Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2023

การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’
Transformative learningSocial Issues
29 August 2023

การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • โจทย์ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้ทั้งระบบ ภายใต้แนวคิดโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ TSQP นอกจากครูจะมีบทบาทสำคัญแล้ว ผอ.ต้องเห็นคุณค่าในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วย
  • วิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการฯ ที่จะนำโรงเรียนไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี ต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการพัฒนาศักยภาพนักเรียน ที่ไม่ใช่แค่รู้วิชา แต่มี VASK ที่จะพัฒนาสมรรถนะรอบด้าน
  • พาไปดูตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนไปสู่โรงเรียนพัฒนาตนเองของพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ อย่าง ‘โรงเรียนบ้านโพนครก’ ที่ใช้เครื่องมือ DE ในการกำหนดเป้าหมายคุณภาพผู้เรียน ออกแบบการเรียนรู้ และมีกระบวนการประเมินผล ในกลุ่มสาระสุขศึกษาฯ

ภาพ Photo by jcomp on Freepik

การหลุดออกจากระบบการศึกษาในเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง มีแนวโน้มสูงขึ้น

ภาวะการเรียนรู้ที่ถดถอย (Learning Loss)

การจัดการสอนของครูยังไม่สอดคล้องกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่

คุณภาพของโรงเรียนในประเทศไทยยังมีความแตกต่างกัน

นี่คือสถานการณ์ปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ถูกสะท้อนออกมาในเวทีต่างๆ รวมถึงในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้โรงเรียนพัฒนาตนเองระดับพื้นที่ ครั้งที่ 2 ‘กลไกพัฒนาการศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ สู่งานมหกรรมการศึกษาไทย’ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2566

“ที่ผ่านมาการศึกษาไทยมุ่งไปที่ Knowledge (ความรู้) กันมาก พอเราขยับมาดูที่ Skill (ทักษะ) ของเด็กเป็นอย่างไร ก็จะมีให้เด็กฝึกอาชีพในโรงเรียน มี Skill อาชีพ หรืออนาคตต้องการโปรแกรมเมอร์ ก็อัดคอมพิวเตอร์ใส่ไปให้เด็ก แต่พอมาช่วงนี้ DE มูลนิธิสยามกัมมาจลชวนมองต้นทุนในท้องถิ่น ทรัพยากรในพื้นที่ Skill ที่เด็กควรจะมี ควรจะเป็น หรือที่เขาอยู่รอดได้ มองใกล้ๆ ซึ่งในพื้นที่สุรินทร์ทรัพยากรมีเยอะ แต่ขาดการคุยกัน ขาดการจัดการ ครูไม่รู้ เพราะว่าครูมาจากถิ่นอื่นก็มี กสศ.คิดว่าเราน่าจะหนุนในเรื่องนี้ แล้วก็เรื่อง Attitude (เจตคติ) ไล่ตั้งแต่ผอ.โรงเรียนมาเลย ความเชื่อว่าทำได้ มีแรงบันดาลใจ แล้วส่งต่อให้เพื่อนครู มันจะไหลไปถึงตัวครู ตัวเด็ก และไปถึงผู้ปกครอง”

ทั้งนี้ ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครู และสถานศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชวนมองต่อถึงโจทย์การยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้ทั้งระบบ ภายใต้แนวคิดโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง (Teacher and School Quality Program) หรือ TSQP ว่านอกจากครูจะมีบทบาทสำคัญแล้ว ผอ.ต้องเห็นคุณค่าในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วย

“การที่เราพยายามจะวัดว่า เด็กเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เฉพาะเด็กนะ แต่ครูด้วย สิ่งที่ครูทำได้เห็นคุณค่า รวมถึง ผอ.เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองทำหรือเปล่า”

ภาพจากเฟซบุ๊ก โรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา

 ผอ.ปรับ โรงเรียนขยับไปหนึ่งสเต็ป

ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ไม่เพียงหน้าที่ด้านการบริหารจัดการ ยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิชาการและผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการพัฒนาคุณภาพห้องเรียนและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้ดีขึ้น ซึ่งแต่ละท่านอาจมีวิธีการบริหารที่แตกต่างกัน แต่เชื่อว่าหมุดหมายปลายทางเดียวกันคือ การพัฒนาศักยภาพนักเรียน ที่ไม่ใช่แค่รู้วิชา แต่มี VASK (V = values – ค่านิยม, A = attitude – เจตคติ, S = skills -ทักษะ, K = knowledge -ความรู้) ที่จะพัฒนาสมรรถนะด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะต้องมีทีมงานที่เข้มแข็งอย่างครู และเครือข่ายที่ร่วมด้วยช่วยกันหนุนเสริม แต่อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญ แน่นอนว่าต้องมาจากวิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการฯ

ดร.สุเทพ แปลงทับ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา มองว่า ในการพัฒนาโรงเรียน ยกระดับห้องเรียน สิ่งแรกที่ต้องปรับคือ การปรับ Mindset ไม่มองความรู้เป็นสิ่งหยุดนิ่ง มีการเติมเต็มองค์ความรู้ใหม่ในด้านการศึกษาเสมอ โดยเริ่มต้นที่ตัวผู้อำนวยการโรงเรียนก่อนเป็นอันดับแรก

“แม้ว่าเราจะมีครูที่เก่งๆ อยู่ในโรงเรียน แต่ถ้าผอ.ไม่เห็นความสำคัญหรือไม่เอาด้วย ก็ไปต่อยาก สิ่งแรกเลยก็คือ ผอ.จะต้องปรับตัวในเรื่องขององค์ความรู้ใหม่ๆ เช่น active learning PLC หรือ DE ก็ตาม ถ้าผอ.ไม่เก็ต ไม่ทำความเข้าใจ ก็จะทำตามวัฒนธรรมคนอื่น 

ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีอะไรที่จะต้องตระหนัก สร้างความเข้าใจกับคณะครู ทำอย่างไรก็ได้ให้มีความรู้เท่าทันกระแสของวงการศึกษา สังคมการศึกษาที่เกิดขึ้น”

นอกจากเรื่ององค์ความรู้ที่ผู้อำนวยการจะต้องเติมเต็มแล้ว ดร.สุเทพ มองว่าอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง

“ผอ.อาจมองว่าตัวเองต้องขยับขยายไปสู่โรงเรียนใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่อยากให้มองตรงนั้น อยากจะให้มองว่า อยู่โรงเรียนขนาดเล็ก 40-60 คน ก็เพื่อพัฒนาการศึกษา อยากให้มองในมุมคุณค่าของการทำงาน คุณภาพของงานที่เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อผอ.มองเห็นก็จะปรับตัวจะไม่อ้างเหตุอื่นใดเลยว่า โรงเรียนเราเล็ก เราทำไม่ได้

นอกจากผอ.จะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองแล้ว ทีมงานก็สำคัญนะครับ เช่น ถ้าเราอยากให้คุณครูเขาส่งผลงานเข้าประกวด แต่เราไม่สร้างแรงบันดาลใจ หรือกระตือรือร้น หรือจุดโฟกัสให้ ก็คงยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องให้ใจนำ ให้พลังกับครูซึ่งเป็นทีมงานของโรงเรียน”

ที่สำคัญในการทำงานร่วมกันคือ ความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับตารางการทำงานเดิมของโรงเรียน และนี่ก็คือในส่วนของการปรับตัวของโรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา

“การที่มีกสศ.เข้ามามาสนับสนุน มันทำให้เราไม่ติดอยู่ในอ่าง คือมีองค์คณะหนึ่งมาช่วยชี้แนะเปิดทาง อย่างเช่น PLC หรือแม้กระทั่งกิจกรรมอื่นๆ มันเหมือนกับว่าหลังจากที่เราจบมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ได้โดดเดี่ยว จะมีคนคอยเป็นห่วงเรา คอยชี้แนะ ตรงนี้อยากให้ทุกท่านเปิดใจในการที่จะร่วมกิจกรรมกับทางกสศ. แล้วก็อย่ามองเป็นภาระนะครับ เพราะสิ่งที่ได้รับนี้ เป็นสิ่งที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์กับหน่วยงาน ให้มองตรงจุดนี้แล้วเราก็จะก้าวไปด้วยกัน”

ดร.สุเทพ แปลงทับ (ภาพจากเฟซบุ๊ก วัฒนธรรมกูย โรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา)

DE กำหนดเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนบ้านโพนครก

จุดหมายปลายทางของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือที่เราเรียกกันว่า TSQP นั้น ก็คือการพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น คุณครูได้เกิดการพัฒนาตนเอง และโรงเรียนบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ เพื่อลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา ลดภาวะการเรียนรู้ถดถอย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และดูแลช่วยเหลือและพัฒนาต่อเนื่องตามศักยภาพของเด็กและเยาวชน

โดยบุคคลที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการจะผลักดันให้โรงเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้นั้น อย่างที่ ดร.สุเทพ บอกไว้เมื่อตอนต้นว่า ผู้อำนวยการคือคีย์แมนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะมีครูเก่งแค่ไหน แต่ถ้าผู้อำนวยการไม่เห็นความสำคัญ การพัฒนาก็เป็นไปได้ยาก

และหนึ่งในตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนไปสู่โรงเรียนพัฒนาตนเองของพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนมีบทบาทอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ โรงเรียนบ้านโพนครก โดย ดร.ศุภณัฐ อินทร์งาม ผู้อำนวยการที่ได้ใช้เครื่องมือ DE กำหนดเป้าหมายคุณภาพผู้เรียนสู่การกำหนดตัวชี้วัดและนำสู่ห้องเรียน 

สำหรับ DE (Developmental Evaluation) หรือ การประเมินเชิงพัฒนา เป็นการประเมินโดยให้ Stakeholders หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งในที่นี้คือ คุณครู นักเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียน ชุมชน และศึกษานิเทศก์เขต เข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ประเด็นปัญหา เพื่อนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น โดย ดร.ศุภณัฐ ยกตัวอย่างการใช้เครื่องมือ DE ในกลุ่มสาระสุขศึกษาและพละศึกษา

“ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนจะต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อมีเป้าหมายแล้ว จะต้องกำหนดจุดเน้น เมื่อกำหนดจุดเน้นแล้วต้องหากลยุทธ์ เมื่อหากลยุทธ์เสร็จแล้วตัวที่จะบอกได้คือผลลัพธ์ ผลลัพธ์ต้องตอบโจทย์ กระบวนการที่เราใช้คือ DE”

ขั้นตอนการดำเนินงานของ DE จะมีด้วยกัน 3 ขั้นตอน คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยดร.ศุภณัฐ เล่าถึงแผนการดำเนินงานที่โรงเรียนวางไว้ดังนี้

เริ่มจาก DE ต้นน้ำ โรงเรียนโพนครกใช้ชื่อว่า ‘วิเคราะห์ปัจจุบัน สร้างฝันอนาคต’ โดยขั้นต้นเป็นการร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาในบริบทของโรงเรียน จากนั้นมาสู่การตั้ง KPI หรือการกำหนดเป้าหมาย และออกแบบการเรียนรู้ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย และที่สำคัญต้องมีกระบวนการประเมิน

“วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน เราใช้เทคนิคภูเขาน้ำแข็งในการวิเคราะห์ ซึ่งจะมีจุดสำคัญอยู่ 4 ประเด็น คือ สิ่งที่เราเห็นคืออะไร พฤติกรรมหรือแบบแผนปฏิบัติเป็นอย่างไร โครงสร้างแล้วก็ค่านิยมเป็นอย่างไร เมื่อวิเคราะห์แล้วก็เข้าสู่จุดที่สำคัญ ก็คือการกำหนดประเด็นเร่งด่วน ( Red Zone) ซึ่งเรากำหนดไว้ 3 กลุ่ม คือ หนึ่ง ผู้เรียนหรือว่าผลลัพธ์, สอง ครู,สาม ผู้บริหาร” 

จากนั้นกำหนดเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นเป้าหมายของผู้เรียน ครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และชุมชน

“สิ่งที่เรากำหนดผู้เรียนคือ ทำงานเป็นเป็นทีม มีความสุขในการเรียน สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ เป้าหมายครูคือ จัดการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยประยุกต์ขั้นตอนการสอนของ OECD ผู้บริหารผู้อำนวยการส่งเสริมการจัด PLC เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ Active Learning และสร้างเครือข่ายช่วยเหลือครู สุดท้ายชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ ส่งเสริม ให้ความรู้ร่วมมือเพื่อพัฒนาการเรียนรู้” 

ดร.ศุภณัฐ อินทร์งาม (ภาพจากเฟซบุ๊ก โรงเรียนบ้านโพนครก)

การออกแบบการเรียนรู้ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้น ดร.ศุภณัฐยกตัวอย่าง โครงการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียน

“การจัดกิจกรรมกีฬาสีนี้เป้าหมายคือให้นักเรียนได้ความรู้ เข้าใจ นำไปใช้แล้วก็เรียนรู้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นครูทำยังไง ผอ.ทำยังไง อย่างแรกเราต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนว่าเราจะทำอะไร มีการวางแผนร่วมกัน ลงมือปฏิบัติ และมาร่วมกัน PLC อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเราก็สะท้อนผล อันนี้คือกระบวนการบริหารจัดการภายในโรงเรียน” 

“ส่วนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน อันดับแรกให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแบ่งสี สองจัดตั้งคณะกรรมการคือนักเรียนเอง ครูเป็นเพียงที่ปรึกษา นักเรียนแบ่งหน้าที่กันเอง โดยให้ปฏิบัติตามแผนที่วางร่วมกัน ซึ่งตรงนี้จุดนี้ที่จะได้ก็คือเรื่องของภาวะผู้นำ ทำอย่างไรหัวหน้าสี หัวหน้ากลุ่มจะสามารถจัดประชุม เเล้วก็สร้างข้อสรุปได้ว่าเราจะทำอย่างไร เช่น การเตรียมอุปกรณ์ เวลาแบ่งจัดทีมซ้อม การวางแผนทุกอย่างเป็นหน้าที่ของผู้เรียน ครูทำหน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุน แนะนำ เป็นโค้ชให้” 

ต่อมาในขั้นกลางน้ำเป็นกระบวนการติดตามการดำเนินงาน เพื่อที่ว่าขาดเหลืออะไร และจะหนุนเสริมอย่างไร และสุดท้ายในขั้นปลายน้ำ คือการตรวจสอบผลลัพธ์ เพื่อไปสู่เป้าหมาย

“ในการตรวจสอบผลการเปลี่ยนแปลง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงว่ามีอะไรบ้าง ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน คือนักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ สามารถทำงานเป็นทีมได้ และมีความสุขกับการเรียน ในเรื่องของการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองก็เห็นได้ชัดเจน

การเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เด็กมีโอกาสเรียนรู้จากการลงมือทำ หากพูดถึงความสามารถทางด้านกีฬา นักเรียนสามารถที่จะจัดการแข่งขันได้ จัดวิธีการแบ่งสายแบ่งทีม และตัดสินได้ ในเรื่องของครู ครูสามารถสอนแบบ Active Learning ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงสมรรถนะ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ PLC อย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการนิเทศติดตาม ผู้อำนวยการเป็นผู้นำในการ PLC มีความถี่ในการนิเทศชั้นเรียนมากขึ้น และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูพัฒนาตนเอง จากกิจกรรม PLC Online” 

ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนบ้านโพนครก หลังจากได้นำเครื่องมือต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนของโครงการ TSQP มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพของระบบบริหารจัดการและการเรียนการสอนที่มีคุณภาพในชั้นเรียน

Tags:

คุณภาพการศึกษาProfessional Learning Community : PLCกสศ.TSQPโรงเรียนพัฒนาตนเองผู้อำนวยการโรงเรียนDE (Developmental Evaluation)

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เปลี่ยน ‘ผู้คุม’ เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กก้าวพลาดได้เริ่มต้นใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้’ ฟื้นฟูก่อนเด็กยุคโควิดเสี่ยงเป็น Lost Generation

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    ถอดบทเรียนกรณีครูปฐมวัยทำร้ายเด็กเล็ก1: บทบาทครูปฐมวัยและการควบคุมคุณภาพ

    เรื่อง The Potential

เข้าใจ(สมอง)วัยรุ่น ทำไมชอบเสี่ยง?
How to get along with teenager
28 August 2023

เข้าใจ(สมอง)วัยรุ่น ทำไมชอบเสี่ยง?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • วัยรุ่นไม่ได้มีจิตใจอยากทำอะไรเสี่ยงๆ จริงๆ หรอก แต่ว่าสมองส่วนประเมินความเสี่ยงยังพัฒนาไม่เต็มที่ และยังอาจมีปัจจัยภายนอก เช่น แรงกดดันจากเพื่อนฝูง ซึ่งถ้าทุกคนทำแล้วจะไม่ทำอยู่คนเดียว ก็ยากจะปฏิเสธ และคนก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเสมอ
  • มองในมุมกลับ การมองไม่เห็นภัยหรืออันตราย หรือความยากลำบากแสนสาหัสของสิ่งที่จะตามมา ทำให้วัยรุ่นสามารถตัดสินใจทำ ‘เรื่องใหญ่’ ได้ชนิดที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าทำ เพราะคิดอย่างรอบคอบรอบด้านจนเกินไป
  • ผู้ใหญ่เองก็อย่าห้ามวัยรุ่นไปหมดเสียทุกเรื่อง เพราะตัวเองก็อาจประเมินผิดก็ได้

การตัดสินใจของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อนมาก

ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมี ‘มูลค่า’ เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้ผลิตสามารถวางเป้าหมายได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ในเรื่องทางเศรษฐกิจ อดัม สมิธ พยายามตอบคำถามนี้มาตั้งแต่การพยายามค้นหาคำตอบเรื่องกลไกของการสร้างความมั่งคั่งและการสร้างสังคมที่รุ่งเรือง

เรื่องที่มองย้อนกลับไปแล้วก็ออกจะตลกอยู่สักหน่อยว่า เดิมนั้น ‘แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์’ มีสมมุติฐานข้อหนึ่งซึ่งต่อมาก็ต้องยอมรับว่าเป็นจุดอ่อนของทุกแบบจำลอง นั่นก็คือความเชื่อที่ว่ามนุษย์ตัดสินใจเลือกทำสิ่งต่างๆ (รวมทั้งเลือกซื้อสินค้า) ด้วยความคิดที่มีเหตุผล

เรื่องนี้ไม่จริงเลย!

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในโลกสมัยใหม่ก็คือ การเลือกซื้อรถยนต์ บางคนที่มีเงินมากสักหน่อยเลือกซื้อรถยนต์ที่มีที่นั่งแค่ 2 ที่ บรรทุกอะไรแทบไม่ได้ และราคาแพงระยับ เพียงเพราะรถยนต์นั้นรูปทรงสวยงาม วิ่งได้เร็วมาก และราคาแพงจนมีคนน้อยมากสามารถเป็นเจ้าของได้ แม้ว่าความจริงก็คือ มันวิ่งได้จริงบนท้องถนนได้แค่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเลขหรือเข็มบนหน้าปัทม์

สาเหตุหลักก็เพื่อแสดงฐานะและอาจมีปัจจัยเรื่องความชื่นชอบในความเร็วมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งก็เป็น ‘ปัจจัยเสี่ยง’ เรื่องความปลอดภัยอีกต่างหาก

ตัวอย่างคลาสสิกอีกเรื่องหนึ่งคือ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทศวรรษ 1930 เมื่อเกิดข่าวลือเรื่องธนาคารจะล้ม ผู้คนก็แห่กันไปถอนเงินจนธนาคารล้มไปจริงๆ เพราะไม่มีเงินสดจำนวนมากมายมาให้ถอนได้พร้อมๆ กัน เพราะธรรมดาแล้วเงินที่เราฝากไว้ ธนาคารจะนำไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ และจะมีเงินสดเหลืออยู่ส่วนหนึ่งเท่านั้นในระบบเพื่อให้ถอนได้ การแห่ไปถอนเงินพร้อมๆ กัน แม้แต่ธนาคารที่มั่นคงที่สุดก็ยังอาจจะล้มได้ในเวลาแทบจะชั่วข้ามคืนทีเดียว หากไม่สามารถหยิบยืมเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นมาให้ถอนได้

แต่ทุกครั้งที่เกิดข่าวลือแพร่หลายว่า ธนาคารใดกำลังจะล้ม ผู้คนก็จะแห่กันไปถอนเงินด้วยความตื่นตระหนกทุกครั้งไป!

นักจิตวิทยาชื่อ แดเนียล แบร์นูลลี (Daniel Bernoulli) พบว่าปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อการตัดสินใจของผู้คนก็คือ จำนวนรายได้ที่เขาได้รับอยู่ โดยไม่ขึ้นโดยตรงกับผลประโยชน์ที่จะได้รับและความสูญเสียที่เขาอาจต้องจ่าย เช่น หากเป็นคนที่มีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 10,000 ปอนด์ การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการได้เงินเพิ่มอีก 500 ปอนด์จะต้องให้ความสำคัญมาก ต่างจากนักกีฬาฟุตบอลที่อาจจะได้เฉลี่ย 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (เพียงสัปดาห์เดียวก็ได้มากกว่าคนทั่วไปทำงานทั้งปี 5 เท่าแล้ว) 

กรณีหลังเงินจำนวน 500 ปอนด์แทบไม่กระตุ้นให้เกิดความสนใจด้วยซ้ำไป

เมื่อถึงศตวรรษที่ 20 จึงเกิดแบบจำลองใหม่ๆ ที่พิจารณาว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลและใช้เหตุผลในการตัดสินใจเสมอไป งานวิจัยทำนองนี้มีนักจิตวิทยา 2 คนคือ แดเนียล คาห์นีแมน (Daniel Kahneman) และ เอมอส ทเวอร์สกี (Amos Tversky) ที่มีส่วนอย่างมากในการบุกเบิก โดยทั้งคู่ทดลองจนรู้ว่า มนุษย์เกลียดการสูญเสียมากกว่าหากเทียบกับความชอบได้รับ

หากให้อาสาสมัครทอดลูกเต๋าโดยระบุตัวเลขไว้ว่า ถ้าทอดได้หมายเลขใดหมายเลขหนึ่งจะได้เงิน 100 ปอนด์ การทำแบบนี้จะเทียบความรู้สึกไม่ได้เลยกับการระบุว่า หากอาสาสมัครทอดเต๋าออกมาเป็นบางตัวเลขแล้วจะต้องเสียเงิน 100 ปอนด์ ยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น หากกำหนดว่าทอดได้เลข 6 จะได้ 100 ปอนด์ อาสาสมัครก็ย่อมจะอยากทอด เพราะมีแต่ได้กับเท่าทุน ไม่มีเสีย

แต่หากตั้งกฎว่าคุณจะได้เงิน 100 ปอนด์ หากทอดได้เลข 3, 4, 5 หรือ 6 แต่หากทอยออกมาเป็นเลข 1 หรือ 2 จะต้องจ่าย 100 ปอนด์ กรณีหลังนี้คุณยังจะกล้าเล่นอยู่ไหม? โอกาสได้หรือเสียคุ้มค่าจะเสี่ยงเพียงใด? 

สิ่งที่คาห์นีแมนกับทเวอร์สกีค้นพบก็คือ โอกาสที่จะเสียเงิน ‘มีน้ำหนัก’ ต่อการตัดสินใจเล่นหรือไม่เล่น มากกว่าเรื่องโอกาสความน่าจะชนะได้เงินเป็นอย่างมาก พูดอีกอย่างคือแม้เราอยากจะได้ก็ตาม แต่เรากลัวจะเสียมากกว่า 

แม้ว่าตามหลักเหตุผลแล้ว เรามีโอกาสได้มากกว่าเสียถึงเท่าตัวดังตัวอย่างการทอดลูกเต๋าที่ยกมานี้   

อีกการทดลองหนึ่งเป็นการให้ตัดสินใจบนข้อมูลสมมุติทางด้านการแพทย์ กลุ่มทดลองแรกได้ข้อมูลว่ามีผู้ป่วยหนัก 600 คนที่อาจจะเสียชีวิตได้ ขณะที่การรักษาทำได้ 2 แบบ แบบแรกจะช่วยรักษาให้ผู้ป่วย 200 คนหายได้ แต่การรักษาแบบที่ 2 มีโอกาสราว 1/3 ที่ทั้ง 600 คนจะได้รับการรักษาจนหายได้ แต่ก็มีโอกาส 2/3 ที่จะไม่มีรอดเลยสักคนเดียว 

จากนั้นจึงทดลองกับกลุ่มทดลองที่ 2 แม้จะได้รับข้อมูลชุดเดียวกัน แต่คราวนี้ใช้คำพูดที่แตกต่างออกไป โดยแจ้งว่าสำหรับการรักษาแบบแรกนั้นจะมีผู้ป่วยที่เสียชีวิต 400 คน ในขณะที่การรักษาแบบที่ 2 นั้นมีโอกาส 1/3 ที่จะไม่มีใครเสียชีวิตเลย และมีโอกาส 2/3 ที่ผู้ป่วยทุกคนจะเสียชีวิต 

หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า โอกาสของทั้งสองวิธีไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ในกลุ่มทดลองแรก ข้อมูลจะเป็นแบบ ‘ช่วยชีวิต’ ในขณะที่กลุ่มทดลองที่ 2 นั้น ข้อมูลที่ให้เน้นไปที่ ‘การเสียชีวิต’ ผลลัพธ์คือ คนส่วนใหญ่ในกลุ่มแรกเลือกวิธีการรักษาแบบแรก ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ 2 เลือกวิธีการรักษาแบบที่ 2 

ดังนั้น ข้อมูลชุดเดียวกันแท้ๆ แค่นำเสนอแตกต่างกัน ก็ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาเป็นอย่างมาก 

ในโลกแห่งความเป็นจริง ข้อมูลประกอบการตัดสินอาจไม่ได้มีลักษณะดำขาวหรือมีตัวเลขที่ตรวจวัดได้ชัดเจนเช่นนี้ อีกทั้งยังมักต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วแบบเหตุการณ์เฉพาะหน้าอีกด้วย ในสถานการณ์แบบนี้ สมองจะหันกลับไปใช้โหมดสัญชาตญาณที่เริ่มพัฒนาขึ้นเมื่อนานมาแล้วและติดตัวเรามาตั้งแต่สมัยยังเป็นพรานล่าสัตว์หาของป่าอยู่ในทุ่งซาวันนาห์ในทวีปแอฟริกา 

ในสมัยนั้นการตัดสินใจอย่างรวดเร็วช่วยให้รอดชีวิตจากผู้ล่าได้ 

ความรู้สึกกลัวเมื่อขึ้นเครื่องบินหากเทียบกับนั่งในรถยนต์ ก็เป็นผลกระทบทางอ้อมจากชีวิตเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งหากดูจากสถิติแล้ว กรณีแรกปลอดภัยมากกว่ากรณีหลังอย่างเทียบกันไม่ได้เลย เรามีแนวโน้มจะยึดติดกับเรื่องที่คุ้นเคยมากกว่าจนทำให้ประเมินเรื่องความปลอดภัยผิดเพี้ยนความจริงไปมาก 

การเลือกซื้อบ้านซึ่งคนทั่วไปทำไม่บ่อยก็เข้าข่ายกรณีนี้เช่นกัน คือคนมักจะประเมินมูลค่าบ้านในใจและมักยึดติดกับค่าดังกล่าวที่อันที่จริงแล้วบางทีก็เป็นแค่ค่าที่สุ่มขึ้นมา จนทำให้อาจประเมินมูลค่าบ้านจริงๆ ผิดไปเป็นโยชน์ 

ยิ่งในโลกสมัยใหม่ที่เรามีตัวเลือกมากมาย เช่น ในตอนเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต เราอาจจะมึนงงกับตัวเลือกสินค้าในหมวดเดียวกันที่มีมากมายมหาศาลจนตัดสินใจไม่ถูก สิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือกทำจึงมักอาศัยหลักง่ายๆ เช่น เลือกตามความคุ้นเคยหรือตามราคา (เลือกอันที่ถูกกว่า)  

ในกรณีของการเลือกซื้อรถยนต์ วิธีการที่อาจช่วยได้ก็เช่น การทำรายการลักษณะของรถยนต์ที่คุณต้องการ จากนั้นก็นำเอารถยนต์แต่ละคันที่พอจะอยู่ในข่ายซื้อไหวมาอยู่ในตาราง แล้วให้คะแนน อาจจะให้คะแนนเป็นช่วง 1-10 หรือ -5 ถึง +5 ก็ได้ แล้วก็ไล่ให้คะแนนไป 

เมื่อรวมคะแนนในตอนท้ายสุด เราก็จะได้รถยนต์ที่ตรงกับ ‘ความต้องการ’ ของเรามากที่สุด โดยตัดอคติต่างๆ ออก 

สุดท้ายมาดูประเด็นที่ยกมาเป็นหัวข้อไว้ก็คือ ทำไมวัยรุ่นชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ไม่ว่าจะขับรถเร็วมาก ดื่มหนัก เที่ยวหนัก หรือลองยาเสพติด?

มีการทดลองให้วัยรุ่นทำแบบสอบถามเรื่องพฤติกรรมเสี่ยงๆ ผลคือพวกวัยรุ่นก็รู้ว่า พฤติกรรมเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อวัดระยะเวลาที่ใช้ในการตัดสินใจก่อนตอบ พบว่าวัยรุ่นใช้เวลามากกว่าพวกผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

คำตอบอาจจะอยู่ที่สมองของวัยรุ่นส่วนที่ใช้ประเมินความเสี่ยงยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่ สมองส่วนดังกล่าวคือสมองส่วนพูหน้า (frontal lobe) ตรงหน้าผาก กล่าวอย่างจำเพาะมากขึ้นไปอีกคือ เป็นบริเวณที่มีชื่อว่า เวนโทรมีเดียล (ventromedial) และดอร์โซแลเทอรัล (dorsolateral) ของสมองส่วนพูหน้านี้

วัยรุ่นจึงไม่ได้มีจิตใจอยากทำอะไรเสี่ยงๆ จริงๆ หรอก เป็นแต่ว่าสมองส่วนประเมินความเสี่ยงยังพัฒนาไม่เต็มที่เท่านั้น นอกจากนั้นยังอาจมีปัจจัยภายนอก เช่น แรงกดดันจากเพื่อนฝูง (pressure) ซึ่งถ้าทุกคนทำแล้วจะไม่ทำอยู่คนเดียว ก็ยากจะปฏิเสธจริงๆ และคนก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเสมอ 

ผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงควรเข้าใจธรรมชาติแบบนี้ของวัยรุ่น เพื่อการสร้างสัมพันธภาพระหว่างวัยที่ดี

มองในมุมกลับ การมองไม่เห็นภัยหรืออันตราย หรือความยากลำบากแสนสาหัสของสิ่งที่จะตามมา ทำให้วัยรุ่นสามารถตัดสินใจทำ ‘เรื่องใหญ่’ ได้ชนิดที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าทำ เพราะคิดอย่างรอบคอบรอบด้านจนเกินไป เมื่อรวมกับประสบการณ์ความล้มเหลวในอดีต จึงทำให้ไม่กล้ารับงานใหญ่ที่ประเมินว่าใหญ่เกินตัว 

ดังนั้น ผู้ใหญ่เองก็อย่าห้ามวัยรุ่นไปหมดเสียทุกเรื่อง เพราะตัวเองก็อาจประเมินผิดก็ได้ 

มีแต่วัยรุ่นที่มีพลังล้นเหลือและ ‘กล้าเสี่ยง’ แบบนี้เท่านั้นที่คิดว่า ตัวเองสามารถเปลี่ยนโลกได้ และบางกรณีก็ทำได้จริงๆ เสียด้วย!  

เอกสารอ้างอิง

[1] Edoardo Albert (2022) Deciding is Difficult. Psychology Now, vol 2, pp.115-119

Tags:

วัยรุ่นการตัดสินใจสมองวัยรุ่นความเสี่ยง

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Voice of New Gen
    ไทกิ HOMEBURG: นักพัฒนาคราฟต์เบอร์เกอร์แบบคนบ้าและไม่เคยอยากเป็นเชฟ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Early childhoodMovie
    THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

    เรื่อง

วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร
SpaceCreative learning
21 August 2023

วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หากจะนำเกมมาสู่บทเรียน ในฐานะครู จำเป็นต้องมองไปให้ถึงว่า ‘เกมกำลังนำเสนอมุมมองต่อโลกอย่างไร’ แต่ละเกมพาให้ผู้เล่นได้กระทำการ ต่อรอง มองเห็น รับรู้ ได้ยิน และรู้สึกแตกต่างกันออกไปอย่างไร ผ่านกลไกล เงื่อนไข เนื้อหา รูปแบบการเล่นแบบไหน
  • ยกตัวอย่าง ‘This War of Mine’ วีดีโอเกมชื่อดังจากค่าย 11bit studio ที่ผู้เล่นจะต้องสวมบทบาทเป็นคนธรรมดาสามัญที่ต้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวันท่ามกลางฉากหลังของสงคราม และมีเหตุการณ์ทางศีลธรรมที่ทำให้เราต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไร
  • เกมนี้กำลังเสนอการเรียนรู้ที่พาให้เรามองโลกที่มีชีวิตของคนอื่นๆ อยู่ด้วย โลกที่เราไม่สามารถมองคนอื่นในฐานะจำนวน (units) เหมือนเกมสงครามอื่นในท้องตลาดที่ทำให้จริยธรรมในการตัดสินใจเป็นแค่เรื่องระหว่างใครเป็นพวก ใครเป็นศัตรู

ท่ามกลางการสู้รบ สงคราม และซากปรักหักพัง

ตอนนี้น้องของคุณกำลังป่วยหนัก คุณได้ยินมาว่าบ้านหลังหนึ่งมียารักษา คุณจึงรีบมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังนั้นทันที เมื่อคุณไปถึง คุณขอยาจากหญิงสาวเจ้าของบ้าน อันที่จริงเธอมีคุณตาที่กำลังป่วยอยู่เช่นกัน (มาจับการ์ดดูว่า ผลลัพธ์ที่ขอจะเป็นอย่างไร?)

…(แต่แล้วการ์ดที่สุ่มออกมา) เธอปฏิเสธคำขอของคุณ ในตอนนั้นคุณคิดว่าหากคุณไม่ได้ยากลับไป น้องของคุณก็จะตายในที่สุด ‘ฉันควรขโมยหรือไม่?’ (ถ้าเลือกจะขโมย คุณก็ต้องทิ้งการ์ดศีลธรรมในมือมา)

“ครู! พวกหนูเลือกไม่ถูกเลย จะทำยังไงดี” … เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา

เป็นเสียงที่แสดงความสับสนของนักเรียน ชั้น ม.1 เมื่อพวกเขาต้องคิดและตัดสินใจในกิจกรรมสถานการณ์จำลองในชั้นเรียนวิชาสังคมศึกษา ที่ผมตั้งใจให้นักเรียนได้ถกเถียงถึงหลักการ ความถูกต้อง และความยุติธรรม ว่าเขาจะมองเห็นและพิจารณามันอย่างไร

จริงๆ แล้วบทเรียนนี้ ผมหยิบยืมแนวคิดจากวีดีโอเกมชื่อดังอย่าง ‘This War of Mine’ จากค่าย 11bit studio ที่ผู้เล่นจะต้องสวมบทบาทเป็นคนธรรมดาสามัญที่ต้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวันท่ามกลางฉากหลังของสงคราม

ความพิเศษของเกม คือการมีเหตุการณ์ทางศีลธรรมที่ทำให้เราต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไร ในตอนที่เล่นเกมนี้ ผมต้องออกไปหาของ โดยเฉพาะยารักษาโรค หากไม่ได้มันกลับมา ตัวละครอีกตัวในบ้านของผมจะต้องตายในไม่ช้า คืนนั้นผมได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ชายแก่เจ้าของบ้านสังเกตเห็นผม และถืออาวุธเดินตรงเข้ามาหาทันที ในตอนนั้นผมลังเลว่าจะทำอย่างไรดี หากไม่ได้ยากลับไปคนที่อยู่ที่บ้านก็อาจตายได้ แต่นั่นก็หมายถึงผมต้องทำร้ายหรือฆ่าเขา? หรืออาจเป็นผมที่ถูกเขาฆ่าตายเสียก่อน? ผมจึงตัดสินใจ…

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่นเกมหรือวีดีโอเกมมากๆ ในช่วงวัยเด็ก หากไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน ผมมักจะใช้เวลาอยู่หน้าคอมเพื่อเล่นเกม เกมที่ผมเล่นบ่อยๆ ในช่วงนั้นคงหนีไม่พ้น Yuri Battle Realms Age of Empire เกมแนวสู้รบ สงคราม เกมยิงมุมมองที่หนึ่งอย่าง Counter Strike  รวมไปถึงเกมฟุตบอลชื่อดังอย่าง FIFA และ PES แต่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนจบผมก็แทบไม่ได้เล่นมันอีกเลย ในช่วงที่เป็นครูผมมีโอกาสได้กลับมาเล่นอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับเกมที่ใส่ระบบการตัดสินใจทางจริยธรรมเข้าไปกับตัวเกมด้วย นั่นคือเกมจากผู้พัฒนา 11bit studio ในเกมชูโรง ‘This War of Mine’ และ ‘Frost punk’ เกมที่เราต้องบริหารเมืองท่ามกลางโลกที่ล่มสลายภายใต้อุณหภูมิติดลบ โดยเราต้องคอยตัดสินใจเลือกใช้นโยบายต่างๆ เช่น จะใช้เด็กเป็นแรงงานหรือไม่ เป็นต้น

ทั้งสองเกมพาให้ผู้เล่นอย่างผมตื่นเต้นไปกับเรื่องราว วิธีการนำเสนอ และรูปแบบการเล่น มันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ต่างไปจากเกมที่เคยเล่น และแน่นอนว่า เกมพาให้ผมเจอกับความรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ยากที่จะตัดสินใจ ประสบการณ์ที่เกมเหล่านี้หยิบยื่นให้ โดยเฉพาะ ‘This War of Mine’ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมหยิบยืมแนวคิดและวิธีการบางส่วนมาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสถานการณ์จำลองขึ้นมา

พูดอีกแบบ This War of Mine กำลังเสนอการเรียนรู้ที่พาให้เรามองโลกที่มีชีวิตของคนอื่นๆ อยู่ด้วย โลกที่เราไม่สามารถมองคนอื่นในฐานะจำนวน (units) เหมือนเกมสงครามอื่นในท้องตลาดที่ทำให้จริยธรรมในการตัดสินใจเป็นแค่เรื่องระหว่างใครเป็นพวก ใครเป็นศัตรู

ในงานศึกษา Breaking Down the Enchantment: A Critical Autoethnography of Video Gaming โดย Kout ได้สำรวจอัตชีวประวัติของตนเองที่สัมพันธ์กับโลกของเกมที่เขาเล่นผ่านมุมมองการศึกษาเชิงวิพากษ์ (Critical pedagogy) และพบว่า การเข้าไปสู่โลกของเกม ‘This War of Mine’ ได้พาให้เขาสัมผัสกับ ‘เรื่องเล่ากระแสรอง’ ของสงคราม ที่ต่างจากวีดีโอเกมทั่วไปที่มักจะเล่าผ่านมุมมองของฮีโร่ หรือผู้นำทหาร อย่าง Call of duty แต่เกมนี้กลับนำเสนอเรื่องเล่าของ ‘คนธรรมดาสามัญ’ ที่มีภูมิหลัง มีชีวิต มีความสัมพันธ์ และต้องเผชิญชาตะกรรมของความอดยาก ความกลัว ความหดหู่สิ้นหวัง ที่เกมส่วนใหญ่ (และตัวเขา) มองข้ามไป ขณะที่เล่น เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจทางจริยธรรม สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับความเข้าใจในสงครามที่เขาเคยรับรู้มาก่อน

เกมได้ทำให้กำแพงระหว่างโลกความจริงกับโลกในเกมของเขาพังลง และดำดิ่งไปสู่การเชื่อมต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง โลกที่เขาไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รู้สึก และไม่คุ้นเคยมาก่อน  

ผมเขียนเรื่องเกมมาถึงตรงนี้ เพื่อต้องการเสนอว่าหากเราจะนำพาเกมมาสู่บทเรียน เราไม่อาจมองเห็นเกมหรือวีดีโอเกมแต่ละเกมเป็นเพียงแค่สิ่งไร้สาระ ไร้ความหมายต่อการสอน หรือด่วนปฏิเสธทันทีเมื่อเกมนั้นไม่ได้มีเนื้อหาหรือวิธีการเล่นที่สอดคล้องกับบทเรียน หรือหยิบฉวยเพียงเทคนิคมาสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ ในฐานะครู จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมองไปให้ถึงว่า ‘เกมกำลังนำเสนอมุมมองต่อโลกอย่างไร’ แต่ละเกมพาให้ผู้เล่นได้กระทำการ ต่อรอง มองเห็น รับรู้ ได้ยิน และรู้สึกแตกต่างกันออกไปอย่างไร ผ่านกลไกล เงื่อนไข เนื้อหา รูปแบบการเล่นแบบไหน ดังเช่นเกมซีรีส์ชื่อดังอีกเกมอย่าง civilization เกมแนวตระกูล 4X ที่มีองค์ประกอบหลัก คือ Explore สำรวจ  Expand ขยายดินแดน Exploit ใช้ประโยชน์ (ขูดรีด?)  Exterminate กำจัด เกมที่หลายคนอาจมองว่าสามารถเป็นสื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลกได้ดี เพราะช่วยให้เข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์และมีเนื้อหาสอดแทรกตลอดทั้งเกม แต่อีกด้านหนึ่งความเป็น 4x ก็ได้เสนอวิธีการมองโลกแบบอาณานิคมหรือจักรวรรดินิยมเป็นหลักเช่นกัน นั่นจึงทำให้นักพัฒนาเกม Nikhil Murthy’s Syphilisation ได้สร้างเกมแนว ‘post-colonial 4X’ เพื่อเสียดสีวิธีคิดของ colonial 4X ที่มักให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว

การเข้าใจว่าเกมนำเสนอวิธีการมองโลกอย่างไร จึงเป็นความเป็นไปได้แบบหนึ่งที่จะเอื้อให้เราหยิบใช้มันมาสู่การสร้างสรรค์บทเรียนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันการเข้าใจมัน ไม่จำเป็นต้องเดินสูตรสำเร็จที่เกมถูกออกแบบไว้เสียทั้งหมด แต่ผู้สอนสามารถท้าทายวิธีการมองโลก ด้วยการนำเสนอรูปแบบวิธีการเล่น เนื้อหา หรืออื่นๆ ขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน พูดให้เห็นภาพ หากเกมเก้าอี้ดนตรีที่เล่นอยู่เป็นการมองโลกแบบแข่งขันเพื่อเป็นผู้ชนะ จะเกิดอะไรขึ้น หากเรามองเห็นว่าโลกนี้ต้องไม่มีใครถูกทิ้งในฐานะผู้แพ้ เกมเก้าอี้ดนตรี มันควรจะเล่นใหม่อย่างไรดี?

อ้างอิง

Can you make an anti-imperial empire game?

https://www.eurogamer.net/can-you-make-an-anti-imperial-empire-game

Breaking Down the Enchantment: A Critical Autoethnography of Video Gaming

https://www.proquest.com/openview/71a0329ba0aa9f801dae9667bddf16d4/1?pq-origsite=gscholar&cbl=18750&diss=y

Tags:

Frost punkการบริหารเกมวิชาสังคมการตัดสินใจจริยธรรมแนวทางการออกแบบการเรียนรู้This War of Mineกิจกรรมสถานการณ์จำลองในชั้นเรียนการถกเถียง

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Adolescent BrainCharacter building
    อิงตามความรู้สึก หรือยึดแต่เหตุผล : สอนเด็กให้เข้าใจคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการเรียนรู้การทำงานของสมอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ
Movie
17 August 2023

Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Love, Simon เป็นภาพยนตร์แนว Coming of Age ในปี 2018 บอกเล่าเรื่องราวของ ไซมอน หนุ่มม.ปลายที่เป็นเกย์แต่กลับต้องปิดบังตัวเองมาโดยตลอด
  • ฉากที่น่าประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉากที่ไซมอนตัดสินใจบอกพ่อแม่เรื่องเพศสภาพของตัวเอง ซึ่งคำตอบของพ่อแม่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลดล็อกไซมอนให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของเขาอย่างมีความสุข  
  • ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์รักในช่วงวัยรุ่นของเพศที่สามเรื่องแรกที่บริษัทภาพยนตร์ระดับยักษ์(ทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์)ของฮอลลีวู้ดผลิตขึ้น

“แอบตุ้งติ้งใช่ไหม” คำถามจากคนรอบตัวที่ผมได้ยินตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะผมเป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย แถมยังชอบตุ๊กตาแฮมทาโร่ มากกว่าจะสะสมพวกหุ่นยนต์เท่ๆ 

ยืนยันตรงนี้ก่อนว่าผมเป็นชายแท้ และต่อให้ผมจะมีความหลากหลายทางเพศหรือชอบผู้ชายแบบที่เพื่อนหลายคนหวัง ผมก็ไม่ได้มองว่าการชอบพอเพศเดียวกันเป็นเรื่องแปลกหรือน่าอาย แต่การต้องทนอยู่กับคนที่มีทัศนคติต่อต้าน LGBT ต่างหากคือปัญหาสำคัญ

สมัยเรียนโรงเรียนชายล้วน ครูประจำชั้นของผมอาศัยจังหวะที่ ‘เอ’ (นามสมมติ) เพื่อนเกย์คนหนึ่งขอไปเข้าห้องน้ำ บอกกับพวกผมว่าแม่ของเพื่อนคนนี้โทรมาปรึกษาหลังจากพาลูกไปพบจิตแพทย์ และขอให้โรงเรียนช่วยทำยังไงก็ได้ให้ลูกกลับมาเป็นผู้ชาย ครูจึงกำชับให้ทุกคนคอยช่วยเหลือเพื่อนคนนี้ให้กลับมาใน ‘ทางที่ถูกที่ควร’ 

“การเป็นตุ๊ดเป็นเกย์คืออาการทางจิตแต่มันรักษาได้ ฉะนั้นพวกเธอก็ช่วยครูดูเพื่อนหน่อยละกัน” ครูกล่าวทิ้งท้าย

ผมไม่แน่ใจว่าครูจะพูดประโยคนี้ทำไม เพราะหลังจากนั้น เอาเป็นว่านอกจากจะถูกล้อเรื่องเพศสภาพเหมือนเดิมแล้ว เอยังถูกล้อว่าเป็นโรคจิตเพิ่มเติม ส่วนครูประจำชั้นก็ดูจะเพิกเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับปล่อยเป็นตามเวรตามกรรม

แม้เอกับผมจะไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ และผมกล้ายืนยันว่าตัวเองไม่เคยบูลลี่เอ เพราะเขาเป็นคนนิสัยดีและอ่อนโยนกว่าเพื่อนของผมหลายคน ดังนั้นพอได้ดูหรือได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเพศทางเลือก ผมมักจะย้อนกลับมานึกถึงเหตุการณ์นี้ พร้อมกับตั้งคำถามว่าถ้าสมมติผมชอบพอเพศเดียวกันจริงๆ ผมควรจะประกาศตัวไปเลย หรือแอบซ่อนตัวตนเอาไว้เหมือนกับ ‘ไซมอน’ ตัวละครเอกจากภาพยนตร์เรื่อง Love, Simon

ไซมอน เป็นหนุ่มหล่ออเมริกันชั้นม.6 ที่ชีวิตค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ครอบครัวฐานะดี เพื่อนฝูงรักใคร่กลมเกลียว แถมครูที่โรงเรียนก็ออกจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ

แต่ใครจะรู้ว่าในรอยยิ้มและความสมบูรณ์แบบที่ใครหลายคนเห็น ไซมอนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจตั้งแต่อายุ 13 ปี เมื่อจู่ๆ เขาก็เกิดอาการตกหลุมรัก ‘แดเนียล แรดคลิฟฟ์’ (นักแสดงผู้รับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์) อย่างหนักถึงขั้นเก็บไปฝันเป็นเดือนๆ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสาย LGBT ของเขา   

ไซมอนเก็บงำความลับนี้เป็นเวลาประมาณ 5 ปี กระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้เข้าไปในเว็บไซต์กอสซิปยอดนิยมของโรงเรียน และได้พบอีเมลของ ‘บลู’ ซึ่งเป็นชื่อสมมติของเพื่อนนิรนามร่วมโรงเรียนที่ระบุว่าแม้ชีวิตของเขาก็ค่อนข้างดีงาม แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ ทำให้ไซมอนตัดสินใจส่งอีเมลหาบลูเพื่อแชร์ความรู้สึกร่วมจนกลายเป็นเรื่องราวสุดแสนประทับใจ

สำหรับผม ฉากที่ตราตรึงที่สุดในเรื่องคือการที่ไซมอนเปิดใจบอกพ่อกับแม่ถึงเพศสภาพของตัวเอง เพราะถึงแม้มันจะไม่ใช่การสนทนาที่ดีหรือราบรื่น โดยเฉพาะพ่อที่ช็อตฟีลทุกคนด้วยการปล่อยมุกทำนองว่าที่ไซมอนเป็นเกย์อาจเพราะเสียเซลฟ์เรื่องแฟนเก่าที่คิ้วหนาๆ ก่อนลุกออกจากวงสนทนาอย่างหัวเสีย แต่หลังจากนั้นพอมีสติ พ่อกลับเป็นคนเดินไปขอโทษไซมอนและแสดงออกว่าเขาเสียใจที่ไม่รู้ว่าลูกต้องจมอยู่กับความลับอันแสนอึดอัดนี้มานานหลายปี

“พ่อขอโทษนะ พ่อไม่ควรพลาดมันไป ไอ้มุกโง่ๆ พวกนั้น…แต่เผื่อว่าพ่อส่งสารไปไม่ถึง พ่อแค่อยากให้ลูกรู้ว่าพ่อรักลูกนะ และพ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวลูกเลย…มาให้พ่อกอดหน่อย”

ผมไม่แน่ใจว่าผู้อ่านที่เป็นพ่อคนคิดเห็นอย่างไรกับการขอโทษลูกเมื่อตนพลาดพลั้งทำให้ลูกเสียใจ แต่สำหรับผมในฐานะลูกที่พ่อไม่เคยพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ แถมยังมักตั้งคำถามกับผมต่อว่า “ระหว่างความถูกต้องกับความสงบสุขมึงจะเลือกอะไร?” 

ผมชอบการแสดงออกของพ่อในฉากนี้ที่ยอมลดทิฐิหรืออีโก้ของความเป็นพ่อลงเพื่อขอโทษลูกในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวเอง แถมคำว่าขอโทษนี้ได้ช่วยทลายกำแพงระหว่างพ่อกับไซมอนให้กลับมาหยอกล้อพูดคุยกันดังเดิม

นอกจากพ่อของไซมอนจะกล้าเอ่ยปากขอโทษแล้ว ผมชื่นชมในการใช้คำพูดประกอบทั้งคำว่า ‘รักลูก’ ‘ภูมิใจในตัวลูก’ ‘ไม่เปลี่ยนลูก’ หรือการสวมกอดลูกโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นยาที่สมานความทุกข์ทรมานใจของไซมอนที่คั่งค้างมาแสนนาน

ด้านแม่ของไซมอนก็เป็นตัวอย่างที่ดีของแม่ที่เข้าอกเข้าใจ รู้จักรับฟังอย่างไม่ตีตรา และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นโดยไม่เคยแสดงอาการล้อเลียนหรือทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่าตัวเอง

“แม่รู้ว่าลูกมีความลับ สมัยที่ลูกยังเด็ก ลูกสดใสร่าเริงมาก แต่สองสามปีมานี้ ลูกเหมือนคนกำลังกลั้นหายใจ แม่เคยอยากถามลูกเรื่องนี้แต่แม่ไม่อยากละลาบละล้วง แม่อาจจะตัดสินใจผิดพลาด…

การเป็นเกย์มันเป็นเรื่องของลูก มีสิ่งต่างๆ ที่ลูกต้องผ่านมันไปตามลำพังซึ่งแม่ไม่ชอบเลย ทันทีที่ลูกเปิดตัว ลูกบอกว่า “แม่ครับ ผมยังเป็นผมคนเดิม” แม่อยากให้ลูกฟังคำนี้จากปากแม่ ลูกยังเป็นลูกคนเดิม ไซมอน และลูกยังเป็นลูกชายคนเดิมที่แม่ชอบหยอก และคนเดิมที่พ่อเขาพึ่งพาในแทบจะทุกเรื่อง และยังเป็นพี่ชายคนเดิมที่คอยพูดชมอาหารของน้อง แม้แต่ตอนที่มันไม่อร่อย แต่ตอนนี้ลูกไม่ต้องกลั้นหายใจแล้วนะ ไซมอน ลูกสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่อย่างที่ไม่ได้เป็นมานานมาก ลูกคู่ควรกับทุกสิ่งที่ลูกปรารถนา”

 แม้จะประโยคนี้ของแม่จะค่อนข้างยาว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้สึกอิ่มเอมกับคำพูดอันแสนอบอุ่นของแม่ที่ทำให้ไซมอนรู้ว่าไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง แม่ก็จะรัก ยอมรับ สนับสนุน พร้อมเป็นที่พักพิง และให้คุณค่าของไซมอนผ่านนิสัยที่สุภาพอ่อนโยนของเขา ซึ่งหลังจากที่ไซมอนได้ยิน ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง ทั้งยังกล้าที่จะโพสต์ยอมรับเพศสภาพของตนเอง

“…ใครก็ตามที่มีคอมพิวเตอร์ใช้คงรู้แล้วว่า โพสต์เมื่อไม่นานนี้บนเว็บนี้ประกาศว่าผมเป็นเกย์ แม้วิธีการจะเลวร้าย แต่ข้อความเป็นเรื่องจริง ผมเป็นเกย์ ผมฝืนทรมานตัวเองเพื่อซ่อนความจริงนี้มานานมาก ผมมีเหตุผลต่างๆ นาๆ คิดว่าไม่ยุติธรรมที่เกย์เท่านั้นต้องเปิดเผยตัวตน ผมเกลียดความเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงก็คือผมแค่กลัว ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของเกย์ แต่แล้วผมก็รู้ว่าไม่ว่าจะยังไงการประกาศตัวเองให้โลกรู้เป็นเรื่องที่น่าหวั่นกลัว เพราะถ้าโลกนี้ไม่ชอบเราล่ะ ดังนั้นผมจึงทำทุกทางเพื่อปกปิดความลับ 

ผมทำร้ายคนที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุด และผมอยากให้พวกเขารู้ว่าผมเสียใจ พอกันทีกับความกลัว พอกันทีกับการอยู่ในโลกที่ผมไม่ได้เป็นตัวเอง…”

แน่นอนว่าทั้งผมและไซมอนก็ไม่ได้โลกสวยหรือมองว่าการที่ใครออกมายอมรับว่าเป็นเกย์จะง่ายดายทั้งหมด เพราะถึงแม้สังคมสมัยนี้จะเปิดกว้างยอมรับความหลากหลายได้กว่าอดีต แต่นั่นไม่ได้แปลว่าการบูลลี่หรือด้อยค่าเรื่องเพศสภาพจะหายไป 

อย่างไรก็ตามผมเชื่อลึกๆ ว่าต่อให้โลกภายนอกจะโหดร้ายแค่ไหน ขอเพียงครอบครัวเข้มแข็ง เรื่องแย่ๆ ที่ประสบพบเจอก็ย่อมทุเลาเบาบางลง 

Love, Simon หรืออีเมลลับฉบับไซมอน สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Becky Albertalli นักเขียนและนักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญด้านวัยรุ่นโดยเฉพาะ ดังนั้นเรื่องจากปลายปากกาของเธอจึงไม่เพียงแค่จำลองสถานการณ์ปัญหาที่วัยรุ่นต้องเผชิญ แต่ยังแอบสอดแทรกวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเข้าไปอย่างแนบเนียน

Tags:

พ่อแม่ความสัมพันธ์ครอบครัวความเข้าใจLGBTQA+Love Simonเพศสภาพความหลากหลายทางเพศ

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว
Creative learningSocial Issues
14 August 2023

‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่เลือกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ และแม้เด็กบางคนอาจรู้เรื่องภัยพิบัติมาบ้างแล้วจากในบทเรียน แต่ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมซ้อมปฏิบัติ เมื่อเกิดสถานการณ์จริง เขาอาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัยได้ การติดตั้งทักษะการเอาชีวิตรอดจึงจำเป็น
  • บทความนี้ชวนคุยกับ ครูเนย – ณัฐสรวงกร คงจุฬากูล หัวหน้ากลุ่มประสบการณ์สุขภาพและสุขภาวะ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงแนวคิดในการออกแบบวิชา ‘อยู่รอดปลอดภัย’ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติและการลดบทเรียนที่เน้นการท่องจำ
  • วิชานี้เป็นวิชาบูรณาการสำหรับเด็ก ม.1 โดยนำเนื้อหาภัยพิบัติจากภูมิศาสตร์ในส่วนของสังคมฯ มาผนวกกับการสอนทักษะเอาชีวิตรอดในส่วนของสุขศึกษา เน้นความรู้เบื้องต้น สร้างทักษะการเอาชีวิตรอด และให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ทำให้เด็กรู้ว่าเมื่อเจอสถานการณ์จริงต้องทำอย่างไร 

“ภัยพิบัติเป็นเรื่องไกลตัว เด็กไม่ต้องรู้หรอก ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาจัดการกันไป”

คำพูดเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อต้องการสอนให้เด็กเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ แต่หากลองพิจารณาดีๆ ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่เลือกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ และแม้เด็กบางคนอาจรู้เรื่องภัยพิบัติมาบ้างแล้วจากในบทเรียน แต่ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมซ้อมปฏิบัติ เมื่อเกิดสถานการณ์จริง เขาอาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัยได้ การติดตั้งทักษะนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น

The Potential ชวนคุยกับ ครูเนย – ณัฐสรวงกร คงจุฬากูล หัวหน้ากลุ่มประสบการณ์สุขภาพและสุขภาวะ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงแนวคิดในการออกแบบวิชา ‘อยู่รอดปลอดภัย’ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติและการลดบทเรียนที่เน้นการท่องจำ

“ถ้าปกติเราเรียนแค่วิชาการ เด็กก็จะไม่ได้รู้ว่าจริงๆ รอบตัวเรามันเกิดภัยพิบัติแบบนี้ขึ้นมาอยู่แล้ว เราเห็นว่ามันสำคัญที่เด็ก ม.1 ควรจะได้เรียนรู้เรื่องนี้ ซึ่งจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่ถ้าเด็กมีความรู้ไว้ พอเด็กไปถึงสถานการณ์จริง เด็กก็จะตระหนักรู้ว่าเขาต้องมีสติ ต้องทำอะไร 1 2 3 4 ต่อไป 

การออกแบบวิชาควรจะเป็นการออกแบบที่เด็กได้เรียนรู้แล้วปฏิบัติจริง”

ครูเนย – ณัฐสรวงกร คงจุฬากูล

วิชา ‘อยู่รอดปลอดภัย’ คืออะไร

‘อยู่รอดปลอดภัย’ เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์ ได้แก่ อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว และสึนามิ เป็นวิชาบูรณาการสำหรับเด็ก ม.1 ที่เกิดขึ้นจากวิชากลุ่มมนุษย์และสังคม (สังคมศึกษา) และวิชากลุ่มสุขภาพและสุขภาวะ (สุขศึกษา) โดยนำเนื้อหาภัยพิบัติจากภูมิศาสตร์ในส่วนของสังคมฯ มาผนวกกับการสอนทักษะเอาชีวิตรอดในส่วนของสุขศึกษา และเกิดเป็นวิชาอยู่รอดปลอดภัยขึ้นมา

เมื่อนำบทเรียนเหล่านี้มาสอนในวิชาอยู่รอดปลอดภัย ทำให้สามารถลดทอนเนื้อหาที่อยู่ในกลุ่มวิชาสังคมฯ และสุขศึกษาได้ เพราะว่าเด็กได้เรียนไปแล้ว ไม่ต้องเรียนซ้ำอีก โดยบทเรียนในวิชาอยู่รอดปลอดภัยจะไม่ได้สอนเนื้อหาที่ลึกมาก แต่เน้นความรู้เบื้องต้นและการสร้างทักษะการเอาชีวิตรอด 

เป้าหมายหลักๆ คือ 

1) เด็กรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงการเกิดภัยพิบัติต่างๆ 

2) เด็กรู้และมีทักษะในการเอาชีวิตรอดเมื่อเจอภัยพิบัติ

“เช่น ถ้าเกิดไฟไหม้ อัคคีภัยจะทำยังไงต่อ การใช้ถุงพลาสติกทำยังไง การใช้ผ้าใช้ยังไง วิธีการออกมาจากสถานที่นั้นต้องทำยังไง ปกติถ้าเราไม่เคยเรียน ถ้าไฟไหม้แล้วเราต้องออกไป เราจะผลักประตูออกไปเลย แต่พอเด็กรู้ว่ามันผลักไม่ได้นะ มันต้องค่อยๆ แตะประตูดูก่อนว่ามันร้อนรึเปล่า ซึ่งก็จะเป็นทักษะที่ติดตัวเด็กไป ก่อนที่จะเกิดทักษะจริงๆ มันก็ต้องเกิดการฝึกฝน เพราะฉะนั้นเราก็เลยให้เด็กจำลองสถานการณ์จริง”

การออกแบบการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็ก คิดได้+ทำเป็น=เอาตัวรอด

ครูเนยเล่าว่า ในห้องเรียนจะมีนักเรียน 28 คน และครู 3 คนทำหน้าที่สอน เปิดสไลด์ และกระตุ้นเด็ก โดยสลับหน้าที่กันไปเรื่อยๆ และในการสอนหนึ่งหัวข้อจะแบ่งเป็น 3 คาบ คือ 

1) ความหมาย ประเภท สาเหตุ และผลกระทบของภัยพิบัติ 

2) การเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ 

3) แนวทางการป้องกันภัยพิบัติ 

โดยเรียนทั้งหมด 15 คาบ แบ่งเป็นสัปดาห์ละ 1 คาบ

  • คาบที่ 1 ความหมาย ประเภท สาเหตุ และผลกระทบของภัยพิบัติ

“คาบแรกเราทำเป็นเกมผ่าน Kahoot ให้เด็กเล่นเลยค่ะว่า เด็กๆ รู้รึเปล่าว่าภาพแต่ละภาพเนี่ยมันคือภัยพิบัติหรือภัยธรรมดา เด็กเขาแอ็กทีฟมาก เด็กๆ จะติดกับการที่จะเรียนแล้วก็มีเกมที่จะเล่น แล้วเพราะเป็นเด็ก ม.1 ด้วย เราก็เลยใช้เกมมานำก่อนที่จะเริ่มเรียน บางคนก็ตอบถูกตอบผิด แต่ว่าในระหว่างทางเด็กก็ได้เรียนรู้ไปอยู่แล้วว่าสิ่งที่ใช่หรือสิ่งที่ถูกมันคืออะไร แล้วเราก็จะบอกเด็กอยู่แล้วว่าการที่จะตอบคำถามมันไม่ได้มีถูกไม่มีผิดนะ เพราะว่าเขาไม่ได้รู้มาก่อน

หลังจากนั้นเราก็ค่อยดึงเข้าสู่บทเรียนว่า จริงๆ แล้วภัยพิบัตินี้หมายถึงอะไรบ้าง มันเป็นยังไงบ้าง แล้วภัยพิบัตินี้แยกออกเป็นกี่ประเภท ประเภทหลักๆ มันมีอะไรบ้าง จริงๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากและไกลตัว มันไม่ได้ต้องลงลึกว่าแผ่นดินชั้นไหนจะแยก แต่ให้เขาแค่สังเกตดูว่าถ้าเกิดว่าเจอแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อ แล้ววิธีการเอาตัวรอดจะเป็นแบบไหน”

  • คาบที่ 2 การเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ

ครูจะบรรยายและสอนถึงขั้นตอนในการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัตินั้นๆ ก่อน เช่น เมื่อเกิดอัคคีภัย เราต้องมองหาบันไดหนีไฟเพื่อออกจากอาคารแล้วไปรวมตัวที่ ‘จุดรวมพล’ โดยในระหว่างการหนีไฟอาจใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเพื่อช่วยในการหนีไฟได้ ซึ่งครูก็จะอธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถนำมาใช้งานอย่างไรได้บ้าง 

หรือหากไม่สามารถหนีออกจากอาคารได้ เราควรหรือไม่ควรจะไปหลบที่ไหน เช่น ไม่ควรหลบในห้องน้ำหรือในโอ่ง เพราะในนั้นจะเกิดความร้อนสะสมและทำให้คนที่หลบอยู่ข้างในเสียชีวิตได้

ครูเนยเล่าถึงบรรยากาศตอนที่ซ้อมหนีไฟว่า ครูจะให้เด็กเลือกอุปกรณ์ก่อนว่าจะใช้อะไรในการช่วยหนีไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้รอบๆ ตัว เช่น ผ้า ถุงพลาสติก กระป๋อง เป็นต้น แล้วจึงสอบถามเด็กว่าอุปกรณ์ที่เลือกมาจะนำไปใช้อย่างไรได้บ้าง จากนั้นครูทำการเปิดเสียงกริ่งเตือนไฟไหม้ขึ้นโดยไม่ได้เตี๊ยมกับเด็กไว้ก่อน เพื่อจำลองสถานการณ์ให้สมจริง เมื่อได้ยินเสียงกริ่งเด็กๆ ต่างก็รีบวิ่งออกจากห้องพร้อมกับใช้อุปกรณ์ต่างๆ แล้วไปรวมกันที่จุดรวมพล

ในการซ้อมหนีไฟ เด็กๆ ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ครูเนยบอกว่าก็มีเด็กบางคนติดเล่นบ้างไม่จริงจังบ้าง แต่ครูก็เชื่อว่าอย่างน้อยเด็กก็ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติในการเอาตัวรอด ซึ่งจะเป็นทักษะที่ติดตัวไป เขาจะจดจำและนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้

  • คาบที่ 3 แนวทางการป้องกันภัยพิบัติ

ในคาบนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาและกิจกรรมที่เกิดขึ้นในคาบที่ 1 และ 2 เพื่อดึงไปสู่การสอนถึงแนวทางการป้องกันภัยพิบัตินั้น จากนั้นจะมีใบงานให้เด็กทำ ซึ่งมีคำถาม เช่น “ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เด็กจะป้องกันอย่างไร” เด็กก็จะได้แสดงความรู้ที่ตัวเองได้เรียนรู้มาจากคาบที่ 1 และ 2 แล้วมาตอบในใบงาน เป็นการประเมินไปในตัวว่าเด็กมีความรู้ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

ครูเนยขยายความการจัดการเรียนรู้ในวิชานี้ว่า “ส่วนใหญ่คือเราอยากได้ Active Learning (การเรียนรู้เชิงรุก) แต่จริงๆ Active Learning มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันต้องมีการทำอะไรตลอด แต่แค่ในหัวของเด็กมันคิดตามไปด้วย คนจะเข้าใจว่า Active Learning มันคือการต้องปฏิบัติ ต้องมีการเล่นเกม ต้องมีการลงมือทำเลยนะ แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ต้องลงมือทำตลอดเวลา” 

ลงมือทำในที่นี้หมายถึงสมองมันลงมือทำที่จะคิด คิด คิด คิด แล้วก็ตอบออกมาได้ หรือว่าทำออกมาในใบงาน หรือว่าทำออกมาเป็นชิ้นงาน”

นอกจากนี้ ครูเนยยังกล่าวถึงวิธีการกระตุ้นของครูในคาบเรียนว่า “เราเปลี่ยนจากการเปรียบเทียบ เป็นการแนะนำแทนว่า ‘เราลองแบบนี้ไหม’ ลองทั้งผิดลองทั้งถูก ลองดูสิว่าความต่างมันเห็นไหม เด็กเห็นไหมว่ามันต่างกันยังไง เพราะว่าบางทีเด็กก็เซนซิทีฟกับการที่เราบอกว่า ‘คุณผิดนะ’ เมื่อเราบอกว่าลองทำแบบนี้ดูไหม เด็กเขาก็จะโอเค รู้สึกว่าเขารับฟังกว่ากับการที่บอกเขาแบบนี้”

คือทักษะชีวิต

เมื่อนำเนื้อหาในบทเรียนมาให้เด็กได้ลองปฏิบัติจริง ครูเนยบอกว่าทำให้เขามีฟีดแบ็กที่ดีมีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะรู้ว่าสิ่งที่เรียนไปนั้นมีประโยชน์อย่างไร 

 “เมื่อก่อนเราก็เรียนๆ ไป มีหน้าที่เรียนก็เรียน ถ้าอันไหนไม่สนใจเราก็ทำเฉยๆ แต่เด็กสมัยนี้จะชอบตั้งคำถามว่า ‘เรียนไปเพื่ออะไร’ ‘เรียนทำไม’ 

ถ้าเราตอบไม่ได้ (ว่าเรียนแล้วได้อะไร) มันก็จะยิ่งกลายเป็น ‘อ้าว แล้วครูสอนทำไม ถ้าครูไม่มีเหตุผลว่าครูจะให้เรียนไปเพื่ออะไร’

ที่โรงเรียนนี้ (สาธิต มธ.) จะใช้การตั้งคำถามเป็นหลักเลยสำหรับเด็กๆ เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องตอบให้ได้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร ถ้าเราตอบได้ว่าเรียนเพื่ออะไร เด็กเขาก็จะโอเค แต่ถ้าเด็กรู้สึกว่าไม่อยากเรียน เราก็มีวิธีจูงใจด้วยการ ‘ลองก่อนไหม’ อันนี้ได้ไหม อันนี้ไม่ได้ ลองอันนี้ไหม ลองต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ ค่อยๆ หาไป เด็กจะรับฟัง แล้วก็เรียนรู้ตามไปด้วย”

ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในลักษณะนี้ โดยเฉพาะการปรับประยุกต์วิชานี้ให้เน้นการปฏิบัติจริง เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน เพราะทำให้เด็กรู้ว่าเมื่อเจอสถานการณ์จริงต้องทำอย่างไร 

“บางคนเขาก็จะมีพื้นฐานรู้อยู่แล้วว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นจากอะไร หรือว่าอุทกภัยมีแบบอะไรบ้าง แต่พอเราเอามาแล้วก็มาผสมกับการที่ให้เด็กปฏิบัติ เด็กก็จะรู้อีกว่าถ้าจะหนีต้องหนียังไง จะต้องเอาตัวรอดยังไง”

สุดท้าย ครูเนยกล่าวสรุปว่าสมัยนี้ความรู้เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย เด็กส่วนใหญ่มักจะใช้เทคโนโลยีในการหาความรู้กันเป็นเรื่องปกติ ครูควรนำความรู้เหล่านั้นมาส่งเสริมเป็นกิจกรรมให้เขาได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริง นอกจากนี้ ในการจัดการเรียนรู้ควรจะมีการฟีดแบ็กซึ่งกันและกัน เพื่อเช็กว่าเด็กมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ครูสอนไปหรือไม่ และเพื่อให้ครูได้ปรับปรุงแนวทางการสอนที่เหมาะสมกับเด็กต่อไป

Tags:

โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทักษะชีวิตการเรียนรู้Active Learningการเอาตัวรอดแนวทางการออกแบบการเรียนรู้วิชาอยู่รอดปลอดภัยภัยพิบัติครูเนย – ณัฐสรวงกร คงจุฬากูล

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘เข้าใจ ไม่ตัดสิน ให้โอกาส’ สร้างการเรียนรู้ เปิดประตูอนาคตพ่อแม่วัยรุ่น: สุดาพร นาคฟัก กลุ่มฅนวัยใส เชียงใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Adolescent Brain
    6 วิธีจัดการชีวิตและสิ่งแวดล้อม สร้างสมาธิในการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

กล้าพอไหม? ที่จะสร้างระเบียบโลกใหม่จากในโรงเรียน (Dare the school build a new social order?)
Learning Theory
14 August 2023

กล้าพอไหม? ที่จะสร้างระเบียบโลกใหม่จากในโรงเรียน (Dare the school build a new social order?)

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความคิดความเชื่อของเรานั้น ถูกหล่อหลอมจากสังคมที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรายอมรับสภาพที่เป็นอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความปกติ และเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย
  • การจะมองให้เห็นระเบียบสังคมอยุติธรรมที่ถูกอำพรางไว้ได้นั้น การศึกษาต้องเข้ามาท้าทายความคิดหรือวัฒนธรรมที่กำลังครอบงำเราอยู่ ว่าเรากำลังอยู่ภายใต้ระเบียบโลกแบบไหน มันส่งผลกับเราอย่างไร และใครได้ประโยชน์จากสิ่งที่เป็นอยู่
  • บทบาทครูจึงทำหน้าที่เชื่อมช่องว่างระหว่างโรงเรียนกับสังคมเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เชื่อมระหว่างสังคมที่เป็นอยู่กับความปรารถนาที่จะมีสังคมใหม่

หากจะหยิบหนังสือการศึกษาสักเล่มมาเขียนเล่า ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความอยุติธรรมเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นหนังสือสุดคลาสิกอย่าง Dare the school build a new social order? ของ George S. Counts ผู้ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม งานเขียนเล่มนี้เป็นการรวมรวบสุนทรพจน์ของเขาที่เผยแพร่ในช่วงปี 1932 (พ.ศ 2475) ท่ามกล่างบริบทหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่หลายประเทศต่างเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ 

หนังสือเล่มนี้มีอายุกว่า 90 ปี พอๆ กับเส้นทางประชาธิปไตยของไทยที่เริ่มต้นขึ้นในปีเดียวกัน แม้บริบททางสังคมจะมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย แต่ใจกลางความคิดของ Counts ได้เสนอหมุดหมายทางความคิดที่สำคัญให้ผู้อ่านอย่างเราๆ ในฐานะครู นักการศึกษา นักเคลื่อนไหว หรือใครก็ตามที่มองเห็นว่าการศึกษาและสังคมการเมืองนั้นเป็นเรื่องเดียวกันและไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ อิทธิพลทางความคิดของเขาได้กลายเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดสายธารความคิดอย่าง การศึกษาเชิงวิพากษ์ (Critical Education) และเป็นแรงบันดาลใจให้นักการศึกษารุ่นหลังอย่าง Michael Apple ได้เขียนหนังสือ Can education can change Society? ขึ้นด้วย  

สังคมแบบไหนกัน ที่เราปรารถนา?

อาจพูดได้ว่านี่เป็นคำถามสำคัญที่ Counts ทิ้งไว้ในสุนทรพจน์ของเขา แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ในฐานะผู้อ่าน สัมผัสได้ว่าเขามีความปรารถนาที่จะเห็นสังคมอเมริกันต่างไปจากที่เป็นอยู่ คำถามคือว่าเขาใฝ่ฝันถึงสังคมแบบไหน คำตอบคือ ‘สังคมที่ยุติธรรม เสมอภาค เท่าเทียมกัน’ บริบทในช่วงเวลานั้นทำให้เขาได้สัมผัสถึงชีวิตของเพื่อนร่วมสังคม โรงงานถูกปิด คนตกงาน ค่าแรงที่น้อยนิดจนไม่สามารถซื้ออาหารประทังชีวิตได้ ผู้คนอดอยาก เด็กนักเรียนไม่มีอาหารเช้ากินเมื่อไปโรงเรียน Counts ยังเห็นว่า ระเบียบสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้นทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ใจกลางของมันคือระบบทุนนิยมที่เอื้อให้คนบางกลุ่มมีอภิสิทธิ์และอำนาจเหนือกว่าคนอื่น พวกเขาสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้อย่างง่ายได้ ในขณะที่ตัวระบบเองก็โฆษณาป่าวประกาศว่านี่เป็นเสรีภาพที่ทุกคนเลือกได้ ทางเลือกในการเป็นขอทาน เป็นขโมย หรืออดอาหารตายไปอย่างนั้นหรือ?

สำหรับเขา เสรีภาพไม่อาจแยกขาดจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจในชีวิตของผู้คน ทรัพยากรควรถูกจัดสรรให้แต่ละชีวิตอย่างเสมอหน้า โลกที่ทุกคนลืมตาอ้าปากได้โดยไม่ต้องดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย กลัวอดตาย หรือถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนทางเศรษฐกิจที่บีบบังคับให้ใครหลายคนมีทางเลือกในชีวิตที่แคบลง นี่คือความฝันแสนเรียบง่ายที่ Counts ปรารถนาอยากจะเห็น 

ถ้าเช่นนั้น โรงเรียนต้องกล้าสร้างระเบียบสังคมใหม่!

ประวัติศาสตร์บอกเราว่ามีการขยายตัวของการศึกษาในวงกว้างอยู่เสมอ แต่ปัญหาทางสังคมก็ยังดำรงอยู่ และทวีคูณเรื่อยๆ Counts ไม่ลังเลที่จะวิพากษ์การศึกษาแบบอนุรักษ์นิยมที่เป็นอยู่ ว่ามันได้ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงค้ำจุนโครงสร้างเดิมอย่างไร ขณะเดียวกัน เขาก็วิพากษ์แนวความคิดแบบ Progressive Education ที่เสนอคำตอบว่า การศึกษาควรมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child-centered) ว่ามักมุ่งตอบสนองความต้องการในสิ่งที่เด็กอยากเรียนรู้มากกว่าจะให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาทางสังคม และอาจเป็นแค่เครื่องมือของการรักษาโครงสร้างของระบบชนชั้นในสังคมในที่สุด พร้อมทั้งวิพากษ์แนวคิดที่ว่า การศึกษาควรเป็นไปเพื่อเตรียมนักเรียนให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในอนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คล้ายๆ กับคนตัดไม้ที่ขี่แพท่อนซุงผ่านกระแสน้ำเชี่ยวกราก ที่ต้องเรียนรู้การกระโดดจากฐานรากที่ไม่มั่นคงแห่งหนึ่งไปยังอีกฐานหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ว่าเป็นการศึกษาที่ทำได้เพียงก้มกราบต่อระเบียบสังคมที่เป็นอยู่ มากกว่าจะตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเช่นนั้น?  

สำหรับเขา มนุษย์อย่างเราๆ ไม่ได้ตัดขาดจากวัฒนธรรม เด็กไม่ได้แยกจากโลกที่เขาอยู่ แต่ละคนล้วนถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจที่เขาเกิดและเติบโตมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดอีกแบบ ความคิดความเชื่อของเรานั้น ถูกหล่อหลอมจากสังคมที่เป็นอยู่  ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรายอมรับสภาพที่เป็นอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความปกติ และเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย 

การจะมองให้เห็นระเบียบสังคมอยุติธรรมที่ถูกอำพรางไว้ได้นั้น การศึกษาต้องเข้ามาท้าทายความคิดหรือวัฒนธรรมที่กำลังครอบงำเราอยู่ ว่าเรากำลังอยู่ภายใต้ระเบียบโลกแบบไหน มันส่งผลกับเราอย่างไร และใครได้ประโยชน์จากสิ่งที่เป็นอยู่ 

เราไม่อาจแสร้งทำเสมือนว่าการศึกษานั้นเป็นกลาง เพราะนั่นคือการเพิกเฉยต่อระบบโครงสร้างที่ไม่ยุติธรรม นี่คือ ‘การศึกษาแบบรื้อสร้างสังคมใหม่’ (Social reconstruction)

ด้วยเหตุผลเช่นนี้ บทบาทครูในสายตาของ Counts จึงไม่ใช่ผู้วางตัวเป็นกลาง แต่คือคนที่เผชิญหน้ากับปัญหาสังคมอย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ใช้อำนาจผ่านพื้นที่โรงเรียนในการพานักเรียนเรียนรู้ คิดวิพากษ์ สืบเสาะถึงสภาพความเป็นจริงทางสังคมหรือระเบียบทางสังคมที่เป็นอยู่ มากไปกว่านั้น คือการส่งเสริมความกล้าที่จะจินตนาการออกไปนอกระเบียบที่เป็นอยู่ เพื่อมองหาความเป็นไปได้ที่จะสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม บทบาทครูจึงทำหน้าที่เชื่อมช่องว่างระหว่างโรงเรียนกับสังคมเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เชื่อมระหว่างสังคมที่เป็นอยู่กับความปรารถนาที่จะมีสังคมใหม่ 

นี่คือใจความสำคัญในคำกล่าวของ Counts ในอดีต ที่ยังคงเป็นหลักทางความคิดให้คนทำงานทางการศึกษาและคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในสังคมที่บิดเบี้ยว สังคมที่ชนชั้นนำและผู้ปกครองไม่เคยยอมให้สังคมใหม่เกิดขึ้นได้โดยสมัครใจ 

เราจึงต้องลุกขึ้นสู้ และการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เคียงข้างการต่อสู้ของเราเพื่อให้ได้มันมา 

Tags:

โรงเรียนการศึกษาเสรีภาพการศึกษาเชิงวิพากษ์ (Critical pedagogy)ความคิดหนังสือ the school build a new social order?ระเบียบสังคมการศึกษาแบบรื้อสร้างสังคมใหม่ (Social reconstruction)

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Movie
    Kids Konference : ประชุมกลุ่มวัยอนุบาล เปิดให้คุยตั้งแต่ทำไมฝนตกถึงความตาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ
How to enjoy life
10 August 2023

เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เมื่อหยิบไพ่ใบแรกขึ้นมา ไพ่ใบนั้นจะพาเราไปเจอกับตัวเราเอง และสะท้อนแง่มุมความทุกข์ ความหวัง ความต้องการของเราเอง ไพ่จึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้คนๆ นั้นเปิดใจคุยกับใครสักคน ซึ่งจุดที่จะคุยเชื่อมโยงกันได้นั้นคือ ‘การฟัง’
  • ชวนเปิดไพ่ พูดคุยเรื่องของใจ กับ อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร เจ้าของเพจ วารีแห่งใจ กระบวนกร (Facilitator) และครูสอนอ่านไพ่ธาโรต์ เพื่อย้อนกลับมามองตัวเอง มารู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง และดูแลจิตใจของตัวเอง
  • จุดที่ทำให้การอ่านไพ่ของวารีแห่งใจ เป็นมากกว่าการอ่านและทำนายตามความหมายของไพ่ คือการเจาะลึกถึงสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ของสิ่งที่ทุกคนกำลังถามหาอยู่ รวมถึงสอนวิธีการอ่านไพ่ด้วยตัวเอง

ความสุข กับ ความทุกข์ เป็นของคู่กัน แต่เราจะบาลานซ์อย่างไรไม่ให้ความทุกข์ล้ำเส้นความสุข จนมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง 

The Potential ชวนคุยกับ อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร เจ้าของเพจ วารีแห่งใจ กระบวนกร (Facilitator) ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจทั้ง Self-awareness การรู้จักตัวเอง การเข้าใจตัวเอง และดูแลจิตใจผ่านเครื่องมือต่างๆ ซึ่งตัวเอกของเธอคือ ‘ไพ่ธาโรต์’ 

“…แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนมีความสุข ความทุกข์ ตอนสุขมันก็ดี แต่ตอนทุกข์บางคนมีผลกับสภาพจิตใจ บางคนมาด้วยซึมเศร้าก็มี หรือบางคนมีหลายความเครียด ซึ่งเราจะชวนให้เขากลับมาดูแลจิตใจ ด้วยการรู้จักตัวเองก่อน”

อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร เจ้าของเพจ วารีแห่งใจ

ต้นเหตุของความเศร้า เกิดจากเราไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง 

“เมื่อก่อนตัวเองเป็นซึมเศร้า เป็นคนไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ตั้งแต่วัยเด็กจนโตมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้ดีเลย ไม่เก่ง พ่อแม่ไม่รัก คนรอบตัวไม่มีใครรักฉันเลย จริงๆ มันก็หลายๆ ปัจจัย หลายๆ เหตุ อาจจะเป็นการเลี้ยงดูจากครอบครัว หรือครอบครัวเลี้ยงดูดีนะ แต่มาเจอเพื่อน มาเจอสังคม บางคนเจอมาจากครูบาอาจารย์ ถูกครูบูลลี่มา หรือครูบอกว่าเธอทำอันนี้ได้ไม่ดี เลยฝังลงไปในใจ ก็กลายเป็นว่าด้อยค่าตัวเองมาโดยตลอด 

แล้วถ้าจะบอกว่า ถ้าเราฟังเขาแล้วเราไม่เก็บมาใส่ใจ เราก็ไม่เป็นไร ต้องยอมรับก่อนว่าสภาพจิตใจคนมันไม่เท่ากัน ไม่อย่างนั้นคนเราก็ไม่มานั่งเป็นซึมเศร้าอย่างที่เป็นกันเยอะอยู่ทุกวันนี้” อั๊ท เท้าความให้ฟังถึงภูมิหลังก่อนจะมาเป็นกระบวนกรทำกิจกรรมที่ฮีลใจใครหลายๆ คน เธอก็คือคนหนึ่งที่เคยผ่านจุดที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองมาเช่นกัน และเล่าถึงทางออกที่เธอหาเจอว่า  

“ด้วยความที่เราเห็นแล้วละว่าเราไม่มีความสุขในชีวิตเลย ต่อให้มีคนรัก ต่อให้มีคนอยู่ข้างๆ ก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคนที่จะมีความรักที่ดี หรือว่าได้รับความรักจากใคร วันที่ออกมาได้จริงๆ มันเป็นวันที่ตัวเองไปเรียนโครงการผู้นำกระบวนทัศน์ใหม่ (ALT) ของทางเสมสิขาลัย เป็นลูกศิษย์อาจารย์ประชา หุตานุวัตร ในหลักสูตรเขาก็จะมีอยู่ตัวนึงชื่อว่า นิเวศภาวนา ให้ไปทำภารกิจอยู่ในป่า 

วันนั้นไม่สบาย แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงอกหักช้ำรักมาก รู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า อยากฆ่าตัวตายมากเลย ปรากฎว่าพอเข้าไปอยู่ในป่า ไม่มีใครเลยมีแต่ตัวเอง แล้วนอนป่วยฝนก็ตก โอ้โห…หนาวก็หนาว ต้องเอามือมาซุกตัวเองเพื่อรับความอบอุ่น แล้วมันรู้สึกดีจังเลยที่มีมือเราอยู่ที่ให้ความอบอุ่นกับเราได้ เราปิ๊งเลยว่า นี่แหละแปลว่า ‘รักตัวเอง’ นี่แหละคือการกลับมาดูแลตัวเอง 

เมื่อก่อนเอามือซุกไม่เห็นรู้สึกเลย แต่วันที่ทุกข์มากๆ เอามือมาแปะมันก็เลย อ๋อ…รักตัวเองมันแค่นี้เอง จริงๆ แค่กลับมาดูแล สนใจ ใส่ใจในทุกอย่างที่เรียกว่าเรา ก็เลยเจอคำว่า รักตัวเอง ตัวใหญ่ๆ ในป่า” 

“แล้วต้องขอบคุณมดในป่าด้วยนะ เพราะมดในป่าเขากำลังเดินไต่ใบไม้อยู่ เราก็เห็นเขาไต่ไปจนสุดใบไม้เลย มันพีคตรงที่เราก็นอนดูเขาอย่างนี้ เขาจะทำยังไงนะ พอสุดแล้วไปต่อไม่ได้แล้ว เขาเดินกลับ เฮ้ย…ไม่ต้องกระโดดหน้าผาตายก็ได้นี่หว่า เดินกลับเปลี่ยนทางเอาก็ได้นี่ วันนั้นปัญญามันเกิด มดมาบอกเราว่า คุณไม่ต้องกระโดดหน้าผาตายหรอก คุณกลับไปอีกทางนึง แล้วคุณไปได้สูงกว่าเดิม เพราะเราเห็นภาพเลยว่า พอเขากลับไปอีกทางนึง เขาไปปีนกิ่งใหม่เขาไปสูงกว่าเดิม จนเรามองเขาไม่เห็นละ ปัญญาเราเกิดในตอนนั้น” 

มดในป่าที่กำลังไต่กิ่งไม้อยู่ในวันนั้น สะท้อนให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วชีวิตยังมีทางเลือกที่ให้เราสามารถไปต่อได้ เพียงแต่เราต้องหยุดพักหายใจ ฟังเสียงตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง ค่อยๆ สำรวจและมองหาคุณค่าของตัวเองให้เจอ เพื่อไปต่อในชีวิต และทำให้อั๊ทกลายมาเป็นกระบวนกรด้านจิตใจในวันนี้

อ่านไพ่มู รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ

หนึ่งในเครื่องมือที่อั๊ทใช้ในการพาทำกิจกรรมเพื่อเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ ก็คือ ‘ไพ่’ ที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างตัวเองกับเสียงภายในด้วยการเชื่อมโยง ‘คำตอบ’ กับ ‘คำถาม’ ที่เราเป็นคนตั้งขึ้นเอง

อั๊ทเล่าว่า ‘การอ่านไพ่มู’ ก็คือการใช้ไพ่ธาโรต์หรือไพ่ออราเคิลเป็นเครื่องมือหลักในการทำกิจกรรมแต่ละครั้ง และเมื่อคนเห็นก็มักนึกถึงคำว่า ‘มูเตลู’ หรือสายมูขึ้นมาทันที คำๆ นี้จึงช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนและเชื่อมโยงมาสู่หัวใจหลักของกิจกรรมได้ดี นั่นก็คือ การย้อนกลับมามองตัวเอง ‘รู้จักชีวิต’ และ ‘ดูแลจิตใจ’ ของตัวเราเอง

“รู้จักชีวิตก็คือการกลับมารู้จัก ทำความเข้าใจตัวเอง มาเห็นก่อนว่าในตัวเรา เราเป็นใครนะ แล้วความเป็นเรามันส่งผลให้เกิดเรื่องราวอะไรในชีวิต ที่เป็นทั้งในแง่ที่ดีและแง่ที่เป็นปัญหา แล้วก็ดูแลจิตใจ แน่นอนมนุษย์ทุกคนมีความสุข ความทุกข์ ตอนสุขมันก็ดี แต่ตอนทุกข์บางคนมีผลกับสภาพจิตใจ บางคนมาด้วยซึมเศร้าก็มี หรือบางคนมีหลายความเครียด ซึ่งเราจะชวนให้เขากลับมาดูแลจิตใจ ด้วยการรู้จักตัวเองก่อน”

ความแตกต่างระหว่างการดูไพ่ธาโรต์ทั่วไปกับการใช้ไพ่ธาโรต์ในแบบที่อั๊ททำในรูปแบบของกิจกรรมนั้น นอกจากจะทำนายทายทักตามไพ่ที่เปิดได้ ยังเจาะลึกถึงสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ของสิ่งที่ทุกคนกำลังถามหาอยู่ด้วย รวมถึงสอนวิธีการอ่านไพ่ด้วยตัวเอง 

“สมมติมีคนมาด้วยคำถามว่า จะได้งานใหม่ไหม? เราที่เป็นคนทำหน้าที่อ่านไพ่ จะไม่ได้บอกว่าคุณจะได้หรือไม่ได้ แต่เราจะบอกว่าทำอย่างไรคุณถึงจะได้ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้มันมีสาเหตุ ปัญหามาจากอะไร คุณควรไปพัฒนาอะไร เพื่อที่จะทำให้คุณได้งานที่ต้องการ หรือถามว่า ปีนี้สุขภาพฉันจะเป็นยังไง? หยิบไพ่มาได้ไพ่ที่แบบว่าพังมาก ตึกถล่มมาเลย ทุกคนก็จะใจเสียแล้ว อุ๊ย! มันจะเจอเรื่องยาก เรื่องหนักๆ หรืออุบัติเหตุอะไรไหม ซึ่งเราจะบอกเขากลับไปว่า ปีนี้ทำยังไงนะสุขภาพคุณถึงจะดี หรือถ้าปีนี้มันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมันจะมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วคุณจะป้องกันหรือรับมือกับมันยังไง ทำให้คนเห็นว่าชีวิตมันมีทางไปต่อ”

นี่คือจุดที่ทำให้การอ่านไพ่ของวารีแห่งใจ เป็นมากกว่าการอ่านและทำนายตามความหมายของไพ่ ฟังแล้วก็ชวนสงสัยว่า แล้วการอ่านไพ่ จะพาเราไปถึงจุดที่ ‘รู้จักชีวิต เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง และค้นหาวิธีดูแลใจ’ ได้อย่างไร? 

เธออธิบายว่า การอ่านไพ่ ก็คือการอ่านภาษาภาพ มองให้เห็นว่าในไพ่ใบนั้นที่เราเปิดขึ้นมาประกอบไปด้วยอะไรบ้าง โดยจะให้ความสำคัญกับ ‘การตั้งคำถาม’ เป็นหลัก เพราะการตั้งคำถามที่ดีจะนำไปสู่คำตอบที่เรากำลังตามหาอยู่นั่นเอง

“เราจะใช้คำถามที่เป็นคำถามปลายเปิด ถ้าเป็นประเภทจะได้งานใหม่ไหม? อันนี้เป็นปลายปิด คำถามปลายเปิด เช่น ทำอย่างไรเราจึงจะได้งานในบริษัทที่เราคาดหวังเอาไว้ ภายในระยะเวลา 3 เดือน? เห็นไหมว่ามีเป้าหมายชัดเจนเลย แล้วฉันควรที่จะต้องทำยังไงละ?”

นั่นเป็นหน้าที่ของกระบวนกรอย่างอั๊ทที่จะนำทางให้คนๆ นั้นไปสู่ปลายทางของคำตอบให้ได้ โดยการชวนฟังเสียงความต้องการของตัวเอง ชวนคิด ชวนวิเคราะห์ ชวนหาวิธีการเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ผ่านการอ่านไพ่ที่เปิดขึ้นมา

“ก็จะบอกเขาว่า อ๋อ…ถ้าอยากได้งานที่บริษัทใหม่ภายใน 3 เดือน เป็นบริษัทที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ คุณต้องลงรายละเอียดนะ คุณต้องไปศึกษาอย่างถ่องแท้ เจาะลึกลงไปเลยค่ะว่าบริษัทนี้ให้ความสำคัญกับอะไรเป็นพิเศษ คุณไปหาตรงนั้นมา เพราะสิ่งนี้ตอนที่สัมภาษณ์งานเขาจะถามคุณ เราจะลงรายละเอียดที่ลึกลงไปมากกว่าแค่ทายว่า จะได้หรือไม่ได้เท่านั้น”

แม้จะดูให้ความสำคัญกับการตั้งคำถามแบบปลายเปิด แต่คนที่ไม่ได้มาพร้อมคำถาม และต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง หรือแม้แต่มาด้วยคำถามปลายปิด นั่นก็เป็นหน้าที่ของกระบวนกร หรือเรียกอีกอย่างว่า นักอ่านไพ่ให้คำปรึกษา ซึ่งต้องมีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘การฟังด้วยหัวใจ’ และจำเป็นต้องมีคุณภาพการฟังในระดับที่จับประเด็นได้

“ฟังแล้วต้องจับประเด็นออกมาได้ว่า ในบรรดาเรื่องเล่าที่เล่ายาวๆ อาจจะยาว 30 นาที 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง มันมีสาระอะไรนะ มีจุดไหนที่ยังไม่เคลียร์จนทำให้เขามีความทุกข์และเป็นกังวล นักอ่านไพ่จะเป็นคนตั้งคำถามให้ แต่ถ้าเขามีคำถามมาแล้ว เป็นปลายปิดก็ไม่เป็นไร ถามมาเลยค่ะ นักอ่านไพ่จะแปลงเป็นปลายเปิดให้ทันที และก็ช่วยเขาในการคลี่คลายปัญหา”

เริ่มต้นค้นหาคุณค่าในตัวเอง ด้วยการฟังเสียงข้างใน  

เมื่อหยิบไพ่ใบแรกขึ้นมา ไพ่ใบนั้นจะพาเราไปเจอกับตัวเราเอง และสะท้อนแง่มุมความทุกข์ ความหวัง ความต้องการของเราเอง จะเห็นว่า ไพ่เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้คนนั้นเปิดใจคุยกับใครสักคน ซึ่งจุดที่จะคุยเชื่อมโยงกันได้นั้นคือ ‘การฟัง’ 

“ตัวภาพมันจะสะท้อนเรื่องราวออกมาได้อย่างชัดเจนเลย ถ้ามันเป็นปัญหา ภาพที่หยิบออกมาเราจะเจอมุมที่เป็นปัญหา ต่อให้เราหยิบภาพที่ดูเป็นบวก ถ้าคำถามบอกว่า สาเหตุที่ทำให้เขายังไม่สามารถเข้าทำงานในบริษัทที่ต้องการได้คืออะไร? จะต้องหามุมลบของภาพนั้นให้เจอ ในขณะเดียวกันถ้าภาพมันเป็นลบ แต่ถามหาวิธีแก้ไข ต้องอ่านเป็นบวกให้ได้ มันก็จะต่างจากการที่เราอ่านตามความหมายของภาพ”

นอกจากไพ่ที่เป็นเครื่องมือสำคัญแล้ว ยังมีชุดคำถามสำหรับใช้ในการหาสาเหตุของปัญหา หาวิธีการคลายทุกข์หรือวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อ ‘รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ’ ซึ่งคนที่มาด้วยคำถามส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความทุกข์ที่หาทางออกไม่เจอ ชีวิตมูฟออนเป็นวงกลม ไม่สามารถจัดการชีวิตได้  

“บางคนมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนชีวิตมันไม่มีหนทางที่จะไป หรือไม่เข้าใจว่าตัวเองอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร หรือที่เป็นทุกข์อยู่จะจัดการเอามันออกไปจากใจยังไง 

เช่น หนูมีความทุกข์เรื่องความรัก หนูกำลังวิตกกังวลเรื่องเรียน หรือเรื่องงาน และโดยส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนที่อยากเข้าใจและก็รู้จักตัวเองจริงๆ อยากรู้ว่าเฮ้ย…ที่มันเคว้งคว้าง หรือที่กำลังไม่มีความสุขในตอนนี้มันเกิดจากอะไร แล้วควรจะทำยังไงกับตัวเองให้สงบหรือมีความสุขมากขึ้น”

ทั้งนี้ การพูดหรือทำให้คนๆ หนึ่งไปถึงจุดที่มองเห็นแสงสว่างที่จะเป็นทางออกให้กับตัวเขาเองนั้น อั๊ทบอกว่า จุดนี้ต้องเป็นคนๆ นั้นที่เจอคำตอบด้วยตัวเอง โดยเน้นให้หาคุณค่าของตัวเองให้เจอเสียก่อน เพราะไม่มีใครเห็นคุณค่าของเราได้ดีเท่าตัวเราเอง 

“ถ้ามาทำกิจกรรม เราจะเซ็ตแพทเทิร์นคำถามเอาไว้ให้ โดยส่วนใหญ่จะเน้นให้หาคุณค่าในตัวเองให้เจอก่อน คุณมีข้อดีแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณเคยมองข้าม แต่พอเปิดมาแล้วภาพมันยืนยันว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละคือสิ่งที่เป็นข้อดี แล้วก็เป็นคุณสมบัติที่ดีในตัวของคุณนะ มันเป็นคุณค่าของคุณเลยนะ ให้เขาเห็นอันนี้ก่อน แล้วตอกย้ำมันลงไปอีกว่า อันนี้แหละ…ใช่แล้ว เขาก็จะหยิบอันนี้ไปเวิร์กต่อได้ละ 

เช่น อ๋อ…ฉันเห็นละ ฉันเป็นคนที่รับฟังได้ดี และเราทำให้เขาเห็นภาพต่อว่า รู้ไหมว่าการรับฟังให้ประโยชน์กับตัวเองยังไง แล้วคำถามต่อมา มันให้ประโยชน์กับคนรอบตัวยังไง หลายๆ คนก็ค้นพบว่าจริงๆ มันเล็กแค่นี้ ที่เราไม่ยอมมองเห็นมัน หรือมองเห็นแล้วเพิกเฉย แต่มันสำคัญมากๆ เลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเห็นคุณค่า การเห็นข้อดี เห็นคุณสมบัติดีๆ ในตัวเอง แล้วก็ให้รู้จักชื่นชมตัวเองค่ะ”

โดยหลักๆ แล้วการตั้งคำถามจะมีอยู่ 3 แพทเทิร์นด้วยกัน คือ การตั้งคำถามเพื่อหาสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นคำถามแทรกเสริม อย่างเช่นคำถามเชิงเปรียบเทียบ 

“บางคนก็จะมาด้วยความอยากรู้ว่า การเลือกที่จะแต่งงานกับเลือกที่จะอยู่เป็นโสดอันไหนมันดีกว่ากัน? ก็จะมีเซ็ตคำถามต่อว่า ถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นโสดไปเลยตลอดชีวิตจะส่งผลอย่างไรต่อความสุขข้างในใจเขา แล้วถ้าเลือกที่จะไม่แต่งงานละ ก็คือให้ใช้ตัวคำถามนี้เอามาเปรียบเทียบ แล้วก็เปิดภาพสองอันมาสะท้อนให้เห็นเส้นทางที่เขาจะเลือกต่อไป คำตอบมันก็จะมาจากตัวเขาเอง

แต่ถ้าเป็นประเด็นที่ว่า เรามาลองฝึกเป็นนักให้คำปรึกษากันไหม ก็จะให้เขาจับคู่กับเพื่อนแล้วก็ปรึกษากันเอง เขาก็จะรู้สึกอินแล้วก็สนุก อุ๊ย…ฉันก็ทำได้นี่นา ฉันก็เป็นนักให้คำปรึกษาได้ ฉันเปิดไพ่อ่านได้ อ่านให้เพื่อนได้ด้วยนะ แล้วให้เขาฟีดแบคกันว่าที่เพื่อนแนะนำมาหรือที่เพื่อนอ่านไพ่ให้มันเป็นยังไงบ้าง เขาก็จะสนุกกันตรงนี้ เช่น อ่านแล้วแบบว่า สาเหตุของปัญหาเธอเนี่ยมันมาจากการที่เธอไม่เคยถูกปล่อยให้ทำอะไรเองคนเดียว เพื่อนอีกคนบอกอุ๊ย! ใช่เลย ตรงนี้ก็จะให้เขาสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน” 

How to ดูแลใจ ประยุกต์ใช้สิ่งรอบตัวให้กลายเป็นไพ่ เพื่อช่วยตอบคำถามในใจของตัวเอง 

พอได้รู้จักชีวิต และได้เริ่มเข้าใจตัวเองบ้างแล้ว จากนั้นเราจะค้นหาหนทางแก้ไข หรือวิธีดูแลใจตัวเองกัน 

“ในกระบวนการนี้ เราจะไม่ใช่คนนั่งอ่านให้เขาละ เราจะสอนวิธีใช้เครื่องมือ อ่านภาษาภาพ ใช้กับคำถามปลายเปิด ซึ่งมาจากที่คุณจับประเด็นได้ จากการที่คุณฟังได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งจริงๆ แล้วภาษาภาพต้องอ่านยังไง ดูอะไรบ้าง อ่านสิ่งที่เรียกว่า อาการ กิริยา การกระทำ อารมณ์และความรู้สึก ที่มันปรากฎอยู่ในภาพ เช่น เราเห็นตัวละครในภาพมันเกาะเกี่ยวกัน มันจับกลุ่มกัน มันคือการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ถ้าอารมณ์ความรู้สึกเราอาจจะดูว่าในภาพมันมีความขัดแย้ง หรืออารมณ์มันรู้สึกวุ่นวาย สับสน ยิ่งถ้าภาพมันมีการแสดงสีหน้าชัดก็ยิ่งอ่านง่ายเลย 

นี่เป็นสิ่งที่เราจะบอกกับคนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมให้รู้ว่ามันใช้แบบนี้ พอกลับบ้านไปคุณจะอ่านให้ตัวเองได้ คุณไม่ต้องวิ่งไปหาคนอื่น คุณไม่ต้องไปหาหมอดูแล้วนะ คุณมาอ่านให้ตัวเอง คุณมาเป็นนักให้คำปรึกษาให้กับตัวเอง พอเขาฝึกจนชำนาญแล้ว เขาก็สามารถเอาไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เอาไปนั่งฟังเพื่อนก็ได้ค่ะ ฟังเพื่อนเสร็จจับประเด็นตั้งคำถามได้ ก็เป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมชอบกัน”

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการอ่านไพ่ที่แท้จริงนั้นก็คือ การสอนให้รู้จักประยุกต์สิ่งรอบตัวให้กลายเป็นไพ่และนำมาอ่านเพื่อช่วยตอบคำถามในใจของตัวเอง 

นอกจากไพ่ อั๊ทยังสอนประยุกต์ใช้เครื่องมือในการอ่านใจหลากหลายมาก เช่น น้ำหอม หิน เซียมซี ข้อความในหนังสือ หรือแม้แต่เนื้อเพลง 

“เราเป็นคนที่ชอบเอาเครื่องมืออื่นๆ เข้ามาแทรกให้เขาได้เล่น บางครั้งก็จะไม่ได้ใช้ไพ่อย่างเดียว อาจจะมีให้ปรุงน้ำหอม ให้ดมกลิ่นหอมๆ พอดมกลิ่นหอมๆ นึกถึงอะไร สมมติวันนี้อยากพาเขาไปหาคุณค่าในตัวเอง หรือคุณสมบัติในตัวเอง ดมแล้วกลิ่นนี้นึกถึงใครเหรอ แล้วคนๆ นี้เขามีข้อดีคืออะไรเหรอ ข้อดีที่เขาดึงออกมาได้ก็จะโยงกลับไปว่าเวลาที่เราเห็นอะไรดีๆ ในตัวใคร แปลว่าเราเองก็มีสิ่งนั้นอยู่นะ เสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยไปตั้งคำถามว่า แล้วเราจะสามารถพัฒนาข้อดีนั้นให้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้ยังไง ก็เอาไพ่มาเปิด”

“ยกตัวอย่างไพ่ชุดฟังใจธาโรต์ ความพิเศษตรงที่มันมีรูปและมีชื่อเพลง เช่น เจ้าสาวไฉไล ความสุขใกล้ๆ ไปเสิร์ชดูในยูทูบเราจะเจอว่ามันคือเพลง แล้วมันก็มีชื่อไพ่ ถ้าเราไม่ใช้ฟังก์ชั่นที่เป็นภาพอย่างเดียว ก็จะให้เขาหาคำตอบจากเพลง เพลงที่ฟังอยู่เขาแนะนำให้คุณแก้ปัญหาในชีวิตยังไง บางคนชอบฟังเพลงเขาจะรู้สึกว่า อ๋อ…เพลงมันมีความหมาย ฟังดูดีๆ ในนั้นมันจะมีเนื้อหาที่แต่ละคนเชื่อมโยงได้ว่า จะเอามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้” 

สิ่งที่เป็นคำตอบที่หลายๆ คนตามหา ความจริงแล้วมันซ่อนอยู่ในใจเรา เพียงแต่เราอาจไม่รู้วิธีดึงคำตอบนั้นออกมา หรือกำลังสับสนเกินกว่าจะคิดหรือวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ การอ่านไพ่จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่กรุยทางให้คนๆ นั้นเห็นคำตอบของตัวเองชัดเจนและยืนยันคำตอบนั้นอีกครั้งหนึ่ง 

“มันก็คือการที่ทำให้คนที่กำลังฟุ้งๆ อยู่ มาจัดระเบียบความคิด มาสำรวจความรู้สึกข้างในใจดูหน่อย คำถามที่ถาม ลึกๆ แล้วทุกคนก็มีคำตอบของตัวเอง แต่แค่มันมีเอ๊ะ…ขึ้นมาในหัว เราก็จะช่วยทำให้เขาชัดเจน ฝึกให้คนชัดเจนกับเสียงข้างในใจตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก 

เพราะหลายๆ คนวิ่งออกไปตามกระแสข้างนอก ไม่ทันได้กลับมาดูว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร อะไรนะที่มันอยู่ข้างในที่มันชัดที่สุด มันตะโกนร้องเรียกตั้งนานแต่ไม่ได้หันมาดูเลย พอเอาภาพมาสะท้อน เอ้า…มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาก็เลือกได้แล้ว มันช่วยทำให้เสียงข้างในใจดังออกมาได้ชัดขึ้น ให้เราได้หยุดฟังเสียงหัวใจตัวเอง” 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านไพ่ คือ ‘ฟังเพื่อเข้าใจ’ ไม่ใช่แค่ ‘ฟังให้ได้ยิน’

ในกระบวนการทั้งหมดที่ว่ามานี้ นอกจากทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจตนเองแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่านการอ่านไพ่ ในมุมมองของกระบวนกร อั๊ทบอกเล่าความรู้สึกว่า จากเมื่อก่อนแค่ ‘ฟังให้ได้ยิน’ แต่ตอนนี้เป็น ‘การฟังเพื่อเข้าใจ’ 

“เมื่อก่อนมันแค่ฟังให้ได้ยิน การได้ยินมันจับใจความไม่ได้ แต่ถ้าฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ มันจะจับประเด็นได้ เพราะฉะนั้นการมาฝึกอ่านไพ่ หรือมาเรียนอ่านไพ่ก็ดี หรือใช้ไพ่ก็ดี มันช่วยทำให้เรากลับไปฟังทั้งเสียงข้างในใจเรา แล้วก็ฟังเสียงคนรอบๆ ตัว ทำให้เราได้ยินเขามากกว่า ได้ยินได้อย่างลึกซึ้ง แล้วก็ฟังด้วยหัวใจของเราจริงๆ การฟังด้วยหัวใจ ก็จะฟังแบบไม่ตัดสิน ไม่บอกว่าอันนั้นดี อันนี้ไม่ได้ ฟังคือฟัง เราก็จะบอกกับทุกคนเสมอว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณควรฝึก คุณฝึกอันนี้ได้ดีขั้นตอนอื่นๆ คุณทำได้ฉลุยเลย 

แล้วเราก็ไม่ได้ใช้กับตัวเองอย่างเดียว เราใช้กับคนอื่นได้ด้วย พอมาอ่านไพ่แล้วมันทำให้เราเข้าใจอีกคนนึงนอกเหนือจากตัวเราเองด้วย ในระดับที่ว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมหรือการกระทำ เขาปฏิบัติกับเราแบบนี้ แล้วมันก็ช่วยทำให้เราช้าลงในการที่จะตัดสินหรือว่ารีบใส่อารมณ์ หรือรีบบอกว่าคนนี้มันร้ายหรือมันแย่”

สุดท้ายแล้ว การอ่านไพ่ ก็คือกระบวนการกลับมาอยู่กับตัวเอง ในเมื่อปัญหาหรือคำตอบที่ตามหา เกิดขึ้นที่ตัวเรา แค่มองย้อนกลับมาดูตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง เมื่อเปิดใจก็จะเริ่มเห็นว่า จริงๆ แล้วเรากำลังรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไรกันแน่    

“เริ่มต้นจากการกลับมารับฟังเสียงข้างในตัวเองก่อน ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรนะ ความรู้สึกนี้เรากำลังต้องการอะไร ฟังให้ได้ยินให้ชัด แล้วหลังจากนั้นจับประเด็นมันออกมาว่า ความต้องการนี้ทำยังไงนะฉันถึงจะได้มันมา เพื่อที่จะทำให้ฉันไปสู่เป้าหมายหรือความตั้งใจที่เป็นความฝันของฉัน 

หรือว่าฉันอยากได้ในสิ่งที่มันเป็นคุณค่าสูงสุด ทำยังไงฉันถึงจะไปแตะไปจับคุณค่าตรงนั้นได้ ก็อยากให้กลับมาฟังเสียงข้างในใจตัวเองให้ชัด การฟังเสียงข้างในใจตัวเองนี่แหละค่ะ มันจะเป็นตัวที่ทำให้เราเปิดกว้างที่จะรับฟังคนอื่นได้ด้วย” อั๊ท วารีแห่งใจ ทิ้งท้าย

‘อ่านไพ่มู รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ’ เป็นกิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของงาน Soul Connect Fest 2023 จัดโดยภาคีเครือข่ายด้านสุขภาวะทางปัญญามากกว่า 50 องค์กร สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

มหกรรมพบเพื่อนใจ ออกเดินทางค้นหาความสุข ฮีลใจไปด้วยกันผ่านเครื่องมือและกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น นิทรรศการ เวิร์คชอป การแสดงดนตรี ฯลฯ ในวันที่ 19 – 20 สิงหาคม 2566 ที่ Lido Connect สยามสแควร์ สามารถติดตามรายละเอียดของงานได้ที่ https://www.facebook.com/SoulConnectFest 

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)การตั้งคำถามความสุขจิตใจรักตัวเองการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)ความทุกข์อ่านไพ่มู รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Dr.Tong The Filter
    Life classroomHow to enjoy life
    ‘เราต่างเป็น Expert ของชีวิตตัวเอง’ ค้นพบศักยภาพที่จะมีความสุข กับ ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an EducatorHow to enjoy life
    ปลดล็อกความรู้สึกภายในด้วย ‘ศิลปะ’:  เส้นทางกระบวนกรของ ครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุล

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    ‘รักตัวเอง’ สุขจริงหรือแค่ปลอบใจ แล้วแค่ไหนถึงกลายเป็นหลงตัวเอง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ปิราเนซิ: โลกแสนงดงามเมื่อถูกสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

ความหมายของชีวิต: เรียนรู้ และสร้างมันขึ้นมา
How to enjoy life
8 August 2023

ความหมายของชีวิต: เรียนรู้ และสร้างมันขึ้นมา

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เราอาจไม่สามารถเลือกชีวิตหรือเหตุการณ์ในชีวิตได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตอย่างไร หรือพูดได้ว่ามนุษย์สามารถสร้าง ‘ทางเลือก’ และ ‘ความหมาย’ ต่อสถานการณ์หนึ่งได้เสมอ
  • การสร้างความหมายให้ชีวิตเป็นความตั้งใจส่วนบุคคลที่ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ใช่กระบวนการเร่งรัดให้ตัวเองมองถึงสิ่งที่ได้เรียน สิ่งที่มีความหมายของเหตุการณ์นั้น ทั้งที่ยังไม่พร้อม เราสามารถอยู่กับความรู้สึกแย่ได้
  • การสร้างความหมายของชีวิตไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทุกข์ บางช่วงเราอาจจะทุกข์มากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อตั้งคำถามกับชีวิต แต่เราจะเห็นคุณค่าของความทุกข์มากยิ่งขึ้น

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วิคเตอร์ อี ฟรังเคิล จิตแพทย์ชาวยิว ถูกกลุ่มนาซีจับตัวไปค่ายกักกันที่โหดร้ายทารุณ ที่นั่นชีวิตคนเป็นเพียงแค่ตัวเลขคล้ายเลขประจำตัวสัตว์และแรงงานเอาไว้ทำงาน เขาและคนอื่นต่างไม่รู้ว่าวันไหนคือวันสุดท้ายของชีวิต การเห็นคนเสียชีวิต โดนฆ่า ทารุณกรรมเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนต่างชินชา คนบางกลุ่มทุกข์ทรมานอดอยากจนต้องกินชิ้นส่วนเนื้อมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น วิคเตอร์สูญเสียทั้งพ่อแม่น้องชาย และภรรยาที่ตั้งครรภ์ เวลานั้นเขาบรรยายว่าเหมือนตัวเองเป็นเด็กกำพร้าในโลกที่กว้างใหญ่

ถ้าเป็นผมคงรู้สึกเคว้งคว้างจนไม่รู้จะมีแรงใช้ชีวิตต่อบนโลกอย่างไร และคงไม่รู้ว่าชีวิตจะมีความหมายอะไรอีกแล้ว วิคเตอร์เขียนในหนังสือ ชีวิตไม่ไร้ความหมาย (man’s search for meaning) ว่ายิ่งเขาเข้าใจความหมายของความทุกข์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจ็บปวดน้อยลง เขาเชื่อว่าความเจ็บปวดที่ถูกเข้าใจ จะสามารถเป็นพลังงานชั้นดีของชีวิต ในชีวิตของมนุษย์ แม้ในช่วงที่ชีวิตมืดมนที่สุด เราก็ยังสามารถหาความหมายและความหวังบางอย่างได้เสมอ 

เราอาจไม่สามารถเลือกชีวิตหรือเหตุการณ์ในชีวิตได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตอย่างไร 

หรือพูดได้ว่ามนุษย์สามารถสร้าง ‘ทางเลือก’ และ ‘ความหมาย’ ต่อสถานการณ์หนึ่งได้เสมอ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีใครพลัดพรากจากเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายของมนุษย์ หรือเหตุการณ์ที่ย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม

ตอนนี้ชีวิตต้องการอะไรจากเรา

เมื่อไหร่ก็ตามที่ทุกข์ใจแล้วคิดว่าสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลย การมัวจมอยู่กับคำถามนั้น “ทำไมมันต้องเกิดขึ้นด้วย ทำไมต้องเป็นเรา” ถ้าคิดแล้วทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง หรือเห็นทางเลือกที่ดีในชีวิต ผมว่าก็เป็นเรื่องดีนะครับ แต่ถ้ามันไม่ได้ทำให้มีความสุขแม้แต่น้อย การเปลี่ยนคำถามเป็น “แล้วตอนนี้ชีวิตต้องการอะไรจากเรา”
เหมือนที่วิคเตอร์พูด หากเรามัวแต่ตั้งคำถามว่าเราต้องการอะไรจากชีวิต ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แล้วทุกอย่างดีขึ้นก็คงดี แน่นอนว่าบางอย่างที่เกิดขึ้นมันก็แย่มาก แล้วมันก็ไม่มีความหมายหรือคำอธิบายอะไรได้เลย แต่ถ้าเราสามารถตอบตัวเองได้ว่า แล้วตอนนี้ชีวิตต้องการให้เราทำอะไร การตั้งคำถามแบบนี้ทำให้เรายอมรับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แล้วหันกลับมามองสิ่งที่ตัวเองควบคุมได้ นั่นคือ การสร้างความหมายและเลือกตอบสนองตอบสถานการณ์ วิคเตอร์รู้ดีว่าสิ่งที่เขาต้องการจากชีวิต เช่น การฟื้นชีวิตครอบครัวเขากลับมามันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ชีวิตต้องการจากเขา อย่างการให้เขาได้เข้าใจการสร้างความหมายของชีวิตนั้นเป็นไปได้

สำหรับวิคเตอร์ ความหมายที่เขาให้กับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ค่ายกักกันคือ การที่เขาได้เรียนรู้ความสำคัญของความทุกข์ และได้เข้าใจว่าอิสรภาพของมนุษย์ในการเลือกตอบสนองต่อสถานการณ์คือสิ่งที่ไม่มีใครพรากจากมนุษย์ไปได้ 

เราเลือกได้ว่าเราจะมีเมตตาต่อคนอื่น คงไว้ซึ่งคุณธรรม หรือปล่อยให้สัญชาตญาณของการทำลายคนอื่นทำงาน 

ความเข้าใจนี้ทำให้เขาตั้งใจที่จะเขียนงานเผยแพร่ความรู้ และช่วยให้ผู้คนตามหาความหมายในชีวิตของตัวเอง 

สำหรับผม หากวิคเตอร์จะก่นด่าโชคชะตา วนเวียนอยู่กับความโหดร้ายที่ต้องเจอมันก็เข้าใจได้ เพราะนั่นคือเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างไม่มีคำอธิบาย สำหรับใครหลายคนที่รู้สึกหนักอึ้งกับปัญหาต่างๆ ก็เช่นกัน การสร้างความหมายให้ชีวิตเป็นความตั้งใจส่วนบุคคลที่ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ใช่กระบวนการเร่งรัดให้ตัวเองมองถึงสิ่งที่ได้เรียน สิ่งที่มีความหมายของเหตุการณ์นั้น ทั้งที่ยังไม่พร้อม เราสามารถอยู่กับความรู้สึกแย่ได้ อยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะสร้างความหมายให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย มันใช้พลังมากเลยแหละ

มนุษย์ผู้สร้างความหมาย

การทำความเข้าใจความหมายของอดีตที่เกิดขึ้น แล้วเห็นประโยชน์ของความหมายต่อตัวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทำให้วิคเตอร์มีพลังชีวิตอยู่ต่อ วิคเตอร์เห็นชัดเลยว่า หลังจากออกจากค่ายกักกัน เขาตั้งใจจะแบ่งปันความเข้าใจลึกซึ้งที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้พบเห็นง่ายๆ เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ตามหาความหมายของชีวิต นั่นทำให้เขาไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์มากเกินไป เขาเข้าใจดีเลยว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่ใช่เพียงแค่อาหาร หรือจิตใจที่เข้มแข็ง แต่คือการสร้างความหมายบางอย่างให้กับชีวิต เขาเห็นความงดงามของคนในค่ายกักกันที่แทบจะไม่มีกิน แทบไม่มีแรงกายแรงใจ แต่ก็ยังคงออกเดินไปให้กำลังใจและแบ่งปันขนมชิ้นสุดท้ายที่สามารถประทังชีวิตเขาได้ให้ผู้อื่น การเห็นความหมายของเหตุการณ์ที่เจอแล้วมาเติมเต็มกับคุณค่าที่อยากจะทำในปัจจุบันของวิคเตอร์เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ชีวิตมีแรงเดินไปต่อ 

สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องดีเมื่อเราให้ความหมายต่อมัน และเรียนรู้ว่าสิ่งนั้นจะมีส่วนช่วยตัวเราในปัจจุบันอย่างไร ผมอยู่ในช่วงฝึกการเป็นนักจิตวิทยา การที่ผมให้ความหมายได้ว่าเรื่องเลวร้ายในอดีตที่เคยเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่แค่เกิดขึ้น แต่มันเป็นความหมายลึกซึ้งที่ช่วยให้ปัจจุบันนี้ผมเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้าได้มากขึ้น แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดอีก แต่ทำไงได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราก็เอามาใช้ดีกว่าเก็บมันไว้เป็นขยะให้รกเปล่าๆ

นอกจากนั้น เรายังสามารถมองหาความหมายของชีวิตจากการออกไปทำอะไรที่มีความหมายก็ได้ อะไรที่เรารู้สึกหลงใหล ชื่นชอบ ใช้ความรู้สึกนำทางถ้าใช่มันก็คือใช่ ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นก็จะยิ่งดี เหมือนที่ ไอร์วิน ดี ยาลอม จิตแพทย์ชาวอเมริกัน เชื่อว่า คนที่มีเป้าหมายในชีวิตเพื่อสร้างประโยชน์ต่อคนอื่น มีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่ามากกว่า สำหรับบางคนอาจเป็นการทำงานที่มีคุณค่า ได้ช่วยเหลือผู้คน บางคนคือการได้รักใครสักคน

จากเรื่องราวของวิคเตอร์จะเห็นเลยว่า ความหมายของชีวิตเป็นทั้งพลังงานชั้นดีที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีความหมาย ทำให้เขาไม่จมอยู่กับอดีตมากเกินไป แล้วมองกลับมาที่ปัจจุบันและอนาคตว่าเขาจะทำอะไรต่อไปได้บ้าง

อีกทั้งยังทำให้รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นสิ่งสำคัญที่เป็นความหมายของชีวิต 

ความตายกับความหมายของชีวิต 

มีคนเคยบอกผมว่า “ในเมื่อยังไงเราก็ต้องตายอยู่แล้ว แล้วชีวิตตอนนี้จะมีความหมายอะไร ?” ฟังดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่สมเหตุสมผล แต่ถ้ายกตัวอย่างเหตุการณ์ ผมเป็นคนรักสุนัขมาก โดยเฉพาะพันธุ์โกลเดิ้ลรีทรีฟเวอร์ การที่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ 10 ปี หมายความว่าชีวิตตอนนี้ของเขาไม่มีความหมายหรือป่าว ? สำหรับผมไม่ใช่นะ ชีวิตของเขาก็ยังมีความหมายอยู่ ความตายไม่ได้ทำให้ความหมายของช่วงเวลาที่มีชีวิตหายไป ชีวิตมีความหมายเพราะ เขาเป็นและสร้างความหมายบางอย่างให้กับชีวิต 

คนไข้ของไอร์วิน ดี ยาลอม เคยบอกเขาว่า “ความจริงว่าทุกคนต้องตายอาจทำร้ายเรา แต่ความคิดเกี่ยวกับการตายอาจช่วยเราได้” โดยธรรมชาติ เรามักจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความตาย – การสูญเสีย หลายครอบครัวมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึง ทั้งที่จริง การคิดเรื่องความตายอาจทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้นก็ได้ และอาจทำให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายอย่างแท้จริง เราจะไม่เสียเวลาทำในสิ่งที่ไม่ได้มีความหมาย เราจะใช้ชีวิตด้วยการรู้ว่าเวลามีจำกัด 

การตระหนักถึงความตายยิ่งทำให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิต และคัดกรองเปลือกที่ไม่จำเป็นของชีวิตออกไป 

การตระหนักถึงความตาย อาจเป็นคำถามว่า ถ้าชีวิตนี้เหลือเวลาอีก 1 เดือน คุณอยากจะทำอะไรบ้าง เพราะอะไรถึงเป็นสิ่งนั้น และคุณจะตัดอะไรออกจากชีวิตบ้างเพื่อทำสิ่งนั้น การเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่าอาจทำให้บางคนรู้สึกดี และอาจทำให้บางคนรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียเวลาชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองนานแค่ไหน หรือรู้สึกแย่ที่ตัวเองต้อง ‘รับผิดชอบ’ ชีวิตจริงตัวเอง แต่นั่นก็คงดีกว่าการมองไม่เห็นความต้องการที่แท้จริงของชีวิต

คนเราจำเป็นต้องมีความหมายของชีวิตไหม ? ผมไม่มีคำตอบเหมือนกัน มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของแต่ละคน ถ้าผมเดินไปบอกว่าคุณคนเก็บขยะว่าคุณควรมองหาความหมายของชีวิต ทั้งที่แค่การหาเงินประทังชีวิตในแต่ละวันยังยาก การจะมาครุ่นคิดเรื่องแบบนี้ก็อาจไม่ใช่ เรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรบอกว่า ควรมีหรือไม่มี เพราะเงื่อนไขชีวิตทุกคนต่างกัน เอาเข้าจริงคนนี้เขาอาจมีความหมายชีวิตก็ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้ครุ่นคิดกับมัน เขาอาจไม่ได้ชอบการเก็บขยะ แต่การเก็บขยะคือการที่เขาจะได้มีเงินดูแลคนที่เขารัก 

การสร้างความหมายของชีวิตไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทุกข์ บางช่วงเราอาจจะทุกข์มากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อตั้งคำถามกับชีวิต แต่ผมมั่นใจว่า เราจะเห็นคุณค่าของความทุกข์มากยิ่งขึ้น – สิ่งที่มนุษย์พยายมหลีกหนี แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าเราหนีความทุกข์ไม่ได้

ความหมายของชีวิตเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน ผมกลัวที่จะเขียนด้วยซ้ำ มีอีกหลายสิ่งที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์มีความหมาย มันเยอะจนยากจะพูดทั้งหมด บทความนี้จึงเต็มไปด้วยช่องว่างและความไม่สมบูรณ์แบบ รอให้คุณเข้ามาเติมเต็ม ‘คำตอบในแบบของคุณเอง’

ถึงจุดนี้สำหรับผม ชีวิตที่มีความหมายคือ ความรู้สึกเติมเต็ม หรือเห็นคุณค่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่

แล้วคุณล่ะ ? 

Tags:

การเรียนรู้มนุษย์ชีวิตความหมายของชีวิต

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    นิสัยเสียที่ฝังในยีน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an EducatorLife classroom
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Like Stars on Earth: ไม่มีเด็กคนไหนไร้ค่า ขอแค่แสงสว่างจากใครสักคนเพื่อเปล่งประกาย
Movie
4 August 2023

Like Stars on Earth: ไม่มีเด็กคนไหนไร้ค่า ขอแค่แสงสว่างจากใครสักคนเพื่อเปล่งประกาย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Like Stars on Earth เป็นภาพยนตร์อินเดียในปี 2007 กำกับและแสดงนำโดยอาเมียร์ ข่าน ซุปเปอร์สตาร์เบอร์ 1 แห่งวงการ Bollywood
  • ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดของ อีชาน เด็กชายที่มีปัญหาเรื่องการอ่านการเขียนอันมีผลจากระบบประสาท แต่โชคร้ายที่พ่อและพวกคุณครูต่างคิดว่าอีชานขี้เกียจและโง่ ทั้งยังดุด่าต่อว่าอีชานว่าปัญญาอ่อนเป็นประจำ จนในที่สุดพ่อตัดสินใจส่งอีชานไปอยู่โรงเรียนประจำเพื่อหวังดัดนิสัย
  • แต่แล้วในวันที่ยากลำบากที่สุด อีชานได้พบกับครูคนหนึ่งซึ่งฉุดเขาขึ้นมาจากหลุมพรางของความอคติและช่วยจุดไฟแห่งศักยภาพในตัวอีชานให้เปล่งประกายขึ้น

ณ ดินแดนหมู่เกาะโซโลมอนอันห่างไกล ชนเผ่าพื้นเมืองกำลังกระตือรือร้นในการตระเตรียมพื้นที่สำหรับการทำนา 

สิ่งที่น่าสนใจคือแทนที่ชาวบ้านจะตัดหรือโค่นทำลายต้นไม้ที่ขวางทาง พวกเขากลับชวนญาติสนิทมิตรสหายมายืนล้อมรอบต้นไม้ และพูดจาดูหมิ่นสาปแช่งมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่นานหลังจากนั้นต้นไม้ก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้ง และตายลงในที่สุด

นี่คือบทสนทนาตอนหนึ่งจากภาพยนตร์อินเดียเรื่อง  ที่ถูกหยิบยกมาอุปมาในฉากที่ ‘ครูราม’ กำลังชี้ให้พ่อคนหนึ่งเห็นว่าการที่เขาด่าลูกทุกวัน(โดยที่ลูกไม่ได้ทำผิดอะไร) ไม่ต่างอะไรกับการค่อยๆ ปลิดชีพลูกอย่างเลือดเย็น

Like Star on Earth บอกเล่าเรื่องราวของอีชาน อาวาสตี้ เด็กชายชั้นป.3 ที่ประสบภาวะ LD (Learning Disability) หรือภาวะการเรียนรู้บกพร่องที่มีสาเหตุจากการทำงานผิดปกติของสมอง ส่งผลให้เขามีปัญหาด้านการอ่านการเขียน รวมไปถึงปัญหาด้านความคิดที่มักแสดงออกถึงความสับสนและไม่สามารถลำดับเหตุการณ์เหมือนกับคนทั่วไป นำมาสู่ปัญหาการเรียนซ้ำชั้นและกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของที่บ้านและโรงเรียน

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเลยที่ล่วงรู้ความจริงข้อนี้ โดยเฉพาะพ่อกับพวกคุณครูที่ปักใจเชื่อว่าที่อีชานเป็นเด็กขี้เกียจและโง่จนต้องเรียนซ้ำชั้น ทำให้อีชานต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ทั้งภาวะ LD ภายใน และเสียงเยาะเย้ยถากถางจากโลกภายนอก

ครูหลายคนเพิกเฉยกับความผิดปกติด้านการเรียนรู้ของอีชาน แถมยังใช้วิธีตะคอก ลงโทษ และตีตราเขาให้อับอายขายหน้าเพื่อนๆ เสมอ ทำให้อีชานรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ 

ส่วนพ่อก็เลี้ยงดูอีชานด้วยความเผด็จการคือพ่อเป็นใหญ่ในบ้าน ซึ่งหากอีชานเรียนเก่งระดับแถวหน้าของชั้นเหมือนพี่ชาย พ่อก็คงเป็นเผด็จการจอมเมตตาที่สปอยล์ทุกอย่างดั่งใจหวัง ทว่าอีชานกลับโชคร้ายที่ประสบภาวะ LD ทำให้เขาเรียนซ้ำชั้นป.3 ติดกันเป็นปีที่สอง หนำซ้ำยังถูกโรงเรียนไล่ออกเพราะผลการเรียนที่ไม่พัฒนาไปไหน พ่อจึงกลายเป็นเผด็จการที่ใจร้ายเอาแต่ดุด่า แถมยังใช้กำลังตัดสินปัญหาในหลายๆ ครั้ง เช่น ตอนอีชานถูกเพื่อนล้อเลียนจนลามไปสู่การทะเลาะ พ่อกลับแก้ปัญหาด้วยการตบอีชานต่อหน้าคู่กรณีโดยไม่ถามเหตุผลลูกสักคำ 

ในบรรดาคำด่าสารพัดที่ได้ยินเกือบตลอดทั้งเรื่อง ผมสังเกตว่า ‘ไอ้ปัญญาอ่อน’ คือคำที่อีชานได้รับบ่อยที่สุด และน่าเสียใจมากขึ้นเมื่อพิจารณาว่าคนที่พูดคำนี้บ่อยๆ ซ้ำๆ คือพ่อกับเหล่าคุณครูในเรื่อง 

สำหรับผม ขึ้นชื่อว่าคำพูดของพ่อแม่รวมถึงครูบาอาจารย์มีผลกระทบต่อเด็กคนหนึ่งอย่างมหาศาล เพราะเด็กเป็นเพียงมนุษย์ที่ขาดประสบการณ์แถมยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเด็กจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของพ่อแม่และครูอย่างสิ้นเชิง 

เมื่ออีชานได้ยินคำว่าปัญญาอ่อนบ่อยเข้า แน่นอนว่าเขาก็ค่อยๆ เชื่อโดยอัตโนมัติว่าตัวเองปัญญาอ่อนและไร้ค่าจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่พ่อส่งเขาไปเรียนโรงเรียนประจำ ทำให้ความภาคภูมิใจและนับถือตัวเองของอีชานแหลกสลายลงอย่างสิ้นเชิง

ประเด็นถัดมาคือการที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอว่าครูที่ดีสามารถยกระดับศักยภาพของเด็กได้ ผ่านบทบาทของครูราม ครูสอนศิลปะอัตราจ้างที่โรงเรียนประจำซึ่งเคยประสบภาวะ LD มาก่อนแถมยังสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของอีชานจนเขารู้สึกถึงเงาสะท้อนของตัวเองในอดีต ครูรามจึงเริ่มต้นสร้างแรงจูงใจให้อีชานด้วยการนำเรื่องราวของบุคคลสำคัญของโลก เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, โทมัส เอดิสัน หรือ วอล์ต ดิสนีย์ ฯลฯ มาเล่าให้ฟังว่าทั้งหมดต่างมีปัญหาเรื่องการอ่านการเขียน แถมยังเคยถูกคนตราหน้าว่าโง่และไม่เอาไหนมาก่อน แต่พวกเขากลับเอาชนะคำดูถูกเหล่านั้นด้วยความทุ่มเทพยายามจนทั้งโลกพากันยกย่องเชิดชู

“…ครูเองก็มีปัญหาเรื่องการอ่านเขียนตอนยังเด็ก พ่อครูไม่เคยเข้าใจครู เขาหาว่าครูมีข้ออ้างหลีกเลี่ยงการเรียนหรือไม่ยอมเชื่อฟัง ครูคิดเสมอว่าครูจะล้มเหลวในชีวิต ไอ้เด็กปัญญาอ่อนนี่จะสำเร็จอะไรได้บ้าง แต่ไม่ว่าครูจะเป็นอะไร ครูก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว” ครูรามบอกอีชานด้วยสีหน้าจริงจัง

สิ่งที่ผมประทับใจคือครูรามเป็นคนเดียวที่อาสาครูใหญ่มาช่วยติวอีชานเป็นพิเศษนอกเวลาเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Educational Principles) หรือการเรียนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางและให้โอกาสเด็กได้เลือกทำกิจกรรมการเรียนรู้ตามความสนใจ เช่น เวลาสอนอีชานบวกลบเลข ครูรามจะพาอีชานไปที่ลานอัฒจันทร์กว้างๆ เพื่อให้อีชานบวกลบเลขด้วยการก้าวขึ้นลงบันไดอย่างสนุกสนาน หรือการเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษ ครูรามที่รู้ว่าอีชานมีความสามารถพิเศษด้านศิลปะก็นำสีน้ำหลายๆ สีมาให้อีชานใช้เขียนจำแนกตัวอักษรที่เขามักจำสลับกัน

ผมมองว่าแม้อีชานจะถูกพ่อและคุณครูที่โรงเรียนเก่า ‘ล่วงละเมิดทางวาจา’ จนเผชิญกับความเศร้าหมองหดหู่ใจ แต่พอได้เจอครูราม…ผู้ให้เกียรติและเห็นว่าเด็กทุกคนล้วนมีศักยภาพในแบบของตัวเอง ผ่านการเจียระไนและชื่นชมอีชานบ่อยๆ ทำให้อีชานค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเขามีคุณค่า ทั้งยังตระหนักได้ว่าความพยายามของเขากำลังนำชีวิตไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นพลังใจอันเข้มแข็งที่ช่วยให้อีชานกลับมามีชีวิตชีวาและตั้งใจฝึกฝนทักษะด้านการอ่านการเขียน รวมถึง ‘ศิลปะ’ ที่เขารักอย่างสุดจิตสุดใจ 

นอกจากกิจกรรมทั้งหมดแล้ว ฉากที่น่าประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉาก สุดท้ายของเรื่องที่ครูรามจัดงานแข่งขันวาดภาพกลางแจ้งภายในโรงเรียน โดยมีนักเรียนและครูทุกระดับชั้นเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อเปิดโอกาสให้อีชานได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงให้ผู้คนตระหนัก แต่ที่ประทับใจมากกว่าการที่อีชานได้รางวัลชนะเลิศคือตอนที่หนูน้อยกำลังเดินไปที่เวทีแล้วสะดุดล้ม ปรากฏว่าครูรามโผล่มาประครองเขาไว้ได้ทัน ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าบางทีภาพยนตร์อาจกำลังต้องการสื่อสารกับผู้ชมว่า

ครูที่ดีไม่ใช่ครูที่เอาไม้บรรทัดของตัวเองมาตัดสินหรือวัดค่าเด็ก แต่เป็นครูที่คอยประคับประคอง อยู่เคียงข้าง และผลักดันเด็กคนหนึ่งให้ก้าวไปสู่ฝั่งฝันในแบบที่เขาต้องการ

Tags:

การเรียนรู้เด็กครอบครัวภาวะการเรียนรู้บกพร่อง

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.3’ในวันที่โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.5 ‘เด็กพูดโกหก’ 

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู
Education trend
3 August 2023

AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เรากำลังใช้เอไอในชีวิตประจำวันเป็นปกติอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจหากจะมีการนำเอไอมาใช้ในด้านการศึกษาบ้าง เช่น Sal Khan ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร กำลังพัฒนาเอไอเพื่อเป็นติวเตอร์ส่วนตัวและผู้ช่วยครู
  • เมื่อเรามีการวางรั้วป้องกันที่ดี เอไอจะเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยวงการการศึกษาให้พัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้นผ่านการสร้างประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งติวเตอร์ส่วนตัวและผู้ช่วยครู เอไอไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาทำลายวงการการศึกษาอย่างที่สื่อหลายๆ เจ้าพาดหัวกันอึกทึกครึกโครม
  • การใช้เอไอทำให้นักเรียนได้ลงมือ ‘สืบสวนสอบสวน’ ข้อมูลด้วยตัวเอง นักเรียนได้ค้นหาข้อมูลในมุมมองต่างๆ เกิดการตั้งคำถามปลายเปิด พร้อมทั้งไตร่ตรองว่าข้อมูลเหล่านั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์

การเปิดตัว ChatGPT เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนให้ความสนใจกับคำว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence) หรือ ‘เอไอ’ (AI) มากขึ้น เพราะ ChatGPT ถือว่าเป็นแชตบอตเอไอที่สามารถใช้ภาษาโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังสามารถทำงานได้หลายอย่าง เช่น ให้ข้อมูล แก้โจทย์คณิตศาสตร์ เขียนโค้ด เขียนเรียงความ จัดทริป ฯลฯ

การเข้ามาของ ‘เอไอ’ ในลักษณะนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า เอไอจะเข้ามาดิสรัปต์หรือปั่นป่วนหลายๆ วงการ จนกระทั่งไปถึงแย่งงานเลยก็เป็นไปได้ ไม่เว้นแม้แต่วงการการศึกษาที่มีความกังวลว่าเอไอจะเข้ามาแย่งงานครูและเปิดช่องให้นักเรียนโกงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะตอบคำถามว่าไอเอจะสามารถทำถึงขนาดนั้นได้หรือไม่ เราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าเอไอคืออะไร แล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากเอไอได้อย่างไร

ตัวอย่างการพูดคุยกับ ChatGPT‘

เอไอคืออะไร

‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ ‘เอไอ’ เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานทั่วๆ ไปที่สิ่งมีชีวิตซึ่งมีสติปัญญาสามารถทำได้ โดยคำว่า ‘สติปัญญา’ (Intelligence) ในมุมของการพัฒนาเอไอมุ่งให้ความสนใจไปที่ความสามารถในการเรียนรู้ การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การรับรู้ และการใช้ภาษา

แม้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปอย่างมาก คอมพิวเตอร์มีความเร็วมากขึ้นและมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มีเอไอตัวไหนเลยที่มีสามารถเหมือนกับมนุษย์ในทุกๆ ด้าน เพราะเอไอในปัจจุบันมุ่งพัฒนาเพื่อการใช้งานอย่างเฉพาะเจาะจงในด้านหนึ่งๆ

เอไออยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด

หลายๆ คนอาจเพิ่งมาคุ้นเคยกับคำว่า ‘เอไอ’ หลังจากการเปิดตัว ChatGPT แต่จริงๆ แล้วเรากำลังใช้เอไออยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ก่อนที่จะมี ChatGPT เสียอีก เช่น

  • โปรแกรมค้นหา (Search Engine) อย่าง Google Search ก็มีเอไอ เพราะโปรแกรมค้นหาไม่สามารถสแกนทุกอย่างได้บนอินเทอร์เน็ต ต้องมีเอไอเข้ามาช่วยเพื่อให้ได้คำตอบตรงกับที่เราต้องการ
  • การสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ก็มีการใช้เอไอสำหรับจดจำและระบุใบหน้า (Face Recognition)
  • โซเชียลมีเดียที่เราใช้กันก็มีเอไอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อจัดแสดงหน้าฟีดให้เหมาะสมกับความชอบของเรา แนะนำเพื่อนใหม่ๆ และยังระบุข่าวปลอมได้ในเบื้องต้น
  • แอปพลิเคชันสำหรับค้นหาและนำทางอย่าง Google Map ก็มีเอไอสำหรับติดตามสภาพการจราจรตามเวลาจริงเพื่อแนะนำเส้นทางที่ดีที่สุด

เรากำลังใช้เอไอในชีวิตประจำวันเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ตัว จึงรู้สึกว่าไอเอเป็นเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ไม่ดี ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น สังเกตจากการใช้เอไอในชีวิตประจำวันของเราผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ เมื่อมีเอไอเข้ามา การใช้งานของเราก็สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจ หากจะมีการนำเอไอมาใช้ในด้านการศึกษาบ้าง เช่น Sal Khan ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาที่ไม่แสวงหากำไร ได้กล่าวใน TED (2023) ว่า “ผมเชื่อว่าเรามาถึงจุดสูงสุดของการใช้เอไอสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่วงการการศึกษาเคยมีมา วิธีที่เราจะทำก็คือให้นักเรียนทุกคนบนโลกได้มีติวเตอร์ส่วนตัวที่แม้ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์แต่ก็น่าทึ่งมากเช่นกัน และเราก็จะให้ครูทุกคนบนโลกได้มีครูผู้ช่วยที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สุดยอด”

เอไอในฐานะติวเตอร์ส่วนตัว

‘การเรียนแบบตัวต่อตัว’ ดีกว่า ‘การเรียนแบบกลุ่ม’ อย่างไร

Khan เสนอว่าการสอนเด็กแบบตัวต่อตัวดีกว่าการสอนแบบกลุ่มด้วยการยกผลการศึกษาเปรียบเทียบการสอนทั้ง 2 แบบจากงาน ‘2 Sigma Problem’ ของนักจิตวิทยาการศึกษา Benjamin S. Bloom (1984) โดยเป็นกราฟที่แสดงการแจกแจงความสำเร็จของนักเรียนภายใต้การเรียนการสอนแบบดั้งเดิม (ครู 1 – นักเรียน 30), การเรียนรู้แบบรู้จริง (ครู 1 – นักเรียน 30) และแบบกลุ่มย่อย  (ครู 1 – นักเรียน 1) อย่างไรก็ตาม ในการนำเสนอของ Khan ไม่ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery Learning)

เห็นได้ว่าการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม (Conventional) กราฟจะเป็นรูประฆังคว่ำมาตรฐาน คือ มีนักเรียนจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ที่คะแนนปานกลาง และมีนักเรียนเพียง 20% ที่ได้คะแนนสูง แต่ในขณะที่การเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย (Tutorial) มีนักเรียนมากถึง 90% ที่ได้คะแนนสูง และมีนักเรียนจำนวนน้อยมากที่ได้คะแนนปานกลาง

ดังนั้นการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยที่มีครู 1 คน ต่อ นักเรียน 1 คน ทำให้นักเรียนส่วนทำคะแนนได้ดีมาก เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 

ถึงแม้ว่าการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยหรือแบบตัวต่อตัวเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำได้จริงในเชิงปฏิบัติ เพราะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการจัดหาครูจำนวนมาก ทำให้งานวิจัยของ Bloom มุ่งเน้นไปที่การหาวิธีการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวมากที่สุด

อย่างไรก็ดี Khan มองว่าในปัจจุบันการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวสามารถทำได้โดยตรงด้วยการใช้เอไอ เพียงแค่มีเอไอตัวเดียวก็สามารถเข้าถึงคนได้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ Khan Academy กำลังพัฒนาเอไอที่ชื่อว่า ‘Khanmigo’ เพื่อเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับนักเรียน ซึ่งยังอยู่ในขั้นการทดลองโดยผู้ใช้ (Beta) และมีหลากหลายวิชาตั้งแต่คณิตศาสตร์ระดับประถม ประวัติศาสตร์อเมริกันระดับมัธยมต้น หน้าที่พลเมืองระดับมัธยมปลาย ไปจนถึงเคมีอินทรีย์ระดับมหาวิทยาลัย 

หน้าตาของ Khanmigo

Khanmigo เป็นแชตบอตเอไอที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT โดยสามารถใช้ภาษาโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจหรือต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมก็สามารถถาม Khanmigo ได้ตลอดเวลา และเมื่อนักเรียนตอบผิด Khanmigo จะไม่เฉลยคำตอบทันที แต่จะถามเหตุผลว่าทำไมถึงตอบแบบนั้น เพื่อที่จะได้รู้หรือคาดการณ์ว่านักเรียนเข้าใจผิดในประเด็นใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูมักมองข้ามเพราะกลัวจะเสียเวลา แต่เอไอไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาและสามารถตอบนักเรียนได้เรื่อยๆ เท่าที่ต้องการ

นอกจากนี้ ในเรื่องของการอ่านเอาความ (Reading Comprehension) เมื่อนักเรียนอ่านบทความหนึ่งๆ เสร็จ เจ้า Khanmigo ก็สามารถสร้างแบบทดสอบให้นักเรียนทดสอบความรู้ความเข้าใจของตัวเองได้ทันที พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ถามคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ หรือจะให้ Khanmigo สวมบทบาทเป็นผู้เขียนบทความเพื่อให้นักเรียนถามความรู้สึกและจุดประสงค์ของผู้เขียนก็ได้

Khan เรียกเอไอในลักษณะนี้ว่าเป็น ‘ซูเปอร์ติวเตอร์’ เพราะสามารถให้ฟีดแบ็กและอธิบายเพิ่มเติมเป็นขั้นเป็นตอนได้ทันที ทั้งยังตอบคำถามโลกแตกอย่าง ‘เรียนไปเพื่ออะไร’ ได้ด้วย เช่น เมื่อเรียนเรื่องเซลล์ นักเรียนอาจสงสัยว่าเรียนแล้วได้อะไร เจ้า Khanmigo ก็จะถามกลับไปว่า “แล้วอยากเป็นอะไรล่ะ?” ถ้านักเรียนบอกว่าอยากเป็นนักกีฬา เจ้า Khanmigo จะตอบนักเรียนว่า “การเรียนรู้เกี่ยวกับขนาดของเซลล์ สามารถเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการและการทำงานของร่างกายได้นะ”

เดี๋ยวเด็กก็ใช้เอไอทำงานให้ แบบนี้ดีจริงหรือ

Khan นำเสนอพาดหัวข่าวเอไอจากสื่อต่างๆ

หลังจากการเปิดตัว ChatGPT ไม่นาน มีข่าวมากมายออกมาว่ามีนักเรียนใช้เอไอทำการบ้านและมากถึงขั้นใช้โกงข้อสอบก็มี ทำให้สังคมตั้งแง่กับเอไอว่าเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย เพราะจะทำให้เด็กไม่เกิดการเรียนรู้และจะทำให้วงการการศึกษาเสียหาย

Khan โต้เรื่องนี้ว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้เมื่อเราวาง ‘รั้วป้องกัน’ (Guardrails) ที่เหมาะสม ถ้าเด็กมาถามคำตอบจากเอไอ เราต้องทำให้เอไอไม่ตอบคำถามเด็กโดยตรง แต่เปลี่ยนเป็นการให้คำแนะนำหรือถามความเห็นแทน เช่น ในกรณีของ Khanmigo ถ้ามีนักเรียนมาถามคำตอบก็ให้ตอบกลับไปว่า “ฉันเป็นติวเตอร์ของคุณ คุณคิดว่าขั้นตอนต่อไปในการแก้ปัญหาคืออะไร?”


ตัวอย่างการตอบเมื่อนักเรียนถามคำตอบจาก Khanmigo

ถ้าเด็กมาขอให้เอไอเขียนงานให้ เอไอต้องไม่เขียนงานให้เด็ก แต่เปลี่ยนเป็นการแนะนำแทน เช่น เด็กบอกว่าอยากเขียนเรื่องสยองขวัญ เจ้า Khanmigo ก็จะตอบว่า “อู้ว เรื่องสยองขวัญ ช่างเป็นเรื่องที่เสียวสันหลังและน่าระทึกขวัญ มาดำดิ่งสู่โลกแห่งเงาที่น่าขนลุกและความลึกลับที่น่ากลัวกันเถอะ” เพื่อสร้างบรรยากาศให้เข้าใจถึงความสยองขวัญ จากนั้นก็ให้เด็กลองแต่งเรื่องแล้วส่งให้เอไอฟีดแบ็กเพื่อเด็กจะได้ปรับแก้ไขต่อไป

Khan เชื่อว่าการวางรั้วป้องกันที่เหมาะสมไม่เพียงจะป้องกันเด็กใช้เอไอทำงานให้ แต่ยังทำให้เด็กพัฒนาการเขียนได้ดียิ่งขึ้น เพราะเอไอจะกลายเป็นโค้ชสอนเขียนที่ดีที่คอยแนะนำแนวทางให้เด็กว่าต้องปรับปรุงตรงไหนหรือว่าตรงไหนดีแล้ว การให้ฟีดแบ็กตลอดจะทำให้เด็กเป็นนักเขียนที่เก่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

AI ในฐานะผู้ช่วยครู

นอกจากเอไอจะช่วยนักเรียนได้แล้ว เอไอยังสามารถช่วยครูได้ด้วย อย่างที่ Khan กล่าวว่า “สิ่งนี้สามารถมีความทรงพลังพอๆ กันสำหรับครู เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Personalized Education) ให้มากขึ้น และพูดตรงๆ ก็คือ ช่วยประหยัดเวลาและพลังงานให้กับครูและนักเรียน”

เมื่อนำเอไอมาใช้จะทำให้ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับนักเรียนคนหนึ่งๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า ‘การศึกษาเฉพาะบุคคล’ โดยใช้เอไอวิเคราะห์ว่านักเรียนคนนั้นเหมาะกับแนวทางการเรียนรู้แบบไหน เพราะเด็กแต่ละคนมีศักยภาพและแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การเรียนการสอนในรูปแบบเดียวเหมือนกันหมดจะทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ การใช้เอไอจะทำให้ครูประหยัดเวลาและพลังงานที่เสียไปกับการค้นหาข้อมูลได้ แม้ว่า Khanmigo จะไม่ให้คำตอบกับนักเรียนโดยตรง แต่ถ้าเปลี่ยนโหมดเป็นสำหรับครู เจ้า Khanmigo ก็พร้อมที่จะให้คำตอบกับครูได้ทันที พร้อมทั้งอธิบายด้วยว่าจะสอนให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้อย่างไร และทำอย่างไรให้เนื้อหาน่าสนใจขึ้น 

ยิ่งไปกว่านั้น Khanmigo ยังสามารถช่วยเตรียมสื่อการสอน ช่วยสร้างแผนการสอน และแม้แต่ช่วยทำรายงานความคืบหน้า จนกระทั่งไปถึงช่วยออกเกรดเลยก็เป็นไปได้ตามความคาดหวังของ Khan เพราะเขาเชื่อว่า “ครูใช้เวลาประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดไปกับงานอย่างการวางแผนการสอน พลังงานที่สามารถประหยัดไปได้กับงานเหล่านี้จะทำให้ครูมีพลังมากขึ้น หรือมีพลังมากขึ้นในการปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนจริงๆ”

Khanmigo เฉลยคำตอบและช่วยคิดวิธีการสอนให้น่าสนใจ

แล้วเอไอจะแย่งงานครูไหม

เอไอไม่ได้เข้ามาเพื่อแย่งงาน แต่เข้ามาเป็นผู้ช่วยเพื่อทำให้ชีวิตของเราสะดวกมากขึ้น จุดประสงค์ของการพัฒนาเอไอคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ ช่วยลดเวลาที่มนุษย์เสียไปกับการทำงานที่ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก การทำงานเอกสาร ฯลฯ

Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ซึ่งลงทุนกับบริษัทที่พัฒนา ChatGPT ไปมากถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวถึงอนาคตของเอไอกับสำนักข่าว MSNBC (2023) ไว้ว่า “พวกเรากำลังเปลี่ยนจากยุคนักบินอัตโนมัติ (Autopilot) แห่งเอไอ ไปสู่ยุคผู้ช่วยนักบิน (Co-pilot) แห่งเอไอ” 

กล่าวคือ ในยุคแรกของการพัฒนาเอไอ เราต่างมุ่งสร้างให้เอไอทำงานและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอัตโนมัติโดยไม่มีมนุษย์เข้าไปแทรกแซง เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ การจำแนกรูปภาพ การพยากรณ์ เป็นต้น แต่ในยุคปัจจุบันกำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การมุ่งพัฒนาให้เอไอเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ ช่วยมนุษย์ทำงาน ช่วยมนุษย์ตัดสินใจด้วยการประมวลข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันน้อยนิด เช่น โปรแกรมแปลภาษา ระบบสั่งงานด้วยเสียง การวินิจฉัยโรค เป็นต้น

เอไอในปัจจุบันและในอนาคตจะมุ่งให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ ทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เข้ามาแทนที่มนุษย์

เมื่อเอไอไม่ได้มุ่งเข้ามาแทนที่มนุษย์และก็มีหลายๆ อย่างที่เอไอไม่สามารถทำได้ ครูจึงยังมีบทบาทสำคัญในการศึกษา เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ถึงแม้ว่าเด็กจะสามารถคุยกับเอไอได้ แต่การคุยกับเอไอก็ไม่เหมือนกับการคุยกับคนจริงๆ เพราะเอไอนั้นขาดอารมณ์ความรู้สึกหรือการสนับสนุนทางอารมณ์ (Emotional Support) และไม่เข้าใจในบริบทสังคม การสนับสนุนทางอารมณ์ หมายถึง การให้กำลังใจ การให้ความมั่นใจ และการแสดงความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งรวมไปถึงการใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจและการใช้ท่าทางที่สื่อถึงความรักอันอ่อนโยน

เอไออาจวิเคราะห์ได้ว่าเด็กต้องการอะไร เหมาะสมกับอะไร แต่เอไอไม่สามารถเข้าใจและช่วยจัดการกับอารมณ์ของเด็กได้ การมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ช่วยทำให้ครูได้แสดงออกถึงการสนับสนุนทางอารมณ์ เพื่อช่วยเด็กให้ได้ผ่านพ้นอารมณ์ร้ายๆ ไปได้

ตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่ความรู้สามารถหาได้ทั่วไปจากอินเทอร์เน็ตและเอไอ บทบาทของครูในฐานะ ‘ผู้ให้ความรู้’ กำลังเปลี่ยนไปสู่ครูในฐานะ ‘โค้ช’ หรือ ‘ผู้เอื้ออำนวย’ (Facilitator) การที่เด็กสามารถหาความรู้ได้เองก็เปรียบเสมือนกับการวิ่งเล่นอย่างอิสระในสนามเด็กเล่น แต่การวิ่งเล่นนี้เองก็ต้องมีครูคอยสอดส่องดูแล เพื่อให้เด็กเล่นไปในแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง อำนวยความสะดวกให้เด็กเล่นอย่างเต็มศักยภาพ และทำให้เด็กตระหนักถึงเรื่องจริยธรรมที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในสังคม

Khan เชื่ออย่างถึงที่สุดว่า เมื่อเรามีการวางรั้วป้องกันที่ดี เอไอจะเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยวงการการศึกษาให้พัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้นผ่านการสร้างประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งติวเตอร์ส่วนตัวและผู้ช่วยครู เอไอไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาทำลายวงการการศึกษาอย่างที่สื่อหลายๆ เจ้าพาดหัวกันอึกทึกครึกโครม

การใช้ AI ในการศึกษาจะทำให้เด็กขาดทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในสังคมหรือไม่

อย่างที่กล่าวไปว่าเอไอไม่สามารถแทนที่ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ได้ เพราะเอไอนั้นขาดการสนับสนุนทางอารมณ์และไม่เข้าใจในบริบทสังคม เอไออาจไม่สามารถสอนให้เด็กใช้ชีวิตในสังคมได้ แต่เอไอสามารถ ‘จำลองสังคม’ ให้เด็กได้ เช่น การเรียนภาษาต่างประเทศ เราสามารถนำเอไอมาสวมบทบาทเป็นเพื่อนชาวต่างชาติและจำลองสถานการณ์การสนทนาต่างๆ ได้

Muthmainnah และคณะ (2022) ทดลองให้นักศึกษาที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่จำนวน 453 คน จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศอินโดนีเซียได้ลองใช้แอปพลิเคชัน ‘Replika: My AI Friend’ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนเอไอเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นจึงให้ตอบแบบสอบถามเพื่อสำรวจความคิดเห็น

ตัวอย่างการใช้แอป Replika: My AI Friend จาก Google Play

ผลการทดลองคือ นักศึกษาส่วนใหญ่มีความสุขในการพูดคุยกับเพื่อนเอไอ มีแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษ และยังช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ ในการใช้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษารายงานว่าการใช้เอไอฝึกฝนภาษาอังกฤษในลักษณะนี้ช่วยพัฒนา ‘ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์’ (Critical Thinking) เพราะว่าตัวเองได้เรียนรู้ในการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และประเมินข้อมูล

Muthmainnah และคณะ (2022) กล่าวว่า “ครูที่สอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ (English as a Foreign Language) ควรนำการเรียนรู้แบบสืบสอบ (Inquiry-based Learning) มาใช้ผ่านเอไอในห้องเรียน เพื่อช่วยนักเรียนพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์” 

กล่าวคือ การใช้เอไอทำให้นักเรียนได้ลงมือ ‘สืบสวนสอบสวน’ ข้อมูลด้วยตัวเอง นักเรียนได้ค้นหาข้อมูลในมุมมองต่างๆ เกิดการตั้งคำถามปลายเปิด พร้อมทั้งไตร่ตรองว่าข้อมูลเหล่านั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์

ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เกิดการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกมาเป็นจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้มีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงบ้าง ไม่เป็นจริงบ้าง ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการวิเคราะห์ว่าข้อมูลไหนน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อถือ เพราะการรับรู้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงอาจส่งผลเสียต่อตัวเราและคนอื่นได้เช่นกัน  


อ้างอิง

ฉัตรพงศ์ ชูแสงนิล. (2562). ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการเรียนรู้.

ถนัดกิจ จันกิเสน. (2566). การลงทุนมูลค่า 4.4 แสนล้านบาทของ Microsoft ใน OpenAI เจ้าของ ChatGPT มาพร้อมโอกาสมหาศาลและความไม่แน่นอนอีกมากมาย.

ไทยรัฐ. (2566). ChatGPT คืออะไร รู้จักวิธีใช้งานและค่าบริการของ AI แชตบอทอัจฉริยะ.

Bloom, B.S. (1984). The 2 Sigma Problem: The Search for Methods of Group Instruction as Effective as One-to-One Tutoring.

Copeland, B.J. (2023). Artificial intelligence.

Devlin, H. (2023). AI likely to spell end of traditional school classroom, leading expert says.

Marr, B. (2019). The 10 Best Examples Of How AI Is Already Used In Our Everyday Life.

Marr, B. (2022). 13 Easy Steps To Improve Your Critical Thinking Skills.

MSNBC. (2023). Microsoft CEO says we’re moving to the ‘co-pilot era’ of AI.

Muthmainnah, Seraj, P.M.I, & Oteir, I. (2022). Playing with AI to Investigate Human-Computer Interaction Technology and Improving Critical Thinking Skills to Pursue 21st Century Age.

Raypole, C. (2021). How to Be Emotionally Supportive.

Singer, N. (2023). New A.I. Chatbot Tutors Could Upend Student Learning.

TED. (2023). How AI Could Save (Not Destroy) Education | Sal Khan | TED.YEC. (2023). AI In The Classroom: Pros, Cons And The Role Of EdTech Companies.

Tags:

AIการศึกษาการเรียนรู้เทคโนโลยีนักเรียนห้องเรียนอนาคตครู

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel