Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2024

‘ภัยเงียบของความเหงา’ เมื่อคนมากมายไม่อาจเติมช่องว่างทางความรู้สึก
How to enjoy life
23 December 2024

‘ภัยเงียบของความเหงา’ เมื่อคนมากมายไม่อาจเติมช่องว่างทางความรู้สึก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • “ก็แค่เหงา ไม่ถึงตายหรอก” มักเป็นคำพูดปลอบใจคนที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์อ้างว้างและเดียวดาย แต่คำพูดนั้นอาจใช้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อความเหงากำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
  • หากคุณรู้สึกเหงาบ่อยๆ มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ หรือรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เข้ากับคนอื่นไม่ได้ รวมทั้งรู้สึกว่า ‘ชีวิตช่างว่างเปล่า’ ล้วนเป็นสัญญาณชี้ว่า คุณกำลังเหงาในระดับที่เป็นอันตราย
  • หนึ่งในเคล็ดลับการรับมือกับความเหงาคือ การใจดีกับตัวเอง และใจดีกับคนอื่นด้วย การใส่ใจและพยายามช่วยเหลือคนอื่น จะทำให้คนที่กำลังรู้สึกเหงา ได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ความเหงา คืออารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งเวลาที่อยู่คนเดียว หรือแม้แต่อยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก แต่ขาดความรู้สึกเชื่อมโยง หรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกทางลบในจิตใจ

ว่ากันว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่ไม่เคยรู้สึกเหงา เราทุกคนที่เกิดมาล้วนเคยมีความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต และเราอาจเคยได้ยินใครบางคนพูดว่า ก็แค่เหงา ไม่ถึงตายหรอก ซึ่งมักเป็นคำพูดปลอบใจคนที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์อ้างว้างและเดียวดาย

แต่คำพูดนั้นอาจใช้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อความเหงากำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสืบเนื่องจากความเหงาได้

ในช่วงปลายปี 2023 องค์การอนามัยโลก (WHO – World Health Organization) ประกาศว่า ‘ความเหงา’ กำลังเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขในระดับโลก ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกช่วงอายุ ทุกประเทศ และทุกฐานะทางการเงิน

ทั้งนี้ WHO เริ่มตระหนักถึงปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากความเหงา ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของผู้คน ทำให้หลายคนรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว รู้สึกเหงา จากมาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม รวมถึงการกักตัวผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19

สิ่งที่น่าวิตกก็คือ หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ประชากรจำนวนมากในหลายๆ ประเทศ ยังคงรู้สึกเหงา หรือคิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แม้ว่าจะไม่มีการใช้มาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม หรือข้อจำกัดการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดอีกแล้วก็ตาม

ความเหงา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต สภาพอารมณ์ที่หดหู่ เศร้าหมอง รวมถึงอาจกระตุ้นความเสี่ยงในการคิดฆ่าตัวตาย ในคนที่มีปัญหาด้านจิตใจอยู่แล้ว แต่จากข้อมูลใหม่ๆ ทำให้เราได้ตระหนักว่า ความเหงา ยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกายอีกด้วย

ดร.วิเวก เมอร์ธี (Vivek Murthy) หนึ่งในคณะกรรมการระหว่างประเทศ ที่ WHO จัดตั้งขึ้นเพื่อหาแนวทางรับมือปัญหาสุขภาพอันเกิดจากความเหงา กล่าวว่า ความเหงา เป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน และเป็นภัยร้ายแรงยิ่งกว่าโรคอ้วน และการไม่ออกกำลังกายเสียอีก

ดร.เมอร์ธี นายแพทย์ใหญ่ชาวอเมริกัน ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐบาลสหรัฐ กล่าวอีกว่า ประชากรในกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความเหงาอย่างชัดเจน โดยพบว่า ความเหงา อาจทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองเสื่อม (Dementia) ในกลุ่มผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นถึง 50 % และความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เพิ่มขึ้นถึง 30 %

ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น ที่เผชิญกับปัญหาความอ้างว้าง ข้อมูลของ WHO ยังระบุว่า กลุ่มเด็กและเยาวชน ที่เคยตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว มีจำนวน 5-15 % ซึ่งตัวเลขจริงอาจจะสูงกว่านี้ โดยเด็กในยุโรปที่คิดว่าตัวเองต้องเผชิญกับความเหงาบ่อยๆ มีอยู่ราว 5.3 % เทียบกับเด็กในทวีปแอฟริกา ที่มีจำนวนถึง 12.7 %

เด็กและเยาวชนที่เป็นคนเหงา อาจไม่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพรุนแรงเท่ากลุ่มผู้สูงอายุก็จริง แต่พวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบทางด้านอื่น โดยพบว่า เด็กนักเรียนที่รู้สึกโดดเดี่ยวเวลาอยู่ในโรงเรียน มักจะเรียนไม่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และผลที่ตามมาก็คือ การได้งานที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และไม่ตรงกับความคาดหวังของตัวเอง

เหงาคืออะไร อย่างไรถึงเรียกว่าเหงา

สมาคมการแพทย์อเมริกัน (AMA – American Medical Association) เป็นอีกหน่วยงานที่ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาสุขภาพอันเกิดจากความเหงา โดยเมื่อปีที่แล้ว AMA ได้ประกาศให้ความเหงา เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขระดับเร่งด่วน

อย่างไรก็ดี ยังมีความไม่เข้าใจกันว่า ความเหงาคืออะไร และความเหงามากน้อยแค่ไหน จึงจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

ดร.เบล วอชิงตัน (Bell Washington) หนึ่งในคณะกรรมการผู้จัดทำนโยบายแก้ปัญหาความเหงาของ AMA กล่าวว่า ความเหงา คือความรู้สึกในทางลบที่เกิดขึ้นในจิตใจของคน เมื่อพบว่า การมีปฏิสัมพันธ์ หรือการมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดว่าควรจะเป็น

“คุณอาจจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่คุณรู้จักคุ้นเคยดี แต่คุณก็ยังรู้สึกเหงาได้” ดร.วอชิงตัน กล่าว พร้อมเสริมว่า “คุณอาจจะพบเจอ-พูดคุยกับคนมากมาย แต่ก็ยังรู้สึกอ้างว้าง เพราะสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ใช่บทสนทนาแบบผิวเผิน ตามมารยาท แต่เป็นใครสักคนที่รู้จักคุณอย่างลึกซึ้งจริงๆ”

ขณะที่ ซีโมน ดาส โดเรส นักจิตวิทยาจาก iPractice สถาบันจิตเวชแห่งเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า ความเหงา ไม่ใช่ข้อมูลที่สามารถวัดได้ แต่เป็นการรับรู้ เป็นเรื่องของความรู้สึก และเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวบุคคล

“คนบางคนอาจต้องการการมีปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าคนอื่น ทำให้เขาหรือเธอมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเหงาได้มากกว่าคนอื่น” โดเรส กล่าว

ต่อคำถามที่ว่า ความเหงาในระดับไหน ถึงเรียกว่าเป็นความเหงาที่น่าวิตกกังวล และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดเรส ตอบว่า

“การจะบอกว่าคุณกำลังรู้สึกเหงาหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องอยู่ลำพังคนเดียว ถ้าคุณรู้สึกหดหู่ เครียด หรือวิตกกังวลกับการต้องอยู่ลำพังคนเดียว แปลว่าคุณรู้สึกเหงาแล้ว และยิ่งคุณคิดถึงมัน คุณจะยิ่งเหงามากขึ้น”

อย่างไรก็ดี โดเรสย้ำว่า การอยู่ลำพังคนเดียว ไม่ได้เท่ากับความเหงา การอยู่ตัวคนเดียวเป็นข้อเท็จจริง หรือภววิสัย (Objective) แต่การรู้สึกเหงา เป็นเรื่องของความรู้สึก การรับรู้ ซึ่งถือเป็นอัตวิสัย (Subjective) หรือสิ่งที่รับรู้ได้เฉพาะตัวบุคคล

“สำหรับคนบางคน การอยู่ลำพังคนเดียว กลับทำให้เขาหรือเธอรู้สึกสบายใจ มีความสุข นั่นแปลว่า คนๆ นั้นไม่ได้รู้สึกเหงา” โดเรส กล่าว

ทางด้าน ดร.วอชิงตัน เสริมว่า หากคุณรู้สึกเหงาบ่อยๆ และเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเครียด นอนไม่หลับ เริ่มหลงๆ ลืมๆ น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น แปลว่า ความเหงาเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแล้ว

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาบางคน ตั้งข้อสังเกตว่า หากคุณรู้สึกเหงาบ่อยๆ มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ หรือรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เข้ากับคนอื่นไม่ได้ รวมทั้งรู้สึกว่า ‘ชีวิตช่างว่างเปล่า’ ล้วนเป็นสัญญาณชี้ว่า คุณกำลังเหงาในระดับที่เป็นอันตราย

เหงาได้ไง ออนไลน์ทั้งวัน

ในสังคมยุคปัจจุบัน การใช้โซเชียลมีเดียกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน หลายคนใช้เวลาในโซเชียลมีเดียครั้งละหลายๆ ชั่วโมง เพื่อเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับเพื่อนๆ หรือคนที่มีความสนใจในหัวข้อเหมือนกัน

หากมองอย่างผิวเผิน โซเชียลมีเดียน่าจะช่วยให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์หรือการติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยให้ความรู้สึกเหงาของคนลดน้อยลง

อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยหลายๆ ชิ้นกลับพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกเหงามากขึ้น

ผลการวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้น ที่เก็บรวบรวมในหอสมุดการแพทย์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงงานวิจัยภายใต้การนำโดย ดร. เกา จุน หลิง (Gao JunLing) จากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน พบว่า การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลานาน มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกเหงาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่แย้งกับความเข้าใจก่อนหน้านี้ที่ว่า โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการกระชับความสัมพันธ์ของผู้คน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระยะทางไกล

นอกจากนี้ รายงานการวิจัยของ ดร.เมลิสสา จี. ฮันต์ (Melissa G.Hunt) จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ที่ทำขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย ที่ถูกจำกัดเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย วันละไม่เกิน 10 นาที เป็นเวลา 3 สัปดาห์ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และความรู้สึกเหงาที่ลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่าง ที่ไม่ถูกจำกัดเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย

ดร.แฟรงค์ คลาร์ก (Frank Clark) ศาสตราจารย์คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเซาธ์ แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เด็กและเยาวชน ดูจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาในโลกออนไลน์ค่อนข้างมาก

“เวลามีคนมากดไลก์ หรือมียอดฟอลโลเวอร์จำนวนมากๆ สารโดปามีนจะหลั่งออกมา ทำให้พวกเขามีความสุข ในทางตรงข้าม หากสเตตัสไม่ได้รับความสนใจ เด็กวัยรุ่น โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านวิกฤติอัตลักษณ์ (Identity Crisis) อาจรู้สึกเศร้า หดหู่ จนกลายเป็นความรู้สึกเหงาได้” ดร.คลาร์ก กล่าว

ขณะที่ ดร. วอชิงตัน ให้ข้อมูลเสริมว่า วัยรุ่นในช่วงวัย 20 เป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับความคาดหวังจากสังคมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การแยกตัวออกจากครอบครัวที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก การวางเส้นทางอาชีพ การมองหาคู่ชีวิต และการเสาะแสวงหากลุ่มหรือสังกัดให้ตัวเอง ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้ ถูกทำให้สับสนมากขึ้นด้วยสิ่งที่เด็กวัยรุ่นพบเห็นในโลกเสมือนจริง ซึ่งล้วนแต่สวยหรู ฟู่ฟ่า และฉาบฉวย

เพราะเหงาของเราไม่เท่ากัน 

ดร.คลาร์ก กล่าวว่า คนทุกคน ทุกเพศทุกวัย ล้วนมีโอกาสที่จะพบเจอประสบการณ์ความเหงา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครที่มีภูมิต้านทานความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง ได้เลย

อย่างไรก็ดี คนบางกลุ่มอาจมีแนวโน้มที่จะมีความรู้สึกเหงามากขึ้น เช่น คนที่ใช้ชีวิตลำพังคนเดียว

นอกจากนี้ คนที่มีสถานะไม่เท่าเทียมกับคนอื่นในสังคม อาทิ กลุ่มคนที่อพยพย้ายประเทศ และกลุ่ม LGBTQ+ ก็มีความเสี่ยงที่จะรู้สึกเหงามากขึ้นด้วย

“การเลือกปฏิบัติ อันเป็นผลมาจากอคติ รวมไปถึงปัญหากำแพงภาษา ล้วนมีส่วนทำให้คนบางกลุ่ม ถูกกีดกันออกจากสังคม ทำให้พวกเขายิ่งมีความเสี่ยงที่จะรู้สึกเหงาเพิ่มมากขึ้น” 

ดร.คลาร์ก ยังกล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือ เมื่อคุณรู้สึกเหงา อย่าปกปิดหรือปฏิเสธ จงยอมรับว่า ตัวเองมีความรู้สึกเหงา และพยายามค้นหาว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกเหงา

ขณะที่ ดร.วอชิงตัน เสริมว่า ความเหงา ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ และการโหยหาความสัมพันธ์กับผู้คนก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ต่างจากความต้องการมีสุขภาพดี หรือความต้องการปัจจัยสี่ 

“ถ้าคุณมีวันที่รู้สึกเศร้า หดหู่ มากกว่าวันที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น นั่นเป็นสัญญาณชี้ว่า คุณควรจะออกไปพบเจอใครสักคนได้แล้ว” ดร. วอชิงตัน ให้คำแนะนำ “นอกเหนือจากครอบครัว และเพื่อนแล้ว การไปพบแพทย์ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คุณพ้นจากปัญหาความเศร้าได้”

เคล็ดลับการรับมือกับความเหงา

ดร.เดวิด เคทส์ นักจิตวิทยาจากสถาบันการแพทย์เนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เปิดเผยถึงวิธีรับมือกับปัญหาที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

“อันดับแรกเลย คุณต้องใจดีกับตัวเอง” ดร.เคทส์ กล่าว “ยอมรับว่าตัวเองกำลังมีปัญหา คุณถึงจะแก้ปัญหาได้”

นอกจากใจดีกับตัวเองแล้ว จงใจดีกับคนอื่นด้วย การใส่ใจและพยายามช่วยเหลือคนอื่น จะทำให้คนที่กำลังรู้สึกเหงา ได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ขณะที่ซาราห์ ไฮทาวเวอร์ (Sarah Hightower) นักจิตวิทยาการปรึกษาจากแอตแลนตา กล่าวว่า สำหรับบางคน อาจมีช่วงเวลา หรือบางเทศกาลที่มักรู้สึกเหงาบ่อยๆ ดังนั้น เมื่อรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองมีโอกาสจะรู้สึกเหงา ให้วางแผนล่วงหน้าในการรับมือ เช่น นัดเจอครอบครัวหรือเพื่อนในช่วงนั้น

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายวิธีในการขจัดความเหงา เช่น การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง การมีงานอดิเรกใหม่ๆ การออกไปเดินเล่นในสถานที่ธรรมชาติ และการมีกิจกรรมที่ขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่ว่าจะทำคนเดียว หรือทำร่วมกับเพื่อนๆ ล้วนแต่เป็นวิธีที่ดีในการลดอารมณ์หดหู่

ทางด้าน ดร.เคทส์ กล่าวว่า ฟังดูอาจเป็นเรื่องแปลก หรือย้อนแย้ง แต่การดื่มด่ำกับช่วงเวลาอยู่คนเดียว นับเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความเหงาได้ เพราะการอยู่ลำพังอย่างมีคุณภาพ จะทำให้คุณได้ชาร์จพลังให้กับตัวเอง ได้ทบทวนเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น รวมถึงได้มีโอกาสใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์

ท้ายที่สุด การพบแพทย์ หรือนักจิตวิทยา เป็นอีกหนทางที่ช่วยให้คุณพ้นจากความเหงาได้

“ความเหงา เป็นปัญหาที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง” ดร. เบล วอชิงตัน จาก AMA กล่าวทิ้งท้าย “เพราะมันนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง อาการซึมเศร้า และที่ร้ายแรงที่สุด อาจถึงแก่ชีวิตได้”

อ้างอิง

1 Who declares loneliness a global public health concern : https://www.theguardian.com/global-development/2023/nov/16/who-declares-loneliness-a-global-public-health-concern

2 What doctors wish patients knew about loneliness and health : https://www.ama-assn.org/delivering-care/public-health/what-doctors-wish-patients-knew-about-loneliness-and-health

3 Loneliness : https://ipractice.com/symptoms/loneliness/

4 Association between social media use and loneliness in a cross-national population : https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9817115/

5 Loneliness : A disease? : https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC3890922/ 

6 12 ways to beat loneliness : https://www.webmd.com/mental-health/features/beat-loneliness

Tags:

โซเชียลมีเดียความสัมพันธ์สุขภาพกายใจความเหงาการรับมือกับความเหงา

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • lonely-cover (1)
    Book
    คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อใคร: ถึงฉันจะโดดเดี่ยว แต่ก็ยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ดี

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ‘ไม่มีใครเกิดมาเพื่อที่จะเหงา’ 6 วิธีรับมือกับความเหงา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • RelationshipHow to enjoy life
    ไม่โสดก็เหงาเป็น

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ลบมายาคติ ‘เด็กดี’ โอบรับความใจดีของ ‘เด็กดื้อ’: That Christmas
Movie
20 December 2024

ลบมายาคติ ‘เด็กดี’ โอบรับความใจดีของ ‘เด็กดื้อ’: That Christmas

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • That Christmas เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสัญชาติอังกฤษ บอกเล่าเรื่องราวความวุ่นวายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต์ของเมืองเวลลิงตันออนซีผ่านมุมมองของหลากหลายตัวละครที่ล้วนแต่เชื่อมโยงและเติมเต็มซึ่งกันและกัน
  • ตัวละครที่นำเสนอได้น่าสนใจคือคู่ฝาแฝดอย่าง แซม กับ ชาร์ลี ที่เป็นตัวแทนของ ‘เด็กดี’ และ ‘เด็กดื้อ’ ตามค่านิยมของสังคม โดยภาพยนตร์ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นปัญหาคือมายาคติและการด่วนตัดสินคุณค่าของเด็กจากการกระทำที่รับรู้เพียงผิวเผิน
  • ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นผลงานการเขียนบทของ Richard Curtis (Love, Actually) และได้ Simon Otto หัวหน้าฝ่ายแอนิเมชันตัวละครของภาพยนตร์ไตรภาค How to Train Your Dragon มารับหน้าที่ผู้กำกับ

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

“ผมคิดเสมอว่าคริสต์มาสเป็นเหมือนแว่นขยายความรู้สึก ถ้าเรารู้สึกเป็นที่รักและมีความสุข คริสต์มาสจะทำให้เรามีความสุขและรู้สึกเป็นที่รักมากกว่าเดิม แต่ถ้าเรารู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีใครรัก แว่นขยายนี้ก็จะทำให้เรื่องแย่ๆ พวกนั้นแย่หนักกว่าเดิม”

แม้คำพูดของลุงซานต้าใจดีจากภาพยนตร์แอนิเมชันสัญชาติอังกฤษเรื่อง That Christmas (2024) อาจเป็นโควตที่ใครหลายคนนำมาพูดถึงในโลกโซเชียล แต่สำหรับผมสิ่งที่ถูกใจที่สุดคือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตั้งคำถามถึงนิยามความเป็น ‘เด็กดี’ ที่ผู้ใหญ่หลายคนมักใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคุณค่าของเด็กคนหนึ่ง

That Christmas บอกเล่าเรื่องราวความวุ่นวายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของเมืองเวลลิงตันออนซี โดยมีตัวละครต่างๆ สลับหมุนเวียนกันมาสร้างสีสัน ซึ่งตัวละครที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษคือคู่ฝาแฝด ‘แซม’ และ ‘ชาร์ลี’

แซม (แฝดพี่) ถือเป็นตัวแทนของเด็กดีในแบบที่ผู้ใหญ่หลายคนยึดถือ เธอเป็นเด็กเรียบร้อยและเชื่อฟังผู้ใหญ่ สวนทางกับ ชาร์ลี (แฝดน้อง) ที่มีนิสัยซุกซน เชื่อมั่นในตัวเองและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ (ที่อาจขัดใจผู้ใหญ่บ่อยๆ)

แม้จะมีนิสัยต่างกันแต่ทั้งสองคนก็รักกันมาก ในมุมมองของแซม เธอค่อนข้างเป็นกังวลที่ชาร์ลีมักจะทำเรื่องซนๆ เหนือความคาดคิด ไล่ตั้งแต่การแอบไปตัดขนสุนัขของคนอื่นมาทำเป็นหนวด การทำกับดักหิมะถล่มใส่คุณนายฮอร์ตัน การเหยียบกระโปรงแกล้งเพื่อนขณะแสดงละครเวที หรือจะเป็นการลอบเข้าไปปล่อยไก่งวงในฟาร์มของมิสเตอร์เยอร์เรลล์จนหมดเล้า และนั่นทำให้แซมเตือนชาร์ลีว่าขืนยังซนแบบนี้…ลุงซานต้าจะไม่ให้ของขวัญกับเธอ!

แน่นอนว่าลุงซานต้าเองก็รับรู้เรื่องราวของฝาแฝดต่างสไตล์คู่นี้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ลุงซานต้าแตกต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นคือการที่เขามองเด็กๆ ด้วยความเข้าใจ และไม่ด่วนตัดสินว่าชาร์ลีเป็นเด็กไม่ดี 

“ไม่ เธอไม่ได้ร้าย แต่ก็ซนซะเหลือเกิน” ลุงซานต้าเถียงกวางคู่ใจ หลังจากที่เจ้ากวางบอกว่าในบรรดาฝาแฝดทุกคู่ จะมีแฝดคนหนึ่งที่เป็น ‘ตัวร้าย’ เสมอ

ไม่เพียงเท่านั้น ลุงซานต้ายังทดสอบความเชื่อของตัวเอง รวมถึงพิสูจน์ความดีในตัวของชาร์ลี ด้วยการนำของขวัญที่เตรียมไว้ให้แซมมาใส่ในถุงเท้าของชาร์ลี และเมื่อชาร์ลีตื่นขึ้นมากลางดึก เธอรู้สึกดีใจมากพร้อมกับกอดของขวัญไว้แนบอก แต่พอมองไปที่ถุงเท้าอันว่างเปล่าของพี่สาว และนึกขึ้นได้ว่าแซมต่างหากที่อยากได้กีตาร์เป็นของขวัญ เธอจึงตัดสินใจนำของขวัญต่างๆ ไปวางไว้ให้แซมแทนที่จะเก็บไว้เอง นั่นทำให้ลุงซานต้าที่ตามมอนิเตอร์อยู่ประทับใจมาก

เช้าวันถัดมา เมื่อชาร์ลีเห็นแซมมีความสุขกับของขวัญ เธอก็พลอยยินดีไปด้วย ขณะเดียวกันก็พบว่าลุงซานต้าเองได้ย้อนกลับมาเซอร์ไพรส์เธอด้วยของขวัญชุดใหญ่ โดยเฉพาะเข็มกลัดสุดเก๋ที่มีตัวอักษร Officially Nice เพื่อยืนยันว่าอย่างน้อยก็มีลุงซานต้าคนหนึ่งที่เชื่อมั่นว่าเธอเป็นเด็กดีอย่างแท้จริง

ไม่เพียงเท่านั้น ระหว่างที่แซมมาช่วยน้องสาวจัดเตียงให้เรียบร้อย แซมบังเอิญพบกับสมุดบันทึกของชาร์ลีที่ตั้งชื่อว่า ‘ปฏิบัติการช่วยให้แซมมีความสุข’ โดยเนื้อหาระบุถึงปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่แซมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นเพียงเรื่องซนๆ ของชาร์ลี เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งใจในเจตนาของน้องสาว และเมื่อสบโอกาส แซมจึงบอกกับพ่อแม่ว่าชาร์ลีนั้นเป็นเด็กที่วิเศษแค่ไหน

“ทำไมซานต้าให้ของขวัญเธอเพียบเลยล่ะ เพราะเขารู้ว่าชาร์ลีไม่ได้ซนไงคะ เธอเป็นเด็กดี ที่จริงเธอทำได้ดีกับทุกอย่างเลยด้วย และมันเป็นเพราะเธอรักหนูมาก ทำไมชาร์ลีเหยียบกระโปรงนิชาตอนเล่นละคร…เพราะนิชาใจร้ายกับหนูตลอด แถมเรียกหนูว่าแฝดน่าเบื่อ ชาร์ลีทำหิมะถล่มใส่คุณนายฮอร์ตันทำไม…เพราะหนูชอบบัดดี้หมาของเธอและเธอก็ใจร้ายกับมันมากเลย 

ตอนเธอปล่อยไก่งวงของเยอร์เรลล์…ใช่เธอทำค่ะ เธอทำเพราะตอนคริสต์มาสไก่งวงที่น่าสงสารต้องตาย เพราะเราต้องกินมันในวันที่มีอาหารอื่นๆ อยู่เต็มโต๊ะ เป้าหมายของหนูในปีหน้าคือเป็นเหมือนชาร์ลีให้มากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง…และเลิกคิดไปเองในแง่ลบทั้งหมดนี้กันได้แล้ว”

หลังจากชมภาพยนตร์จบ ผมรู้สึกว่าหนึ่งในแมสเสจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการชวนให้เรากลับมาตั้งคำถามตัวโตๆ ถึงความคิดความเชื่อของผู้ใหญ่ที่ว่าเด็กดีจะต้องมีคุณลักษณะต่างๆ (ตามที่ผู้ใหญ่กำหนด) ซึ่งหลายครั้งต้องยอมรับว่านิยามคำว่า ‘เด็กดี’ ของผู้ใหญ่หลายคน โดยเฉพาะพ่อแม่และคุณครูมักกดทับจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กให้พังทลายลง

ผมมองว่าการเป็น ‘เด็กดี’ ไม่ควรผูกติดกับการเชื่อฟังหรือทำตามกรอบเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงตัวตน ความคิด  และความตั้งใจในแบบของเขาเอง โดยไม่ถูกตัดสินหรือกดดันให้เปลี่ยนแปลงเพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้ใหญ่

ที่สำคัญ ผู้ใหญ่ควรตระหนักว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวที่รอให้พ่อแม่มาแต่งแต้มสีสัน แต่เป็นมนุษย์ตัวจิ๋วที่มีความแตกต่างหลากหลาย เด็กทุกคนจึงมีคุณค่าในแบบของตัวเอง

Tags:

คริสต์มาสภาพยนตร์เด็กThat Christmas

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Why Does Philosophy Matter? ‘เพราะปรัชญาสอนให้รู้จักตั้งคำถามในคำถาม’ คุยกับ ผศ.ดร.ปิยฤดี ไชยพร
How to enjoy life
19 December 2024

Why Does Philosophy Matter? ‘เพราะปรัชญาสอนให้รู้จักตั้งคำถามในคำถาม’ คุยกับ ผศ.ดร.ปิยฤดี ไชยพร

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ‘ปรัชญา’ ไม่ใช่แค่การตั้งคำถาม แต่คือการตั้งคำถามในคำถาม ซึ่งการใช้เหตุผลที่ดีจะนำไปสู่การตั้งคำถามที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้เราหาคำตอบที่ตอบโจทย์ความอยากรู้ของเราได้อย่างแท้จริง
  • The Potential คุยกับ ดร.ปิยฤดี ไชยพร หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำความเข้าใจแง่มุมของปรัชญา ที่ทำให้เราไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ และเปิดรับมุมมองใหม่ๆ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
  • ปรัชญายังช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ แม้คิดต่าง ยอมรับความแตกต่างทางความคิด มองเห็นคุณค่าของการแลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อสร้างสังคมที่เคารพในความคิดเห็นของกันและกัน

เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ‘เราเกิดมาทำไม?’ ‘ชีวิตที่ดีคืออะไร?’ หรือแม้แต่ ‘เราทำงานหนักไปเพื่ออะไร?’ คำถามเหล่านี้อาจจะฟังดูเหมือนคำถามโลกแตก แต่จริงๆ เมื่อเริ่มตั้งคำถามก็ถือว่าเราได้ออกเดินก้าวแรกในการใช้ ‘ปรัชญา’ ในฐานะศาสตร์การคิดที่ให้เครื่องมือสำหรับสำรวจ ตั้งคำถาม และหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตแล้ว 

ดังนั้น ‘ปรัชญา’ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวและซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด The Potential ชวนปรับทัศนคติต่อวิชาปรัชญา กับ ผศ.ดร.ปิยฤดี ไชยพร หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

“ก่อนอื่น อยากสื่อสารไปถึงคนที่คิดว่าปรัชญาดูเป็นสิ่งไกลตัวและซับซ้อน ว่าจริงๆ แล้วปรัชญาไม่ได้ไกลตัว และที่ว่าซับซ้อนก็อาจจะมีส่วนจริงแต่ไม่ใช่ในความหมายแบบที่เข้าใจกัน ที่เราคิดแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยกับปรัชญา ไม่เคยทดลองนำมาใช้งานแล้วเห็นผล แต่ถ้าได้นำมาใช้จนเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยการคิด ก็จะพบว่าปรัชญาเป็นกระบวนการที่ฝึกให้เราได้เรียนรู้ที่จะคิด วิเคราะห์ ตั้งคำถามและหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว เกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับคนอื่น เกี่ยวกับโลกที่เราอยู่ ดังนั้นที่ซับซ้อนจริงๆ อาจจะไม่ใช่ปรัชญา แต่คือสิ่งเหล่านี้ที่ปรัชญาช่วยเราคิดเกี่ยวกับมันได้ ซึ่งพอเอาปรัชญาไปจับก็เลยทำให้ปรัชญาดูเหมือนซับซ้อนมากกว่าที่เป็นจริงๆ”

จริงหรือไม่คะที่กล่าวกันว่า หัวใจสำคัญของวิชาปรัชญาคือการตั้งคำถาม

การพูดว่าวิชาปรัชญาสำคัญที่การตั้งคำถาม หรือปรัชญาเริ่มต้นที่การตั้งคำถามเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว ที่ครบถ้วนกว่าคือพูดว่า ปรัชญาคือการตั้งคำถามในคำถามอีกที การที่เราจะรู้จักตั้งคำถามที่ดีได้ต้องอาศัยการใช้เหตุผลที่ดีก่อน การใช้เหตุผลที่ดีจะทำให้รู้ว่าต้องถามคำถามแบบไหนถึงจะนำไปสู่คำตอบที่ได้มาแล้วตอบสนองความอยากรู้ที่นำมาซึ่งการตั้งคำถามในตอนแรกได้ มีนักปรัชญาชื่อ Charles Sanders Peirce เคยพูดไว้แบบนี้ แต่ครูไม่จำเป็นต้องอ้างเขา เพราะมีประสบการณ์ตรงเป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้ว 

ในชั้นเรียนวิชาการใช้เหตุผลของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะอักษรศาสตร์ บางทีครูเห็นนิสิตหน้าตาดูง่วงๆ ก็จะโยนคำถามให้ เพื่อปลุกให้ตื่น บางคำถามเป็นปริศนาเกมไพ่ บางคำถามเป็นปริศนาที่เข้ารหัสคำไว้ คำถามพวกนี้ถ้าไม่ตั้งคำถามในคำถามก่อน แทบไม่มีทางที่จะตอบถูกได้ และครูพบว่านิสิตที่ตอบคำถามแบบนี้ได้เป็นคนแรก คือ คนที่คิดออกก่อนใครว่าคำถามในคำถามที่ต้องถามคืออะไร แล้วใช้เหตุผลค่อยๆ ไล่ตอบคำถามนั้นจนไปพบคำตอบที่ไขปริศนา ส่วนเพื่อนคนอื่นในห้อง ครูก็เชื่อว่าถ้ามีเวลาคิดนานกว่านี้ ก็จะตอบได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือ เวลาที่มีคำถามชนิดนี้ นิสิตจะหายง่วงกันเกือบทั้งชั้นเรียน 

การตั้งคำถามในคำถามใช้ได้กับเนื้อหาทุกเรื่องไหมคะ

ใช้ได้ทุกเรื่องรวมถึงความเชื่อที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับคนอื่น เกี่ยวกับสิ่งที่เราเคยถูกสอนมาทั้งหมด จนถึงความเชื่อเกี่ยวกับสังคม การที่เราไม่ได้มองเห็นความเชื่อเหล่านี้เป็นปริศนา ก็เพราะมันยังไม่ถูกคนอื่นท้าทาย และตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ปรัชญาสามารถมีคุณูปการที่สำคัญที่ทำให้ในโลกยุคปัจจุบันเราขาดปรัชญาไม่ได้  

การใช้เหตุผลที่พูดถึงในปรัชญามีความหมายเฉพาะ คือเป็นเรื่องของการหาข้อสนับสนุนให้กับสิ่งที่เชื่อและทำ ซึ่งสิ่งที่ว่าอาจจะมีข้อสนับสนุนที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียวหรือมากกว่านั้นก็ได้ 

สิ่งสำคัญคือคนที่ใช้เหตุผลชนิดนี้จะไม่ใช่เป็นเจ้าไอเดีย เจ้าความคิดสร้างสรรค์ และถ้ามีนิสัยแบบนี้ก็เพราะมันตามมาจากนิสัยที่คอยมองหาเหตุผลสนับสนุนอันที่ดีสำหรับความเชื่อ ทัศนคติและการกระทำของตัวเอง พอทำแบบนี้อยู่เสมอๆ ย่อมเป็นไปได้สูงที่วันหนึ่งจะมีสิ่งภายนอกมาทำให้เกิดหวั่นไหวในความเชื่อที่เคยมี 

ห้องเรียนปรัชญาเร่งกระบวนการนี้โดยพยายามทำให้ความเชื่อต่างๆ ที่นักศึกษามีเผชิญกับข้อโต้แย้งที่เป็นไปได้ให้เร็วที่สุด 

ถ้าเรารักความเชื่อเรื่องไหนมาก เราจึงยิ่งต้องคอยตรวจสอบเหตุผลสนับสนุนที่เรามีสำหรับมัน ซึ่งก็ต้องทำโดยคอยมองหาเหตุผลดีๆ ที่จะมาแย้ง และหากวันหนึ่งเกิดเราพบกับข้อโต้แย้งที่หนักแน่นมากๆ ที่ไปกันไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องยอมทิ้งความเชื่อที่ถูกหักล้างนั้น สิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยากในเรื่องนี้คือ  สำหรับคนที่ลงทุนทั้งชีวิตไปกับความเชื่อหรือการกระทำ หรือเป้าหมายทางสังคมบางอย่าง การต้องมาฟังว่าสิ่งที่ลงทุนมาทั้งชีวิตมันอาจจะไม่ใช่ หรือผิด หรือก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าดี ย่อมเป็นอะไรที่ทารุณจิตใจ เขาจึงมีเหตุผลเต็มเปี่ยมที่จะปกป้องความเชื่อแบบหัวชนฝา และสิ่งที่มักจะตามมาด้วยคือมองคนที่มาท้าทายว่าเป็นศัตรู

ปรัชญาโดยเฉพาะวิชาการใช้เหตุผลช่วยเอื้อให้การคิดใหม่เป็นไปได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมองคนที่คิดแย้งกับเราว่าเป็นศัตรู สามารถมองเลยความเห็นต่างส่วนตัวไปเห็นถึงประโยชน์ของความคิดต่างได้ว่ามาช่วยเราคิด ทำให้เราไม่ถลำตัวไปเชื่อผิดหรือทำผิดชนิดที่จะต้องกลับหลังหันแบบ 180 องศาในอนาคต การรู้ทันปัญหาของความคิดที่เป็นปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า 

ในสังคมสมัยใหม่เราแก้ปัญหาโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่ได้ทุกเรื่อง ปรัชญาช่วยบ่มเพาะให้เรามีทัศนคติต่อคนอื่นที่เราไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลยได้ในแบบที่ถึงจะคิดต่างก็อยู่ร่วมกันได้ หรือต่อให้เป็นคนคิดต่างที่มีความดันทุรังสูง ก็ยังอยู่ด้วยกันได้ ช่วยกันแก้ปัญหาที่เผชิญร่วมกันได้ ไม่จำเป็นว่าคิดต่างแล้วจะต้องทำร้ายกันด้วยคำพูดหรือลงไม้ลงมือใส่กัน 

จะเห็นว่าประโยชน์อันนี้ก็ยังเป็นอันเดียวกับที่พูดมาคือ การช่วยเราคิดใหม่ แค่เปลี่ยนเป็นเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับโลกภายนอกและโดยเฉพาะเกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นว่ามีศักยภาพที่จะช่วยเราก่อรูปความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้ ช่วยให้เราไม่เชื่อผิดและทำผิดจนต้องกลับหลังหันแบบ 180 องศาในอนาคตทั้งที่เรารู้ตัวเร็วกว่านั้นได้ 

เวลาที่เราอ่านงานปรัชญาแล้วรู้สึกว่าซับซ้อนส่วนหนึ่งจึงอาจมาจากการที่นักปรัชญาเมื่อเขียนงานก็มักจะนำคำตอบที่ตัวเองได้จากการคิดใหม่ (conceptualization) มาคุยกัน และเพราะมันผ่านการถามคำถามมาหลายชั้นแล้ว คนที่ยังไม่ได้เริ่มถามแม้แต่ชั้นแรกเลยจะรู้สึกไม่คุ้นเคยย่อมเป็นเรื่องธรรมดา 

อาจารย์คิดว่าปรัชญาช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง รวมถึงแก้ pain point ในชีวิตได้ไหม และทำไมถึงช่วยได้

ถูกต้องเลยค่ะ พูดถึงโลกข้างนอกและคนอื่นแล้ว สุดท้ายก็ต้องพูดถึงตัวเราเอง ว่าปรัชญาช่วยอะไรเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มี pain point เป็นของตัวเองได้ 

ก่อนอื่นต้องถามว่า pain point ที่พูดถึงนี้คืออะไร คำๆ นี้เพิ่งถูกใช้มากในช่วงหลังมานี้เอง พจนานุกรม Merriam-Webster นิยามคำนี้ว่าหมายถึงปัญหาที่ไม่ยอมหายไปเสียทีหรือกลับมาเรื่อยๆ ที่ทำให้ผู้บริโภค (ผลิตภัณฑ์หรือบริการ) ไม่สะดวกหรือรำคาญใจ เช่น ในประโยค สำหรับธุรกิจในตลาดโตเต็มที่แล้ว จะมีผู้บริโภคที่โตเต็มที่แล้ว คุณสามารถค้นพบความต้องการและ pain points ของพวกเขาได้บนเว็บไซต์สำหรับรีวิวสินค้าของคู่แข่ง ซึ่งฟังดูเป็นมโนทัศน์การตลาดและเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับการบริโภค ครูเลยไม่แน่ใจว่าเราคิดถึงคำนี้ในความหมายเดียวกันหรือเปล่า 

สิ่งหนึ่งที่ครูมั่นใจว่าเป็นปัญหาเพราะรับรู้จากประสบการณ์ตรง คือ นิสิตบางคนมีแววตาเปลี่ยนไปเวลาที่ครูเปิดคลิปวีดีโอ Lisa Blackpink หรือ Jenny Blackpink ให้ดูในช่วงเบรก นิสิตเหล่านี้มีทั้งคนที่ฉลาด หัวดีมากๆ และคนที่โดดเด่นในด้านอื่น เช่น มนุษยสัมพันธ์ ความฉลาดทางอารมณ์ แต่แววตาของพวกเขาบอกครูว่าพวกเขารู้สึกว่าตัวเองยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ถ้า pain point หมายถึงอะไรแบบนี้ ครูคิดว่าปรัชญาน่าจะช่วยในการจัดการกับมันได้

สมมติก่อนว่าในโลกนี้ไม่มีปรัชญา ไม่มีวิธีทางปรัชญาที่จะนำมาใช้จัดการกับ pain point แบบนี้ เรามีทางเลือกแบบไหนบ้าง ทางหนึ่งคือพึ่งศาสนา เข้าวัด ฟังธรรม จนรู้สึกปล่อยวาง ปล่อยมือจากสิ่งที่เราเคยอยากได้อยากมีที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด 

ครูเคยเล่าให้นิสิตในชั้นเรียนวิชาหนึ่งฟังว่า มีเพื่อนเคยอกหักหนักมาก เลยเข้าไปไหว้พระในวัดเล็กๆ แล้วมีอุบาสิกาท่าทางใจดีท่านหนึ่งทักว่า หนูร้องไห้ทำไมคะ เพื่อนครูก็ตอบว่า หนูอกหักค่ะ อุบาสิกาท่านนั้นก็เดินเข้ามาจับมือแล้วพูดว่า ไม่เป็นไรนะหนู คนอื่นไม่รักเราไม่เป็นไร แต่พระพุทธเจ้ารักเรา คำพูดนี้อาจดูน่าขัน แต่ถ้าฟังดีๆ มันเป็นการแก้ pain point ของการที่คนไม่รักได้แบบหนึ่ง เพราะบอกว่าเพื่อนของครูไม่ได้ขาดความรักนะ ยังมีพระพุทธเจ้าที่เป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งปวงที่รักเค้า ทีนี้ สมมติเพื่อนครูคนนี้หายจากความทุกข์เพราะความเชื่อนี้ แล้ววันหนึ่งเกิดไปอ่านบทความวิจัยทางศาสนาที่บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยมีคำสอนแบบนี้ และในวันนั้นนี่คือความเชื่อเดียวที่ค้ำจุนจิตใจเพื่อนของครู pain point อันเดิมก็คงกลับมาอีกใช่ไหมคะ 

ที่ผ่านมาเราเห็นแล้วว่าถ้าเราคิดโดยใช้ปรัชญา เราจะมองคนอื่นเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่คิดได้ ในโลกที่ไม่มีปรัชญา เพื่อนครูอาจจะหันไปหาไลฟ์โค้ช (ซึ่งคำนี้ก็เป็นมโนทัศน์ด้านการตลาดพอ ๆ กับ pain point) ที่นำประสบการณ์ส่วนตัวมาแชร์ ซึ่งคล้ายกับที่เพื่อนครูมี เพื่อนครูจึงเชื่อข้อคิดที่ไลฟ์โค้ชตกผลึกแล้วมาแนะนำ ถ้าพูดด้วยภาษาการใช้เหตุผลก็คือนำข้อสรุปส่วนบุคคลของไลฟ์โค้ชมาเป็นข้อสรุปสำหรับตัวเอง เพื่อนครูอาจจะรู้สึกว่า เขายังคิดเอง ยังไตร่ตรองด้วยตนเองว่าจะเชื่ออันไหนหรือไม่เชื่ออันไหน ซึ่งครูมีความเห็นสองข้อสำหรับคำตอบแบบนี้ 

อย่างแรกคือ ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง แสดงว่าไลฟ์โค้ชจริงๆ อาจไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ เรานั่งเปิดใจคุยกับ ChatGPT อาจจะได้ประโยชน์พอกันหรือมากกว่า อีกข้อหนึ่งคือ ทัศนคติที่เราไปคิดว่าเขาพูดดีมาก พูดจริงมาก พูดถูกมาก เราได้ตรวจสอบที่มาที่ไปของสิ่งที่เขาลงข้อสรุปแล้วหรือว่าเป็นแบบนั้นจริงไหม หรือต่อให้พูดจริงก็กลับไปที่ข้อแรกว่า ข้อคิดจากประสบการณ์ของเขาทำไมจึงคิดว่ามันใช้กับเราได้มากกว่าถ้าเรานั่งลงแล้วคิดเอง

ทีนี้ สมมติว่าในโลกมีปรัชญา แต่เราเข้าหาปรัชญาโดยไม่ใช้เหตุผล คือ เลือกชอบอันที่ตรงกับจริตของเรา และรับวิธีตั้งปัญหาของเขามาใช้ แล้วบอกว่านี่แหล่ะปัญหาของฉันและของโลกใบนี้ ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการเข้าหาไลฟ์โค้ชที่พูดสิ่งที่เราอยากฟัง คนสองคนที่เผชิญกับความรักที่ไม่สมหวัง อาจไม่ได้กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน คนแรกอาจความรักสมหวังแต่มีอุปสรรคเพราะพ่อแม่อีกฝ่ายไม่ชอบ คนที่สองไม่สมหวังเพราะตัวเองมีแฟนแล้วแต่ถูกหลอกโดยคนที่สามและจะโวยก็ไม่ได้เพราะตัวเองก็มีแฟนแล้ว คนที่สองนี้ก็อกหักคนละแบบกับคนที่สามที่คบเผื่อเลือกและวันหนึ่งคนที่ตัวเองชอบที่สุดทิ้งไปทั้งที่กำลังจะไปขอแต่งงาน การที่เราอ่านงานปรัชญาในลักษณะที่ว่าเขาเขียนทัชใจเรา หรือเขามองโลกตรงกับเราว่าความรักเป็นทุกข์ ต้องมีความรักแบบนั้นแบบนี้ถึงจะไม่เป็นทุกข์ ยังไม่ทำให้พูดได้ว่าปรัชญาทำให้เราค้นพบตัวเองในระดับที่ลึกลงไป เราแค่ค้นพบคนที่เหมือนกับเราในบางแง่ ซึ่งอาจเป็นแง่ที่ผิวเผินก็ได้ การรับเอาปรัชญานั้นมาเป็นของเราเลยโดยไม่ตรวจสอบก่อนว่ามีเหตุผลสนับสนุนที่ดีจริงไหม ไม่สามารถทำให้เราค้นพบตัวตนจริงแท้ (authentic) ของเราได้ 

Jean-Jacques Rousseau เขียนไว้ในนิยายเรื่อง Emile ที่มีอิทธิพลมากต่อปรัชญาการศึกษาว่า ผู้สอนจะต้องไม่สอนให้ผู้เรียนรู้จักกับมโนทัศน์ทางทฤษฎีใดทั้งสิ้นก่อนที่เขาจะประสบกับสิ่งที่มโนทัศน์นั้นชี้ถึงในประสบการณ์จริงก่อน รุสโซเชื่อว่าการสอนให้คนๆ หนึ่งเติบโตมาเป็นคนที่สามารถคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองโดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลจากสิ่งภายนอกเลยมีแค่วิธีนี้วิธีเดียว 

สุดท้าย สมมติว่าในโลกนี้มีปรัชญาและเป็นปรัชญาแบบโสเครติคคือมีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผล และใช้เหตุผลขับเคลื่อนบทสนทนา ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์จริงกับทุกเรื่องก่อน การใช้เหตุผลจะทำให้คนทุกคนเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเชื่อเหมือนเป็นสิ่งใหม่ในชีวิตได้ สิ่งนี้เป็นกับเป้าหมายของชีวิตด้วย นักปรัชญา John Rawls บอกว่าเราต้องคิดถึงมนุษย์ทุกคนว่ามีอำนาจในการกำหนดก่อรูป แสวงหาและปรับเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตที่ดีของตัวเอง ปรัชญาจึงช่วยให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับเป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของตัวเองได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตอย่างใกล้เคียงกับที่ตัวตนจริงแท้ของเราจะเลือกมากที่สุด และการที่ Rawls ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยน มันก็บอกในตัวเองอยู่แล้วว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็น pain point ของเราในวันนี้ วันหนึ่งในอนาคตเราอาจจะเปลี่ยนความคิดความเชื่อเรื่องนี้ก็ได้ 

แล้วที่ว่าปรัชญาเป็นทักษะที่จำเป็น ปรัชญาเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างไรในโลกยุคปัจจุบัน

คำว่าจำเป็นคือไม่มีไม่ได้ ครูคิดว่าปรัชญาจำเป็นเพราะมีบางอย่างที่ไม่มีกิจกรรมทางปัญญาอื่นใดที่ทำแบบที่ปรัชญาทำ  

ในหลักสูตรปริญญาตรีของคณะอักษรศาสตร์ ก่อนที่นิสิตจะแยกย้ายกันไปเรียนในสาขาเอก ทุกคนต้องเรียนวิชาการใช้เหตุผล สำหรับนิสิตที่เลือกเรียนเอกในสาขาปรัชญา จะถือว่ามีพื้นฐานมาแล้ว เมื่อเข้าไปเรียนวิชาเอกของภาค ก็สามารถศึกษาทำความเข้าใจประเด็นทางปรัชญาได้ สามารถสร้างข้อโต้แย้ง สร้างการอ้างเหตุผลเพื่อไปสู่ข้อสรุปที่เป็นความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น หรือความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุนมากขึ้นได้ ทักษะเหล่านี้ศาสตร์ที่เรียนเนื้อหาเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างเดียวให้ไม่ได้ และศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ในเชิงประจักษ์อย่างเดียวก็ให้ไม่ได้ หรือศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณมนุษย์อย่างเดียวก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันต้องใช้ทุกด้านนี้พร้อมกันหมด ดังนั้น จึงต้องอาศัยสาขาที่ข้ามศาสตร์อย่างปรัชญา ปรัชญาผสมผสานสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันเพราะโจทย์ของปรัชญาค่อนข้างครอบคลุมกว้างขวาง และ on top of that คือการคิดเชิงมโนทัศน์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ แบบที่พูดมาแล้ว 

ทักษะทางปรัชญาทำให้พูดคุยกับคนได้กว้างขวาง สื่อสารกับคนต่างชาติต่างภาษาได้ เพราะการใช้เหตุผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม แม้ว่าจะต้องมีความอ่อนไหวต่อวัฒนธรรมด้วยในการเลือกรูปแบบของการสื่อสาร ไม่ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรมตะวันออกหรือตะวันตก เวลาต้องใช้เหตุผลเพื่ออธิบายหรือโต้แย้งอะไรสักอย่าง โครงสร้างการคิดมันจะคล้ายๆ กัน การโน้มน้าวชักจูงกันข้ามภาษาและวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นได้ 

ที่พูดมานี้ก็เพื่อจะเชื่อมโยงเข้ากับเทรนด์ของเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในปัจจุบัน คือปัญญาประดิษฐ์ชนิดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ อย่าง ChatGPT ครูเคยทำงานวิจัยชิ้นเล็กๆ เกี่ยวกับ ChatGPT และพบว่าเวลาสอบถามข้อมูลจาก ChatGPT การที่เราเรียนวิชาการใช้เหตุผลมามันช่วยในการลำดับความคิด และทำให้สื่อสารกับ ChatGPT ได้ค่อนข้างมีประสิทธิผล ร่วมมือกันหาคำตอบสำหรับปัญหาทางเทคนิคที่ค่อนข้างยากได้

นักวิจัยสงสัยว่าตอนนี้ ChatGPT ใช้เหตุผลได้เหมือนมนุษย์หรือยังจึงทำการทดลองโดยเปรียบเทียบกันระหว่างให้ GPT-4 และ Claude ทำภารกิจทั่วๆ ไปที่ถูกฝึกมาให้ทำได้ดี เช่น เล่นหมากรุก ประเมินการเขียนโปรแกรม กับให้ทำภารกิจที่สมมติรายละเอียดบางอย่างให้ต่างไปจากสิ่งที่ถูกฝึกมา (เรียกว่าเป็น counterfactual scenarios) เช่น บวกเลขฐานแปลกๆ หรือเล่นหมากรุกที่วางหมากไว้ผิดตำแหน่งบนกระดาน และพบว่าเมื่อปรับเล็กปรับน้อยเช่นนี้แล้ว โมเดลจะทำผลงานได้ไม่ดีเท่ากับเมื่อทำภารกิจที่ถูกฝึกมาให้ทำได้ดี นักวิจัยจึงสรุปว่าตอนนี้โมเดลเหล่านี้ยังใช้เหตุผลแบบปรับได้กับสถานการณ์ที่แตกต่างหลากหลายได้ดีไม่เท่ามนุษย์ แต่ก็ยังวางใจมากไม่ได้ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์พัฒนารวดเร็วแบบก้าวกระโดด เริ่มมีการพูดถึงการใช้เหตุผลในเชิงคุณภาพแล้ว จึงต้องรอดูต่อไป

ส่วนนิสิตปรัชญานั้นตั้งแต่ขึ้นปีสองก็จะถูกฝึกให้ใช้เหตุผลแบบสมมตินี้ซึ่งมีสถานการณ์ทุกรูปแบบทั้งในโลกนี้และนอกโลก ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ไปถึงตอนตายแล้ว ตั้งแต่ในฐานะมนุษย์ต่างดาวไปจนถึงมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ไปจนถึงสัตว์ สิ่งของ ฯลฯ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการสร้างข้อโต้แย้งสำหรับการอ้างเหตุผล และเป็นส่วนสำคัญมากของการสร้างมโนทัศน์ (conceptualization) ทางปรัชญาซึ่งเป็นโจทย์ทางปรัชญาที่ใหญ่ที่สุด การฝึกนี้ทำให้นักศึกษาไม่ใช่แค่มองเห็นและจำแบบแผนได้ แต่สามารถเข้าใจโครงสร้างในระดับที่ลึกลงไปกว่านั้นได้ ที่จะนำไปสู่การคิดใหม่แบบที่พูดไป นักปรัชญาที่เป็นตำนานคือคนที่มโนทัศน์ที่เขาสร้างขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ ไม่เพียงกระตุ้นความคิดแต่ยังทนทานต่อข้อโต้แย้งและข้อวิจารณ์ต่างๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทำให้คุ้มค่าเสมอที่จะกลับไปอ่าน

สมมติว่าสังคมไทยอยากจะเริ่มต้นปลูกฝังให้เด็กมีทักษะการคิดการตั้งคำถามแบบปรัชญาควรเริ่มต้นอย่างไร? 

เริ่มต้นที่ครู โดยเฉพาะครูสอนวิชาพื้นฐานอย่างวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และประวัติวรรณคดี เด็กๆ นั้นเป็นนักตั้งคำถามอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ที่สำคัญคือเมื่อถามแล้วครูที่สอนสามารถตอบคำถามให้พวกเขาพอใจได้หรือเปล่า วิชาที่พูดมานี้มีองค์ประกอบเหมาะสมมากสำหรับกระตุ้นให้มีการคุยทางปรัชญาซึ่งจะกลับมาเสริมเนื้อหาที่เรียนโดยเอื้อให้นักเรียนสามารถเข้าใจโครงสร้างความเป็นจริงและมโนทัศน์ที่เรียนได้ดีขึ้น 

เพื่อนของครูคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งมีคุณครูวิชาวิทยาศาสตร์ที่มาเรียนต่อปริญญาโทกับเขาเล่าถึงประสบการณ์ว่า ทุกเทอมคุณครูคนนี้ต้องสอนให้เด็กทำการทดลองเรื่องความเป็นกรดด่างโดยใช้กระดาษลิตมัส และแทบทุกเทอมเขาจะเจอเด็กถามคำถามเดียวกันเสมอว่า เราจะทำการทดลองไปทำไมในเมื่อทำออกมากี่ครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม คุณครูไม่รู้จะตอบคำถามยังไงจึงตอบโดยอ้างหลักสูตรแทนว่าหลักสูตรกำหนดให้ต้องทำเพื่อให้เห็นด้วยตัวเอง และที่ผ่านมาก็ทำมาทุกปี ซึ่งเด็กก็ไม่พอใจ คุณครูเองก็ไม่พอใจคำตอบของตัวเอง 

ถ้านำปรัชญาเข้าไปสู่ชั้นเรียนมากขึ้น เราก็อาจจะได้ฟังคำตอบที่ต่างออกไป คำตอบที่เป็นไปได้อันหนึ่งก็มาจากการคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ชื่อคาร์ล ปอปเปอร์ (Karl Popper) ว่า เราทำเพื่อทดสอบว่าเป็นไปได้ไหมที่ถ้าปรับเงื่อนไขสักเล็กน้อย เช่น ปีนขึ้นไปทดลองบนยอดเขาหรือเปลี่ยนอุณหภูมิห้องแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนเดิม ฯลฯ ถึงตอนนั้นเราอาจจะเห็นเด็กนักเรียนแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมามากมายเพราะพวกเขาเห็นช่องทางการแสดงออกแล้วว่าคืออะไร

กับวิชาอื่นที่พูดมาก็เป็นแบบเดียวกัน วิชาเหล่านี้มีเนื้อหาที่ดีอยู่แล้ว แต่ปรัชญาจะช่วยให้เนื้อหาเหล่านี้กลายมามีชีวิตชีวามากขึ้นได้สำหรับผู้เรียน และทำให้เราได้ผู้เรียนที่เป็นนักคิดที่มีชีวิตชีวาและกล้าแสดงออก

สุดท้ายอยากให้อาจารย์สรุปความสำคัญของปรัชญาที่สามารถนำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตค่ะ

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ที่เราต้องเผชิญกับข้อมูลมหาศาลทุกวัน และอาจจะเกินครึ่งในนั้นคือข้อมูลเท็จทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา และท่ามกลางสิ่งเย้ายวนมหาศาลซึ่งอาจจะเกินครึ่งในนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะรู้สึกดึงดูดด้วยเลย ถ้าเข้าใจตัวเองดีว่าเราต้องการอะไร ทักษะที่ทำให้เราทำเช่นนี้ได้เป็นประโยชน์ แต่นอกจากนั้นก็ยังจำเป็นด้วยสำหรับโลกยุคปัจจุบัน

Tags:

ปรัชญาการใช้ชีวิตการเรียนPhilosophy

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • How to enjoy life
    เมื่อคำว่า ‘แพ้’ รุนแรงต่อชีวิต ความพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และผู้แพ้ไม่ควรถูกละเลย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Education trend
    ทำอย่างไรให้ห้องเรียนน่าเบื่อน้อยลง?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ห้องสมุดแห่งบาเบล : ภาพลวงตาของความหมาย

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

Brain Rot: ‘มีมตลก&คอนเทนต์โง่ๆ’ การเสพติดความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์ที่เป็นภัยต่อสมองเด็ก
Adolescent Brain
16 December 2024

Brain Rot: ‘มีมตลก&คอนเทนต์โง่ๆ’ การเสพติดความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์ที่เป็นภัยต่อสมองเด็ก

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Brain Rot’ หรือ ภาวะ ‘สมองเน่า’ เป็นภาวะเสื่อมถอยทางสติปัญญาจากการดูคอนเทนต์คุณภาพต่ำบนโลกออนไลน์ เพราะไม่ได้ส่งเสริมกระบวนคิด การใช้เหตุผล หรือสร้างประโยชน์อื่นใดให้กับผู้ดู แม้จะช่วยผ่อนคลายได้ชั่วคราว แต่ในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดอาการเสพติด
  • การใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์แบบยืดเยื้อยังทำให้เด็กรับรู้ข้อมูลที่มากเกินไปสำหรับวัยของตัวเอง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้
  • วิธีแก้ไขคือ ‘ลดการใช้หน้าจอ’ โดย Eli Harwood ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก แนะนำว่าควรให้ลูกมีสมาร์ตโฟนเป็นของตัวเองช้าที่สุด หรือจนกว่าจะอายุ 16 ปี เพราะการเติบโตส่วนใหญ่ของเด็กเกิดขึ้นในโลกจริง ไม่ใช่โลกออนไลน์

โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคอนเทนต์จำนวนมากที่สร้างจากผู้ใช้ คอนเทนต์เหล่านี้มีทั้งที่มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง แต่บ่อยครั้งเราก็มักพบกับคอนเทนต์คุณภาพต่ำที่หาสาระไม่ได้เสียมากกว่า การดูคอนเทนต์ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความเสื่อมถอยทางความคิดหรือสติปัญญา เนื่องจากคอนเทนต์เหล่านี้ไม่ได้เพิ่มพูนความรู้ หรือส่งเสริมกระบวนคิด การใช้เหตุผล หรือสร้างประโยชน์อื่นใดให้กับผู้ดู แม้ว่ามันจะช่วยผ่อนคลายได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดอาการเสพติดได้ 

ภาวะเสื่อมถอยทางสติปัญญาจากการดูคอนเทนต์คุณภาพต่ำเหล่านี้เรียกว่า ‘Brain Rot’ หรือ ‘สมองเน่า’ ซึ่งเป็นสแลงบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้อย่างแพร่หลายจนพจนานุกรม Oxford ยกให้เป็นคำประจำปี 2024

‘Brain Rot’ หรือ ภาวะ ‘สมองเน่า’ คืออะไร?

Oxford ได้ให้ความหมายของ ‘Brain Rot’ ว่าเป็น “การเสื่อมถอยของสภาพจิตใจหรือสติปัญญาของบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคเนื้อหา (โดยเฉพาะเนื้อหาออนไลน์ในปัจจุบัน) ที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่ประเทืองปัญญามากเกินไป อีกทั้งยังหมายถึงสิ่งที่มีแนวโน้มจะนำไปสู่การเสื่อมถอยนี้ด้วย”

คำว่า Brain Rot ปรากฏการใช้ครั้งแรกในปี 1854 แต่เริ่มนำมาใช้เป็นสแลงบนอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โดยใช้ในเชิงตลกขบขันอธิบายถึงคนที่ดูเหมือนมีภาวะเสื่อมถอยทางสติปัญญา (เช่น ใช้คำศัพท์แปลกๆ หรือทำท่าทางประหลาดๆ) จากการเสพคอนเทนต์คุณภาพต่ำมากเกินไป ไปจนถึงใช้อธิบายคอนเทนต์คุณภาพต่ำเหล่านั้นว่า Brain Rot ได้เช่นกัน

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ชาวเน็ตส่วนใหญ่เรียกว่า Brain Rot คือ ‘Skibidi Toilet’ เป็นภาพที่มีตัวละครหน้าตาพิลึกโผล่หัวออกมาจากโถส้วม ซึ่งหาสาระใดๆ ไม่ได้นอกจากความประหลาด

เมื่อคอนเทนต์ตลกๆ บนอินเทอร์เน็ตเริ่มตลกไม่ออก

ในปัจจุบันคำว่า Brain Rot ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดบนโซเชียลมีเดีย โดย Oxford รายงานว่ามีการใช้คำว่า Brain Rot เพิ่มขึ้นถึง 230% ระหว่างปี 2023 ถึงปี 2024 อีกทั้งคำนี้ยังเป็นกระแสในหมู่ Gen Z และ Gen Alpha หรือแม้กระทั่งสื่อกระแสหลักอย่าง The New York Times ก็ให้ความสนใจในคำนี้เช่นกัน

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของคำว่า Brain Rot นี้เองทำให้หลายคนอดกังวลไม่ได้ว่าคอนเทนต์คุณภาพต่ำบนโลกออนไลน์มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น และเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของการเสพคอนเทนต์เหล่านี้ที่มากเกินไป 

จากการสัมภาษณ์เด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งโดย Dr. Christian Jarrett นักประสาทวิทยาศาสตร์การรู้คิด พบว่า มีเด็กวัยรุ่นที่ใช้การดูคอนเทนต์ Brain Rot เพื่อการผ่อนคลาย เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ต้องคิดเยอะและเน้นความตลก หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็น ‘คอนเทนต์โง่ๆ’ (Dumb Content) อย่างหนึ่ง

Dr. Jarrett เห็นว่าวัยรุ่นมีเรื่องเครียดอยู่หลายอย่าง เช่น เกรด การสอบ การเข้ามหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งข่าวเครียดๆ ในโซเชียลมีเดียที่ได้แต่รับรู้แต่ทำอะไรกับมันไม่ได้ เช่น ภาวะโลกร้อน สงคราม ภัยพิบัติ จึงวิเคราะห์ว่า คอนเทนต์ Brain Rot เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการคลายเครียด เป็นเหมือนการปิดสวิตช์สมองไปสักพักหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การใช้คอนเทนต์ Brain Rot เป็นเครื่องมือในการคลายเครียดที่มากเกินไปก็อาจนำไปสู่การเสพติดหน้าจอได้ โดยจากข่าว Brain Rot ใน The New York Times เองเผยให้เห็นว่า แม้แต่เด็กที่เรียนเก่งจนถึงขั้นสอบติดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็มีปัญหาด้านการควบคุมเวลาในการใช้หน้าจอ เช่น ผัดวันประกันพรุ่งในการทำการบ้านหรือเข้านอนดึก เพราะมัวแต่เลื่อน TikTok

สมองของคนที่เสพติดหน้าจอมีความคล้ายคลึงกับสมองของคนที่ติดยาเสพติด โดยทั้ง 2 สิ่งนี้ล้วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดปามีน ทำให้ผู้ใช้เกิดความสุขและอยากทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ผู้ใช้จะเกิดความชินชาต่อโดปามีน ทำไมต้องใช้ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้มีความสุขเหมือนในตอนแรก

การใช้หน้าจอจนถึงขั้นเสพติดคือการที่เราสามารถไถหน้าจอไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วจนละเลยโลกความจริง อีกทั้งยังมีอาการปวดตา ปวดหัว หรือมีท่าทางที่แย่จากการนั่งอยู่ท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน

วิธีแก้ไขคือ ‘ลดการใช้หน้าจอ’ ยิ่งลดการเข้าถึงหน้าจอ ยิ่งลดการใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์แบบยืดเยื้อ (Chronically Online) ได้มากขึ้น โดย Eli Harwood ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก แนะนำว่าควรให้ลูกมีสมาร์ตโฟนเป็นของตัวเองช้าที่สุด หรือจนกว่าจะอายุ 16 ปี เพราะการเติบโตส่วนใหญ่ของเด็กเกิดขึ้นในโลกจริง ไม่ใช่โลกออนไลน์

Harwood กล่าวว่าจุดประสงค์ของชีวิตวัยรุ่นคือการเรียนรู้สมรรถนะทางอารมณ์และสังคมผ่านการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน ซึ่งต้องใช้การมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว หน้าจอไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์เหล่านี้ได้ อีกทั้งการใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์แบบยืดเยื้อยังทำให้เด็กรับรู้ข้อมูลที่มากเกินไปสำหรับวัยของตัวเอง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้

การกำหนดเวลาและขอบเขตในการใช้โทรศัพท์ก็สำคัญ โดยกุมารแพทย์ Dr. Joel Warsh แนะนำให้พ่อแม่กำหนดเวลาการใช้หน้าจออย่างชัดเจนโดยไม่รบกวนกิจกรรมอื่นๆ เช่น โรงเรียน การบ้าน หรือการนอน อีกทั้งยังควรกำหนดเวลาปลอดหน้าจอ เช่น เวลากินข้าว เพื่อจะได้ใช้เวลาเหล่านี้พูดคุยกับลูกๆ นำไปสู่การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวได้

นอกจากนี้ นักจิตวิทยาด้านสุขภาพ Dr. Julia Kogan กล่าวว่า การใช้เวลาบนโลกออนไลน์เพื่อหันเหความสนใจออกจากความเครียด ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะการหันเหความสนใจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาต่างๆ ยังคงอยู่ เพียงแต่เราเลือกที่จะไม่สนใจ ทำให้อาการทางจิตใจต่างๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป

นพ.​ธนีย์ ธนียวัน หรือ ดร.แทนนี่ กล่าวว่า เมื่อเราเครียด เรามักขวนขวายหาสิ่งที่ทำให้สาร ‘โดปามีน’ หลั่ง เช่น การกินของอร่อย การชอปปิง ฯลฯ แต่โดปามีนเป็นสารที่ให้ความสุขแบบชั่วคราวผ่านสิ่งของภายนอก เมื่อเวลาผ่านไปความสุขนั้นก็จะหายไป เราจึงหวนกลับไปหาสิ่งที่ทำให้สารโดปามีนหลั่งอีก กลายเป็นวงจร ‘การเสพติด’ (Addiction)

ส่วนสารที่ให้ความสุขในระยะยาวคือ ‘เซโรโทนิน’ ดร.แทนนี่เปรียบเซโรโทนินว่าเป็นเหมือน ‘ความสุขทางใจ’ ไม่สามารถกระตุ้นให้หลั่งได้โดยใช้สิ่งของภายนอก สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเครียดน้อยลงคือ วิธีคิดและการมองโลก การเปลี่ยนแปลงความคิดหรือการมองโลกในแง่บวกมากขึ้นทำให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินออกมากเอง ทำให้เราเครียดน้อยลง

ดร.แทนนี่เสริมอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สาร ‘เซโรโทนิน’ หลั่งคือการทำเพื่อคนอื่น เป็นความสุขที่เกิดจากการให้ ถ้ากล่าวในทางปรัชญาก็คือ 

การหาความสุขเข้าหาตัวเองจะเป็นความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ยิ่งขวนขวายยิ่งไม่ได้อะไร แต่การมอบความสุขให้กับคนอื่นทำให้รู้สึกอิ่มเอิบใจ เป็นความสุขระยะยาวที่ไม่ต้องขวนขวายให้ยากเย็น

การหันเหความสนใจออกจากความเครียดด้วยการแสวงหาสิ่งที่ทำให้ ‘โดปามีน’ หลั่ง เช่น การใช้หน้าจอ เป็นเพียงวิธีการชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อความสุขหายไปเราก็กลับมาเครียดอีก วิธีการที่ยั่งยืนคือการทำให้ ‘เซโรโทนิน’ หลั่งผ่านการเปลี่ยนแปลงความคิดและการมองโลก รวมถึงการทำเพื่อคนอื่นด้วยเช่นกัน

อ้างอิง

ธนีย์ ธนียวัน. (2023). Dopamine vs Serotonin — การเสพติด vs ความสุข.

Christian Jarrett. (2024). Why teenagers are deliberately seeking brain rot on TikTok.

Jessica Roy. (2024). If You Know What ‘Brainrot’ Means, You Might Already Have It.

Katharine Chan, & Sabrina Romanoff. (2024). Is Social Media Giving You Brainrot?

Mateus Lima. (2024). What’s The ‘Brain Rot’ Meme About? The Internet Slang Term For The ‘Chronically Online’ And Its Memes Explained.

Oxford University Press. (2024). ‘Brain rot’ named Oxford Word of the Year 2024.

Tags:

สุขภาพจิตความเครียดสมองวัยรุ่นBrain Rotการเสพติดหน้าจอ

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dr.Yongyud-1
    How to enjoy life
    จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Healing the trauma
    Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ต่อกล้าอาชีวะ #12 ‘Young Smart IoT Technician’ พัฒนาทักษะรอบด้านผ่านโจทย์จริงจากการทำงาน
Social Issues
16 December 2024

ต่อกล้าอาชีวะ #12 ‘Young Smart IoT Technician’ พัฒนาทักษะรอบด้านผ่านโจทย์จริงจากการทำงาน

เรื่อง The Potential

  • เทรนด์ความต้องการของประเทศไทยหรือตลาดโลก ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า ‘เด็กอาชีวะคืออนาคตของประเทศ’ เพราะเป็นกําลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม จึงต้องให้ความสำคัญและเสริมศักยภาพเด็กกลุ่มนี้ 
  • โครงการต่อกล้าอาชีวะ ปีที่ 12 เน้นการพัฒนา ‘Young Smart IoT Technician’ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IoT) ผ่านการทำโครงงานที่ได้รับโจทย์จากสถานประกอบการ พัฒนา Hard Skill และ Soft Skill ไปพร้อมๆ กัน
  • อีกสิ่งที่สำคัญคือ การพัฒนาอาจารย์ให้มีทักษะของการเป็นโค้ช หรือ Technician Coaching Teacher เพื่อนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปบูรณาการและพัฒนาการเรียนการสอนในสถาบัน ขยายผลการสร้างศักยภาพนักเรียนและนักศึกษาให้พร้อมสู่การทำงานจริง

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและตลาดแรงงานผันผวน การเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการเผชิญความท้าทายในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

‘โครงการต่อกล้าอาชีวะ’ โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพเยาวชนสายอาชีวศึกษาให้มีทักษะพร้อมสู่การทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม 

ในปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 12 มาในธีมการพัฒนา ‘Young Smart IoT Technician’ มุ่งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IIoT) ผ่านการทำโครงงานที่ได้รับโจทย์จากสถานประกอบการ นับเป็นการบูรณาการความรู้จากห้องเรียนสู่การประยุกต์ใช้จริงในระหว่างการฝึกอาชีพ 

ก้าวทันยุคดิจิทัล ปั้นอาชีวะสู่นวัตกรพร้อมใช้ 

อรุณพร ธนโพธิวิรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรวิจัยและพัฒนาองค์กร เนคเทค สวทช. กล่าวว่า ปีนี้มีเป้าประสงค์ของโครงการฯ 4 เรื่องด้วยกัน อันดับแรก คือ มุ่งหวังพัฒนานักศึกษาและอาจารย์ในสังกัดอาชีวศึกษาให้มีทักษะด้านเทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IIoT) ซึ่งเป็นทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สองคือการพัฒนาทักษะ ‘Soft Skills’ ทั้งลักษณะอุปนิสัยและความสามารถเชิงสมรรถนะ เช่น การคิดวิเคราะห์ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม ซึ่งทักษะเหล่านี้มีความสำคัญกับการทำงานในยุคปัจจุบันอย่างมาก 

“ประเด็นที่สาม คือ ปีนี้เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ให้มีทักษะของการเป็นโค้ช หรือ Technician Coaching Teacher เพื่อนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปบูรณาการและพัฒนาการเรียนการสอนในสถาบัน ขยายผลการสร้างศักยภาพนักเรียนและนักศึกษาให้พร้อมสู่การทำงานจริง นอกจากนี้ยังคาดหวังให้สถาบันอาชีวศึกษามีการผลักดันสู่นโยบาย หรือมีการจัดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน IoT และ IIoT ในวิทยาลัย และสุดท้ายเรื่องที่สี่ คือ การเชื่อมโยงการทำงานระหว่างสถานประกอบการกับวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการพัฒนากำลังคนที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล”

โครงการต่อกล้าอาชีวะ ปีที่ 12 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 มีอาจารย์และน้องๆ อาชีวะสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 36 ทีม จากสถาบันอาชีวศึกษา 25 สถาบัน ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ จากนั้นมีการจัดอบรมทักษะพื้นฐานการเขียนโปรแกรมในรูปโค้ด (Coding) และเทคโนโลยี IoT เบื้องต้น ขณะเดียวกันได้เชิญฝั่งสถานประกอบการเครือข่ายเข้ามาร่วมให้โจทย์ปัญหาหรือหัวข้อความสนใจที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของโครงการ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการเลือกจับคู่กับสถานประกอบการที่สนใจและพัฒนาเป็นโครงงาน 

นิตยา บำรุงราษฎร์ ผู้จัดการงาน พัฒนากำลังคนด้านอิเล็กทรอนิกส์และ สารสนเทศ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า โจทย์ในปีนี้เน้นการนำเทคโนโลยีด้าน IoT เข้าไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งทำได้หลากหลาย ได้แก่ Productivity, OEE, Production line monitoring, Warehouse management เป็นต้น ซึ่งผู้สมัครจะเลือกจับคู่กับผู้ประกอบการที่มีความสนใจร่วมกันในการพัฒนาโครงงาน จากนั้นคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกโครงงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ซึ่งมีทั้งหมด 19 ทีม จาก 12 สถาบัน ใน 10 จังหวัด ซึ่งทุกทีมจะได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาผลงาน จำนวน 30,000 บาท และชุดอุปกรณ์สื่อการสอน Rasbery Pie จำนวน 2 ชุด ให้แก่อาจารย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในการเรียนการสอนวิทยาลัย

“สิ่งที่เราทำในโครงการ คือ กระบวนการสาธิตให้อาจารย์เห็นว่าการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติจริง มีผลต่อพัฒนาการของเด็กๆ อย่างชัดเจน ผลงานของน้องหลายๆ ทีม ค่อนข้างเป็นที่พอใจของสถานประกอบการ บางสถานประกอบการขอรับเด็กไว้ทำงานเลย เพราะอยากให้ต่อยอดพัฒนาผลงานเพื่อใช้จริง บางสถานประกอบการคุยกับอาจารย์เลยว่าจากนี้ไปจะรับนักศึกษาฝึกงานทุกปี ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและมีความสำเร็จระดับหนึ่งในการพัฒนากำลังคนและส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน วทน. ไปสู่การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ อีกมุมหนึ่งที่ทีมงานคาดหวังคือการผลักดันขยายผลให้เกิดการเรียนการสอน IoT และ IIoT ในวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับการศึกษาของไทย พัฒนาเด็กไทยให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี และตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมได้จริงๆ”

ทีม TK24-17: พัฒนาระบบ Data Transmission ในไลน์การผลิตเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี IoT

สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลของโตโยต้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีความสนใจในเรื่องของการใช้เทคโนโลยี IoT ในการติดตามการทำงานของเครื่องจักร เนื่องจากที่ผ่านมายังมีปัญหาการสูญหายของข้อมูล

อธิพัทชร์ ภูรีเรืองโรจน์ ตัวแทนทีม TK24-17 วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เล่าว่า ในการติดตามการทำงานของเครื่องจักรจะมีการส่งข้อมูลซ้ำๆ จำนวนมากจัดเก็บไว้ที่ Data Based ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาพัฒนาระบบ OEE เป็นระบบติดตามประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร ซึ่งถ้าข้อมูลหายไปจะส่งผลต่อการวิเคราะห์เครื่องจักร โจทย์ปัญหาที่นำมาสู่การทำโครงงานพัฒนา ระบบ Data Transmission ในไลน์การผลิตเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี IoT เพื่อเป็นระบบรับข้อมูล ช่วยลดปัญหาการซ้ำของข้อมูลและการสูญหาย

“การได้ออกจากห้องเรียนมาฝึกทำโครงงานในสถานประกอบการช่วยให้มีทักษะความรู้เกี่ยวกับโรงงานเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เห็นสภาพปัญหาจริงในการทำงาน เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน และยังช่วยฝึกทักษะด้าน Soft Skill ทำให้เราบริหารจัดการทีมได้ รู้จักวางแผนและกําหนดเวลาทำงาน 

ทุกวันนี้การเรียนในห้องเรียนไม่เพียงพอแล้วครับ การได้ออกมาสัมผัสโลกกว้างแบบนี้จะช่วยให้เราได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นและมีความพร้อมต่อการทำงานในอนาคต”

ทีม TK24-18: Smart Water Meter ระบบอ่านค่ามิเตอร์น้ำ

บริษัทอีสเทิร์นไทยคอนซัลติ้ง 1992 จํากัด เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม บริการห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ออกแบบ ควบคุม ดูแลระบบผลิตน้ำประปา และระบบบำบัดน้ำเสีย ในนิมอุตสาหกรรม ซึ่งในภารกิจงานส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ คือการจดตัวเลขมิเตอร์น้ำตามจุดต่างๆ และบันทึกในระบบฐานข้อมูล แต่มิเตอร์น้ำที่ต้องตรวจสอบมีมากถึง 140 เครื่อง ต้องใช้คนทำงาน 3 คน และใช้เวลามากถึง 3 วัน ในการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมด เป็นข้อจำกัดในการทำงานที่นำมาสู่โครงงาน Smart Water Meter

พิพัฒน์ ธีรภัทรไพศาล ตัวแทนทีม TK24-18 วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เล่าว่า จุดประสงค์ของเราคือการพัฒนาระบบอ่านมิเตอร์น้ำ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมิเตอร์น้ำที่อยู่ในโรงงานให้เป็นระบบดิจิทัล เนื่องจากมีราคาสูงถึง 30,000-40,000 บาทต่อเครื่อง ขณะที่ต้นทุนของระบบ Smart Water Meter อยู่ที่ 2,000-3,000 บาท สามารถอ่านค่ามิเตอร์ได้อย่างแม่นยําด้วย AI ที่พัฒนาโดยเฉพาะ อีกทั้งระบบยังบันทึกข้อมูลลงฐานข้อมูลได้อัตโนมัติ รวมทั้งเรายังพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้งานดูค่าต่างๆ ของมิเตอร์น้ำได้ทันที

“การได้ฝึกงานในโรงงานต่างจากการเรียนในห้องเรียนมาก เพราะได้เรียนรู้แบบเข้มข้นเลย ได้ความรู้ด้าน IoT และได้ลงมือทำจริง ซึ่งยากกว่า ถ้าทำผิดพลาดจะล่มทั้งระบบ ระหว่างทำงานได้พัฒนาทักษะด้าน Soft Skill ทั้งการแก้ปัญหาและการบริหารจัดการทีม แต่ก่อนทำงานไม่ได้แบ่งงานกัน แต่ตอนนี้มีการวางแผนแบ่งงานชัดเจน มีการกำหนดตารางการทำงาน ซึ่งช่วยให้ทำงานเป็นระบบและราบรื่นขึ้นมาก ที่สำคัญยังได้ทักษะการพูดและการสื่อสารด้วย แต่ก่อนพูดไม่ค่อยเป็น ให้เพื่อนคนอื่นพูดแทน แต่ปัจจุบันผมเป็นคนนําเพราะพูดเก่งขึ้น 

ถ้าเรามี Hard Skill ที่ดีแล้ว แต่ Soft Skill ยังไม่ดี ก็จะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่เราทำได้ยาก ฉะนั้นจำเป็นมากที่ต้องพัฒนาทักษะทั้งสองด้านควบคู่กัน”

TK24-28: GearMind คู่หูงานอุตสาหกรรมที่ล้ำหน้า  

จุดเริ่มต้นจาก บริษัท เวิร์ล เอนเนอร์จี กรุ๊ป จำกัด มีปัญหาไม่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเครื่องจักรมีปัญหา ต้องค้นหาข้อมูลจากกองเอกสาร ทำให้แก้ไขปัญหาได้ล่าช้า พัชรพล ศรีดา ตัวแทนทีม TK24-28 วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ เล่าว่า ทีมจึงพัฒนา GearMind เป็นแชทบอทที่ออกแบบมาเฉพาะด้านสำหรับจัดการองค์ความรู้ส่วนตัว 

สำหรับแนวคิดการทำงานของ GearMind คือ หากเครื่องจักรเกิด Error ข้อมูลจะถูกส่งไปวิเคราะห์ที่ GearMind เมื่อได้คำตอบแล้ว ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยัง LINE Notify ของช่างเทคนิคหรือวิศวกรที่ดูแลเพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด

“โครงการต่อกล้าอาชีวะช่วยพัฒนาทักษะหลายด้านมาก โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้าน IoT รวมถึงทักษะ Soft Skills ที่พวกผมไม่เคยรู้มาก่อน เช่น กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking ซึ่งช่วยให้เราทำงานเป็นระบบมากขึ้น จากเดิมที่ทำแบบมั่วซั่ว ตอนนี้เริ่มรู้จักวิเคราะห์หาปัญหาหรือจุดอ่อน รวมถึงการหาทางออกได้อย่างมีแบบแผนมากขึ้น 

ถ้าไม่ได้มาโครงการฯ นี้คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะพัฒนาขึ้นมาได้ เพราะองค์ความรู้บางอย่างต้องหาจากนอกห้องเรียน ซึ่งต่อกล้าอาชีวะมอบองค์ความรู้ดีๆ แบบนี้ให้เรา

TK24-36: ระบบตรวจับและวัดแรงดันก๊าซ แสดงผลด้วยระบบ IoT   

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) คือผู้ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจร ซึ่งให้โจทย์ความสนใจในเรื่อง การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพก๊าซในกระบวนการเคมี ลดการพึ่งพาการบันทึกข้อมูลด้วยมือ และทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบสถานะได้จากระยะไกล พร้อมทั้งได้รับการแจ้งเตือนแบบทันทีผ่านไลน์เมื่อเกิดความผิดปกติ

ธีรธร ทรัยพ์เจ้าพระยา ตัวแทนทีม TK24-36 วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี เล่าว่า เรามีความคิดว่าอยากนำเทคโนโลยี IoT เข้าไปช่วยในการตรวจจับและวัดแรงดันก๊าซ ซึ่งระบบเดิมยังต้องใช้เจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ แต่ระบบที่พัฒนาขึ้นจะสามารถตรวจวัดแรงดันก๊าซและแสดงผลข้อมูลบนหน้าจอได้เลยว่าแก๊สหมดหรือว่ายังมีอยู่ เป็นการนำ IoT เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานทั้งระบบ ลดการใช้แรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้น 

“โครงการต่อกล้าอาชีวะเป็นโครงการที่ดีมาก ให้ความรู้และทักษะหลายๆ อย่าง ได้ฝึกคิดงานจากโจทย์ปัญหาจริงของผู้ประกอบการ ได้ทักษะทำงานเป็นทีม ทั้งเรื่องการวางแผน สื่อสาร และการทำงานร่วมกัน ทุกความรู้สามารถนำมาประยุกต์เพื่อให้เรานำไปใช้ในการทำงานจริงในอนาคต”

TK24-33: Solar Cell Monitoring ตรวจจับความผิดปกติแทนคน

ปัจจุบันประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์อย่างมาก เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจะช่วยยกระดับการแข่งขันของผู้ประกอบการได้มาก 

อาทิตยา กรรณสูตร ตัวแทนทีม TK24-33 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ เล่าว่า ทีมทำโครงงานพัฒนา Solar Cell Monitoring ร่วมกับ บริษัท โซล่า เซฟ จำกัด โดยใช้วงจรเซนเซอร์ในการตรวจเช็กและควบคุมการทำงานของแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อตรวจหาแผงโซลาร์เซลล์ในโซลาร์ฟาร์มที่มีปัญหาหรือชำรุดทดแทนแรงงานคน เมื่อแผงโซลาร์เซลล์ทำงานผิดปกติ ระบบ Solar Cell Monitoring จะส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ของบริษัท เพื่อให้เจ้าหน้าที่รับทราบและดำเนินการตรวจสอบแผงนั้นได้ทันที ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณและระยะเวลาในการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบทุกแผงด้วยตนเอง

“โครงการฯ นี้ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโปรแกรมต่างๆ ในเชิงลึกที่เราไม่ได้เรียนจากในห้องเรียน ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่รู้ แต่ยังได้ลองทำ ซึ่งช่วยให้เข้าใจแบบถ่องแท้และนำไปพัฒนาต่อยอดได้อีกมาก”

“ทักษะที่ได้คือการทำงานเป็นทีม” ศุภักษร เตชะ สมาชิกในทีม กล่าวเสริมและเล่าว่า การได้ลงมือทำงานร่วมกัน ทำให้รู้ว่าแต่ละคนมีความสามารถและจุดบกพร่องที่ต่างกัน แต่ก็นำมาเติมเต็มกันจนสร้างผลงานที่ดีได้ อีกทั้งยังได้ฝึกฝนเรื่องการพูด จากที่พูดให้คนอื่นเข้าใจได้ยาก ก็พัฒนาจนดีขึ้น ซึ่งทักษะการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากในการทำงานร่วมกับผู้อื่น”

ต่อกล้าอาชีวะ เสริมทักษะแรงงานขับเคลื่อนประเทศ 

เจษฎา อิงคภัทรางกูร ตัวแทนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่มีโอกาสเข้าร่วมในการดำเนินโครงการต่อกล้าอาชีวะอย่างต่อเนื่อง แสดงความเห็นหลังจากได้ชมผลงานของนักศึกษาในโอกาสพิธีปิดโครงการฯ ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ว่าที่ผ่านมาคนในสังคมบางส่วนอาจยังมีภาพลบต่อเด็กอาชีวะ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาคือกลุ่มเด็กที่มีศักยภาพพร้อมเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างมาก 

ที่สำคัญหากมองในเรื่องเทรนด์ความต้องการของประเทศไทยหรือตลาดโลก ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า ‘เด็กอาชีวะคืออนาคตของประเทศ’ เพราะเป็นกําลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ทั้งในกลุ่ม S-Curve และ New-Curve ฉะนั้นจำเป็นอย่างมากที่ต้องให้ความสำคัญและเสริมศักยภาพเด็กกลุ่มนี้ 

“ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ มาถึงวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กหลายคนเติบโตขึ้นและมีพัฒนาการจากวันแรกเยอะมาก ทั้งในส่วนของ Hard Skill และ Soft Skill เด็กๆ ได้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ได้เรียนรู้จากนักวิจัยของเนคเทค ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน IoT และเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ ขณะเดียวกันยังได้เห็นว่าสถานประกอบการใช้เครื่องจักรหรือซอฟต์แวร์อะไร เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและเตรียมความพร้อม ซึ่งทักษะเหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับสถานประกอบการในการยกระดับกระบวนการผลิตสู่ Industry 4.0 และระหว่างทางที่เด็กๆ ใช้เทคโนโลยี IoT เข้าไปช่วยแก้ปัญหาจริงในโรงงาน พวกเขาก็ได้พัฒนา Soft Skill โดยอัตโนมัติ ทั้งการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์”

 สุดท้ายอีกกลุ่มคนสำคัญในโครงการฯ ที่มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาทักษะกำลังคนด้านดิจิทัลในระดับอาชีวศึกษา คือ ‘ครู’

“ความมุ่งหวังของโครงการฯ คือ เราอยากให้ครูได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้พร้อมกับเด็กๆ เพื่อให้เห็นว่าโลกปัจจุบันมีความรู้หรือทักษะอะไรที่จำเป็นบ้าง และนำไปปรับใช้ในการเรียนการสอน แน่นอนว่าการจัดโครงการต่อกล้าอาชีวะให้เด็กประมาณ 100 คนต่อปี ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากพออยู่แล้ว แต่คนที่จะสร้างผลกระทบหรือขยายผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ คือครูกลุ่มนี้ที่จะนำโมเดลความรู้ไปปรับใช้ในห้องเรียน เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพรองรับความต้องการของผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคต”

Tags:

การฝึกปฏิบัติจริงเทคโนโลยีโครงการต่อกล้าอาชีวะอาชีวศึกษาการพัฒนาครูYoung Smart IoT Technicianการบูรณาการความรู้

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมโรงเรือนจิ้งหรีด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัส วิทยาลัยเทคนิคแพร่

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Space
    Space Inspirium:  แหล่งการเรียนรู้ที่ชวนคนทุกวัยท่องอวกาศไปด้วยกัน

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน
Book
13 December 2024

เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน’ เขียนโดย หลุยส์ ซัคเกอร์ แปลเป็นภาษาไทยโดย ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ บอกเล่าเรื่องราวของ ‘บรัดเล่ย์ ชอล์กเกอร์ส’ เด็กชายวัยประถม ผู้ได้ชื่อว่า เป็นเด็กที่มีคนเกลียดมากที่สุดในโรงเรียน เพราะเขาสร้างปัญหาไม่เว้นในแต่ละวัน
  • เด็กที่สร้างปัญหาเหมือนบรัดเล่ย์ ล้วนมีสาเหตุซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมก้าวร้าว พวกเขาไม่ได้ต้องการการลงโทษหรือการเพิกเฉย แต่ต้องการความเข้าใจ การยอมรับ การรับฟัง และโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
  • ถ้าคุณอยากได้มิตรภาพ จงเริ่มต้นด้วยการให้ความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง ถ้าคุณอยากเข้าใจคนอื่น จงรับฟังสิ่งที่เขาพูด อย่าด่วนตัดสินหรือชี้นำ และคนทุกคนล้วนมีสิ่งดีๆ อยู่ในตัว พยายามมองหาแล้วคุณจะมองเห็น

ในห้องเรียนทุกห้องของทุกโรงเรียน มีทั้งเด็กที่ตั้งใจเรียนและเด็กที่เกเรไม่สนใจเรียน อาจจะมีเด็กสักคนที่หัวดี นิสัยดี เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ ทุกคนในห้อง และแน่นอน จะต้องมีเด็กที่เกเร ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ได้เป็นที่รัก ทั้งของครูและเพื่อนๆ ในห้อง

แต่เชื่อเถอะครับ เด็กทุกคน ไม่มีใครอยากถูกเพื่อนๆ รังเกียจ ไม่มีใครอยากถูกครูว่ากล่าวตักเตือนหรือถูกลงโทษ ถ้าเลือกได้ ทุกคนล้วนอยากเป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ และคุณครู

บางครั้ง เด็กบางคนก็ทำตัวเกเร เป็นอันธพาลประจำห้อง อาจเพื่อสร้างเกราะกำบังไม่ให้คนอื่นมองเห็นความอ่อนแอ-เปราะบางของตัวเอง

เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่แค่เด็กหรอกครับ ผู้ใหญ่หลายคนก็เป็นเช่นนั้น ดูจากเพื่อนของเราก็ได้ คนที่ทำตัวห่ามๆ หรือมีภาพลักษณ์ที่ดูก้าวร้าว มักจะเป็นคนแรกที่ร้องไห้เวลาพบเจอเรื่องสะเทือนใจ

ในหนังสือเรื่อง ‘บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน’ ซึ่งเขียนโดย หลุยส์ ซัคเกอร์ แปลเป็นภาษาไทยโดย ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ บอกเล่าเรื่องราวของบรัดเล่ย์ ชอล์กเกอร์ส เด็กชายวัยประถม ผู้ได้ชื่อว่า เป็นเด็กที่มีคนเกลียดมากที่สุดในโรงเรียน ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะบรัดเล่ย์สร้างปัญหาในโรงเรียนอยู่เสมอ ไม่สนใจสิ่งที่ครูสอน ไม่เคยทำการบ้าน อีกทั้งยังชอบรังแก แสดงนิสัยก้าวร้าวใส่เพื่อน

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า เด็กซนคือเด็กฉลาด แต่หากเด็กที่ซนเกินไปจนถึงขั้นเป็นปัญหาของเพื่อนๆ ในห้อง และสร้างความหนักใจให้กับครู จะยังถูกนับเป็นเด็กฉลาดหรือเปล่า เรื่องนั้นอาจจะต้องถกกันอีกนาน แต่ที่แน่ๆ การที่เด็กคนหนึ่งทำตัวเป็นปัญหาตลอดเวลา ย่อมมีสาเหตุอะไรบางอย่าง

คำโปรยบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้ เขียนไว้ว่า 

“จริงๆ แล้ว เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจเขาเท่านั้นเอง”

แต่น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่ครูหรือเพื่อนร่วมห้อง แต่ยังรวมถึงพ่อแม่และผู้ปกครองด้วย มักเลือกใช้วิธีที่พวกเขาคิดว่าง่ายกว่าในการรับมือกับเด็กที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการดุด่า ลงโทษให้หลาบจำ หรือท้ายสุด เพิกเฉยเหมือนเด็กคนนั้นไม่มีตัวตน

ในฉากแรกที่เปิดตัวบรัดเลย์ ทำให้เรามองเห็นภาพว่า เขาเป็นเด็กที่ถูกเกลียดชังมากแค่ไหน ด้วยคำบรรยายว่า

บรัดเล่ย์ ชอล์กเกอร์ส นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเองตรงหลังห้อง-เก้าอี้ตัวสุดท้าย แถวสุดท้าย ไม่มีใครนั่งข้างหน้าหรือข้างๆ เขา ดูแล้ว ราวกับว่าเขาเป็นเกาะ

ถ้าเลือกได้ เขาอยากจะนั่งในตู้เก็บของ แล้วเขาก็จะปิดประตู จะได้ไม่ต้องฟังครูเอ๊บเบลสอน เขาว่าครูคงไม่สนใจหรอก ครูอาจจะชอบเสียด้วยซ้ำ รวมทั้งคนอื่นๆ ในห้องด้วย ทุกคนคงจะมีความสุขมากขึ้นถ้าเขาเข้าไปนั่งในตู้เก็บของ

ในช่วงชีวิตวัยเรียน เราทุกคนย่อมเคยพบเห็นเพื่อนบางคนที่เป็นเด็กหลังห้อง หรือดีไม่ดี เราเองอาจเป็นเด็กหลังห้องด้วยก็ได้ ถึงกระนั้น เด็กหลังห้องทุกคนย่อมมีพวกพ้องเด็กเกเรนั่งอยู่ข้างๆ ช่วยกันส่งเสียงเอะอะโวยวายรบกวนการเรียนการสอน

ทว่า บรัดเล่ย์ คือ เด็กเกเรที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ทั้งครูเอ๊บเบลและเพื่อนร่วมห้อง ไม่รู้จะรับมือกับความเกเรของบรัดเล่ย์อย่างไร จึงเลือกใช้วิธีเพิกเฉย ไม่ใส่ใจ ทำราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง

น่าเศร้ามั้ยล่ะครับ…

ตอนที่เจฟฟ์ ฟิชกิ้น เด็กจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เพิ่งย้ายมาเรียนในโรงเรียนเดียวกับบรัดเล่ย์ ครูเอ๊บเบล พยายามหาที่ให้เจฟฟ์นั่ง ซึ่งก็ไม่เหลือที่ว่างในห้องเลย ยกเว้นที่ข้างๆ บรัดเล่ย์ เด็กๆ ในห้องแย่งกันส่งเสียงทักท้วง ไม่ให้ครูส่งเพื่อนใหม่ไปนั่งใกล้ๆ บรัดเล่ย์ แต่สุดท้าย ด้วยข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ครูเอ๊บเบลจำเป็นต้องให้เจฟฟ์ไปนั่งข้างๆ บรัดเล่ย์ แต่ก็ไม่วายพูดออกมาว่า

“ครูเสียใจนะ แต่ไม่มีโต๊ะตัวอื่นว่างแล้ว”

เจฟฟ์เป็นเด็กอัธยาศัยดี เขาพูดกับบรัดเล่ย์ว่า “ฉันไม่รังเกียจที่ต้องนั่งข้างนายหรอก จริงๆนะ” แต่บรัดเล่ย์ คิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “เอาเงินมาหนึ่งดอลลาร์ ไม่งั้นฉันถ่มน้ำลายใส่หน้านายแน่”

แม้ว่าจะเริ่มต้นอย่างตะกุกตะกัก และดูยังไม่เข้าใจกัน แต่นั่นคือ จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพของเด็กทั้งสอง

บรัดเล่ย์ รู้ดีว่าเด็กๆ คนอื่นในห้องต่างรังเกียจเขา ในเมื่อทุกคนเกลียดเขา เขาก็เกลียดเด็กพวกนั้นเช่นกัน และนั่นทำให้บรัดเล่ย์ไม่เคยแยแสหรือใส่ใจว่า คนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับเขา

แต่ไม่ใช่กับเจฟฟ์ เพราะเจฟฟ์คือคนแรกที่พูดกับเขาว่า “ฉันไม่รังเกียจที่ต้องนั่งข้างนายหรอก จริงๆ นะ”  และคำพูดนั้นฝังอยู่ในใจบรัดเล่ย์นับตั้งแต่วันแรกที่ทั้งคู่พบหน้ากัน

แน่นอนว่า การผูกมิตรกับเด็กที่ไม่เคยรู้จักมิตรภาพ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยที่สุด การแสดงท่าทีชัดเจนว่า ไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจกัน ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และน่าจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเปิดใจให้กันได้ง่ายขึ้น 

……………..

นอกจากเจฟฟ์แล้ว ตัวละครสำคัญที่เข้ามาช่วยให้บรัดเล่ย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็คือ ครูคาร์ล่า เดวิส ครูสาวสวยที่เพิ่งย้ายเข้ามาทำงานในตำแหน่งครูที่ปรึกษาของโรงเรียน พร้อมภาพลักษณ์พี่สาวใจดี แตกต่างจากครูคนอื่นๆ

ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์เท่านั้น คาร์ล่ายังมีทัศนคติที่แตกต่างจากครูคนอื่นๆ ในโรงเรียน เธอเชื่อว่าหน้าที่ของการเป็นครูที่ปรึกษาไม่ใช่การสั่งสอน บอกกล่าว หรือชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม หากแต่เป็นการช่วยให้เด็กค้นพบวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง

ทุกครั้งที่มีเด็กมาพูดคุยในห้องครูที่ปรึกษา คาร์ล่า จะเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จัก เพื่อเป็นเพื่อนกับเด็กคนนั้น ด้วยการขอให้เด็กเรียกเธอว่า คาร์ล่า แทนที่จะเรียกว่าครูเดวิส

ที่สำคัญ คาร์ล่า ย้ำกับเด็กๆ เสมอว่า เธอไม่ใช่คนที่จะให้ความช่วยเหลือเด็กๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว เธอเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเด็กๆเช่นกัน

ตอนที่บรัดเล่ย์ ถูกส่งมาพบครูที่ปรึกษา คาร์ล่าบอกกับบรัดเล่ย์ว่า

“ฉันยังหวังว่าเธอจะช่วยสอนอะไรให้ฉันด้วย”

“คุณเป็นครูนะ ไม่ใช่ผม” บรัดเล่ย์ ตอบกลับเสียงกระด้าง

“แล้วไงล่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย ครูสามารถเรียนรู้จากนักเรียน ได้มากกว่าที่นักเรียนจะเรียนรู้จากครูอีกนะ”

อีกสิ่งหนึ่ง ที่คาร์ล่าแตกต่างจากครูคนอื่นๆ คือ เธอเลือกที่จะรับฟังมากกว่าพูด ตั้งใจฟังทุกคำพูดของเด็กๆ แม้จะเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เธอไม่เคยด่วนตัดสิน หรือพยายามยัดเยียดความคิดที่ถูกต้องแบบผู้ใหญ่ให้กับเด็ก เธอเพียงแค่รับฟังอย่างตั้งใจ

อ่านมาถึงตอนนี้ ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่า การรับฟังต่างหาก คือหัวใจสำคัญของการสื่อสาร และเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจ ขณะที่หลายคนเน้นย้ำไปที่การพูด เพื่อพยายามถ่ายทอดสารที่ต้องการนำเสนอ จนหลงลืมไปว่า ถ้าไม่มีการรับฟังอย่างตั้งใจ เราจะรับรู้หรือเข้าใจสิ่งที่คนอื่นต้องการถ่ายทอดได้อย่างไร

จริงๆ แล้ว เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจเขาเท่านั้นเอง และคาร์ล่า เดวิส ครูที่ปรึกษา ผู้ดูเหมือนสาววัยรุ่นที่ไม่อยู่ในขนบของครูที่ดีตามแบบฉบับ ก็รู้ว่าหากเธอต้องการเข้าใจบรัดเล่ย์ เธอต้องเริ่มต้นด้วยการรับฟังทุกอย่างที่เขาพูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ อาจไม่เคยทำมาก่อน

ซึ่งทุกครั้งที่การพูดคุยกับครูที่ปรึกษาจบลง คาร์ล่าจะกล่าวขอบคุณเด็กๆทุกคนที่แบ่งปันเรื่องสนุกสนานให้แก่เธอ ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อขอจับมือกับเด็กคนนั้น

แน่นอน เด็กเกเรอย่างบรัดเล่ย์สะดุ้งโหยง เพราะไม่คิดว่าครูจะพูดขอบคุณเขา แถมยังยื่นมือมาให้จับแบบเพื่อนอีก เขาไม่ตอบอะไร เอามือล้วงกระเป๋าแล้วก้าวออกจากห้องไป เพื่อแสดงให้ครูเห็นว่า เขาไม่แยแสหรอกที่ครูพยายามมาทำดีกับเขา

แต่พอพบกันบ่อยครั้ง บรัดเล่ย์เองต่างหาก ที่เป็นฝ่ายทวงถาม หากคาร์ล่าลืมพูดขอบคุณเมื่อการพูดคุยจบลง

ในการพูดคุยทุกครั้ง คาร์ล่าจะให้บรัดเล่ย์เป็นคนเลือกว่าอยากคุยกันในเรื่องอะไร (หรือกระทั่งไม่อยากคุยเลย เธอก็ยินดีที่จะนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนเขาจนหมดชั่วโมง) ซึ่งครั้งหนึ่ง บรัดเล่ย์เสนอหัวข้อพูดคุยเรื่องสัตว์ประหลาดจากต่างดาว

“ฉันคิดว่ายังมีดาวอีกนับพันล้านดวงเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ อีกนับหมื่นล้านชนิด บางชนิดอาจโง่มาก และบางชนิดอาจฉลาดกว่าเราก็ได้… แต่ฉันไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวเหล่านั้นเป็นสัตว์ประหลาดสักตัวเดียว”

“สักตัวเดียวก็ไม่หรือ”

“ใช่จ้ะ” คาร์ล่ายืนยัน “ฉันคิดว่าทุกคนมีความดีอยู่ในตัว ทุกคนสามารถจะมีความสุข เศร้า และเหงาได้ 

บางครั้งคนมักคิดว่า ใครอีกคนเป็นสัตว์ประหลาด นั่นเป็นเพราะพวกนั้นมองไม่เห็นความดีที่ซ่อนอยู่ในใจของคนๆ นั้น… พวกนั้นเรียกเขาว่าสัตว์ประหลาด คนอื่นๆ ก็เริ่มเรียกตาม หลังจากนั้นสักพักเขาก็เริ่มเชื่อคำพูดของคนพวกนั้น เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ”

บรัดเล่ย์วาดรูปสัตว์ประหลาดมีหัวใจสีแดง ซึ่งแทน ‘ความดี’ ในตัวสัตว์ประหลาด ที่รอให้คนมาเห็น แล้วเขาเอ่ยถามคลาร่าว่า สัตว์ประหลาดจะเลิกเป็นสัตว์ประหลาดได้อย่างไร

…………..

หนังสือเรื่อง บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย รวมทั้ง Teacher’s Pick หรือหนังสือที่คุณครูแนะนำ ของเว็บไซต์ Amazon อีกทั้งยังเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลจากการโหวตของผู้อ่านที่เป็นเด็กๆ

ต่อให้ได้รางวัลต่างๆ มากมาย แต่หนังสือเล่มนี้ก็คงปราศจากคุณค่า หากมันไม่ได้ช่วยให้เราเรียนรู้สิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจคนอื่น โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหา และสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ ก็คือ

ถ้าคุณอยากได้มิตรภาพ จงเริ่มต้นด้วยการให้ความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง ถ้าคุณอยากเข้าใจคนอื่น จงรับฟังสิ่งที่เขาพูด อย่าด่วนตัดสินหรือชี้นำ และคนทุกคนล้วนมีสิ่งดีๆ อยู่ในตัว พยายามมองหาแล้วคุณจะมองเห็น

สุดท้าย คำถามที่บรัดเล่ย์ถามว่า สัตว์ประหลาดจะเลิกเป็นสัตว์ประหลาดได้อย่างไร ผมเชื่อว่า ทุกคนน่าจะค้นพบคำตอบแล้วล่ะครับ ถึงแม้จะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ตาม

Tags:

บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียนพัฒนาการโรงเรียนเพื่อนเด็กความเข้าใจการรับฟัง

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • IMG_7497
    Book
    โต๊ะโตะจัง: แค่เปลี่ยนมายด์เซ็ต ‘เด็กดื้อ’ ของผู้ใหญ่บางคน ก็อาจเป็น ‘เด็กดี’ ของโลกใบนี้ 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา
Learning Theory
9 December 2024

การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บ่อยครั้งที่ ‘การสอน’ (teaching) มักถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าหลัง คำว่า ‘การเรียนรู้’ (Learning) โดยเฉพาะ Active Learning ก็ดูจะกลายเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและจำเป็น
  • ‘การสอน vs การเรียนรู้’ ในการศึกษา ดูเหมือนจะไม่มีที่ทางให้กับความเป็นไปได้แบบอื่น ที่เราในฐานะครูถูกบีบให้มองเห็นตัวเองอยู่ในรูปของ Active กับ passive ทั้งที่ในความเป็นจริงยังมีความเป็นไปได้อื่นดำรงอยู่ในการศึกษาและการสอนด้วย เราจึงต้องเปิดพื้นที่ให้กับ ‘ความสัมพันธ์ทางการศึกษา’ (Educational Relationship)
  • ‘ความสัมพันธ์ทางการศึกษา’ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนบนคุณค่าและความหมายบางอย่าง ผ่านช่วงเวลาหนึ่งๆ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มีการสะสม ฟูมฟัก จนกลายเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะ (uniqueness) ใน ‘ห้องเรียน’

ในโลกที่ล้นไปด้วยข้อมูลอย่างปัจจุบัน บ่อยครั้งที่ ‘การสอน’ (teaching) มักถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าหลัง และไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไปสำหรับ ‘การศึกษา’ (Education) คำว่า ‘การเรียนรู้’ (Learning) โดยเฉพาะ Active Learning ก็ดูจะกลายเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและจำเป็น จนกลายเป็นคู่ตรงข้ามที่ใครหลายคนนำมาใช้วิพากษ์หรืออธิบายความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น หรือระหว่างการศึกษาที่เก่าล้าหลังกับการศึกษาที่ก้าวหน้า  

เหตุผลหลักๆ อย่างน้อย 2 ข้อที่เราได้ยินบ่อยครั้งคือ หนึ่ง การสอนถูกตีตราเหมารวมเอาว่าเป็นการถ่ายโอนความรู้ไปสู่นักเรียน ครูเป็นผู้บอกข้อมูล ส่วนนักเรียนก็เพียงแค่รับเอาไป นักเรียนไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ในทางกลับกัน การเรียนรู้แบบ Active ต่างหากที่ครูควรยึดถือ เพราะมันกระตุ้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วม ได้ค้นพบหรือสร้างความรู้ความเข้าใจขึ้นมาเอง เราจึงคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “ยุคนี้ไม่มีใครเขามาสอนกัน มันต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง” 

เหตุผลที่สอง คือการสอนยังถูกมองว่าไม่ได้สร้างอำนาจที่เท่าเทียม เพราะครูมีอำนาจเหนือกว่านักเรียน ขณะที่การเรียนรู้ คือกระบวนการที่ครูลดอำนาจของตัวเองลงกลายเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์ที่วางไว้ การสอนจึงถูกมองเป็นผู้ร้าย เพียงเพราะการสอนคือการบรรยาย การสอนคือการใช้อำนาจ ทำให้นักเรียนกลายเป็นเพียงภาชนะที่คอยรองรับ (Passive) ในขณะที่ (Active) Learning ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของการศึกษานั้น ชี้ชวนว่าครูควรละทิ้งการสอนและกลายเป็นนักจัดการเรียนรู้ที่ดี (Learning Designer) เป็นโค้ชหรือผู้อำนวยการเรียนรู้แทน โดยมีความต้องการและความพึงพอใจของนักเรียนเป็นศูนย์กลาง

แต่การอธิบายหรือทำความเข้าใจด้วยแนวคิดคู่ตรงข้าม ‘การสอน vs การเรียนรู้’ หรือ ‘ครู vs นักออกแบบการเรียนรู้/ผู้อำนวยการเรียนรู้/โค้ช’ ก็กลายเป็นปัญหาเช่นกัน เพราะมันทำให้เราติดอยู่กับการมองภาพการศึกษาว่าเป็นเพียงเรื่องของการกระตุ้นเร้าความสนใจ การทำให้ Active ด้วยการเปลี่ยนเทคนิควิธีการ รูปแบบ และบทบาทไปเท่านั้น เป้าหมายของการเรียนรู้แบบ Active ที่เข้าใจกันจึงเป็นไปเพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนอยู่ในลู่วิ่งการเรียนรู้ ครูถูกเปลี่ยนให้เป็นนักเช็คลิสต์ว่าการเรียนรู้ นั้น Active พอหรือยัง ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนจึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายหนึ่ง (ครู) ต้องทำการกระตุ้นอีกฝ่าย (นักเรียน) ให้เปลี่ยนจาก Passive เป็น Active ตลอดเวลา ตามมาด้วยการออกแบบนวัตกรรมหรือ Best Practice แนวทางเทคนิคการดึงดูดผู้เรียนด้วยลูกเล่นต่างๆ มากมายเพื่อสร้างแรงกระตุ้น ประหนึ่งบริษัทที่กำลังหาไอเดียมาเอาใจลูกค้า เพื่อเสนอให้เกิดความพึงพอใจแลกกับการตอบสนองเป็นพฤติกรรมที่ Active ขึ้นมา

ภาษาของ ‘Active Learning’ ได้กลายเป็น ‘ศูนย์กลาง’ หรือ ‘พิกัด’ ของการพูดคุยและขบคิดของเราต่อเรื่องการศึกษาและการสอน เมื่อมันอยู่ในพิกัดแบบนี้ การสอนโดยตัวมันเองจึงถูกมองเห็น ถูกทำให้เป็นชายขอบ หรือถูกรีดออกไปจากโครสร้าง 

การศึกษาที่เห็นกันมากมายจึงเป็นผลลัพธ์ของการกระตุ้นเร้าความสนใจหรือเป็นเพียงความบันเทิงที่มีครูคอยอำนวยและควบคุมให้มันเกิดขึ้นเท่านั้น เราจึงเห็นปราฏการณ์ Active Learning ที่ระบาดอยู่ในแวดวงการศึกษา ทั้งที่เป็นวาทกรรมและดูเหมือนสัจธรรมของการคิดเกี่ยวกับการศึกษาที่ถูกลดทอนให้เหลืออยู่ในรูปของ ‘Active’ กับ ‘Passive’ ตามมาด้วยความวิตกว่า นักเรียนจะไม่ Active และนำมาสู่การพยายามเร่งเร้าหาวิธีการที่รวดเร็วที่จะทำให้นักเรียนแสดงพฤติกรรม Active ออกมา เมื่อไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ นักเรียนก็ถูกมองว่าไม่พร้อม เป็นวัตถุดิบที่ไม่ดี หรือไม่ก็เพราะตัวครูที่ยังไม่สามารถจะหาวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อจัดการควบคุมให้เกิดผลลัพธ์ที่ Active ได้ (อ่านเพิ่มเติมใน ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง https://thepotential.org/knowledge/active-learning-al/)   

ข้อเขียนข้างต้นนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นกับดักของคำอธิบาย ‘การสอน vs การเรียนรู้’ ในการศึกษา ที่ดูเหมือนจะไม่มีที่ทางให้กับความเป็นไปได้แบบอื่น ที่เราในฐานะครูถูกบีบบังคับให้มองเห็นตัวเองอยู่ในรูปของ Active กับ passive ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นยังมีความเป็นไปได้อื่นดำรงอยู่ในการศึกษาและการสอนด้วย เราจึงจำเป็นต้องทลายระนาบโครงสร้างทางการศึกษาที่ถูกกำหนดโดยภาษาของ Active Learning ด้วยการเปิดพื้นที่ให้กับ ‘ความสัมพันธ์ทางการศึกษา’ (Educational Relationship) ขึ้นมาในอีกแนวระนาบหนึ่ง โดยไม่ได้มี Active Learning เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป ณ ที่ตรงนี้เอง เราจะมองการสอนด้วยเลนส์และพิกัดแบบอื่นที่ไม่ใช่ Active หรือ Passive และการศึกษาก็ไม่ใช่เรื่องของผลลัพธ์จากการกระตุ้นเร้าความสนใจ ด้วยเช่นกัน  

สำหรับ ‘ความสัมพันธ์ทางการศึกษา’ นั้น เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนบนคุณค่าและความหมายบางอย่าง ผ่านช่วงเวลาหนึ่งๆ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มีการสะสม ฟูมฟัก จนกลายเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะ (uniqueness) ใน ‘ห้องเรียน’ ของครูคนหนึ่งๆ ที่แตกต่างกันไป โดยไม่ได้ถูกนิยามผ่านแนวคิดขั้วตรงข้ามใดๆ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น นักเรียนในชั้นเรียนหนึ่ง อาจไม่ได้มองเห็นว่าครูที่กำลังสอนด้วยการบรรยายนั้นกำลังการถ่ายทอดความรู้ หรือเป็นชั้นเรียนที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาคิด แต่เป็นเขาเองที่ยินดีและมอบใจเปิดพื้นที่ให้ครูทำแบบนั้นต่อตัวเขา ทั้งนี้ก็อาจเพราะว่าครูได้มอบ ‘ความไม่ลงลอย’ ทางความคิดอันมีค่าให้กับเขาด้วยบทเรียนบางอย่าง แม้ครูจะบรรยายทั้งคาบเรียน ดุเสียงแข็ง หรือถูกริบเอาเวลาที่อยากจะเล่นเกมให้เพลินใจโดยให้เก็บมือถือก่อนเริ่มเรียน ก็ตาม ทั้งหมดนี้คือเรื่องความสัมพันธ์ทางการศึกษา ที่ความไว้วางใจและเห็นถึงหัวใจที่ครูปรารถนาที่จะมอบให้ และนักเรียนก็ยินดีที่จะโอบรับให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ผ่านการ ‘สอน’ เขา ดังที่  Biesta นักทฤษฎีการศึกษา เสนอว่า ในมิติของการสอนนั้น บางครั้งมันคือเรื่องของ ‘being taught’ ที่เรา ‘ยอมถูกแทรกแซง’ มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความหมายแบบอำนาจแบบเก่า แต่มันคือการยินดีกับการมอบอำนาจที่ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา และเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างกับเรา (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมอง Biesta ในการศึกษาอาจต้องการ ‘ความเสี่ยง’ ไม่ใช่ ‘ความมั่นคง  https://thepotential.org/knowledge/the-beautiful-risk-of-education/)

ความสัมพันธ์ทางการศึกษา ยังอาจหมายถึง การสอนบนการเอาใจใส่ดูแลกัน ที่เมื่อครูคนหนึ่งมองเห็นความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจของนักเรียน เขาไม่กล้าที่จะแสดงความคิดออกมา ตลอดเวลาใน 1 ปีการศึกษา ครูจึงค่อยๆ สร้างบันไดให้นักเรียนปืนออกจากกำแพงความกลัวขึ้นมาได้ และยืนยันว่าความคิดของเขาจะไม่ถูกทำให้หายไปราวกับสิ่งที่ไร้ความสำคัญ ด้วยการคอยให้กำลังใจและแลกเปลี่ยนเมื่อนักเรียนแสดงความคิดเห็นออกมา เมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนจึงยินดีที่จะรับบันไดที่ครูหย่อนลงมา 

ความสัมพันธ์ที่วางอยู่บนการเอาใจใส่เช่นนั้นทำให้การศึกษาจึงเป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้เด็กมั่นใจได้ว่าเสียงและความคิดของเขาจะได้รับการรับฟัง ถูกมองเห็น และมีความสำคัญ

แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ทางการศึกษานั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและฉาบฉวย มันใช้เวลาและไม่ได้ราบรื่น รวมถึงมันก็ไม่ได้หยุดนิ่งและไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์อื่นๆ มันย่อมหมายถึงความพยายามที่จะปฏิเสธหรือท้าทายความสัมพันธ์ด้วย ตัวอย่างเช่น จากประสบการณ์หนึ่งในช่วงฝึกสอนของผู้เขียนเอง ในห้องเรียนที่นักเรียนนั่งเงียบ พวกเขารู้สึกว่าการเป็นนักเรียนที่ดีคือการจดตามที่ครูบอกและหาคำตอบจากในแบบเรียนมาส่งครู แต่เมื่อผู้เขียนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาด้วยการบอกกับพวกเขาว่าเราจะเรียนโดยไม่มีแบบเรียนและไม่จดตามที่ครูบอก ในช่วงเริ่มแรก พวกเขามักหันมาถามครูเสมอว่า “คำตอบอยู่หน้าไหน?” “ทำไมครูต้องให้พวกเราคิด?” หรือ “ทำไมไม่บอกมาเลยว่าเฉลยอะไร” ในทางหนึ่งผู้เขียนอยากจะยอมแพ้ และหันไปใช้ความสัมพันธ์แบบเดิม แต่อีกทางหนึ่งก็ยังคงเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลง จึงได้ยืนยันกลับไปว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องนำ ‘คำถามที่ยากๆ’ เข้าไปในชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่คำถามง่ายๆ ที่คัดลอกจากแบบเรียนได้

ในท้ายที่สุด การยืนยันเช่นนี้ผ่านการสอนเสมอก็ผลิดอกออกผล นักเรียนยินดีที่จะให้ครูถามคำถามยากๆ กับพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีที่จะตอบมันผ่านทั้งการพูดและการเขียนแม้จะรู้ว่าไม่มีคำตอบสุดท้าย ในตอนนั้นเอง ที่พวกเขาเปลี่ยนจากคำถามที่ว่า คำตอบอยู่หน้าไหนในบทเรียน มาสู่  ครูคิดอย่างไรกับคำตอบของพวกเขา? นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ Passive ไปสู่ Active Learning แต่มันคือการศึกษาที่ทำให้นักเรียนได้มองเห็นศักยภาพในตัวเอง และตัวพวกเขาก็ยินยอมให้การสอนของครูเข้ามารบกวนและปั่นป่วนชีวิตของพวกเขา

ดังนั้น การสอนจึงไม่ควรถูกมองในทางลบหรือล้าหลัง หรือมองว่าตรงข้ามกับคำว่า การเรียนรู้ การสอนในตัวมันเอง เป็นสิ่งหนึ่งดำรงอยู่และปรากฏขึ้นในความสัมพันธ์ทางการศึกษาในแบบใดแบบหนึ่ง ที่ซึ่งในความสัมพันธ์นั้นเรายินยอมและมอบใจให้การสอนคอยทำหน้าที่เข้าไปแทรกแซงพื้นที่ของการเติบโตในตัวเรา

“การเรียกใครสักคนว่า ‘ครู’ นั้น แท้จริงแล้วจึงไม่ใช่เพียงการบอกว่าเขาหรือเธอมีบทบาทหน้าที่ หรือมีอาชีพอะไร แต่เป็นคำชื่นชมยกย่องที่เรามอบให้ เมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่า ใครคนหนึ่งได้สอนบางสิ่ง เผยให้เห็นความจริงบางอย่าง และทำให้เราได้กลายเป็น ‘ศิษย์’ อย่างแท้จริง” 

Gert Biesta p.457

ในบทความ Receiving the Gift of Teaching: From ‘Learning From’ to ‘Being Taught By

อ้างอิง

Receiving the Gift of Teaching: From ‘Learning From’ to ‘Being Taught By เขียนโดย Gert Biesta

https://link.springer.com/article/10.1007/s11217-012-9312-9
แนวคิดเรื่องเสียงและการเปล่งเสียงเพื่อเสริมพลังอำนาจผู้เรียน เขียนโดย  ผศ.ดร พิสิษฏ์ นาสี (ศึกศาสตร์ มช)

https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/244640

หนังสือ Stories Out of School: Memories and Reflections on Care and Cruelty in the Classroom

Tags:

การสอนความสัมพันธ์ทางการศึกษา (Educational Relationship)ครูการเรียนรู้Active Learning

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Learning Theory
    ‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?
Healing the trauma
2 December 2024

จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • มีความเชื่อเกี่ยวกับ ‘คำสาปดาราเด็ก’ ว่าพวกเขามักโตมากลายเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาหรือชีวิตจบไม่สวย
  • ในช่วงวัยรุ่นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างวัยรุ่นทั่วไป อยากทำอะไรแปลกๆ สมวัย แต่การมี ‘ภาพจำ’ ในบทบาทบางอย่างจำเพาะมากจากสาธารณชนก่อให้เกิดความกดดันมหาศาล แฟนคลับบางคนถึงกับรู้สึกว่า ‘ถูกหักหลัง’ ที่ดาราวัยรุ่นทำตัวบางอย่างที่เป็นการทำลายภาพจำดาราเด็กในความคิดของตัวพวกเขา
  • คำตอบเรื่องการแก้คำสาปเด็กดัง อยู่ที่ความผูกพันและการปฏิบัติต่อกันที่ดีของคนในครอบครัว และการหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยมุมมองต่องานและต่อโลกที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเด็กๆ

มีความเชื่อเกี่ยวกับดาราเด็กในฮอลลีวูดอยู่เรื่องหนึ่งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์อยู่ไม่น้อยเรียกว่า ‘คำสาปดาราเด็ก’ (The Curse of the Child Star) ซึ่งอธิบายได้สั้นๆ ว่า เด็กที่มาเล่นหนังแล้วโด่งดัง มักจะกลายเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่มีปัญหาหรือชีวิตจบไม่สวย

ก่อนอื่นคงต้องเคลียร์กันตรงนี้ก่อนว่า นี่ไม่ใช่ ‘กฎ’ และเราก็เห็นดาราเด็กที่กลายเป็นดาราวัยรุ่นและดาราผู้ใหญ่ที่ดี ชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยอยู่มากมายหลายคนเช่นกัน ทั้งดาราฮอลลีวูดและดาราไทย แต่ก็มีคนที่ไม่ผ่าน ‘ด่าน’ อันยากลำบากนี้ และจบลงด้วยชีวิตที่เหลวแหลก ติดเหล้าติดยา ติดคุก มีปัญหาทางจิตประสาท หรือแม้แต่เสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด หรือฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุต่างๆ 

คำถามสำคัญคือ ความแตกต่างของการโตไปเป็นดาวค้างฟ้าหรือกลับกลายเป็นดาวหางดิ่งลงเหว พวกนี้เกิดจากอะไรกันแน่? และจะมีวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันได้หรือไม่?

ข้อมูลเกี่ยวกับนักแสดงเด็กมีบันทึกกลับไปได้ถึงยุควิกตอเรียที่เด็กๆ ที่มีความสามารถพิเศษหรือได้รับการฝึกฝนจะได้แสดงตามโรงละครหรือไม่ก็ไปกับกองคาราวานที่เดินทางไปทั่ว การใช้แรงงานเด็กในยุคนั้นสามารถทำได้แม้กับเด็กเล็กๆ [1] หันกลับมาดูในเมืองไทยเราก็อาจพบเห็นได้ในคณะเชิดสิงโตที่มีการต่อตัวและเด็กตัวเล็กสุดที่ขึ้นไปอยู่บนสุดก็อาจอายุแค่เพียงไม่กี่ขวบเท่านั้น

กฎหมายป้องกันการใช้แรงงานเด็กในสังคมตะวันตกฉบับแรกออกมาได้ยังไม่ครบศตวรรษดี คือออกมาในราวทศวรรษ 1930 [1] ในยุคนั้นเด็กบางคนจึงกลายมาเป็นแหล่งรายได้ของครอบครัวที่มักจะมีลูกมากเสียด้วย เพราะอุปกรณ์คุมกำเนิดยังใช้การไม่ดีและไม่แพร่หลายเช่นทุกวันนี้ บางครอบครัวในยุคนั้นจึงมองเด็กที่ดังขึ้นมาจากการแสดงความสามารถราวกับเป็นเครื่องเอทีเอ็มของพ่อแม่ทีเดียว 

แจ็กกี้ คูแกน (Jackie Coogan) เป็นดาราเด็กชาวอเมริกันที่โด่งดังในยุคหนังเงียบ มีรายได้มากกว่าล้านเหรียญขณะอายุได้เพียง 10 ปี ต่อมาเมื่อโตขึ้นก็เป็นโจทก์ฟ้องร้องแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยงเรื่องรายได้จากการแสดงภาพยนตร์ของเขาที่ทั้งสองคนนำไปใช้ราวกับเป็นเงินของตัวเอง 

จนในที่สุดเกิดกฎหมายคุ้มครองดาราเด็กขึ้นมาเรียกว่า ‘พระราชบัญญัติคูแกน (Coogan Act)’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ร่างกฎหมายนักแสดงเด็กแคลิฟอร์เนีย (California Child Actor’s Bill) ที่น่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองดาราเด็กฉบับของโลกใน ค.ศ. 1939 [2]

กรณีตัวอย่างดาราเด็กที่โดนกระทำอย่างไม่เหมาะสมในฮอลลีวูดในรูปแบบต่างๆ มีอยู่มาก จะขอยกตัวอย่างแค่เพียงเล็กน้อยดังนี้ กรณีแรก แม่ของเชอร์ลีย์ เทิมเพิล (Shirley Temple) ดาราเด็กที่ดังอย่างสุดๆ คนหนึ่งโดนกีดกันออกจากฉากขณะแสดง เพื่อไม่ให้คัดค้านใดๆ ได้หากไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับ ขณะที่จูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland) ขณะอายุ 16 ปีและเล่นเรื่องพ่อมดแห่งออซนั้น ครั้งหนึ่งเคยโดนผู้กำกับตบหน้า เพียงเพราะว่าหัวเราะขณะถ่ายทำเท่านั้น [1] 

แต่รายที่หนักหนาที่สุดและกลายมาเป็นรอยแผลในใจจนโตจากการแสดง น่าจะเป็นกรณีของนักแสดงชื่อ พอล พีเทอร์สัน (Paul Peterson) ที่ขณะอายุแค่เพียง 10 ปี เขาต้องแสดงเป็นเด็กที่ต้องเห็นพ่อตัวเองผูกคอตาย เพื่อที่จะให้เด็กชายพอลแสดงได้สมบทสมบาทจริงๆ มีการนำพ่อของเขามาแขวนห้อยต่องแต่งตายปลอมๆ ให้เขาดู

เขาจำฉากนี้ติดตาไปอีก 50 ปีไม่ลืมเลือน! 

ดังที่เจ้าตัวเขียนเล่าไว้ว่า “แม้อีกห้าสิบปีต่อมาผมก็ยังจดจำเหตุการณ์นั้นได้ ไม่ใช่ในฐานะของฉากหนึ่งในการแสดง แต่ในฐานะของเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบคนหนึ่งที่เป็นประจักษ์พยานการแขวนคอตายของพ่อตัวเอง…เกิดความรู้สึกถูกทอดทิ้ง เกิดความกลัวว่าแม่ตัวเองจะโดนทิ้งให้ยากจนอยู่ข้างหลัง…” [3]

คงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า การเรียนเรื่องการแสดง การเป็นนักแสดงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายนะครับ มีการศึกษาติดตามในเด็กมากกว่า 25,000 คนที่แสดงให้เห็นว่า เด็กอายุ 8-12 ปีที่เข้ากิจกรรมการแสดงในโรงเรียน เป็นกลุ่มที่เข้าใจตัวเองได้ดี มีทักษะในการอ่าน มีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ และมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากกว่าเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เข้าเรียนเรื่องการแสดง [3] 

อย่างไรก็ตาม แม้คล้ายว่าจะมีความเกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องบอกว่างานวิจัยนี้ไม่ได้ชี้ถึงความเป็นเหตุและผลอย่างชัดเจนนะครับว่า การเข้าเรียนวิชาการแสดงหรือฝึกหัดเรื่องการแสดงเป็นเหตุให้ได้ผลลัพธ์ดังกล่าว ชี้แค่ว่ามีแนวโน้มไปในทางเดียวกันแค่นั้น 

แถมยังมีผลการศึกษาที่ให้ผลตรงกันข้ามด้วยนะครับ เช่น การศึกษาในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 554 คน พบว่านักเรียนการละครมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับร่างกายและความสามารถของตัวเองมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กทั่ว ๆ ไปหรือเด็กที่เรียนเก่งเป็นพิเศษ [4]

เรื่องการเรียนการแสดงช่วยหรือไม่ช่วยจึงยังคลุมเครืออยู่บ้าง 

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาในอดีตนักแสดงเด็กจำนวน 74 คน ที่เป็นสมาชิกของ Screen Actors Guild โดยให้ตอบแบบสอบถามที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสามารถในการปรับตัวในทางจิตวิทยา การเสพแอลกอฮอล์และยาเสพติด และความสัมพันธ์กับเพื่อน [5]  

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามทำให้รู้ว่า คนกลุ่มนี้มีการปรับตัวทางจิตวิทยาที่ดีและมีทักษะในการจัดการกับปัญหาที่ดี อย่างไรก็ตาม พบด้วยเช่นกันว่าคนกลุ่มนี้มีอัตราการติดแอลกอฮอล์และยาเสพติดสูงกว่านักแสดงเด็กร่วมรุ่นที่ไม่โด่งดังอย่างเห็นได้ชัด   

ความรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดงเด็กหรือไม่ ดูจะขึ้นอยู่กับแม่ของเด็กพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งได้รับบทนำหรือบทสำคัญ แม่ของพวกเขาก็จะยิ่งให้ความสำคัญกับพวกเขามากยิ่งขึ้นเท่านั้น อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มีอยู่ราวครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ทีเดียวที่ระบุว่า เพื่อนในตอนเด็กแทนที่จะเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกลับเป็นผู้ใหญ่มากกว่า 

ข้อเท็จจริงทั้งสองข้อนี้สัมพันธ์กับความรู้สึกเป็นตัวตนของเด็กเหล่านี้มาก เหมือนพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมายามากกว่าชีวิตจริงอย่างที่ควรจะเป็น คือเติบโตขึ้นท่ามกลางเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน 

นักวิจัยสรุปว่าความเชื่อที่ว่าดาราเด็กเหล่านี้มีความสามารถในการรับมือความเครียดและความกดดันดีกว่าเด็กทั่วไป หรือดาราเด็กพวกนี้สามารถชดเชยกับสิ่งที่เสียไปหรือความกดดันเหล่านี้ได้ด้วยความรู้สึกเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเองได้นั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพเลยครับ [5]

เมื่อดาราเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นวัยรุ่นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างวัยรุ่นทั่วไป อยากทำอะไรแปลกๆ สมวัย แต่การมี ‘ภาพจำ’ ในบทบาทบางอย่างจำเพาะมากจากสาธารณชนก่อให้เกิดความกดดันมหาศาล ยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียแล้ว ยิ่งหนักหนาสาหัสทีเดียว แฟนคลับบางคนถึงกับเป็นเดือดเป็นแค้นหรือรู้สึกว่า ‘ถูกหักหลัง’ ที่ดาราวัยรุ่นทำตัวบางอย่างที่เป็นการทำลายภาพจำดาราเด็กในความคิดของตัวพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ดาราวัยรุ่นบางคนอาจรู้สึก ‘สูญเสียตัวตน’ หรือหาตัวตนไม่เจอเลยทีเดียว

เมื่อไปสัมภาษณ์ดาราเด็กที่ดูจะรักษาภาพลักษณ์ได้ดี เติบโตกลายเป็นนักแสดงคุณภาพอย่าง แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (Daniel Rafcliffe) ที่แสดงเป็นแฮร์รี พอตเตอร์ และอีไลจาห์ วูด (Elijah Wood) ที่แสดงเป็นโฟรโด ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริง ก็ได้รับคำตอบคล้ายคลึงกันว่า สายสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญมาก [6, 7]  

อีไลจาห์เล่าว่าคุณแม่เลี้ยงดูเหมือนเป็นเด็กทั่วไป ให้ความสำคัญมากที่สุดมาเป็นอันดับหนึ่งคือ การเติบโตเป็นคนดี เมื่อรู้ว่าเป็นดาราเด็ก เขาก็มักได้รับข้อเสนอสิทธิพิเศษ เช่น การลัดคิวให้ แต่คุณแม่ไม่เคยยอมให้เขาได้รับสิทธิแบบนั้นเลย 

นอกจากนี้ เขาต้องเก็บผ้า พับผ้าหรือแขวนเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย 

เขายังได้รับการสอนให้ถ่อมตัว เขาเชื่อเสมอว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จเป็นเรื่องของโชคหรือโอกาสที่เขาได้รับมากกว่าจะเป็นเรื่องของฝีมือล้วนๆ และการที่เขาอายุเลย 40 แล้วยังคงทำงานในฐานะนักแสดงได้ ถือเป็นของขวัญในชีวิตที่ไม่อาจมองข้ามได้

ขณะที่แดเนียลมองว่าแรงผลักดันอย่างหนึ่งที่เขามีมากเป็นพิเศษคือ เขารักที่จะอยู่ในกองถ่ายและชอบบรรยากาศที่นั่น ชอบที่จะแสดง ชอบคนในกองถ่าย และเห็นว่าสถานที่ทำงานของตัวเองนั้นเยี่ยมยอดมาก เขาจึงไม่รู้สึกว่ามีแรงกดดันแบบเดียวกับเพื่อนๆ บางคนที่ทนทำงานเพื่อตอบแทนความคาดหวังของคนรอบตัว โดยไม่รู้สึกรักหรืออินกับการแสดงอีกต่อไปแล้ว

ดูเหมือนเราจะได้คำตอบเรื่องการแก้คำสาปเด็กดัง นั่นก็คือความผูกพันและการปฏิบัติต่อกันที่ดีของคนในครอบครัว และการหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยมุมมองต่องานและต่อโลกที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเด็กๆ นั่นเอง  

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับดาราเด็กเท่านั้น ก็ดูว่าอาจจะห่างไกลกับตัวเราค่อนข้างมาก แต่หากจิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’ แบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กนักกีฬาที่ชนะได้เหรียญโอลิมปิกหรือเด็กนักเรียนที่ได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการ แข่งชนะที่ 1 ในการประกวดหรือได้ที่ 1 ในชั้นเรียน ในโรงเรียน หรือแม้แต่ที่ 1 ประเทศ ฯลฯ และอาจจริงด้วยเช่นกันกับเด็กบ้านรวยหรือตระกูลเก่าแก่ที่บุญหนักที่โดนคนรอบตัวสปอยล์มาตลอดชีวิต 

นี่อาจเป็นเคล็ดลับที่มีประโยชน์มาก สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากกว่าแค่ที่งานวิจัยตีกรอบไว้ แต่นั่นก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของงานวิจัยภายภาคหน้ายืนยันต่อไปนะครับ 

เอกสารอ้างอิง

[1] https://shssharkattack.com/22358/oped/the-negative-effects-of-the-child-stars/ เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 พ.ย. 2024

[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Jackie_Coogan เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 พ.ย. 2024

[3] Leslie Anderson (2011) Myself or Someone Like Me: A Review of the Literature on the Psychological Well-being of Child Actors. Medical Problems of Performing Artists. 26(3):146-9. DOI: 10.21091/mppa.2011.3023  

[4] Robson B. E ad Gitrev M.: In Search of Perfection. Med Probl Perform Art 1991; 6(1):15-20 

[5] Rapport L. J., Meleen M.: Childhood celebrity, parental attachment, and adult adjustment: the young performers study. J Pers Assess 1998; 70(3):484-505. doi: 10.1207/s15327752jpa7003_7.

[6] https://www.cbc.ca/arts/q/elijah-wood-reflects-on-how-he-avoided-the-curse-of-child-stardom-1.7282164 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 พ.ย. 2024

[7] https://www.huffpost.com/entry/daniel-radcliffe-what-if_n_5658336 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 25 พ.ย. 2024

Tags:

ความสัมพันธ์การเลี้ยงดูบาดแผลในจิตใจคำสาปดาราเด็ก’ (The Curse of the Child Star)จิตวิทยา

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘แม่โสสะ’ แม่ที่มีอยู่จริงของลูก 16 คนที่เธอไม่ได้ให้กำเนิด แต่รักหมดหัวใจ: แม่อ้อย- ลักษณี เลื่อนล่อง

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Relationship
    ปัดจอจนเหนื่อยใจ แล้วไหนล่ะคู่ฉัน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel