Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: May 2023

ฮุกกะ (Hygge): สุขแบบไม่หิวแสง จริตชีวิตในแบบฉบับคนเดนมาร์ก
How to enjoy life
31 May 2023

ฮุกกะ (Hygge): สุขแบบไม่หิวแสง จริตชีวิตในแบบฉบับคนเดนมาร์ก

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • ฮุกกะ (Hygge) เป็นคำอธิบายทัศนคติต่อความสุขของคนเดนมาร์ก มันคือการ ‘เอนจอยกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว’ เป็นความสุขใจที่เรียบง่าย (แต่ไม่มักง่าย)
  • ฮุกกะ หล่อหลอมให้เรามีจิตใจที่ละเอียดอ่อน ใส่ใจกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว มันไม่ใช่การเพิกเฉยต่อปัญหา หรือปฏิเสธการพัฒนา แต่เพียงสำรองพื้นที่เล็กๆ ให้ใจเราได้ชิลบ้าง
  • เรามักคิดว่าเราต้องมี ‘เป้าหมาย’ ที่ยิ่งใหญ่และห่างไกลจากปัจจุบันเพื่อจะมีความสุข แต่ Hygge กระตุ้นให้เราโฟกัสที่ปัจจุบันขณะ เป็นความสุขแบบทันทีทันใด ณ เดี๋ยวนี้

ถ้าวันนี้เราอยากมีความสุข โหยหาโมเมนต์อันแสนพิเศษ หลายคนอาจเริ่มวางแผนทำอะไรที่ต้อง ‘พิเศษ’ กว่าปกติชนิดที่เก็บเป็นความทรงจำได้จนแก่ หลายคนจะเริ่มมองหา ‘สิ่งนอกตัว’ ที่เป็นของในฝันที่น้อยคนจะครอบครองได้ ก่อนจินตนาการไปยังสถานที่สวยงามอันห่างไกล หลายคนอาจเริ่มตั้ง ‘เป้าหมาย’ อันยิ่งใหญ่ ยิ่งใช้เวลาหลายปี แบ่งเป็นหลายเฟสในการไปถึงได้เท่าไรยิ่งดี 

แต่สำหรับคนเดนมาร์ก…พวกเขาจะปิดสวิตซ์ความทะเยอทะยานเหล่านั้น และกลับมามองยังสิ่งรอบตัวด้วยสายตาแห่งความช่างสังเกตและจริตแห่งความซาบซึ้งใจ พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นตรงกันจนเป็นชุดความคิดในระดับสังคม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกฐานะ เป็นเหมือนที่พักทางใจในโลกที่แสนเร่งรีบแบบปัจจุบัน

สิ่งนั้นมีชื่อเรียกที่เป็นหมัดฮุคเรียกความสนใจในตัวเองว่า ฮุกกะ (Hygge) 

ฮุกกะ มีที่มาที่ไปยังไง?

ในแง่ของรากศัพท์ Hygge มีที่มาที่ไปจากภาษานอร์เวย์ เพราะในประวัติศาสตร์ เดนมาร์กและนอร์เวย์เคยเป็นอาณาจักรเดียวกันเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ก่อนเดนมาร์กจะแยกตัวออกมาในปี 1814 

ประเทศแยกขาดเป็นเอกราชและประชาชนแตกเป็นสองสัญชาติก็จริง แต่ความทรงพลังของคำนี้ยังคงตามมามีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนคติต่อความสุขของคนเดนมาร์กอยู่

เฉกเช่นคำศัพท์อื่นๆ ที่มีความเป็นนามธรรมสูงลิบ (เช่น ‘ซิสู’ จากนอร์เวย์ หรือ ‘วาบิซาบิ’ จากญี่ปุ่น) คำว่า ‘ฮุกกะ’ ก็เข้าข่ายอีกคำศัพท์ขึ้นหิ้งที่แปลความหมายตรงตัวได้ยาก หากแต่ต้องใช้การอธิบายจนสัมผัสรู้สึกได้เอง เพราะดังที่เราจะได้รู้กันว่า ‘ฮุกกะไม่ใช่ตรรกะ’ แต่แฝงอารมณ์ความรู้สึก เป็นความสุนทรีย์ในตัวมันเอง

เราสามารถย่อยความเข้าใจของ ฮุกกะ ได้ว่ามันคือการ ‘เอนจอยกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว’ ฮุกกะเชื่อว่าความสุขสามารถเกิดจากสิ่งเล็กๆ รอบตัว เป็นสิ่งที่ไม่พิเศษยิ่งใหญ่ เป็นความสุขที่ไม่โอ้อวด เป็นความสุขใจที่เรียบง่าย (แต่ไม่มักง่าย)

  • ชงกาแฟหอมๆ ยามบ่าย พร้อมหนังสือดีๆ สักเล่มที่เปิดโลกทัศน์
  • พิถีพิถันกับการทำอาหารทานเองที่บ้านเพื่อคนรักในครอบครัว
  • ดูดฝุ่น-ถูพื้น-ตากผ้า เพื่อคุณภาพชีวิตในบ้านที่ดี

ฮุกกะ หล่อหลอมให้เรามีจิตใจที่ละเอียดอ่อน ใส่ใจกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว มันไม่ใช่การเพิกเฉยต่อปัญหา ปฏิเสธการพัฒนาหรือฉุดรั้งให้เราจมปลักกับความไม่ก้าวหน้า ฮุกกะรับรู้ความทุกข์ยากเหล่านี้ แต่ขณะเดียวกัน ก็สำรองพื้นที่เล็กๆ ให้ใจเราได้ชิล ได้เพลิดเพลิน ได้ซาบซึ้งกับเรื่องง่ายๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นศิลปะการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

ทำไม ฮุกกะ ถึงน่าสนใจกว่าที่คิด?

เราจะสังเกตว่า ฮุกกะค่อยๆ เจียระไนให้เราละเอียดลออกับความปกติธรรมดา มากกว่า ความพิเศษเลิศเลอ (หรืออยู่กับความ ordinary มากกว่า extraordinary) เพราะจะว่าไปแล้ว ชีวิตประจำวันของคนเราส่วนใหญ่ก็อยู่กับความปกติธรรมดาที่อาจไม่ได้พิเศษหวือหวา? ถ้าเราสามารถมีความสุขได้บ่อยๆ แม้แต่กับความธรรมดา แค่นี้ชีวิตก็น่าจะมีความสุขแล้ว?

นัยหนึ่ง ฮุกกะสอนเราให้โอบกอดข้อจำกัด มองหาสิ่งที่มีอยู่เดิม แทนที่การแสวงหาสิ่งใหม่อย่างไม่สิ้นสุด 

สอดคล้องกับแนวคิดของ Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือขายดีที่มีอทธิพลต่อมุมมองการใช้ชีวิตอย่าง 4,000 Weeks: Time Management for Mortals เขาบอกว่าในแทบทุกเรื่องของชีวิต มนุษย์เราต้องพบเจอกับขอบเขตที่จำกัด (Finite) เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เลือกทุกอย่างได้ หรือมีทุกอย่างได้

  • เราทำงานได้จำกัด แต่เราอัด To-Do List เหมือนว่าเรามีเวลาไม่จำกัด จนนำมาสู่ความเครียดกดดันในการงาน โดยเฉพาะเมื่อทำไม่ได้ตามเป้า
  • เรามีเวลาจำกัด แต่เราเผลอทุ่มเทกับงานมากเกินไปจนสุขภาพเสื่อมโทรมและความสัมพันธ์กับผู้อื่นสั่นคลอน

ในแง่มุมหนึ่ง ความ ‘น้อย’ ของสิ่งของที่มี ก็เป็นความสบายใจอย่างหนึ่งตรงที่เราไม่ต้องไปดูแลรักษามันมาก ค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงต่ำ และทางด้านจิตใจเราไม่ต้องกลัวว่าเราจะสูญเสียมันไปหรือกลัวมันเสื่อมตามกาลเวลา 

  • เมื่อมีน้อย…จึง ‘ยึดติด’ น้อย 
  • เมื่อมีน้อย…จึง ‘ปล่อยวาง’ ได้ง่ายกว่า

ความสุขในแบบ ฮุกกะ รอบตัวเรา 

ฮุกกะสอดคล้องกับจิตวิทยาความสุขของมนุษย์เราไม่น้อย ปกติแล้ว เรามักคิดว่าเราต้องมี ‘เป้าหมาย’ ที่ยิ่งใหญ่และห่างไกลจากปัจจุบันเพื่อจะมีความสุข แต่ Hygge กระตุ้นให้เราโฟกัสที่ปัจจุบันขณะ เป็นความสุขแบบทันทีทันใด ณ เดี๋ยวนี้  

ไม่ต้องรอแล้ว…ขอแฮปปี้เลยได้ไหม?!!

เมื่อความคาดหวังไม่ได้สูงลิบ ความฝันไม่ได้แฟนซี ความสุขเลยเกิดขึ้นง่าย 

อีกหัวใจสำคัญของฮุกกะคือการให้ความสำคัญกับ ศิลปะแห่งความใกล้ชิด โดยเริ่มจากองค์ประกอบเล็กๆ ในบ้าน จากสิ่งเดิมที่มีอยู่ เช่น บ้านเราอาจไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านหลังใหม่ แต่ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเทียนหอมและไฟสลัวยามราตรี หรือจัดวางสิ่งของในบ้านในระยะเดินถึงได้ เมื่อทุกอย่างอยู่รวมกันอย่างมีชั้นเชิง จึงดูมีเสน่ห์ สวยงาม แถมสะดวกสบาย

เมื่อองค์ประกอบเล็กสำเร็จแล้ว เราอาจขยายไปสเกลที่ใหญ่ขึ้นอย่างเรื่องของการออกแบบพัฒนาเมือง (Urban design) ดูเหมือนฮุกกะน่าจะมีอิทธิพลต่อคุณญาน เกห์ล (Jan Gehl) สถาปนิกและนักวางผังเมืองชาวเดนมาร์กอยู่ไม่น้อย 

เขาคือเบื้องหลังผู้บุกเบิกยุคสมัยใหม่ต่อการพลิกโฉมให้เมืองเดนมาร์ก (และอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ย่าน Times Square ของ New York) มีความเป็น Human scale สูงมากๆ กล่าวคือ ผู้คนสามารถ ‘เดิน’ ไปไหนมาไหนได้ทั่วเมืองโดยไม่ต้องขับรถเลย และอาจอาศัยการปั่นจักรยาน ขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถราง หรือขึ้นรถไฟเป็นตัวเสริม เพราะเมืองถูกออกแบบให้อาคารสิ่งปลูกสร้างหรือสถานที่จุดหมายทั้งหลายอยู่ใกล้ชิดกันในระยะเดินถึงได้ มีความ Mixed-use ของสถานที่ทั้งออฟฟิศ ที่อยู่อาศัย ย่านการค้า โรงเรียน หรือสวนสาธารณะในอาณาบริเวณเดียวกัน 

ตัวอย่างเช่น ใครที่เคยไปโคเปนเฮเกนเมืองหลวงของเดนมาร์ก แค่เดินเล่นไปตามบ้านเมืองก็น่าจะแฮปปี้ได้ง่ายๆ แล้ว บ้านเมืองและผู้คนมีความใกล้ชิดกัน มีการกระจุกตัว มีกิจกรรม มี ‘ชีวิต’ ตลอดสองข้างทาง

โอบกอดฮุกกะสู่ชีวิต

ในเมื่อฮุกกะคือการเอนจอยกับสิ่งเล็กๆ รอบตัวในชีวิตประจำวันก่อนเปลี่ยนมันเป็นความสุขในใจ พวกเราจึงสามารถประยุกต์ฮุกกะมาใช้ได้โดยตรง ณ ตอนนี้เลย

อันดับแรก ให้เรารู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งรอบตัว ขอบคุณสิ่งที่มี ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้า ให้คิดซะว่าเราควรซาบซึ้งมันในขณะที่เรายังทำได้อยู่ (หรือมันยังอยู่ให้เราซาบซึ้ง) 

  • ที่อยู่อาศัยของเรา – มันอาจเป็นบ้านเก่าโทรมนิดผุหน่อยหรือห้องคอนโดไซส์เล็ก นี่คือพื้นที่ส่วนตัวที่ให้คุณพักผ่อนทุกคืน ชาร์จพลังก่อนมีแรงบันดาลใจในวันถัดไป
  • อาชีพการงานของเรา – ที่อาจเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ในระบบอุตสาหกรรม แต่ก็สร้างคุณประโยชน์หรือแก้ปัญหาให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณได้
  • หรือมิตรภาพเพื่อนเก่าสมัยเรียน – ที่เหลืออยู่ไม่กี่คน แต่ยังคงซี้กันปึ้ก และความไว้วางใจที่มีให้กันช่างอบอุ่นหัวใจ

หลังจากนี้ ในเมื่อฮุกกะเป็นสิ่งรอบตัวเรา เทคนิคที่คนเดนมาร์กใช้ ‘สร้าง’ ฮุกกะคือ ตกแต่งห้องในบ้านให้มีบรรยากาศ ‘ไฟสลัวๆ’ ยามราตรี อาจจะมาในรูปแบบการตกแต่งเล่นไฟในห้อง หรือใช้แสงเทียนสลัวก็ได้ทั้งนั้น 

เราอาจประยุกต์แปลงโฉมบ้านเราให้รู้สึกเสมือนได้เดินเข้าห้องสปาอันแสนผ่อนคลาย ไฟสลัว แต่งเติมด้วยกลิ่นหอม ใครล่ะจะไม่รู้สึกดี? เหนื่อยๆ มาก็หายล้า โกรธๆ มาก็เย็นลง ทุกข์มาก็สบายใจขึ้น

อีกเทคนิคคือให้นำ ‘ของโปรดส่วนตัว’ มาวางอยู่ในจุดที่เห็นสัมผัสได้บ่อยที่สุด ทุกคนย่อมมีของโปรดส่วนตัวที่ทำให้เรารู้สึกดีได้ทุกครั้ง ก็ทำให้เรารู้สึกดีบ่อยๆ ไปเลย

  • เปิดตู้เสื้อผ้า…วางเสื้อโปรดให้เห็นเด่นชัดสุดตัวแรก
  • เปิดตู้เย็น…วางของกินที่ชื่นชอบแถวหน้าสุดให้เห็นก่อนใครเพื่อน

สุดท้ายแล้วน่าจะอยู่ที่ทัศนคติของเราเอง ลองฝึกความเป็นคนช่างสังเกต พิถีพิถันในการเลือกสรร ละเอียดรอบคอบขึ้นอีกนิด มองโลกในแง่บวกขึ้นอีกหน่อย คุณอาจค้นพบความเร้นลับของฮุกกะที่มันอยู่ของมันตรงนี้มานานแล้วแต่คุณแค่มองข้ามมาตลอดเอง

สุขแบบไม่ส่งเสียง สุขแบบไม่ตะโกน สุขแบบไม่หิวแสง แต่ขอแค่อยู่ในพื้นที่ตัวเอง ในสไตล์เอกลักษณ์แบบตัวเอง…แค่นั้นก็พอแล้ว

ไม่ต้องโคเปนเฮเกน แต่อยู่โคราชก็ฮุกกะได้…จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆ ชีวิตก็มีความสุขสงบผ่อนคลายได้ถ้ามีฮุกกะในหัวใจ

อ้างอิง

https://www.newyorker.com/culture/culture-desk/the-year-of-hygge-the-danish-obsession-with-getting-cozy

https://www.everydayhealth.com/wellness/what-is-hygge-and-why-is-it-good-for-your-wellbeing/

https://www.countryliving.com/life/a41187/what-is-hygge-things-to-know-about-the-danish-lifestyle-trend/

https://www.redefinerswl.org/post/hygge-the-danish-secret-to-happiness

Tags:

จิตวิทยาการตั้งเป้าหมายความสุขฮุกกะ (Hygge)ความเอาใจใส่ศิลปะแห่งความใกล้ชิด

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • How to enjoy life
    ‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Perfectionist : เมื่อเรายังคงไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบด้วยการเฆี่ยนตีตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

‘Process Art’ ศิลปะที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลงานชิ้นโบว์แดง เสริมทักษะ EF ในเด็กปฐมวัย: ครูบุญทิพา คุ้มเนตร โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์)
EF (executive function)
30 May 2023

‘Process Art’ ศิลปะที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลงานชิ้นโบว์แดง เสริมทักษะ EF ในเด็กปฐมวัย: ครูบุญทิพา คุ้มเนตร โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์)

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Process Art เป็นศิลปะที่เน้นกระบวนการทางความคิดของเด็ก มากกว่าผลงาน ให้ความสนใจในสิ่งที่เด็กคิด และลงมือทำผลงานศิลปะชิ้นนั้น โดยไม่ตัดสิน
  • ครูออย – บุญทิพา คุ้มเนตร โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์) ครูอนุบาลที่นำ Process Art มาใช้ในการพัฒนาทักษะ EF ในเด็กปฐมวัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น และอยู่กับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข
  • ในขั้นสุดท้ายคือ การสะท้อนคิด เด็กจะได้ประเมินผลงานตัวเอง เพื่อฝึกให้เด็กชื่นชมตัวเองเป็น รับรู้ความรู้สึกของตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะอะไร ซึ่งไม่เพียงฝึกให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก ยังมีความเป็นนักเรียนรู้มากขึ้น

เด็กทุกคนมีความชอบ ความถนัด ที่เป็นศักยภาพที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งครูเป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยดึงศักยภาพในตัวเด็กออกมาให้ได้มากที่สุด 

“ตามหลักปรัชญาการศึกษาปฐมวัยเขาบอกไว้เลยว่า การที่เด็กจะพัฒนาได้ดีคือครูต้องดึงศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมา แต่การดึงออกมาต้องอยู่ภายใต้บริบทสังคมรอบข้าง แล้วครูต้องดูแลและเอาใจใส่ เข้าใจเด็กจริงๆ ถึงจะดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้อย่างเต็มที่ และในการที่ดึงศักยภาพนั้นจะอยู่ภายใต้กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรมที่เด็กจะได้ตามพัฒนาการ 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา”

ครูออย – บุญทิพา คุ้มเนตร ครูอนุบาลโรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เล่าถึงการเรียนรู้ที่เด็กปฐมวัยควรได้รับอย่างเหมาะสม ซึ่งรวมไปถึงทักษะ EF ที่เป็นทักษะพื้นฐานในการพัฒนาให้เด็ก ‘คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น และอยู่กับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข’ ซึ่ง Process Art สามารถดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้โดยตรง

ออกแบบการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา EF ให้กับเด็กๆ  

Executive Function หรือ EF เป็นกระบวนการทำงานของสมองระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ในอดีตและสถานการณ์ปัจจุบันมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเอง และมุ่งมั่นทำจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หาก EF ดี ก็จะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ให้ดีตามไปด้วย  

“ใน EF เขาจะมีหัวข้อหลักๆ 3 หัวข้อ เป็น 3 ทักษะ EF ทักษะแรกคือ ทักษะพื้นฐาน จะแบ่งออกเป็นเรื่องของความจำเพื่อใช้งาน ก็อาจจะเป็นการดึงประสบการณ์เดิมของเด็กออกมา แล้วก็การยืดหยุ่นและการหยั่งคิดไตร่ตรอง 

ทักษะที่สองคือ ทักษะกำกับตนเอง จะเป็นทักษะที่เกี่ยวกับการจดจ่อใส่ใจ ควบคุมอารมณ์ แล้วก็การประเมินตนเอง ซึ่งถ้าเราอยากจะให้เด็กจดจ่อใส่ใจ สิ่งที่เขาทำก็ต้องเป็นสิ่งที่เขาชอบ ถึงจะจดจ่อได้นานและมีสมาธิ 

และทักษะสุดท้าย ทักษะปฏิบัติ เริ่มที่ริเริ่มและลงมือทำ จริงๆ แล้วทักษะปฏิบัติตัวนี้เขาจะนิยมไปใช้กับพี่ๆ ประถมขึ้นไป เพราะว่ามีการวางแผน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ซึ่งในเด็กวัยนี้เขาอาจจะวางแผนเป็นลำดับขั้นตอนเหมือนพี่ประถมยังไม่ได้”

ซึ่งครูออยบอกว่า ทักษะปฏิบัติของ EF นั้น เกี่ยวข้องกับ Process Art ที่เด็กๆ จะได้คิดเอง และลงมือทำเองตามความสนใจ โดยมีการวางแผน เตรียมอุปกรณ์ และลงมือทำผลงาน 

“ทั้งหมดนี้เป็นตัวพื้นฐานของ EF ซึ่งถามว่ามันสำคัญยังไงกับเด็กในวัยนี้ เพราะว่าทักษะเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาที่ให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น แล้วก็อยู่กับบุคคลอื่นได้ด้วยความสุข ซึ่งสอดคล้องกับตัว well-being ที่โรงเรียนเราทำเป็นหัวข้อใหญ่ มันคือการพัฒนาสุขภาพกาย สุขภาพจิต 

ทักษะพื้นฐานของ EF มันสามารถไปสอดคล้องทำให้เกิดตัว well-being ได้ ก็เลยเลือกที่จะหยิบตัว EF มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเด็ก เพื่อให้เขามีเกราะป้องกัน มีภูมิในการที่จะใช้ชีวิตต่อไป ให้มีทั้งสุขภาพกายที่ดีและสุขภาพจิตที่ดี”

ในส่วนของกิจกรรมที่เด็กปฐมวัยจะได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเพื่อดึงศักยภาพของเด็กออกมาในแต่ละหนึ่งวันนั้น ครูออยขยายความว่า ทำโดยใช้กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม เริ่มต้นด้วย ‘กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ’ ซึ่งจะทำในทุกๆ วันตอนเช้า เป็นการเคลื่อนไหวตัวเองตามเสียงเพลง ตามจังหวะที่ครูได้กำหนดให้ และแสดงออกท่าทางตามจินตนาการของแต่ละคน

สอง ‘กิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์’ เป็นการเรียนรู้ตามหลักสูตรที่เด็กปฐมวัยต้องเรียน โดยในหนึ่งปีการศึกษาจะมีประมาณ 40 หน่วย หนึ่งหน่วยจะเรียนกัน 1 สัปดาห์ 

“ยกตัวอย่างเด็กเปิดเรียนมาก็อาจจะเป็นหน่วยนี่คือตัวฉัน ให้เด็กได้เรียนรู้ว่า ฉันชื่ออะไร คุณครูของฉันชื่ออะไร เพื่อนๆ ของฉันมีใครบ้าง ในมุมห้องของเรา โต๊ะของเราอยู่ไหน ที่เก็บรองเท้าเราอยู่ตรงไหน ในแต่ละวันก็จะเรียนรู้ทีละเรื่องๆ ที่อยู่ในขอบเขตของหน่วยเดียวกัน 

ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ได้มาจากสาระที่ควรเรียนรู้ตามหลักสูตรปฐมวัยอยู่ 4 สาระ สาระแรก เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก สาระที่สอง บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เช่น บ้าน โรงเรียน หรือคนในครอบครัว, สาระที่สาม ธรรมชาติรอบตัว และสาระสุดท้าย สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เป็นความรู้เกี่ยวกับการฟัง พูด อ่าน เขียน หรือการสังเกตและเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ รอบตัว” 

สาม ‘กิจกรรมสร้างสรรค์’ คือกิจกรรมที่ได้ทำงานศิลปะตามที่ได้เรียนรู้ในกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์ 

“เช่น กิจกรรมนี่คือตัวฉัน เด็กอาจจะวาดตัวเอง วาดร่างกายของฉัน ให้เด็กได้สื่อความคิดออกมา สื่อจินตนาการของเขาออกมา เหมือนครูได้ทบทวนแหละว่าเด็กเขาเข้าใจไหม เกี่ยวกับหน่วยเสริมประสบการณ์ที่เขาเรียนไป” 

สี่ ‘กิจกรรมเสรี’ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เล่นตามมุมต่างๆ ที่ครูจัดไว้ให้ เช่น มุมหนังสือ มุมวิทยาศาสตร์ มุมเกม โดยเลือกเล่นตามมุมที่สนใจ ซึ่งจะมีกำหนดเวลาให้ 20 นาทีโดยประมาณ หากมากกว่านั้นเด็กจะเริ่มเบื่อ 

ห้า ‘กิจกรรมกลางแจ้ง’ จะเป็นกิจกรรมที่ให้เด็กๆ ออกไปนอกห้องเรียน เด็กได้ใช้พลังงานของตัวเองเต็มที่ ออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ออกไปวิ่งเล่น ออกไปเตะฟุตบอล ซึ่งในแต่ละวันก็จะสลับกันไป 

และสุดท้าย ‘กิจกรรมเกมการศึกษา’ เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กทำก่อนกลับบ้าน เช่น เกมต่อภาพจิ๊กซอว์ ที่เกี่ยวกับหน่วยที่ตัวเองได้เรียนไปในวันนั้น หรือเกมจับคู่ เป็นต้น ถือว่าเป็นการทบทวนเด็กก่อนกลับบ้านว่าในหนึ่งวันได้เรียนรู้อะไรไปแล้วบ้าง นอกจากนี้ก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ เสริมเข้ามาด้วย เช่นตอนเช้าก็จะมีกิจกรรมส่งเทียน เพื่อเสริมสร้างสมาธิในตอนเช้า เป็นต้น 

Process Art ศิลปะที่เน้นกระบวนการ มากกว่าผลงานชิ้นโบว์แดง

ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ที่ว่าด้วยความสามารถที่หลากหลายของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง เขาเคยกล่าวไว้ว่า…

การเรียนรู้ด้านศิลปะจะงอกเงยได้ดีจากการที่เด็กๆ ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงลอกเลียนแบบจากผู้อื่น แต่สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นการวาด การปั้น ระบายสี หรือประดิษฐ์ กิจกรรมศิลปะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ ได้สร้างสรรค์และทำให้เกิดความเข้าใจในโลกรอบตัว ผลงานจะเป็นการแสดงออกถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เด็กได้มีประสบการณ์เดิมอยู่ หรือบางครั้งเป็นการแสดงความรู้สึก ความคิดใหม่ๆ ของตัวเด็กเอง ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่อาจมองดูไม่สวย ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แต่ผลงานนั้นคือสิ่งที่แสดงออกถึงประสบการณ์และความสนใจของเด็กอย่างแท้จริง

“Process Art เป็นศิลปะที่เน้นกระบวนการ แต่กระบวนการในที่นี้ไมได้เน้นกระบวนการที่ทำตามครูบอก มันคือกระบวนการทางความคิดของเด็ก เด็กคิดยังไงที่เขาทำแบบนั้นตามที่เขาสนใจ ตามที่เขาวางแผน 

จริงๆ แล้วตัว Process Art มันเริ่มมาจากช่วงโควิดที่เด็กต้องเรียนออนไลน์ แล้วเราก็ได้เจอหลักฐานทางวิชาการ ที่เขาได้ตีพิมพ์ออกมาว่ามันสามารถที่จะพัฒนาเด็กโดยแบบไร้กรอบ เราก็เลยหยิบตัวนี้ลองมาทำดูดีกว่าว่ามันจะใช้กับเด็กเราได้ยังไง เอาลองมาปรับดู”

ในกระบวนการทำ Process Art จะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ โดยครูออยหยิบกรอบของ STEAM Design Process ของมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม มาเป็นกรอบใหญ่ในการทำกระบวนการนี้ โดยเริ่มด้วย ‘การถาม’ อย่างที่ครูออยได้ถามเด็กๆ ไปว่า “อยากทำงานศิลปะอะไร?” ถามเพื่อให้เด็กได้จินตนาการ จากนั้นเด็กจะเริ่มใช้ ‘ความคิด’ เพื่อ ‘วางแผน’ และลงมือ ‘สร้างสรรค์ชิ้นงาน’ ก่อนจะมา ‘สะท้อนคิด’ ในขั้นตอนสุดท้าย นี่คือ 5 กระบวนการของ STEAM Design Process แต่ทั้งนี้ครูออยตั้งต้นไว้ที่ 3 กระบวนการใหญ่ๆ คือ ขั้นเตรียมอุปกรณ์ ขั้นลงมือทำ ขั้นประเมินตนเอง เพื่อให้เด็กๆ เข้าใจว่านี่คือ 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ที่พวกเขาต้องทำในกิจกรรมต่อจากนี้

โดยบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาล 3  ด้วย Process Art นั้น นอกเหนือจากการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้ทั้ง 6 หน่วยที่ได้กล่าวไป ช่วงหลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันของเด็กๆ ในวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เป็นเวลา 2 ชั่วโมง พวกเขาจะได้ทำกิจกรรมที่ครูออยออกแบบตามความสนใจของเด็กๆ โดยมีการพูดคุยกันก่อนวันเริ่มทำกิจกรรม ซึ่งครูออยบอกว่าเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ ต่างตื่นเต้นและตั้งตารอ

“เรารู้อยู่แล้วกิจกรรมศิลปะเป็นสิ่งที่เด็กๆ ชื่นชอบจากการที่เขาได้เรียนในหน่วยการเรียนรู้ก็จะมีหน่วยศิลปะด้วย แต่ทีนี้ถ้าเราจะนำ Process Art มาใช้กับเด็กๆ มันจะต้องเป็นกิจกรรมศิลปะที่แตกต่างออกไป เพื่อให้เขาไม่เบื่อ เราก็จะถามเด็กๆ ทุกคนว่า ถ้าครูจะพาทำกิจกรรมศิลปะเด็กๆ อยากทำไหม อยากทำอะไรกันบ้าง เพื่อดึงประสบการณ์เดิมของเขาออกมา เขาก็จะตอบมาตามประสบการณ์ที่เขาเคยมี วาดภาพ ปั้น ระบายสี หนูอยากประดิษฐ์ หนูอยากออกไปเก็บดอกไม้ แล้วก็นำมาจัดกลุ่มการเรียนรู้ ”  

ยกอย่างเช่น วันจันทร์ครูออยได้ออกแบบการเรียนรู้ตามความสนใจของเด็กๆ ไว้ 4 กลุ่ม 4 กิจกรรม ได้แก่ เงาสร้างภาพ, เล่นสีตามชอบ, นักปั้นตัวจิ๋ว และพิมพ์ภาพกับสิ่งรอบตัว โดยให้เด็กเลือกเข้าฐานได้ตามใจชอบ จากนั้นก็มาเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก โดยการดึงประสบการณ์เดิมของเขาออกมา 

“สมมติเป็นเช้าก่อนวันเริ่มทำละ เราก็บิลต์เขาก่อน เรียกประสบการณ์เดิมเขาก่อนว่า กลุ่มเงาสร้างภาพ หนูจะสร้างภาพยังไง มันต้องใช้เงา เราต้องออกไปตรงไหนละ ตรงที่มีแสงหรือป่าว แล้วถ้ามันไม่มีแสง อยู่ในที่มืดละ มันจะมีเงาไหม อย่างนี้เป็นการดึงประสบการณ์เดิมเขาออกมา 

กลุ่มเล่นสีตามชอบ ใช้สีอะไร อยากได้สีอะไรบ้าง ไปหยิบสีนั้นมา กลุ่มนักปั้นตัวจิ๋ว ใช้อะไรปั้นได้บ้าง หนูเคยปั้นอะไรบ้าง ดินน้ำมันหรือว่าดินเหนียว หรือว่าอยากใช้อะไรปั้น แล้วกลุ่มพิมพ์ภาพกับสิ่งรอบตัว ใช้อะไรพิมพ์ได้บ้าง เราก็จะถามเขา เขาก็จะไปหาอุปกรณ์มาในวันเริ่มทำ ซึ่งเราก็จะเตรียมอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น สี กาว กรรไกร วางไว้ให้เขาเดินมาชอปปิ้งอุปกรณ์กลับไปทำงานศิลปะของตัวเองด้วย

ทีนี้พออุปกรณ์ทั้งหมดอยู่บนโต๊ะละ ทุกคนแยกกลุ่มไปนั่ง 4 กลุ่ม เขาก็จะมาหยิบอุปกรณ์ โดยที่เขารู้ว่าต้องหยิบอะไรบ้าง เพราะว่าเขาได้พูดอุปกรณ์ออกมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ขอบเขตว่า อุปกรณ์แบบนี้มันคือของเขานะ ที่จะหยิบมาสร้างชิ้นงานในหัวข้อที่เขาเลือก แล้วเรานั่งทำพร้อมกัน 

ครูออยก็จะเดินดูแต่ละกลุ่ม เพื่อดูว่าเราพอจะไปชี้แนะเขาตรงไหนได้บ้าง หรือเขาติดปัญหาอะไร แล้วก็ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอไว้ด้วย เพื่อให้ได้ยินคำพูดของเด็ก เวลาเขาทำงานร่วมกันเขาคุยเรื่องอะไรกัน เขาแสดงออกยังไง เขามีวิธีการวางแผนยังไง หรือเขาแนะนำเพื่อนยังไง เราอยากรู้ว่าเขากล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่จะแสดงออก กล้าคิดไหม มีความอดทนไหมในเรื่องของอารมณ์ตัวเอง จดจ่อใส่ใจได้ไหม จนครบเวลาเสร็จแล้วก็ให้เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์ แล้วเขาก็เอาชิ้นงานมาให้เราดู” 

ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของเด็กๆ คือเกณฑ์การวัดประเมินผลที่ดีที่สุด 

กิจกรรมนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผลงานของเด็กๆ ทุกชิ้น ครูออยบอกว่าล้วนเป็นสิ่งที่เด็กอยากจะสื่อสารถึงความรู้สึก ความต้องการ และในขั้นสุดท้ายต้องมาสะท้อนถึงสิ่งที่ทำเสมอ รวมถึงให้เด็กประเมินผลงานตัวเองด้วย เนื่องจากครูออยต้องการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ เพื่อให้เด็กแสดงความรู้สึกชื่นชมตัวเองเป็น ซึ่งเด็กจะได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเองด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบ และสามารถบอกได้ว่าชอบเพราะอะไร ไม่ชอบเพราะอะไร 

“อย่างที่บอกว่าชิ้นงานจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เราไม่ได้โฟกัสว่าชิ้นนี้ไม่สวยเลย เราไม่พูดแบบนั้น เพราะว่าการที่พูดแบบนั้นมันจะทำให้เขาขาดความมั่นใจ แล้วก็ปิดกั้นจินตนาการของเขา แล้วมันจะเป็นปมของเขาเลย ชิ้นต่อไปเด็กอาจจะไม่กล้าทำก็ได้”

“ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเลยคือจะมีเด็กอยู่คนนึงที่ไม่ค่อยพูด เกิดจากพื้นฐานครอบครัวไม่ค่อยมีเวลา แล้วตั้งแต่เริ่มทำงานศิลปะ Process Art ตัวนี้ เริ่มทำไปหลายสัปดาห์ เริ่มพูดมากขึ้น ประเมินตนเองได้ อธิบายได้ว่าทำอะไร ชอบแบบนี้เพราะอะไร พอใจแค่ไหน ให้ตัวเองกี่ดาว เราจะมีให้เด็กให้ดาวตัวเอง ถ้าให้สองดาวเพราะอะไร ให้หนึ่งดาวเพราะอะไร เราจะถามเหตุผลกับเขา ให้เขาได้ลองอธิบายดู 

แล้วก็จะมีเด็กอีกคนนึงที่พ่อแม่เขาเลิกกัน เด็กเขาปั้นรูปผู้หญิง ในกิจกรรมนักปั้นตัวจิ๋ว เราก็ถามว่าปั้นรูปใคร เขาก็บอกว่าปั้นรูปแม่ ก็เลยรู้ว่าพื้นฐานที่เด็กแสดงออกผ่านงานศิลปะมันคือพื้นฐานในจิตใจของเขา กับเรื่องราวที่เขาได้เจอมา บางทีเด็กเขาอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ว่าชิ้นงานมันสามารถบอกได้ว่าในใจลึกๆ แล้วเด็กคิดยังไง”

ครูออยเล่าต่อว่า เป้าหมายของการนำ Process Art มาใช้คือ อยากให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ซึ่งผลลัพธ์ของเด็กๆ ก็เป็นเช่นนั้น 

“เราเห็นได้ชัดว่าเด็กมีความกล้าแสดงออก เขาสามารถที่จะคิด วางแผน ลงมือทำด้วยตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าครูจะว่าไหม จะผิดหรือจะถูก เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ 

เพราะเราทำทั้งหมด 14 ครั้ง พอหลายๆ ครั้งเข้าเราเริ่มเห็นแล้วว่าเขาเริ่มมีความเป็นตัวเองสูงในเรื่องของการตัดสินใจ เริ่มมีการบอกเล่าสิ่งต่างๆ ได้ อันนี้เรามีการทำแบบประเมิน google form ให้กับผู้ปกครองได้ประเมินด้วยว่าตอนที่เด็กปิดเทอมไป เขามีพฤติกรรมยังไงบ้าง ซึ่งหัวข้อที่เราใช้ในการประเมินอิงมาจาก EF เอาทักษะต่างๆ นั่นแหละมาเป็นตัวทำประเมิน เพราะเราอยากให้เด็กเกิดทักษะเหล่านี้ 

แล้วตัว well-being หรือสุขภาพกาย สุขภาพจิต มันก็สอดคล้องกับ 3 ทักษะใหญ่ของ EF อยู่แล้ว เราก็เลยหยิบหัวข้อ EF มาเป็นตัวประเมินเลย ให้ผู้ปกครองประเมินด้วย รวมถึงตัวครูเองก็ประเมินก่อนหลังด้วย ไม่ใช่แค่เราที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็ก ผู้ปกครองก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกเขาด้วยเหมือนกัน” 

นอกจากการที่เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก สิ่งที่ครูออยมองเห็นและสัมผัสได้ด้วยตัวเองเลยก็คือ เด็กมีความสุขในการมาโรงเรียน มีความอยากเรียนรู้ 

“เขาทำกิจกรรมแล้วเขาสนุก คุยกันเจื้อยแจ้ว เขามีความสุขในการแสดงออก เพราะเขารู้สึกได้ว่าครูไม่ได้จ้องจับผิดเขา หรือคอยตัดสินเขาว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูก เขาก็จะเริ่มพูดทุกอย่างในสิ่งที่เขารู้สึก แล้วเราก็สามารถจับจากคำพูดเขาได้ด้วย ว่าเขารู้สึกยังไง กำลังคิดอะไรอยู่”

บทบาทของครูปฐมวัยที่ต้องปรับ และความท้าทายของงานครู 

บทบาทของครูปฐมวัยในมุมมองของครูออย นอกจากการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็กแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ การทำงานร่วมกับผู้ปกครอง 

“ครูต้องไปปรับบทบาทของตัวเองค่อนข้างเยอะ เพราะว่าในหนึ่งวันที่ทำ มันจัดกิจกรรมหลายอย่าง ตัวครูจะต้องไปหาความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เด็กสนใจ สิ่งที่เด็กบอกว่าเขาอยากทำ กิจกรรมศิลปะใหม่ๆ เราต้องไปหาความรู้ตัวนั้น มันก็เลยเป็นการท้าทายตัวเราเองด้วยว่า เราจะนำพาเด็กเขาไปได้แค่ไหน เราจะมองถึงการพัฒนาแล้วให้เขาไปถึงจุดสูงสุดที่เขาจะทำได้ยังไง 

ซึ่งบทบาทของเรามันไม่ใช่แค่กับเด็ก เราต้องประสานงานกับผู้ปกครอง เราต้องอธิบายให้ผู้ปกครองฟังในสิ่งที่เราทำว่า บทบาทผู้ปกครองต้องเป็นแบบนี้ แล้วผู้ปกครองต้องช่วยกันทำนะ ซึ่งช่วงนั้นที่ทำต้องบอกเลยว่ามันเหนื่อยมากๆ ทั้งเด็กทั้งผู้ปกครองด้วย ไหนจะกิจกรรมที่เราจะต้องจัดให้กับเขาด้วยในแต่ละวัน แล้วด้วยความเป็นเด็กปฐมวัยที่พลังเหลือล้น มันวุ่นวายอยู่แล้ว ตัวเราเองก็คุมคนเดียว มันก็เลยจะเหนื่อยหน่อย แต่ว่าผลลัพธ์ที่เราได้เห็นแล้วมันตอบสนองกับเป้าหมายที่เราวางไว้ได้ เราก็รู้สึกมีความสุข”

แน่นอนว่าในการทำงานกับผู้ปกครองช่วงแรกๆ ย่อมมีปัญหาบ้าง เนื่องจากผู้ปกครองยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำ สิ่งที่ทำนั้นจะพัฒนาได้จริงหรือ?

“เราก็พยายามดึงผู้ปกครองที่เขาเข้าใจ มาเป็นตัวอย่างให้กับผู้ปกครองท่านอื่นๆ ได้ดูว่า เขาทำแบบนี้นะ แล้วก็พยายามอัพลงไลน์กลุ่ม จะได้เห็นทั่วๆ กัน มันจะเป็นการกระตุ้นผู้ปกครองคนอื่นๆ เขาเห็นแล้วเขาก็อาจจะรู้สึกว่า ลูกฉันไม่ได้ทำ ต้องทำแล้วละ เพราะลูกคนอื่นมีผลงานละ ฉันต้องทำละ มันจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ค่ะ นี่คือการนำผู้ปกครองมาเป็นตัวกระตุ้นกันเองด้วย

แล้วฟีดแบคของผู้ปกครอง เขาก็จะบอกว่าน้องดีขึ้น บางคนมาพูดบอกว่า เมื่อก่อนน้องเขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้ เพราะว่าบางทีเขาไม่มีสมาธิ แต่ว่าครั้งนี้มีสมาธิมากขึ้น ทำให้มันส่งผลต่อการเรียนทางวิชาการ เขารู้สึกสนใจการบ้านมากขึ้น กระตือรือร้นอยากจะทำ เป็นผู้ปกครองมาพูดกับครูออยเอง หรือบางคนไม่ได้มาพูดกับเรา แต่เราเจอเราต้องเดินเข้าไปถามว่าน้องเป็นยังไงบ้าง ไปเช็คฟีดแบค”

สุดท้าย สำหรับคุณครูท่านอื่นๆ ที่กำลังหาแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์ในเด็กปฐมวัย หรือผู้ปกครองที่อาจจะยังไม่เห็นว่า EF สำคัญกับเด็กอย่างไร ครูออยในฐานะครูปฐมวัยมีคำแนะนำที่น่าจะนำไปปรับใช้กันได้ 

“ถ้าจะให้แนะนำ ต้องเริ่มที่ครูต้องเข้าใจก่อน สำหรับครูออยๆ คิดว่าต้องเข้าใจเด็กก่อน ต้องเข้าใจว่าเด็กคนนี้เป็นยังไง พื้นฐานเขาเป็นยังไง ต้องสนใจด้วยว่าครอบครัวเขาเป็นยังไง ต้องสนใจไปถึงครอบครัวเลย บางทีครูบางคนมองข้ามไป แต่หารู้ไม่ว่าการที่เด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากครอบครัว แล้วการที่เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมเขาบางทีต้องมีการพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อที่จะเปลี่ยนตอนที่เขาอยู่บ้านได้ด้วย มาโรงเรียนครูก็ช่วยเสริมได้ด้วย นี่คือการใส่ใจ ทำความเข้าใจเด็กก่อน แล้วเราจะรู้ถึงปัญหาของเด็กคนนั้นเลย พอรู้ถึงปัญหาแล้ว กระบวนการในการแก้ปัญหามันจะตามมา คือถ้าเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เราก็ไม่สามารถทราบปัญหา” 

“แล้วก็สร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน ครูสร้างความไว้วางใจให้เด็กๆ แล้วเขาก็จะกล้าเล่า ถ้าเราทำตัวให้เขาไว้ใจ เขารู้สึกว่าเขาปลอดภัย เขาก็จะพูดคุยกับเรา”

Tags:

well-beingครูบุญทิพา คุ้มเนตรโรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์)เทคนิคการสอนEFศิลปะเด็กปฐมวัยProcess Art

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • EF (executive function)Growth & Fixed MindsetGrit
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • EF (executive function)
    ACTIVE CITIZEN: สร้าง EF เปลี่ยนสมองวัยรุ่นด้วยการเรียนรู้นอกห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    ‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี
Movie
26 May 2023

Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Vaathi เป็นภาพยนตร์อินเดียแนวแอคชันดรามาในปี 2023 บอกเล่าเรื่องราวของบาลา ครูผู้ช่วยไฟแรงจากโรงเรียนเอกชนที่ถูกส่งไปสอนหนังสือในโรงเรียนชนบทอันห่างไกล 
  • จุดเด่นของภาพยนตร์คือการตีแผ่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จิตวิญญาณของความเป็นครู รวมถึงการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างนักธุรกิจการศึกษากับนักการเมือง
  • ท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ นานา ครูบาลาคือครูที่เปี่ยมด้วยเมตตาและมี Empathy นอกจากความรู้แล้ว เขายังคอยให้กำลังใจและผลักดันเด็กทุกคนให้ก้าวไปถึงฝั่งฝันของตัวเองให้ได้

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน]

ผมเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่พ่อแม่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะให้ลูกเข้าเรียน ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมชายผู้แสนประหยัดอย่างพ่อถึงยอมเสีย ‘แป๊ะเจี๊ยะ’ ร่วมแสนให้กับโรงเรียนที่อีกสิบสองปีจากนั้นผมจะต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปให้ทันเคารพธงชาติ

พ่อบอกผมเพียงสั้นๆ ว่าอยากให้ผม ‘เก่งภาษาอังกฤษ’ และ ‘มีสังคมที่ดี’ ซึ่งคำว่าสังคมที่ดีในความหมายของพ่อไม่ใช่การที่ทุกคนในโรงเรียนเป็นคนดี แต่หมายถึงการ ‘ซื้อโอกาส’ ให้ผมได้อยู่ท่ามกลางลูกเถ้าแก่และลูกของผู้มีอำนาจในสังคมเพื่อที่ว่าในอนาคตพวกเราอาจได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดแบบเด็กๆ ว่าทำไมพ่อต้องพยายามมากมายอะไรขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวของพ่อเองก็จบแค่โรงเรียนวัดที่ไม่มีชื่อเสียงหรือโด่งดังเลยสักนิด

ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง หลังจากได้ชมภาพยนตร์อินเดียเรื่อง Vaathi ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการโรงเรียนรัฐ จนเกิดเป็นช่องโหว่ให้สมาคมโรงเรียนเอกชนอาสาเข้ามาช่วยแก้ปัญหาผ่านการส่งครูไปช่วยอุดรอยรั่วในโรงเรียนที่ขาดแคลน โดยหารู้ไม่ว่านี่คือแผนซ้อนแผนที่ตั้งใจจะทำให้คุณภาพของโรงเรียนรัฐยิ่งตกต่ำลง เนื่องจากครูที่ถูกส่งไปช่วยตามโรงเรียนรัฐขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นเพียงครูผู้ช่วยชั้นปีสาม ซึ่ง ‘ครูบาลา’ พระเอกหนุ่มของเรื่องก็เป็นหนึ่งในนั้น

ประเด็นที่ผมรู้สึกอินมากๆ อย่างแรกคือเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดย Vaathi ฉายให้เห็นภาพการบริหารจัดการโรงเรียนรัฐที่ล้มเหลวของกระทรวงศึกษาธิการ(อินเดีย) ส่งผลให้บรรดาพ่อแม่ชนชั้นกลางต่างพาลูกเข้าไปสมัครเรียนในโรงเรียนเอกชนที่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าต้องจ่ายแป๊ะเจี๊ยะ แต่พอนึกถึงครูที่มีคุณภาพและคอนเนกชั่นทางสังคม พวกเขาจึงต้องกัดฟันเพื่ออนาคตของลูกไม่ต่างอะไรกับพ่อของผม

สำหรับผม ฉากสำคัญที่ทำให้ปีศาจการศึกษาเผยตัวออกมา คือซีนที่โรงเรียนพระเอกจัดงานเฉลิมฉลองแก่นักเรียนชั้นม.5 หลังสอบเลื่อนชั้นผ่าน 100% มากกว่าอัตราเฉลี่ยของโรงเรียนเอกชนซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 75% ทำให้ประธานสมาคมโรงเรียนเอกชนถึงกับควันออกหู พร้อมเดินทางมาต่อว่าลูกจ้างอย่างครูบาลาโทษฐานที่ทำผลงานเกินหน้าเกินตาและผิดต่อจุดประสงค์ในการทำลายชื่อเสียงโรงเรียนรัฐ

“อยากได้การศึกษาที่ดีก็ต้องจ่าย…

ค่าธรรมเนียมศูนย์ การศึกษาศูนย์ 

ค่าธรรมเนียมสูง การศึกษาสูง 

นี่คือสมัยนิยมตอนนี้…ใครที่อยากเรียนก็ต้องจ่ายเพราะเงินเท่านั้นที่ซื้อความรู้ได้”

ไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ นี่คือความจริงอันแสนเจ็บปวด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่หลายคนต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับความอยุติธรรมนี้ และน่าแปลกที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รัฐบาล ปัญหาคุณภาพทางการศึกษากลับดูถอยหลังลงคลองมากขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาท แต่กลับบริหารเม็ดเงินจำนวนนี้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโรงเรียนตามชนบทถูกถ่างให้กว้างขึ้น 

ด้วยความที่บ้านของผมเป็นบ้านกึ่งบริษัททำให้ผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับลูกของคนงานวัยเดียวกันซึ่งเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน ผมพบว่าแม้เขาจะหัวดีเรียนหนังสือได้เป็นอันดับต้นๆ ของชั้น แต่พอผมเห็นแบบเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเพื่อน ผมกลับรู้สึกเศร้าใจแทนเพราะขณะที่เพื่อนกำลังฝึกท่อง ABC ผมกลับเรียนไปถึงเรื่องการใช้กิริยา 3 ช่อง นอกจากนี้หลังจากที่เพื่อนเริ่มเรียน Grammar ในปีถัดๆ ไปโดยมีผมคอยเป็นติวเตอร์ให้ในวันเสาร์ สิ่งที่ผมจำได้ไม่รู้ลืมคือคำพูดเพื่อนที่ว่า “ทำไมนายถึงสอนรู้เรื่องกว่าครูที่โรงเรียนอีก”

ดังนั้น ผมมองว่าหากระบบการศึกษาไทยจะดีขึ้นได้ การเมืองจะต้อง ‘โปร่งใส’ ก่อน เพราะเงินนับแสนล้านบาทไม่ใช่น้อยๆ ที่จะจัดหาครูเก่งๆ และทำให้การศึกษากลายเป็นเรื่องของความเสมอภาค นอกจากนี้หากใครเป็นสาวกโซเชียลจะเห็นว่าไม่กี่สัปดาห์ก่อน กระแสเรื่องแบบเรียนที่ค่อนข้างล้าหลังไม่เข้ากับยุคสมัยของน้องๆ ชั้นประถมกลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง พร้อมกับบทสรุปที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปยังกระทรวงศึกษาธิการว่าแท้จริงแล้วมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่

อีกหนึ่งประเด็นใน Vaathi ที่ผมสนใจคือเรื่อง ‘จิตวิญญาณความเป็นครู’ โดยตัวของครูบาลาแม้จะเป็นครูจากศูนย์ฝึกโรงเรียนเอกชน แต่กลับมีความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าครูผู้ช่วยด้วยกัน เพราะตอนไปถึงโรงเรียนในชนบท ครูบาลาเป็นเพียงคนเดียวที่พยายามไปเกลี้ยกล่อมพร้อมกับชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้บรรดาพ่อแม่ยอมส่งลูกกลับมาเรียนหนังสือ เนื่องจากพ่อแม่เหล่านี้ส่วนมากมีฐานะยากจนจึงจำเป็นต้องให้ลูกออกมาทำงานจุนเจือครอบครัว

เมื่อปัญหาหนึ่งจบ ครูบาลาก็ต้องเผชิญปัญหาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งการที่นักเรียนแบ่งแยกกันตามชนชั้นวรรณะ หรือการถูกสมาคมโรงเรียนเอกชนจ้องเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกือบจะถอดใจ

ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาทั้งหมด ผมชื่นชอบฉากที่เด็กนักเรียนทะเลาะกันเรื่องที่นั่ง เนื่องจากเด็กที่เกิดในวรรณะสูงไม่อนุญาตให้เพื่อนที่วรรณะต่ำกว่ามานั่งด้วยกัน

แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการขึ้นเสียงใส่เด็กๆ ครูบาลากลับใช้วิธีการแบ่งคลาสสอนเด็กตามวรรณะ โดยกลุ่มหนึ่งให้เรียนเรื่องอัตราความเร็ว ส่วนอีกกลุ่มเรียนเรื่องความเร็ว ก่อนประกาศให้มีการสอบบทเรียนทั้งสองในวันรุ่งขึ้นทำเอานักเรียนบ่นกันระงมว่าครูบาลาไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

ฟากครูบาลาก็ถือโอกาสนี้สอนเด็กๆ ให้เห็นถึงอคติเรื่องวรรณะที่เป็นเหมือนกำแพงที่คั่นกลางชีวิตของพวกเขามากกว่า 17 ปี

“ถ้าได้งานดีหลังเรียนจบแล้วหัวหน้าเธอเป็นคนต่างวรรณะจะทำยังไง จะลาออกไหม ทุกวันนี้ครูมาอยู่นี่ ครูวรรณะอะไรว่ามา ไม่อยากรู้เหรอ เพราะว่าครูเป็นคนสอนหนังสือและพวกเธอต้องการครู พวกเธอเลยไม่อะไรกับวรรณะครู…ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะความต้องการของเราไม่รู้วรรณะ เช่นเดียวกันไม่มีใครที่ไม่เป็นที่ต้องการ พอรู้อย่างนี้แล้วเธอจะลืมความต่างเล็กๆ พวกนั้น”

แน่นอนว่าภายหลังจากที่ครูบาลาพูดประโยคนี้ พวกนักเรียนสองกลุ่มพากันสำนึกผิดและขอร้องให้ครูบาลาสอนอีกรอบ แต่ครูบาลาแทบจะปฏิเสธในทันที ทำให้นักเรียนสองกลุ่มจับกลุ่มติวกันเองจนเป็นที่มาของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นในภายหลัง

สาเหตุที่ผมประทับใจฉากนี้มากก็เพราะครูบาลาคือครูที่เปี่ยมด้วยเมตตาและมี Empathy เขารู้ว่าเด็กแต่ละคนแต่ละวรรณะรู้สึกยังไง ดังนั้นเขาจึงใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ทั้งยังสามารถทำให้เด็กทั้งสองกลุ่มกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดในบ้านเรา ผมเชื่อว่าครูหลายคนจะเลือกวิธีการขึ้นเสียงด้วยความฉุนเฉียวมากกว่าจะคิดหาวิธีอธิบายด้วยเหตุผล

ผมมองว่าการที่ครูบาลาได้ใช้เมตตาและปัญญาในการสอนหนังสือ คือการสื่อให้เราเห็นว่า แม้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ครูสามารถผลักดันเด็กคนหนึ่งให้ก้าวไปถึงฝั่งฝันของตัวเองได้ 

ซึ่งในภาพยนตร์ นอกจากความรู้แล้วครูบาลายังคอยให้กำลังใจและผลักดันเด็กทุกคนเสมอ โดยเฉพาะฉากท้ายเรื่องที่ครูบาลาถูกตำรวจทำร้ายกลั่นแกล้งจนต้องย้ายกลับไปอยู่บ้าน เขาก็ยังหาวิธีสอนผ่านวิดีโอและลักลอบเข้าหมู่บ้านมากับคณะละครเพื่อไขข้อสงสัยทางวิชาการให้กับเด็กๆ ทำให้นักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนสุดฤทธิ์เพื่อตอบแทนครูที่เปรียบเสมือนเทพเจ้าของพวกเขา

แม้ผมจะได้เรียนในโรงเรียนที่ครูมีคุณภาพในการสอน แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมตั้งเครื่องหมายคำถามถึงจิตวิญญาณความเป็นครู เพราะยุคนั้นผมต้องเผชิญกับปัญหา ‘ครูกั๊กวิชา’ ถึงขั้นที่โรงเรียนออกกฎว่าหากพบว่าครูในโรงเรียนแอบไปสอนพิเศษให้นักเรียนเป็นการส่วนตัวจะมีบทลงโทษถึงขั้นไล่ออก แต่ถึงอย่างนั้นพวกคุณครู โดยเฉพาะครูวิชาคณิตศาสตร์กลับไม่เกรงกลัวสักนิด ทั้งยังชักชวนให้เพื่อนๆ ของผมหลายคนมาเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง ซึ่งดูเหมือนครูจะเอาแนวข้อสอบมาสอนพวกนั้นก่อน ทำให้เวลาสอบจริงเพื่อนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่สอบผ่านแบบแลนด์สไลด์ ทั้งยังได้คะแนนในลำดับต้นๆ ของห้อง

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าปัจจุบันยังมีครูดีๆ ที่เปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจของความเป็นครูแบบครูบาลาอยู่ แต่ครูประเภทนี้อาจมีไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนเด็กนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ ดังนั้นวิธีการที่ดีกว่าการรอคุณครูฮีโร่หรือพระเอกขี่ม้าขาว น่าจะเป็นการที่รัฐบาลจริงจังกับการแก้ปัญหาทางการศึกษาและบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง พร้อมจัดทำนโยบายที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพทางการศึกษาและการพัฒนาครูให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากโคลนติดล้อที่ฉุดรั้งระบบการศึกษาและถ่วงความเจริญของประเทศชาติมานานหลายทศวรรษ 

เหมือนท่อนหนึ่งในเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่น่าจะเป็นบทสรุปของความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับธุรกิจการศึกษา และความสำคัญของสิทธิการศึกษาที่สร้างโอกาสและความเท่าเทียม

“แผ่นดินสั่นไหวโดยการกระทำของผู้มีอำนาจ สั่นลงไปถึงกระดูกสันหลัง 

เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้อิสระเสรี การศึกษากลายเป็นเลือดใหม่ ความรู้เป็นของฟรี แต่มันถูกขายโดยคนต่ำช้า 

จำไว้ การศึกษาคือสิทธิโดยกำเนิด เธอต้องยอมรับการศึกษา เธอต้องปูทางสายใหม่”

Tags:

การศึกษาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเยาวชนVaathiครูความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ทำไมครูควรมีมุมมอง พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

คาบเรียนจริยปรัชญา: เมื่อคำถามชีวิตตอบในการ์ตูน
Book
25 May 2023

คาบเรียนจริยปรัชญา: เมื่อคำถามชีวิตตอบในการ์ตูน

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • หนังสือการ์ตูน ‘จากนี้ไปจะเป็นคาบวิชาจริยปรัชญา’ โดย ชิโอริ อามาเสะ สำนักพิมพ์ชูเอฉะ แปลและจัดพิมพ์ในไทยโดย สำนักพิมพ์รักพิมพ์
  • เป็นเรื่องราวของคาบเรียนที่สอนวิชาจริยปรัชญา สลับกับเรื่องราวชีวิตของนักเรียนในห้อง ซึ่งแต่ละคนจะพบปัญหาที่ล้วนแต่เป็นปัญหาที่วัยรุ่นทั่วไป
  • คำถามทางปรัชญา ไม่ได้ต้องการวิธีแก้ไข ว่าต้องทำแบบนี้ แล้วปัญหาจะถูกแก้ไข แต่คำถามเหล่านี้คือความคับข้องใจ และทางแก้ไขคือการที่เด็กแต่ละคนตอบตนเองได้อย่างพอใจ หรือยอมรับได้ที่ตนจะคับข้องใจต่อไป

พอพูดถึง ‘ปรัชญา’ หลายคนอาจจะคิดว่าช่างเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน มีแค่อาจารย์หรือนักวิชาการเท่านั้นที่จำเป็นต้องเรียน คนทั่วไปรู้ก็หนักหัวเสียเปล่าๆ การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับปรัชญาน้อยมาก ทำให้เด็กไทยน้อยคนสนใจเรื่องนี้ พอผมมาเห็นหนังสือการ์ตูนชื่อ ‘จากนี้ไปจะเป็นคาบวิชาจริยปรัชญา’ แค่คำว่า ‘จริย’ จากจริยธรรมผสมกับคำว่าปรัชญาก็ทำให้ผมขมวดคิ้วว่าคนอ่านการ์ตูนจะชอบหรืออินกับเรื่องนี้ได้จริงหรือ แต่พอได้อ่านแล้วก็พบว่ามันน่าสนใจเกินคาดมากเลยครับ

‘จากนี้ไปจะเป็นคาบวิชาจริยปรัชญา’ เป็นเรื่องราวของคาบเรียนที่สอนวิชาจริยปรัชญา หรือปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม ฉากของเรื่องคือโรงเรียนมัธยมปลาย วิชานี้เป็นวิชาเลือกเสรี คือเด็กเลือกเรียนได้หลายวิชาตามความถนัด แต่เด็กที่เข้าเรียนวิชานี้แทบจะทุกคนแค่บังเอิญต้องมาเรียนเพราะเลือกวิชาอื่นไม่ทัน หรือไม่ก็เลือกเพราะดูว่าเป็นวิชาที่แค่นั่งเรียนให้หมดๆ คาบไปเท่านั้น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้คืออะไร อาจารย์ทาคายานางิ ผู้สอนวิชานี้เองก็ตระหนักเรื่องนี้ดี แต่เขาก็พยายามจะโน้มน้าวนักเรียนในห้องให้เห็นภาพว่าวิชานี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากเพียงใด

คำถามอย่าง ‘เกิดมาเพื่ออะไร’ ‘ตัวเรามีค่าแค่ไหน’ ‘ความรักคืออะไร’ ‘คนดีต้องเป็นคนแบบไหน’ สิ่งเหล่านี้อาจจะลอยเข้ามาในหัวของทุกๆ คนบ้างเป็นบางครั้ง และคำถามเหล่านี้อาจมีผลกระทบมากกับคนที่เพิ่งใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ได้เป็นครั้งแรก โดยวัยแรกที่เริ่มมีคำถามเหล่านี้มาในชีวิตก็คือวัยรุ่น

แม้จะไม่ใช่วิชาที่ห่างไกลจากทักษะทางอาชีพ แต่ก็นำไปใช้กับสถานการณ์ที่สำคัญที่สุด

จอห์น เพียเจต์ นักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์เสนอทฤษฎีที่โด่งดังว่าความคิดของมนุษย์นั้นมีพัฒนาการเป็นแบบ ‘ขั้นบันได’ แต่ละวัยนั้นจะมีวิธีการคิดที่แตกต่างกัน เด็กๆ จะเน้นแต่ตนเองเป็นศูนย์กลาง เน้นแต่สิ่งที่เห็นตรงหน้า และเมื่อพ้นวัยไปความคิดจะเปลี่ยนระบบไปเป็นขั้นที่ซับซ้อนขึ้น ในขั้นสุดท้ายที่ตรงกับวัยรุ่น สิ่งหนึ่งที่พัฒนาโดยสมบูรณ์ในขั้นนี้คือ ‘ความคิดเรื่องนามธรรม’ วัยนี้เริ่มให้ความสนใจและความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน 

หากจะยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ ‘ความรัก’ ที่ไร้รูปร่าง มองไม่เห็น แต่เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในชีวิต และอีกสิ่งคือ ‘อุดมการณ์’ ที่ยึดมั่นเป็นหลักในการใช้ชีวิตที่อาจจะคิดขึ้นเองหรือยึดตามคนอื่น ๆ 

การเข้าสู่วัยรุ่นยังสร้างความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต วัยเด็กเป็นวัยที่รอ ‘อนาคต’ เพราะเหมือนยังไม่ถึงวัยที่ทำอะไรได้เต็มที่ แต่วัยรุ่นกำลังจะก้าวไปสู่จุดที่เรียกว่าอนาคตที่ได้เริ่มลงมือทำ บางคนที่ไม่คิดจะเรียนต่อก็ต้องก้าวสู่โลกการทำงาน คนที่เรียนต่อก็ต้องคิดให้หนักว่าตนเองจะเป็นอะไร และวัยนี้ยังทำอะไรได้ด้วยตนเองหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยว การเลือกที่เรียนพิเศษ การหาสิ่งอื่นๆ มาสนองความต้องการในแบบที่พ่อแม่ไม่ได้จัดหามาให้ มีโอกาสได้เลือกเองว่าจะทำอะไร เรียกได้ว่าเป็นวัยแรกที่เริ่มสัมผัสถึง ‘อิสรภาพ’ แต่การได้มาซึ่งอนาคตและอิสรภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ทุกอย่างมีอุปสรรค และอาจจะไม่ได้สวยหรูแบบที่ฝันไว้ในวัยเด็ก 

วัยรุ่นหลายคนจึงพบว่าอนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่สดใสเหมือนที่วาดฝันไว้ในตอนเด็กๆ และตนเองไม่ได้ทำได้ทุกอย่างอย่างที่ตนเคยคิด บางคนเริ่มรู้ถึงข้อจำกัดของตนเอง พบว่าทักษะ ความสามารถบางอย่างนั้นไม่ได้เป็นเลิศ มีคนเก่งกว่าอีกจำนวนมหาศาลในสังคม ความรู้สึกเหล่านี้ล้วนไปกระตุ้นให้เกิดคำถามถึงความหมายและคุณค่าของสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่เราได้ยกไว้ 

บางคนอาจจะเป็นความคิดที่เข้ามาเป็นสิ่งคิดเล่น ผ่านไปสักพักก็ลืม แต่กับคนที่มีปัญหาเข้ามาในชีวิตที่ทำให้ต้องตอบคำถามเหล่านี้อย่างจริงจัง ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม โหยหาความรักโดยไม่รู้ว่ารักที่แท้จริงคืออะไร ไม่รู้ว่าตนเองดีพอหรือเก่งพอที่จะตามความฝันหรือไม่ คำถามเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาที่หนักหน่วง ถึงแม้ว่าวัยรุ่นจะยังไม่มีภาะหน้าที่เท่าผู้ใหญ่ แต่เราต่างก็รู้ว่าวัยรุ่นก็มีปัญหาสุขภาพจิตได้ เราคงเคยได้ยินถึงวัยรุ่นที่เป็นซึมเศร้า และที่ร้ายแรงคือทีคนฆ่าตัวตาย และหากมาลองคิดดูแล้วคำถามที่เป็นจุดสำคัญในการความสุข หรือการชี้เป็นชี้ตายล้วนแต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรัชญา’ ทั้งสิ้น

บางครั้งชีวิตจะอยู่ต่อหรือจากไปขึ้นกับว่าตอบคำถามของตัวเองได้หรือไม่

‘จากนี้ไปจะเป็นคาบวิชาจริยปรัชญา’ แต่ละตอนจะเป็นคาบเรียนที่สอนปรัชญา สลับกับเรื่องราวชีวิตของนักเรียนในห้อง ซึ่งแต่ละคนจะพบปัญหาที่ล้วนแต่เป็นปัญหาที่วัยรุ่นทั่วไปอาจพบเจอ และเราจะพบว่าเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวและพบได้บ่อยๆ เด็กบางคนใคร่ครวญถึงความหมายของรักและเพศสัมพันธ์ เด็กบางคนเสียคุณค่าของการมีชีวิตไปเพราะตนเองพบกับสิ่งเลวร้าย เด็กบางคนสงสัยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นคนดีพร้อม เด็กบางคนรู้สึกว่าตนเองผิดแปลกไปจากสังคมและนั่นคือความผิด หรือเด็กบางคนที่ได้รับอิสรภาพแต่เขากลับรู้สึกว่างเปล่าและไม่รู้ว่าควรทำอะไร

คำถามทางปรัชญาเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการวิธีแก้ไข ว่าต้องทำแบบนี้ๆ แล้วปัญหาจะถูกแก้ไข แต่คำถามเหล่านี้คือความคับข้องใจ และทางแก้ไขคือการที่เด็กแต่ละคนตอบตนเองได้อย่างพอใจ หรือยอมรับได้ที่ตนจะคับข้องใจต่อไป

การให้คำตอบไม่ใช่การบอก แต่เสนอแนวทางเพื่อลองคิด

ที่น่าสนใจคือ ทาคายานางิ อาจารย์ผู้สอนที่เป็นตัวละครหลักในเรื่อง ไม่ได้ใช้การบอกว่าอะไรถูกหรือผิด แต่ยกปรัชญาขึ้นมา เพื่อใช้เป็นหลักการในการเปรียบเทียบ แล้วถามนักเรียนที่กำลังมีปัญหาและชวนให้เขาคิดว่าสิ่งนั้นควรจะมีคำตอบอย่างไรด้วยตนเอง และถึงแม้ทาคายานางิจะยกคำพูดปรัชญาขึ้นมา แต่ทุกครั้งเขาก็พยายามสื่อให้เห็นถึงทั้งสองด้านว่า แม้แต่ตัวปรัชญาที่ตนสอนก็ใช่ว่าจะเป็นหลักตายตัวที่ชี้ถูกผิด หากมองในอีกด้านอาจได้รับคำตอบที่ไม่เหมือนกัน และผู้พิจารณาว่าด้านไหนคือคำตอบของคำถามของพวกเขาก็คือตัวเด็กเอง เด็กอาจจะไม่ได้รับคำตอบทันที แต่ต้องมาจากการใคร่ครวญในการใช้เวลา จนถึงบางคนอาจจะต้องเจอกับเหตุการณ์ในชีวิตที่นำไปสู่ความเข้าใจนั้น 

และแม้แต่ตัวทาคายานางิที่เป็นอาจารย์ที่มีความรู้ปรัชญา ในเรื่องก็จะเล่าว่าเขาเองก็ยังคงมีปัญหาของชีวิตที่ตัดสินไม่ได้เช่นกัน ซึ่งแสดงถึงชีวิตจริงว่าไม่มีสูตรสำเร็จในการตอบทุกคำถาม และบางอย่างต้องใช้เวลาการใคร่ครวญจนถึงเป็นผู้ใหญ่ก็ยังต้องคิดต่อไป และบางครั้งสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วอาจจะต้องกลับมาทบทวนตัดสินใจใหม่ก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตจริงๆ 

การ์ตูนเล่มนี้ไม่ใช่การพยายามยัดปรัชญาเข้าหัวผู้อ่าน ไม่ได้เน้นว่าผู้อ่านต้องรู้จักหรือจำชื่อนักปรัชญา หรือหลักปรัชญาต่างๆ ให้ได้มากๆ แต่การ์ตูนแสดงวิธีถึงการคิดถึงประเด็นขัดแย้งต่างๆ ในชีวิตอย่างรอบด้าน และแนวทางในการตัดสินคุณค่า แม้ปรัชญาที่ยกมาเราจะพบว่าหลายครั้งมาจากนักปรัชญาที่กล่าวไว้เป็นหลักร้อยหลักพันปีแล้ว แต่การได้ไตร่ตรองถึงแนวคิดเหล่านี้ไม่เคยล้าสมัย และการพยายามหาคำตอบเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำคัญกับปรัชญามากกว่าเนื้อหาปรัชญาเองเสียอีก

ในเรื่องมีการพูดถึงปรัชญาที่อาจจะทำให้ผู้อ่านสนใจหาอ่านเพิ่มเติมต่อ

สำหรับผู้อ่านที่สนใจอ่านเพราะอยากรู้จักปรัชญา ถึงแม้การอ่านหนังสือเล่มนี้จะไม่เหมือนการเข้าไปนั่งเรียนวิชานั้นด้วยตนเอง เพราะการ์ตูนก็ตัดมาเพียงช่วงเวลาหนึ่งในคาบ ทำให้ไม่ได้สอนปรัชญาต่างๆ โดยละเอียด ถ้าอยากจะเข้าใจปรัชญาที่พูดถึงทั้งหมด อาจจะต้องค้นคว้าเพิ่มเติมเอง แต่คิดว่าหัวข้อที่ยกมาเป็นสิ่งที่ผู้อ่านไปสืบค้นหาอ่านเพิ่มเติมไม่ยากนักทางอินเทอร์เน็ต 

สำหรับผู้อ่านการ์ตูนทั่วไป แม้การ์ตูนเล่มนี้จะมีการพูดถึงเรื่องยากๆ ที่อาจจะทำให้บางคนรู้สึกงงหรือน่าเบื่อในฐานะการ์ตูนที่ควรมีไว้ผ่อนคลาย แต่การ์ตูนเองก็มีเนื้อเรื่องซึ่งวางปัญหาของตัวละครให้คนอ่านสงสัยและสนใจว่าสุดท้ายปัญหานั้นจะลงเอยอย่างไร 

สิ่งสำคัญของการ์ตูนเล่มนี้ไม่ใช่คำพูดจากนักปรัชญาที่อาจารย์สอนในห้อง แต่เป็นวิธีคิดที่ตัวละครแต่ละคนใช้เพื่อตอบคำถามกับตัวเองโดยใช้คำพูดจากนักปรัชญาเป็นจุดอ้างอิงว่าจะตีความไปให้ถูกหรือผิด หรือดีหรือชั่วอย่างไรได้บ้าง ซึ่งผมว่าส่วนนี้ไม่น่าเบื่อ และไม่น่าจะยากเกินไปแม้ผู้อ่านไม่มีความรู้ปรัชญามาเลยก็ตาม

ผมมองว่าการ์ตูนเล่มนี้เป็นตัวจุดประกายความคิดของสิ่งที่ควรจะสอนในโรงเรียน แม้ว่าสังคมมักจะแนะนำให้วัยรุ่นพึ่งพาผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ อาจารย์แนะแนว รวมไปถึงที่พึ่งทางศาสนาในการตอบ ‘ปัญหาชีวิต’ ซึ่งเป็นคำถามทางปรัชญาที่อาจเกิดขึ้นในใจ แต่บางครั้งด้วยช่องว่างระหว่างวัย ความไว้ใจที่จะพูดเรื่องส่วนตัว และสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยอื่นๆ อาจทำให้เด็กไม่สะดวกใจที่จะทำแบบนั้น และคำถามเหล่านั้นอาจจะสะสมอยู่ในใจซึ่งจะกลายเป็นวิกฤตของชีวิตได้ 

วันหนึ่ง เด็กอาจไปเจอกับเหตุการณ์ที่กระทบกับเรื่องเหล่านั้นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องหนักหนาในชีวิตที่คิดไม่ตก การมีหลักการคิดเองได้บ้างจึงเหมือนการสร้าง ‘ภูมิ’ ทางสุขภาพจิตทางหนึ่ง และย่อมมีน้ำหนักในการตอบตนเองที่ดีกว่า และทันท่วงทีกว่า 

ผมเคยเขียนบทความ ‘จริยธรรม ‘หลังสมัยใหม่’ ของเด็กยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก’ (แนบ link: https://thepotential.org/knowledge/postmodernism/) ว่าในยุคสมัยแห่งข้อมูลปัจจุบัน การตัดสินใจว่าสิ่งใดถูกผิดตามจริยธรรม ไม่ใช่ยึดตามหลักที่ท่องมาเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์และสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความสำคัญของการปลูกฝังจริยธรรมให้กับเด็กยุคใหม่คือ การสอนให้คิดเอง และพิจารณาอย่างรอบด้าน พอได้อ่านการ์ตูนเล่มนี้ ผมก็คิดว่าคาบเรียนจริยปรัชญาในเรื่องช่างเป็นห้องเรียนที่น่าสนใจ หากมีวิชานี้ในโรงเรียนไทยบ้างก็คงจะดี แต่จนกว่าจะถึงวันนั้นที่การศึกษาไทยให้คุณค่ากับการเรียนปรัชญากับเด็กวัยรุ่นมากขึ้น อย่างน้อยก็น่ายินดีที่ยังมีหนังสือการ์ตูนอย่าง ‘จากนี้ไปจะเป็นคาบวิชาจริยปรัชญา’ แปลขายเป็นภาษาไทย และผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นสื่อการสอนที่ดี ผมจะดีใจที่ถ้าเด็กๆ ได้มีโอกาสอ่านเพื่อใช้ในการขบคิดหากวันหนึ่งพบปัญหา และยินดีมากหากพ่อแม่หรือครูได้อ่านเพื่อใช้เป็นแนวทางในการแนะแนวและสนับสนุนเด็กๆ ตอบสิ่งที่คับข้องใจ และจริงๆ แล้วคำถามชีวิตต่างๆ ก็มักเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ต้องยังนั่งคิดอยู่เสมอ ผู้ใหญ่เองก็จะได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้เช่นกัน 

จริยปรัชญาเป็นวิชาที่ใกล้ตัวกว่าที่คิดมากๆ เพราะเป็นวิชาเกี่ยวกับการตอบคำถามเรื่องคุณค่าและแนวทางของชีวิต ที่เป็นหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคนเลยก็ว่าได้

Tags:

การ์ตูนชีวิตการใช้ชีวิตจากนี้ไปจะเป็นคาบเรียนวิชาปรัชญา

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    ไร้ประโยชน์ ก็ใช่ว่าไร้ค่า: บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ‘ดื้ออีกนิด ไปต่ออีกหน่อย’ กับ ซิสุ (Sisu) ปรัชญาชีวิตของชาวฟินแลนด์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ปลดล็อกความรู้สึกภายในด้วย ‘ศิลปะ’:  เส้นทางกระบวนกรของ ครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุล
Everyone can be an EducatorHow to enjoy life
24 May 2023

ปลดล็อกความรู้สึกภายในด้วย ‘ศิลปะ’:  เส้นทางกระบวนกรของ ครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุล

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ศิลปะ’ เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยดึงอะไรหลายๆ อย่างในจิตใจของคนขึ้นมา แต่แก่นแท้ที่อยากจะสื่อสารคือ การทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และคลี่คลายปมภายในใจ เพื่อทำให้มีความสุขในรูปแบบของตัวเอง
  • ชวนปลดล็อกความรู้สึกภายในกับ ครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุล กระบวนกรผู้ใช้ศิลปะมาเป็นเครื่องมือบำบัดจิตใจ และนักเขียนเจ้าของผลงานหนังสือ ‘คืนดีกับใจ’
  • เป้าหมายในการทำกิจกรรมของครูชัยคือ อยากให้ได้ลองใช้ ‘ศิลปะในการดําเนินชีวิต’ ซึ่งมี 3 อย่างที่ชวนทํา คือ ‘การฟัง’ ลองฟังเสียงข้างในตัวเองว่าเรารู้สึกอะไร และต้องฝึกฟังเสียงคนอื่นด้วย ‘การเคารพ’ วันนี้ลองไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นดู และ ‘อยู่กับปัจจุบัน’

“สิ่งที่ทำมาทำให้ตัวเรารู้สึกว่า นี่แหละคือคุณค่าของการที่เราได้เกิดมา เรารู้แล้วว่าหลังจากนี้เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อทําอะไร”

นี่คือความในใจและความมุ่งมั่นของ ครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุล กระบวนกรผู้ใช้ศิลปะมาเป็นเครื่องมือบำบัดจิตใจ และนักเขียนเจ้าของผลงานหนังสือ ‘คืนดีกับใจ’

หากเท้าความไปในอดีต ครูชัยคือเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่สนใจศิลปะมากกว่าการเรียนในห้องมาตั้งแต่สมัยประถม ทำให้ถูกมองว่าเป็น ‘เด็กดื้อ’ เพราะไม่ยอมตั้งใจเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ความรู้สึกแปลกแยกนี้จึงทำให้ครูชัยกลายเป็นเด็กที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และปลีกตัวมาใช้เวลากับงานศิลปะและงานประดิษฐ์

ด้วยการสนับสนุนจากพ่อแม่ที่ให้อิสระในการเรียน ทำให้ครูชัยเลือกเข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งหลังเรียนจบก็ได้ไปทำงานเป็นครูสอนศิลปะและมีโอกาสได้ทำงานกับกลุ่มด็กพิเศษ เช่น เด็กแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ดาวน์ซินโดรม ออทิสติก สมาธิสั้น  เพราะรู้สึกว่าเด็กพิเศษนี้เชื่อมโยงบางอย่างกับตนเองและได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่พิเศษ

“ตัวเราเองค่อนข้างที่จะขาดเรื่องความสัมพันธ์กับคนในวัยเด็ก เพราะมักจะรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น พอได้มาทำงานแบบนี้เลยเหมือนเป็นการซ่อมสร้างเด็กน้อยภายในตัว และทำให้ความรู้สึกว้าเหว่ภายในใจค่อยๆ หายไป”

ในเวลาต่อมาครูชัยได้มีโอกาสคลุกคลีกับวงการศิลปะเชิงบำบัดมากขึ้น ประกอบกับพอลองใช้กระบวนการต่างๆ กับตัวเองแล้วรู้สึกเติมเต็มบางอย่างภายในใจ สุดท้ายจึงผันตัวมาเป็นกระบวนกรอย่างเต็มตัว 

“เราไม่ได้มองว่าศิลปะเป็นเรื่องของการวาดภาพเพียงอย่างเดียว หลายคนอาจเข้าใจว่าศิลปะคือการวาดภาพหรือการปั้น แต่ในมุมมองของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนเป็นศิลปะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การประดิษฐ์ข้าวของ หรืออะไรก็แล้วแต่”

ในมุมมองของครูชัย ‘ศิลปะ’ เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยดึงอะไรหลายๆ อย่างในจิตใจของคนขึ้นมา แต่แก่นแท้ที่อยากจะสื่อสารคือ การทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และคลี่คลายปมภายในใจ เพื่อทำให้มีความสุขในรูปแบบของตัวเอง

“เราแค่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการทําให้เขารู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และคลี่คลาย ไม่ใช่คนหาทางออกให้เขา

เราเป็นเพียงผู้รับฟัง สะท้อนบางอย่าง สะท้อนความรู้สึก แล้วก็ชวนหามุมมองใหม่ๆ เพราะสุดท้ายเขาต้องลงมือทําด้วยตัวเอง”

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ครูใช้กระบวนการทางศิลปะทำงานกับเด็กๆ

คือพอเราทำงานที่เน้นกระบวนการและทักษะทางศิลปะมาสิบกว่าปี เลยค่อยๆ ขยับตัวเอง ซึ่งเราก็มีโอกาสได้ทำงานที่ BACC (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) ตอนนั้นมีโปรเจ็กต์หนึ่งที่ทำงานกับเด็กถูกกระทำชำเรา ซึ่งเราก็สร้างสรรค์กิจกรรมศิลปะที่มีโจทย์ว่า จะทำยังไงที่จะสามารถเข้าถึงคนกลุ่มนั้นได้โดยไม่ใช่การวาดภาพปกติ ก็เลยใช้กระบวนการต่างๆ เช่น การเล่านิทาน 

หลังจากทำงานไปก็รู้สึกว่าเรื่องราวบางอย่างที่ผ่านตัวเขานั้น ตัวเราก็เป็นผู้ร่วมเส้นทางนั้นมาก่อนเหมือนกัน เพราะคนที่เคยผ่านเส้นทางนี้มาก่อน ย่อมจะเข้าใจคนที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางคล้ายๆ กัน ก็จะเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และค่อยๆ เติมสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในกิจกรรมที่เป็นศิลปะปกติ จนมันค่อยๆ กลายเป็นศิลปะบำบัดมากขึ้น

และมีโอกาสค่อยๆ เข้าสู่วงการนี้หลังจากที่ไปทำงานที่ธนาคารทหารไทย เพราะช่วงนั้นมีกิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูมาเป็น Director ของโครงการไฟ-ฟ้า ซึ่งเป็นศูนย์เยาวชนให้กับเด็กๆ ชุมชนแออัด เราก็มานั่งคิดว่าจะเอาองค์ความรู้ศิลปะที่เรียนครูมาจับกับการทำงานกับเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไรบ้าง เพราะอาสาสมัครหลายคนก็มองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ยาก เข้าถึงไม่ได้ เลยพยายามย่อยให้เขาเข้าถึงง่ายและนำเครื่องมือไปทำงานกับเด็กๆ 

จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ลองไปเจอกับ ‘อาใหญ่-วิศิษฐ์ วังวิญญู’ ซึ่งเป็นคนที่สร้างชุมชนที่เชียงราย และเป็นคนแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องจิตตปัญญาศึกษา เราก็ได้ไปเข้าคอร์สกระบวนกร ทำให้ได้รู้ว่ามีอีกอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า ‘กระบวนกร’ เป็นนักจัดกระบวนการต่างๆ ให้เกิดขึ้น โดยที่จะใส่ใจกับผู้ที่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ของเราด้วย และมีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขหรือเติมอะไรบางอย่างให้กับผู้ที่เข้าร่วม

เราได้เรียนรู้ว่ามีทักษะอะไรแบบนี้ด้วย เลยเริ่มสนใจ และสิ่งที่เรียนมันไปสัมผัสใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับคนในครอบครัวและเพื่อน มันเข้าไปแตะ Inner Child ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เรียนมาลึกซึ้งกว่าที่คิดเยอะมากๆ 

ก็เอามาทำงานกับตัวเองก่อนในช่วงแรก และนำความรู้ที่ได้ไปอบรมกับเจ้าหน้าที่บ้าง เอาไปทำงานกับเด็กๆ บ้าง ทำให้เริ่มเห็นผลบางอย่างเกิดขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราจะทำหน้าที่เหมือนที่ปรึกษา แต่กระบวนกรพวกนี้จะคล้ายๆ กับเป็นโค้ชมากกว่า

มันเป็นเหมือนพื้นที่ที่ปล่อยให้เขาระบายออกมาและรับฟังเขา จริงๆ มันมีสิ่งที่เรียกว่า Deep Listening คือการฟังอย่างลึกซึ้ง เราแค่ช่วยนั่งฟังเขา แค่ฟังอย่างเดียวจริงๆ 

กระบวนการนี้มันช่วยให้เขาได้ฟังเสียงข้างในตัวเอง แล้วบางทีเขาก็เข้าใจของเขาเองโดยไม่รู้สึกว่าถูกตัดสิน สามารถระบายมันออกมาได้ สามารถอยู่กับคนสักคนหนึ่งโดยที่ไม่ต้องกลัว ถูกเคารพอย่างเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

ในเวลาต่อมาก็ได้รู้จักกับครูคนหนึ่ง คือ ครูอังคณา มาศรังสรรค์ ครูณาก็ได้ชวนเราไปทํางานอาสาสมัคร เราก็เริ่มแตะเข้าไปในงาน หลังจากนั้นเราก็เริ่มกระบวนการในการเรียนรู้เรื่องศิลปะบําบัดจริงๆ ผ่านครูที่มาจากทั้งต่างประเทศและในไทย ก็รู้สึกว่า มันว้าวกว่าที่เราคิดเสียอีก

จริงๆ ‘ศิลปะ’ มีเรื่องของจิตใต้สํานึก หรืออะไรอีกเยอะที่เป็นเชิงจิตวิทยากับการวาดภาพ หรือการตีความหมายของภาพ แต่เราไม่ได้ฟันธงบอกเขาว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะเป็นเครื่องมือในการบอกว่าภาพนี้มันสะท้อนว่าตอนเด็กๆ เขาเจออะไรมาบ้าง หรือตอนนี้เขาอาจจะรู้สึกและมีความคิดอะไรที่รบกวนจิตใจอยู่บ้าง ที่ตัวเขาเองอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็นหรือรู้ตัว

มองว่าศิลปะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยในการพูดคุย ทำให้เขาเปิดประเด็นมากขึ้น และชวนสะท้อนความรู้สึกตัวเอง เราก็จะช่วยคอนเฟิร์มว่า เขารู้สึกอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม 

มีช่วงหนึ่งครูณาชวนเราไปทํางานที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน หรือที่เราเรียกว่า ‘คุกเด็ก’ ก็ได้มีโอกาสมาทํางานกับเด็กเยาวชนกลุ่มนี้ ซึ่งที่เราทำจะเป็นเรื่องของจิตใจ แต่ว่าเด็กๆ กลุ่มนี้เขาจะอยู่ไม่ค่อยนิ่ง เพราะฉะนั้นการที่จะมานั่งทําอะไรสงบๆ ก็เป็นไปได้ยาก กิจกรรมต่างๆ ที่เราคิดขึ้นมาก็ต้องทําให้สนุก ซึ่งศิลปะนี่แหละเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เข้าถึงเด็กเหล่านี้ได้ง่ายมาก

สุดท้ายเราก็ค้นพบทางออกของตัวเองโดยการได้ไปเรียนกับครู Gil Alon ชาวอิสราเอล ซึ่งถือว่าเป็นครูคนหนึ่งที่สําคัญมากๆ ที่เปลี่ยนชีวิตเราเลย กิจกรรมของครูเป็นกิจกรรมเจ็ดวันที่เน้นการเคลื่อนไหว มีโจทย์ให้ทําอะไรก็ทําตามนั้น ก็รู้สึกว่ามันไปปลดแอกกรอบและค้นพบอิสระบางอย่างในใจเรา

ก็เกิดความคิดว่า เราจะทํายังไงให้คนที่เราจะไปสัมผัสชีวิตของเขาในอนาคต ได้พบสิ่งที่เราเรียนรู้จากเจอครูกิล เพราะพอเราเจอสิ่งนี้ก็รู้สึกว่ามันทําให้เราอิ่มเอิบในใจ มันช่วยคลี่คลายความสัมพันธ์ข้างในตัวเราเกือบหมดเลย

พอตัดสินใจอยากทํางานบนเส้นทางนี้ ก็เลยขออนุญาตหัวหน้าออกจากธนาคาร เพราะอยากทํางานที่ลึกลงไปกว่านี้ พอออกมาเลยได้มาทํางานกับเด็กๆ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ในเครือข่ายพุทธิกา และได้พูดคุยกัน ดูแลใจกัน

แล้วก็มีอีกเรื่องที่เราสนใจคือเรื่อง ‘ความตาย’ เพราะรอบๆ ตัวเรา ในช่วงเวลานั้นไม่มีใครเสียชีวิตเลย เลยกังวลล่วงหน้าเรื่องแม่กับการเสียชีวิต เลยคิดว่าถ้าเราไปทํางานอาสาสมัคร หรืออาสาข้างเตียง เราน่าจะได้เรียนรู้ความตายผ่านผู้คนเหล่านี้ ก็เลยมีโอกาสไปทํางานเครือข่ายพุทธิกากับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คนเหล่านี้ก็เป็นครูให้เรา ทำให้เริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราได้มาทํางานจริงๆ 

แล้วใช้กระบวนการแบบไหนในการดูแลจิตใจบ้าง

สิ่งที่เราถนัดอย่างหนึ่งคือการใช้ภาพในการทํางาน โดยใช้ภาพในการเล่าเรื่อง ทุกวันนี้ก็ทําภาพ การ์ด เราก็เอามาใช้ให้คนทำกิจกรรมลองดู คือเรามักจะมีเครื่องมือเป็นสื่อกลาง เพราะบางทีการให้เขาเล่าถึงตัวเองมันยาก เลยมองหาของอะไรที่แทนความรู้สึกเขาตอนนี้ได้

นอกเหนือจากการเล่านิทาน และการใช้ภาพตามที่กล่าวมาแล้ว การเขียนจดหมายก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่เราเรียกว่า Narrative Therapy คือการเขียนเล่าเรื่อง หรือ Music Therapy (ดนตรีบำบัด) ที่จะให้ความสําคัญผ่านเสียงดนตรี ผ่านจังหวะการพูด ซึ่งก็เป็นศิลปะการพูด หรือการฟังก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน กระบวนการรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ก็ใช้ศิลปะทั้งหมด

ซึ่งหลังจากที่ได้เจอครูกิลก็รู้สึกว่าอยากทําเวิร์กช็อป แรกๆ เราก็เอาเวิร์กช็อปของครูกิลมาทำส่วนหนึ่ง ส่วนในคอร์สแรกก็ดัดแปลงใส่ความเป็นสีน้ําเข้าไป เรียกว่ากิจกรรม ‘ฉันกับสีน้ํา ด้วยความเข้าใจ’ พอเริ่มทําเวิร์กช็อปก็มีคนมาเรียนและติดตามเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อป เขาก็ค้นพบอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขามากมาย และกิจกรรมนี้ยังช่วย feedback ตัวเขาในตลอดเวลาที่ผ่านมาด้วย

สิ่งที่ทำมาทำให้ตัวเรารู้สึกว่า นี่แหละคือคุณค่าของการที่เราได้เกิดมา เรารู้แล้วว่าหลังจากนี้เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อทําอะไร ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 42 ก็คิดว่าเวลาที่เหลือคือกําไรของชีวิตเราแล้วแหละ แต่เราก็ยังทํางานเพื่อคนอื่น ไปทํางานอาสาสมัครข้างเตียง ไปทํางานกับเด็กที่ศูนย์ฝึก หรือใครมีปัญหาที่ไหนเราก็ไปให้คำปรึกษาเหมือนเดิม

เป้าหมายปลายทางที่อยากให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับคืออะไร

เรามักจะพูดกับคนที่เข้าร่วมเสมอว่าอยากให้เขาได้ลองใช้ ‘ศิลปะในการดําเนินชีวิต’ หรือ Art of Living ซึ่งมี 3 อย่างที่ชวนทํา

อย่างแรกคือ ‘การฟัง’ อยากชวนว่า ในวันนี้ที่เราอยู่ด้วยกัน ลองฟังเสียงข้างในตัวเองว่าเรารู้สึกอะไร มีเรื่องราวอะไรที่อยากเล่าแล้วมันจะมีความสุขขึ้นมาในใจ ได้เปิดพื้นที่อนุญาตตัวเองให้ได้เล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้คู่หรือคนที่สบายใจจะเล่าหรือยัง รวมถึงเขาต้องรู้จักฟังเพื่อนที่อยู่รอบข้างด้วย 

เพราะว่าทักษะที่เกิดขึ้นในคอร์สจะถูกนำไปใช้กับคนในครอบครัวของเขา เราบอกเสมอว่า ต้องฝึกฟังเสียงคนอื่นด้วย ฟังแบบลึกซึ้ง ไม่ต้องตั้งคําถาม และอย่าเพิ่งตัดสิน ให้อยู่กับเขาในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ต้องมีโจทย์ ไม่ต้องมีปัญหาอะไร แค่อยู่ด้วยกันในฐานะมนุษย์

สองคือ ‘การเคารพ’ วันนี้ที่อยู่ด้วยกัน ลองเคารพตัวเอง ไม่ต้องมีกรอบการตัดสินตัวเองและคนอื่น โดยเฉพาะงานศิลปะมันจะมีเรื่องที่เราตัดสินว่าสวยหรือไม่สวย วันนี้ลองไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นดู ลองอยู่กับสิ่งที่เป็นแบบของเรา แล้วเรารู้สึกยังไงกับตัวเอง โดยไม่ต้องเอาความสวยงามหรือทฤษฎีทางศิลปะมาเกี่ยวข้อง 

และสุดท้ายคือ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ เพราะจริงๆ เราค้นพบว่าจิตวิทยาทั้งหมดมันก็คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนี่แหละ หมายถึงการกลับไปอยู่ปัจจุบัน สังเกตความเป็นไปของตัวเรา ดูว่าอะไรปรากฏขึ้น แล้วเรารับมือกับมันยังไง

แต่เราไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักศิลปะบําบัด’ นะ จะเรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักศิลปะเพื่อการตระหนักรู้’ เพราะว่าคําว่า ‘บําบัด’ นั้นต้องไปเรียนเป็นวิชาชีพ ซึ่งต้องมีความระมัดระวังในจรรยาวิชาชีพของเขา 

เราแค่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการทําให้เขารู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และคลี่คลาย ไม่ใช่คนหาทางออกให้เขา จะพูดเสมอว่าศูนย์กลางการดูแลตัวเองหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่ที่เขา 

เราเป็นเพียงผู้รับฟัง แล้วก็สะท้อนบางอย่าง สะท้อนความรู้สึกกับเขา แล้วก็ชวนเขาหามุมมองใหม่ๆ เพราะสุดท้ายเขาต้องลงมือทําด้วยตัวเอง ว่าเขาจะไปเปลี่ยนมุมมองนั้นหรือเขาจะลงมือทําบางสิ่งที่ต่างไปจากเดิมไหม 

พอเราทํางานด้านจิตใจเราก็จะรู้แหละว่ามนุษย์ทุกคนมีฐานเดียวกันเลยก็คือ เราต้องการความรัก ความไว้วางใจ ความเชื่อใจ การยอมรับ และความปลอดภัย

เราค้นพบว่าลึกๆ ทุกคนมีศักยภาพที่จะมีความสุขและความทุกข์พอๆ กันเลย แต่ตอนเกิดมา ทั้งครอบครัว สังคม และเหตุการณ์ต่างๆ มันค่อยๆ หล่อหลอมเรา

ซึ่งเราชอบคําๆ หนึ่งในหนังสือที่เคยอ่านมาก เลยเอามันมาดัดแปลงในความเข้าใจของตัวเอง และเขียนลงในหนังสือ ‘คืนดีกับใจ’ ของเรา …เขาบอกว่า

จริงๆ คนเราเกิดมาเราเป็นรูปทรงอิสระ แต่แล้ววันหนึ่ง กรอบสังคมค่อยๆ บีบเรา ให้กลายเป็นเหมือนกับสังคม เราก็จะกลายเป็นสี่เหลี่ยมตามที่สังคมสอน แต่ถ้าเราไม่ยอมเราแข็งขืน เราก็จะเอาตัวเองไปกระแทกกับกรอบ ต่อสู้จนในที่สุดจะกลายเป็นทรงกลมที่ตรงข้ามกับกรอบสี่เหลี่ยม 

มันคือสิ่งสําคัญที่รู้สึกว่าพอเติบโตมา ศักยภาพพวกนี้มันจะหายไป ถ้าเราปล่อยให้สิ่งต่างๆ มาทําร้ายเรา

หนังสือ ‘คืนดีกับใจ’ ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ชีวิตของครูชัย?

‘คืนดีกับใจ’ เป็นหนังสือที่เราเอาสิ่งที่เรียนรู้จากการทําเวิร์กช็อปทั้งหมดมาย่อย ให้เป็นฉบับที่ผู้อ่านสามารถทําได้ด้วยตัวเองผ่านหนังสือ เพราะฉะนั้นหนังสือก็เลยจะออกแบบเป็นแบบฝึกหัด น่าจะประมาณ 25 แบบฝึก ค่อยๆ ไต่ระดับ จากการค่อยๆ สํารวจตัวเอง ฟังตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงการทําสิ่งของให้คนอื่น ซึ่งจะเป็นงาน D.I.Y 

เป็นแบบฝึกหัดที่ชวนให้เข้าใจตัวเอง เราถึงใช้คําว่า ‘คืนดีกับใจ’ เพื่อเราจะเข้าใจตัวเองและคนอื่น เพราะเราจะไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้ หากไม่เข้าใจตัวเองเสียก่อน

และเราก็ต้องเล่าเรื่องราวชีวิตส่วนหนึ่งลงไปในหนังสือ เพราะเราเป็นคนที่เดินผ่านเส้นทางนั้นมาแล้วด้วยตัวเอง เคยมีความทุกข์ เป็นคนที่เคยรู้สึกว่าไม่เข้าใจตัวเองมาก่อนและมีปัญหามาก่อน แล้วเราคลี่คลายมันได้ยังไง 

แล้วก็จะมีเคสอีก 3 เคสที่เราเคยดูแล ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการที่เขามาเข้าคอร์สกับเราในหนังสือเล่มนี้ด้วย

มีทริคอะไรที่อยากฝากถึงคนที่ยังหาความสุขในชีวิตไม่เจอไหม

สิ่งที่อยากชวนทํา ง่ายที่สุดเลยก็คือให้เราลอง ‘ลดการใช้สื่อ’ ลดการอ่านข่าวที่แย่ๆ บางทีเราอาจจะไม่ต้องไปรู้คอนเทนต์มันก็ได้นะ แค่รับรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นบทเรียนให้ไม่ประมาท ลองกลับมาอยู่กับตัวเอง ให้เวลาตัวเองดู เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้เวลากับตัวเอง

ที่เห็นคือผู้ใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องการเบิร์นเอาท์ เพราะเราทํางานเพื่อคนอื่นตั้งเยอะ เพื่อครอบครัว เพื่องาน แต่สุดท้ายเราไม่ได้อุทิศตัวเองเพื่อตัวเองเลย ทำให้รู้สึกว่าตัวเองทุกข์ ไม่มีความสุข เพราะที่สุดแล้วเราเอาใจเราไปอยู่กับคนอื่น

สิ่งที่อยากฝากต่อคือ ‘กลับมาอยู่กับหัวใจของเราให้เยอะๆ’ คอยสังเกตดูว่าเรารู้สึกอะไร อย่าเพิ่งตัดสินตัวเอง เหมือนกับที่บอกในศิลปะในการดําเนินชีวิตเลย อย่าเพิ่งตัดสินเอง ถ้ามีอารมณ์โกรธ ก็ลองอยู่กับความโกรธนั้นดู แต่ให้ระมัดระวังว่า ถ้าเราจะตอบโต้กับคนอื่น ลองคิดกลับกันว่าสุดท้ายเราตอบโต้แล้วเราได้อะไร มันตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ตอบความต้องการ เราควรทำยังไงให้ความต้องการนั้นมันเกิดขึ้นได้ แล้วลองหาทางเลือกอื่นๆ 

สุดท้ายคือ ‘ลองช้าลง’ ให้เราลองให้เวลาตัวเองหลังจากตื่นขึ้นมา ไม่ต้องรีบมากนัก เปิดเพลงฟัง ให้มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง หรือนั่งภาวนาอยู่กับตัวเองตอนเย็นๆ ไม่ต้องเชิงศาสนาก็ได้เลย แต่ว่าให้นั่งอยู่กับตัวเอง เช็กอินเช็กเอาท์ตัวเองก่อนนอนว่าเราเป็นยังไง ให้เวลากับความสงบ อยู่กับความรู้สึกของตัวเรา

จากประสบการณ์การเวิร์กช็อปที่ผ่านมา ผู้ที่เข้าร่วมจะพบว่า แค่อยู่กับตัวเองนิ่งๆ โดยที่ตัดงาน ตัดทุกอย่างรอบตัว ก็เหมือนได้พักผ่อนแล้ว เขารู้สึกอิ่ม รู้สึกว่าเป็นอะไรที่รู้สึกดี ได้ผ่อนคลาย 

สุดท้ายครูชัยมีคำแนะนำอะไรที่จะช่วยให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตได้มากขึ้น

แต่ละคนก็ต่างกันไป แต่อย่างหนึ่งที่จะช่วยคือ ‘การอยู่กับตัวเอง’ ให้ได้มากขึ้น เพราะมันคือฐานของการชาร์จแบตตัวเอง แต่ว่าการอยู่ตัวเองอาจทำให้เราจมอยู่กับความคิด การทําบางสิ่งอย่าง เช่น ลองทําอาหารกินเอง รดน้ําต้นไม้ เดินเล่น หรือออกเดินทางท่องเที่ยว อ่านหนังสือก็ได้ ลองวางสื่อโซเชียลดู กลับมาทําอะไรเพื่อตัวเราเอง แต่ก็ให้แบ่งเวลาออกไปเจอผู้คนบ้าง อย่าอยู่กับตัวเองจนหมกมุ่นมากไป อันนี้ก็เป็นคำแนะนำสําหรับคนที่เป็น Introvert นะครับ

สําหรับคนที่เป็น Extrovert ที่ชอบเข้าสังคม ก็ลองไปหาสังคมใหม่ๆ ดู เราอาจจะมีสังคมเดิมๆ แล้ว ลองให้โอกาสตัวเองไปเจอผู้คนใหม่ เพราะว่าการอยู่ในสังคมเดิมมันก็คือวัฏจักรเดิม แต่การที่เรามีสังคมใหม่ กลุ่มใหม่ จะทําให้เราเติบโตและเรียนรู้ในเรื่องราวใหม่ ทําให้เราได้เปิดอีกโอกาสหนึ่งที่จะได้เจอความหลายหลาย

มันไม่ได้ผิดที่จะอยู่ในวงจรเดิม แต่ถ้าเราอยากมีอะไรใหม่เพื่อเติมพลังให้ชีวิต ก็ต้องหาวงจรใหม่ หรือไปเจอคนใหม่ๆ ดู เราจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม และสุดท้ายถ้าเราอยู่ข้างนอกเยอะ ก็แบ่งเวลากลับมาอยู่กับตัวเองให้มากขึ้น เพราะบางทีการอยู่กับตัวเองก็ดีนะ

และ 3 สิ่งที่หากเราสามารถก้าวข้ามได้จะช่วยสอนเราให้เติบโตเยอะเลย คือ ‘การแข่งขัน’ เพราะเราอยู่กับการแข่งขันเปรียบเทียบเป็นนิสัยและตลอดเวลา ก็ให้ลองเปลี่ยนการแข่งขันนั้นดู บอกตัวเองว่าเราดีพอแล้ว บอกว่าเราพอใจกับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่เราดีในฉบับของเรา

อีกอย่างหนึ่งคือ ‘ความกลัว’ ลองออกจากความกลัวเดิมๆ ที่เราเคยมีบทเรียน มีประสบการณ์บาดแผลในชีวิต ให้บอกตัวเองว่า วันนี้เราไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว เวลาที่เจออะไรที่ทำให้กลัว ให้ลองวางใจกับมันดู ค่อยๆ ไปด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายก็จะพบว่าจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย เป็นแค่เหตุการณ์ครั้งเดียวในชีวิตของเราเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะฝังหัว และกลัวสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต

สุดท้ายคือ ‘เงื่อนไขในชีวิต’ เพราะสังคมจะสอนให้เรามีเงื่อนไขเยอะแยะไปหมด อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ดี เราไม่มีเวลาออกกําลังกายหรอก งานยุ่ง ไม่มีเวลาทําแน่นอน จริงๆ สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่เราวางไว้เอง กลายเป็นกับดักชีวิตของเราต่างหาก ที่ทําให้เราทําอะไรไม่ได้

จริงๆ เราคือผู้เล่น ลองเลือกด้วยตัวเองดูว่า จะออกจากความกลัวนั้นได้ยังไง จะดีพอแล้วกับตัวเองได้ยังไง ไม่ต้องมีเราในทุกๆ ที่ก็ได้ มีแค่เราตรงนี้ มีเวลาอยู่กับตัวเองก็พอ ไม่ต้องไปออกงานสังคมทุกงาน ไม่ต้องมีทุกอย่างบนโลกก็ได้

แค่เรามีเราก็พอแล้ว คําว่า ‘พอ’ น่าจะช่วยให้ค้นพบความสุขบางอย่างก็ได้

Tags:

ศิลปะจิตใจนักกระบวนกรครูชัย-ศักดิ์ชัย ศรีวัฒนาปิติกุลการเคารพการอยู่กับปัจจุบันการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Deep Listening-nologo
    Character building
    ‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    ‘อาร์ตทอย’ มากกว่าดีไซน์คือตัวตน: โมเดลชีวิตที่ร่างจากความล้มเหลวของ วีระยุทธ์ วรพล

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Growth & Fixed Mindset
    เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

    เรื่องและภาพ PHAR

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น
Learning Theory
22 May 2023

‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ เราจึงควรเรียนรู้ที่จะตั้งคำถามอย่างเหมาะสม
  • คำถามที่ดีจะทำให้เราได้คำตอบที่มีประโยชน์ ทำให้เราเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเรา และอาจนำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์บางอย่าง หรือใช้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเราได้ในทางใดทางหนึ่ง
  • เรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ควบคู่กับการตั้งคำถามดีๆ คือ การตั้งใจฟังก็เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การเป็นผู้ฟังที่ดีก็เป็นส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดตั้งคำถามที่ดีเช่นกัน

เดิมในยุคที่ข้อมูลหายาก การหาข้อมูลมาใช้งานจึงต้องอาศัยหนังสือชั้นดีที่มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน หนังสือชุดความรู้หรือสารานุกรมจึงมีประโยชน์และสร้างความแตกต่างได้มาก แต่ในโลกสมัยใหม่ที่ข้อมูลท่วมท้นและหาง่ายมาก การสอนเด็กอาจจะมีความแตกต่างจากอดีตนะครับ 

นอกเหนือจากการต้องรู้วิธีหาข้อมูลที่เชื่อถือได้แบบออนไลน์ รู้วิธีตรวจสอบความถูกต้องด้วยตัวเองแล้ว เรื่องที่มีประโยชน์มากเรื่องหนึ่งน่าจะได้แก่ การรู้จักตั้งคำถามอย่างเหมาะสม เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ 

ในวงการวิทยาศาสตร์ถึงกับมีหลายคนกล่าวว่า บ่อยครั้งทีเดียวที่ ‘คำถาม’ ที่ดีมีประโยชน์กว่า ‘คำตอบ’ ที่ดีด้วยซ้ำไป เพราะทำให้เกิดโลกทัศน์ กรอบแนวคิด และฉากทัศน์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน 

เว็บไซต์ The University of People [1] ได้รวบรวมคำถามสำคัญทางวิทยาศาสตร์ 20 คำถาม ตัวอย่างคำถามสำคัญหรือที่ฝรั่งใช้ว่า Big questions ได้แก่ เอกภพประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? ชีวิตเกิดขึ้นครั้งแรกได้อย่างไร? จิตสำนึกคืออะไร? จะมีวันที่เรารักษามะเร็งได้ไหม? ฯลฯ

แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือเว็บไซต์ดังกล่าวยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการตั้งคำถามที่มีประโยชน์ไว้ด้วย โดยอ้างอิงจากการตั้งคำถามสำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการสังเกตและหลักฐานต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปที่มีประโยชน์ จึงต้องรู้วิธีการตั้งคำถามที่นำไปสู่การตรวจสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 

คำแนะนำในการตั้งคำถามที่ใช้งานได้จริงและเป็นประโยชน์ มีลำดับขั้นตอนดังนี้ครับ 

เริ่มต้นจากการถามคำถามหลายๆ คำถามขึ้นมาก่อน ในจำนวนนี้ก็จะมีบางคำถามที่คุณรู้สึกสนใจ เช่น สำหรับการทำอาหารอร่อย ความจริงแล้วต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง? วัตถุดิบสดๆ สำคัญแค่ไหนต่อผลลัพธ์ที่ได้? วิธีการปรุง จำนวนและชนิดของเครื่องปรุงสำคัญเพียงใด? ความร้อนหรือความเย็นของอาหารขณะปรุงและขณะกินส่งผลแค่ไหน? ความเคยชินหรือรสชาติที่กินกันเป็นประจำมีผลต่อการตัดสินรสชาติมากน้อยแค่ไหน เช่น กรณีคนไทยกินอาหารรสจัดเป็นเรื่องปกติ เราจะตัดสินอาหารรสอ่อนกว่าหรือรสไม่จัดว่าไม่อร่อยไปตามความเคยชินหรือไม่? ฯลฯ 

เมื่อได้คำถามมาจำนวนหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปได้แก่ การพิจารณาคำถามต่างๆ ที่ได้มาว่า สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ในการตรวจสอบได้หรือไม่ ดูว่าสามารถทดสอบหรือทดลองทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติได้หรือไม่ เมื่อทำเช่นนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่าคำถามบางคำถาม อาจจะนำไปสู่การพิสูจน์ได้ยาก เพราะหนักไปทางเป็นความเห็น ความเชื่อ หรือค่านิยมบางอย่างมากกว่าจะเป็นคำถามจริงๆ ก็ตัดทิ้งไปเสีย 

ยกตัวอย่าง วิทยาศาสตร์จะไม่เสียเวลากับการทดสอบว่า มีพระเจ้าจริงหรือไม่ เพราะการทดสอบอย่างรัดกุมจนได้คำตอบที่แน่ชัด เป็นเรื่องที่ทำแทบไม่ได้ เพราะใช้กรอบความคิดความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงทดลองไป สรุปผลออกมา ก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าให้เปลี่ยนใจได้อยู่ดี 

ขั้นตอนนี้จะตัดคำถามออกไปได้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ให้นำคำถามที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดกลุ่มและแยกตามความจำเพาะดูว่า คำถามใดสามารถจัดให้อยู่ด้วยกันได้ แล้วเลือกคำถามที่เหมาะสมจะนำไปทดลองเพื่อหาคำตอบต่อไป 

ตัวอย่างรูปแบบคำถามที่ได้ เช่น คำถามจำพวก ‘มีความสัมพันธ์ระหว่าง ก กับ ข หรือไม่?’ หรือ ‘ก ส่งผลกระทบกับ ข ในเรื่อง … หรือไม่?’ ฯลฯ

เท่านี้ก็จะได้คำถามที่ดี และสามารถตรวจสอบหรือตรวจวัดหาคำตอบได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คำถามที่ดีจะทำให้เราได้คำตอบที่มีประโยชน์ ทำให้เราเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเรา และอาจนำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์บางอย่าง หรือใช้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเราได้ในทางใดทางหนึ่ง   

อลิสัน วู้ด บรู้กส์ (Alison Wood Brooks) และเลสลี เค. จอห์น (Leslie K. John) จากคณะธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาด (Harvard Business School) แจกแจงประโยชน์ของการตั้งคำถามกับองค์กรธุรกิจไว้มากมายหลายข้อ [2] ซึ่งแน่นอนว่า หากนักเรียนนักศึกษาได้ฝึกตัวเองให้มีความสามารถในการตั้งคำถามที่มีประโยชน์ ก็ย่อมเป็นที่ต้องการตัวของบรรดาบริษัทห้างร้านต่างๆ แน่ 

ตัวอย่างประโยชน์ของการตั้งคำถามเก่งคือ มันช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิดต่างๆ ซึ่งกันและกันของฝ่ายคนถามและคนตอบ  

นอกจากนี้ คำถามที่ดียังเป็นเชื้อให้เกิดการปะทุขึ้นของนวัตกรรมและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการทำงานให้ดีขึ้น แถมยังทำให้เกิดความเชื่อใจและเป็นมิตรต่อกันในกลุ่มคนทำงาน และยังลดหรือต้านทานความเสี่ยงทางธุรกิจ เพราะทำให้เห็นกับดักและอันตรายต่างๆ ล่วงหน้าได้  

ข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การตั้งคำถามต่อกันช่วยเพิ่มระดับความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) หรือ ‘อีคิว (EQ)’ ได้ด้วย แถมยังจะไปกระตุ้นให้เกิดการอยากตั้งคำถามวนเวียนเป็นวงจรอันดีงามต่อไปอีกด้วย 

สิ่งที่อลิสันเรียนรู้จากการทำวิจัยนานหลายปีของเธอก็คือ ผู้คนถามคำถามน้อยเกินไป!

เรื่องบ่นที่พบบ่อยที่สุดภายหลังการสนทนารูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ การออกเดทครั้งแรก การประชุมในที่ทำงาน ฯลฯ ก็คือ เขาหรือเธออีกฝ่ายถามคำถามน้อยเกินไป ไปจนถึงไม่ถามเลยแม้แต่คำถามเดียว! 

เหตุผลเบื้องหลังปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ อาจจะได้แก่ (1) การถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (egocentric) จึงพยายามแสดงความคิดความเห็นและอยากเล่าแนวคิดต่างๆ โดยไม่สนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะสนใจหรือไม่ 

(2) การไม่ใส่ใจก็เป็นเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่พบได้บ่อย (3) การมั่นใจในตัวเองก็มีส่วนเช่นกัน เพราะทำให้รู้สึกตัวว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะถามอีกทำไม แม้แต่ (4) ความกังวลก็อาจมีส่วน การถามคำถามผิดหรือไม่เหมาะสม อาจถูกมองว่าหยาบคายหรือไม่มีวุฒิภาวะ ก็เป็นกำแพงสำคัญ

แต่นักวิจัยเชื่อว่าปัจจัยใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่อง (5) การมองไม่เห็นประโยชน์จากการตั้งคำถามนี่เอง 

หากไม่รู้จะถามอะไร แนวไหน นักวิจัยเสนอว่าให้ทำได้โดยตั้งเป้าหมายไว้ 2 แบบคือ (1) ถามเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น การถามแบบนี้ช่วยให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ของอีกฝ่าย ส่วนอีกแบบคือ (2) การถามเพื่อให้เห็นวิธีคิดและแนวทางการจัดการเรื่องต่างๆ การถามแบบนี้เป็นการสร้างความประทับใจแบบหนึ่งได้ เพราะแสดงให้เห็นการเอาใจใส่อีกฝ่าย  

เมื่อสอบถามกับคนที่เข้าร่วมกิจกรรม ‘สปีดเดท’ ที่มีโอกาสพูดคุยกับคนโสดสักคนเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนต้องเวียนไปคุยอีกคนหนึ่งและคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน ทำให้รู้ว่าหากให้เลือกคู่เดทไปออกเดทกันได้จริงๆ ในภายหลัง โดยพิจารณาจากการพูดคุยกันเป็นเวลาสั้นๆ ในสปีดเดทนั้น คนส่วนใหญ่มักเลือกคู่เดทที่ถามคำถามมากกว่า!

การถามคำถามจึงเป็นการสร้างสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพดี

เคล็ดลับการถามที่ดีอาจจะใช้คำแนะนำหนังสือชื่อ ‘วิธีชนะมิตรและจูงใจคน (How to Win Friends and Influence People)’ ของเดล คาร์เนกี ที่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1936 แต่ยังเป็นจริงอยู่ก็คือ ‘ให้ถามคำถามที่อีกฝ่ายสนุกที่จะตอบ’

นักสัมภาษณ์กล่าวตรงกันหมดว่า คำถามที่ดีจะปลดปล่อยเรื่องราวจากผู้ให้สัมภาษณ์ราวกับทำนบแตก หากไปสะกิดเอาส่วนที่เขาหรือเธอสนใจ มั่นใจ ภูมิใจ หรือมีความสุขกับมัน จนอยากจะเล่าให้คนอื่นฟัง 

เคล็ดลับอีกข้อที่น่าจะเป็นประโยชน์ก็คือ พยายามถามแบบ ‘ปลายเปิด’ เพราะคำถาม ‘ปลายปิด’ มักทำให้การสนทนาจบอย่างรวดเร็ว เช่น การถามว่า “ชอบหรือไม่” แต่คำถามปลายเปิด เช่น “ชอบเพราะอะไร” กลับต่อบทสนทนาให้ยืดยาวออกไปได้เรื่อยๆ 

ก่อนจบคงต้องย้ำเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ควบคู่กับการตั้งคำถามดีๆ คือ การตั้งใจฟังก็เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การเป็นผู้ฟังที่ดีก็เป็นส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดตั้งคำถามที่ดีเช่นกัน ในมุมหนึ่งการถามและตอบจึงคล้ายกับการเต้นรำที่จังหวะการเต้นที่เข้าคู่กัน ย่อมทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

เมื่อเห็นความสำคัญของการตั้งคำถามเช่นนี้แล้ว ก็มาฝึกฝนลูกหลานหรือแม้แต่ตัวของคุณเอง ให้เป็นคนช่างคิดช่างถาม เพื่อประโยชน์ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.uopeople.edu/blog/the-big-scientific-questions/

[2] https://hbr.org/2018/05/the-surprising-power-of-questions

Tags:

การเรียนรู้การฟังการตั้งคำถามความฉลาดทางอารมณ์

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ครบรอบ 20 ปี หนังสือ ‘ไชลด์เซ็นเตอร์ สำนวนซ้ำซากของการศึกษาไทย’ กับคำถามที่ว่า การศึกษายังคงเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘หนังพาไป’ 13 ปีของคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ ที่ชวนเรามองโลกมุมต่าง ตั้งคำถามกับตัวเองและเติบโตไปด้วยกัน

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    สร้างแรงจูงใจทางบวก กระตุ้นศักยภาพการเรียนรู้ให้เด็กเอาตัวรอดได้ในสิ่งแวดล้อมที่ยากจะคาดเดา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก
Movie
18 May 2023

After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • After the storm เป็นภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น กำกับโดย โคเรเอดะ (Hirokazu Kore-eda) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวและสังคมญี่ปุ่นได้อย่างอบอุ่นและสะเทือนภายในใจ
  • หนังเรื่องนี้เล่าถึง ‘เรียวตะ’ หนุ่มนักเขียนที่ถูกมองว่าหัวดี แต่ด้วยนิสัยติดการพนัน ทำให้สภาวะทางการเงินและความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
  • เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าในชีวิตจริงไม่ใช่ว่าทุกๆ เรื่องจะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ทุกอย่างไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ และต้องยอมรับว่าต่างคนก็ต่างดำเนินชีวิตกันต่อไป

หนังของผู้กำกับ โคเรเอดะ (Hirokazu Kore-eda) เจ้าเก่าที่ชอบหยิบเอาประเด็นของครอบครัวและสังคมญี่ปุ่นมาเล่า ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่พูดเรื่องราวซับซ้อนเหล่านี้ออกมาได้อย่างอบอุ่นและสะเทือนภายในใจ

หนังเล่าถึง ‘เรียวตะ’ ชายหนุ่มนักเขียนผู้เคยได้รับรางวัลเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นนักสืบเอกชนเพราะต้องการหาข้อมูลไปเขียนวรรณกรรมและต้องการเงินไปใช้ เขาเป็นชายหนุ่มที่คนรอบข้างมองว่าเป็นคนหัวดี มีความสามารถแต่ด้วยนิสัยติดการพนันทำให้เขาไม่ค่อยมั่นคงและกำลังอยู่ในกระบวนหย่า เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวของตัวเองได้ แม้จะรักษาสัญญากับภรรยาเก่าหลายต่อหลายครั้งว่าจะเอาเงินค่าเลี้ยงดูมาให้แลกกับการได้เจอกับลูกชายอาทิตย์ละครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยทำสำเร็จ

พ่อของเรียวตะเองก็เป็นนักการพนัน พ่อมักจะเอาเงินที่แม่ซ่อนไว้ไปใช้ รวมถึงเอาของในบ้านไปจำนำบ่อยครั้ง เขาเคยพูดกับตัวเองหลายครั้งว่าไม่อยากเป็นแบบพ่อแต่สุดท้ายเขากลับกลายมาเป็นแบบพ่อจนได้

‘เคียวโกะ’ ภรรยาของเรียวตะ เธอไม่อาจทนอยู่กับเขาต่อได้ เธอบอกกับเรียวตะว่า

“พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ”

เรียวตะซึ่งยังมูฟออนจากคนรักไม่ได้ จึงแอบคอยแอบติดตามชีวิตของเคียวโกะและลูก แล้วก็ได้พบว่าเคียวโกะมีแฟนใหม่แล้ว แต่ลูกชายของเขาดูไม่ได้แฮปปี้เท่าไหร่เวลาอยู่กับแฟนใหม่ของแม่ ทำให้เรียวตะมีความหวังว่าอาจจะได้กลับไปอยู่ตรงนั้น ได้กลับไปเป็นพ่อของลูกและสามีของเคียวโกะอีกครั้ง

แล้วคืนหนึ่งที่มีไต้ฝุ่นขนาดใหญ่พัดเข้ามา พวกเขาทั้งสามคนได้มีโอกาสกลับมาใช้เวลาสั้นๆ ร่วมกันในห้องอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของคุณย่า(แม่ของเรียวตะ) เพราะไม่สามารถออกไปไหนได้

แวบแรกโอกาสนี้ถือว่าเป็นความหวังของครอบครัวที่อาจจะได้กลับมาคืนดีกัน ทั้งคุณย่าและ ‘ชินโกะ’ (ลูกชายของเรียวตะ) ต่างมีท่าทีที่อยากให้เรียวตะและเคียวโกะรักกันเหมือนเดิม มีบทสนทนาเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่ทำให้เห็นถึงความห่วงใยของแม่สามีที่มีต่อลูกสะใภ้ และความรักความผูกพันของพ่อลูกที่มีให้กัน

แต่ก็ทำให้เห็นด้วยว่าเพราะอะไรเรียวตะกับเคียวโกะจำเป็นที่จะต้องเลิกกัน

และเมื่อรุ่งเช้ามาถึง หลังพายุสงบทั้งคู่ก็แยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง เรียวตะต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าตัวเองไม่สามารถดูแลใครได้จริงๆ

เขาต้องยอมปล่อยวางเพื่อให้ทุกคนได้ไปต่อ และเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้ได้เริ่มต้นใหม่เช่นกัน

การที่พวกเขามีพื้นที่ที่ให้เปิดใจคุยกันอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่ได้มาทบทวนกันว่าเพราะอะไรครอบครัวของพวกเขาถึงต้องหยุดแค่เท่านี้ และเป็นส่วนนึงที่ทำให้เรียวตะได้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

เรารู้สึกว่าการที่เรียวตะกล้ายอมรับความจริงว่าไม่สามารถช่วยรับผิดชอบครอบครัวต่อไปได้อีกแล้ว ทำให้เรียวตะและพ่อนั้นต่างกัน เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวของเรียวตะเองก็ไม่ได้มีความสุขที่มีพ่อเป็นนักการพนันแต่พวกเขาก็อดทนอยู่ด้วยกันมาจนพ่อของเขาตายไป

มีช่วงหนึ่งที่เราชอบมากคือตอนที่เรียวตะนั่งคุยกับแม่ของเขากลางดึก เรื่องความตายไปจนถึงเรื่องใช้ชีวิตลึกซึ้งหลายอย่าง เช่น เรียวตะสงสัยว่าพ่อต้องการอะไรกันแน่ ตอนเขามีชีวิตอยู่เพราะหลายอย่างในชีวิตดูไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แม่บอกว่า “การคิดถึงคนที่จากไปแล้วไม่ทำให้เขากลับมาหรอกนะ เราควรทำดีกับคนตรงหน้าที่ยังมีชีวิตอยู่” 

หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าในชีวิตจริงไม่ใช่ว่าทุกๆ เรื่องจะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ทุกอย่างไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ 

เราชอบที่ได้เห็นการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ไม่มา Romanticize ว่าถ้าหากมีความรักให้กันก็จะอยู่ด้วยกันต่อไปได้  

ครอบครัวบางครอบครัวก็ไม่อาจกลับมาอยู่ด้วยกันได้จริงๆ สุดท้ายมันคือการยอมรับว่าเราอาจต้องต่างคนต่างดำเนินชีวิตต่อไป

เราเองก็เคยนึกถึงว่าชีวิตจะเป็นยังไงถ้าหากตอนนี้เรายังมีพ่ออยู่ด้วยกัน ไม่ได้มีแม่ที่เป็นคนเลี้ยงดูเราเพียงคนเดียว แต่มันก็เหมือนคิดถึงคนที่ตายไปแล้วอย่างที่คุณย่าพูดนั่นแหละ สุดท้ายชีวิตที่เราควรโฟกัสก็คือชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเราและคนที่ยังอยู่กับเราตรงนี้ต่างหาก

Tags:

ญี่ปุ่นครอบครัวลูกAfter the stormพ่อแม่

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’
Social Issues
15 May 2023

ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • “เราเติบโตมากับความไม่จริง เราเติบโตมากับการไม่อัพเดท เลยรู้สึกว่าแล้วแบบนี้จะบ่มเพาะเด็กคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไร ตอนโตต้องมาตระหนักรู้เองหรือว่าสิ่งที่เรียนมามันผิด ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่ตระหนักรู้ เพราะการศึกษาไม่ได้เข้าถึงทุกคนในประเทศจริงๆ”
  • อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ ในฐานะคนรุ่นใหม่มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้การศึกษาของไทยเดินหน้าต่อไปหรือจะถดถอยกว่าเดิม
  • แม้ว่าอรจะผ่านการเรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ก็เห็นว่าหลักสูตรไทยไม่ได้อัพเดทด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงควรปรับหลักสูตรใหม่ ปรับหลักสูตรที่เด็กจะได้ใช้ในชีวิตจริง และทุกโรงเรียนต้องเท่าเทียม มีมาตรฐาน

หลังจากโบกมือลาการเป็นไอดอลของวง BNK48 ปัจจุบัน พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงด้วยหลายบทบาททั้งเจ้าของค่ายด้านเอนเตอร์เทนเมนท์ รวมถึงงานแสดงต่างๆ แต่ถ้าย้อนไปในวันวาน อรเป็นเด็กคนหนึ่งที่ผ่านความไม่สมบูรณ์แบบของครอบครัว และผ่านช่วงเวลาที่ทำให้เธอมองว่าระบบการศึกษาไทยไม่ตอบโจทย์ จนทำให้เธอต้องดิ้นรนเพื่อได้เรียนสิ่งที่อยากเรียน ได้วางอนาคตของตัวเองที่อยากเป็น

และการเลือกตั้งครั้งนี้ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่อรมองว่าจะทำให้การศึกษาของไทยเดินหน้าต่อไปหรือจะถดถอยกว่าเดิม

ในมุมมองของอร การศึกษามีความสำคัญกับเด็กมากน้อยแค่ไหน

หนูรู้สึกว่านอกจากสถาบันครอบครัวเป็นรากฐานแล้ว การศึกษาก็สำคัญเหมือนกัน สถาบันครอบครัวเป็นการบ่มเพาะเด็กสักคนหนึ่งขึ้นมา คือคุณจะเป็นใครในอนาคต คุณต้องผ่านอดีตมาก่อนแหละ อย่างหนูพ่อแม่หย่าร้างกัน มันจะเป็นปมตอนเด็กที่หนูรู้สึกว่าเป็นคนไม่มั่นคงคนหนึ่ง รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ตรงนี้เราจะขาด ก็ไม่รู้จนมาตระหนักได้ตอนโตว่าเป็นเพราะครอบครัวเราเป็นแบบนี้ หนูถึงคิดว่าการศึกษาสำคัญ

บอกตรงๆ ว่าหนูไม่รู้ว่าการศึกษาไทยตอนนี้เป็นอย่างไรแล้วนะ เพราะหนูผ่านจุดนั้นมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ได้เห็นว่าหลักสูตรไทยไม่ได้อัพเดทด้วยซ้ำ แล้วเราเติบโตมากับสิ่งนี้ 

เราเติบโตมากับความไม่จริง เราเติบโตมากับการไม่อัพเดท เลยรู้สึกว่าแล้วแบบนี้จะบ่มเพาะเด็กคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไร ตอนโตต้องมาตระหนักรู้เองหรือว่าสิ่งที่เรียนมามันผิด ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่ตระหนักรู้ เพราะการศึกษาไม่ได้เข้าถึงทุกคนในประเทศจริงๆ

และสิ่งที่หนูเห็นนะ ครุศาสตร์สำคัญ คนที่จะเป็นครู สร้างคนสักคนหนึ่งควรให้ความสำคัญกับเขา ไม่ใช่แค่เงินเดือนน้อยๆ ดูอย่างประเทศเกาหลีใต้ที่ให้ความสำคัญกับครูมากๆ คนที่จะมาเป็นครูมันยากมาก ยากพอๆ กับหมอเลย สุดท้ายคนที่ปั้นหม้อคือคนขึ้นรูปไง ถ้าคุณไม่แน่นพอ จะขึ้นรูปแบบไหนล่ะ ก็จะได้แจกันที่บิดเบี้ยว

ตอนที่ยังเรียนอยู่ อรมองการศึกษาเป็นอย่างไร

ก็จะไม่เข้าใจว่าเรียนสิ่งนี้ไปทำไม หรือเรียนบางวิชาไปทำไม แต่เพิ่งมาตระหนักรู้ได้ตอนโตเฉยๆ ตอนนั้นก็เรียนตามระบบที่มาเป็นแบบนี้ แต่ช่วงหนูก็มีช่วงที่ปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิตมากๆ อย่างรุ่นหนูไม่รู้ว่าสอบ GED คืออะไร สอบ IGCSE คืออะไร หนูเพิ่งมารู้ตอน ม.5 ถ้ารู้งี้เราน่าจะสอบตั้งแต่ ม.4 คือหนูอยากเรียนจบเร็วมาก เพราะอยากไปทำงาน อยากไปทำอะไรอย่างอื่นแล้ว แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามี GED ตอน ม.5 เลยคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาชีวิต หนูเพิ่งรู้ว่ามีการ Pre Degree ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มันเลิศนะ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเฉพาะกลุ่มมากๆ บางคนเขาก็อยากจะมีเส้นทางที่เป็นแบบนี้ แต่เขาไม่รู้

ช่วงนั้นสายวิทย์-คณิต ได้รับความสำคัญมากๆ ไม่รู้ยุคนี้เป็นอยู่ไหม ไม่เหมือนโรงเรียนอินเตอร์ที่จะมีให้เลือกสายวิชาเยอะมาก ซึ่งอันนี้หนูคิดว่าเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูงมาก เอาง่ายๆ ถ้าอยู่ประเทศไทยสบายคุณต้องรวย คุณก็จะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ มันเลยเกิดความเหลื่อมล้ำเยอะมาก แล้วถ้าคนที่เขาไม่มีตังค์ แต่เขาอยากเรียนสายอื่นๆ เช่นอยากเรียนแฟชั่นแล้วจะทำอย่างไร

ในรุ่นหนูการเรียนสายอาชีพมันเป็นอะไรที่ดู Negative ทั้งที่ความจริงถ้าคุณอยากเรียนแฟชั่นดีไซน์ แล้วทำไมไม่เรียนแฟชั่นดีไซน์ตั้งแต่ ม.ปลาย ซึ่งถ้าสายอาชีพมีนะ แต่พอไปเรียนแล้วจะถูกมองอีกแบบ มันคือความเหลื่อมล้ำแปลกๆ ที่เป็นค่านิยมอะไรบางอย่าง

หมายความว่าการศึกษาไทยให้ความสำคัญกับสายสามัญมากเกินไป?

ใช่ค่ะ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับสายสามัญมาก แต่ความจริงหนูอยากเรียนสายอาชีพมากเลยนะ แอบรู้สึกว่าทำไมเราไม่พัฒนาตรงนี้บ้าง บางคนเขารู้ตัวเร็วว่าอยากเป็นอะไร สมมติรู้ตัวว่าอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ คุณก็แค่เรียนสายแฟชั่นดีไซน์แล้วตรงยาวเลยสิ จะได้เริ่มต้นก่อนคนอื่น พอเป็นสายสามัญเหมือนเรียนวนในอ่าง ทำไมเราจำแนกแค่นี้เองเหรอ วิทย์-คณิต, ศิลป์-ภาษา, ศิลป์-คำนวณ หรือศิลป์-สังคม แค่นี้เองเหรอ

คิดว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในบ้านเรามีช่องว่างมากขนาดไหน

โห ไกล! หนูว่ามันเป็นรูโหว่ที่ถึงแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลภายใน 4 ปี ก็จะแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ จะต้องเป็นหลัก 10 ปี มันคือความยั่งยืนเลยค่ะ ยิ่งถ้าต่างจังหวัด ขนาดที่หนูผ่านการเรียนมาแล้วเป็น 10 ปี ตอนนี้หนูก็ว่าเขาน่าจะยังใช้หลักสูตรเดิมอยู่ดี แล้วไม่ได้มีคนมาใส่ใจขนาดนั้น

แล้วตอนเรียน อรเรียนสายไหน

หนูเข้าโรงเรียนหญิงล้วนด้วยศิลป์-ฝรั่งเศส แล้วยื่นเกรดย้ายไปวิทย์-คณิต เพราะเพื่อนอยู่เยอะ ตอนนั้นก็ถือเป็นความเหลื่อมล้ำเหมือนกัน เพราะวิทย์-คณิต หนูตั้งใจเรียนมากเลยนะ แต่หนูได้เกือบที่โหล่ของห้อง เพราะเขาไปเรียนพิเศษข้างนอกกัน 

สิ่งที่ครูออกข้อสอบเป็นสิ่งที่เขาต้องไปเรียนข้างนอก นี่คือปัญหา ถ้าคุณอยากรู้ข้อสอบคุณก็แค่มาเรียนกับผม แล้วทำไมหนูต้องเรียนพิเศษเพิ่มทั้งที่ความจริงโรงเรียนควรเป็นที่ให้ความรู้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ ที่เรียนพิเศษควรจะแค่มาเสริม 

ปรากฏว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยได้คุณต้องไปเรียนพิเศษ แล้วคนที่ไม่มีตังค์เรียนพิเศษเขาจะเรียนอะไร ในตอนนั้นยูทูบอาจจะไม่บูมเท่าตอนนี้ ตอนนี้มีหลักสูตรออนไลน์เยอะ แล้วตอนนั้นทำให้หนูด้อยค่าตัวเองมากว่าหรือเราไม่เก่งนะ ตอนที่เรียนวิทย์-คณิตเลยรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ตอบโจทย์แล้ว ก็เลยคิดจะไปเรียนอินเตอร์ ก็ลาออกแล้วไปเรียนอินเตอร์

เรียนอินเตอร์แล้วหนูก็ถามครูว่าอะไรจบเร็วที่สุด เขาบอก GED ทำนองเดียวกับ กศน.อเมริกา นิสัยส่วนตัวหนูคืออยากเรียนจบเร็ว ตอนที่เรียนปกติหนูรู้สึกว่าทำไมเราต้องเรียนรู้จากศูนย์ใหม่ในการเรียนมัธยมปลาย แต่การเรียนอินเตอร์ค่าเรียนก็แพงนะคะ ทุกอย่างมีความเหลื่อมล้ำหมด ถ้าคุณอยากจบเร็วคุณต้องมีเงินก้อน

ตอนที่บอกป๊าว่าหนูเรียน GED ป๊าก็ไม่เข้าใจ พอบอกว่า กศน.อเมริกาเขาถึงเข้าใจ แต่จริงๆ กศน.ของไทยก็เรียนจบเร็วได้เหมือนกัน แต่ว่าต้องไปทำหลายอย่าง เช่น กิจกรรมเพื่อสังคม อะไรต่างๆ แต่ GED คุณแค่เรียนตามหลักสูตร ที่เขาสอนก็คือข้อสอบ เด็กไทยหลายคนที่เรียนเก่งแล้วอยากจบเร็วก็มาเรียน GED

จนถึงวันนี้ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งมากี่ครั้งแล้ว?

ถ้าเลือกตั้งใหญ่แค่ครั้งเดียวเองค่ะ คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพราะมีช่องว่างตอนรัฐประหาร แล้วก็ได้มาเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

มองว่าสิทธิเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งสำคัญอย่างไร

ง่ายๆ เลย ถ้ามีพรรคหนึ่งได้ 100 คะแนน อีกพรรคได้ 101 คะแนน แล้วประเทศไทยมี 202 คน แล้วเราคือหนึ่งเสียงที่อยากโหวตให้พรรคที่ได้ 100 แต่ไม่ยอมไปเลือกตั้ง คุณก็จะแพ้ไปเลย ง่ายๆ มันคือหน้าที่ของเรา ข้อเท็จจริงเลย ประชาชนมีหน้าที่อะไรบ้าง หนึ่งเราไปดูแลปกป้องประเทศไม่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าคุณไม่ได้อยู่พรรคไหนสักพรรค เราจะมีสักกี่หน้าที่นอกจากดำรงชีวิตตัวเอง ถ้าคุณเลือกพรรคการเมืองที่เขาสนับสนุนหรือเดินหน้าประเทศไทยต่อได้ คุณก็สบาย ก็แค่นั้น มันคือหน้าที่ของเรา หนึ่งเสียงของเราจึงมีค่ามากๆ

ถ้าคุณเลือกถูก คุณเหมือนถูกหวย สมมติถ้าเลือกผิด อีก 4 ปีค่อยว่ากันใหม่ ชีวิตหนึ่งเราจะได้เลือกตั้งสักกี่ครั้งเอง

ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อได้ก็เพราะประชาชน ไม่ใช่แค่รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง หรือแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือประชาชน พลังของเราจะมีค่าก็ตรงนี้แหละ

เหมือนว่า 4 ปี ประชาชนจะได้แสดงพลังของตัวเองสักครั้งหนึ่ง?

4 ปีเลยนะ ถ้าย้อนกลับไปเรื่องการศึกษา 4 ปี ยังขุดไปถึงรากเหง้าการศึกษาไม่ได้ คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติครู เปลี่ยนทัศนคตินักเรียน ซึ่งหนูมองว่านักเรียนเปลี่ยนได้อยู่ เพราะสุดท้ายเขาจะปรับตามกล่องที่เขาอยู่ เด็กก็เหมือนน้ำที่ปรับตามกล่องที่ผู้ใหญ่ให้มา

กับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ของอร คาดหวังการเปลี่ยนอะไร โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา?

อย่างที่บอกว่าการศึกษาเป็นเรื่องระยะยาว ถึงแม้จะไม่เปลี่ยนในทันที แต่เชื่อว่ามันก็น่าจะขึ้นโครงอะไรบางอย่างที่ควรเปลี่ยนเพื่ออนาคต อย่างหนูมีหลาน หลานหนูเรียนพิเศษเยอะมาก เพราะในโรงเรียนมันได้ระดับหนึ่ง แต่ที่เขาเรียนเป็นพวกเรียนสร้างหุ่นยนต์ เรียนสิ่งที่เขาสนใจ ถ้าโรงเรียนใส่สิ่งเหล่านี้มาเด็กก็จะไม่ต้องไปเรียนเพิ่มอีก ถ้าเด็กมีเงินแล้วไปเรียนเพิ่มก็ไม่แปลก แต่คนที่ไม่มีแล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไปส่งลูกเรียน ทำไมไม่ทำให้โรงเรียนทุกที่เท่ากันหมด ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือเอกชน

ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล อยากให้มีนโยบายด้านการศึกษาอย่างไรบ้าง

โอ้โห ปรับหลักสูตรใหม่ค่ะ ปรับหลักสูตรที่เด็กจะได้ใช้ในชีวิตจริงค่ะ แล้วทุกโรงเรียนต้องเท่าเทียม มีมาตรฐาน แล้วปรับหลักสูตรครุศาสตร์ใหม่ ปรับทั้งระบบเลย ช่วยอัพเดทแพทช์หน่อย ไม่ใช่หลักสูตร 20 ปีที่แล้ว ยังเอามาให้เรียนโดยไม่ปรับปรุง แล้วเด็กจะไม่งงเหรอว่าเรียนมาแบบนี้แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่เหมือนในตำราเลย

ทุกโรงเรียนต้องไม่เหลื่อมล้ำ คืออย่างไร

หนูแอบคิดเรื่องการแต่งกายนะ เช่นถ้าโรงเรียนรัฐบาลในอเมริกาเด็กจะแต่งชุดอะไรก็ได้ แต่ก็จะมีคนบอกว่าถ้ามีคนแต่งชุดแพงๆ ก็จะเหลื่อมล้ำ แต่หนูคิดว่ามันเป็นสิทธิของเขานะ ซึ่งในประเทศไทยบางโรงเรียนก็ให้เด็กไว้ผมอะไรก็ได้แล้ว ซึ่งก็เป็นสิทธิของเด็ก มันดีนะ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจะลดความเหลื่อมล้ำไปเอง มันจะเป็นความเคยชิน เหลื่อมล้ำหรือไม่เหลื่อมล้ำหนูว่าปรับหลักสูตรให้เท่ากันดีกว่า เรื่องเครื่องแต่งกายเป็นเรื่องนอกกายมากๆ รวมถึงทรงผม

มีหลานที่ต้องเรียนพิเศษ เรียนเสริมเยอะๆ อรมองว่าเป็นการสร้างความเครียดหรือแรงกดดันให้เด็กหรือเปล่า

หนูว่าแล้วแต่คน บางคนชอบเรียนรู้ บางคนไม่ชอบ ถ้าเป็นหนูจะรู้สึกว่าทำไมฉันต้องเรียนพิเศษ คนเรียนพิเศษคือคนที่อ่อนหรือเปล่า นี่คือในมุมที่ว่าทำไมเรียนในห้องเรียนแล้วต้องไปเรียนพิเศษ หนูไม่เคยเรียนพิเศษมาตั้งแต่เด็ก แต่ปรากฏว่าตอนนี้ค่านิยมมันเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นเรียนพิเศษมันสนุกกว่าเรียนในโรงเรียนจริง แล้วแบบนี้ทำไมไม่แก้ที่โรงเรียน อะไรแบบนี้มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่แค่ต้องแก้ที่โรงเรียน

สมมติคุณอยากเข้าหมอมากๆ การเรียนพิเศษควรเป็นการช่วยให้เข้าหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง อันนี้เข้าใจได้ เพราะการเรียน ม.ปลาย ไม่ได้สอนจริยธรรมแพทย์ การเรียนพิเศษจึงไม่ได้ผิด ถ้าคุณมีทุนทรัพย์ที่จะไปเรียน แล้วการเรียนพิเศษมันตอบโจทย์กว่าคือมันสนุกกว่า

แบบนี้รัฐบาลใหม่ควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้

กระทรวงศึกษาธิการต้องอัพเดทแพทช์ ไม่ใช่ใครจะมาเป็นครูก็ได้ คือครูพิเศษก็มีความจำเป็นในบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็ต้องกลับมาทำให้เด็กมีทางเลือกมากขึ้น หนูไปดูการรับสมัครครู บางที่รับใครก็ได้มาเป็นครู แต่จริงๆ คนที่จะมาเป็นครูควรมีจิตวิญญาณ ต้องมีหลักสูตรที่บ่มเพาะให้เขามีจิตวิญญาณของความเป็นครู ต้องมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ใช่เงินเดือน 4,000 – 7,000 บาทในต่างจังหวัด ถึงแม้ต่างจังหวัดค่าครองชีพจะถูกกว่าก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายมีเยอะมาก เป็นครูต้องมีจิตวิญญาณจริงๆ ไม่ใช่เอาใครมาเป็นครูก็ได้

มองศักยภาพของเด็กรุ่นใหม่เป็นอย่างไร

เก่งค่ะ เด็กเดี๋ยวนี้เรียนรู้ไว ข้อมูลอยู่ในมือถือ อยู่ในอินเทอร์เน็ต เขาเสิร์ชได้ทันที ทุกอย่างมันตอบโจทย์ให้พวกเขา

ยังมีเรื่องอะไรอีกที่อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อปลดล็อกศักยภาพของเด็กไทย

เด็กไทยเก่งค่ะ หนูรู้สึกว่าคนไทยเก่ง แต่ยังขาดการสนับสนุนจากรัฐบาล ยกตัวอย่างเอนเตอร์เทนเมนท์ ประเทศไทยเราจะไปไกลกว่านี้มากถ้ารัฐบาลสนับสนุน ส่วนการศึกษาก็สำคัญ ทุกอย่างถ้ารัฐบาลสนับสนุนหนูว่าไปได้ไกลทั้งนั้น เอาจริงๆ ประเทศไทยดี เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แล้วมันติดอยู่ตรงไหน ถ้าใส่ใจมากพอ

เชื่อมั่นมากแค่ไหนว่าหลังเลือกตั้ง ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลง

อย่างแรกต้องเชื่อมั่นก่อนว่าทุกอย่างจะโปร่งใสก่อน มันแปลกที่เราต้องมานั่งคอยจับตาดูเรื่องความโปร่งใส หลังจากนั้นถ้ามีพรรคที่ตอบโจทย์ ทุกอย่างมันจะปรับเปลี่ยนทั้งหมดภายใน 4 ปี ไม่ได้หรอก แต่ถ้าเขาทำงานกันจริงๆ มันจะเวิร์กไปเอง จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ แต่อะไรที่ต้องใช้เวลาจริงๆ เช่น 

การศึกษาต้องใช้เวลา ถึงแม้จะปรับหลักสูตรตอนนี้ซึ่งมันจะเห็นผลในอีกเป็น 10 ปี แต่ก็หวังว่าเรามีอนาคตที่จะพัฒนาสู้กับทุกประเทศได้ หลุดจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาได้แล้ว

มีอะไรฝากถึงรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล

ขอบคุณที่เสียสละเวลามาตรงนี้ อนาคตประเทศไทยอยู่ที่คุณ ในการที่จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ได้ ยังมีคนอีกเป็นล้านคนที่คุณต้องรับผิดชอบชีวิตของประชาชน เลยอยากให้มีความรับผิดชอบตรงนี้ ทำให้ได้ตามสิ่งที่พูด ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น

Tags:

เลือกตั้งนักเรียนความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอนาคตรัฐบาลนโยบายอร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติครูสิทธิการศึกษาไทย

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Education trendSocial Issues
    ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เพราะอนาคตของเด็กถูกปูทางด้วย ‘ระบบการศึกษา’: ฝากปัญหาเดิมๆ ถึงรัฐบาลใหม่ จากใจครูบะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล
Social IssuesUnique Teacher
13 May 2023

เพราะอนาคตของเด็กถูกปูทางด้วย ‘ระบบการศึกษา’: ฝากปัญหาเดิมๆ ถึงรัฐบาลใหม่ จากใจครูบะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘นโยบายการศึกษา’ นับเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่หลายภาคส่วนอยากให้รัฐบาลแก้ไขและผลักดัน เพราะระบบการศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาในทุกด้าน
  • ชวนคุยกับ อาจารย์บะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล อาจารย์โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง เกี่ยวกับปัญหาของระบบการศึกษาไทยและความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็นนับจากนี้ ในวาระที่ประเทศไทยกำลังจะได้รัฐบาลใหม่
  • สิ่งที่อยากให้รัฐบาลในอนาคตอันใกล้ผลักดันและแก้ปัญหาโดยด่วน มี 3 เรื่องคือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา, สิทธิเด็ก และสวัสดิภาพของครูอาจารย์ เพราะนี่คือ ‘ปมปัญหา’ สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ‘นโยบายการศึกษา’ นับเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่หลายภาคส่วนอยากให้รัฐบาลแก้ไขและผลักดัน เพราะระบบการศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาในทุกด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน 

ในวาระที่ประเทศไทยกำลังจะได้รัฐบาลใหม่ The Potential ชวน อาจารย์บะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศึกษา และหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียน โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง คุยถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทยและความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็นนับจากนี้

นอกจากจะเป็นอาจารย์มากว่า 8 ปี อาจารย์บะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล ยังเป็นที่รู้จักในฐานะแกนนำสำคัญผู้ผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบทรงผมของนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง โดยยึดหลัก ‘สิทธิเสรีภาพเด็ก’ เป็นสำคัญ 

หากสรุปอย่างรวบรัด อาจารย์บะหมี่มองว่านโยบายการศึกษาในปัจจุบันยังไม่ตอบโจทย์อะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงมีปัญหายิบย่อยมากมายที่ควรได้รับการแก้ไข แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลในอนาคตอันใกล้ผลักดันและแก้ปัญหาโดยด่วน มี 3 เรื่องคือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา, สิทธิเด็ก และสวัสดิภาพของครูอาจารย์ เพราะนี่คือ ‘ปมปัญหา’ สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย

“ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะชอบพูดว่า ‘เธอเป็นเด็ก เธอต้องฟังฉัน เพราะฉันผ่านมาแล้ว’ เรามองว่าผู้ใหญ่ควรจะต้องรับฟังสารที่เขาอยากส่งมาถึงเรา หน้าที่เราคือรับฟังและร่วมกันกับเขาเพื่อพัฒนาชาติและสังคมให้น่าอยู่ขึ้น”

นอกเหนือจากการแก้ปมปัญหาแล้ว ควรปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย และเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กในเรื่องสังคมและการเมือง โดยเปิดกว้างให้นักเรียนตั้งคำถาม ไม่จำกัดความคิด รวมถึงครูและผู้ปกครองควรเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้กับนักเรียน เพราะหากผู้ใหญ่ในวันนี้ปูทางสร้างสังคมไว้ดี ลูกหลานในวันหน้าก็จะสามารถเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต

“เราไม่ได้อยู่กับเขาตลอดไป เพราะวันหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องตายจากลูกไป แต่ลูกจะต้องเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ต่อไปในอนาคต” 

อาจารย์บะหมี่ มองว่านโยบายทางการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?

คิดว่ายังไม่ตอบโจทย์อะไรหลายอย่าง แต่อยากให้เร่งแก้ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่องความเหลื่อมล้ำ สิทธิเด็ก และสวัสดิภาพของครูอาจารย์

ในเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ มองว่าปัญหาตอนนี้คือ มีจำนวนนักเรียนไปเทไปสอบเข้าที่โรงเรียนใหญ่ๆ หรือโรงเรียนดังค่อนข้างมาก เด็กที่สอบไม่ติดโรงเรียนดัง หรือโรงเรียนประจำจังหวัด จึงต้องเรียนในโรงเรียนที่อาจจะมีคุณภาพหรือความพร้อมที่น้อยกว่า กลายเป็นว่าทำให้เกิดปัญหาถัดมาคือ เกิดการแข่งขันสูงในการสอบเข้าโรงเรียน 

ทีนี้ถ้ามีเด็กที่ไม่สามารถแข่งขันกับคนอื่นไหว แต่ผู้ปกครองอยากลูกให้เข้าโรงเรียนจะทำอย่างไร นั่นก็นำมาสู่ปัญหาถัดมาคือ การฝากเด็กเข้าโรงเรียน มีวัฒนธรรมเงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินใต้โต๊ะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการคอรัปชั่นอย่างหนึ่ง

จะดีกว่าไหมหากภาครัฐสร้างนโยบายที่ทำให้มาตรฐานการศึกษาของทุกโรงเรียนในไทยมีคุณภาพเท่ากัน ทำให้ทุกโรงเรียนมีความพร้อม เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันและไม่เหลื่อมล้ำกัน และทำให้คำว่า ‘เรียนที่ไหนก็ได้’ หรือ ‘เรียนที่ไหนก็เหมือนๆ กัน’ เป็นจริงให้ได้

ส่วนในเรื่อง ‘สิทธิเด็ก’ เราก็มองว่าควรจะมีนโยบายที่ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพเด็ก 

นี่เป็นเรื่องที่เราผลักดันมาโดยตลอด เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในร่างกายของตัวเอง อย่าง Hot Issue ที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้คือเรื่องทรงผมและการแต่งกาย ถ้าทุกคนมองเป็นโจทย์เดียวกัน ตัวตั้งต้นเดียวกันว่าด้วยเรื่อง ‘สิทธิเด็ก’ เราก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ไม่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของเด็กนักเรียน 

ถ้าย้อนกลับไปดูรัฐธรรมนูญ หมวด 1 มาตรา 4 มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในร่างกายของตนเอง ตลอดไปจนถึงหมวด 3 ที่เป็นหมวดของประชาชน และตั้งแต่หมวด 25 เป็นต้นไป บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการประกอบอาหาร ประกอบอาชีพ ในการเลือกศาสนา หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นถ้าโจทย์ของครู โรงเรียนทั้งประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเป็นโจทย์เดียวกันคือ การไม่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของเด็ก เราก็ต้องตั้งกฎที่ไม่แย้งกับรัฐธรรมนูญและไม่แย้งกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยลงนามร่วมเป็นสมาชิก

ถ้าทำได้เราจะไม่มีปัญหาตรวจผม ไม่ต้องตั้งกฎกติกากับเด็กว่าเราต้องไว้ผมทรงนี้ เราปล่อยให้เด็กได้เลือกของเขาเอง แล้วมันจะไม่มีปัญหาเรื่องครูมากร้อนผมเด็กอีก ซึ่งมันจะลดภาระของกระทรวงศึกษา ของโรงเรียนและของครูไปอีกเยอะเลย

เหมือนกับที่โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองได้ผ่อนคลายกฎระเบียบเรื่องทรงผม?

เราเป็นโรงเรียนแรกๆ ที่เสรีด้านระเบียบทรงผม ซึ่งในตอนที่เข้ามาเป็นครูใหม่ๆ ยังไม่สามารถมีปากมีเสียงได้มาก เราเองเป็นคนที่ถือกรรไกรตัดผมเด็กด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แม้ว่าในใจจะรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่ทำอยู่ ทำให้ระเบียบผม กลายเป็นสิ่งที่คิดตลอดเลยว่า ‘อย่าให้ถึงเวลาของเราละกัน เราจะเปลี่ยนให้ได้’ 

จนตอนปี 2563 ที่ ผอ.วัชราบูรณ์ บุญชู เป็นผู้อำนวยการอยู่ ก็ได้มีการเสนอกฎระเบียบมาที่ทำให้โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองเกิดความเปลี่ยนแปลงจนถึงตอนนี้ เราเสนอว่าให้เป็นการทดลองดู ว่าหากเราให้อิสระกับเด็กในเรื่องนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ผลสรุปคือเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

เพราะถ้าย้อนสมัยเราเป็นนักเรียนมัธยม เราเป็นคนดื้อคนหนึ่ง ที่เห็นการลงโทษจากการผิดกฎระเบียบแล้วรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ พอเราโตขึ้นมาก็เหมือนเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง เลยคิดว่าการที่ครูไปบังคับเด็กก็เหมือนเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของเด็กอย่างหนึ่ง เพราะจริงๆ เด็กเขามีสิทธิในร่างกายของตัวเอง การที่เราไปบังคับไปตัดผม กร้อนผมเด็กแบบนี้ก็ทำให้เขาเสียความมั่นใจ ไม่เป็นตัวเอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีการตรวจระเบียบผมอยู่ กลายเป็นว่าแต่ก่อนทุกวันจันทร์ต้นเดือนและกลางเดือน นักเรียนหนีแถวเคารพธงชาติกันหมด เข้าสาย เพราะไม่อยากโดนตรวจผม หรือเด็กมีเรียนวิชาสังคมกับเราก็จะโดดเรียน เพราะกลัวเราตรวจผมและจับเขาตัดผม ผลคือเด็กหลายคนก็ติด 0 ติด ร ติด มส. มันมีผลต่อการเรียนของเขาที่ต้องมาตามแก้ แต่พอเราเปลี่ยนกฎระเบียบให้ผ่อนคลายมากขึ้น นักเรียนก็จะไม่ต้องมานั่งเครียด นั่งพะวง และนักเรียนก็ติด 0 ติด ร ติด มส. น้อยลงเพราะเข้าเรียนครบมากขึ้น

ซึ่งโรงเรียนเราตอนแรกก็อ้างอิงกับกฎของกระทรวงศึกษาคือ นักเรียนชายต้องไม่ไว้ผมยาวเกินตีนผม มันก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาตัดทรงนักเรียน ขาวสามด้านแบบแต่ก่อน ก็ให้เขาไว้ไม่เกินตีนผมได้ทั้ง 3 ด้าน ส่วนด้านหน้าก็ยาวตามความเหมาะสม ส่วนนักเรียนหญิงก็ไว้ผมยาวได้ แต่ต้องมัดให้เรียบร้อยและติดโบว์โรงเรียน แต่ที่เรายังไม่อนุญาตคือ เรื่องการทำสีผมและการไถผมเป็นลวดลาย 

ที่สำคัญคือ เราอนุญาตให้นักเรียนสามารถแต่งตัวตามเพศวิถีของตนเอง เพราะนี่ก็เป็นการยอมรับในตัวตนและสิ่งที่เขาเป็น เราเลยดีใจมากที่หลังจากนั้นมีประกาศจากกระทรวงให้มีเสรีเรื่องทรงผมมากขึ้น และเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถให้เสรีทรงผมอย่างแท้จริงได้

เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์อยากให้แก้คือ ‘สวัสดิภาพและค่าตอบแทนของครูอาจารย์’ ที่ผ่านมามีปัญหาอย่างไรบ้าง?

คิดว่าเป็นปัญหาเรื้อรังเหมือนกัน หากรัฐไม่แก้ไขเรื่องนี้เราก็จะไม่สามารถพัฒนาระบบการศึกษาให้ไปไกลได้ เพราะเมื่อค่าตอบแทนต่ำ คนก็จะไม่อยากเป็นครู และเกิดปัญหาบุคลากรขาดแคลน รวมถึงครูก็จะขาดแรงจูงใจในการทำงาน

ซึ่งไม่ใช่แค่ครูราชการในระบบที่เจอปัญหานี้ แม้แต่ครูนอกระบบ ครูอัตราจ้าง ที่เขาไม่ได้สวัสดิการเหมือนข้าราชการ นี่คือปัญหาสำคัญ เพราะคนอื่นๆ อาจบอกว่า ครูเป็นข้าราชการก็ได้พรีวิลเลจทั้งเรื่องค่ารักษาพยาบาล หรือหลังเกษียณก็ได้เงินบำนาญ แต่สิ่งที่ทุกคนมองข้ามไปคือเงินเดือนของครูต่ำมากสวนทางกับภาระหน้าที่ของครู ทั้งเรื่องงานสอน งานเอกสาร การอยู่เวร ที่ครูก็ไม่ได้เงินตอบแทนเพิ่มเหมือนอาชีพอื่นที่มี OT 

นอกเหนือไปจากนั้นคือรายได้ยังสวนทางกับค่าครองชีพในปัจจุบันมากๆ โดยเฉพาะอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะถามครูคนไหนก็อยากให้เพิ่มเงินค่าตอบแทนทั้งนั้น อย่างน้อยก็อยากให้เพิ่มเทียบเท่ากับภาระงานที่มี 

หากภาครัฐสามารถเพิ่มฐานเงินเดือนครูได้ ก็จะจูงใจให้คนอยากเรียนครูมากขึ้น การแข่งขันสอบเข้าครูเพิ่มขึ้น และจะมีครูเก่งๆ ถูกผลิตออกมามากขึ้น สิ่งนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องครูขาดแคลน และช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของคุณภาพโรงเรียน เพราะเด็กจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกันไม่ว่าจะเรียนที่ไหนก็ตาม

แต่จะดีกว่านี้หากเราสามารถทำให้ทุกอาชีพ ไม่ใช่แค่เพียงอาชีพครูเท่านั้น มีเงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่อยู่ในระดับพอๆ กัน รวมถึงการเพิ่มเงินเดือน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในสังคมดีขึ้น ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

ในมุมของคนเป็นครู มองว่าเด็กเจน Z มีความตื่นตัวทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน?

เรียกได้ว่าเขาตื่นตัวตลอดเวลาได้เลย พอมี Hot Issue หรือประเด็นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในสังคม ด้วยความที่เราเป็นครูสังคม ก็จะเกิดการตั้งคำถามในชั้นเรียน เช่น ข้อสอบ 4 ข้อ วิชาสาระร่วมสมัยของเราที่เป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่งในโซเชียล อันนั้นก็เกิดมาจากสถานการณ์ในสังคมที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อสอบ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เด็กตั้งคำถาม และเป็นสิ่งที่ชี้วัดว่าเขาตื่นตัวหรือไม่ 

เช่น วันเข้าพรรษา วันพระใหญ่ของบ้านเรา ร้านสะดวกซื้อจะติดป้ายว่า ‘งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสุรา’ แต่เด็กที่นับถือศาสนาคริสต์เขาก็ตั้งคำถามว่า ทำไมในวันนั้นคนที่นับถือศาสนาอื่นถึงไม่สามารถซื้อเบียร์มาฉลองวันเกิดได้ เลยมองว่าตอนนี้เราทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐศาสนา ไม่เป็น Secular State (รัฐโลกวิสัย โดยรัฐจะแสดงความเป็นกลางในประเด็นศาสนา) กลายเป็นว่าเหมือนเราเอาความเชื่อ หรือข้อบังคับทางศาสนามาผูกพันกับวิถีชีวิตประจำวันและกฎหมาย

หรือแม้แต่เรื่องการลงถนน ประท้วงหรือเรียกร้อง เด็กกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นนักเรียนเลว เป็นเด็กชังชาติ เราก็นำมาตั้งคำถามว่า คำว่า ‘รักชาติ’ ของเขาคืออะไร เด็กก็เขียนออกมาหลากหลายเลย จริงๆ แล้วเราอยากให้ผู้ใหญ่ปรับมุมมองใหม่ว่า สิ่งที่เด็กเหล่านั้นเขากำลังส่งเสียงหรือเปล่งเสียงอยู่ มันคือวิธีการแสดงออกว่าเขารักชาติ แต่มันเป็นรูปแบบนั้น เพราะในมุมมองเขาเห็นว่า ณ ปัจจุบันนี้ชาติที่เขากำลังอยู่ยังดีไม่พอ 

เด็กคือคนของอนาคต ต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ไปอีกหนึ่งชั่วชีวิตของเขา เขามองว่าถ้าประเทศที่เขาอยู่ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตก็จะยังไม่ดี เขาจึงต้องออกมาส่งเสียงและเปล่งเสียง เพื่อให้อนาคตที่ดีขึ้นกว่านี้ 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกของเด็กว่าเขารักชาติ และอยากให้ชาติที่เขาอยู่ดีขึ้น เรามองว่านี่คือการตื่นตัวของเด็กยุคปัจจุบัน ที่อยากมีส่วนร่วมกับการเมือง

ผู้ใหญ่บางคนอาจพูดว่า “การเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ในฐานะครูเราขอค้านเลย เพราะเราคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน การเมืองอยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน และตั้งแต่เกิดจนตายด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับเด็กได้ยังไง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน

เราชื่นชมในความกล้าแสดงออกของเด็กยุคนี้ที่เขากล้าคิด กล้าพูด กล้าโต้แย้ง และการแสดงจุดยืนทางความคิด เพราะถ้าเปรียบเทียบกับยุคเราเมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็คงไม่สามารถเทียบได้กับความกล้าคิดกล้าแสดงจุดยืนของเด็กเจน Z ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเรามองว่าเป็นสิ่งที่ดี

และไม่ได้มองว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะผู้ใหญ่หลายคนอาจจะชอบพูดว่า “เธอเป็นเด็ก เธอต้องฟังฉัน เพราะฉันผ่านมาแล้ว” เรามองว่าผู้ใหญ่ควรจะต้องรับฟังสารที่เขาอยากส่งมาถึงเรา หน้าที่เราคือรับฟังและร่วมกันกับเขาเพื่อพัฒนาชาติและสังคมให้น่าอยู่ขึ้น 

เพราะวันหนึ่งเราใช้ชีวิตถึงจุดหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่เยาวชนคือคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ไปอีกชั่วชีวิตหนึ่ง เราเลยชื่นชมที่เขากล้าแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องต้องอยู่บนฐานของเหตุและผลกับข้อเท็จจริง

อยากฝากอะไรถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองในการสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยให้แก่เด็กบ้างไหม?

จริงๆ แล้วประชาธิปไตยเริ่มต้นได้ตั้งแต่ในครอบครัว ยกตัวอย่างเหตุการณ์ เช่น  ครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิก 4 คน กำลังตัดสินใจเมนูข้าวเย็นว่าจะกินอะไรดี แล้วใครจะเป็นคนตัดสินใจเลือกร้านอาหารล่ะ? ใครใหญ่ที่สุดในบ้าน?

ซึ่งเราก็เองก็เคยใช้สถานการณ์นี้มาทำเป็นกิจกรรมในห้องเรียนเหมือนกัน เด็กก็จะตอบว่า แม่เป็นคนเลือก บางบ้านก็บอกว่า พ่อกับหนูเป็นคนเลือกค่ะ 

น้อยมากที่พ่อแม่ลูกจะมาออกเสียงร่วมกันว่าแต่ละคนอยากจะกินอะไร ทำไมคนนี้ถึงไม่อยากกินอันนี้ ลองให้พ่อฟังเสียงลูก ลูกฟังเสียงพ่อ พ่อฟังเสียงแม่ ทุกคนรับฟังเสียงซึ่งกันและกัน นี่คือการเริ่มใช้ประชาธิปไตยในครอบครัวแล้ว

แต่ด้วย Generation Gap (ช่องว่างระหว่างวัย) ที่ต่างกัน พ่อแม่กับลูกจึงมีทัศนคติที่ต่างกันเพราะถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน พ่อแม่เกิดและโตเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ทำให้ทัศนคติเป็นแบบนั้น 

แต่เด็กเขาเกิดมาปีนี้ รุ่นนี้ โลกมันหมุนไปอย่างรวดเร็ว ความคิดความอ่านของเขาและกระแสโลกาภิวัตน์มันก้าวไปไกล ทำให้พ่อแม่อาจจะคิดไม่เหมือนลูก ลูกก็คิดไม่เหมือนพ่อแม่ 

สิ่งสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวไปต่อได้ นั่นคือการที่พ่อแม่ลูกพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ ต้องเข้าใจความหลากหลายทางความคิดของกันและกัน เพราะสุดท้ายพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูกด้วยความรักความอบอุ่นก็จริง แต่เราเลี้ยงเขาได้แค่ตัว ความคิดและจิตใจเราบังคับเขาไม่ได้ เราไม่ได้อยู่กับเขาตลอดไป เพราะวันหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องตายจากลูกไป แต่ลูกจะต้องเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ต่อไปในอนาคต 

การที่เราจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขต้องเข้าใจกันและกัน พ่อแม่ควรจะเป็นคนที่เข้าใจลูกที่สุด ครอบครัวควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกๆ เพื่อที่บ้านจะได้เป็นบ้านจริงๆ

โรงเรียนเองก็เช่นกัน ครูควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้แก่นักเรียน ไม่อย่างนั้นเขาจะมีคำพูดว่า ‘ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง’ ทำไม เราก็ต้องทำให้ครูเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็กจริงๆ คอยรับฟังความคิดเห็น ถ้อยทีถ้อยอาศัย ดูแลนักเรียนด้วยความรัก ความเข้าใจ และสุดท้ายอยากให้โรงเรียนเป็นอีกพื้นที่ปลอดภัยของนักเรียน

นอกจากบทบาทของครอบครัวและโรงเรียนแล้ว อยากฝากอะไรถึงรัฐบาลในอนาคตบ้าง?


อยากจะบอกว่า ‘โอกาส’ เป็นสิ่งที่มีค่า จงจดจำทุก ‘นโยบาย’ ที่ได้ ‘สัญญา’ กับประชาชนในวันนี้ไว้ แล้วถ้าวันไหนที่ ‘ผิดสัญญา’ ไม่ว่าจะอีก 4 ปี ข้างหน้า หรืออีกกี่ปีไหนๆ ‘คุณจะไม่ได้รับโอกาสนั้นจากประชาชนอีกต่อไป’

Tags:

ประชาธิปไตยการเลือกตั้งนักเรียนอนาคตรัฐบาล

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

พ่อครับ..รักผมได้ไหม?: แม้จะไม่ใช่สายเลือด แต่ความรักความผูกพันนั้นถักทอจากความเอาใจใส่
Movie
12 May 2023

พ่อครับ..รักผมได้ไหม?: แม้จะไม่ใช่สายเลือด แต่ความรักความผูกพันนั้นถักทอจากความเอาใจใส่

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • พ่อครับ..รักผมได้ไหม? (Like Father Like Son) เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวดรามาของ Hirokazu Kore-Eda ผู้กำกับชื่อดังที่คว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2013  
  • เนื้อหาหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการชวนให้ผู้ชมคิดไปพร้อมๆ กับตัวละครว่าหากลูกที่เลี้ยงดูมาอย่างดีแท้จริงแล้วคือลูกของคนอื่นที่ถูกสลับตัวตั้งแต่แรกเกิด เราจะยังรักลูกที่เลี้ยงมาได้เหมือนเดิมไหม จริงหรือไม่ที่ว่า…’เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ’

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน]

สมัยมัธยมต้น ผมมักชวนเพื่อนแถวบ้านไปตีแบตที่คอร์ททุกวันเสาร์ จำได้ว่าตอนนั้นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับผมที่สุดคือลูกชายของเพื่อนสนิทลุง

นอกจากความสนุกสนานและมิตรภาพ สิ่งที่ผมสงสัยแต่ไม่กล้าถามเพื่อนสักครั้งคือทำไมเขาถึงหน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่ตัวเองสักนิด กระทั่งตอนมัธยมปลาย ผมได้รับข่าวว่าเขาถูกโรงเรียนไล่ออกโทษฐานที่แอบเล่นไพ่ช่วงพักกลางวัน  

“…ผมเคยเตือนมันตั้งแต่ตอนจะเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงแล้ว ก็เชื้อมันมาอย่างนั้น จะทำเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่แปลก” ลุงกล่าวกับป้าในห้องรับแขก แม้ผมจะบังเอิญผ่านมาได้ยินสั้นๆ แต่นั่นก็พอจะตอบความสงสัยของผมในย่อหน้าก่อน

ทว่าความสงสัยของผมหลังจากนั้นยังไม่สิ้นสุด อาจเพราะประโยคที่ได้ยินวันนั้นมีการพูดถึง ‘เชื้อ’ ซึ่งคล้ายคลึงกับฉากสั้นๆ ในภาพยนตร์ พ่อครับ..รักผมได้ไหม? (Like Father Like Son) ที่ ‘เรียวตะ’ ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมลูกชายตัวน้อยถึงดูไม่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังเหมือนกับเขา กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ทราบความจริงจากโรงพยาบาลว่าตนถูกสลับตัวลูกชายเมื่อห้าปีที่แล้ว และประโยคที่เขาโพล่งออกมากับภรรยาหลังทราบผลตรวจ DNA คือคำว่า “เพราะอย่างนี้นี่เอง”

ก่อนจะทราบว่า ‘เคตะ’ ลูกที่เลี้ยงมาห้าปีไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง เรียวตะเป็นภาพตัวอย่างของชนชั้นกลางที่ขยันทำงานทั้งวันทั้งคืนจนมีฐานะร่ำรวย แต่กลับน่าเสียดายที่เงินทองนั้นต้องแลกมากับเวลาส่วนตัวที่หายไป โดยเฉพาะเวลากับลูกที่เหลือเพียงแค่หลังอาหารค่ำ

อย่างไรก็ตาม เรียวตะตั้งความหวังไว้สูงว่าเคตะจะมีนิสัยที่มุ่งมั่นอยากเอาชนะเหมือนเขา ทว่าเคตะกลับดูตรงกันข้ามและทำอะไรก็ไม่ค่อยสำเร็จ 

ชีวิตของเรียวตะกับครอบครัวดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  กระทั่งโรงพยาบาลได้แจ้งเขากับภรรยาว่า ‘เคตะ’ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แถมยังเป็นลูกของคนอื่นที่ถูกนางพยาบาลขี้อิจฉาจับสลับตัวกันเมื่อห้าปีก่อน พร้อมกับเชิญสองครอบครัวให้พาลูกมาเจอกัน ซึ่งครอบครัวฝั่งนั้นมีฐานะยากจนแถมยังดูไร้มารยาท ทำให้เรียวตะเริ่มมีความคิดว่าที่เคตะมีนิสัยไม่เหมือนเขาเป็นเพราะเคตะมีเลือดไม่เอาไหนของครอบครัวนั้นอยู่ในตัว

เท่านั้นไม่พอ เรียวตะยังนำเรื่องการพบเจอของสองครอบครัวไปพูดคุยกับพ่อ ซึ่งคำพูดของพ่อก็ทำให้ผมไม่แปลกใจสักนิดที่เรียวตะจะมีอคติเช่นนี้

“ฟังนะมันอยู่ในสายเลือด ทั้งคนทั้งม้านั่นแหละ สายเลือดสำคัญที่สุด ลูกบ้านโน้นจะหน้าตาเหมือนแกมากขึ้นทุกวัน แล้วเคตะก็จะหน้าเหมือนพ่อของเด็กคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน รีบๆ แลกตัวคืนมาซะ แล้วไม่ต้องไปเจอครอบครัวนั้นอีก” พ่อของเรียวตะกล่าว

ผมรู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรียวตะและพ่อของเขา เพราะผมเชื่อว่าแม้สายเลือดจะมีผลต่อรูปร่างหน้าตา แต่นิสัยใจคอของเด็กมักจะมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เช่นเดียยวกับเคตะที่เป็นเด็กเชื่อฟังและอยู่ในกรอบเหมือนเรียวตะ ส่วน ‘เรียวเซ’ ลูกแท้ๆ ของเรียวตะกลับดูทะลึ่งตึงตังเหมือนสองสามีภรรยาฝั่งนั้น 

ขณะเดียวกันผมยังชื่นชอบความคิดของแม่เลี้ยงที่พยายามหาจังหวะเข้าไปคุยกับเรียวตะแบบสองต่อสองว่าเธอรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของสามี

“ถึงพ่อเขาจะพูดยังไงก็ตาม แต่คนเราพออยู่ด้วยกันไป ถึงจะไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ก็จะค่อยๆ รักกัน หน้าตาก็จะค่อยๆ เหมือนกันไปเองด้วย เหมือนคู่สามีภรรยาไงล่ะ พ่อแม่กับลูกก็คงเหมือนกัน ตอนที่เลี้ยงลูกสองคนมา แม่ก็คิดแบบนี้แหละ” 

นอกจากคำพูดของแม่เลี้ยง ประโยคที่ผมชอบที่สุดในเรื่องคือตอนที่แม่ยายของเรียวตะกล่าวถึงความเป็นพ่อเป็นแม่เอาไว้อย่างน่าสนใจ

“สมัยสงครามมีเด็กกำพร้าที่ต้องเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงเยอะเลย เขาถึงว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูน่ะสำคัญกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไงล่ะ” 

อย่างไรก็ตาม เรียวตะยังคงยึดมั่นกับความคิดที่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจขอเปลี่ยนลูกแท้ๆ คืน เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถรักเคตะที่ไม่ใช่ลูกในไส้ได้เหมือนที่ผ่านมาหรือเปล่า ทำเอาภรรยาของเรียวตะใจสลายเพราะในใจของเธอเคตะก็คือลูกของเธออยู่ดี 

“เหตุผลเดียวที่คุณยังกังวลนักหนาว่าลูกจะเหมือนคุณหรือไม่เหมือน ก็เพราะคุณไม่รู้สึกผูกพันกับเขาเลยต่างหาก”

เช่นเดียวกันผมมองว่าหากไม่นับเรื่องสายเลือด การที่เรียวตะจะเลือกเปลี่ยนลูกง่ายๆ นั้นเป็นเพราะตัวของเขามัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลามาผูกพันกับเคตะมากนัก และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพ่อแท้ๆ ของเคตะบอกเรียวตะว่าในช่วงเวลาหกเดือนมานี้เขายังอยู่กับเคตะมากกว่าที่เรียวตะอยู่กับลูกด้วยซ้ำ โดยผมขอยกตัวอย่างบทสนทนาสั้นๆ ของคุณพ่อทั้งสอง

“งานบางอย่างผมให้คนอื่นทำแทนไม่ได้” เรียวตะ บอก

“แต่นายก็ให้คนอื่นมาเป็นพ่อของลูกแทนนายไม่ได้เหมือนกัน” ยูได แย้ง

ส่วนฉากที่ตราตรึงที่สุดสำหรับแฟนภาพยนตร์หลายคน อาจเป็นฉากหลังจากที่เรียวตะแลกลูกคืน แล้วมานั่งหลั่งน้ำตาที่เห็นเคตะแอบถ่ายรูปเขาขณะนั่งทำงานหรือนอนแบบหมดสภาพเอาไว้ แต่สำหรับผมกลับเป็นฉากก่อนแลกตัวลูกที่เคตะทำดอกกุหลาบวันพ่อมาสองดอก โดยเคตะอธิบายว่าดอกหนึ่งจะให้เรียวตะ ส่วนอีกดอกจะเอาไปให้ยูได เพราะพ่อฝั่งนั้นช่วยเขาซ่อมหุ่นยนต์ตัวโปรด

ผมเข้าใจความรู้สึกของเคตะในฉากนี้มากๆ เพราะผมเองก็เคยมีความรู้สึกผูกพันกับพี่เลี้ยงมากกว่าแม่ที่ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลามาเล่นกับผม 

ซึ่งน่าจะเป็นธรรมชาติของเด็กที่ย่อมรู้สึกผูกพันและรักคนที่เลี้ยงดูเอาใจใส่ตัวเอง ต่างกับผู้ใหญ่อย่างเรียวตะที่ถูกค่านิยมของสังคมหล่อหลอมความคิดให้ไขว้เขวไปจากความรู้สึกที่แท้จริง

ดังนั้น แม้จะไม่ได้เป็นพ่อคน แต่ผมเชื่อว่าต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน หากเราทุ่มเทเวลา ความรัก และความเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอและมากพอ ในที่สุดมันจะเกิดสายใยบางอย่างที่ผูกพันและยากจะตัดขาดเกี่ยวโยงไว้ระหว่างสองชีวิตที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการมีสายเลือดเดียวกันแต่ไม่มีความผูกพันเป็นไหนๆ 

Tags:

ภาพยนตร์ลูกการเลี้ยงดูLike Father Like Son

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel