- ชวนทำความเข้าใจหลักการสำคัญของ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ไม่ใช่แค่การกล้าแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น โดยใช้อคติหรือความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
- ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ คือ “กระบวนการ” วิเคราะห์ประเด็นใดประเด็นหนึ่งด้วย “ความเป็นเหตุเป็นผล” เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกหรือผิด เป็นกระบวนการคิดด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดยไม่ให้ความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวมามีอิทธิพลกับการคิด
- ทักษะนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน ผู้ปกครองสามารถเป็นแบบอย่าง และชวนเด็กๆ เรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ส่วนครูก็สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการสร้างทักษะนี้ได้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์ หรือ Phenomenon Based Learning (PhBL)
ในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลและการสื่อสารแสดงความคิดความเห็น ทั้งจริง ลวง เสมือนจริง และเต็มไปด้วยอคติ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) หรือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จัดเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญและสำหรับการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ที่จะทำให้เด็กๆ เติบโตและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ทว่าที่ผ่านมายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับทักษะนี้ซึ่งไม่ได้หมายความแค่ “การแสดงความเห็น-วิพากษ์วิจารณ์”
ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ แท้จริงแล้วคือ “กระบวนการ” วิเคราะห์ประเด็นใดประเด็นหนึ่งด้วย “ความเป็นเหตุเป็นผล” เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกหรือผิด เป็นกระบวนการคิดด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดย “ไม่ให้ความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวมามีอิทธิพลกับการคิด” ซึ่งในกระบวนการฝึกฝนต้องอาศัยคุณลักษณะ การมีสติ มีจิตสํานึก มีความอยากรู้อยากเห็น มีการครุ่นคิดไตร่ตรองรอบคอบ มีการตั้งคําถามและมีการค้นหาคําตอบ
การติดตั้งทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จึงไม่เพียงเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เด็กและวัยรุ่นตกเป็น “เหยื่อ” ของการส่งผ่านความคิดความเชื่อหรือข้อมูลที่เป็นอันตราย แต่ยังช่วยให้พวกเขาไม่กลายสถานะเป็นผู้ “ละเมิด” และ “หมิ่นประมาท” ผู้อื่นในโลกออนไลน์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างขาดวิจารณญาณ ที่สำคัญผู้ใหญ่เองก็สามารถพัฒนาทักษะด้านนี้ไปพร้อมๆ กับเด็กได้
กล่าวโดยสรุป Critical Thinking – ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ก็คือ การคิดอย่างรอบด้าน เห็นข้อดีข้อเสียของสถานการณ์หรือเรื่องหนึ่งในหลากหลายแง่มุม เป็นอีกหนึ่งทักษะหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ที่จะทำให้เรามองเห็นขอบเขตของอิสระและเสรีภาพบนโลกออนไลน์ชัดเจนขึ้น ในห้องเรียนครูช่วยสร้าง Critical Thinking ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้ ผู้ปกครองสามารถเป็นแบบอย่าง และชวนลูกๆ เรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว หนึ่งในรูปแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการสร้างทักษะนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์ หรือ Phenomenon Based Learning (PhBL)
Critical Thinking สำคัญอย่างไร?
ข้อมูลจากการสำรวจโดยมูลนิธิเพื่อชาวออสเตรเลียรุ่นใหม่ (Foundation for Young Australians: FYA) ระหว่างปี 2012-2015 พบว่า ทักษะที่ผู้จ้างงานในองค์กรทางธุรกิจต่างๆ มีความต้องการเพิ่มขึ้น และกำลังมองหาในลูกจ้าง ลำดับแรก ได้แก่ ทักษะทางดิจิทัล (Digital Literacy) เพิ่มสูงถึงร้อยละ 212 ลำดับที่สอง ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 158 ความคิดสร้างสรรค์ ร้อยละ 65 และทักษะการนำเสนอ ร้อยละ 25 ตามลำดับ โดยสองลำดับแรกมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุผลที่ว่า…คุณภาพชีวิตส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพการตัดสินใจของเรา เช่นเดียวกับการคิด ตัดสินใจในงานที่ส่งผลต่อความเติบโตก้าวหน้าขององค์กร
การมี Critical Thinking ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตในหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น
- ตัดสินใจได้ดีขึ้น
การคิดเชิงวิพากษ์ช่วยให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างละเอียด ด้วยเหตุผล จากข้อมูลที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจของแต่ละบุคคล
- แก้ปัญหาได้ดี
เมื่อรับข้อมูลรอบด้าน ก็จะทำให้รู้ปัญหาได้อย่างครอบคลุม ไม่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงด้านเดียว คนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะมีความอดทน และมีความพยายามทำความเข้าใจปัญหา ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงอคติทางความคิด
อคติเป็นตัวหลอก การคิดเชิงวิพากษ์ทำให้เราตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้เราไม่ถูกหลอกลวงจากบุคคลที่ไว้ใจ หรือ จากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่อาจมีข้อผิดพลาด เพราะคนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะบังคับตัวเองให้ค้นหาความจริง นอกเหนือจากสิ่งที่เห็น
- มีเหตุผลและการคิดเชิงตรรกะ
ประเด็นดรามาในโลกโซเชียลมีเดีย ที่ดึงดูดยอดไลก์ ยอดแชร์ ยอดแสดงความคิดเห็น จากการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้รับสาร เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ไม่ได้ผล เพราะคนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะมองหาเหตุผลมากกว่าอารมณ์
- ได้รับทักษะการสังเกต
คนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะเป็นคนช่างสังเกต ไม่ช่างจับผิด ทำให้มองเห็นความไม่ถูกต้อง หรือ ผิดพลาดของข้อมูล ที่อาจคลุมเครือหรือตกหล่น โดยปราศจากหลักฐานและข้อเท็จจริง
วิธีพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ 5 ขั้นตอน
Critical Thinking ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะนี้จึงไม่ใช่ทักษะที่สอนกันได้ แต่เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนการคิด วิธีพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ ทำได้ผ่าน 5 ขั้นตอน ต่อไปนี้
1. กำหนดคำถาม ปัญหา หรือประเด็นที่สนใจให้ชัดเจน
2. รวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยในการชั่งน้ำหนัก เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ
3. นำข้อมูลมาคิดวิเคราะห์ ผ่านการตั้งคำถามที่ถูกต้อง
4. พิจารณาผลกระทบ จากสิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ
5. สำรวจมุมมอง ความคิดเห็นของผู้อื่น
เช่น ทำไมบางคนคิดต่างจากเรา เขามีเหตุผลอะไร? เพื่อช่วยตรวจสอบมุมมองของตัวเองอย่างเป็นกลาง ขั้นตอนนี้จะทำให้เรามองเห็นช่องโหว่และข้อบกพร่องของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดที่แตกต่างของบุคคลอื่น
วิธีการตั้งคำถามที่ถูกต้อง สร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์
“คำถาม” มีผลอย่างมากต่อการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ และการพัฒนาวิธีคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ไบรอัน โอชิโร (Brian Oshiro) นักพัฒนาและประเมินผลครู ได้แบ่งปันสิ่งที่เขาสังเกตเห็นในห้องเรียนผ่านประสบการณ์จากหลากหลายประเทศ สรุปเป็นแนวทางการตั้งคำถาม 3 ข้อ ที่สามารถกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์ของเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ได้
หัวข้อที่จะพูดถึงกันในวันนี้ คือเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
“สาเหตุ 3 ข้อ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คืออะไร?”
“What are three causes of climate change?”
คำถามขั้นที่หนึ่ง ถามด้วย “What” เพื่อวางพื้นฐานและสร้างความตื่นเต้น แล้วขยายความต่อด้วยการอธิบาย
ขั้นตอนนี้กระตุ้นให้เกิดการ “ค้นหา” ข้อมูล ทำให้ผู้เรียน ใช้ความพยายามหาคำตอบจากแหล่งที่มาต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจากในหนังสือ หรือ ทางอินเทอร์เน็ต เมื่อตั้งต้นจาก คำถาม what – อะไร แล้ว ครูและผู้ปกครองพาเด็กไปให้ไกลกว่านั้นได้ ด้วยการให้พวกเขาอธิบายสิ่งนั้นเพิ่มเติม
“อธิบายสาเหตุหลักสัก 3 อย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“Explain what the three main causes of climate change are”
การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้อธิบาย ช่วยพัฒนาพวกเขาให้มีความกล้า เผชิญหน้ากับความท้าทาย เพราะเด็กส่วนใหญ่มักมีความกลัวหากต้องลุกขึ้นพูด
นอกจากนี้ยังส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิพากษ์โดยตรง เพราะเขาต้องคัดเลือกข้อมูลขึ้นมาเพื่ออธิบายให้เพื่อนๆ และครูรับรู้และเข้าใจ ในสิ่งที่เขาเข้าใจ หากเด็กๆ ผ่านประสบการณ์ครั้งที่หนึ่งไปได้แล้ว การลงมือทำในครั้งที่สองและสาม จะเป็นเรื่องง่ายขึ้น
“ทำไมเราควรกังวลกับเรื่องนี้ตอนนี้ ค่อยว่ากันในอนาคตไม่ได้เหรอ?”
“Why should you, as a student, be concerned about this now and not later?”
“มันเกี่ยวข้องกับเรายังไง?”
“Why is this relevant?”
คำถามขั้นตอนที่สอง ถามด้วย “Why?” สร้างความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของพวกเขา คำตอบที่ได้ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่เป็นการกระตุ้นกระบวนการคิดให้หันมามองเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังพูดถึง
“หนูรู้ได้อย่างไร?” – “How do you know?”
“มุมมองของหนูแตกต่างจากของคนอื่นอย่างไร?”
“How might your perspective be different from that of others?”
“หนูจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร?” – “How can you solve the problem?”
คำถามขั้นตอนที่สาม ถามด้วย “How?” ชวนคิดแก้ปัญหา เปิดมุมมองและอิสระในการคิดให้กว้างออกไปอีก เพื่อให้เด็กประยุกต์ข้อมูลที่หยิบยกมาอ้างอิง นำเสนอออกมาเป็นแนวทางแก้ปัญหา ในขั้นตอนนี้ หากเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน ครูจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กๆ แสดงความคิดเห็นและนำเสนอไอเดียอย่างทั่วถึง เพื่อให้พวกเขาเห็นความแตกต่างทางความคิดของคนอื่นๆ และยอมรับความแตกต่างทางความคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติ
ความคิดเห็นและคำตอบของทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ครูและผู้ปกครองจะไม่ตัดสินว่าความคิดของใครถูกต้อง หรือ ความคิดของใครดีหรือไม่ดี
ห้องเรียน PhBL การเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์
จากคำถามตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สะท้อนให้เห็นภาพห้องเรียน Phenomenon Based Learning (PhBL) ที่เป็นการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ จากการนำหัวข้อกว้างๆ เข้ามาสัมพันธ์กับเรื่องใกล้ตัว ประสบการณ์ แล้วกลับมาเชื่อมโยงกับความจริงและสาระวิชาต่างๆ
PhBL จัดเป็นการเรียนเชิงรุก (Active Learning) อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งให้ได้คะแนนสูง แต่เน้นการคิดวิเคราะห์จากปรากฎการณ์หรือาจเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว และใกล้ตัวผู้เรียนเอง ห้องเรียน PhBL จึงไม่แบ่งสาระการเรียนรู้ออกเป็นรายวิชา แต่บูรณาการความรู้ ทักษะต่างๆ มาช่วยขยายความรู้ ความเข้าใจต่อเรื่องหนึ่ง ผ่านการชวนตั้งคำถาม คิด และวิเคราะห์ร่วมกัน เปลี่ยนจากการเรียนรู้ด้วยการรับความรู้ มาเป็นการเรียนรู้ด้วยการสร้างความรู้ ด้วยตัวเด็กเอง
(หมายเหตุ: แม้ PhBL ถูกกำหนดไว้ในหลักสูตรระดับประเทศของฟินแลนด์ และมีการนำไปใช้ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง แต่จำกัดการใช้อยู่ที่ 1 โมดูลต่อปีการศึกษาเท่านั้น ที่เหลือเป็นการจัดการศึกษาตามรายวิชาในคาบเรียนปกติ แต่อยู่ในรูปแบบของการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ)
5 ขั้นตอนของการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์
- ตั้งคำถาม (Questioning) จากมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย
- สืบค้น (Research) ให้ได้ข้อมูลและความเชื่อมโยงในสิ่งที่ตนสงสัย และเรียนรู้การคัดกรองข้อมูล
- ศึกษา (Investigation) จากการทดลอง ประมวลผลจากคำตอบที่เป็นไปได้ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นั้นๆ
- ทดสอบ (Testing) ครูแนะนำนักเรียนให้เรียนรู้แนวคิดและทักษะที่จำเป็นเพื่อแก้ปัญหา
- อธิบาย (Explanation) ผู้เรียนให้คำอธิบาย ทางออก เพื่อตอบโจทย์
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Phenomenon – Based Learning: การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน
ทั้งนี้ PhBL เป็นหลักสูตรการเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการของฟินแลนด์ใช้มา 25 ปีแล้ว แต่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2016 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เรียนเข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่มองบางอย่างเป็นเรื่องไกลตัว เช่น เรื่องขยะพลาสติกในทะเลที่เชื่อมโยงมาถึงถังขยะในแต่ละบ้านของทุกคนได้ เด็กสร้างกระบวนการคิดที่สามารถหาเหตุผล วิเคราะห์ ประเมิน ตัดสินใจได้ว่า ทำไมสิ่งนั้นและสิ่งนี้จึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับคำอธิบายว่าทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญ และมองหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
เห็นได้ว่าขั้นตอนการฝึกฝนการคิดเชิงวิพากษ์และขั้นตอนการเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์มีความคล้ายคลึงกันมาก
คิดแบบไหนถึงเรียกว่าคิดเชิงวิพากษ์? เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว
“จะรับได้ไหม…เมื่อคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา?”
การเลือกใช้คำศัพท์ในโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น เพราะการด่า การกล่าวหา ใส่ความ หรือ การพูดให้คนถูกเกลียด (Hate Speech) ไม่ใช่การวิพากษ์ ไม่ใช่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาท
เช็คลิสต์ว่าเป็นคนคิดเชิงวิพากษ์ หรือ แค่ชอบตัดสินคนอื่น!
การตัดสิน (Judging) | การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) |
ขับเคลื่อนโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด | ขับเคลื่อนจากความสงสัย การตั้งคำถาม ต้องการหาคำตอบ โดยไม่เชื่อมโยงกับตัวเอง |
ใช้ความรู้สึก อยู่บนพื้นฐานความกลัว เช่น กลัวตกข่าว ตกเทรนด์ (Fear of Missing Out: FOMO) (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม) | รอบคอบ ขบคิด ใช้เหตุผล |
ปิดใจ มีคำตอบอยู่แล้วในใจ | อยู่บนพื้นฐานการเปิดใจ รับฟังข้อมูลใหม่ |
มีอคติ ไม่มีเหตุผล | ใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ และการประเมิน |
ให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลัก | อยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น |
โฟกัสที่ปัญหา | โฟกัสที่การแก้ปัญหา |
จากตารางเปรียบเทียบ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่เรียกว่าเป็น “การคิดเชิงวิพากษ์” ความกล้า เช่น กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ และความเชื่อมั่น เป็นทักษะที่มีความสำคัญ ซึ่งควรได้รับพัฒนา ส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ควรเป็นความกล้าและความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของการเคารพและให้เกียรติผู้อื่น
การแสดงความคิดเห็นในเชิงวิพากษ์จำเป็นต้องมีข้อมูล หลักฐานที่เชื่อถือได้ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเป็นส่วนประกอบ มากกว่าการใช้อารมณ์คล้อยไปตามสถานการณ์ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง เพราะอย่างหลังอาจทำให้ตกกับดักกลายเป็นผู้ละเมิดและหมิ่นประมาทผู้อื่นได้ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
ท้ายที่สุดแล้ว การมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทำให้เราเห็นต่างแต่ไม่จงเกลียดจงชังผู้อื่น และเปิดประตูไปสู่การพัฒนาตัวเองในด้านอื่นๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
Critical Thinking ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับทักษะอื่นๆ เช่น ทักษะการรู้ตน หรือ การรู้จักตนเอง (Self-awareness) รู้เท่าทันว่าตัวเองมีความรู้สึกส่วนตัว หรือ มีความรู้สึกร่วมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ในระดับไหน เพื่อป้องกันอคติ |