- ในระยะหลังมานี้ ไต้หวันได้โอบรับกระแสโลกในการปฏิรูปการศึกษาตามแนวทาง OECD และ UNESCO มากขึ้น หลักสูตรสมรรถนะ การพัฒนาที่ยั่งยืน Social-Emotional Learning ได้เข้ามาเป็นหลักคิดในการออกแบบนโยบาย หลักสูตร ไปจนถึงการพัฒนาครู
- รัฐบาลไต้หวันยังสนับสนุนนโยบายการเรียนสองภาษา หรือ ‘bilingual education 2030’ เพื่อหวังให้นักเรียนของพวกเขาสามารถใช้และสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วควบคู่ไปกับภาษาจีนที่เป็นภาษาแม่ในปี 2030
- ประเด็นเรื่องพหุวัฒนธรรมเป็นวาระสำคัญที่ถูกพูดถึงในระบบการศึกษาด้วย รวมไปถึงเรื่อง เพศ อัตลักษณ์ และชนชั้นด้วย ทำให้บางมหาวิทยาลัยที่ผลิตครู มีวิชา Multicultural Education เป็นวิชาพื้นฐานเพื่อวางรากฐานความคิดให้กับนักศึกษา
เอาจริงๆ ตั้งแต่ผมมาเรียนต่อที่ไต้หวัน ผมยังไม่ได้มีโอกาสได้เขียนเล่าเรื่องระบบการศึกษาของที่นี่สักเท่าไหร่ มีเพียงเรื่องเล่าหรือประสบการณ์จากบางคลาสเรียนที่ประทับใจเท่านั้น พอลองค้นดูใน Google ก็ไม่ค่อยเจอข้อมูลภาษาไทยที่พูดถึงระบบการศึกษาของไต้หวันเท่าไหร่นัก (หากไม่นับข้อมูลทุนเรียนต่อ) บทความส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเสียมากกว่า ก็เลยอยากจะใช้โอกาสนี้ ในฐานะนักเรียนต่างแดน ลองเขียนเล่าถึงไต้หวันในแง่มุมการศึกษาดูบ้าง
มากกว่าการผลิตชิป คือ ‘การยืนแถวหน้าในเวทีการศึกษาโลก’
เมื่อพูดถึงประเทศไต้หวัน หากนึกแบบเร็วๆ หลายคนคงนึกถึงมหาอำนาจด้าน ‘การผลิตชิป’ อันดับต้นๆ ของโลก หรือไม่ก็คงเป็น ‘ชานมไข่มุก’ อันเลื่องชื่อ แต่อีกเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ คือเรื่องการศึกษาที่ไต้หวันก็ทำได้ดีไม่น้อยหน้า หากอ้างอิงตามผลสอบ PISA ในปี 2022 พวกเขาติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกเสียด้วยซ้ำ
ย้อนไปในอดีต หลังการยกเลิกกฎอัยการศึก ในปี 1987 ไต้หวันเริ่มเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตย และเริ่มปฏิรูปการศึกษาช่วงราวทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เกิดข้อถกเถียงถึงหลักสูตรและเป้าหมายของการศึกษาที่ควรจะเป็น รวมถึงคุณภาพการศึกษาด้วย จริงๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง หลายประเทศในเอเชีย (รวมถึงไทย) ต่างก็มีการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่เช่นกัน
ในระยะหลังมานี้ ไต้หวันได้โอบรับกระแสโลกในการปฏิรูปการศึกษาตามแนวทาง OECD และ UNESCO มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรสมรรถนะ การพัฒนาที่ยั่งยืน Social-Emotional Learning (SEL) ซึ่งได้เข้ามาเป็นหลักคิดในการออกแบบนโยบาย หลักสูตร ไปจนถึงการพัฒนาครู
ด้วยความมุ่งหมายจะเป็นสากลในเวทีโลก นโยบาย ‘New Southbound’ ได้กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เข้ามาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการไต้หวันในปี 2018 เผยว่า ตลอด 7 ปี ในช่วงปี 2012 -2018 มีนักเรียนจากประเทศเหล่านี้ เพิ่มขึ้นทุกปีๆ ในปี 2018 มีมากกว่า 45,000 คน หรือเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2012
นอกจากนี้ภายในประเทศเอง รัฐบาลไต้หวันยังสนับสนุนนโยบายการเรียนสองภาษา หรือ ‘bilingual education 2030’ เพื่อหวังให้นักเรียนของพวกเขาสามารถใช้และสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วควบคู่ไปกับภาษาจีนที่เป็นภาษาแม่ในปี 2030 ทำให้ตอนนี้ ในหลายๆ โรงเรียน แต่ละรายวิชาจะต้องจัดให้มีการเรียนสองภาษาอย่างน้อยๆ ก็ในบางเนื้อหาของบางคาบเรียน เรียกได้ว่าครูต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนขนานใหญ่ แต่ก็ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความพร้อมของนโยบาย หลักการ bilingual education ที่ควรจะหมายถึงการให้ความสำคัญกับภาษาพื้นเมืองเป็นหลัก รวมถึงการที่เด็กบางคนอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วย
ชานมหลากสีกับ ‘พหุวัฒนธรรมและความเหลื่อมล้ำ’
เรื่องหนึ่งที่ถูกให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็น ‘พหุวัฒนธรรม’ เพราะในสังคมไต้หวันมีกลุ่มชาติพันธุ์และชนพื้นเมืองหลากหลายกลุ่ม ประกอบกับการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติ ประเด็นเรื่องพหุวัฒนธรรมจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่ถูกพูดถึงในระบบการศึกษา รวมไปถึงเรื่อง เพศ อัตลักษณ์ และชนชั้นด้วย ทำให้บางมหาวิทยาลัยที่ผลิตครู ต่างก็มีวิชา Multicultural Education เป็นวิชาพื้นฐานเพื่อวางรากฐานความคิดให้กับนักศึกษาด้วย
จำได้ว่าตอนเรียนวิชานี้ในช่วงปริญญาโท อาจารย์เล่าให้ฟังว่า หนังสือแบบเรียนที่นี่จะให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ไม่ได้นำเสนอภาพของผู้หญิงในฐานะคนเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้านอยู่ฝ่ายเดียว แต่ในหนังสือเรียนจะมีภาพผู้ชายทำสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน หรือบางอาชีพที่มักมีมายาคติว่าเป็นอาชีพของเพศใดเพศหนึ่ง จะถูกเล่าใหม่ผ่านแบบเรียนว่าทุกคนสามารถประกอบอาชีพนั้นได้
ในระบบสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของไต้หวัน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ คะแนนสอบเข้าของนักเรียนที่มาจากกลุ่มชนพื้นเมือง (Indigenous people) จะถูกนำมาคูณสัดส่วนบางอย่างเพื่อเพิ่มคะแนน
อาจารย์ท่านหนึ่งอธิบายว่านโยบายนี้มีหลักคิดเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมให้กับเด็กกลุ่มที่เสียเปรียบทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และภาษา โดยวิธีนี้จะเอื้อให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่แน่นอนว่าก็มีคำถามตามมาเช่นกันว่า นโยบายนี้กำลังสร้างระบบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อที่ยุติธรรมจริงหรือไม่
เรื่องความยุติธรรมยังถูกตั้งคำถามผ่านงานดุษฎีนิพนธ์ ‘Voice of the oppressed in Higher Education’ ของ Chang (ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำอยู่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน) ในราวปี 2009 เธอได้ศึกษาเรื่องราวของนักเรียนอาชีวะ 12 คน เกี่ยวกับการเข้าเรียนต่อในวิทยาลัย การได้พูดคุยกับนักเรียนทำให้เธอสัมผัสได้ถึงเงื่อนไขของความเหลื่อมล้ำที่ผลักให้พวกเขาไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เพื่อเข้าถึงหลักประกันความมั่นคงของชีวิตและรายได้จุนเจือครอบครัว การเลือกเรียนต่อในสายอาชีวะจึงเป็นทางเลือกที่เงื่อนไขของชีวิตบีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือก
อาจารย์ Chang ยังพบอีกว่า นักเรียนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากระบบการศึกษาที่ไม่สามารถส่งพวกเขาให้ไปถึงฝั่งฝันที่ต้องการได้ ผมมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ Chang แม้งานวิจัยของเธอจะผ่านมาราว 10 กว่าปีแล้ว แต่เธอได้ตั้งข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจว่า นักเรียนมีโอกาสเลือกเส้นทางการเรียนต่อของตนเองได้จริงหรือไม่ หรือ ที่จริงแล้วระบบการศึกษาต่างหากที่กำลังเลือกพวกเขา
ในทางตรงกันข้าม บทความวิจัย ‘Buying into the Meritocracy: Taiwanese Students and the Market for College Admissions Services’ ของ Chen และ Berman ที่เพิ่งจะตีพิมพ์ออกมาในปี 2022 กลับฉายภาพให้เห็นเรื่องราวชีวิตของนักเรียนกลุ่มบนของสังคมของไต้หวัน ซึ่งส่วนหนึ่งในงานศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า นักเรียนจากภูมิหลังทางครอบครัวและเศรษฐกิจที่ดีจะใช้ทุนที่มีในการซื้อบริการทางการศึกษา อาทิ บริการตรวจภาษาอังกฤษ คอร์สปรับภาษา เพื่ออุดรอยรั่วในภาษา (หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า cultural capital) ในการยื่นใบสมัครเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรป
แม้งานศึกษาทั้งสองฉบับจะมีอายุห่างกันราว 10 ปี แต่ก็พอฉายภาพให้เราได้รับรู้ถึงเรื่องราวความเหลื่อมล้ำและโอกาสในชีวิตของนักเรียนไต้หวันที่ยังคงมีระยะห่าง แน่นอนว่ารัฐเองก็ออกนโยบายเพื่อพยายามแก้ไขเรื่องนี้ หนึ่งนั้นคือโครงการ Stars Program ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2007 โดยหวังให้นักเรียนมัธยมปลายมีโอกาสในการเรียนในระดับอุดมศึกษาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นและไม่กระจุกอยู่ที่โรงเรียนชั้นนำเท่านั้น ผ่านการจัดสรรโควตาที่นั่งในมหาวิทยาลัย โดยครูจะเป็นคนแนะนำว่านักเรียนคนไหนที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะอิงจากคะแนนเฉลี่ยจากสองปีแรกของโรงเรียนมัธยมเป็นเกณฑ์การรับเข้าเรียนร่วมกับคะแนน GSAT ที่กำหนดโดยมหาวิทยาลัย
นอกแก้วชานม ‘แวดล้อมการเรียนรู้’
ในสังคมมีการวิจารณ์วัฒนธรรมและค่านิยมการแข่งขันและการสอบด้วยเช่นกัน แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลมากนัก เมื่อเด็กจำนวนไม่น้อยพุ่งตรงไปยังโรงเรียนกวดวิชา (Cram school) โดยทันที ตั้งแต่หลังเลิกโรงเรียนจนถึงสองสามทุ่ม และในวันหยุดสุดสัปดาห์ โรงเรียนกวดวิชา ยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของนักเรียน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นภาพที่เห็นได้จนชินตาในสังคมไทยเช่นกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือนอกรั้วโรงเรียนในไต้หวัน แหล่งเรียนรู้อย่าง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ หอศิลปะ ห้องสมุด เป็นสิ่งกระจายไปอยู่ทุกมุมเมือง สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้โดยสะดวก
เนื้อหาในพิพิธภัณฑ์บางแห่งที่ผมเคยมีโอกาสได้เยี่ยมชมนั้นในแต่ละเมือง ไม่ว่าจะเป็น National Taiwan Museum Houtong Miner’s Culture & History Museum Lanyang Museum และ Kaohsiung Museum of History ต่างให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของความหลากหลายผู้คนและสรรพสิ่ง มากกว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ชนชั้นสูงเป็นหลัก เปิดพื้นที่ให้กับเรื่องเล่าของคนธรรมดา เรื่องเล่าในท้องถิ่น และกลุ่มชาติพันธุ์ ได้มีความทรงจำร่วมในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ช่วงเวลาอันเลวร้าย ‘ความน่าสะพรึงสีขาว’ หรือ ‘White Terror’ ที่มีการปราบปรามผู้เห็นต่างจำนวนมาก และไต้หวันต้องอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกษามานานกว่า 38 ปี ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์และตอกย้ำใหผู้คนตระหนักถึงมันอยู่เสมอในฐานะวันหยุดราชการ เพื่อระลึกถึงการต่อสู้ของประชาธิปไตยของผู้คน
หากพูดให้ชัด เหล่านี้คือนิเวศการเรียนรู้ ที่พวกเขาใช้สร้างการเรียนรู้พลเมืองประชาธิปไตยที่นอกเหนือไปจากห้องเรียน
หวังว่า สิ่งที่ผมเขียนอาจพอจะฉายภาพคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระบบการศึกษาและนิเวศการเรียนรู้ ที่ประเทศเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใด ทำอะไร และอะไรคือข้อท้าทายที่เกิดขึ้น
อ้างอิง
PISA 2022: ส่องคะแนนนักเรียนไทยอยู่จุดไหนในเวทีโลก (thestandard.co)
เกาะคุก จับแพะ และเผด็จการ : กว่าประชาธิปไตยจะปักหลักบนเกาะไต้หวัน – The 101 World
Buying into the Meritocracy: Taiwanese Students and the Market for College Admissions Service
TAIWAN’S 2030 BILINGUAL NATION POLICY IS WELL INTENDED, BUT REFLECTS CULTURAL COLONIALISM