Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: November 2022

สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ
How to enjoy life
30 November 2022

สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • สำหรับเด็กการเรียนดนตรีเป็นสิ่งที่ดี แต่ความแตกต่างระหว่างดนตรีศึกษากับดนตรีบำบัดคือ ดนตรีศึกษาเป็นการสอนเพื่อหวังผลลัพธ์ทางดนตรี ส่วนดนตรีบำบัดต้องการประโยชน์ในด้านอื่น ที่เด็กอาจต้องการการช่วยเหลือ บำบัด หรือฟื้นฟู 
  • คุยเรื่องดนตรีในหลากหลายมิติกับ อาจารย์ปุ๊ – กฤษดา หุ่นเจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาดนตรีบำบัด​ วิทยาลัย​ดุริยางค​ศิลป์​ มหา​วิทยาลัย​มหิดล​ ผู้เคยเป็นครูดนตรีที่สอนทั้งเด็กทั่วไปและเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียน
  • ธรรมชาติของดนตรีเป็นการสื่อสารและการแสดงออกของอารมณ์ เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ผ่านความเข้าใจในกระบวนการเรียนดนตรีได้ไม่ยาก ถ้าวางแผนการสอนสิ่งนี้ควบคู่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน เด็กย่อมได้ประโยชน์มาก

“ยังจำได้ไหม ตอนที่เธอท้อ ตอนที่เธอล้า หัวใจแทบหมดแรง

คำพูดของฉัน บอกเธอวันนั้น ให้เธอโปรดเข้มแข็ง

เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ 

ปล่อยความทุกข์ลอยไปกับทะเลและฟ้าสีคราม…” 

(เพลง ‘จี๊ป Jeep’ – วัชราวลี)

ในวันที่รู้สึกหมดแรง เชื่อว่าหลายคนคงมีเพลงที่ย้อนกลับไปฟังแล้วช่วยเยียวยาความรู้สึกได้ อย่างเช่นเพลงนี้ที่เป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่มาคอยตบหลังตบไหล่ให้กำลังใจเราได้เสมอ

เช่นเดียวกับประโยคสุดคลาสสิกของ Dick Clark ที่ว่า ‘Music is the soundtrack of your life’  ดนตรีเป็นเสียงที่อยู่ในชีวิตเราตั้งแต่เด็กจนโต เป็นเสียงที่บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตใครบางคนแม้ในเวลาที่เขาไม่อาจพูดมันออกมาได้

“ดนตรีคือวัฒนธรรม และวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากคน คนเราเข้าใจบางอย่าง และอธิบายบางอย่างนั้นโดยใช้ดนตรี ดนตรีจึงเป็น expression (การแสดงออก) ที่มนุษย์ใช้มาตลอด” อาจารย์ปุ๊ – กฤษดา หุ่นเจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาดนตรีบำบัด​ วิทยาลัย​ดุริยางค​ศิลป์​ มหา​วิทยาลัย​มหิดล​ ชวนมองดนตรีในมุมที่มากกว่าความบันเทิง

ด้วยความที่เคยเป็นครูดนตรีที่สอนทั้งเด็กทั่วไปและเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียน ก่อนจะมาเป็นอาจารย์ด้านดนตรีบำบัด (Music Therapy) พ่วงด้วยความรู้เฉพาะทางด้านจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy: CBT) ทำให้อาจารย์ปุ๊ได้สัมผัสกับผู้คนหลากหลาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนทั่วไปและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งดนตรีได้ถูกนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเพื่อผ่อนคลาย เยียวยาจิตใจ หรือเสริมสร้างความมั่นใจ รวมไปถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อค้นพบศักยภาพของตัวเอง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และเด็กที่มีบาดแผลจากการเลี้ยงดูของครอบครัวด้วย

สำหรับเด็กไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าครอบครัว

หากไล่ดูเสียงสะท้อนของเด็กและวัยรุ่นในโซเชียลมีเดียต่างๆ ต้องยอมรับว่าความทุกข์หรือปัญหาสุขภาพจิตที่ส่งผลมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นติดเทรนด์อันดับต้นๆ แทบทุกแพลตฟอร์ม

อาจารย์ปุ๊ยืนยันจากประสบการณ์การทำงานทั้งในฐานะครูสอนดนตรีและนักจิตบำบัดว่า “สำหรับเด็ก…ไม่มีอะไรที่สำคัญเกินกว่าครอบครัว ไม่มีอะไรที่จะรุนแรงหรือมีความหมายกับเขามากเท่ากับครอบครัวอีกแล้ว”

 “ไม่ว่าเขาจะได้รางวัลจากการแข่งขันหรือไม่ สอบได้คะแนนเท่าไหร่ ลึกๆ แล้วเด็กก็หวังอยากให้ครอบครัวได้รับรู้ ภูมิใจและเข้าใจเขา ครอบครัวจึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก เป็นทั้งปัจจัยปกป้องหรืออาจเป็นบ่อเกิดที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตของเขาก็ได้”

อาจารย์ปุ๊มองว่าจุดเริ่มต้นของปัญหา ส่วนหนึ่งอาจมาจากมายาคติของสังคมที่เห็นว่า ‘เด็กคือผ้าขาว’ ที่อาจทำให้พ่อแม่มองไม่เห็นความแตกต่างหลากหลายของเด็ก ความหวังดีและวิธีการเลี้ยงดูแบบเดิมๆ ไม่ได้เกิดผลเชิงบวกกับเด็กทุกคน ซึ่ง ‘ผ้าขาว’ เป็นความจริงบางส่วน เพราะจริง ๆ แล้วเด็กก็มีสีสันของตัวเขาเอง

“เด็กนั้นไม่ใช่ผ้าขาว เด็กมีผ้าสีของตัวเองติดตัวมา เด็กบางคนเลี้ยงยากตั้งแต่เกิด ร้องไห้ง่าย หลับไม่เป็นเวลา หงุดหงิดง่าย กับเด็กบางคนก็เลี้ยงง่าย หลับง่าย อารมณ์ดี ซึ่งเกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางชีวภาพที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความเข้มแข็งทางจิตใจที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่อาจเลี้ยงลูกบางคนได้ดี แต่กับลูกบางคนกลับไม่รู้วิธีจัดการ บางครั้งใช้การควบคุม การทำโทษกับลูกคนพี่ได้ผลและนำมาใช้กับคนเล็กเพราะหวังอยากให้ได้ดีเช่นกัน แต่พอถึงจุดหนึ่งกลับกลายเป็นเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมา”

เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งในครอบครัวจะกลายเป็นความทุกข์ที่เด็กต้องแบกรับ ซึ่งหากพ่อแม่สังเกตเห็นความผิดปกติ และยอมรับว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของปัญหา เคยผิดพลาดและพร้อมแก้ไข ก็จะพาเขาก้าวต่อไปสู่อนาคตได้อย่างแข็งแรงแม้จะมีบาดแผลเล็กๆ ในใจบ้างก็ตาม 

“หลายครอบครัวที่ครั้งหนึ่งพ่อแม่รู้แล้วว่าปัญหาบางส่วนมาจากตนเอง แล้วยอมรับ เปลี่ยนแปลง จัดการใหม่ ปัญหาต่างๆ ที่เคยมีก็ย่อมดีขึ้นได้ ไม่ต้องขอโทษลูกก็ได้ เปลี่ยนให้ลูกเห็น ไม่ซ้ำเติมลูก ให้กำลังใจ หากพูดให้กำลังใจลูกไม่เป็น ก็แสดงออกทำให้เขาเห็นความรักจากเรา นั่งรับฟัง กอดลูกบ้าง…ถ้าทำได้ พูดไม่เป็นไม่เป็นไร 

ลึกๆ แล้ว เด็กอยากทำทุกสิ่งที่ดีให้พ่อแม่ได้รับรู้ อยากเป็นที่รักของครอบครัวอยู่แล้ว ซึ่งพ่อแม่ควรทำความเข้าใจเรื่องนี้ เป็นพื้นฐานที่สำคัญ”

การยอมรับและเข้าใจจึงเป็นประตูบานแรกที่นำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหา แต่กระบวนการเยียวยาหลังจากนี้อาจต้องใช้จิตแพทย์ นักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดให้คำแนะนำ โดยดนตรีบำบัดถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ได้ผลดีจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผ่านมา

“ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเร็วแล้วรีบมาขอรับการปรึกษา แพทย์ก็อาจจะช่วยพ่อแม่ค้นพบได้เร็ว ว่าน้องมีสภาวะอย่างไร น้องมีปัญหาในเรื่องอะไร และจำเป็นที่จะต้องให้การช่วยเหลือในเรื่องอะไร ในปัจจุบันก็พบว่าปัญหาสุขภาพจิตเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่เด็ก 

ผมว่าปัจจุบันสังคมตื่นตัวเรื่องนี้มาก การที่เด็กหนึ่งคนมาปรึกษา มาขอคุย บอกว่าหนูเครียดไม่ไหวแล้ว อยากพบจิตแพทย์ จัดเป็นปรากฏการณ์นะ ในยุคก่อนอาจไม่ค่อยมีอย่างนี้ แต่ในยุคนี้มี และอาจจะเป็นสัญญาณที่ Healthy ก็ได้ว่าเด็กตื่นตัว เริ่มเข้าใจตัวเอง หาวิธีการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต นั่นแปลว่าเด็กยอมรับ รับรู้และอยากจะจัดการแก้ไขปัญหาของตนเองใช่มั้ยครับ”

สำหรับปัญหาที่เด็กๆ มาปรึกษา อาจารย์ปุ๊บอกว่านอกจากเรื่องครอบครัว ก็มีปัญหาสังคมในโรงเรียน ปัญหาการปรับตัวกับเพื่อน ปัญหาการถูกกลั่นแกล้ง (Bully) ต่างๆ ซึ่งหลายกรณีมีความซับซ้อน 

“เราต้องพยายามมองว่าช่วยอะไรได้บ้าง ในแต่ละด้านของเด็ก อะไรที่จะทำให้เขากลับมาเข้าใจปัญหาที่เกิด เข้าใจตนเองและบริบท รวมไปถึงกลับมาฟังก์ชัน (function) ที่การเรียนหรืออนาคตของตนเอง”

ความรักในดนตรีช่วยให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง

นอกจากให้คำปรึกษาพูดคุยในฐานะนักจิตบำบัดแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของอาจารย์ปุ๊คือการสอนดนตรี รวมไปถึงการทำงานร่วมกับทีมนักดนตรีบำบัดของสาขาดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดนตรีจึงเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในหลายๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นเด็กทั่วไปหรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

“สำหรับเด็กไม่ว่ากลุ่มไหน การเรียนดนตรีเป็นสิ่งที่ดีโดยตัวเองอยู่แล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างดนตรีศึกษากับดนตรีบำบัดก็คือ ดนตรีศึกษาจะเป็นการสอนเพื่อหวังผลลัพธ์ทางดนตรี ร้อง เล่น เต้น ฟัง สนุกกับดนตรี ส่วนดนตรีบำบัดไม่ได้มุ่งหวังเพื่อให้ผู้รับการบำบัดเล่นดนตรีได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องการประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่เด็กอาจต้องการการช่วยเหลือ บำบัด หรือฟื้นฟู เช่น ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม การสื่อสาร เป็นต้น”

ยกตัวอย่าง การสอนดนตรีสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อาจารย์ปุ๊มองว่าควรจะสอนให้เขารักและซาบซึ้ง (Appreciate) กับดนตรีได้ เล่นดนตรีเป็นกิจกรรมยามว่าง มีดนตรีเป็นส่วนสำคัญของชีวิตได้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้เด็กเห็นคุณค่าในตนเอง 

“โดยเฉพาะเด็กที่มีความต้องการพิเศษทางด้านสมองหรือสติปัญญาที่อาจมีข้อจำกัดอย่างมากที่ทำให้เรียนหนังสือหรือใช้ชีวิตในสังคมได้ยาก หาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จกับเรื่องต่างๆ ได้ยาก พอเด็กเล่นดนตรี ตีกลองหรือเล่นเปียโนได้บ้าง มันเกิดความหมายกับเขามาก เขาสามารถใช้ดนตรีในการดำเนินชีวิตแต่ละวันได้ได้อย่างมีคุณค่ามีความหมาย ซึ่งสิ่งนี้เป็นวัตถุประสงค์ด้านดนตรีศึกษาที่ไม่ได้มุ่งบำบัดด้านใด ด้านหนึ่ง”

ในส่วนของพ่อแม่เองก็คงต้องพิจารณาให้เหมาะสมว่าจะสนับสนุนให้ลูกเรียนดนตรีหรือเข้าสู่กระบวนการดนตรีบำบัด ถ้าคาดหวังว่าลูกมาเรียนแล้วต้องเล่นดนตรีได้ก็อาจเป็นการเรียนดนตรี แต่ถ้าต้องการรักษาหรือฟื้นฟูก็ควรจะมาฝึกดนตรีบำบัด จะได้ไม่เสียเวลา 

“ครูสอนดนตรีเด็กพิเศษอาจไม่ใช่นักดนตรีบำบัด แล้วบางครั้งนักดนตรีบำบัดก็อาจจะดูเหมือนสอนดนตรี แต่จริงๆ เขากำลังทำบำบัดอยู่ ถ้าเข้าใจตรงนี้ จะทำให้ทั้งสองวิชาชีพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ในมุมของครูสอนดนตรีเด็กพิเศษ อาจารย์ปุ๊ชวนทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่า แม้แต่เด็กที่มีความต้องการพิเศษก็เหมือนผ้าที่มีหลายเฉดสีเฉพาะตัวเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เด็กบางคนควบคุมนิ้วได้ยากซึ่งอาจเกิดจากข้อจำกัดของความพิการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ก็อาจไม่เหมาะกับเครื่องดนตรีที่มีความละเอียดอ่อนสูง เช่น ไวโอลิน แต่อาจจะเหมาะกับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ ที่เหมาะสมกับข้อจำกัด หรืออาจเป็นการร้องเพลงก็ได้ รวมไปถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษบางคนก็อาจไม่เหมาะเครื่องดนตรีที่มีเสียงสูง แหลม ซึ่งเป็นเรื่องระบบประสาทของเด็ก ผู้สอนต้องประเมินให้ได้ว่าผู้เรียนมีความต้องการพิเศษประเภทไหน มีข้อจำกัดและความต้องการอะไรเป็นพิเศษ เพื่อเอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม

“ประโยชน์ของการเรียนดนตรีสำหรับเด็กพิเศษมีอีกเยอะมาก นอกจากทักษะด้านดนตรี อาจมีผลพลอยได้อย่างอื่น เช่น ทักษะด้านภาษา เด็กสามารถเรียนรู้คำศัพท์ในเพลงได้ ทักษะสังคมที่เขาจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อน รวมถึงได้มีโอกาสแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งดนตรีเป็นกิจกรรมไม่กี่อย่างที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษสามารถทำได้พร้อมกับเพื่อนๆ แม้ผู้บรรเลงจะมีระดับความสามารถที่แตกต่างกัน แต่ในความยืดหยุ่นของดนตรีก็ทำให้สามารถบรรเลงบทเพลงเดียวกันได้ ขึ้นและจบพร้อมกันได้ เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือสังคมได้ (Sense of Belonging) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สำคัญมากในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ”

ถึงที่สุดแล้วเพื่อไม่ให้การเรียนดนตรีที่ควรเป็นการเติมความสุขความภาคภูมิใจให้กับเด็กแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ความกดดัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรรับฟังเสียงจากความต้องการของเด็กเป็นหลัก โดยไม่เอาความคาดหวังของตัวเองเป็นที่ตั้ง

  “อยากให้พ่อแม่หยุดคิดสักครู่นึง แล้วถามตัวเองและเด็กก่อนว่าจะเรียนดนตรีอะไร เรียนที่ไหน แล้วเป้าหมายของเขาคืออะไร ไม่ใช่ทุกคนจะต้องไปเป็นแชมเปี้ยน ต้องไปเล่นระดับโลก เป้าหมายคือความรักในดนตรีก็เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว ดนตรีควรเป็นสมบัติของคนทุกคน ทุกวันนี้มีโรงเรียนสอนดนตรีที่หลากหลาย พ่อแม่สามารถเลือกให้ตรงกับความต้องการได้ไม่ยาก หรือแม้แต่ซื้อเครื่องดนตรีให้ลูกมาลองหัดเล่น เลือกเรียนบทเพลงที่ไม่ยากมากตามนักดนตรีในยูทูบ คุณพ่อคุณแม่หัดเรียนพร้อมกับลูกก็ได้ ขอแค่ให้เวลา ให้ความสนใจ ทำได้แน่นอนครับ” 

หลักสูตรดนตรีสำหรับเด็กเล็ก เรียนรู้อารมณ์สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ

แม้ทุกวันนี้การเข้าถึงดนตรีจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องยอมรับว่าการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการสร้างคุณค่าพัฒนาทักษะชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้และวิธีการที่เหมาะสม

“สาขาดนตรีบำบัดเรามีแพลนขอทุนวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรดนตรีสำหรับเด็กเล็กที่จะสอดแทรกการเรียนรู้เรื่องอารมณ์ และความสัมพันธ์ของความคิดที่ส่งผลต่อสภาวะอารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy: CBT)  

ที่ทำในวิชาดนตรีก็เพราะว่าธรรมชาติของดนตรีนั้นเป็นการเรียนรู้รูปแบบของอารมณ์ การสื่อสารและการแสดงออกของอารมณ์ เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ผ่านความเข้าใจในกระบวนการเรียนดนตรีได้ไม่ยาก ถ้าเราวางแผนการสอนสิ่งนี้ควบคู่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน เด็กย่อมได้ประโยชน์มาก 

เราเรียกความรู้ความเข้าใจทางจิตใจนี้ว่าเป็น Psychoeducation (สุขภาพจิตศึกษา) สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย ไม่ใช่ตัวการทำลายชีวิตของมนุษย์ ผมคิดว่าสิ่งนี้อาจเป็นความเข้าใจผิดของสังคมมาช้านาน

พ่อแม่บางคนปกป้องลูกจากอารมณ์บางอย่าง ที่เราไปติดชื่อมันว่าเป็นอารมณ์เชิงลบ เช่น อารมณ์โกรธ ‘หนูห้ามโกรธเพื่อนแบบนั้นสิ’ หรืออารมณ์เศร้า ‘เด็กผู้ชายต้องไม่ร้องไห้’ ซึ่งในความเป็นจริง เด็กต้องการความเข้าใจทางอารมณ์ตามพัฒนาการที่เหมาะสม 

การเผชิญกับอารมณ์แต่ละอย่างล้วนเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้น การโกรธก็มีประโยชน์ของมัน เด็กกำลังปกป้องตัวเขาเอง กำลังเข้าใจว่าฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาสิทธิของฉัน เด็กจึงโกรธอย่างเหมาะสมได้ เด็กเศร้าได้ด้วย เศร้าเพื่อรู้ว่าตัวเรากำลังอยู่ในสภาวะแบบนี้ เรากำลังต้องการให้คนอื่นมาช่วยเหลือและได้รู้ด้วยว่าเพื่อนคนไหนที่เข้ามาช่วยมาดูแลเรา ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจ ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ (Empathy) ได้ต่อไป การสอนอารมณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก 

และไม่ใช่ว่าเราต้องมีแต่อารมณ์เชิงบวกในทุกๆ วัน ถ้าเราตกงาน เราทุกข์ใจ เรากังวล เราไม่มีความสุขก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หรือแม้แต่เศร้าบ้าง เหงาบ้าง มนุษย์เราก็คงต้องมี ไม่ใช่ต้องอยู่ในสภาวะความสุขเพียงอย่างเดียว สุข-ทุกข์เป็นของคู่กันแม้จะอยู่กันคนละด้าน เราสอนเด็กๆ ได้ว่าอารมณ์เชิงลบคืออะไร ชื่ออารมณ์แบบไหน และไม่ได้แปลว่าเขาไม่ดีนะ หนูอยู่กับเขาได้ มนุษย์อดทนอยู่กับอารมณ์แบบนี้ได้ และบางครั้งมันก็จำเป็นที่จะต้องเกิด หมาที่เรารักมากตายในเวลาหนึ่ง เราจะรู้สึกยังไง เราก็ควรต้องเศร้าอยู่แล้ว หนูเสียใจได้ ครูหรือพ่อแม่ก็เคยเศร้า เราสอนให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้”

สำหรับช่วงเวลาที่ดีในการสอนเรื่องเหล่านี้ก็คือ ระดับอนุบาลถึงประถมศึกษา และควรเป็นวิชาที่เด็กทุกคนได้เรียนรู้

“เมื่อสอนให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตน เด็กจะเกิดความเข้าใจตนเองต่อไปในอนาคตได้ อย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าฉันกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์อะไรซึ่งจะนำไปสู่การเข้าใจและยอมรับได้ (Make sense) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการป้องกันเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาได้ 

ถ้าถามว่าดนตรีจะช่วยอะไรได้บ้าง ผมคิดว่าด้วยหลักสูตรที่พูดถึงนี้หรือแค่การได้เรียนดนตรี เล่นดนตรี มีใจรักดนตรี ก็ช่วยได้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเป็นการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในระดับที่รุนแรงที่อาจต้องการการบำบัดหรือฟื้นฟู ก็คงต้องออกแรงกันมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิชาชีพอื่นๆ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักดนตรีบำบัด ที่เข้ามาช่วยร่วมกัน รวมไปถึงครอบครัวและครูที่ควรเข้าใจกระบวนการช่วยเหลือนี้ด้วย”

Music for Self Care: เราต่างมีเพลย์ลิสต์เป็นของตัวเอง 

ไม่เฉพาะกับเด็กๆ เท่านั้นที่ดนตรีหรือเพลงเข้าไปทำงานกับความรู้สึกนึกคิด ในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่เอง เราต่างก็มีเพลงที่ได้ฟังแล้วสุข เศร้า เหงา ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งอาจารย์ปุ๊บอกว่าเพลงไม่ได้ ‘ดี’ หรือ ‘ไม่ดี’ ในตัวของมันเอง แต่การนำไปใช้ต่างหากที่ส่งผลกับจิตใจคน

“ผมมีเคสที่สามารถนำมาเล่าได้ เขามีปัญหาครอบครัวในตอนเด็ก แล้วต้องแยกมาอยู่กับญาติ เขาสนิทกับคุณน้ามาก คิดว่าความรักของคุณน้าจะอยู่กับเขาตลอดไป แล้ววันหนึ่งคุณน้าก็ไม่อยู่ ทิ้งเขาไป แต่เขาไม่เข้าใจหรอกกว่า เงื่อนไขชีวิตตอนนั้น ผู้ใหญ่เกิดอะไรขึ้น เขาก็แค่เด็กอนุบาลเอง ซึ่งในวันที่น้าจากไป ตอนที่เขานั่งร้องไห้รอน้ากลับมาอยู่หน้าบ้าน เขาได้ยินเพลงหนึ่งดังมาจากร้านขายเทปคาสเซ็ทที่อยู่ไม่ไกลว่า ‘คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาสักที’ ด้วยความหมายของเพลงที่รุนแรงอยู่แล้ว บวกกับสถานการณ์ที่รอน้ากลับมา รอจนถึงค่ำเลย จนสุดท้ายญาติพากลับเข้าบ้าน แล้วบอกว่าน้าไม่กลับมาแล้ว เขาไม่มาหาหนูหรอก ในความรู้สึกของใจที่แตกสลาย เขาฝังใจ ความรู้สึกนี้มันรุนแรง พอโตขึ้นก็พัฒนากลายมาเป็นวิธีการมองโลกใบนี้และมองตนเอง แล้วกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตตามมา 

เขาบอกว่าเวลาที่ได้ยินเพลงนี้ มันรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เพราะบวกกับอารมณ์ในตอนนั้น บวกความรู้สึกว่าฉันไม่เป็นที่รัก ไม่มีคุณค่า เพลงนี้จึงจัดว่าเป็นเพลงที่กระตุ้นอารมณ์เชิงลบและความทรงจำที่รุนแรงสำหรับเขา ควรระมัดระวัง”

เพราะฉะนั้นบางครั้งเพลงจึงเป็นเหมือนดาบสองคม ขึ้นอยู่กับภูมิหลังของแต่ละคนและการนำไปใช้ อย่างเพลงเศร้า สำหรับบางคนหากฟังตอนที่เศร้าอาจเหมือนเป็นการซ้ำเติม แต่กับอีกหลายคนเพลงเศร้าช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้

“เพราะเพลงเศร้าช่วยให้คนเศร้าเข้าใจได้ว่า ยังมีคนเห็นด้วยกับฉัน ฉันโดนแทงข้างหลังแล้วทะลุถึงหัวใจ ความรู้สึกเจ็บแบบนี้ หรือ โอ๊ย…เจ็บไปทั้งหัวใจทำไมยังทน โอ้..ใช่เลย มันตอบครับว่ามีใครสักคนที่เข้าใจฉัน เวลาที่เรารู้ว่ามีคนเข้าใจเรามันดีมากนะครับ”

แต่อีกด้านหนึ่งต่อให้เป็นเพลงที่มีความหมายเดียวกัน ถ้าวิธีการใช้เพลงมันต่างออกไป เช่น ฟังอยู่ในห้องคนเดียว ฟังแล้วนั่งคิดวนเวียนทั้งวัน ‘ฉันเหมือนคนจะเป็นจะตาย’ มันก็อาจนำพาไปสู่เรื่องที่แย่กว่าเดิมได้

“พอเราวนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้พาตัวเองออกไปพบโอกาสที่จะเจอสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขข้างนอก ไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ทำงาน มันก็ไม่มีประสบการณ์ทั้งความสุขสนุกสนานหรือความสุขจากความสำเร็จ ถ้าเราอยู่แต่ในห้อง อย่างนั้นดนตรีก็อาจไม่เกิดประโยชน์”

ดังนั้น การใช้ดนตรีเพื่อดูแลตัวเอง (Music for Self Care) ในแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชอบและวิธีใช้ แค่ต้องถามตัวเองว่าใช้แล้วเกิดผลอย่างไรกับตัวเรา ถ้าฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ไม่สำคัญว่าต้องเป็นดนตรีประเภทไหน เราสามารถใช้เพลงนั้นกับตัวเองได้เลย

“ผมเองใช้ Preferred Music คือเพลงที่เราชอบ เพลงในช่วงเวลาต่างๆ ของเรา เพราะเรามีประสบการณ์ เรื่องราวอยู่ในนั้น ฟังแล้วก็โอเค …นี่คือเพลงของเรา ฟังแล้วผ่อนคลาย ซึ่งคนอื่นที่ไม่รู้จักก็อาจจะไม่รู้สึกผ่อนคลายเหมือนกันก็ได้”

หรือต่อให้เพลงที่ชอบเป็นเพลงแนวร็อก ฮิปฮอปหรือแร็ปก็มีประโยชน์ทั้งนั้น มีงานวิจัยด้านดนตรีบำบัดในต่างประเทศพบว่านักโทษที่ฝึกแต่งเพลงแร็ป ทำเพลงมาต่อว่าคนนั้นคนนี้ ก็ยังช่วยให้ระบายความโกรธออกมา อารมณ์ดีขึ้น ผ่อนคลายขึ้นได้

“ผมว่าเพลงที่เราชอบ ที่ไม่เคยทำร้ายจิตใจเรา ยังไงก็ใช้ได้และใช้ได้ดี  เพลงคือสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตเราอยู่แล้ว นำมาใช้ได้ครับ”

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยวัยรุ่นดนตรีดนตรีบำบัดเด็กสุขภาพจิต

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

‘Echo Chamber’ เราต่างมีกะลาคนละใบ…ที่เข้าใจว่าคือโลกกว้าง
29 November 2022

‘Echo Chamber’ เราต่างมีกะลาคนละใบ…ที่เข้าใจว่าคือโลกกว้าง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คำว่า Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อน ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่ผู้คนอยู่ในพื้นที่ที่พบเจอแต่ความคิดเห็นคล้ายกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ราวกับอยู่ในห้องที่ได้ยินแต่เสียงสะท้อนย้ำๆ ซ้ำๆ
  • ผลกระทบของ Echo Chamber จากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พบเจอแต่ความคิดเห็นคล้ายคลึงกับของตัวเอง จะทำให้ผู้คนยิ่งปักใจเชื่อในทัศนคตินั้น จนถูกหล่อหลอมให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน’ และ การแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างสุดโต่ง
  • การรับฟังความคิดเห็นจากภายนอก หรือทัศนคติที่เป็นกลาง เป็นอีกวิธีสำคัญที่จะออกจากห้องเสียงสะท้อน หรือพูดง่ายๆ ว่า ต้องรู้จักเปิดรับข้อมูลหรือสื่อ ที่ไม่ได้สอดคล้องกับความเชื่อของเราบ้าง

‘ฟ้าใส’ เด็กสาวผู้เชื่อมั่นในอุดมการณ์การเมืองแบบหนึ่ง เธอตะโกนเสียงดังกลางห้องโถงเพดานสูงว่า “อุดมการณ์คือความถูกต้อง” ทันใดนั้น เสียงสะท้อนดังซ้ำๆ มาจากรอบทิศทางว่า “อุดมการณ์ของฉันคือความถูกต้อง”

ฟ้าใส ยิ้มกว้าง บอกกับตัวเองว่า ทุกคนต่างเห็นด้วยกับอุดมการณ์การเมืองแบบที่เธอเชื่อจริงๆ ด้วย

แต่ ‘อนุรักษ์’ ไม่คิดอย่างนั้น เขามั่นใจในประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีของตัวเองว่า อุดมการณ์ไม่สำคัญเท่าความดี เพื่อยืนยันความคิดนั้น อนุรักษ์เปล่งเสียงดังออกมาว่า “อุดมการณ์ไม่สำคัญเท่าความดี”

ประโยคนั้นสะท้อนดังก้องซ้ำๆ ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจของอนุรักษ์ให้หนักแน่นขึ้น

ทั้งฟ้าใสและอนุรักษ์ ต่างเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด แล้วความคิดใครคือสิ่งที่ถูกต้อง

สถานการณ์สมมติข้างบน คือ ปรากฏการณ์ที่นักวิชาการในแวดวงสื่อเรียกว่า Echo Chamber หรือแปลเป็นไทยว่า ‘ห้องเสียงสะท้อน’ โดยแรกเริ่มเดิมที ศัพท์คำนี้ใช้ในทางดนตรี หมายถึง ห้องโล่งๆ ที่ใช้สำหรับบันทึกเสียงเพลงหรือดนตรี ที่ต้องการเอฟเฟกต์ที่มีหางเสียงก้องกังวาน หรือเสียงสะท้อน แต่ในยุคปัจจุบัน ซาวด์เอฟเฟกต์ของเสียงสะท้อน สามารถสร้างขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการบันทึกเสียงในห้องโถงขนาดใหญ่ ทำให้ศัพท์คำนี้ แทบไม่ถูกใช้ในวงการดนตรีอีกต่อไป

ในยุคที่โซเชียลมีเดียผลิบาน โลกเสมือนจริงกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนใช้เวลาอยู่ในนั้น นานพอๆ กับการใช้ชีวิตในโลกจริง ศัพท์คำว่า Echo Chamber จึงถูกนำมาใช้ในอีกบริบท เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่ผู้คนอยู่ในพื้นที่ที่พบเจอแต่ความคิดเห็นคล้ายกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ราวกับอยู่ในห้องที่ได้ยินแต่เสียงสะท้อนย้ำๆ ซ้ำๆ

และเมื่อบวกกับพฤติกรรมมนุษย์ ที่มีแนวโน้มจะเลือกเชื่อแต่ข้อมูล หรือหลักฐาน ที่สอดคล้องกับทัศนคติของตัวเอง (ศัพท์ทางจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า Confirmation Bias หรือ ความลำเอียงเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง) ก็ยิ่งทำให้ผู้คนหลงติดอยู่ใน Echo Chamber โดยไม่รู้ตัว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิชาการจำนวนมาก ทั้งทางด้านสื่อและจิตวิทยา พากันออกมาเตือนถึงผลกระทบของ Echo Chamber โดยชี้ว่า การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พบเจอแต่ความคิดเห็นคล้ายคลึงกับของตัวเอง จะทำให้ผู้คนยิ่งปักใจเชื่อในทัศนคตินั้น จนถูกหล่อหลอมให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน’ และ การแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างสุดโต่ง 

สิ่งที่ตามมาก็คือ เสรีภาพทางวิชาการ ถูกคุกคามอย่างรุนแรง เพราะคนที่ติดอยู่ในห้องเสียงสะท้อน จะไม่สามารถรับฟัง หรือยอมรับทัศนคติที่แตกต่างจากตัวเอง ซึ่งเท่ากับว่า บรรยากาศแห่งการอภิปราย หรือถกเถียง เพื่อนำไปสู่การหาทางออกของปัญหา จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

หนึ่งในตัวอย่างผลกระทบของ echo chamber ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างถึง ก็คือ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2016 ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำในทุกผลการหยั่งเสียง ขณะที่หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal หรือแม้กระทั่งสื่อแนวทางอนุรักษ์นิยมอย่าง Fox News ก็ยังทำนายว่า เธอจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่อย่างค่อนข้างแน่นอน

ทว่า กลุ่มผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน อาศัยช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจ หันมาเชื่อมั่นในตัวทรัมป์ จนกลายเป็นความจงรักภักดีอย่างสุดขั้ว ไม่รับฟังข้อมูลจากฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่พวกตนเอง และเทคะแนนเสียงช่วยให้ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ อย่างพลิกความคาดหมาย

และนั่นคือ ผลกระทบจากปรากฏการณ์ Echo Chamber

อัลกอริทึม คือ พระเอกหรือผู้ร้าย

แม้ว่า Echo Chamber จะสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในโลกออฟไลน์ และออนไลน์ แต่โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราพูดถึง Echo Chamber จะหมายถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางสังคมในโซเชียลมีเดีย ที่มีระบบอัลกอริทึมเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงส่งผลให้ปรากฎการณ์ห้องเสียงสะท้อน เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนมากกว่า

หลายคนอาจสงสัยว่า อัลกอริทึม คืออะไร แล้วมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร อัลกอริทึม (Algorithm) คือชุดลำดับคำสั่งที่ใช้ในการสั่งการทำงานของคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ โดยมีการกำหนดเงื่อนไข เช่น ถ้าใส่ข้อมูล A คอมพิวเตอร์จะเริ่มทำงานแบบหนึ่ง แต่ถ้าใส่ข้อมูล B คอมพิวเตอร์จะทำงานอีกแบบหนึ่ง หรือถ้าใส่ข้อมูล C คอมพิวเตอร์จะหยุดการทำงาน

แม้ว่าอัลกอรึทึม ช่วยให้การทำงานคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการสืบค้นข้อมูลทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำได้สะดวกง่ายดาย และรวดเร็วขึ้น แต่ความชาญฉลาดของระบบสมองกลก็มีข้อเสีย และข้อเสียนั้นก็นำไปสู่ปรากฎการณ์ Echo Chamber ที่อาจเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในยุคศตวรรษที่ 21

ตัวแปรหนึ่งที่ช่วยก่อให้เกิดปรากฎการณ์ Echo Chamber ก็คือ พฤติกรรมการเสพสื่อที่เปลี่ยนไป ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน ไม่ได้อ่านข่าวหรือค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือตำราอ้างอิงในห้องสมุด หากแต่พึ่งพาอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter และ Google ซึ่งสื่อเหล่านี้ ต่างใช้อัลกอริทึมในการทำงานทั้งสิ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความพึงพอใจผู้ใช้ให้มากที่สุด และจะนำไปสู่ยอดการมีส่วนร่วม หรือ engagement ที่เพิ่มขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลที่แต่ละคนได้รับหรือค้นพบจากโลกออนไลน์ จึงถูกกลั่นกรองมาแล้วโดยอัลกอริทึม ซึ่งอาศัยข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากประวัติหรือร่องรอยที่คนๆ นั้นเคยกดไลก์ กดแชร์ เคยเข้าไปแสดงความคิดเห็น หรือเคยค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่เราเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เราจะพบเจอแต่ข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองโดยอัลกอริทึมมาแล้วว่า เป็นสิ่งที่เราพึงพอใจมากที่สุด และข้อมูลที่ถูกจัดหามาให้สำหรับแต่ละคน จะไม่เหมือนกันเลย แม้ว่าจะใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูลชุดเดียวกันก็ตาม

ดังนั้น เมื่อออนเข้าสู่โลกทวิตเตอร์ ฟ้าใส จึงพบแต่หัวข้อที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ความเชื่อของเธอ ขณะที่หน้าฟีดข่าวเฟซบุ๊กของอนุรักษ์ ก็พบเจอแต่โพสต์ที่ตอกย้ำความเชื่อหรือแรงศรัทธาของเขา

ทั้งฟ้าใสและอนุรักษ์ ไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกัน แต่ทั้งคู่กำลังติดอยู่ในห้องเสียงสะท้อนเหมือนๆ กัน

ทางออกจากห้องเสียงสะท้อน

แน่นอนว่า ไม่มีใครต้องการตกอยู่ในภาวะ Echo Chamber แต่เราจะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว

อิเนส อาเลเกร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตัดสินใจแก้ปัญหาระดับบริหาร และโจเซฟ วาลอร์ ศาสตราจารย์ด้านระบบสารสนเทศ จากไออีเอสอี บิสซิเนส สกูล ประเทศสเปน ได้จัดทำงานวิจัยถึงผลกระทบของ Echo Chamber รวมถึงแนวทางเพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในห้องเสียงสะท้อน

แม้ว่างานวิจัยชิ้นดังกล่าว มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของ Echo Chamber ที่มีต่อการตัดสินใจทางธุรกิจเป็นหลัก แต่แนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว สามารถปรับใช้ได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำธุรกิจ นักเรียน นักศึกษา หรือพนักงานทั่วไป

งานวิจัยของอาเลเกรและวาลอร์ ชี้ว่า ก้าวแรกของการแก้ปัญหา จะต้องยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเสียก่อน ซึ่งในกรณีนี้ คือ การตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีความลำเอียงเพื่อยืนยันความเชื่อของตนเอง (Confirmation Bias)

การรับฟังความคิดเห็นจากภายนอก หรือทัศนคติที่เป็นกลาง เป็นอีกวิธีที่สำคัญ หรือพูดง่ายๆ ว่า ต้องรู้จักเปิดรับข้อมูลหรือสื่อ ที่ไม่ได้สอดคล้องกับความเชื่อของเราบ้าง

พยายามคิดในมุมที่ตรงกันข้าม หรือสมมติตัวเองว่า เป็นคนที่อยู่ในขั้วตรงข้าม แล้วลองหาเหตุผลมาอภิปรายสนับสนุนความคิดนั้น (อ่านบทความเพิ่มเติม Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา)

ในกรณีขององค์กรทางธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการสร้างทีมที่มีความหลากหลายทางความคิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ Echo Chamber แต่สำหรับคนทั่วไป ในหัวข้อนี้ น่าจะใกล้เคียงกับการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มหรือสภาพแวดล้อม ที่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย มากกว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ท้ายสุด พยายามวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์ก่อนและหลังจากที่ตกอยู่ใน Echo Chamber ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ดี นักวิชาการอีกหลายคน มีความคิดเห็นที่ต่างออกไป พวกเขามองว่า ผลกระทบของปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน อาจไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด

อลิซาเบธ ดูบอยส์ (Elizabeth Dubois) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออตตาวา และแกรนท์ แบลงค์ (Grant Blank) นักวิจัยจากสถาบันอินเทอร์เน็ตอ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ร่วมกันจัดทำแบบสำรวจที่มีกลุ่มตัวอย่างราว 2,000 คน ในประเทศอังกฤษ พบว่า มีผู้ถูกสำรวจเพียง 8 % ที่เสี่ยงต่อการติดอยู่ในห้องเสียงสะท้อน

รายงานการสำรวจชิ้นดังกล่าว ที่ทำขึ้นในปี 2018 สรุปว่า คนส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมโดยธรรมชาติ ที่ช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจาก Echo Chamber อยู่แล้ว ซึ่งพฤติกรรมที่ว่าก็คือ การเสพสื่อจากหลายช่องทาง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นทางการเมือง

แม้ว่ารายงานฉบับนี้ จะเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่สิ่งสำคัญที่อยู่ในข้อสรุปของรายงานการสำรวจ ก็คือ การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยอาศัยการเปิดรับสื่อจากหลากหลายช่องทาง คือ หัวใจสำคัญที่นำไปสู่การหลุดพ้นจาก Echo Chamber

ท้ายที่สุด ไม่ว่าปรากฏการณ์ Echo Chamber จะเป็นภัยคุกคามในโลกยุคใหม่ หรือเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แต่หากเราไม่อยากตกอยู่ในภาวะดังกล่าว สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารไม่ได้ไหลมาถึงเราอย่างเสรี หากแต่ล้วนผ่านการกลั่นกรองมาแล้วทั้งนั้น

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น จึงไม่ใช่ทั้งหมดของความจริง แต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ถูกปรุงแต่งมาให้ถูกจริตของเราเพียงผู้เดียว

ดังนั้น เราทุกคน จึงถูกครอบด้วยกะลาคนละใบ แต่กลับหลงเข้าใจว่าคือโลกกว้าง

อ้างอิง 

Avoiding Echo Chambers: 5 Strategies To Beat Confirmation Bias https://www.forbes.com/sites/iese/2021/06/16/avoiding-echo-chambers-5-strategies-to-beat-confirmation-bias/?sh=4b3de1fc1267

The myth of the echo chamber https://theconversation.com/the-myth-of-the-echo-chamber-92544

Are Echo Chambers A Threat to Intellectual Freedom https://www.psychologytoday.com/us/blog/digital-world-real-world/201903/are-echo-chambers-threat-intellectual-freedom

Echo Chamber https://www.populismstudies.org/Vocabulary/echo-chamber/

What is echo chamber? https://edu.gcfglobal.org/en/digital-media-literacy/what-is-an-echo-chamber/1/

Confirmation Bias https://www.simplypsychology.org/confirmation-bias.html

Tags:

โซเชียลมีเดียการฟังห้องเสียงสะท้อน (echo chamber)ความเชื่อConfirmation Bias

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • what-about-me-effect-nologo
    Social IssuesHow to enjoy life
    ‘What About Me Effect’ แค่ถามหรือเรียกร้องความสนใจ ปรากฎการณ์ปัจเจกนิยมเกินเหตุในโซเชียลมีเดีย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    วิทยาศาสตร์ในนาข้าว ไขปริศนาภูมิปัญญาสู่การเรียนรู้ข้างกองฟาง กับ ลุงจี๊ด ‘นาบุญข้าวหอม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้
Unique Teacher
28 November 2022

‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • การเรียนรู้ที่เน้นให้เด็กเป็นเจ้าของ โดยใช้ 3 นวัตกรรม ที่มีต้นแบบจากมูลนิธิลำปลายมาศ คือ จิตศึกษา เพื่อพัฒนาปัญญาภายใน, PBL (Project-based learning) ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความเป็นชุมชน และ ภาษาไทยวรรณกรรมเพื่อการคิดขั้นสูง
  • คุยกับ ครูพรสวรรค์ ศิริวัฒน์ ครูวัยเกษียณผู้รักการสอน เปลี่ยนมายเซ็ตจากสอนแบบท่องจำ เข้มงวด สู่การสร้างคุณค่าให้เด็ก และให้เขาเป็นเจ้าของการเรียนรู้  
  • ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เด็กๆ มีทักษะ EF มีสมรรถนะ 6 ด้าน ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ครูยังมี Growth Mindset เป็นนักเรียนรู้ และเป็นครูโค้ช รวมถึงมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียน

“เราอยากให้เด็กคนนี้ออกแสงเป็นอะไร อยากให้เป็นซูเปอร์แมนใช่ไหม องค์ประกอบของซูเปอร์แมนมีอะไรบ้าง หลักสูตรนี้บอกให้เราได้ฟูมฟัก ให้เราได้พาเขาไป ด้วยตัวของเขาเอง 70 เปอร์เซ็นต์ เราแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ออกแสงเป็นซูเปอร์แมนตามที่เขาฝัน และเราอยากให้เป็นไป นี่คือหลักสูตรฐานสมรรถนะ”

26 ปี ในการทำงานที่โรงเรียนแห่งนี้ของ ครูพรสวรรค์ ศิริวัฒน์ ในวัย 61 ปี ผู้ที่ผ่านทั้งการใช้หลักสูตรแกนกลาง 51 ในการออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ มาจนถึงวันนี้ที่ โรงเรียนบ้านโชคนาสาม ได้เข้าร่วม ‘โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง’ (TSQP) เครือข่ายสนับสนุนและพัฒนาการใช้นวัตกรรม มูลนิธิลำปลายมาศ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 3 ของการเข้าร่วมโครงการ นอกจากความรู้และทักษะต่างๆ ที่เด็กได้รับแล้ว ครูเองก็ได้รับพลังงานที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวเองด้วย 

The Potential พาทุกคนไปเยี่ยมชมโรงเรียนต้นแบบที่ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน เน้นการเรียนรู้ที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้อย่างแท้จริง ผ่านกิจกรรมจิตศึกษาและ PBL (Project-based learning) กับ ‘ครูพรสวรรค์’ ครูวัยเกษียณผู้รักการสอน ที่ โรงเรียนบ้านโชคนาสาม โรงเรียนเล็กๆ กลางชุมชน อยู่ในตำบลโชคนาสาม อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีนักเรียนเพียง 300 กว่าคน เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไปดูกันว่าการเรียนรู้ที่มีเด็กเป็นเจ้าของนั้นดีอย่างไร 

ครูพรสวรรค์ ศิริวัฒน์ โรงเรียนบ้านโชคนาสาม

เจ้าของการเรียนรู้ตัวจริงคือ ‘เด็ก’

สำหรับการเรียนรู้ที่ครูและผู้บริหารของโรงเรียนแห่งนี้ตั้งใจออกแบบให้กับผู้เรียนนั้น เน้นให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ โดยใช้ 3 นวัตกรรม ที่มีต้นแบบจากมูลนิธิลำปลายมาศ คือ จิตศึกษา เพื่อพัฒนาปัญญาภายใน, PBL (Project-based learning) ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความเป็นชุมชน และ ภาษาไทยวรรณกรรมเพื่อการคิดขั้นสูง โดยครูพรสวรรค์ได้ยกตัวอย่างสองกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐานและเด็กๆ มีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบการเรียนรู้ของเขาเอง นั่นคือ กิจกรรมซรอวเซราะยืง (ข้าวบ้านเรา) และ กิจกรรมปลูกผักไฮโดรโมปีนา (ผักไฮโดรโปนิกส์มาจากไหน?) 

แต่ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ผ่าน PBL ครูพรสวรรค์ชวนทุกคนทำกิจกรรมที่ต้องทำเป็นประจำทุกเช้าก่อนเริ่มเรียนวิชาแรกของวัน โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที นั่นก็คือ ‘จิตศึกษา’ เริ่มจากการนั่งล้อมวงเป็นวงรี เพื่อให้มองเห็นหน้าค่าตากันได้ทุกคน จากนั้นค่อยๆ หลับตา ทำสมาธิสักครู่หนึ่ง แล้วก็ดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องด้วยการหยิบยกเรื่องราวจากสื่อโฆษณาบ้าง จากเรื่องเล่าในหนังสือบ้าง หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตของแต่ละคน มาพูดคุยสะท้อนคิดกันในวง   

“จิตศึกษาเป็นกิจกรรมที่ให้เด็กเกิดการจดจ่อ แล้วสำหรับครูมันเป็นกิจกรรมสำหรับเยียวยา ลูกมาจากบ้าน ไม่รู้เจออะไรบ้าง แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาโรงเรียน สิ่งที่เราอยากตรวจสอบเขาคือสภาวะจิต เพื่อให้เขาได้เรียนในวิชาพื้นฐานอย่างมีความสุข ก็ต้องทำกิจกรรมจิตศึกษาให้เขาได้ผ่อนคลาย ให้เขาได้ระบาย ให้เขาได้พูด เหมือนเขาได้ทบทวนตัวเอง แล้วใจเขาก็สบายพร้อมที่จะไปเรียน”  

นอกจากนี้ก็มีการทำ Brain Gym หรือกิจกรรมการบริหารสมอง โดยใช้มือในการเคลื่อนไหว เป็นการพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีกให้ทำงานได้ดีขึ้น และเพื่อเรียกเด็กให้จดจ่ออยู่กับการทำกิจกรรมตรงหน้า เช่น การนับเลข 

ครูพรสวรรค์ย้ำถึงการทำจิตศึกษาว่า ครูต้องปรับมายเซ็ตตัวเอง ต้องให้เวลาและอาศัยความอดทนในการฟังด้วย เพราะเมื่อเปิดโอกาสให้เด็กพูด เด็กย่อมอยากพูด ซึ่งครูก็ต้องพร้อมเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย รวมถึงต้องหมั่นสังเกตเด็กและกวาดสายตามองเด็กทุกคน

“เราต้องฝึกเขาไปเรื่อยๆ ให้เวลาเขา และอดทนฟังเขาทุกวันๆ เพราะเราให้เขาพูด เขาก็อยากพูด แล้วเราก็ต้องฟังเขาด้วย พอฟังแล้วก็ต้องฟังให้ได้ว่า เขาพูดเรื่องอะไร เราต้องโต้ตอบกับเขาได้ แล้วก็ได้เถียงกันบ้าง แต่เป็นการเถียงกันด้วยเหตุและผล 

บางครั้งเขาดื้อครูก็ต้องดุ แต่ครูจะบอกเขาว่า ทำไมต้องดุ ดุเพราะอะไร ต้องมีตึงมีหย่อน ที่สำคัญคือต้องซื่อสัตย์กับเขา แล้วเขาจะซื่อสัตย์ตอบ”

“อย่างเรื่องกฎระเบียบ เด็กบางคนก็ผมยาว บางคนก็ผมสั้น ที่นี่ไม่มีกฎห้ามไว้ผมยาว เราขอสะอาดพอ เด็กบางคนเขาบอกครูผมสั้นมันไม่หล่อ เราก็ขอพบกันครึ่งทาง ขอสะอาด ถ้าผมยาวต้องมัดรวบให้เรียบร้อย เด็กผู้ชายแต่ก่อนเราก็บ่นว่าทำไมถึงรุงรังแบบนี้ เขาก็บอก ครูผมไปเกี่ยวข้าวมา เอาเวลาที่ไหนตัดผม เราก็เข้าใจ มาเรียนก็ดีละ แต่ก่อนยืนดุเลย หลังๆ มาเราก็บอกเขาว่า ครูเป็นห่วง ทำไมมาสาย เป็นอะไรรึเปล่า ก็เปลี่ยนคำพูด…”

ส่วนกิจกรรมที่บูรณาการ PBL จะออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความเป็นชุมชน โดยครูร่วมกันระดมความคิดเพื่อให้กิจกรรมนั้นๆ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง และเน้นออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็น Active Learning เพื่อพัฒนาปัญญาภายนอก ส่งเสริมสุขภาวะนักเรียนผ่านโครงงาน และ PLC ในการจัดการเรียนรู้

สำหรับกิจกรรมแรกที่เข้ากับบรรยากาศช่วงเก็บเกี่ยวข้าวของคนในชุมชนก็คือ กิจกรรม ‘ซรอวเซราะยืง’ เป็นภาษาเขมรแปลว่า ‘ข้าวบ้านเรา’ ครูพรสวรรค์อธิบายว่าเป็นกิจกรรม PBL คือการใช้ปัญหาเป็นฐานการเรียนรู้ โดยครูจะเป็นผู้วางแผนแค่ช่วงตั้น ว่ามีความรู้พื้นฐานหรือ K (knowledge) ใดบ้างที่เด็กๆ จะได้รับจากกิจกรรมนี้ รวมถึงสามารถบูรณาการเข้ากับวิชาใดได้บ้าง 

“ถ้าเรียนแล้วต้องเตรียม K อะไรบ้าง ครูจะใช้คำว่า K0 ก็คือ K พื้นฐาน คือเมื่อทำนาก็ต้องรู้ว่าวิธีการทำนา เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่หลังจากนั้นเด็กนักเรียนจะเกิดการค้นพบด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติ เช่น เขาทำนาเขาไปเจออะไรบ้าง ครูมีหน้าที่แค่ชง สมมติว่าเขาเจอปัญหา “ครูผมลงไถไม่ได้” ครูก็จะถามเขาว่า “แล้วถ้าลงไถไม่ได้เป็นเพราะอะไร ไถแล้วติด เราต้องทำยังไงลูก” ครูแค่โยนคำถาม เขาก็จะหาวิธีการด้วยตัวของเขาเอง ครูต้องไม่บอกว่ามันผิดหรือมันถูก ครูต้องพูดคำว่า “ได้” มันเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ เขาก็จะค้นพบ 

“ครูทำแบบนี้ได้ไหม…” ครูก็จะบอกว่า “ลองดูสิลูก ครูลองไปแล้วถ้ามันไม่ได้ละ ไม่ได้เราก็ลองใหม่” เขาก็จะทำจนสำเร็จ คือถึงขั้นไปน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาใช้ ก็คือพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นแก้มลิง ไม่ว่าจะเป็นโคกหนองนา ทำจากพื้นที่เล็กๆ อันนี้ก็คือเด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง” 

ซึ่งกิจกรรมนี้ครูพรสวรรค์เสริมว่า ผลผลิตที่ได้จากการทำนาข้าวนั้น เด็กๆ นำมาต่อยอดสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอีก นั่นคือ การทำข้าวหอมมะลิแดงมาทำบราวนี่ รวมถึงขนมพื้นบ้านอย่างขนมนางเล็ด ซึ่งนี่คือความคิดของเด็กๆ ทั้งนั้น 

ส่วน ‘ไฮโดร โมปีนา’ หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ‘ผักไฮโดรโปรนิกส์มาจากไหน’ เป็นการเรียนรู้การปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ว่ามีที่มาที่ไปจากไหน แล้วปลูกอย่างไร พื้นที่แห่งนี้จะสามารถปลูกได้หรือไม่ เป็นกึ่งๆ การทดลองวิทยาศาสตร์ 

“ไฮโดร โมปีนา คือเรามีปัญหาเรื่องพื้นที่เหมือนแห้งแล้ง ปลูกผักไม่ค่อยขึ้น เอ๊ะ…มันมีวิธีการไหนนะที่เราสามารถปลูกผักกินเองได้ แล้วก็เกิดการเรียนรู้ด้วย เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนชีววิทยาในตัวด้วย เรียนเรื่องระบบนิเวศ เขาก็ค้นแล้วมาหารือกันในวง PLC แล้วก็พบว่า ครูต้องทำเรื่องผัก ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แต่ก็ไม่ได้เป็นไฮโดรแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราปลูกผักโดยเอาวัสดุเหลือใช้มาปลูก แล้วเด็กๆ เขาก็เสนอว่า เราไม่ต้องใช้ปุ๋ยได้ไหมครู มันสกปรก ครูก็ถามเขาว่า สกปรกตรงไหนลูกอธิบายมา ก็เลยเกิดการทดลอง ปลูกผักไฮโดรฯ มีทั้งที่เป็นไฮโดรเปลือย คือปลูกกลางแจ้ง แล้วมีที่เป็นกรีนโดม หรือที่เป็นแขวน อันนี้คือเขาเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วบางคนเขาก็นำไปทำเป็นธุรกิจของเขาเองที่บ้านค่ะ”

ผลลัพธ์การเรียนรู้ เด็กกล้าตั้งคำถาม กล้าลงมือทำ  

เมื่อมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ สิ่งที่หลายคนน่าจะอยากรู้ และเป็นสิ่งที่ครูและโรงเรียนเองก็คาดหวังไว้นั่นก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้ ครูพรสวรรค์อธิบายว่า สำหรับโรงเรียนบ้านโชคนาสาม ในส่วนของกิจกรรมจิตศึกษา ช่วยเสริมสร้างทักษะการคิด และเป็นการตรวจเช็คสุขภาพจิตของเด็กๆ ไปในตัว

“อย่างแรกเลยคือเรื่องจิตใจ ให้คิดบวก มองโลกในแง่ดี อย่างที่สอง มีกระบวนการคิด เพราะในกิจกรรมจิตศึกษา เราจะมี ชง เชื่อม ใช้ โดยการใช้คำถามกระตุ้นให้เขาได้พูดขึ้นมา และเราจะมีสื่อ มีนิทาน มีบทความ อ่านแล้วจับประเด็นสำคัญ ให้เขาได้สะท้อน แต่ปกติครูจะใช้วรรณกรรม แล้วก็มีเรื่องของ Stop Bullying มาจนถึง IQ EQ ดี” 

เห็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่อยากรู้ตามมาคือ ครูสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองยังไง? ครูพรสวรรค์ตอบทันทีว่า ครูใช้วิธีการประชุม และการลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน 

“ที่นี่คือ เยี่ยมทุกกรณี มีเหตุอันต้องไปเยี่ยมคือเยี่ยม ไม่ได้เยี่ยมเป็นเทศกาล สมมติเราไปขึ้นบ้านใหม่หรืองานกฐิน หรืองานอะไรก็ตามที่เราได้พบกับผู้ปกครองเราก็พูดเลย พูดคุยกัน สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เล่าให้ฟัง แล้วก็เชิญมาประชุมร่วมกับเรา มาพูดคุยกัน ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาคุยแต่เรื่องปัญหา คุยเรื่องอื่นๆ ก็มาคุย เรื่องที่เราอยากแจ้งให้ทราบ แล้วก็กลุ่มไลน์เป็นหลัก”

ทั้งนี้ กว่าที่เด็กๆ โรงเรียนบ้านโชคนาสาม จะมีความกล้ามากขึ้น ไม่ว่าจะกล้าคิด กล้าถาม กล้าแสดงความเห็น กล้าลงมือทำนั้น ครูพรสวรรค์บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของครูโรงเรียนแห่งนี้ โดยเริ่มจากการสร้างความไว้วางใจ หรือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กัน  

“อย่างแรกที่เราต้องมี คือความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนต้องใกล้กันก่อน ต้องมีสัมพันธภาพที่ดี เด็กต้องเข้าใจว่า ทุกๆ การทำกิจกรรมของเขา ไม่มีการฟันธงว่ามันผิดหรือมันถูก เขาก็เกิดความไว้วางใจ เพราะเราไว้วางใจเขาก่อน 

หลังจากนั้นเราก็พัฒนาเขาโดยการ ‘ชง เชื่อม ใช้’ สร้างแรงบันดาลใจ ทำเลยลูก ครูเชียร์อย่างเดียว เขาก็จะเกิดความมั่นใจ คือทุกอย่างที่ลูกพูดหรือทุกอย่างที่ลูกทำมันไม่มีผิด แต่จะดีกว่านี้อีกนิด ถ้าลูกเติมสิ่งนี้เข้าไป เราค่อยๆ เติมเต็มให้เขา 

การจะทำให้เด็กเกิดการยอมรับทั้งตัวเองและผู้อื่น เด็กต้องเชื่อมั่น เหมือนตอนนี้ที่เขากำลังทำขนมถ้วย ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วเขาทำได้เลยนะ หลายครั้งมากเลย ครูอันนี้มันเละมาเลย อันนี้ไม่ได้ แล้วยังไงลูก ลองเอาเพิ่มแป้งไหมคะครู ลองเลยลูก จริงๆ เรามีคำตอบอยู่แล้วเพราะเรามีประสบการณ์ แต่เราจะยังไม่บอก ให้เขาลองทำดูก่อน หรือตอนที่ไอน้ำจากฝาหม้อนึ่งหยดลงขนม เราก็บอกเขาว่า เหมือนจะขาดการรองนะ ไอน้ำเลยหยดลงขนมโดยตรง หนูลองไปดูสิลูกว่ามีอะไรซับได้บ้าง เขาก็เอาผ้าขาวมาหุ้ม ก็เกิดการเรียนรู้ แต่ละหน่วยกว่าจะปิดควอเตอร์ก็ 10 สัปดาห์ค่ะ 10-15 ชั่วโมง ไม่ใช่แค่ 1 ชั่วโมง” 

ดังนั้น ระยะทางของการเรียนรู้ เด็กจะเกิดการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ จึงได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เขาตั้งใจ 

กิจกรรมต่างๆ ที่ครูนำมาสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ นั้น นอกจากสมรรถนะหลักทั้ง 6 ด้าน คือ การจัดการตนเอง การคิดขั้นสูง การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน ที่ช่วยให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่า ครูพรสวรรค์ยังมองเห็นการเปลี่ยนบางอย่างในตัวเด็กด้วย 

“อย่างแรกเลย เขามีความสุขในการจัดกิจกรรม อย่างที่สอง เด็กมีกระบวนการคิด คิดอย่างเป็นระบบ อยู่กันเป็นสังคม อย่างลูกที่ทำกิจกรรมครบถ้วนตามนวัตกรรมเนี่ย ลูกกลับเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เขาจะซื่อสัตย์ต่อตนเอง พูดเรื่องจริง แล้วก็สามารถที่จะแชร์ เล่าให้ใครฟังก็ได้ แก้ปัญหาแบบนี้ สามารถคุยกับเพื่อนหาทางแก้ปัญหากันได้ แม้ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันแต่เขาก็สามารถเคลียร์กันได้ และอยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้ ครูเรียกว่า การสร้างทัศนคติให้กับพลเมืองเล็กๆ มีสุข”

อย่างไรก็ตาม ครูพรสวรรค์เสริมว่า การจัดการตนเอง การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม เป็น 3 สิ่งสำคัญ ที่ช่วยให้เด็กเอาตัวรอดได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

และนอกจากทักษะต่างๆ ที่เด็กได้รับจากการเรียนรู้ที่เขาเป็นเจ้าของแล้ว ครูเองก็ได้รับพลังงานที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวครูด้วย 

“อย่างแรกเลย เปลี่ยนมายเซ็ตของตัวเองอย่างสิ้นเชิง แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่หนักอึ้ง มันเบา มันมองบวก เมื่อก่อนครูจะเป็นคนซีเรียส มันต้องได้ มันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนหลังมาก็เปลี่ยน มองว่าก็เขาเป็นอย่างนี้ เราควรจะสอนตามเรา หรือว่าอย่างที่เขาเป็น มันต้องอย่างที่เขาเป็น พอเรามีมายเซ็ตแบบนี้มันทำให้เราไม่เครียดในการเป็นครู คนก็อยากใกล้ โดยเฉพาะลูกเขาก็อยากใกล้เรา ก็ง่ายต่อการสอนด้วย เพราะเขารับหมด” 

ข้อค้นพบอีกอย่างหนึ่งที่ครูพรสวรรค์เจอหลังจากการใช้จิตศึกษา ก็คือการโยนคำถามของครู ซึ่งครูก็ฝึกไปพร้อมๆ กับเด็ก ฝึกไปเรื่อยๆ จนเกิดทักษะ  

บทบาทครู ของครูวัยเกษียณ

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้ครูพรสวรรค์ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ครูมาจนถึงวันนี้ ก็เพราะรักในการสอน และไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง 

“โรงเรียนนี้ให้ทุกอย่างเลย ให้ความสำเร็จ ให้ครูได้ทดลอง ครูรู้สึกรักและผูกพัน ครูได้เชี่ยวชาญ ได้เจริญเติบโต ได้งอกงามจากเด็ก ไม่เคยงอกงามด้วยตนเอง งอกงามจากเด็กทั้งหมดเลย เลยอยากตอบแทน”

จะเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูโรงเรียนบ้านโชคนาสามแห่งนี้ ครูทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กได้ แม้จะทะเลาะกันแต่สุดท้ายแล้วก็คุยกันด้วยเหตุและผล

“นี่ก็ 3 ปี แล้วนะที่เรานำนวัตกรรมของลำปลายมาศมาใช้ แล้วก็เกิดผลดีกับเด็กๆ ของเราด้วย แต่โรงเรียนบ้านโชคนาสามดีจังเลย ตรงที่ว่าพอใช้แล้วใช้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย คือใช้ก็ใช้ด้วยกัน เปลี่ยนวิถีด้วยกัน (เปลี่ยนทั้งระบบ) แม้ว่าจะมีครูต่อต้านบ้างก็ตาม แต่เราจะมองที่ประโยชน์ของเด็กเป็นอันดับแรก ก็เลยทำให้สามารถทำงานไปด้วยกันได้ 

แล้วอีกอย่างเขาจะให้เกียรติ อย่างครูเกษียณแล้วครูเป็นครูนอกราชการเลยนะ ไม่สามารถที่จะมาบอกเขาได้เลยนะในความเป็นจริง แต่ครูสามารถบอกกล่าวเขาได้ และเขาฟัง หรือเวลาเกิดขัดแย้งกันเราก็ไปไกล่เกลี่ย” ครูพรสวรรค์ ศิริวัฒน์ โรงเรียนบ้านโชคนาสาม ทิ้งท้ายพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มและแววตาแห่งความสุข สัมผัสได้ถึงความรักในอาชีพครู และความหวังดีต่อเด็กๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ 

โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง (Teacher and School Quality Program: TSQP) เป็นโครงการหนึ่งที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มีความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของนักเรียน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ 

มีเป้าหมายคือการพัฒนาโรงเรียนขนาดกลาง ประมาณร้อยละ 10 โดยมีระยะเวลาของการพัฒนาโรงเรียนประมาณ 3 ปี ให้เป็นต้นแบบของการบริหารจัดการ การพัฒนาคุณภาพครู และการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่มีคุณภาพ เพื่อให้นักเรียนเกิดสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 เข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนในระยะยาว

ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์มีโรงเรียนเข้าร่วมการพัฒนา 2 รุ่น รุ่นที่ 1 จำนวน 11 แห่ง และรุ่นที่ 2 จำนวน 30 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 14 อำเภอ ในเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 3 เขต โดยส่งเสริมการพัฒนาครูและบุคลากร 786 คน นักเรียน 10,598 คน และนักเรียนยากจนพิเศษ 3,570 คน โดยมี 3 เครือข่ายร่วมพัฒนา คือ 
1. มูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต มีโรงเรียนเข้าร่วม 19 แห่ง (รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2)
2. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 มีโรงเรียนเข้าร่วม 12 แห่ง
3. มูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา มีโรงเรียนเข้าร่วม 10 แห่ง

Tags:

โรงเรียนบ้านโชคนาสามนวัตกรรมการศึกษาครูGrowth mindsetจิตศึกษาproject-based learning (PBL)Self-Directed Learner การเป็นนักเรียนรู้นักเรียนพรสวรรค์ ศิริวัฒน์

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

‘Miimo’ จับบทเรียนโค้ดดิ้งมาเป็นเกม แพลตฟอร์มที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ในรูปแบบที่สนุกและเข้าถึงง่าย
Space
25 November 2022

‘Miimo’ จับบทเรียนโค้ดดิ้งมาเป็นเกม แพลตฟอร์มที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ในรูปแบบที่สนุกและเข้าถึงง่าย

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • The Potential ชวนคุยกับ หยี- ศิรินนา รวยรินเสาวรส Co-Fouder เกมโค้ดดิ้ง Miimo.AI ฝีมือคนไทย ที่มีความตั้งใจที่จะทำให้เด็กไทยเข้าถึงการเรียนรู้โค้ดดิ้งในรูปแบบที่สนุก และเข้าถึงได้ง่าย
  • เกมโค้ดดิ้ง ‘Miimo’ สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้พื้นฐานทักษะโค้ดดิ้งสำหรับเด็กไทยวัย 7-12 ปี โดยใส่บทเรียนโค้ดดิ้งของจริงลงไปในเกมและออกแบบให้เกมน่าดึงดูด รวมถึงสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบให้กับเด็กๆ
  • การสร้างทักษะเพื่ออยู่ร่วมกับสังคมในปัจจุบันและอนาคต เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับเด็กๆ ยุคนี้ ดังนั้นการมี Soft Skills และ Mindset ที่ดีต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่จึงเป็นประโยชน์ต่อตัวเด็กในอนาคต

“จุดประสงค์หลักของเกม Miimo คือเราอยากให้เด็กมี Mindset ว่าการเรียนหรือการรับสิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สนุก ฉะนั้นถ้าเขามีสิ่งนี้ติดตัวไป ในอนาคตที่เขาโตขึ้นก็จะมีความสุขในการสรรหาข้อมูลด้วยตัวเอง เพราะเขาจะรู้สึกสนุกกับการลงมือทำ”

หยี- ศิรินนา รวยรินเสาวรส คนไทยเชื้อสายไต้หวัน และ Co-Fouder เกมโค้ดดิ้ง Miimo.AI ฝีมือคนไทย ที่สอนโค้ดดิ้งให้เด็กๆ ผ่านเกมใน iPad และสมาร์ทโฟน เล่าถึงความตั้งใจของเธอและทีม ที่จะทำให้เด็กไทยเข้าถึงการเรียนรู้โค้ดดิ้งในรูปแบบที่สนุก และเข้าถึงได้ง่าย

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา คือช่วงหลังจากเรียนจบระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย และได้ย้ายกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยรัฐที่ไต้หวัน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง เพราะสังคมจริงนั้นใหญ่ และประกอบไปด้วยคนหลากหลายรูปแบบมากกว่าที่เธอคิด จึงทำให้มองเห็นว่าความต่างของคนๆ หนึ่งนั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็ก

จากความรู้สึกอยากช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นแนวคิดในการออกแบบเกม Miimo ที่สร้างเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้พื้นฐานทักษะโค้ดดิ้งสำหรับเด็กไทยวัย 7-12 ปี โดยใส่บทเรียนโค้ดดิ้งของจริงลงไปในเกมและออกแบบให้เกมน่าดึงดูด รวมถึงสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบให้กับเด็กๆ ผ่านการเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะเธอเห็นว่า ‘ทักษะชีวิต’ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกคนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ

The Potential ชวนคุยถึงแรงบันดาลใจและแนวคิดในการออกแบบเกม Miimo เกมโค้ดดิ้งที่ไม่มีเพียงแค่พัฒนาทักษะโค้ดดิ้งเท่านั้น แต่ยังแทรกทักษะด้านอื่นที่มีประโยชน์กับเด็กๆ ในอนาคตอีกด้วย

อยากให้ช่วยอธิบายรูปแบบของเกม Miimo ว่ามีฟังก์ชันอย่างไร?

Miimo เป็นสัตว์เลี้ยงเสมือนของเด็ก เวลาที่จะต้องให้อาหาร หรือทำความสะอาด แต่งห้อง เราต้องใช้เหรียญหรือดาวในการดูแล Miimo เพราะฉะนั้นพอเงินหมดเราก็ต้องแวะไปที่ ‘เกาะโค้ดดิ้ง’ เพื่อไปทำ Task (ภารกิจ) บทเรียนโค้ดดิ้ง ไปผ่านด่านโค้ดดิ้งต่างๆ เพื่อเก็บเหรียญและดาวมาดูแล Miimo หรือแต่งบ้านของตัวเอง 

โดยในพาร์ทของเกมโค้ดดิ้ง เราใส่หลักสูตรจริงๆ ลงไปตามบทเรียน โดยเริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ ในด่านแรกๆ  ซึ่งก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ และตัวเกมก็จะปรับความช้าเร็วเข้ากับตัวเด็ก เพราะถ้าเด็กไม่ผ่านด่านหรือบทเรียนไหนเราก็จะไม่ปล่อยให้เขาข้ามไปบทเรียนถัดไป

เกมของเราจะมีการจับเวลา ถ้าใช้เวลานานเกินไปก็จะไม่ให้เขาผ่าน เพราะเราประเมินว่าน้องๆ อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการเรียนรู้คอนเซ็ปต์ถัดไปที่ยากกว่า

พอเขาเรียนจบแต่ละด่านก็จะได้เหรียญ และได้คอนเซ็ปต์ใหม่ ที่เขาสามารถสร้างแอนิเมชันของตัวเองขึ้นมาใน Sand Box ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราสร้างขึ้นมาให้เขาทำอะไรก็ได้ อยากจะใส่ฉาก ตัวละคร หรืออัดเสียงอะไรลงไปก็ได้ตามสไตล์ของตัวเอง เป็นพื้นที่ที่ให้น้องๆ ได้แสดงความเป็นตัวเองและจินตนาการออกมาให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ยังทำให้เด็กศึกษาจากงานของเพื่อนได้ด้วย โดยดูงานของคนอื่นและนำมาลองประยุกต์ใช้กับของตัวเอง เพราะเราอยากให้น้องๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้โค้ดดิ้งสำหรับเด็ก?

คือจริงๆ แล้ว ตัวเราเองเป็นคนที่ชอบงานสอนมากเลยนะ และแฮปปี้กับการช่วยคนอื่นทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ ก็เลยตัดสินใจว่าเราอยากลองทำเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาดู 

ซึ่งพอเข้าไปทำแล้ว คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดคือ เราจะทำยังไงให้เด็กที่ไม่ได้มีทุนมากพอ สามารถที่จะเข้าถึงการศึกษาได้เยอะที่สุดในราคาที่จับต้องได้ 

เพราะความคิดหลักของเราคือ ‘ทำยังไงให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้’ ก็มาทำการบ้านและหาคำตอบว่า ‘ทำไมมันถึงแพง?’ ซึ่งเราก็ได้มาสองประเด็นคือ ‘ค่าคุณครู’ และ ‘ค่าสถานที่’ 

เราก็เลยพยายามหาทางที่จะตัดสองสิ่งนี้ออกไปให้ได้ ซึ่งเราก็ใช้วิธีคือ หนึ่งสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมา และสองคือสร้างอะไรก็ได้ที่สามารถทดแทนคุณครู ก็เลยเกิดเป็นแอปพลิเคชันที่มีตัวสอนขึ้นมา เพราะว่าจุดประสงค์ของเราคือลดราคาลงให้ทุกคนเข้าถึงได้ 

แล้วเราก็มานั่งคิดต่อว่า ‘ทำไมคุณครูถึงสำคัญ?’ และ ‘คุณครูมีหน้าที่อะไร?’ คือเราเองก็เป็นครูมาก่อนเราก็รู้อยู่แล้วว่าครูมีหน้าที่ Motivate เด็ก ซึ่งก็มี Motivation 2 แบบ คือ Intrinsic Motivation และ Extrinsic Motivation 

ส่วนของ  Intrinsic คือเด็กจะแบบ ‘ฉันอยากเก่งขึ้น’ ‘ฉันอยากดีขึ้น’ เป็น Motivation ที่มาจากตัวของเด็กเอง ส่วน Extrinsic คืออย่างเช่น คุณแม่สั่งให้เรียน หรือคุณครูบังคับให้ทำการบ้าน ซึ่งเราคิดว่าหน้าที่ของครูคือการให้ Extrinsic Motivation เพราะพ่อแม่จ่ายค่าเรียนให้ตามโรงเรียน แล้วเด็กก็ต้องเรียนตามหน้าที่

เหตุผลที่ใช้ ‘เกม’ มาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดบทเรียน?

เรามาคิดว่าถ้าเกิดเราเอาครูออกไปแล้ว จะทำยังไงให้เด็กเขาอยากมาเรียนอยู่โดยไม่ต้องบังคับ คำตอบก็คือ ธรรมชาติของเด็กเขาก็ต้องอยากสนุก เลยคิดว่าคงต้องทำเป็นเกม ทำให้เขาอยากกลับมาเองและทำให้แอปนั้นดึงดูดมากพอที่เด็กจะกลับมาเองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ซึ่งเราก็นำตัว ‘Miimo’ หรือสัตว์เลี้ยง มาเป็นตัวหลักของเกม

เราคิดว่าเด็กๆ เขาคงมีความรู้สึกชอบที่ได้ดูแลอะไรบางอย่าง เราก็เลยสร้าง Miimo ขึ้นมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเด็กๆ ทำให้ต้องกลับมาดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ซึ่งวิธีดูแลคือการให้อาหาร ทำความสะอาด และซื้อของแต่งห้อง แล้วถามว่าแล้วเราจะเอาเงินในเกมมาซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง ก็คือเราจะให้เด็กๆ ไปเล่นเกมที่มีบทเรียนเพื่อผ่านด่านและเก็บเงินจากด่าน

แต่เราจะออกแบบให้แต่ละด่านนั้นน่าเบื่อก็ไม่ได้ เพราะยังมีเกมอีกมากมายที่สนุกกว่าเกมของเรา เลยออกแบบให้ตัวบทเรียนเป็นเกมด้วยเหมือนกัน เพราะบทเรียนก็ต้องสนุกด้วยตัวมันเองเพื่อไม่ให้น้องๆ เล่นแล้วเบื่อ คือถ้าเกมนี้สนุกพอ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปบังคับ ให้เด็กเขาอยากเล่นด้วยตัวเอง

ทำไมต้องเป็น ‘โค้ดดิ้ง’ ?

เราดูปัจจุบันและเทรนด์ในอนาคต ปัจจุบันคือเรามองว่าการเรียนวิชาต่างๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ คณิต เนี่ยมันมีเยอะมากๆ เราเลยหาอะไรที่ตอนนี้ยังไม่มี แล้วก็อยากทำอะไรที่เด็กไทยสามารถเข้าถึงได้

คือแม้ว่าในอเมริกาจะมีแอปสอนโค้ดดิ้งค่อนข้างเยอะมากแล้ว แต่มันก็เป็นภาษาอังกฤษ ยังไม่มีใครทำเป็นภาษาไทยเลย ทีนี้เด็กที่ได้ภาษาเขาก็จะได้มากกว่า สามารถเข้าถึง Resource (ทรัพยากร) ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเด็กที่ไม่ได้ภาษาเขาก็จะไม่ได้สักที เราเลยสร้าง Miimo ขึ้นมาเป็นภาษาไทยด้วย เพื่อที่เด็กไทยจะได้เข้าถึงบทเรียนโค้ดดิ้งได้ง่าย

ส่วนในอนาคตคือ เรามองว่าน้องๆ ตอนนี้ที่อายุ 7-12 เนี่ย เขายังมีเวลาอีก 10 กว่าปี กว่าเขาจะออกไปสู่ตลาดงาน แล้วตอนนั้นเขาจะต้องการอะไรล่ะ เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษกลายเป็นสิ่งที่ ‘จำเป็นต้องได้’ ไปแล้ว มันไม่ใช่ 

‘ถ้าได้ก็ดี’ อีกต่อไป ดังนั้นในอนาคตถ้าอยากให้เด็กคนนึงเก่งกว่าคนอื่นและตามทันอนาคต ทักษะที่ควรมีก็คือ ‘โค้ดดิ้ง’

ซึ่งการรู้โค้ดดิ้งก็ไม่ได้หมายความว่าโตไปเขาต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ด้วยความที่สังคมสมัยนี้ทุกคนมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมือสื่อสารอย่างน้อย 1 เครื่อง ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ชีวิตไปกับมัน ไม่มีทางหายไปจากชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องกลายเป็นสายไอที

เราควรมีทักษะเพื่ออยู่ร่วมกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้และกับสังคมในอนาคต เราต้องเข้าใจว่ามันทำงานยังไง และเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร แล้วก็มีสกิลในการแยกแยะ 

เพราะโค้ดดิ้งเป็นการพัฒนา Logical Skills พัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด เป็นการช่วยฝึกกระบวนการคิดไปด้วย เลยคิดว่ามันเป็นทักษะที่ทุกคนควรมีไม่ว่าเขาจะอยู่ในสายงานอะไรก็ตาม เพราะเป็นทักษะที่ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น

คาดหวังว่า Miimo จะสามารถพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งให้แก่เด็กๆ ได้แค่ไหน?

เราคิดว่ามันช่วยสร้างพื้นฐาน เพราะโค้ดดิ้งจะแบ่งเป็น Block-based (การเขียนโปรแกรมในลักษณะของการนำ Block ของคำสั่งมาต่อๆ กันคล้ายกับการต่อจิ๊กซอว์) กับ Text-based (การเขียนโค้ดด้วยภาษาคอมพิวเตอร์)

 ซึ่ง Miimo ของเราคือ Block-based จริงๆ มันคือการฝึกวิธีคิดก่อน ช่วยจัดระบบความคิดให้เป็นระบบระเบียบ เราจะสอนคอนเซ็ปต์ทั้งแบบ Conditional (การสร้างคำสั่งเพื่อการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ)

และ Loops (การสร้างคำสั่งให้วนซ้ำ) คือสอนคอนเซ็ปต์ก่อน แบบที่เขาไม่ต้องพิมพ์อะไรเลย ซึ่งถ้าในอนาคตที่อาจจะเรียนในระดับที่สูงขึ้นเป็น Text-based coding  เขาก็จะสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกลับมาได้ว่านี่เป็นสิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดมากกว่า

ข้อดีคือน้องๆ ไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าตัวเองจะพิมพ์ได้ถึงจะสามารถฝึกโค้ดดิ้ง เพราะมันสามารถฝึกตั้งแต่ตอนที่เขาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะบล็อกทุกอย่างเป็นภาพและตัวละคร สามารถเข้าใจได้เลยว่าแต่ละบล็อกหมายถึงอะไร

คิดว่าเด็กๆ จะได้รับทักษะอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากทักษะโค้ดดิ้งบ้าง?

มันมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Computational Thinking (การคิดเชิงคำนวณ) ไอเดียของสิ่งนี้คือการสร้างระบบการคิด มีกระบวนการแก้ปัญหาแบบมีลำดับ 

สมมติว่าวันนี้อยากทำเกม เขาจะสามารถคิดออกไหมว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เพราะในแต่ละ Task ก็จะมีระบบระเบียบของมันเอง เป็นการฝึก Soft Skills ต่างๆ ทั้ง Logical Thinking, Problem Solving และ Creativity ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่ควรพัฒนาตั้งแต่เด็ก ซึ่ง Computational Thinking นี้ก็จะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ Decomposition (การแบ่งย่อยปัญหา), Pattern Recognition (การเข้าใจรูปแบบ), Abstraction(ความคิดเชิงนามธรรม) และ Algorithm Design (การออกแบบขั้นตอนวิธี )

ถ้าเกิดเขาได้เข้าถึงวิธีการคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็กมันจะจัดระบบความคิดของเขาไปเลย เวลาเขาเจออะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากชีวิตจริง จากการเรียน หรือที่ทำงาน ถ้าคิดเป็นระบบระเบียบมากขึ้นก็จะทำให้เหนื่อยน้อยลงด้วย

คิดอย่างไรกับการที่หลายๆ คนมองว่า ‘เกมเป็นสิ่งไม่จำเป็น’ และกลัวว่าเด็กจะติดเกม ?

สำหรับเราเองคิดว่ามันไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องทำ เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวบุคคลคนนั้น แต่เราก็ดีใจที่ผู้ปกครองสมัยใหม่เขาเริ่มเห็นด้วยและเข้าใจกับสิ่งนี้มากขึ้น คือดูว่าน้องๆ ชอบอะไร เป็นสายไหน บางคนเรียนรู้ด้วยการ Hands on บางคนก็อ่านหนังสือ ซึ่งเราก็อยากแนะนำให้ผู้ปกครองพยายามสังเกตลูก ไม่ปิดกั้น และอยู่เป็นเพื่อนเขาดีกว่า

อย่างที่ว่าไม่มีถูกผิด หรือต้อง/ไม่ต้อง แบบเป๊ะๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเด็ก และวิธีที่เขาเรียนรู้ ต้องสังเกตตัวเด็ก ถ้าเด็กมาแนวนี้ สิ่งที่ผู้ปกครองทำได้คือช่วยสกรีนเกมที่เด็กควร/ ไม่ควรเล่น คอย monitor เรื่อยๆ คุยกับเขา ดีกว่าไม่ให้เลย และอยากให้พยายามมองไปถึงอนาคต และเปิดใจลอง เพราะอะไรที่เราคิดว่าดี/ไม่ดีตอนนี้ อนาคตอาจจะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปก็เป็นไปได้

แต่เห็นด้วยว่า ‘ไม่ควรให้เด็กติดเกม’ เป็นเรื่องจริงมาก แต่ถ้าเราห้ามเขาเลย เขาก็จะมองว่าเราเป็นศัตรู มองว่าไม่ใช่ทีมเดียวกันกับเขาแล้ว แต่เราคอยซัพพอร์ต คอยถาม จะทำให้เขามองว่าเราเป็นทีมเดียวกันอยู่ เวลาเราอยากแนะนำอะไรเขาก็ยังฟัง ช่วยเขาจำกัดเวลาการเล่น หรืออะไรต่างๆ แทน

เพราะการที่เราไม่ให้หรือห้ามเขาอาจจะไม่ใช่ทางออก สุดท้ายถ้าเด็กเขาอยากทำหรืออยากเล่นอะไรมากๆ เขาก็จะหาทางของเขาให้สำเร็จให้ได้ แต่ข้อเสียคือเขาก็จะไม่บอกหรือแอบเราทำแทน

Miimo เองก็มีฟังก์ชันสำหรับผู้ปกครองคือ Parents Dashboard จะทำให้เราดูได้ว่าลูกเล่นถึงไหนแล้ว ทำโปรเจ็กต์ไปกี่อันแล้ว ดูเวลาที่ลูกเข้าใช้ และสามารถจำกัด Screentime และตั้งเวลาที่สามารถเข้าเกมได้ 

มีอะไรอยากฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจหรือมีลูกที่อยากเรียนรู้โค้ดดิ้งบ้าง?

ถ้าเราเห็นแววลูกแล้วก็ควรสนับสนุนเขาให้ไปจนสุดทาง และพยายามเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก ก็เข้าใจว่าวิชานี้เป็นวิชาที่อาจจะยากสำหรับตัวพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะเราไม่ได้เกิดในยุคของสายนี้ แต่เราก็สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกันได้ และช่วยหา Resources ให้ลูกเพิ่ม ซึ่ง Miimo ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะ ก็ลองดูว่าเขาจะไปทาง Robotics ด้วยหรือเปล่า เพราะถ้าเขาชอบสายนี้อยู่แล้ว ก็พยายามหามาให้เพิ่ม

แต่ว่ามันก็จะมี 2 แบบ คือ น้องยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ซึ่งประเภทนี้เราก็จะแนะนำหาเยอะๆ ไม่ต้องหาลึกแต่เน้นหากว้างๆ โดยการพาไปทำกิจกรรมต่างๆ พอเราจับได้ว่าลูกชอบอะไรแล้วค่อยลงลึกกับสิ่งนั้น อย่าง Miimo เองเป็นแอปฟรีอยู่แล้ว ก็ให้น้องลองเล่นจนจบหรือเข้าเวิร์กช็อปของ Miimo ดู ถ้าชอบก็ไปต่อ หาอย่างอื่นเพิ่มให้เขาอีกในแนวเดียวกัน แต่ถ้าไม่ชอบก็ลองอย่างอื่นแทนค่ะ

Tags:

ทักษะศตวรรษที่ 21การเล่นปฐมวัยเกมcodingเด็ก

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Space
    วางจอมาจับกบ เล่น เลอะ เรียนรู้ที่ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’: คุยกับ วิน-สินธุประมา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู
Transformative learningEducation trend
23 November 2022

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ ๔. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
  • ระบบความเชื่อของครูมีส่วนกำหนดมุมมองและท่าทีต่อความรู้ที่ครูได้รับ มากกว่าอิทธิพลของระบบการศึกษาหรือระบบการผลิตครู ความเชื่อของครูแสดงออกมาในรูปของปณิธานความมุ่งมั่น (aspiration)
  • ความเชื่อนำสู่การกระทำ จึงเชื่อมสู่ความเป็นผู้ก่อการ หรือผู้กระทำการของครู ความเชื่อแสดงออกผ่านการกระทำ ณ ปัจจุบันขณะ โดยที่ความเชื่อนั้นสั่งสมมาแต่อดีต ผ่านประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์วิชาชีพ
  • ความเชื่อในคุณค่าของครูมีหลายระดับ ในปัจจุบันความเชื่อของครูต่อคุณค่าของการศึกษา และต่อคุณค่าของตนเองยังแคบเกินไป และมุ่งเป้าหมายระยะสั้นเกินไป

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency: An Ecological Approach (2015) เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ ๔ นี้ ตีความจากบทที่ 2 Teacher Beliefs and Aspirations       

ความเชื่อเป็นเรื่องฝังใจ มีอิทธิพลลึกล้ำต่อการทำหน้าที่ของครู และเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยาก ท้าทายนักวิชาการด้านการพัฒนาครู และท้าทายนโยบายการศึกษา ที่จะเข้าไปเปลี่ยนความเชื่อนั้นๆ มีผู้กล่าวว่า “โรงเรียนเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษา พอๆ กันกับการปฏิรูปการศึกษาเปลี่ยนแปลงโรงเรียน”

ระบบความเชื่อของครูมีส่วนกำหนดมุมมองและท่าทีต่อความรู้ที่ครูได้รับ มากกว่าอิทธิพลของระบบการศึกษาหรือระบบการผลิตครู ความเชื่อของครูแสดงออกมาในรูปของปณิธานความมุ่งมั่น (aspiration) เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับความเป็นผู้ก่อการของครู มีประเด็นคำถามหลักๆ ๓ ประการคือ (๑) ความเชื่อสำคัญๆ ของครูมีอะไรบ้าง (๒) ความเชื่อเหล่านั้นมาจากไหน (๓) ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นเหล่านั้นมีผลต่อความเป็นครูผู้ก่อการอย่างไร      

ทบทวนวรรณกรรมว่าด้วยความเชื่อของครู

วรรณกรรมหรือผลงานตีพิมพ์ว่าด้วยความเชื่อของครูมีมากมาย ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency บอกว่าในภาพรวมวรรณกรรมเหล่านั้นยังมีข้อจำกัด ๓ ประการคือ (๑) ไม่มีการวิจัยตอบคำถามว่า ความเชื่อของครูเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างไร (๒) มีงานวิจัยน้อยมากที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับความเป็นผู้ก่อการของครู และ (๓) งานวิจัยจำนวนมากใช้สมมติฐานว่าโรงเรียนมีความล้าหลัง จึงหวังให้การเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาเข้าไปกอบกู้ โดยต้องแก้ที่ความเชื่อหรือกระบวนทัศน์ของครูในด้านต่างๆ เช่นด้านการสอนวิทยาศาสตร์ ด้านการสอนภาษา ด้านการนำเทคโนโลยีใหม่เข้าไปใช้ ด้านวิธีการประเมิน เป็นต้น  

นิยามความเชื่อของครู

มีหลายนิยาม นิยามหนึ่งเสนอว่า เป็นผลรวมของข้อมูลความเป็นเหตุเป็นผลหลากหลายด้าน จากหลากหลายแหล่ง และเป็นการยากที่จะแยกระหว่างความเชื่อกับความรู้ โดยที่ความเชื่อเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างไร้ระเบียบ 

อีกนิยามหนึ่งบอกว่าความเชื่อเป็นตัวช่วยเอื้อการฟื้นความจำและนำมาผสมใหม่ ช่วยให้ความหมายต่อกิจกรรม และการเลือกรับรู้ ส่งผลต่อการเลือกแสดงพฤติกรรม โดยที่ความเชื่อเป็นกระบวนการทางใจ (affective) มีธรรมชาติเป็นเรื่องเล่า เชื่อมโยงกับการตีความคุณค่าในอดีต เป็นเรื่องของการสั่งสมจากประสบการณ์ที่ประทับใจ หรือเป็นวิกฤติในอดีต และเสนอว่าความเชื่อมี ๖ มิติคือ (๑) มิติด้านมี-ไม่มี เช่นเชื่อว่านักเรียนขี้เกียจ (๒) มิติด้านทางเลือก เช่นเลือกสอนแบบถ่ายทอดความรู้ หรือจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) (๓) มิติด้านความรู้สึก-เหตุผล (๔) มิติด้านการสั่งสมตามกาลเวลา (๕) ไม่มีทางสร้างฉันทามติ หรือเห็นพ้องกัน (๖) ไม่มีขอบเขต  

ความเชื่อของครูในเรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพของตน ไม่สามารถแยกออกจากความเชื่อของครูในเรื่องทั่วๆ ไปได้      

จำแนกกลุ่มความเชื่อของครู

มีผู้เสนอวิธีจำแนกไว้หลากหลายแบบ ได้แก่

  • แยกเป็นกลุ่มความเชื่อเชิงอนุรักษ์ กับกลุ่มความเชื่อแนวก้าวหน้า
  • แยกเป็น ๕ กลุ่มคือ (๑) เน้นที่ผลการดำเนินการ (๒) เน้นที่คุณวุฒิ (๓) เน้นสาระ (๔) เน้นสาขาวิชา (๕) ครูเป็นผู้กำหนด 
  • ความเชื่อที่ครูกำหนดตามข้อ (๕) ข้างบน จำแนกได้เป็น (๑) เชื่อในพัฒนาการส่วนบุคคล (๒) เชื่อในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นการเรียนเป็นศูนย์กลาง หรือนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (๓) เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นการสร้างความรู้ใส่ตัว และผ่านการร่วมมือกัน (๔) เชื่อว่าเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้สู่ความคล่องแคล่ว หรือรู้จริง (mastery)   
  • มีความเชื่อที่เป็นคู่ตรงกันข้าม ที่ครูต้องมีความสามารถอยู่กับขั้วตรงกันข้ามเหล่านั้นได้ สามารถรับมือกับความเครียดจากความเชื่อที่เป็นขั้วตรงกันข้ามได้
  • ครูต้องอยู่กับความไม่สอดคล้องระหว่างความเชื่อส่วนตัว กับความเชื่อเชิงวิชาชีพได้ หรือสามารถอยู่กับความไม่สอดคล้องระหว่างความเชื่อที่เป็นแกนกลางของกิจกรรม กับความเชื่อที่เป็นสภาพแวดล้อมได้  
  • สามารถจำแนกความเชื่อออกเป็น ความเชื่อเกี่ยวกับ…  
  • ความเชื่อของครู เป็นความเชื่อเกี่ยวกับ (๑) ขีดความสามารถของครู (๒) ธรรมชาติของความรู้ (๓) การเรียนของนักเรียน (๔) วิธีจัดการเรียนรู้ที่ให้ผลดีที่สุด    
  • จำแนกได้เป็น ความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับบริบท เกี่ยวกับความรู้ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เกี่ยวกับนักเรียน และเกี่ยวกับวิชา
  • จำแนกความเชื่อได้เป็น ๓ ชนิดคือ (๑) ความเชื่อเชิงพฤติกรรม ที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม (๒) ความเชื่อว่าจะได้หรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น และ (๓) ความเชื่อเกี่ยวกับปัจจัยที่จะส่งผลต่อปฏิบัติการนั้นๆ

ความเชื่อกับบริบท

วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เข้าใจว่าระบบนิเวศมีอิทธิพลต่อความเป็นผู้ก่อการของครูอย่างไร ทำได้โดยทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบริบท (context) กับความเชื่อของครู เป็นที่รู้กันดี ว่าพฤติกรรมกับความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเสมอไป ความไม่สอดคล้องนั้นเกิดจากอิทธิพลของบริบทด้านโครงสร้าง (structural) และด้านวัฒนธรรม (cultural)    

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมีอิทธิพลสูงยิ่งต่อพฤติกรรมของครู รวมทั้งต่อพฤติกรรมไม่สนองนโยบายด้านการศึกษา เช่น หากครูเชื่อว่านโยบายนั้นมีผลร้ายต่อนักเรียน ครูก็จะหาทางเลี่ยงไม่ร่วมมือกับนโยบายนั้น เป็นพฤติกรรมปกป้องนักเรียน และเมื่อมองจากนโยบายปฏิรูปการศึกษา พฤติกรรมหลีกเลี่ยงไม่ร่วมมือเรียกว่าพฤติกรรมต่อต้านแบบไม่ร่วมมือ    

นำไปสู่โจทย์วิจัยว่าครูที่มีความเชื่อด้านวิชาชีพสูง มีแนวโน้มจะมีความเป็นผู้ก่อการสูงกว่าครูที่มีความเชื่อด้านวิชาชีพต่ำหรือไม่ หรือถามว่าความเชื่อด้านวิชาชีพอย่างดื่มด่ำช่วยให้ครูกล้าแสดงพฤติกรรมที่ขัดกันกับกระแสในบริบทแวดล้อมหรือไม่ หรือช่วยให้ครูจัดการกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (dilemma) ง่ายขึ้นหรือไม่      

บ่อเกิดความเชื่อของครู

ประเด็นของตอนนี้คือความเชื่อของครู (ในเรื่องอาชีพครู) เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงได้ไหม เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร    

เป็นที่เชื่อกันว่าความเชื่อ (ศรัทธา?) ในอาชีพครูของผู้เป็นครูส่วนใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเยาว์ หรือก่อนเรียนเพื่อเป็นครู หรือเมื่อเริ่มเป็นครู มีนักวิชาการท่านหนึ่งถึงกับบอกว่าความเชื่อนี้เกิดขึ้นราวๆ อายุ ๕ ขวบ    

นำมาสู่ข้อเสนอว่า สภาพดังกล่าวเป็นปัจจัยต้าน หรือเป็นปัจจัยลบ ต่อการปฏิรูประบบการศึกษา เพราะคนที่เป็นครูมักจะไม่ร่วมมือ เนื่องจากคนเป็นครูมีความเชื่อหรือศรัทธาในระบบการศึกษาในรูปแบบที่ตนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมมีความเห็นส่วนตัวว่า คำอธิบายนี้น่าจะเป็นจริง โดยผมขอแถมว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครูเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนความเชื่อยาก ก็เพราะการศึกษาโดยทั่วไป และเพื่อเป็นครูไม่ได้ฝึก เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (transformative learning)     

หนังสือ Teacher Agency บอกว่า การที่ครูเปลี่ยนความเชื่อยากนี้ ทำให้ครูขาดความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นผู้ก่อการในวิชาชีพครูในสภาพที่ซับซ้อน หรือสภาพที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวเอง            

ต่อประเด็นว่าความเชื่อของครูเปลี่ยนแปลงได้ไหม จากประสบการณ์การทำงาน และจากกระบวนการพัฒนาวิชาชีพครู มีผู้ให้ความเห็น (ที่เป็นที่เชื่อต่อๆ กันมา) ว่า ความเชื่อเกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย และเปลี่ยนยาก แม้จะพบเหตุการณ์จากการศึกษาและประสบการณ์ที่บ่งชี้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ก็ไม่เปลี่ยนความเชื่อ นักวิชาการท่านนี้ (Pajares, 1992) ถึงกับบอกว่า การเปลี่ยนความเชื่อเกิดไม่บ่อยในวัยผู้ใหญ่ แต่ก็มีผู้บอกว่าครูที่มีจริตเอาใจใส่นักเรียน (Student-centred Orientation) จะรับแนวคิดใหม่และเปลี่ยนความเชื่อได้ง่ายกว่า และยังมีนักวิชาการท่านอื่นที่เชื่อว่าวิธีพัฒนาครูที่ดี จะช่วยให้ครูเปลี่ยนความเชื่อได้ ผมอยู่ในกลุ่มนี้ โดยอ้างอิงหนังสือ วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู ครูเปลี่ยนความเชื่อได้โดยการใคร่ครวญสะท้อนคิดความจริงที่พบเทียบกับความเชื่อที่ตนยึดถือ การเรียนเพื่อเปลี่ยนความเชื่อเรียกว่า การเรียนรู้ผ่านการใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflective learning) โดยที่การใคร่ครวญสะท้อนคิดนั้นต้องทำอย่างเอาจริงเอาจัง ที่เรียกว่า critical reflection    

เจาะลึกความเชื่อของครู

ความเชื่อนำสู่การกระทำ จึงเชื่อมสู่ความเป็นผู้ก่อการ หรือผู้กระทำการของครู ความเชื่อแสดงออกผ่านการกระทำ ณ ปัจจุบันขณะ โดยที่ความเชื่อนั้นสั่งสมมาแต่อดีต ผ่านประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์วิชาชีพ ความเชื่อในระดับปณิธานความมุ่งมั่น มีเป้าหมายและความคาดหวัง ทำให้เกิดการกระทำในลักษณะเอาจริงเอาจังมุมานะ เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น       

เราจะเจาะลึกทำความเข้าใจเรื่องความเชื่อของครู โดยตอบคำถามหลักๆ ๓ ประการที่กล่าวแล้วในตอนต้น คือ (๑) ความเชื่อสำคัญๆ ของครูมีอะไรบ้าง (๒) ความเชื่อเหล่านั้นมาจากไหน (๓) ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นเหล่านั้นมีผลต่อความเป็นครูผู้ก่อการอย่างไร โดยตีความผ่านการทำความเข้าใจความเชื่อ ๓ ด้านของครู คือ ความเชื่อเรื่องเด็กและผู้เยาว์ ความเชื่อเรื่องบทบาทของครู และความเชื่อเรื่องเป้าหมายยิ่งใหญ่ของการศึกษา เป็นการเจาะลึกผ่านการตีความข้อมูลที่นักวิจัยในโครงการ Teacher Agency and Curriculum Change เก็บมาผ่านกระบวนการชาติพันธุ์วรรณา (ethnographic) โดยในหนังสือยกเอาถ้อยคำของครูมาให้อ่าน เพื่อจะตีความหมายและให้ข้อสรุป แต่ผมจะยกมาเล่าเฉพาะข้อสรุปเท่านั้น     

ความเชื่อเรื่องเด็กและผู้เยาว์

ครูทั้ง ๖ คนที่เป็นผู้ถูกวิจัยนี้ จัดเป็นครูที่ขยัน เอาใจใส่ทำงานเพื่อนักเรียน ใช้เวลาที่บ้านเตรียมตัวสอนเป็นอย่างดี และมีความเชื่อว่าปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างครูกับศิษย์ช่วยสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ครูจึงต้องเอาใจใส่สร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่นักเรียนทุกคนรู้สึกปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ของตน โดยครูทุกคนมีความหวังว่า ตนจะช่วยให้นักเรียนทุกคนบรรลุการเรียนรู้เต็มศักยภาพของนักเรียนแต่ละคน    

แต่ส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ดังกล่าว ถูกบดบังโดยมุมมองเชิงลบต่อนักเรียนที่สะท้อนออกมาผ่านถ้อยคำของตัวครูเอง เช่นคำพูดเชิงแบ่งนักเรียนออกเป็นนักเรียนเรียนดี เรียนอ่อน หรือหัวดี หัวทึบ สะท้อนความเชื่อเรื่องการเรียนรู้ที่เน้นวิชาการ ความเชื่อเรื่องความสามารถของเด็กที่มองเฉพาะเรื่องการเรียนวิชา ไม่มีมุมมองหรือความเชื่อเรื่องพหุปัญญา และสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน แต่ถ้อยคำของครูก็ขัดแย้งกันเอง กับเรื่องการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนเป็นรายคนตามที่นักเรียนเลือก และยังขัดแย้งกับถ้อยคำของครูเองที่บอกว่า ต้องให้นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเอง ให้นักเรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้    

นอกจากนั้น ยังมีถ้อยคำของครูที่สะท้อนความเชื่อว่า นักเรียน (และพ่อแม่) ต้องรับผิดชอบความเอาใจใส่เรียนของนักเรียนเอง ไม่ใช่ความรับผิดชอบของครู เด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนจึงได้รับคำตำหนิดุด่าจากครู แต่ก็มีครูที่มีพฤติกรรมตรงกันข้าม คือหาทางช่วยเหลือปกป้อง ว่าที่เด็กเป็นเช่นนั้นมาจากความผิดพลาดของระบบการศึกษา   

จะเห็นว่า ความเชื่อเรื่องเด็ก เชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องบทบาทหน้าที่ของครู            

ความเชื่อเรื่องบทบาทของครู

ครูทั้ง ๖ คน ให้ความเห็นตรงกันว่าบทบาทของครูต้องเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอดความรู้ มาเป็นผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้ของนักเรียน และเปลี่ยนจากสอนวิชามาเป็นสอนเด็ก ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพที่เห็นในสก็อตแลนด์ในขณะนั้น ที่ครู โดยเฉพาะครูมัธยมส่วนใหญ่ ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีจัดการเรียนการสอนตามที่กำหนดใน Curriculum for Excellence และไม่เห็นด้วยจากการเปลี่ยนจากการเรียนรายวิชาไปเป็นเรียนสหวิชา มีครูคนหนึ่งกล่าวเน้นความสำคัญของความรู้เชิงสาระ และแสดงความกังวลว่าวิชาที่ตนสอนถูกลากสู่การเรียนรู้เพื่อทำงาน ทำให้เนื้อหาที่เรียนอ่อนลง     

ความเชื่อเรื่องการเปลี่ยนบทบาทของครูนี้ รุนแรงไม่เท่ากันในครูทั้ง ๖ คน ในกรณีที่ครูเชื่อมาก จะเห็นการจัดการเรียนรู้แบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และเอาใจใส่ความแตกต่างกันของนักเรียนอย่างชัดเจน    

ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency สรุปข้อประทับใจในภาพรวมว่า น่าประหลาดใจมาก ที่ครูปฏิเสธความรับผิดชอบของตน และในขณะเดียวกันบ่นว่าตนเองไม่ได้รับการรับฟัง ผมขอเสริมว่าครูในที่นี้หมายถึงครู ๖ คนที่เป็นครูชั้นดี ในโครงการวิจัย แต่ก็ต้องตระหนักว่า นี่คือข้อสรุปจากข้อมูลจากกระบวนการ ethnography ที่คำพูดบางส่วนอาจมาจากอารมณ์ในขณะนั้น    

ประเด็นเรื่องการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนให้ผสมผสานระหว่างวิชามากขึ้น เป็นที่ยอมรับในหลักการ แต่ในทางปฏิบัติยังมีความสับสนอยู่มาก ผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งของโรงเรียนริมทะเลสาบ ให้ความเห็นว่า การจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานวิชา ให้นักเรียนมีทางเลือกมากขึ้น ไปจนถึงการจัดการเรียนรู้เฉพาะตัว (personalized learning) เป็นเส้นทางของโรงเรียนคุณภาพสูง โดยที่ครูต้องกล้ารับความเสี่ยง และทดลองแนวทางใหม่ๆ แต่เมื่อฟังฝ่ายครู ครูทั้ง ๖ คนแสดงความกังวลในการทำงานตามแนวทางดังกล่าว ว่าหลักสูตรเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนมากเกินไป จนลิดรอนความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) ของครู 

ผมอ่านรายละเอียดของคำพูดของครูในหนังสือแล้ว ขอให้ข้อสรุปของผมเองว่า เมื่อมีหลักสูตรใหม่พร้อมคำสั่งจากหน่วยเหนือ ความรู้สึกแรกของครูคือต่อต้าน (อย่างน้อยในบางส่วน) เพราะคำสั่งเหล่านั้นมีส่วนที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในชีวิตของการทำงานของครู แต่ครูเหล่านี้ก็ต่อต้านเงียบๆ ไม่แสดงออก แต่ก็เล่าว่าคำสั่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของตนในหลากหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ตนรับผิดรับชอบต่อผลงานยากขึ้น  

ความเชื่อเรื่องเป้าหมายสูงส่งของการศึกษา

ข้อมูลจากการวิจัย และข้อวิเคราะห์ในตอนนี้มีความลึกมาก หากมองผิวเผิน ครูทั้ง ๖ คนนี้มีความเชื่อเรื่องเป้าหมายทางการศึกษาที่น่ายกย่องมาก คือมองเน้นที่ตัวศิษย์ มุ่งให้ศิษย์เรียนรู้ไม่แค่วิชาความรู้และทักษะเท่านั้น ยังมองที่การเอื้อให้นักเรียนได้ฝึกฝนปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และสมรรถนะอื่นๆ เพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต    

ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency วิเคราะห์ว่า ครูทั้ง ๖ ท่านนี้ขาดมุมมองเป้าหมายการศึกษาที่ภาพระยะยาว และภาพใหญ่ของสังคม ที่มุ่งให้นักเรียนได้รับประสบการณ์เพื่อเติบโตออกไปมีส่วนสร้างสังคมประชาธิปไตย สังคมที่มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งผมขอเพิ่มเติมมิติด้านสังคมที่มีความยุติธรรม มีความซื่อสัตย์ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ที่เราไม่ค่อยเห็นในประเทศที่เรารับถ่ายทอดระบบการศึกษามา แต่มีตัวอย่างในประเทศที่ระบบการศึกษามีคุณภาพสูงตามที่ระบุในหนังสือ การศึกษาคุณภาพสูงระดับโลก    

มองใหม่ เป้าหมายยิ่งใหญ่ของการศึกษาควรมุ่งที่การสร้างสังคมที่ผู้คนไม่แค่มุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว แต่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม เพราะให้คุณค่าของระบบนิเวศทางสังคมและเศรษฐกิจ ว่ามีผลกระทบต่อชีวิตที่ดีของบุคคล    

สรุป

ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติงาน เป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จของกิจการทุกประเภท รวมทั้งการศึกษา ในที่นี้เราพุ่งความสนใจที่ครู ที่มีความเป็นผู้มีพฤติกรรมรับผิดชอบสูงต่องานของตน เป็นผู้กำกับงานของตนเอง มีพฤติกรรมใช้ดุลยพินิจและการตัดสินใจเชิงวิชาชีพในงานประจำวันของครู ที่เรียกว่าความเป็นผู้ก่อการของครู (Teacher Agency) การดำเนินการริเริ่มสิ่งใหม่ (ในที่นี้คือหลักสูตรใหม่) ที่ต้องอาศัยบทบาทของครูเป็นหลัก หากดำเนินการแบบสั่งการจากเบื้องบน โอกาสที่จะได้ใช้พลังความเป็นครูที่ดีจะมีจำกัด เพราะความซับซ้อนของสถานการณ์ ซึ่งแก้ได้โดยการใช้บรรยากาศแนวราบ ให้โอกาสครูที่ดีเหล่านี้ร่วมเป็น “ผู้ร่วมพัฒนา” หลักสูตร (curriculum co-creator)   

ความเชื่อในคุณค่าของครูมีหลายระดับ ในปัจจุบันความเชื่อของครูต่อคุณค่าของการศึกษา และต่อคุณค่าของตนเองยังแคบเกินไป และมุ่งเป้าหมายระยะสั้นเกินไป    

ผมขอเพิ่มเติมจากมุมมองสังคมตะวันออก ว่าวงการศึกษาทางฝั่งตะวันตกยังให้คุณค่าต่อการพัฒนาด้านในของมนุษย์น้อยไป เวลานี้ในประเทศไทยมีหลายโรงเรียนนำเอาจิตศึกษา หรือจิตตปัญญาศึกษามาใช้พัฒนาคุณลักษณะด้านในหรือด้านจิตใจของนักเรียนและครู เกิดผลดีมาก เป็นประเด็นที่น่าจะมีการวิจัยผลกระทบของกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว         

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ได้ที่นี่ 

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร – The Potential

Tags:

Priestleyครูหนังสือ-วิจารณ์โจทย์วิจัยหนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher AgencyTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการ

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก
Dear ParentsBook
18 November 2022

โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • หนังสือ ‘โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก’ เขียนโดย คุณวีรพร นิติประภา นักเขียนซีไรต์ ที่บอกเล่ามุมมองของคุณแม่ผู้พยายามบอกกับพ่อแม่คนอื่นๆ ว่ายังมีแนวทางที่เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกอย่างสบายใจและเป็นอิสระต่อกันอยู่
  • แกนหลักที่หนังสือพยายามบอกในทุกๆ ตอนคือ พ่อแม่ควรมองลูกให้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่  ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง หรือเป็นความหวังของใคร
  • แนวความคิดของครอบครัวที่ว่า ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ นั้นล้าหลังและส่งผลเสียต่อจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกมาก เราจึงควรเปลี่ยนมาโอบกอดลูกให้มากที่สุด

Tags:

พ่อแม่ครอบครัวลูกการเลี้ยงดูแม่

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  •  The Road: ถึงโลกล่มสลาย…แสงสว่างยังอยู่ในใจเธอเสมอ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

พลังแห่ง Soft Skill ทักษะที่จะช่วยให้เด็กเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น
21st Century skills
17 November 2022

พลังแห่ง Soft Skill ทักษะที่จะช่วยให้เด็กเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • พลังสมอง (Brain power) พลังใจ (Mind power) และ พลังแห่งความเป็นกลุ่ม (Group power) คือสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้กับการใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีกำลังดิสรัปด้วยอัตราเร็วที่น่ากลัวอย่างปัจจุบัน
  • ในหมวดพลังสมอง นอกจากความสามารถในการค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นแล้ว เด็กๆ ควรได้เก็บรักษาความอยากรู้อยากเห็นและจินตนาการเอาไว้ให้ได้ โดยการไม่ตัดสินถูกผิดหรือบีบให้เด็กต้องเปลี่ยนความคิดให้ตรงตามโลกจริงๆ 100% โดยครูและผู้ปกครองเป็นเรื่องสำคัญมาก
  • การมีความรับผิดชอบและการมีความซื่อสัตย์ รวมไปถึงการมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีสำนึกในจริยธรรม ก็เป็นพลังใจและเข็มทิศสำคัญให้กับชีวิตได้
  • บทความนี้เป็นแค่เข็มทิศชี้ทาง เด็กๆ ต้องเลือกทางเดินด้วยตัวเองต่อไป โดยมีครูอาจารย์และผู้ปกครองคอยช่วยเหลือเติมเต็มสิ่งที่ขาด ไม่ต่างอะไรกับทุกยุคสมัยที่ผ่านมานั่นเอง

คำถามสำคัญมาก แต่ยากจะตอบ และไม่แน่ว่าจะมีคนที่รู้คำตอบจริงๆ บ้างหรือเปล่าก็คือ หากคุณต้องการระบบการศึกษาที่ดีหรือต้องการวางหลักสูตรให้กับเยาวชนในรุ่นปัจจุบัน คุณคิดว่าเด็กๆ ควรจะเรียนรู้อะไรบ้าง? มีความรู้หรือทักษะอะไรบ้างที่สำคัญและจำเป็นอย่างขาดเสียมิได้กับการใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีกำลังดิสรัป (disrupt) ไปเสียทุกอย่างในชีวิตด้วยอัตราเร็วที่น่ากลัวมากอย่างปัจจุบัน

เมื่อดูจากแหล่งอ้างอิงต่างๆ [1–4] ก็พบว่า ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยอ่านมาก่อนๆ หน้านี้มากนัก ความแตกต่างอาจมีแค่เพียงคำที่เรียกหรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่โดยสรุปแล้วจะเหมือนกันหมดก็คือ ต้องเสริมสร้างกำลังอำนาจใน 3 ด้านคือ (1) พลังสมอง (Brain power) (2) พลังใจ (Mind power) และสุดท้าย (3) พลังแห่งความเป็นกลุ่ม (Group power) 

ในที่นี้นอกจากแบ่งตามด้านทั้ง 3 ด้านดังกล่าวข้างต้นแล้ว ขอแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 10 ข้อ แต่ก่อนจะกล่าวถึงความสามารถแรกซึ่งแตกต่างมากจากความสามารถอื่นใดในอดีต ต้องตระหนักเสียก่อนว่า เราอยู่ในยุคที่มีข้อมูลมากมายมหาศาลในปัจจุบัน กล่าวคือมีข้อมูลราว 2.5 ล้านล้านล้านไบต์ (หรือ 2.5 x 1018 ไบต์) ต่อวัน ไบต์ก็คือหน่วยทางดิจิทัลที่ใช้คำนวณและเก็บข้อมูล โดยข้อมูลราว 90% ของทั้งหมดในโลกเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ 2 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น! [5]

ด้วยเหตุนี้เอง ความสามารถแรกในหมวดพลังสมอง จึงไม่ใช่ความสามารถในการจดจำข้อมูลให้ได้มากๆ ดังเช่นอดีต เพราะกลายเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เสียแล้วที่เราจะจดจำข้อมูลมากมายมหาศาลเช่นนั้นในชั่วชีวิตเรา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เด็กรุ่นนี้ต้องมีความสามารถในการค้นหาข้อมูลและต้องวิเคราะห์เป็น (Accessing and Analyzing Ability) สามารถแยกแยะได้ว่า ข้อมูลเหล่านั้นมีระดับความน่าเชื่อถือเพียงใด 

คนที่ทำเรื่องนี้ได้กับไม่ได้ จะแตกต่างกันทั้งในเรื่องตัวเลือกวิชาชีพในอนาคต ความรู้ความสามารถอื่นๆ ที่อาจจะเพิ่มพูนขึ้นได้ และระดับรายได้หรือชื่อเสียง ฯลฯ 

การฝึกทักษะเรื่องนี้ทำไม่ยาก คุณครูหรืออาจารย์อาจตั้งโจทย์ให้ค้นหาข้อมูลที่มีรายละเอียดจำเพาะมากสักหน่อย เพื่อทดสอบว่าหาเป็นหรือไม่ และให้ค้นในหัวข้อที่มีความคาบเกี่ยวเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือ ‘วิทยาศาสตร์เทียม’ (pseudoscience) แล้วดูว่าเด็กๆ แยกแยะข้อมูลที่หาได้ดีเพียงใด   

ยกตัวอย่าง ให้หาข้อมูลว่าน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมมีจริงหรือไม่? และดีต่อร่างกายจริงหรือ? หรือเราควรดื่มน้ำที่มี pH เป็นด่างจริงหรือไม่? เพราะเหตุใด? 

ทักษะที่ 2 และ 3 ซึ่งอยู่ในหมวดพลังสมองเหมือนกันคือ ต้องมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical thinking) สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้อมูลที่ได้รับว่าดี แย่ มีหลักการที่สมเหตุสมผลแค่ไหน หรือหลอกลวงทั้งเพ กับความสามารถในการคิดแก้ปัญหา (Problem solving) ตรงหน้า แต่โจทย์ปัญหาในชีวิตจริงมักจะซับซ้อนและมีตัวแปรที่มองเห็นยากปะปนอยู่มาก จึงควรต้องหัดคิดและลงมือแก้ปัญหาตั้งแต่เด็ก จึงจะกลายเป็นทักษะที่ติดตัวไปตลอดชีวิตได้ 

ความคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาสามารถแทรกอยู่ในวิชาต่างๆ ได้สารพัด ทั้งวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่วรรณคดี ฯลฯ 

นอกจากนี้ คุณครูยังอาจสร้างสถานการณ์สมมุติเพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์หรือแก้ปัญหา โดยพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาอาจจะต้องนำสิ่งที่เราเรียนรู้จากคลาสต่างๆ มาใช้ได้อย่างไร เช่น หากย้อนเวลากลับไปตอนต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด หากได้เป็นนายกฯ จะทำและไม่ทำอะไร ฯลฯ 

ทักษะที่ 4 ที่เป็นข้อสุดท้ายในหมวดพลังสมองได้แก่ การเก็บรักษาความอยากรู้อยากเห็นและจินตนาการเอาไว้ให้ได้ โดยธรรมชาติเด็กๆ จะมีความอยากรู้อยากเห็นและจินตนาการมากอยู่แล้ว เพราะต้องการสำรวจโลกรอบตัวและหาความเชื่อมโยงกับความคิดฝันของตัวเอง 

แต่ปัญหาใหญ่ที่พบคือ ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง เพื่อนๆ หรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อาจค่อยๆ ปรับให้แต่ละคนเชื่อมโยงกับโลกความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์จึงกลายเป็นมีแต่สีเหลือง ดอกทานตะวันก็เช่นกัน กุหลาบสีดำกลายเป็นของประหลาด ฯลฯ 

ไม่ใช่เด็กทุกคนที่บอกว่าอยากเป็นนักบินอวกาศหรืออยากไปเหยียบดาวอังคาร จะได้รับการชมเชยหรือยอมรับโดยคนรอบข้าง ยังไม่ต้องไปพูดถึงเด็กที่อยากเป็นซูเปอร์แมน แบทแมน หรือไอรอนแมน 

การไม่ตัดสินถูกผิดหรือลงโทษจินตนาการแปลกๆ หลุดโลก หรือบีบให้เด็กต้องเปลี่ยนความคิดหรือจินตนาการให้ตรงตามโลกจริงๆ 100% ไม่ผิดเพี้ยน โดยครูและผู้ปกครองจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก 

แต่แค่กำลังความคิดยังไม่พอ เด็กๆ ควรจะต้องเติบโตพร้อมกับความสามารถในการควบคุมความต้องการของตนเองให้เหมาะสมกับกาลเทศะตามสมควร ความอดทนอดกลั้นต่อความต้องการมักได้รับการอ้างอิงว่าเป็นตัวชี้วัด (indicator) สำคัญสำหรับอนาคตของเด็กแต่ละคน 

ดังการทดลองที่เรียกว่า การทดลองสแตนฟอร์ดมาร์ชแมล์โลว์ (Stanford Marshmallow Experiment) โดยนักจิตวิทยาชื่อ วอลเทอร์ มิสเชล (Walter Mischel) ใน ค.ศ. 197 ที่นักวิจัยพบว่าเด็กที่ควบคุมความต้องการตัวเองได้ดี ไม่กินมาร์ชเมลโลว์ที่วางไว้ตรงหน้าในช่วงเวลาหนึ่ง จนทำให้ได้รับ ‘โบนัส’ เพิ่มอีกชิ้นหนึ่งในภายหลัง เมื่อโตขึ้นแล้วมักประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า บางคนก็โยงกว่าเรื่องนี้สอดคล้องกับเรื่องอีคิว (EQ) ด้วยเช่นกัน [6]

ขณะที่บางคนก็เชื่อมโยงความมุ่งมั่นแบบนี้เข้ากับเรื่องกริต (Grit) ที่มีนักจิตวิทยาชื่อ แองเจลา ดั๊กเวิร์ธ (Angela Duckworth) วิจัยเพื่อค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในคนหลากหลายอาชีพ แล้วพบว่า “กริต” หรือความมุ่งมั่นและความสามารถในการควบคุมตัวเอง ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มีกรอบความคิดที่เติบโตได้คือ ไม่กลัวล้ม ล้มแล้วลุกได้เสมอ มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความสำเร็จในชีวิต [7]  

นอกจากการควบคุมตัวเองได้แล้ว การมีความรับผิดชอบและการมีความซื่อสัตย์ (Responsibility and Integrity) รวมไปถึงการมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีสำนึกในจริยธรรม (Sympathy and Ethical Awareness) ก็เป็นพลังใจและเข็มทิศสำคัญให้กับชีวิตได้ การอ่านประวัติชีวิตคนสำคัญมีส่วนช่วยในเรื่องพวกนี้มาก ขณะที่การฝึกหัดให้มีการเล่นบทบาทสมมุติ (Role play) และการสลับบทบาทกันของแต่ละคน ก็เป็นกิจกรรมที่ทำได้ในห้องเรียนและส่งเสริมคุณลักษณะนิสัยแบบนี้เช่นกัน 

มาถึงหมวดสุดท้ายคือ เรื่องของทักษะทางสังคมหรืออำนาจของกลุ่ม ประกอบไปด้วยทักษะการสื่อสาร (Communication skill) ทักษะความร่วมมือ (Collaboration skill) และสุดท้ายคือทักษะในการปรับตัว (Adaptability skill) 

มนุษย์มีธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสำคัญมากต่อความอยู่รอดและความเป็นอยู่ที่ดี ในการนี้การสื่อสารระหว่างกันย่อมมีความสำคัญมาก ทักษะการฟังและจับใจความสิ่งที่คนอื่นพูด และอาจรวมไปถึงสิ่งที่ไม่ได้พูด แค่ดูจากท่าทางก็พอคาดเดาได้ว่า คนผู้นั้นคาดหวังอะไรไว้ในใจจึงมีความสำคัญมาก ในทางกลับกัน ทักษะการนำเสนอผ่านการพูดหรือการเขียนตอบ ก็สำคัญมากๆ เช่นเดียวกัน เพราะอาจทำให้เราได้งานหรือตกงาน มีสัมพันธภาพที่ดีหรือแย่กับผู้อื่น ฯลฯ 

การฝึกพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยระดับเสียงที่ดังพอดี ไม่เบาจนเหมือนกระซิบหรือดังราวกับตะโกน ความเร็วในการพูดที่พอดิบพอดี ท่วงทำนองการพูดที่มีจังหวะจะโคนและน่าฟัง รวมไปถึงท่าทางขณะพูด การส่งสายตาให้กับคนฟัง การใช้มือช่วยประกอบการอธิบายอย่างสอดคล้องกัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สอนและเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น และหากทำได้ดีก็จะกลายเป็นทักษะสำคัญที่ติดตัวไป ทำให้ได้เปรียบในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน 

การเรียนภาษาที่ 2 และแม้แต่ภาษาที่ 3 หากชอบหรือสนใจ ภาษาที่มีคนทั่วโลกใช้มากก็ทำให้สามารถเข้าถึงความรู้และปัญญาจากแหล่งอื่นมากกว่าเพียงภาษาไทย ภาษาสหประชาชาติอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน สเปน สเปน และอาหรับ มีประโยชน์เพราะเข้าถึงคนจำนวนมากในหลากหลายดินแดน นอกจากนี้ ยังอาจนับรวมเอาภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า เรียนโค้ดดิ้ง (coding) ไว้ได้ด้วยเช่นกัน 

ในขณะที่การร่วมมือกันทำสิ่งต่างๆ แบบกลุ่ม การได้เรียนรู้บทบาทความเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดี การผ่อนหนักผ่อนเบา การโดนเอาเปรียบหรือหักหลัง ล้วนเป็นบทเรียนชีวิตสำคัญที่ต้องเรียนรู้ 

กิจกรรมในชั้นเรียนที่เน้นการทำงานแบบกลุ่มที่ ‘ทำด้วยกัน’ จริงๆ ไม่ได้ตัดแบ่งงานเป็นส่วนๆ จึงมีส่วนฝึกฝนให้คุ้นเคยและเข้าใจถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ เด็กๆ ควรจะได้รับโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มในรูปแบบต่างๆ และครูอาจารย์ต้องหมั่นสังเกตและตรวจสอบว่า ไม่มีคนที่โดนแกล้ง (bully) หรือบอยคอตต์จากกลุ่ม ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นคนเก็บตัว (introvert) หรือเป็นคนเปิดเผยกล้าแสดงออก (extrovert) ก็ตาม 

สุดท้ายคือ ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) ยิ่งทำได้ไว และยิ่งมีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องนี้ ก็จะทำให้รับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงซึ่งมีมากขึ้นและรวดเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เด็กที่มีจิตใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่มองว่าเป็นเรื่องเลวร้ายตลอดเวลา แต่ปรับตัวได้ มองเห็นโอกาสที่อาจฉวยจับได้จากสถานการณ์อันยุ่งยากและหนักหนานั้น ก็ย่อมประสบความสำเร็จได้มากกว่า 

จะสังเกตได้ว่าทั้ง 10 ข้อที่ว่ามา ไม่ได้กล่าวถึง hard skill คือ วิชาต่างๆ ในกลุ่มสะเต็ม (STEM) เลย ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพราะหากมี soft skill ดังที่ว่ามาคือ มีพลังสมอง พลังจิตใจ และพลังกลุ่ม ดังที่ว่ามาแล้ว ไม่ว่าจะเรียนวิชาหรือสาขาอะไร ก็ล้วนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นไม่แตกต่างกัน โรงเรียนและครูเองก็ต้องปรับตัวมาส่งเสริมทักษะเหล่านี้มากขึ้น เพราะสำคัญและจำเป็น ไม่แพ้ hard skill ต่างๆ ในแต่ละสาขาวิชา ยิ่งนำไปใช้กับการเรียน STEM ก็ยิ่งดี

นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกบางเรื่องที่หลายคนคิดว่าจำเป็นมากๆ เช่น ความรู้ด้านการเงินและการลงทุน รวมไปถึงจิตวิทยาเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน เช่น เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ฯลฯ อีกด้วย  

ทั้งหมดนั้นไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ แต่แทบทั้งหมดรวบรวมจากความเห็นของผู้บริหารในบริษัทธุรกิจ หน่วยงานไม่แสวงผลกำไร และนักวิชาในสถาบันการศึกษาต่างๆ หลายร้อยคนที่มาช่วยให้ความเห็นว่า ในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น ทักษะใดที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญและจำเป็น [1]  

บทความนี้เป็นแค่เข็มทิศชี้ทาง เด็กๆ ต้องเลือกทางเดินด้วยตัวเองต่อไป โดยมีครูอาจารย์และผู้ปกครองคอยช่วยเหลือเติมเต็มสิ่งที่ขาด ไม่ต่างอะไรกับทุกยุคสมัยที่ผ่านมานั่นเอง

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.teachthought.com/the-future-of-learning/skills-students-need/

[2] https://www.umassglobal.edu/news-and-events/blog/what-is-21st-century-learning

[3] https://www.cambridge.org/elt/blog/2019/05/30/prepare-students-future/

[4] https://www.edutopia.org/blog/prepare-students-challenges-of-tomorrow-judy-willis

[5] https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2018/05/21/how-much-data-do-we-create-every-day-the-mind-blowing-stats-everyone-should-read/?sh=23c0216360ba

[6] https://en.wikipedia.org/wiki/Stanford_marshmallow_experiment

[7] https://en.wikipedia.org/wiki/Angela_Duckworth

Tags:

ความฝันทักษะแบบอ่อนหยุ่น (soft skill)เด็กยุคดิสครัปชันความสำเร็จทักษะศตวรรษที่ 21

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Movie
    School town king: การศึกษาที่ไม่มีที่ให้ความแตกต่าง ไม่เอื้อให้ครอบครัวยินดีกับฝันที่ไม่เหมือนกันของเด็ก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘Bai Lan’ เมื่อชีวิตไม่อยากทำอะไร นอกจากการตื่นสายและใช้ชีวิตไปวันๆ
13 November 2022

‘Bai Lan’ เมื่อชีวิตไม่อยากทำอะไร นอกจากการตื่นสายและใช้ชีวิตไปวันๆ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Bai Lan คือภาวะที่คนจีนรุ่นใหม่ขาดความทะเยอทะยานในการดำรงชีวิตและใช้ชีวิตอยู่บ้านไปวันๆ โดยไม่พะวงกับอนาคต
  • คนส่วนมากที่ประสบภาวะนี้ มักเบื่อหน่ายกับการทำงานหนัก ซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน และให้ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นสู้ปล่อยให้ชีวิตเน่าไปบ้างก็ไม่เป็นไร 
  • การใช้ชีวิตตามอัตภาพทำให้ทางการจีนหรือคนรุ่นก่อนมองว่า Bai Lan เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศชาติ และขัดต่อ Zhong Guo Meng (ความฝันของจีน) ที่ว่าคนรุ่นใหม่ต้องเพียรทำงานเพื่อเติมเต็มความฝันและมีส่วนให้ชาติกลับมีชีวิตอีกครั้ง

แม้ภาพลักษณ์ความขยันขันแข็งของคนจีนจะเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก แต่ภาพลักษณ์ดังกล่าวกำลังถูกท้าทายด้วยภาวะ Bai Lan หรือ การ ‘ปล่อยให้มันเน่าไปเถอะ’ ที่เกิดขึ้นกับเหล่าลูกหลานมังกรจำนวนมาก

สำหรับ Bai Lan เป็นภาวะที่คนรุ่นใหม่หมดแพสชันกับการทำงาน เพราะต่อให้พวกเขาขยันแทบตายก็ไม่มีวันรวยขึ้น แถมยังเสียสุขภาพกายสุขภาพจิตอีกต่างหาก ดังนั้นเมื่อระบบเศรษฐกิจต่างๆ ไม่เอื้อให้คนรุ่นใหม่ลืมตาอ้าปากได้ง่ายเหมือนกับคนรุ่นก่อนๆ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงชีวิตอันแสนวุ่นวายด้วยการอยู่บ้าน เล่นเกมเล่นมือถือ กินอาหารประหยัดๆ และนอนหลับยาวๆ เพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวัน

แน่นอนว่าความคิดนี้สวนทางกับประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ปลูกฝังให้คนหนุ่มสาวขยันทำงานเพื่ออนาคตที่มั่งคั่ง หรือแม้กระทั่งคำพูดยอดฮิตประเภท ‘งานหนักไม่ทำให้ใครตาย’

ขณะเดียวกันถึงความขยันจะเป็นเรื่องที่ดี และมีตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จให้เห็นมากมาย ทว่าในยุคสมัยนั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อัตราการแข่งขัน การแย่งงาน รวมถึงค่าครองชีพที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ ก็ยังไม่รุมเร้าคนรุ่นก่อนมากนักเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยหมดไฟและอยากใช้ชีวิตง่ายๆ ตามอัตภาพ

นอกจากกับดักที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือมุมมองที่ว่าการทำงานหนักให้ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า ชาวจีนรุ่นใหม่ยังมองว่าการปล่อยให้ชีวิตเน่าบ้างได้ช่วยให้พวกเขามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เพราะไม่ต้องเครียดกับงานที่บีบรัดและความคาดหวังของสังคม

“สังคมสอนให้เด็กโฟกัสไปที่เงิน มองไปที่แมนชั่นของคนรวย ดูรถซูเปอร์คาร์ ไหนจะเฮลิคอปเตอร์และเรือยอร์ช เห็นไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนวัดจากเงินทั้งนั้น คนรุ่นใหม่จึงเป็นเจนเนอเรชั่นที่ว่างเปล่า เหงา เศร้า และน่าสงสาร” ชาวจีนคนหนึ่งกล่าวผ่าน China Insights

เมื่อผู้คนสนใจเรื่อง Bai Lan มากขึ้น ทางการจีนเองก็ไม่รอช้าและพยายามตอบโต้กระแส Bai Lan ผ่านทางสื่อต่างๆ ของภาครัฐในทำนองว่า Bai Lan ไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจ และขัดต่อ Zhong Guo Meng (ความฝันของจีน) ที่ว่าคนรุ่นใหม่ต้องเพียรทำงานเพื่อเติมเต็มความฝันและมีส่วนให้ชาติกลับมีชีวิตอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่าชาว Bai Lan หลายคนไม่สนไม่แคร์ว่าจะถูกมองยังไง แถมยังเปรียบเทียบตัวเอง โดยนำสองสุภาษิตจีนมาอธิบายอย่างน่าสนใจ

สุภาษิตแรกคือคำว่า ‘ทำลายหม้อน้ำและจมเรือ’ หมายความว่าเมื่อเราผลักดันตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง เราอาจสามารถกระตุ้นศักยภาพภายในซึ่งอาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปในทางที่ดีขึ้น

หรืออีกสุภาษิตหนึ่งที่ว่า ‘หมูที่ตายแล้วไม่กลัวน้ำร้อน’ เพราะพวกเขามองว่าทัศนคติของการปล่อยให้มันเน่านำไปสู่การปล่อยวางที่ง่ายขึ้น เมื่อปล่อยวางได้ก็รู้สึกเครียดน้อยลงและใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างมีความสุขมากขึ้น

นอกจากกระแส Bai Lan ที่จีนแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่แทบทุกสังคม โดยมีคำที่ถูกใช้ในความหมายคล้ายๆ กัน อย่าง ‘NEET’ (นีต) ซึ่งย่อมาจาก Not in Education, Employment, or Training ใช้เรียกกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ฝึกงาน หรือทำงาน (อ่านบทความเรื่อง ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย)

NEET ถูกใช้ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษช่วงปี 1990 ก่อนจะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีคำว่า ‘นีตโตะ’ หรือการที่คนๆ หนึ่งใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ได้กำลังเรียนหนังสือ ทำงาน หรือฝึกงานใดๆ ทั้งสิ้น โดยชาวนีตในญี่ปุ่นส่วนมากคือคนเจนเนอเรชั่น Y และ Z ที่เลือกใช้ชีวิตอยู่บ้าน และใช้เงินของพ่อแม่ ซึ่งสาเหตุก็คล้ายๆ กับ Bai Lan นั่นคือการทำงานหนักแล้วไม่คุ้มค่ากับพลังชีวิตและสุขภาพจิตที่เสีย รวมไปถึงความรู้สึกสิ้นหวังต่อเรื่องต่างๆ ในสังคม

ดังนั้นคำถามที่สำคัญกว่า Bai Lan, NEET หรือ นีตโตะ คือประเทศต่างๆ มีความพร้อมในการรับมือหรือจัดการกับภาวะเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว เราต้องยอมรับความจริงว่านโยบายของแต่ละประเทศต่างมุ่งเน้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากกว่าการใส่ใจความสุขมวลรวมของประชาชน

อ้างอิง

www.51cmm.com : 摆烂是什么意思?如何看待摆烂?摆烂有什么好处?

China InSights (Youtube Channel) : Chinese Youth : ‘Let it Rot’new high of lying flat 

Tags:

ภาวะเบื่อหน่ายกับการทำงานหนักความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการแข่งขันburn outNeetการใช้ชีวิตBai Lan

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • The Greatest Game Ever Played: เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือเกมที่เล่นกับตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    เมื่อคำว่า ‘แพ้’ รุนแรงต่อชีวิต ความพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และผู้แพ้ไม่ควรถูกละเลย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง (ความโง่เขลาของมนุษย์ก็เช่นกัน)
Book
11 November 2022

แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง (ความโง่เขลาของมนุษย์ก็เช่นกัน)

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • เอริช มาเรีย เรอมาร์ก เด็กหนุ่มอายุ 18 ที่แม้จะรอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 มา แต่ความเป็นคนของเขา กลับหลงเหลือกลับมาเพียงเศษเสี้ยว จนกระทั่งเขาค้นพบการเยียวยา ด้วยการเขียนหนังสือที่เป็นเหมือนบันทึกเหตุการณ์สมัยออกรบ
  • หนังสือ ‘แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’ บอกเล่าชีวิตในสงคราม ผ่านปากคำของตัวละครชื่อ เพาล์ บอยเมอร์ ตัวแทนของเด็กหนุ่มทุกคนในโลก ที่กระโจนเข้าสู่สมรภูมิรบ เป็นวรรณกรรมภาษาเยอรมันที่ขายดีที่สุดในโลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมต่อต้านสงครามที่ทรงพลังที่สุด
  • เรื่องราวในหนังสือ ปิดฉากลงด้วยบทสุดท้าย ซึ่ง พอล บอยเมอร์ ตายก่อนสงครามจะสิ้นสุด เขาตายในวันที่การสู้รบเงียบสงัด วันที่แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับความเขลาของมนุษย์

มนุษย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เฉลียวฉลาดกว่าสัตว์อื่นๆ ขณะที่นักวิชาการทางด้านศาสนาและปรัชญา เชื่อว่า มนุษย์มีจิตใจที่สูงส่งกว่าสัตว์ชนิดอื่น รู้จักคุณธรรม ความดีเลว ทำให้มนุษย์สามารถประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ชอบด้วยจริยธรรมอันงดงาม แตกต่างจากสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการแสดงพฤติกรรมต่างๆ

แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

หากดูจากประวัติศาสตร์ในช่วงเวลากว่า 2 ล้านปีที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลก หรือเอาแค่ 50,000 ปี ที่มนุษย์เริ่มมีสิ่งที่เรียกว่า ‘วัฒนธรรม’ และความเชื่อในเรื่องนามธรรม เราจะพบว่า ‘มนุษย์’ หาใช่สัตว์ประเสริฐอย่างที่ยกย่องตัวเองไม่ ตรงกันข้าม มนุษย์ อาจเป็นสัตว์ที่โง่เขลาเบาปัญญาและไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยซ้ำ

สงคราม คือ หนึ่งในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนคำกล่าวข้างต้น เพราะในขณะที่สัตว์ชนิดต่างๆ อาจเข่นฆ่าสัตว์อื่น รวมถึงสัตว์ที่ร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกับตน เพื่อกินเป็นอาหาร เพื่อป้องกันตัว หรือเพื่อปกป้องอาณาเขต แต่มนุษย์ เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่เข่นฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ด้วยเหตุผลที่แสนจะไร้เหตุผลว่า พวกเขามีความเชื่อ ความคิด หรืออุดมการณ์ที่แตกต่างจากพวกเรา

วรรณกรรมต่อต้านสงคราม คือ ความพยายามป่าวร้องให้มนุษย์เห็นถึงความเลวร้ายของสงคราม หากนับจนถึงปัจจุบัน โลกมีวรรณกรรมต่อต้านสงครามดีๆ หลายร้อยเล่ม แต่ไม่มีเล่มไหนที่ได้รับการยกย่องเทียบเท่ากับหนังสือเรื่อง แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ All Quiet On The Western Front ซึ่งว่ากันว่า เป็นหนังสือที่ตีแผ่ความโหดร้ายของสงครามอย่างตรงไปตรงมา พร้อมตอกย้ำความโง่เขลาเบาปัญญาของมนุษย์ผู้อ้างตัวเป็นสัตว์ประเสริฐ

ในบรรดาสงครามครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือที่บางคนตั้งฉายาว่า สงครามสนามเพลาะ นับเป็นสงครามที่นองเลือดและโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักการจับอาวุธขึ้นเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเดียวกัน

สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายมหาอำนาจกลาง อันประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี กับฝ่ายสัมพันธมิตร อันประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย แม้ว่าสงครามครั้งนี้ จะกินเวลาเพียง 5 ปี คือ ระหว่างปี 1914-1919 แต่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 ล้านคน

ทั้งนี้ เนื่องจากการสู้รบในสนามเพลาะ เป็นยุทธวิธีรบที่ยืดเยื้อและกดดัน คู่สงครามทั้งสองฝ่าย ต่างขุดสนามเพลาะเพื่อเป็นแนวรบตั้งประจันเข้าหากัน โดยมีปืนใหญ่คอยยิงสนับสนุนอยู่ด้านหลัง และมีแนวลวดหนามขึงสกัดอยู่ด้านหน้า 

ด้วยความที่เทคโนโลยีการทหารในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เน้นไปที่การใช้อาวุธปืนของทหารราบเป็นหลัก (ต่างจากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ใช้อาวุธหนัก อย่างรถถังและเครื่องบินทิ้งระเบิด) ทำให้การรุกคืบเพื่อช่วงชิงดินแดนเป็นไปอย่างเชื่องช้าและน่าอึดอัด โดยทหารราบของทั้งสองฝ่าย ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในสนามเพลาะแทบจะทั้งวันทั้งคืน จะเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ทำหน้าที่เพียงแค่โผล่หัวขึ้นมาเหนือสนามเพลาะเพื่อสาดกระสุนใส่ข้าศึก และพยายามรุกช่วงชิงดินแดน หรือสนามเพลาะของฝ่ายข้าศึก ทีละคืบ…ทีละคืบ

ว่ากันว่า ใครก็ตามที่ถูกส่งตัวไปอยู่แนวหน้าในสนามเพลาะ จะอยู่ได้ไม่เกิน 3 สัปดาห์ หากไม่เสียชีวิต บาดเจ็บพิการ หรือถึงขั้นเสียสติไปก็มี ทำให้ต้องมีการหมุนเวียนกำลังพลที่แนวหน้าอยู่บ่อยๆ 

เอริช มาเรีย เรอมาร์ก เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 18 เมื่อตอนที่สมัครเป็นทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประสบการณ์อันเลวร้ายของการสู้รบในสนามเพลาะ ความตายของผองเพื่อน ความเจ็บปวดในค่ายพยาบาล รวมไปถึงความรวดร้าวจากการต้องเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์เพื่อเอาตัวรอดในสงคราม ค่อยๆ กัดกร่อนจิตวิญญาณของเขาลงทุกทีๆ

แม้จะรอดชีวิตจากสงครามได้ แต่ความเป็นคนของเขา กลับหลงเหลือกลับมาเพียงเศษเสี้ยว เรอมาร์ก มีอาการบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง จนกระทั่งเขาค้นพบการเยียวยา ด้วยการเขียนหนังสือที่เป็นเหมือนบันทึกเหตุการณ์สมัยออกรบ

และหนังสือเล่มนั้น ก็คือ ‘แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’ ซึ่งกลายเป็นวรรณกรรมภาษาเยอรมันที่ขายดีที่สุดในโลก ด้วยยอดขายกว่า 20 ล้านเล่ม และได้รับการยกย่องว่า เป็นวรรณกรรมต่อต้านสงครามที่ทรงพลังที่สุด

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เป็นการบอกเล่าชีวิตในสงคราม ผ่านปากคำของตัวละครเด็กหนุ่มชื่อ เพาล์ บอยเมอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของเรอมาร์ก หากยังเป็นตัวแทนของเด็กหนุ่มทุกคนในโลก ที่กระโจนเข้าสู่สมรภูมิรบ ด้วยจิตใจฮึกเหิมและใสซื่อ ก่อนจะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว การรบในสงคราม หาใช่การแสดงความรักชาติเหมือนเช่นที่ผู้ใหญ่ในแนวหลัง ป่าวประกาศปลุกใจอยู่เนืองๆ หากแต่เป็นแค่การดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ โดยต้องอาศัยการกระทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ โดยละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษยธรรม’ ไว้ข้างหลัง

“เรากลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว เราไม่ได้สู้รบ เราป้องกันความพินาศของเราต่างหาก… ไม่ใช่สำหรับอะไรเลย  สำหรับรอดตายเท่านั้น แม้แต่บิดาของท่านมาเองกับข้าศึก ท่านก็ไม่เว้นที่จะขว้างลูกระเบิดไปให้”

เหมือนเช่นที่อัลแบร์ท สหายของบอยเมอร์ กล่าวไว้ว่า “สงครามได้ทำลายเราเสียจนสิ้นเชิง” ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องเผชิญในสมรภูมิรบ ได้เปลี่ยนเด็กหนุ่มไร้เดียงสา ผู้ยังไม่รู้จักโลก ผู้ยังไม่รู้จักความรัก ให้กลายเป็นเครื่องจักรสงครามที่ทำหน้าที่สาดกระสุนปืนในแต่ละวันให้จบๆ ไป

แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อตอนที่บอยเมอร์ได้ลากลับบ้าน ได้หวนคืนสู่โลกอันแสนสงบ ได้พบหน้าแม่และพี่สาว ได้พบเจอสิ่งคุ้นเคยในวัยเด็ก ทว่า เขากลับไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสิ่งเหล่านั้นได้อีกแล้ว จนถึงขั้นเอ่ยปากว่า “ข้าพเจ้าไม่ควรลามาบ้านเลยทีเดียว”

สงครามได้เปลี่ยนเด็กหนุ่มไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เขาพูดถูก เราไม่เป็นหนุ่มเสียแล้ว เราไม่ต้องการที่จะหยิบแย่งเอาโลก เรากำลังจะหนี หนีจากตัวเราเอง หนีจากชีวิต เราอายุสิบแปด ได้ตั้งต้นที่จะรักโลกและรักชีวิต แล้วเรากลับต้องยิงมันเสียจนแหลกไป ลูกระเบิดลูกแรก เสียงระเบิดครั้งแรก ได้ระเบิดในดวงใจเรา เราถูกตัดขาดจากการงาน จากการแข่งขัน จากความเจริญ เราไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ต่อไปแล้ว…

เราเชื่อในการสงคราม

แน่นอน บอยเมอร์ ไม่ได้ชื่นชอบสงครามหรือการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ หรอก เพียงแต่ว่าชีวิตในสนามเพลาะที่แนวรบตะวันตก กลายเป็นโลกใบเดียวที่เขารู้สึกยึดโยงได้ กลายเป็นโลกใบเดียวที่เขารู้จักไปเสียแล้ว

และก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ในสมรภูมิอื่นๆ คนที่ปลุกใจให้พวกเขาฮึกเหิม จนต้องแสดงความรักชาติ ด้วยการกระโจนเข้าสู่สงคราม มักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในแนวหลัง ผู้ไม่ต้องหลั่งเลือดหรือน้ำตา เพียงแค่ใช้วาจาก็เพียงพอจะเป็นผู้รักชาติได้แล้ว

บอยเมอร์และผองเพื่อน ตัดสินใจสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ ตามคำปลุกเร้า (หรือปลุกปั่น) ของคันทอเรค ผู้เป็นครูของพวกเขา ซึ่งมักพูดด้วยน้ำเสียงเชิงอ้อนวอนทุกครั้งที่พบเจอหน้ากันว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านจะไม่สมัครไปสงครามทีเดียวหรือ?”

โยเซฟ เบม เพื่อนคนหนึ่งของบอยเมอร์ เป็นเด็กหนุ่มรักสันติ เขาไม่อยากไปรบหรอก แต่ด้วยแรงกดดันถึงขั้นขู่จะไล่ออกจากโรงเรียน ทำให้ในที่สุด เบม ต้องสมัครเป็นทหารเข้าร่วมรบในสมรภูมิด่านหน้า และเขากลายเป็นเพื่อนคนแรกของบอยเมอร์ ที่ตายเปล่าในสงครามที่สูญเปล่า

ความตายของผองเพื่อน ทำให้บอยเมอร์เข้าใจความจริงของสงคราม ซึ่งคนตายมักอยู่แนวหน้า แต่คนกล้ามักอยู่แนวหลัง แต่เขาไม่ได้โกรธแค้นหรือกล่าวโทษใคร สิ่งเดียวที่เขาและทหารหนุ่มคนอื่นๆทำได้ ก็แค่ยอมรับสภาพ และพยายามเอาตัวรอดไปในแต่ละวัน

“ในเรื่องนี้ เราจะไปโทษคันทอเรคไม่ได้… คนอย่างคันทอเรคคงมีอีกหลายพัน ต่างก็นึกว่ามีทางเดียวที่จะทำความดี คือ ทางของตนเอง”

แม้ว่าหนทางในการทำความดีของแต่ละคน อาจจะแตกต่างกันได้ แต่ก็ไม่ควรจะเป็นหนทางที่นำไปสู่สงคราม-มิใช่หรือ

วรรณกรรมต่อต้านสงคราม ซึ่งเป็นเหมือนการเขียนบันทึกเพื่อเยียวยาบาดแผลในใจของเรอมาร์ก ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ตั้งแต่ออกตีพิมพ์ในปี 1928 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ปิดฉากลงเกือบสิบปี เขากลายเป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นที่สาบสูญ หรือที่เรอมาร์กใช้คำว่า “คนรุ่นหลัง ซึ่งแม้จะรอดพ้นกระสุน แต่ก็ถูกทำลายโดยสงคราม”

เรอมาร์ก เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “ผมเคยเชื่อมาตลอดว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ทุกคนล้วนเกลียดชังและต่อต้านสงคราม จนกระทั่งผมพบว่า มีคนที่ชื่นชอบในสงครามอยู่จริง โดยเฉพาะพวกที่ไม่ต้องออกไปสู้รบที่แนวหน้า”

หลังจากหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ได้ไม่นาน พรรคนาซี ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ ซึ่งขึ้นมาครองอำนาจทางการเมืองในเยอรมนี ประกาศคว่ำบาตรหนังสือเล่มนี้ 

เรื่องราวในหนังสือ ปิดฉากลงด้วยบทสุดท้าย ซึ่ง พอล บอยเมอร์ ตายก่อนสงครามจะสิ้นสุด เขาตายในวันที่การสู้รบเงียบสงัด วันที่แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

และความโง่เขลาของมนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เพราะอีกเพียง 20 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ปะทุขึ้น และกลายเป็นสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดเท่าที่เคยมีสงครามเกิดขึ้นบนโลกใบนี้

แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ความโง่เขลาของมนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง… ตลอดไป

หมายเหตุ – ประโยคที่ใช้ตัวเอนในบทความชิ้นนี้ มาจากหนังสือ “แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับภาษาไทย ที่ทรงแปลโดย ม.จ.ขจรจบกิตติคุณ กิติยากร สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์

Tags:

วรรณกรรมมนุษย์บาดแผลทางจิตใจสงครามโลกสงครามการเอาตัวรอด

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Green Book: มิตรภาพบนความต่าง คือบทสนทนาของหัวใจที่เปิดกว้างละวางอคติ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear Parents
    ถ้าพ่อนึกถึงความเจ็บปวดในวัยเด็กของตัวเองสักนิดคงไม่ทำร้ายจิตใจผมในแบบเดียวกัน

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesCreative learning
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    Charlie and the Chocolate Factory: ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ต้นทางชีวิตและความฝันของเด็ก…เริ่มต้นที่บ้าน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน
Book
10 November 2022

การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ความหมายของ ‘นักเรียนกระป๋อง’ คือ นักเรียนที่เรียบร้อย เชื่อฟังและตั้งใจเรียน ถูกโรงเรียนสอนให้คิดและทำทุกอย่างเหมือนๆ กัน เหมือนกับปลาที่ถูกอัดใส่กระป๋องจนหน้าตาเหมือนกันไปหมด
  • หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ‘คุณสะอาด’ นักเขียนการ์ตูนที่อดีตก็เคยเป็นนักเรียนกระป๋อง แต่มีความฝันที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูนและทำความฝันนั้นจนสำเร็จ โดยเล่าระหว่างการเดินทางในระบบการศึกษาของนักเรียนกระป๋อง
  • หวังว่าหลายคนที่อาจเคยเป็นนักเรียนกระป๋อง จะกล้าเติบโตและสนุกที่ได้เป็นตัวเองในสังคมที่พยายามหลอมเราให้กลายเป็นคนแบบเดียวกัน เพราะยังมีที่ทางให้เราเบ่งบาน และมีผู้คนที่พร้อมจะเข้าใจเราเสมอ

Tags:

โรงเรียนหนังสือนักเขียนการ์ตูนสังคมชีวิตระบบการศึกษา

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน: เด็กชายผู้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความกล้าหาญด้วยตัวเอง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhoodBook
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    วาดลายเส้นลากใจเขามาใส่ใจเรา กับการ์ตูนสีเทาๆ ของ ‘มุนินฺ’

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel