- หนังสือเรื่อง เดเมียน เป็นผลงานเขียนเล่มแรกของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ซึ่งมีแก่นหลักคือ ‘การสร้างตัวตน’ และกลายมาเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตให้กับคนหนุ่มสาวชาวเกาหลีและมีบทบาทสำคัญในการยกระดับวง BTS ให้กลายเป็นศิลปิน K-Pop ที่ดังที่สุดในโลก
- ปัจจัยต่างๆ ที่รุมเร้า ทำให้เฮสเสค้นพบตัวตนใหม่ของเขา ภายใต้ชื่อ ‘เอมิล ซินแคลร์’ ซึ่งกลายเป็นนามปากกาแฝงของเฮสเส ที่ใช้ในการเขียนผลงาน ‘เดเมียน’
- อาจกล่าวได้ว่า เดเมียน คือ ผลงานเล่มแรกที่เฮสเส พานักอ่านเดินทางเข้าสู่การสำรวจโลกภายในจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน และเป็นงานชิ้นแรกที่เขาได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก
หลายคนคงเคยได้ยิน หรือเห็นข้อความที่เขียนว่า ‘วัยรุ่นสร้างตัว’ กันมาบ้าง ที่เห็นได้บ่อยที่สุด น่าเป็นสติกเกอร์ติดตามท้ายรถกระบะ
แม้ว่าความหมายของวลีนี้ จะสื่อถึงคนขยันทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวตั้งแต่วัยหนุ่มสาว แต่ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของวัยรุ่นที่ติดสติกเกอร์ข้อความนี้ ที่ดูจะตรงกันข้ามกับความหมายของวลีดังกล่าว ทำให้คำว่า ‘วัยรุ่นสร้างตัว’ ดูจะกลายเป็นคำที่มีความหมายติดลบอยู่ในที
แต่ที่ผมจะเขียนถึงในบทความชิ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องการสร้างฐานะสร้างเนื้อสร้างตัวของคนหนุ่มสาว หากแต่เป็นการสร้างตัวตน หรืออีกนัยหนึ่ง การค้นหาตัวตนของเหล่าวัยรุ่น
วัยรุ่น คือ ช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็ก ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่วัยรุ่นจะว้าวุ่นกับการค้นหา หรือสร้างตัวตน เพราะนับตั้งแต่เกิดมาบนโลก ตัวตนของเด็ก ผูกติดกับพ่อแม่มาโดยตลอด หรืออาจกล่าวว่า ตัวตนของเด็กถูกสร้างขึ้นโดยพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเด็กก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ความผูกติดกับพ่อแม่ลดน้อยถอยลง เขาหรือเธอเริ่มเสาะแสวงหาตัวตนในแบบที่ต้องการจะเป็นจริงๆ ไม่ใช่ตัวตนที่ถูกปั้นขึ้นโดยผู้ใหญ่
และการสร้างตัวตนนี่เอง ที่เป็นแก่นหลักของหนังสือเรื่อง เดเมียน ผลงานเขียนของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ที่กลายเป็นคัมภีร์ชีวิตของคนหนุ่มสาวชาวเยอรมัน ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปี หนังสือเล่มนี้ ก็ข้ามฟากมาเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตให้กับคนหนุ่มสาวชาวเกาหลีในยุคปัจจุบัน และมีบทบาทสำคัญในการยกระดับวงบอยแบนด์วงหนึ่ง ให้กลายเป็นศิลปิน K-Pop ที่ดังที่สุดในโลก ภายใต้ชื่อ BTS
เดเมียน, เอมิล ซินแคลร์ และเฮอร์มานน์ เฮสเส
เฮอร์มานน์ เฮสเส เกิดในครอบครัวเคร่งศาสนาชาวเยอรมัน พ่อของเฮสเส ต้องการให้ลูกชายเป็นนักเทศน์ ทว่า เฮสเส ซึ่งค้นพบตัวตนตั้งแต่วัยเด็ก ประกาศไว้เมื่อตอนอายุ 12 ปี ว่า โตขึ้นเขาจะเป็นกวี มิเช่นนั้นแล้ว เขาไม่ขอเป็นอะไรเลย
เมื่อเติบใหญ่ เฮสเส ได้เป็นกวีและนักเขียนตามที่ใจใฝ่ฝัน หนังสือนิยายเล่มแรกของเขา คือ ‘ปีเตอร์ คาเมนซินด์’ ประสบความสำเร็จอย่างสูง และทำให้โลกนักอ่านได้รับรู้ว่า เฮสเส คือ กวีและนักเขียนแนวโรแมนติก ที่สำนวนภาษาสละสลวย ละเมียดละไม หากแต่เต็มไปด้วยคำถามถึงความหมายของชีวิต รวมถึงปัญหาระดับโครงสร้างของสังคม เช่น ระบบการศึกษา
ผลงานหลายเล่มที่ตามมา ทำให้เฮสเส กลายเป็นที่รักของนักอ่านชาวเยอรมัน แต่หลังจากที่เขาเขียนบทความต่อต้านสงคราม กวีหนุ่มผู้แสนเปราะบาง กลับกลายเป็นที่เกลียดชังของคนเยอรมันส่วนใหญ่ ที่ถูกปั่นหัวโดยกระแสชาตินิยมในขณะนั้น
ไม่เพียงแต่โลกภายนอกที่ทำร้าย โลกภายในก็เฆี่ยนโบยเฮสเสอย่างรุนแรงเช่นกัน ชีวิตสมรสกับภรรยาคนแรกของเขาล่มสลาย เฮสเสเป็นโรคซึมเศร้าและมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง จนทำให้เขาได้มีโอกาสรู้จักกับ คาร์ล ยุง นักจิตวิทยาชาวสวิส ผู้ได้ชื่อว่า บิดาแห่งวงการจิตวิเคราะห์ ซึ่งทั้งสองต่างส่งอิทธิพลต่อความคิดและการสร้างผลงานของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
ปัจจัยต่างๆ ที่รุมเร้า ทำให้เฮสเสค้นพบตัวตนใหม่ของเขา ตัวตนที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง และหลากหลาย ภายใต้ชื่อ ‘เอมิล ซินแคลร์’
เอมิล ซินแคลร์ กลายเป็นนามปากกาแฝงของเฮสเส ที่ใช้ในการเขียนผลงาน ‘เดเมียน’ ซึ่งเป็นงานเขียนเล่มแรกของเขา ที่เปลี่ยนแนวจากวรรณกรรมที่งดงาม-ละเมียดละไม ไปสู่งานเขียนที่เจาะลึกถึงจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกในแต่ละตัวตน
อาจกล่าวได้ว่า เดเมียน คือ ผลงานเล่มแรกที่เฮสเส พานักอ่านเดินทางเข้าสู่การสำรวจโลกภายในจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน โลกที่ความดี-ความเลว ความถูก-ความผิด ผู้ชาย-ผู้หญิง ความรัก-ความเกลียดชัง ล้วนถูกหลอมรวมจนไม่อาจแบ่งแยก
เรื่องราวในหนังสือเดเมียน เป็นเหมือนอัตชีวประวัติของเด็กหนุ่มชื่อ เอมิล ซินแคลร์ ผู้เติบโตมาในโลกแห่งแสงสว่าง โลกแห่งศีลธรรมอันดีงาม แม้ว่าบางครั้ง เจ้าตัวอาจพลัดหลงไปในโลกแห่งความมืด หรือโลกแห่งอาชญากรรมอันเลวร้ายบ้าง แต่เขาก็ยังหวนคืนสู่โลกแห่งความถูกต้องตามครรลองคลองธรรมทุกครั้ง
จนกระทั่ง ซินแคลร์ ได้รู้จักกับแม็กซ์ เดเมียน เด็กหนุ่มสันโดษ ผู้ดูราวกับไร้เพศ ไร้ศาสนา ไร้อายุขัย และมีภูมิหลังอันแสนลึกลับ เดเมียน ได้ชี้ทางให้ซินแคลร์ ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่เป็นอิสระพ้นไปจากกรอบแห่งกฎเกณฑ์ ตัวตนที่พร้อมเรียนรู้และยอมรับทั้งด้านสว่างและด้านมืดในตัวเอง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือความเลว แสงสว่าง หรือความมืด ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ไม่มีใครที่จะมีแต่ความดีงามแสนผุดผ่อง และเช่นกัน ไม่มีใครที่จะมีแต่ความชั่วร้ายแสนโสมม
หรือแท้ที่จริงแล้ว ทวิภาวะ (duality) ล้วนเป็นสิ่งสมมติ หากไม่มีความดี สิ่งที่เรียกว่าความเลวก็คงไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่เรียกว่า ‘ความดี’ จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความชั่ว’
คงไม่ผิด ถ้าเราจะบอกว่า เรื่องราวในหนังสือเดเมียน ก็คือ ภาพสะท้อนชีวิตจริงของเฮสเส โดยที่เอมิล ซินแคลร์ และเดเมียน ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนของเฮสเส โดยที่คนแรก คือ ตัวตนในระดับจิตสำนึก (conscious) และคนหลัง คือ ตัวตนในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious)
เห็นได้ชัดว่า เดเมียน เป็นงานชิ้นแรกที่เฮสเส ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก ซึ่งกลายเป็นแก่นหลักในงานเขียนชิ้นต่อๆ มาของเฮสเส ไม่ว่าจะเป็น สิทธารถะ นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ และงานเขียนสำหรับคนบ้าอย่าง สเตปเปนวูล์ฟ
นอกเหนือจากอิทธิพลของคาร์ล ยุง แล้ว ผลงานชิ้นนี้ของเฮสเส น่าจะได้รับอิทธิพลจากปรัชญาตะวันออก โดยเฉพาะศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ซึ่งให้ความสำคัญกับการหลุดพ้นจากทวิภาวะ (แนวคิดที่เชื่อว่า ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ ล้วนเป็นคู่ตรงข้าม คือ ความดี-ความเลว บุญ-บาป ความบริสุทธิ์-ตัณหาราคะ)
“เรายกย่องพระเจ้าว่าเป็นบิดาของสรรพชีวิต แต่เราปฏิเสธที่จะพูดถึงชีวิตทางเพศ ซึ่งเป็นรากฐานของชีวิตทั้งมวล พยายามปิดปากเงียบ และเมื่อไหร่ที่เป็นไปได้ พวกเขาก็จะอธิบายว่านั่นเป็นบาป เป็นผลงานชั่วช้าของปีศาจ” เดเมียน กล่าว “เราควรยกย่องและให้เกียรติกับทุกสิ่ง ไม่ใช่ยกย่องเพียงโลกจอมปลอมเพียงครึ่งเดียว”
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นแก่นสำคัญในหนังสือเล่มนี้ และมีการกล่าวย้ำถึงหลายครั้ง ก็คือ การเกิดใหม่ หรือการสร้างตัวตนใหม่ ซึ่งจำเป็นจะต้องผ่านช่วงแห่งการทำลายเปลือก หรือกรอบ หรือโลกใบเดิมเสียก่อน
“การเกิดน่ะยากเสมอ ซินแคลร์ เธอรู้นี่ไม่ง่ายหรอกที่นกจะต่อสู้ออกจากไข่” แม่ของเดเมียน กล่าวกับซินแคลร์
ไม่ว่าเฮสเสจะได้รับอิทธิพลมาจากไหน แต่ความแปลกใหม่ที่ทรงพลังในงานเขียนชิ้นนี้ ทำให้เดเมียนกลายเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจหนุ่มสาวชาวเยอรมัน กระตุกจิตใจของเขาและเธอให้ตื่นขึ้น และขบคิดอย่างจริงจังถึงเรื่องการแสวงหาตัวตน
หนุ่มสาวชาวเยอรมันในขณะนั้น ไม่รู้เลยว่า เอมิล ซินแคลร์ ผู้เขียนหนังสือ เดเมียน หาใช่วัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา หากแต่เป็นชายวัยกลางคนที่พวกเขาเคยก่นด่าว่า “ไอ้สารเลวคนชังชาติ” และจนอีกหลายปีให้หลัง เฮสเส ถึงออกมายอมรับว่า แท้ที่จริงแล้ว เอมิล ซินแคลร์ คือ อีกตัวตนหนึ่งของเฮอร์มานน์ เฮสเส
และอีกหลายสิบปีต่อมา เดเมียนยังคงเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจหนุ่มสาว แต่คราวนี้ พลังของวรรณกรรมเล่มนี้ ข้ามฟากมาถึงแดนเอเชียตะวันออก
เดเมียน กับการสร้างตัวตนของวัยรุ่นเกาหลี
แม้ว่าเดเมียน จะเป็นผลงานที่ความประทับใจให้กับเหล่าคนหนุ่มสาวชาวเยอรมัน ตั้งแต่เริ่มตีพิมพ์ออกมาครั้งแรก ในปี 1919 และถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ หลายภาษาทั่วโลก แต่ในความเป็นจริง เดเมียน ไม่อาจนับเป็นผลงานยอดนิยมของเฮสเสได้เลย อย่างน้อยก็ในช่วงแรกๆ
หากถามว่า ผลงานเรื่องใดของเฮสเส ที่มีนักอ่านชื่นชอบมากที่สุด คำตอบมักจะหนีไม่พ้น ‘สิทธารถะ’ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ยกให้เป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของเขา หรืออาจจะเป็น ‘สเตปเปนวูล์ฟ’ ที่ว่ากันว่า เป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด
แต่สำหรับคนเกาหลีใต้แล้ว เดเมียน คือ ผลงานของเฮสเส ที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุด จนถึงขนาดที่มีคำกล่าวว่า ในเกาหลีใต้ มีนักอ่านอยู่แค่ 2 ประเภท คือ นักอ่านที่เคยอ่านเรื่องเดเมียนมาแล้ว กับนักอ่านที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องนี้ และแน่นอน นักอ่านกลุ่มแรกมีจำนวนมากกว่า
ไม่มีใครรู้ชัดว่า อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เดเมียน กลายเป็นหนังสือของเฮสเสที่ได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม แทนที่จะเป็นสิทธารถะ หรือเกมลูกแก้ว หรือเรื่องอื่นๆ บ้างก็ว่า เดเมียน เป็นเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์ (melodrama) ซึ่งถูกจริตกับคนเกาหลี หรือบ้างก็ว่า เดเมียน เป็นงานชิ้นแรกของเฮสเสที่ถูกแปลเป็นภาษาเกาหลี ทำให้คนเกาหลีรู้จักผลงานชิ้นนี้ก่อนเรื่องอื่นๆ แต่ที่แน่ๆ นักอ่านชาวเกาหลี โดยเฉพาะนักอ่านวัยหนุ่มสาว ต่างยกให้เดเมียน เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวตน
ในจำนวนวัยรุ่นที่ได้รับอิทธิพลจากเดเมียน ยังรวมไปถึงเด็กหนุ่ม 7 คน ในนาม BTS หรือที่คนเกาหลีเรียกขานกันในชื่อ ‘บังทัน’
โดยภาพลักษณ์ภายนอก บีทีเอส อาจดูเหมือนบอยแบนด์ขายหน้าตาหรือท่าเต้นเท่ๆ แต่ในความเป็นจริง พวกเขามีดีมากกว่านั้น บทเพลงที่พวกเขาเขียน มักสะท้อนปัญหาสังคมของเกาหลีใต้ รวมถึงหยิบยกแรงบันดาลใจจากหนังสือที่พวกเขาชื่นชอบมาสร้างสรรค์เป็นบทเพลง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชัดเจนที่สุดเท่ากับอัลบัม Wings ซึ่งเป็นอัลบัมเต็มชุดที่ 2 ของพวกเขา
สมาชิกในวงบีทีเอส เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่พวกเขาหยิบเอาเรื่องราวในหนังสือเดเมียน มาสร้างเป็นคอนเซ็ปต์อัลบัมชุดนี้ เพราะพวกเขา ซึ่งเป็นนักอ่านอยู่แล้ว ค้นพบว่า สาส์นในหนังสือเล่มนี้ ตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการถ่ายทอดในผลงานชิ้นนี้
ทุกเพลงและทุกมิวสิควีดิโอในอัลบัม Wings จึงแทรกด้วยสัญลักษณ์ หรือแฝงนัยยะจากเรื่องราวในหนังสือเดเมียน ไม่ว่าจะเป็นการโกหก แสงสว่าง-ความมืด การให้อภัย และนกที่โบยบินอย่างเสรี หลังจากกระเทาะทำลายเปลือกไข่
“นกกำลังดิ้นรนออกจากไข่ ไข่คือโลก ใครที่ต้องการเกิดต้องทำลายโลก” นั่นคือข้อความที่เดเมียน เคยเขียนบอกกับซินแคลร์
นอกจากการทำลายเปลือก หรือกรอบแบบเดิมๆ แล้ว อัลบัม Wing ยังขานรับสาส์นสำคัญของเดเมียน ที่ว่าด้วยการโอบรับทั้งด้านดีและร้ายในตัวเอง
แฟนคลับหลายคนของบีทีเอส ซึ่งเรียกตัวเองว่า army ยกให้อัลบัมนี้เป็นอัลบัมที่ดีที่สุดของศิลปิน K-Pop กลุ่มนี้ โดยให้เหตุผลว่า เพลงในอัลบัมนี้ สะท้อนความเป็นตัวตนของบังทันอย่างชัดเจน ทั้งด้านที่สวยงาม และด้านที่เปราะบาง
อัลบัมที่อิงแนวคิดจากหนังสืออย่างเต็มตัว ช่วยให้บังทัน ซึ่งโด่งดังคับฟ้าอยู่แล้วในขณะนั้น ยกระดับตัวเองขึ้นเป็นวงไอดอลแห่งวรรณกรรม ขณะที่นักวิจารณ์บางคน ยกให้อัลบัมนี้เป็นเหมือนการเกิดใหม่ของบีทีเอส และเป็นก้าวแรกที่พาพวกเขาเข้าสู่การเป็นศิลปินระดับสากลอย่างเต็มตัว
ในทางกลับกัน พลังของบีทีเอส ก็ช่วยให้เดเมียนทำลายเปลือกไข่และเกิดใหม่อีกครั้ง โดยหลังจากอัลบัม Wings วางจำหน่าย ยอดขายหนังสือเดเมียนก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในเกาหลีใต้และทั่วโลก
ในปัจจุบัน เดเมียน ถูกยกให้เป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของเฮสเส เทียบเท่า สิทธารถะ และสเตปเปนวูล์ฟ
ผมวางหนังสือเดเมียนลง หลังจากอ่านจบเป็นรอบที่ 2 อดนึกในใจไม่ได้ว่า ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ น่าจะยังคงมีหนุ่มสาวหลายคน ที่กำลังสร้าง “ตัวตน” ผ่านทางการ “เกิดใหม่” หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้