Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2024

อ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจ ต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก: หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ Ep2
Book
28 November 2024

อ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจ ต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก: หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ Ep2

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ (Don’t Feed the Monkey Mind) เขียนโดย เจนนิเฟอร์ แชนนอน นักจิตบำบัดเฉพาะทางด้านการรักษาโรควิตกกังวล แปลเป็นภาษาไทยโดย สุดคะนึง บูรณรัชดา สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป
  • แชนนอนเปรียบ ‘จิตมนุษย์’ กับ ‘ลิง’ และบอกว่าสิ่งนี้เป็นที่มาของความวิตกกังวลทั้งหลาย แต่ตลกร้ายกว่านั้นคือคนจำนวนมากมักเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ เสียงของลิงตัวนี้มากกว่าเสียงอื่นใดในจักรวาล
  • ใจความสำคัญที่แชนนอนบอกคือ ต้องกล้าเผชิญหน้ากับความวิตกกังวล และสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยกลยุทธ์เอาตัวรอดแบบเปิดกว้าง เพื่อทำให้เกิดวิธีคิดที่อนุญาตให้ตัวเองสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเห็นโพสต์พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ชยสาโรที่คณะลูกศิษย์นำมาเผยแพร่ โดยตอนหนึ่งพระอาจารย์บอกว่าจิตมนุษย์เปรียบได้กับ ‘ลิง’ ที่เอาแต่วิ่งพล่านไปตามอารมณ์และความคิดฟุ้งซ่าน ดังนั้นหากเราไม่ฝึกอบรมจิต ก็ย่อมพ้นจากความเป็นลิงไปไม่ได้   

ผมเองก็เช่นกัน จิตลิงของผมมักทำให้ผมเป็นคนขี้กังวล คิดมาก และกลัวว่าตัวเองจะไม่เป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะเรื่องงาน ที่แม้จะได้รับการชื่นชมแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองกลับไม่ดีใจเท่าไหร่ แถมยังเริ่มพะวักพะวนถึงงานชิ้นต่อไป กระทั่งผมทำงานใหม่ออกมาได้ดี ความวิตกกังวลก็จะทำให้วงจรความคิดของผมวนลูป – วนลูป แบบนี้ทุกครั้ง 

นั่นทำให้ผมหยิบหนังสือเรื่อง ‘หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ’ (Don’t Feed the Monkey Mind) ของ เจนนิเฟอร์ แชนนอน นักจิตบำบัดเฉพาะทางด้านการรักษาโรควิตกกังวลมาอ่านอีกครั้ง ซึ่งใจความสำคัญที่แชนนอนบอกผมคือผมจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับความวิตกกังวล และสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยกลยุทธ์เอาตัวรอดแบบเปิดกว้าง เพื่อทำให้เกิดวิธีคิดที่อนุญาตให้ตัวเองสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้

แน่นอนว่าแชนนอนเองก็เปรียบ ‘จิตมนุษย์’ กับ ‘ลิง’ เช่นกัน และบอกเพิ่มเติมว่าสิ่งนี้เป็นที่มาของความวิตกกังวลทั้งหลาย แต่ตลกร้ายกว่านั้นคือผมและคนจำนวนมากมักเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ เสียงของลิงตัวนี้มากกว่าเสียงอื่นใดในจักรวาล

“ภาวะวิตกกังวลคือสัญญาณที่กระตุ้นให้เราลงมือทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเกิดจากมุมมองที่สมองลิงมีต่อภัยคุกคาม เมื่อโดนภาวะวิตกกังวลปล้นสมองไป เราจะใช้วิธีคิดแบบลิง ซึ่งสันนิษฐานว่าเราจะปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่อต้องแน่ใจผลลัพธ์ทั้งหมด ต้องสมบูรณ์แบบ และต้องรับผิดชอบความรู้สึกและการกระทำของผู้อื่น”

ตัวอย่างของจิตลิงที่แชนนอนนำเสนอนั้นมีหลายอย่าง โดยอย่างที่มีความคล้ายกับผมที่สุดคือเรื่องการเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เช่น หากวันไหนผมได้รับฟีดแบคว่างานของผมดีมาก แต่มีข้อบกพร่องเล็กๆ เพียงจุดเดียว ผมยอมรับตรงๆ เลยว่าจิตลิงของผมจะตื่นตูมและเตลิดไปไกลกว่าความเป็นจริง ผมจะลืมข้อดีทั้งสิบของงานชิ้นนั้น และตำหนิตัวเองอย่างรุนแรงราวกับนักวิจารณ์ปากจัด

นอกจากการเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบ จะเห็นได้ว่าแชนนอนยังพูดถึงเหยื่ออันโอชะของสมองลิง นั่นคือการเป็นคนที่ทนความไม่แน่นอนไม่ได้ โดยคนประเภทนี้ก็คล้ายกับผมอีก คือเวลาทำอะไรจะต้องมั่นใจว่าผลลัพธ์จะออกมาตามที่หวัง 

เหยื่อประเภทสุดท้าย คือคนที่รู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบทุกคนตลอดเวลา จนลืมสำรวจอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เช่น ถ้าไม่มีใครอาสาทำงานพิเศษในช่วงวันหยุด คุณอาจจะรู้สึกผิดหากจะเป็นหนึ่งในทุกคนที่ไม่อาสาเพราะต้องการพักผ่อน ดังนั้นคุณจึงยอมเป็นคนเดียวที่สละตัวเองทุกครั้งหากทีมต้องการ ทั้งๆ ที่ตัวคุณเองก็มีกิจกรรมพักผ่อนมากมายที่อยากจะทำในวันหยุด  

เมื่อเจออุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ ในชีวิต คนทั้งสามประเภทนี้มักจะถูกลิงปล้นสมอง แถมยังให้อาหารลิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการกระทำที่ผมยกตัวอย่างในข้างต้น หรือจะให้ลงลึกกว่านี้บางครั้งจิตลิงก็มักแวะมาทักทายทุกคนยามเผชิญเรื่องง่ายๆ เช่น หากผมต้องเขียนเรื่องที่ผมไม่ถนัด ผมมักจะยื้อเวลาหรืออ้อยอิ่งให้นานที่สุด ระหว่างเขียนผมอาจจะนึกได้ว่าคืนนี้ลิเวอร์พูลจะแข่งกับแมนยู จากนั้นผมจะหันไปอ่านบทวิเคราะห์เกม ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่ใช่คนที่จะมานั่งอ่านอะไรแบบนี้ หรือระหว่างใช้นิ้วเคาะตัวอักษรเพื่อเขียนบทความ ผมอาจจะสังเกตว่าเล็บที่งอกมาได้หกวันจะยาวไปไหม และทันใดนั้นผมก็หยิบกรรไกรมาตัดเล็บ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญที่สุดกับผม ณ เวลานั้น แต่พอจิตลิงครอบงำ สติที่ชัดแจ้งและความมีเหตุผลของเราก็จะถูกลิงตัวนั้นยึดไป

“เราให้อาหารลิงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันด้วยการใช้กลยุทธ์เอาตัวรอด ซึ่งก็คือพฤติกรรมที่ทำเพื่อให้รู้สึกปลอดภัยชั่วคราวจากภัยคุกคามและสัญญาณเตือนภาวะวิตกกังวลที่ลิงรับรู้”

ถึงตอนนี้ ผมก็เหมือนกับหลายๆ คนที่สงสัยว่าแล้วเราจะทำยังไงเพื่อกู้สมองคืนจากลิง หรือจะทำยังไงที่เราจะอยู่กับลิงตัวนี้ได้อย่างสันติที่สุด โดยแชนนอนนำเสนอเครื่องมือเพื่อทำลายวังวนดังกล่าวผ่านกลยุทธ์แบบเปิดกว้าง

“เพื่อให้ความไม่สบายกายและใจ ซึ่งเกิดจากความวิตกกังวลผ่านพ้นไปตามวิถี คุณไม่เพียงต้องรู้สึก แต่ต้องต้อนรับมันด้วย ก้าวแรกที่ต้องทำคือพลิกวิธีคิดแบบลิงให้กลับหัวกลับหาง เราต้องจับข้อสันนิษฐานที่ว่า ฉันจะต้องแน่ใจเต็มร้อย ฉันจะต้องสมบูรณ์แบบ และฉันจะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคน มาพลิกกลับด้านเป็น ฉันยอมไม่แน่ใจเต็มร้อย ฉันทำผิดพลาดได้ และฉันต้องรับผิดชอบตัวฉันเอง”

แน่นอนว่าแชนนอนยอมรับว่าการจะพลิกวิธีคิดที่เราคุ้นเคยมาทั้งชีวิตนั้นเป็นเรื่อง ‘ยาก’ แต่สามารถ ‘ฝึกได้’ เพราะกลยุทธ์เปิดกว้างจะรักษาวงจรของความเปิดกว้างเอาไว้ เพื่อให้ชีวิตของเราพบทางเลือกที่มากกว่าเดิม 

“เรากำลังฝึกลิง ยิ่งเราไม่ตอบสนองสิ่งที่ลิงกระตุ้นให้ลงมือทำบ่อยเท่าไร ลิงก็ยิ่งเรียนรู้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ขอให้จำไว้ว่า ลิงจะเรียนรู้ได้ดีแค่ไหนนั้นอยู่เหนือการควบคุมของคุณ 

การฝึกเปิดกว้างแท้จริงแล้วคือการฝึกตัวเอง! เมื่อต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก คุณจะเรียนรู้ว่าตัวเองทนได้ คุณจะค้นพบว่าตัวเองรับมือทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ และเกิดความมั่นใจใหม่”

นอกจากการแนะนำให้เราเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ อย่างกล้าหาญ โดยไม่ปล่อยให้ความวิตกกังวลมาครอบงำ อีกหนึ่งเครื่องมือที่แชนนอนกล่าวถึง คือ ‘การหายใจเพื่อต้อนรับความรู้สึก’ เพราะการหายใจจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความวิตกกังวล และใช้สติรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

“สูดลมหายใจเข้าอย่างต่อเนื่องด้วยความตั้งใจว่าจะต้อนรับมากกว่าต่อต้าน การสูดลมหายใจเข้าแต่ละครั้งจะช่วยให้มีพื้นที่ปลอดภัย  ความรู้สึกไม่สบายตัวออกไป เมื่อหายใจออก ให้คุณปลดปล่อยทุกสิ่งที่คุณพยายามควบคุมไปพร้อมกัน จงเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่า ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งจำเป็น ฉันต้อนรับความรู้สึกนี้ได้ตราบใดที่มันยังอยู่

เมื่อหายใจเพื่อต้อนรับความรู้สึกไปเรื่อยๆ จะจับสังเกตได้ว่าความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไป อาจจะรุนแรงขึ้นหรือเบาลง ขอให้คุณต้อนรับไว้ด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่หายใจเข้าต่อเนื่องและต้อนรับมัน อนุญาตให้ความรู้สึกอยู่ตรงนั้น อนุญาตให้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนไป อนุญาตให้ความรู้สึกหยุดนิ่งลง และแม้กระทั่งอนุญาตให้ความรู้สึกเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง 

อย่าประหลาดใจหากลิงอาละวาดเหมือนเด็กในซูเปอร์มาร์เก็ตจนกระหน่ำความคิดหรือความรู้สึกวิตกกังวลใส่คุณหนักกว่าเดิม อันที่จริงรอได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ให้กลับไปจดจ่อกับลมหายใจ ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีคอยต้อนรับอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ถ้าจดจ่อกับลมหายใจไปเรื่อยๆ คุณจะประหลาดใจว่าตัวเองรับมือความรู้สึกทางกายและใจใดๆ ก็ตามได้ดีขนาดไหน”

พร้อมกันนี้แชนนอนยังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า คนเราส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่ดี ดังนั้นการอ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าการฝึกเปิดกว้างจะนำรางวัลใดมาให้กับเรา ตราบใดที่เรายังฝึกไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอ

หลังอ่านหนังสือจบ ผมรู้สึกว่าวิธีการหายใจมีความคล้ายกับการนั่งสมาธิ จึงลองย้อนกลับมาอ่านวิธีการแก้ไขจิตลิงที่พระอาจารย์ชยสาโรแนะนำเพิ่มเติม และได้รับคำตอบว่าการฝึกสติผ่านการจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า – ลมหายใจออก สามารถช่วยให้จิตสงบ หยุดความฟุ้งซ่าน และกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อมีสติจะทำให้เราเข้าใจว่าความคิดและอารมณ์ต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ถาวร 

ดังนั้นการรู้เท่าทันด้วยสติจึงช่วยลดอำนาจของ ‘จิตลิง’ ทั้งยังช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยไม่หลงกล พร้อมกับใช้ ‘ปัญญา’ เป็นเครื่องมือในการนำทางชีวิตต่อไปในอนาคต

Tags:

หนังสือความรู้สึกจิตใจหยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณDon’t Feed the Monkey Mind

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

  • Book
    ปิราเนซิ: โลกแสนงดงามเมื่อถูกสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    Emotional Projection: ในโลกวุ่นวาย ใครใจร้ายรอด?

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    แบวูล์ฟ: ความขี้โกหกและการสัมผัสลักษณะต่างๆ ภายในตนเอง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

Positive Parenting: เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ เสริมสร้างสมองที่แข็งแกร่ง
Adolescent Brain
25 November 2024

Positive Parenting: เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ เสริมสร้างสมองที่แข็งแกร่ง

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หนึ่งในแนวทางการเลี้ยงลูกโดยใช้หลักจิตวิทยาเชิงบวก คือ ‘Positive Parenting’ การเลี้ยงดูโดยปราศจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือคำพูด
  • การเลี้ยงลูกแบบ Positive Parenting นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองด้วย ช่วยให้เด็กมีอารมณ์ที่มั่งคง ตัดสินใจได้ดี และปรับตัวในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ‘การจับถูก’ จะเป็นการเสริมแรงทางบวกเพื่อทำให้เด็กรู้สึกดีและอยากทำพฤติกรรมนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งได้ผลที่ดีกว่า ‘การจับผิด’ ที่แม้จะทำให้เด็กประพฤติตัวดีขึ้นได้ก็จริง แต่เด็กอาจไม่ได้รู้สึกชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หรืออาจทำเพียงเพราะกลัวถูกดุ

สังเกตไหมว่าบ่อยครั้งเรามักพึ่งพาเรื่องเชิงลบเพื่อผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเช่น ลูกทำงานบ้านเพราะกลัวแม่ดุ นักเรียนทำการบ้านเพราะกลัวครูลงโทษ ลูกน้องรีบทำงานเพราะกลัวหัวหน้าตำหนิ สิ่งนี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่า ‘การเสริมแรงทางลบ’ (Negative Reinforcement) เราทำพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการเจอกับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

การเสริมแรงทางลบช่วยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี แต่บางครั้งเราอาจไม่ได้รู้สึกชอบทำพฤติกรรมนั้นจริงๆ เพียงแต่จำใจยอมทำเพื่อจะได้ไม่โดนตำหนิ เมื่อไม่มีการตำหนิ เราก็อาจหยุดพฤติกรรมนั้น เพราะไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องทำอีก เช่น ลูกอาจไม่ทำงานบ้านถ้าพ่อแม่ไม่คอยดุ 

แล้วมันจะดีกว่าไหมถ้าเราใช้เรื่องเชิงบวกในการสร้างพฤติกรรม?

‘การเสริมแรงทางบวก’ สามารถปรับพฤติกรรมเด็กให้ดีขึ้นได้

รศ.ดร.สิทธิโชค วรานุสันติกูล (2549) กล่าวว่า เมื่อเราทำพฤติกรรมที่นำไปสู่ความพึงพอใจ เราจะเกิดความรู้สึกชอบและอยากทำพฤติกรรมนั้นอีก เรียกว่า ‘การเสริมแรงทางบวก’ (Positive Reinforcement) เราทำเพราะจะทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่ทำเพราะเพื่อหลีกหนีผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

ผู้ใหญ่บางคนมักมองข้ามความสำเร็จของเด็ก โดยสนใจเฉพาะเมื่อเด็กทำผิดแล้วจึงเข้าไปสั่งสอน พูดง่ายๆ ก็คือเน้น ‘การจับผิด’ การจับผิดทำให้เด็กประพฤติตัวดีขึ้นได้ก็จริง แต่เด็กอาจไม่ได้รู้สึกชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หรืออาจทำเพียงเพราะกลัวถูกดุ

สิ่งที่จะทำให้เด็กรู้สึกดี คือเน้น ‘การจับถูก’ กล่าวชื่นชมให้กำลังใจเมื่อเด็กทำสิ่งใดแล้วสำเร็จ โดยเน้นการกล่าวชื่นชมที่ความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ เขาจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และรับรู้ว่าตัวเองมีความสามารถ ต่อไปเขาก็อยากที่จะทำพฤติกรรมนั้นเองโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าว

พูดง่ายๆ ก็คือ เราใช้ ‘การจับถูก’ เป็นการเสริมแรงทางบวกเพื่อทำให้เด็กรู้สึกดีและอยากทำพฤติกรรมนั้นด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจกลัวว่าการจับถูกจะทำให้เด็กเหลิงและหลงตัวเอง แต่ รศ.ดร.สิทธิโชค ชี้ว่า การทำเช่นนี้เป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘การเสนอพฤติกรรมคู่แข่ง’ (Incompatible Response) คือการสร้างหรือสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมหนึ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกับอีกพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันได้ 

เช่น เราไม่อยากให้เด็กพูดจาหยาบคาย เราก็กล่าวชมเมื่อเด็กพูดจาไพเราะ (เสริมแรงทางบวกให้กับการพูดจาไพเราะ) เนื่องจากการพูดจาไพเราะขัดแย้งกับการพูดจาหยาบคาย เมื่อเด็กเห็นว่าการพูดจาไพเราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คือ การได้รับคำชม ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเลือกการพูดจาไพเราะมากขึ้นและลดโอกาสพูดจาหยาบคาย

ลักษณะของ ‘การจับถูก’ เช่นนี้สอดคล้องกับหลักการของ ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ (Positive Psychology) นั่นคือ การมองมนุษย์ในแง่บวก หาวิธีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งที่นำไปสู่ความรู้สึกพึงพอใจ ไม่ใช่การตอกย้ำเรื่องแย่ๆ แล้วหวังให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

Martin Seligman บิดาแห่งจิตวิทยาเชิงบวกกล่าวว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จิตวิทยามุ่งศึกษาแต่ความผิดปกติทางจิตและวิธีการรักษา แต่ได้ละเลยการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต

เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ ส่งผลดีต่อสมองในระยะยาว

หนึ่งในแนวทางการเลี้ยงลูกโดยใช้หลักจิตวิทยาเชิงบวก คือ ‘Positive Parenting’ การเลี้ยงดูโดยปราศจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือคำพูด โดย ผศ.ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ได้สรุป Positive Parenting ไว้ว่ามีลักษณะดังนี้

  1. พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก – ลูกมักสังเกตการกระทำของพ่อแม่ ดังนั้นถ้าพ่อแม่ต้องการให้ลูกประพฤติตัวอย่างไรก็ควรทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง
  2. ใช้การสื่อสารเชิงบวก – เมื่อลูกทำพฤติกรรมดีๆ ก็ให้เอ่ยคำชมด้วยความจริงใจเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับลูก และเมื่อลูกทำผิดก็หลีกเลี่ยงการดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ควรใช้คำพูดที่อธิบายว่าลูกทำอะไรผิด สิ่งนั้นไม่ดีอย่างไร และจะแก้ไขความผิดได้อย่างไร
  3. ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ – ใช้เวลาทำกิจกรรมที่ทำให้ครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเข้าใจความคิดของกันและกันมากขึ้น
  4. ให้ลูกได้แสดงความคิดของตัวเอง – เปิดโอกาสให้ลูกได้อธิบายว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ให้ลูกลองแสดงวิธีแก้ปัญหาต่างๆ และพ่อแม่ก็ช่วยกันวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสีย
  5. สอนให้ลูกเข้าใจคนอื่น – แต่ละคนมีภูมิหลังที่ต่างกัน พ่อแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจถึงความแตกต่างด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา สอนให้มองในมุมของเขาเพื่อทำความเข้าใจเขา
  6. ยอมขอโทษเมื่อทำผิด – พ่อแม่ก็ทำผิดได้ พ่อแม่ต้องกล้าที่จะขอโทษอย่างไม่เขินอายเมื่อทำผิด เป็นการสอนเป็นนัยให้ลูกกล้ายอมรับผิดเมื่อทำผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะแก้ไข

จากงานวิจัยระยะยาวในวารสาร Developmental Cognitive Neuroscience ปี 2014 พบว่า การเลี้ยงลูกแบบ Positive Parenting ทำให้สมองของเด็กมีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก กล่าวคือ ทำให้ ‘อะมิกดาลา’ (Amygdala) มีการเจริญเติบโตในปริมาตรที่ลดลง และ ‘ส่วนนอกของสมองใหญ่’ (Cerebral Cortex) บางส่วนมีการบางลงที่เร็วขึ้น

‘อะมิกดาลา’ มีหน้าที่ตอบสนองอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ลบ (เช่น ความกลัว) เพื่อช่วยตรวจจับภัยคุกคาม การเจริญเติบโตที่ช้าลงในบริเวณนี้ อาจบ่งชี้ถึงการมีอารมณ์ที่มั่นคงมากขึ้น กล่าวคือ มีแนวโน้มที่จะประสบกับความเครียดน้อยลงและสามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้เร็วขึ้น

ส่วนการบางลงของ ‘ส่วนนอกของสมองใหญ่’ เป็นพัฒนาการทางสมองตามปกติเมื่อเราโตขึ้น การบางลงนี้จะช่วยให้สมองส่วนต่างๆ เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในงานวิจัยนี้พบว่าการเลี้ยงลูกเช่นนี้เร่งการบางลงในบริเวณ Orbitofrontal Cortex (OFC) และ Anterior Cingulate Cortex (ACC) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมทางสังคม อาจบ่งชี้ได้ว่าเด็กสามารถตัดสินใจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ทางสังคมด้วยความเข้าใจและความยืดหยุ่น

สรุปแล้ว การเลี้ยงลูกแบบ Positive Parenting นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองด้วย ช่วยให้เด็กมีอารมณ์ที่มั่งคง ตัดสินใจได้ดี และปรับตัวในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง

สมบุญ จารุเกษมทวี. (ม.ป.ป.). เทคนิคการเลี้ยงลูกเชิงบวก Positive Parenting.

สิทธิโชค วรานุสันติกุล. (2549). จิตวิทยาพฤติกรรมนิยม จิตวิทยานิมาน และอุเบกขาธรรมในชีวิตกับการทำงาน. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 6(1), 301-325.

Cleveland Clinic. (2023). Amygdala: What It Is and What It Controls.

Courtney E. Ackerman, & Jo Nash. (2018). What Is Positive Psychology & Why Is It Important?

Ellen Barry. (2024). Teen Girls’ Brains Aged Rapidly During Pandemic, Study Finds.

Fatahi, Z., Ghorbani, A., Zibaii, M.I., & Haghparast, A. (2020). Neural synchronization between the anterior cingulate and orbitofrontal cortices during effort-based decision making. Neurobiology of Learning and Memory, 175, 107320.

Flint Rehab, & Elizabeth Denslow. (2022). Orbitofrontal Cortex Damage: Understanding Emotional & Behavioral Changes After TBI.

Flint Rehab, & Mariah Kellogg. (2022). Anterior Cingulate Cortex Damage: Understanding the Secondary Effects & Recovery Process.

UNICEF. (n.d.). Positive Parenting.

Whittle, S., Simmons, J.G., Dennison, M., Vijayakumar, N., Schwartz, O., Yap, M.B.H., Sheebere, L., & Allen, N.B. (2014). Positive parenting predicts the development of adolescent brain structure: A longitudinal study. Developmental Cognitive Neuroscience, 8, 7-17.

Tags:

การปรับตัวการเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement)จิตวิทยาการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกสมองครอบครัวพลังบวก (Positive Parenting)อารมณ์การเลี้ยงดู

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Self-doubt
    How to enjoy life
    โยนคำวิจารณ์ที่บดขยี้ความมั่นใจของเราทิ้งไป แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    ลูกจะนิสัยเหมือนฉันไหม: บุคลิกภาพและการส่งต่อทางสายเลือด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

‘รอคอยไม่ได้ เครียดเบื่อหน่าย กลั่นแกล้งกัน ไม่มีเพื่อน’ สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพจิตของเด็กวัยว้าวุ่น: พญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์
Social Issue
25 November 2024

‘รอคอยไม่ได้ เครียดเบื่อหน่าย กลั่นแกล้งกัน ไม่มีเพื่อน’ สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพจิตของเด็กวัยว้าวุ่น: พญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • พฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น 4 ด้าน ‘เสพ เซ็กส์ ซ่า เศร้า’ หากผู้ใหญ่ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่ถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็กมากพอ หรือช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจพบจุดจบน่าเศร้าอย่างที่มักเห็นในข่าวหน้าหนึ่งที่เด็กเครียดกระโดดตึกดับ หรือมีพฤติกรรมโมโหร้ายลงมือทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอๆ  
  • สำรวจสุขภาพจิตเด็กไทยกับหมอฝน – พญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ผู้ที่ทำงานส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กในสังกัดสพฐ ผ่านแพลตฟอร์ม ‘School Health Hero’ ในการเฝ้าระวังนักเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ สังคม ในโรงเรียน 
  • “ปัญหาสังคมเป็นปัญหาที่เจอเยอะในโรงเรียน เพราะว่าโรงเรียนเป็นแหล่งรวมเด็ก เพราะฉะนั้นเด็กที่มาอยู่ด้วยกันก็จะเป็นเหมือนการจำลองสังคมของเด็ก เด็กมากหน้าหลายตามีเพื่อนที่ทั้งดีแล้วก็อาจจะแกล้งเรา หรือว่าทะเลาะกันก็ตาม”

ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน เป็นพื้นฐานด้านจิตใจที่ดีที่จะช่วยผลักดันให้เด็กคนหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น อย่างมีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ต่อกันมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตที่ปัจจุบันเด็กและเยาวชนมักประสบพบเจอกัน เช่น ซึมเศร้า สมาธิสั้น ใจร้อน ความอดทนต่ำ ขาดความมั่นใจ รู้สึกไร้ค่า เป็นต้น

ซึ่งเป็นภาวะความเสี่ยงด้านพฤติกรรม อารมณ์ และสังคม ที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ เฝ้าสังเกตพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ ในวัยเด็ก ก่อนจะสายเกินแก้ และรุนแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น หรือเป็นภัยต่อสังคม

หมอฝน – พญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ผู้ที่ทำงานส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กในสังกัด สพฐ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผ่านแพลตฟอร์ม ‘School Health Hero’ ให้ครูเฝ้าระวังและประเมินปัญหาสุขภาพจิตนักเรียน โดยใช้งานในโรงเรียนในสังกัดสพฐ. ตั้งแต่ระดับป.1-ม.6 ให้ข้อมูลว่า 

พฤติกรรมที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ในอดีตมักจะพบในช่วงวัยรุ่นและพบได้ในโรงเรียน นั่นคือพฤติกรรมเสี่ยง 4 ด้าน ‘เสพ เซ็กส์ ซ่า เศร้า’ ซึ่งเด็กที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้มักจะถูกตัดสินให้ออกจากโรงเรียน โดยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกทาง หากผู้ใหญ่ให้ความเอาใจใส่ถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็กมากพอ ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เด็กอาจไม่พบจุดจบน่าเศร้าอย่างที่เรามักเห็นในข่าวหน้าหนึ่งที่เด็กเครียดกระโดดตึกดับ หรือมีพฤติกรรมโมโหร้ายลงมือทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอๆ  

“ก่อนที่เด็กจะทำแบบนั้นมันมีสัญญาณเตือน มีจุดเปลี่ยนหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นปัญหาอารมณ์ เด็กเริ่มเครียด หงุดหงิดง่าย เด็กเริ่มท้อแท้เบื่อหน่าย เด็กไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งมันน่าจะสะท้อนให้เห็นช่วงใดช่วงนึงก่อนหน้าที่เด็กจะทำร้ายตัวเอง แต่เนื่องจากความไวหรือว่าการดูแลที่มันลึกหน่อยอาจจะยังไม่มากพอ หรืออาจจะเป็นการที่คุณครูไม่ได้ให้น้ำหนักกับการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนเท่ากับการเรียนการสอน ก็เป็นไปได้ที่เด็กหลายๆ คนถ้าไม่มีอาการที่รุนแรงจริงๆ ก็จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาช่วยเหลือ”

พญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

ระบบสุขภาพจิตโรงเรียน ดูแลช่วยเหลือเด็กที่มีความเสี่ยง

หมอฝนเล่าว่า ในการดูแลสุขภาพจิตเด็กให้ได้ประสิทธิภาพนั้น หน่วยงานสาธารณสุขกับโรงเรียนต้องร่วมมือกัน โดยแรกเริ่มเดิมทีกรมสุขภาพจิตได้เป็นภาคีเครือข่ายที่สำคัญกับโรงเรียน ออกแบบพัฒนาระบบที่เรียกว่า ‘สุขภาพจิตโรงเรียน’ ร่วมกัน หรือ ‘School mental health’

“รูปแบบแรกๆ จะทำแบบที่โรงเรียนเขามีต้นทุนเดิมคือระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เขาก็จะดูแลนักเรียนในโรงเรียนเบื้องต้นก่อนว่านักเรียนคนไหนอาจจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นปัญหา พฤติกรรมที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ในอดีตมักจะพบในช่วงวัยรุ่น เป็นพฤติกรรมเสี่ยง 4 ด้าน คือ ‘เสพ เซ็กส์ ซ่า เศร้า’ เสพก็คือเสพสารเสพติด ในปัจจุบันมันจะรวมถึงการเสพติดทางพฤติกรรมด้วย เช่น ติดเกม ติดการพนัน เซ็กส์ก็คือปัญหาเรื่องเพศ พฤติกรรมมีเพศสัมพันธ์ หรือว่าพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม ลามกอนาจาร ซ่าก็จะเป็นพฤติกรรมเกเร เช่น เด็กอาจจะหนีเรียน หรือว่าทะเลาะวิวาทกัน ส่วนเศร้าก็คือปัญหาเรื่องอารมณ์ วิตกกังวล ซึมเศร้า ไม่อยากมาโรงเรียน ทำร้ายตัวเอง เป็นต้น”

“คราวนี้จะทำยังไงให้ระบบสุขภาพจิตได้ค้นหาสิ่งนี้ได้เร็ว แล้วก็สามารถดูแลช่วยเหลือได้ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะไม่เช่นนั้นเด็กที่มีปัญหา ‘เสพ เซ็กส์ ซ่า เศร้า’ มักจะถูกตัดสินให้ออกจากโรงเรียน ทำโทษที่รุนแรง หรือว่าเด็กก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือแก้ปัญหาที่ถูกทาง ก็จะมีปัญหาเรื่องเรียนไม่จบ หรือว่ามีพฤติกรรมที่หนักยิ่งขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้นกรมสุขภาพจิตก็เลยเห็นโอกาสในช่วงก่อนโควิดไม่นาน เราก็คิดว่าเราไม่มีฐานข้อมูลร่วมกันระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาลมาก่อน ว่าเด็กในโรงเรียนของแต่ละแห่งมีปัญหา ‘เสพ เซ็กส์ ซ่า เศร้า’ เท่าไหร่ มีปัญหาเด็กเรียนหนังสือแย่ แล้วมันมาจากปัญหาสุขภาพจิตเท่าไหร่ เราไม่มีข้อมูลที่เป็นฐานที่ดูร่วมกันที่แชร์กันได้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการนำข้อมูลทั้งหมดที่ในโรงเรียนพึงจะมีมาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ที่เรียกว่า ‘School Health Hero’ เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยเหลือในการเฝ้าระวังนักเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ สังคม ในโรงเรียน 

การช่วยเหลือก็คือคุณครูพอรู้ว่าเด็กคนไหนมีความเสี่ยง คุณครูก็จะไม่ได้ปล่อยเด็กไปจนหมดเทอม สมมติว่าถึงขั้นติดยา หรือว่าตั้งครรภ์แล้วจึงค่อยมาดูแล แต่ว่าเราจะดูตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเด็กเริ่มมีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรที่น่าสงสัยบ้าง ช่วยเหลือไปก่อนเลย แล้วก็อาจจะมีการส่งต่อ เพราะคุณครูก็อาจจะเริ่มไม่แน่ใจว่าจะดูแลเด็กยังไง ก็สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตได้ โดยจะแจ้งเตือนไปยังโรงพยาบาลหรือว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในสถานพยาบาลที่อยู่ในอำเภอเดียวกับโรงเรียน อันนี้ก็คือหน้าที่ของแพลตฟอร์ม School Health Hero เป็นการเก็บข้อมูลที่ตรงกันระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาล สามารถส่งข้อมูลเชื่อมต่อมายังโรงพยาบาล โดยไม่ต้องรอให้พบหน้ากัน”

เช็คลิสต์ 9 ข้อ พฤติกรรมเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต

ในการประเมินพฤติกรรมของเด็กที่มีความเสี่ยงจะเกิดปัญหาสุขภาพจิต ผ่านแพลตฟอร์ม School Health Hero นั้น หมอฝนอธิบายต่อว่า ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า 9 Symptoms หรือว่า 9S ชุดคำถาม 9 ข้อ ในการประเมิน โดยครอบคลุมประเด็น 3 หมวดด้วยกัน ได้แก่ ปัญหาพฤติกรรม ปัญหาอารมณ์ และปัญหาสังคม  

  • ปัญหาพฤติกรรม ได้แก่ 1.ซนไป 2.ใจลอย 3.รอคอยไม่ได้
  • ปัญหาอารมณ์ ได้แก่ 4.เครียด หงุดหงิดง่าย 5.ท้อแท้เบื่อหน่าย 6.ไม่อยากไปโรงเรียน 

“ปัญหาอารมณ์ อาจจะเจอได้ยากกว่า เพราะว่าตัวเด็กเองต้องแสดงออกออกมาถึงเห็นชัด ถ้าเกิดเขาเก็บไว้คุณครูก็ต้องใช้ความใกล้ชิด ความรู้จักพอสมควรที่จะทำให้เห็น ซึ่งหมวดนี้ก็จะสะท้อนถึงอารมณ์ที่มักจะไม่ปกติในเด็กตั้งแต่ประถมฯ จนถึงมัธยมฯ เลย เมื่อมีความเครียด หงุดหงิดง่ายขึ้นมา สะท้อนว่าเด็กช่วงนั้นอาจมีการปรับตัวบางอย่าง อาจมีเรื่องกระทบจิตใจ หรืออาจจะถูกกลั่นแกล้งก็ได้ ทำให้เขามีปัญหาอารมณ์ ถ้าคุณครูเห็นข้อใดข้อหนึ่งคุณครูก็เลือกสังเกตเลือกว่ามีหรือไม่มีในระบบ School Health Hero แล้วพอเลือกเสร็จมันก็จะประมวลผลอนุมัติเพื่อจะเปลี่ยนเป็นค่าคะแนนว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่” 

  • ปัญหาสังคม ได้แก่ 7.การกลั่นแกล้งเพื่อน 8.ถูกเพื่อนแกล้ง และ 9.ไม่มีเพื่อน

“ปัญหาสังคมเป็นปัญหาที่เจอเยอะในโรงเรียน เพราะว่าโรงเรียนเป็นแหล่งรวมเด็ก เพราะฉะนั้นเด็กที่มาอยู่ด้วยกันก็จะเป็นเหมือนการจำลองสังคมของเด็ก เด็กมากหน้าหลายตามีเพื่อนที่ทั้งดีแล้วก็อาจจะแกล้งเรา หรือว่าทะเลาะกันก็ตาม 

เด็กบางคนมักจะเป็นผู้ถูกกระทำบ่อยๆ ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นจุดเฝ้าระวังถึงปัญหาการปรับตัวและปัญหาอารมณ์ตามมาได้ และข้อสุดท้าย ‘ไม่มีเพื่อน’ คือการที่เด็กคนนึงไม่มีเพื่อนมันเป็นความเสี่ยงที่เยอะ เพราะเด็กที่ถูกกลั่นแกล้ง หรือเด็กที่ทำร้ายตัวเองส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อนเลย เป็นเด็กที่สังคมไม่ค่อยดี”

โดยระบบ School Health Hero นี้ทำให้การประเมิน Real time เพียงแค่เปิดหน้าที่เป็นห้องเรียนของคุณครู ซึ่งต้องสมัครเป็น User ของระบบก่อน จากนั้นก็จะเห็นนักเรียนในห้องเรียนของตัวเองทั้งหมดทุกคน ซึ่งทุกคนจะถูกประเมิน 9S โดยคุณครูทำหน้าที่ประเมิน จากการสังเกตการณ์เด็กแต่ละคนตามข้อคำถาม 9S สุดท้ายระบบจะประมวลผลให้ว่ามีเด็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรดูแลอยู่กี่คน 

“พอคุณครูเห็นสถานะที่ขึ้นมาว่าควรดูแล ก็จะเป็นข้อสังเกตของคุณครูเองแหละที่จะดูว่า อ๋อ…เด็กคนนี้มีจุดต้องการความช่วยเหลือนะ อาจจะเฝ้าระวังสังเกตการณ์ดูก่อนว่า เด็กเริ่มมาโรงเรียนไม่ค่อยสม่ำเสมอ เริ่มมีปัญหาการปรับตัวอะไรหรือไม่ และคุณครูสามารถให้การช่วยเหลือได้เร็วขึ้น อาจจะเป็นการไปพูดคุยหรือไปเยี่ยมบ้าน หรือว่าไปทำการเสริมสร้างทักษะที่เขาจำเป็นต้องมีมากขึ้น ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความสามารถหรือศักยภาพแต่ละโรงเรียนจะพัฒนาคุณครูไป”

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงด้วย ‘พฤติกรรมเชิงบวก’ 

หมอฝนเล่าว่า จากการทำงานร่วมกันกับโรงเรียนหลายแห่ง โรงเรียนมีวิธีหลากหลายที่จะช่วยให้เด็กที่มีความเสี่ยงได้รับการช่วยเหลือ โดยหลักๆ เช่น การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมบางอย่าง การส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมในโรงเรียน หรือมีชั่วโมงซ่อมเสริม รวมถึงการไปเยี่ยมบ้านที่ทำกันประจำทุกปี 

“ในเด็กกลุ่มเสี่ยงบางคนก็ต้องการการดูแลที่เฉพาะในบางด้าน อย่างเช่นถ้าเป็นเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม สิ่งที่ต้องการมากๆ คือ ‘การปรับพฤติกรรมเชิงบวก’ ซึ่งทักษะในการปรับพฤติกรรมเชิงบวก จากที่หมอได้ทำงานมาหลายปีก็พบว่า ครูแต่ละสถานศึกษาไม่ได้มีทักษะการปรับพฤติกรรมเชิงบวกที่เท่าเทียมกัน เเล้วทักษะนี้เป็นทักษะที่ต้องผ่านการฝึกผ่านการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นระบบด้วย เช่นที่เราอาจจะเคยได้ยินว่า เราจะทำโทษยังไง เราจะชื่นชมยังไง จริงๆ แล้วเหมือนเป็นทักษะที่ไม่ยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเหมือนกัน”

“ถ้าเกิดครูบอกว่าครูคุ้นชินกับการดุตำหนิเด็กต่อหน้าเพื่อน เช่น เด็กที่คุยเสียงดัง แล้วครูบอกว่าเกเร เสียงดัง ไม่น่ารัก แล้วพูดในห้องที่มีเด็กเยอะๆ อันนี้ก็ไม่เป็นการปรับพฤติกรรมเชิงบวก 

เราอาจจะเห็นวิธีแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วมันไม่ค่อยได้ผล ถ้ามันไม่ได้ผลแปลว่า มันอาจจะยังมีจุดไม่เหมาะสม หรือว่าไม่ช่วยให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ดี เด็กคนนั้นก็อาจจะรู้สึกอายเพื่อนที่ครูดุเขาต่อหน้าเพื่อน เขาอาจจะไม่ได้หยุดได้นานหรอก สักพักนึงเขาอาจจะคุยเสียงดังขึ้นมาอีก 

ดังนั้นการปรับพฤติกรรมแบบที่ทำอยู่มันอาจได้ผลแค่ชั่วคราว ไม่ได้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ดี แต่การปรับพฤติกรรมหรือการชมที่เหมาะสม อาจจะทำให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมมากขึ้น เช่นแทนที่ครูจะไปเพ่งเล็งกับการแค่คุยเสียงดัง แต่ครูเห็นว่าเด็กคนนี้ในคาบเขาสามารถยกมือตอบคำถามหรือว่าให้ความร่วมมือ เช่นมานั่งใกล้ครู หรือว่าสนใจมองกระดานที่ครูกำลังเขียนอยู่ ถ้าครูเปลี่ยนจากการดุเป็นการชม พอเขาหันมาสนใจหรือว่าตอบคำถาม แล้วครูชมว่านี่เป็นพฤติกรรมที่ดีนะ ครูอยากให้เรามีส่วนร่วมแบบนี้ โดยที่เวลาเด็กคุยกับเพื่อนนิดหน่อย ไม่ต้องไปตำหนิ ไม่ต้องไปดุ อันนี้อาจจะเป็นวิธีการปรับพฤติกรรมเชิงบวกที่ได้ผลมากกว่า”

สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่คุณครูต้องได้รับการฝึกอบรมมาก่อนเพื่อจะไปช่วยเหลือนักเรียนได้ ซึ่งหมอฝนให้ข้อมูลว่า ในกรมสุขภาพจิตจะมีหลักสูตรที่เรียกว่า SAFE B-MOD (School and Family Empowerment for Behavioural Modification) คือโปรแกรมเสริมพลังผู้ปกครองและครู เพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน เมื่อคุณครูผ่านการฝึกอบรม จะสามารถทั้งชมและทำโทษอย่างเหมาะสม โดยไม่สร้างตราบาปให้เด็ก ไม่ทำให้เด็กรู้สึกอับอาย ขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นได้

“ส่วนถ้าเกิดเป็นปัญหาอารมณ์ วิธีที่จะช่วยให้ปัญหาอารมณ์ดีขึ้นมักจะต้องผ่านทักษะที่ครูจะต้องมีก็คือ ทักษะการให้คำปรึกษาวัยรุ่น ซึ่งจริงๆ แล้วจะเน้นทักษะด้านการฟัง การถาม การสะท้อนความรู้สึก แล้วก็การสรุปความ 

ถ้าเกิดว่าครูเห็นเด็กมีปัญหาเครียด เศร้า หรือว่ารู้สึกไม่อยากมาโรงเรียน เพราะถูกเพื่อนแกล้ง แล้วถ้าคุณครูใช้การสั่งสอนหรือบอกแนะนำอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ฟังเขา สิ่งที่เด็กอยากเล่าหรือว่าปัญหาที่เขาเจอจริงๆ จะไม่ได้ถูกช่วยเหลือ 

เพราะฉะนั้น การให้คำปรึกษา โดยเฉพาะทักษะการฟังเป็นทักษะที่คุณครูจำนวนมากยังไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอบรมเท่าที่ควร”

ซึ่งอีกหนึ่งหลักสูตรที่จะมาตอบโจทย์ปัญหาอารมณ์ได้ดี คือ Deep Listening การเป็นนักฟังเชิงลึก ซึ่งจะช่วยเสริมสมรรถนะการฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังอย่างตั้งใจมากขึ้น เมื่อคุณครูฟังเป็น ปัญหาด้านอารมณ์ เช่น เด็กทะเลาะวิวาทกัน หรือมีปัญหาความไม่เข้าใจกัน จะถูกคลี่คลายได้ตรงประเด็นมากขึ้น 

“ส่วนปัญหาด้านสังคมนี่จริงๆ เป็นปัญหาที่เจอทุกโรงเรียนเลยก็ว่าได้ นั่นคือการกลั่นแกล้งรังแก (Bully) แต่ว่าในเมืองไทยเราอาจจะไม่ได้ยกเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที เนื่องจากว่าการกลั่นแกล้งรังแกมันเป็นปรากฏการณ์ที่เจอประจำ แล้วก็ในอดีตมักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นเพื่อนแค่ล้อเอง แค่ถูกแหย่นิดๆ หน่อยๆ เรายังแยกไม่ค่อยออกว่าอะไรเรียกว่ากลั่นแกล้ง อะไรเรียกว่าล้อเล่น” 

โดยหมอฝนมองว่า ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กที่ถูกแกล้ง เด็กที่แกล้งเพื่อน หรือมายด์เซ็ตของครูที่เห็นความสำคัญของปัญหานี้ แต่รวมไปถึงเด็กที่พบเห็นเหตุการณ์ด้วย จำเป็นต้องได้รับการแนะนำเพื่อจะปรับเปลี่ยนวิธีการแสดงออกเพื่อให้การช่วยเหลือเพื่อนได้ด้วย

“วิธีที่โรงเรียนควรจะทำมากๆ ก็คือนำเอาโปรแกรมป้องกันการรังแกกัน (Anti-bullying program) ไปใช้ ทางสพฐ. ก็ออกเป็นเล่มคู่มือน่าจะออกมาไม่กี่ปีล่าสุด เพื่อจะเป็นแนวทางให้คุณครูใช้ เเล้วก็ทางสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นทำเป็น E-Learning ให้ครูเข้ามาเรียนเลยว่า แบบไหนที่เรียกว่าล้อเล่น แบบไหนที่เรียกว่ากลั่นแกล้งรังแก แล้วถ้าเกิดครูเห็นเหตุการณ์ครูจะมีปฏิกิริยาแสดงออกกับเหตุการณ์แบบนั้นยังไง ครูก็จะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดที่เด็กคนนี้ล้อคนนี้ซ้ำๆๆๆ จนเด็กคนนี้รู้สึกว่าเป็นเหยื่อ แล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้จนต้องมีความรุนแรงถึงขั้นว่าเด็กเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่”

ดังนั้น ผู้อำนวยการหรือผู้บริหารโรงเรียนต้องประกาศเป็นนโยบายว่าโรงเรียนเราจะไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งรังแกกัน รวมถึงในกลุ่มครูด้วยกันต้องตระหนักถึงการพูดจาที่ส่อไปทางประจานกันหรือล้อกันให้นักเรียนได้ยิน และไม่ทักนักเรียนบางคนในห้องด้วยฉายานาม เช่น แว่น อ้วน ซึ่งหากพูดซ้ำๆ อาจเป็นการตีตรา หรือเรียกว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางวาจาได้ 

หากทุกคนให้ความเคารพกันและกัน การกลั่นแกล้งรังแกกันทั้งทางร่างกาย วาจา และทางสังคมในโรงเรียนก็จะลดลง

เด็กไทยขาดทักษะอารมณ์และสังคม 

เด็กมีภาวะความเสี่ยงด้านพฤติกรรม อารมณ์ สังคม ส่งผลให้แสดงออกถึงพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่น่ารัก และก้าวร้าวนั้นมีที่มา หมอฝนอธิบายโดยแบ่งเป็นปัจจัยด้านชีวภาพและปัจจัยด้านจิตใจ

“ในด้านชีวภาพ (Bio Psycho Social) เด็กคนนึงอาจจะเกิดมาด้วย พลังงานที่เยอะ มีพันธุกรรมที่อาจจะมีความหุนหันพลันแล่น แล้วก็ซนมากเป็นทุนเดิม ซึ่งอันนี้ก็เจอบ่อย เขาจะไม่นิ่งสงบเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้เด็กมีความใจร้อน หุนหันพลันแล่นง่าย มักจะกระทบกระทั่งกับคนอื่นได้ง่ายด้วย กลายเป็นเด็กที่ไม่น่ารักในสายตาผู้ใหญ่ ตามมาด้วยปัจจัยด้านจิตใจ เด็กก็จะรู้สึกถึงความไม่พอใจ โกรธเคือง หรือว่าถ้าเกิดมีอีกฝ่ายนึงดุเขา ตำหนิต่อว่า ทำโทษ หรือตี เด็กที่ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้อยู่แล้ว พอถูกกระทำแบบนั้นด้านจิตใจก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น จะยิ่งรู้สึกทั้งต่อต้าน โกรธ เสียใจ ไม่พอใจ อยากจะเอาคืนสารพัด รวมทั้งอาจจะรู้สึกถึงความไม่ดีของตัวเอง เสียความมั่นใจ รู้สึกตัวเองไร้ค่า รู้สึกตัวเองแย่ ก็ได้” 

“เพราะฉะนั้นจิตใจที่มันสั่งสมมาเรื่อยๆ บ่มเพาะให้เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถเต็มศักยภาพของเขาที่จะทำอะไรให้สำเร็จ แล้วพอเข้าสังคมเช่น ไปมีเพื่อน ไปทำกิจกรรม ไม่สำเร็จอีก ถูกแอนตี้อีก ถูกต่อว่า ถูกล้อ มันก็จะทำให้พฤติกรรมเขาดูไม่น่ารัก แล้วก็กลายเป็นเด็กที่อาจจะเป็นภัยกับคนอื่นโดยที่มันเกิดจากความเสี่ยงมาทุกๆ ด้านที่เล่ามา ทั้งทางด้านชีวภาพ ทางด้านจิตใจ สุดท้ายอาจจะเป็นเด็กที่เรียนไม่จบ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ไปใช้ยาเสพติด หรือไม่ทำผิดกฎหมาย สารพัดอย่างที่เรามักจะเห็นในข่าวก็เกิดขึ้น”

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กขาดทักษะทางสังคมและอารมณ์ หรือ SEL (Social Emotional Learning) คือทักษะชีวิตชนิดหนึ่งที่เด็กไทยควรได้รับการส่งเสริม โดยทักษะชีวิตจะประกอบไปด้วย ‘ทักษะด้านอารมณ์ สังคม ความคิด’ 

“ถ้าเกิดเด็กเล็กๆ รู้ว่าพอเขาโกรธ เขาโวยวายเสียงดังได้แต่เขาต้องไม่ไปตีเพื่อน เวลาเขาเจ็บเขาก็ร้องไห้ได้นะ ไม่ได้แปลว่าเจ็บแล้วต้องอดทนอดกลั้นแล้วไม่บอกใคร ทักษะอารมณ์มันควรจะถูกส่งเสริมมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่อนุบาล ประถมฯ ไล่ๆ ขึ้นมา ถ้าเราขาดการส่งเสริมสิ่งนี้แต่ว่าเราไปเน้นสอนวิชาการในโรงเรียนอย่างเดียว เด็กก็จะขาดทักษะอารมณ์ 

พอขาดทักษะอารมณ์ พอรู้สึกอารมณ์ไม่ดี โกรธ ไม่พอใจ หรือว่าแค่ดูคลิปในมือถือแล้วแม่บอกให้หยุดดูได้แล้วเพราะเดี๋ยวต้องไปทำการบ้าน เด็กก็จะวี๊ดจะเหวี่ยงหรือว่าอาละวาด อันนี้ก็คือทักษะอารมณ์ที่ยังน้อย”

“ส่วนทักษะสังคม การอยู่กับเพื่อนอยู่กับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันไม่ได้แปลว่าเราต้องเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องรู้จักรอคอย ต้องรู้จักแลกเปลี่ยน รู้จักการตกลงเจรจาได้ รู้จักปฏิเสธได้ จริงๆ เด็กไทยจำนวนมากน่าสงสารเหมือนกันตรงที่ว่าเขาไม่ค่อยถูกฝึกให้ปฏิเสธแล้วก็ปกป้องตัวเอง บางทีก็ถูกเพื่อนล่วงละเมิด เช่นเพื่อนมาเอาของไป เด็กหลายๆ คนก็ยอมให้ถูกทำอย่างนี้อยู่เป็นปีๆ เลย ห้ามไม่เป็น ปฏิเสธไม่เป็นว่าอันนี้ของฉันนะ ห้ามเอาไปนะ หรือแม้แต่เด็กที่โตไปจนถึงเรียนมัธยมหรืออาชีวะแล้วก็มีจำนวนมากที่เพื่อนเอาบุหรี่มาให้ลอง ชวนไปกินเหล้า ชวนไปทำอะไรก็ตามไม่รู้จักทักษะในการปฏิเสธหรือเอาตัวรอดเลย สุดท้ายคือหลงไปอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงแล้วถูกติดร่างแหไปด้วย ถูกจับ จริงๆ เด็กเราเองต้องการการเสริมสร้างทักษะเรื่องอารมณ์และสังคมค่อนข้างมาก”

ดังนั้น ทักษะอารมณ์และสังคม จำเป็นต้องฝึก เพราะเด็กไม่สามารถเป็นเองแต่กำเนิด ทั้งที่บ้านและโรงเรียนจำเป็นต้องร่วมมือกันฝึกฝนเด็กให้มีทักษะนี้มากพอที่จะเอาตัวรอดได้ 

“เมื่อเริ่มเข้าวัยรุ่นเด็กจะรู้สึกว่าเพื่อนทำแบบนี้กัน เพื่อนมีแฟชั่นแบบนี้กันแล้วฉันไม่มี วันก่อนหมอมีเด็กที่เพื่อนย้อมผมทั้งกลุ่มเลยแต่ฉันผมดำคนเดียว เนี่ยไม่ได้ ห้ามแปลกแยกจากเพื่อน ฉันต้องย้อมผมด้วย ก็จะเป็นช่วงวัยรุ่นที่เขาจะรู้สึกว่าสังคมเพื่อนจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้เขาต้องเข้ากลุ่มเข้าพวก แต่ถ้าเกิดเป็นช่วงเด็กหน่อยอย่างเช่นป.3 ป.4 อาจจะยังไม่ถึงขนาดว่าแคร์เพื่อนมาก แต่มันจะเห็นชัดๆ ในช่วงวัยรุ่น เพราะฉะนั้นวัยรุ่นเองถึงเป็นวัยที่ต้องมีทักษะอารมณ์และสังคมค่อนข้างเข้มแข็งมาระดับหนึ่งละ ถ้าเกิดไม่เคยถูกสอนเลยแล้วมาเจอเหตุการณ์ที่เพื่อนจะชวนไปทำอะไร อยากจะซื้อของแพง ทุกคนต้องมี เอามาอวดกัน แล้วเขาไม่มีเขาก็จะทนกับภาวะตรงนี้ได้ยาก 

จริงๆ มันเป็นทักษะชีวิตที่ทำให้เขาเผชิญความเครียดได้ดีขึ้น เผชิญกับความเปลี่ยนแปลง เช่น โควิด น้ำท่วม ไฟไหม้ คืออะไรที่มันไม่คาดคิดต้องอาศัยทักษะอารมณ์และสังคมในการรับมือกับสิ่งพวกนี้ ไม่งั้นเขารู้สึกปรับตัวไม่ได้ เจออันนี้แล้วไปต่อไม่เป็น เพราะฉะนั้นควรจะต้องมีทักษะนี้เป็นพื้นฐาน”

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการมี Social awareness หรือตระหนักรู้ทางสังคมด้วย 

“การที่คุณไปขึ้นรถไฟฟ้าคุณเห็นคนท้องยืนอยู่แล้วไม่มีที่นั่งคุณรู้สึกยังไงบ้าง จริงๆ อันนี้ก็คือทักษะที่เรียกว่า Empathy การเห็นอกเห็นใจคนอื่น เรารู้สึกได้ว่าเราเป็นห่วงเขา คนที่นั่งอยู่ก็อาจจะไม่ได้มองเห็นอาจจะก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถืออยู่ก็เลยไม่มีใครลุกให้ การฝึกทักษะพวกนี้มันต้องมีสถานการณ์หรือชี้ให้เห็นจุดสำคัญที่คนเราส่วนใหญ่มีความเห็นอกเห็นใจอยู่แล้ว แต่ว่าไม่ถูกฝึกบ่มเพาะมามันก็จะน้อย ไม่มี awareness ที่มากพอที่จะทำให้รู้ทันสถานการณ์ที่เจอรอบๆ ตัว ซึ่งมีทั้งมีน้อยกับมีมาก แต่พอเจอสถานการณ์ที่เราจะสละที่นั่งเราให้เขา หรือเราเป็นคนที่ยืนอยู่เหมือนกันแต่จะไปบอกคนที่นั่งให้ลุกให้คนท้องนั่งดีไหม มันเป็นการตัดสินใจบนสถานการณ์ที่เฉพาะหน้า หลายๆ ครั้งอาจจะทำแล้วเกิดความรู้สึกแย่ หรือว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นมา เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะต้องฝึกในสถานการณ์หลากหลาย”

การดูแลสุขภาพจิตเด็ก โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย พ่อแม่เอาใจใส่ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว 

จากการทำงานกับโรงเรียนมาระยะเวลาเกิน 5 ปี หมอฝนมองว่า ระบบการศึกษาไทยอาจจะยังดูแลเด็กและเยาวชนไม่ครบองค์ประกอบเท่าที่ควร 

“อย่างที่พูดถึงระบบสุขภาพว่า เราอยากจะช่วยให้เด็กและวัยรุ่นมีสุขภาวะที่ดี สุขภาวะที่ดีมันไม่ใช่แค่สมองฉลาดแล้วก็เรียนรู้ได้หรือเกรดดี แต่มันต้องคือร่างกายแข็งแรง เช่นช่วงที่มี PM 2.5 คุณครูก็ต้องปกป้องเด็กจากอันตรายจากฝุ่น ก็ต้องระวังไม่ให้เด็กออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือใส่หน้ากากอนามัยเป็นต้น ต้องคำนึงมิติในเรื่องของร่างกายด้วย” 

“สุขภาพจิตใจก็สำคัญ มันอาจจะมองเห็นยากกว่าด้วยซ้ำ อยากให้คุณครูหันมามองว่า ถ้าเด็กสุขภาพกายและสุขภาพจิตดีเขาจะเรียนหนังสือได้ดีขึ้น มันจะส่งผลต่อทั้งการเรียนแล้วก็ความตั้งใจศักยภาพในการเรียนมันจะสูงขึ้น

เช่น คุณครูรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเด็กได้เยอะขึ้น อย่างช่วงใกล้สอบแล้วเด็กบางคนเครียดมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือทำข้อสอบไม่ทัน จริงๆ คุณครูก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการช่วยให้เด็กกลับมาทบทวนความรู้สึกตัวเอง แล้วมันก็คือการช่วยเหลือให้เด็กจัดการอารมณ์ที่เขาต้องเจอในการเรียนได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นมิติร่างกายจิตใจสำคัญ แล้วก็สังคมอีก 

อย่างเรื่องการกลั่นแกล้งรังแกกัน บางโรงเรียนเด็กมาหาหมอด้วยเรื่องว่ามีรุ่นพี่ไม่ชอบขี้หน้าเขาแล้วก็มาท้าจะมีเรื่องกับเขาบ่อยๆ เด็กก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปขอคำปรึกษาใคร เด็กรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาตัวรอดจากการถูกข่มขู่จากรุ่นพี่นี้ยังไงดีจนไม่อยากไปโรงเรียน จริงๆ ถ้าเกิดคุณครูรู้ว่าสังคมที่มันปลอดภัยแล้วก็เอื้อต่อการเรียนรู้เป็นแบบไหน คุณครูก็จะสามารถเฝ้าระวังได้ ก็จะสังเกตได้ว่า เอ๊ะ…ทำไมเด็กนี้ชอบจับกลุ่มจะมาทำอะไรกันหลังโรงเรียน หรือว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องนี้ชอบท้ากันหรือชอบพูดจารุนแรงใส่กัน อันนี้ก็คือบรรยากาศทางสังคมที่คุณครูเองจะช่วยเฝ้าระวังทำให้มันปลอดภัยเป็นที่เหมาะกับการเรียนรู้ได้ดีขึ้น”

นอกจากนี้หน้าที่ในการเฝ้าระวังสุขภาพจิตของเด็ก ผู้ปกครองเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกันดูแล เพราะหลายๆ ครั้งที่เกิดปัญหาพ่อแม่จะรู้ก่อนคุณครู ถ้าสังเกตและหมั่นถามไถ่เด็กอย่างสม่ำเสมอ

“ถ้าเกิดลูกมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้เพื่อนขโมยเงินไป พ่อแม่รู้แล้วพ่อแม่ทำยังไง พ่อแม่สอนให้เด็กรู้จักปกป้องตัวเองไหม หรือว่าสอนให้เด็กไปฟ้องครูเวลาเกิดเหตุแบบนี้ อันนี้พ่อแม่ก็สามารถช่วยเฝ้าระวังแล้วก็ป้องปรามไม่ให้เกิดซ้ำๆ เป็นแบบเรื้อรั้งได้ 

เพราะฉะนั้นพ่อแม่ใกล้ชิดลูกอันนี้สำคัญ แล้วก็รับฟังลูก รับฟังความรู้สึกลูก วันนี้หนูไปโรงเรียนมีความสุขไหม เล่นกับใครบ้าง วันนี้คุณครูคนไหนดุไหม หรือมีความรู้สึกอะไรกับเหตุการณ์อะไรที่โรงเรียนหรือเปล่า การถามความรู้สึกมันจะทำให้ลูกเปิดเผยกับพ่อแม่ แล้วลูกก็จะสะท้อนได้ว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรที่เป็นความรู้สึกจริงๆ แล้วพ่อแม่ก็จะหาทางช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ดีกว่าที่จะให้เด็กรู้สึกปิดบังแล้วก็ไปแก้ปัญหาเอง ซึ่งอย่างนั้นบางทีมันจะเกิดผลเสียที่ตามมาได้”

“ความสัมพันธ์ที่ดีมันจะเป็นพื้นฐานที่จะคุยอะไร จะถามอะไร โดยเฉพาะประเด็นที่เรามักจะกลัวว่าพูดไปแล้วมันจะจี้จุดหรือว่าเป็นประเด็นที่คุยยาก คือถ้ายิ่งเป็นประเด็นที่คุยยากยิ่งต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีก่อน อย่างเช่นเวลาหมอจะถามว่าเขาเคยทำร้ายตัวเองไหม เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนไหม เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้าไหม ประเด็นยากๆ ที่ถามแล้วไม่ได้คำตอบที่ถูกต้อง อย่างเรายังไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้ไว้ใจเรา แล้วเขารับรู้ถึงความปรารถนาดีที่เรามีให้ มักจะไม่ใช่คำถามแรกที่เราจะถามแล้วได้คำตอบอยู่แล้ว เราก็ต้องคาดหวังไว้เลยว่า ถ้าเราจะไปถามพุ่งเป้าที่เรื่องนี้โดยที่เด็กยังไม่ได้ไว้ใจเลย คุณไม่มีทางได้คำตอบหรือไม่มีทางหาทางออกที่ช่วยเหลือเด็กได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะถามเรื่องยากต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีก่อน แต่ก่อนจะถามเรื่องยากเราควรจะถามเรื่องง่ายๆ ให้เป็นด้วย 

เรื่องง่ายๆ ก็อย่างเช่น วันนี้เป็นไง มีความสุขไหม เบื่อไหม เล่นอะไรมา ถามเรื่องทั่วไปให้มันคุ้นชินไปก่อน ให้รู้สึกว่าลูกก็คุยกับเราได้ทุกเรื่อง พอเขาคุยกับเราได้ทุกเรื่องปุ๊บมันจะเกิดช่องว่างที่น้อยลง แล้วพอพ่อแม่เริ่มสังเกตว่าช่วงนี้ทำไมลูกแปลกๆ เก็บตัว ลูกมีปัญหาอะไรไหม อยากจะถาม อยากจะเข้าไปทำความรู้จักมากขึ้นมันจะทำให้พ่อแม่ไม่อายไม่กลัวที่จะเข้าไปถามลูก แต่ถ้าเกิดว่าความสัมพันธ์มันห่างเหิน มันเจอกันแค่สองสามวันครั้งแล้วก็เอาเงินวาง ลูกกลับมาจากโรงเรียนก็ไม่ได้เจอไม่ได้ถามไถ่กันเลยยากค่ะ พ่อแม่จะเข้าไปคุยเรื่องยากๆ มันก็จะมีช่องว่างเยอะเกินไป”

Tags:

ปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ สังคมการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกพญ.ศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ระบบดูแลสุขภาพจิตโรงเรียนSchool Health Hero

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Dek-Hoo-Jak-Kuam_nologo
    Transformative learningSocial Issues
    ‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • positive-parenting-nologo
    Adolescent Brain
    Positive Parenting: เลี้ยงลูกด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ เสริมสร้างสมองที่แข็งแกร่ง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    ‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก พ่อแม่จะการประคองอารมณ์ตัวเองและอารมณ์ลูกอย่างไร

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

ความสุขคืออะไร?  คำถามที่ทุกคนต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
Book
22 November 2024

ความสุขคืออะไร?  คำถามที่ทุกคนต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว’ เป็นหนังสือที่เขียนโดย ซุมิโนะ โยรุ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธวัลยา เป็นหนังสืออีกเล่มที่ตั้งคำถามเรื่อง “ความสุขคืออะไร” แต่คำตอบที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจแตกต่างจากที่คุณเคยคิดอย่างสิ้นเชิง
  • หนังสือเล่มนี้ชวนเราไปสำรวจความหมายและนิยามของ ‘ความสุข’ ผ่านเรื่องราวของ ‘นาโนกะ’ เด็กหญิงวัยประถม ที่จะทำให้เราเห็นว่ามิตรภาพและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความสุขในชีวิต
  • ความสุขของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป แต่องค์ประกอบของความสุข ควรจะมีทั้งตัวเองและคนอื่นอยู่ในนั้น เพราะหากคุณมอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง โดยไม่ใส่ใจคนอื่นเลย คุณอาจมีความสุข แต่ก็มีหัวใจที่แข็งกระด้าง แต่หากคุณมอบแต่สิ่งดีๆ และความรักให้กับคนอื่น โดยไม่รักตัวเองเลย คุณอาจมีความสุข ที่แลกมากับหัวใจที่บอบช้ำ

นักคิดนักปรัชญาหลายสำนัก ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ‘ความสุข’ คือเป้าหมายสำคัญของมนุษย์ แต่หากจะถามว่า ‘ความสุขคืออะไร’ คำตอบที่ได้น่าจะแตกต่างกันนับร้อยพันอย่าง

อริสโตเติล นักปรัชญากรีก เมื่อราวสองพันปีก่อน เชื่อว่าความสุขคือการมีชีวิตที่ดีงาม สอดคล้องกับหลักเหตุผลและคุณธรรม ส่วนอัลแบร์ กามูส์ นักเขียนรางวัลโนเบลชาวฝรั่งเศส มองว่าความสุขคือความสอดคล้องระหว่างตัวตนกับวิถีชีวิตที่เขาได้เลือกเอง  ขณะที่ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักเขียนวรรณกรรมแห่งชีวิตที่แสนทุกข์เข็ญชาวรัสเซีย กล่าวว่าคนเรามักจดจำแต่เรื่องราวระทมทุกข์ แต่มักหลงลืมสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเพียรพยายามค้นหาคำตอบว่า ความสุขคืออะไร

หนังสือเรื่อง ‘ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว’ ซึ่งเขียนโดย ซุมิโนะ โยรุ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธวัลยา เป็นหนังสืออีกเล่มที่ตั้งคำถามเรื่อง “ความสุขคืออะไร” แต่คำตอบที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจแตกต่างจากที่คุณเคยคิดอย่างสิ้นเชิง

โคยานางิ นาโนกะ เป็นเด็กหญิงวัยประถม ที่ไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลยแม้แต่คนเดียว แถมยังถูกนินทาลับหลัง และบางครั้งก็พูดต่อหน้าว่า ‘ยายเพี้ยน’ แต่นาโนกะไม่ได้รู้สึกแคร์อะไร เพราะเธอเชื่อมั่นว่า ตัวเองเป็นคนฉลาด เรียนเก่ง รักการอ่าน และมีความมั่นใจในตัวเอง ขณะที่เด็กคนอื่น ล้วนแต่งี่เง่านิสัยไม่ดี อาจจะยกเว้นแค่ไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ คิริว

คิริว ฮิคาริ คือเด็กผู้ชายร่วมชั้นเดียวกับเธอ เขาเป็นเด็กขี้กลัวและขี้อาย แทบไม่พูดเลย ถึงพูดก็เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่นาโนกะก็รู้ว่า คิริวคุง (แปลว่า คุณคิริว ซึ่งเป็นการเรียกแบบสุภาพของคนญี่ปุ่น ที่เรียกนามสกุล เว้นแต่จะสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน จึงจะเรียกกันด้วยชื่อ) วาดรูปเก่งมาก ถึงขั้นมีพรสวรรค์เลยก็ว่าได้ เสียแต่ว่า คิริว ไม่กล้าให้คนอื่นดูรูปที่ตัวเองวาด นั่นคงเป็นเพราะพวกเด็กคนอื่นๆ ในห้อง มักชอบล้อเลียน เวลาที่เห็นคิริวกำลังวาดรูป

ถึงแม้คิริว จะไม่ใช่เด็กงี่เง่า แต่นาโนกะก็ไม่ได้นับเขาเป็นเพื่อนหรอก เธอคิดว่า คนที่เป็นเพื่อนกัน ควรจะได้กินข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกันบ่อยๆ และพูดคุยในเรื่องสำคัญๆ ด้วยกัน ซึ่งเธอบอกตัวเองว่า คิริวยังไม่ถึงขั้นนั้น

นาโนกะ อาจไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลยสักคน แต่เธอไม่รู้สึกเหงา เพราะเธอมีเพื่อนนอกโรงเรียนตั้ง 4 คน (จริงๆ คือ 3 คน และ 1 ตัว) คือ คุณมินามิ เด็กสาวชั้นมัธยม ผู้ชอบกรีดข้อมือตัวเอง (พิลึกจริงๆเลย-นาโนกะคิด) คุณดอก หญิงสาวแสนสวย ผู้บอกว่าตัวเองมีอาชีพขายฤดูกาล คุณยายวัยชราใจดี ผู้อาศัยอยู่ลำพังคนเดียว และ ‘เธอ’ ซึ่งเป็นแมวหางสั้นกุด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ

วันหนึ่ง คุณครูฮิโตมิ ครูผู้สอนวิชาภาษาญี่ปุ่น สั่งให้เด็กๆ ในห้องทำรายงานประจำภาคการศึกษาในหัวข้อ ‘ความสุข คืออะไร’ โดยให้เด็กๆ จับคู่กับเพื่อน เพื่อช่วยกันค้นหาคำตอบว่า ความสุข คืออะไร และสุดท้าย ทุกคน จะได้ออกมานำเสนอหน้าชั้นว่า ความสุขของตัวเองคืออะไร

แน่นอน นาโนกะ เด็กหญิงแสนฉลาด แต่ไม่มีใครคบ จำเป็นต้องจับคู่กับ คิริว เด็กชายขี้ขลาด ผู้ที่ถูกทุกคนกลั่นแกล้ง ช่วยกันค้นหาคำตอบว่า ความสุขคืออะไร

ด้วยความที่คิริวไม่ค่อยพูด อีกทั้งนาโนกะก็เชื่อมั่นว่าตัวเองฉลาดกว่า จึงเป็นฝ่ายถามนำอยู่ตลอด เพื่อหาข้อสรุปว่า ความสุขคืออะไร โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเบิกบาน สนุกสนาน เช่น การได้กินไอศครีม หรือขนมอร่อยๆ

ในตอนนั้นเอง นาโนกะ นึกขึ้นได้ว่า คิริวน่าจะชอบวาดรูป จึงถามขึ้นว่า

“ตอนวาดรูป คิริวคุงไม่มีความสุขเหรอ”

“เอ๊ะ มะ…ไม่รู้สิ แต่ก็ชอบ…อยู่หรอก”

“ถ้างั้นนั่นก็เป็นความสุขข้อนึงนะ”

“แต่..แต่ว่า ถ้าวาดก็จะ…โดนล้อ”

สุดท้าย คิริวก็ไม่ยอมรับว่า การวาดรูปคือความสุขของตัวเอง นั่นทำให้นาโนกะยิ่งรู้สึกหนักใจ ดูทีท่าว่า รายงานหัวข้อนี้ของเธอ อาจจะไปไม่รอด อย่ากระนั้นเลย เธอไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนนอกโรงเรียนของเธอดีกว่า

ความสุขของคุณมินามิ

นาโนกะ พบคุณมินามิเป็นครั้งแรก บนดาดฟ้าของตึกร้างหลังหนึ่ง ตอนนั้น คุณมินามิกำลังเอาคัตเตอร์กรีดข้อมือตัวเอง นาโนกะรีบเข้าไปหา เอาพลาสเตอร์ปิดแผลให้ ก่อนจะถามว่า ทำไมจึงทำแบบนั้น และคำตอบที่ได้ก็คือ ก็แค่ทำแล้วใจสงบ

ถึงแม้จะดูเป็นคนแปลกๆ แต่นาโนกะเชื่อว่า คุณมินามิไม่ใช่คนไม่ดี ไม่อย่างนั้นเจ้าแมวหางกุดซึ่งอยู่กับเธอด้วยในการพบกันครั้งแรกคงไม่ไว้วางใจถึงขนาดขึ้นไปนอนบนตักคุณมินามิแน่ นอกจากนี้ นาโนกะ ยังรู้สึกได้ว่า คุณมินามิ มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับเธอ โดยเฉพาะความชื่นชอบในหนังสือนิทาน

นาโนกะ ค้นพบว่า คุณมินามิ เด็กสาวผู้แสนเศร้า เป็นนักเล่าเรื่องแสนสนุก เธอชอบเขียนนิทาน แต่ไม่ยอมให้ใครอ่าน ไม่เป็นไรหรอก สักวันหนึ่ง นาโนกะ จะพยายามโน้มน้าวให้คุณมินามิ ส่งนิทานที่เขียนไปตีพิมพ์เป็นหนังสือให้ได้

วันหนึ่ง นาโนกะ เล่าให้คุณมินามิฟังว่า เธอเพิ่งทะเลาะกับแม่ เพราะแม่ เคยรับปากว่าจะไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่โรงเรียนของนาโนกะ แต่พอใกล้ถึงวันนั้น แม่กลับบอกว่า แม่และพ่อไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีงานต้องเดินทางต่างจังหวัด ซึ่งนาโนกะโกรธมาก จนถึงขั้นไม่คุยกับแม่เลยตั้งแต่วันนั้น ซึ่งก็ผ่านมาหลายวันแล้ว

ตอนนั้นเอง จู่ๆคุณมินามิ ก็จ้องหน้านาโนกะ แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“นาโนกะ…สัญญากับฉัน ไม่สิ…จะคิดว่าเป็นคำขอจากฉันก็ได้ วันนี้พอกลับบ้านไป ไม่ว่าจะยังไงก็ไปขอคืนดีกับพ่อแม่ให้ได้นะ”

“มะ…ไม่เอาหรอก เรื่องแบบนั้นน่ะ ยังไงซะ…”

“ไม่งั้นจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตนะ!”

คุณมินามิ พูดทั้งน้ำตาว่า ตัวเธอเอง ไม่มีโอกาสได้คืนดี ได้ขอโทษพ่อแม่ หลังจากทะเลาะกัน เพราะทั้งสองประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด และนั่นเอง เป็นสาเหตุทำให้คุณมินามิ กลายเป็นเด็กสาวผู้ไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต

เพียงแค่รู้จักการให้อภัย เพียงแค่ละวางทิฐิ เพียงแค่เอ่ยปากขอโทษก่อน เธอก็คงค้นพบความสุข

สุดท้าย นาโนกะรับปากจะคืนดีกับพ่อแม่ พร้อมกับขอให้คุณมินามิ ซึ่งรู้แล้วว่า ความสุขของตัวเองคืออะไร พยายามแก้ไขความผิดของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนจากเด็กสาวแสนเศร้า กลายเป็นเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข และไม่ละทิ้งความฝันในการเป็นนักเขียน

ความสุขของคุณดอก

หลังจากคืนดีกับพ่อแม่แล้ว นาโนกะไม่เคยได้เจอคุณมินามิอีกเลย และดูเหมือนว่า จะไม่เคยมีใครรู้จักเด็กสาวคนนั้นด้วย แต่ช่างมันเถอะ คุณดอกบอกว่า สักวันหนึ่ง นาโนกะจะได้พบกับคุณมินามิอีกอย่างแน่นอน ซึ่งเธอก็เชื่อแบบนั้น

คุณดอก เป็นหญิงสาวแสนสวยผู้อยู่คนเดียวในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง นาโนกะได้รู้จักกับคุณดอก เพราะเธอช่วยรักษาแผลให้เจ้าแมวหางกุด แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

คุณดอก บอกกับนาโนกะว่า เธอมีอาชีพขายฤดูกาล (ภาษาญี่ปุ่น คำว่า ขายบริการทางเพศ ใช้คำว่า ไบชุน ซึ่งแปลอีกอย่างว่า ขายฤดูใบไม้ผลิ) นาโนกะ ไม่รู้หรอกว่า มันหมายถึงอะไร เธอแค่รู้ว่า พี่สาวแสนสวยคนนี้ จิตใจดี อ่อนโยน และมีอะไรบางอย่างคล้ายกับเธอ

“ความสุขก็คือ การที่เราคิดถึงเรื่องของใครคนหนึ่งอย่างจริงจังได้ยังไงล่ะ” คุณดอก บอกกับนาโนกะ ก่อนจะขยายความว่า เวลาไปซื้อของ เธอมักจะคิดว่า ถ้านาโนกะมาหาเธอที่ห้อง เธอจะเตรียมขนมอะไรให้นาโนกะดีนะ

ตอนนั้น นาโนกะเพิ่งจะทะเลาะกับคิริว ทั้งๆ ที่นาโนกะอุตส่าห์หวังดีแท้ๆ เห็นเขาถูกเพื่อนๆ คนอื่นแกล้ง ก็พยายามช่วย แถมแนะนำให้คิริวตอบโต้กลับไปบ้าง แต่เจ้าตัวก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างเดียว สุดท้ายนาโนกะจึงโพล่งออกมาว่า

“ขี้ขลาด!”

เหมือนจะได้ผล นาโนกะ สามารถทำให้คิริว ตะโกนเสียงดังออกมาเป็นครั้งแรก เพียงแต่เด็กชายตะโกนใส่หน้าเธอว่า

“เกลียด! เกลียดทุกคนเลย! แต่ที่เกลียดที่สุดก็คุณโคยานางินั่นแหละ!”

นาโนกะเล่าเรื่องนี้ให้คุณดอกฟัง พร้อมประกาศว่า ต่อจากนี้เธอจะใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่สนใจคนอื่นอีกต่อไป เพราะมิตรภาพก็เป็นแค่เรื่องจอมปลอมทั้งนั้น

คุณดอก ยิ้มอย่างอ่อนโยน จับมือนาโนกะไว้ แล้วเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง เธอเคยเป็นเด็กที่ฉลาดและมั่นใจว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เธอกลายเป็นคนที่ไม่สนใจใคร เพราะมองว่าทุกคนล้วนงี่เง่าทั้งนั้น สุดท้ายเธอกลายคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคอยอยู่ข้างๆ ในวันที่ล้มเหลว ไม่มีใครร่วมยินดีในวันที่เธอสำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น คุณดอกกลายเป็นคนที่ไม่แยแสใคร แม้กระทั่งตัวเอง เธอใช้ร่างกายอย่างเหลวแหลก จนคิดจะจบชีวิตของตัวเอง บังเอิญว่าวันนั้น นาโนกะมาเคาะประตูห้องเธอเป็นครั้งแรก เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยรักษาบาดแผลให้กับเจ้าแมวหางกุด

นับจากวันนั้น เธอจึงค้นพบว่า ความสุข ก็คือการได้รักใครสักคน ได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับคนๆ นั้น

ความสุขของคุณยาย

คำพูดของคุณดอก ทำให้นาโนกะกลับไปขอโทษและคืนดีกับคิริวได้ ซึ่งเธอก็ได้เรียนรู้ว่า เพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีหรอก หรือไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเหมือนๆ กัน เพียงแค่ยืนอยู่เคียงข้างกัน และไม่ทอดทิ้งกันก็เพียงพอแล้ว

ในที่สุด นาโนกะ ก็ยอมรับแล้วว่า คิริว คือเพื่อนอีกคนหนึ่งของเธอ

น่าแปลกจัง หลังจากวันนั้น นาโนกะไม่เคยพบเจอคุณดอกอีกเลย จู่ๆ ก็หายตัวไปเหมือนคุณมินามิ ขณะที่เพื่อนข้างห้องที่อพาร์ทเมนต์ ต่างพูดตรงกันว่า ไม่เคยมีคนชื่อคุณดอกอยู่ที่นี่มาก่อน

นาโนกะ ถามเรื่องนี้กับคุณยายใจดี และก็ได้คำตอบว่า สักวันหนึ่งเมื่อโตขึ้น เธอจะได้พบกับคุณดอกอย่างแน่นอน

คุณยาย เป็นคนแก่ใจดี ที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว มักจะทำขนมอร่อยๆ ให้นาโนกะกินบ่อยๆ และมีอย่างหนึ่งที่ทำให้นาโนกะรู้สึกว่า คุณยายมีอะไรคล้ายกับเธอ ก็คือคุณยายเคยมีเพื่อนวัยเด็กที่วาดรูปเก่งเหมือนคิริวด้วย

เมื่อถูกถามว่า ความสุขคืออะไร คุณยายตอบว่า “ความสุขก็คือ การที่เราพูดได้ว่าตอนนี้เรามีความสุขจ้ะ”

ฟังดูเหมือนเป็นคำตอบง่ายๆ แต่การที่คนๆหนึ่งจะพูดได้เต็มปากว่า ตอนนี้เรามีความสุข อาจต้องอาศัยประสบการณ์ผ่านเรื่องราวในชีวิต ทั้งดีและร้าย และเมื่อมองในภาพรวมแล้ว เราจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่า นี่คือชีวิตที่ดีและมีความสุข

ความสุขของนาโนกะ

สุดท้าย ทั้งคุณยายใจดีและเจ้าแมวหางกุดก็อันตรธานหายไป เหมือนกับคุณมินามิ และคุณดอก แต่นาโนกะก็เชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งในอนาคตเธอจะได้พบกับทุกคนอีก

แต่ในความเป็นจริง นาโนกะไม่เคยพบเพื่อนๆ เหล่านั้นอีกเลย

ในบทสุดท้ายของหนังสือ เฉลยว่า เรื่องราวทั้งหมด คือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กของนาโนกะ ซึ่งมักจะปรากฎเป็นความฝันอยู่บ่อยๆ (เหมือนดังชื่อเรื่อง)

เมื่ออ่านถึงตอนนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งคุณมินามิ คุณดอก และคุณยายใจดี แท้ที่จริงแล้วก็คือตัวนาโนกะในต่างเส้นเวลา คุณมินามิ ก็คือนาโนกะที่กลายเป็นเด็กสาวอมทุกข์ เพราะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากขอโทษแม่ ส่วนคุณดอก ก็คือนาโนกะผู้ไม่เปิดใจให้ใคร เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่าทุกคน สุดท้ายต้องกลายเป็นคนใช้ชีวิตเหลวแหลก ขณะที่คุณยาย ก็คือนาโนกะผู้ผ่านประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตมาได้ แม้ว่าจะมีชีวิตที่มีความสุข แต่ก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวในวัยชรา

ทุกคนต่างปรากฎตัวมาพบเด็กหญิงโคยานางิ นาโนกะ เพื่อแนะนำ หรือตักเตือน ไม่ให้เด็กหญิงคนนั้น เลือกเส้นทางที่ผิด จนก้าวเข้าสู่ชีวิตที่ปราศจากความสุข

แม้ว่าเมื่อโตขึ้น นาโนกะจะไม่ได้พบกับเพื่อนๆ เหล่านี้ แต่ทุกคนก็ล้วนอยู่ในตัวเธอ อยู่ในจิตใจของเธอ นาโนกะกลายเป็นนักเขียนเหมือนคุณมินามิ กลายเป็นหญิงสาวจิตใจดีเหมือนคุณดอก และชอบทำขนมเหมือนคุณยาย แต่ว่าคงไม่ได้อยู่คนเดียวในวัยชราเหมือนคุณยายหรอก เพราะเธอมีชายคนรักที่อยู่เคียงข้างๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนโต

ในการออกไปนำเสนอหน้าห้อง เพื่อปิดฉากรายงานหัวข้อ “ความสุขคืออะไร” คิริว ไม่ได้พูดว่า ความสุขของเขา คือการวาดรูป แต่เขาพูดว่า

“ความสุขของผม… คือการมีเพื่อนที่บอกว่า ชอบรูปที่ผมวาด นั่งอยู่ข้างๆผมครับ”

ขณะที่ความสุขของนาโนกะ คือ เวลาที่ได้ใส่ใจทั้งตัวเองและคนสำคัญ ใส่ใจทุกอย่าง ทุกการกระทำและคำพูด ซี่งทุกครั้งที่เธอฝันถึงเรื่องราวในวัยเด็ก ก็เป็นเหมือนการได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนี้เธอยังมีความสุขหรือเปล่า

ผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คงจะอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ความสุขคืออะไร ซึ่งแน่นอนว่า คำตอบของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อ ก็คือองค์ประกอบของความสุข ควรจะมีทั้งตัวเองและคนอื่นอยู่ในนั้น หากคุณมอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง โดยไม่ใส่ใจคนอื่นเลย คุณอาจมีความสุข แต่ก็มีหัวใจที่แข็งกระด้าง แต่หากคุณมอบแต่สิ่งดีๆ และความรักให้กับคนอื่น โดยไม่รักตัวเองเลย คุณอาจมีความสุข ที่แลกมากับหัวใจที่บอบช้ำ

Tags:

ความสุขครอบครัวความสัมพันธืฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้วหนังสือ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    แมวปริศนากับใบไม้แห่งคำทำนาย – เปิดใจกันหน่อยคนดี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    ปิราเนซิ: โลกแสนงดงามเมื่อถูกสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

‘เราต่างเป็น Expert ของชีวิตตัวเอง’ ค้นพบศักยภาพที่จะมีความสุข กับ ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ
Life classroomHow to enjoy life
19 November 2024

‘เราต่างเป็น Expert ของชีวิตตัวเอง’ ค้นพบศักยภาพที่จะมีความสุข กับ ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ หรือ ‘ดร.ต้อง’ คือนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ เจ้าของเพจ Dr.Tong The Filter
  • ดร.ต้อง เชื่อว่าจุดเริ่มต้นของการพัฒนาศักยภาพ คือการเห็นคุณค่าในตัวเอง และตระหนักว่าเราต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ชีวิตของตัวเอง
  • “หลายคนรู้สึกว่าเราจะต้องใช้ชีวิตตอบโจทย์คนอื่น จนลืมไปว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีโจทย์ของตัวเอง แล้ววันใดที่เราฆ่าคุณค่าในใจ เพื่อไปรับใช้ชีวิตที่เราไม่ได้เลือกและฝืน นั่นคือจุดจบของการมีชีวิตที่มีความสุข”

เวลาเข้าร้านหนังสือ ผมมักมองหา ‘ชาร์จหนังสือขายดี 10 อันดับ’ เป็นอย่างแรก และทุกครั้งผมจะเห็นหนังสือว่าด้วยการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ของมนุษย์ หรือไม่ก็ How to เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย  

ในมุมหนึ่ง ผมรู้สึกยินดีที่หลายคนให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อผมหันกลับมามองตัวเอง ผมกลับรู้สึกเหนื่อยและอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า…ทำไมปลายทางของการพัฒนาศักยภาพมักผูกโยงกับการประสบความสำเร็จทางการเงิน ราวกับว่ามันเป็นความสุขแบบสูตรสำเร็จในปัจจุบันไปเสียแล้ว 

The Potential ชวน ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ หรือ ‘ดร.ต้อง’ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ เจ้าของเพจ ‘Dr.Tong The Filter’ มาพูดคุยถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ รวมไปถึงนิยามของความสุข-ความสำเร็จ และคำแนะนำต่างๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

“พอพูดถึงศักยภาพ แต่ก่อนมันจะจำกัดวงแคบๆ เรื่องสมรรถนะ โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพในการทำงาน แต่ปัจจุบันมันไกลกว่านั้นเยอะ เพราะเราต้องมี 3 สิ่งเพื่อพัฒนาศักยภาพแบบองค์รวม 

อันแรกคือ Human Potential ศักยภาพในการปรับปรุงตัวเอง รีสกิล อัพสกิลอะไรต่างๆ สองเป็นเรื่อง Human Experience การเปิดกว้างกับการเปิดรับประสบการณ์การทำงานของคนที่แตกต่างจากเรา แล้วก็อีกอันเป็นเรื่อง Human Pain คือการเข้าใจและมีความฉลาดในการดูแลเยียวยาบาดแผลจิตใจที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน หรือที่มันตามเรามาตั้งแต่อดีต”

ดร.ต้อง ชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักตั้งเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพไว้กับชื่อเสียง เงินทอง หรือการก้าวสู่จุดสูงสุดในหน้าที่การงาน ซึ่งแม้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็เป็นเป้าหมายที่แฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอน พร้อมชวนปรับมุมมองเล็กน้อยโดยการเปลี่ยนเป้าหมายเหล่านั้นมาเป็นผลพวงของการมีชีวิตที่มีวินัย (Discipline)

“ถ้าถามผมในฐานะผู้บำบัด เป้าหมายของการพัฒนาศักยภาพคือชีวิตที่มีวินัย วินัยที่เราจะมองเป้าหมายในเรื่องของคุณค่าทางใจมากกว่า เพราะความสุขกับความสำเร็จมีวงจรที่สั้นและต้องทำซ้ำๆ เมื่อเราสุขปุ๊บ ไม่นานความสุขก็จบ เราก็ต้องทำสุขขึ้นมาใหม่ หรือพอสำเร็จปุ๊บเนี่ยมันสำเร็จไปแล้ว มันจะมีคำถามต่อว่า ‘แล้วอะไรต่อ?’ ฉะนั้นพอวงจรมันสั้น กฎเศรษฐศาสตร์เขาบอกว่ามันเป็น Law of Diminishing Returns (กฎแห่งผลตอบแทนที่ลดลง) คือยิ่งทำซ้ำยิ่งทำมากก็ยิ่งได้ผลน้อยลง

นอกจาก Diminishing Returns พอเราเสพติดมันจะเป็น Negative Returns (ผลตอบแทนติดลบ) ที่ทำให้เราทุกข์ เช่น บ้างานบ้าความสำเร็จจนกลายเป็นการเสพติด หรือการเสพติดความสุขจนกลายเป็นสุขนิยมรับความทุกข์ไม่ได้เลย อย่างกรณีเด็กบางคนเจอความทุกข์ก็ทำให้ทุกข์นั้นบานปลายออกไป หรือหลายครั้งเราจะเห็นคนรวยคนประสบความสำเร็จสูงหันไปหาคุณค่าอย่างอื่น ซึ่งบางทีมันตลกมากสำหรับเรา เช่น การตั้งลัทธิ นั่นแหละคือ Final Destination ของการไม่เข้าใจว่าสุขสำเร็จเป็นผลพวง แต่ผมไม่ได้แอนตี้สุขสำเร็จนะครับ เพียงแต่เราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่ Final Destination ถ้ามันใช่มันต้องจบ 

ฉะนั้นเมื่อพูดถึงการพัฒนาศักยภาพ เราควรจะผูกอยู่กับคุณค่ามากกว่า แล้วให้ความสุขความสำเร็จเป็นผลพวงของวินัยที่เราผูกโยงกับคุณค่า เพราะคนมีวินัยสุขง่าย สำเร็จง่าย สำเร็จเล็กๆ ในทุกๆ วัน”

อย่างไรก็ตาม ดร.ต้อง ยอมรับว่าการจะพัฒนาศักยภาพโดยผูกเป้าหมายไว้กับคุณค่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคนส่วนมากมักให้ความสำคัญกับเสียงของคนอื่นมากกว่าเสียงตัวเอง ดังนั้นหากถามว่าจะเริ่มต้นอย่างไร คำตอบแรกคือการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-esteem)

“ยากครับ กว่าเราจะมั่นใจว่าเรามาถูกทาง เราต้องมีวินัยมากๆ แล้วคุณค่านั้นต้องประจักษ์กับสายตาคนอื่น และมีผลดีออกมายาวพอสมควร เพราะคนรอบตัวจะไม่เชื่อเราในตอนแรก เราจะต้องมี Self-esteem เป็นจุดเริ่มต้น เราต้องมั่นใจในการตัดสินใจของเรา นักจิตวิทยาทุกคนจะพูดเหมือนกันว่า ท้ายสุดแล้ว Expert ของชีวิตเราต้องเป็นเรา ห้ามเป็นคนอื่น เพียงแต่เราจะยอมมองอย่างซื่อสัตย์จริงใจไหม เพราะว่าชีวิตแบบเรามีได้ชีวิตเดียว คุณค่าที่เราจะมอบให้กับโลกใบนี้ ก็มีแค่เราเท่านั้นเองที่ทำได้ ดังนั้นเราต้องมั่นใจก่อนว่าเราคือผู้เชี่ยวชาญชีวิตของตัวเอง”

แม้จะย้ำว่าชีวิตใคร คนนั้นต้องดีไซน์เอง แต่ดร.ต้อง ก็มองว่าอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาศักยภาพคือ ‘ปมในใจ’ โดยเฉพาะบาดแผลจากการเลี้ยงดูที่ฉุดรั้งให้คนส่วนมากไปไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต

“ปมนั้นมีหลายรูปแบบ ปมแรกเรียกว่า ปมซ้ำๆ คือปมที่ติดกับเรามาตั้งแต่เด็กแล้วมันมีแพทเทิร์นให้คนเห็นได้เลย เช่น เราเป็นคนคิดมาก ชอบวิตกกังวลไปก่อน เราผัดวันประกันพรุ่งมากกว่าคนอื่น เรามักจะทำอะไรในนาทีสุดท้ายเสมอ ฯลฯ ซึ่งมันอาจจะมาจากการที่พ่อแม่คอยมอนิเตอร์เรา แล้วไม่ยอมให้เราทำอะไรด้วยตัวเอง หรืออาจจะมาจากพ่อแม่ที่ทิ้งเราให้คิดแก้ปัญหาคนเดียวทำให้เรากังวลมาก ผลที่ตามมาคือเราจะคิดเยอะเกิน กว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็จะช้าจนเสียโอกาสบ่อยๆ อย่างนี้เรียกว่าปมซ้ำๆ คือเป็นปมที่เรื้อรังเกิดซ้ำๆ ยาวๆ ในชีวิต

อันที่สองคือ ปมซ้อน ลักษณะมันจะเป็นความงง ทำให้เราถูกฟรีซจนทำตัวไม่ถูก ซึ่งเกิดจากคนใกล้ตัวที่ทำให้เราสับสน เช่น เรามีพ่อแม่หรือแฟนที่เป็นคนหลงตัวเองและชอบบังคับเรา ชอบทำให้เรางงเกี่ยวกับคนรอบตัวและไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากเขาคนเดียว หรือเราอยู่กับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันแรงๆ กรี๊ดใส่กันให้เราเห็นเป็นประจำ อันนี้ก็เป็นปมเหมือนกัน เรียกว่า ปมร่วม แล้วก็มีอีกปมคือ ปม Acute (เฉียบพลัน) ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต เช่น ตกงานกะทันหัน คนที่รักฆ่าตัวตายกะทันหัน โดยที่เราไม่ได้เตรียมใจไว้”

หากไม่นับการไปพบจิตแพทย์เพื่อจัดการกับปมต่างๆ ที่ฝังรากในความรู้สึก ดร.ต้อง แนะนำว่าสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุข และพัฒนาศักยภาพตัวเองได้ต่อไป คือการหันกลับมาใจดีกับตัวเอง

“สิ่งที่ง่ายที่สุด คือเอาตัวเองไปอยู่ใกล้กับคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ อาจเป็นคนรอบตัวเราสักคนที่มีสุขภาพจิตดี เอาตัวเราไปใกล้คนเหล่านั้นเพื่อเรียนรู้จากเขา เพื่อให้เขาช่วยเรามองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลขึ้น ลองหาคนแบบนั้นสักคนสองคนในชีวิต เพราะครอบครัวหรือแม้แต่ตัวเราเองอาจไม่ใช่ Role Model ที่ดี

สองคือการอ่านบทความอ่านหนังสือดีๆ แล้วก็ทบทวน สามคือการเข้าคอร์สดีๆ แต่ต้องระวังสิ่งที่ดูเป็นลัทธิ โดยอาจจะเลือกจากหมอที่น่าเชื่อถือ แล้วก็อันที่สี่สำคัญมาก คือเราต้องศรัทธาในตัวเอง เพราะท้ายสุด มันไม่มีใครเป็น Expert นอกจากตัวเรา 

หลายคนรู้สึกว่าเราจะต้องใช้ชีวิตตอบโจทย์คนอื่น จนลืมไปว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีโจทย์ของตัวเอง แล้ววันใดที่เราฆ่าคุณค่าในใจ เพื่อไปรับใช้ชีวิตที่เราไม่ได้เลือกและฝืน นั่นคือจุดจบของการมีชีวิตที่มีความสุข 

แล้วมันมักจะเกิดขึ้น เพราะเราคิดว่าเราเกิดมาเพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขเท่านั้น แต่จริงๆ การที่คนอื่นมีความสุข เขาต้องไปตามคุณค่าของเขาเหมือนกัน มันไม่เกี่ยวว่าเขามายืมเรา หรือเราไปยืมเขา เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ลูก รวมไปถึงคู่รักต้องเรียนรู้กันชั่วชีวิตนะ เพราะเรื่องการไม่ยอมรับคุณค่าในกันและกันเป็นเรื่องใหญ่มาก”

แม้ผู้คนจำนวนมากจะสนใจพัฒนาศักยภาพของตัวเองมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่บอกว่าไม่อยากทำอะไร นอกจากอยู่เฉยๆ ปล่อยไหลไปวันๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดแบบ NEET (Not in Education, Employment or Training) ดร.ต้อง มองว่าการมีชีวิตแบบนี้ไม่ผิด แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องแยกให้ออกระหว่าง การพักผ่อนเพื่อทบทวนชีวิต กับ การปล่อยไหลที่แฝงไว้ด้วยนัยยะของการผัดวันประกันพรุ่ง 

“ถ้ามีชีวิตไปทีละวัน อันนี้เห็นด้วย เพราะมันเกี่ยวกับวินัย อดีตผ่านมาแล้ว อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง เราก็ได้แต่เรียนรู้และโฟกัสกับปัจจุบัน แต่ถ้ามีชีวิตไปวันๆ แบบผัดวันประกันพรุ่ง พยายามกันตัวเองให้ไม่มีอารมณ์หมอง เขาเรียกว่าเป็น Emotional Regulation Practices (การกำกับอารมณ์กับความพึงพอใจในชีวิต) แต่มันเป็นแผนที่แย่ เพราะเวลาเราผัดวันประกันพรุ่ง แทนที่จะกันหัวใจตัวเองจากความรู้สึกแย่ได้ มันกลับให้ผลตรงข้ามเลย เพราะว่าเราจะมาทำมันในวินาทีสุดท้าย และท้ายสุดเราจะยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากกว่าเดิม 

แล้วพอเราอยู่โดยไม่ได้พัฒนาทักษะอะไรเลย ไม่สามารถไปชนแม้กระทั่งตลาดงานได้ เราก็จะเป็นภาระคนอื่น พอเป็นภาระคนอื่น มันก็ยิ่งเสริมความรู้สึกแย่กับตัวเองเข้าไปอีก คนที่อยู่ไปวันๆ มักจะเป็นคน Perfectionist หรือไม่ก็กลัวความล้มเหลว เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนว่า แต่ท้ายสุด สิ่งที่เขากลัวทุกอย่างมันจะทวีคูณ กลายเป็นดินพอกหางหมู”

ดร.ต้อง ชี้ให้เห็นว่าหากเราต้องการกลับมามีชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่า สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การปรับมุมมองต่อความล้มเหลว โดยมองว่า ‘ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ’ และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราเรียนรู้ เติบโต และเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น

“ฉะนั้นให้เราล้มเหลววันนี้เลย ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการเริ่มไปก่อน เพราะธรรมชาติของความล้มเหลวจะช่วยให้เราเริ่มเห็นว่าเราเก่งอะไร ไม่เก่งอะไร พอเริ่มเห็นเราก็สามารถเริ่มใหม่ และพอเริ่มใหม่เราก็จะเริ่มพลาด แต่ก็จะมีคนมาช่วยเรา หรือท้ายสุดเราก็จะเรียนรู้ ปรับตัว อัพสกิล รีสกิล หรือฝึกกันใหม่ก็ได้ เพราะเราจะเข้าใจว่าตลาดต้องการอะไรจากเรา เพื่อเราจะได้ไปให้ถูกทาง

ถ้าเราฝึกรับความล้มเหลวได้บ่อยๆ เราก็จะรับมือได้ ล้มเหลวเยอะๆ จะได้ชิน เพราะหันซ้ายหันขวา ใครๆ เขาก็มีความล้มเหลว ไม่มีใครสักคนบนโลกใบนี้ประสบความสำเร็จตลอดเวลา แทบจะ 100% เคยล้มเหลวมากกว่าสำเร็จด้วยซ้ำ แม้แต่คนที่เราชื่นชม เขาก็ล้มฟาดมาไม่รู้กี่รอบ เพราะฉะนั้นเราต้องบอกคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ว่าความล้มเหลวเป็นแก่นสารของการใช้ชีวิต และเป็นประสบการณ์ชีวิตที่จำเป็นมากกว่าความสำเร็จ ถ้ากลัวความล้มเหลว คุณจะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง”

ในช่วงท้าย ดร.ต้อง ได้ฝากเครื่องมือในการเช็คระดับความสุขในชีวิต ผ่านการมองตัวเองหน้ากระจก พร้อมกับฟังเสียงของความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากหัวใจ 

“ตราบใดที่เราตื่นเช้ามามองหน้ากระจก แล้วเรายังชอบตัวเองอยู่ You’re doing good. แต่ถ้าวันใดก็ตามตื่นขึ้นมามองหน้ากระจกแล้วเราไม่ชอบตัวเองแปลว่า Something is wrong. เราวัดแค่นั้นเลยฮะ 

ถ้าเราพูดกับตัวเองได้ว่าเราทำได้ดีแล้ว นั่นคือเราดีไซน์ชีวิตเราได้ดีพอสมควร แต่ถ้ายังไม่ได้ ให้รีบหาว่ามันพลาดตรงไหน เราอาจเกิดมาเพื่อทำให้คนประทับใจก็จริง แต่ยึดมันให้สั้นๆ และโฟกัสกับสิ่งที่ยืนยาวนั่นคือ ชีวิตที่ลงตัวกับหัวใจเราเอง”

นอกจากนี้ยังพูดถึงข้อดีและข้อควรระวังของคนรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลในความสัมพันธ์กับคนรุ่นก่อน

“คนรุ่นใหม่มีจุดที่ดีมากๆ คือการเปิดกว้าง ยอมรับเพื่อนมนุษย์สูง สามารถเปิดใจรับความแตกต่างได้ดีกว่าคนรุ่นเก่า แต่สิ่งที่ต้องระวังมากคือความผูกพันที่ลดลง โดยเฉพาะการเปิดใจทำความเข้าใจกับคนรุ่นเก่าที่ยังยึดติดอยู่กับอดีต เช่น การบ่น คนรุ่นเก่าใช้การบ่นแทนความหวังดี อดบ่นไม่ได้ อดสอนไม่ได้ เพราะนั่นคือคุณค่าเดียวที่เขามีและเคยชิน ทุกครั้งที่บ่นและสอนคือเขากำลังจะบอกรัก รักหนูมาก รักลูกมาก แต่ต้องพูดในแง่ลบไม่ให้เหลิง เราก็ต้องสะกดหัวใจตัวเองว่านี่คือแนวภาษาเขาจริงๆ แต่ข้างหลังก็คือโคตรหวังดีเลย 

เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่อาจต้องแปลภาษาคนรุ่นเก่าในแบบที่มองจากมุมคนรุ่นเก่า ซึ่งมันไม่ง่าย แต่ก็ฝึกได้ และสุดท้ายที่ต้องทำไปพร้อมๆ กัน คือ ค่อยๆ ช่วยให้คนรู้จัก เช่น ครอบครัวหรือคนรัก เข้าใจชีวิตในแบบเรา โดยไม่จำเป็นให้เขาต้องสมหวัง เราต้องให้เขาผิดหวังด้วย เพราะเขาจะต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับเรา ให้สมหวังหมด ผมว่ามันไม่ถูก เราก็ผิดหวังเขาก็ผิดหวัง ผิดหวังไปด้วยกัน เพราะเราเป็นเจ้าของ DNA เรา เป็นเจ้าของคุณค่า มันไม่ใช่คนอื่น แล้วถ้าเขารักเราพอ เขาจะต้องก้าวข้ามความผิดหวังในตัวเราให้ได้ 

เพราะความรักมันไม่ใช่การบังคับ มันคือการให้พื้นที่ปลอดภัยแก่กันและกัน” 

Tags:

การพัฒนาตนเองความสำเร็จดร.พงษ์รพี บูรณสมภพวินัย (Discipline)Human PotentialHuman PainHuman Experienceการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ความสุข

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • How to enjoy life
    เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

The Greatest Game Ever Played: เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือเกมที่เล่นกับตัวเอง
15 November 2024

The Greatest Game Ever Played: เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือเกมที่เล่นกับตัวเอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • The Greatest Game Ever Played สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของฟรานซิส อุยเม็ต ตำนานนักกอล์ฟสมัครเล่นชาวอเมริกันที่หักปากกาเซียนคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในปี 1913 ด้วยวัยเพียง 20 ปี
  • สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาคว้าชัยชนะเหนือนักกอล์ฟอาชีพ คือการที่เขาสามารถควบคุมสมาธิ และจดจ่ออยู่กับเกมของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ล่อลวงให้เขาหลุดโฟกัสไปจากปัจจุบันขณะ 
  • นอกจากเรื่องการแข่งขัน ภาพยนตร์ยังสะท้อนความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างพ่อกับฟรานซิส เนื่องจากพ่อไม่สนับสนุนให้เขาทำตามความฝันและเชื่อว่ากอล์ฟไม่สามารถช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีเท่ากับการทำธุรกิจ

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

“กอล์ฟคือกีฬาที่เล่นในหมู่ผู้ดี(มีเงิน) ไม่ใช่คนอย่างเธอ” 

แม้คำพูดของชายสูงศักดิ์ที่กล่าวกับเด็กยากจนในฉากเปิดภาพยนตร์ The Greatest Game Ever Played จะไม่น่าฟังนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าในสมัยนั้นกอล์ฟเป็นกีฬาที่มีค่าใช้จ่ายสูงและเป็นกิจกรรมยามว่างของบรรดาผู้มีอันจะกิน  

ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องจริงของ ฟรานซิส อุยเม็ต (1893-1967) ที่คนอเมริกันยกย่องให้เป็น ‘บิดาแห่งกอล์ฟสมัครเล่น’ ผู้สร้างปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญด้วยการเป็นมือสมัครเล่นที่คว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในปี 1913 โดยชัยชนะครั้งนั้นจุดประกายให้ผู้คนในสหรัฐฯ สนใจกีฬากอล์ฟมากขึ้น ก่อนที่ทุกฝ่ายจะช่วยกันสนับสนุนจนทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นมหาอำนาจด้านกอล์ฟในปัจจุบัน 

ฟรานซิสเกิดในครอบครัวชนชั้นล่างจากบอสตัน บ้านของเขาอยู่ตรงข้ามกับกอล์ฟคลับชื่อดัง ทำให้เขาคอยเฝ้าดูและหลงใหลเสน่ห์ของกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่เด็ก 

ด้วยฐานะที่ไม่เอื้ออำนวย ฟรานซิสในวัยประถมพยายามหาทางเข้าใกล้กอล์ฟ ด้วยการรับจ้างเป็นแคดดี้ให้เศรษฐี แต่ในขณะเดียวกันก็อาศัยการ ‘ครูพักลักจำ’ วิธีการเล่นของพวกเขา และฝึกฝนการเล่นกอล์ฟด้วยอุปกรณ์มือสองที่ได้รับบริจาคมาและสร้างทักษะจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

หลายปีต่อมา ฟรานซิสยังคงทำงานพิเศษเป็นแคดดี้และหลงใหลกอล์ฟไม่เปลี่ยน พร้อมกับหาเวทีให้ตัวเองแสดงผลงานด้วยการสมัครแข่งขันกอล์ฟระดับมัธยมปลายและคว้าแชมป์มาครอง 

แม้ภาพยนตร์จะเล่าเรื่องในวัยเด็กค่อนข้างรวดเร็ว แต่ก็เพียงพอให้ผู้ชมเห็นถึงทักษะการจัดการตัวเองอย่างดี ระหว่างการเรียน การทำงาน รวมถึงการฝึกซ้อม โดยเฉพาะอย่างหลังที่เต็มไปด้วยแพสชัน และ ‘วินัย’ ที่เกิดจากความปรารถนาภายในของเจ้าตัวโดยไม่มีใครมาบังคับจนสามารถประสบความสำเร็จในฐานะนักกอล์ฟเยาวชน 

เส้นบางๆ ของความหวังดีที่อาจกลายเป็นทำร้ายโดยไม่ตั้งใจ

การคว้าแชมป์ระดับมัธยมปลายทำให้ฟรานซิสภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย แต่ไม่ใช่กับพ่อที่มองว่ากอล์ฟเป็นกีฬาของคนรวย ต่อให้พยายามากแค่ไหนก็ยากจะประสบความสำเร็จ และไม่น่าสร้างรายได้เท่ากับการทำธุรกิจ ดังนั้นพอรู้ว่าลูกจะลงแข่งกอล์ฟสมัครเล่น พ่อจึงยื่นคำขาดว่าหากเขาตกรอบจะต้องเลิกเล่นกอล์ฟและกลับมาโฟกัสในสิ่งที่ถูกที่ควร

“ฉันเองก็มีฝันฟรานซิส ไม่ว่าแกทำอะไร เขาไม่มีวันให้แกได้ข้ามถนนนั่น(ชนชั้น)…สัญญากับฉัน ถ้าแกแพ้ก็เลิกกอล์ฟ เลิกเล่นกีฬาโง่ๆ นี้ซะ และมาเรียนรู้เรื่องการค้าขายแล้วนำค่าจ้างที่ได้จริงๆ กลับมาบ้าน”

ผมค่อนข้างเห็นใจฟรานซิสที่ถูกพ่อยื่นคำขาดให้ต้องชนะและเข้ารอบ เพราะในฐานะที่ชอบดูกอล์ฟรวมถึงเคยหัดเล่นกอล์ฟมาบ้างเล็กน้อย ต้องบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่เต็มไปด้วยไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสภาพสนาม หรือดินฟ้าอากาศ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับศัตรูสำคัญ นั่นคือ ‘สภาพจิตใจ’ ของผู้เล่น ที่หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็อาจกลายสภาพเป็นหมูสนามจริงได้ง่ายๆ

เมื่อต้องแข่งขันภายใต้ความกดดันที่ไม่อาจแพ้ได้ ภาพยนตร์จึงค่อยๆ ถ่ายทอดความท้าทายทางอารมณ์ โดยเฉพาะความกดดันภายในที่ปะทุออกมาในช็อตสำคัญ ภาพของพ่อที่จู่ๆ ก็ซ้อนทับขึ้นมากลางฝูงชนทำให้ฟรานซิสหน้าถอดสี ก่อนที่เขาจะตีพลาดจนตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย 

หลังตกรอบอย่างน่าเจ็บใจ ฟรานซิสยอมทำตามสัญญาที่ให้กับพ่อ กระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ร่วมแข่งขันรายการยูเอสโอเพ่นในฐานะผู้เล่นท้องถิ่น ฟรานซิสจึงแอบกลับมาซ้อมกอล์ฟอีกครั้ง ทำให้พ่อของเขาที่มารู้ภายหลังโกรธถึงขั้นขู่ไล่เขาออกจากบ้าน

“คิดว่าจะเก็บความลับกับฉันได้เหรอ ชื่อแกหราในหนังสือพิมพ์ แกแอบทำลับหลังฉัน แกต้องยุติเรื่องนี้ทันที …นี่เพื่อตัวแกเอง ฉันพยายามปกป้องแกนะ…คนพวกนั้นไม่จำเป็นต้องหาที่อยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นของพวกเขา เราไม่ใช่คนพวกนั้น แกจงไปบอกพวกเขาว่าแกแข่งไม่ได้ มันเป็นความผิดพลาด แกให้สัญญากับฉันแล้ว ถ้างั้นช่วยฉันหน่อย เมื่อจบเรื่องแล้วช่วยหาที่อยู่ใหม่ด้วย”

ดูเหมือนว่านอกจากพ่อจะไม่ยินดีด้วยแล้ว พ่อยังสร้างแรงกดดันให้เขาเพิ่มเติม นั่นคือการไล่ออกจากบ้านล่วงหน้า แน่นอนว่าถ้ามองในมุมพ่อ เขาย่อมคิดว่าตนได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูก แม้ว่าวิธีการนั้นจะไม่ถูกใจฟรานซิสก็ตาม ประกอบกับการที่กอล์ฟในยุคนั้น(1913) ยังเป็นกีฬาเฉพาะกลุ่มของชนชั้นสูง ทำให้พ่อยิ่งโมโหที่ฟรานซิสไม่รู้จักเจียมตัว หากถลำลึกต่อไปก็รังแต่จะทำให้เสียอนาคต

“พวกเขาพากันพูดเรื่องของแก มันลงว่าถึงแกชนะแกก็ไม่ได้เงิน คนอื่นทำเงิน แกไม่ได้อะไร มันพิสูจน์อะไรเหรอ พวกเขาไม่ได้จ่ายแกด้วยซ้ำ งานประเภทไหนกัน!”

อย่างไรก็ตาม ผมชื่นชอบการที่แม่ของฟรานซิสได้ถามสามีแทนใจผู้ชมหลายคนว่า ตกลงแล้วเขายินดีกับลูกไหม หรืออยากเห็นลูกตกรอบถึงจะสาแก่ใจ พร้อมกับขอร้องสามีให้สนับสนุนฟรานซิสสักครั้ง

“ฉันสนับสนุนเขา เขามีพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มา และนี่คือโอกาสเดียวที่จะให้มันแสดงออก เขาแค่พยายามทำให้คุณภูมิใจ” แม่กล่าว

ผมคิดว่าลูกๆ หลายคนน่าจะมีพ่อแม่ที่มีนิสัยใจคอคล้ายกับพ่อของฟรานซิส รักเราแต่ก็กดดันข่มขู่ให้กลัวเหลือเกิน ห่วงเราแต่มักแสดงออกด้วยความรุนแรงคล้ายกับเราไม่ใช่ลูก 

ซึ่งการจะเข้าใจหัวอกพ่อแม่ประเภทนี้เป็นเรื่องยากและซับซ้อน เพราะลึกไปในความรักที่พ่อแม่แสดงออก เราอาจพบส่วนผสมทางความรู้สึกชนิดอื่นปะปนเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอคติส่วนตัว ความเห็นแก่ตัว ความอยากให้ลูกเป็นหน้าเป็นตา (เอาไว้คุยโม้โอ้อวดกับชาวบ้าน) หรือแม้กระทั่งการอยากเอาชนะลูก ฯลฯ 

แน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วยกับความรักแบบนี้ เพราะผมเชื่อว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้คนที่เรารักกลัว แต่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยและความสบายใจแก่กันเสมอ ดังนั้นจึงน่าเสียใจที่พ่อแม่บางคนชอบนำอคติส่วนตัวเหล่านั้นเข้ามาเบียดบังความรักอันบริสุทธิ์ และกลายเป็นพ่อแม่ที่ใครหลายคนเรียกว่า ‘พ่อแม่จอมบงการ’ ที่ชอบกำหนด ควบคุม หรือแทรกแซงการตัดสินใจของลูกในนามของความรัก โดยไม่ให้ลูกมีโอกาสกำหนดเส้นทางชีวิตตัวเอง  

ควบคุมจิตใจได้คือชัยชนะที่แท้จริง

ในการแข่งขันยูเอสโอเพ่น คู่แข่งคนสำคัญที่สุดของฟรานซิสคือ ‘แฮร์รี่ วาร์ดอน’ นักกอล์ฟอาชีพชาวอังกฤษที่ถูกขนานนามว่าเก่งที่สุดในโลก ณ เวลานั้น

แม้ฟรานซิสจะมีแรงกดดันเรื่องพ่อ แต่แฮร์รี่ วาร์ดอน เองก็แบกความคาดหวังของชาติ รวมถึงข้อเสนอในการยกระดับสถานะหากคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่น โดยวาร์ดอนได้แสดงวิธีควบคุมสิ่งเร้าภายใน-ภายนอก ด้วยการปรับใจให้สงบนิ่ง และเมื่อสงบนิ่ง ภาพของผู้ชมในสนามหรือแม้แต่ภาพความกดดันต่างๆ ในหัวก็จะหายไป ราวกับเขากำลังฝึกซ้อมคนเดียวบนผืนหญ้าอันกว้างใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้เขาทำผลงานได้ดีและจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์

“เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณจะได้เล่น ก็คือเกมที่เล่นกับตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าชื่นชมไม่แพ้กัน คือทัศนคติของวาร์ดอนที่ให้เกียรติคู่แข่งที่ได้ชื่อว่าเป็นมือสมัครเล่นผู้มากับดวงอย่างฟรานซิส หลังมีคนดูถูกว่าชนชั้นล่างอย่างฟรานซิสไม่มีทางที่จะคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นได้

“ถ้ามิสเตอร์อุยเม็ตชนะวันพรุ่งนี้ ก็เพราะว่าเขาเป็นยอดฝีมือ เพราะเขาเป็นตัวเขา ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นใคร ไม่ใช่ว่าได้เงินเท่าไหร่”

แม้จะพลาดแชมป์ แต่ในฐานะแฟนกีฬาประเภทนี้ ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหายอะไร เพราะนักกอล์ฟที่เก่งไม่ใช่นักกอล์ฟที่คว้าแชมป์ทุกรายการ แต่เป็นนักกอล์ฟที่ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอในทุกการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันวาร์ดอนได้รับการยกย่องว่าเป็นตำนานกอล์ฟที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก

ย้อนกลับมาที่ฟรานซิส เขาเองก็ตระหนักว่ากอล์ฟคือกีฬาที่แข่งขันกับตัวเอง โดยก่อนการแข่งยูเอสโอเพ่น เขาเองก็นำหนังสือของวาร์ดอนมาอ่านเพื่อนำมาพัฒนารูปแบบการเล่น รวมถึงความสงบที่ฟรานซิสได้เรียนรู้จากวาร์ดอน

 “มีนักกีฬาเพียงสองประเภท ผู้ที่ควบคุมความตื่นเต้นไว้ได้ และเป็นผู้ชนะเลิศ กับอีกประเภทคือผู้ที่ทำไม่ได้” วาร์ดอนกล่าวในหนังสือ

ถ้าไม่นับฝีมือที่เกิดจากการฝึกซ้อมและสภาพสนามที่คุ้นเคยมาทั้งชีวิต ฟรานซิสยังมีแคดดี้คู่ใจวัย 10 ขวบที่แม้จะเป็นเด็กประถม แต่ก็คอยดึงสติและให้ข้อคิดกับฟรานซิสเสมอ

สำหรับผู้ที่ไม่ใช่แฟนกีฬากอล์ฟ อาจเข้าใจว่าแคดดี้เป็นเพียงคนแบกถุงกอล์ฟและทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับนักกีฬา แต่แท้จริงแล้วแคดดี้จะต้องมีความรู้เรื่องสภาพสนาม ไลน์สนาม จุดบอดที่สุ่มเสี่ยง รวมถึงให้กำลังใจนักกีฬาอย่างเหมาะสม

ในหลายๆ หลุมที่ฟรานซิสออกอาการตื่นเต้นและกังวลกับผู้ชมที่มีทั้งคนดังไปจนถึงประธานาธิบดี รวมถึงเสียงเปรียบเทียบซุบซิบถึงคะแนนของเขากับผู้เล่นคนอื่นๆ จนเล่นผิดฟอร์ม แคดดี้มักจะเป็นคนเรียกสติให้ฟรานซิสกลับมาอยู่กับร่องกับรอย และโฟกัสกับปัจจุบันขณะ 

“ใครจะมองก็ปล่อยให้เขามองไป คุณเสมอและยังต้องเล่นต่อไป ฟังผมนะ อย่าคิดมากนัก คุณจะทำครั้งเดียวรวดไม่ได้ คุณต้องตีทีละครั้ง”

เมื่อฟังคำพูดต่างๆ ของแคดดี้ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงการสัมภาษณ์ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล หรือ อาจารย์ปลา นักจิตวิทยาการกีฬาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาไทยหลายคน โดยช่วงหนึ่งอาจารย์ปลาบอกว่า ‘เราไม่สามารถควบคุมผลการแข่งขันได้ แต่เราควบคุมวิธีการเล่นของเราได้’ ดังนั้นเมื่อพบกับกำแพงปัญหา สิ่งสำคัญคือการไม่เอาหัวไปชน แต่เป็นการหาวิธีในการก้าวข้าม…ซึ่งอาจเริ่มจากการกลับมาอยู่กับลมหายใจเพื่อควบคุมโฟกัสของตัวเอง

ดังนั้นความสำเร็จที่แท้จริงของฟรานซิสไม่ได้เกิดจากการคว้าแชมป์ในฐานะมือสมัครเล่นที่อายุน้อยที่สุดในโลก แต่เป็นการเอาชนะความสงสัยในตัวเอง การเอาชนะแรงกดดันทางสังคม และอุปสรรคในใจที่คอยล่อลวงฉุดรั้งเขาจากฝั่งฝัน 

นอกจากนี้การที่เขากล้ายืนหยัดในความฝันอย่างมีวินัยเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ให้กับชีวิต ยังช่วยพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง 

Tags:

The Greatest Game Ever Playedกอล์ฟฟรานซิส อุยเม็ตพ่อแม่กีฬาชัยชนะการแข่งขัน

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Dr.Pla Wimonmas-Cover 1
    Life classroomSocial Issues
    อย่าชนะในเกมแค่วินาทีนี้ แต่แพ้ในชีวิตตลอดไป: ฝึกใจให้พร้อมสู้ทุกสนาม กับ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    นี่ไง ครอบครัวสมบูรณ์แบบของฉัน แล้วของคุณล่ะ ?

    เรื่อง

  • Family Psychology
    “โอบกอดบุตรหลาน ฟังเสียงเขา ลดเสียงเรา ประสบการณ์เก่าใช้ไม่ได้กับอนาคต” ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Education trend
    GAMING DISORDER: ข้อควรรู้สำหรับพ่อแม่ ป้องกันลูกเป็น ‘โรคติดเกม’

    เรื่อง The Potential

‘ทำไมต้องมู(เตลู)’ เช็คสุขภาพจิตคนรุ่นใหม่ในวันที่ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ: ผศ.หยกฟ้า อิศรานนท์ นักวิชาการด้านจิตวิทยา
How to enjoy life
12 November 2024

‘ทำไมต้องมู(เตลู)’ เช็คสุขภาพจิตคนรุ่นใหม่ในวันที่ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ: ผศ.หยกฟ้า อิศรานนท์ นักวิชาการด้านจิตวิทยา

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • กระแส ‘มูเตลู’ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาความสุขความสำเร็จในยุคที่เต็มไปด้วยความกดดันจากสังคมและปัญหาต่างๆ น่าสนใจว่า ทำไมคนรุ่นใหม่ซึ่งมักออกปากว่าไม่อินกับศาสนาจึงหันมาทุ่มเทกับการมูเตลูกันมากขึ้น?
  • ชวนทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนหันมาพึ่งพาความเชื่อเรื่องมูเตลู และผลกระทบที่ตามมาทั้งด้านบวกและด้านลบ รวมไปถึงคำแนะนำ และมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตในยุคปัจจุบัน กับ ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
  • “มูเตลูอาจจะไปช่วยซัพพอร์ตในเชิง Emotional Focus ในระดับหนึ่ง ที่ทําให้เรารู้สึกว่าอาจจะมีใครสักคนพอเป็นที่พึ่งให้กับเราได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพึ่งแต่มูเตลู ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้จัดการกับปัญหาอย่างจริงจัง ดังนั้นในแง่ของการช่วยแก้ปัญหา การมูเตลูอาจจะแค่ช่วยบรรเทาทําให้รู้สึกสบายใจได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น”

‘รีวิวไหว้ขอแฟนจากพระแม่ลักษมี‘

‘แจกพิกัดวัดฮ่องกงที่คนโสดไม่ควรพลาด‘

‘มูเรื่องเรียน ต้องพระพิฆเนศห้วยขวาง‘

‘5 วัดดัง ไหว้ขอพรเรื่องงานเงินเสริมความปัง‘

จากกระแสในสื่อโซเชียล ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ไม่ว่าจะเรื่องไหนหลายคนก็พึ่งพา ‘มูเตลู’ กันหมด 

สำหรับใครที่คุ้นๆ หรืออาจจะยังคลุมเครือ คำอธิบายชัดๆ ของ ‘มูเตลู’ หรือ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘มู’ ก็คือ คำที่ใช้เรียกความเชื่อเกี่ยวกับการเสริมดวงชะตา ซึ่งผสมผสานความเชื่อหลายรูปแบบหลายวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางพุทธ พราหมณ์ เทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เพื่อขอพรให้ชีวิตมีความสุข มีโชค มีลาภ หรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ผ่านการทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น การไหว้ การขอพร การเสี่ยงทาย หรือการใช้เครื่องรางของขลัง

ถึงแม้ว่าในสังคมไทย การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่ในช่วงหลัง กระแสการหันไปสนใจ ‘มูเตลู’ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาความสุขความสำเร็จในยุคที่เต็มไปด้วยความกดดันจากสังคมและปัญหาต่างๆ จนกลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า ทำไมคนรุ่นใหม่ซึ่งมักออกปากว่าไม่อินกับศาสนาจึงหันมาทุ่มเทกับการมูเตลูกันมากขึ้น?

มากไปกว่านั้น คำถามที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ การมูเตลูเกี่ยวข้องอย่างไรกับปัญหาสุขภาพจิตที่หลายคนกำลังเผชิญ? รวมถึงเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้คืออะไร? และการมูเตลูสามารถช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่?

The Potential ชวนมาหาคำตอบกับ ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ รองคณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนหันมาพึ่งพาความเชื่อเรื่องมูเตลู และผลกระทบที่ตามมาทั้งด้านบวกและด้านลบ รวมไปถึงคำแนะนำ และมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตในยุคปัจจุบัน 

ปัจจุบันมีการพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่กันมาก ในมุมมองของนักจิตวิทยาอะไรคือปัจจัยสำคัญ?

จริงๆ แล้ว ปัญหาสุขภาพจิตก็มีมาโดยตลอดทุกยุคสมัยนะคะ เพียงแต่ว่าในยุคนี้แต่ละคนต่างมีความรู้สึกที่ต้องการความสําเร็จสูง จึงเกิดการเปรียบเทียบและความคาดหวังสูง แต่ถ้าเราแบ่งว่าทําไมคนถึงมีปัญหาสุขภาพจิตเยอะ อาจารย์มองเป็นสองส่วนคือ ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยทางสังคม

สำหรับปัจจัยส่วนบุคคล เราอาจสังเกตเห็นได้ว่าคนยุคใหม่หลายๆ คนอาจจะได้รับการเลี้ยงดูจากคุณพ่อคุณแม่ในรูปแบบที่ถูกทะนุถนอม และถูกปกป้องมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อนๆ ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เลยอาจจะทําให้บางคนไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้กับความล้มเหลวมากนัก พอเจออุปสรรคสักอย่างที่ไม่เคยเจอ ก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ และก่อให้เกิดความท้อแท้ ภาษาชาวบ้านคือ ล้มแล้วลุกไม่เป็น ซึ่งบางคนก็อาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทําไมต้องล้มด้วย เพราะเกิดมาไม่เคยล้มเลย มีทั้งครอบครัวหรือสังคมในโรงเรียนคอยประคองตลอด

และถ้าเทียบกันกับแต่ก่อน วิธีการเลี้ยงดูของคนในยุคสมัยก่อนก็จะเห็นว่าค่อนข้างล้มลุกคลุกคลาน ซึ่งพอพ่อแม่เติบโตมาแบบนั้น ก็จะไม่อยากให้ลูกหลานเป็นแบบตัวเขาในอดีต จึงพยายามดูแลปกป้อง ทะนุถนอม ทําให้เด็กๆ ยุคใหม่อาจจะไม่มีโอกาสได้ฝึกปรือกับความผิดพลาดหรือความล้มเหลวในชีวิตมากนัก ก็เลยเหมือนไม่มีเหมือนภูมิคุ้มกันทางจิตใจมากเพียงพอที่จะรับมือกับความล้มเหลว 

แต่ว่าถ้าคนๆ นึงสามารถเผชิญกับความรู้สึกล้มเหลวและผิดพลาดได้ อยู่กับมันและมูฟออนด้วยตัวเองได้ ก็จะเกิดการเรียนรู้ที่จะอยู่กับอุปสรรคหรือปัญหาในชีวิต และทําให้เขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการจัดการกับปัญหาหรืออุปสรรคที่จะเข้ามาได้

ส่วนปัจจัยทางสังคม เราจะสังเกตเห็นได้ว่าโลกทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ และยุคนี้มันก็ยังคงสูงขึ้นอยู่ ประกอบกับโลกออนไลน์ที่กระแสและข้อมูลมันมาไวไปไว อย่างเมื่อก่อนเวลาดูสื่อ เราอาจจะมีความอยากเป็นอยากเหมือนคนโน้นคนนี้ประมาณนึง แต่ตอนนี้แค่เข้าไปในอินเทอร์เน็ตก็จะเห็นหมดทุกอย่าง ซึ่งพอเห็นในปริมาณเยอะๆ ก็เกิดการเปรียบเทียบ เกิดความอยากมี อยากเป็นอย่างคนอื่นเพิ่มขึ้นตามไปเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติของคนจะมีการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลายิ่งเราเห็นข้อมูลคนอื่นเยอะเท่าไหร่ เราจะเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองมากเท่านั้น

พอเกิดการเปรียบเทียบ สิ่งที่ตามมาคือความเครียด เพราะอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ‘ฉันไม่มีค่าเลย’ เพราะสภาพแวดล้อมทำให้รู้สึกแบบนั้น

นี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งด้วย ที่ทําให้คนมีโอกาสหรือมีแนวโน้มที่จะเจอกับความทุกข์เศร้า หรือสุขภาวะทางจิตที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวก เพราะเราเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทําไมคนนั้นสวย ทําไมคนนั้นสําเร็จ แต่เราทําไม่ได้แบบเขา ความคิดหรือความรู้สึกพวกนี้ก็สะสมมาเรื่อยๆ และอาจจะทําให้เรื่องปัญหาสุขภาพจิตเด่นชัดมากขึ้นในยุคนี้

แต่ทั้งหมดอาจมีหลายๆ ส่วนที่ประกอบรวมๆ กัน ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นเพราะสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้  แต่มิติโดยรวมบอกได้ว่าอาจจะเป็นปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทําให้คนในปัจจุบันรับมือกับปัญหาและอุปสรรคได้ยากขึ้น และรู้สึกว่าอุปสรรคมันใหญ่ไม่สามารถจัดการมันได้ค่ะ

เมื่อรู้สึกว่าปัญหาที่เราเผชิญกำลังส่งผลกระทบต่อจิตใจ น่าสนใจว่าทำไมคนรุ่นใหม่ถึงใช้ความเชื่อ หรือสิ่งที่เรียกว่า ‘มูเตลู’ เป็นที่พึ่ง

จริงๆ เรื่องไสยศาสตร์เรื่องความเชื่อพวกนี้มันอยู่กับวัฒนธรรมไทยมานานแล้วทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่ายุคไหนก็ยังมีคนเชื่ออยู่ตลอด แต่สิ่งที่น่าสนใจในปัจจุบันคือ ยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ทำไมเธอยังเชื่อการมูอยู่เลย  ซึ่งก็เหมือนเป็นการที่เขาหาที่พึ่งทางใจ และทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น บางคนก็เชื่อมั่นในตัวเองอยู่แล้วว่าสามารถทำได้ แต่ก็มีความรู้สึกอยากขอเพิ่มพลังอื่นอีกสักนิดให้อุ่นใจ ซึ่งการมูนั้นทำไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร มันจึงเป็นการเสริมความมั่นใจที่จะทําสิ่งต่างๆ ในชีวิต

จริงๆ การที่เราพึ่งพาไสยศาสตร์ หรือพึ่งพาการมูเตลู หรือคำที่คนนำมาใช้เรียกแทนเวลาที่เราเชื่อในสิ่งลี้ลับหรือสิ่งที่มองไม่เห็น อาจจะเป็นได้ตั้งแต่การแต่งตัวสีมงคล กระเป๋ามงคล ดูดวง ไปจนถึงเชื่อเรื่องภูติผี ปีศาจ เทวดา ที่จะมาคุ้มครอง หรือพระแม่ต่างๆ ที่จะให้พร ให้โชค ให้คู่

แต่ถามว่าจริงๆ แล้ว คนแบบไหนที่จะเชื่อเรื่องพวกนี้ ในเชิงจิตวิทยาจะมีตัวแปรหนึ่งที่น่าสนใจ เรียกว่า ‘Locus of Control’ (ความเชื่อในอำนาจควบคุม) หรือความรู้สึกที่ว่า ‘ชะตาชีวิตของเราใครเป็นคนควบคุม’ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ Internal locus of control (ความเชื่อในอำนาจควบคุมภายใน) และ External locus of control (ความเชื่อในอำนาจควบคุมภายนอก)

โดยคนที่มีวิธีคิดแบบ Internal locus of control  หมายความว่า เขาจะเชื่อว่าชีวิตเขาลิขิตด้วยตัวเอง เขาอยากได้อะไร เขาก็จะทํา และความพยายามของเขาจะนํามาซึ่งสิ่งที่เขาอยากได้ โดยคนที่มีลักษณะนี้จะรับรู้ได้ว่า ตัวเองมีความสามารถ ซึ่งตัวเขาต้องผ่านความสําเร็จมาบ้าง จึงทำให้เกิดความรู้สึกว่า ‘ฉันมีความเชื่อมั่นในความสามารถของฉัน’ จนกลายเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่เชื่อในชะตาชีวิตว่า ฉันเป็นคนกุมชะตาชีวิต เราจะเห็นได้ว่า คนแบบนี้จะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นกับตัวเองใช้ความเพียรพยายามมากๆ ในการจะทําอะไรบางอย่าง

ส่วนคนที่มีแนวโน้มจะมีลักษณะแบบ External locus of control คือคนที่เชื่อว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือชีวิตฉันไม่ได้ลิขิตเอง เขาลิขิตมาแล้ว แปลว่า เขาเชื่อว่าต่อให้เราทําดีแค่ไหน พยายามแค่ไหน ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน เพราะเราควบคุมไม่ได้ อาจจะเป็นลักษณะของคนที่รู้สึกว่าตัวเองควบคุมอะไรไม่ได้ ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง หรือเคยทําอะไรไปแล้วแต่ไม่สําเร็จ เขาเลยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเวรกรรม และพยายามจะหาคําอธิบายให้กับการไม่ประสบความสําเร็จ หรือการทําไม่ได้ของตัวเอง

เพราะถ้าจะให้บอกตัวเองว่า เราทําไม่ได้เพราะว่าเราไม่เก่ง ก็อาจจะทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง เแต่พอคิดไปเสียว่าเพราะโชคชะตาลิขิตมาแบบนี้ ก็อาจจะทำให้สบายใจขึ้นนิดนึง ซึ่งพอเราคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เชื่อว่าชะตาชีวิตของเรามันถูกกําหนดมาแล้วจริงๆ 

พอเชื่อเรื่องแบบนี้ เวลาเจอปัญหาอะไรที่สามารถแก้ได้ง่ายๆ ก็อาจจะเลือกที่จะไปบนเพิ่มอยู่ดี เพราะเชื่อไปแล้วว่าเขาเป็นคนกําหนดชะตาชีวิต และจะช่วยเปลี่ยนแปลง หรือสามารถปรับเส้นชะตาชีวิตของเราได้ ซึ่งอาจารย์มองว่าทุกรุ่นก็เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ ไสยศาสตร์ เวรกรรม หรือเชื่อว่ามีคนกุมชะตาฟ้าลิขิตเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในยุคนี้มันอาจจะไปขัดกับความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากถูกมองว่างมงาย

แต่ระดับของการเชื่อเรื่องมูเตลูก็อาจจะมีตั้งแต่ระดับอ่อนๆ ไปจนถึงมากๆ เช่น ก้าวเท้าต้องก้าวเท้าไหนออกจากบ้าน ต้องเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เปลี่ยนรถ เปลี่ยนบ้าน หรือไปจนถึงเปลี่ยนแฟน แบบนี้เรียกว่ามาก เพราะว่าไปกระทบกับชีวิตประจําวัน ถ้าหมอดูทักแล้วเราเปลี่ยนทุกอย่างเลย แสดงว่าเราแบบเราไม่มั่นคงในตัวเอง แล้วไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากขนาดที่มีแค่คนมาทักแค่คนเดียวเราพร้อมจะเปลี่ยน

แต่ถ้าระดับเบาๆ อาจจะแค่ใส่เสื้อสีนี้แล้วจะสําเร็จ หรืออะไรที่ทําให้เรารู้สึกมั่นใจ ด้วยว่าแบบนี้ก็มีพวกจิตวิทยาสีที่สามารถส่งผลต่อความรู้สึกคนได้จริงๆ เพราะสิ่งนี้ก็มีคอนเซ็ปต์เรื่อง Self-fulfilling Prophecy (ปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง) คือ ถ้าเราเชื่อว่าเราจะเป็นแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้นได้จริงๆ

มีงานวิจัยสมัยก่อนที่คุณครูเชื่อว่าเด็กห้องนี้เป็นเด็กเก่ง สุดท้ายเด็กก็ได้ A ทั้งห้อง ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ว่าเพราะเด็กเก่งอย่างที่ครูเชื่อ แต่ที่ได้ A ทั้งห้องเพราะครูเชื่อแบบนี้ ครูก็เลยมีวิธีการสอนที่ใส่ใจเด็ก เพราะหากเราเชื่อแบบไหนก็จะมีพฤติกรรมแบบนั้น เช่น เราเชื่อว่าวันนี้ฉันใส่สีดําฉันต้องสําเร็จเราเดินด้วยความมั่นใจ ซึ่งสิ่งนี้ก็จะนํามาสู่ Positive Interaction หรือ การได้รับผลป้อนกลับทางบวก และพอเรามั่นใจ สง่าผ่าเผย ความมั่นใจก็จะอยู่ในตัวเรา จึงทำให้มีแนวโน้มที่จะประสบความสําเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากพฤติกรรมและวิธีคิดของเรา

อะไรคือเหตุผลที่หลายคนตัดสินใจไม่ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ แต่กลับไปใช้การมูเตลูแทน

อาจารย์ว่ามันยังมีการตีตราทางสังคม หมายความว่า สังคมยังคงมองว่าใครที่ไปหานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์คือไม่ปกติ แต่ถ้าไปปรึกษาพี่อ้อยพี่ฉอด หรือการไปหาพระ หาหมอดู หรือบนบานศาลกล่าวกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะสังคมมองว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ก็ทำกันโดยทั่วไป ส่วนการไปปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เขารู้สึกว่ามีแค่ไม่กี่คนที่ไปกัน และมองว่าต้องรุนแรงจริงๆ ถึงไป พอเป็นภาพนั้นเราก็ไม่อยากให้คนมองเราในทางที่ไม่ดี แต่ถ้าถึงจุดที่สังคมมองเป็นปกติว่า ถ้ามีปัญหาก็ไปปรึกษาจิตแพทย์สิ อาจารย์ก็เชื่อว่าคนจะไปหานักจิตวิทยากับจิตแพทย์มากขึ้น 

อย่างเวลาที่เราลาป่วย เราไปบอกหัวหน้าว่า ไมเกรนขึ้น วันนี้ขอลาป่วยเจ้านายเขาก็ให้ลา แต่ถ้าไปบอกเขาว่าวันนี้ขอลาป่วยเพราะหนูรู้สึกเป็นซึมเศร้าค่ะ เขาก็คงไม่ให้ เพราะสังคมโดยส่วนใหญ่อาจจะมองว่าโกหกหรืออุปทานไปเองหรือเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและอยู่ข้างใน หรือแม้แต่พวกประกันสังคม ประกันสุขภาพ ก็ต้องยื่นหลักฐานอะไรมากมายจนทําให้เรารู้สึกว่าการจะเข้าถึงการรับบริการเป็นสิ่งที่ยากลำบาก อีกประเด็นคือค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการหลายๆ ที่ก็ไม่ได้ถูกๆ บางคนเลยรู้สึกว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ไปแบบนั่งสมาธิ ไปไหว้พระแทนละกัน

แต่ว่ามันยังไม่ได้แก้ที่ตัวปัญหา คือเราอาจจะรู้แหละว่าปัญหาอยู่ที่ไหนแต่พอไม่มีคนรับฟังหรือมีผู้เชี่ยวชาญที่เขาพอจะไกด์เราได้ว่าคุณควรทำอย่างไร เราอาจจะคิดไม่ออก แต่ถ้ามีคนรับฟังก็อาจจะรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกมากขึ้น

ถ้าเชื่อมโยงกับสุขภาพจิต อาจารย์มองว่าการมูเตลูสามารถช่วยเยียวยาปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างไรบ้าง

การมูก็สามารถช่วยเยียวยาปัญหาจิตใจสุขภาพจิตได้บางส่วน เพราะเป็นสิ่งที่ทําให้คนรู้สึกสบายใจมากขึ้น แต่ถ้าปัญหายังอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ลงไปแก้ด้วยตัวเอง สุดท้ายปัญหาก็ยังอยู่ สมมติเราไปหาหมอดู หลายๆ คนเขาก็จะมีทักทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าดีแล้วเราแฮปปี้ แต่ถ้าไม่ดีมันจะคาใจเรา และเกิดความกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เพราะคนเราจะมีความสุขได้ก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งพอโดนทักว่าในอนาคตเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราอาจจะรู้สึกว่าจะทำยังไงดี

จริงๆ ในแง่การเยียวยา มองว่ามันเป็นไปทั้งสองทาง แบบแรกคือ เราอาจจะไปบนเพราะอยากสอบติด แต่ขณะที่เราไปบนมันเป็นการเหมือนเราสัญญาตั้งมั่นกับตัวเอง ที่เราตั้งปณิธานว่าฉันจะตั้งใจทำนะ ซึ่งถ้าเราสำเร็จ ส่วนหนึ่งคือผลลัพธ์จากความตั้งใจของเราด้วย แต่เราก็จะไปพูดว่าไม่ใช่แค่เพราะความพยายามของเรา ส่วนหนึ่งเพราะเราไปบนบานด้วย แต่ส่วนใหญ่คนที่ไปขอพรว่า ขอให้ตัวเองได้อย่างนู้นอย่างนี้สักทีเถอะ จริงๆ มันเป็นการเหมือนพูดกับตัวเองในระดับหนึ่ง ว่าเราจะปรับปรุง จะทําตัวใหม่ จะพยายามตั้งใจให้มากขึ้น เพียงแต่การทำแบบนี้ก็เหมือนเราหาคนรับฟังที่มองว่าเขายิ่งใหญ่ และคิดว่าเขาอาจจะให้ผลดีกับเรา แต่โดยรวมแล้ว การที่เราตั้งปณิธานกับตัวเอง ก็จะทำให้โฟกัสกับตัวเองมากขึ้น และมีความพยายามมากขึ้น

อีกแบบหนึ่งคือ สมมุติว่าเรามีปัญหา ช่วงนี้อารมณ์ดิ่ง เจอแต่ปัญหาถาโถมเข้ามาจนรู้สึกหมดไฟหมดแรง เราอาจจะเชื่อว่าเป็นเพราะเวรกรรมตั้งแต่ชาติไหน แล้วก็ไปแก้บน แก้กรรม แต่ว่าสุดท้ายถ้าตัวเราไม่พยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง มันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะถ้าคนที่บนแล้วไม่ได้ทําอะไรเพื่อตัวเองเลย ความทุกข์ตรงนั้นก็จะยังอยู่ ทั้งความเครียด ความเศร้า อุปสรรคและปัญหาในชีวิตก็จะคงอยู่ 

จริงๆ วิธีจัดการกับปัญหาของคนเราส่วนใหญ่จะมี 3 แบบ คือ Problem Focus หรือ การจัดการที่ตัวปัญหา สองคือ Emotional Focus หรือ การทําความเข้าใจกับจิตใจของตัวเอง โดยอย่างที่ 2 นี้ช่วยเยียวยาได้ระดับหนึ่ง เพราะเวลาเราเจอปัญหาอะไรก็ตามที่ทําให้เครียดมันจะช่วยผ่อนใจให้เบาลงและสบายใจมากขึ้น แต่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ Problem Focus หาเลยว่าปัญหาอยู่ที่ไหนก็แก้ตรงนั้น แต่ส่วนใหญ่คนในสังคมไทยมักจะเลือก Emotional Focus เสียมากกว่า เพื่อที่จะปลอบใจตัวเอง แต่สุดท้ายปัญหาก็ยังอยู่ แค่ใจเราเบาขึ้นเท่านั้นเอง

อีกวิธีหนึ่งคือ Avoidance หรือ การหลีกเลี่ยงปัญหา เป็นวิธีการที่คนหลายคนเลือก ยิ่งถ้ามีปัญหาในเชิงความสัมพันธ์กับเพื่อนกับแฟน หรือคนในครอบครัว คือเลี่ยงไปเลยไม่พูด ปัญหายังอยู่แต่เราแค่ไม่พูดถึง ซึ่งถ้าปัญหามันสะสมเรื่อยๆ ก็สามารถที่จะกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้

ถามว่าตัวการมูเตลูเนี่ยอาจจะไปช่วยตรงไหน อาจารย์มองว่ามูเตลูอาจจะไปช่วยซัพพอร์ตในเชิง Emotional Focus ในระดับหนึ่ง ที่ทําให้เรารู้สึกว่าอาจจะมีใครสักคนพอเป็นที่พึ่งให้กับเราได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพึ่งแต่มูเตลู ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้จัดการกับปัญหาอย่างจริงจัง ดังนั้นในแง่ของการช่วยแก้ปัญหา การมูเตลูอาจจะแค่ช่วยบรรเทาทําให้รู้สึกสบายใจได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น

แล้วถ้าเราพึ่งพาวิธีการมูเตลูเพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหาสุขภาพจิต จะส่งผลกระทบในระยะยาวอย่างไร

จริงๆ การใช้วิธีมูเตลูเพื่อเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจก็ไม่ใช่เรื่องงมงาย แค่เป็นเหมือนหนทางในการหาที่พึ่งทางจิตใจสําหรับคนที่รู้สึกว่าไปต่อไม่ไหว หรือพยายามแล้วแต่ไม่มีหนทางในการแก้ไขปัญหา เขาเลยมองว่าที่พึ่งที่ดีที่สุดอาจจะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ซึ่งนี่ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่าถ้าถึงจุดที่เริ่มบั่นทอนกิจวัตรประจําวันของเรา สิ่งนี้อาจจะเรียกว่าไม่ปกติ เช่น ไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวันตามปกติได้ หรือมีปัญหากับคนรอบข้าง ทั้งวันแทบไม่ได้คิดถึงอะไรเลย ดูแต่ดวงทั้งวัน หรือทําตามหมอดูตลอดเวลา แบบนี้คือเริ่มกระทบกับชีวิตส่วนตัว และกระทบกับความสัมพันธ์ 

แต่ถ้าเราอยากจะแก้ไขปัญหาหรือมีความเครียด ก็ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเรา เพราะความเครียดอยู่ที่วิธีคิดเรา ต่อให้พ่อแม่หรือคนรอบตัวเราคิดบวก แต่ถ้าเราไม่ยิ้ม ไม่แฮปปี้ มันขึ้นอยู่กับตัวเรา ซึ่งถ้าเราจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเชิงสุขภาวะทางจิต ต้องเริ่มจากการที่ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าตอนนี้เราเหมือนไม่มีความสุขจริง ตระหนักว่าเราไม่มีความสุข แล้วยอมรับว่าเราก็เป็นคนนึงที่ไม่มีความสุขได้เหมือนคนอื่นๆ เราก็จะค่อยๆ มองออกว่าอะไรที่ทําให้เราไม่มีความสุข และต้องทำยังไงถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

แต่การแก้ไขปัญหามันก็มีหลายวิธี ถ้าเราแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องขอความช่วยเหลือ แต่หลายคนจะรู้สึกว่าไม่อยากไปปรึกษาใคร หรือไม่อยากไปกวนคนอื่น หรือกลัวว่าเรื่องของเขาเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยเลือกที่จะไม่ไปปรึกษาคนอื่น แล้วพยายามจัดการกับสิ่งนั้นด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ซึ่งพอจัดการไม่ได้ แล้ววนซ้ําๆ ระยะยาว ก็อาจจะรู้สึกว่าท้อแท้ สิ้นหวัง และหมดหวัง รวมถึงอาจจะนํามาสู่ความความเศร้าในชีวิต และความทุกข์ระทมที่มากขึ้นและนําไปสู่โรคทางจิตใจก็ได้

สุดท้ายอาจารย์อยากฝากคําแนะนำอะไรบ้างในการดูแลสุขภาพจิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่

อันดับแรกที่จะช่วยดูแลสุขภาพจิตได้คือ ต้องรักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง จากงานวิจัยพบว่า สิ่งที่ช่วยลดความเครียด และเป็นหนึ่งในหนทางในการแก้ไขปัญหาคือการที่มีคนรอบข้าง มีมิตรที่ดี และมี Social Support (การสนับสนุนทางสังคม) 

เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดคุณต้องมีเพื่อนที่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนคู่คิด มีอะไรก็ปรึกษาคนนี้ได้ ซึ่งจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะมากก็ได้ แต่ขอให้มีเพื่อนที่มีคุณภาพในความสัมพันธ์ได้ ตรงนี้ก็จะช่วยเซฟความเสี่ยงที่เราจะทําอะไรไม่ดีกับตัวเอง เพราะสมมติเรามีสุขภาพจิตใจที่ย่ําแย่แบบสุดกู่ แต่หากเรามีเพื่อนหรือคนที่อยู่ข้างๆ มีคนในครอบครัวคอยแบบค้ําชูจิตใจอยู่ก็จะช่วยได้มาก

หรือถ้าเป็นคนรอบข้าง ก็อยากให้หมั่นสังเกตคนรอบข้าง เพราะถ้าเราใส่ใจเพียงพอก็จะรู้ว่าคนรอบข้างเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า มันมีงานวิจัยหลายงานที่บอกว่า บางครั้งการอยู่คนเดียวนานๆ ก็อาจจะนํามาซึ่งความคิดวนลูปไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งถ้าเราสังเกตคนรอบข้างว่าเขาดูแปลกๆ ดูเศร้าลง ดูมีความทุกข์มากขึ้น เราก็ลองพาเขาไปเปลี่ยนบรรยากาศ ลองพูดคุยแล้วก็อยู่ข้างๆ เขา และที่สําคัญเลยคือต้องไม่ตัดสินเขา

เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ไปตัดสินคนอื่น เวลาที่เราเห็นว่าคนรอบข้างเราต้องการความช่วยเหลือต้องฮึบใจตัวเองให้ได้ อย่าเพิ่งไปแนะนําอะไรเขามาก ให้เขาได้ระบายออกมาจนหมด และพยายามทําความเข้าใจเขา 

เพราะถ้าเราตัดสินเขาไปแล้ว คนที่มาปรึกษาเราก็จะรู้สึกว่าไม่มีใคร ไม่รู้จะหันไปหาใคร เพราะกลัวว่าพอไปปรึกษาเพื่อนจะมองยังไง เพราะฉะนั้น เราต้องทําตัวเป็นคนที่เป็นนักฟังที่ดีที่เพื่อนจะสบายใจ สามารถมาเล่าเรื่องราวความทุกข์ในใจได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดค่ะ

Tags:


Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Ghostlight: การสูญเสียจะตามหลอกหลอนจนกว่าจะถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน
Movie
8 November 2024

Ghostlight: การสูญเสียจะตามหลอกหลอนจนกว่าจะถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Ghostlight เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวการสูญเสียลูกชายคนโตอย่างกะทันหัน ทำให้แต่ละคนต้องรับมือกับความเศร้าโศกและความรู้สึกผิดในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะพ่อที่รู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่ได้เข้าใจลูกชายมากพอ
  • ‘แดน’ ผู้เป็นพ่อพยายามหลบหนีความเจ็บปวดจากการสูญเสียด้วยการไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งกลับกลายทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยิ่งบอบช้ำ และส่งผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว
  • การเข้าร่วมกลุ่มแสดงละครและการสวมบทบาทเป็น ‘โรมิโอ’ ในเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ ทำให้พ่อได้กลับมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง และเริ่มต้นกระบวนการเยียวยาจิตใจ ซึ่งพอเขาสามารถเปิดใจยอมรับความจริงและความรู้สึกของตัวเองได้ เขาก็สามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้

*มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ

Ghostlight คือหนังที่เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังเผชิญกับเรื่องราวสูญเสียบางอย่างอยู่แต่เราจะไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร เราต้องตั้งตารอดูให้หนังค่อยๆ เฉลยทีละนิดจนเราสามารถประกอบเรื่องราวได้ ซึ่งถ้ายังไม่เคยดูเรื่องนี้เลย เราคิดว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าถ้าได้ดูก่อนแล้วค่อยมาอ่านบทความนี้

ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกสาว ลูกสาวชื่อ ‘เดซี่’ เปิดมาฉากแรกๆ ก็ถูกครูใหญ่เรียกให้เข้าพบและบอกว่าเธออาจถูกไล่ออกได้จากพฤติกรรมที่เธอทำ เราคิดว่าเดซี่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ในตอนแรกเราจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่

คนแม่ชื่อ ‘แชรอน’ เธอเหมือนคอยแบกครอบครัวเอาไว้ และทำเป็นเข้มแข็งอยู่ตลอด

ส่วนคนพ่อชื่อ ‘แดน’ ดูเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นง่ายมากกับเรื่องเรื่องหนึ่ง เขาต้องพาลูกสาวไปหานักจิตบำบัดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ปฏิเสธการเข้าร่วมด้วยทั้งที่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาเช่นเดียวกัน มันแสดงให้เห็นถึงความอึดอัด ไม่ยอมระบายออกและพยายามหลีกหนีสิ่งนั้นอย่างชัดเจน 

จนวันนึงแดนก็มีอาการสติแตกและเกือบทำร้ายร่างกายคนอื่น มีคนบังเอิญเห็นเหตุการณ์นั้นเลยชวนเขาเข้าร่วมการแสดงละครเวทีเล็กๆ ของชุมชน เพราะคนในกลุ่มนั้นรู้สึกว่าเขาอาจต้องการเวลาที่จะได้ลองสวมบทบาทเป็นคนอื่น เพื่อจะได้พักจากบางสิ่งบางอย่างที่ตัวของแดนต้องเผชิญบ้าง 

และการแสดงละครนี้ทำให้เขาได้รู้จักเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ วรรณกรรมของวิลเลียม เชคสเปียร์ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมชื่อดังที่หลายๆ คนมองว่าสุดแสนจะโรแมนติก แต่ไม่ใช่กับแดน เขารู้สึกว่าการตัดสินใจของโรมิโอและจูเลียตในตอนท้ายเป็นเรื่องที่เขาจะไม่ทำเป็นอันขาด 

แล้วหนังก็ค่อยๆ เล่าถึงสิ่งที่ครอบครัวของแดนกำลังดีลอยู่ นั่นก็คือการจากไปของ ‘ไบรอัน’ ลูกชาย หรือพี่ชายคนโตของเดซี่ ซึ่งอายุเพียง 17 ปี ไบรอันนั้นรู้สึกผิดหวังที่พ่อแม่ไม่ยอมให้เขาย้ายไปอยู่กับแฟนที่รักมากซึ่งกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น เลยตัดสินใจกินยาเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมกับแฟน แต่ในตอนสุดท้ายแฟนสาวกลับรอดชีวิตแต่ไบรอันไม่ ซึ่งเรื่องราวมาคล้ายกับเรื่องของโรมิโอและจูเลียต

คนที่มีปัญหาหนักที่สุดกับเรื่องนี้คือแดน เขาเป็นคนที่ได้เห็นไบรอันนอนเสียชีวิตและแฟนสาวของลูกรอดชีวิตมาเพียงคนเดียว หลังจากนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีจากบทสนทนาทุกอย่างที่เกี่ยวกับไบรอัน บางครั้งก็แสดงอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียวมากจนทำให้แชรอนและเดซี่ไม่สามารถพูดถึงไบรอันไปด้วย 

และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เดซี่มีปัญหากับที่โรงเรียนเพราะต้องการจะระบายอารมณ์ออกทางอื่น ในตอนหลังเธอก็เปิดใจว่า “เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้รู้สึกเศร้า ทั้งที่เธอเศร้าตลอดเวลา” เธอและแม่อยากพูดถึงไบรอันมากเพราะความคิดถึง แต่กลัวว่าถ้าพูดออกไปพ่อ(แดน) จะลุกหนีหรือโมโห ทำให้ทั้งสองต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกแย่

และสิ่งนี้ส่งผลให้ทั้งครอบครัวไม่เคยได้รับการเยียวยา ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากความเศร้าและความอาลัยนี้เลยแม้จะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว

ต่อมาแดนก็ยังคงเข้าร่วมกลุ่มแสดงละครต่อ อาจเพราะทำให้เขารู้สึกว่าได้คิดถึงอย่างอื่นดูบ้าง แล้วไปๆ มาๆ แดนก็ดันต้องมาลองสวมบทเป็นโรมิโอ

ซึ่งทำให้เขาต้องพยายามทำความเข้าใจตัวละครนี้ นั่นหมายความเขาก็จะได้ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกชายของเขาตัดสินใจในวันนั้น

แม้มันจะยากลำบากมากแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เหมือนแดนได้รับการเยียวยาจากสิ่งนี้ กลายเป็นวิธีที่ทำให้เขาได้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มที่จะพูดถึงมันออกมา เริ่มกล้าที่จะโอบกอดความเศร้า ความโกรธ ความเสียใจทั้งหมดเอาไว้ว่ามันเป็นส่วนนึงของกระบวนการที่จะก้าวผ่านมันไป 

ในตอนท้าย ครอบครัวของแดนต้องไปไกล่เกลี่ยกับครอบครัวแฟนสาวของไบรอัน ซึ่งความตั้งใจแรกของครอบครัวแดนคือต้องการเอาเรื่องครอบครัวนั้นที่ปล่อยให้ลูกสาวสามารถใช้ยาอันตรายและทำให้ลูกชายของเขาตายไป

ตอนนี้เป็นตอนสำคัญที่เฉลยเหตุการณ์ทุกๆ อย่าง ทำให้เราเข้าใจทุกการตัดสินใจของแดน เดซี่ และแชรอนตลอดทั้งเรื่อง และเป็นครั้งแรกที่แดนเปิดใจและพูดถึงเรื่องไบรอันออกมา เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนหัวโบราณที่ไม่เก็ทการบำบัดจิตใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดถึงมันอีก ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้ลูกชายไปอยู่กับแฟน เพราะรู้สึกว่าไบรอันยังเป็นเด็กอยู่ อายุยังไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจห้ามไม่ให้ไบรอันเจอกับแฟนสาวอีก

เขาบอกว่ามันยากมากที่จะพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่ทำ แต่เขาก็พยายามคิดว่าทั้งสองคนจะรู้สึกแย่แค่ไหนนะถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น แล้วก็คิดว่ามันก็คงไม่ง่ายถ้าเรื่องมันกลับกัน (ถ้าไบรอันไม่ได้เป็นฝ่ายจากไป)

 แดนบอกว่า “เขารู้สึกโกรธแฟนไบรอันและครอบครัวของเธอ  โกรธไบรอัน และรวมถึงตัวเขาเองด้วย” เขาเปิดเผยอีกว่า “รู้สึกเหมือนจิตใจแตกสลาย เขาไม่ได้เสียใจที่แฟนของลูกตื่นขึ้นมา เขาแค่อยากให้ไบรอันตื่นขึ้นมาด้วยเหมือนกัน” ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจไม่เอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะเริ่มเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ในที่สุดแดนก็สามารถมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของลูกชายตัวเองโดยไม่ตัดสินได้แล้ว

เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เรารู้สึกว่าสำหรับเราแล้วเหมือนหนังได้มาเล่าให้ฟังในอีกมุมนึงว่าครอบครัวของโรมิโอกับจูเลียตอาจมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกๆ วัยรุ่นของพวกเขาเลือกที่จะจากไปเพราะความรัก

และเหมือนหนังได้มาตอกย้ำความสำคัญของการเปิดใจยอมรับให้ทุกๆ อารมณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเข้ามาในตัวเอง เพื่อที่จะก้าวผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง เพราะถ้าหากเราเก็บไว้แล้วคิดจะหนี ไม่ยอมทำความเข้าใจการสูญเสียที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่แดนทำ วันนึงมันก็จะย้อนกลับมาหาเราและเรียกร้องให้เราทำความเข้าใจมันอยู่ดี 

เราเลยตีความไปเองว่าชื่อเรื่อง Ghostlight อาจหมายถึงวิญญาณของโรมิโอกับจูเลียต หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือเรื่องราวการสูญเสียที่ยังคงตามมาหลอกหลอนแดนจากการที่พยายามวิ่งหนีมันมาตลอด แต่เมื่อเราเริ่มทำความเข้าใจมัน แสงนั้นมันก็อาจไม่ใช่ผีที่เราต้องวิ่งหนีก็ได้

Tags:

ครอบครัวการสูญเสียGhostlightภาพยนตร์ความสัมพันธ์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Thelma (2024) : คุณยายสุดเท่ปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้
Social Issues
7 November 2024

วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้

เรื่อง The Potential

  • การขยายการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนในการกำหนดนโยบายการศึกษานั้นเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู ผู้ปกครอง หรือชุมชน เพื่อให้เกิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและผู้ปฏิบัติจริงๆ โดยไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ของการมีส่วนร่วม
  • การจัดการศึกษาที่ตอบสนองความหลากหลายของผู้เรียน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ด้อยโอกาส เช่น เด็กต่างชาติพันธุ์ เด็กยากจน หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นธรรมและเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของทุกคนก็สำคัญไม่แพ้กัน
  • เราควรปรับเปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติในการจัดการศึกษา โดยเน้นที่การสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการพัฒนาครูให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ

“เรารู้อะไรเกี่ยวกับการศึกษาบ้าง มีอะไรที่ยังไม่รู้ รวมถึงมีประเด็นคำถามใดที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบการศึกษาไทยให้ก้าวไปข้างหน้า” 

คือคำถามตั้งต้นจากหน่วยบูรณาการประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Agenda Team : SAT) ด้านการศึกษาและการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่ได้ชวนเหล่านักวิชาการ นักปฏิบัติ นักจัดกระบวนการเรียนรู้จากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคการศึกษามาร่วมกันตีโจทย์เขียนบทความและเปิดประเด็นมุมมองใหม่ๆ ต่อระบบการศึกษา เพื่อหาคำตอบและกรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาไทยแบบไร้รอยต่อ 

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการจัดเสวนาเกี่ยวกับบทความวิชาการจากโครงการฯ เชิญนักวิชาการผู้เขียนบทความมาแลกเปลี่ยนชุดความรู้ และจุดประกายมุมมองใหม่ต่อการศึกษาไทย ในงานสัมมนาวิชาการ Thailand Education Forum ครั้งที่ 2 ‘10 โจทย์ใหญ่ ก้าวต่อไปการศึกษาไทยไร้รอยต่อ’ ซึ่งนอกจากจะเผยให้เห็นกับดักทางความคิดและวิธีปฏิบัติที่เปรียบเสมือนมุมมืดของระบบการศึกษาไทยแล้ว ยังชวนให้เรามองหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ไปพร้อมๆ กัน

ขยายการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย เปิดความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการศึกษา 

วรดร เลิศรัตน์ 101 Public Policy Think Tank กล่าวว่า ในโครงการ SAT ได้ร่วมเขียนบทความเรื่องการขยายการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วยเสียในกระบวนการนโยบายด้านการศึกษา เนื่องจากที่ผ่านมามีโอกาสทำงานวิจัยเกี่ยวกับนโยบายด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ได้พูดคุยกับเยาวชน ซึ่งเวลาคุยจะพยายามเก็บข้อมูลถึงความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาด้วยวิธีการที่หลากหลาย 

“เราสำรวจเยาวชนกว่า 20,000 คนทั่วประเทศ มีการเปิดให้เยาวชนเขียนเรื่องเล่า ชีวิต ความคิดและความฝันของเขามาให้เราอ่าน ซึ่งมีเด็กเขียนเข้ามา 500-600 คน พบว่าหนึ่งในความฝันที่สำคัญที่สุดของเด็กและเยาวชนไทย คือ ความฝันที่จะถูกรับฟัง โดยไม่ถูกปิดกั้น ไม่ถูกตั้งแง่ ไม่อคติ” 

วรดร เลิศรัตน์

เมื่อมีการนำข้อมูลผลสำรวจด้านคุณค่าและทัศนคติของเยาวชนมาวิเคราะห์ พบว่า เด็กและเยาวชนในประเทศไทยมีคุณค่าและทัศนคติที่หลากหลายมาก ทั้งในเชิงสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม แต่ในความหลากหลายนั้น พวกเขามี ‘จุดร่วม’ บางอย่าง 

“ไม่ว่าจะเป็นเด็กกลุ่มไหนก็ตาม พวกเขาเชื่อตรงกันว่าสังคมควรมีพื้นที่ให้เขาแสดงออกซึ่งความคิดความเห็นได้อย่างอิสระและปลอดภัย การแสดงความเห็นของเขาควรได้รับการคุ้มครองว่าจะไม่ถูกกดทับ ไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ หรือน่าหวาดกลัว”

ที่สำคัญหากถามถึงเรื่องรอบตัวที่เด็กอยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุด คำตอบคือ ‘ระบบการศึกษา’

“เราพบว่าเด็กและเยาวชนสนใจประเด็นเกี่ยวกับการศึกษามาก เพราะเขาต้องใช้ชีวิตหลายชั่วโมงต่อวันในรั้วโรงเรียน แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น เด็กและเยาวชนกลับยังถูกรับฟังผ่านระบบการศึกษาน้อยมาก ซึ่งหากพิจารณาต่อไปจะพบว่าตัวกระบวนการและนโยบายทางการศึกษายังไม่ได้เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วม เพราะแม้แต่ครู ผู้ปกครอง ท้องถิ่น ชุมชนต่างๆ หรือภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ก็ยังมีอิทธิพลต่อนโยบายการศึกษาในความเป็นจริงได้จำกัดมาก”

การกำหนดนโยบายการศึกษาที่ผ่านมา วรดรมองว่า กระบวนการก่อตัวขึ้นมาของนโยบายนั้นมีความคลุมเครือไม่ต่างจากเมฆหมอก หรือเหมือนอยู่ในกล่องดำ (Black box)  

“นโยบายในระดับชาติหรือมหภาค เราพูดกันว่ามีการก่อตัวมาจากระบบราชการระดับสูง หรือบางทีก็ไม่แน่ใจว่ามาจากไหนกันแน่ อาจจะก่อตัวมาจากข้าราชการในระดับเขตพื้นที่ หรือครูที่มีตำแหน่งบริหาร แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังขาดการเปิดให้คนในวงกว้างที่ได้รับผลกระทบ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมเท่าที่ควร” 

หลายครั้งจะเห็นว่านโยบายส่วนใหญ่ถูกกำหนดจากเบื้องบนลงสู่ล่าง โดยไม่ได้สอบถามหรือรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติหน้างาน  

“สิ่งหนึ่งที่ขาดมาก คือ ทำอย่างไรให้เด็ก นักเรียน ครู หรือคนที่อยู่ในชุมชนมีส่วนร่วมและมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายได้มากขึ้น

เราไม่สามารถสร้างเมืองที่เป็นธรรม หรือการศึกษาในเมืองที่เป็นธรรมได้ ถ้าไม่นับรวมเสียงของคนทุกกลุ่มเข้ามากำหนดวิสัยทัศน์ว่าจะพัฒนาเมืองใปในทิศทางไหน

เราจะไม่สามารถกำหนดโจทย์ที่มีคำตอบที่ถูกต้องในเชิงนโยบายได้ ถ้าไม่ฟังว่าปัญหาหน้างานเป็นอย่างไร และการแก้ไขมีข้อจำกัดแค่ไหน ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ครูสะท้อนถึงปัญหาเกี่ยวกับนโยบายที่ถูกถ่ายทอดลงไป หรือบอกได้ว่าต้องการอะไร จะทำให้เขามีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของนโยบาย สร้างความไว้วางใจ สร้างสปิริตของการร่วมมือกันและทำให้นโยบายการศึกษาหนึ่งๆ ขับเคลื่อนไปได้”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นเรื่อง ‘การมีส่วนร่วม’ เป็นนโยบายที่ถูกพูดถึงมาตลอด แต่กลับไม่สามารถเกิดได้จริง วรดรบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือลักษณะของผักชีโรยหน้า เสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้มีคนรับฟังอย่างมีความหมายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ 

“จากการเขียนบทความทำให้ได้ตกผลึก จัดระเบียบความคิด และพบว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างเจอปัญหาที่หลากหลายร่วมกันอยู่ เรื่องแรกคือ ‘อำนาจ’ โดยโครงสร้างของสถาบันในกระบวนการนโยบายการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่อปรับพฤติกรรมบางอย่างของคนที่อยู่ในกระบวนการทั้งหมด ซึ่งทำให้เขาไม่กล้าที่จะส่งเสียงและมีส่วนร่วมในกระบวนการ รวมถึงยังทำให้อำนาจของราชการส่วนกลางหรือในระดับโรงเรียนมีอำนาจเหนือครู นักเรียน หรือว่าชุมชนอย่างไม่สมดุล” 

โครงสร้างเหล่านี้ผลิตซ้ำเหมือนวัฒนธรรมแบบทวยราษฎร์ คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีปากมีเสียงหรือมีสิทธิอะไร เป็นเพียงแค่คนที่คอยปฏิบัติตามเท่านั้น 

“มันทำลาย ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ในการที่นักเรียน ครู หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ จะกล้าแสดงออกถึงความต้องการของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ยังมีวัฒนธรรมอื่นๆ ที่แฝงฝังอยู่ บ้านเรามีระบบราชการที่ราชการเป็นใหญ่ มีความไม่ไว้ใจประชาชนสูงมาก นโยบายหลายอย่างถูกสั่งลงมาเป็นลำดับขั้น ครูรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงกลไกเล็กๆ รวมทั้งยังมีเรื่องของระบบอุปถัมภ์ ครูต้องพึ่งพาผลประเมิน ครูเข้าใหม่ที่เด็กๆ รู้สึกว่าเข้าถึงได้มากที่สุดด้วยช่องว่างของอายุ แต่กลายเป็นว่าครูกลุ่มนี้อาจเป็นครูที่เปราะบางมากที่สุด เพราะถูกกดทับการมีส่วนร่วมหรือคุกคามการมีส่วนร่วม” 

จากการทำงานเรื่องเด็ก เยาวชนและครอบครัว ภายใต้ทุนสนับสนุนของ สสส. ยังทำให้วรดรพบว่า สาเหตุที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษามากขึ้นในทุกวันนี้อาจไม่ใช่เพียงเพราะ ‘ความยากจน’ 

“จากการลงภาคสนาม เราพบว่า จริงๆ แล้วหากเด็กและครอบครัวพยายามปากกัดตีนถีบสักหน่อย เขาพอจะเรียนได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเลือกไม่ไปเรียนคือ เขารู้สึกว่าสิ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียนไม่ตอบโจทย์”

อีกเรื่องสำคัญที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายการศึกษา คือ ‘ความเหลื่อมล้ำ’ 

“ความเหลื่อมล้ำทำให้คนบางคนมีทุนในการมีส่วนร่วมได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเรื่องการประชุมผู้ปกครอง ที่เราอาจมองว่าเป็นพื้นที่ให้ข้อมูลบางอย่างกับกระบวนการกำหนดนโยบายการศึกษาระดับย่อยๆ ได้ ซึ่งผู้ปกครองที่ต้องหาเช้ากินค่ำ เขาอาจจะไม่สามารถมาร่วมได้ หรือเด็กบางคนก็ไม่สามารถส่งเสียงได้อย่างมีคุณภาพและมีคนรับฟัง เราต้องเข้าใจว่าเวลาที่เราพูดอะไรแล้วคนเชื่อถือ บางครั้งต้องมีทุนทางสังคมบางอย่าง หลายครั้งเขาพยายามบอกว่าเปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมได้ แต่ไม่ได้มีการเติมทุนเพื่อลดเหลื่อมล้ำ หรือเติมทรัพยากรบางอย่าง เพื่อให้ทุกๆ คนมีส่วนร่วมได้”

นอกจากนี้ความเหลื่อมล้ำเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับนโยบายการศึกษาในหลายเรื่อง และมีความสำคัญมาก

“ยกตัวอย่างเรื่องครู เราจะเห็นว่าภายใต้การปฏิรูปการศึกษาช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างผลักภาระไปอยู่ที่คนแต่ละคน หน่วยแต่ละหน่วยในระบบการศึกษามากขึ้น ซึ่งรวมถึงตัวครูที่ต้องหาทางจัดการกับปัญหาในห้องเรียน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะส่งเสียงดังในระบบการศึกษาได้มากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ได้มีความพยายามสร้างช่องทางบางอย่างที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค”

โรงเรียนที่จัดการเรียนรู้เพื่อสร้างต้นทุนทางวัฒนธรรม

อีกหนึ่งผู้ร่วมเสวนา ผศ.ดร.พิสิษฎ์ นาสี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าถึงบทบาทการทำงานของตนเองว่าได้ร่วมกับ SAT ตั้งแต่ปีแรกทำเรื่องเด็กชายขอบ พอปีที่ 2 ตั้งเป้ามาสู่บริบทเมืองมากขึ้น เพราะช่วงหลังทำงานกับเด็กในเมือง และพบว่าความเป็นชายขอบไม่ได้อยู่เฉพาะพื้นที่ชายขอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมืองด้วย นอกจากนี้ในเมืองยังมีเด็กข้ามชาติ เด็กชาติพันธุ์ รวมทั้งส่วนตัวสนใจในเรื่องการศึกษาพหุวัฒนธรรม จึงอยากเปิดพื้นที่ให้เห็นว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้เรียนในบริบทเมืองอยู่ตรงไหน เป็นอย่างไร และมีโจทย์อยู่ตรงไหน 

ผศ.ดร.พิสิษฎ์ นาสี

“ปกติเมื่อพูดเรื่องเมืองจะเป็นคู่ตรงข้ามกับบ้านนอก ชนบท บนดอยหรือพื้นที่ชายขอบของรัฐชาติ เหมือนกับว่าในเมืองพรั่งพร้อมหลายอย่างทั้งทรัพยากร คุณภาพทางการศึกษา แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในเมืองมีความเหลื่อมล้ำเยอะมาก ยังมีเด็กชายขอบกลุ่มใหญ่ๆ มีโรงเรียนระดับกลาง ระดับเล็ก ที่โอบรับเด็กหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งส่วนใหญ่คือ ‘คนจนเมือง’ มีตั้งแต่กลุ่มลูกหลานแรงงานข้ามชาติ แรงงานราคาถูก เป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีความเหลื่อมล้ำทับซ้อนในเรื่องสภาพเศรษฐกิจ”

ทุกวันนี้ ‘เมือง’ นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางความเจริญ ยังเป็นศูนย์กลางของความเหลื่อมล้ำด้วย อีกทั้งในภาคเหนือยังพบว่ามีปัญหาเรื่อง ‘สิทธิพลเมือง’

“จากการสำรวจเมื่อปี 62 พบว่า โรงเรียนในเทศบาลนครเชียงใหม่ 11 โรงเรียน มีเด็กต่างวัฒนธรรม ถึง 15 ชาติพันธุ์ ถ้าศึกษาลึกเข้าไปจะพบว่ามีความเหลื่อมล้ำต่ำ-สูงในสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิพลเมืองอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนเล็กหรือขนาดกลาง เราจะทำอย่างไรให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ที่ไม่ใช่หมายถึงแค่สิทธิการเข้าถึงการศึกษาเพียงอย่างเดียว”

ที่ผ่านมามีนักคิดกล่าวถึงแนวคิดเรื่อง ‘เมืองยุติธรรม หรือ Just City’ ซึ่ง ผศ.ดร.พิสิษฎ์ บอกว่า Just City ต้องมาคู่กับ ‘Just Education หรือ การศึกษาที่เป็นธรรม’ ด้วย

“การศึกษาที่เป็นธรรมไม่ใช่แค่ความเท่าเทียม ทุกครั้งที่พูดถึงการศึกษาในเมือง โจทย์ส่วนใหญ่ คือ ‘การเข้าถึง’ เป็นการพูดเรื่องสิทธิว่า นี่ไงเราให้สิทธิทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กสลัม ชาติพันธุ์ ชายขอบ คนจนที่ไหนก็มีสิทธิเข้าสู่การศึกษาทั้งหมด แต่ยังไม่ได้พูดเรื่องคุณภาพการศึกษา”

การพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองยุติธรรมต้องควบคู่กับการพัฒนาการศึกษา ซึ่งต้องมีความเฉพาะเจาะจงกับแต่ละพื้นที่ด้วย เพราะแต่ละพื้นที่มีโจทย์ไม่เหมือนกัน  

“ยกตัวอย่างโจทย์ของจังหวัดเชียงใหม่ที่พบว่ามีความหลากหลายของชาติพันธุ์สูงมาก แล้วก็มีความทับซ้อนกับสถานะทางสังคม และสถานะสิทธิพลเมือง เพราะเป็นเด็กไร้รัฐ ไร้สัญชาติเต็มไปหมด โรงเรียนที่โอบรับ เช่น โรงเรียนเทศบาล 11 โรงเรียน รวมถึงโรงเรียนของ สพฐ.จำนวนมาก มีเด็กกลุ่มนี้ถึง 70-80 % ปรากฏว่าเมื่อรับเข้ามาแล้ว เราจะทำอย่างไรให้การศึกษามีคุณภาพ ซึ่งคนละเรื่องกับสิทธิการรับเข้ามา”

อีกทั้งปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ‘วิธีคิดยังซ้ำรอยเดิม’ เมื่อโรงเรียนส่วนใหญ่ยังมองเพียงว่าทำอย่างไรให้การศึกษามีลักษณะที่เท่าเทียมกับโรงเรียนอื่นๆ 

 ผศ.ดร.พิสิษฎ์ กล่าวว่า โรงเรียนในเมืองมีการแข่งขันสูงมาก เพราะมีโรงเรียนระดับท็อปอยู่ในนั้น ปรากฏว่าเมื่อโรงเรียนระดับท็อปพยายามขยับคุณภาพการศึกษาในกระแสหลัก ยิ่งกลายเป็นว่าโรงเรียนชายขอบมีคุณภาพตกต่ำมากขึ้นไปอีก ผู้ปกครองมีความคาดหวังต่ำ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าโรงเรียนเหล่านี้ ผู้ปกครองคนชนชั้นกลางปฏิเสธที่จะนำลูกเข้าโรงเรียน 

“สิ่งที่เราพบเจอ คือ โรงเรียนเหล่านี้ก็ยิ่งพยายามบอกว่าจะสร้างความเท่าเทียม No Child left Be hide โดยพยายามเสริมสิ่งที่เด็กไม่มี เพื่อจะทำให้เด็กและโรงเรียนมีผลงานที่ดีขึ้น ด้วยการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาติว จ้างคนติวเพื่อให้คะแนนเยอะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ สิ่งนี้คือระบบวิธีคิดที่มีปัญหา เพราะไปซ้ำรอยเพื่อที่จะแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ในขณะที่ทุนของเด็กซึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย ตรงกับความจำเป็น รวมถึงวัฒนธรรมทุนของแรงงานข้ามชาติ-คนจนเมือง กลับถูกละเลยในการเอามาใช้เป็นต้นทุนในการพัฒนาการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี ในต่างประเทศมีการเคลื่อนไหวในเรื่อง Urban Education มา 30 กว่าปีแล้ว ผศ.ดร.พิสิษฎ์ มองว่า การหยิบยกแนวคิดนี้ขึ้นมาอาจเป็นเครื่องมือให้คุณครู ผู้บริหาร รวมถึงผู้ออกแบบนโยบายการศึกษา และผู้ออกแบบนโยบายการพัฒนาเมืองต่างๆ นำไปปรับใช้ในการขยับให้โรงเรียนที่โอบรับเด็กๆ ได้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ในการจัดการศึกษาและผสมผสานกับทุนที่เด็กมี 

“เมื่อพูดถึงพหุวัฒนธรรม แต่เดิมครูชอบไปติดอยู่กับการสำรวจเด็กด้านวัฒนธรรม ภาษา ศาสนาความเชื่อ การแต่งกาย อาหาร เป็นกับดักในการที่จะสร้างภาพแทนทางวัฒนธรรม มันแน่นิ่ง ซึ่งชุมชนเมืองไม่ว่าจะเป็นเด็กข้ามชาติ หรือเด็กชาติพันธุ์ล้วนมีพลวัต เพราะเขาอยู่ในเมือง บางคนเกิดในเมืองหรืออยู่ในเมืองมา 30-40 ปี เขาก่อสร้างชุมชน สร้างทุนรูปแบบอื่นๆ เต็มไปหมด มันมีพลวัตของมันอยู่ แต่ถูกละเลยที่จะขยับเข้ามาสู่พื้นที่ของการเรียนรู้ จึงเป็นโจทย์ที่อยากนำเสนอ”

‘สอนอย่างไทย’ เหรียญสองด้านของการสอนนักเรียนเป็น ‘คนเก่ง ดี มีคุณธรรม’

จากประสบการณ์การทำงานเรื่องการสอนคนเก่ง ดี มีคุณธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนคำคลาสสิกในระบบการศึกษาไทย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ Lift Education Thailand เขียนบทวิเคราะห์ถึงอีกด้านของเหรียญ เขาบอกว่าถ้าเราเดินเข้าไปในทุกโรงเรียนจะมีป้ายใหญ่ๆ ที่แสดงวิสัยทัศน์ของแต่ละโรงเรียนตั้งอยู่ แต่ป้ายเหล่านั้นกลับไม่เคยถูกนำมาในเชิงการสร้างประสบการณ์ให้เด็กๆ สัมผัสได้ว่ามีคุณค่า เรามักมองว่าการสร้างสภาพแวดล้อมในโรงเรียนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ได้มีกระบวนการถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นอย่างมีคุณภาพไปที่ตัวเด็ก 

อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์

“ยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นจุดตั้งต้นให้ผมมีไฟกับการทำงานเรื่องนี้มาตลอด 6 ปี ผมมีโอกาสทำวิจัยครั้งแรกกับบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งป้ามล-ทิชา ณ นคร เป็นผู้อำนวยการอยู่ ผมสัมภาษณ์เด็กคนหนึ่งถึงเหตุผลที่ทำให้เขาหลุดออกจากระบบการศึกษาในขณะที่เขาอยู่เพียง ม. 2  เด็กคนนี้เล่าว่า เขาเป็นเด็กหลังห้อง มีพฤติกรรมเกเร ครูไม่ค่อยชอบหน้า วันหนึ่งได้รับการบ้านจากครู แต่บังเอิญว่าวันนั้นขี่มอเตอร์ไซค์แล้วล้ม แขนหัก ต้องใส่เฝือก แต่ก็อยากทำการบ้านชิ้นนี้ส่งครู ด้วยความแขนหัก ใส่เฝือก ลายมือที่เขียนการบ้านก็แย่ไปด้วยเป็นธรรมดา 

วันรุ่งขึ้นเขาไปส่งการบ้าน ครูที่รับการบ้านอ่านงานแล้วบอกว่า “นี่ลายมือหรือลายตีนที่เขียนส่งมา” ทั้งที่ครูเห็นว่าเขาใส่เฝือกอยู่ เขาบอกว่า วันนั้นเป็นวันที่เขารู้สึกว่าห้องเรียนไม่ใช่ที่ของเขา ห้องเรียนแคบเกินไปที่จะเอาคุณค่า คุณธรรม หรืออะไรหลายๆ อย่างที่เขาเอื้อมไม่ถึงมาทำให้รู้สึกว่าอึดอัด แล้วหลังจากนั้นอีก 3 เดือน เขาไปฆ่าคนตายข้างนอก เราจะเห็นวงจรของความเสียหายว่ามหาศาลขนาดไหน ไม่ใช่แค่ตัวเด็ก ครอบครัวของเด็ก แต่ยังมีครอบครัวของเหยื่อ บาดแผลทางสังคม และการเยียวยาของรัฐที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือทั้งที่ป้องกันได้”

จากเรื่องราวดังกล่าวเป็นหัวเชื้อที่ผลักดันให้อรุณฉัตรหันกลับมาศึกษาว่า ยังมีวิธีการใดอีกบ้างที่จะช่วยสื่อสารเรื่องการมีคุณธรรม การมีวินัย และความดี นอกจากการทำให้เด็กแข่งขันกันในเรื่องที่บางคนเอื้อมไม่ถึง รวมถึงการเปลี่ยนการสื่อสารเรื่อง Social Identity มาสู่ Individual Identity หรือการพูดแค่อัตลักษณ์ของเด็กแต่ละคน 

อรุณฉัตรกล่าวว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีโอกาสทำงานกับครูมากกว่า 2,000 คน หลายๆ ครั้งเราตั้งคำถามว่ามีวิธีอย่างไร เพื่อให้เด็กคนหนึ่งมีแรงจูงใจเชิงบวกต่อการเติบโต ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณธรรม เชื่อไหมว่าโดยส่วนใหญ่ครูยังตอบแค่ว่า เขารู้จักแค่ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘การสั่นกระดิ่งแล้วหมาน้ำลายไหล’ ผมถามว่ารู้ไหมว่าก่อนสั่นกระดิ่งแล้วหมาน้ำลายไหล เขาทำอะไรกับหมาตัวนั้นก่อน ครูบอกว่าจำไม่ได้ ฉะนั้นแม้กระทั่งการออกแบบตัวล่อในทางทฤษฎีของอิวาน พาฟลอฟ ก็ถูกลืมไปแล้ว เขาจำได้แค่ว่าให้รางวัลแล้วลงโทษเป็นเครื่องมือที่มีอยู่ในมือและทำได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า โดยทั่วไปการบริหารห้องเรียนถูกดำเนินการด้วยทฤษฎีนี้เป็นหลัก 

“วันนี้เรากำลังพูดถึงการศึกษาที่ต้องการสร้าง Autonomuast Learner คือ ผู้เรียนเป็นเจ้าของความรู้ ผู้เรียนสามารถสืบเสาะข้อมูลเอง สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราพูดถึงการสร้างทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 พูดถึงเรื่องการทำให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุข ไม่มีภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล ความเครียด ที่กำลังเป็นปัญหารุนแรงในสุขภาพจิตวัยรุ่น ณ ปัจจุบัน ซึ่งเรื่องที่พูดถึงทั้งหมดมีรากเดียวกัน คือ ‘รูปแบบของปฏิสัมพันธ์ที่ถูกกล่อมเกลาอยู่ในห้องเรียน’” 

แน่นอนว่า เด็กที่ไม่ถูกมองเห็นในชั้นเรียนย่อมมีความเครียดและวิตกกังวลเป็นธรรมดา แต่แล้วจะทำอย่างไรให้ครูมองเห็นพวกเขาเหล่านั้น ในเมื่อครูมีไม้บรรทัดแบบเดียวกันว่าคนที่ครูมองเห็นหรือชื่นชมต้องมีคุณธรรมตามแบบที่กำหนดไว้เท่านั้น 

อรุณฉัตรกล่าวว่า ครูจะยกตัวอย่างและชื่นชมเด็กเหล่านี้ให้กับเด็กคนอื่นๆ เห็นว่า ถ้าอยากถูกมองเห็นต้องทำแบบนี้ ในจิตวิทยาเชิงบวกมี Caracter strengths ถึง 24 ตัว ซึ่ง 1 ใน 24 ตัวมีเรื่องของ Humor คือ การมีอารมณ์ขัน ดังนั้นเด็กที่สร้างเสียงหัวเราะในห้องเรียน ถ้าครูไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์ สิ่งที่ครูทำคือ “เธอพูดอะไรเลอะเทอะ” แล้วเด็กคนนี้ก็จะไม่สามารถสัมผัสถึงคุณค่าที่เขามีตรงนั้นได้เลย ทั้งที่ถ้าครูสามารถใช้ประโยชน์จากเขา เช่น ก่อนคาบเรียนให้เด็กมาเล่าเรื่องตลกสัก 5 นาที เพื่อจูงใจให้เพื่อนอยากเรียนวิชานี้ แล้วเรามาสร้างการเรียนรู้กัน จากนั้นอีก 45 นาทีที่เหลือก็ตั้งใจเรียนเลยนะ ถ้าทำแบบนี้ได้ เป็นกระบวนการที่ Practical มาก แล้วไม่ใช่ไม่มีตัวอย่าง มีเครื่องมือเหล่านี้เยอะแยะไปหมด แต่ครูไม่เรียนรู้ ครูไม่ถูกสร้างการเรียนรู้เรื่องนี้ 

“ผมกำลังพูดถึงว่าการสอนอย่างไทยไม่ใช่แค่เราพูดถึงเชิงระบบ  การสอน จริงๆ แล้วคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน การสอนคือกระบวนการที่คนหนึ่งคนกำลังนำพาประสบการณ์ให้เกิดขึ้นในห้องเรียน และทำให้ผู้เรียนสามารถเติบโตและงอกงามได้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถูกเรียนรู้น้อยไป ในแง่ของ Practical เรากำลังพูดถึงการสร้างครูด้วยวิชาการแข็งๆ การสร้างครูด้วยเครื่องมือที่ปฏิบัติไม่ได้จริง”

นอกจากนี้ อรุณฉัตรยังได้ทำงานกับครูใน ‘โครงการ FamSkool (FamSkool Positive Family Engagement Project)’ ซึ่งได้รับทุนจาก สสส. โดยการชวนครูไปทำงานร่วมกับครอบครัวของนักเรียนแบบเชิงบวก 

อรุณฉัตรกล่าวว่า ประเทศไทยนำวิธี ‘การเยี่ยมบ้าน’ มาใช้ด้วยเหตุผลเพื่อลดเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาได้จริง แต่การเยี่ยมบ้านของต่างประเทศเป็น ‘การสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก’ การเข้าไปออกแบบวิธีการพูดคุย เพื่อให้เกิดการเลี้ยงดูที่ดีขึ้น ขณะที่การเยี่ยมบ้านของเรา ครูรู้แค่ว่ามีนโยบายการเยี่ยมบ้าน และมีเช็กลิสต์มาให้ถามเด็ก เช่น เด็กจนไหม เด็กแว้นไหม ซึ่งแบบนั้นไม่ใช่การเยี่ยมบ้านที่เป็น Practical Point ที่ต่างประเทศทำแล้วได้ผล เราไม่มี Practical ให้ครูเลย ไม่มี Guideline และครูก็ไม่รู้ หลายคนที่เข้ามาในระบบการเทรนนิ่งของเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือสิ่งที่ครูเพิ่งรู้ และถ้ารู้ตั้งแต่วันแรกๆ ในวันที่ครูได้เข้ามาเป็นครูนั้น ครูคงไม่เสียใจขนาดนี้ เด็กหลายคนมีบาดแผล ผมเชื่อว่าโดยเจตนาครูไม่ได้ตั้งใจสร้างบาดแผลให้เด็ก แต่ว่าบาดแผลเหล่านั้นถูกสร้างจริงๆ 

“สิ่งเหล่านี้ฆ่าวิธีการ Autonomuast Learner แบบชัดเจนมาก ถ้าเด็กไม่รู้สึกดีกับการเรียนจริงๆ ทำไมเขาต้องขยันเรียน ถ้าเด็กไม่รู้สึกดีกับการมีเป้าหมายหรือความงอกงามของตัวเอง ถ้าเข้าไม่รู้สึกว่าพรุ่งนี้เขาดีกว่าวันนี้ได้ ทำไมเขาต้องตั้งใจเรียน เราบอกว่าอยากให้เด็กตั้งใจเรียน อยากให้เป็นพหูสูตรมากเลย อยากให้เรียนหลายสิ่งอย่าง แต่สุดท้ายกลับมาตายรัง เราสร้างแรงจูงใจให้เขาไม่ได้”

ต้องยอมรับว่าโลกในทุกวันนี้ไม่มีขั้นบันได และไม่มีเส้นทางที่การันตีได้ว่าเด็กจบการศึกษาทุกคนจะมีงานทำ การกล่อมเกลาด้วยวลีเดิมๆ ที่ว่า “เรียนจบแล้วจะมีงานทำ” ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นให้เด็กได้ต่อไป

อรุณฉัตรบอกอีกว่า แรงจูงใจสร้างไม่ได้ เพราะหลักฐานไม่มี โดยเฉพาะวัยรุ่น การที่เขาจะเกิดคุณธรรมขึ้นมาในตัวเอง ไม่ได้เกิดจากการสอน หรือว่าการให้รางวัล แต่เกิดจากการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องของหลักการว่าทำไมเขาถึงทำเรื่องนี้แล้วดี เพราะฉะนั้นข้อเสนอหนึ่งในบทความที่เขียน คือ เราบอกอยากให้เด็กมีคุณธรรม มีความสุข แต่เราไม่มีเวลาในการสร้างเรื่องนี้เลย เรามี Home room วันละ 15 นาที แต่ 15 นาทีทำอะไรได้ แค่เด็กขึ้นมาในห้องก็หมดเวลาแล้ว  

Home room ไม่เป็น Home room แต่เป็นเวลาในการสร้างการบ้าน ทำงานที่ค้าง เพราะครูไม่รู้จะ Home room อย่างไร การเยี่ยมบ้านไม่ใช่เยี่ยมบ้าน การประชุมผู้ปกครองเป็นการอธิบายนโยบายให้พ่อแม่ฟัง

“คำพูดหนึ่งที่ผมได้มาจากป้ามล คือ บ้านเราชอบมีเป้าหมาย แต่ไม่มี How to และ How to มัน Practice ไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงพยายามนำเสนอว่า ขอเปลี่ยน How to และให้ความสำคัญกับ How to มากขึ้นหน่อย How to ที่เป็นเรื่องที่จับต้องได้จริงๆ และเกี่ยวกับชีวิตของเด็ก เกี่ยวกับแรงจูงใจที่จะทำให้เขาอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

กระบวนการนโยบายศึกษาของไทยยังต้องรอการพัฒนา

ในฐานะนักรัฐศาสตร์ที่มีพื้นฐานความรู้เรื่องรัฐและการใช้อำนาจรัฐ ผศ.ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หยิบจับประเด็นอำนาจรัฐที่ทำงานอยู่ในพื้นที่การศึกษามานำเสนอ โดยใช้มุมมองแบบนักรัฐศาสตร์ในการเปิดพื้นที่คำถามเพื่อทำความเข้าใจนโยบายการศึกษา 

“นโยบายการศึกษาในที่นี้คือเครื่องมือของอำนาจรัฐ โดยมองว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มที่หนึ่ง คือ ผู้บริหารการศึกษาภาครัฐ กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ปฏิบัติ ซึ่งเรานิยามว่าผู้ปฏิบัติเป็นคนทำงานในโรงเรียน ครู ผู้อำนวยการ และบุคลากรต่างๆ ทั้งนี้เราตั้งต้นว่าคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีความเข้าใจต่อกระบวนการนโยบายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร รวมไปถึงว่ากระบวนการนโยบายมีช่องว่างทางความรู้อะไรที่น่าจะหยิบมาเป็นโจทย์วิจัย เพื่อที่สุดท้ายจะนำไปสู่คำถามใหญ่ว่า ทำอย่างไรนโยบายการศึกษาของเราจะมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาได้มากกว่านี้” 

ผศ.ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์

ทั้งนี้ วงจรนโยบายหนึ่งๆ ในทางรัฐประศาสนศาสตร์นั้น เริ่มจาก ‘การนิยามปัญหา’ 

ผศ.ดร.วงอร กล่าวว่า รัฐจะเข้ามาก็ต่อเมื่อสังคมมีปัญหาบางอย่างที่อยากแก้ไข ซึ่งในบริบทปัจจุบันเราบอกว่า เราต้องการสร้างคนให้มีชีวิตที่อยู่ในโลกที่กำลังพลิกผัน เป็นตัวอย่างโจทย์ใหม่ๆ ที่นำมาสู่การนิยามว่า สังคมยังต้องการอะไร ถ้าปล่อยให้สังคมดำเนินไปอย่างนี้จะไม่สามารถแก้ปัญหาจุดนั้นได้ จึงเป็นที่มาว่าต้องมีนโยบายการศึกษาเข้ามา ซึ่งบทบาทของรัฐเข้ามาเพราะต้องการทำให้สังคมดีขึ้นกว่าที่จะดำเนินไปเฉยๆ อันนี้เข้าสู่จุดเรียนรู้แรก 

“สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากการตกผลึก คือ นโยบายที่ผลิตออกมาต้องทำให้สังคมดีขึ้น ต้องมีความรับผิดรับชอบต่อผู้เรียนหรือสังคม ไม่ใช่มีแล้วถือว่าแค่มี รัฐที่ไม่มีประโยชน์กับประชาชน ต้องกลับมาตั้งคำถามกับประชาชนว่ามีไปเพื่ออะไร

ในประเด็นถัดมาจะเข้าสู่ตัวบทความ เราแบ่งวงจรนโยบายว่า การนิยามปัญหา เมื่อสังคมมีปัญหา คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือคนที่มีอำนาจรัฐในมือจะนิยามปัญหาอะไรออกมา จากนั้นก็เป็นการก่อตัวของการเลือกเครื่องมือที่จะเอามาแก้ปัญหานั้น ถัดจากนั้นเป็นเรื่องของการตัดสินใจนโยบาย อาจจะอยู่ในเวทีของรัฐสภา หรือในพื้นที่ของกระทรวงศึกษาธิการ จากนั้นก็จะเป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติ หรือ Policy Implementation ตามด้วยการประเมินผลนโยบาย Policy evaluation และจบที่การตัดสินใจอีกทีว่าเราจะ Terminate นโยบายนั้นหรือจะให้ยังคงอยู่ต่อไป 

ทั้งหมดนี้จะเป็นภาพรวมของตัวบทความที่เราได้เขียนไว้ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับฝั่งของบุคคลที่มีบทบาทกับการบริหารระบบการศึกษา ซึ่งในแต่ละจุดเราคิดว่ายังมีช่องว่างอยู่ และได้ทบทวนว่าเรารู้อะไรแล้วบ้างในแต่ละสถานะ”

Tags:

นักเรียนเยาวชนการจัดการศึกษาการปฏิรูปการศึกษาการเรียนการสอนนโยบายการศึกษา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Movie
    Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ถอดบทเรียน 4 โมเดล พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ สู่อนาคตการศึกษาที่ยั่งยืน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

Ecopedagogy การสอนสิ่งแวดล้อมคือการตั้งคำถามถึงความไม่เป็นธรรม
Education trend
6 November 2024

Ecopedagogy การสอนสิ่งแวดล้อมคือการตั้งคำถามถึงความไม่เป็นธรรม

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • มุมมองแบบ ‘สิ่งแวดล้อมนิยม’ ที่มองว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมล้วนมาจากน้ำมือมนุษย์ที่บริหารจัดการไม่ดี ใช้อย่างไม่รู้คุณค่า เราจึงต้องกอบกู้โลกให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ด้วยการปลูกป่า และลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น มักถูกนำมาสอนในโรงเรียนไทย แต่จริงหรือ? ที่มนุษย์ทุกคนล้วนทำลายสิ่งแวดล้อม?
  • การสอนสิ่งแวดล้อมควรเชื่อมโยงไปกับมิติเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ร่วมด้วย ไปจนถึงตั้งคำถามถึงใจกลางของความไม่เป็นธรรมและการกดขี่
  • ครูและนักการศึกษาจะต้องสร้าง ‘การตระหนักรู้เชิงวิพากษ์ทางสิ่งแวดล้อม’ ให้กับนักเรียนถึงความรุนแรงที่เป็นอยู่ ที่วางอยู่บนคำถามที่ว่า “ใครกันที่ได้ประโยชน์ ใครกันที่ต้องจ่าย ใครกันต้องทนทุกข์ จากการเสื่อมโทรมสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่”

เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านสำนักข่าว BBC ได้เผยแพร่บทความสารคดี ‘ภาวะโลกเดือด: ทำไมคนจนได้รับผลกระทบในหน้าร้อนนี้มากที่สุด’ เนื้อหาในบทความบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนจนเมืองในช่วงเวลาที่อุณหภูมิร้อนระอุ ที่ต่างต้องออกไปทำงานกลางแจ้งในเวลากลางวันและไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่มในเวลากลางคืน ความอ่อนล้าเริ่มสะสมเป็นทวีคูณ ดังที่วิมล หญิงวัย 56 ปี ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า “ช่วงนี้กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน กว่าจะได้หลับก็ตี 2-ตี 4 ที่อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว วันไหนไม่มีใครจ้างไปทำงาน เราก็อาจได้หลับไปถึง 8-9 โมง แต่ปกติแล้วเราก็ต้องออกไปทำงาน ไม่มีใครได้นอนถึง 8 โมง 9 โมง” เพราะไม่เช่นนั้นแล้วตัวเธอเองก็จะไม่มีรายได้มาประทังชีวิตในวันต่อไป

ด้วยรายได้ต่ำ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศจึงเป็นเรื่องที่เกินเอื้อม การอาบน้ำเป็นทางเลือกที่ต้นทุนต่ำที่สุดที่พอจะช่วยบรรเทาความร้อนได้ชั่วคราว ขณะเดียวกันผู้คนที่พอมีกำลังในการจ่ายได้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาก็ต้องแลกมากับบิลค่าไฟที่สูงลิ่วเป็นเงาตามตัวในประเทศที่พลังงานล้วนราคาแพง มากไปกว่านั้น เรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านบทความสารคดีนี้ ก็บอกกับเราว่า ลึกๆ เข้าไปในวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ได้ยินจนชินหูอย่างภาวะโลกร้อน ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางทางสังคมที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงภายใต้วิกฤติการณ์นี้

จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราสามารถมองประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมแยกขาดจากมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้จริงหรือ? ในฐานะครูและนักการศึกษา เราควรสอนหรือจัดการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างไร?   

ปัญหาการสอนสิ่งแวดล้อมแบบ ‘สิ่งแวดล้อมนิยม’ ในโรงเรียนไทย

การสอนสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักวางอยู่บนมุมมองแบบ ‘สิ่งแวดล้อมนิยม’ (environmentalism) ที่มองว่า วิกฤติปัญหาสิ่งแวดล้อมล้วนมาจากน้ำมือของมนุษย์ที่บริหารจัดการไม่ดี ใช้อย่างไม่รู้คุณค่า ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องเรียนรู้ที่จะเป็น ‘พลเมืองรักษ์โลก’ ต้องตระหนักถึงผลกระทบ บริหารจัดการทรัพยากรให้ไปเป็นไปอย่างยั่งยืน และลดพฤติกรรมการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น วิชาสังคมศึกษาในโรงเรียนเองก็ได้รับบทบาทสำคัญในส่วนนี้ โดยมุ่งปลูกฝังนักเรียนให้รู้จักบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ต้องตระหนัก อนุรักษ์ และวางแผนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสม ขณะเดียวกันทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ออกแคมเปญโครงการโรงเรียนสีเขียวหรือห้องสีเขียวมาให้รางวัลโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลูกฝังทัศนคติและความรู้ความเข้าใจในการบริหารและอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน 

แนวการสอนที่เราคุ้นเคยกันดีจึงก็มักอยู่ในท่วงทำนองที่ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อมและสรรพสิ่ง เราจึงต้องกอบกู้โลกให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ด้วยการปลูกป่า และลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น   

แต่จริงหรือ? ที่มนุษย์ทุกคนล้วนทำลายสิ่งแวดล้อม? 

เป็นคำถามสำคัญที่ รศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พูดถึงในปาฐกถา ‘ความหวังและการเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายในมิติสิ่งแวดล้อมและการเมืองโครงสร้าง’ ในปีที่ผ่านมา อาจารย์เก่งกิจได้ชี้ว่าอันที่จริงเราทุกคนไม่ได้สร้างวิกฤติสิ่งแวดล้อม มีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ควบคุมทรัพยากร สร้างวิกฤติขึ้นมาและโยนความผิดให้เป็นเรื่องของเราทุกคน เราจึงหันหน้ามาโทษกันเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าในระบบทุนนิยม ธรรมชาติได้ถูกแปลงให้เป็นมูลค่าและกำไร ที่ซึ่งพวกเขาสามารถควบคุมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ ทำให้ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันได้ การปล่อยมลพิษ จึงทำได้ง่ายและถูกกฎหมายเพียงจ่ายเงินให้กับรัฐเท่านั้น   

ขณะเดียวกันชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่ไม่มี ‘หลังพิง’ ไร้สวัสดิการที่เป็นตาข่ายรองรับในระบบทุนนิยมก็กลายเป็นคนที่ต้องรับภาระหนักที่สุดเมื่อเกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อม อาทิ มลพิษ p.m 2.5 ไม่ใช่แค่ร่างกายเราที่ป่วยจากการสูดอากาศเข้าไป แต่ยังหมายถึงชีวิตเราที่ไม่สามารถทำงานได้ รายได้ที่ลดลง การดูแลคนรอบข้างก็ทำได้ยากขึ้น หรืออย่างเรื่องราวของวิมลที่พูดถึงไปในตอนต้น ที่แม้ตัวเธอเองจะอ่อนเพลียด้วยนอนหลับไม่เต็มอิ่มจากอากาศที่ร้อนระอุ แต่การจะพักผ่อนให้ร่างกายได้สดชื่นก็ดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะนั่นหมายถึงการที่วิมลจะไร้รายได้ที่จะมาขับเคลื่อนชีวิตให้ตัวเองได้เดินต่อไป ดังนั้น วิกฤติสิ่งแวดล้อมจึงแยกไม่ขาดจากมิติทางเศรษฐกิจ เหล่านี้ล้วนมีผลต่อเงื่อนไขการใช้ชีวิตของเราแทบทั้งสิ้น    

อาจพูดได้ว่า นี่คือ ‘การเมืองของการสอนสิ่งแวดล้อม’ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเด็นหรือวิกฤติการณ์ทางสิ่งแวดล้อมนั้นถูกเลือกที่จะสอนหรือไม่สอนอย่างไร ในโรงเรียนไทยดูเหมือนว่า มุมมองแบบสิ่งแวดล้อมนิยมที่แยกขาดออกจากมิติอื่นๆ ได้กลายเป็นแนวทางหลัก มากกว่าจะให้ความสำคัญกับการมุมมองที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมไปกับมิติเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ร่วมด้วย ไปจนถึงตั้งคำถามถึงใจกลางของความไม่เป็นธรรมและการกดขี่

ไปให้ไกลกว่ามุมมองสิ่งแวดล้อมนิยม   

เพื่อที่จะสอนสิ่งแวดล้อมไปให้ไกลกว่ามุมมองสิ่งแวดล้อมนิยม Greg William Misiaszek นักการศึกษาเชิงวิพากษ์ จากมหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Paulo Freire (อ่าน Paulo Freire เพิ่มเติมได้ใน ‘เสี้ยวส่วนความทรงจำของ Paulo Freire ใน Pedagogy of Hope’) ได้เสนอ ‘Ecopedagogy’ ในฐานะศาสตร์การสอนนิเวศวิทยาเพื่อความเป็นธรรมขึ้นมาเป็นทางเลือก Misiaszek มองว่าปัญหาการสอนสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่การติดอยู่ในกรอบแนวทางการสอนสิ่งแวดล้อมนิยมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน (Education for sustainable development: ESD) เขายอมรับว่าแม้ ESD จะมีการเชื่อมโยงระหว่างสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่บ้าง แต่ก็ละเลยพื้นที่ของความเป็นการเมือง โดยปราศจากการตั้งคำถามว่าการพัฒนานั้นเป็นของใคร ใครกำหนด ใครได้และใครเสียประโยชน์จากการเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม (environmental ill) ภายใต้ร่มของการพัฒนา (Development) เวลาพูดถึงการพัฒนา มันอาจเป็นเพียงแค่ D ตัวใหญ่ที่เป็นมุมจากบนลงล่าง ไม่ได้ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมว่าใครเป็นคนกำหนดการพัฒนา ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การการผลิตซ้ำความรุนแรงและการกดขี่ให้คงอยู่ มากกว่าจะเปิดไปสู่การตัดสินใจร่วมกันทางประชาธิปไตยในฐานะ d ตัวเล็กที่ทุกคนกำหนดชะตาชีวิตร่วมกัน 

Misiaszek เสนอว่า ความรุนแรงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา ไม่ควรมองแยกจากกัน 

ครูและนักการศึกษาจะต้องสร้าง ‘การตระหนักรู้เชิงวิพากษ์ทางสิ่งแวดล้อม’ (critical environmental literacy) ให้กับนักเรียนถึงความรุนแรงที่เป็นอยู่ ที่วางอยู่บนคำถามที่ว่า “ใครกันที่ได้ประโยชน์ ใครกันที่ต้องจ่าย ใครกันต้องทนทุกข์ จากการเสื่อมโทรมสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่” 

สำหรับ Misiaszek คำถามเช่นนี้จะทำให้เราเห็นชัดว่าอะไรคือความรุนแรงและการกดขี่ที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง เขาเล่าถึงชีวิตของเขาขณะหนึ่งในปักกิ่ง ท่ามกลางสภาพอากาศย่ำแย่ที่เต็มไปด้วยมลพิษ เขาสังเกตเห็นว่า ชีวิตของคนจำนวนหนึ่ง (รวมถึงตัวเขา) ก็เพียงซื้อเครื่องปรับอากาศ ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ แล้วก็ทำงานต่อได้โดยไม่ต้องออกไปข้างนอก แต่ขณะเดียวกันคนจำนวนมากต้องออกไปทำงานกลางแจ้งโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย นี่คือความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นที่ถูกผลิตซ้ำ อันจริงหากเราตั้งคำถามต่อไปว่า ในช่วงที่สภาพอากาศเต็มไปด้วยมลพิษ ใครกันที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน ใครที่ต้องทำงานกลางแจ้ง เขาเหล่านั้นคือใคร เราอาจเห็นมากกว่าความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น แต่ปรากฏภาพของเพศ และเชื้อชาติให้เห็นด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เพื่อที่จะสร้างนักเรียนที่ตระหนักรู้ วิเคราะห์ และวิพากษ์ถึงความความไม่เป็นธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (socio-environmental injustices) ทั้งในระดับท้องถิ่นและโลก Misiaszek เห็นว่า เราจำเป็นต้องสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียนในการทำความเข้าใจประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยหลากหลายศาสตร์เพื่อเอื้อให้เกิดมุมมองที่ลุ่มลึกและสายตาที่กว้างไกล 

ตัวอย่างเช่น ครูอาจลองใช้เลนส์การมองแบบ ‘ชนชั้น’ มาใช้เป็นคำถามหลักที่พานักเรียนวิเคราะห์ว่าคนกลุ่มต่างๆ เผชิญหน้ากับวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมอย่างไรภายใต้ความความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียม อาทิ ปัญหามลพิษ p.m 2.5 และอากาศที่ร้อนระอุซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่นักเรียนเผชิญ ครูอาจตั้งคำถามภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่เช่นนี้ ใครคือคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ใครกันที่ต้องจ่ายแพง เพราะอะไร และใครยังคงได้ประโยชน์จากมัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มากกว่านั้น ในประเด็นมลพิษ ครูอาจชวนนักเรียนสืบสาวสาเหตุหมอกควันที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปหรือระบบเกษตรพันธะสัญญา เพื่อศึกษาว่าเหล่านี้นำมาสู่ปัญหาที่เป็นอยู่ได้อย่างไร หรือในสารคดีล่าสุดจาก THE STANDARD ‘เปิดโปงความจริงเรื่องรีไซเคิล การฟอกเขียวที่แหกตาผู้บริโภคมา 50 ปี’ ก็มีการชวนตั้งคำถามว่าภายใต้ แคมเปญการรีไซเคิล   แท้จริงแล้วใครได้ประโยชน์จากสิ่งนี้กันแน่ ที่ครูสามารถหยิบมาเป็นสื่อการสอนในการพูดคุยเกี่ยวกับมายาคติการจัดการสิ่งแวดล้อมได้

Misiaszek บอกกับเราว่า ท้ายที่สุดการตระหนักรู้เชิงวิพากษ์อย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องชวนนักเรียนระดมความคิดในการสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อความไม่ยุติธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยที่ทุกคนจะได้เป็นเจ้าของอำนาจและทรัพยากรในการติดสินร่วมกันควบคู่ไปกับการฉายให้เห็นถึงพลังบวก ความหวัง และการต่อสู้ของผู้คนที่ต่อสู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงมาก่อนด้วย

ถึงเวลาแล้วที่การสอนสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องตั้งคำถามถึงความไม่ยุติธรรม!

ใครได้ประโยชน์? ใครกันที่ต้องจ่าย? ใครกันต้องทนทุกข์? จากการเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่

อ้างอิง

หนังสือ Educating the Global Environmental Citizen Understanding Ecopedagogy in Local and Global Contexts เขียนโดย Greg William Misiaszek

ภาวะโลกเดือด: ทำไมคนจนได้รับผลกระทบในหน้าร้อนนี้มากที่สุด

https://www.bbc.com/thai/articles/cd1v8p89vlmo

ปาฐกถา “ความหวังและการเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย ในมิติสิ่งแวดล้อมและการเมืองโครงสร้าง” โดย รศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ

https://www.lannernews.com/10022566-01/

3 วิธีการสอน ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก (จากมุมมอง critical pedagogy)

https://inskru.com/idea/-Nzc0bV6aweRQf395IVo/#google_vignette

เปิดโปงความจริงเรื่องรีไซเคิล การฟอกเขียวที่แหกตาผู้บริโภคมา 50 ปี | KEY MESSAGES #162

https://www.youtube.com/watch?v=l1DbMTGu70s

Tags:

ผลกระทบการจัดการศึกษาEcopedagogyสิ่งแวดล้อมนิยม (environmentalism)มลพิษความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นการตั้งคำถาม

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ครบรอบ 20 ปี หนังสือ ‘ไชลด์เซ็นเตอร์ สำนวนซ้ำซากของการศึกษาไทย’ กับคำถามที่ว่า การศึกษายังคงเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เปิด ‘ไพ่มูดูชีวิต’ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ กับ ‘อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร’ เพจวารีแห่งใจ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    ‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘หนังพาไป’ 13 ปีของคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ ที่ชวนเรามองโลกมุมต่าง ตั้งคำถามกับตัวเองและเติบโตไปด้วยกัน

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel