Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: December 2019

CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข
Creative learningCharacter building
18 December 2019

CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

เรื่อง The Potential

  • Clown Panic เกม Casual บนมือถือที่ผู้เล่นต้องควบคุมการเดินของตัวตลกให้เดินฝ่าเส้นทางอุปสรรคไปจนถึงเส้นชัยภายในเวลาที่กำหนด ไม่ต่างกับการเดินทางของนวัตกรหรือนักสร้างเกมนี้ ที่ต้องเติบโตขึ้นทุกวันตามไปด้วยเพื่อสร้างสรรค์เกมใหม่ๆ ที่มีความแปลกแตกต่าง ท้าทายและมอบอรรถรสให้ผู้เล่นได้สนุกสนานอยู่ในโลกใบนั้น 
  • Clown Panic ไม่ใช่ผลงานชิ้นสุดท้ายของน้ำและเต เพราะกระบวนการสร้างที่ได้มาจากค่ายต่อกล้าฯ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นได้ปลุกจิตวิญญาณของนวัตกรในตัวของทั้งคู่ขึ้นแล้ว
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

Clown Panic เกม Casual บนมือถือที่ผู้เล่นต้องควบคุมการเดินของตัวตลกให้เดินฝ่าเส้นทางอุปสรรคไปจนถึงเส้นชัยภายในเวลาที่กำหนด เกิดขึ้นมาจากแนวคิดเช่นนั้นของ น้ำ-ณภัทร นุเจิ้น ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ภาควิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ เต-เตชิต คำผกา ชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งคู่ปรารถนาให้คอเกมได้สัมผัสกับเกมที่แปลกใหม่ ไม่จำเจ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นเกมจากฝีมือของพวกเขา

แม้ว่าเบื้องหลังของการสร้างความสุขให้ทุกคน จะหมายถึงความเครียดของคนทำเกมเองก็ตาม

(ซ้าย) น้ำ-ณภัทร นุเจิ้น, (ขวา) เต-เตชิต คำผกา

ก้าวแรก…จะสร้างเกมได้ ต้องสร้างทีมให้เป็น

คนทุกคนต่างมีศักยภาพในตัวเอง แน่นอนว่าศักยภาพหรือความถนัดนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในแต่ละคน ในแง่หนึ่ง การพยายามทำให้เด็กทุกคนทำได้เหมือนๆ กันภายใต้กรอบกรอบเดียวก็อาจไปบดบังความสามารถในกรอบอื่นๆ ที่เด็กคนนั้นมีอยู่ไปอย่างน่าเสียดาย

“คิดว่ามาเรียนวิทย์คอมพ์จะได้ทำสิ่งที่ชอบ หนูชอบดีไซน์ก็นึกว่าจะได้เรียนแต่ดีไซน์ (ยิ้ม) ปรากฏว่าต้องเรียนโค้ดด้วย รู้สึกท้อ รู้สึกว่ามันยากจัง ไอ้สิ่งที่ฉันอยากเรียนมันอยู่ตรงไหน ที่หนักเลยคือการทำโปรเจ็คต์ส่ง NSC (National Software Contest) ตั้งแต่ ม.4 แล้วอาจารย์ให้จับกลุ่ม แต่ทั้งกลุ่มหนูมีแต่กราฟิก แล้วคนเขียนโค้ดล่ะ? (หัวเราะ) หนูเลยต้องผันตัวไปเขียนโค้ดแบบมั่วๆ หัดเขียนจากอินเทอร์เน็ต แล้วผลงานก็ตกรอบตั้งแต่รอบแข่งที่มหาวิทยาลัยบูรพา (แข่งขัน NSC ระดับภาค) เลย” น้ำเริ่มต้นบทสนทนาถึงความผิดพลาดของการตั้งทีมกับเพื่อนๆ ที่ลืมมองไปว่าต้องใช้ความสามารถอะไรบ้างมาทำงาน

การรวมทีมที่สมาชิกแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาผลงาน น้ำเล็งเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว เมื่อขึ้น ม.5 จึงชวนเตที่ถนัดเขียนโค้ด และแบงค์มาทำงานด้วยกัน

“ตอน ม.5 ได้ฟอร์มทีมใหม่ ชวนเตที่เขียนโค้ดเก่ง ทำงานไว กับแบงค์มาร่วมทีม คิดทำเกมที่เนื้อหาไม่ต้องเยอะ เล่นง่ายๆ ดูตัวอย่างจากในโทรศัพท์ แต่เราไม่เคยทำในโทรศัพท์มาก่อนเลยเริ่มต้นจากทำเกมในคอมพ์” น้ำเล่าถึงการรวมทีมพัฒนาผลงานเมื่อครั้งอยู่ ม.5

ศักยภาพที่แตกต่างทว่าส่งเสริมซึ่งกันและกันทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาเกม FrenzyBunny กระต่ายซ่าป่าสะเทือน เกมวิ่งรูปแบบ 3D จนได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทโปรแกรมเพื่อความบันเทิง NSC 2017 ก่อนที่น้ำและเตจะหยุดพักเพื่อมุการเรียน ส่วนแบงค์นำผลงานต่อยอดสู่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 5

กระทั่งมุเรียนจนได้ที่เรียนต่อสมความตั้งใจแล้ว ช่วง ม.6 ทั้งสองจึงหวนกลับคืนวงการอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พวกเขามาด้วยความตั้งใจใหม่…

ก้าวถัดมา…ทำเกมได้ ไม่ได้แปลว่าทำเกมเป็น

เพราะคงน่าเบื่อแย่ หากเกมใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาไร้ซึ่งความแตกต่างจากเกมเดิมๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด คิดได้เช่นนั้น น้ำและเตจึงอยากจะสร้างเกมใหม่ที่แตกต่างไปจากของเดิม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่คอเกม กระนั้น แนวคิดนี้ก็ยังตั้งอยู่บนฐานความชอบของผู้สร้างเป็นทุนเดิม และอยู่ในรูปแบบที่ร่วมสมัย

“เราดูจากผลงานปีที่แล้วว่าคนที่ได้รางวัลเขาไม่ได้ทำเกมในคอมพ์เลย มีแต่เกมในมือถือและในช่องทางอื่นๆ จึงคิดว่าเราจะหยุดอยู่ที่คอมพ์ไม่ได้แล้ว แต่อุปกรณ์ซัพพอร์ตเราก็มีแค่โทรศัพท์มือถือ จึงเลือกทำเกมในมือถือ เริ่มจากหา reference ในแอพสโตร์ เพลย์สโตร์ว่าเกมที่ดังๆ เขามีไอเดียยังไง แปลกตรงไหน ตั้งแต่งานที่แล้วพวกหนูพยายามทำให้แตกต่างเรื่องการเดิน เอาเกมง่ายๆ มาเปลี่ยนใหม่ เอาหลายๆ เกมมาประยุกต์ ส่วนมากเกมจะวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ถ้าเราให้มันเดินแบบอื่นน่าจะสนุกขึ้น” น้ำเล่าถึงวิธีคิดของทีม

“ง่ายๆ คือ อยากสร้างเกมให้มันมีความแตกต่าง มีวิธีการเล่นที่แปลกออกไป” เตเสริมอย่างกระตือรือร้น

ทั้งสองพัฒนา Clown Panic ขึ้นจากแนวคิดนั้น จนได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทโปรแกรมเพื่อความบันเทิง NSC 2018 อีกครั้ง ก่อนต่อยอดสู่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 และเป็นค่ายต่อกล้าฯ นี้เองที่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าแม้เกมที่พวกเขาพัฒนาขึ้นจะโชว์เหนือด้านเทคนิคแค่ไหน แต่ถ้าคนมาเล่นเกมของพวกเขาไม่ได้หรือเล่นไม่เป็น ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาทำมาก็ยากที่จะทำคนอื่นเห็นคุณค่าได้

“โจทย์ที่ทีมโค้ชให้คือทำยังไงให้เกมเล่นง่ายขึ้น เพราะตอนที่เราทำส่ง NSC เรายัดทุกอย่างเพื่อให้มีส่งครบ (ยิ้ม) แต่ละด่านมันก็จะดูเยอะๆ ยากๆ ไม่ได้คำนึงถึงอย่างอื่นเลย ทีมโค้ชเลยแนะนำให้ปรับวิธีการเล่นโดยไล่เลเวลความยากให้เหมาะสม จาก 1 2 3 4 5 ไม่ใช่มีแต่ยากๆๆๆๆ” น้ำเล่าพร้อมอมยิ้ม

“เลยต้องออกแบบด่านใหม่ ทำใหม่ แก้เยอะเลย รวมแล้ว 20 กว่ารายการ” เตเสริม

การทำงานของน้ำกับเตใช้วิธีดูเดดไลน์แล้ววางไทม์ไลน์ของรายละเอียดงานที่ต้องแก้ให้เหมาะสมกับเวลา ซึ่งทำให้ทั้งสองได้ฝึกทักษะเรื่องการแบ่งเวลาระหว่างการเรียนที่มหาวิทยาลัย-ชีวิตส่วนตัว-การทำผลงานไปในตัว

และแน่นอน ทำเกมออกมาแล้วก็ต้องให้ผู้ใช้ได้ลองเล่น ซึ่งผู้ใช้ที่ทีมนำ Clown Panic ไปให้ทดสอบก็ไม่ใช่คนอื่นไกล หากแต่คือเพื่อนๆ พี่ๆ ร่วมค่ายต่อกล้าฯ นั่นเอง

“ให้คนในค่ายลองเล่น แล้วฟังฟีดแบ็คว่าตรงไหนยาก เราก็จดไว้แล้วไปแก้ เอาอันนั้นออก ใส่อันนี้เพิ่ม เพราะถ้าเราทำเองเล่นเอง ยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว ต้องให้คนที่ไม่เคยเล่นลองมาเล่นดู” น้ำเล่าถึงกระบวนการคิดของทีม

“และเราต้องถามผู้ใช้ให้ได้มากที่สุดว่าเขาเล่นแล้วรู้สึกยังไง เราไม่ควรตัดสินเอง ซึ่งส่วนมากเขาก็บอกว่ายาก อยากให้มันง่ายขึ้น” เตสำทับ

ก้าวต่อไป…คุณค่าที่ได้ผ่านเกม

หลังจากที่ทุ่มพลังอยู่นาน ในที่สุด Clown Panic ที่ได้ก้าวออกจากค่ายต่อกล้าฯ ไปสู่สนามในโลกของความจริง ด้วยการถูกอัพโหลดขึ้นบนเพลย์สโตร์ ซึ่งสำหรับน้ำกับเต นี่คือการบรรลุถึงเป้าหมายในการทำงานครั้งนี้แล้ว และมากกว่านั้นคือการที่ทั้งสองได้เปิดโลกของการเรียนรู้ เพื่อพบว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากมาย

“ตอนแรกรู้สึกว่าผลงานเราไม่เข้ากับต่อกล้าฯ เลย แม้ต่อกล้าฯ จะบอกว่าสามารถเอาผลงานทุกประเภทมาต่อยอดเพื่อให้ขายได้จริง แต่ทีมอื่นโครงการเขาจะดูเป็นรูปธรรมมากกว่า เป็นผลงานที่ทำเพื่อชุมชน เราเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้าไป คือมีแต่บันเทิงๆๆๆ” เตเล่าความรู้สึกเสียความมั่นใจของทีม หลังจากได้เข้าร่วมโครงการต่อกล้าฯ

“ท้อจากคำถามตอนทำกิจกรรมหา benefit ของผลงาน ว่าผลงานเรามีประโยชน์ต่อใคร มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร มันทำให้เราตั้งคำถามว่าที่เราทำมามันมีประโยชน์หรือเปล่า แต่พี่เขาก็บอกว่าที่เราทำโปรเจ็คต์ขึ้นมาอย่างน้อยมันต้องมีประโยชน์บ้างแหละ ไม่งั้นเราจะทำมันขึ้นมาทำไม แต่คิดประโยชน์ในวงกว้างเพื่อสังคมไม่ออก นอกจากความบันเทิง” น้ำเผยความรู้สึก

นั่นคือความรู้สึกของทั้งสองเมื่อได้เข้าสู่รั้วโครงการต่อกล้าฯ แม้ด้านหนึ่งจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในผลงานของตัวเอง แต่ไม่นานทั้งสองก็ได้เรียนรู้ถึงความจริงที่ว่าในโลกนี้ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง และเกมที่สนุกก็สามารถสร้างความสุขให้ผู้เล่นได้ นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว

“ตอนมาค่ายต่อกล้าฯ เหมือนเราได้มาเปิดโลก เพราะเราไม่ได้เห็นแค่สายซอฟต์แวร์ เราเห็นผลงานอื่น เราเคยเห็นแต่ผลงานด้านคอมพ์ พอมาเห็นผลงานด้านวิทย์ก็คิดว่า เขาคิดได้ไงนะ มันว้าว! มันเหมือนเปิดโลกใหม่ให้เรา เอาสิ่งที่เรียนในห้องยากๆ มาสร้างประโยชน์ได้” น้ำกล่าว

และด้วยความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้พวกเขามุพัฒนาผลงานอย่างหนัก เพื่อหวังให้ผลงานของตัวเองสามารถสร้างประโยชน์ด้านความบันเทิงให้แก่คอเกมได้อย่างสูงสุด

“ได้ฝึกเรื่องความพยายาม พยายามทำให้งานเสร็จ พอขึ้นมหา’ลัยแล้วภาระเยอะ เราต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น พยายามกว่าคนอื่น แต่ก็ผ่านมาได้ ไม่ทิ้งขว้างงาน ทำจนเสร็จ” น้ำยิ้มท้ายประโยค

นั่นคือการเติบโตภายในที่น้ำและเตได้ประสบ และแน่นอนว่า Clown Panic จะไม่ใช่ผลงานชิ้นสุดท้ายของทั้งคู่ เพราะในตอนนี้จิตวิญญาณของนวัตกรในตัวของทั้งคู่ถูกปลุกขึ้นแล้ว

“ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตลอด การหาความรู้ใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งที่นวัตกรต้องให้ความสำคัญ เรื่องครีเอทีฟ ไอเดียก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่เว้นแม้แต่ในการเขียนโค้ด มันก็สามารถครีเอทีฟได้ เพราะการเขียนโค้ดมีทั้งการแก้ปัญหากับการสร้างแพลตฟอร์มให้ดูดี” เตกล่าวถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในครั้งนี้

“ก็คือต้องไม่หยุดหาความรู้ใส่ตัว เพราะเราทำงานด้านเทคโนโลยี ด้านซอฟต์แวร์ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้แค่ช่วงเวลาเดียว เพราะของพวกนี้มันอัพเดตตลอดเวลา ถ้าเราไม่ขยันศึกษา ผลงานเราก็ไม่สามารถโดดเด่นตามยุคสมัยได้” น้ำจบบทสนทนาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข

เป็นความสุขของคนทำเกม ที่ได้เห็นผู้เล่นมีความสุขจากเกมที่ตัวเองได้ทำ แม้เส้นทางที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยความเครียดและความท้อมากมายแค่ไหน แต่เมื่อถึงสุดท้ายปลายทาง ผลงานที่ดีย่อมมอบความสุขย้อนกลับมาให้แก่ผู้สร้างเสมอ

Clown Panic เกม Casual บนมือถือที่ผู้เล่นต้องควบคุมการเดินของตัวตลกให้เดินฝ่าเส้นทางอุปสรรคไปจนถึงเส้นชัยภายในเวลาที่กำหนด ดาวน์โหลดได้แล้วผ่าน Google Play Store: http://bit.ly/2mjd7B8

Tags:

นวัตกรเกมคาแรกเตอร์(character building)AI21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้
Everyone can be an Educator
17 December 2019

จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • “เพราะเด็กที่โตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่มีพื้นที่ให้เขาได้ออกมาทำกิจกรรม ทักษะการเข้าสังคมของเขาก็จะน้อยลง ส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้เขาโตขึ้นมาไม่กล้าแลกเปลี่ยน ไม่กล้าคุยกับคน” คุยกับ โจ-จุฤทธิ์ กังวานภูมิ สถาปนิกชุมชนในย่านที่ชักชวนคนในพี่น้องในย่านมาเปลี่ยนแปลงและพัฒนาย่านตลาดน้อย โดยใช้วิธีคิดที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกคนและการสำรวจความต้องการของพี่น้องในชุมชนเป็นแกนหลัก 
  • การพัฒนาย่านครั้งนี้ทำให้โจได้กลับมาทำความรู้จักกับ ‘บ้าน’ ของตัวเองอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นนอกจากชุมชนที่เปลี่ยนไป ‘ความรู้สึกข้างในที่มีต่อพื้นที่’ ของโจก็เปลี่ยนไปด้วย
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

หากพูดถึงย่านเก่าที่ยังคงความแข็งแรงและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเขตกรุงเทพฯ คงมีไม่กี่ชื่อที่ผุดเข้ามาในหัว หนึ่งในนั้นคือ ตลาดน้อย-เจริญกรุง ย่านที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี เพราะนอกจากพื้นที่ตรงนี้จะเป็นบ้านเรือนที่เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ในชุมชนตลาดน้อยยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าจีนสไตล์ฮกเกี้ยนอย่างศาลเจ้าโจวซือกง หรือโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิกอย่างโบสถ์กาลหว่าร์ ด้วยความสมบูรณ์ของวิถีชีวิตและบรรยากาศของชาวตลาดน้อย จึงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศจำนวนไม่น้อย เลือกเข้ามาใช้เวลาเดินเที่ยวชมย่าน เสพสุนทรียะตามตรอกซอกซอยในชุมชน 

The Potential ชวน โจ-จุฤทธิ์ กังวานภูมิ สถาปนิกชุมชนในย่าน ที่ชักชวนคนในย่านมาช่วยกันเปลี่ยนแปลงและพัฒนาย่านตลาดน้อย ในนามกลุ่ม ‘ปั้นเมือง’ พูดคุยถึงการเดินทางของเขาในการกลับมาทำความรู้จักกับ ‘บ้าน’ ของตัวเองอีกครั้ง รวมไปถึงพูดคุยถึงแนวทางการพัฒนาชุมชนที่ใช้กระบวนการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างพี่น้องในชุมชน เน้นสำรวจความคิดเห็นและให้คนในชุมชนลงมือทำเพื่อ ‘บ้าน’ ของตัวเอง

ท้ายที่สุดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครั้งนี้ ตลาดน้อยมีระเบียบขึ้น มีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้วิ่งเล่น มีพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นรูปธรรมให้พี่น้องในชุมชนได้ใช้ร่วมกัน แต่ในแง่ของความรู้สึก กระบวนการดังกล่าวที่ดึงให้คนในชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมได้กลายเป็นเครื่องมือฝังวิธีคิดให้ชาวชุมชน กล้าพูด กล้าแสดงออก และเกิดเป็นสำนึกรักพื้นที่ของตัวเองได้ในที่สุด

ใจความสำคัญหนึ่งที่โจใช้ปักธงการเปลี่ยนแปลงย่านคือ “ย่านจะพัฒนาและกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ คนในต้องอยู่สบายก่อน” 

 โจ-จุฤทธิ์ กังวานภูมิ 

จุดเริ่มต้นในการพัฒนาย่านตลาดน้อยคืออะไร คุณมองเห็นอะไร

เราไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย อาจเป็นเพราะเราเกิดที่นี่ เราอยู่ตรงนี้ทุกวัน มันก็มีความผูกพันกับพื้นที่อยู่บ้าง ย้อนไปเราจบสถาปนิกมา เราทำงานอยู่ในสายงาน commercial อยู่ประมาณเกือบปี เราออกแบบบ้าน ดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ ไม่เคยจับงานชุมชนเลย แต่พอเราทำตรงนั้นไปได้สักพัก เรารู้สึกว่ามันมีอีกหลายๆ เรื่องที่เรายังไม่เคยลอง ตอนนั้นเราก็มีคำถามกับงานสายธุรกิจที่เราทำเยอะเหมือนกัน เราถามตัวเองว่า ‘งานออกแบบที่เราจับอยู่ จะทำมันอย่างไรให้มีประโยชน์มากที่สุด’ บวกกับตอนนั้นเรากำลังจะเรียนต่อพอดี เราจึงเลือกเรียนต่อในสายชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่สถาบันอาศรมศิลป์ แต่เราก็ยังไม่ได้คิดที่จะทำงานชุมชนนะ เพราะสนใจสิ่งแวดล้อมมากกว่า (อาจจะเป็นเทรนด์ช่วงนั้นเลยทำให้เราอิน) 

พอเรียนไปเรื่อยๆ ในปีสุดท้าย เราจำเป็นต้องทำงานควบคู่ไปด้วย โจทย์ของเราคือการทำ project base เพื่อพัฒนาสิ่งต่างๆ ต้องทดลองและลงพื้นที่ จึงเกิดการจับมือกันระหว่างชุมชนคนรักตลาดน้อย สสส. และ สถาบันอาศรมศิลป์ เพื่อทำโปรเจ็คต์พัฒนาชุมชนขึ้นมา

ความรู้สึกช่วงแรกที่เริ่มทำงานชุมชน ถึงแม้เราจะเกิดที่นี่ โตที่นี่ แต่เราแทบจะไม่รู้จักบ้านเราเลย ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด แม้เราจะบอกว่าเราเป็นคนตลาดน้อย แต่ชีวิตเราผูกพันกับพื้นที่เล็กๆ เพียงแค่ละแวกบ้านเท่านั้น เรารู้จักแค่คนในซอย คุ้นหน้าแค่ที่เดินผ่านตอนเราเดินไปเรียน ไปทำงาน แต่เราไม่เคยรู้อะไรมากไปกว่านั้นเลย เราไม่เคยรู้จักตลาดน้อยในมุมอื่นๆ 

ดังนั้นการที่เรามาทำงานชุมชน อย่างแรกคือการทำความรู้จักชุมชนของตัวเองก่อน เราต้องรู้จักคนอื่น เราต้องสำรวจว่าคนอื่นมีนิยามต่อชุมชนว่าอย่างไร ถึงแม้เราจะนั่งคุยอยู่ในสิ่งเดียวกัน มีใจอยากพัฒนาเหมือนกัน แต่เราเข้าใจคำนั้นอย่างเดียวกันไหม เราจึงต้องเริ่มต้นจากการ ‘ฟัง’ ฟังทุกคนเยอะๆ ฟังทุกเสียง

หัวใจหลักของการทำงานพัฒนาชุมชนสำหรับเรา คือ การทำให้คนในชุมชนเองตั้งคำถามว่าตัวเองรู้สึกกับย่านตัวเองอย่างไร หรือเขามี vision ต่อชุมชนว่าอย่างไร จึงทำให้งานในปีแรกที่เราเริ่มทำ เราหมดเวลาไปกับการคุยกับคนเยอะมาก เราคุยทุกระดับ ทั้งชาวบ้าน ผู้นำชุมชนในเรื่องศาสนา ผู้นำเรื่องเศรษฐกิจ เราสะสม data ไว้เยอะ เราได้เป็นกรอบกว้างๆ เพื่อสรุปว่าคนตลาดน้อยอยากเห็นอะไร เขาอยากจะคงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ใช่ไหม ทั้งวัฒนธรรม คุณค่าประเพณี เศรษฐกิจปากท้อง และชุมชนต้องดูเป็นมิตร 

เมื่อเราได้ vision มาแล้ว สิ่งต่อไปเราจึงต้องมองหาพื้นที่เพื่อทำ action ซึ่งตลาดน้อยเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยความที่ตลาดน้อยซับซ้อนน้อยกว่าย่านเยาวราช ตลาดน้อยเป็นพื้นที่เย็น ไม่ได้มีประเด็นร้อน หรือมี pain point อะไรที่ทำให้คนต้องรีบลุกฮือขึ้นมา ผู้คนก็ชิลๆ นี่จึงเป็นที่มาทำให้เราตัดสินใจลุยกับพื้นที่ตรงนี้ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 7-8 ปี ที่ค่อยๆ ทำมา

ตลาดน้อยเมื่อ 7-8 ปีก่อนเป็นอย่างไร

อย่างที่บอกเรากำลังพยายามชวนให้ทุกคนข้างในชุมชนตอบตัวเองว่า เขารู้จักตัวเองแค่ไหน รู้จักย่านตัวเองแค่ไหน  ซึ่งในตอนนั้นคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้ประวัติศาสตร์บ้านตัวเองหรอก แต่เราก็พยายามทำให้คนมาคุยกัน จับประเด็นคัดแยกเป็นตระกร้าไว้ บางคนเขาสนใจเรื่องการทำย่านให้อยู่ในเชิงท่องเที่ยว บางคนสนใจอยากให้ย่านกลายเป็นแหล่งธุรกิจ บางคนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม บางคนชิลเขาสนใจแค่จะทำอย่างไรให้อยู่สบายและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็พอ

โดยทั้งหมดทั้งมวลทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ‘ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่บ้าน’ ซึ่งแต่ก่อนสปิริตของย่านและคนในชุมชนต้องยอมรับว่าอาจจะไม่เข้มแข็งมาก ทำให้หลายๆ คน เลือกที่จะออกไปอยู่ที่อื่น พอคนย้ายออกความเป็นเอกลักษณ์ต่างๆ ก็หายตาม เรื่องราวต่างๆ ของตลาดน้อยมันย่อมอยู่ในคนตลาดน้อยใช่ไหม ยิ่งคนที่มีเชื้อสายจีนด้วย เขายิ่งแคร์เรื่องการเป็นครอบครัว เขาอยากอยู่กับลูกหลานอยู่แล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรให้พื้นที่นี้มันส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้เรียนรู้ ได้ใช้งานจริงๆ 

พอเราเคาะแล้วว่าเราจะลงมือพัฒนาที่ตลาดน้อย อยากให้พูดถึง ‘กระบวนการ’ ทำงานว่าคุณทำงานอย่างไร

โปรเจ็คต์นี้เราไม่ได้ทำคนเดียว มีทีมที่อยู่กันมา เป็นคนที่สนใจและมีความเชื่อเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของคนเหมือนกัน เราเริ่มจากทำความรู้จักคนนั่นแหละ สำหรับตัวเราเองเรารู้จักบ้านตัวเองเพิ่มขึ้นเพราะโปรเจ็คต์นี้ เวลาทำงานเราก็คุยไปเรื่อยเลยครับ เราเดินไปตามซอย ใครชื่ออะไร บ้านอยู่หลังไหน ขายอะไร ทำเหมือนเพื่อนบ้านคุยกัน 

ขยายความถึงขั้นตอนการสำรวจหน่อยว่าพบอะไรบ้าง แล้ววิธีนี้มันดีอย่างไร

มันทำให้ได้แลกเปลี่ยน ในขณะที่เราถามเขา เขาก็ถามเรา มันเป็นกระบวนการถามตอบไปเอง การเดินสำรวจทีละตรอกซอกซอยนอกจากจะได้รู้จักคนแล้ว ยังช่วยหาขอบว่าย่านตลาดน้อยกว้างถึงไหน นำไปสู่การทำแผนที่ infograhpic พอทำแผนที่ออกมาพบว่าซอยนี้ใกล้กับซอยนั้น ซอยนี้ทะลุไปซอยนี้ได้ งั้นเรามาช่วยกันทำความรู้จักพื้นที่กันไหม เอกลักษณ์เราคืออะไร ตั้งคำถามไปเรื่อยๆ เพื่อทำการพัฒนา เช่น พบว่าย่านเราไม่ค่อยมีพื้นที่สาธารณะส่วนกลางให้หยุดพักเลย หันไปทางไหนมันเป็นบ้านเรือนไปหมด ซึ่งคนในชุมชนก็เห็นด้วย งั้นนี่อาจจะเป็นโจทย์ต่อไปของเรา 

อีกอย่างหนึ่งการเข้าไปทำความรู้จักกับคน มันจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจนทลายกำแพงระหว่างกัน เวลาพี่น้องอยากจะทำอะไร เขาก็จะมาบอก เช่น อยากจะจัดระเบียบซอยนี้ให้มันเรียบร้อย อยากขุดดิน อยากซ่อมตรงนู้นตรงนี้ เราก็ค่อยๆ ทำกับเขาด้วย หรือบางทีมีคนเดินหลงเข้ามาในย่าน เขาก็ให้เราช่วยทำแผนที่เพื่อบอกเส้นทางในตลาดน้อย 

จะเห็นว่ากลุ่มเราไม่ได้มีธงตั้งแต่แรกว่าโปรเจ็คต์นี้จะต้องทำอะไร เราไม่ได้บังคับตัวเองว่ามาเปลี่ยนย่านแล้วต้องสร้างตึกสวยๆ เราแค่เห็นว่าตลาดน้อยมันน่าอยู่และมีความเฉพาะตัว แต่มันซบเซาลงเพราะปัจจุบันคนย้ายออกจากย่านของตัวเองเยอะ มันน่าเสียดายนะ

เพราะเมื่อคนย้าย มรดกทางวัฒธรรมต่างๆ ที่มันผูกพันกับคนมันก็ย้ายออกไปตาม ฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันคือการพัฒนาแบบ bottom up คือ การพัฒนาเริ่มจากคนก่อน

ซึ่งเรามองว่าถ้าอยากให้พื้นที่มันฟื้นฟูได้จริง มันต้องไปด้วยทั้งคน วัฒนธรรม ชุมชน เป็น eco sysmtem มันอยู่กันอย่างเป็นนิเวศ อันไหนอันหนึ่งหายไป อาจจะแย่ก็ได้ ลองคิดเล่นๆ ในย่านไชน่าทาวน์ที่ทุกอย่างมัน modernize (ทันสมัย) จนไม่เหลือที่ให้คนทำมาหากิน หรือไม่เหลือพื้นที่ให้เด็กได้วิ่งเล่นอย่างอิสระ มันจะเกิดอะไรขึ้น?

แล้วหน้าตาปลายทางของการพัฒนาย่านครั้งนี้คืออะไร ต้องการทำให้ตลาดน้อยคือชุมชนท่องเที่ยวหรือเปล่า?

เราไม่ได้มี end product ที่ชัดเจนว่าตลาดน้อยจะเป็นแบบไหน ไม่อยากปิดกั้น คนข้างนอกมักมองว่าตลาดน้อยคือชุมชนท่องเที่ยว แต่ถ้าถามเรา เราว่าไม่ใช่ ตลาดน้อยคือชุมชนค้าขายและเป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย การท่องเที่ยวเป็นส่วนที่เสริมเข้ามา ถามว่าดีไหม มันเติมเต็มใน passive income ทำให้ร้านค้าในชุมชนมีลูกค้าเยอะขึ้น แต่ถ้าเราโฟกัสไปที่เรื่องเดียวมันอาจจะไม่ใช่คำตอบ

เรามองไปที่ความกินอยู่สบาย สภาพชุมชนสะอาด ถนนหนทางดี ทำให้คนเฒ่าคนแก่ออกมาเดินได้โดยที่ไม่โดนรถเฉี่ยว เด็กในชุมชนออกมาวิ่งเล่นได้ หัวใจคือคนในต้องอยู่สบายก่อน ค่อยไปนึกถึงคนข้างนอก

ซอยบางซอยที่เคยไม่เรียบร้อย เราก็ไปเก็บกวาด ผลพลอยได้คือมีคนนอกขี่จักรยานมาเที่ยว มาแวะกินก๋วยเตี๋ยวในชุมชนแค่นี้ก็โอเคแล้ว ประเด็นสำคัญคือคนในชุมชนต้องอยู่อย่างมีคุณภาพและปลอดภัยก่อน ถ้าเรื่องของการท่องเที่ยวจะตามมามันก็โอเค เพราะตลาดน้อยก็มี eco system ที่มีความเป็นตัวของตัวเองที่ชัดอยู่แล้ว  

ระหว่างทางที่ทำโปรเจ็คต์นี้เจอเรื่องว้าวๆ ใหม่ๆ อะไรไหม

เรื่องว้าวเยอะมาก หนึ่งเลยคือ คนในชุมชน ไม่เคยคุยกันเลย (หัวเราะ) ไม่เคยคุยกันถึงเรื่องส่วนรวม แต่พอเขาได้คุยกันมากขึ้น มันก็ทำให้เขาโตขึ้น โตในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าแก่ขึ้นนะ เขาเติบโตขึ้นในมุมมองของชาวบ้านธรรมดาที่ทำงานเสร็จแล้วก็ปิดบ้านนอน ค้าขายเสร็จก็นอน เสาร์อาทิตย์ออกไปเที่ยวข้างนอก ไม่เคยเห็นบ้านของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาเห็นบทบาทของตัวเองและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นที่จะลุกขึ้นมาพูด แค่นี้สำหรับเราก็ว้าวแล้วนะ (ยิ้ม)

ถามแบบซื่อๆ ทำไมต้องมาตลาดน้อย

เราจะตอบในฐานะที่เราโตมาที่นี่ เรียนแถวนี้ เราว่าเวลาในตลาดน้อยมันเดินช้า มันมีความชิลลอยอยู่ในอากาศ ชิลมาก ในขณะที่บริเวณรอบๆ ทุกอย่างเปลี่ยนแล้ว แต่ในตลาดน้อยยังไม่ค่อยเปลี่ยน โอเคมันสะอาดขึ้นจาก 20 ปีที่แล้ว แต่ตลาดน้อยมันให้ภาพลางๆ ของกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาหนึ่งในบริเวณของความเป็นชุมชนได้เลย ไม่ใช่ว่าแถวเยาวราชหรือในเขตอื่นๆ ไม่เป็นนะ แต่ถ้าเราไหลเข้าไปซอย ไหลเข้าไปในชุมชน จะพบว่าคนตลาดน้อยไม่ค่อยเปลี่ยนวิถีของตัวเองเสียเท่าไหร่ เช่น ค้าขายบ๊ะจ่างแต่ยืนคุยกับลูกค้านานเป็นชั่วโมง ที่นี่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับใครที่อยากจะสโลว์ดาวน์ชีวิต

มีวิธีการดีลกับคนในชุมชน ที่เขาไม่มั่นใจและไม่เชื่อในการเปลี่ยนย่านครั้งนี้อย่างไร

เราไม่ได้ซีเรียสว่าเราจะเปลี่ยนใคร เราโฟกัสว่าใครอยากทำอะไรมากกว่า แล้วเราก็แค่ลงมือทำ พอทำแล้วคนได้ประโยชน์ คนก็จะเรียนรู้ไปกับมัน ซึ่งเราเชื่อว่าเรื่องทุกเรื่องมันเป็นไปได้ แต่ว่าด้วยเงื่อนไขอะไร นานแค่ไหน หรือว่าต้องใช้อะไรบ้างมันเป็นอีกเรื่อง เราต้องตั้งไว้ว่าเราทำได้ ถ้ายังไม่หมดแรงไปก่อน เราก็จะทำอยู่ ส่วนคนที่เขาเปลี่ยนไม่ได้ เราก็จะได้มุมมองหลายอย่างจากเขา เช่น เรื่องที่เราจะทำ มันอาจไม่ได้จำเป็นกับเขาจริงๆ เขาไม่ได้รู้สึกสำคัญ หรืออินกับเรื่องนั้นจริงๆ

ตัวอย่างเช่น มีคนมาชวนให้พวกเขาทำเป็นชุมชนท่องเที่ยว เขาอาจจะไม่ซื้อ เพราะที่นี่คือย่านชุมชนที่อยู่อาศัย แต่ถ้าเราบอกว่าการท่องเที่ยวมันเป็นผลพลอยได้นะ เป็นแค่ซีนหนึ่งนะ แต่เป้าหมายจริงๆ คือเรากำลังจะทำถิ่นที่อยู่อาศัยในซอยของเราให้เรียบร้อยขึ้นนะ สะอาด ปลอดภัยขึ้นนะ มีคนมาดูแลมากขึ้น เจ้าของบ้านที่ดูแลหน้าบ้านตัวเอง เจ้าหน้าที่เขตมาดูแล หรือสุดท้ายถ้ามีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้นก็จะมีคนเข้ามาดูแล มีไฟฟ้า มีแสงสว่างเพิ่มขึ้น มี CCTV ถึงแม้จะไม่ได้โดยตรงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มันมีสิ่งที่ได้ตามมาในเรื่องของคุณภาพชีวิต ที่อาจจะไม่ได้เห็นเดี๋ยวนั้น 

เราไม่ได้บีบบังคับให้ทุกคนเปลี่ยน หรือให้ต้องทำ เราอาศัยการทำให้ดูก่อน ตรงไหนทำได้เราก็ค่อยๆ ทำไป เช่น ซอยโรงเกือกที่มีสตรีทอาร์ต เราก็ไปวาดให้ก่อน เราจัดระเบียบให้มันสวยงาม เรียบร้อย พอชาวชุมชนเห็น เขาก็มาช่วยกันคิด ระดมไอเดียว่ารูปที่วาดมันน่าจะเล่าเรื่องของชุมชนด้วยนะ เขาก็ดำเนินการได้เอง หรือถ้าบุคคลภายนอกเห็นแล้วอยากมาวาด เขาก็สามารถมาคุยกับชุมชนเองโดยตรงไม่ต้องผ่านเราแล้ว เพราะสุดท้ายสีที่วาดมันก็จะจางหายไป แต่จะทำอย่างไรให้พื้นที่นั้นมีไดนามิค และเป็นพื้นที่ที่คนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากกว่า

ปัจจุบันพื้นที่ชุมชนตลาดน้อยเป็นพื้นที่ที่จัดงานนิทรรศกาล Bangkok Design Week มา 2 ปีแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้มีนิตยสารฉบับหนึ่งอยากมาทดลองทำไฟอีก ซึ่งคนแถวๆ นี้ก็ได้ประโยชน์ตามไป พอจะตั้งที่ทางค้าขายได้บ้าง เปลี่ยนแปลงในสเกลที่น่ารัก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้มันทำให้ eco system มันไปได้ด้วยตัวเอง สุดท้าย product ของชุมชนตลาดน้อยไปหวังพึ่งคนข้างนอก ยังไงก็เจ๊ง

โจทย์คือจะทำอย่างไรให้คนข้างในได้ใช้ได้ทุกคน ร้านข้าวบางร้านที่เปิดขึ้น เราไม่ได้เปิดให้คนข้างนอกเป็นอันดับแรก แต่เราเปิดให้คนข้างในออกมากิน คนข้างในออกมาใช้พื้นที่ของตัวเองมากกว่า ถ้า service หรือ product ที่มันตอบคนข้างในได้ ทำให้คนในย่านรู้จักทรัพยากรหรือของที่อยู่ในย่านเขาเองน่าจะดีกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราพยายามทำ เช่น การแนะนำสถานที่สำคัญ การจัดอีเวนท์ เพราะอยากให้เด็กรุ่นต่อไปได้รู้จักว่า อะไรอยู่ตรงไหน ใครขายอะไร และชุมชนมีเรื่องราวที่ไปที่มาอย่างไร 

แล้วคุณมีวิธีการทำงานกับคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่อยากเปลี่ยนในชุมชนอย่างไร

เราไม่ทำงานคนเดียวอยู่แล้ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการ เราเหมือนเป็น facilitator ที่อยู่ขนาบเขากับชุมชน ถ้าเขาขาดอะไรเราค่อยเติม แต่เราจะทดลองทำไปด้วยกัน เพราะโปรเจ็คต์นี้ไม่ใช่ของเราคนเดียว เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของโปรเจ็คต์คนเดียว พอทำเสร็จ มันก็จบ ชุมชนไม่ได้อะไร 

อะไรที่ทำให้ตลาดน้อยพัฒนาได้ เป็นเพราะตลาดน้อยมีแม่น้ำ มีวัฒนธรรม เป็นเรื่องของทรัพยากรอย่างเดียวหรือเปล่า แล้วชุมชนอื่นๆ จะพัฒนาได้ไหม

การที่คนเราจะทำอะไรสักอย่าง เชื่อว่ามันต้องเริ่มจากการที่เราต้องได้เสียอะไรกับมัน แต่ความได้เสียนี้ ถ้าตัดผลประโยชน์ออกไป มันคือความผูกพันของย่าน การตั้งคำถามกับตัวเองว่าเขาอยากจะอยู่ในย่านนี้ต่อไปไหม แล้วจะอยากอยู่ต่อไปแบบไหน สำหรับเรา เราก็เกิดที่นี่ โตที่นี่ รักที่นี่ และเชื่อว่าลึกๆ ทุกคนก็น่าจะรักบ้านตัวเองเหมือนกันไม่ว่าคุณจะอยู่ย่านไหน เขตไหน ด้วยความที่ตลาดน้อยเป็นชุมชนเก่า เป็นย่านที่มีซอยย่อยๆ นี่คือข้อดีที่ทำให้ชาวบ้านได้เจอกัน ได้รู้จักกันโดยปริยาย ซึ่งบางพื้นที่อาจจะไม่เอื้อให้มีพื้นที่ให้คนได้หยุดคุยกันมากเหมือนตลาดน้อย

ประโยชน์ของการมีพื้นที่ทางสังคม มันก่อให้คนเกิดปฏิสัมพันธ์กัน เมื่อคนรู้จักกันแล้ว มันทำให้คนเห็นปัญหา เห็นประเด็นเดียวกัน และมันจะสร้างเป็นพลังกำลังขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ต่างจากที่สถาปนิกหลายๆ คนชอบพูดว่า ‘ชีวิตของมนุษย์จำเป็นต้องมี space นะ’ ก็เพราะนี่มันคือคำตอบ การมีพื้นที่มัน shape คุณภาพชีวิตของเราได้ เราจะไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า การมีชีวิตที่มีพื้นที่อย่างไม่มีอะไรมาขวางหรือการมีพื้นที่ให้เจอกันมันดียังไง แต่การปล่อยให้ชีวิตเจอกับภาวะกลับบ้าน ขับรถ เปิดประตูเข้าบ้าน ขับรถ เปิดประตูเข้าบ้าน เข้าบ้าน วนไปอยู่แบบนี้ เราจะไม่ได้ยินเสียงใครที่อยู่ข้างนอก 

เด็กที่โตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ โตมากับชุมชนที่ไม่มีพื้นที่ให้เขาออกมาได้ทำกิจกรรม ทักษะการเข้าสังคมของเขาก็จะน้อยลง ส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้เขาโตขึ้นมาไม่กล้าแลกเปลี่ยน ไม่กล้าคุยกับคน

เพื่อตอบคำถามว่าการเปลี่ยนย่านมันยากจริงไหม มันก็ยากจริงๆ ยิ่งเริ่มต้นยิ่งยากที่สุด

ตัวเราเองตอนเริ่มทำโปรเจ็คต์นี้ เราก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยคุยกับใครเหมือนกัน แต่เราต้องทำงานไง มันก็ค่อยๆ shape ตัวเราได้ในที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ควรเริ่มต้นแบบนี้นะ ชีวิตเราควรเติบโตขึ้นมาพร้อมบรรยากาศรอบๆ มีพื้นที่ที่ทำให้เราพร้อมเรียนรู้ ทำให้เราได้พบปะ เจอกับผู้อื่น และผลสุดท้ายอะไรเหล่านี้ก็จะก่อให้เกิดเป็นความรู้สึกร่วมต่อชุมชน-สังคมไปเอง    

โมเดลแบบตลาดน้อยจะช่วยปลุกให้คน หรือปลุกย่านอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาจัดการพื้นที่ชุมชนของตัวเองได้แค่ไหน

เราว่าทุกคนมีสำนึกอยู่ในตัว ไม่ว่าคุณจะอยู่ในชุมชนแบบไหน 

ส่วนมากกระบวนการฟื้นฟูย่านหรือการทำพื้นที่ชุมชนมันจะเริ่มต้นด้วยการมีประเด็นมาก่อน เพียงแค่ว่าประเด็นนั้นมันเร่งด่วนไหม ถ้ามันเป็นประเด็นเย็นมันก็อาจจะค่อยเป็นค่อยไป รอมีคนฉุกคิด มีคนตั้งคำถาม แล้วก็เริ่ม โดยอาจจะเริ่มจากแค่บ้านหลังหนึ่งลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ บางอย่าง แล้วบ้านข้างๆ เห็นจึงทำตามแค่นี้ก็ได้ 

สำคัญคือ เรามองเห็นภาพเดียวกันไหม หรือ เรามีประเด็นร่วมกันไหม สำนึกรักบ้านมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่รอบๆ บ้านคุณล่ะ คุณรักมันไหม เช่น ถนนเข้าหมู่บ้านของคุณพัง นั่นอาจจะเป็นประเด็นทำให้ชุมชนจับมือกันแล้วเดินไปหาทางออกด้วยกัน ก้าวแรกมันเริ่มได้เสมอ ถ้ามีใครสักคนเริ่มตั้งคำถามหรือมีคนพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ส่วนรีแอคชั่นของชาวบ้านคนอื่นๆ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำให้เขาเห็นภาพเดียวกันได้ไหม 

วันนี้ตลาดน้อยสำหรับคุณโจกับตลาดน้อยของเด็กชายโจ เปลี่ยนไปไหมในแง่ความรู้สึก

จะพูดว่าไม่เปลี่ยนก็คงจะโกหก ในมุมมองของกายภาพ มันดีขึ้น เรียบร้อยขึ้น เมื่อก่อนตลาดน้อยมักจะถูกมองข้ามไป คนจะมองเห็นแต่เยาวราช เราไม่เคยถูกมองเห็นโดยจากส่วนภาครัฐหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ตอนนี้คนเริ่มรู้จักมากขึ้นแล้ว ผ่านอีเวนท์ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค คนได้รู้จักตลาดน้อยในอีกหลายๆ มุม ซึ่งมันไม่ได้แย่เลยนะ

ส่วนในเรื่องความรู้สึก หลังจากย่านเปลี่ยนไป มันทำให้ชาวชุมชนเดินไปถึงจุดกล้าที่จะพูด กล้าคิด กล้าแสดงความต้องการของตัวเอง เพราะนี่คือพื้นที่ของเขา ซึ่งแต่ก่อนเขาอาจจะไม่ยุ่ง เพราะคิดว่าเรื่องชุมชนไม่ใช่ธุระปะปังของเขา แค่ค้าขายไปวันๆ 

แล้วในมุมของการเรียนรู้ ชุมชนตลาดน้อย ตอบตรงนี้ได้อย่างไรบ้าง

มันเป็นไปได้อยู่แล้ว ทุกที่มันเรียนรู้ได้ มันขึ้นอยู่กับว่าอยากเรียนรู้อะไร เรื่องราวมันเยอะแยะไปหมด แค่คนในชุมชน รู้สึกอยากจะออกจากบ้าน ออกแล้วมีพื้นที่ให้เขาเดินเล่น ได้อยู่ในชุมชนแบบที่มันเป็น ชีวิตมันก็สนุกแล้ว

ถ้ามาตลาดน้อย เราจะมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง

เดินนี่แหละ เรารู้สึกว่าการเดินมันมีเวลาช้าพอที่จะทำให้เราได้ปล่อยความรู้สึกไปกับสิ่งต่างๆ เรามาเดินเล่นในย่าน อยากหยุดตรงไหนก็หยุด อยากมองอะไรก็มอง อยากจะคุย อยากจะซื้ออะไรกินอะไรก็ทำได้เลย แต่ละซอยมีความเฉพาะตัว มีธรรมชาติของคน มีข้าวของที่อยู่ในซอย เพราะ aesthetic ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สุนทรียะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีสุนทรียะกับการวางเหล็ก บางคนมีสุนทรียะกับกองขยะ บางคนเป็นทาสแมวในย่านก็มีแมว ที่นี่มันหลากหลาย

สุดท้ายกระบวนการที่คุณทำ การดึงให้ทุกคนพูด ให้ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาย่านตัวเอง มันจะฝังเครื่องมือติดตัวอะไรให้กับชาวบ้าน

การให้เขาลงมือทำเองเป็นวิธีที่ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันต้องผ่านกระบวนการคิด วางแผน ว่าจะทำอะไร เจอปัญหาอะไร แล้วแก้ปัญหานั้นอย่างไร ถ้าเกิดวันนั้นเราแค่ไปสำรวจความคิดเขาอย่างเดียว ไปถามเขาว่าอยากทำอะไร พัฒนาบ้านของเขาอย่างไร แต่ไม่ดึงเขามาแอคชั่นกับเราด้วยมันก็ไม่ได้เรียนรู้อะไร ยิ่งการที่เขาได้อยู่ตั้งแต่กระบวนการเริ่มจนจบ มันเหมือนเป็นแพ็คเกจชุดใหญ่ที่เปิดให้เขาได้ทดลองทำ ส่วนเราเป็นแค่ผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง ทุกอย่างมันจะทำให้ชาวชุมชนค่อยๆ เรียนรู้กันไปเป็นเลเวล 

Tags:

จุฤทธิ์ กังวานภูมินักออกแบบสถาปนิกpublic space

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Creative learning
    สร้างห้องเรียนนอกห้องเรียน ‘วิชาการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และพัฒนาชุมชน’ สู่ปากคลองตลาด Strike back กับ อ.หน่อง สุพิชชา โตวิวิชญ์

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Space
    หนึ่งวันที่ฉันเบื่อห้าง ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ใน PUBLIC SPACE

    เรื่อง BONALISA SMILE

  • Voice of New Gen
    CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ด้วยศิลปะ: ไม่ตั้งหลักที่หัว แต่คืนเวลาให้ออกไปรับประสบการณ์
21st Century skills
16 December 2019

พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ด้วยศิลปะ: ไม่ตั้งหลักที่หัว แต่คืนเวลาให้ออกไปรับประสบการณ์

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คุยกับ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ถึงบทบาท ‘การสร้างการเรียนรู้’ ติดเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ 4Cs – Collaboration, Critical Thinking, Communication, Citizenship ผ่านโครงการ Active Citizen ว่าทักษะเหล่านี้ทั้งหมดทั้งมวลนั้นสำคัญอย่างไรกับโลกปัจจุบันและอนาคต
  • หัวใจของการออกแบบการเรียนรู้อาจไม่ได้ตั้งต้นที่การใช้หัว แต่คือการคืนประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ให้กับเด็กๆ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราออกไปรับประสบการณ์ อยากคิดวิเคราะห์อะไรบางอย่าง เราต้องเปิดกว้าง เปิดตา เปิดใจ ทำงานกับโลกภายใน สุดท้ายจะตกผลึกได้ในที่สุด
เรื่อง: ปุณิกา พุณพาณิชย์

หากบอกว่า ‘การเรียนรู้’ เป็นเรื่องของโรงเรียน พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะนี่คือพื้นที่ที่คนเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุย ทดลอง มีประสบการณ์ร่วมกัน แสวงหาองค์ความรู้จำเป็น ทั้งต่อการพัฒนาตนเองในด้านอาชีพและปัญญา สำคัญที่สุด นี่คือพื้นที่ – สังคม ที่มนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่งอาศัยอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน

แต่แน่นอนเช่นกันว่า ‘การเรียนรู้’ ของมนุษย์ตีความได้ไกล ลึกซึ้ง และมีเหลี่ยมมุมหลากหลายกว่านั้น

บ้าน สนามเด็กเล่นใกล้บ้าน ห้องสมุด ทะเล ป่า ลานในชุมชน ร้านหนังสือ หนังสือที่อ่าน ห้างสรรพสินค้า คอร์สเรียนออนไลน์ การปฏิสัมพันธ์ในโซเชียลมีเดีย และอื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็คือเครื่องมือการเรียนรู้ไม่ต่างกัน – นี่คือประเด็นที่หนึ่ง เครื่องมือแห่งการเรียนรู้

ประเด็นที่สอง ในปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนเร็ว แรง และขนาดใหญ่อันเนื่องจากการเปลี่ยนของเทคโนโลยี สิ่งที่เกิดคือเราเข้าถึงความรู้ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว เช่นกัน ความรู้ก็มีอายุสั้นลง สิ่งที่อยู่ในหนังสือวันนี้อาจไม่เป็นจริงแล้วในวันรุ่งขึ้น เส้นพรมแดนประเทศพร่าเลือน เดินไปไหนก็พบกับความหลากหลายของผู้คนได้ทุกขณะ – และอื่นๆ ที่ทุกคนเห็นภาพกันแล้วในโลกปัจจุบัน

ต่อประเด็นนี้ โลกเปลี่ยนแรงและเร็ว การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตามอย่างไร และการเรียนรู้ที่ว่าต้องมอบ ‘ทักษะ’ อะไรต่อมนุษย์ในวันนี้บ้าง แน่นอนว่าก้อนความคิดที่มาแรงแซงโค้งคือ ทักษะในศตวรรษที่ 21 แต่จะสร้างอย่างไร และจำเป็นไหมที่ผู้ติดอาวุธนี้จะเป็นบุคลากรในรั้วโรงเรียนเท่านั้น?

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้รับผิดชอบโครงการ Active Citizen ทั้งหมด 9 จังหวัด โครงการที่ชวนคนในพื้นที่ชุมชนมาจัดและออกแบบการเรียนรู้ให้กับเยาวชนในพื้นที่ และในฐานะนักออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้กว่า 15 ปี พูดถึงบทบาท ‘การสร้างการเรียนรู้’ ในโลกสมัยใหม่ (ที่ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกเป็นครู) ติดเครื่องมือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ 4Cs – Collaboration, Critical Thinking, Communication, Citizenship – ผ่านโครงการ Active Citizen 

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

นี่เป็นอีกหนึ่งพื้นที่การเรียนรู้นอกกำแพงโรงเรียน และสร้างสรรค์โดยคนที่ไม่ใช่ครู แต่คือคนในพื้นที่ที่ลุกมาออกแบบวิธีเรียนรู้ให้ลูกหลานของพวกเขาเอง สำคัญที่สุด มันเป็นการออกแบบการเรียนรู้เพื่อติดตั้งทักษะในโลกยุคใหม่ ผ่านการทำโปรเจ็คต์นอกห้องเรียน เสริมเพิ่มด้วยการออกแบบการเรียนรู้ผ่านงานศิลปะอย่างสร้างสรรค์ 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กิตติรัตน์อยากชวนคนทำงานการศึกษามาร่วมออกแบบการเรียนรู้กัน

ก่อนจะว่ากันเรื่องการออกแบบโครงการให้เด็กๆ อยากให้เล่าความสำคัญว่าทำไมเยาวชนต้องมี 4Cs ทักษะเหล่านี้จำเป็นอย่างไรในโลกปัจจุบัน

อย่างที่เราเข้าใจกัน ตอนนี้เราอยู่ในโลกยุคใหม่ที่เรียกว่าศตวรรษที่ 21 ซึ่งมันแตกต่างจากอดีตมาก โลกยุคนี้มีข้อมูลข่าวสารเยอะ เรารับข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ไม่ได้รับสารผ่านทีวีเป็นหลักอีกแล้ว มีงานวิจัยบอกว่าเราอยู่กับมือถือมากกว่า 8 ชั่วโมง/วัน ลองคิดดูว่าในช่วงเวลานี้จะมีข้อมูลเข้ามามากเท่าไร พอการรับข้อมูลเปลี่ยนแบบนี้ มันจึงมีปัจจัยหลายเรื่องเข้ามากระตุ้นเราผ่านสื่อ เรามีปฏิสัมพันธ์กันผ่านเทคโนโลยีมากกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างที่หนึ่ง

ประการที่สอง เด็กๆ ต้องเรียนในโรงเรียนเนอะ อยู่ร่วมกับคนที่เป็นครู อยู่ร่วมกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ชีวิตของเขาส่วนใหญ่อยู่ในโรงเรียนมากกว่า 6 ชั่วโมง นี่แปลว่าเขาใช้ชีวิตมากกว่าอยู่ที่บ้านอีกนะถ้าไม่นับเวลานอน

ที่ตามมาคือการเชื่อมตัวเองกับชุมชนมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะวิถีชีวิตของเรากับชุมชนเปลี่ยนไป เช้ามาเด็กไปโรงเรียน เย็นกลับบ้าน นี่ภาพของความเป็นชุมชนที่ต่างจังหวัดนะ มันไม่มีพื้นที่หรือกิจกรรมที่จะทำให้เด็กเชื่อมโยงหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต อาชีพ สิ่งแวดล้อม หรือสถานการณ์ปัญหาตรงนั้น นอกเวลาเรียนเด็กก็เชื่อมโยงกับชุมชนออนไลน์มากกว่า และเมื่อเด็กไม่เชื่อมโยงกับชุมชนที่เขาอาศัยอยู่เลยจะเกิดอะไรขึ้น? แม่น้ำ ป่าไม้ ทรัพยากรในบริเวณนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะเขาไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าน้ำที่เขาใช้ อาหารที่เขารับประทานมันเกี่ยวกับป่าและแม่น้ำยังไง เพราะเราไม่ connect กับพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ ถ้าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา

ประการที่สาม การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป เราจับจ่ายใช้เงินเพื่อตอบสนองความสุขความสบาย ไม่ใช่การเข้าหาธรรมชาติ อ่านหนังสือ ดื่มด่ำกับอุดมการณ์และลุกขึ้นมาเข้าใจสังคมแล้ว ฉะนั้นเด็กยุคใหม่จำเป็นต้องมีทักษะที่แตกต่างกว่าเดิม แต่ก่อนเราทำมาหากินด้วยการเอาจอบเอาเสียมออกไปทำมาหากิน ทักษะที่คนในยุคนั้นจะได้คือแบบหนึ่ง แต่สมัยนี้เราต้องมีทักษะการทำงานกับเทคโนโลยี ทำงานกับการคิดวิเคราะห์ รับข้อมูลข่าวสารยังไงให้มีการคิดวิจารณญาณ ที่เลือกได้ แยกแยะได้ ซึ่งเราคิดว่านี่คือทักษะในโลกยุคใหม่ที่แตกต่างจากเดิม วงการศึกษาโลกจึงบอกหนึ่งหมวดในทักษะศตวรรษที่ 21 คือเรื่อง competency หรือ ทักษะที่เราควรมีเพื่อทำงาน พูดถึง 4Cs คือ

  • Collaboration ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม อยู่ร่วมกันกับเพื่อน การทำงานภายใต้ความแตกต่างหลากหลาย
  • Critical Thinking คิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะคิดวิเคราะห์ ทักษะคิดเชื่อมโยง
  • Communication ทักษะการสื่อสาร ไม่ได้หมายความว่าใช้สื่อเป็นหรือสื่อสารผ่านสื่อเท่านั้น แต่หมายถึงการสื่อสารเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น คิดวิเคราะห์และอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ด้วย
  • Citizenship หรือ Civic Engagement ทักษะเชื่อมโยงตัวเองกับชุมชนได้ เพราะโลกยุคนี้ส่วนใหญ่ตัดขาดตัวเองออกจากชุมชน การเห็นเยาวชนที่เชื่อมโยงตัวเองกับชุมชนได้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชน อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อไม่นิ่งดูดาย ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาสิ่งที่ชุมชนต้องการ ซึ่ง C ที่ 4 มันเป็นแกนกลางหรือกระดูกของ 3Cs อยู่แล้ว

เรียกว่านี่เป็นโจทย์ของการออกแบบโครงการเรียนรู้ในโครงการ Active Citizen ได้หรือเปล่า และครั้งนี้ออกแบบยังไงให้เด็กเกิด 3Cs

ฟังแล้วดูน่าตกใจเนอะ โลกเปลี่ยน ทักษะก็เปลี่ยน แล้วจะออกแบบการเรียนรู้ยังไงที่จะให้เด็กมีทักษะแบบนี้? ฟังดูเหมือนยาก แต่เราคิดต่างออกไปอีกมุม จริงๆ แล้วทักษะ 3Cs มันมีอยู่แล้วนะ และเรียกว่ามีมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 20 ด้วยซ้ำ เพราะเป็นทักษะที่มนุษย์ใช้กันอยู่แล้วนี่แหละ การที่คนคนหนึ่งจะเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม มันมีอยู่แล้ว แต่เรียกว่าเรากลับมา ‘ออกแบบการเรียนรู้ที่คืนทักษะให้เขาได้เอาไปปรับและประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตจริง หรือออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เขาได้ใช้ทักษะแต่ละด้าน’ อันนี้เป็นโจทย์ที่ทำโครงการ

ตอบคำถามเร็วๆ ก่อนว่า แล้วโครงการออกแบบการเรียนรู้เพื่อให้เกิด 3Cs เป็นยังไงเนอะ… เราเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์และการแก้ปัญหา 

หนึ่ง-ลงมือทำจริง มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง สอง-พอทำจริง มีประสบการณ์จริงก็ต้องตามมาด้วยปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหานี่แหละที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ของมันเอง สุดท้าย-ได้นำเสนอแลกเปลี่ยนกับเพื่อนว่าเพื่อนแต่ละคนแก้ปัญหายังไง อาจเรียกว่าการ reflection หรือถอดบทเรียน การออกแบบการเรียนรู้ควรจะมีสามเรื่องนี้เพื่อให้น้องมีทักษะ 3Cs ในค่ายนี้เราออกแบบกิจกรรมหลักอยู่ 4 เรื่อง โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์

เวลาเราออกแบบการเรียนรู้ 3Cs จะไม่แยกส่วน เราต้องการให้ทุก C ถูกใช้งานพร้อมกันจากการทำภารกิจใดภารกิจหนึ่ง แต่โดยรวม เราจะออกแบบให้เกิดกิจกรรมเหล่านี้

กิจกรรมที่หนึ่ง คือ เกม ทำหน้าที่เป็นกิจกรรม get together ให้น้องๆ ได้ทลายน้ำแข็งของตัวเองที่เราเรียกว่าเป็น ice breaking ละลายตัวตนว่าเราเป็นใครและออกมาเชื่อมโยงกับคนอื่น ออกมาเชื่อมโยง พูดคุย รับฟัง ออกมา พูด คิด ถาม เขียน เพราะธรรมชาติของคนรุ่นใหม่เรียนรู้ผ่านความรู้สึก ความสนุก ออกแบบเกมสนุกๆ เพื่อให้เขาได้รู้จักตัวเอง

กิจกรรมที่สอง การแนะนำตัวเองผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ การได้บอกว่าเราเป็นใคร มีที่มายังไง ชอบ/ไม่ชอบอะไร มีความคิดความฝันอะไร อยากเห็นตัวเองพัฒนาไปยังไง ตรงนี้ทำให้เรายืนหยัดและเอาตัวเข้ามาเชื่อมโยงกับคนอื่นได้ การรับฟังคนอื่นยังทำให้รู้ว่าคนแต่ละคนต่างกันยังไง เราจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง และเราอาจมีจุดร่วมบางอย่างที่ทำให้เราเชื่อมโยงถึงกัน

ในกิจกรรมนี้ยังออกแบบให้เกิด ‘การฟัง’ เพราะเราบอกว่าเรากำลังทำงานกับคนรุ่นใหม่ที่อยากให้พวกเขามีทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม ประตูบานแรกที่ทำให้คนทำงานร่วมกันเป็นทีมได้คือการฟัง นำไปสู่การทำให้เขาเรียนรู้ว่าฟังอย่างไรให้ connect กับคนอื่นได้ ฟังอย่างไรให้เราจับประเด็นความรู้สึกหรือความต้องการของคนที่สื่อสารกับเรา นำเอาแก่นหรือประเด็นเข้ามาเชื่อมโยงกับเรา แล้วเลือกจะทำอะไรร่วมกันได้ การฟังจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องติดตั้งให้กับเขา โดยเฉพาะการฟังความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญมากนะ โลกยุคนี้ฝึกให้เราฟังแต่เนื้อหา แต่ค่ายนี้เน้นเรื่องการฟังใจกัน ฟังความต้องการกัน นี่แหละคือกุญแจการหลอมรวมความรู้สึก หลอมรวมการทำงานร่วมกันได้

กิจกรรมที่สาม พลังกลุ่ม อันนี้เราออกแบบเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ว่าการทำงานร่วมกัน เริ่มต้นจากการมีเป้าหมาย มีภารกิจที่ต้องบรรลุร่วมกัน กำหนดธงของเราให้ชัด จากนั้นเรียนรู้เรื่องการวางแผน การแบ่งงาน แบ่งความถนัดของคน จัดวางคนให้ทำงานร่วมกัน เมื่อแบ่งงานแบ่งคนตามความสามารถเฉพาะของคนแล้ว ต่อมาคือความเป็นพลังกลุ่ม เป็นเรื่องการร่วมแรงร่วมใจ ต้องลงมือ ไม่ใช่แค่ทำแบบห่างๆ ทำพอให้ผ่านไป แต่มันคือการส่งพลัง ส่งแรงใจของเราพร้อมกับแรงใจของเพื่อนเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายร่วมกัน พลังกลุ่มเกิดจากการใช้พลังร่วมกัน ผิดก็ผิดร่วมกัน เจอปัญหาก็เจอร่วมกัน แล้วมันจะเกิดการสู้สิ่งยากก้าวข้ามปัญหานั้นเพื่อหยิบธงเราให้ได้

ยกตัวอย่าง ในค่ายนี้ ภารกิจคือการทำงานร่วมเป็นทีม เมื่อมีโจทย์มาเขาต้องฝึกแก้ปัญหา เช่น มีกระป๋องเปล่าอยู่ เราต้องวิ่งเอาน้ำไปเติมในกระป๋องให้ได้มากที่สุดในเวลาจำกัด ซึ่งไม่มีอุปกรณ์อะไรให้คุณตักน้ำเลย อันนี้ก็ต้องใช้แรงกายแรงใจกันแล้ว ต้องคิดและแก้ปัญหาด้วยว่า คุณจะเอาอะไรมาตักน้ำ เสื้อเหรอ หมวกเหรอ? ทุกคนต้องร่วมแรงเสียสละตัวเองทำภารกิจให้สำเร็จได้ นี่คือพลังกลุ่ม

สิ่งที่ได้จากพลังกลุ่มคือความไว้ใจและการรู้ว่าการเสียสละมันสำคัญยังไง การแก้ปัญหาทุกอย่างจะแก้ได้ต้องมีการเสียสละ การเป็นผู้นำผู้ตาม การยอมลดอัตตาตัวเอง การเป็นผู้นำแบบรับใช้ คือ รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เราจะเข้าไปอุดอะไร นี่คือกรุ๊ป พลังกลุ่ม มันเป็นกระบวนการแก้ปัญหา ปรับตัว การเสียสละ ไว้ใจ เมื่อเราลงแรงกายและใจแล้ว ภารกิจจึงจะสำเร็จได้ นี่คือทักษะที่คนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้เพื่อการมี collaboration

กิจกรรมสุดท้าย สายธารชีวิต เราตั้งใจออกแบบกิจกรรมนี้เพื่อให้เยาวชนได้รับฟังตัวตนของเพื่อน ได้ยินว่านี่เป็นกิจกรรมที่โดนใจน้องๆ ในค่ายมากที่สุด ชีวิตของเราทุกคนต่างมีตำนานของตัวเอง สายธารชีวิตคือตำนานชีวิตตัวเองกว่าจะเป็นวันนี้ เราทุกคนกว่าจะเป็นวันนี้มันหล่อหลอมตัวตนจากหลายอย่าง อาจเจอปัญหา เจอความยาก มีต้นแบบที่เรารัก ต้นแบบที่อยากเป็น มีความใฝ่ฝัน ทั้งหมดคือการเรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้เรียนผ่านการรู้ได้เอง การเล่าสายธารชีวิตทำให้เยาวชนเกิดความเชื่อมโยงกันได้ เห็นใจกัน รู้สึกได้ว่ากว่าเพื่อนเราจะเป็นคนแบบนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง การได้บทเรียนจากเรื่องราวของเพื่อนมันก่อเกิดบทเรียนใหม่ และทำให้เขานำประสบการณ์หรือบทเรียนจากเพื่อนมาปรับใช้ในชีวิตเขาได้ ทักษะของการได้กลับมาใคร่ครวญนี่สำคัญมากนะ

กระบวนการทบทวนตัวเอง ในแง่การเรียนรู้สำคัญอย่างไร

กระบวนการเรียนรู้ส่วนใหญ่เราจะเรียนรู้จากข้างนอกและบทเรียนใหม่เสมอๆ แต่ว่าสายธารชีวิตมันออกแบบมาเพื่อให้เยาวชนกลับมาหาบทเรียนจากชีวิตเขาเอง เพราะนี่คือ learning by doing ที่หาไม่ได้จากที่อื่นแล้ว และมันมีค่ามากด้วย การเกิดวงแบบนี้ทำให้คนกรุณาและนำเอาบทเรียนต่างๆ มาเรียนรู้ เราได้แต่คาดหวังว่าวงแบบนี้จะเกิดโดยธรรมชาติที่เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกันเป็นทีม การได้รู้จักชีวิตของเพื่อนทำให้เรียนรู้ที่จะไว้ใจกัน ตลอดหนึ่งปีที่ได้อยู่ด้วยกันคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกันจะเกิดการช่วยเหลือกันในระยะยาว

เฉพาะการออกแบบการเรียนรู้ที่สตูลครั้งนี้ คุณและทีมงานออกแบบให้น้องๆ เรียนรู้ผ่านการลงพื้นที่จริงและผลิตงานศิลปะ อยากให้ขยายความว่าตั้งใจอยากทำให้เกิดการเรียนรู้อะไร เริ่มที่การเรียนรู้โดยการลงพื้นที่จริงที่ปากบาราก่อน

คนสตูลรุ่นใหม่เองรู้อยู่แล้วล่ะว่าปากบาราสำคัญยังไง ทั้งเป็นหาดเศรษฐกิจ มีต้นสนเรียงตัวสวยงาม มีร้านค้าเยอะ ผู้คนมาจับจองใช้สอยพื้นที่ มาดื่มด่ำบรรยากาศ มาช็อปปิ้ง และอันที่จริงตรงนี้ก็เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ด้วย โดยเฉพาะมันเป็นแหล่งรวมวิถีชีวิตโดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน หมายความว่าภายใต้หาดหนึ่งแห่ง นี่คือแหล่งเรียนรู้มากมายที่น้องๆ เข้าไปเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลแต่ในมือถือ แต่ลองเอาตัวเองไปในชุมชนใดชุมชนหนึ่งที่มีความหลากหลายของประเด็น ลองให้น้องเอาตัวเองไปจุ่มแช่ ไปสัมผัส ไปเอาข้อมูลทุกอย่างจากการเห็น สัมผัส พูดคุย ชิมรส กินอาหาร การมองหาปัญหา รวมถึงสิ่งสวยงามด้วยนะ แล้วค่อยเอาข้อมูลตรงนั้นกลับมาวางกันตรงกลางในห้องแล็บ

จากนั้นเลือกหยิบประเด็นที่สนใจมาคิดวิเคราะห์แยกแยะ เรารู้สึกยังไงกับข้อมูลนั้น เราเห็นปัญหาอะไร จับแก่นบางอย่าง สรุปความคิดรวบยอด แล้วดูว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ปากบารารึเปล่า เป็นส่วนของธรรมชาตินั้นรึเปล่า แม้ว่าเราจะอยู่ละงู อยู่ในเมืองสตูล แต่ถามตัวเองว่าเราเชื่อมโยงกับปากบาราไหม แล้วดูซิว่าถ้าเราอยากสื่อสารเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เราอยากบอกอะไร

ถ้าถอดออกมาให้ชัด โจทย์นี้คือการให้น้องฝึก 2C คือ Critical Thinking กับ Communication แต่ผ่านการทำงานเป็นทีมคือ Collaboration สุดท้ายมันก็จะได้ตัวที่ 4 เองคือ คือ Citizenship สำนึกความเป็นพลเมืองที่เห็นแล้วทนแล (ดู) ไม่ได้ รู้สึกอยากบอกหรืออยากสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร

ก่อนน้องลงชุมชน ให้เครื่องมืออะไรหรือให้ความรู้อะไรกับน้องไหม

คือพอเราบอกว่าเราอยากให้น้องเขามีทักษะเหล่านี้ เช่น บอกว่าอยากให้เขามี Critical Thinking ก็ไม่ใช่ว่าถึงเวลาให้น้องลงพื้นที่แล้วให้คิดวิเคราะห์เลย ไม่ใช่นะครับ จุดเริ่มต้นหรือทักษะแรกคือการเปิดรับสัมผัส รับประสบการณ์ เพราะเวลาบอกว่ารับข้อมูลมันก็คือการรับประสบการณ์เนอะ ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า sensing คือการเปิดประสบการณ์ เปิดผัสสะของเราในการรับข้อมูลอย่างเที่ยงตรงและกระทบใจ

เปิดรับประสบการณ์อะไรบ้าง? เช่น ‘ตา’ สำคัญมาก เรามองเห็นอย่างตรงไปตรงมา เวลาที่ตาไม่เปิด ประสบการณ์เราไม่เปิด หรือไม่ก็เราจะเห็นแต่สิ่งที่ตาเราเห็นหรือสิ่งที่อยากเห็นเท่านั้น เช่น ถ้าเราตั้งประเด็นเรื่องขยะ เราลงปากบาราเราจะเห็นแต่ขยะ แต่ถ้าเราเปิดสัมผัสกว้างๆ เราจะเห็นหลายอย่าง เราอาจเห็นคนคนหนึ่งเดินมา ในมือเขาถือลูกชิ้นปิ้ง เขากินอย่างเอร็ดอร่อยเลยล่ะ เสร็จแล้วเอาถุงนั้นทิ้งข้างทาง ถ้าเราเปิดผัสสะทั้งหมดเราจะไม่เห็นแต่ตัวขยะแต่จะเห็นสายพานของมัน เห็นคนที่ทิ้งมัน

หรือถ้าเราบอกว่าเราอยากไปเห็นเรื่องขยะเท่านั้น เราก็มุ่งเข้าไปหาคนในชุมชน ไปเจาะถามว่าเป็นยังไง แต่ถ้า ‘หู’ ของเราเปิด มันนำพาให้เราอยากได้ยินเสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง เดินเข้าไปใกล้ๆ เราอาจเห็นขอนไม้ที่เต็มไปด้วยขยะ ทั้งหมดนี้เราอาจจะพลาด ไม่ได้มองมุมอื่นว่าขยะไม่ได้มาจากการทิ้งของคนบนหาดแต่มีขยะอยู่ในทะเลด้วย อ้าว… แล้วมันมาจากไหน? กระบวนการคิดที่มาจากการเปิดรับสัมผัสทำให้เราเกิดกระบวนการคิดแบบรื่นรมย์ คิดแบบกว้างๆ และคิดแบบเชื่อมโยงด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ของสิ่งหนึ่งมันมาจากอะไรและทำให้เห็นภาพรวมในพื้นที่

อยากให้ขยายความว่า การเปิดสัมผัสหรือ Sensing มันเชื่อมไปสู่การเรียนรู้ยังไง

การมองเห็น การได้กลิ่น เอามือไปสัมผัสจริง ทั้งหมดจะเกิดประสบการณ์เข้ามา การเรียนรู้ผ่านร่างกายที่เราสัมผัส body หรือร่างกายจะเกิดประสบการณ์บางอย่างเข้ามาทำงานสองส่วนคือ ใจ กับ สมอง ทั้งสองส่วนแปลความหมาย ร่างกายของเราจะเลือกได้เองว่าเรากระทบใจเรื่องอะไร เป็นประเด็นที่เราเกิดความเชื่อมโยงระหว่างโลกภายนอก โลกภายใน ความทรงจำวัยเด็ก ทั้งหมดนี้เกิดการหลอมรวม ทำให้เราแปลความหมาย ตกผลึกเข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นแหละคือทรัพยากรที่มีค่ามากและจะนำไปใช้จับประเด็น ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ตระหนักรู้บางอย่าง

เราเชื่อว่าการสื่อสารที่ดีต้องการบอกต่อให้คนเข้าใจได้ ซึ่งเราคิดว่านี่คือกระบวนการออกแบบการเรียนรู้ อธิบายยากนิดนึงเนอะ แต่นี่คือสิ่งที่เราอยากคืนประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ให้กับน้องๆ ที่ไม่ใช้การใช้หัว แต่เวลาเราไปรับประสบการณ์ อยากคิดวิเคราะห์อะไรบางอย่าง เราต้องเปิดกว้าง เปิดตา เปิดใจ ทำงานกับโลกภายใน ตกผลึก จับประเด็นได้ด้วย

ต่อเนื่องจากการเรียนรู้ด้วยการลงไปเปิดสัมผัส มีประสบการณ์จริงในพื้นที่ อีกหนึ่งกระบวนการที่ทีมงานใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ในโครงการ Active Citizen จังหวัดสตูลครั้งนี้คือศิลปะ

การสื่อสารมีหลายแบบอย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ แต่ที่ครั้งนี้เราเลือกออกแบบการเรียนรู้ให้น้องได้ใช้ศิลปะ เพราะเชื่อว่าการสื่อสารในปัจจุบันไม่ได้สื่อผ่านเทคโนโลยีอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการสื่อสารผ่านชุมชน ผ่านผู้คนที่เข้ามาเรียนรู้ผ่านงานที่เขากำลังจะจัด โดยการจำลองให้น้องจัดงาน festival ขึ้น งานนี้เขาต้องมีเรื่องจะสื่อสาร ต้องเชิญคนมาร่วมงานให้ได้อย่างน้อย 50 คนขึ้นไป ซึ่งเวลาคน 50 คนมารวมกันในพื้นที่ใดหนึ่ง เขาไม่ได้ดูงานตลอดเวลา แต่จะเอาตัวเองเข้าไปดูนิทรรศการ ดูการแสดง ดูอะไรบางอย่าง

ศิลปะจัดวาง

Festival นี้เลือกใช้ศิลปะแขนงไหนมาทำงานบ้าง

พอบอกว่าจะให้น้องทำงานผ่านศิลปะ ศิลปะก็มีหลายแขนงเนอะ แต่ที่เราวางแผนเอาไว้จะมี 4 อย่างด้วยกันคือ หนึ่ง-ละคร โดยเลือกใช้หุ่นเงา เพราะเวลาเราดูละครเงา เราจะจดจ่อกับอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษแล้วมันจะเกิดความรู้สึกแบบ “ว้าว มันมหัศจรรย์อะ” “ภาพมันออกมาได้ยังไงนะ” สอง-งานเขียน ซึ่งงานเขียนก็มีหลายแบบมาก ทั้งบทกลอน กลอนเปล่า การเขียนเล่าเรื่องอะไรบางอย่างมารวมกับภาพวาดเพื่อให้น้องได้ลองถ่ายทอดความรู้สึก สาม-ศิลปะจัดวาง ใช้วัสดุมาจัดวางเพื่อสื่อสารประเด็นอะไรบางอย่าง มันมีพลังมากเลยนะถ้าเราสื่อสารความหมายอย่างดี และ สี่-ดนตรี ดนตรีทำงานกับอารมณ์ความรู้สึกของคนฟัง หากน้องอยากจะส่งสารบางอย่างดนตรีทำหน้าที่นั้นได้ 

ละครหุ่นเงา

ซึ่งการจัดวางองค์ประกอบสี่อย่างนี้ เราต้องการให้น้องใช้ศิลปะเพื่อเปิดพื้นที่สื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมของคนกลุ่มหนึ่งในการจัดมหกรรมอะไรสักอย่าง ให้ศิลปะช่วยเป็นเครื่องมือในการส่งสาร เราคิดว่ามันตอบโจทย์คนยุคใหม่มากเลยในแง่ที่เราไม่อยากอยู่กับเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่สามารถ call for action หรือสร้างการมีส่วนร่วมผ่านการจัดงาน พลังกลุ่ม พลังชุมชนอะไรสักอย่างเพื่อให้คนมาดูงานของเราและเกิดการเรียนรู้ไปพร้อมกัน 

ถามแบบไม่รู้ สุดท้ายแล้วน้องจะเอาทักษะศิลปะแบบนี้ไปใช้ในชีวิตจริงอย่างไร

ทั้งสามฐานมีกระบวนการเรียนรู้แบบเดียวกัน คือ เรียนรู้องค์ประกอบศิลป์ของศิลปะแต่ละชนิดตามฐานที่ได้เข้าไป เช่น งานเขียน น้องต้องฝึกเลือกใช้คำ คำแบบไหนสื่ออารมณ์ สื่อความคิด ประโยคแบบไหนที่สื่อสารแล้วกระทบใจ ความรื่นรมย์ทางภาษามีรูปแบบไหนบ้าง กลอนเหรอ รูปแบบการเล่าเรื่องเหรอ? พอคำ ประโยค ประกอบกันเป็นความงดงามทางภาษา ก็รวมกันเป็นศิลปะงานเขียนอย่างหนึ่ง

หรือ การทำหุ่นเงาต้องรู้จักอะไรบ้าง? รู้องค์ประกอบแสง รู้กายภาพของหุ่น รู้ทิศทางการฉายให้ภาพออกมาบนผืนจอ แต่สุดท้ายคือการเล่าเรื่อง การทำให้ภาพแต่ละภาพต่อกันแล้วเล่าเรื่องได้มันเป็นยังไง ละครจบแล้วคนต้องได้แก่นความคิดของเราไป

งานเขียนกับภาพวาด

ทั้งหมดนี้มันจะกลับไปที่เรื่องการจับประเด็นสำคัญที่เราต้องการสื่อสาร แก่นนั้นอาจเป็นความจริงบางอย่างที่เกิดจากการตระหนักรู้จากการไปลงพื้นที่ จากความกระทบใจบางอย่าง เช่น น้องอาจรู้สึกกระทบใจกับเรื่องการเปลี่ยนไปของหาดปากบารา น้องอาจอยากเห็นประมงพื้นบ้านกลับมา อะไรแบบนี้เป็นต้น มันคือความจริงบางอย่างที่น้องอยากสื่อสารผ่านความงามทางศิลปะ การจะทำแบบนั้น น้องก็ต้องจับประเด็น จับใจความได้

กิจกรรมท้ายสุดคือการเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้แสดงผลงาน ในแง่การเรียนรู้ ขั้นตอนนี้สำคัญอย่างไร

ตรงนี้เป็นหัวใจของการเรียนรู้เลย คือนอกจากกระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ให้ทำงานจนนำไปสู่การลงมือคิด วางแผน และทำงานร่วมกันแล้ว สุดท้ายคือการเอาภารกิจที่วางแผนไว้มานำเสนอ และครั้งนี้นำเสนอเป็น festival ด้วย เวลาเรานำเสนอผลงาน ตัวตนเราเติบโตเต็มที่จากการผ่านประสบการณ์เรียนรู้นะ festival ทำให้น้องเห็นคุณค่าในตัวเอง self-esteem จากการยอมรับและเชื่อมั่นในศักยภาพว่าเราสามารถสื่อสารได้ คิดได้ วิเคราะห์ได้ โดยมันนำเสนอผ่านผลงานเค้าอยู่แล้ว นอกจากเห็นคุณค่าในตัวเอง น้องยังเห็นคุณค่าในงานของเพื่อน การร่วมรับรู้ ได้นั่งฟัง และสัมผัสผลงานเพื่อน เชื่อมั่นว่าทุกคนมีศักยภาพเหมือนๆ กัน การได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ มันจะเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองขึ้นมา

ดนตรี

จริงๆ สามวันไม่น่าเกิดอะไรเหล่านี้ได้เนอะ แต่มันเกิดได้ถ้าเราออกแบบการเรียนรู้ให้มันจบกระบวนการ แต่มันจะไม่จบดีถ้าไม่มีการถอดบทเรียน ถอดบทเรียนคือการกลับเข้าไปใคร่ครวญกับตัวเองว่ากว่าเราจะทำงานสำเร็จถึงวันนี้ เราเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้ามนุษย์เราได้ลงมือทำจริงไม่ว่าเรื่องอะไร การได้อยู่กับมันเต็มๆ หนึ่งชิ้น มันเกิดการเรียนรู้มหาศาล

ถอดบทเรียนคือการกดบันทึก ถ้าเราปล่อยให้การเรียนรู้นั้นผ่านแล้วผ่านเลย ประสบการณ์จะไม่ถูกเซฟ เมื่อไม่มีบันทึก มันก็ไม่มีการดึงเอาประสบการณ์ที่เราจดจำหรือที่ได้ใคร่ครวญมาเป็นขุมพลัง ซึ่งมันเป็นทรัพยากรที่มีค่าในแง่การทำงานต่อไป เราจะดึงประสบการณ์ที่ถอดแล้วกลับมาใช้ใหม่ มันจึงเรียกว่าบทเรียน บทเรียนคืออะไรที่ผิดพลาด เราจะไม่ทำซ้ำ กับอะไรที่เราผิดพลาดแล้วเราอยากทำใหม่ แก้ใหม่ ใช้ทักษะใหม่ วางแผนใหม่ นี่คือสิ่งที่มีค่ามากที่คนรุ่นใหม่ควรได้เรียนรู้ การถอดบทเรียนเป็นแกนกลางการเรียนรู้ที่สอดแทรกในทักษะทั้ง 3Cs

Tags:

active citizen21st Century skillsความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้4Csกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Learning Theory
    Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้
Growth & Fixed Mindset
12 December 2019

เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • ‘คำชม’ มีผลต่อ mindset และความเชื่อที่เด็กมีต่อศักยภาพตนเองว่าสามารถพัฒนาได้หรือไม่ ผลวิจัยบอกว่าการชมเด็กโดยใช้ประโยคว่า “หนูพยายามดีมากเลยจ้ะ” กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนี้จะเลือกทำโจทย์ในข้อที่ยากขึ้น
  • งานศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าพ่อแม่ที่เอ่ยชื่นชมลูก 3 แบบ คือ ชมที่ตัวเด็ก (เก่งจัง, เป็นเด็กดีจังเลย) ชมที่ความพยายาม (เอามือถือจุกนมเองด้วย, ขยับพลิกตัวเองเป็นแล้ว) และชมแบบไม่เจาะจงอื่นๆ (โอ้โห ว้าว) เมื่อโตขึ้น พบว่าเด็กกลุ่มที่ถูกชมที่ความพยายามจะกล้าเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากรวมทั้งคิดยืดหยุ่นมากกว่า

คำชมมีส่วนสำคัญในการปลูกฝัง Growth Mindset ให้กับเด็กๆ และคำที่มักหยิบมาใช้กันบ่อยๆ อย่าง “เก่งจังเลย” “หนูเป็นเด็กดีมาก” “ฉลาดที่สุด” เหล่านี้ อาจทำให้เด็กเข้าใจว่าตนเก่งและฉลาดจนยอมรับความผิดพลาดได้ยาก

แครอล ดเว็ค (Carol Dweck) อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้เขียนหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success ซึ่งพูดถึงชุดความคิดที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จ ชี้ว่า พ่อแม่หรือครูส่วนใหญ่มักเอ่ยชมลูกหลานและนักเรียนโดยไม่รู้ว่าคำชมบางประเภทส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาความคิดที่เด็กจะมีต่อความสำเร็จเมื่อเขาโตขึ้น  

การชมเด็กว่า “เก่ง” และ “ฉลาด” บ่อยๆ ส่งผลเสียอย่างไร

ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งดเว็คให้เด็กประถมแก้โจทย์คำปริศนาง่ายๆ โดยแบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกครูชมว่า “หนูฉลาดมากเลยจ้ะ” ส่วนอีกกลุ่มให้ครูชมว่า “หนูพยายามดีมากเลยจ้ะ” จากนั้นเฉลยคำตอบเก็บคะแนนแล้วให้เด็กเลือกโจทย์ข้อต่อไปเอง กลุ่มที่ถูกชมว่าฉลาดส่วนใหญ่จะเลือกโจทย์ที่มีระดับความง่ายเท่าเดิม ในขณะที่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มที่ได้คำชมว่ามีความพยายามจะเลือกข้อที่ยากขึ้น

จากนั้นทดลองใหม่โดยให้เด็กทั้งสองกลุ่มทำโจทย์ซึ่งยากที่สุดโดยทางทีมเป็นผู้เลือกให้ โดยตั้งใจว่าต้องไม่มีใครแก้โจทย์ได้เลย ผลต่างที่สำคัญระหว่างเด็กสองกลุ่มคือ เด็กที่ครูชมว่าพยายาม จะลองแก้โจทย์หลากหลายวิธีกว่าและกระตือรือร้นที่จะจดข้อผิดพลาดของตัวเองไว้ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและมีแนวโน้มจะโทษความล้มเหลวของตนว่าเป็นเพราะพยายามไม่มากพอ ไม่ใช่เพราะไม่ฉลาด

และในการทดสอบครั้งสุดท้ายที่ให้ทุกคนกลับมาแก้โจทย์ง่ายๆ เหมือนเดิม กลับปรากฏว่า เด็กที่ถูกชมว่ามีความพยายามทำคะแนนได้มากขึ้นจากครั้งแรก ส่วนเด็กที่ถูกชมว่าฉลาดกลับทำคะแนนได้ลดลงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อนักวิจัยขอให้เด็กๆ เขียนจดหมายเล่าประสบการณ์นี้ของพวกเขาให้เด็กในโรงเรียนอื่นรู้ เด็กที่ได้รับคำชมว่าฉลาด บางคนโกหกและเพิ่มคะแนนให้ตัวเอง 

นี่คือกลไกที่คำชมมีผลต่อ mindset หรือมุมมองความเชื่อที่เด็กมีต่อศักยภาพตนเองว่าสามารถพัฒนาได้หรือไม่

เด็กซึ่งถูกชมว่าเก่งหรือฉลาดจะเริ่มเกิด Fixed Mindset คือเชื่อว่าความรู้ที่เขามีหรือผลงานที่ทำเกิดจากความพิเศษเฉพาะตัว และเพื่อรั้งตำแหน่งเด็กฉลาดในสายตาคนรอบข้างไปตลอดเขาจึงเลือกทำแต่สิ่งที่มั่นใจแล้วเท่านั้นว่าทำได้สำเร็จ ไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรผิดเพราะเป็นกังวลกับความล้มเหลว แสดงความมุ่งมั่นน้อยลงเมื่อปัญหายากมากขึ้น ในที่สุดความตื่นเต้นยินดีที่เกิดจากการได้รับคำชมว่า ‘ฉลาด’ ก็กลายเป็นความกังวลใจที่มากขึ้น รวมถึงความมั่นใจในตัวเอง แรงจูงใจ และความสามารถที่ลดน้อยลง

ชมเพื่อก้าวหน้า ติเพื่อปรับปรุง

จะเห็นได้ว่าการชมที่คุณลักษณะของตัวบุคคลกับชมที่ความพยายามให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน การเอ่ยชมเด็กๆ ว่า “เก่งมาก” คำชมทำนองนี้เป็นการส่งสารให้เขาซึมซับว่าถ้าเกิดมาหัวดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามมากมายอะไรก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น บทความนี้จึงอยากให้คุณครูลองหันมาปรับเปลี่ยนคำชมให้เน้นที่ความพยายาม ตั้งใจ วิธีคิด และขั้นตอนการลงมือแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นหลัก 


ชมที่ตัวบุคคล
ชมที่ความพยายาม

หัวดีทางเลขนะเรา

โจทย์ข้อนี้ยังไม่ท้าทายเท่าไหร่ ลองหาอะไรบริหารสมองกันหน่อยดีกว่า!

เก่งจังเลย

ครูชอบที่เธอคิดหลายๆ แบบ แล้วก็ลองทำหลายๆ วิธีนะ 

หนูเป็นเด็กดี

ขอบใจมากจ้ะที่เธอเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อยโดยครูไม่ต้องเอ่ยปาก

เธอมีพรสวรรค์ทางศิลปะนะเนี่ย

ความตั้งใจของเธอฉายชัดเลยในรูปที่เธอวาด พยายามดีมากเลยจ้ะ 

หนูเกิดมาเพื่อเป็นนักเขียนชัดๆ

งานเขียนของหนูชิ้นนี้ทำให้ครูเห็นว่าหนูเข้าใจเลือกคำในมาใช้เป็นนะเนี่ย

นอกจากคำชม การเลือกคำติติงเด็กๆ ก็เช่นกัน ครูควรเลือกคำชี้แนะอย่างสร้างสรรค์โดยการไม่สะกิดให้เด็กๆ รู้สึก ‘โง่’ ‘ผิด’ ‘เป็นคนไม่ดี’ แต่เน้นกระตุ้นให้เขาพยายามเปลี่ยนแนวคิดหรือวิธีแก้ปัญหาเป็นทางอื่น

ติไปที่ตัวบุคคลติไปที่วิธีการ

เธอทำอะไรเนี่ย เละไปหมดเลย

ถ้าทำวิธีนี้ไม่สำเร็จ ลองวิธีอื่นดูไหมจ๊ะ

ที่เธอพยายามมา มันยังไม่มากพอ

ครั้งนี้ไม่สำเร็จ แล้วเธอได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง

เปียโนอาจไม่ใช่ทางของเธอ

ฝึกเยอะๆ ต่อไปนะ ยิ่งฝึกมากจะยิ่งคล่องขึ้นเอง 

หนูทำตัวเป็นเด็กไม่ดีเลย


ครั้งนี้ที่หนูตัดสินใจพลาดไป ครั้งต่อไปหนูจะเปลี่ยนไปใช้วิธีไหนได้บ้าง ลองคิดดูแล้วไปแก้ไขอีกที

คำติชมที่มีนัยว่าฉลาด มีพรสวรรค์ หรือเป็นคนดี มักฉุดให้นักเรียนเกิด Fixed Mindset อีกทั้งยังหมดความกระตือรือร้นที่จะฝึกซ้อมพัฒนา

หากเพียงเลือกใช้คำติชมที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ หันมาสนใจปรับปรุงวิธีต่อสู้กับปัญหาก็สร้างความแตกต่างได้แล้ว เพราะมันคือเสียงสะท้อนที่บอกว่าความผิดพลาดคือเรื่องชั่วคราวที่เขามีโอกาสแก้ตัวใหม่พัฒนาต่อไปได้เสมอ

ดเว็คเตือนว่าคำชมที่เน้นลักษณะของตัวบุคคล (หนูเก่ง ฉลาด เป็นคนดี) แม้ดูไม่น่าจะเกิดปัญหาถ้าเด็กคนนั้นสามารถทำสำเร็จในท้ายที่สุด แต่ตามจริงแล้วไม่มีใครหนีพ้นความผิดพลาด หากเด็กยึดมั่นว่าความสำเร็จได้มาจากความเป็นเลิศที่ตนมี เมื่อล้มเหลวมันย่อมหมายความว่าเขา ‘ห่วยลง’ กว่าเดิม นี่จึงเป็นสาเหตุว่าคนที่มี Fixed Mindset เลยมักจะหลีกเลี่ยงงานยากหนีอุปสรรคความท้าทายเพราะต้องรั้งสถานะคนเก่งไว้ให้ได้

การให้คำติชมผลงานของนักเรียนก็เช่นกัน ครูควรชี้ให้ชัดว่าที่เขาทำได้ดีนั้นดีตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นติชมซึ่งหน้าหรือเขียนโน้ตบนสมุดการบ้านของพวกเขา

ชมแบบคลุมเครือชมแบบเจาะจงชัดเจน

ทำได้ดี! เก่งมาก! เยี่ยม!

การบ้านเรื่องสมการวันนี้เธอพยายามได้ดีมาก 

ดีมาก!

เขียนเรียงความบรรยายออกมาได้ละเอียดดีมาก

ยอดเยี่ยม!

วันนี้เต้นได้สวยมาก ครูเห็นเลยว่าหนูซ้อมมาเยอะ

เก่งจริงๆ!

เลือกวิธีได้เข้าท่านะเรา คิดแก้ปัญหาสร้างสรรค์ดี

ในการเรียนการสอนยุคใหม่ เสียงสะท้อนจากเด็กๆ ต่อเนื้อหาที่เรียนก็มีประโยชน์เช่นกัน ครูควรรับฟังเสียงของพวกเขา รวมทั้งเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนผลัดกันติชมผลงานการนำเสนอหรือการแสดงของเพื่อน โดยใช้โอกาสนี้ช่วยปรับจูนเสียงสะท้อนเหล่านั้นให้เห็นคุณค่าความพยายามตั้งใจมากขึ้นและชี้แนะจุดที่เขาควรแก้ไขได้

เสียงสะท้อนที่คลุมเครือเสียงสะท้อนที่สร้างสรรค์

การหารยาวอะไรนี่ดูแล้วไม่รู้เรื่องเลยค่ะครู

ตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจเรื่องหารยาว แต่ฝึกไปกับครูบ่อยๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้นจ้ะ

ก็ติ๊นาเขาเก่งสุดในชั้นนี่คะครู 

ครูเห็นติ๊นาเขาตั้งใจจริงในการสอบครั้งนี้นะ พวกเธอลองถามเคล็ดลับการจดโน้ตจากเขาดูสิ

บทนี้มันยากเกินไปสำหรับพวกหนูค่ะ

ยากๆ สิดี! เพราะมันหมายความว่าเธอกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ เซลล์สมองก็จะเติบโตแข็งแรงขึ้นด้วยนะ

ด้านล่างเป็นไกด์ไลน์คำติชมซึ่งเน้นที่ความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นหลัก อยากชวนให้คุณครูลองนำไปใช้ในห้องเรียนอย่างสม่ำเสมอด้วยกันดังนี้ 

  • ครูสังเกตว่าหนูพยายามเรื่อง…………… ดีมาก
  • งานชิ้นนี้ครูเห็นได้ชัดเจนว่าเธอพัฒนาเรื่อง………มากขึ้นเป็นพิเศษ
  • งานเขียนชิ้นนี้ของนักเรียนแตกต่างจากงานก่อนตรงที่…………
  • ครูชื่นชมความตั้งใจของเธอเรื่อง…………..
  • ครูเห็นเธอตั้งใจเรียนรู้และพยายามเรื่อง………..ดีมาก
  • ครั้งต่อไปถ้านักเรียนลอง……………….ดูมันจะเป็นอย่างไร
  • นักเรียนลองเปลี่ยนวิธีใหม่เป็น………ดูซิว่า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร 
  • เธอมาถูกทางแล้ว เหลือปรับเรื่อง…………..อีกหน่อย 

คำติชมระหว่างเพื่อน

นอกจากคำติชมที่ครูพึงใช้ การสอนให้เด็กๆ เปิดใจเรียนรู้ที่จะรับฟังคำติชมจากเพื่อน และให้คำติชมแนะนำเพื่อนด้วยกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป

ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน แอนนี บร็อค และ ฮีเธอร์ ฮันด์ลีย์ ผู้เขียนหนังสือ The Growth Mindset Coach เล่าถึงบรรยากาศการเตรียมความพร้อมของเด็กชั้นอนุบาลให้คุ้นเคยกับ Growth Mindset ว่า

ฉันให้เด็กๆ ฝึกทักษะการเขียนและสร้างประโยคโดยให้วาดภาพเป็นไอเดียก่อนแล้วค่อยๆ ให้เพิ่มรายละเอียดเข้าไปทีละหน่อย การให้เด็กวาดภาพก่อนพูดทำให้เขาได้ใช้สมองคิดล่วงหน้าและทักษะการบรรยายและการวางแผน โดยครูเองก็สามารถติชมขั้นตอนวางแผนกับความตั้งใจของพวกเขาจากรูปภาพไปพร้อมกันด้วย 

ช่วงที่เด็กวาดภาพ ฉันก็จะสอนไปด้วยว่าการได้ผิดพลาดและเรียนรู้ (Growth Mindset) เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับชีวิต สมองและจิตใจของเรายิ่งเติบโตเมื่อเจออุปสรรค ระหว่างเดินชมภาพของนักเรียนไปทั่วห้องก็จะเอ่ยติชมความพยายาม เทคนิคการวาดหรือถามคำถาม ชี้แนะและให้กำลังใจในความตั้งใจไปด้วย เช่น “พยายามต่อไปนะ ตรงนี้ยังดูเหมือนขาดอะไรไป ลองเพิ่มตรงนี้ดีไหม” หรือ “ครูชอบรายละเอียดรูปบ้านของเธอนะ เห็นได้ว่าหนูมีภาพบ้านในหัวและถ่ายทอดมันออกมาชัดเจนจริงๆ” 

เมื่อวาดเสร็จเด็กๆ ในชั้นได้แลกเปลี่ยนดูผลงานติชมกันและกัน โดยก่อนหน้านี้ ครูควรสอนให้เด็กแยกแยะคำติชมระหว่างตัวบุคคลกับชมที่ความพยายามให้ออกเสียก่อน การติชมเพื่อนอย่างสร้างสรรค์ควรสังเกตและเน้นไปที่ความตั้งใจ วิธีคิดและเทคนิคที่น่าสนใจของเพื่อน เช่น “เราชอบตรงที่ภาพเธอบอกรายละเอียดชัดดีว่าเป็นฤดูร้อน” “เธอตั้งใจเขียนเรียงความออกมาซะเห็นภาพชัดเลย” “เราชื่นชมที่เธอสะกดถูกทุกคำเลย” 

ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างพื้นฐานให้พวกเขา นอกจากกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ยังรู้จักติชมกันอย่างสร้างสรรค์และรับฟังอย่างเปิดกว้าง ชั้นเรียนก็จะสมัครสมานสามัคคีและพร้อมที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเองไปด้วยกัน 

การติชมอย่างสร้างสรรค์ต้องมีสติพอสมควรในการเลือกใช้คำ และอาจต้องใช้เวลาสักพักจึงคุ้นชิน ตัวอย่างคำติชมที่ครูสามารถแปะไว้หน้าชั้นเป็นไกด์ไลน์ให้เด็กๆ นำไปใช้ให้เป็นนิสัย เช่น

  • สิ่งที่เราชอบที่สุดในงานของเธอคือ……..
  • ฉันชอบตรงนี้ที่เธอ…….
  • ตรงนี้จะดีขึ้นถ้าเธอลอง…………….
  • เราสังเกตว่าเธอพยายามดีมากตรง………….

นอกจากคำติชมเชิงสร้างสรรค์ การถามให้เด็กๆ อธิบายความเข้าใจ ไอเดีย หรือความเป็นมาของงานที่ทำก็เป็นการช่วยสร้าง Growth Mindset ได้ดีอีกทาง หนึ่งในคำถามทรงพลังที่จะช่วยให้เขากระตือรือร้นคิดอธิบายอย่างเสรีคือ

“หนูชอบงานชิ้นนี้ของตัวเองไหม ชอบตรงไหนมากที่สุด”

ผลดีระยะยาวของคำชมเชิงสร้างสรรค์

มีงานศึกษาในชิคาโกชิ้นหนึ่งที่สำรวจการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกตั้งแต่แรกเกิดจนสองขวบทุกๆ สี่เดือน ทีมศึกษาพบว่าพ่อแม่จะเอ่ยชื่นชมลูก 3 แบบคือ ชมที่ตัวเด็ก (เก่งจัง, เป็นเด็กดีจังเลย) ชมที่ความพยายาม (เอามือถือจุกนมเองด้วย, ขยับพลิกตัวเองเป็นแล้ว) และชมแบบไม่เจาะจงอื่นๆ (โอ้โห ว้าว)

ทิ้งไว้ห้าปี ทีมวิจัยเข้าไปหาครอบครัวเหล่านี้อีกครั้งเพื่อวัดประเมินลักษณะความคิดของเด็กๆ เมื่อโตขึ้น พบว่าเด็กกลุ่มที่ถูกชมที่ความพยายามจะกล้าเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากรวมทั้งคิดยืดหยุ่นมากกว่าอีกสองกลุ่ม 

คงเห็นแล้วว่าการกล่าวชมเด็กๆ สามารถสร้าง Growth Mindset หรือ Fixed Mindset ให้เขาได้ เซลล์สมองเชื่อมต่อได้ไวและดีที่สุดช่วงเด็กเล็ก เพราะฉะนั้นการปลูกฝังให้เด็กมี Growth Mindset ไม่เกรงกลัวอุปสรรค เปิดรับและรู้จักคำติชมเชิงสร้างสรรค์สามารถทำได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ดเว็คแนะนำว่าวิธีสร้าง Growth Mindset ที่ดีที่สุดคือการได้ปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมกับเด็กๆ ระหว่างที่พวกเขากำลังตั้งใจทำบางอย่าง ให้ความสนใจว่าเขาทำอะไรและถามไถ่ว่าทำไมเขาจึงเลือกทำเช่นนั้นโดยไม่ไปตัดสิน เมื่อผิดหวังพลั้งพลาด ปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วเปิดโอกาสให้ลองใหม่

และถ้าเป้าหมายของเราที่ชมเพื่อให้เด็กมีความมั่นใจ สตีเฟน กรอซ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Examined Life ได้กล่าวถึงว่า หากเราต้องการให้เด็กมีความมั่นใจจึงมอบคำชมให้เขา แท้จริงแล้วนอกจากคำชมคือการใส่ใจในตัวเขา ทำให้เขารู้สึกมีค่า สิ่งนี้จะสร้างความมั่นใจให้เด็กได้ ซึ่ง กรอซ ได้เล่าถึงช่วงที่ได้สังเกตและสนทนากับชาร์ล็อต สติกลิทซ์ ครูที่สอนการอ่านเพื่อซ่อมเสริมแก้ไขข้อบกพร่องทางการอ่านที่รัฐอินเดียนา ชาร์ล็อตเล่าว่า

“ฉันไม่เคยชมเด็กเวลาที่พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาน่าจะทำได้ ฉันชมเวลาที่พวกเขาทำอะไรที่ยากจริงๆ อย่างเช่น แบ่งของเล่นกับเด็กอื่น หรือแสดงความอดทน ฉันจะไม่ชมเชยเด็กที่กำลังเล่นหรืออ่านหนังสือ”

ไม่มีรางวัลชิ้นใหญ่ ไม่มีบทลงโทษรุนแรง ชาร์ล็อตมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่เด็กทำและวิธีการที่เด็กคนนั้นทำ

ครั้งหนึ่ง ชาร์ล็อตอยู่กับเด็กที่กำลังวาดรูป พอเขาหยุดวาดและเงยหน้าขึ้นมองเธอ ซึ่งอาจจะหวังคำชม เธอเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “รูปที่เธอวาดมีสีฟ้าเยอะมากนะจ๊ะ” เด็กน้อยตอบว่า “มันเป็นบ่อน้ำใกล้บ้านคุณย่าผมฮะ…ชาร์ล็อตคุยกับเด็กอย่างไม่รีบร้อนแต่ที่สำคัญคือ เธอสังเกต ตั้งใจฟัง และใส่ใจในตัวเด็ก

การใส่ใจในตัวเด็กช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กได้ เพราะทำให้เด็กคนนั้นรู้ว่าตัวเขามีค่าควรแก่การคิดถึง ถ้าปราศจากความใส่ใจเด็กอาจเชื่อว่ากิจกรรมที่เขาทำเป็นเพียงวิธีที่จะได้รับคำชม ไม่ใช่สิ่งสำคัญในตัวมันเอง

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาGrowth mindsetพ่อแม่ครู

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    แผนการสอน สร้าง GROWTH MINDSET ครูต้องคิดว่าเด็ก ‘ทำ’ ได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    รู้ไหมว่า ‘คำชม’ บางคำ ทำร้ายและกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว?

    เรื่องและภาพ KHAE

Visible Learning: การเรียนรู้แบบชัดแจ้ง ครูศิษย์มีเป้าหมายเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกัน
Learning Theory
11 December 2019

Visible Learning: การเรียนรู้แบบชัดแจ้ง ครูศิษย์มีเป้าหมายเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง คือ การเรียนรู้ที่ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรู้เป้าหมายในการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ แล้วสามารถวัดความเปลี่ยนแปลงหรือผลลัพธ์จากการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างชัดเจน ไม่มีการเหมารวมว่า…นักเรียนน่าจะเข้าใจ หรือนักเรียนน่าจะทำได้ ด้วยเหตุนี้ครูจึงต้องใส่ใจต่อความคิดเห็นและการตอบสนองของเด็กแต่ละคน
  • ครูสามารถสร้างห้องเรียนที่มีเป้าหมายได้ โดยใช้วิธี 3 ระดับ เริ่มตั้งแต่ การเรียนรู้แบบผิวเผิน เพื่อพัฒนาความรู้เดิมของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพขึ้น การเรียนรู้แบบลึกซึ้ง เพื่อสร้างความเข้าใจให้ลึกขึ้น ผ่านการทำแผนที่ความคิด การอภิปรายและตั้งคำถาม การเรียนรู้แบบพัฒนาต่อยอด เพื่อผู้เรียนจะได้ลองคิดและสร้างประสบการณ์ใหม่ และนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปปรับใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน 

ถ้าบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ลงทุนด้านการศึกษา ความเข้าใจนี้คงไม่ใช่เสียทีเดียวจากการรายงานโครงการพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาสุขภาพและการศึกษาของนักเรียน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และธนาคารโลก (World Bank) ที่ได้จัดทำข้อมูลรายจ่ายด้านการศึกษา ปี 2551-2559 พบว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณลงทุนด้านการศึกษาปี 2559 มากถึง 878,878 ล้านบาท คิดเป็น 6.1 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี สูงกว่าประเทศกลุ่ม OECD ที่ลงทุนเพียง 5.2 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี

มีการวิจัยด้านการศึกษา พบว่า การพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษา การปรับโครงสร้างการบริหาร หรือการเพิ่มวุฒิการศึกษาให้กับครู ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนของเด็กและเยาวชนเป็นลำดับรองจาก การที่ครูมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก และการสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนรู้สึกมีความสุขและอยากมาโรงเรียน

จอห์น ฮัตตี (John Hattie) นักวิจัยด้านการศึกษา กล่าวถึง การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง หรือ Visible Learning ซึ่งเป็นแนวคิดด้านการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถเนรมิตห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ได้

ฮัตตีบอกว่า การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรู้เป้าหมายในการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ แล้วสามารถวัดความเปลี่ยนแปลงหรือผลลัพธ์จากการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างชัดเจน ไม่มีการเหมารวมว่า…นักเรียนน่าจะเข้าใจ หรือน่าจะทำได้จากการมองเห็นนักเรียนคนใดคนหนึ่งเข้าใจหรือทำได้ ด้วยเหตุนี้ครูจึงต้องใส่ใจต่อความคิดเห็นและการตอบสนองของเด็กแต่ละคน

การเรียนที่มีเป้าหมาย จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง 3 ระดับ ได้แก่ ระดับผิวเผิน (surface) ระดับลึกซึ้ง (deep) และ ระดับพัฒนาต่อยอด (transfer)

คำถามตั้งต้นต่อไปนี้สามารถชี้ทางให้ผู้เรียนและผู้สอนรู้เป้าหมายในการเรียนรู้ เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ชัดแจ้งในห้องเรียนได้

พวกเขากำลังเรียนอะไร?

ทำไมถึงต้องเรียนสิ่งนี้?

พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าได้เรียนรู้เรื่องนั้นแล้ว?

แล้วการเรียนรู้เรื่องนั้นมีความสำคัญอย่างไร?

จากตัวอย่างคำถามเห็นได้ว่า การประเมินผลการเรียนรู้ เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง ตัวชี้วัดต้องมีความเหมาะสมแตกต่างกันตามพัฒนาการการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน นอกจากครูแล้ว ฮัตตียังเสนอให้นักเรียนมีโอกาสประเมินผลการเรียนของตัวเองก่อนด้วย (self-reported grades/expectations)

หากยังนึกไม่ออกว่า ครูจะสร้างห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ได้อย่างไร วิธีต่อไปนี้จะช่วยเนรมิต ‘ห้องแห่งการเรียนรู้’ ที่ชัดแจ้งในแต่ละระดับให้ปรากฏขึ้นได้

การเรียนรู้แบบผิวเผิน (Surface Learning) สามารถสร้างและพัฒนาด้วยการใช้ความรู้เดิมเสริมการเรียนรู้ใหม่ เพราะสิ่งที่รู้อยู่แล้วอาจไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ครูสร้างการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กคิด ไม่ใช่แค่การท่องแบบอาขยานไปวันๆ เพราะการคิดเป็นคงทนกว่าความรู้

ยกตัวอย่างการเรียนรู้คำศัพท์ มีวิธีการสอนมากมายที่ช่วยกระตุ้นความจำของนักเรียน และสร้างความสนุกสนาน ครูสามารถใช้เทคนิคสร้างการเรียนรู้ผสมผสานกันไป ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับวิธีการแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น

นีมอนิกส์ (Mnemonics) การใช้เทคนิคช่วยจำ หรือ การใช้การ์ดคำศัพท์ เพื่อเรียนรู้คำ ความหมาย คำตรงข้าม และมีภาพประกอบ เป็นต้น

ในส่วนของการอ่าน ครูสามารถให้นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญอย่างอิสระ โดยไม่ต้องตั้งโจทย์ หรือใช้เทคนิคการจดเลคเชอร์แบบ คอร์แนล โน้ต (Cornell Note) แบ่งหน้ากระดาษออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนบันทึก (note-taking area) เป็นพื้นที่ใหญ่ที่สุดบนหน้ากระดาษ ใช้จดบันทึกข้อมูลระหว่างฟังครูผู้สอน

ฝั่งซ้าย ใช้บันทึกคำสำคัญ หรือ คำถาม เรียกว่า cue column และ ส่วนสรุป (summary area) บริเวณด้านล่างหน้ากระดาษ ที่เกิดจากการทบทวนด้วยตัวนักเรียนเองเมื่อเวลาผ่านไปอย่างน้อย 1 วัน หรือ 1 อาทิตย์ไปแล้ว

การเรียนรู้แบบลึกซึ้ง (Deep Learning) เป็นการเรียนรู้เพื่อ ‘เข้าใจ’ สามารถสร้างการเรียนรู้ได้ด้วย การทำแผนที่ความคิด และการอภิปรายและตั้งคำถาม

แผนที่ความคิดช่วยให้นักเรียนจัดระเบียบข้อมูลหรือสิ่งที่เรียนรู้ได้ ทำให้การเขียนรายงานและการเขียนแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากนักเรียนสามารถหยิบยกประเด็นสำคัญที่บันทึกลงเป็นแผนที่ความคิดมากล่าวถึงได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น

การเรียนรู้ผ่านการตั้งคำถามและการอภิปราย ทำให้ความคิดของผู้เรียนเปิดกว้าง สร้างความเข้าใจต่อเรื่องที่สงสัยได้ทันที แล้วคงอยู่ในความจำระยะยาว นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างมีเหตุผลและเสรี

ฮัตตียังเอ่ยถึง การใช้กลวิธีอภิปัญญา (Metacognitive Strategies) หรือวิธีการที่ใช้ในการควบคุมการคิด และความสามารถในการกำกับตัวเอง รู้ว่าอะไรเหมาะสมกับตนเองในการเรียนรู้ สามารถวางแผน กำกับควบคุม และประเมินการเรียนรู้ของตนเองได้

ประกอบด้วยกลวิธีย่อย 3 กลวิธี คือ กลวิธีมุ่งความสนใจสู่การเรียนรู้ (centering your learning) กลวิธีการจัดระเบียบและการวางแผนการเรียนรู้ (arranging  and planning your learning) และกลวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ (evaluating your learning)

เช่น นักเรียนรู้ว่าจะทำงานนั้นเมื่อไร จะเรียนรู้ด้วยวิธีการไหน เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อทำงานเสร็จสิ้นแล้ว สามารถอธิบายว่า ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ข้อดีข้อเสีย และสิ่งที่ควรปรับปรุง เป็นต้น

การเรียนรู้แบบพัฒนาต่อยอด (Transfer Learning) เป็นการนำความรู้ไปปรับใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพราะมีประสบการณ์จากการทำสิ่งนี้มาก่อนเลยสามารถทำอีกสิ่งหนึ่งได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ได้คิดได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยทำมาก่อน

การเรียนรู้ลักษณะนี้มีทักษะการแก้ปัญหาเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น

แทนที่ครูจะยกสถานการณ์ปัญหา แล้วถามนักเรียนว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ครูสามารถยกสถานการณ์ตัวอย่าง แล้วถามนักเรียนก่อนว่า “ปัญหาคืออะไร?” หลังจากนั้นจึงให้นักเรียนเสนอแนวทางแก้ปัญหา เช่น

“เราควรให้ความคุ้มครองและปกป้องผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารแสดงตัวหรือไม่?” คำถามนี้ไม่ได้กำหนดจากปัญหาแต่เป็นการถามคำถามจากสถานการณ์ หลังจากนั้นครูจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้อพยพ แล้วให้นักเรียนจับกลุ่มระดมความคิดเพื่อระบุปัญหาและเสนอแนวทางแก้ปัญหา

จากตัวอย่างทั้งหมดเห็นได้ว่าครูมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างการเรียนรู้ในห้องเรียน หน้าที่ของครูไม่ใช่แค่การสอนตามหลักสูตรเหมือนกันวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่คือการปรับประยุกต์วิธีการสอนเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้นักเรียนแต่ละคนได้มากที่สุด นักเรียนบางคนอาจใช้วิธีการเดียวกันได้ แต่บางคนอาจต้องปรับเพิ่มเติมให้ต่างออกไป

หากจุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ การสร้างการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กคิดเองทำเองได้อย่างมีเหตุผล ครูสามารถสร้างห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรองบประมาณก้อนโต เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการ สร้างบรรยากาศในห้องเรียนใหม่ ผลลัพธ์ก็เปลี่ยนได้เห็นๆ

อ้างอิง
9 Ways to Make Learning Visible in the Classroom
How to: Make Learning Visible in Your Classroom
How To Make Learning Visible: A Spectrum

Tags:

การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง(Visible Learning)ครูเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    ย่อยของยาก ซอยเป้าหมายให้ง่าย ครูช่วยได้ด้วย SCAFFOLDING

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4
EF (executive function)
10 December 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

อ่านนิทานได้อะไร?

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 3: ประโยชน์ของการอ่านนิทาน ข้อ 5-8

9. สร้างโลก

สำหรับทารกขวบปีแรกและเด็กเล็ก แม่ยังมิได้มีอยู่จริงอย่างสมบูรณ์ โลกและจักรวาลจึงมิได้มีอยู่จริงด้วย ความเป็นแม่ที่มีอยู่จริงเริ่มที่ประมาณ 6 เดือน เข้มข้นมากขึ้นที่ 18 เดือน และสมบูรณ์ที่ 36 เดือน ในขณะเดียวกันวัตถุที่มีอยู่จริงเริ่มที่ 8 เดือนและเข้มข้นขึ้นทุกขณะจนกระทั่งสมบูรณ์เมื่อ 36 เดือนเช่นกัน คือเวลาที่ตัวตนของเด็กสมบูรณ์ด้วยแล้วพร้อมที่จะแยกตัว (separation) เป็นบุคคลอิสระ (individuation) เพื่อผจญภัยต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริง (reality)

แต่มิใช่ให้ไปโรงเรียนเพื่อการเรียน ให้ไปเล่น

ก่อนหน้า 36 เดือนหรือ 3 ขวบนี้ เด็กเล็กอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเสียมาก หน้าหนังสือเป็นหนึ่งในโลกแห่งจินตนาการที่ดี เพราะมีขอบเขตที่ชัดเจน หนังสือนิทานส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่ละหน้าที่เขานอนดูคือโลก

หนังสือเด็กหลายเล่มเริ่มหน้าแรกด้วยพื้นที่สีขาวเกือบเต็มหน้า มีตัวละครสำคัญหรือตัวเอก (protagonist) อยู่ด้านล่างหรือที่มุมกระดาษด้านล่างข้างใดข้างหนึ่ง ขนาดของตัวเอกนั้นเล็กนิดเดียวนั่นคือลูกของเรา

เมื่อพลิกหน้ากระดาษไป เราอาจจะได้เห็นตัวละครหรือวัตถุอื่นๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจับจองพื้นที่บนหน้ากระดาษคือในโลก ในขณะเดียวกันตัวละครเอกหรือลูกของเราอาจจะเคลื่อนที่ออกจากมุมเข้าสู่พื้นที่ตรงกลางของหน้ากระดาษ ขนาดของเขาอาจจะใหญ่ขึ้น นั่นคือเขาเติบโตและกล้าออกจากมุมเข้าไปในโลกแล้ว

ตัวละครในนิทานออกไปแล้วมักออกไปเลย ไม่ถอยกลับมาที่มุมอีก แล้วขนาดก็ไม่ลดลงด้วย ขนาดในที่นี้หมายถึงขนาดของเขาเมื่อสัมพัทธ์กับพื้นที่ของหน้ากระดาษ ด้วยเหตุที่กระดาษมิใช่โลกสามมิติและเด็กยังมิได้มีระยะชัดลึกแบบสามมิติ ดังนั้นเขามีขนาดสัมบูรณ์ไปตามขนาดสัมบูรณ์ของตัวละครที่เห็นจากขนาดหนึ่งนิ้วเป็นสามนิ้วแปลว่าตัวใหญ่ขึ้นแม้ว่าเราพ่อแม่จะรู้ว่าตัวเอกนั้นมีขนาดเท่าเดิม

เมื่อเด็กออกจากมุม พบพ่อมดแม่มด มังกรร้ายและปีศาจ เขาไม่สามารถถอยกลับได้เพราะนิทานมิได้วาดให้เขาถอยกลับแต่ไม่เป็นไร พ่ออยู่ขวาแม่อยู่ซ้าย ตามหลักหญิงซ้ายชายขวาซึ่งไม่เกี่ยวอะไรบทความนี้ เป็นคำคล้องจองพาหลุดออกนอกเรื่องไปเอง

อย่างมากเด็กก็หลุดออกจากเส้นทางไปตามกระแสความที่พัดพาไปแต่เขาไม่ย้อนกลับ เมื่อเขากลัวเขาจะเงยหน้าดูพ่อดูแม่ ที่แท้พ่อแม่ยังมีอยู่จริง สายสัมพันธ์แนบแน่นเพราะผิวหนังติดกัน ที่เราไม่รู้คือสายสัมพันธ์บางๆ กำลังยืดยาวออก คอยเชื่อมเขาไว้กับเราในขณะที่เขายังคงเดินทางเข้าไปในโลกหนังสือที่ซึ่งพ่อมดแม่มด มังกรร้ายและปีศาจรออยู่

คือทั้งหมดที่เขาเห็น มิใช่นักเขียนหรือนักวาดนิทานสร้าง คิดดีๆ

เป็นเขาสร้าง!

10. วิธีคิด 4 แบบแรก

เด็กเล็ก 2-7 ขวบ คิด 4 แบบ ได้แก่ animism, magic, egocentric และ phenomenalistic causalty

แบบที่หนึ่ง animism อะไรที่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ล้วนมีชีวิต ดังนั้นการเติมลูกตาและรอยยิ้มลงบนก้อนเมฆ ภูเขา ก้อนหิน ต้นไม้ สรรพสิ่งจะมีชีวิต ยิ้มได้และพูดได้แม้จะไม่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่

สัตว์ในนิทานพูดได้เสมอและเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ผ่านไปทีละหน้ากระดาษ จึงมีชีวิต

แบบที่สอง magic เวทมนตร์มีจริงสำหรับเด็ก สัตว์พูดได้จึงไม่ต้องการคำอธิบาย พ่อมดเสกคนเป็นกบ แม่มดย้ายวัตถุได้ในพริบตา มังกรยังไม่สูญพันธุ์ และปีศาจมีอยู่จริงในโลก เหล่านี้เป็นโลกของเวทมนตร์ ซึ่งจะเป็นรากฐานของวิธีคิดเชิงตรรกะที่จะติดตามมาภายหลัง

เวทมนตร์จึงเปรียบเหมือนกองทรายหรือกองหินที่ทับถมกัน รอเวลาที่เด็กจะสร้างปราสาทสวยงามบนกองทรายหรือกองหิน

การเล่นทรายเล่นหินไร้รูปแบบในวันแรกๆ ของชีวิตจะเป็นรากฐานของการก่อกองทรายเพื่อสร้างปราสาทในวันหลัง

เวทมนตร์ต้องมาก่อนตรรกะ

Magic มาก่อน Logic

เด็กที่เล่นไม่มากพอจึงไร้จินตนาการ และจะไร้วิทยาศาสตร์ในวันหลัง

แบบที่สาม egocentric คือตนเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดที่พ่อแม่อ่าน เหตุการณ์สารพัดตามท้องเรื่องสัมพันธ์กับตัวของเราซึ่งอยู่ที่ศูนย์กลางคืออีโก้ที่อยู่ที่เซ็นเตอร์

พัฒนาการเริ่มที่ศูนย์กลางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจหรือพฤติกรรม รวมทั้งจินตนาการ โลกสร้างจากศูนย์กลางแล้วขยายตัวออก สร้างดาวดวงอื่น ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ตามด้วยจักรวาล แม้ว่าจักรวาลนั้นจะใหญ่เพียงแค่ห้องนอนในยามค่ำคืนก็ตาม

ห้องนอนในคฤหาสน์ยี่สิบล้านบาท บ้านห้าล้านบาท ทาวน์เฮาส์สองล้านบาท บ้านอิฐบล็อกห้าแสนบาท คอนโดมิเนียมสิบล้านบาท ห้องแถวเล็กๆ หรือเรือนไม้โกโรโกโสของคุณทวดที่รอวันถูกซื้อแล้วรื้อ เหล่านี้มีค่าเท่ากันสำหรับเด็กๆ เพราะจักรวาลที่เขาสร้างมีขนาดใหญ่ได้ตามจินตนาการ

จึงเขียนเสมอว่าคนจนมีทางสู้ คือสร้างสมองของลูกให้มี EF ที่ดีกว่าตั้งแต่แรกเกิด

แบบที่สี่ phenomenalistic causalty เหตุการณ์สองอย่างที่เกิดพร้อมกันหรือเคียงคู่กันเป็นเหตุผลของกันและกัน ดังนั้นภาพบนหน้ากระดาษสองหน้าที่เรียงกันไปจึงสมเหตุผลอย่างยิ่ง

และถ้านักวาดจะวาดภาพทิ้งช่วงเหตุการณ์มากเกินไปสักนิด เด็กจะเติมช่องว่าง (gap) นั้นเอาเอง ไม่มีอะไรบริหารสมองเด็กเล็กได้ดีและง่ายอย่างนี้อีกแล้ว

เหตุสองเหตุวางคู่กัน หนึ่งจะเป็นเหตุ สองจะเป็นผล เมื่อวางแพะคู่กับแกะ แพะจึงเป็นเหตุ แกะจึงเป็นผล ง่ายมาก เราเรียกว่าจับแพะชนแกะซึ่งน่าเอ็นดูสำหรับเด็กเล็กแต่น่ากังวลมากเมื่อได้ยินจากปากปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรี

เด็กเล็กสร้างระบบเหตุ-ผลด้วยการสร้างบล็อกแม่พิมพ์เท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องสนใจเนื้อหาคือแพะแกะมากเกินไป เมื่อเด็กถาม เราตอบ ตอบอะไรก็ได้ด้วยความเต็มใจ เด็กจะขยันสร้างแม่พิมพ์ของระบบเหตุ-ผลมากขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้ เอาไว้ทีหลัง ไม่รีบ

นิทานจึงควรเป็นนิทาน ไม่ควรสอนอะไรในตอนจบ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 3

Tags:

EFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

FLOCK LEARNING: มาคุยกันหน่อยได้ไหม ทำไมฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วลืมความสุขของตัวเอง
Family Psychology
9 December 2019

FLOCK LEARNING: มาคุยกันหน่อยได้ไหม ทำไมฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วลืมความสุขของตัวเอง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ตื่นสาย ไปดูหนัง นั่งกินข้าวนานๆ มาสก์หน้าแล้วหลับไปเลย สิ่งเหล่านี้คนที่เป็นพ่อแม่เคยทำบ้างหรือเปล่า
  • ‘เคย’ บางคนอาจตอบอย่างนี้ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่คิดว่ากิจกรรมเหล่านี้เข้าข่ายเห็นแก่ตัว สู้แบกความความคาดหวังว่าฉันจะเป็นพ่อแม่ที่ดีเอาไว้ดีกว่า
  • Flock Learning คือกลุ่มที่เห็นภาระอันหนักอึ้งเหล่านี้ จึงอยากเปิด ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้พ่อแม่มาแชร์และเช็คทุกข์สุขและความคาดหวังของตัวเอง
ภาพ: Flock Learnin

“เราเปิดกิจกรรมด้วยการชวนคุยว่า ‘อะไรที่เมื่อเป็นพ่อแม่แล้วไม่ได้ทำ’ คำตอบส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนะ เป็นเรื่องเล็กมากอย่างการนอนตื่นสาย ไปดูหนัง ได้นั่งกินข้าวนานๆ ที่ร้านอร่อยๆ และทุกคนจะตอบตามมาว่า ‘แต่มันไม่เป็นอะไรนะ เรื่องของเราเอาไว้ก่อนได้ จัดการลูก ดูแลครอบครัวก่อน’ เราเองก็เป็นเหมือนกันนะ แม้จะเป็นแม่มาแค่ 3 ปีแต่ก็เป็นเหมือนกัน ลูกมาก่อน เสื้อผ้าให้ลูกก่อน ข้าวปลาต้องให้ลูกก่อน

จากซ้ายไปขวา กุ๊กไก่-ขนิษฐา ธรรมปัญญา, แม่บี-มิรา ชัยมหาวงศ์ และ ป่าน-ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

“คำตอบนี้มันทำให้เห็นอะไร? มันทำให้เห็นว่าเวลาที่เราทุ่มพลังให้คนอื่นไปจนหมด แล้วเอาเรื่องตัวเองไว้ทีหลังหรือบางทีก็ไม่มีเรื่องของตัวเองเลย มันดูเหมือนจะเล็กน้อยแต่จริงๆ แล้วโคตร (เน้นเสียง) จะสำคัญเลยนะ พ่อแม่เกือบทุกคนที่เข้าเวิร์คช็อปส่วนใหญ่ก็มาเพราะต้องการให้ ‘ลูกมีความสุข’ แต่มันตามมาด้วยการ ‘แบก’ แบกความคาดหวังตัวเอง ฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดี ฉันยังดีไม่พอ ฉันต้องทำนู่นทำนี่ แต่เราลืมทำแล้วลูกจะมีความสุขไหมนะ?”

ฝน-ภัทรภร เกิดจังหวัด หนึ่งในกระบวนกร ทีม Flock Learning – กลุ่มคนทำงานด้าน ‘การเรียนรู้’ ที่เชื่อว่าการเรียนรู้มีความหมายกว้างขวางกว่ารั้วโรงเรียนและต่อเนื่องยืนยาวไปได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะเครือข่ายพ่อแม่ในฐานะ Key Learning สำคัญของสังคม – เล่าให้ฟังถึงเสียงจริงๆ ของพ่อแม่จำนวนหนึ่งที่เข้ามาเวิร์คชอป “เติมความเป็นโค้ชให้พ่อแม่” จัดขึ้นโดยกลุ่ม Flock

ยังมีคำถามเปิดอีก 3 คำถามหลักที่ Flock ใช้ตั้งต้นคือ

1. คาดหวังอะไรกับการมาเวิร์คช็อป

2. คาดหวังอะไรกับลูก

3. คาดหวังอะไรกับตัวเองในฐานะที่เป็นพ่อเป็นแม่

ฝน-ภัทรภร เกิดจังหวัด

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคำตอบแต่ละคนคืออะไร หน้าที่ของคำถามข้างต้นมีเพียงอยากให้คนที่อยู่ในบทบาทพ่อแม่มา … (โปรดเติมจำนวนปีในช่องว่าง) … ปี ได้ย้อนเวลากลับไปทบทวนชีวิตการเป็นพ่อแม่ เปิดพื้นที่ให้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเหนือความคาดหวังของสังคมและตัวเอง เช็คกันว่า การสวมบทพ่อแม่ของเรานี่มันเป็นอย่างไร อย่างน้อยในเวิร์คช็อปครั้งนี้ Flock ต้องการสร้างพื้นที่ให้พ่อแม่ได้ระบายความทุกข์ให้กันและกันฟังบ้าง

หากคนที่อ่านบทความนี้อยู่เป็นลูก (โดยเฉพาะวัยรุ่นเป็นต้นไป) เสียงในหัวอาจดังขึ้นมาว่า “พ่อแม่ก็เป็นห่วงเรามากเกินไปหรือเปล่า คาดหวังในตัวเรามากไปหรือเปล่า ไปจนถึง เราคาดหวังต่อคำว่า ‘พ่อแม่’ เกินไปหรือเปล่า สังคม romanticized ความเป็นพ่อแม่เกินไปหรือเปล่า?”

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่เวิร์คช็อป Flock ครั้งปฐมฤกษ์นี้ต้องการคลี่คลาย …มาคุยกันหน่อยได้ไหมว่า ‘เรา’ คาดหวังอะไรกับการเป็นพ่อเป็นแม่

Flock Learning กลุ่มคนที่เชื่อว่าการเรียนรู้มีความหมายกว้างขวางกว่ารั้วโรงเรียนและต่อเนื่องยืนยาวไปได้ตลอดชีวิต

ก่อนจะเจาะไปที่การเปิด ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้พ่อแม่มาเช็ค ‘ความคาดหวัง’ ของตัวเอง อธิบายก่อนว่าองค์กร Flock คือใคร ทำอะไร ตั้งขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร  

เท้าความไปถึงครั้งที่แล้วที่ The Potential คุยกับ แม่บี-มิรา ชัยมหาวงศ์ นักวิจัยอิสระด้านการศึกษาทางเลือก ผู้มีประสบการณ์ด้านการเรียนรู้กว่า 20 ปีและหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมัชชาพ่อแม่-เครือข่ายแม่พ่อไม่รอระบบ คุยถึงบทบาทการเป็นแม่ (อ่านที่นี่) หลังปิดเครื่องอัดเสียง แม่บีเล่าให้ฟังว่าอีกหนึ่งความฝันคือการสร้างเครือข่ายพ่อแม่ที่จะได้มามีปฏิสัมพันธ์กันจริงๆ และชวนกันพูดคุยเรื่อง ‘การสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ’ ให้เกิดขึ้นภายในบ้าน

การเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่ให้เด็กมีวิชาความรู้ในแง่รู้หนังสือ แต่คือทักษะในเนื้อตัว การเป็นเจ้าของเป้าหมาย ความมานะพยายาม ทัศนคติที่มุ่งมั่น เชื่อมั่นในตัวเอง และอีกหลายอย่างที่รวมกันเป็น ‘อาวุธ’ ‘ทักษะ’ และ ‘คาแรคเตอร์’ ที่มนุษย์คนหนึ่งจะพบความรู้ ความชอบ และอยากเรียนรู้ด้วยตัวเองต่ออย่างไม่รู้จบ – นี่คือการเรียนรู้ในความหมายของแม่บี

แม่บี-มิรา ชัยมหาวงศ์

คำถามของแม่บีคือ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากระบบการศึกษาเท่านั้นหรือไม่?

“แต่ภายใต้ระบบการศึกษาที่เป็นปัญหาและเราต่างรู้ดี การหวังให้ระบบใหญ่เปลี่ยนนั้นคงยากและใช้เวลา แต่ในเมื่อผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังต้องฝากความหวังเรื่อง ‘การสร้างการเรียนรู้’ ของลูกไว้กับโรงเรียน

พ่อแม่ ในฐานะผู้ที่ใกล้ชิดและเป็นโลกทั้งใบของลูก เราจะทำอะไรได้บ้าง?

“ให้ลึกไปกว่านั้น เราอยากพูดถึงการเรียนรู้ของสังคม อยากเห็นคนสร้างการเรียนรู้ให้กันและกันได้ แต่มันควรจะเริ่มจากตรงไหนดี มีคนทำประเด็นเรื่องการเรียนรู้ไว้หลายเรื่องแล้ว แต่กับครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มพื้นฐานที่สุดกลับมีโปรเจ็คต์ที่ทำงานเรื่องนี้ไม่มากและเป็นไปอย่างจำกัด ทั้งที่มีคนพูดเรื่องพ่อแม่เต็มไปหมด มีคนเอาทฤษฎีมาบอก คุณหมอหลายคนพูดเรื่อง parenting แต่ไม่มีใครลงไปทำเรื่องการเรียนรู้กับพ่อแม่จริงๆ” แม่บีตอบคำถามนั้น

พฤษภาคมปีนี้ เราเห็นเพจใหม่บนหน้าเฟซบุ๊คชื่อ Flock Learning ที่แปลว่า ‘ฝูง’ คำอธิบายเพจตรงมุม about me เขียนแนะนำไว้ว่า ‘Flock เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ มีความหมายที่กว้างขวางกว่ารั้วโรงเรียน และต่อเนื่องยืนยาวไปได้ตลอดชีวิต’ แน่นอนว่าไม่ใช่ ‘ของ’ แม่บีเพียงคนเดียว ฝูงชนชาว Flock มีทั้งหมด 3 ท่าน หนึ่งคือแม่บี และอีกสองท่าน – จะเรียกว่าพวกเขาเป็นนักออกแบบการเรียนรู้ก็ได้ ป่าน-ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ และ กุ๊กไก่-ขนิษฐา ธรรมปัญญา จากทีม Fathom Bookspace ร้านหนังสือและพื้นที่การเรียนรู้ และยังมีวิทยากรที่ทำงานร่วมในเวิร์คช็อปอย่างวิทยากรแม่ฝน (เจ้าของประโยคข้างต้น) และ ร่ม-ฉัตรวรุณ เล้าแสงชัยวัฒน์

(ซ้าย) ป่าน-ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์, (ขวา) กุ๊กไก่-ขนิษฐา ธรรมปัญญา

ธงของ flock.co คือเรื่องการเรียนรู้โดยเจาะไปที่การสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจากพ่อแม่ กระบวนการที่วางไว้จึงมีตั้งแต่ หนึ่ง – การพัฒนาเครื่องมือที่จะช่วยให้พ่อแม่สนับสนุนการเรียนรู้ให้กับลูกได้ เครื่องมือแรกเรียกว่า ‘search model’ สอง – Flock ต้องการช่วยรวมกลุ่มพ่อแม่เพื่อสร้างการเรียนรู้ทั้ง offline และ online สาม – สนับสนุนการสร้างเครือข่ายสำหรับคนที่สนใจเรื่องการสร้างการเรียนรู้ สร้างเครือข่ายบางอย่างและมาทำงานด้วยกันได้ ช่วยกันสร้างการเรียนรู้ที่กว้างและลึกขึ้น

ทั้งหมดนั้นคือภาพใหญ่หรือเจตนารมณ์ของ Flock แต่ในฐานะคนทำงานกับสมัชชาพ่อแม่-เครือข่ายแม่พ่อไม่รอระบบ ปัญหาหนึ่งที่ Flock เห็นว่าสำคัญและอยากเปิดพื้นที่เพื่อคลี่คลายก่อนคือ…

การตรวจสอบสภาวะจิตใจของคนที่สวมบทบาทพ่อแม่ – ความสับสน อึดอัด สิ่งที่ค้างในใจในฐานะการสวมบทบาทเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นผู้ปกครอง ที่เรามักเห็นแต่พฤติกรรมที่แสดงออก แต่ภายใต้ความต้องการภายใต้ภูเขาน้ำแข็งที่อาจมองไม่เห็น มีความกังวลอะไรฝังอยู่ 

Flock Learning เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ แบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง

อันที่จริงจุดตั้งต้นของเวิร์คช็อป “เติมความเป็นโค้ชให้พ่อแม่” 5 จังหวัดทั่วประเทศไทย คือการให้เครื่องมือแก่พ่อแม่เพื่อสนับสนุนการสร้างเรียนรู้ให้ลูกเองได้ผ่านเครื่องมือ SEARCH Model* แต่ก่อนจะไปเป็นโค้ชให้ลูก พ่อแม่เป็นโค้ชให้ตัวเองก่อน หนึ่งในกิจกรรมเวิร์คช็อปจึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้พ่อแม่ได้มาคุยถึง ‘สัมภาระ’ หรือสิ่งที่ตัวเองแบกไว้

“พ่อแม่จำนวนมากมีความทุกข์นะ เราสันนิษฐานว่าคนที่ตัดสินใจเข้ามาเวิร์คช็อปก็เพราะเขากำลังเจอปัญหาอะไรบางอย่าง อย่างหนึ่งที่เราสังเกตเห็นคือเขาอาจไม่ได้ดูแลตัวเองมากพอ แต่พุ่งเป้าความต้องการของเขาไปที่เด็กๆ อย่างเดียว บางคนก็ทิ้งตัวเอง ทิ้งความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ลืมตัวเองไปเลย พอทิ้งไปนานๆ เขาตามตัวเองได้ไม่ทัน กระทั่งเวลาไม่แฮปปี้ บางทีพ่อแม่นึกไม่ออกแล้วว่าต้องทำยังไงนะ?” ป่านเล่า ‘เสียง’ ที่ได้ยินในเวิร์คช็อปให้ฟัง

กุ๊กไก่ช่วยเสริมประเด็นว่า “ทีนี้ พอทุ่มเทอยู่กับลูกมากๆ เหมือนความสำเร็จบางอย่างของลูกมันไปชุบชูบางอย่างของพ่อแม่เนอะ ความสนใจทั้งหมดของเขาเลยไปลงที่ลูก ลูกทำแบบนั้นนะแล้วลูกจะแฮปปี้ ทำแบบนี้แล้วจะโอเค อีกเรื่องคือ เราพบว่า พ่อแม่ต้องการเพื่อนนะ หมายถึงว่าเพื่อนที่ไม่ต้องมาบอกฉันนหรอกว่าฉันต้องทำยังไง ขอแค่พื้นที่จะคุยกันว่า ‘เนี่ย… ฉันไปเจออันนี้มา ฉันทำไม่ดีเลยแต่ฉันก็พยายามทำแล้วนะ’ ต้องการเพื่อนปรับทุกข์ เพื่อนแชร์ ซึ่งการเวิร์คช็อปมันให้บรรยากาศแบบนั้น ให้บรรยากาศว่า ‘นี่ไง มีเพื่อนที่เจอแบบเราจริงๆ ด้วยนะ’ ให้เขารู้ว่ามันคือความปกติ มันเป็นไปได้ เพราะเวลาอยู่คนเดียวมันจะกังวลทุกอย่างเลย ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดนั้นถูกหรือผิดยังไง”

ก็อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีน่ะ เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ มีอาชีพที่มั่นคงเลี้ยงดูตัวเอง รูปร่างหน้าตางดงามเข้าสังคมได้ไม่อายใคร ลูกคนข้างบ้านเพิ่งถอยรถยนต์คันใหม่ ไม่ได้อยากให้ลูกซื้อตามหรอกนะ แต่รถยนต์คือตัวแทนของความมั่นคงต่างหาก – ทั้งหมดนี้ทีม Flock ไม่ได้กล่าว แต่เป็นเสียงที่ช่วยกันจำลองว่าเสียงในหัวของพ่อแม่หลายคนที่ความต้องการส่วนใหญ่อยากเห็น ความสุข ความมั่นคง ในภาพคร่าวๆ ประมาณนี้ และยังไม่ได้นับรวมปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่าง ปัญหาเศรษฐกิจ การศึกษา ความยากจน และอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความทุกข์ที่กระทบต่อชีวิตที่อยู่ในบ้าน 

“ความคิดเช่น พ่อแม่ต้องเป็นฮีโร่ พ่อแม่ต้องเข้มแข็งเสมอเพื่อเป็นความเข้มแข็งของลูกเช่นกัน พ่อแม่ผิดพลาดไม่ได้ อันนี้ก็เป็นอันที่พ่อแม่แบกนะ มีน้องคนนึงมาสังเกตการณ์ตอนทำเวิร์คช็อป เขาบอกว่าดีมากเลยที่บอกว่าพ่อแม่ผิดพลาดได้นะ เพราะเขาเป็นเด็กคนนึงที่ไม่กล้าผิด เพราะพ่อแม่ไม่เคยผิดพลาดให้เห็นเลย บางครั้งทำให้เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะกลัวผิด 

“ความต้องการของพ่อแม่ส่วนใหญ่ ทบทวนไปจนท้ายที่สุดแล้วมันไปจบที่ ‘ความสุข’ ของลูกทั้งหมดนั่นแหละ แต่มันกลายเป็นความคาดหวังโดยไม่รู้ตัว ในเวิร์คช็อป เราเปิดด้วยไม่กี่คำถาม ซึ่งเท่านี้บางคนก็ร้องไห้จนสุดตัว บางคนสะเทือนกับความคาดหวังกับลูก บางคนสะเทือนกับความคาดหวังต่อตัวเอง เขาบอกว่ามันเป็นคำถามที่ไม่เคยถามตัวเองเลย มันไม่มีโอกาสรู้ตัว ความคาดหวังที่เขาแบกไว้เต็มหลัง มันหนักและมันกด เฮ้ย… ไหนบอกว่าเราเป็นพ่อแม่ที่ไม่คาดหวังอะไรเลยไง แต่จริงๆ มันเต็มไปหมดและมันก็ทำให้เหนื่อยมากเลย” วิทยากรแม่ฝนเล่า 

เราสงสัยว่าคนที่เข้ามาเวิร์คช็อปส่วนใหญ่เป็นใครกันบ้างและส่วนใหญ่เข้ามาด้วยความต้องการเฉพาะแบบไหน ทีมงานตอบว่าค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ คุณแม่ที่อยู่ในบทบาทครูแต่รู้สึกว่าใจดีกับลูกศิษย์มากกว่าลูกของตัวเอง คู่สามีภรรยาที่มาเวิร์คช็อปเพราะต้องการเข้าใจความเสียงของกันและกันมากกว่าเดิม พ่อแม่ที่อยากเตรียมพร้อมลูกสำหรับการเติบโตในโลกผันผวน พ่อแม่ที่ต้องการเข้าใจธรรมชาติของปู่ย่าตายาย คุณยายที่ต้องการเข้าใจและรับมือหลานเจเนอเรชั่นอัลฟ่า พ่อแม่ที่อยู่มาวันหนึ่งลูกก็โตเป็นวัยรุ่นและเริ่มถอยห่างกันไป และอื่นๆ  

เชื่อว่าลึกลงไปยังมีปัญหาปลีกย่อยอีกมากที่การทำเวิร์คช็อป 2 วันอาจคุ้ยไม่เห็น แต่เฉพาะปัญหาภายในใจที่คิดว่าพ่อแม่คลี่คลายและปลดภาระบางอย่างได้คือ การตั้งคำถามกับตัวเอง ช้าลงเพื่อใคร่ครวญกับตัวเอง ทำให้เสียงของตัวเองชัดขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เราได้ยินเสียงเด็กๆ ชัดขึ้นด้วยในที่สุด

“ถามว่าถ้าไม่มีเวิร์คช็อปแบบนี้พ่อแม่จะจัดการตัวเองได้ไหม? ได้ แต่ปัญหาของพ่อแม่อย่างหนึ่งคือ เขาไม่มีพื้นที่ มันไม่มีแบบ… ‘เอ้า ทุกคน วันนี้มาคุยกันเรื่องลูกกันเถอะ’ มันไม่มีพื้นที่ให้พูดคุยสบายใจ พาไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่มีพื้นที่ให้ได้ลอง มันไม่มีกระบวนการที่ให้ได้มาขุดคุ้ยเสียงข้างในแบบนี้ การที่คนไม่รู้จักกันมาเจอกันแล้วแลกเปลี่ยน เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน” วิทยากรแม่ฝนกล่าว

เช่นกัน ในฐานะลูก บางทีเราก็ลืมไปว่าในความเป็นพ่อเป็นแม่ สิ่งที่กัดกินลึกเข้าไปข้างในมันคืออะไร เอาเข้าจริงเราก็ไม่เคยมานั่งถามพ่อแม่เหมือนกันว่า “ประเมินหน่อยสิ เป็นแม่มาแล้วหลายปี รู้สึกอย่างไรบ้าง?” คงไม่ใช่แค่วัยรุ่นเท่านั้นที่เจ็บปวด แต่ในความเป็นมนุษย์เราต่างก็มีสัมภาระส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น

“ใจดีต่อตัวเอง” คำนี้คือคำที่ทีม Flock พูดถึงอยู่บ่อยครั้ง

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ ‘เสียง’ หนึ่งที่อยู่ในเวิร์คช็อป Flock ยังมีหน้างานที่อยากผลักดันอีกหลายอย่าง อย่างที่แม่บีกล่าวว่า “Flock ไม่ได้ตั้งสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อจะจบให้ได้ภายในหนึ่งปี แต่ความตั้งใจคือเราอยากได้พ่อแม่ 1 เปอร์เซ็นต์ในสังคมที่เปลี่ยน (ประมาณ 2 แสนคน) การเปลี่ยนของพ่อแม่ 1 เปอร์เซ็นต์นี่มันสามารถเปลี่ยน paradigm บางอย่างที่เคลื่อนสังคมได้เลยนะ แต่พอบอกว่า ‘เราจะทำ’ ก็ทำแค่เราสี่ห้าคนไม่ได้ ชวนพ่อแม่ที่สนใจ สงสัย อยากรู้ และสนใจเรื่องทักษะชีวิตของเด็ก มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยน ขยับขับเคลื่อนไปด้วยกัน มีคนถามเราเยอะมากว่าทำไมไม่ทำกับกลุ่มเด็กขาดโอกาส เราอยากทำ แต่ตอนนี้กำลังเรายังไม่เยอะพอ ซึ่งมันต้องเข้มแข็งเพียงพอนะไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราพูดไปมันจะกลายเป็นว่าพูดแล้วเหมือนเททิ้งลงน้ำ ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าสิ่งนี้น่าสนใจและไปต่อได้” 

พ่อแม่คือ ‘ระบบนิเวศของลูก’ แต่ก็เป็นระบบนิเวศที่ผิดได้พลาดเป็น เป็นระบบนิเวศที่เป็นมนุษย์ ไม่ต้อง ‘สมบูรณ์’ ก็ได้ แค่ดีพอ ก็พอแล้ว 

ใจดีต่อตัวเอง… แม้เป็นพ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป 

*SEARCH Model เครื่องมือที่จะเป็นตัวช่วยพ่อแม่สร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ (self-directed learning) พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการเรียนรู้ของของชาว Flock เป็นรหัสหรือคำย่อจากเครื่องมือ 5 ตัวคือ sensing, empathy, aspiration, reconstruct, chance และ hearten
Sensing: คือการ ‘ฟัง’ ในสิ่งที่ไม่ได้ยิน ฟังในสิ่งที่ลูก (หรือใครก็ตาม) ไม่ได้บอกคุณ แต่คือการใช้ ‘เซนส์’ ทั้งหมดของคุณรับรู้ว่าขณะนี้เด็กๆ กำลังอยู่ในภาวะอะไร หงุดหงิดอยู่หรือเปล่า เศร้า อึดอัด ต้องการคำปลอบใจ ซึ่งภาวะที่แตกต่างเหล่านี้ต้องการการดูแลที่ต่างกันเช่น ในสถานการณ์ที่กำลังพูดคุยกันอยู่ คุณอาจยิงไปหลายคำถามเพื่อ (เค้น) อยากได้คำตอบ แต่ลูกเริ่มหยุดพูด หน้าตาหงุดหงิด เบื่อหน่าย แต่คุณยังคงยิงคำถามต่อไปอย่างไม่ ‘เซนส์’ ว่าขณะนี้เด็กๆ ไม่เปิดใจรับฟังคุณแล้ว จังหวะนี้ถ้าคุณยิ่งรัวคำถาม ตามที่เคยฟังเคยอ่านมาว่าคำถามที่จะเวิร์ค สิ่งที่เกิดอาจเป็นการปะทะและทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิมแทน แต่ถ้าคุณ ‘เซนส์’ ได้ว่าจังหวะนี้คนตรงหน้าไม่โอเคแล้ว เขาแค่อยากให้ฟังเขา หรือถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วรอจังหวะดีๆ ค่อยเข้าไปคุยกันใหม่ แบบนี้อาจทำให้เรื่องง่ายกว่า
Empathy: การเข้าไปนั่งในใจลูก แต่สิ่งนี้ไม่ใช่การสอนให้ลูกมี แต่ Flock จะชวนให้พ่อแม่มีในใจตัวเองก่อน ลูกจะเริ่มเป็นในสิ่งที่พ่อแม่เป็น เริ่มจากมี sensing ที่จะฟังในสิ่งที่เด็กๆ ไม่ได้พูดและพยายามเข้าไปนั่งอยู่ในใจ เข้าใจตัวเอง และเข้าไปลองนั่งในใจคนอื่นให้ได้ นอกจากพ่อแม่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น มันจะเป็นจุดที่ลูกรับรู้ได้เช่นกันว่าพ่อแม่พยายาม อยากจะเข้าใจเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่อาจเปลี่ยนไป และเด็กๆ ก็จะเริ่มมองตัวเอง และคนอื่นได้ดีขึ้น เห็นคุณค่าความหมายของตัวเองและความแตกต่างหลากหลายได้นอกจากความพยายามเข้าใจลูก บี-มิราแนะนำว่าเวลาพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์รอบตัวหรือขณะเล่านิทาน ชี้ชวนกันถามด้วยยังได้ ‘ลูกคิดว่าคนนี้จะรู้สึกยังไง’ แบบนี้ก็เป็นการพัฒนาความรู้สึกเข้าอกเข้าใจของเด็กๆ ได้เช่นกัน
Aspiration: การพูดคุยเรื่องการตั้งเป้าหมาย แต่เป็นการคุยเพื่อขีดเส้นใต้ให้ชัดว่านี่คือเป้าหมายของลูก เป้าหมายของแม่ หรือเป็นเป้าหมายร่วมกัน หัวใจสำคัญคือการทำให้เด็กมีเป้าหมายในชีวิตที่เป็นของเขาเอง“เราคุยกันบ่อยมากว่าทุกวันนี้ที่เด็กๆ ทำอยู่มันเป็น aspiration ของใคร เด็กรู้ไหมว่าทำไมต้องไปโรงเรียน เขามีเป้าหมายกับการไปโรงเรียนหรือเปล่า แต่ aspiration คือการทำให้เขาเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นของเขาไม่ใช่ของพ่อแม่ เด็กทำในสิ่งที่เราบอกได้อยู่แล้วเพียงแต่มันไม่ใช่ตัวเขา แต่เด็กจะพัฒนาตัวตนจากตรงไหน? ถ้าเขามีเป้าหมายจริงๆ การเรียนรู้จะเป็นของเขา” แม่บีกล่าวขณะที่ป่านเสริมว่า “สมมุติถ้าเราอยากเป็นคนเก่ง อยากภูมิใจในตัวเองได้ นี่เป็นเป้าหมายนามธรรมของเรา ฉะนั้นเราจะทำยังไงให้เราไปสู่เป้าหมายนี้ เราจะคิดรูปธรรมในแบบเราขึ้นมา เราอยากไปเรียนอันนี้ เราไม่ต้องการการแข่งขันนะ แต่เราอยากเก่งขึ้น เราอยากมีทักษะที่มากขึ้นเราก็ใช้วิธีพัฒนาตัวเองแบบหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นเป้าหมายของแม่ขึ้นมา มันจะมีคำถามแบบ ถ้าจะเก่งคือเราควรต้องแข่งหรือเปล่า เวลาที่เราแข่งเราต้องชนะไหม หรือเราควรทำยังไง เราจะไม่รู้เลยนะเพราะไม่ใช่เป้าหมายเรา รู้แต่ว่าเก่ง แล้วเก่งคือยังไง? จุดหมายคือตรงไหน แล้วถ้าไปถึงแล้วยังไงต่อ มันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ก็ไม่มีความหมายสำหรับตัวเขาเองจริงๆ แต่ถ้าเรามีเป้าหมายของเราเอง เราจะรู้ทุกอย่าง พอรู้ทุกอย่าง ทำให้เรามีแพชชั่นที่จะไป รู้ว่าไปเอาอะไร ไปทำไม ทำแบบไหน และจะทำยังไงให้มันดีกว่านี้อีก”
Reconstruct: ใช้คำถามเพื่อให้ลูกเห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น เห็นตัวเองได้ชัดขึ้นว่าเขากำลังเผชิญกับอะไร ไม่ใช่การรีบป้อนคำตอบ ความยากคือ จะตั้งคำถามอย่างไรที่จะไม่ชี้นำและไม่ใช่ถามเพื่อให้ได้คำตอบอย่างที่อยากได้ยิน“เช่น มีเคสเล่าว่าลูกถูกแกล้งที่โรงเรียน สิ่งที่แม่คิดในใจคือ จะให้ลูกไปจัดการกับเพื่อนกลุ่มนี้ได้อย่างไร พ่อแม่ก็เลยช่วยไกด์ ช่วยตั้งคำถามกับลูก ‘ลูกคิดว่าทำไมเพื่อนถึงแกล้ง’ ลูกบอกว่า ‘คิดว่าเพื่อนคงอยากเล่นด้วยมั้ง’ แม่เลยถามตามความคิดของแม่ว่า ‘แล้วจะทำยังไงให้เพื่อนเข้ามาเล่นกับลูกได้’ ขณะที่เราไม่รู้เลยว่า ‘แล้วลูกอยากเล่นกับเขาหรือเปล่า’“ฉะนั้นการถามของเรามันก็ทำให้เราได้ทบทวนว่าเขาอยากแก้ปัญหาแบบไหน เขาอาจมีคำตอบในใจก็ได้ว่า ‘อ๋อ… จริงๆ เราไม่ได้อยากเล่นกับเพื่อนกลุ่มนี้นะ’ พ่อแม่ถามให้เขาเห็นหลายๆ มุมได้ว่าเขาอยากแก้ปัญหายังไงโดยที่ไม่ต้องถามเพื่อให้รู้คำตอบหรือเพื่อบอกคำตอบ เราช่วยให้เด็กๆ ได้คิดเอง” ป่านอธิบาย
Chance: การเลือกที่นำไปสู่การทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย เครื่องมือนี้เป็นตัวที่ใกล้ๆ กับ aspiration และ reconstruction เพราะพอได้ตั้งเป้าหมาย ผ่านการตั้งคำถาม ได้เห็นโอกาสในการดำเนินชีวิตหรือการแก้ปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายก็ต้อง ‘เลือก’ แน่นอนว่าเราเลือกทุกอย่างไม่ได้ แต่พ่อแม่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เขาเห็น ‘ทางเลือก’ ที่มากพอ และช่วยตั้งคำถามต่อได้ว่า เขาอยากเลือกทางไหน และทำอย่างไรที่จะทำให้เขาทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หรือยาก นี้ให้สำเร็จได้
Hearten: สุดท้ายคือการเสริมแรง ให้กำลังใจ เชียร์อัพ ลุย! แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ sensing ด้วยนะคะ บี-มิราย้ำว่า “บางครั้งลูกท้อๆ ร้องไห้มา แล้วเราไม่ sensing บอกเขาว่า ‘อย่าร้อง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ไปเลยๆ’ แบบนี้ก็ไม่ได้ บางครั้งการเสริมแรงอาจคือการเป็นฟูกนิ่มๆ ให้เขานอน”

Tags:

พ่อแม่Flock Learningมิรา ชัยมหาวงศ์ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Family Psychology
    กลับมาเป็นพ่อแม่ที่มีหัวใจ ฟังเสียงข้างในที่ลูกไม่ได้พูด

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Family Psychology
    “โอบกอดบุตรหลาน ฟังเสียงเขา ลดเสียงเรา ประสบการณ์เก่าใช้ไม่ได้กับอนาคต” ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้
Healing the traumaFamily Psychology
8 December 2019

ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

ตัวเราในวันนี้เป็นผลผลิตจากการฟูมฟักเลี้ยงดู และจากความสัมพันธ์ของทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครูที่โรงเรียน รวมไปถึงผู้ใหญ่ในชุมชน ทั้งหมดล้วนมีอิทธิพลต่อตัวตนของเรา และเขาเหล่านี้คงพยายามเลี้ยงดูเราอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ณ ตอนนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้อ่าน โดยเฉพาะท่านที่เป็นคุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยตั้งคำถาม ใคร่ครวญกับตัวเอง (self-reflection) อยู่บ้างว่า

“ทำไมพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เหล่านั้นจึงเลี้ยงดูเราแบบนั้น มีตรงไหนที่อยากให้เขาปฏิบัติกับเราต่างไปจากที่เป็นไหม”

“เรานำวิธีที่ถูกเลี้ยงดูมาใช้กับลูกบ้างหรือไม่ ตรงไหนที่เหมือน ตรงไหนที่ต่าง”

“อะไรเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เราได้รับในวัยเด็ก”

ใน ‘Parenting from the Inside Out’ หนังสือคู่มือการเลี้ยงลูกยุคใหม่ ผลงานเขียนร่วมกันของจิตแพทย์ แดเนียล ซีเกล (Daniel J. Siegel) และครูสอนเด็กเล็ก แมรี เฮิร์ทเซล (Mary Hurtzell) บอกว่า การที่พ่อแม่ใคร่ครวญกับตัวเอง (self-reflection) และรู้ว่าตัวเองมีมุมมองอย่างไรต่อประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็ก ตอบตัวเองได้ชัดว่าพ่อแม่ที่ดีควรเป็นและปฏิบัติกับลูกอย่างไร จะมีหลักยึดให้สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่อบอุ่นและส่งเสริมให้ลูกมีสัมพันธภาพที่ดีในวันข้างหน้าได้

ความสอดคล้อง (coherence) ของเรื่องราวที่เล่าจากประสบการณ์ชีวิตในอดีตสะท้อนว่าพ่อแม่มีความเข้าใจตนเองมากน้อยเพียงใด ซึ่งมีงานวิจัยพิสูจน์ออกมาแล้วว่าสิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ว่าเด็กรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่หรือไม่ พ่อแม่คนไหนที่มีความเข้าใจในตนเองจะมีความมั่นคงทางใจ (adult security of attachment) และตามมาด้วยแนวโน้มในการสร้างความผูกพันแบบมั่นคง (secure attachment) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาการที่สมบูรณ์แข็งแรงของลูกได้มากที่สุด

ความมั่นคงทางใจที่สร้างเอง (Earned Security)

ทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ นำโดย แมรี เมน (Mary Main) ตั้งสมมุติฐานว่าพ่อแม่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรก็จะนำพฤติกรรมแบบเดียวกันนั้นไปใช้กับลูก เช่น พ่อแม่ที่วัยเด็กถูกเลี้ยงดูแบบทิ้งขว้างเมื่อโตขึ้นก็มีแนวโน้มที่จะไม่ใส่ใจลูกตัวเองเช่นกัน

พวกเขาสัมภาษณ์คนที่เคยร่วมทดสอบรูปแบบความผูกพันที่มีต่อพ่อแม่ซึ่ง แมรี ไอน์สเวิร์ธ (Mary Ainsworth) นักวิจัยด้านจิตวิทยาเคยทำไว้ตอนพวกเขาอายุราวหนึ่งขวบ (ในผลงานชื่อ Infant-strange Situation) โดยใช้ชุดคำถามที่เรียกว่า The Adult Attachment Interview (AAI) ถามกระตุ้นให้เด็ก (ซึ่งขณะนี้โตเป็นผู้ใหญ่หรือบางคนกลายเป็นพ่อแม่แล้ว) เล่าย้อนถึงความทรงจำและสะท้อนมุมมองที่มีต่อประสบการณ์วัยเยาว์ของตัวเอง แล้วนำข้อมูลมาประเมินความสอดคล้องสมบูรณ์ของเรื่องราว (coherence) เพื่อจำแนกสภาวะจิตใจอันเป็นผลจากรูปแบบความผูกพันในวัยเด็ก (states of mind with respect to attachment) ออกเป็น 4 รูปแบบคือ มั่นคงทางใจ (secure) เมินเฉย (dismissing) หมกมุ่น (preoccupied) และ มีปมติดค้าง/สับสน (unresolved/disorganized) 

รูปแบบความผูกพันกับพ่อแม่ในวัยเด็ก (models of attachment)ลักษณะการเลี้ยงดูลูกเมื่อเป็นพ่อแม่ หรือ สภาวะจิตใจ (states of mind) เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
ผูกพันแบบมั่นคง (securely attached)มีความมั่นคงทางใจ (ไม่ยึดติด หรือ พึ่งพาได้)
ผูกพันแบบไม่มั่นคง-ห่างเหิน (avoidantly attached)เมินเฉยกับความสัมพันธ์ (dismissing)
ผูกพันแบบไม่มั่นคง-ครึ่งๆ กลางๆ (ambivalently attached)หมกมุ่นกับอดีต (preoccupied)
ผูกพันแบบไม่มั่นคง-สับสน (disorganizedly attached)มีปมติดค้างในใจ หรือยึดติดกับความสูญเสีย/สับสน (unresolved trauma or loss/disorganized)

โดยปกติแล้ว ความมั่นคงทางใจมีจุดกำเนิดจากการได้รับความอบอุ่นจากการเลี้ยงดูในครอบครัวเป็นหลัก เมื่อมีข้อค้นพบว่าผู้ใหญ่ซึ่งโตมาในบ้านสีเทาหม่นแต่กลับมีจิตใจมั่นคง นักวิจัยจึงเรียกความมั่นคงประเภทนี้ว่า ‘earned security’ แปลว่า ความมั่นคงทางใจที่สร้างขึ้นเอง งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า รูปแบบความผูกพันกับพ่อแม่ในวัยเด็กสามารถพยากรณ์ลักษณะเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่หรือเมื่อเป็นพ่อแม่ได้จริงและแม่นยำถึง 85 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญในงานวิจัยนี้คือการค้นพบว่าผู้ใหญ่บางคนที่ถูกทิ้งขว้างในวัยเด็กสามารถเติบโตมาเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกได้ดีได้ กล่าวคือ แม้ในวัยเด็กผูกพันกับพ่อแม่แบบไม่มั่นคง (insecure attachment) แต่ตอนโตกลับมีสภาวะมั่นคงทางใจเต็มเปี่ยม (adult secure attachment) 

ดร.อลัน ซรูฟ (Alan Sroufe) ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กแห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา ศึกษาผู้ใหญ่กลุ่มนี้ต่อมาและพบว่าพวกเขาสร้างความมั่นคงทางใจจากสัมพันธภาพรอบตัวอื่นๆ ในชีวิตนอกเหนือจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลัก (primary caregiver) มาช่วยประคับประคองจิตใจให้อยู่ในแดนบวก เช่นมีญาติ ครู หรือเพื่อนที่ดีคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือ

สำหรับพ่อแม่ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าตนเป็นลักษณะใดลักษณะหนึ่งไปก่อน แต่ละคนอาจมีหลายลักษณะร่วมกัน และเด็กก็มีรูปแบบความผูกพันกับผู้ใหญ่แต่ละคนไม่เหมือนกัน (กับแม่ผูกพันแบบมั่นคง กับพ่ออาจเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ) งานวิจัยได้แบ่งลักษณะความผูกพันออกจากกันเพื่อเปรียบเทียบให้ชัดเจน ซึ่งในความเป็นจริงเราอาจมีลักษณะความผูกพันหลักเป็นแบบใดแบบหนึ่งกับคนที่เลี้ยงดูและเปลี่ยนรูปแบบไปกับคนอื่นในสถานการณ์อื่นก็ได้ 

ข้อคิดจากการค้นพบว่าเราสามารถสร้างความมั่นคงทางใจขึ้นได้เองแม้ว่าจะไม่เคยรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่เลยก็ตามนั้น หมายความว่า เราไม่ได้ถูกลิขิตพฤติกรรมและเส้นทางที่เลือกเดินจากการเลี้ยงดูเสมอไป หากเราทบทวน ทำความเข้าใจในตนเอง และเปิดรับการเปลี่ยนแปลงที่ดี มันจะกลายเป็นพลังใจอันมั่นคงให้ก้าวไปข้างหน้าและพร้อมส่งต่อความสัมพันธ์ที่ดีให้ลูกหลานและคนรุ่นต่อไป

ดูจากพ่อแม่ก็รู้ว่าลูกจะโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น ขออธิบายลักษณะของสภาวะจิตใจตอนโตอันเป็นผลมาจากรูปแบบการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ที่มีกับพ่อแม่ในวัยเด็ก ทั้ง 4 แบบในตารางข้างต้น ซึ่งทีมวิจัยของแมรี เมน ได้จำแนกไว้อีกครั้งหนึ่ง

  1. ผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางใจ (Secure Adult Attachment)

คือคนที่เล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กได้สอดคล้องสมบูรณ์ เมื่อเป็นพ่อแม่ก็จะสามารถเลี้ยงลูกให้มีความผูกพันแบบมั่นคงได้ดี 

“พ่อฉันป่วยด้วยโรคอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวสุขเดี๋ยวเศร้า ฉันกับพี่น้องโตมาด้วยบรรยากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ โชคดีที่แม่เข้าใจว่าพวกเรากลัวอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของพ่อ แม่ปลอบโยนและทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจตลอด ทั้งที่กลัวนะแต่ก็สัมผัสได้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง จนฉันคลอดลูกชาย พ่อก็เข้ารับการรักษาอาการที่ว่า พอได้เลี้ยงลูกเองฉันเริ่มทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มันยากมากเวลาเขาร้องโยเยและฉันกลัวเวลาควบคุมลูกไม่อยู่ เลยลองตรองกับตัวเองดูว่าจะทำให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง ฉันพยายามไม่ตอบโต้เวลาลูกใช้อารมณ์ ความสัมพันธ์ของเราจึงค่อยๆ ลงตัว กับพ่อเดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากเหมือนฟ้าหลังฝน ถึงเขาจะไม่เซนซิทีฟและเปิดกว้างเท่าแม่แต่เขาก็พยายาม พ่อผ่านอะไรๆ มามากและฉันก็นับถือเขาในจุดนั้น” 

นี่คือบางช่วงบางตอนของบทสัมภาษณ์คุณแม่ที่ผูกพันกับลูกชายเป็นอย่างดี (secure attachment) แต่วัยเด็กเธอเติบโตในครอบครัวที่พ่อป่วยด้วยโรคอารมณ์แปรปรวน มีแม่เป็นคนช่วยแบ่งเบาและพยุงจิตใจเธอจนกระทั่งโตเป็นสาว ลักษณะมุมมองของเธอสะท้อนความมั่นคงในทางที่สร้างเอง (earned security) จุดเด่นของเรื่องเล่าในผู้ที่มีความมั่นคงทางใจในงานวิจัยของ แมรี เมน นั้นจะแสดงถึงสิ่งต่อไปนี้

  • การเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ (กรณีนี้คือ ผู้เล่ารับรู้ความรักจากแม่ เข้าใจโรคภัยและการต่อสู้ของพ่อ) 
  • การปรับตัวตามสถานการณ์ที่เจอ (flexibility) และถ่ายทอดอย่างเป็นกลาง (objectivity) 
  • เรื่องเล่าเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน และ (มีนัยยะถึง) อนาคต
  1. ผู้ใหญ่ที่เมินเฉยกับความสัมพันธ์ (Dismissing Adult Attachment) 

คือผู้ใหญ่ที่ตอนเด็กมักโดนพ่อแม่ละเลยไม่เอาใจใส่และปฏิเสธความสำคัญ เมื่อเป็นพ่อแม่ก็ผูกพันแบบห่างเหินกับลูก (avoidance attachment) เป็นหลัก คือรับรู้ความต้องการของลูกช้า ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ยี่หระกับความรู้สึกของใครแม้แต่ความรู้สึกที่กู่ร้องภายในของตนเอง 

“พ่อแม่ฉันอยู่ด้วยกันและฉันก็เติบโตขึ้นในบ้านที่ดี เราทำกิจกรรมด้วยกันหลายอย่าง และฉันก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงได้รับจากบ้านที่ดี ฉันกับพี่ถูกสอนให้แยกแยะถูกผิด ทางที่ถูกที่ควร เพื่อความสำเร็จในชีวิต ฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่าเขาสอนอะไรบ้าง แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับวัยเด็กแล้ว แค่นี้แหละค่ะ ใช่ มันเป็นชีวิตที่ดี” 

จากคำบอกเล่าจากคุณแม่ที่ผูกพันกับลูกแบบห่างเหินในงานวิจัยของ แมรี เมน บทสัมภาษณ์ของผู้ใหญ่กลุ่มนี้มักมีลักษณะร่วมดังต่อไปนี้ 

  • เล่าเรื่องได้สอดคล้องสมบูรณ์ มีตรรกะ แต่ขาดรายละเอียดความทรงจำ อารมณ์ความรู้สึก ความเป็นส่วนหนึ่ง 
  • ไม่กล่าวถึงใครเป็นพิเศษหรือเชิงลึกเลย 
  • ไม่มีการเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต  

มีงานศึกษาซึ่งเจาะลึกด้านความทรงจำของผู้ใหญ่กลุ่มนี้ว่าทำไมจึงนึกเรื่องราวในอดีตไม่ออก (นอกจากบางคนอาจจงใจปิดบังอดีตอันขมขื่น) พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะประสบการณ์ที่พวกเขาเจอไม่มีการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก ถูกเลี้ยงดูอย่างแห้งแล้งซังกะตาย สมองจึงไม่สนใจจะบันทึกไว้ตั้งแต่แรก อีกทั้งการที่พ่อแม่ไม่ให้ความสำคัญกับตัวตนของเขาก็มีส่วนทำให้สมองไม่มีภาพตำแหน่งแห่งหนของตัวเองในห้วงเวลาเหล่านั้น (autobiographical memory) เลย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ใหญ่ลักษณะนี้ดูท่าจะไม่สนใจใคร แต่ปฏิกิริยาตอบสนองทางกายยังบ่งชี้ว่าจิตใต้สำนึกของพวกเขาให้ความสำคัญกับการมีผู้อื่นในชีวิตอยู่ โดยมากรับรู้และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ปกติ เพียงแต่สร้างเกราะไม่ให้ตัวเองแสดงออกหรือปิดกั้นความรู้สึกตนเองโดยไม่รู้ตัว งานศึกษานี้อธิบายว่าคนกลุ่มนี้สมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่ด้านอารมณ์จะทำงานน้อยกว่าสมองซีกซ้าย

หนทางเยียวยาคือ การกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวาซึ่งทำงานไม่เต็มที่ ทำให้อ่านอารมณ์ความคิดของคนอื่นไม่ออก ไม่เข้าใจอากัปกิริยาท่าทางที่คนอื่นสื่อสารและขาดการตระหนักรู้ตนเอง การทบทวนตนเอง (self-reflection) ในกรณีนี้อาจไม่ได้ผลนักเพราะสมองซีกซ้ายซึ่งใช้ตรรกะไม่สามารถทำงานได้ถ้าขาดรายละเอียดข้อมูลของความทรงจำที่เก็บโดยสมองซีกขวา

วิธีกระตุ้นให้สมองซีกขวาทำงาน ทำได้โดยฝึกให้มองภาพหรือสัญลักษณ์ท่าทางของคนแล้วพยายามอธิบายอารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นคำพูด 

  1. ผู้ใหญ่ที่หมกมุ่นกับอดีต (Preoccupied Adult Attachment)

คือคนที่ถูกเลี้ยงดูด้วยการเอาใจใส่แบบลุ่มๆ ดอนๆ พ่อแม่เข้าใจและตอบสนองไม่เสมอต้นเสมอปลายในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้นจึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่จิตตก ขี้กังวล เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมื่อเป็นพ่อแม่น้อยครั้งที่ผู้ใหญ่กลุ่มนี้จะเข้าถึงความต้องการหรือตีความกิริยาท่าทางที่ลูกแสดงออกมาได้ ลูกจึงพัฒนาความผูกพันแบบครึ่งๆ กลางๆ กับพ่อแม่ (ambivalent attachment) เพราะเต็มไปด้วยความกังขาไม่แน่ใจว่าพึ่งพาพ่อแม่ได้หรือไม่

เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่กลุ่มนี้ถ่ายทอดมักกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็นปมในอดีตและออกทะเลไปจากหัวข้อที่กำลังพูดกัน สะท้อนความหมกมุ่นกับอดีตและสติไม่อยู่กับปัจจุบัน คิดอ่านและแสดงพฤติกรรมโดดไปจากสถานการณ์ตรงหน้า 

“ผมโตมายังไงน่ะเหรอ? อธิบายไม่ถูกอะ! พวกเราซี้กันมากแต่ก็ไม่มากขนาดนั้น เรียกว่าสนิทละกัน เราเล่นด้วยกันบ่อย ผมกับพี่ชายอีกสองคนน่ะ บางทีพวกนั้นชอบเล่นแรง ผมก็แรงกลับ ไม่ได้อะไรกันหรอกแต่แม่ชอบมองเป็นปัญหา อย่างวันแม่ที่ผ่านมาได้เจอกัน แม่บอกว่าผมกับภรรยาเลี้ยงลูกโหดไป คือท่านว่าผมน่ะพูดแรงกับลูกชายเกิน แต่ทีกับพี่ๆ ตอนเราเป็นเด็ก แม่ไม่เห็นเคยว่าอย่างนี้เลย แม่ปล่อยให้พี่แกล้งผมแรงๆ เอาสนุก แล้วไม่เห็นว่าอะไร ไม่มีเลย ผมโดนตลอด แต่ผมไม่แคร์นะ ถึงมันจะน่าเศร้าก็เหอะ ผมจะไม่ให้แกมายุ่งอีกแล้ว คุณว่าไหมล่ะ?” 

นี่คือคำบอกเล่าของคุณพ่อซึ่งมีความผูกพันแบบครึ่งๆ กลางๆ กับลูก (ambivalent attachment) เขากำลังให้สัมภาษณ์ว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร แต่กลับสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันโดยตัวเขายังติดอยู่ในปมความรู้สึกว่าแม่ลำเอียง ถ้าคุณพ่อท่านนี้ไม่ทบทวนและแกะตัวเองออกจากปม มีโอกาสสูงมากที่เขาจะทำให้ลูกรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อน 

การเยียวยาแก้ไขผู้ใหญ่ที่เป็นแบบนี้ต้องอาศัยการใช้ตรรกะของสมองซีกซ้ายเข้ามาควบคุมอารมณ์ความรู้สึก นักวิจัยมองว่าสมองซีกขวาของคนกลุ่มนี้ทำงานมากไป บวกกับฝังใจว่าตนเองโดนละเลยบ่อยๆ จึงรู้สึกว่าพึ่งใครไม่ได้ เกิดข้อกังขาหรือกล่าวโทษตนเองโดยไม่รู้ตัวและขาดความมั่นคงทางใจ

ควรฝึกการปลอบโยนตัวเอง (self-soothing) เช่น หมั่นพูดบวกกับตัวเอง (self-talk) บ่อยๆ ยิ่งในสถานการณ์ที่กำลังรู้สึกเปราะบางหรือเจอเหตุการณ์ที่ไม่เป็นใจ จนพานให้กล่าวโทษตัวเอง หายใจลึกๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า “ตอนนี้เครียดจริงๆ แต่ใจเย็นๆ ก่อนนะ ลองสู้ดูสักตั้งก่อน ไม่ว่ายังไงเราจะได้เรียนรู้มันและผ่านไปได้” หรือ “ฉันจะรักตัวเองก่อนเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และฉันจะทำให้ตัวเองมีความสุขและยิ้มได้” นอกนั้นอาจทำกิจกรรมแนวผ่อนคลาย เช่น ปลูกต้นไม้ ฝึกโยคะ และฝึกการสื่อสารอย่างเปิดอกกับคนใกล้ชิดที่เข้าใจ  

  1. ผู้ใหญ่ที่มีปมติดค้าง (Unresolved Adult Attachment)

พ่อแม่ที่มีบาดแผลทางใจก็ดีหรือผ่านการสูญเสียมาก็ดี มักสร้างลักษณะความผูกพันแบบสับสน (disorganized attachment) ให้กับลูกๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด  ด้วยพฤติกรรมเช่น ใจลอยไปถึงปัญหาตนเองเมื่อลูกกำลังร้องไห้แทนที่จะปลอบโยน ตะเบ็งโมโหใส่ลูกที่กำลังร้องดีใจเสียงดังกับผลบอล หรือตีลูกที่โยเยไม่ยอมนอน

สาเหตุที่ผู้ใหญ่กลุ่มนี้มักแสดงอาการเกรี้ยวกราดเพราะภาวะการควบคุมอารมณ์เสียสมดุล เรียกว่า ‘dysregulation’ อารมณ์จะแปรปรวนแบบปัจจุบันทันที จากพูดคุยอยู่ดีๆ กลับบึ้งตึงขึ้นมาเฉยๆ สมองถูกครอบงำด้วยความคิดที่บดบังสถานการณ์ตรงหน้า การตอบสนองจึงไม่สอดคล้องกับปฏิสัมพันธ์ แน่นอนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยพ่อแม่ที่ติดค้างอยู่ในปมย่อมเกิดความตื่นกลัวต่อคลื่นอารมณ์ซึ่งหาที่มาที่ไปไม่เจอ สับสนในตัวพ่อแม่ (disorganized attachment) และต้องแบกรับจิตใจที่บอบช้ำที่พ่อแม่รับช่วงต่อมาสร้างกับตน

คนที่มีภาวะ dysregulation นี้ สามารถเยียวยาและทำความเข้าใจตัวเองได้โดยให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เป็นปมในใจ เพื่อหาให้เจอว่าชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของเรื่องที่สมบูรณ์สอดคล้องนั้นคืออะไร 

“ตอนเด็กฉันไม่น่าจะเคยรู้สึกเสียขวัญนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องน่ากลัวอะไรเลย มันก็มีแหละ อย่างพ่อฉันมักเมาแอ๋กลับมาบ้านและแม่ก็ไม่ใช่ธรรมดา ถึงเขาจะพยายามเป็นแม่ที่ดี แต่ที่เป็นแบบนี้เขาโทษว่าเพราะพ่อสิผิดที่ชอบกินเหล้า ฉันว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะใจร้าย แต่มันเหมือนมีปีศาจมาเข้าสิงทุกที สีหน้าแม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อแม่ดีรึเปล่า แม่ชอบโมโหฉุนเฉียวแล้วก็เหมือนหวาดกลัวบางอย่างทุกทีเลย หน้าบิดเบี้ยวไปหมด ตาก็แข็ง บางทีแกร้องไห้เป็นวันๆ ฉันเห็นหน้าแม่ที่มีน้ำตานองลอยมาเลย มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเศร้าอะไร แต่ก็น่าเศร้าอยู่ดี” 

นี่คือบทสัมภาษณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่งเมื่อทีมวิจัยได้ถามว่ามีอะไรเคยทำให้เสียขวัญตอนเป็นเด็กบ้างหรือไม่ เธอเห็นสีหน้าของแม่ที่เปลี่ยนแบบปุบปับตอนกำลังโกรธ เมื่อเห็นเช่นนั้นสมองก็เตรียมการแสดงอารมณ์ให้สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของเซลล์กระจกในสมอง (mirror neurons) ซึ่งมีหน้าที่ปรับอารมณ์ให้คล้อยตามอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ  

ผู้ใหญ่ที่ต้องสะดุดเข้ากับความกลัวที่ไร้ทางออก (fright without solution) จากการเลี้ยงดูที่แปรปรวนสับสนนี้ เมื่อเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกับปมบาดแผล มักไม่สามารถรับมือสถานการณ์นั้นได้ ถ้าให้เล่ารายระเอียดจากความทรงจำ สมองจะมีแต่ภาพและความรู้สึกหวาดกลัวกระจัดกระจาย เรื่องที่ให้ทบทวนมักติดค้างอยู่แต่กับอดีตจนทำให้ไม่สามารถร้อยเรียงเรื่องราวให้เกิดความสมบูรณ์สอดคล้องและหลุดพ้นจากปมบาดแผลได้ เพราะปฏิกิริยาทางอารมณ์ในเหตุการณ์นั้นยังฝังประทับอยู่ ผนวกกับการทำงานของเซลล์กระจกในสมอง หรือกระบวนการเชื่อมสมองสองซีกเกิดความบกพร่อง 

การเยียวยาที่เป็นรูปธรรมคือการเปิดอกเล่าเรื่องราวให้ใครสักคนที่ไว้ใจได้ฟัง โดยให้เน้นเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเข้ากับตัวตนในปัจจุบัน และตั้งเป้าวางแผนพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต

การมีใครสักคนให้กำลังใจและร่วมข้ามผ่านจุดที่เปราะบางที่สุดไปด้วยกันบนเส้นทางของการเยียวยาช่วยได้มาก และสำคัญที่การเปิดใจเผชิญหน้ากับความรู้สึกเจ็บปวดนั้นอย่างยอมรับ ค่อยเป็นค่อยไป

ถึงเวลาทบทวนตัวเอง

ในหนังสือ ‘Parenting from the Inside Out’ มีคำถาม 12 ข้อเพื่อให้พ่อแม่ทุกคนลองทบทวนตัวเองเพื่อใคร่ครวญผลกระทบจากประสบการณ์ในวัยเด็กต่อความเป็นพ่อแม่ในปัจจุบัน ลองเป่าฝุ่นความทรงจำสีจางแล้วพยายามมองสีสันและอารมณ์ความรู้สึกในห้วงเวลาเหล่านั้น คำตอบอาจเป็นเงาสะท้อนความเปลี่ยนแปลงจากการเติบโตหรือตะกอนติดค้างจากวัยเยาว์ได้ชัดขึ้น

สำหรับบางคน การอธิบายภาพหรือความรู้สึกที่อยู่ข้างในอาจเป็นเรื่องยาก ระหว่างทางอาจเกิดความรู้สึกเปราะบางขึ้นกลางคัน ทั้งที่ไม่แน่ใจ ละอายใจหรือผิดบาป ขอให้พยายามเปิดรับทุกมโนทัศน์ ถ้อยคำหรืออารมณ์ที่ผุดขึ้นในสมองแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง การพยายามแปลภาพและอารมณ์ความรู้สึกในหัวออกมาเป็นคำพูดเป็นการกระตุ้นกระบวนการเชื่อมต่อของสมองทั้งสองซีก แก่นแท้ของการทบทวนตัวเองไม่ใช่การค้นหาบาดแผลทุกรอยให้เจอ แต่คือการโอบกอดสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ขอบคุณทุกอย่างที่เรามีในปัจจุบัน เข้าใจและยอมรับตัวเองด้วยความเมตตาเพื่อก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่แบกยึดกับความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านไปแล้ว

ตอบคําถามเหล่านี้ ด้วยการเล่าให้คนสนิทฟังหรือเขียนลงกระดาษ

  1. คุณเติบโตมาอย่างไร มีใครอยู่ในครอบครัวบ้าง 
  2. สมัยเด็กคุณกับพ่อแม่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เมื่อคุณเติบโตขึ้นความสัมพันธ์นั้นพัฒนามาเป็นอย่างไร
  3. ความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อและกับแม่เหมือนและต่างกันอย่างไร พวกท่านเป็นต้นแบบด้านไหนบ้างที่อยากเจริญรอยตาม และด้านใดบ้างที่ไม่อยากเอาอย่าง
  4. พ่อแม่เคยปฏิเสธความสำคัญหรือคุกคามความรู้สึกคุณไหม มีเหตุการณ์ใดที่ทําให้รู้สึกท่วมท้นหรือเป็นบาดแผลชีวิตตอนเป็นเด็กหรือระหว่างเติบโตในช่วงใดช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าเหมือนเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ หรือไม่ มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตในขณะนี้ไหม อย่างไร
  5. พ่อแม่ปลูกฝังวินัยอะไรให้คุณในวัยเด็กบ้าง การอบรมเหล่านั้นมีผลอย่างไรตอนคุณเป็นเด็ก และมันส่งผลต่อการเป็นพ่อแม่ในปัจจุบันนี้อย่างไร
  6. จําช่วงเวลาที่ต้องแยกจากพ่อแม่ครั้งแรกได้หรือไม่ มันเป็นอย่างไร เคยอยู่ห่างจากพ่อแม่เป็นระยะเวลานานๆ หรือไม่
  7. เคยมีคนสําคัญในชีวิตล้มหายตายจากไปในวัยเด็กหรือระหว่างเติบโตไหม คุณรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น การสูญเสียนั้นส่งผลอย่างไรกับคุณตอนนี้
  8. ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่สื่อสารอย่างไรเวลาคุณเป็นสุขและตื่นเต้น เขามีอารมณ์ร่วมกับคุณไหม ตอนคุณเศร้าเสียใจ พ่อแม่ตอบสนองอย่างไร
  9. นอกจากพ่อแม่แล้ว มีใครเลี้ยงดูคุณอีกบ้าง ความสัมพันธ์เหล่านั้นเป็นอย่างไร และคุณในฐานะพ่อแม่ รู้สึกอย่างไรเมื่อให้คนอื่นเลี้ยงดูลูกให้คุณ
  10. ตอนเป็นเด็กเมื่อเจอเรื่องร้ายๆ มีคนในครอบครัวหรือใครที่เป็นที่พึ่งได้ ความสัมพันธ์เหล่านั้นมีประโยชน์ต่อคุณอย่างไรและมันช่วยคุณในห้วงเวลาปัจจุบันอย่างไร
  11. ประสบการณ์ในวัยเยาว์ของคุณส่งผลต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างไร คุณเคยพยายามไม่ปฏิบัติตัวอย่างหนึ่งอย่างใดเพราะฝังใจจากวัยเด็กรึเปล่า คุณมีพฤติกรรมที่อยากเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนไม่สําเร็จหรือไม่
  12. คุณคิดว่าวัยเด็กของคุณมีอิทธิพลกับชีวิตปัจจุบันทั่วไปอย่างไร รวมไปถึงมันกระทบต่อมุมมองที่คุณมอง ตัวเองและความสัมพันธ์ของคุณกับลูกๆ อย่างไรด้วย เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือความเข้าใจที่มีต่อตัวเองหรือต่อผู้อื่นไหม เรื่องใดบ้าง

แม้ประสบการณ์ในวัยเยาว์และความสัมพันธ์ตลอดระยะทางการเติบโตส่งผลต่อตัวตนในวัยผู้ใหญ่ กรอบคิดที่ได้จากงานศึกษาเรื่องทฤษฎีความผูกพันมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากให้เราทำความเข้าใจตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและไขหนทางไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางใจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ด้วยความเข้าใจในตัวเองเป็นสำคัญ หากคุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังพยายามแสวงหาชีวิตที่มีคุณค่าให้กับลูกและตัวเอง ทั้งหมดนี้อาจเป็นตำราบทหนึ่งให้นำไปปรับใช้ในบ้าน

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Parenting from the Inside Out

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 2

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก
Family Psychology
6 December 2019

ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก

เรื่อง The Potential

ผลลัพธ์ของ ‘ดนตรี’ ไม่ใช่แค่ความเพลิดเพลิน แต่ดนตรีบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาทำงานได้สองแบบคือ 1. พัฒนาการ 2. เยียวยา

หากพูดถึงจังหวะชีวิต ในทางมนุษยปรัชญา (anthroposophy) แบ่งความเป็นเด็กย่อยเป็น 3 ช่วง คือช่วงอายุ 0-7 ปี, 7-14 ปี, 14-21 ปี ซึ่งดนตรีและเสียงเพลงจะเข้าไปทำงานกับเด็กแต่ละช่วงวัยต่างกัน 

“เด็กคนหนึ่งเขามีปัญหาทางครอบครัว พ่อแม่แยกทางกัน ต่างคนต่างพยายามดึงลูกให้ไปอีกทาง เด็กจึงโตมาด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง​ปลอดภัย​ ลักษณะท่าทางของเขา​ ก็จะไม่มั่นคง​ ไม่เฟิร์ม ตัวตนด้านในไม่แข็งแรง แตกสลาย เราจึงให้เด็กตีกลอง เพราะกลองมีความหนักแน่น มีจังหวะที่ดี คุณภาพเสียงของกลองจะให้ความรู้สึกหนัก มั่นคง ในการตีกลองกัน​ จะให้เด็กเริ่มจับจังหวะของกลองให้ได้  และพัฒนาไปจนถึงรูปแบบจังหวะต่างๆ​ ที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น​ ซึ่งมันจะส่งผลไปถึงจังหวะชีวิตของเขา ความแน่วแน่มั่นคงของกลองจะทำให้เด็กรู้สึกเฟิร์มขึ้น และสร้างฟอร์มที่ดีขึ้นมาใหม่ได้”

นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ ครูมัย – ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก นักดนตรีบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาและครูสอนดนตรีในโรงเรียนวอลดอร์ฟ ออกแบบดีไซน์วิธีการโดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการพัฒนาและเยียวยาให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

อ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ ดนตรีบำบัด: ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต

Tags:

จิตวิทยาการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ดนตรีบำบัดณภัทร ชัยสุบรรณ์กนกพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัด: ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”
How to enjoy life
6 December 2019

ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • เจาะลึกเรื่องเศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัวกับ ดร.ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เศรษฐศาสตร์ความสุข (คนเดียวในประเทศไทย)
  • จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม และเศรษฐศาสตร์ความสุข สัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ เรียงตามลำดับคือ ทฤษฎี-ปฏิบัติ-วัดผลได้
  • ปัจจุบันคนหันกลับมาสำรวจความสุขของตัวเองมากขึ้น แต่บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ชวนไปสำรวจความสุขของครอบครัวทางเศรษฐศาสตร์ เพราะเรื่องนี้ “เราไม่ได้ดูที่กำไรสูงสุด เราให้ความสำคัญกับทุกคนเท่าๆ กัน” 
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

“ผมเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง” ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ตอบแทบจะทันที เมื่อถามว่าสมัยก่อนเป็นเด็กแบบไหน โดยวัดจากเกรดเฉลี่ยราวสองกว่าๆ ตอนชั้นมัธยมต้นในเมืองไทย

แต่ ด.ช.ณัฐวุฒิตอนนั้นปราศจากแรงกดดัน เพราะครอบครัวไม่คาดหวัง รู้จักและเข้าใจว่าลูกชายเป็นอย่างไร 

“มันได้แค่นี้ คือสิ่งที่เขา (พ่อแม่) คิด เลยไม่พยายามอะไร (ยิ้ม)” 

วันนี้ ในตำแหน่งศาสตราจารย์วิจัย Behavioral Science ที่ Warwick Business School ประเทศอังกฤษ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เศรษฐศาสตร์ความสุข (คนเดียวในประเทศไทย) ดร.ณัฐวุฒิ เผ่าทวี เขียนคำอธิบายตัวเองสั้นๆ ไว้ในเฟซบุ๊คว่า Addicted to Happiness and Economics 

ดร.ณัฐวุฒิ เผ่าทวี

ทำไมถึงเป็นความสุขและเศรษฐศาสตร์? 

“เป็นเด็กเรียนไม่เก่ง ชอบเล่นเกม ถึงขั้นคิดอยากเรียนต่อด้านเกมเลยด้วยซ้ำ”

พออายุได้ 13 ปี ด.ช.ณัฐวุฒิถูกส่งไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เรียนได้ 1 ปี ก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ

“พอจะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นอยากเรียน Computer Science เพราะชอบเล่นเกม (ยิ้ม) แต่พ่อกับแม่บอกอย่าดีกว่า เพราะผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ตอนนั้นคุณแม่ชอบคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาก ซึ่งจบเศรษฐศาสตร์ นั่นคือสาเหตุที่ emotional มาก ก็เลยตกกระไดพลอยโจน (ยิ้ม)”

อาจารย์ยังคงคิดว่าตัวเอง ‘ไม่เก่ง’ จนจบปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการที่ มหาวิทยาลัยบรูเนล (Brunel University) 

“เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 50-60 กว่า แล้วนักเรียนที่มาเรียนก็เป็นนักเรียนที่สอบไม่ได้ดีเหมือนกัน แต่ละวันก็ปาร์ตี้ แล้วผมรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่อยากจะอยู่อย่างนี้แล้ว อยากจะเรียนต่อโท อยากจะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่มันดีกว่านี้ ก็ผลักตัวเองจนได้มาเรียนมหาวิทยาลัยวอร์ริค (University of Warwick) ด้านเศรษฐศาสตร์ความสุขกับเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน”  

เพราะอะไรอาจารย์จึงไปด้านเศรษฐศาสตร์ความสุขคะ

เรียนจบปริญญาตรีไม่อยากต่อเศรษฐศาสตร์จ๋าๆ แล้ว อยากไปเรื่องความสุข ตอนนั้นไม่มีใครทำเรื่องความสุขเลย เศรษฐศาสตร์ความสุขมันเป็นไปได้ยังไง จากที่ไม่เคยมี passion อะไรเลยเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ก็กลับมีคำถามเยอะแยะเลย 

และโดย traditional เศรษฐศาสตร์พูดถึงอรรถประโยชน์ ว่าคนเราพยายามจะ maximize utility หรือทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น เรามีเงินเท่านี้ เราจะกินยังไงเพื่อให้ประโยชน์สูงที่สุด แต่ไม่มีใครสอนเราว่า แล้วอรรถประโยชน์มันคืออะไร มันมีความสุขหรือเปล่า นักเศรษฐศาสตร์ไม่เคยตั้งคำถามอีกเลย 

ถ้าคุณเลือกจะกินส้มมากกว่ากินแอปเปิล แสดงว่าส้มมันทำประโยน์ให้คุณสูงที่สุด แต่เราไม่รู้ว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ถ้าเราสามารถวัดความสุขของคนได้จริงๆ ตรงๆ เลย ทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเราไม่เอาข้อมูลความสุขมาทดสอบในสิ่งที่เราตั้งข้อข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์เยอะๆ เช่น 

เงินซื้อความสุขได้ไม่อั้น 

การว่างงานเป็นการที่คนเลือกเอง ไม่งั้นคนไม่เลือกจะว่างงานหรอก 

คนที่สูบบุหรี่ ทางเศรษฐศาสตร์คิดว่าทุกคนมีเหตุมีผล ถ้าคนเลือกที่จะสูบบุหรี่ แสดงว่าเป็นสิ่งที่เขาตรึกตรองแล้วว่าเป็นความสุขที่ดีที่สุด และ trade off ระหว่างความสุขในวันนี้กับสุขภาพในวันหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปห้าม ไม่ควรจะมีนโยบายเลิกบุหรี่ 

แต่พอเรามาเทสต์ทั้งสามอย่าง พบว่า…

เงินซื้อความสุขได้ไหม เงินซื้อความสุขได้ แต่ต้องเป็นกรณีที่เงินของคนอื่นไม่ได้ขึ้นตามเรามาด้วย เพราะคนเราแคร์การเปรียบเทียบมาก 

มันมีงานวิจัยเปรียบเทียบว่า ถ้าเงินเดือนคุณขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ คุณมีความสุขในการทำงานเพิ่มขึ้น แต่ความสุขในการทำงานที่เพิ่มขึ้นจะหายไปหมดเลย ถ้าคุณพบว่าคนอื่นๆ เงินเดือนขึ้นเท่ากับคุณ จึงเป็นข้อสรุปว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ถ้ามันไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกรวยกว่าคนอื่น

หรือการว่างงาน ถ้าคุณว่างงานจริง เขากับคนที่ทำงาน จะมีความสุขพอๆ กัน ถ้าการว่างงานเป็นสิ่งที่เขาเลือก แต่เราพบว่าคนที่ว่างงาน มีความทุกข์มาก เยอะมาก แล้วความทุกข์ไม่ได้มาจากการไม่มีเงิน เพราะสมมุติเราเปรียบเทียบระหว่างคนที่ว่างงานกับคนที่ไม่ตกงาน แล้วเงินในบ้านเขาเท่ากันเลย คนว่างงานก็ยังมีความทุกข์มากกว่าคนที่มีงานทำ เพราะการว่างงานมันมีมากกว่าการไม่ได้รับรายได้ คือมี social stigma ตราบาปในสังคม ถูกทำลาย self esteem เขาไม่ได้เลือกที่จะว่างงาน ไม่มีใครที่อยากตกงาน

แล้วอันสุดท้ายเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ มันมีสองทฤษฎี ทฤษฎีแรกคือ คนเราเลือกแล้วที่จะสูบเขาต้องมีความสุข ทฤษฎีที่สองบอกว่า คนที่สูบบุหรี่ อยากเลิกบุหรี่ แต่มันเลิกไม่ได้ เขาเรียก self control problem ควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีนโยบายที่ทำให้คนเลิกบุหรี่ได้ ความสุขคุณจะเพิ่มขึ้น อีกทฤษฎีหนึ่งคือ ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่าความสุขคุณจะตกลงนะ ถ้าคุณเลิกบุหรี่ เพราะมันคือทางเลือก ตอนที่อเมริกามีภาษีบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่กลับมีความสุขมากขึ้น เพราะมันช่วยให้เขาเลิกบุหรี่ได้ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเศรษฐศาสตร์ที่เรารู้มา

ปรัชญาของเศรษฐศาสตร์ความสุข คืออะไร

สมัยก่อนตั้งแต่เริ่มเศรษฐศาสตร์ เราจะพูดว่าเพราะทรัพยากรเราน้อย เราจะใช้ทรัพยากรยังไง ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ในปัจจุบัน หลายๆ ประเทศ ประเทศไทยด้วย ทรัพยากรของเรามันไม่ได้น้อยเหมือนแต่ก่อน คุณหิว คุณมีเซเว่นอีเลฟเว่น คุณอยากจะดูทีวี มีทันที เยอะมาก 

ส่วนคำจำกัดความของเศรษฐศาสตร์ความสุขคือ ถ้าคุณมีทรัพยากรมากมายอย่างนี้ คุณจะใช้ทรัพยากรยังไงให้มีความสุขมากกว่าเดิม ถ้าเงินไม่ได้ซื้อความสุข แสดงว่าคุณใช้เงินไม่เป็น เราจึงมาดูว่า มันมีจุดอะไรบ้างที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินกับความสุขมันไม่ได้เยอะอย่างที่เราคิด เพราะว่าเราวัดความสุขได้ตรงๆ เราถึงเทสต์พวกนี้ได้ 

เศรษฐศาสตร์ความสุข เราไม่ได้ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับมนุษย์ว่ามนุษย์จะต้องมีเหตุมีผล เราแค่ assume ว่า มนุษย์ก็คือมนุษย์ อาจจะมีเหตุผลในบางเรื่อง ไม่มีเหตุผลในบางเรื่อง

ปรัชญาจริงๆ คือ ถ้าความสุขวัดได้จริงๆ เราจะเอาข้อมูลตรงนั้นมาทำอะไร แล้วมันโชว์ให้เห็นได้ไหม ว่าไอ้ที่เราเคยคิดต่างๆ นานา มันเป็นจริงหรือเปล่า นั่นคือปรัชญา เราไม่ได้ข้อสันนิษฐานอะไรเลย

แล้วเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เศรษฐศาสตร์ความสุข เกี่ยวกับจิตวิทยาอย่างไร

จิตวิทยาเป็นแขนงของการเข้าใจกลไกของสมองว่า คนเราตัดสินใจอย่างไร อาจจะมี personal (เรื่องส่วนตัว) เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ 

ส่วนเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เอาหลักการต่างๆ นานา ของจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ว่ามีอะไรบ้างที่เราสามารถใช้โดยเป็นประโยชน์กับมหภาค จุลภาค ว่า คุณตัดสินใจเลือกระหว่างการทำงานสองอย่างนี้ มันมีทฤษฎีจิตวิทยาไหนมาอธิบายการเลือกของตัวเราได้ และมีอะไรที่เราสามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดต่อตัวเองได้ ซึ่งจิตวิทยาเป็นกลไก เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเป็นปฏิบัติ การประยุกต์ใช้ประจำวัน 

ส่วนเศรษฐศาสตร์ความสุข วัด measurement outcome เป็นความสุข ว่าคุณสามารถใช้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณให้เป็นอีกอย่างหนึ่งได้ แต่พฤติกรรมที่เปลี่ยน มันส่งผลต่อความสุขมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องประเมิน 

สรุปคือ

จิตวิทยาเป็นองค์ความรู้ คือ ภาคทฤษฎี

เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เกี่ยวกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคน คือ ภาคปฏิบัติ

เศรษฐศาสตร์ความสุข เป็น outcome ความสุข คือการวัดผล

ยกตัวอย่าง ความเชื่อมโยง 

จิตวิทยาบอกว่าคนเราเกลียดการเสียมากกว่าชอบการได้ และคนเราตัดสินใจไปแล้ว ไม่ชอบเปลี่ยนใจเพราะพอเปลี่ยนใจปุ๊บ อาจจะเสียดายมากกว่า 

เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (ปฎิบัติ) ถ้าคนเกลียดการเสียมากกว่าชอบการได้ ถ้าเลือกไปแล้วแล้วเปลี่ยนใจ มันมีอะไรบ้างที่จะช่วยมาทำให้คน save มากขึ้น opp in-opp out (เสียไป-ได้มา) เลือกผิดกลัวเสียใจ คนเลยไม่ชอบ opp out (เสียไป)

เศรษฐศาสตร์ความสุข (วัดผล) ถึงแม้เราจะรู้ว่าเงินจะไม่ค่อยทำให้มีความสุขเท่าไหร่ แต่คนที่ไม่มีเงินเลย เขาทุกข์มาก ถ้าเราทำให้คนออมได้มากขึ้นในอนาคต ก็จะไปช่วยความสุขของเขาในอนาคตได้

อย่างเศรษฐศาสตร์มันมีดีมานด์ ซัพพลาย กำไร ขาดทุนสูงสุด ต่ำสุด เวลาเราจะคำนวณเศรษฐศาสตร์ของความสุข เราใช้ปัจจัยอะไรมาคิดคำนวณบ้างคะ

เรามีทั้งปัจจัยที่เป็นเศรษฐศาสตร์ และปัจจัยที่ไม่ใช่เป็นเศรษฐศาสตร์ ผมเคยเขียนหนังสือ ‘The Happiness Equation: The Surprising Economics of Our Most Valuable Asset’ คือมันเป็นสมการความสุข ว่ามันมีอะไรบ้างในสมการ แล้วก็จะมีปัจจัยหลายอย่างมากเลย ทั้ง อายุ คน เพศ เงิน เงินของคนส่วนใหญ่ในเขต การศึกษา มีสุขภาพ ต่างๆ นานา แล้วเราก็ดูว่าปัจจัยอะไรบ้างที่มันสำคัญกับความสุขของคน 

สิ่งที่เราพบเห็นเป็นประจำคือ social relationship คือการได้พูดคุย ได้อยู่กับคนที่เราชอบ อาจจะเป็นเพื่อนสนิท พ่อแม่

ถ้าเรามี social interaction จะมีผลกับความสุขของคนเยอะมาก แต่คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนั้นเท่ากับการทำงานหนักๆ การได้เงิน ซึ่งปัจจัยพวกนี้เป็นตัวแปรของความสุขที่น้อยเมื่อเทียบกับปัจจัยที่มันไม่ใช่เศรษฐศาสตร์

ประโยชน์ของเศรษฐศาสตร์ความสุขคืออะไรคะ

มันให้ insight หรือข้อคิดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ว่าถ้าเราอยู่ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง มันมีผลยังไงกับเราบ้าง แล้วมันควรกระจายรายได้ยังไงเพื่อความสุขของทุกคน เช่น เมืองไทยเรามีปัญหาเรื่องมลพิษ PM2.5 แล้วรัฐบาลบอกว่าเราอยากจะตั้งงบมาเพื่อกำจัด งบมันควรจะเท่าไหร่ดี เศรษฐศาสตร์ความสุขบอกว่า เราสามารถประเมินได้

สมมุติเราเทียบกันระหว่างคนที่อยู่ในสองเขต เขตหนึ่งอากาศดีมาก อีกเขตหนึ่งอากาศไม่ดีเลย คนที่อยู่ในเขตที่อากาศไม่ดี ความสุขเขาต่ำมากเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในอากาศที่ดี เราก็รู้สึกว่า gap ของความสุขอยู่ขนาดไหน แล้ว gap นี้ เราให้เป็นตัวเงิน เพราะเงินซื้อความสุขได้ เราต้องคูณเท่าไหร่ เพื่อจะให้คนที่อยู่ในเขตที่มีมลพิษที่แย่ มีความสุขพอๆ กับคนที่อยู่ในเขตมลพิษที่ดี ประโยชน์ของเศรษฐศาสตร์ความสุขอยู่ที่ว่า เราสามารถใช้มันมาประเมินงบประมาณโดยตรงว่าในการพัฒนาความสุขของคนควรจะราคาเท่าไหร่

แล้วความสุขมันจะบอกอะไรเรา หรือบอกอะไรกับใคร แล้วมันจะทำให้สังคมเกิดอะไร

ไม่ว่าใครก็อยากมีความสุข ความสุขส่วนใหญ่ ความพึงพอใจในชีวิต การใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยที่ไม่เศร้า หรือความหมายของชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา นั่นเป็นตัว motivation ของตัวเลือกแต่ละตัวเลือกในชีวิตของเรา เช่นการเลือกทำงานโดยใช้ความสุขเป็นตัวขับเคลื่อน 

เพราะฉะนั้นถ้าเราแคร์เรื่องความสุขปุ๊บ เรารู้เลยว่า เราสามารถให้ insight กับคนได้ว่า อะไรบ้างที่เป็นปัจจัยสำคัญของความสุข แล้วคุณกำลังเลือกปัจจัยที่ให้ประสิทธิภาพกับความสุขที่สุดอยู่หรือเปล่า

อีกอย่างหนึ่ง คนที่มีความสุข อายุยืนกว่า productive มากกว่า คนที่มีความสุขจะแต่งงานยืนยาวมากกว่า เพราะฉะนั้นเราไม่ได้แคร์แค่ความสุขอย่างเดียว แต่เราแคร์ว่า มันมีผลตอบแทนอะไรที่มันดี เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือในอนาคตด้วย คนมีความสุขจ่ายภาษีตรงเวลา มันมีการสานต่อเยอะแยะเลย ที่ให้ผลประโยชน์ต่อความสุข

แนวโน้มหรือว่าสถานการณ์ทั่วโลก อาจจะประเทศไทยหรือเมืองนอก เทรนด์มันกำลังให้ความสำคัญกับความสุขมากขึ้นด้วย?

อันนี้อยู่แล้ว ผมพูดในของต่างประเทศก่อนแล้วกัน หลังจากที่ผม take up ความสุขได้ไม่นาน เศรษฐศาสตร์ความสุขเป็น sub field หรือแขนงของเศรษฐศาสตร์ที่โตเร็วที่สุด จากที่ตีพิมพ์ประมาณ 20-30 เปเปอร์ในสิบกว่าปีมาจนถึงตอนนี้เกือบ 2,000 ในเวลาเพียงไม่กี่ปี คนเริ่มให้ความสนใจ เพราะคนเริ่มคิดว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่มันดีจริงๆ หรือ ทำไมสุขภาพจิตคนแย่จังเลย รวยขนาดนี้ทำไมคนถึงฆ่าตัวตาย คนที่รวยสุดๆ เขาฆ่าตัวตายทำไม นี่เรากำลังเลือกชีวิตที่มันดีที่สุดสำหรับเราอยู่หรือเปล่า คนเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่เราคิดอยู่เป็นประจำ ว่าจะต้องรวย การศึกษาสูง มันส่งผลให้มีความสุขจริงๆ ไหม หรือมันมีปัจจัยที่เรายังไม่ได้คิด

ถ้าเราเจาะไปที่เรื่องความสุขของเด็ก เอาเฉพาะเด็กมีความสุขไหมกับเรื่องการเรียน สมมุติถ้าเราวัดได้ มันจะทำอะไรได้อีกบ้าง ในระดับนโยบายของโรงเรียน ของกระทรวง หรือประเทศ

ในเชิงการศึกษา ที่ผ่านมาและปัจจุบันผมว่าเราดู indicator หรือตัวชี้วัดแค่ตัวเดียว คือความสำเร็จในการสอบ ว่าคุณสอบได้เกรดอะไร เราดูความสำเร็จแค่ตรงนี้ แต่เราไม่เคยดูความสำเร็จในเชิงอื่นที่มันไม่ใช่ educational attachment ก็คือสุขภาพจิตของเด็ก และพฤติกรรมของเด็ก 

ที่อังกฤษ ผมช่วยคนเขียนหนังสือ ‘The Origin of Happiness’ ซึ่งเขียนและรวบรวมจากการข้อมูลของเด็กทุกคนที่เกิดในอังกฤษปี 1970 ภายในเวลาสองสัปดาห์ที่กำหนดไว้ ในข้อมูลชุดนั้นใช้วิธีสัมภาษณ์คุณแม่ทุกคน ตั้งแต่ยังไม่คลอดเลยว่าคุณแม่สุขภาพจิตเป็นยังไงบ้าง การศึกษา การกิน โภชนาการทุกอย่าง เด็กคลอดปุ๊บก็ตามไปสัมภาษณ์อีก ว่าเด็กคนนี้เป็นยังไงบ้าง แม่ให้ความสุขยังไงบ้าง กินเป็นยังไง เรียนเป็นยังไง ปี 1970 ตอนนี้ประมาณ 51 ปีแล้ว เรามีข้อมูลเลยว่า ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน มันมีปัจจัยอะไรบ้างที่สำคัญต่อความสำเร็จในอนาคต 

สิ่งที่เราพบคือ ตัวแปรที่สำคัญของการสอบได้ดี คือ family income ตอนเด็ก นั่นอาจสรุปได้ว่าถ้าคุณรวยกว่าคนอื่น เด็กมักจะสอบได้ดีกว่าคนอื่น แล้วมันก็ส่งผลต่อรายได้ในอนาคต นี่คือดูเรื่องรายได้อย่างเดียว 

แต่พอมาดูเรื่องสุขภาพจิตกับพฤติกรรม family income ตอนเด็กๆ แทบไม่มีผลอะไรเลยกับสุขภาพจิตของเด็ก แต่สุขภาพจิตของเด็ก มีผลสำคัญมากกับความพึงพอใจในชีวิตของเขาในอนาคต จึงสรุปได้อีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสุขภาพจิตแล้ว เงิน การศึกษา อธิบาย variation (ความหลากหลาย) ของความสุขคนได้น้อยมาก 

แล้วรู้ไหมครับว่าสุขภาพจิตของเด็ก อะไรเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด

สุขภาพจิตแม่?

ถูกต้องครับ

ถ้าคุณแม่สุขภาพจิตดี ไม่ว่าคุณจะรวย จน ขนาดไหน เด็กจะออกมามีสุขภาพจิตที่ดี ประมาณช่วงอายุ 5 ขวบ 10 ขวบ 16 ขวบ ถ้าเขาสุขภาพจิตดีจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขในชีวิต 

แต่ถ้าถามว่า ให้เราเลือกระหว่าง มีชีวิตที่มีความสุข กับมีชีวิตที่รวย เราจะเอาอะไร ผมว่าคนก็เลือกความสุขสิ เพราะความรวยเป็นแค่พาหนะไปสู่ความสุข

แล้วการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ ของครอบครัว บนหลักเศรษฐศาสตร์ความสุข มันสามารถอธิบายออกมาเป็นวิธีหรือคำแนะนำได้บ้างไหมคะ

อาจจะไม่ถึงกับเป็นหลักของเศรษฐศาสตร์ความสุขนะครับ คือเราทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกว่าวิธีการเลี้ยงลูกแบบไหนดีที่สุด มันจะมีอยู่สี่อัน คือ 

Authoritarian สั่งอย่างเดียว ต้องทำอย่างนี้ 

Permissive ประคบประหงม ไม่เป็นไร เจ็บนิดเดียว พ่อแม่ดูให้ 

Dismissive ไม่สนใจเลย 

Authoritative มี discipline (หลักการ) พอสมควร แต่ให้ความสนใจ คือเป็นความสมดุลระหว่าง permissive กับ authoritarian

เขาบอกว่าการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดคือ Authoritative ลูกส่วนใหญ่จะออกมามีบุคลิกที่ดี มีความคิดที่ดี เพราะมี role model ที่ดี คืออาจจะไม่เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ความสุขโดยตรง แต่เรารู้ว่าถ้าคุณมีสุขภาพจิตที่ดี โอกาสที่คุณจะมีความสุขในอนาคตก็สูง

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือเรามองความสุขไม่เหมือนกัน เช่น ความสุขของพ่อแม่คืออย่างหนึ่ง แต่ความสุขของเด็กเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทำอย่างไรให้มันมาเจอกัน

เราก็ต้องพูดในเชิงว่าเรามีข้อมูลอยู่เยอะ คำถามคือว่าถ้าเรามีข้อมูลอยู่เยอะ เราสามารถบอกได้ไหมว่าโดยค่าเฉลี่ยแล้ว อะไรบ้างที่ทำให้คนอายุ 30 มีความสุข โดยเฉลี่ยแล้วอะไรทำให้คนอายุ 16-17 มีความสุข ถ้าเราดูตรงนั้นได้ เราสามารถเปรียบเทียบได้

สมมุติเรื่องเงิน คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำงานอย่างหนักๆ ไหม เพื่อความสุขของลูก เพราะว่าอย่างน้อยคือประโยชน์ลูก อันนี้เราพูดโดยไม่ได้วัดเรื่องความสุขจริงๆ ถ้าเราวัดความสุขจริง เราอาจจะพบว่า พ่อแม่ทำงานหนัก พ่อแม่เครียด ไม่มีความสุข แต่เขาคิดว่า เดี๋ยวลูกก็มีความสุข แต่ปรากฏว่าลูกก็ไม่มีความสุข เพราะว่าการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเป็นตัวแปรที่สำคัญกับความสุขมากกว่ารายได้ เราก็พบว่ามันมีวิธีการนี้ ดีกว่าอีกวิธีการหนึ่ง แล้วก็มาบวกลบคูณหารกันว่าอะไรที่เป็นปัจจัยที่จะหาความสุขได้ของพ่อแม่ลูกและคนรอบข้าง

แต่ในเมื่อเรายังไม่มีข้อมูล มันก็กลายเป็นความสุขที่ยังไม่มีหลักฐานให้เห็นว่า ความสุขร่วมกันจริงๆ แล้วมันอยู่ตรงนี้ 

คนรุ่นใหม่เคยถามตัวเองว่าเรียนไปทำไม ก็เรียนไปเพื่อทำงาน พอคำตอบมันคือเรียนเพราะทำงาน มันขัดกับเศรษฐศาสตร์ความสุขไหม ในเมื่อตอนนี้ทุกๆ คนกำลังบอกว่าอาชีพที่ดีคืออาชีพที่มาจาก passion อาชีพที่ทำให้ตัวเองมีคุณค่า อาชีพที่ชอบ แต่บางคนทำแบบนั้นไม่ได้เพราะสิ่งที่เขาชอบมันไม่ตอบโจทย์ตลาด อยากจะรู้ว่าต่อไปในอนาคต เด็กรุ่นต่อไปน่าจะยังคิดแบบนี้ไหม

หวังว่าในอนาคตถ้าเขาสามารถเข้าใจนิยามของความสุขได้อย่างถ่องแท้ เขาจะเริ่มคิดแล้วว่าอะไรบ้างที่เราทำได้ และงานนั้นตอบทั้งสามโจทย์ของความสุขได้หรือเปล่า คือ 

1. ความพึงพอใจในชีวิต 2. สุขภาพจิตที่ดี กับ 3. มีความหมายต่อชีวิต 

ผมจะยกตัวอย่างนะครับ เราอยู่ในยุค startup หนึ่ง ถ้าเราได้งานที่ค่าตอบแทนโอเค สอง ในแต่ละวันได้ทำในสิ่งที่ชอบ ใช้เวลาส่วนใหญ่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ สาม ตอบโจทย์ความหมาย เราทำให้สังคมด้วย ยกตัวอย่างเช่น startup ใหม่ๆ เขาจะคิดว่า มันมีธุรกิจอะไรบ้าง ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของคน ให้คนอื่นมีความสุข ออมมากขึ้น อย่าง Grab เขาใช้ทฤษฎี easy คือ ให้มันง่าย ถามว่าเขาตอบโจทย์อะไรบ้าง หนึ่งมันดี มันเป็นตลาดรายได้โต ตอบโจทย์ไหม ได้ เพราะว่ามันทำให้คนที่ถูกแท็กซี่ปฏิเสธตลอด สามารถไปได้ด้วยดี มันทำให้ชีวิตเขามีความหมาย เป็น business ไหม เป็น business ที่ยิ่งใหญ่มาก อันนี้เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างสุดโต่งนะครับ

ตอนนี้ผมมีเด็กนักเรียนทำธีสิสอยู่ กำลังจะเสร็จแล้ว เขาทำวิจัยเรื่องความหมายของชีวิต แล้วเขาพบว่า งานที่คนรู้สึกมีความหมายมันจ่ายโดยเฉลี่ยแล้วน้อยกว่างานที่คนทำไม่มีความสุขอีก เพราะฉะนั้นผมว่าถ้าเด็กรุ่นใหม่เกิดรู้สึกว่าเราอยากตั้งหลักว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก็ตั้งเป็นคำถามดีกว่าว่า มีคำถามหรือโจทย์อะไรบ้างที่ในสังคมหาคำตอบกับมันไม่ได้ แล้วมันมีคำตอบอะไรบ้างที่ทำให้คนอื่นมีความสุขในชีวิต มีสุขภาพจิตที่ดี แล้วทำให้เขารู้สึกมีความหมาย ถ้าเราหาตรงนี้ได้ มันมีธุรกิจหลายอย่างที่คนแต่ละคนต้องการอยู่แล้ว เพราะทุกคนต้องการมีความสุข

มันมีการอธิบายเศรษฐศาสตร์ความสุขกับ Growth Mind Set หรือคำอื่นๆ ไหมคะ

เรื่อง Grit (ความมุมานะ อดทน พยายาม) เด็กที่ Grit เยอะ ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตเยอะ พอเจอเรื่องร้ายๆ เขาก็ไม่เศร้าเท่าไหร่ คนที่มีความคิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนอนาคตของตัวเองได้ ถ้าพยายาม ต่างจากเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง เขารู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาเปลี่ยนอะไรไม่ได้ 

คนที่ internal หรือคิดว่าตัวเองเปลี่ยนได้ มักจะ put in the effort พยายามอ่านหนังสือ พวกนี้จะมีความสุขมากกว่า เกี่ยวกับ positive psychology personal ด้วยนะ มันมี แต่ผมไม่ได้ทำวิจัยโดยตรง แต่ positive psychology มีแน่ๆ คือ เราจะทำยังไงให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นที่สุดโดย cost น้อยที่สุด เขียน gratitude diary หรือพยายามคิดว่า ชีวิตเราดีนะ เราไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด แล้วไม่ไปเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ควรจะเปรียบเทียบ

อาจารย์อยากจะกลับมาผลักเรื่องนี้ที่เมืองไทยไหมคะ

ไม่ครับ ผมมีความสุข ความพึงพอใจในชีวิตทั้งสามข้อแล้วกับภรรยาและหมาของเราที่อังกฤษ (ยิ้ม)

ทราบว่าอาจารย์กับภรรยาตัดสินใจไม่มีลูก เพราะอะไรคะ

จริงๆ ผมอยากมีลูกนะครับ แต่ภรรยาบอกตั้งแต่ปีแรกที่คบกันว่าไม่อยากมีลูก ผมคิดว่าคบกันนานๆ เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนใจ แต่เขาไม่เคยเปลี่ยนใจเลยตลอด 17 ปีที่ผ่านมา มีช่วงหนึ่งที่ทะเลาะกัน เราอยากมีแต่เขาไม่อยากมี อาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาในโลกแบบนี้ แค่นี้เขาก็ทนทุกข์อยู่ในสังคมพอแล้ว ส่วนผม คนเป็นพ่อก็อยากจะมี

จนมีวันหนึ่งก็คิดได้ว่า ถ้าผมอยากมีลูกจริงๆ ก็ต้องไม่ใช่กับคนนี้ หรืออยู่กับคนนี้แล้วไม่มีลูก 

สุดท้ายคำตอบก็ switch มาว่าอยู่กับคนนี้ดีกว่า ก็โอเค 

ผมก็ต้องถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรในชีวิต เผอิญทำวิจัยเรื่องนี้ด้วย พบว่าคนที่มีลูกก็ไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มี เพราะเขาก็หาอย่างอื่นมาเติมชีวิตของเขาได้ แล้วการมีลูกเรารู้เลยว่ามันจะมีอะไรที่ขึ้นลงสูงมาก ยิ่งมีลูกเล็กๆ ยิ่งบีบอัด

พูดในเชิงครอบครัว ถ้าเราไปถามพ่อแม่ 100 คนว่าลูกของคุณมีความสุขไหม เกือบร้อยทั้งร้อยบอกว่าใช่ แต่ถ้าเราไปวัดความสุขของเขาโดยไม่ได้ถามนำเรื่องลูก ถามว่าชีวิตคุณมีความสุขไหม มันแทบไม่ได้แตกต่างกับคนไม่มีลูกเลย แต่คนเราคิดว่า เวลาเราคิดถึงลูก ไม่ว่าใครก็ตาม อาจจะคิดว่า…

1. ให้น้ำหนักกับ positive มากกว่า negative 

2. ลูกเป็นการลงทุนที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เพราะฉะนั้นถ้าลูกเป็นอะไรที่ยากลำบากมากกว่าจะได้มา เราก็คิดเองว่าลูกต้องความสุข ซึ่งมันก็เป็นกลไกทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราโอเค จริงๆ การมีลูกก็ทำให้ชีวิตเรามีความหวังด้วย แต่ก็อย่างว่า มันเป็น choice ซึ่งเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่ได้ต่างอะไรมาก นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น 

แต่ผมรู้ว่าเราอยู่กับคนนี้ เรารัก เราเข้ากันได้ แล้วก็รู้ว่าถ้าเรามีลูกจริงๆ เขาจะยอมมีเพื่อเรา และเราก็คงไม่มีความสุขกับการบังคับ และเราก็รู้ว่าคนที่เลี้ยงดูเด็กมากกว่าคือแม่ ขนาดมีหมา เขายังเลี้ยงดูหมามากกว่าผมเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เรา switch แล้วโอเค 

ทางเศรษฐศาสตร์มีกำไร ขาดทุน แต่ในแง่เศรษฐศาสตร์ความสุข ในหน่วยเล็กๆ อย่างครอบครัว มันต้องมีใครกำไร ใครขาดทุน ไหมคะ

พูดในเชิงส่วนตัว เราเลือกอะไรที่ทำให้มีกำไรความสุข คือ net positive มากกว่า net negative ที่สุด ส่วนในเชิงมหภาค social welfare คือ นโยบายอะไรที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีความสุขมากขึ้น และคนอีกส่วนหนึ่งความสุขก็ไม่ได้ลดลงมาก 

เช่น นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ มันอาจกระทบกับคนที่รวยมากแต่คนส่วนใหญ่มีความสุขมากขึ้น เราก็ควรให้น้ำหนักกับคนส่วนใหญ่มากกว่า หรือนโยบายที่ทำยังไงให้คนที่ทุกข์มากๆ ทุกข์น้อยลง หรือทำให้คนที่สุขอยู่แล้ว สุขมากขึ้น เราควรให้น้ำหนักกับคนที่ทุกข์มากๆ มากกว่า 

มันสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับโลกใบเล็กๆ อย่างครอบครัวได้ไหมคะ

จะว่าได้ ก็ได้นะครับ เราสามารถเอาผลที่เราพบมา ดูว่าสิ่งที่เราตัดสินใจขณะนี้ ในเชิงเศรษฐศาสตร์มันทำให้เกิดความสุขสูงสุดหรือยัง

สมมุติว่า พ่อแม่คิดว่าจะทำงานกี่ชั่วโมงต่ออาทิตย์ แล้วเจอลูกกี่ชั่วโมง เราก็ดูผล พบว่าที่เราทำงานเยอะ มันมีผลต่อความสุขของเราด้วย และของลูกด้วย เมื่อแลกกับเงินที่ได้มามันคุ้มไหม เราสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ไหมที่เพิ่มความสุขจากตรงอื่น และลดงานลง

มันจะ trade off กันอย่างนี้ เราก็จะหาว่าอะไรมีประสิทธิภาพสูงที่สุด กับการซื้อหรือเพิ่มความสุข

ในบ้าน ถ้าคนหนึ่งพีคที่สุด กำไรสูงสุด มีความสุขที่สุด มันจะกระทบต่ออีกคนหนึ่งเสมอ เช่น อีกคนหนึ่งทุกข์ หรือ มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ คิดอย่างนี้ผิดหรือถูกคะ

มันแล้วแต่ว่าเรากำลังทำอะไร สมมุติมีลูกสองคน เราให้ของขวัญกับลูกคนเดียว คนหนึ่งอาจจะมีความสุขมากอีกคนอาจทุกข์ก็ได้ ไม่บาลานซ์ 

แต่มันก็มีอย่างอื่นที่ทำให้ทั้งสองคนมีความสุขได้ การแข่งขันเปรียบเทียบ มันส่งผลให้ไม่มีความสุขระยะยาว อาจจะหาทางที่มันเพิ่มความสุข โดยที่ไม่ได้ทำให้อีกคนหนึ่งทุกข์ได้ ซึ่งผมว่ามันมี แต่ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกนะ 

แต่คนที่มีความสุขจะค่อนข้างเห็นใจคนอื่น และบอกว่าถึงแม้จะทำให้คนหนึ่งมีความสุข แต่อีกคนไม่ได้ทำให้มีความทุกข์มาก คนที่มีความสุข อาจจะปฏิบัติดีกว่าเดิมก็ได้ ก็จะไปเพิ่มความสุขให้อีกคนก็ได้ 

ในครอบครัว กำไรสูงสุดไม่ได้แปลว่าต้องมีความสุขที่สุดเสมอไปใช่ไหม

เราดูว่าในบ้านของเรา โลกเล็กๆ ของเรา มีอะไรบ้างที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ ลูก มีความสุข มันอาจจะไม่ได้มีความสุขแบบพีคทุกคน แต่ถ้าเกิดรวมๆ กันแล้วบาลานซ์ มันโอเค

ปัญหาครอบครัวทุกวันนี้ มันเกิดจากความสุขในครอบครัวไม่บาลานซ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งไม่ลงรอย นั่นแสดงว่าถ้าเศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัวมันล้มเหลว ครอบครัวก็มีสิทธิ์ล้มเหลวด้วย?

ถูกต้อง choice ที่เราเลือกส่วนใหญ่ ต้องดูว่า 1. เราอยากให้ครอบครัวมีความสุข 2. อยากให้ตัวเราเองมีความสุขด้วย และบางทีมันไม่ได้สอดคล้องกันตลอด หรือบางทีมันอาจจะผิดก็ได้ ตรงที่ว่า เราคิดว่า เรายอมทุกข์เพื่อความสุขของคนในครอบครัว แต่จริงๆ คนในครอบครัวอาจไม่ได้มีความสุขอย่างที่เราคิดก็ได้ เช่น พ่อทำงานหนักเพื่อลูกเลยนะ แต่จริงๆ ลูกไม่ได้ต้องการตรงนั้น ไม่ได้ตอบโจทย์ความรู้สึกของลูก ลูกต้องการเห็นหน้าพ่อ อยากอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน มีกิจกรรมด้วยกัน 

เราอาจจะเลือกในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดแต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ 

เพราะเศรษฐศาสตร์ความสุข เราดูโดยเฉลี่ย ไม่ได้ดูที่กำไรสูงสุด เราให้ความสำคัญกับทุกคนเท่าๆ กัน

อาจารย์เคยพูดว่า Empathy สำคัญที่สุด เพราะ Maintain ความสัมพันธ์ ลดความขัดแย้ง เพิ่มการสื่อสาร?

empathy เป็น choice เราต้องเอาความรู้สึกของอีกคนหนึ่งมาเป็นความรู้สึกของเรา และเมื่อใดก็ตามที่เราทำได้ เราจะรู้เลยว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะเราเข้าใจความรู้สึกเขาแล้ว 

empathy จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการสื่อสาร ทั้ง verbal หรือ non verbal ก็ตาม มันคือการมองผ่านใจของอีกคนหนึ่ง สมมุติว่า แม่กับลูก ถ้าลูกร้องไห้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วแม่บอก ไม่เห็นน่าจะร้องเลย แค่นี้เอง ไม่เห็นน่าร้องเลย 

เราควรคิดว่า

1. เขานอนร้องไห้อยู่ เสียใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เขากำลังเสียใจอยู่ แล้วเวลาเราเสียใจ เรารู้สึกอย่างไร เราต้องเข้าไปหาความรู้สึกตัวเอง นั่นล่ะคือสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ 

2. take perspective (มองจากมุมของเขา) ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม take another perspective as a truth ถึงแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเรา แต่ในสายตาของเขาเป็นเรื่องสำคัญมาก เราเอา logic ของเราไปประเมินหรือตัดสินไม่ได้ เพราะนั่นคือความจริง

3. เราจะปฏิบัติอย่างไรให้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา take perspective ของเขาแล้ว เราก็ต้องหาวิธีเยียวยาที่ว่า สื่อสารอย่างไรให้เขารู้สึกดีขึ้น เรารู้สึกดีขึ้น 

empathy ที่ดี คือพ่อแค่เข้าไปโอบไหล่ลูก แล้วบอกว่า พ่อก็ไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พ่อจะอยู่ข้างๆ ลูกเอง 

แค่รับฟังก็พอ คนส่วนใหญ่ต้องการแค่นี้แหละ ช่วยเยียวยาสุขภาพจิตคนได้เยอะมากนะ

ส่วน sympathy มัน drive connection เวลาคนเอาเรื่องทุกข์ๆ มาปรึกษาเรา เราก็ silver lining คือ พยายามหาจุดที่ไม่ดีกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น เช่น เพื่อนบอกว่าเสียใจมากเพราะแฟนทิ้ง แล้วเราบอก อย่างน้อยเธอก็เคยมีแฟน ซึ่งมันไม่ช่วยและเราจะทำอย่างนั้นบ่อยโดยไม่รู้ตัว เรากำลังผลักเขาออก นั่นเป็น system one (พูดก่อนคิด) ตลอด ผมต้องคอยเตือนตลอด empathy จริงๆ มันเป็นระบบสอง ที่ควรคิดก่อนพูดว่า เราควรพูดว่าอะไร เราพูดเพื่อ drive เขาหรือพูดให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า 

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาชีวิตการทำงานความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ณัฐวุฒิ เผ่าทวี

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel