเกิดความกลัวตัวเองที่คิดแบบนี้ กลัวไปทำร้ายคนอื่น กลายเป็นว่าตัวเองก็เลยมาทำร้ายตัวเองเพื่อจะบรรเทาความอึดอัดนั้น

สิ่งเหล่านี้มันเข้าไปทำงานกับจิตใจเราได้อย่างไร

มันคือ กลไกของการเสพติด ในสารคดี The social dilemma บอกชัดเจนในแนวคิดของการสร้างแพลตฟอร์มเชิงธุรกิจ สิ่งที่ต้องทำคือทำยังไงให้คนรู้สึกดีกับการที่อยู่ในแพลตฟอร์มนั้นแล้วใช้มันได้นานที่สุด ก็เลยต้องเล่นกับจิตวิทยาพื้นฐานแบบนี้แหละ 

เราชอบอะไรพึงพอใจอะไร คนชมเรา ชอบเรา เราก็ชอบ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของความสุข เราต้องการการยอมรับ ยอดไลก์ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการถูกยอมรับ ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า มีตัวตน แต่เด็กอาจจะไม่รู้ว่านั่นมันไม่จริง และเชื่อว่าโลกใบนั้นคือโลกของความจริง เราจึงถูกหลอกด้วยเทคโนโลยีในแบบนี้

ซึ่งกลไกการทำงานกับจิตใจเรานั้น อย่างเคสเด็กผู้ชายที่หมอยกตัวอย่าง เขารู้ว่ามันมีผลกระทบแต่หยุดไม่ได้ หยุดแล้วจะมีความรู้สึกกระวนกระวาย เครียด เพราะตอนดูแล้วมันมีความสุข เป็นอาการเดียวกันกับการติดสารเสพติด เด็กติดเกมก็เช่นกัน 

กลไกนี้เกิดจากความพึงพอใจบางอย่างในการทำกิจกรรมนั้นแล้วติดใจ  เรียกว่าเป็น Reward System หรือ ระบบการให้รางวัล กิจกรรมนั้นมันทำให้เรามีโมเมนต์ของความพึงพอใจเกิดขึ้น อย่างเด็กในเคสของหมอ ความพึงพอใจของเขาคือการที่ตัวละครนั้นแสดงความก้าวร้าว ที่ตัวเขาเองอยากจะแสดงออกมา แต่เขาทำไม่ได้ พอดูแล้วก็เลยรู้สึกสะใจ รู้สึกฟินที่ตัวเอกยิงคนที่เกลียด ความฟินความสะใจมันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เริ่มมีผลกับสมองของเรา ทำให้เกิดความเคยชิน และรู้สึกว่าต้องมี 

อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ ทั้งแม่และลูกต่างติดโซเชียล มีโลกกันคนละใบ ลูกก็เก็บตัว แม่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ต่างคนต่างรู้สึกว่าไม่รักกัน พอถามเด็กเขาก็บอกว่าแม่รักมือถือมากกว่า อยากจะบอกอะไร พูดอะไรแม่ไม่เห็นสนใจเลย 

ปัญหาดังกล่าวเป็นกลไกเดียวกับเรื่องของการที่สมองติดยาและสมองติดเกม หนึ่งคือ อาจจะเป็น Sensation seeking ใช้แล้วเรามีความสุขยังไง เด็กที่ติดซีรีส์ความรุนแรงที่พูดถึงตอนต้น เขาชอบเวลาที่ได้จินตนาการว่าตัวเองเป็นตัวเอกในนั้น เพราะเหมือนได้ปลดปล่อย ได้แอคชั่น นี่คือ Sensation seeking แต่เรายังสามารถรู้สึกดีในกิจกรรมด้านอื่นที่ไม่ต้องสมมติตัวเองไปเป็นตัวเอกในซีรีส์ฆาตกรรมที่ต้องฆ่าใคร แต่เปลี่ยนมาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความโกรธของตัวเอง 

หรือเป็นเรื่องของการที่เราใช้โซเชียลเป็น Self-medication หมายถึงว่า ใช้โซเชียลบำบัดหรือเยียวยาความเครียด บางคนเครียดไม่รู้จะทำยังไง ทำอะไร ก็ไถๆ โทรศัพท์ไปให้มันเพลินๆ พอฆ่าเวลาไป กิจกรรมคลาสสิกเลยก็คือ ซื้อของออนไลน์ ยิ่งเครียดยิ่งจ่าย ความเครียดตามจำนวนกล่องเลย คือมันช่วยคลายเครียดได้ชั่วขณะ พอรู้ตัวอีกทีก็หมดไปเยอะเลย ถ้าเราสามารถจับสัญญาณของปัญหานี้ได้ นั่นคือเราได้ตระหนักรู้แล้ว 

อีกปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นความเคยชิน ที่เรียกว่า Habit forming ชินที่ได้ทำ อย่างเวลาเข้าห้องน้ำต้องติดโทรศัพท์เข้าไปด้วย จับมาไถๆ สักแป๊บก็ยังดี แล้วก็กลายเป็นการโดนดูดเข้าไป หรือเวลาที่มี notified ติ้ง!… แจ้งเตือนขึ้นมา ต้องหยิบมาดู 

บางคนเป็นหนักถึง craving ความอยาก ความกระหาย แล้วหยุดไม่ได้ และเริ่มมีปฏิกิริยาทางด้านร่างกาย ชินจนไม่มีไม่ได้ สมองเรียนรู้แล้วว่าเราฟินกับสิ่งนี้ คล้ายๆ คนมีความรัก เป็นความรู้สึกที่คิดถึงจังเลย ขอแค่ได้ยินเสียงเธอสักนิดก็ยังดี

แค่ไหนอย่างไรถึงควรพาตัวเองเข้าคลาส Social media detoxification หาวิธีเปลี่ยนสุขภาพจิตแย่ๆ ให้กลายเป็นดี โดยไม่ทรมานจนเกินไป

ขั้นแรก การที่เราจะเริ่มต้นดีท็อกซ์เพื่อล้างสารพิษจากโซเชียลได้นั้น เราต้องมี Self-Awareness การตระหนักรู้ในตนเองก่อนเลย การที่เราจะเสพติดอะไรสักอย่างมันจะมีสาเหตุที่ทำให้เราติด ซึ่งถ้าเราคิดว่าตัวเองไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากโซเชียลมีเดีย แน่นอนว่าเราก็ไม่จำเป็นนต้องดีท็อกซ์ก็ได้ แต่ในกลุ่มที่ใช้เวลากับมันมากๆ เราต้องเริ่มมี Awareness ตัวเองแล้วว่า ติดมั้ย? ถ้าบอกว่าไม่ติด แต่ใช้เวลาไป 12 ชั่วโมง อันนี้ก็ยากนะ แต่ถ้าบอกว่าติดแล้วติดเพราะอะไร

ขั้นที่สอง พอเรามี Awareness แล้ว ก็ต้องมาพิจารณาความสัมพันธ์ของตัวเองกับโซเชียล ดูว่าเรามีความตระหนักในระดับไหน ซึ่งจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เพราะบางคนเขาก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา เหมือนที่หมอเคยเจอคนติดเหล้า ถามว่าจะกินไปจนถึงเมื่อไร เขาบอกก็กินจนตาย ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วว่าเราติด ก็อาจจะต้องไปอีกสเต็ปหนึ่ง คือการก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง (State of change) ซึ่งการความตระหนักในตัวเอง จะทำให้เราเห็นแพทเทิร์นบางอย่าง ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 

สเต็ปที่สอง คือ เริ่มรู้สึกว่าเราต้องไตร่ตรอง เริ่มรู้สึกเอ๊ะ! กับมัน ถ้าในขั้นตอนนี้แนะนำว่าเราควรจะนั่งพิจารณาข้อดีข้อเสีย อย่างเช่น ตอนนี้ที่เราใช้โซเชียลอยู่มันมีข้อดียังไง ข้อเสียยังไง ข้อดีข้อเสียอย่างไหนมากกว่ากัน คือการที่เราเห็นน้ำหนักของข้อดีข้อเสียมันจะทำให้เราเริ่มมีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องนี้อีกสเต็ปหนึ่ง พอเวทข้อดีข้อเสียแล้วเราก็อาจจะอยากมีแพลนนิ่งว่าจะทำอะไร 

เช่น ทุกครั้งที่เราหยิบโทรศัพท์มันเริ่มจากมี notified ก็เริ่มต้นเลย ปิด notified ทั้งหมด ซึ่งถ้าไปดูในหนังคนที่สร้างกูเกิลเองเขาก็บอกเลยว่า เขาแนะนำให้ปิด notified ทุกอย่าง มันจะกลายเป็นว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาก็ต่อเมื่อเราต้องการมัน การปิดก็เหมือนลดการได้ยินเสียงเรียกร้องที่พร้อมจะกวักมือเราตลอดเวลา ทำยังไงให้เรามาอยู่ในสิ่งที่เราควบคุมได้มากที่สุด 

หนึ่งก็คือ ลดการถูกเรียกร้องความสนใจจากโซเชียลมีเดีย 

สอง กำหนดเวลาว่าจะใช้มันเวลาไหนบ้าง ในหนึ่งวันควรจะใช้สักเท่าไร 

อย่างหมอเองเคยโหลดแอปที่ดูว่าเราใช้โซเชียลแต่ละแพลตฟอร์มในหนึ่งวันไปกี่ชั่วโมง ชื่อว่า สมาร์ทไทม์มิ่ง จะทำให้เราเห็นการใช้งานของเราเอง เห็นว่าตัวเองหมดเวลาไปกับตรงนั้นนานแค่ไหน หมอก็เลยนอกจากปิดแล้วนะ พอเห็นสถิติของตัวเองก็เลยหักดิบลบแอปไปเลย สร้างเงื่อนไขการใช้งานที่ยากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้เลยนะ สมมติเราใช้เวลาในเฟซบุ๊กเยอะ เราก็เพิ่มเงื่อนไขให้มันใช้ยากนิดนึง ถ้าจะใช้ต้องเข้าไปในเสิร์ชเอนจินอื่น อันนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่ง หรือถ้าจะใช้ค่อยโหลดอันนี้ก็จะฮาร์ดคอร์มาหน่อย หรือทำตารางการใช้งาน เราจะใช้ตอนกี่โมงบ้าง 

ซึ่งจริงๆ แล้วตอนเช้าเราไม่ควรใช้เลย เพราะว่าตอนเช้าจะเป็นช่วงเวลาที่เรามีพลังงานชีวิตที่ดีที่สุด สมองเราตื่นตัวมากที่สุด จึงเป็นช่วงเวลาที่เราควรทำงานหรือเรียนหนังสือ เก็บความรู้ได้ดีที่สุด ถ้าเกิดเราเอาใจเราไปอยู่ในนี้เลยทันที รับข้อมูลเลยเราจะจัดการวันทั้งวันได้ยาก หรือาจจะพังไปทั้งวันเลย เราอาจจะต้องมีกรอบเวลานิดนึง เช่น เช็คได้ตอนเที่ยง อีกทีตอนเย็น คือตั้งเวลาให้ตัวเองเลย และอย่างที่สามก็คือ

เราอาจจะต้องมาลองทบทวนว่าเราจะใช้ประโยชน์จากแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำอะไร เราใช้ไลน์เพื่อคุยงาน ติดต่อประสานงานต่างๆ ใช้เฟซบุ๊กเพื่อ…ทำอะไร การทบทวนประโยชน์ของแพลตฟอร์มและก็เป้าหมายในชีวิตเราจะช่วยให้เราเป็นเจ้านายแพลตฟอร์ม 

ขั้นที่สาม ก็คือการที่เราต้องแอคชั่น สิ่งที่คิดมาทั้งหมดก็ต้องทำ แล้วถ้าทำได้แล้วทำยังไงจะรักษาไว้ได้ ก็คือสเต็ปถัดไป การรักษาสิ่งที่ทำได้ คือการเป็นนายของโซเชียลมีเดีย เราก็ Reward ให้รางวัลกันสักหน่อย ถ้าทำได้สักหนึ่งอาทิตย์ตามตารางเวลาที่วางไว้ เมื่อทำได้จะให้อะไรเป็นรางวัลตัวเอง อย่างช่วงนี้เซิร์ฟสเก็ตมาแรง งั้นเราประหยัดเงินจากการชอปปิ้งออนไลน์ให้ได้หนึ่งเดือน ถ้าทำได้เราจะได้ของรางวัลนั้น อย่างนี้มันจะมีเป้าหมาย แล้วมันจะมีแรงจูงใจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะทำไปเรื่อยๆ แล้วก็กลับมาวงจรเดิม 

สิ่งหนึ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันเราได้อย่างหนึ่งก็คือ ‘สติ’ เมื่อไรก็ตามที่เรามีสติ เรารู้ตัวว่าเราทำอะไร เพราะอะไร เราจะเลือกได้ว่าเราจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหรือจะวางมันไว้ เราจะทำไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้เองที่บ้าน ได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราอยากจะทำ เราแค่เข้าใจกระบวนการพวกนี้ และรู้ตัวเองว่าเราเป็นนายของโซเชียลมีเดีย หรือโซเชียลมีเดียเป็นนายของเรา ถ้าเราเป็นนายเราจะเป็นผู้เลือก 

Tags:

จิตวิทยาพัฒนาการทางอารมณ์Social media detoxificationหมอเอิ้น-พิยะดา หาชัยภูมิSelf-medication โซเชียลบำบัดความเครียด

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Character building
    บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

ภาพในความคิดแบบเหมารวมของสังคมต่อเพศชายหญิง และ LGBTQ+ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็ก
Family Psychology
16 March 2021

ภาพในความคิดแบบเหมารวมของสังคมต่อเพศชายหญิง และ LGBTQ+ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็ก

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Stereotype การคิดแบบเหมารวมที่เชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งจะมีลักษณะบางประการเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถาวร จนการเป็นการตีกรอบพฤติกรรมบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องเพศ เช่น ผู้หญิงต้องอ่อนโยน ผู้ชายห้ามร้องไห้ หรือสังคมที่มีแต่เพศชายและหญิง ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง
  • สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเพศทางเลือก การค้นหาต้นเหตุของการเป็นเพศทางเลือกของเด็ก และการพยายามจะโทษตัวเองหรือใครๆ ที่ลูกเป็นเช่นนั้น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะการที่ลูกเลือกที่จะเป็นอะไร ก็ไม่ต่างกับการที่เขาจะเลือกชอบสีอะไร เด็กๆ เกิดมาพร้อมกับตัวตนของเขา
  • ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเด็กจะเป็นเพศอะไรก็ตาม เด็กทุกคนล้วนเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาต้องการบ้านที่อบอุ่น การสอนสั่ง และโอกาสที่จะได้เติบโตเป็นตัวเองอย่างมีความสุข เด็กทุกคนมีคุณค่า และผู้ใหญ่ทุกคนควรปลูกฝังคุณค่าให้กับเขาตั้งแต่เยาว์วัย

“เจ้าหญิงถูกจับอยู่บนหอคอย ต้องรอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว”

“เจ้าหญิงอบขนม ปัดกวาดเช็ดถู เจ้าชายออกไปสู้รบ ปราบมังกร”

Stereotype หรือ ภาพในความคิด คือ ความเชื่อที่บุคคลมีต่อคนกลุ่มหนึ่งว่า คนกลุ่มนั้นมีลักษณะบางประการเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถาวร โดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีในคนกลุ่มนั้น หากอธิบายสั้นๆ Stereotype คือ การคิดแบบเหมารวม ซึ่งในทางประสาทวิทยาเชื่อว่า การคิดแบบนี้ช่วยเอื้อให้มนุษย์ประหยัดเวลาในการจัดเก็บข้อมูลในสมอง อย่างไรก็ตามการคิดแบบนี้ส่งผลทางลบต่อบางกลุ่มคนได้เช่นกัน

ในอดีตสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน หนังสือนิยาย การ์ตูน ละคร และภาพยนตร์ มักจะหยิบยกเอาตัวละครเพศชายและเพศหญิงให้เป็นตัวเอกอย่างชัดเจน โดยลักษณะของพระเอกจะต้องมีความแข็งแรง กล้าหาญ และมีความเป็นผู้นำสูง ในขณะที่นางเอกจะมีความอ่อนแอ เรียบร้อย และมีรูปร่างหน้าตาที่สละสลวย ที่สำคัญในตอนจบของเรื่อง มักจะจบลงด้วยการที่พระเอกนางเอกรักกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป หรือที่เราจะคุ้นเคยกันดีกับประโยคในอุดมคติ ‘มีความสุขชั่วนิจนิรันดร์ (Happily Ever After)’

ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพในความคิดแบบเหมารวมของสังคมที่มีต่อผู้หญิงและผู้ชายในเวลานั้นว่า…

“ผู้ชายต้องแข็งแกร่ง อดทน และเป็นผู้นำที่ดี ในขณะที่ผู้หญิงต้องเรียบร้อย อ่อนหวาน และเป็นผู้ตามที่ดี”

ในความเป็นจริงแล้วคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ก็สามารถมีช่วงเวลาที่อ่อนแอด้วยกันได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ทุกคนก็มีคุณค่า มีความแข็งแกร่ง และพึ่งพาตัวเองได้

“ผู้หญิงทำงานบ้านและเลี้ยงลูก และ ผู้ชายทำงานหาเลี้ยงทั้งครอบครัว”

ในความเป็นจริงงานบ้านและการเลี้ยงลูกควรเป็นงานที่ทำร่วมกันระหว่างสามีภรรยา และสามีภรรยาสามารถช่วยกันแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวร่วมกันได้

“ผู้ชายต้องมีความเป็นผู้ชาย และผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว”

“ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง”

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเพศใด ทุกคนควรปฏิบัตต่อกันด้วยความเป็นมนุษย์ ทุกคนควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“ความรักเกิดขึ้นเพียงกับตัวเอกชายหญิง”

ในความเป็นจริงแล้ว ความรักสามารถเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ และ ทุกความรักที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งสวยงาม

บทความชิ้นนี้จะกล่าวถึง ภาพในความคิดแบบเหมารวมที่สังคมมักจะมีต่อเพศชายและเพศหญิง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมา

ซึ่งปัจจุบันสื่อต่างๆ เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดนี้มากขึ้น เพื่อช่วยให้สังคมยอมรับความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้น และบทบาททางเพศที่ควรจะเปลี่ยนไป เพื่อให้คนทุกคนเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง และอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพความเป็นมนุษย์ในกันและกัน

ภาพยนตร์ที่กล่าวถึงความรักระหว่างเพศหลากหลายมากขึ้น เช่น Call me by your name, Carol, Love Simon และ รักแห่งสยาม เป็นต้น

การ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องดังที่ตัวละครนำเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง เช่น Brave, Frozen, Moana และ Raya จากค่ายดิสนีย์ (Disney) และ Spirited Away และ Princess Mononoke จากค่ายจิบลี (Ghibli) เป็นต้น

หนังสือและการ์ตูน เช่น เด็กชายนุ่งกระโปรง, การเดินทางของผีเสื้อหลากสี และ Heartstopper เป็นต้น

นอกจากนี้ตัวละครในภาพยนตร์ การ์ตูน และละครต่างๆ เริ่มมีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นอีกด้วย

ภาพในความคิดแบบเหมารวมของสังคมที่มีต่อเพศชายหญิงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็ก

สี

ผู้ใหญ่มักจะจับคู่ เด็กชายกับสีฟ้า เด็กหญิงกับสีชมพู ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวของเขาเอง ความชอบที่มีต่อสี เขาควรจะเป็นผู้เลือกด้วยตัวเขาเช่นกัน การที่เด็กชายชอบสีชมพู ก็ไม่ได้แปลว่า เขาอยากจะเป็นผู้หญิง หรือการที่เด็กหญิงไม่ชอบสีหวานๆ ก็ไม่ควรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า ไม่มีความเป็นกุลสตรีเสียเลย

ในความเป็นจริงไม่ว่าเด็กๆ จะชอบสีอะไร ก็ไม่ได้แปลว่า เขาจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบสีนั้น เพราะเด็กๆ เติบโตและเปลี่ยนแปลงทุกวัน และการชอบสีแต่ละสีก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาจะมีบุคลิกภาพเช่นไร

การร้องไห้

ผู้ใหญ่มักจะบอกเด็กชายเสมอว่า ‘เป็นลูกผู้ชายอย่าขี้แย’ หรือ ‘เป็นผู้ชายต้องแข็งแกร่ง ห้ามร้องไห้ให้ใครเห็น’ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ การที่เราร้องไห้ไม่ได้หมายความว่า ‘เราอ่อนแอเสมอไป’ แต่การร้องไห้ช่วยกระตุ้นกลไกทางร่างกายที่เรียกว่า ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System: PNS) ซึ่งช่วยให้ร่างกายของเราผ่อนคลายตัวเอง (Self-soothing) ดังนั้น เวลาที่เราเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือเวลาที่เราเผชิญกับความเศร้าที่เกินทานทน การร้องไห้มีส่วนช่วยให้เราสามารถระบายความรู้สึกที่อัดอั้นหรือคับข้องใจออกมาได้ (Gračanin, Bylsma & Vingerhoets, 2014)

ในสถานการณ์ตรงกันข้าม เวลาที่เราดีใจและมีความสุขมากๆ การร้องไห้ออกมา คือ การแสดงออกซึ่งความรู้สึกตื้นตันใจอันเปี่ยมล้น นอกจากนี้เวลาที่เรามองเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์หรือรู้สึกร่วมไปกับอีกฝ่าย จนทำให้เราร้องไห้ออกมานั้น 

การร้องไห้ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ แต่เกิดจากการร่วมรู้สึก และความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายต่างหาก ซึ่งทำให้การร้องไห้เป็นเรื่องที่ดี และไม่ควรถูกห้ามไว้เฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง เพราะการร้องไห้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของความเป็นมนุษย์

ของเล่น

ผู้ใหญ่มักจะจับคู่เด็กชายกับของเล่นที่เป็นแนวเครื่องยนตร์กลไก เช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ บล็อกไม้ ตัวต่อพลาสติก และหุ่นไดโนเสาร์ต่างๆ ในขณะที่เด็กผู้หญิงมักจะถูกจับคู่กับของเล่นที่เป็นแนวการดูแลผู้อื่นและงานบ้าน เช่น ตุ๊กตาเด็กทารก ครัวทำอาหารเด็กเล่น ชุดแต่งตัวตุ๊กตา และตุ๊กตาเจ้าหญิง เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วของเล่นไม่ควรถูกจัดประเภทตามเพศ แต่ควรจัดตามหมวดหมู่ เพราะของเล่นทุกประเภทสามารถส่งเสริมเด็กๆ ในด้านที่แตกต่างกันไป เด็กๆ ไม่ควรถูกจำกัดให้เล่นของเล่นเพียงหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่ง

Becky Francis (2014) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัย Roehampton ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ของเล่นที่ผู้ใหญ่มักเลือกให้เด็กตามเพศของเด็ก อาจจะส่งผลต่อการเลือกแผนการเรียนและอาชีพในภายหลังได้ หากลองสังเกตดีๆ ของเล่นที่ผู้ใหญ่มองว่าเป็นของเล่นของเด็กผู้ชาย เช่น ตัวต่อบล็อกต่างๆ รถยนต์ หุ่นยนต์ และไดโนเสาร์ เป็นต้น มักจะส่งเสริมด้านการคิดเชิงมิติสัมพันธ์และพัฒนาสมองให้พร้อมกับการเรียนในเชิงวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ในขณะที่ของเล่นของเด็กหญิง เช่น การเล่นตุ๊กตา ของเล่นครัว และเล่นทำผมตุ๊กตา มักส่งเสริมด้านการคิดเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาสมองในส่วนของศิลปะ สังคมศาสตร์ และภาษาศาสตร์มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานวิจัยใดที่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การเล่นเพียงของเล่นตามเพศ จะส่งผลให้เด็กชายหรือเด็กหญิงไม่สามารถพัฒนาทักษะอื่นๆ ได้ แต่มีงานวิจัยมากมายที่ต้องการจะสร้างความตระหนักให้กับพ่อแม่ที่เลือกของเล่นให้กับลูกว่า ไม่ควรปิดกั้นลูกในการเล่นของเล่นใด เพราะของเล่นแต่ละชิ้นสามารถส่งเสริมเด็กๆ ในพัฒนาการแต่ละด้านได้

ของเล่นไม่มีเพศ : เด็กชายเล่นตุ๊กตา

เมื่อไม่นานมานี้ การศึกษาการทำงานของสมองของเด็กชายและเด็กหญิงวัย 4 – 8 ปี จำนวน 33 คน ขณะเล่นตุ๊กตา ของนักประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟ (Hashmi, Vanderwert, Price, & Gerson, 2020) ทำให้ได้ค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญ พวกเขาค้นพบว่า สมองส่วน posterior Superior Temporal Sulcus (PSTS) ซึ่งเป็นบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น สมองส่วนนี้ได้รับการกระตุ้นขณะเด็กๆ เล่นตุ๊กตา

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย เล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน ผลที่ออกมานั้นไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อเด็กเล่นตุ๊กตา สมองส่วนนี้ได้รับการกระตุ้น ทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะพัฒนาทักษะทางสังคมได้ดี เวลาเด็กๆ เล่นกับตุ๊กตา ตุ๊กตาเป็นเสมือนเพื่อนฝึกซ้อมสำหรับพวกเขา ก่อนที่จะได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในสังคมจริงๆ

แม้ตุ๊กตาจะไม่มีชีวิต แต่ด้วยจินตนาการของเด็กๆ ทำให้ตุ๊กตาที่พวกเขาเล่นด้วยเป็นเสมือนเพื่อนคนสำคัญ ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนที่เป็นคนจริงๆ ทุกครั้งที่เด็กๆ ดูแลและเล่นกับตุ๊กตาของพวกเขาอย่างทะนุถนอม เด็กๆ ได้พัฒนาความอ่อนโยนในจิตใจของพวกเขา แม้ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ความอ่อนโยนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ ใจดีกับตัวเอง และผู้อื่น

“เด็กๆ ที่มีความอ่อนโยน ไม่ได้แปลว่า พวกเขาอ่อนแอ เด็กๆ สามารถแข็งแกร่งและอ่อนโยนได้ในเวลาเดียวกัน

อาชีพ

เด็กหญิงมักถูกมองว่า พวกเขาไม่ควรทำอาชีพที่ใช้ร่างกายและวิชาวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ เช่น ทหาร ช่างก่อสร้าง วิศวกร นักดับเพลิง นักบินอวกาศ และอื่นๆ

ในขณะที่เด็กชายมักถูกมองว่า พวกเขาไม่ควรทำอาชีพที่ใช้ความละเอียดอ่อน และการสื่อสาร เช่น คุณครูอนุบาล พี่เลี้ยง ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ช่างเย็บผ้า และอื่นๆ

ในความเป็นจริงแล้ว อาชีพที่เด็กๆ เลือกควรมาจากความสนใจของพวกเขา ไม่ใช่สิ่งที่สังคมคาดหวังจากเขา ผู้ใหญ่ควรเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ อย่างเท่าเทียม

“การศึกษาและทัศนคติที่ผู้ใหญ่มอบให้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพของตัวเอง และกล้าที่จะทำตามความฝัน”

ณ ห้องเรียนประถมแห่งหนึ่ง คุณครูได้บอกเด็กๆ ให้วาดรูป นักบิน, ศัลยแพทย์ และนักดับเพลิง เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่วาดผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้เป็นผู้ชาย

เมื่อวาดเสร็จ คุณครูบอกเด็กๆ ว่า ‘วันนี้คุณครูได้เชิญผู้ที่ทำอาชีพทั้งสามอาชีพนี้จริงๆ มาที่ห้องเรียนของเราด้วย’

เด็กๆ ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อทั้งสามท่านเดินเข้ามา เด็กๆ กลับประหลาดใจ เพราะสิ่งที่เด็กๆ คาดหวังกลับตรงกันข้าม นักบิน, ศัลยแพทย์ และนักดับเพลิงที่มาในวันนี้ล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมด

ก่อนหมดคาบ คุณครูสรุปให้เด็กๆ ฟังว่า ‘ไม่ว่าเด็กๆ จะเป็นเพศใดนั้นไม่สำคัญเลย เพราะทุกคนมีความศักยภาพ ขอให้เด็กๆ มีความตั้งใจและกล้าที่จะทำตามความฝันของตัวเอง’

ในสังคมไม่ได้มีเพียงเพศหญิงกับเพศชาย แต่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเพศใด ทุกคนล้วนเป็นมีคุณค่า

Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender หรือ Queer/Questioning (LGBTQ+)

ในทางการแพทย์บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้เป็นโรค หรือมีความผิดปกติทางจิตใจแต่อย่างใด ความหลากหลายทางเพศจึงไม่ใช่ความผิดพลาดหรือพยาธิสภาพ เราไม่ควรต้องเข้าไปแก้ไข รักษา หรือ พยายามปรับเปลี่ยนตัวตนของบุคคลดังกล่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเพศทางเลือก การค้นหาต้นเหตุของการเป็นเพศทางเลือกของเด็ก และการพยายามจะโทษตัวเองหรือใครๆ ที่ลูกเป็นเช่นนั้น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะการที่ลูกเลือกที่จะเป็นอะไร ก็ไม่ต่างกับการที่เขาจะเลือกชอบสีอะไร เด็กๆ เกิดมาพร้อมกับตัวตนของเขา แม้สภาพแวดล้อมจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน แต่ตัวตนของเด็กที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาเลือกที่จะเป็นตัวเขาแบบไหนเช่นกัน

กำแพงที่ถูกสร้างขึ้น

ความแตกต่างไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่บางครั้งสำหรับคนบางคนอาจจะเริ่มต้นด้วยการสร้างกำแพงกับสิ่งที่เขาไม่รู้จักก่อน ซึ่งกำแพงที่สร้างขึ้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายถูกกีดกันไปโดยปริยาย และในบางครั้งกับคนบางคน อาจจะไม่ได้แค่เพียงสร้างกำแพง แต่เขากลับสร้างหนามแหลมไว้ทิ่มแทงอีกฝ่ายอีกด้วย

บาดแผลที่เกิดจากความแตกต่าง

McDonald (2018) กล่าวว่า เด็กวัยรุ่นที่เป็น LGBTQ+ มีแนวโน้มเสี่ยงต่อสุขภาพทางจิตมากกว่าบุคคลทั่วไป เนื่องจากพวกเขาต้องต่อสู่กับความวิตกกังวลว่าจะเป็นที่ยอมรับในครอบครัว โรงเรียน และสังคม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งอาจจะนำไปสู่การทำร้ายตัวเองอีกด้วย เนื่องจากการไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวหรือสังคม การกลั่นแกล้งจากเพื่อนที่โรงเรียน อาจจะส่งผลให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ดังนั้นหากเรามองเห็นแนวโน้มที่เด็กอาจจะทำร้ายตัวเองหรือมีปัญหาสุขภาพจิต แนะนำให้พาเด็กไปพบจิตแพทย์หนือนักจิตวิทยาทันที

พ่อแม่ทุกคนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ แต่การให้การยอมรับหรือการสนับสนุนไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณพ่อคุณแม่ของเด็กที่เป็นเพศทางเลือก (LGBTQ+)

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเด็กจะเป็นเพศอะไรก็ตาม เด็กทุกคนล้วนเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาต้องการบ้านที่อบอุ่น การสอนสั่ง และโอกาสที่จะได้เติบโตเป็นตัวเองอย่างมีความสุข

เด็กทุกคนมีคุณค่า และผู้ใหญ่ทุกคนควรปลูกฝังคุณค่าให้กับเขาตั้งแต่เยาว์วัย โดยเริ่มจาก…

ข้อที่ 1 ทำให้เด็กๆ รู้ว่า พวกเขาเป็นที่รักและมีคุณค่า

เด็กทุกคนต้องการความรักที่ปราศจากเงื่อนไข หากพวกเขาได้รับความรักดังกล่าว คุณค่าในตัวของพวกเขาจะได้รับการยืนยัน เมื่อนั้นเด็กๆ จะพัฒนาการยอมรับตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และการรักตัวเองในที่สุด

สำหรับคุณค่าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กๆ รับรู้ว่า ตัวเองมีความสามารถ และสามารถทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่นได้ ซึ่งต้องเริ่มจากการที่พ่อแม่เชื่อมั่นว่าลูกสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ตามวัย และเปิดโอกาสให้ลูกลงมือทำด้วยตัวเองจนเกิดเป็นความชำนาญ นอกจากนี้การมอบหมายงานส่วนรวม อย่างงานบ้านให้กับเด็กๆ ในวัยเยาว์ ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะทำอะไรเพื่อผู้อื่น ซึ่งคุณค่าที่เขาสร้างขึ้น จะสะท้อนให้เขามองเห็นคุณค่าในตัวเองได้

ข้อที่ 2 ยอมรับเด็กๆ อย่างที่พวกเขาเป็น และไม่เปรียบเทียบ

เริ่มต้นจากผู้ใหญ่ต้องไม่ตำหนิ ล้อเลียนตัวตนของเด็ก ณ ตอนนั้น ไม่ว่าเขาจะชอบหรือเป็นแบบไหน เราเรียนรู้ที่จะยอมรับเขาก่อน ให้ลูกรับรู้ว่า ‘ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ตัวเขาเป็นที่รักของเราเสมอ ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ และไม่ต้องดีอย่างใครๆ ขอแค่ลูกเติบโตตามจังหวะของตัวเองอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว’

เมื่อลูกออกไปเผชิญโลก เขาจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ โดยมีเราเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและให้การสนับสนุนอยู่ห่าง

พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะแสดงความรักต่อลูก ‘พ่อแม่จะอยู่เคียงข้างลูก และพ่อแม่จะรักและพร้อมที่จะสนับสนุนลูกเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’

วัยรุ่นคนหนึ่งเคยกล่าวในกลุ่มปรึกษาสำหรับวัยรุ่นว่า ‘ต่อให้โลกทั้งใบหันหลังให้กับเขา ขอแค่พ่อแม่ที่พร้อมจะเชื่อมั่นและสนับสนุนเขา เขาจะตั้งหลักและเดินต่อไปได้อย่างแน่นอน’

ข้อที่ 3 ไม่ปิดกั้น และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้

ผู้ใหญ่ไม่ควรสร้างทัศนคติให้กับเด็กว่า ‘เด็กชายหรือหญิงต้องชอบสีอะไร เช่นเดียวกับต้องเล่นอะไรเท่านั้น’

ของเล่นที่เด็กเล่นไม่ควรถูกกำหนดให้เฉพาะเพศใดเพศหนึ่งเล่นได้เท่านั้น เด็กชายและเด็กหญิงทุกคนควรได้เล่นในสิ่งที่เขาสนใจ

การที่เด็กชายชอบเล่นตุ๊กตา เขาอาจจะเติบโตเป็นเด็กชายที่อ่อนโยน และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

การที่เด็กหญิงชอบเล่นตอกไม้ ไขน็อต เธออาจจะเติบโตเป็นเด็กหญิงที่ทะมัดทะแมง แก้ไขปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นต้น

เมื่อผู้ใหญ่ปล่อยให้พวกเขาได้เล่นในแบบที่เขาชอบและสนใจ (ตราบใดที่ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน และข้าวของเสียหาย) เด็กๆ จะได้ค้นหาตัวตนของเขาระหว่างทาง ในวันที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้

ข้อที่ 4 เคารพตัวเอง และเคารพผู้อื่น

‘ไม่ว่าจะเพศใด ทุกๆ คนควรได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นมนุษย์เหมือนๆ กัน’

เด็กๆ ที่เคารพตัวเอง พวกเขาจะมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่มองตัวเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่น ที่สำคัญพวกเขาจะต้องไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรือผู้อื่นเดือดร้อน

เมื่อเคารพตัวเองแล้ว เด็กๆ ควรที่จะเรียนรู้ที่จะเคารพผู้อื่นด้วย โดยการไม่ไปละเมิดสิทธิ ตำหนิ ล้อเลียนสิ่งที่ผู้อื่นเป็น

ในข้อนี้ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กๆ ควรเป็นแบบอย่างให้กับพวกเขาด้วย เพราะแบบอย่างที่ดี สำคัญกว่าคำสอน

ข้อที่ 5 เป็นบ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ

‘บ้านไม่ใช่สถานที่ แต่บ้านคือบุคคล’

สำหรับเด็กเล็กๆ อาจจะต้องการบ้านที่เขาสามารถดูแลและตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน กินอิ่ม นอนหลับ สอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขาได้

แต่เมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาต้องการบ้านที่เขาสามารถวางหัวใจที่เหนื่อยล้าลงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ และกลับไปเผชิญโลกภายนอกต่อไป

พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถเป็นบ้านที่ปลอดภัยให้กับเด็กๆ ได้ โดยเริ่มจาก

ให้การรับฟัง ให้ความรักและการสนับสนุนทางกายใจ ทั้งปัจจัยสี่และการสัมผัสด้วยรัก

ให้อภัยและการสอนสั่ง และให้ความเชื่อมั่นในวันที่เขาต้องออกไปผจญโลก

สุดท้าย ในวันนี้ไม่ว่าเด็กๆ จะเป็นเช่นไร ภูมิคุ้มกันทางใจที่พ่อแม่สามารถมอบให้กับลูกๆ ในวัยเยาว์ ได้ คือ ความรักที่มาพร้อมกับเวลาคุณภาพ ซึ่งควบคู่กับการสอนวินัยและการช่วยเหลือตัวเองตามวัยให้กับเขา

เมื่อเราเตรียมความพร้อมเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ และสร้างสายสัมพันธ์มาอย่างแน่นแฟ้น เราไม่ควรหวาดวิตกที่จะต้องปล่อยมือเขาไปในวันที่เขาจะต้องเติบโตก้าวไปสู่โลกภายนอกด้วยตัวเขาเอง วันนั้นเรามีหน้าที่เชื่อมั่นในตัวเขา และเฝ้าดูเขาอยู่ห่างๆ

อ้างอิง
Do children’s toys influence their career choices?
Gračanin, A., Bylsma, L. M., & Vingerhoets, A. J. (2014). Is crying a self-soothing behavior?. Frontiers in Psychology, 5, 502.
Hashmi, S., Vanderwert, R. E., Price, H. A., & Gerson, S. A. (2020). Exploring the Benefits of Doll Play Through Neuroscience. Frontiers in human neuroscience, 14, 413.
McDonald, K. (2018). Social support and mental health in LGBTQ adolescents: a review of the literature. Issues in mental health nursing, 39(1), 16-29.

Tags:

รูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)การคิดแบบเหมารวมเพศLGBTQ+

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

‘ส.เสือ วิทยา’ การเรียนรู้ที่มีเสือโคร่งในป่าหลังโรงเรียนเป็นพระเอก
16 March 2021

‘ส.เสือ วิทยา’ การเรียนรู้ที่มีเสือโคร่งในป่าหลังโรงเรียนเป็นพระเอก

เรื่อง รัชดา ธราภาค

  • ชวนเด็กๆ เรียนรู้จากธรรมชาติใกล้ตัว ‘ศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา’ บูรณาการเนื้อหาด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง เชื่อมโยงการสร้างเสริมคุณสมบัติของเด็กในศตวรรษที่ 21 เข้าไว้ในกลุ่มสาระต่างๆ ตามหลักสูตรการเรียนรู้ระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษาของโรงเรียนอนุบาลคลองลาน จ.กำแพงเพชร พื้นที่รอยต่อระหว่างชุมชนกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน
  • เรียนรู้โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Learning) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) ที่นำไปสู่การมีส่วนร่วม และการลงมือปฏิบัติจริง รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • “การที่เด็กๆ ตั้งคำถามกับการสร้างถนนผ่านพื้นที่ป่าหรือสร้างเขื่อนในพื้นที่ป่า เพราะเกรงว่าอาจจะกระทบกับการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า แสดงว่าเขาสามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงโดยการประเมินคุณค่าของกิจกรรมและสิ่งแวดล้อมได้”

รู้ไหมว่าในป่ามีเสือ?

คำถามนี้ถ้าถามคนทั่วไปคงไม่มีความหมายเท่ากับไปถามคนที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับพื้นที่ป่า

“ผมอยู่ที่นี่มาสามสิบกว่าปี ไม่เคยรู้เลยว่าในป่ามีเสืออยู่ด้วย” เป็นคำตอบจาก ดร.อุทัย พินิจทะ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลคลองลาน 

โรงเรียนอนุบาลคลองลานมีที่ตั้งในตำบลคลองน้ำไหล อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร อันเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างชุมชนกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 420 ตารางกิโลเมตร ใน 4 ตำบลของอำเภอคลองลาน รวมถึงตำบลคลองน้ำไหล 

ไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นคนต่างถิ่น แต่ย้ายมารับตำแหน่งและเปลี่ยนสถานะเป็นชาวคลองลานในภายหลัง แม้แต่คนที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดในพื้นที่แถบนี้ ถ้าถามคำถามเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อน นอกจากจะไม่รู้แล้วยังไม่มีใครยอมเชื่อว่าในป่าหลังบ้านของตนเองนั้นมี ‘เสือโคร่ง’ อาศัยอยู่จริง

ศูนย์ ‘ส.เสือวิทยา’ ชวนเด็กเรียนรู้จากธรรมชาติใกล้ตัว

“อยากให้เด็กๆ และคนในชุมชนรอบป่ามีโอกาสได้รู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่าที่มีอยู่ในป่าใกล้บ้าน โดยใช้เสือโคร่งเป็นพระเอกหลักในการสื่อสาร โดยหวังว่าเด็กรุ่นใหม่นี้จะเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าของประเทศไทยต่อไป”

ดร.รุ้งนภา พูลจำปา ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง WWF ประเทศไทย ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง พูดถึงที่มาของแนวคิดในการจัดตั้ง ‘ศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา’ โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนภายใต้คณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนอนุบาลคลองลาน, WWF ประเทศไทย, อุทยานแห่งชาติแม่วงก์, อุทยานแห่งชาติคลองลาน ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากบริษัท บี.กริมม์ เพื่อให้งานวิจัยไม่ต้อง “ขึ้นหิ้ง” แต่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์สัตว์ป่า 

โรงเรียนอนุบาลคลองลานเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายที่มีส่วนร่วมในการทำงานของโครงการฯ กับภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยินดีมอบพื้นที่ของโรงเรียนในการจัดให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ทั้งสำหรับนักเรียนกว่า 500 คนของโรงเรียน คนในชุมชน รวมทั้งผู้ที่มาศึกษาดูงานและนักท่องเที่ยว โดยศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2563 

“ทุกคนถามว่านี่เป็นรูปเสือจากที่อื่นใช่ไหม ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเสือในป่าคลองลาน” ดร.อุทัย พินิจทะ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลคลองลาน เล่ากลั้วหัวเราะเมื่อพูดถึงเสียงสะท้อนจากคนในชุมชนที่เข้ามาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา 

ภาพเสือในศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา คือภาพที่ได้จากกล้องดักถ่ายภาพอัตโนมัติซึ่งกระจายติดตั้งทั่วผืนป่า ทำให้เราสามารถนับจำนวนเสือโคร่งโดยแยกแยะจากลวดลาย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะคิดว่าเสือโคร่งก็มีลายพาดกลอนเหมือนๆ กัน ที่จริงแล้วลายของเสือโคร่งคืออัตลักษณ์ เช่นเดียวกับหน้าตาของคนเรา 

และโดยเหตุที่เสือโคร่งหากินได้ไกลและอาศัยครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ จึงอาจมีการเดินข้ามจากผืนป่าแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง หรือแม้แต่พรมแดนประเทศ ก็สามารถทำได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่มีพรมแดนสำหรับสัตว์ป่า การนับจำนวนเสือจึงต้องอาศัยข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และด้วยการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานทำให้ได้ข้อมูลล่าสุด ว่าประเทศไทยมีเสือโคร่งอยู่ราว 130-160 ตัว นับเป็นความหวังของงานอนุรักษ์เสือโคร่งในประเทศและในภูมิภาคเลยก็ว่าได้

ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเสือโคร่งและสัตว์ป่าอื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกจะถูกนำเสนอผ่านสื่อประเภทต่างๆ ที่ได้รับการติดตั้งและจัดวางภายในศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา และสามารถอัพเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีพื้นที่การทำกิจกรรม และรวบรวมผลงานที่เกี่ยวกับเสือโคร่งของนักเรียน อาทิ ภาพวาด บทความ บทกวี ฯลฯ 

นอกจากนี้ WWF ประเทศไทย ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลคลองลาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 เตรียมที่จะบูรณาการเนื้อหาด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง รวมทั้งเชื่อมโยงการสร้างเสริมคุณสมบัติของเด็กในศตวรรษที่ 21 เข้าไว้ในกลุ่มสาระต่างๆ ตามหลักสูตรการเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษาของทางโรงเรียนอีกด้วย

‘เรียนปนเล่น’ มากกว่าความรู้ คือสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม

สุรศักดิ์ ศรีรัตนาภรณ์ เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง ชี้ว่า ศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา รวมทั้งการบูรณาการสาระการเรียนรู้ในหลักสูตร เป็นการเรียนรู้โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Learning) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมศึกษายังมีแนวคิดสำคัญ คือจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่นำไปสู่การมีส่วนร่วม ซึ่งหมายถึงการลงมือปฏิบัติจริง รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ดังนั้น สิ่งที่ ส.เสือวิทยาและหลักสูตรบูรณาการทำได้ ในมุมมองของเจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส คือการสร้างความตระหนักและให้ความรู้ โดยจะต้องมีกิจกรรมเสริมเพื่อให้นักเรียนและชุมชนได้เกิดทักษะ และมีส่วนร่วมในงานด้านการอนุรักษ์ เช่น การนำนักเรียนไปทำกิจกรรมเสริมวิตามินและแร่ธาตุโดยการทำโป่งเทียมไว้เป็นอาหารของสัตว์กีบนอกจากนี้ เด็กๆ ที่เริ่มมีทัศนคติและทักษะด้านการอนุรักษ์ ก็อาจคิดกิจกรรมเพื่อสื่อสารให้ผู้ปกครองและคนในชุมชนเห็นความสำคัญของการรักษาป่า และดูแลเสือโคร่งผ่านการงดล่าสัตว์ที่เป็นอาหารของเสือ

“การที่เด็กๆ ตั้งคำถามกับการสร้างถนนผ่านพื้นที่ป่าหรือสร้างเขื่อนในพื้นที่ป่า เพราะเกรงว่าอาจจะกระทบกับการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า แสดงว่าเขาสามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงโดยการประเมินคุณค่าของกิจกรรมและสิ่งแวดล้อมได้”

“นี่เป็นอีกเป้าหมายที่สำคัญมากของสิ่งแวดล้อมศึกษาด้วยเช่นกัน” สุรศักดิ์ ศรีรัตนาภรณ์ เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส อธิบายถึงขั้นตอนการเรียนรู้ผ่านแนวทางของสิ่งแวดล้อมศึกษา

“เด็กๆ บอกว่าเข้ามาในห้อง ส.เสือ แล้วรู้สึกสบายดี เหมือนไปนั่งในร้านกาแฟที่มีบรรยากาศเป็นป่าๆ เป็นการเรียนปนเล่นที่เด็กๆ ได้เรียนรู้และซึมซับสาระความรู้โดยไม่รู้ตัว ทำให้เราเห็นว่าการเรียนรู้แบบนี้ส่งผลต่อเด็กได้มาก” 

ดร.อุทัย พินิจทะ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลคลองลาน พูดถึงประสิทธิภาพของการจัดกระบวนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายในโครงการศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา

สำหรับ WWF ประเทศไทย การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ส.เสือวิทยา เพื่อส่งผ่านงานสิ่งแวดล้อมศึกษาถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการทำงานอนุรักษ์ และถือเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปขยายผลยังพื้นที่แห่งอื่นๆ เพื่อสร้างเยาวชนและชุมชนให้มีสำนึกและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในลำดับต่อไป

เพิ่มเสือโคร่ง เติมความสมบูรณ์ให้ผืนป่า

การมีเสือโคร่งอยู่ในป่าสำคัญอย่างไร เพราะทุกวันนี้เราก็เห็นเสือโคร่งทั้งในสวนสัตว์ สวนเสือ หรือแม้แต่ในวัดบางแห่งก็เคยมีมาแล้ว
“เสือโคร่งเป็นสัตว์ผู้ล่าที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร และใหญ่ต้องการพื้นที่อาศัยขนาดใหญ่ ตัวผู้ตัวหนึ่งใช้พื้นที่หากินประมาณ 200-300 ตารางกิโลเมตร การที่เสือโคร่งจะอยู่ได้ต้องมีอาหารที่เพียงพอและ มีความปลอดภัย ซึ่งอาหารของเสือโคร่งคือสัตว์กีบชนิดต่าง ๆ และสัตว์เหล่านี้จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ขึ้นกับการมีน้ำมีป่าที่สมบูรณ์ ดังนั้น เสือโคร่งจึงมักใช้เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า การอนุรักษ์เสือโคร่งจึงเปรียบเสมือนการอนุรักษ์สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ และระบบนิเวศทั้งหมด เพราะธรรมชาติล้วนพึ่งพาอาศัยกัน

ดร.รุ้งนภา พูลจำปา ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง WWF ประเทศไทย พูดถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง ที่ซ่อนความหมายในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ดังนั้น การส่งเสริมให้ประชาชน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเสือโคร่งที่อาศัยในป่า และได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง เป็นหนึ่งในภารกิจของโครงการ ฯ ที่มีพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมผืนป่า 4 แห่ง 

ทั้งนี้ ภารกิจดังกล่าว เชื่อมโยงกับงานของโครงการฯ ในด้านการศึกษาวิจัย และสนับสนุนการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลพื้นที่อนุรักษ์ในประเทศไทย และรับผิดชอบแผนปฏิบัติการอนุรักษ์เสือโคร่งแห่งชาติ พ.ศ.2553-2565 ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มประชากรเสือโคร่งร้อยละ 50 ตามที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยการอนุรักษ์เสือโคร่งที่ประเทศรัสเซียเมื่อปี พ.ศ.2553

Tags:

สิ่งแวดล้อมCreative Learningโรงเรียนอนุบาลคลองลานศูนย์ ส.เสือ วิทยา

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Related Posts

  • Creative learningVoice of New Gen
    ‘นราทิป ชูช่วง’ กลุ่มเยาวชนคนชายเล อาสาแปลงร่างเศษขยะเป็นประติมากรรมชายหาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Education trend
    โรงเรียนนี้ ฟาร์มรู้ท่วมหัว เอาตัวยังไงก็รอด

    เรื่อง

‘เตรียมใจและทุ่มเท’ เคล็ดลับในการทำอาชีพนักเขียนนิยายวาย ฟิล์ม – พิชญา สุขพัฒน์
15 March 2021

‘เตรียมใจและทุ่มเท’ เคล็ดลับในการทำอาชีพนักเขียนนิยายวาย ฟิล์ม – พิชญา สุขพัฒน์

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ชวนทุกคนไปรู้จักกับ ‘ฟิล์ม – พิชญา สุขพัฒน์’ นักเขียนนิยายวาย เจ้าของปลายปากกา ‘afterday’ ที่กว่าจะมาถึงวันนี้เขาผ่านมาแล้วสองอาชีพ คือ อินทีเรียและสตรีมเมอร์
  • แรงจูงใจที่ทำให้เราอยากทำ คือ ความชอบ มีคอมเมนต์กับกำลังใจจากผู้อ่านเป็นสิ่งตอบแทน สิ่งสำคัญของการเขียนนิยาย คือ คนเขียนต้องเตรียมใจ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้แต่เป็นทุกๆ เรื่อง ต้องเตรียมใจ วางแผน และให้เวลามีวินัยกับมัน เวลานี่ตัวสำคัญเลยเพราะบางคนเขียนไปตอนเดียวพอจะเริ่มเขียนตอนที่ 2 ‘วันนี้ยุ่งจัง ไว้เขียนพรุ่งนี้แทน’ กว่าจะมาเขียนตอนที่ 2 รู้สึกต่อไม่ติด ทิ้งไปเขียนเรื่องใหม่แทน

บทนำ

ณ บ่ายวันจันทร์ที่อากาศร้อนระอุพอๆ กับสถานการณ์ในไทย การได้เครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วก็คงช่วยบรรเทาอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ฉันตัดสินใจเดินไปสั่งช็อกโกแลตเย็นที่คาเฟ่แถวนั้น และนั่งรอคนที่ฉันนัดเจอในวันนี้

รอเพียงไม่นานก็มีผู้หญิงร่างบางสวมเสื้อแขนกุดสีดำกางเกงขาวขายาว เดินตรงมายังโต๊ะที่ฉันนั่งพร้อมกับส่งเสียงทักทาย หลังจากถอดแมสก์ออก ฉันจึงได้เห็นใบหน้าของเธอเต็มๆ ครั้งแรก ผมสั้นที่รับกับใบหน้าหวานของเจ้าตัว ‘ฟิล์ม – พิชญา สุขพัฒน์’

‘นักเขียนนิยายวาย’ สเตตัสหนึ่งของฟิล์มที่เป็นเหตุผลให้เกิดการนัดหมายครั้งนี้ขึ้น แต่พอคุยไปได้สักพักถึงได้รู้ว่าเธอยังมีอีกหลายสเตตัส ทั้ง ‘นักแคสต์เกม’ หรือ ‘อินทีเรียดีไซน์’ 

เพื่อไม่ให้บทนี้เยิ่นเย้อจนเกินไป (หลายคนอาจจะตัดสินใจกดปิดหน้าจอไปแล้ว) ฉันอยากชวนทุกคนไปรู้จักฟิล์มและโลกของวงการนักเขียนนิยายวายผ่านบทต่อไปได้เลย

บทที่ 1 กว่าจะเป็นนักเขียนนิยายวาย

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเขียนนิยายวาย

ฟิล์มเป็นสายคนอ่านมาก่อนค่ะ ปกติเราจะชอบอ่านนิยายวัยรุ่นแนวแจ่มใส หรือนิยายที่อยู่บนเว็บไซต์เด็กดี (dek-d) วันหนึ่งด้วยความบังเอิญฟิล์มไปอ่านนิยายวายเรื่องหนึ่ง เราก็รู้สึกว่า…เออ มันสนุกดีนะ ก็เลยยาวเลย (ยิ้ม) พออ่านเยอะๆ เราเริ่มรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบนักเขียนคนที่เราอ่านงานเขา ถ้าเขาสามารถเขียนนิยายให้เราอ่านได้ ตัวเราก็อยากเขียนให้คนอื่นอ่านบ้าง และพอดีช่วงนั้นปี 2014 ฟิล์มเรียนอยู่ปี 3 เป็นช่วงที่ปิดเทอม 6 เดือนตามอาเซียน ตอนนั้นฟิล์มฝึกงานทำให้มีเวลาว่างเยอะมาก ประมาณ 4 – 5 เดือน ฟิล์มตัดสินใจสมัครเว็บไซต์ลงนิยายวายเลย

ต้องอาศัยความกล้าไหมในการเขียนนิยายครั้งแรก

กล้าไหม? สำหรับฟิล์มตอนที่เริ่มมันไม่ใช่เพราะความกล้า เป็นความรู้สึกอยากลองมากกว่า เราอยากลองทำสิ่งนี้ เรื่องแรกที่ฟิล์มเขียนเป็นเรื่องรักในมหาวิทยาลัยซึ่งเละมาก (หัวเราะ) เพราะเราไม่ได้เตรียมตัว การที่เราอ่านนิยายวายเยอะมาก ทำให้เรามีชุดความคิดหนึ่งเหมือนเป็นประสบการณ์ที่ได้ เช่น สเต็ปการดำเนินเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ วิธีการเล่าทำแบบนี้ เราก็ใช้ชุดความคิดนี้เขียนนิยาย แต่ด้วยความที่ข้อมูล หรือความเข้าใจในการเขียนของเรามันน้อย มันเลยออกมาไม่ดี ตัวฟิล์มเองไม่ได้วางพล็อต วางเนื้อเรื่องเลย เขียนจากประสบการณ์การอ่านล้วนๆ เขียนไปได้ครึ่งเรื่องก็ต้องหยุดละ ไปต่อไม่ได้เพราะมันตันมาก ตัวละครรักกันแล้วยังไงต่อ จะจบตรงไหน?  

ซึ่งฝั่งคนอ่านเขาไม่เหมือนเรา เพราะเขาอ่านจากประสบการณ์เหมือนกัน เขาจะรู้ว่านิยายแบบไหนที่โอเคและมองเห็นว่านิยายเรามีจุดบกพร่องนะ เช่น ตอนที่ 5 เราพูดแบบนี้ แต่ตอนที่ 6 เรากลับพูดอีกแบบเพราะลืมสิ่งที่เขียน ทำให้เนื้อเรื่องมันขัดแย้งกันเอง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นช่องโหว่ของพล็อต ก็มาจากการที่เราไม่วางพล็อต 

ฟิล์มก็เลย โอเค งั้นเอาใหม่ ถ้าเราอยากทำให้สิ่งนี้มันจริงจัง เราก็ต้องจริงจังกับมันจริงๆ ตัดสินใจหยุดเขียนเรื่องแรก มาเริ่มเรื่องที่สองแทน (นายต่างพันธุ์) เป็นเรื่องที่ฟิล์มวางพล็อต โครงเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ก่อนเริ่ม ฉะนั้น เวลาเขียนเลยลื่น เขียนจบ และมีโอกาสได้ตีพิมพ์

ในยุคนั้นส่วนใหญ่เขานิยมลงหรืออ่านนิยายวายจากไหนบ้าง

เมื่อก่อนแพลตฟอร์มที่ลงนิยายวายมีน้อย เว็บไซต์เด็กดีนี้จะยืนพื้นเลยอยู่มายาวนาน แต่ค่อนข้างมีข้อจำกัด เช่น จำกัดอายุคนอ่าน หรือความรุนแรงในเรื่อง ก็จะมีอีกเว็บไซต์หนึ่งชื่อ ‘เล้าเป็ด (thaiboyslove)’ เป็นเว็บที่ค่อนข้างอิสระเลย ข้อจำกัดน้อย คนลงนิยายเว็บนั้นเยอะมาก ตัวฟิล์มเองก็เริ่มลงนิยายที่นั่นเหมือนกัน ลงมาจนถึงทุกวันนี้

ตอนนี้ช่องทางมันเยอะขึ้นทั้งแบบหนังสือ หรือแบบออนไลน์ พวกจอยลดา รีทอะไรท์ และก็มีฟังก์ชันมากขึ้นด้วยตอบสนองความต้องการคนเขียน เช่น ตรวจคำผิด กำหนดเวลาลงนิยายได้ หรือคนอ่านสามารถจ่ายเงิน หรือโดเนทเงินให้นักเขียน 

ที่บอกว่าเรื่องที่ 2 ได้ตีพิมพ์ ทางสำนักพิมพ์เขาติดต่อมาเอง หรือเราส่งเรื่องไป

ในยุคนั้นส่วนใหญ่สำนักพิมพ์จะเป็นคนติดต่อมาเอง เหมือนเป็นแมวมองในเว็บ ของฟิล์มเขาทักมาว่าพี่สนใจจะตีพิมพ์เรื่องนี้นะ เราอยากร่วมงานกับพี่ไหม พอเห็นข้อความเราก็ตอบตกลง พอได้ตีพิมพ์เรื่องแรกก็กลายเป็นสเต็ปว่าพอเราเขียนนิยายจบปุ๊บก็ส่งให้สำนักพิมพ์นี้พิจารณาว่าจะตีพิมพ์ไหม เวลาลงนิยายฟิล์มจะลงออนไลน์เป็นหลัก เว็บเล้าเป็ดนี่ยืนพื้นเลย แต่มันมีปัญหาที่ตัวเว็บไซต์ไม่มีฟังก์ชันป้องกันคนก็อปนิยายเรา หลังๆ ฟิล์มไปลงที่เด็กดีหรือรีดอะไรท์แทน

ฟิล์มจะลงนิยายอาทิตย์ละ 1 ตอนทุกวันจันทร์ ลงไปเรื่อยๆ จนจบ ปกติเขียนได้ 2 – 3 ตอนเราก็ลงเว็บละ แต่พอส่งให้สำนักพิมพ์ที่เขาต้องมีโพรเซสผลิตหนังสือ ทำให้เราต้องเขียนครึ่งเรื่องก่อนแล้วค่อยลงออนไลน์ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าลงนิยายในเว็บจบกว่าหนังสือจะตีพิมพ์เป็นปี ฟิล์มต้องบริหารเวลาส่วนนี้

การที่สำนักพิมพ์จะตีพิมพ์นิยายเรื่องหนึ่ง เขาต้องพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง เช่น ยอดคนอ่าน หรือความน่าสนใจของเนื้อเรื่อง

ตลาดนิยายวายจะมีทั้งหนังสือที่ตีพิมพ์เพราะคนอ่านเยอะ หรือเพราะเนื้อเรื่องมันขายได้ หลักๆ ขึ้นอยู่กับสำนักพิมพ์ว่าแบรนด์เขาขายอะไร เขาก็จะหาหนังสือที่เข้ากับแบรนด์เขา ให้ตีพิมพ์แล้วเขาสามารถทำกำไรได้ ฟิล์มมองเป็นแง่ธุรกิจนะ เพราะเขาทำธุรกิจก็ต้องคิดเรื่องการตลาด แล้ว ‘ดัง’ กับ ‘ดี’ ก็ไม่เหมือนกัน สมมติเขาเอาหนังสือที่คิดว่าขายได้มาแล้วทำให้มันดังก็ได้ หรือว่าเอาหนังสือที่ดังอยู่แล้วมาขายให้ดังขึ้นไปอีกก็ได้เหมือนกัน

ค่าตอบแทนที่นักเขียนจะได้ถ้าหนังสือได้ตีพิมพ์

ฟิล์มคิดว่าแต่ละที่น่าจะคล้ายๆ กัน ของฟิล์มตั้งแต่ที่พิมพ์ครั้งแรกจนถึงวันนี้ได้ค่าเรื่องเรทอยู่ที่ 10% ของราคาขาย หรือบางคนก็ตามยอดจำนวนพิมพ์ ค่าตอบแทนก็จะแตกต่างกันตามความใหญ่ของสำนักพิมพ์ การขายได้ของฐานแฟน

ตอนที่เริ่มเขียนนิยาย ฟิล์มไม่ได้คิดว่าจะสร้างเงินจากสิ่งๆ นี้ได้ เพราะยุคนั้นไม่มีนิยายวายขายตามร้านหนังสือ ต้องขายแบบแอบๆ ใต้ดิน แรงจูงใจที่ทำให้เราอยากทำ คือ ความชอบ มีคอมเมนต์กับกำลังใจจากผู้อ่านเป็นสิ่งตอบแทน แต่ในยุคนี้มันมีคนที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก ฟิล์มคิดว่าคนที่เข้ามาในวงการนี้ส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะทำเป็นอาชีพได้ หาเงินจากมันได้

ฟีดแบ็กคนที่อ่านนิยายเราเป็นยังไง

การวัดเรทติ้งนิยาย จะวัดจากยอดคนคอมเมนต์ ยอดคนอ่าน ที่เว็บเล้าเป็ดเขาจะกำหนดเลยว่าถ้ากระทู้ (การลงนิยาย) มีคนคอมเมนต์ 2,000 คนขึ้นไปจะมีสัญลักษณ์นี้ให้ หรือ 3,000 ครั้งจะมีสัญลักษณ์นี้ และพอสิ้นปีจะมีให้คนอ่านโหวตนิยายที่ชอบที่สุดในสาขาต่างๆ เช่น สาขาประทับใจ เศร้าที่สุด ตลกที่สุด

เรื่องฟีดแบ็กมีทั้งแง่บวกและลบ ฟิล์มว่านักเขียนทุกคนน่าจะเคยเจอ จะมีคนที่ชอบนิยายเรามากๆ กับคนที่ไม่ชอบเลย แค่เห็นชื่อเรื่องก็ไม่ชอบละ ฟิล์มเคยเจอคนที่บอกว่า ‘เราไม่อินนิยายที่คนบอกว่าดีเลย อ่านแล้วอ่านต่อไม่ไหว’ ฟิล์มมองว่าของแบบนี้มันเป็นเรื่องของรสนิยม คุณคลิกกับสิ่งที่เรานำเสนอไหม? แค่นั้นเลย ฉะนั้นเวลาที่บอกว่านิยายดีหรือไม่ดีมันยากมาก มันดีจริงๆ ไหม หรือมันดีเพราะดัง แล้ว ‘ดี’ ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก บางคนถ้าอ่านแล้วยิ้มได้เรียกดี แต่คนอีกกลุ่มอาจจะบอกว่าดี คือ มันต้องสร้างสรรค์สังคมนะ

การเขียนนิยายที่ตัวละครห่างไกลจากตัวนักเขียน มีอะไรบ้างที่คุณต้องทำการบ้าน?

ฟิล์มว่าเขียนหนังสือทุกแนวเราต้องหาข้อมูลหมด เขียนนิยายวายก็ต้องศึกษาข้อมูลเช่นกัน ไม่ใช่แค่เสิร์ชหาว่า ความสัมพันธ์ชาย – ชายเป็นยังไง ความรักเขาเป็นยังไง มันมีดีเทลเยอะกว่านั้น สมมติตัวละครทำอาชีพหมอก็ต้องไปศึกษาละว่าหมอเขาเป็นยังไง 

ที่บอกว่าเขียนนิยายครั้งแรกแล้วเละเพราะไม่ได้วางพล็อต การเขียนนิยายสักเรื่องสิ่งที่ต้องคำนึง

เทคนิคการเขียนนิยายมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลย ของฟิล์มคือพล็อตเรื่องต้องแน่น ฟิล์มจะวางไว้เลยว่าตอนที่ 1 มีอะไร ตอนที่ 2 3 4 ต่อไปจนถึงตอนจบแต่ละตอนพูดเรื่องอะไร เหมือนเป็นโลกที่สร้างเสร็จแล้วเหลือแค่กระจายเป็นตัวอักษร แต่เคยคุยกับนักเขียนคนหนึ่งเขาบอกว่า ทำแบบนั้นมันไม่สนุกถ้าเรารู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ตัวเขาชอบเขียนทีละตอนแล้วค่อยดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ฟิล์มเลยไม่อยากสร้างมายเซ็ตให้คนที่กำลังจะเริ่มว่าต้องเป็นยังไง

ถ้าจะให้แนะนำ ฟิล์มว่าสิ่งสำคัญของการเขียนนิยาย คือ คนเขียนต้องเตรียมใจ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้แต่เป็นทุกๆ เรื่อง ต้องเตรียมใจ วางแผน และให้เวลามีวินัยกับมัน เวลานี่ตัวสำคัญเลยเพราะบางคนเขียนไปตอนเดียวพอจะเริ่มเขียนตอนที่ 2 ‘วันนี้ยุ่งจัง ไว้เขียนพรุ่งนี้แทน’ กว่าจะมาเขียนตอนที่ 2 รู้สึกต่อไม่ติด ทิ้งไปเขียนเรื่องใหม่แทน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องแรกที่เขียน ต่อให้ตัวเราที่เป็นคนเขียนรู้สึกว่าฉันทุ่มเทกับมันมากที่สุดแล้ว เขียนดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่เรื่องมันไม่ดังทำไงดี? ฟิล์มอยากให้ทุกคนเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ ว่ามันไม่สวยงามแน่นอน เพราะทุกครั้งที่เราเริ่มอะไรใหม่ตัวเราจะเล็กมาก ไม่มีใครสนใจเราเลย ลงนิยายไปนั่งรอเมื่อไหร่จะมีคนเข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเมนต์ หรือส่งไปให้สำนักพิมพ์ ก็ต้องรอพิจารณาว่าจะได้ไหม ฟิล์มอยากให้เตรียมใจก่อน คุณต้องเจออุปสรรคแน่ๆ ต้องผิดหวังแน่ๆ จะต้องพยายามมากแน่ๆ

บทที่ 2 อดีตอินทีเรีย ดีไซน์

ได้ยินมาว่าคุณเคยทำงานเป็นอินทีเรีย ดีไซน์มาก่อนจะลาออกมาทำนักเขียนเต็มตัว

ฟิล์มเริ่มเขียนนิยายตั้งแต่เรียนปี 3 เขียนยาวมาเรื่อยๆ จนทำงาน ซึ่งการทำงานอินทีเรียค่อนข้างเหนื่อย เลิกงานไม่ตรงเวลา สมมติเข้างาน 10 โมง เลิก 1 ทุ่ม แต่ของฟิล์มเลิกงานจริงๆ 4 – 5 ทุ่ม กลับถึงบ้านเราเขียนนิยายต่อถึงตี 1 – 2 ได้นอนประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง ทำไป 2 ปีจนตัวเราเริ่มรู้สึกไม่ไหวละ เราไม่สามารถทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ ซึ่งถ้าต้องเลือกระหว่างหยุดเขียนหนังสือกับหยุดทำงานอินทีเรีย ใจตอนนั้นคือเขียนหนังสือดีกว่า เพราะรู้สึกว่าเรามีแพชชั่นกับหนังสือมากกว่า

อาจเป็นเพราะฟิล์มเป็นคนขับเคลื่อนชีวิตด้วยความรู้สึกนะ เราอยากทำอะไร ทำอะไรแล้วเรารู้สึกแฮปปี้ หรือเห็นเป้าหมายของเส้นทางไหนมากกว่า ฟิล์มรู้สึกว่าถ้าให้นั่งทำงานอินทีเรียไปเรื่อยๆ จนเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ฟิล์มไม่รู้สึกแฮปปี้กับจุดหมายนั้น แต่ถ้าให้เขียนหนังสือเรื่อยๆ จนวันหนึ่งได้ทำอะไรเกี่ยวกับหนังสือที่มันโตขึ้น เออ…เรารู้สึกแฮปปี้นะ ก็เลยตัดสินใจออกมา

ออกมาถาวรเลย

เราหยุดทำไปปีครึ่งแล้วลองไปทำที่ใหม่ คือฟิล์มอยากพิสูจน์ว่าที่เราไม่ชอบทำอินทีเรียเพราะบริษัทนี้หรือเหตุผลอื่น ก็เจอปัญหาเดิมว่าเป็นเรื่องเวลา เราไม่ไหวกับปริมาณงานและเวลาที่เสียไปขนาดนั้น ตัดสินใจมาเขียนหนังสือยาวบวกกับมีเวลาให้เราไปทำงานอย่างอื่นได้ด้วย ตอนนี้ฟิล์มทำสตรีมเมอร์ด้วย (คนที่เล่นเกมและถ่ายทอดให้ผู้ชมบนโลกออนไลน์ดูไปพร้อมๆ กัน)

การเลือกระหว่างอาชีพอินทีเรียกับนักเขียนยากไหม เพราะปัจจัยหลักของการตัดสินใจเลือกทำงานสักอย่าง คือ ความมั่นคง ณ วันนี้การทำอาชีพนักเขียนในสังคมไทยให้ความรู้สึกมั่นคงไหม?

เอาจริงๆ คนถามฟิล์มเยอะมากเรื่องความมั่นคง ฟิล์มเชื่อว่าจุดประสงค์คนถามแค่อยากรู้ว่าถ้าเราทำอาชีพนี้จะเลี้ยงตัวเองได้ไหม หาเงินกับมันได้ดีแค่ไหน เมื่อพูดอย่างนี้ฟิล์มอยากเปรียบเทียบกับการทำงานประจำ การเกิดโควิดมันทำให้ทุกคนรู้ว่าความมั่นคงไม่มีจริง ทุกคนสามารถโดนไล่ออกหรือเชิญให้ออกจากงานได้ตลอดเวลา ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างอาชีพนักเขียนกับงานทั่วไป ฟิล์มว่ามันก็ไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงเหมือนกัน มีการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงตลอด

ถ้าถามฟิล์มว่าฟิล์มเลี้ยงตัวเองจากอาชีพนี้ได้ไหม ฟิล์มตอบว่า ได้ ถ้าเราดีพอ คำว่า ‘ดี’ ไม่ได้หมายความว่า เราเขียนเก่ง หรืองานเราดีมากนะ แต่หมายถึงเราตั้งใจ ทุ่มเทกับมัน ที่สำคัญคือการทำอาชีพนี้คุณต้องมีวินัยมากๆ สำหรับฟิล์มการเขียนหนังสือไม่มีคนมาบังคับให้เราเขียน ไม่มีการตอกบัตร หรือเวลาเข้างาน คุณสามารถนอน 6 โมงเช้าตื่นอีกทีทุ่มหนึ่งเพื่อเขียนนิยายก็ได้ คุณจะใช้เวลาเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง 1 เดือน หรือ 6 เดือนก็ได้ พอมันอิสระขนาดนี้ ฟิล์มเชื่อว่าจะมีหลายคนไหลไปกับเวลา ไหลไปกับการพักผ่อน ทำอารมณ์ เขียนไม่ได้สักที อะ… ไม่เป็นไร วันนี้ผ่านไป เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาใหม่ ถ้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ฟิล์มก็คิดว่าไม่มั่นคงละ

เวลาฟิล์มทำงานจะมีสเต็ปของตัวเองว่า ภายใน 3 เดือนต้องเขียนนิยายเล่มหนึ่ง แล้วฟิล์มจะคำนวณว่าฟิล์มจะได้เงินจากหนังสือเล่มนี้ภายในกี่วัน กี่เดือน หลังจากส่งตีพิมพ์ เพื่อจะได้วางแผนใช้เงินได้ถูก มีเงินเก็บ เงินลงทุน ฉะนั้น ถามว่าอาชีพนักเขียนมั่นคงไหม ต้องถามก่อนว่าคุณทุ่มเทกับมันได้มากแค่ไหน ถึงจะตอบได้

เพราะสังคมเราโตมากับการตีกรอบอาชีพนักเขียนว่า ‘ไส้แห้ง’ แต่กับนักเขียนนิยายวายอาจจะไม่เป็นหรือเปล่า เพราะตลาดผู้บริโภคมันใหญ่มาก แถมเป็นกลุ่มคนที่พร้อมทุ่มจ่ายเงิน ก็เลยทำให้มีรายได้กว่านักเขียนหมวดอื่นๆ 

คำตอบที่ได้อาจจะมาจากมุมฟิล์มคนเดียวนะ คือ ‘วาย’ นับจากปีที่ผ่านมามันเป็นกระแส ส่งเสียงดัง คนเห็นเยอะ เข้าร้านหนังสือปุ๊บ โอ้โห…แผงหนึ่งเลย คนเลยรู้สึกว่าตลาดมันกว้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วฟิล์มว่าทุกๆ แนวหนังสือมันมีตลาดของมันอยู่ แต่อาจจะเสียงเบา ไม่ได้ตะโกนออกมาดังๆ ‘เฮ้ย… มันบูมนะ’ แต่ว่ามันก็ยังรันไปเรื่อยๆ ซึ่งฟิล์มมองว่า ‘วาย’ ไม่ได้ทำเงินเยอะกว่าแนวอื่น เพียงแต่ตอนนี้มันอยู่ในกระแส แล้วพอเราได้ยินบ่อยๆ เลยรู้สึกว่า ‘เฮ้ย… มันมา’ แต่ในความเป็นจริงเราที่อยู่ในวงการนิยาย เราเห็นนิยายแนวอื่นๆ ก็ขายดีเป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน

เรื่องประสบความสำเร็จของนักเขียนวายก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงจุดนั้น ถึงแม้จะมีนักเขียนเยอะมาก แต่ทุกเรื่องที่ออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ตีพิมพ์ บางคนเขียน 4 เรื่อง ได้ตีพิมพ์เรื่องเดียว บางคนเขียน 4 เรื่อง ได้ตีพิมพ์ทั้ง 4 เรื่องก็มี

หรือที่จริงอาจจะเป็นสายงานศิลป์ทั้งหมดที่คนมองว่าไม่มั่นคง ไม่ได้รับการให้คุณค่าเท่าที่ควร

ตอนทำงานอินทีเรีย รับตกแต่งบ้าน สิ่งที่ฟิล์มเจอส่วนมากเลย คือ คนรู้สึกว่าอาชีพนี้ไม่จำเป็น เจอเยอะมากๆ (เน้นเสียง) เขาจะรู้สึกว่าเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เราทำเองได้ ซื้อโซฟามาตั้งหนึ่งตัว ซื้อนู่นนี่มาแขวน ไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างอินทีเรีย ฟิล์มรู้สึกว่า เฮ้ย… อาชีพเราไม่จำเป็นว่ะ เหมือนมีคนที่ไม่รู้สึกว่าต้องใช้เราอยู่

อาชีพนักเขียนก็เหมือนกัน บางคนมองว่าหนังสือไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเขาต้องใช้เงินกับสิ่งที่สำคัญกว่า เช่น การเลี้ยงปากท้อง มันอาจจะเป็นรูปแบบเดียวกันที่ค่าใช้จ่ายมีผลกับการผลิตผลงาน อาจต้องย้อนกลับไปเรื่องสังคมบ้านเราที่มันทำให้คนไม่มีเวลา ไม่มีกำลัง ไม่มีทรัพย์มาสนับสนุนเรื่องบันเทิง หรือสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัจจัยการใช้ชีวิต สำหรับฟิล์มถ้าวันนี้ไม่มีข้าวกิน ฟิล์มอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีนิยายอ่าน ฟิล์มอยู่ได้ มันเลยกลายเป็นคนให้ค่าของหมอมากกว่านักเขียน เพราะว่าหมอจำเป็นต้องรักษาคนไข้ แต่นักเขียนไม่มีไม่เป็นไร ค่อนข้างน่าเสียดายที่สายศิลปะบ้านเราน่าจะไปได้ไกลกว่านี้

ซึ่งฟิล์มว่าการจะแก้ปัญหาเรื่องนี้มันยากมาก คงต้องเริ่มว่าจะทำยังไงให้คุณภาพชีวิตของคนตอนนี้ดีขึ้น จนมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่น

บทที่ 3 ความเป็น afterday

เอกลักษณ์นิยายจากปลายปากกา ‘afterday’

เท่าที่ฟังนักอ่านส่วนใหญ่จะบอกว่านิยายของฟิล์มเป็นโทนอบอุ่น ส่วนตัวเราไม่ชอบนิยายที่จบแบบ bad end เวลาเขียนนิยายของตัวเองจะตั้งเป้าว่าคนที่อ่านเรื่องของเราต้องยิ้มได้ ต้องได้รับความรู้สึกดีๆ กลับไป มีหัวข้อที่จุดบางอย่างให้เขาได้คิด หรือมีประเด็นทางสังคมที่หยิบมาพูดในนิยาย 

เพราะยิ่งเราโตขึ้น เรารู้สึกว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีช่องทางในการสื่อสารกับคนจำนวนมากได้ ฟิล์มเลยคิดว่าพอฟิล์มเป็นสื่อก็อยากใช้โอกาสที่มีให้คุ้มค่าที่สุด การอ่านนิยายไม่ใช่แค่บันเทิงอย่างเดียว ฟิล์มต้องการสื่อสารกับเขาด้วย

เรื่องล่าสุดที่ฟิล์มเขียน ‘12%’ ฟิล์มเป็นคนที่ไม่ชอบบุหรี่ เราอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าบุหรี่มันอันตรายมากกว่าที่ทุกคนเข้าใจว่าแค่มะเร็งของคนที่สูบ ฟิล์มศึกษาค่อนข้างเยอะว่าคนอยู่รอบตัวคนสูบก็อันตรายด้วย มันจะมีบุหรี่มือหนึ่ง สอง สาม ฟิล์มคิดว่าถ้าเราสอดแทรกปัญหาพวกนี้ลงไปในหนังสือได้ เราให้มันเนียนไปกับความบันเทิง เพราะเมื่อไหร่ที่เราบอกจะให้ความรู้ คนจะเริ่มแบบ…ต้องเดี๋ยวนี้เลยไหม เดี๋ยวค่อยรู้ได้ไหม แต่ถ้าเขาอ่านแล้วมันเพลิน เขาก็รับสารเราไปเรื่อยๆ ฟิล์มว่าวิธีมันเข้าถึงเด็ก เข้าถึงคนได้ง่ายกว่า เขาอ่านแล้วอาจจะเอาไปบอกต่อกับครอบครัว คนที่รู้จัก 

ทาร์เก็ตกรุ๊ปของคนที่ตามอ่านงานเรา

ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียนไปจนถึงวัยทำงานหลัก 40 ปี เพราะนิยายฟิล์มเนื้อหาอาจจะไม่ได้เด็กจ๋าวัยใส มีบางประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจด้วย พอเรารู้จักกลุ่มคนอ่านจะรู้สึกว่าเวลาทำงานสักชิ้น ต้องคิดเยอะๆ ขึ้น เพราะมีทั้งคนที่อายุมากกว่าเรา มีประสบการณ์มากกว่า และน้อยกว่าเรา เช่น เด็กอายุ 13 ปี ถ้ามีอะไรที่เราเขียนแล้วไม่ระวัง เขาเห็นเอาไปทำตามก็น่ากลัวนะ นิยายเราออกไปเจอคนเยอะ สิ่งที่ตามมาคือ ความรับผิดชอบที่มากขึ้น มีอะไรให้เป็นห่วงเยอะขึ้นละ

ได้ยินว่าตอนนี้นิยายของคุณมีการนำไปสร้างเป็นซีรีส์แล้ว

ใช่ค่ะ ของค่าย GMM นิยายเรื่องนี้เราส่งไปตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ ทีนี้สำนักพิมพ์ก็ลองส่งไปให้ค่ายอ่านว่าสนใจจะสร้างเป็นซีรีส์ไหม ซึ่งเขาก็สนใจเหมือนกันเลยได้สร้าง

ตัวฟิล์มไม่ได้มีส่วนร่วมกับซีรีส์เยอะมาก แค่คุยกับทางผู้กำกับ รับรู้ว่าเขาจะนำนิยายเราไปทำประมาณนี้นะ ถ้ามีจุดนั้นที่เขาอยากปรับ เช่น ชื่อเรื่อง โครงเรื่อง ก็จะคุยกับเราก่อน เพราะทางผู้สร้างก็ค่อนข้างแคร์คนเขียนเหมือนกัน อยากให้เราโอเคกับผลงานนี้ 

นิยายจะมีฐานคนอ่านอยู่ เวลาถูกนำไปสร้างเป็นหนัง ละคร ฟีดแบ็กหนึ่งที่จะเจอจากคนอ่าน ‘ไม่เห็นเหมือนนิยายเลย’ คุณมีความกังวลไหม

ตอนแรกเราก็คิดนะว่าถ้าสร้างเป็นซีรีส์มันจะส่งผลกระทบนิยายเราหรือเปล่า ฟิล์มเคยได้ยินบางคนพูดว่า ‘พอดูซีรีส์แล้วไม่สนุก ไม่อยากอ่านนิยายไปเลย’ ก็มี แต่พอลองชั่งน้ำหนักทุกอย่าง ฟิล์มคิดว่าข้อดีเยอะกว่า ต่อให้เอานิยายไปทำเป็นซีรีส์แล้วสมมติมันไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี แต่นิยายก็ยังคงเป็นนิยายอยู่ ทุกอย่างในเล่มยังเหมือนเดิม สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้นิยายของเราแย่ลง ถามว่ากังวลไหม กังวลนะ แต่ถ้าเรามัวแต่กังวลอยู่จุดนี้มันจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย อีกอย่างนิยายมันมี life time ของมันอยู่ ออกแผงปุ๊บคนจะสนใจพักหนึ่ง ก่อนที่จะมีเรื่องใหม่กว่าเข้ามาแทน 

บทที่ 4 การซัพพอร์ตจากพ่อแม่

ปฎิกิริยาของครอบครัวต่ออาชีพของเรา

เป็นความโชคดีของฟิล์มที่ในชีวิตนี้ฟิล์มทำอะไรก็ได้ ครอบครัวค่อนข้างซัพพอร์ตตลอด วันที่ฟิล์มลาออกมาเขียนหนังสือ เขาให้โอกาสฟิล์มเป็นคนคิด เป็นคนตัดสินใจ พอวันที่ฟิล์มจะไปทำสตรีมเมอร์ เขาก็ให้โอกาสฟิล์มทำ พ่อแม่จะไม่ค่อยถามว่า ‘ทำทำไม?’ ‘ไหวหรอ?’ ‘เลี้ยงตัวเองได้ไหม?’ เพราะเขารู้จักเราว่าเราคิดแล้ว เราไม่ใช่คนทำไปก่อนโดยไม่คิดอะไร เรารู้ว่าจะได้อะไรจากการทำสิ่งนี้

ฟิล์มว่าที่หลายครอบครัวกังวลถ้าลูกจะทำงานเป็นนักเขียน เพราะเขาอาจจะมองว่าหาเงินไม่ได้ เขียนนิยายไปเรื่องหนึ่งแล้วยังไงต่อ เห็นลูกนั่งเขียนงานที่บ้านก็คิดว่าไม่ได้ทำงาน บางคนโดนถามว่า ‘หางานทำเมื่อไหร่ ไม่หางานทำหรอ’ หลายคนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่านี่เป็นงานที่เขาทำ 

การแก้ปัญหานี้เราอาจจะต้องประสบความสำเร็จกับมัน ต้องมีผลลัพธ์ให้เขาเห็น ฟิล์มว่าผู้ใหญ่หลายคนไม่ค่อยสนใจเรื่องกระบวนการระหว่างทางสักเท่าไหร่ แต่จะสนใจว่าสุดท้ายได้เท่าไรล่ะ เลี้ยงตัวเองได้ไหม

มาจากความเป็นห่วงลูก

ไม่แปลกที่พ่อแม่จะเป็นห่วง เพราะเขาอยู่ในยุคที่ต้องทำงานบริษัทได้รับเงินเดือน ถึงจะมั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ เขาไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่บ้านแล้วจะได้เงินยังไง เวลาพูดประเด็นนี้ฟิล์มว่าต้องเข้าใจความแตกต่างแต่ละเจน เรามีประสบการณ์ชีวิตไม่เหมือนกัน 

มันเป็นจุดสำคัญในชีวิตจริงๆ เรื่องครอบครัว ถ้าเกิดรีแอคของพ่อแม่ฟิล์มเป็นอีกแบบ ก็คงหนักเหมือนกัน

ฟังดูเหมือนถ้าจะทำอาชีพนักเขียนต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักเลย ซึ่งอาชีพอื่นๆ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นนี้ก็ได้

จากที่ทำมา 3 อาชีพ อินทีเรีย นักเขียน และก็สตรีมเมอร์ สำหรับฟิล์มไม่มีอาชีพไหนไม่ต้องพยายาม อย่าง อินทีเรียก็ต้องใช้ความพยายามหางานหาบริษัททำ แข่งกับคนอื่นๆ นักเขียนเองก็ต้องพยายามเขียนให้งานตัวเองโดดเด่นขึ้นมา ในแพลตฟอร์มที่คนลงวันหนึ่งเป็นร้อยเรื่อง ทำอย่างไรให้คนเข้ามาอ่านงานเรา ส่งไปสำนักพิมพ์ทำให้เขาตีพิมพ์เรื่องของเรา หรือแม้แต่สตรีมเมอร์เองที่ทุกวันนี้มีคนทำเยอะมาก หลากหลายแพลตฟอร์ม ทำยังไงให้คนเข้ามาดู ทุกอาชีพต้องใช้ความพยายามหมด

นอกจากความพยายาม อีกส่วนคือการซับพอร์ตจากครอบครัว

ฟิล์มว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำได้ดีที่สุด คือ การสนับสนุนลูก เพราะการที่เริ่มทำอะไรสักอย่างหนึ่งมันมาพร้อมกับความเครียด อย่างตัวฟิล์มเองตอนเขียนนิยายมันค่อนข้างเครียด กดดันตัวเองสูง ลงนิยายไปแล้วคนอ่านน้อย ฟิล์มโชคดีที่เรามีวิธีกำจัดความเครียดได้ง่าย มีอะไรเล่าให้พ่อแม่ฟังได้หมด เพราะฟิล์มไม่เคยรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ฟังเลย และเมื่อไหร่ที่เราแชร์ความรู้สึกให้คนอื่นฟังปุ๊บ ความเครียดมันจะเบาลงนิดหนึ่ง ถามว่าปัญหาหายไปไหม ไม่หายหรอกนะ แต่ว่าเราพร้อมละ เริ่มใหม่ได้ 

Tags:

LGBTQ+พิชญา สุขพัฒน์นักเขียนนิยายวาย

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เขียนฝันไปด้วยกัน : บันทึกความในใจของ ‘ในใจ เม็ทซกะ’ นักเขียนรุ่นเยาว์และคุณแม่สิตางศุ์ 

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    สิทธิของ LGBTQ+ ผ่าน Soft power ในจอ และ power ในสภา – กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

จิตวิทยา ‘ของขวัญ’ : ให้อะไรถึงจะดีต่อใจคนรัก
Relationship
12 March 2021

จิตวิทยา ‘ของขวัญ’ : ให้อะไรถึงจะดีต่อใจคนรัก

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้การให้ของขวัญจะมีหลักการเรียบง่าย คือ ให้ของมีค่ากับอีกฝ่าย แต่เพราะสังคมที่ซับซ้อนทางสัญลักษณ์ ของขวัญที่คนรักถูกใจเลยไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวสิ่งของ การให้ของดี หายาก ราคาแพง ไม่ได้การันตีว่าคนรักจะพอใจ 
  • ของขวัญที่ดีคือของขวัญที่สื่อความรู้สึกของผู้ให้ว่าอยากเอาอกเอาใจ ใส่ใจ และไม่ลืมที่จะให้ของขวัญกันในโอกาสสำคัญ รวมถึงรู้ใจว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ของขวัญเป็นเหมือนตัวแทนของความรู้สึกที่มีให้กันมากกว่าค่าของตัวสิ่งของเอง
  • งานวิจัยพบว่า คู่รักที่ความสัมพันธ์ง่อนแง่นอยู่แล้ว ของขวัญอาจจะเป็นคันเร่งที่ทำให้เลิกกันไวขึ้น เพราะของขวัญนั้นมันทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นว่าจะไปด้วยกันรอดหรือไม่

ในช่วงเทศกาลแห่งความรักอย่างวันวาเลนไทน์ ไวท์เดย์ คริสต์มาส วันเกิดของคู่รัก หรือวันครบรอบวันแต่งงาน การให้ของขวัญกลายเป็นไฟต์บังคับที่คู่รักต้องจัดหาสิ่งที่พิเศษสุด ๆ มาให้อีกฝ่าย แต่บางครั้งการให้ของขวัญแก่คนรักกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว เพราะไม่รู้ว่าให้อะไรถึงจะถูกใจอีกฝ่าย จนบางคู่ขัดใจกันเพราะเรื่องของขวัญนี่แหละครับ บทความนี้เลยชวนผู้อ่านทุกท่านมารู้จิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังการให้ของขวัญ แล้วเรามาดูเคล็ดลับกันว่าให้ของขวัญแบบใดถึงจะถูกใจคนรัก และดีต่อความสัมพันธ์

การให้ของขวัญเพื่อเอาใจคู่รักนั้นเป็นกิจกรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากครับ เรียกได้ว่าเกิดขึ้นก่อนจะมีอารยธรรมด้วยซ้ำ เราต้องย้อนไปถึงลิงไร้หางซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ สมัยนั้นการให้ของขวัญอยู่ในรูปของการแบ่งปันอาหารกันในฝูงนั่นเอง แต่ถ้าจะให้ใกล้เคียงขึ้นไปอีกคือการที่ลิงตัวผู้ให้อาหารแก่ตัวเมียที่มันอยากมีลูกด้วย การมีลูกนั้นเป็นงานยากของเพศหญิง โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ต้องตั้งครรภ์นาน ทั้งลำบากทั้งอันตราย ตัวผู้เลยวิวัฒนาการพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเมียพอใจและเลือกตนเป็นคู่ นอกจากเป็นการเอาใจแล้วตัวผู้ที่แข็งแรงมียีนที่ดีก็น่าจะมีพละกำลัง ความสามารถ หาของขวัญหรืออาหารดี ๆ มาให้ตัวเมียเห็นว่าชายคนนี้แหละคือพ่อพันธุ์ชั้นยอด และนั่นคือต้นกำเนิดการให้ของขวัญในคู่รัก 

เวลาผ่านไป ลิงไร้หางวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็พัฒนาสังคมให้ซับซ้อนมากขึ้น การให้ของขวัญพัฒนาเป็นสัญลักษณ์แทนการสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ตั้งแต่ระหว่างบุคคล ระหว่างครอบครัว ระหว่างเผ่า ไปจนถึงระหว่างอาณาจักร ส่วนของขวัญที่ให้คนรักก็ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายชายฝ่ายเดียวอีกต่อไป ผู้หญิงในสังคมสมัยใหม่ก็เป็นฝ่ายให้ของขวัญแก่ผู้ชายที่รักได้เช่นกัน การให้ของขวัญกลายเป็นวัฒนธรรมที่ปลูกฝังกันมานานว่า หากรักหรืออยากสานสัมพันธ์กับใคร ก็ต้องหาโอกาสให้ของขวัญคนนั้น

แม้การให้ของขวัญจะมีหลักการเรียบง่าย คือ ให้ของมีค่ากับอีกฝ่าย แต่เพราะสังคมที่ซับซ้อนทางสัญลักษณ์ ของขวัญที่คนรักถูกใจเลยไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวสิ่งของ การให้ของดี หายาก ราคาแพง ไม่ได้การันตีว่าคนรักจะพอใจ 

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าของขวัญที่ดีขึ้นกับ “ค่าทางใจ” ที่ถูกตีความจากของขวัญที่ได้ ของขวัญที่ดีคือของขวัญที่สื่อความรู้สึกของผู้ให้ว่าอยากเอาอกเอาใจ ใส่ใจ และไม่ลืมที่จะให้ของขวัญกันในโอกาสสำคัญ รวมถึงรู้ใจว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ของขวัญเป็นเหมือนตัวแทนของความรู้สึกที่มีให้กันมากกว่าค่าของตัวสิ่งของเอง คำถามคือแล้วจะให้อะไรดีล่ะ ถึงจะสื่อค่าทางใจที่ว่าได้ 

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า ของขวัญที่คนรักได้รับแล้วประทับใจมากๆ มักมีเรื่องราวซ่อนอยู่ในนั้น ไม่ได้แปลว่าต้องให้นิยายนะครับ ผมหมายถึงของขวัญที่พอเห็นปุ๊บ ก็นึกถึงประสบการณ์ดีๆ ที่เคยมีร่วมกันของทั้งสองคน อย่างเช่น วันวาเลนไทน์ฝ่ายชายให้ดอกดาวกระจายกับแฟน คนอื่นเห็นอาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่มันกลับทำให้แฟนเขาดีใจมาก เพราะตอนสมัยจีบกันใหม่ๆ ฝ่ายชายเก็บดอกดาวกระจายจากที่บ้านมาให้ประจำ พอฝ่ายหญิงเห็นก็เลยทั้งดีใจทั้งขำ ของแบบนี้ถ้าเอาไปให้คนอื่นเขาก็คงไม่อินไปด้วยหรอกครับ แต่มันเป็นของที่รู้กันสองคนว่ามันมีค่า เพราะมันไปโยงกับความหลังที่น่าจดจำ

แต่ถ้าคู่ไหนยังไม่มีอะไรที่น่าประทับใจในอดีตนัก เราใช้ของที่สื่อว่าจะสร้างประสบการณ์ในอนาคตที่น่าจดจำก็ช่วยให้คนรักประทับใจได้เช่นกัน เช่น การชวนกันไปเที่ยวก็ถือว่าเป็นของขวัญได้ แค่คำชวนเองก็มอบความรู้สึกดีที่จะได้เที่ยวด้วยกัน น่าตื่นเต้นที่จะได้ไปดูทิวทัศน์สวย ๆ กันสองคน หรือหากคู่ที่รักกันมานาน ของขวัญที่สื่อถึงการแต่งงานอย่างแหวนจึงเป็นสิ่งพิเศษมาก ๆ เพราะมันคือสื่อว่าต้องการใช้ชีวิตด้วยกันไปอีกนาน 

นอกจากนี้ ของใช้ที่ต้องใช้ทุกวันก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่างปากกาที่ต้องพกติดตัว ผ้ากันเปื้อนตอนทำครัว ผ้าพันคอก็เข้าท่า แต่หาโอกาสใช้ในไทยยากนิด ของพวกนี้พอหยิบมาใช้แล้วหน้าของอีกฝ่ายก็ลอยมา ทำให้รู้สึกถึงความเอาใจใส่ได้เสมอ

ประสบการณ์อีกช่วงที่สำคัญคือ ประสบการณ์ตอนที่กำลังได้รับของขวัญตอนนั้นแหละครับ เทคนิคนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่ของใหม่ วันเกิดแฟนทำเงียบๆ แต่จริงๆ แอบเอาของขวัญหย่อนใส่กระเป๋าไว้พร้อมการ์ด พออีกฝ่ายมาเจอก็เซอร์ไพรส์ยิ้มแก้มปริ หรือบางคนไปขอนักร้องในร้านอาหารร้องเพลงให้เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงานตอนไปกินข้าวด้วยกัน หรือถ้ามีทักษะหรือความกล้าพอจะขอขึ้นไปร้องเองก็น่าจะยิ่งเป็นเหตุการณ์น่าประทับใจ ถ้าแขกคนอื่นฟังแล้วไม่สำลักข้าวเสียก่อน การมีเรื่องราวนั้นมันจะไปผูกกับตัวสิ่งของ พอเห็นทีไรก็ทำให้นึกเรื่องดี ๆ ได้ทุกที

ของขวัญที่ดีนอกจากจะทำให้ผู้รับรู้สึกดีแล้ว นักจิตวิทยายังวิจัยเพิ่มว่าของขวัญแบบไหนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักยืนนาน และผลก็ออกมาน่าสนใจทีเดียว 

ของขวัญแบบหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะหลงลืมว่าให้แล้ว มันจะดีกับชีวิตคู่ คือ “การให้ของขวัญตัวเอง” แต่ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรก็ซื้อมาใช้ มีความสุขคนเดียวนะครับ ของขวัญให้ตัวเองในที่นี้คือซื้อแล้วเอาไปใช้เพื่อที่จะทำให้เราเป็นคนที่ดีพร้อมทำให้อีกฝ่ายหลงเรามากขึ้น 

งานวิจัยพบว่าการซื้อเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว คอร์สนวดหน้า หรืออื่นๆ ที่ทำให้เราดูสวยขึ้นในสายตาคนรักนั้นมีผลดีกับชีวิตรักโดยเฉพาะหากคนทำเป็นฝ่ายหญิง เหมือนเราซื้อของมาใช้เองก็จริง แต่สิ่งที่คนรักได้คือได้แฟนที่สวยวันสวยคืน โดยเฉพาะสวยตอนไปไหนมาไหนกับเขา อย่าสวยแค่ตอนไปชอปปิงกับเพื่อนแล้วกัน

ของขวัญอีกประเภทที่ได้ผลดีกับความสัมพันธ์คือ ของขวัญที่ให้แล้วชาวบ้านรับรู้ว่าทั้งสองคนยังรักกันดี อย่างเช่น เสื้อคู่ที่ใส่ไปไหนมาไหนด้วยกัน หรือตอนให้ของขวัญก็ต้องให้ต่อหน้าคนทั้งบริษัท หรือให้ของที่พอเจ้าตัวเอาไปด้วยก็รู้เลยว่านี่แหละแฟนให้ คนอื่นเห็นอาจจะหมั่นไส้นิดหน่อย แต่การใช้ของขวัญแบบนี้มีผลผูกมัดทางใจลึกๆ ทำให้คู่รักไม่เลิกกันง่ายๆ

ถึงการได้รับของขวัญจะเหมือนได้ของฟรี ซึ่งน่ายินดี แต่บางกรณีการให้ของขวัญก็ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดแทนได้ โดยเฉพาะของที่แพงเกิน หรือมีค่าเกินที่อีกฝ่ายจะกล้ารับไว้ สมมติเพิ่งคบกันยังไม่ถึงเดือน เอาสร้อยเพชรมาให้ อีกฝ่ายจะคงเหวอเหมือนกัน ยิ่งคนที่ยังอยู่ในขั้นจีบกัน อยู่ ๆ เอาของราคาสี่ห้าหลักมาให้ ก็อาจจะมีคนชอบนะครับ แต่คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่ายังไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสม ความอึดอัดจากการรับของขวัญเองก็เป็นเรื่องที่ผู้ให้ต้องใส่ใจ ไม่ใช่รักมากก็ทุ่มมาก ตะบี้ตะบันให้ เพราะถ้าผู้รับอึดอัดมากไปนอกจากสุดท้ายเขาจะยืนกรานไม่รับแล้ว เขาจะรู้สึกไม่ดีกับคนให้แทน

กับคู่รักที่รักกันแล้ว บางครั้งค่านิยมในการให้ของขวัญก็ต่างกันครับ บางคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของขวัญ แต่อีกฝ่ายเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เลยให้มันอยู่ฝ่ายเดียวทุกโอกาส วันเกิด วาเลนไทน์ ไวท์เดย์ คริสต์มาส ครบรอบวันแต่งงาน ตรุษจีน สงกรานต์ วันเกิดพ่อแม่อีกฝ่ายก็ยังหาอะไรไปให้ ถึงผู้ให้จะไม่ถือว่าตนให้อยู่ฝ่ายเดียว ให้ของกับคนรักมันก็น่าอิ่มใจ แต่บางครั้งผู้รับรู้สึกไม่ดีที่จะต้องรับอยู่ฝ่ายเดียวครับ 

ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นต้องเป็นทั้งฝ่ายรับและฝ่ายให้ ถ้าต้องให้ฝ่ายเดียวบางครั้งก็รู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบ แต่ถ้ารับฝ่ายเดียวก็รู้สึกไปเอาเปรียบเขา ทำให้เขารู้สึกผิดว่าเป็นคนรักที่ไม่ดี แถมมันยังเหมือนเพิ่มภาระให้เขาต้องหาของขวัญมาตอบแทนเราอีกถึงเขาจะไม่ชอบกิจกรรมให้ของขวัญเลยก็ตาม ถ้าสังเกตเห็นความอึดอัดเหล่านี้ก็ลองคุยกันดูนะครับ อย่าให้ฝ่ายไหนต้องเก็บไปคิดมากคนเดียว

ของขวัญอีกแบบที่สร้างความอึดอัดใจได้คือของขวัญที่เหมือนบังคับให้อีกฝ่ายต้องใช้ การให้ของใช้นั้นอย่างที่บอก คือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีในอนาคตได้ แต่มันไม่ใช่ทุกครั้งที่คนรักอยากจะใช้ของขวัญที่เราให้  ถ้าเรารู้ใจคนรักพอ ให้ของที่เขาอยากใช้พอดี มันก็ลงตัว แต่ถ้าเราเดาพลาด เหมือนซื้อเสื้อมาให้ แล้วคนรักแทบจะน้ำตาร่วงเพราะดีไซน์ไม่ถูกใจเลย แต่ก็ต้องทนใส่ กลัวเสียน้ำใจ หรือบางคนไม่ได้ชอบทำอาหาร แต่คนรักซื้อเตาอบมาให้ ก็ต้องรับไป หัวเราะแห้งไป เพราะไม่รู้จะเอามาทำอะไรดี สมัยจีบกันเอาไปหมกไว้บ้านยังพอไหว เขาไม่รู้ แต่กับคู่ที่คบกันมานาน หรือสามีภรรยา ถ้าเจอแบบนี้จะรับเสร็จเก็บใส่ตู้ลืมก็ไม่ได้ เดี๋ยวอีกฝ่ายน้อยใจว่าทำไมให้แล้วไม่เห็นเอามาใช้ ของขวัญเลยมอบความอึดอัดใจให้แทน รักกันทั้งทีลองสังเกตดูดี ๆ ก่อนก็ดีครับว่าอีกฝ่ายเขาจะอยากใช้สิ่งที่เราให้ไหม

นอกจากนี้ งานวิจัยพบว่าคู่รักที่ความสัมพันธ์ง่อนแง่นอยู่แล้ว ของขวัญอาจจะเป็นคันเร่งที่ทำให้เลิกกันไวขึ้น เพราะของขวัญนั้นมันทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นว่าจะไปด้วยกันรอดหรือไม่ บางคู่ตัดสินใจเลิกกันตอนอีกฝ่ายให้แหวนก็มี เพราะของขวัญทำให้ผู้รับต้องตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเอาอย่างไร หรือหากฝ่ายไหนบอกว่าจะซื้อคอนโดแยกมาอยู่ด้วยกันสองคน อีกคนก็ต้องคิดแล้วว่าจะอยู่ต่อกันอีกยาวไหม 

กับคู่ที่แต่งงานกันสักระยะแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตคู่ พอได้รับของขวัญ อาจจะยิ่งทำให้ตนเองเห็นชัดเจนขึ้นว่าคบกันต่อคงไม่รอด บอกกี่ทีว่าไม่ชอบๆ ก็ซื้อมาให้อยู่นั่น หรือบางคนก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายให้ของขวัญพอเป็นพิธี พอเป็นหน้าที่ในวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน ถ้าลืมเดี๋ยวจะมีเรื่อง ของขวัญจะยิ่งทำให้ผู้รับรู้สึกชัดเจนขึ้นว่าคนนี้คงเข้ากับเราไม่ได้จริงๆ และอาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ฝ่ายรับของขวัญตัดสินใจเลิกกับคนรักได้เช่นกัน 

ดังนั้น ถ้าความสัมพันธ์เริ่มระหองระแหง แล้วคิดจะใช้ของสวยๆ แพงๆ หายาก ล้ำค่า มาเอาใจคนรักหวังให้ความสัมพันธ์นั้นดีขึ้น อาจจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามหากอีกฝ่ายไม่อินกับสิ่งที่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่แก้ไขความสัมพันธ์ให้เข้าใจกันมากขึ้น รู้ใจกันมากขึ้นก่อนอยู่ดี คนที่คบกันมานานบางครั้งมันดูออกครับ ว่าให้ด้วยใจหรือเปล่า 

พูดถึงคนให้มาเยอะ ผมขอพูดถึงคนรับของขวัญบ้าง หากจะรักกันให้นานๆ เมื่อคนรักให้ของขวัญก็ขอให้มองเจตนาดีของผู้ให้เป็นหลัก การให้ของขวัญนั้นไม่ใช่หน้าที่แบบลูกหนี้ที่ต้องจ่ายดอก ดังนั้นไม่ว่าจะให้อะไรมันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ถ้าของถูกกฎหมาย และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็ควรยิ้มรับไว้ก่อน อย่างน้อยมันก็เป็นของมาจากคนรักของเราเอง และอีกฝ่ายเขาก็ต้องอุตส่าห์เลือกซื้อเลือกหาสิ่งนี้มาให้เรา หากรับมาแล้วไม่อยากใช้อย่างไร รอเวลาสักพักค่อยคุยกันตรง ๆ ก็ได้ครับ หรือลองใช้มันสักครั้งสองครั้งหากทำได้ ให้เขารู้ว่า เราก็เคยลองใช้มันแล้วนะ ถึงรู้ว่าไม่ชอบ อย่าลืมว่าฝ่ายให้ของขวัญก็มีความคาดหวังว่าจะได้เห็นฝ่ายที่รับของขวัญดีใจ การที่เราแสดงสีหน้าผิดหวัง หรือร้ายแรงกว่านั้นคือบ่น บอกว่าไม่ชอบไปตอนนั้น มันก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ กลายเป็นประสบการณ์เลวร้ายของชีวิตคู่ไป

ส่วนเทศกาลแห่งความรัก หรือวันสำคัญใดที่เราควรจะได้ของขวัญ แต่เรากลับไม่ได้ของอะไรจากใครเลยก็อย่าเพิ่งเศร้าไปครับ หากคนรักท่านยังอยู่ดี นั่นก็ถือว่าดีมากแล้วที่คนรักยังอยู่ให้เห็นหน้า ไม่ได้ตายจากกันไป ส่วนใครที่คนรักจากไปแล้วหรือยังไม่มีคู่รัก ท่านก็ยังมีตัวท่านเองที่ยังมีโอกาสหาความสุขเป็นของขวัญให้ชีวิตท่านต่อไป ให้ของขวัญเป็น “สิ่งเล็กน้อย” ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้ก็ดีใจ ได้ไม่ถูกใจก็ยังถือว่าได้น้ำใจ แล้วท่านจะยิ้มรับเทศกาลแห่งของขวัญได้มากขึ้นครับ

อ้างอิง
Branco-Illodo, I., & Heath, T. (2020). The ‘perfect gift’ and the ‘best gift ever’: An integrative framework for truly special gifts. Journal of Business Research, 120, 418-424.
Gleason, M. E., Iida, M., Bolger, N., & Shrout, P. E. (2003). Daily supportive equity in close relationships. Personality and Social Psychology Bulletin, 29(8), 1036-1045.
Huang, M. H., & Yu, S. (2000). Gifts in a romantic relationship: A survival analysis. Journal of Consumer Psychology, 9(3), 179-188.
Ruth, J. A., Otnes, C. C., & Brunel, F. F. (1999). Gift receipt and the reformulation of interpersonal relationships. Journal of consumer research, 25(4), 385-402.
Saad, G., & Gill, T. (2003). An evolutionary psychology perspective on gift giving among young adults. Psychology & Marketing, 20(9), 765-784.

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ความรักการเลือกของขวัญ

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Silent Treatment : ‘เงียบใส่’ เพื่อรักษาความสัมพันธ์หรือลงโทษทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    สามเหลี่ยมความรัก : ตอนนี้เรารักกันแบบไหน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ซื่อตรงต่ออารมณ์ด้านลบ สร้างพื้นที่เยียวยาเพื่อกู้ร่าง ‘เอลฟ์’ ผู้สง่างามในตัวเรา
Myth/Life/Crisis
12 March 2021

ซื่อตรงต่ออารมณ์ด้านลบ สร้างพื้นที่เยียวยาเพื่อกู้ร่าง ‘เอลฟ์’ ผู้สง่างามในตัวเรา

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เอลฟ์เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตที่ดูงดงาม เต็มเปี่ยมด้วยภูมิปัญญา ส่วนออร์ค ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือเอลฟ์ที่ถูกเบียดเบียน กลับมีลักษณะโหดร้ายและชิงชังทุกสิ่ง โดยเฉพาะสิ่งที่มีระเบียบและเรืองโรจน์
  • การถูกเบียดเบียนสามารถทำให้จิตใจของคนที่ในยามปรกติดูโอบอ้อมอารีกลายเป็นจิตด้านลบ คับแค้นชิงชัง และพร้อมเบียดเบียนคนอื่นโดยไม่รู้สึกอะไรมาก
  • ในสังคมและในตัวเราจึงมีทั้งเอลฟ์และออร์คปะปนกันไป เราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแบบไหนผ่านสภาวะทางจิตใจของตัว แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องลบความทุกข์ทรมานและอารมณ์ลบๆ ได้ในทันที

“ครั้งหนึ่งพวกมันเคยเป็นเอลฟ์ ทว่าถูกพลังมืดนำไปทรมานและทำให้เสียโฉมพิกลพิการ กระทั่งกลายเป็นรูปแบบชีวิตซึ่งเป็นเศษซากและน่าสยดสยอง” 

เอลฟ์ ถือกำเนิดจากการรังสรรค์แห่งองค์มหาเทพ เอรู อิลูวาทาร์ ตามตำนานซิลมาริลออน ของเจ อาร์ โทลคีน (1892 – 1973) นักนิรุกติศาสตร์และนักประพันธ์ชาวอังกฤษ พวกเอลฟ์กลุ่มแรกตื่นขึ้นและดำรงอยู่อย่างเงียบงัน ณ ริมทะเลสาบคุยวิเอเน อันเป็นสายน้ำแห่งการตื่นรู้ทางตะวันออกแห่งมัชฌิมโลก (middle earth) ที่มีเพียงแสงดาวจรัสผืนฟ้า เอลฟ์จึงเป็นชนผู้หลงรักแสงดาราแห่งสวรรค์ที่ได้เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อตื่นขึ้นนั่นเอง พวกเอลฟ์พำนักอยู่ริมน้ำนั้นอยู่เนิ่นนานถึงค่อยก้าวเดินบนผืนโลก เริ่มพูดและมอบชื่อแด่สิ่งต่างๆ รวมถึงชื่อของพวกเขาเองที่เรียกว่า ‘เควนดี’ (อิงจาก Of the Coming of the Elves and the Captivity of Melkor ใน The Silmarillion)

แม้ภายหลังเอลฟ์จะอพยพและแตกกลุ่มไปอีกมากซึ่งมักแบ่งตามภาษาที่พวกเขาใช้ ทว่าภาพของเอลฟ์ในงานของโทลคีนที่ผู้คนมักนึกถึงก็คือ สิ่งมีชีวิตที่ดูงดงามมีราศี สง่า อ่อนเยาว์ เต็มเปี่ยมด้วยภูมิปัญญา อีกทั้งมีความสามารถในการเยียวยา 

ว่ากันว่า การเยียวยาความเจ็บปวดของโลก เป็นหนึ่งในสองแรงจูงใจสำคัญของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ 

ทว่าในจักรวาลนั้นยังมี มอร์กอต เจ้าแห่งความมืดหรือ ‘ผู้กดขี่อันน่าสยดสยอง’ ในอดีตนั้นมอร์กอตก็ถือกำเนิดจากมหาเทพอิลูวาทาร์ เช่นกัน โดยที่เขาเกิดขึ้นเป็นเมลกอร์ เทพไอนัวร์ผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าภายหลังเขาได้ท้าทายมหาเทพถึงสามครั้งในกระบวนการสร้างโลกก่อนจะตกลงมาในมัชฌิมโลกด้วยรูปลักษณ์อันน่าสยดสยอง 

เมลกอร์ผู้ขี้อิจฉาได้ลักพาตัวเอลฟ์จำนวนหนึ่งมาทรมานอย่างเหี้ยมโหดกระทั่งกลายเป็นออร์ค เอลฟ์ที่ถูกเบียดเบียนได้กลายร่างเป็นศัตรูตัวฉกาจของเอลฟ์เอง ออร์คมีลักษณะโหดร้ายใจดำ ซาดิสม์ มาดร้าย และชิงชังทุกสิ่งโดยเฉพาะสิ่งที่มีระเบียบและเรืองโรจน์ พวกมันหน้าตาน่าขยะแขยง ร่างกายผิดรูป มีหัวใจเป็นหินแกรนิต ซึ่งในเบื้องลึกนั้นเกลียดกลัวนายที่สร้างความระทมขมขื่นให้พวกมัน 

‘การเบียดเบียน’ กระบวนการเปลี่ยนเอลฟ์ผู้สง่างามเป็นออร์คผู้โหดร้าย

ในเรื่องเล่านี้ มีการลงมือสำคัญอย่างหนึ่งใน กระบวนการเปลี่ยนเอลฟ์ผู้สง่างามให้เป็นออรค์ผู้มาดร้าย นั่นคือ การเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น 

สอดคล้องกับการที่ออร์คเป็นภาพแทนของทุกความเลวทรามในสงครามยุคใหม่ ตัวอย่างของการถูกเบียดเบียนกระทั่งกลายเป็นเหมือนกับออร์คอันชัดเจนที่สุด คือการฝึกทหารให้เข้าร่วมสงคราม ดั่งเช่นที่คล้อด อันชิน ธอมัส (1947 – ปัจจุบัน) ทหารอเมริกันผู้ผ่านการรบในสงครามเวียดนามซึ่งในภายหลังได้บวชเป็นภิกษุโซโตเซนได้บอกเล่าไว้ว่า ในกระบวนการฝึกนั้น เขาถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ลงไป เมื่อผสานไปกับความหยาบคายสารพัดจากครูฝึกในบรรยากาศที่การทำร้ายทารุณเป็นเรื่องธรรมดา อันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจตอบโต้ ความโกรธแค้นที่จำต้องกดเก็บไว้นั้นจึงได้ถูกถ่ายโอนไปยัง ‘ศัตรู’ อย่างง่ายได้ โดยที่ความหมายของศัตรูก็คือ ใครก็ตามที่เพียงแต่แตกต่างไปจากเขาเท่านั้น

แต่สิ่งที่บีบคั้นหัวใจกว่านั้นคือคล้อด อันชิน บอกว่าการฝึกทหารเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเขาได้ เพราะเขาถูกบ่มเพาะด้วยประสบการณ์ก่อนหน้า เขาบอกว่าการฝึกสามารถ “ทำลายผมให้ย่อยยับ” แล้วสร้างเขาให้กลายเป็นคนที่พร้อมทำลายชีวิต ‘ศัตรู’ โดยไม่รู้สึกรู้สา เพราะเขามีภูมิหลังที่ถูกสอนให้คลั่งชาติแล้ว และที่สำคัญเขาได้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงทั้งจากพ่อและแม่เสมอมา เขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหาด้วยความรุนแรงเพราะ “ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้น ผู้มีกำลังเหนือกว่าคือผู้ชนะ ฉันเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากแม่ พ่อ ครูและเพื่อนๆ” (อ้างอิงจาก สุดทางทุกข์ – at Hell’s Gate) 

การถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ และส่งต่อความรุนแรงในนามความคับแค้น

การที่ใครคนหนึ่งสามารถทำร้ายหรือฆ่าคนอื่นอย่างโหดร้ายโดยไม่รู้สึกอะไรนักอาจมาจากความคับแค้นที่รู้สึกว่า ตัวเขาเองถูกทำเหมือนไม่ใช่คนแล้ว ไร้ค่าแล้ว ดังนั้นคนอื่นก็ไม่มีค่าด้วย

งานศึกษาหลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงความเชื่อมโยงอันชัดเจนระหว่างการเป็นฆาตกรต่อเนื่องและการถูกกระทำทารุณโดยเฉพาะในวัยเด็ก แม้ว่าอาจไม่ได้เป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้เป็นเช่นนั้น อย่างที่นายจิม เคลเมนเต แห่งสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) กล่าวว่า พันธุกรรมบรรจุกระสุนปืน บุคลิกภาพและจิตใจของพวกเขาเล็ง และประสบการณ์ของพวกเขาก็ลั่นไกปืน 

ที่น่าสังเกตคือ สถานภาพดั้งเดิมของคนที่ถูกทำให้รู้สึกไร้ค่าและรู้สึกที่ต่ำต้อยกว่าการเป็นมนุษย์กระทั่งลุกขึ้นมาทำร้ายคนอื่นได้ง่ายดายนั้น มักเป็นสถานภาพที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก ไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อเห็นคนที่เรียนรู้สิ่งนี้ในวัยเด็กหลายคนรู้สึกหงุดหงิดและร้อนรนอย่างยิ่งเพียงจากการเจอคนที่มีท่าทางวางอำนาจหรือเริ่มๆ จะมาใช้อำนาจควบคุม 

ในครอบครัว เด็กคนหนึ่งอาจมีผู้ดูแลหรือพ่อแม่ที่ติดสารเสพติด หรือเป็นคนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใจจะลงความเห็นว่าเป็นคนหลงตัวเองมาก หรือมีพฤติกรรมซาดิส หรือหรือป่วยทางจิต หรือมีลักษณะอื่นๆ ที่อยู่ด้วยยาก ซึ่งมีแนวโน้มที่เบียดเบียนหรือมีพฤติกรรมเป็นโทษต่อเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจ 

นอกจากนี้ บางครั้งการเบียดเบียนไม่ได้มาในรูปแบบของการที่ผู้ดูแลกระทำทารุณกับร่างกายของเด็ก แต่เป็นการใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น ‘แกมันเป็นขยะ’ ‘แกไม่น่าเกิดมาเลยทำให้ฉันลำบาก น่าจะเอาออกไปแต่แรก’ ฯลฯ ที่ทำให้เด็กคนนั้นรู้สึกไร้ค่าอย่างยากจะกอบกู้เพราะเขาได้ยินมันมาตลอดชีวิต เขารู้สึกไม่คู่ควรกับสิ่งดีงามแม้เขาจะมีคุณสมบัติดีงามมากเพียงใดก็ตาม 

เด็กคนนั้นโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เจ็บปวดจนไม่กล้าแม้แต่จะมองเห็นแสงสว่างของตนเอง และมักลงเอยในความสัมพันธ์ที่เขาต้องถูกเบียดเบียนต่อไป เช่น ติดกับคู่ครองที่เต็มไปด้วยถ้อยคำลดทอนคุณค่า จนกว่าเขาจะตื่นรู้และปลดตัวเองให้เป็นอิสระจากความรู้สึกไร้ค่า เขาถึงอนุญาตให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันกว่านั้นได้

ในโรงเรียน การถูกเพื่อนๆ รุมรังแก แทบจะเป็นเรื่องปรกติและเด็กที่ตกเป็นเป้าการเบียดเบียนมักมีอะไรบางอย่างที่แค่แตกต่างจากเด็กอื่น เช่น ป่วยเป็นโรคประจำตัว นับถือศาสนาที่แตกต่างไป ผิวสีคล้ำกว่าหรือตัวเล็กกว่าหรือมีชาติพันธุ์ที่แตกต่างจากเด็กส่วนใหญ่ในห้อง เด็กบางคนที่ถูกรุมแกล้งพลิกเล่มเกมรุกและกลายเป็นมาเฟียเสียเอง บ้างก็ถึงกับกลายเป็นฆาตกรโหด แต่บางคนไม่อาจลุกขึ้นสู้และปลิดชีพตัวเองเพื่อหนี ส่วนที่เหลือก็โตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีบาดแผล 

แม้คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะมีความสามารถในการให้อภัย และสามารถบอกตัวเองได้ว่าประสบการณ์ที่ถูกเบียดเบียน แค่สะท้อนปัญหาของคนที่ลงมือเบียดเบียนเรา มันไม่ได้แปลว่าเรามีบางอย่างผิดปรกติเกินไปที่จะอยู่ในโลกใบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวัยเด็กจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งต้องอาศัยการทำงานภายในอย่างหนัก ไม่ใช่เพื่อกำจัดแผลทิ้ง แต่เพื่ออยู่กับรอยแผลนั้นได้โดยไม่ให้มันมาบงการชีวิตเราอย่างเอ่อล้นอีกต่อไป 

ส่วนในพื้นที่การทำงาน ก็มีการส่งต่อการเบียดเบียนเช่น การยัดงานให้พนักงานค่าแรงต่ำทำให้ได้มากที่สุดโดยไร้ค่าล่วงเวลา ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยร่างทรุดโทรมจากการอดหลับอดนอน อย่างบังเบียดเวลาพักที่พึงมีตามกฎหมายเพียงใด หรือการปฏิบัติต่อพนักงานเสมือนเป็นทาสรองรับอารมณ์หรือการข่มเหงหรือการโลมเลีย ซึ่งสืบทอดกันมาโดยไม่รู้ตัว กระทั่งบางครั้งผู้ที่ถูกเบียดเบียนมาจนคุ้นชินก็กลับลุกขึ้นมาปกป้องระบบที่เบียดเบียนเสียเองด้วยการตำหนิใครก็ตามที่ตั้งคำถามกับมัน  

อย่างไรก็ตาม น่าเห็นใจว่าผู้เบียดเบียนก็อาจกำลังถูกเบียดเบียนด้วยระบบที่ใหญ่กว่าเขา อีกทั้งหากเราโตแล้วและรู้จักที่จะไม่ทำให้คนอื่นเป็นผู้ร้าย ด้วยกล้าหาญพอจะกั้นอาณาเขตอย่างมีเหตุผล เราอาจทึ่งว่าหลายโอกาสผู้มีกำลังอำนาจเหนือก็หยุดการเบียดเบียนลงอย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่าเราเบียดเบียนตัวเองไปแค่ไหนกัน? เพียงเพราะเชื่อมานานเกินไปว่าต้องปล่อยให้คนอื่นเบียดเบียน 

กล่าวโดยรวม การถูกเบียดเบียนสามารถทำให้จิตใจของคนที่ในยามปรกติดูโอบอ้อมอารี กลายเป็นจิตด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นอมทุกข์ คับแค้นชิงชังและพร้อมเบียดเบียนคนอื่นโดยไม่รู้สึกอะไรมาก หรืออาจไม่รู้ตัวเลยด้วยว่ากำลังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ อีกทั้งในห้วงยามที่คนเราคับแค้นกับชีวิตแสนทรมานของตนและรังเกียจความรุ่งเรืองอย่างสุจริตของผู้อื่นกระทั่งอยากทำร้ายหรือทำลายความสง่างามของเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากการกลายร่างเป็นออร์คเช่นกัน แต่สภาพจิตใจเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นตลอดไป ด้วยการรู้สึกถึงมัน เราก็ได้ลดทอนมันให้เป็นเพียงสภาวะซึ่งผุดเกิดในใจเพียงชั่วแวบ 

กระนั้น ต่อให้สิ่งที่เห็นดับไปแล้ว มันก็สามารถผุดเกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ อย่างมีกำลังมาก ไม่เป็นไรนะ ออร์คอาจจะอยากออกมาพูดกับเรา มันจะบอกอะไรบ้าง? ช่วยประคองมันไว้ในใจเช่นเดียวกับที่เราสวมกอดสภาพจิตใจอันงดงามอย่างเอลฟ์หรือเปล่า? หรือมันแค่ออกมาปกป้องเรา ไม่อยากให้เราโดนทำร้ายอีกแล้ว? เราจึงไม่ต้องทำให้เอลฟ์เป็นแสงแห่งดาวเพียงเพื่อจะผลักไสให้ออร์คหลบซ่อนในเงาอันมืดมิดชั่วนิรันดร์ก็ได้ (สนใจการทำงานกับลักษณะที่เราปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่ามีอยู่ในตัวเอง อ่าน Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์) 

วิธีการจัดการกับจิตด้านลบแบบออร์ค และกู้ร่างเอล์ฟผู้มีจิตใจอันงดงามขึ้นมาใหม่

บางกรณี ถึงแม้ว่าคุณรู้ว่าจิตใจแบบออร์คจะสามารถทำให้คุณพูดจาร้ายกาจหรือลงมือทำบางอย่างที่รุนแรงกับผู้อื่น ซึ่งทำให้ต้องเสียใจภายหลัง ทว่ากำลังของมันอันมากล้นเกินต้านทานอาจเชื่อมโยงกับการถูกเบียดเบียนโดยคนที่มีอำนาจหรือมีแรงมากกว่าเราในอดีตอันไกลโพ้น การบอกให้แผ่เมตตาและคิดบวกจึงอาจไม่ใช่วิธีกู้ร่างเอล์ฟที่ใช้ได้ผลเสมอไป วิธีการอื่นๆ ที่อาจทุ่นแรงกว่านั้น ก็คือ  

  1. ปลดปล่อยพลังออร์คอย่างสร้างสรรค์ เช่น ในดนตรี หรืองานศิลปะ เช่น จุ่มๆ สีน้ำเงินลงบนฝ่ามือ แล้วละเลงลงไปบนกระดาษ มันอาจปลดเปลื้องอารมณ์ลบและรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ซึ่งคุณจะลองเปลี่ยนสีหรือสร้างสรรค์อะไรมากกว่านี้ก็ย่อมได้ ในระหว่างนั้นก็อาจดูอารมณ์ด้านลบไปเฉยๆ แบบซื่อตรงกับตัวเอง โดยไม่ต้องพยายามชดเชยด้วยการคิดบวกแบบหลอกๆ เพราะนั่นอาจทำให้เก็บกดกว่าเดิม
  2. ลองคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นสิ่งที่เราเลือกเองทั้งหมด จิตวิญญาณเราเลือกที่จะมาเกิดในบริบทที่จะให้บทเรียนแบบนี้เอง จากที่เคยทดลอง ชั่วขณะที่คิดแบบนี้ เราจะโทษคนอื่นน้อยลง ซึ่งทำให้หัวใจคลายออกและผ่อนพักจากความเคียดแค้นได้มากขึ้น (อ่านเพิ่มเติมได้ใน Soul Healing) และแม้จะมีคนตั้งคำถามว่าจิตวิญญาณเราเลือกมาเกิดเช่นนั้นเองจริงหรือไม่ และอีกสารพัดคำถาม แต่ความ ‘จริง’ อาจไม่ได้สำคัญเท่ากับความสบายใจ เพราะฉะนั้น ถ้าลองคิดแบบนี้แล้วสบายใจขึ้น ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร 
  3. ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เราก็เคยเบียดเบียนคนอื่นให้เขาบอบช้ำเหมือนกัน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และ ในจังหวะเดียวกับที่ ตั้งจิตขอให้คนเหล่านั้นให้อภัยเราก็ตั้งจิตให้อภัยคนอื่นด้วย ถวายเป็นอภัยทานแด่สิ่งที่เราเคารพ วิธีนี้ไม่ได้บังคับใครเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะอินกับแนวนี้ แต่โดยส่วนตัวก็ได้ทดลองจัดการกับความโกรธมาหลายวิธี และวิธีนี้ให้ความรู้สึกว่าพลังงานไหลลื่นกว่าการพยายามแผ่เมตตา โดยเมื่อเรารู้สึกผิดเพราะนึกได้ว่าก็เคยเบียดเบียนคนอื่นเหมือนกัน(แม้แค่ทางวาจาหรือใจก็ตาม) มันจะให้อภัยคนอื่นง่ายกว่าตอนที่รู้สึกว่าเราถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว

เอล์ฟที่แท้จริงไม่ได้เพียงดูสวยงาม แต่ยังแข็งแกร่งด้วย ทว่าความแข็งแกร่งก็อาจไม่ได้หมายถึงการมีพลังอำนาจไปไล่บดขยี้คนอื่น บางทีแค่เราสามารถสร้างพื้นที่เยียวยาสำหรับตัวเองและสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิดให้ healthy มากขึ้น ก็ถือว่ามีความแกร่งของนักรบแห่งจิตใจแล้ว

ต่างจากออร์ค ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งที่มาพร้อมกับความปวดร้าว สูญเสียความสง่า ละทิ้งเกียรติในการดำรงชีวิต จึงทำให้ออร์คเป็นที่เกลียดชัง แต่ในทางกลับกันออร์คก็คือผู้ที่ต้องการความเห็นใจอย่างถึงที่สุด

ในสังคมและในตัวเราจึงมีทั้งเอลฟ์และออร์คปะปนกันไป เราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแบบไหนผ่านสภาวะทางจิตใจของตัว แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องลบความทุกข์ทรมานและอารมณ์ลบๆ ได้ในทันที แค่เราสามารถเห็นโลกภายในของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยาแล้ว 

การเป็นเอลฟ์บ้างออร์คบ้างก็คือเรื่องของคนธรรมดา ขอให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร หรือถ้าอยากเขียนมาคุยก็เขียนมาได้นะ (Line ID: patrasuwan) 

อ้างอิง
สุดทางทุกข์ (At Hell’s Gate) โดย Claude Anshin Thomas (คล้อด อันชิน ธอมัส)
Soul Healing โดย Bruce Goldberge 
The Silmarillion โดย J. R. R. Tolkien และ Christopher Tolkien เป็นบรรณาธิการ
From Abused Child to Serial Killer: Investigating Nature vs Nurture in Methods of Murder 
The Twisted Tale Of Richard Ramirez, The “Night Stalker” Serial Killer Of 1980s Los Angeles By Katie Serena

Tags:

Myth Life Crisis

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    แดรกคิวล่า : เรียนรู้จากผีดิบ และอาการป่วยไข้ที่รุกล้ำอาณาเขตของเรา

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel