- บางครั้งมรดกครอบครัวก็มาในรูปแบบของการเลี้ยงดูเด็กโดยใช้ความรุนแรงทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ผ่านการเปรียบเทียบ ดุด่า ประจาน ทุบตี โดยอ้างความรักและความหวังดี ทั้งที่ครั้งหนึ่งตนเองก็เคยเจ็บปวดจากการเลี้ยงดูแบบนี้เช่นเดียวกัน
ในชีวิตผมเคยเห็นพ่อร้องไห้(นอกบ้าน)แค่ครั้งเดียว
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 18 ปี ทุกวันหยุดพ่อมักส่งผมไปดูแลปู่ที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ซึ่งบอกตามตรงว่าผมเต็มใจมากๆ แต่เรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดคือในวันที่ผมติดธุระหรือมีนัดกับเพื่อน พ่อกลับไม่ค่อยฟังเหตุผลและกล่าวหาว่าผมเป็นคนไม่รู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เรียกได้ว่าผมทั้งโกรธทั้งสับสนว่าพ่อไปเอาความคิดนี้มาจากไหน เพราะในขณะที่พ่อเอาแต่สอนผมให้กตัญญูแต่ตัวพ่อเองกลับไม่เคยมาอยู่กับปู่ตั้งแต่เช้ายันค่ำแบบผมสักครั้ง
วันหนึ่ง ตอนที่พ่อขับรถมารับผมที่บ้านปู่ ผมไม่แน่ใจนักว่าสองพ่อลูกทะเลาะอะไรกันระหว่างที่ผมไปเข้าห้องน้ำ แต่สิ่งที่จดจำได้จนบัดนี้คือพ่อร้องไห้และตะโกนใส่ปู่ในทำนองตัดพ้อ ว่าปู่ก็เอาแต่ด่าพ่อว่าขี้เกียจไม่เอาไหนทั้งที่พ่อก็เชื่อฟังปู่และทำทุกอย่างที่ปู่สั่ง
ฟากปู่ก็ดูหวั่นไหวกับคำพูดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่วายบ่นให้ผมฟังภายหลังว่าพ่อของผมเป็นคนไม่ได้เรื่อง ขี้เกียจ และรักสบาย
ย้อนกลับมาที่ผม ผมเองก็มักถูกพ่อของผมด่าแบบเดียวกับที่ปู่ด่าพ่อเสมอ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ผมผิดผมก็พร้อมยอมรับ แต่หลายๆ เรื่องผมมักเป็นฝ่ายที่ถูกตำหนิอย่างไร้ความผิดอยู่บ่อยครั้งราวกับเป็นถังขยะทางอารมณ์ของพ่อ
ยกตัวอย่างเช่น ตอนเด็กๆ เวลาผมนั่งมองพ่อที่กินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พ่อมักจะด่าผมดังๆ ว่าผมไม่มีมารยาทและกำลังกวนประสาทพ่อ กลับกันหากผมนั่งกินข้าว พ่อมักจะจับผิดว่าผมกินข้าวเร็วไปช้าไปบ้าง เคี้ยวเสียงดังไปบ้าง หรือนั่งเขย่าขา (คนจีนถือว่าเป็นการทำให้เงินทองรั่วไหล) ผิดธรรมเนียมบ้าง ทั้งที่พ่อเองก็ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างเช่นกัน
หรือจะเป็นเรื่องที่พ่อห้ามไม่ให้ผมอ่านวรรณกรรมเด็ก หนังสืออ่านนอกเวลา หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เพราะพ่อมักโทษว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกรดของผมไม่ดี ผมจึงต้องไปอ่านหนังสือเหล่านั้นในห้องสมุดโรงเรียนบ้างหรือไม่ก็ยืมญาติมาอ่านในวันที่พ่อไม่อยู่บ้าน แต่โชคร้ายที่พ่อมักจับได้และลงโทษผมด้วยการเปรียบเทียบผมเป็นสัตว์สารพัด ยิ่งถ้าวันนั้นพ่ออารมณ์เสียมาก่อนผมก็อาจโดนลงไม้ลงมือ
เอาเป็นว่าทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าพ่อจะเลือกแค่ด่าหรือตีผม สุดท้ายพ่อก็จะไล่ให้ผมออกไปทำงานยกของหนักๆ กับลูกน้องของพ่อทั้งวัน ทั้งที่ผมเพิ่งจะอยู่ประถมเท่านั้น ทำเอาผมผูกใจเจ็บไม่รู้ลืมว่าหนังสือที่ผมอ่านหรือเกรดของผมไม่ดีตรงไหน เพราะถึงยังไงผลการเรียนของผมก็ดีกว่าพ่อสมัยเป็นนักเรียนด้วยซ้ำ และทำไมผมต้องเข้าไปใช้แรงงานอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่ในบรรดาลุงป้าน้าอาไม่มีใครทำแบบนี้กับลูกตัวเองสักคน
ผมจำได้ว่าเวลาที่มีปัญหาใดๆ ในบ้าน พ่อจะสอนเสมอว่า “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” แต่ทุกครั้งที่ผมทำอะไรขัดใจพ่อ พ่อมักจะชอบด่าผมต่อหน้าลูกน้องดังๆ จนลูกน้องหลายคนบอกว่าสงสารผมที่ต้องเจออะไรแบบนี้ ส่วนพ่อก็ดูสะใจที่ได้ทำโทษผมต่อหน้าลูกน้อง ซึ่งภายหลังผมทราบมาว่าสมัยพ่อยังเล็ก ปู่ก็ชอบด่าพ่อต่อหน้าลูกน้องเพื่อให้พ่ออับอายจนไม่กล้าทำผิดอีก รวมถึงเป็นการแสดงอำนาจให้ลูกน้องกลัวไปในตัว
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจพ่อนัก เพราะพ่อมักบอกว่าตัวเองไม่ชอบที่ปู่ไม่ให้เกียรติพ่อแบบนั้น ทว่าพอพ่อกลายเป็นพ่อคน พ่อกลับใช้วิธีการที่พ่อรังเกียจนักรังเกียจหนากับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่นับรวมเวลาที่ควบคุมตัวเองไม่ได้จนใช้กำลังกับผมด้วยสีหน้าแววตาที่โมโหร้ายและไร้ความปราณีจนร่างกายของผมมีร่องรอยอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นผมจึงรู้สึกหดหู่เวลาเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเล่าเรื่องพ่อที่พาไปเที่ยว พ่อซื้อของให้ พ่อพาไปดูหนัง หรือพ่อที่เล่นอะไรต่างๆ ด้วยกัน ต่างกับผมที่ขอแค่พ่อไม่ด่าไม่หาเรื่องก็มีความสุขจนไม่กล้าขออะไรไปมากกว่านี้
นอกจากเรื่องพ่อที่ใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบปู่แล้ว ผมพบว่าพ่อมักเป็นคนที่เพื่อนๆ ชอบแวะเข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องลูก ซึ่งผมเคยแอบฟังว่าพ่อให้คำปรึกษายังไง จะแนะนำให้เพื่อนใช้กำลังหรือด่าประจานลูกแบบผมที่เจอหรือเปล่า แต่เปล่าเลย พ่อไม่เพียงแนะนำให้เพื่อนใจเย็นๆ ลองรับฟัง และค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากับลูก บางครั้งพ่อกับแม่ยังอาสาเป็นคนกลางในการพูดคุยกับลูกของเพื่อนเพื่อปรับความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ทำเอาผมสับสนพอสมควรเพราะถ้าพ่อเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผมแบบนั้นบ้างก็คงดี
หลังเข้ามหาวิทยาลัยผมพบว่าพ่อด่าผมน้อยลงมาก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าความทุกข์จะหมดไป เพราะพ่อไม่เคยยอมรับผิดในเวลาที่ผมเปิดใจคุยเรื่องบาดแผลจากการเลี้ยงดู ทั้งยังบอกผมว่าการใส่ร้ายพ่อแม่จะทำให้ตกนรกในโลกหน้า ไม่นับรวมที่พ่อพยายามให้เหตุผลอันชอบธรรมกับตัวเองว่าถึงพ่อจะเลี้ยงผมคล้ายปู่ แต่พ่อก็ ‘ลดระดับ’ ความโหดลงมาตั้งเยอะ หรือถ้าพ่อไม่ตีไม่ด่า ทุกวันนี้ผมก็คงมีชีวิตที่เหลวแหลกและอาจติดพนันติดยาเสพติดเหมือนกับลูกของคนที่พ่อรู้จัก รวมถึงอะไรก็ตามที่ฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลสักนิด
เอาเป็นว่าทุกวันนี้ผมไม่เพียงไม่เข้าใจพ่อ แถมยังรู้สึกเจ็บมากขึ้นที่พ่อยังคงยึดติดกับความเชื่อแบบนี้โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกผิดหรือคิดแก้ไข เพราะพ่อมองว่าแม้สไตล์การเลี้ยงลูกแบบโหดๆ จะไม่ถูกใจผม แต่พ่อทำทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับผมมากที่สุด และยังพูดดักคอว่าทุกครั้งที่ลงโทษผม ตัวพ่อเองต่างหากคือคนที่เจ็บปวดที่สุด
ถ้าขออะไรได้สักอย่าง ผมคงขอให้พ่อเปิดใจรับฟังผมจริงๆ สักครั้ง ผมอยากให้พ่อรู้ว่าการบังคับและความรุนแรงทุกอย่างที่พ่อทำกับผมในตอนนั้น มันส่งผลให้ผมกลายเป็นคนหดหู่ หวาดกลัวและขาดความมั่นใจมากแค่ไหน
ทำไมพ่อไม่คิดบ้างว่าวิธีที่พ่อคิดว่าดีที่สุดอาจไม่เหมาะกับผม
ดังนั้น ผมอยากใช้พื้นที่นี้บอกกับพ่อแม่ทุกคนว่าแม้การใช้ความรุนแรงและความกลัวเลี้ยงลูกอาจส่งผลให้ลูกเชื่อง แต่อีกมุมหนึ่ง มันคือระเบิดเวลาที่ไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัวระยะยาว ยังทำลายโลกที่ควรจะสวยงามในวัยเด็กของคนๆ หนึ่งให้พังพินาศลง
แน่นอนว่าผมไม่ได้เรียกร้องว่าพ่อแม่ต้องเคารพลูกแบบที่พ่อของผมชอบประชด แต่ผมอยากให้พ่อแม่คิดถึงความรู้สึกของตัวเองในวัยเด็กให้มาก เพื่อให้ลูกคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาด้วยภาพจำของความรักความเมตตาซึ่งจะเป็นเข็มทิศและพลังใจอันเข้มแข็งให้เขาต่อไปในอนาคต