Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: October 2019

ACTIVE CITIZEN: สร้าง EF เปลี่ยนสมองวัยรุ่นด้วยการเรียนรู้นอกห้องเรียน
EF (executive function)
31 October 2019

ACTIVE CITIZEN: สร้าง EF เปลี่ยนสมองวัยรุ่นด้วยการเรียนรู้นอกห้องเรียน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • สองงานวิจัยที่ว่าด้วยผลของการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยการทำโครงการเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาในชุมชน หรือ Project Based Learning (PBL) ในโครงการ active citizen สร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างไร ด้วยวิธีการแบบไหน และมีผลจริงแง่เปลี่ยนแปลงสมอง (EF) ของเด็กในโครงการอย่างไร
  • งานวิจัยโดยทีมวิจัยจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ. และ รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

หุนหันพลันแล่น กำกับตัวเองไม่ได้ ขี้เบื่อ ไม่จดจ่อ มักทำตามใจตัวเอง และไวต่อสิ่งเร้าที่ท้าทาย

พฤติกรรมของวัยรุ่นเหล่านี้มักถูกอธิบายว่าเป็นภาวะต่อต้านโลก แต่หากมองเข้าไปให้ลึกเพื่อถอดสมการทางอารมณ์และพฤติกรรมที่เกิดขึ้น คำตอบทั้งหมดอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์เรื่อง ‘พัฒนาการสมอง’ โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า ที่ตั้งของกล้ามเนื้อทำงานเรื่องการคิดวิเคราะห์และการกำกับตัวเอง 

ทักษะการคิดวิเคราะห์ กำกับตัวเอง คิดเป็นเหตุเป็นผลเกิดขึ้นจากสมองส่วนหน้า จะเริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 0-8 ปี และจะพัฒนาอย่างเต็มพร้อมในช่วงวัย 25 ปี ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่สมองส่วนหน้ายังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทว่าสมองส่วนอารมณ์ทำงานอย่างเต็มที่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวัยรุ่นจึงเป็นวัยแห่งความแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่า ชอบความท้าทาย และดูจะใช้เหตุผลน้อยกว่าอารมณ์ การพัฒนา (ด้วยความเข้าใจ) วัยรุ่นจึงต้องอาศัยกระบวนการการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการ เพื่อช่วยให้วัยรุ่นได้ลับเหลี่ยมคมหรือประลองสมองมากไปกว่าการท่องจำตำราเรียน หนึ่งในนั้นคือการได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ออกมาทำโครงการเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ในชุมชนเป็น Project Based Learning (PBL) 

เพราะในศตวรรษที่ 21ความรู้ ไม่ได้ถูกขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมหรือสร้างได้จากการอ่านตำราเรียนอีกต่อไป การสร้างความรู้เป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำเองได้ โดยอาจเรียนรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อให้รู้โลก หรือกลับมาเรียนรู้เรื่องใกล้ตัวจากชุมชนที่อาศัย จากครอบครัว ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้

‘การเรียนรู้ผ่านการทำโครงการในชุมชน ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะ สำนึกพลเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางสมอง’ ถูกนำเสนอในงาน LSEd Symposium 2019 & TSS Open-house โอกาสครบรอบ 5 ปีของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยรูปแบบเป็นการนำเสนองานวิจัย 2 เรื่อง ที่เข้าไปศึกษาการจัดการเรียนรู้ใน โครงการพัฒนาเยาวชน Active Citizen โดยมูลนิธิสยามกัมมาจลและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

  • ชิ้นแรกว่าด้วยเรื่องกระบวนการบทบาทและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการโค้ชที่มีต่อเยาวชน โดย อดิศร จันทรสุข ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และรองคณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทีมวิจัย 
  • ชิ้นที่สอง ว่าด้วยเรื่อง การศึกษาผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงของทางสมองเยาวชนก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ โดย รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล 

โครงการในพื้นที่ Alternative Space ที่ช่วยพัฒนา (สมอง) วัยรุ่น

เพราะโครงการ Active Citizen เชื่อว่าเยาวชนเป็นวัยที่มีศักยภาพ จึงต้องการพัฒนาบุคลากรที่เป็นเยาวชนให้มีคุณภาพเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่ดี จึงเปิดโอกาสให้เรียนรู้จากประสบการณ์ เรียนรู้จากสถานการณ์จริงในชุมชน ลงมือทำงานในฐานะเจ้าของชุมชนเอง (community/project based) ได้เผชิญปัญหาและฝึกแก้ปัญหา นอกจากชุมชนจะได้ประโยชน์แล้ว เด็กก็จะได้เติบโตไปพร้อมกับงานที่เขาทำด้วย โดยเฉพาะทักษะในศตวรรษที่ 21 และการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

แต่เพื่อตอบคำถามว่าโครงการพัฒนาเด็กได้จริงหรือไม่ และ โครงการทำให้เยาวชนอยากลุกขึ้นมาทำงานและพัฒนาชุมชนที่เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดด้วยตัวเองได้จริงหรือเปล่า และจะยืนระยะนานแค่ไหน? 

จึงเป็นเหตุผลที่ทีมวิจัยจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงไปศึกษาการทำงานโครงการพัฒนาเยาวชนและการทำงานของโค้ชโครงการ Active Citizen ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดสงขลา น่าน ศรีสะเกษ และกลุ่มจังหวัดภูมิภาคตะวันตก (ราชบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม เพชรบุรี) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาทักษะและสร้างสำนึกพลเมืองของเยาวชนผ่านการลงมือทำงานในชุมชน ระบบนิเวศในการพัฒนาเยาวชน (Bio-ecological system) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการ พร้อมเสนอแนวทางการนำกระบวนการพัฒนาเยาวชนดังกล่าวไปใช้กับการศึกษาในระบบต่อไป

“สิ่งที่มูลนิธิสยามกัมจลพยายามทำคือการเรียนรู้นอกห้องเรียน แล้วในฐานะมหาวิทยาลัย โจทย์คือเราจะพัฒนาหน้าตาหลักสูตรออกมาอย่างไร เราเอาโจทย์การเรียนรู้ไปใช้กับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 เราจัดกระบวนการให้เขาได้ลงไปทำงานกับชุมชนจริงๆ ไปอยู่กับชาวบ้าน และหาประเด็นที่เขาสนใจแล้วลงมือทำ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา” อดิศร จันทรสุข ย้ำ 

อดิศร จันทรสุข

ผลการวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และจังหวะการทำงานระหว่างเด็กกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรอบตัวเด็ก ทั้งหมดต่างมีความเกี่ยวพันอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ สามารถแบ่งออกได้ 5 ระดับ ซึ่งการแยกย่อยระดับเช่นนี้จะช่วยคลี่ภาพให้เห็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งวงจรที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของเยาวชนได้ชัดเจน

  • Chrono System บริบทเชิงเวลา
  • Marco System ระดับสังคมใหญ่ เช่น วัฒนธรรม ความเชื่อ มุมมอง
  • Exo System ระดับที่ไม่ได้เกี่ยวกับเยาวชนโดยตรงแต่มีผลทางอ้อม เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ปกครอง นโยบายโรงเรียน
  • Meso System ระดับที่ขยับเข้าใกล้เด็กมากขึ้น เช่น มูลนิธิสยามกัมมาจล 
  • Micro System คนใกล้ตัวมีอิทธิพลในการทำงานเชิงพัฒนาเด็กมาก เช่น เพื่อน ผู้ปกครอง พี่เลี้ยง ชาวบ้านในชุมชน
  • NANO ระดับข้างในลึกสุด เช่น ความคิด ความอดกลั้น ทัศนคติ ซึ่งเป็นระดับที่ทำงานกับโลกภายในจิตใจของเยาวชน โดยความสัมพันธ์ในระดับนี้จะส่งผลให้เกิดสำนึกพลเมืองมากที่สุด

อดิศร อธิบายว่า สิ่งที่มักถูกมองข้ามไปในงานพัฒนาเยาวชน คือ ‘การมองเห็นว่าเด็กแตกต่างกัน’ เพราะเด็กทุกคนมีตัวตน มีต้นทุนความรู้ความสามารถ ทักษะเดิมติดตัว บุคลิกภาพที่เป็นปัจเจก ฉะนั้นการที่เยาวชนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรบางอย่าง ต้องเริ่มต้นจาก ‘ตัวเอง’ ที่สนใจและเห็นความสำคัญกับเรื่องนั้น

ไม่ต่างจากกระบวนการที่นำไปใช้พัฒนาเยาวชนให้เป็น Active Citizen 

เราจำเป็นจะต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ด้าน 

หนึ่ง – Cognitive เด็กจะต้องมีความรู้ เข้าใจประเด็นในชุมชนที่ตัวเองทำ

สอง – Skill ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น การเข้าหาแหล่งข่าวในชุมชน การสัมภาษณ์ วิธีจัดการต่างๆ ที่ทำให้งานของพวกเขาขับเคลื่อนไปถึงธงความสำเร็จให้ได้

สาม – Affective อารมณ์และความรู้สึก โดยเรามักหลงลืมความสำคัญของเรื่องนี้มากที่สุด แต่การทำให้เด็กรู้สึกมีส่วนร่วม รู้สึกอินกับเรื่องราวในชุมชนที่เขาทำงานด้วย จะทำให้ช่วยเขาไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

“ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อต้องการสร้างการเรียนรู้ที่พัฒนาไปถึงขั้นสร้างจิตสำนึก เราต้องผลักดันให้เยาวชนได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียน และสิ่งนั้นควรเข้าไปทำงานในระดับ NANO เพื่อให้เด็กเชื่อมตัวเองเข้ากับสิ่งนั้นให้ได้ สุดท้ายทักษะที่ติดตัวเด็กออกไปคือการอยู่กับปัญหาให้เป็น ไม่หนี และความอดทนอดกลั้นต่อภาวะท้อแท้ (GRIT)” 

เมื่อระเบิดพลังระดับ NANO แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการทำโครงการเพื่อชุมชนคือ ฝึกวิเคราะห์สถานการณ์ชุมชนคิดวิเคราะห์โจทย์เพื่อแก้ปัญหา คิดวางแผน การแก้ปัญหา เรียนรู้การทํางานเป็นทีม ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของชุมชน โดยลงมือทําด้วยตัวเอง

รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล กล่าวถึง เบื้องหลังพฤติกรรมที่เป็นผลจากการเรียนรู้ของเยาวชนในโครงการ Active Citizen ว่าสามารถเชื่อมโยงกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ได้ โดยอธิบายผ่านมุมมองของการทำงานของสมองส่วนหน้า หรือ EF (Executive Function) ที่ทำหน้าที่กํากับ ทั้งด้านความคิด อารมณ์และการกระทํา นำไปสู่การจัดการชีวิต เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมาย มีผลทำให้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็เสร็จลุล่วงทั้งกระบวนการ

รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล

ฉายภาพให้เข้าใจชัดๆ อ.นวลจันทร์ อธิบายว่า สมองส่วนหน้า (EF) สามารถเชื่อมโยงการทำงานของเยาวชนในโครงการ Active Citizen ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะส่วน working memory ดูแลเรื่องความจําขณะทํางาน, inhibit การหยุด การยับยั้ง, shift/cognitive flexibility การยืดหยุ่นความคิด, emotional control การควบคุมอารมณ์, plan/organize การวางแผนจัดการต่างๆ, initiate การเริ่มลงมือทํา, self-monitoring การเฝ้าติดตามดูและสะท้อนผลจากการกระทําของตนเอง, organize of material การจัดการข้าวของเครื่องใช้ และ task completion การทํางานให้เสร็จ

ซึ่งเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการด้านสมองส่วนหน้า (EF) มากน้อยต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่เปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ตัดสินใจ ลงมือทำ ได้เผชิญปัญหา ได้คิดวิธีแก้ไขปัญหา ได้เรียนรู้ผลจากการกระทำมากกว่า

ผลการประเมินพัฒนาการทางสมอง เมื่อเยาวชนได้เข้าร่วมโครงการ Active Citizen ผ่านเครื่องมือการวัดคลื่น P300 (คลื่นไฟฟ้าที่แสดงถึงการจดจ่อต่อตัวกระตุ้น) พบว่า เยาวชนในโครงการมีปัญหาความบกพร่องของ EF ลดลง มีความคิดยืดหยุ่นมากขึ้น มีการจดจ่อ ตอบสนองดีขึ้นทั้งในระยะยาวและสั้น เยาวชนสามารถกำกับตัวเอง มีความเพียร ไม่ย่อท้อ ให้ทำงานสำเร็จตามเป้าหมายได้ดีขึ้น ซึ่งผลการเปลี่ยนแปลงในคลื่นสมองแสดงให้เห็นว่า เมื่อเยาวชนต้องจดจ่อ ตัวกระตุ้นในการแยกแยะข้อมูลใหม่ๆ และความจำขณะทำงานจะดีขึ้น หรือมี working memory มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจดจำข้อมูลจำนวนมากไว้ในใจและอัปเดตข้อมูลเก่ากับใหม่ได้ดีขึ้น

ฉะนั้นการทำโครงการเพื่อชุมชนจึงมีผลต่อพัฒนาการด้านสมองอย่างมีนัยยะสำคัญและอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ 

อ.นวลจันทร์ ทิ้งท้ายไว้ว่า การที่เด็กจะทำงานสำเร็จตามเป้าหมายสักชิ้น ควรต้องเริ่มที่ข้างในตัวเด็ก หมายถึง เด็กควรจะได้ทำในสิ่งที่เข้าสนใจเสียก่อน จากนั้นการที่เด็กจะกำกับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนให้สำเร็จหรือการทำงานร่วมกับคนอื่น เด็กต้องใช้ทักษะการคิดบริหารจัดการ (EF) เกือบทุกด้าน เพื่อทำให้เขาจดจ่อและควบคุมตัวเองได้ หากเจอปัญหาหรือความท้อแท้ ครู โค้ช หรือพ่อแม่ คอยเป็นผู้เคียงข้าง ผลักดันให้เขามีกรอบคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) และสุดท้ายจะนำไปสู่การมี GRIT หรือความอดทน ไม่ย่อท้อในตัวเด็ก

เมื่อเข้าใจแล้วว่า วัยรุ่นขี้เบื่อ ท้อแล้วไม่อยากไปต่อ ทำงานไม่สำเร็จ คือพฤติกรรมตามธรรมชาติที่เกิดจากพัฒนาการทางสมองของพวกเขา คำถามคือเราจะมีวิธีหยิบฉวยโอกาสนี้ จับเอาพลังนั้นมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเพิ่มพื้นที่ให้วัยรุ่นได้มีโอกาสเรียนในสิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ผลักดันให้เขาหยิบธงของตัวเองขึ้นมาโบกเอง เพราะเชื่อว่าถ้าวัยรุ่นไปในทางที่เขาชอบ เขาจะไปได้ดี เขาจะคิดและวางแผน ไปถึงเป้าหมาย โดยไม่เบื่อ ไม่ท้อ และล้มเลิกไปเสียก่อน

แม้วัยรุ่นเป็นวัยที่ท้าทายต่อการรับมือ แต่หากมีการออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับพัฒนาการของเขา ท้าทายเพียงพอ และให้เขาได้เลือกเอง เป็นเจ้าของการเรียนรู้ โอกาสที่จะพลิกวัยรุ่นเป็นพลังศักยภาพมีมากมาย และทำได้ง่ายเพียงเปิดพื้นที่เรียนรู้ให้เขาได้คิด ได้ทำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในชุมชน หรือโรงเรียน เพียงแค่นี้เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของวัยรุ่นได้

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningเทคนิคการสอนงานเสวนาEF

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    ‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

    เรื่องและภาพ The Potential

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Creative learning
    ต้นทุนชีวิต อย่าคิดให้ติดลบ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้
Everyone can be an Educator
30 October 2019

PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • ศิลปินไม่ต้องทำเรื่องใหญ่โต รู้ลึก รู้ดีที่สุดคือเรื่องที่เกิดกับตัวเราเอง เท่านี้ก็สั่นสะเทือนโลกได้แล้ว
  • ศิลปะอาจง่ายกว่าที่คิด เพียงเรื่องเล่าในชีวิตจริงหรือแม้แต่สิ่งของในบ้านก็สามารถนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้ เมื่อมีการสร้างงานศิลปะอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ศิลปะก็จะงอกงามเติบโตในใจทุกคน
  • งานศิลปะจำเป็นต้องลงมือทำ ไม่มีโอกาสก็สร้างโอกาสขึ้นมา เพื่อให้ศิลปินและผู้ชมได้ร่วมเติบโตไปพร้อมกัน
ภาพ: ศุภจิต สิงหพงษ์

ศิลปะเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิดและอยู่รอบตัวเรา เช่น สิ่งของในชีวิตประจำวันหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงก็สามารถนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานศิลปะได้ พ่อแม่สามารถนำไปเล่นกับลูกที่บ้านได้ นอกจากนี้ศิลปะที่สร้างจากเรื่องราวในชีวิตจริงก็สามารถเยียวยาผู้คนได้

ไฟบนเวทีสลัวราง เห็นภาพพลิ้วไหวของขนนกบางเบาที่ถูกนักเชิดหุ่นขยับเคลื่อนไหวราวกับปลาใต้ทะเลลึก จากนั้นเริ่มขยับลงจากเวทีมาสู่ที่นั่งและในอุ้งมือของผู้ชม และแล้วเวทีก็เปลี่ยนฉากไปเป็นเรื่องราวของท้องฟ้าและผืนน้ำที่รักกันแล้วความรักแตกสลาย ต่อเนื่องกับความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่อยู่กันคนละฝั่งฟ้าและท้องทะเล ต้องผจญกับฉลามร้ายและสัตว์ประหลาดใต้น้ำที่จะต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน ผ่านการใช้ข้าวของในชีวิตประจำวันอย่างฟองน้ำขัดตัว มีดพลาสติก ถุงมือกันร้อน แปรงขนาดต่างๆ หรือไม้ขนไก่แสดงเป็นฉากและตัวละครใต้ทะเลให้ผู้ชมได้จินตนาการตามไปด้วย

เมื่อเปลี่ยนฉากอีกครั้ง จากเวทีละครหุ่นก็กลายเป็นเวทีแสดงละครใบ้อีกหลายชุดที่ใช้เทคนิคการแสดงมากมายประกอบกับการมีส่วนร่วมของผู้ชมเคล้าเสียงหัวเราะ สร้างหลากหลายอารมณ์ผสมผสาน ทั้งตลก สนุก เศร้า ซาบซึ้ง ตลอดระยะเวลาการแสดง 1 ชั่วโมงเต็ม

ซ้ายไปขวา แจ๋-สิริกาญจน์ บรรจงทัด, ธา-ณัฐพล คุ้มเมธา และ เอื้อง-อาริยา เทพรังสิมันต์กุล

นี่คือการแสดงชื่อ ‘Puppetomime’ ที่เต็มไปด้วยศิลปะหลากหลาย ชื่อการแสดงมาจากการที่มีศิลปะละครหุ่นและละครใบ้มาแสดงเรียงร้อยต่อกันกลายเป็นคำว่า Puppet – to – mime โดยมีนักแสดง 3 คนที่ต่างความชำนาญ ต่างประสบการณ์ ต่างที่มามาร่วมทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ธา-ณัฐพล คุ้มเมธา หนึ่งในสมาชิกคณะละครใบ้ Babymime ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย และอาชีพหลักตอนนี้เป็นคุณพ่อลูกสอง, แจ๋-สิริกาญจน์ บรรจงทัด นักละครหุ่นมากประสบการณ์กว่า 17 ปี ผู้ก่อตั้งกลุ่มละคร Puppet by JAE มีผลงานการแสดงละครหุ่นทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุดเขาได้รับทุนจาก Asian Cultural Council (ACC) ไปเรียนการทำละครหุ่นที่อเมริกา และนำประสบการณ์จากการเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการแสดงชุดนี้ และ เอื้อง-อาริยา เทพรังสิมันต์กุล บัณฑิตคณะศิลปกรรมศาสตร์สาขาการละคอนจากรั้วเหลืองแดง ปัจจุบันเป็นนักแสดงอิสระและหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มละครเด็กชื่อ ‘Yellow Fox Theatre’

จุดเริ่มต้นของ Puppetomime มาจากละครที่ธาทำร่วมกับลูกชายเรื่อง ‘ความสัมพันธ์ในครอบครัว’ นำมาทดลองและปรับปรุงใหม่ประกอบกับละครหุ่นและชุดการแสดงย่อยๆ อีกหลายชุดของแจ๋และธา ซึ่งเมื่อทดลองซ้อมแล้วพบว่าคนไม่พอ จึงชวนเอื้องที่สนใจเรื่องละครเด็กมาร่วมทำงาน จากนั้นได้เปิดการแสดงครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย ณ เมืองยอร์คจาร์กาตา และเมืองจาการ์ตา โดยบัตรขายหมดเกลี้ยงทั้ง 2 ที่ และคว้ารางวัลละครเด็กยอดเยี่ยมจากเทศกาลละครกรุงเทพในปี 2561 มาครอง

The Potential ชวนทั้งสามคนจับเข่าคุยเรื่องวิธีการสร้างงานศิลปะ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการทำงานในครั้งนี้

เบื้องหลังการทำงานท่ามกลางความแตกต่าง

เมื่อศิลปินที่สร้างงานศิลปะต่างแขนง ต่างวัย ต่างที่มามาร่วมทำงานด้วยกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่เข้ากัน แต่เมื่อดูจากบนเวทีแล้ว การทำงานของ Puppetomime นั้นกลมเกลียวสอดประสานกันกลมกล่อม พวกเขาทำได้อย่างไร

แจ๋-สิริกาญจน์ บรรจงทัด

แจ๋เล่าว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็นนักละครหุ่น ธาเป็นนักละครใบ้ มีทักษะและวิธีการสร้างงานที่ต่างกัน ก็จะงงๆ กันนิดหน่อย “อย่าง Babymime เขามีไอเดีย แล้วทำอันนี้กัน แล้วใช้ร่างกาย เปลี่ยนปึ๊บๆ ทำได้เลย แต่อย่างละครหุ่นต้องวางแผนตั้งแต่แรก ต้องคิดไว้ก่อนภาพหนึ่งสองสามสี่ห้าจนจบ บางกลุ่มก็สตอรีบอร์ดชัดเจน ค่อยๆ สร้างของขึ้นมาจากตรงนั้น แล้วลองเล่นดู เป็นทักษะร่างกายกับทักษะสร้างของ ก็จะ เอ๊ะเธอจะเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ (หัวเราะ)”

แต่ในความแตกต่างก็มีการส่งเสริมกัน เอื้องสะท้อนการทำงานและจุดเด่นของพี่ๆ ว่า

“พี่แจ๋ข้าวของเยอะ มีไอเดีย เป็นคนที่ทำหลายๆ อย่างดูยากซับซ้อนให้ง่ายขึ้น ส่วนพี่ธาจะเป็นเรื่องการเล่าเรื่อง มีมุมมอง personal ที่สร้างเป็นเรื่องน่าสนใจได้ พอมาอยู่ระหว่างสองคนนี้ก็รู้สึกน่าสนใจ ก็ครูพักลักจำวิธีการทำงานที่ต่างกัน มองเขาถกกันไปกันมา”

แจ๋และธาเพิ่มเติมว่า จุดเด่นเรื่องภาษาและการจัดไฟบนเวทีของเอื้องก็มีส่วนช่วยให้การแสดงที่อินโดนีเซียราบรื่นด้วยเช่นกัน เพราะสถานที่จัดแสดงเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะที่มีไฟคนละชนิดกับไฟที่ใช้บนเวที

“ทักษะภาษาอังกฤษเอื้องดีมาก คอยช่วยเหลือที่ต่างประเทศ พาร์ทการประสานงานให้น้องเอื้องช่วย คุยกับสเตจ เทคนิค ส่วนหนึ่งเราก็จน (หัวเราะ)”

เรื่องเพศและวัยก็เป็นอีกความแตกต่างหนึ่งที่อาจจะต้องปรับตัวเข้าหากันพอสมควร แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาสำหรับ Puppetomime อย่างธาที่เป็นชายเดี่ยวในละครครั้งนี้ก็สะท้อนว่า “ปกติทำงานกับผู้ชาย ง่ายๆ จะทำอะไรก็ทำ ทำงานกับเพื่อนนานๆ จนรู้กัน แต่กับผู้หญิงจะต้องละเอียดอ่อน ต้องมานั่งเรียนรู้ใหม่ น่าสนใจดี”

เอื้อง-อาริยา เทพรังสิมันต์กุล

เอื้องที่เป็นน้องเล็กสุดของทีมก็สะท้อนว่า “การทำงานกับพี่แจ๋พี่ธา ด้วยวัยก็ห่างกันเยอะ แต่พี่เขาให้เกียรติในการออกความคิดเห็น ไม่มี seniority เข้ามา หนูเสนออะไรก็รับฟัง ไม่เห็นด้วยยังไงก็ถก รับฟัง ดีเบต ไม่ได้มองอายุหรือสถานะว่าสำคัญในการทำงาน”

แจ๋เสริม “ที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่อยากแก่ ไม่อยากตั้งกรอบว่าเราเป็นคนยังไง มีกรอบอะไรบางอย่าง ถ้าเขาอายุเยอะกว่าต้องแบบนั้นแบบนี้กับเรา”

“ผมเชื่อว่าเรากำลังสร้างสรรค์อะไรบางอย่าง ถ้าทำให้คนมีความสุข แต่บรรยากาศในการทำงานคุกรุ่น จะเอาพลังงานดีๆ ที่ไหนไปส่งให้คนดู” ธาตบท้าย

ศิลปะง่ายๆ จากสิ่งของและเรื่องราวรอบตัว

แจ๋เล่าวิธีคิดงานใน Puppetomime ให้ฟังว่า เริ่มต้นคือการไป ‘ช็อปปิ้ง’ ก่อน เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงแบบ object theatre คือการนำสิ่งของมาสมมุติเป็นตัวละคร ฉาก และสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเล่าเรื่อง

“ชวนกันไปดูว่าเรื่องแบบนี้จะใช้อะไรเล่าเรื่องบ้าง อะไรที่เป็นซีนทะเลท้องฟ้าเอาสิ่งของอะไรมาดูได้บ้าง ก็เป็นของในบ้าน ในชีวิตประจำวัน” วิธีนี้เป็นเป้าหมายของแจ๋เองที่อยากทำให้ละครดูเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคทางศิลปะมากมาย เพียงหยิบข้าวของมาเล่นสมมุติกับลูกก็สร้างความสนุกได้แล้ว

ธายืนยันอีกเสียงว่า “ส่วนตัวที่เป็นพ่อ วิธีนี้ creative มากเลยนะครับ การเอาของในบ้านมาเล่นกับลูก ผมว่าเราใช้เป็นทาง connect กับลูก โดยส่วนตัวชอบเอาของใช้ในบ้านมาเล่นกับลูกอยู่แล้ว”

“ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เหมือนไม่สร้างกรอบให้ตัวเอง แล้วคำว่า contemporary สำคัญกับชีวิตคนสมัยนี้ ไม่อยากให้มีอะไรมากรอบ ทำอะไรก็ได้ สร้างสรรค์ขนบขึ้นมาเองก็ได้ อันนี้สำคัญ ถ้าไม่มีพื้นที่ให้ทดลองได้ เราก็จะตามในสิ่งที่กรอบไว้อยู่แล้ว กลายเป็นคนที่ไม่มีคำถาม ไม่กล้าลองอะไร คิดว่าทำไม่ได้หรอก ไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่จะพยายามลองรูปแบบใหม่ๆ เอานู่นเอานี่มาผูกกัน” แจ๋บอก

นอกจากข้าวของในชีวิตประจำวันแล้ว การนำเรื่องราวจากชีวิตจริงมาเล่าเป็นงานศิลปะก็เป็นวิธีหนึ่งในการสร้างงานเช่นกัน ธาเล่าให้ฟังเรื่องที่มาของ ‘นิทานเส้นขอบฟ้า’ ละครย่อยเรื่องหลักในชุดการแสดงว่าเป็นเรื่องราวในครอบครัวของเขาเอง ในตอนที่ธาจำเป็นต้องแยกทางกับแม่ของลูกชายและจำเป็นต้องสื่อสารเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ที่เด็กๆ อาจไม่เข้าใจ ซึ่งในช่วงแรกธาเลือกใช้นิทานเป็นเครื่องมือ

“นิทานคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเล่าให้เขาฟัง เพราะเรากันส่วนที่เขายังไม่ถึงวัยควรรู้และเติมจินตนาการบางอย่างให้กับเขา เล่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มันช่วยเชื่อมโยงผมกับลูก จนตอนนี้เขาโตแล้วก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น”

เมื่อทั้งสามคนได้มีโอกาสไปแสดงที่อินโดนีเซีย ได้เห็นการแสดงหลายชุดที่มีวัตถุดิบในการสร้างงานเป็นเรื่องจริงของศิลปินที่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่ก็สามารถเยียวยาหัวใจทั้งศิลปินและผู้ชมได้

“มีเรื่องคนเยอรมันที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเฉียดตาย ก็สร้างงานที่เกี่ยวกับความตาย” แจ๋เริ่มเล่า

“เขาสูญเสียตาไปข้างหนึ่ง เลยเล่าเป็นเหมือนเซ็ตวงกลมที่จะสื่อถึงวงจรชีวิตด้วย เจอความตาย ผ่านเวลาชีวิตถูกคนรักทิ้ง เกิดแก่เจ็บตาย มีความสุข เผชิญหน้ากับพ่อตัวเอง คือการดีลกับปัญหาชีวิตตัวเอง ฟีดแบ็คคือทั้งคนดูและศิลปินนั้นเป็นการเยียวยาทางหนึ่ง ตราบใดที่ไม่ไปขยี้แผล การที่ศิลปินทำเรื่องนี้ก็ช่วยเยียวยา” เอื้องเสริม

“คิดว่าศิลปินที่เล่าเรื่องส่วนตัวได้คิดว่าเขาจัดการปัญหาได้ในระดับหนึ่งแล้ว นักร้องไม่สามารถร้องเพลงได้ในขณะที่อกหัก เหมือนการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ดูแล้วอยากให้กำลังใจเขา รู้สึกได้ถึงคำว่าเยียวยา สู้ เราเป็นกำลังใจให้นะ มันสวยงามมากเลยนะครับสิ่งนี้” ธาเติม

ธาเล่าย้อนไปถึงเมื่อครั้งลองแสดงละครจากนิทานที่เล่าให้ลูกฟังสู่สายตาผู้ชม แล้วได้รับคำวิจารณ์จากครูช่าง-ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง (ครูละครผู้ก่อตั้งคณะละครมรดกใหม่) ในประเด็นเดียวกันนี้ว่า

“ศิลปินไม่ต้องทำเรื่องใหญ่โต รู้ลึก รู้ดีที่สุดคือเรื่องที่เกิดกับตัวเราเอง เท่านี้ก็สั่นสะเทือนโลกได้แล้ว ผมจำคำของครูช่างมาจนตอนนี้เลย”

พื้นที่ศิลปะ: ไม่เริ่มสร้างก็ไม่เกิด

หลายคนอาจมองว่างานศิลปะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและสำคัญน้อยกว่าเรื่องปากท้อง คนที่ทำอาชีพด้านศิลปะก็มักถูกมองว่าเป็นศิลปินไส้แห้ง แล้วพื้นที่ในการแสดงงานศิลปะในประเทศไทยก็ยังมีน้อยอีก ในฐานะที่ทีม Puppetomime เป็นศิลปินมืออาชีพและเคยมีโอกาสไปเห็นพื้นที่ศิลปะในต่างประเทศ เลยอยากรู้ว่าที่ต่างประเทศเขาจัดการกับพื้นที่ศิลปะอย่างไร ศิลปินอยู่ได้ไหม ผู้ชมเป็นอย่างไรบ้าง

แจ๋บอกว่า หลายประเทศที่ไปมาก็มีภาครัฐสนับสนุนศิลปะ เช่น ที่ประเทศอินโดนีเซียทางรัฐบาลสนับสนุนทุนครึ่งหนึ่งในการจัดเทศกาลละครหุ่น หรือในสหรัฐที่มี Center for Puppetry Arts มีการอบรมทำละครหุ่นและพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มละครเอกชนในพื้นที่หลายกลุ่มที่ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มละครชาวบ้านที่ยังคงมีการซ้อมการแสดงและรอคอยโอกาสขึ้นแสดงเสมอ

“อย่างอินโดนีเซียมันจะมีเทศกาลห้าขุนเขา ที่แต่ละปีคนที่อยู่ตามหมู่บ้านกันดาร ชาวนาชาวไร่ มาทำเทศกาลเอาการแสดงมาร่วมกัน แล้วคนที่หาเช้ากินค่ำ ในแต่ละปีก็จะมารวมกัน เหมือนตอนเย็นๆ ทำงานเสร็จเหนื่อยมากมาซ้อมละครเพื่อประชันในเทศกาล คือมี appreciate ชื่นชมความงาม ทำงานเหนื่อยๆ ก็ปันเวลามาทำ”

แสดงว่าเรื่องปากท้องก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องศิลปะรึเปล่า?

“พี่ว่าเป็น mindset คนไทย หรือไม่ใช่แค่คนไทย แต่มันรู้สึกว่าปากท้องมาก่อน ประเทศบางประเทศลำบากกว่าเรา แต่ไม่คิดว่าศิลปะแยกจากชีวิต ยากจนแค่ไหนก็มีเวลาที่จะอิ่มเอมกับศิลปะได้”

ฟังแล้วก็ชวนให้คิดว่า หากจะเปลี่ยนมุมคิดเดิมๆ ของผู้คนที่มีต่อศิลปะก็ดูจะเป็นเรื่องยาก แต่แจ๋และธามองตรงกันว่า งานศิลปะนั้นจำเป็นต้องลงมือทำ ไม่มีโอกาสก็สร้างโอกาสขึ้นมา เพื่อให้ศิลปินและผู้ชมได้ร่วมเติบโตไปพร้อมกัน

แจ๋เล่าว่า “เพราะไปอเมริกามา บางที่ที่ไปก็ได้ไอเดียว่าถ้าไม่ทำตอนนี้ มันเหนื่อยมาก ยากมาก ถ้าเราไม่เริ่มต้นทำมันก็ไม่เกิด แต่ถ้าทำตอนนี้ก็ยังมีบางโรงละครหรือละครหุ่นบางกลุ่มที่บอกว่าเริ่มตอนนี้ ผลมาอีก 20 ปีข้างหน้า แต่เพราะเขาลงทุนกับ 20 ปีที่แล้วถึงมีผลออกมา แต่ตั้งต้นตอนแรกโคตรยากเลย ท้อใจ จะลงทุนไปทำไมวะ มีคุณค่าจริงเหรอวะ มันเห็นในระยะสั้นไม่ได้เลยอะ”

แจ๋ยกตัวอย่างเพิ่มจากเทศกาลละครหุ่นอินโดนีเซียที่ไปมา “จากปีแรกๆ ที่ไป คนทำหุ่นร่วมสมัยมีน้อยมาก ผ่านมาสามครั้งมีกลุ่มละครหุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น 5-6 กลุ่ม เป็นการเติบโตที่ดี ผู้ชมเขาก็ถูกสร้างมาให้โตพร้อมๆ กับคนสร้างงาน ดังนั้นจะรู้สึกว่าแสดงอะไรไปคนดูจะทึ่งมาก อย่างเรื่อง Invisible Hand (ละครหุ่นในชุดการแสดง) เหมือนเชียร์มวยอะ ก็รู้สึกว่าละครของเราโอเคละ อย่างนิทานเส้นขอบฟ้าใครมีประสบการณ์ร่วมก็จะน้ำตาไหลไป”

การจัดเทศกาลละครกรุงเทพ ทุกปีของ ตั้ว-ประดิษฐ ประสาททอง ก็เช่นเดียวกัน พี่แจ๋บอกว่า “พอคนรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องห่างไกลตัว BTF ก็ช่วยดึงให้คนรู้สึกว่าศิลปะอยู่รอบตัวเรา เข้ามาสัมผัสกับศิลปะได้ส่วนหนึ่ง พอเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจ ก็อาจจะเป็นผู้สนับสนุนหรือผู้สร้างงานเอง”

ธาเสริมต่อ “อย่าง Babymime เล่นฟรีทุกปี พี่ตั้วให้เก็บเงินเพราะมีฐานคนดูเยอะขึ้น ก็เกรงใจ มีปีหนึ่งไม่มีเงินก็เก็บบัตร ตั้งแต่ปีนั้นมาก็เก็บบัตร เราเติบโต คนดูก็เติบโต”

ธา-ณัฐพล คุ้มเมธา

“ผมเชื่อเรื่องหมู่บ้านที่ซ่อนอยู่ มีพ่อแม่ที่คิดแบบเดียวกับเราว่าศิลปะมันดี เพียงแต่อยู่หมู่บ้านที่ห่างไกลกัน ขอบคุณสื่อที่เชื่อมโยงให้หมู่บ้านมาเจอกัน ผมเชื่อว่าเราทำ เขาทำ ทุกคนทำ สักวันมันก็จะมาเจอกันครับ แล้วถ้าเราทำอย่างแข็งแรง เหมือนผมวิ่งมาราธอนหันไปไม่เจอใครมันก็จะเริ่มมีหยอมแหยม อีนี่ (ชี้ไปที่แจ๋) ก็วิ่งเว้ย ก็จะฮึดกัน เอ้ยเอาเว้ย มาสิๆ ฮึดกัน” ธาทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Puppetomime บอกให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วศิลปะอาจง่ายกว่าที่คิด เพียงเรื่องเล่าในชีวิตจริงหรือแม้แต่สิ่งของในบ้านก็สามารถนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้ ศิลปะอาจไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ และไม่จำเป็นต้องมีเงินก่อนถึงจะนึกถึงเรื่องศิลปะ เมื่อมีการสร้างงานศิลปะอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ศิลปะก็จะงอกงามเติบโตในใจทุกคน

Tags:

ศิลปินอาชีพศิลปะศิลปะการแสดงละครหุ่นอาริยา เทพรังสิมันต์กุลณัฐพล คุ้มเมธาสิริกาญจน์ บรรจงทัด

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    บัว วรรณประภา ตุงคะสมิต: Papercutting Art จากมุมมองของโลกจิ๋วๆ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

    เรื่อง ศิริกร โพธิจักร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Everyone can be an Educator
    อนาคตทุกคนจะเรียนศิลปะและความผิดพลาดจะกลายเป็นความงาม ‘วิชากู’ ของ พิเชษฐ กลั่นชื่น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    รักที่จะรักหลากหลาย: นักเขียนรางวัลซีไรต์กับนิยายYของเธอ

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก
Learning Theory
30 October 2019

วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง มีปัญหาการเรียน และเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ ครูเพื่อศิษย์ ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ

บันทึกที่ 24 ‘หนุนด้วยศิลปศึกษาและพลศึกษา’ นี้ เป็นบันทึกที่ 2 ใน 3 บันทึก ภายใต้ชุดความคิด เพื่อความสำเร็จของนักเรียน (graduation mindset) ตีความจาก Chapter 19: Support Alternative Solutions

สาระหลักของบันทึกนี้คือ เพื่อความสำเร็จในชีวิตการเรียนของนักเรียน ครูต้องจัดให้นักเรียนได้เล่นสลับกันไปด้วย เพื่อใช้การเล่นกระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองกระตุ้นให้การไหลเวียนเลือดแรงขึ้น และเพื่อสร้างสภาพสมองพร้อมเรียนที่มีสารเคมีเพื่อการเรียนรู้หลั่งออกมาการเล่น ในที่นี้กล่าวถึง 2 อย่าง คือเล่นกีฬาหรือการเคลื่อนไหวร่างกายกับการเล่นด้านศิลปะ

หนุนด้วยศิลปศึกษา

มีหลักฐานจากผลงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าการให้เวลานักเรียนฝึกซ้อมกิจกรรมด้านศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีทำให้ผลการเรียนดีขึ้น มีผลการศึกษารวมข้อมูลจากงานวิจัยขนาดใหญ่ 4 ชิ้น

ในนักเรียนยากจน เปรียบเทียบผลระยะยาวต่อนักเรียนยากจนที่โรงเรียนจัดเวลาเรียนด้านศิลปะมากในกลุ่ม 20 เปอร์เซ็นต์บนกับนักเรียนยากจนที่โรงเรียนจัดเวลาเรียนศิลปะต่ำในกลุ่ม 20 เปอร์เซ็นต์ล่าง พบว่านักเรียนในโรงเรียนกลุ่มแรกมีโอกาสเรียนจบชั้นมัธยมสูงกว่าอัตราได้รับอนุปริญญาและปริญญาสูงกว่าตอนเรียนในชั้น ม.ปลาย นักเรียนกลุ่มดังกล่าวได้คะแนนเรียงความ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สูงกว่า รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรมากกว่า อ่านหนังสือพิมพ์มากกว่า เข้าร่วมบริหารองค์กรนักศึกษามากกว่า และทำกิจกรรมอาสาสมัครในชุมชนมากกว่า

นักวิจัยในโครงการนี้ถึงกับสรุปว่า นักเรียนจากครอบครัวยากจนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมศิลปศึกษาจริงจัง มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าเทียมกับนักเรียนโดยทั่วไปในประเทศ

ตีความใหม่ได้ว่า การได้เรียนศิลปศึกษาจริงจังในโรงเรียน ช่วยแก้ข้อเสียเปรียบในการเรียนของนักเรียนขาดแคลนได้ เขาบอกว่ากิจกรรมศิลปะช่วยฟื้น ‘ระบบการทำงานด้านวิชาการ’ (academic operating system) ให้กลับคืนมา

ศิลปะช่วยฟื้นระบบการทำงานด้านวิชาการอย่างไร

คำว่า ‘ศิลปะ’ ในที่นี้หมายถึง 4 กลุ่มใหญ่ของศิลปะ ได้แก่

  1. ศิลปะดนตรี (เล่นเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือหลายชิ้น)
  2. ศิลปะการแสดง (ละคร ร้องเพลงประสานเสียง รำ เต้น และแสดงตลก)
  3. หัตถศิลป์ (เย็บปักถักร้อย แกะสลัก)
  4. ทัศนศิลป์ (วาดภาพ ระบายสี และศิลปะดิจิตัล)

สมองมีส่วนที่เป็น ‘ระบบการทำงานด้านวิชาการ’ (academic operating system) ที่มีการพัฒนาตรงตำแหน่งที่จำเพาะ และเปลี่ยนแปลงถาวร จากการฝึกปฏิบัติศิลปะเป็นเวลานาน

เมื่อให้นักเรียนปฏิบัติศิลปะครั้งละ 30-90 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ก่อผลดีดังต่อไปนี้

  1. ความมานะพยายาม: แรงจูงใจ และความสามารถยับยั้งชั่งใจ (defer gratification)
  2. ทักษะการจัดการผัสสะ (processing skills): ทางหู ตา และสัมผัส
  3. ทักษะการเอาใจใส่ (attentional skills): สนใจ พุ่งความสนใจ (โฟกัส) และละความสนใจได้ตามที่ต้องการ
  4. ความจำ: ความจำระยะสั้น และความจำใช้งาน
  5. ทักษะจัดลำดับ: รู้ขั้นตอนของกระบวนการ

นอกจากนั้นศิลปะช่วยหนุนชุดความคิดเพื่อความสำเร็จในการเรียน (graduation mindset) ของนักเรียน มีผลงานวิจัยบอกว่าโรงเรียนที่มีการฝึกซ้อมดนตรี นักเรียนมาเรียนในสัดส่วนสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่มีการฝึกซ้อมดนตรี (ร้อยละ 93.3 เทียบกับ 84.9) และมีอัตราเรียนจบสูงกว่า (ร้อยละ 90.2 เทียบกับ 72.9) โรงเรียนที่โปรแกรมดนตรีได้รับการประเมินคุณภาพว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม (excellent) หรือดีมาก (very good) อัตราเรียนจบยิ่งสูง (ร้อยละ 90.9)

มีการวิจัย ศึกษานักเรียนชั้นมัธยมในสหรัฐอเมริกา จำนวน 25,000 คน เป็นเวลา 4 ปี พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างการเรียนศิลปะกับผลการเรียนและเมื่อติดตามไปศึกษานักเรียนกลุ่มเดียวกันเมื่ออายุ 25 ปี ผลยิ่งน่าประทับใจคือนักเรียนกลุ่มที่มาจากครอบครัวรายได้น้อย ที่เรียนศิลปะ มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยสูงกว่า ได้เกรดดีกว่า มีโอกาสเรียนสูงกว่าปริญญาตรีมากกว่า โอกาสได้งานทำสูงกว่า ร่วมกิจกรรมจิตอาสา และลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสูงกว่า

วิธีใช้ศิลปะในห้องเรียน

ดีที่สุดคือมีครูศิลปะ ให้ครูศิลปะสอนนักเรียนครั้งละ 15-30 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมและมัธยม แต่หากไม่มีครูศิลปะ ครูประจำชั้นก็สอนเองได้ โดยเรียนรู้วิธีเอาเอง

หนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching’ ลงรายละเอียดที่การสอนศิลปะดนตรี และศิลปะการแสดง

  • การเรียนศิลปะดนตรี

ดีที่สุดคือ มีครูดนตรี แต่หากไม่มีครูดนตรี นักเรียนอาจเรียนเองจาก App ใน iPad เขาแนะนำ App ชื่อ Tiny Piano, Nota, Musical Touch, Pro Keys, และ Twelve Tones นอกจากนั้นยังมีวิดีทัศน์ใน YouTube สอนดนตรี การแนะนำของครูจะทำให้เด็กจำนวนหนึ่งคลั่งไคล้ในดนตรี

การฝึกดนตรีเป็นการฝึกประสานการทำงานของหลายส่วนในร่างกาย การฝึกประสานกิจกรรมทางสมอง ช่วยการพัฒนาสมองในเชิงโครงสร้าง (ทำให้ IQ สูงขึ้น) และช่วยฝึกการรับรู้ ซึ่งมีผลสืบเนื่องไปยังทักษะด้านภาษา (การจำคำศัพท์ ทักษะการอ่าน) และด้านมิติสัมพันธ์ (spatial relations) นอกจากนั้นยังมีผลงานวิจัยบอกว่า ช่วยเพิ่มความสามารถด้านการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรขาคณิต และระบบจำนวน

ที่น่าแปลกใจคือ ดนตรีช่วยพัฒนาการด้านอารมณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เนื่องจากการฝึกดนตรีช่วยให้ไวต่อการรับรู้ด้านอารมณ์จากถ้อยคำ และช่วยให้มีความภูมิใจในตนเอง รวมทั้งช่วยเพิ่มบุคลิกที่ดีด้านความร่วมมือ แรงจูงใจ ความรับผิดชอบ และการริเริ่ม ผลดีเหล่านี้เกิดขึ้นในเด็กจากทุกวัฒนธรรม และไม่เกี่ยวกับพันธุกรรม หรือเศรษฐฐานะ แต่จะได้ผลมากหากเริ่มตั้งแต่เด็กอายุน้อย ฝึกบ่อยๆ และฝึกต่อเนื่อง

  • การฝึกศิลปะการแสดง

ทำโดยให้นักเรียนแสดงบท (role-play) เพื่อสะท้อนสาระที่เรียน อาจใช้ในวิชาวิทยาศาสตร์ (เพื่อแสดงผลการทดลอง, แสดงปฏิกิริยาเคมี หรือผลลัพธ์ด้านระบบนิเวศน์), คณิตศาสตร์ (แสดงสูตร, สมการ, หรือวิธีจำสูตร), ภาษา (เพื่อเล่าเรื่อง, อธิบายเรื่องที่ไปค้นคว้ามา)

ศิลปะการแสดงจะช่วยฝึกทักษะหลายด้านที่นำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ เช่น ศิลปะการแสดง มีส่วนการเคลื่อนไหว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ในหลายกลไก

ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) มีผลยกระดับทักษะทางวิชาการ (academic skills) ในหลากหลายมิติ ดังแสดงในรูปข้างล่าง

การฝึกด้านศิลปะ จึงเป็นกลไกสร้างเครือข่ายใยประสาทในสมอง เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ โดยเราไม่รู้ตัว

หนังสือเล่าเรื่องราวของ ครูเรฟ เอสควิธ (Rafe Esquith) แห่งโรงเรียน Hobart ในกลางนคร ลอสแองเจลีส รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ใช้การเล่นละครเช็คสเปียร์ กระตุ้นพัฒนาการสมองของเด็กนักเรียน ป. 5 ที่ร้อยละ 70 มาจากครอบครัวยากจน เกิดผลมหัศจรรย์ คือค่าเฉลี่ยของนักเรียนในโรงเรียนนี้ที่เรียนจนจบ ม.ปลาย เท่ากับร้อยละ 32 เท่านั้น แต่นักเรียนที่เคยผ่านชั้นของครูเรฟ อัตรานี้เท่ากับ 100 คือนักเรียนทุกคนเรียนจบ ม.ปลาย

ท่านที่สนใจ ดูเรื่องราวการเล่นละครเช็คสเปียร์ ของศิษย์ครูเรฟได้ใน ยูทูบ ด้วยคำค้นว่า ‘Hobart Shakespeareans’ เป็นหลักฐานว่าครูที่ ‘สอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน’ เป็นผู้มีคุณูปการเปลี่ยนชีวิตศิษย์ได้จริงๆ

ผมขอเพิ่มเติมเรื่องราวของครูเรฟ เอสควิธ ว่า ท่านเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวการทำงานเป็น “ครูเพื่อศิษย์” ของท่านหลายเล่มมากสองเล่มได้รับการแปลเป็นไทย คือ ครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ กับ ครูแท้แพ้ไม่เป็น ท่านเคยมาเมืองไทย 2 ครั้ง เพื่อมาเปิดตัวหนังสือแปลทั้งสองเล่ม และผมเคยเขียน บล็อก เล่าไว้ที่ (1)

หนุนด้วยพลศึกษา

คุณค่าของกิจกรรมทางกาย (physical activity) ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า จากผลงานวิจัยสารพัดแบบในนักเรียนเป็นล้านๆ คน เหตุผลคือกิจกรรมทางกายสร้างสมองที่พร้อมเรียนจากการหลั่งสารเคมีเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ dopamine (เพิ่มความพยายาม, การมองโลกแง่ดีมีความหวัง, และความจำใช้งาน หรือ working memory) และ noradrenaline (เพิ่มการพุ่งเป้าความสนใจ และความจำระยะยาว หรือ long-term memory)

มีผลงานวิจัย พิสูจน์ว่า กิจกรรมทางกายช่วยลดปัญหาความประพฤติของนักเรียน ช่วยเพิ่มความมั่นใจตนเอง เพิ่ม executive functions และลดความเครียด

เคล็ดลับคือ กิจกรรมทางกายทันทีก่อนเรียน ช่วยเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ดีกว่ากิจกรรมทางกายก่อนเรียนสองสามชั่วโมง

กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายสร้างเซลล์สมอง

เป็นธรรมชาติของสมอง ที่จะมีการสร้างเซลล์สมองขึ้นใหม่ ตัวปิดกั้นสำคัญคือ ความเครียดเรื้อรัง และภาวะทุพโภชนาการ (ซึ่งนักเรียนขาดแคลนเผชิญ) และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า (depression) มีผลงานวิจัยบอกว่า ร้อยละ 30 ของนักเรียนยากจนในสหรัฐอเมริกา มีความเครียด และภาวะซึมเศร้า และมีผลงานวิจัยบอกอีกว่า การออกกำลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ช่วยป้องกันและบำบัดโรคซึมเศร้า

มีผลงานวิจัยในแม่ที่ยากจน ไร้บ้าน และเป็นโรคซึมเศร้า โดยให้เข้าโปรแกรมบำบัดโดยการเต้นรำครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ได้ผลดีคืออาการซึมเศร้าลดลงโดยเขาบอกว่าผลจากการออกกำลังได้มากกว่า aerobic fitness เมื่อแม่สุขภาพดีขึ้นก็จะดูแลลูกได้ดีขึ้น

ผมขอเพิ่มเติมจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า การออกกำลังแบบแอโรบิก (เช่น วิ่งเหยาะ) วันละ 30 นาที ช่วยสร้างสุขภาพในสารพัดด้าน รวมทั้งด้านการมีสมองแจ่มใส พร้อมเรียนรู้และผลนี้เกิดขึ้นในวันนั้น และในระยะยาวตลอดชีวิต

เซลล์ประสาทที่งอกใหม่ช่วยเพิ่มอารมณ์ดี ความจำ การจัดการน้ำหนักตัว และการเรียนรู้มีผลงานวิจัยยืนยันว่า การออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาท

นอกจากนั้นยังมีผลงานวิจัยบอกว่า ความแข็งแรงของร่างกาย มีความสัมพันธ์กับผลการเรียนในนักเรียนทุกระดับ

วิธีใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวในห้องเรียน

หลักการง่ายๆ คือ ใช้กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย (physical activities) กับกิจกรรมระหว่างชั้นเรียน (classroom activities)

เขาแนะนำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายวันละครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที สำหรับชั้นอนุบาลถึง ป.5 โดยถือเป็นการพักออกกำลังกาย นอกจากนั้นโรงเรียนต้องมีสนามเด็กเล่นและสนามกีฬาให้เด็กได้ออกกำลังกายในช่วงหยุดพักเที่ยง และช่วงก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน

สิ่งที่เขาห้ามคือ ห้ามลงโทษเด็กโดยการกักตัวไว้ในห้องระหว่างพัก เพราะจะเป็นการปิดกั้นโอกาสวิ่งเล่นออกกำลังกาย ซึ่งเป็นผลร้ายต่อการเรียน เขาแนะนำให้ลงโทษเด็กโดยวิธีอื่น เช่นให้เข้าคิวกินอาหารเป็นคนสุดท้าย ถูกตัดสิทธิพิเศษบางอย่าง เป็นต้น

กิจกรรมในห้องเรียนทำง่ายๆ โดยให้นักเรียนได้เคลื่อนไหว 1-2 นาที ทุกๆ 10-20 นาทีของเวลาเรียน เพื่อเผาผลาญพลังงาน และเพิ่มพลังการเรียนรู้ มีครูชั้นอนุบาล-ป.5 คนหนึ่งหัวใส ริเริ่มพานักเรียนออกไป ‘เดินเติมพลัง’ (power walk) ที่ทุ่งหญ้าข้างโรงเรียน 10 นาที ก่อความคึกคัก และทำกันทั้งโรงเรียน

เขาแนะนำให้จัดนักเรียนเป็น ‘ทีมเพิ่มพลัง’ (energizer team) หรือ ‘ทีมครูฝึก’ (personal trainer) ทีมละ 4 คนในชั้นอนุบาล-ป.5 และทีม 5 คน ในชั้นโตกว่านั้น โดยครูจะส่งสัญญาณให้เริ่มทำงานทุกๆ 15-25 นาที กิจกรรมเพิ่มพลังนี้ใช้เวลาครั้งละ 1-2 นาทีเท่านั้น โดยมีกิจกรรมต่อไปนี้

  • ให้นักเรียนวิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน 1 นาที เมื่อเริ่มจะสังเกตเห็นว่านักเรียนตื่นเต้น จะยิ่งสนุกหากมีการแข่งขันกันเล่นๆ หรือร่วมมือกัน
  • บูรณาการการเคลื่อนไหวเข้ากับสาระการเรียนรู้ โดยเขาแนะนำวิธีการในเว็บไซต์ Action Based Learning ซึ่งมีหลายเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น (2)
  • จัดกิจกรรมที่ทำร่วมกันทั้งชั้น เช่น ให้นักเรียนคนหนึ่งสอนจังหวะเต้นรำ
  • ให้นักเรียนคนหนึ่ง อาสาสมัครทำหน้าที่ผู้นำ เดิน หรือเต้น ให้คนอื่นๆ ทำตาม เป็นเวลา 45 วินาที
  • จัดนักเรียนเป็นทีม เพื่อเล่นกีฬาสมมุติ ให้ทีมหนึ่งยืนขึ้นและร่วมกันเลือกกีฬาที่ชอบ คนหนึ่งแสดงท่าทางของกีฬานั้น โดยลูกทีมทำตาม เป็นเวลา 30 วินาที แล้วเปลี่ยนทีม

ไม่ว่าในระดับเด็กเล็กหรือเด็กโต ต่างก็ต้องการและชอบการเคลื่อนไหวทั้งสิ้นตามธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมอง

Tags:

เทคนิคการสอนความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ศิลปะสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนศ.นพ.วิจารณ์ พานิชกีฬา

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • EF (executive function)
    ‘Process Art’ ศิลปะที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลงานชิ้นโบว์แดง เสริมทักษะ EF ในเด็กปฐมวัย: ครูบุญทิพา คุ้มเนตร โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฏร์)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้
Voice of New Gen
29 October 2019

VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Vocaby เกมส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เป็นเกมแนวปริศนาและผจญภัยโดยผู้เล่นต้องใช้ถอดรหัสคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อทำภารกิจในแต่ละด่านให้ผ่าน ผลงานของนวัตกรรมเยาวชนจากโรงเรียนสตรีอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง
  • แม้เป็นเกมด้านการพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่ทีมงานหลายคนเกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้ อันเนื่องจากความหลังฝังใจจากการถูกบังคับให้เรียน
  • Vocaby จึงไม่ใช่แค่เกมพัฒนาภาษาอังกฤษให้คนอื่น แต่เป็นการท้าทายตัวเองในการทำงานในสิ่งที่ไม่ชอบ เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่พวกเขาอยากไปถึงมากกว่า 
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ปัจจุบันและต่อไปในอนาคต ภาษาอังกฤษจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตและการทำงานของเรา แต่ในความเป็นจริง ภาษาอังกฤษยังคงเป็นหนึ่งในวิชาที่นักเรียนหลายคนเบือนหน้าหนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องเรียนรู้จากตำราแกรมม่า

แล้วถ้าเปลี่ยนใหม่ ให้เด็กๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเกมล่ะ?

นิดา-สุภนิดา พลอยคำ, มุกกี้-กมลชนก กลิ่นระรวย, ก๊องส์-ศักดิ์ชัย เปาอินทร์, แกน-มงคลากร คิดว่ามันคงสนุกกว่าถ้าน้องๆ จะได้ฝึกภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กับการเล่นเกม พวกเขาทั้งสี่จึงทุ่มสุดตัวกับภารกิจ Vocaby เกมแนวปริศนาและผจญภัยส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เปิดโลกการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้น้อง พร้อมทั้งเปิดโลกแห่งโอกาสให้ทั้งสี่ทะยานไปหยิบฝันของพวกเขาเองด้วย…

นิดา-มุกกี้-ก๊องส์-แกน

โอกาสอยู่ตรงหน้า! หยุดไหมหรือไปต่อ?

Vocaby มีต้นกำเนิดมาจากมูลเหตุเหมือนน้องๆ ม.ปลาย หลายทีมต้องพัฒนาโปรเจ็คต์ปลายภาคในชั้นเรียน และไหนๆ ก็ทำมาแล้ว ก็ส่งประกวดด้วยเลยจะได้ไม่เสียเที่ยว

ต่างแต่เพียง Vocaby นั้น เวอร์ชั่นแรกกับเวอร์ชั่นปัจจุบันแทบไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย

“ตอนส่ง NSC ทำเกมแสบซ่าท้าฝัน เป็นเกมเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ โดยนำจุดเด่นของแต่ละอาชีพใส่ไปในเกม เช่น ถ้าเป็นเชฟก็จะมีรูปแบบการเล่นแบบหนึ่ง ถ้าเป็นครูก็จะมีรูปแบบการเล่นอีกแบบหนึ่ง” นิดาเล่าถึงผลงานเมื่อครั้งที่เธอยังทำร่วมกับมุกสองคน ซึ่งเกมแสบซ่าท้าฝันของพวกเธอก็สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบระดับประเทศของรายการ NSC และเมื่อถูกรุ่นพี่ชักชวนเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาส สมัครเข้าร่วมพร้อมทั้งดึงรุ่นน้องอย่างก๊องส์เข้ามาร่วมทีมทันที

“คิดว่ามันเป็นโอกาสของเราครับ ต้องเต็มที่กับมัน” ก๊องส์กล่าวอย่างมาดมั่น

และหาก Vocaby คือเกมที่ผู้เล่นต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษในการแก้ปัญหาและฝ่าด่านมากมายเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยฉันใด เส้นทางการทำงานของทีมก็แทบไม่ต่างกับตัวเกมเลยแม้แต่น้อย เริ่มตั้งแต่การได้รับคำแนะนำให้รื้อเกมใหม่ทั้งหมด

“ค่ายแรกเราได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการว่า ผลงานเราควรเอาจุดเด่นของอาชีพหนึ่งมาเลย แล้วทำซีรีส์ย่อยให้เด่นทีละอาชีพ คือใช้วิธีทำเกมหลักแล้วเพิ่มด่านเพิ่มเลเวลเอา ซึ่งมันต้องเปลี่ยนระบบ ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเยอะมาก เกมเดิมมีทั้งเชฟ จิตรกร ครูภาษาอังกฤษ โค้ชมองเห็นว่าภาษาอังกฤษมันมีประโยชน์และสามารถต่อยอดไปได้ไกลกว่าอาชีพอื่นๆ เลยแนะนำให้เอาครูภาษาอังกฤษมาเป็นเกมหลัก เราก็เลยเปลี่ยนชื่อผลงานเป็น Vocaby มาจากคำว่า vocabulary ที่แปลว่าคำศัพท์” นิดาร่ายยาวถึงจุดเปลี่ยนของผลงาน

ทำกันมาตั้งนาน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ต้องทิ้งผลงานกว่าค่อน พวกเขารู้สึกกันอย่างไร?

“ตอนแรกก็ลังเล เพราะแสบซ่าท้าฝันมีไอเดียหลักให้คนที่สับสนในอาชีพได้มาลองเล่น เขาจะได้รู้ว่าเขาชอบอาชีพไหน แต่พอได้คุยกันจริงๆ เราควรก้าวต่อไป เราควรเลือกสิ่งที่พัฒนาต่อยอดไปไกลมากขึ้น เราไม่ควรยึดติดกับความคิดเดิมที่ไม่สามารถพัฒนาต่อยอดได้” นิดากล่าวอย่างมุ่งมั่น

ไม่ต่างกับมุกที่ว่า “เสียดายสิ่งที่ทำมา แต่ถ้าเราไปต่อได้ไกลกว่าเดิมก็ดีกว่า”

เพราะมองเห็นโอกาสที่ผลงานจะสามารถไปได้ไกลกว่าเดิม แม้ว่าจะต้องยอมสละผลงานส่วนหนึ่งทิ้งไว้ก่อน แต่พวกเขาก็เลือกที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ให้หลุดมือ

“เราต้องเพิ่มด่าน เหมือนเอาเกมย่อยหนึ่งเกมมาเพิ่มเป็นเกมที่มี 3 ด่านใหญ่และมีด่านย่อยในนั้น จำนวนด่านที่ต้องทำมากขึ้น จึงชวนแกนมาช่วยเขียนโค้ดกับก๊องส์ มุกทำกราฟิก ก็ต้องวาดเยอะขึ้น ส่วนหนูดูภาพรวม ประสานทีมโค้ชและอาจารย์ เก็บข้อมูลว่าต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง” นิดาเล่าถึงการแบ่งหน้าที่ในทีมอย่างชัดเจน 

กล้าไหม? ถ้าต้องทำในสิ่งที่เกลียด

แม้การเปลี่ยนระบบ เขียนโค้ดใหม่ และทำกราฟิกเพิ่มจะเป็นขอบเขตงานที่ใหญ่ไม่ต่างอะไรกับทำเกมใหม่ขึ้นมาเกมหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพียงอย่างเดียวของทีม เพราะสมาชิกในทีมส่วนใหญ่นั้นเกลียดภาษาอังกฤษ!

“ความรู้สึกต่อภาษาอังกฤษของหนูอยู่กลางๆ ค่อนไปทางรังเกียจ (หัวเราะ) เป็นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ มีปัญหามาตั้งแต่ประถมฯ ครูภาษาอังกฤษดุ เวลาเราพูดไม่ได้ครูจะตี เลยไม่ชอบเรียน ไม่ชอบครู ฝังหัวมาตั้งแต่วันนั้น พอพื้นฐานเราไม่ดี มาเรียนต่อยอดก็เป็นปัญหา พอไม่เข้าใจก็ไม่อยากเรียน ตั้งกำแพงว่าไม่ชอบภาษาอังกฤษ” นิดาเล่าพลางขมวดคิ้ว

แต่น่าสนใจว่าแม้นิดาและเพื่อนๆ จะไม่ชอบภาษาอังกฤษ แต่พวกเขาก็กล้าพอที่จะพัฒนาเกมภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุผลว่าเกมมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ดังที่กล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ตาม ความกล้านั้นก็มาพร้อมกับความหวาดหวั่น แต่ด้วยปณิธานแน่วแน่ว่า ‘ต้องไปต่อ’ ทีมจึงต้องดิ้นรนหาทางออก

เพราะทุกอุปสรรคนั้นมีทางออกเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเรามุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรค์นั้นอย่างแน่วแน่แค่ไหน และสำหรับทีม Vocaby บอกได้เลยว่าพวกเขามุ่งมั่นเกินร้อย

“เราต้องไปต่อ เลยเอาแกนเข้ามาช่วย เพราะนอกจากเขียนโค้ดแล้วเขาก็เก่งภาษาอังกฤษ แกนกับครูตองก็จะช่วยเรื่องคำศัพท์เป็นหลัก ซึ่งทำไปทำมามันก็ทำให้เราได้ภาษาอังกฤษมากขึ้น แม้จะเป็นระดับประถมฯ แต่ก็มีศัพท์หลายคำที่เราลืมหรือไม่รู้จักเลย” นิดาเล่าด้วยรอยยิ้ม

และนอกจากการตรวจสอบความถูกต้องของคำศัพท์กับพจนานุกรมแล้ว ทีมไม่ลืมที่จะนำผลงานไปตรวจสอบกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นน้องๆ นักเรียนชั้น ป.4-6 ด้วย

“ไปทดลองใช้ที่โรงเรียนเทศบาล 4 ประถมสาธิตเทศบาลเมืองอ่างทอง ได้ทดลองกับเด็ก ป. 4-6 และทดลองเผื่อในเด็กกลุ่ม ป.2-3 ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่น้องเขาขอให้พัฒนาเกมเพิ่ม คือให้เพิ่มด่าน เพิ่มเลเวล เพราะเขาสามารถเล่นได้จนจบเลย” นิดากล่าวถึงการนำผลงานไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง ซึ่งส่วนใหญ่ให้เสียงสะท้อนไปในทางที่ดี

“น้องบอกว่าภาพน่ารัก แนวภาพเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ คือเป็นภาพตัวละครเล็กๆ น่ารักๆ รู้สึกภูมิใจที่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ทำให้น้องสนุก” มุกกล่าวอย่างภูมิใจในฐานะมือกราฟิก

“มันจะต่างกับการเทสต์กับเพื่อนหรือคนรู้จัก ถ้าไม่เกรงใจก็แกล้งไปเลย แต่อันนี้เราได้ฟีดแบ็คจริงๆ ได้เห็นว่าคนอื่นจริงๆ เขาก็ชอบนะ ทำให้มีกำลังใจพัฒนาต่อ” แกนสำทับ

“เราเห็นความพยายามเล่นของเด็ก เห็นว่าสิ่งที่เราทำตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เขาสนุก มันทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป” นิดาสรุปความอย่างแจ่มใส

ฝ่าพ้นแรงเสียดทาน จักรวาลก็อยู่เบื้องหน้า

หลักการส่งกระสวยขึ้นสู่อวกาศ จำเป็นต้องมีจรวดเชื้อเพลิงแข็งและถังเชื้อเพลิง เพื่อเป็นแรงส่งให้กระสวยฝ่าแรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศ พุ่งไปสู่ห้วงอวกาศได้

การทำงานของทีม Vocaby เองก็ไม่ต่างกับการส่งกระสวยขึ้นสู่อวกาศนัก เพราะกว่าที่ผลงานจะสำเร็จได้ ทีมต้องฝ่าฟันแรงเสียดทานมากมาย ทั้งจากภายนอกและภายในทีมเอง

“มันมีความยากมาตลอด จนไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นจุดที่ยากที่สุด (หัวเราะ) มันยากตั้งแต่ให้เราเปลี่ยนโจทย์ ดึงอาชีพใดอาชีพหนึ่งมาทำ ต้องออกแบบเพิ่มว่าถ้าเอาอาชีพนี้มาทำมันจะไปต่อยังไง เพิ่มด่านยังไง ทำยังไงให้เรื่องเดียวที่ทำมันไม่น่าเบื่อ ซึ่งคำศัพท์กับเรื่องราวมันต้องเชื่อมโยงกัน ต้องบริหารจัดการใช้วัตถุดิบที่วาดให้มีประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ใช้แค่ครั้งเดียว” นิดาเปิดหัวถึงความยากที่ทีมประสบ

“และทั้งหมดนั้นเราต้องเร่งทำให้ทันเวลาตามเป้าหมาย” ก๊องส์กล่าวต่อ

ก่อนที่มุกจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง “ความยากคือจำนวนรูปที่ต้องวาดเพิ่มขึ้น และเราต้องส่งต่อให้คนเขียนโค้ด ต้องทำให้ทันเวลา ต้องแบ่งเวลากับงานโรงเรียน ซึ่งบางทีเราพยายามทำงานเต็มที่แล้ว แต่พอเพื่อนมากดดัน ทำให้เราไม่มีไอเดีย ไม่มีกำลังใจทำงานต่อ”

นั่นคือแรงเสียดทานจากภายนอกทีม ซึ่งประเด็นนี้นิดายกมือรับผิดแต่โดยดี

“หนูเป็นคนใจร้อนมาก งานต้องเป๊ะ ต้องตรงเวลา ต้องได้ตามกำหนด ถ้าไม่ได้หนูจะเหวี่ยงหรือวีนเลย (ยิ้ม) ซึ่งด้วยเวลาที่บีบ ด้วยโจทย์ที่มากขึ้น ส่งผลให้เรากดดัน แล้วเราก็เอาความกดดันมาใส่เพื่อน พูดแรงๆ ใส่จนเพื่อนเครียด ยิ่งเขาเครียดงานก็ยิ่งไปช้า มันก็ทำให้หนูได้เรียนรู้ไปเองว่า คำพูดแรงๆ มันส่งผลกระทบในทีม ทุกคนทำงานหนัก เหนื่อยในงานของตัวเองอยู่แล้ว เราควรเห็นใจ เข้าใจกันมากขึ้น” นิดากล่าว

หากทีมเปรียบได้กับกระสวย ถังเชื้อเพลิงก็คงเปรียบได้กับผลงานเวอร์ชั่นเก่าที่ส่งแรงขับเคลื่อนให้พวกเขาพุ่งฝ่าด่านของการประกวดเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโครงการต่อกล้าฯ ก่อนจะปลดตัวเองออกไปเพื่อให้กระสวยพุ่งไปได้ไกลต่อ และความมุ่งมั่นเกินร้อยของทีมก็คงเปรียบได้กับจรวดเชื้อเพลิงแข็งที่ส่งพลังให้ทีมสามารถฝ่าฟันแรงเสียดทานต่างๆ นานา ทั้งปริมาณงานมหาศาล เวลาที่กระชั้น และการบริหารจัดการภายในทีมมาได้อย่างปลอดภัย จนมาถึงห้วงอวกาศ ได้แนบสนิทความฝันที่เปล่งประกายคล้ายดวงดาว

“ผลงานนี้เราตั้งเป้าหมายไว้ที่สามารถลง Android และ iOS ได้ นั่นเป็นความฝันของพวกเรา ซึ่งตอนนี้ก็รันได้แล้วทั้งสองตัว” นิดากล่าวถึงผลงานพร้อมยิ้มกว้าง

และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ตัวผลงานเท่านั้นที่น่าภาคภูมิใจ แต่การเรียนรู้และทุ่มกำลังฝ่าฟันอุปสรรคตลอดการทำงานที่ผ่านมา ก็ทำให้ทั้งสี่เติบโตขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจเช่นกัน

“สิ่งสำคัญคือการมองไปข้างหน้า เราอาจมีไอเดียหลักของเรา แต่บางครั้งอะไรที่เราสามารถพัฒนาต่อยอดได้ อาจไม่ตรงกับความคิดเรา แต่ทำให้งานเราตอบโจทย์มากขึ้น พัฒนาได้มากขึ้น เราก็ควรเรียนรู้เพิ่มเติม หรือยอมเปลี่ยนเพื่อให้สิ่งที่เราทำอยู่ไปไกลมากขึ้น อย่างผลงานนี้มันตอบโจทย์ทั้งโค้ช และตอบโจทย์ผู้เล่น เขาเล่นแล้วมีความสุข เขาสนใจจริงๆ เราก็มีความสุขแล้ว ส่วนตัวหนูเองแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษ (หัวเราะ) แต่พอได้เรียนรู้จริงๆ มันก็ไม่ได้แย่ มันก็สนุก และมันยังมีวิธีอื่นให้เรียนรู้ ก็พูดได้ว่าภาษาอังกฤษทำให้เรามาไกลถึงจุดนี้” นิดาปิดฉากบทสนทนาอย่างร่าเริง


สำหรับนักเรียนหรือครูท่านใดสนใจโหลด Vocaby เป็นสื่อการสอนให้ชั้นเรียน Vocaby ดาวน์โหลดได้แล้วผ่าน google play http://bit.ly/2lxwqXg 

Tags:

เทคนิคการสอนGrowth mindsetโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”
How to get along with teenager
28 October 2019

นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • วัยรุ่นมีปัญหามากขึ้น – ไม่จริงหรอก เพียงแต่วัยนี้เขามีปัญหาเร็วกว่าตามจังหวะโลกที่เร็วกว่ามาก จนทุกคนใกล้จะเป็นโรค
  • “การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเด็ก แล้วบอกว่าปัญหามันแค่นี้เอง จึงทำไม่ได้”​
  • เป็นคำพูดของ ‘นีท’ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาโรงเรียน ซึ่งเคยเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหามาก่อน
  • “ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่เรายังต้องการคนช่วยเลย แล้วเด็กจะไม่ต้องการได้ยังไง” ผู้ใหญ่หลายคนอาจลืมความจริงข้อนี้ 
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

เข้าปีที่สองแล้วที่ ‘นีท’ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ทำงานเป็นนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยรับหน้าที่ดูแลเด็กๆ ชั้นมัธยมเป็นหลัก

“เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนมองว่า โรงเรียน ‘จำเป็น’ ต้องมีนักจิตวิทยา” นีทเผยโอกาสในรั้วโรงเรียน

รอยยิ้ม แววตาซุกซนแต่มุ่งมั่น บวกกับน้ำเสียงสดใส แทบไม่เชื่อเลยว่า สมัยก่อน ด.ญ.เบญจรัตน์ จะเป็นคนที่เพื่อนไม่ชอบ 

“นีทมาจากครอบครัวที่เข้มงวดกับการเรียน เราอยากจะเป็นที่หนึ่ง เลยปัดเพื่อนออกไป ไม่คุยกับเพื่อน บอกกับตัวเองว่า เรื่องเพื่อนไม่สำคัญกับชีวิตเท่าไหร่ อยากเด่น ไม่สนใจว่าเพื่อนจะคิดยังไง สนใจแต่แม่ แม่ชมว่าเก่งคือที่สุดของเรา”

จากประถม มัธยม สู่มหาวิทยาลัย หล่อหลอมให้นีทเป็นคนกลัวความสัมพันธ์ จนได้มาเรียนปริญญาตรีและโทคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพบว่าตัวเองสนใจทำงานกับ “วัยเด็กถึงมหาวิทยาลัย”

ปมปัญหาส่วนตัวที่เคยมีก็ได้รับการคลายไปทีละจุด พร้อมกับเข็มทิศในการทำงานที่ค่อยๆ ชี้ว่า “แพชชั่นในการทำงานที่แรงที่สุดคือวัยรุ่น” 

“เราเคยมีปัญหาแบบน้องๆ ประสบการณ์เราที่ผ่านมา มันน่าจะช่วยได้” 

สอดคล้องกับที่ รองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล เคยอธิบายว่า

“เพราะวัยรุ่นคือช่วงสุดท้ายที่เปลี่ยนแปลงได้”

หน้าที่คร่าวๆ ของนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนมีอะไรบ้าง

คือการดูแลเด็ก นีทจะนิยามตัวเองด้วยคำคำเดียวก็คือ ไกด์ ไกด์ในที่นี้มีอยู่สองมิติ หนึ่ง คือเป็นไกด์ทัวร์ เป็นไกด์ที่พาเด็กเข้าใจชีวิต เหมือนไกด์ที่พาไปเที่ยว ไปทำความรู้จักสถานที่ต่างๆ และกลับไปอย่างมีความสุข นีทมองว่าตัวเองเป็นไกด์ที่พาน้องๆ ไปค้นหาและเข้าใจตัวเองในจุดจุดนี้ เมื่อมีปัญหาควรจะแก้ปัญหาอย่างไร 

สอง คือ Guidance คล้ายๆ การโค้ช บางคนมองว่า เด็กวัยนี้น่าจะคิดเองเออเองได้ แต่จริงๆ ไม่ใช่นะ เด็กๆ อาจไม่รู้และไม่สามารถจัดการชีวิตของเขาได้ หน้าที่ของเราคือเข้าไปช่วยโค้ช

ทำไมต้องช่วยโค้ช

ถ้าเป็นวัยเด็ก เกิดหกล้ม ก็จะมีพ่อแม่พี่น้องคนรอบตัวเข้าไปปลอบ แต่กับวัยรุ่น ไม่ใช่ ทั้งๆ ที่วัยก็ไม่ได้ต่างกันมาก ผู้ใหญ่กลับคิดว่า ต้องแก้ปัญหาเองได้ เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมแค่นี้ทำไมได้  นีทมองว่า จริงๆ แล้วเขา (วัยรุ่น) อาจไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาเองก็ได้ เพราะบางปัญหาที่เข้ามา น้องๆ อาจจะยังไม่สามารถประเมินและคิดวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง มันเกินความสามารถของเขา

นีทเชื่อว่า ถ้าน้องจัดการกับปัญหาได้มันก็จะไม่เรียกว่าปัญหา ปัญหาจริงๆ มันคือ หนึ่ง สถานการณ์เข้ามาแล้วเขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง สอง เขามืดแปดด้าน หน้าที่ของเราคือการไกด์ให้เขาหาทางแก้ปัญหาได้ แล้วคุณจะจัดการยังไงกับโจทย์มากกว่า

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าให้น้องมัธยมบวกเลข 2+3 เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งนี้คือทักษะ แต่ถ้าโจทย์ยากขึ้น ตัวแปรมากขึ้น มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทำไม่ได้ 

ขั้นตอนการโค้ช มีอะไรบ้าง

เวลาที่เราช่วย ฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ ขั้นตอนเยอะมาก เราต้องฟังเขาเยอะๆ เด็กวัยนี้จะรู้สึกว่า ไม่ได้ถูกพ่อแม่หรือคุณครูฟัง จริงๆ นีทเชื่อว่า พ่อแม่ คุณครูเขาฟังนะ แต่ปัญหาคือ ฟังแล้วตัดสินเด็กเลย เช่น ถ้าเด็กมีปัญหาเรื่องเพื่อน แล้วไปเล่าให้พ่อแม่ คุณครูฟัง สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นมักจะเป็น พ่อแม่หรือคุณครูฟังไม่จบแล้วขัดขึ้นมาทันที

ขั้นแรกเลย เราต้องเปิดพื้นที่รับฟังเขาเยอะๆ เราจะได้รู้ว่า ปัญหานี้ทำไมเขาคิดแบบนี้ เช่น ปัญหาเรื่องเพื่อน ถ้าผู้ใหญ่ฟังก็จะคิดว่า แค่นี้เอง เอาเวลาไปตั้งใจเรียนดีกว่าไหม มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เข้าใจเด็กแล้ว เพราะสำหรับเด็ก ทุกปัญหามันใหญ่เสมอ 

ต่อมาคือให้เขาเล่า นีททำอยู่ที่โรงเรียนประจำ เด็กๆ จะต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเพื่อน เขาก็จะเริ่ม ‘พี่ เขาไม่ชอบหนูหรือเปล่า’ ‘แล้วทำไมถึงคิดว่าเขาไม่ชอบ?’  เราก็ต้องช่วยเขา เพราะลักษณะของเด็กคือเข้ามาพร้อมอารมณ์ที่พรั่งพรู แต่พวกเขาไม่สามารถแยกว่าตรงไหนเป็นปัญหา ตรงไหนเป็นสิ่งที่คิด ตรงนี้คือหน้าที่เราที่จะช่วยเขาเรียบเรียงปัญหา หาทางเลือกให้เขาเลือก

ขั้นที่สาม อาจจะถามว่า จริงๆ แล้วปัญหาคืออะไร สุดท้ายก็จะได้ว่า เด็กคาดหวังให้เพื่อนอยู่กับตัวเองตลอดเวลา เพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้าในมุมผู้ใหญ่ที่ได้ฟัง มันไร้สาระ แต่เราฟัง เราเข้าใจว่าสิ่งที่มันเป็นปัญหาคือ ความคิดของเขา เวลาเราฟังเราก็ต้องดูว่าในปัญหามันมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ถ้ารู้แล้วว่าปัญหาที่เกิดมันมาจากความคิด เราก็จะช่วยเคลียร์ความคิดของเขา โดยไม่บอกว่าตรงไหนถูก ตรงไหนผิด

สำหรับเด็ก บางทีเขาคิดว่า ถ้าเรียกร้องให้เพื่อนมาอยู่ด้วย แล้วเพื่อนไม่มา ก็จะแปลว่าไม่รัก เธอไม่ให้เวลากับฉัน นีทจะชอบถามคืนว่า ‘จริงเหรอ’ ค่อยๆ ปรับความคิดเขาว่า จริงเหรอที่เพื่อนไม่รัก ทั้งๆ ที่เวลาเรียนเพื่อนก็คุย กินข้าวเพื่อนก็กินด้วย มันมีนะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ตรงนี้คือ การสะท้อนให้เขาเห็นความจริง แล้วสุดท้ายก็ถามเขาว่า จริงไหมที่เพื่อนจะต้องอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมง 

เข้าใจ ช่วยกันสะท้อนปัญหา หาวิธีการแก้ไขปัญหา ตรงนี้คือขั้นตอน อีกอย่างบางเคสไม่สามารถทำได้แค่ครั้งเดียว เด็กบางคนใช้เวลามากกว่าหนึ่งครั้ง บางคนเขามีความเชื่อ ความคาดหวังที่แรงมากๆ มองว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ถ้าเรารีบไปบีบ มันไม่ได้

เวลาที่ช่วยเด็กๆ ต้องดูด้วยว่าเขาหนักขนาดไหน ถ้าเด็กคนไหนคลายเร็ว ก็ช่วยได้เร็ว ถ้าเด็กคนไหนคลายช้า ก็ค่อยๆ ช่วยไป แต่สำหรับเด็กๆ การที่มีคนฟัง มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

การที่เด็กเลือกที่จะเข้าไปหานักจิตวิทยา หมายความว่าเด็กพร้อมจะคลายแล้ว?

ไม่เสมอไป เด็กบางคนเขารู้ว่าตัวเองมีปัญหา บางคนก็ไม่รู้ แต่หลักการแก้มันอยู่ที่ตัวเด็กเลย อันดับแรก เขากอดปัญหาไว้แน่นแค่ไหน หรืออยากจะคลายปัญหาออกไปแล้ว แบบสุดๆ ก็มี คือบางคนต้องการให้คำตอบเป็นไปตามใจตัวเอง เขารู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่เขาก็ยังเชื่อว่าความคิดเขาถูกต้อง สิ่งที่ต้องทำคือสะท้อนให้เขาเข้าใจ ซึ่งการสะท้อนเราจะเร่งไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะ ‘ก็พี่ไม่เข้าใจ พี่ไม่ฟังหนู’ 

บางคนจะมองว่าทำไมกับเด็กบางคนถึงใช้เวลานานจังเลย สิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกอดปัญหา

ถ้าเด็กเขายังอยากกอดปัญหาไว้ เราทำได้แค่ไกด์ สุดท้ายแล้วชีวิตก็คือชีวิตของเขา เราไม่ได้มีอำนาจสั่งว่า หนูต้องปล่อยหินนะ ต้องกำหินนะ เราแค่ไกด์ว่ามือเริ่มเจ็บแล้วนะ ปล่อยหินดีไหม ถ้ายังไม่ปล่อย รอไปก่อน

สรุปคือ ฟังปัญหาจากเด็กก่อน สอง คือช่วยกันลิสต์ปัญหาว่ามีอะไรบ้าง สาม เอาสิ่งที่ลิสต์มาสะท้อนและหาคำตอบว่า อะไรจริง อะไรไม่จริงบ้าง แล้วพยายามหารายละเอียด โดยยกตัวอย่างให้เขาเห็น?

ใช่ค่ะ อย่างเรื่องที่ยกตัวอย่างไป มันเป็นการแก้ปัญหาผ่านวิธีคิด เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทัศนคติ เขาอาจจะไม่ได้มองโลกผ่านความเป็นจริง มีเรื่องที่ยึดติดเยอะ ซึ่งเราก็ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของเด็กไป

ปัญหาเกิดมาจากอะไร มันก็มีหลายสาเหตุ เช่น ยึดติดกับความคิดตัวเองเยอะมาก เราจะปรับเขาอย่างไรนี่คืองาน ส่วนอย่างที่สอง เป็นเรื่องพฤติกรรม เช่น ชอบยืมของ ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เด็กที่ถูกยืมบ่อยๆ เขาก็จะรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ ทำไมเธอไม่ซื้อปากกา ทำไมเธอไม่ซื้อลิควิด เราก็ต้องมาแก้ ถ้าหนูไม่ทำแบบนี้ ปัญหาก็จะไม่เกิด กรณีพฤติกรรมมันจะใช้เวลาแก้ไขนานกว่าปัญหาที่เกิดจากความคิด

ถ้ากรณีของพฤติกรรม ต้องแก้ที่ความคิดร่วมด้วย เพราะถ้าไม่เปลี่ยนความคิด เขาจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้ยังไง ยิ่งเด็กวัยรุ่นเขามีความคิดของตัวเอง แตกต่างกับเด็กตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนได้เลย 

ถ้าเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับบุคลิก เช่น ขวานผ่าซาก กรณีนี้จะยากขึ้น เพราะเขาไม่มีจุดเบรก ที่ทำให้เข้าใจว่ามากน้อยแค่ไหนคือได้ เพราะส่วนใหญ่อยากจะพูดอะไรก็พูด แล้วเราก็เข้าไปสอนเขาไม่ได้ทุกสถานการณ์ กรณีแบบนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น เราสอนเขาว่าอย่าไปพูดแรงๆ กับเพื่อน เพราะไม่มีใครที่ชอบถูกว่าแรงๆ หรอก แต่มันก็จะมีบางประโยค เช่น ‘เธอๆ เงียบหน่อย คุณครูพูดเธอไม่ได้ยินเหรอ’ เราก็ต้องคอยบอกเขาว่า ประโยคหลังไม่ต้องพูดก็ได้ ตรงนี้เด็กเขาไม่เข้าใจ ฝั่งเพื่อนก็จะรู้สึกว่า เอ้า เธอมาด่าฉันทำไม

เด็กแบบนี้เขาไม่ผิดเลยนะ เพียงแต่เขาไม่รู้วิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง เขาเลือกใช้วิธีสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเคสแบบนี้ ก็ต้อง follow up แล้วก็คอยถามไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ ไปเจอเหตุการณ์อะไรก็กลับมาฟีดแบ็คให้ฟัง ช่วยกันหาทางออก

ตั้งเป้าหมายของการทำงานที่โรงเรียนไว้อย่างไรบ้าง แล้วได้ตามเป้าไหม

ก็มีหลายสิ่งที่เกินกว่าที่คิดไว้มาก (หัวเราะ) เราไม่คิดว่าเด็กๆ จะวิ่งเข้ามาคุยกับเราเยอะขนาดนี้ การที่เด็กวิ่งหานักจิตวิทยาเยอะคือเด็กมีปัญหามาก บางปัญหาเราไม่คิดว่ามันควรจะเป็นปัญหา เช่น เรื่องเพื่อน เรารู้สึกว่าเขาเข้าสังคมได้ยากขึ้น ปรับตัวได้ไม่ดี นีทรู้สึกว่า พวกเขามีปัญหาด้านการสื่อสารเยอะมาก

เยอะแค่ไหน

ปัญหาเรื่องเพื่อนมีเข้ามาทุกวัน สมมุติ 10 ครึ่งหนึ่งเป็นปัญหาความสัมพันธ์ เราก็คิดเล่นๆ ว่า พี่ ม.3 อาจจะมาหาเราด้วยเรื่องการเรียน ปรากฏไม่ใช่เลย เรื่องความสัมพันธ์ทั้งนั้น (คือเรื่องอื่น เด็กๆ อาจจะแก้ได้เอง แต่เรื่องนี้อาจไม่ไหวจริงๆ)

เอาเข้าจริงแล้ว เวลาพูดถึงพัฒนาการวัยรุ่น มันจะมีอยู่ 4 ปัญหาที่เด็กๆ น่าจะมี ได้แก่ ร่างกาย ความสัมพันธ์ อารมณ์ และ ปัญญา (เกี่ยวกับการใช้ชีวิต พวกเกรดเฉลี่ย การเรียนต่อ ฯลฯ) เราคิดว่าเด็กจะเข้ามาด้วยเรื่องเหล่านี้อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ปรากฏไม่ใช่ เรายึดติดกับตัวเลขเกินไป เพราะบางวันมันคือเรื่องความสัมพันธ์ การสื่อสารล้วนๆ (กับเพื่อน พี่ ครู และครอบครัว) ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เลยมานั่งคิดกับตัวเองว่ามันเป็นเพราะอะไร 

สุดท้ายได้คำตอบว่า ไม่ต้องคิดมาก น้องเดินหน้ามาคุยกับพี่เรื่องอะไรก็ได้ พี่พร้อมจะช่วย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว เขามีปัญหากี่เรื่อง และแก้ได้ไปแล้วกี่เรื่อง

แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือ เรื่องไหนเขาแก้ได้ คือ จบแล้ว เรื่องที่แก้ไม่ได้ มาช่วยกัน และที่เรารู้แน่ๆ ตอนนี้คือ เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องของการสื่อสาร เด็กต้องการผู้ช่วยเท่านั้นเอง

เป็นเพราะพัฒนาการของวัยเฉพาะวัยนี้หรือเปล่า ที่ทำให้วัยรุ่นไม่ค่อยเก่งในการสื่อสารสร้างความสัมพันธ์

ตอบยาก เพราะหนึ่งเลย เด็กมักจะพูดว่า ไม่รู้จะทำยังไง (เจอเพื่อนใหม่เขาก็ไม่ชิน ทะเลาะกันแล้วทำอย่างไรต่อ ก็ไม่รู้ หรือคุยกับผู้ใหญ่อย่างไรดี ให้เข้าใจกันจริงๆ) นีทก็เริ่มมาคิดว่า หรือเป็นเพราะเขามีทักษะนี้ไม่เพียงพอหรือเปล่า เวลาที่เราดูแลเด็กเล็ก จะมีเรื่องของอีคิว ความสัมพันธ์ แต่พอเรียนได้สักพักโฟกัสมันเปลี่ยนไปอยู่ที่การเรียนเป็นหลัก สกิลที่สอนเด็กๆ ว่าเล่นกับเพื่อนยังไง คุยกับเพื่อนยังไง แก้ไขเวลามีปัญหากันอย่างไร มันก็อาจจะหายไป อันนี้เราลองเดาดูนะ ว่ามันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก

เพราะเหมือนเขาบอกเราว่า เขาไม่รู้จะพูดยังไง เขาพูดแบบนี้มันก็สะท้อนแล้วว่าเขาไม่รู้วิธีการ ไม่รู้ทักษะในการเข้าหาจริงๆ หรือจริงๆ มันอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามา แล้วทำให้การสร้างความสัมพันธ์มันหายไป ยกตัวอย่างสมัยที่นีทเป็นเด็ก ยุคนั้นจะไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอะไรดึงความสนใจเลย เลยเดาว่าปัจจัยบางอย่างมันเบียดเบียนเวลาที่จะพัฒนาทักษะการสื่อสาร เวลาในโลกเสมือนก็อาจจะไปเบียดเบียนโลกจริง ซึ่งตรงนี้ก็ยังตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็น เพราะยังไม่ได้วิจัย 

ฟังมาเยอะแล้ว ขอย้ำนิดนึงว่า เรื่องที่เล่ามาเป็นเพียงแค่กลุ่มตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นนะคะ ที่สะท้อนปัญหานี้ให้เราฟัง ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเจอกับปัญหานี้นะคะ 

แรกๆ ที่มาทำงานที่นี่ เด็กๆ รู้สึกงงบ้างไหม

ปีแรกๆ ที่มาทำ เราต้องเข้าใจก่อนว่า การเริ่มต้นมันไม่เรียบร้อยอยู่แล้ว ก็ต้องมาวางระบบกันว่านักจิตวิทยาควรอยู่ตรงไหน ปีแรกเลย คุณครูจะเป็นคนส่งเด็กที่คิดว่าประสบปัญหามาหาเราโดยตรง ส่วนปีที่สอง มีการจัดการที่ดีขึ้น มีค่ายก่อนเปิดเทอม ให้เด็กๆ ม.1 ปรับตัวและรู้ว่าเปิดเทอมมาเขาจะต้องเจออะไรบ้าง นีทก็ไปสอนวิชาทีมเวิร์ค ฝึกทักษะการสร้างความสัมพันธ์ (โดยเฉพาะเรื่องเพื่อน) ให้เขา

องค์ประกอบที่ทำให้เราอยู่กับเพื่อนได้ดีขึ้นคือ คุณต้องมีทักษะในการทักทายกันก่อน สองคือ ต้องมีความเห็นอกเห็นใจต่อ อีกข้อคือ การกีดกันทางสังคม (bully) วัยนี้คือวัยที่เริ่มมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง ชอบความเหมือน ไม่ชอบความต่าง ใครไม่เหมือนเราก็คือแปลก

หน้าที่ของเราคือสอนให้เขาเข้าใจโลก แตกต่างก็ได้ เหมือนกันก็ได้ เราก็พยายามหากิจกรรม ลองให้เล่นเกม นี่คือสิ่งที่เริ่มช่วยตั้งแต่ต้น เราต้องช่วยให้เขาเข้าใจวิธีการเข้าสังคม ผลดีอีกข้อคือจะช่วยให้เด็กๆ รู้จักนักจิตวิทยาไปในตัว

เป็นความโชคดีมากที่นีทเรียนและชอบเต้นเพลงเกาหลี (cover dance) มันเลยมีเรื่องให้คุยกับเด็กได้ เป็นการสร้างมิตรภาพอย่างหนึ่ง ถ้าเราเดินเข้าไปแล้วก็ ‘น้องคะ สวัสดีค่ะ พี่เป็นนักจิตวิทยานะคะ’ เด็กๆ เขาก็จะ…แล้วไง จะมาสะกดจิตหนูเหรอ การเข้าไปแบบนี้มันไม่ได้สร้างความสัมพันธ์เท่าไหร่ แต่ถ้าเข้าไปหาเด็ก เอาเรื่องเดียวกันไปคุยกับเขามันจะสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมา

แล้วเวลาเข้าไป ความเป็นคุณครูต้องไม่มี ต้องเป็นอารมณ์พี่สาวเม้ามอย เราก็ต้องอาศัยการสังเกตความชอบของเด็กๆ บ้าง มองดูโต๊ะ อ๋อ ชอบศิลปินเกาหลี เราก็หาเรื่องเข้าไปคุย ช่วงนี้เด็กๆ เขาติดซีรีส์ปรมาจารย์ลัทธิมาร ก็ชวนเด็กๆ คุย ทำให้เราใกล้ชิดกับเด็ก เขาก็จะรู้สึกว่าพี่คนนี้คุยได้ แล้วอยากเข้ามาหามากขึ้น

สถานการณ์ของวัยรุ่นตอนนี้ เป็นแบบไหน ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้ เพราะเป็นเรื่องปกติ หรือถ้าเป็นห่วง ควรเป็นห่วงเรื่องอะไร จะดูแลอย่างไร

เรารู้สึกว่าปัจจุบันเด็กมีภาวะซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น ความน่าเป็นห่วงคือ บางทีเด็กๆ เขายังไม่มีภูมิคุ้มกัน นีทจะไม่ค่อยชอบคำหนึ่ง ที่ผู้ใหญ่ชอบว่าว่าเด็กเปราะบาง

การเอาตัวเองไปเทียบกับเด็กมันเทียบไม่ได้ เด็กวัยนี้เขามีปัญหาเร็วกว่าเราเพราะว่าโลกมันเร็วมาก จนทุกคนใกล้จะเป็นโรค ปัญหาหนึ่งเข้ามา สองเข้ามา สามเข้ามาทั้งๆ ที่ ปัญหาแรกยังแก้ไม่ได้

ปัญหาของเด็กมันสั่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่แปลกที่เด็กจะมีสภาวะแบบนี้ แต่คำถามคือเราจะช่วยเด็กๆ แก้ไขปัญหาได้อย่างไรมากกว่า วิธีการที่จะจัดการกับปัญหาเขาทำได้ไหม ตรงนี้สำคัญ งานของเราเป็นการแก้ไขมากกว่าการป้องกัน แต่นีทรู้สึกว่า ถ้าจะให้มันสมบูรณ์แบบจริงๆ ต้องเป็นการป้องกันและแก้ไข เช่น เราสามารถจัดเวิร์คช็อปได้ว่า สถานการณ์แบบนี้เราทำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บอกว่าการป้องมันจะไม่มีปัญหา เพียงแต่เราจะหาทางที่ทำให้มันเกิดน้อยลง

สิ่งสำคัญกว่ามากๆ คือ เรื่องการสร้างภูมิให้น้องๆ

ภูมิคุ้มกันที่เด็กควรจะมี คืออะไรบ้าง

อันดับแรกคือเรื่องอารมณ์ เรื่องการรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ว่าตอนนี้เรากำลังมีอารมณ์อะไร เพราะอะไรถึงมีอารมณ์นี้ และยอมรับตนเองที่เราจะรู้สึกแบบนี้ ข้อนี้สำคัญค่ะ การยอมรับตนเอง บางทีเราไม่อยากทุกข์ บางทีเราไม่อยากเกลียด แต่ถ้ามีอารมณ์เหล่านี้ แค่เข้าใจ ว่า ฉันรู้สึกแบบนี้ได้นะ (มันคือการเห็นใจตนเอง)

อย่างที่สองคือ เป็นการประคับประคองตนเองจนถึงการจัดการอารมณ์ แต่บางทีเด็กขาดทักษะตรงนี้ รับไม่ได้เมื่อตนเองเป็นทุกข์ รับไม่ได้ที่ตนเองล้มเหลว แต่จริงๆ แล้วเราต้องประคับประคองใจและไปต่อ

อย่างที่สาม คือ หรือการจัดการปัญหา ฝึกฟันธงว่าอะไรเป็นปัญหาของฉัน ที่ฟันธงกันไม่ได้ อาจเพราะไม่ได้คุยกับตัวเองเยอะพอ ไม่ได้ฝึกลิสต์ปัญหา มันก็เลยเหมือนมีปัญหา แต่ไม่มีทางแก้ และต้องฝึกการแก้ปัญหา 

และสุดท้ายคือ ฝึกเห็นใจตนเอง เราต้องเมตตาตนเองเยอะๆ อย่ากดดันตนเองเมื่อมีปัญหา แค่รู้ว่ามี เข้มแข็ง และไปต่อ หรือชมตนเองเยอะๆ ให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ

เพราะอะไรเด็กๆ จึงเห็นใจตัวเองน้อยลง

บางทีมันคือการลืม ลืมที่จะบอก ชม หรือให้กำลังใจตนเอง ทั้งวันที่ฟ้าสดใส และในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ

แล้วข้างนอกส่งผลต่อการให้เห็นใจตัวเองน้อยลงไหม ก็อาจจะมีส่วน โดยเฉพาะคำพูด เช่น แค่นี้ทำไมแก้ปัญหาไม่ได้ นีทคิดว่ามันมีหลายมิติที่เข้ามาแล้วทำให้เรารู้สึกว่าปัญหามันหนักขึ้น แต่การมีคนฟัง ให้เกำลังใจ และคนช่วยแก้ปัญหา มันจะดีต่อเขา 

ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่เรายังต้องการคนช่วยเลย แล้วเด็กจะไม่ได้ต้องการได้ยังไง

แล้วโรงเรียนอื่นที่ไม่มีนักจิตวิทยามันจะแตกต่างกันมากไหม

นักจิตวิทยาไม่ได้ทำงานคนเดียว เด็กๆ มีคุณครูที่คอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีนักจิตวิทยา เด็กๆ เขาจะวิ่งหาคุณครู

นีทไม่ได้บอกว่า นักจิตวิทยาสำคัญจนคุณครูไม่สำคัญ เพราะคุณครูเป็นด่านแรกในการดูแลจิตใจเด็ก แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่า คุณครูหนึ่งคนดูแลเด็กได้ไม่หมด ถ้าเด็กวิ่งเข้าหาคุณครูให้ช่วยแก้ปัญหา ครูช่วยอยู่แล้ว ด้วยเรื่องของจำนวนอาจทำให้ตกหล่นไปได้

ในโรงเรียนที่ไม่มีนักจิตวิทยา เด็กๆ ก็อาจจะแก้ปัญหาได้ช้าลง ส่วนโรงเรียนที่มีนักจิตวิทยาเขาจะมีที่พึ่งเยอะขึ้น แก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น

ทุกโรงเรียนควรมีนักจิตวิทยาประจำไหม

ทุกวันนี้หลักสูตรครูก็มีสอนเรื่องจิตวิทยาเหมือนกัน เพื่อนที่เป็นครูบอกมานะคะ แต่ทุกโรงเรียนต้องมีนักจิตวิทยาไหม มันอุดมคติมากเลย ถ้าได้ก็ดีค่ะ สิ่งที่พูดได้ก็คือถ้าเด็กเจอครูที่เข้าใจ เด็กก็จะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเจอครูที่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ เด็กและคุณครูก็ต้องใช้เวลากันนานหน่อย

ความเห็นส่วนตัว เราจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเปิดคอร์สจิตวิทยาออนไลน์ หรือการรวมทุนกันเพื่อสังคม ถ้าเราบังคับระบบที่เป็นอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องสร้างระบบใหม่ที่ช่วยเหลือเด็ก รวมกลุ่มนักจิตวิทยาเล่าเรื่อง หรือเป็นเพจของกลุ่มนักจิตวิทยา ให้เขารู้สึกว่ามันมีคนที่พร้อมช่วยเหลือพวกหนูอยู่ เหมือนกับว่าอยู่ที่ไหนก็มีคนรับฟัง คนที่พร้อมจะช่วยเหลือ แต่ก็ยอมรับว่ามันอาจจะไม่เท่ากับเจอตัวจริงที่ต้องสังเกตหลายอย่างร่วมด้วย แต่มีก็ดีกว่าไม่มี

การเจอตัวจริง มองหน้า มองตากัน มันดีกว่าอย่างไรบ้าง

มันดีกว่ามากเลยค่ะ สิ่งสำคัญของการสื่อสารมันมีสองอย่าง คือ วัจนภาษากับอวัจนภาษา

ถ้าน้องร้องไห้อยู่ แล้วเราคอยนั่งตบไหล่ มันเหมือนกับว่ามีคนหยิบยื่นกระดาษทิชชู่ให้เรา การคุยกันต่อหน้า เราได้เห็นอวัจนภาษาของเขามันสำคัญมาก เหมือนเราพูดว่า สู้ๆ นะ และหน้าตาของการพูดสู้ๆ นะ มันทำให้เรารู้สึกดี เขาจะรับรู้ได้มากกว่าเสียงที่เปล่งออกมา

ประโยคอะไรที่คุณนีทพูดกับเด็กๆ บ่อยที่สุด

“เหรอ” “อือๆ” เป็นคำที่หลุดออกมาบ่อยมาที่สุดพร้อมกับหน้าตาที่เข้าใจเขาด้วยนะ “เหรอ แล้วยังไงต่ออออ”  เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันอยากรู้อารมณ์และความรู้สึกของเธอ เด็กบางคนก็ไม่เหมือนกัน บางทีก็ต้องมีคำคมให้เด็กเหมือนกันนะ บางทีที่เข้ามาก็จะ “พี่ เขาจะชอบหนูรึเปล่า” เราก็จะถามคืนว่า “แล้วคิดว่าเขาจะชอบไหมล่ะ” “ลองดูสิ” เขาก็จะเถียงกลับมา ถ้าไม่ใช่ แล้วจะเป็นยังไง เราก็ตอบไปว่า “ก็แค่นกไหมล่ะ มันจะมีอะไรมาก” 

แล้วคำไหนที่ห้ามพูดเลย

“เธอ มันไม่ใช่” แบบนี้มันเหมือนการปฏิเสธเขา มันไม่ใช่สำหรับเรา แต่มันใช่สำหรับเขา เราไม่สามารถเอาความคิดของเราไปใส่ความคิดของเขา ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราบอกเขาว่า ไม่ใช่ เด็กๆ เขาจะรู้สึกว่าตัวตนของเขาไม่ได้รับการยอมรับ 

จริงๆ เด็กวิ่งหาพื้นที่การยอมรับ การเข้าใจ ถ้าเราทำตัวเองเป็นพื้นที่ที่ไม่เข้าใจเขา แล้วเด็กๆ จะไปพึ่งใคร

เราก็จะ “พี่เข้าใจ พี่เข้าใจน้องที่คิดแบบนี้” ไม่ได้บอกนะว่า มันถูกหรือผิด แค่เราเข้าใจว่าเขาคิดยังไง ถ้ามันถูกเราก็จะโอเค ถ้ามันผิดเราก็จะค่อยๆ ตะล่อมเขา บางทีพูดแล้วไม่สำเร็จ เราก็ให้น้องไปลอง ถ้าเจ็บแล้วก็จะได้รู้ แล้วก็ถามให้ลองเปลี่ยนวิธีคิดไหม

Curative education หรือการสอนไปด้วย ช่วยเหลือนักเรียนไปด้วย ในความเห็นส่วนตัวของคุณนีทเป็นอย่างไร

มันสำคัญมากๆ เลย ที่เด็กมีปัญหาเพราะเขาไม่รู้วิธีแก้ เพราะฉะนั้นวิธีการสอนสำคัญมาก หนึ่งเลยเราไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา ถ้าเราไม่ได้สอนวิธีให้เขา เขาก็จะไม่รู้ทางแก้ปัญหา การสอนให้เขาได้คิด มันเหมือนกับการให้อาวุธติดตัว 

การใช้ชีวิตมันเหมือนการเดินป่า บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากฆ่าเสือ แต่ถ้าเสือมันพุ่งเข้ามาเราก็ต้องมีอาวุธอยู่ในมือ แน่นอนว่าเราไปเดินป่าด้วยกันตลอดไปไม่ได้  เด็กๆ ต้องโตขึ้น ต้องเดินป่าด้วยตัวเอง เขาก็ต้องมีวิธีจัดการ ถ้าเขามีอาวุธติดตัวไป เขาจะแข็งแรง

นักจิตวิทยาในโรงเรียนควรมีคุณสมบัติอะไรที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับนักจิตวิทยาอื่นๆ

นักจิตวิทยาก็จะมีศาสตร์คล้ายๆ กัน คือศาสตร์การฟัง และการเป็นผู้ช่วยเหลือ ของนีทที่พิเศษแน่ๆ คือการดูพัฒนาการและหาวิธีสร้างทักษะหรือสร้างอะไรก็ตามที่จำเป็นในการแก้ปัญหา เราจะต้องแอบลงไปช่วยเด็กอยู่เยอะทีเดียว เพราะเด็กวัยนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เราเลยต้องมีไกด์ไลน์ แต่สำคัญคือความพอดี ไม่ใช่ปล่อยให้เขาคิดเองจนเกินไป หรือไปช่วยจนเขายืนเองไม่เป็น 

อีกอย่างคือการประเมินสถานการณ์ เราควรจะช่วยเขาขนาดไหน มันสำคัญมาก เพราะเด็กบางคนแค่ยื่นวิธีการก็ทำต่อเองได้ แต่เด็กบางคนพาทำเลย เราต้องดูเด็กให้ออก นอกจากการหาความพอดีของชีวิตในการช่วยเหลือเขาแล้ว เรายังต้องเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยนี้อย่างมาก ถ้าเราเข้าใจเขาไม่มากพอ เราก็จะดีลกับเขาไม่ได้ นักจิตวิทยาพัฒนาการต้องมีลูกเล่นในการเข้ากับพวกเขา 

มันเหมือนวิธีการเล่นกับเด็กวัยรุ่น มันคือการสร้างความสนิทสนม เป็นนักพัฒนาการที่อยู่กับเขาให้ได้ อิงไปกับเขา ให้เขารู้สึกว่าเราเป็นพี่สาว

ชีวิตส่วนหนึ่งของเด็กๆ คืออยู่กับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่อาจไม่ได้เข้าใจเหมือนพี่สาวอย่างคุณนีท แล้วพ่อแม่ควรจะมีคาถาหรือวิธีการจัดการกับความปรี๊ดที่จะเกิดขึ้นอย่างไร

นีทเชื่อว่า พ่อแม่ทุกคนเชื่อว่าลูกต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ เราเลยต้องย้อนถามพ่อแม่ว่าเขาเข้มงวดเกินไปหรือเปล่า ถ้าพ่อแม่ปรี๊ด ทำไมถึงปรี๊ด พ่อแม่ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ เพราะเขาคิดว่าเด็กวัยรุ่นช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่นะ เราเป็นผู้ใหญ่แล้วบางครั้งเรายังแก้ปัญหาไม่ได้เลย    

พ่อแม่แค่ควรเข้าใจ มองเขาเหมือนเด็กเล็กๆ เราเห็นปัญหาเขา เราเข้าไปช่วยแก้ เขาคือเด็กที่แค่เปลี่ยนจากเด็กประถมไปเป็นวัยรุ่นทำไมถึงไม่ช่วยเขาแก้ปัญหา 

ทั้งที่จริง วัยรุ่นวันนี้กับสมัยก่อน มันก็เหมือนเดิม ห่วงสวยห่วงหล่อ เครียดเรื่องแฟน เรื่องเรียน เข้าสายวิทย์สายศิลป์ มีปัญหากับเพื่อน มันก็เป็นปกตินะ ต่างเพียงแค่ความเข้ม ความเร็วของสิ่งที่เจอ ยุคนี้อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่ายุคเราเอง เหมือนสมัยก่อนไม่มีไลน์ ถ้าไม่ชอบเด็กห้องนึงเราก็จะรอหมดคาบแล้วแอบไปเมาท์ ปัจจุบันนี้คือ พิมพ์ไลน์ เร็วมาก มันก็เลยทำให้เด็กๆ เขาเจอเรื่องเหล่านี้ได้เร็วขึ้น 

เมื่อก่อนเราไม่ชอบคนหนึ่งคน ต้องอาศัยการเล่าต่อ รอหมดคาบ รอพักเที่ยง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ถ้าไม่ชอบเพื่อนคนนี้ เราก็พิมพ์ไปเลย เราไม่ชอบคนนั้นคนนี้ ตรงนี้คือเรื่องความเร็วที่แตกต่างออกไป

โลกโซเชียลก็เป็นอีกความต่าง เพราะโลกโซเชียลก็จะทำให้ดีกรีความรุนแรงมันมากขึ้น สมัยก่อนเราจะนินทาใคร เราก็จะทำกันลับๆ แต่ทุกวันนี้เราก็จะ (bully) บลูลี่กันในโซเชียลเลย 

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้พวกเขาเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าได้ง่ายมากขึ้นหรือเปล่า

นีทเดาว่าก็มีส่วน การที่มีความเครียดมากๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกได้ง่ายมากขึ้น เอาง่ายๆ เรื่องถูกบลูลี่ (bully) ทุกทีเราก็แค่โดนนินทา ซึ่งมันเป็นแค่หนึ่งวิธีที่ทำให้เรารู้สึกเศร้าและไม่เป็นที่รัก แต่ปัจจุบัน เดินมาก็นินทา ในโซเชียลก็ต่อว่า ก็เป็นสองต่อแล้ว ความเข้มหรือความเครียดมันก็จะมาก 

ถ้าวัยรุ่นถูกบุลลี่ (bully) ช่วยเขาอย่างไร

ต้องมีคนเข้าใจ ต้องมีที่พึ่ง อาจจะไม่ใช่นักจิตวิทยา เป็นใครก็ได้เป็นครูก็ได้หรือแม้แต่เพื่อน ที่สามารถจะช่วยให้เขาหาทางแก้ไขได้ ขอแค่มีคนเข้าใจเรา ปัญหาที่หนักก็จะเบาลง

การที่มีคนเข้าใจ มันเหมือนมีคนประคอง นีทว่าจริงๆ แล้ว ความเครียดหรือความเศร้าแต่ละคนประเมินไม่เหมือนกัน มันคือความเข้มที่เรารับรู้และเรานิยามมัน ถ้าเราไม่มีคนซัพพอร์ตเลย เราจะรู้สึกว่าโลกมันมืด แต่ถ้าเรามีคนซัพพอร์ต ปัญหาเดียวกันเราก็อาจจะรู้สึกว่ามันแก้ได้

Tags:

พ่อแม่ซึมเศร้าระบบการศึกษานักจิตวิทยาเบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์
21st Century skillsSocial Issues
28 October 2019

การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • จับประเด็นสำคัญจากวงคุย ‘การศึกษาที่แตกต่าง’ ผ่านคนหลายวงการหลากอาชีพ ร่วมพูดถึง ‘การเรียนรู้’ ในเหลี่ยมมุมอาชีพตัวเอง
  • เป็นวงคุยไฮไลต์ในงานครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีโจทย์สำคัญคือ การเรียนรู้ที่มีคุณค่า
  • และการเรียนรู้ที่มีคุณค่า ต้องมาจากการศึกษาที่แตกต่าง

หากจำกันได้ เมื่อ 4 ปีก่อนมีพาดหัวข่าวชวนตื่นใจเรื่องหนึ่งคือ โรงเรียนน้องใหม่อย่างโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกาศว่าที่นี่ไม่มียูนิฟอร์มนักเรียน มีจุดยืนว่าการเรียนการสอนจะพุ่งเป้าไปที่การหล่อเลี้ยงอัตลักษณ์ ความสร้างสรรค์ และจินตนาการของนักเรียนให้ถึงที่สุด ซึ่งนั่นตามมาด้วยการออกแบบการศึกษาโดยนักการศึกษารุ่นใหม่แบบยกเครื่อง – เวลาผ่านไปไวราวโกหก เพียงพริบตาที่นี่ก็ครบรอบ 4 ปีและกำลังจะเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมเร็วๆ นี้แล้ว

เช่นเดียวกันกับคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – ในฐานะผู้รับผิดชอบและร่างหลักสูตร และในฐานะหนึ่งในองค์ขับเคลื่อนการศึกษา – ที่วันนี้ครบรอบ 5 ปีอย่างเป็นทางการ ผลิตบัณฑิตทั้งปริญญาตรีและโทแล้วราว 1,000 คน

ในวาระครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ เปิดบ้านชวนคนทำงานด้านการศึกษามาชุมนุมเปิดห้องเวิร์คช็อป วงคุย และนิทรรศการการศึกษาจากหลากองค์กร โดยหนึ่งในวงคุยน่าสนใจคือวงคุยเปิดงานหัวข้อ ‘การศึกษาที่แตกต่าง’ ผ่านคนหลายวงการหลากอาชีพ ร่วมพูดถึง ‘การเรียนรู้’ ในเหลี่ยมมุมอาชีพตัวเอง ดังนี้

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ Thai PBS

ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก

อธิษฐาน์ คงทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

และ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม) นักคิดนักเขียน

การเรียนรู้ของคุณพ่อที่เป็นครู: พื้นที่ตรงกลางระหว่าง Programming World กับ Emerging World

แม้ ดร.เดชรัต มักถูกแนะนำต่อท้ายชื่อ/นามสกุลว่า  ‘อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ แต่ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีหรือแนะนำตัว เขามักกล่าวเสมอว่าการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของเขามักมาจาก ‘ลูกๆ’ รวมกับประสบการณ์อยู่กับนิสิต/นักศึกษาในยุค disruptive world – เวทีนี้ก็เช่นกัน

ดร.เดชรัต เสนอประเด็นการศึกษาที่แตกต่างในมุมของคุณพ่อและครูว่า การศึกษาในไทยหรือแม้แต่ในระดับโลก กำลังเผชิญกับความแตกต่างของการเรียนรู้ 2 อย่างคือ

การเรียนรู้แบบ programming world หรือการศึกษาที่ถูกกำหนดกรอบ เซ็ตโปรแกรม กำหนดคุณค่าและวิธีการเรียนรู้บางอย่างด้วยวิธีคิดที่ว่า ‘อยากให้ทุกคนคล้ายกัน’ กับ การเรียนรู้แบบ emerging world หรือความเชื่อว่าคนเราแตกต่างหลากหลาย มีความสนใจไม่เหมือนกัน การเรียนรู้ของคนเราควรเป็นแบบปัจเจก

แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกอย่าง programming หรือ emerging ดร.เดชรัตเชื่อว่าพื้นที่การเรียนรู้กลางๆ จะมีปัจจัยร่วม 4 อย่าง จาก 4S คือ Scale, Scope, Speed และ Style

  • Scale – จำนวนผู้เรียนต่อการเรียนรู้หนึ่งๆ ที่แตกต่าง
  • Scope – ขอบเขตการเรียนรู้ที่แตกต่าง
  • Speed – ความสามารถในการเข้าใจเนื้อหาในระดับที่แตกต่าง
  • Style – วิธีการเรียนรู้ที่แตกต่าง

เมื่อต้องเชื่อมความเข้าใจการเรียนรู้แบบนี้เข้าสู่ ‘Scale’ ห้องเรียน ดร.เดชรัตเสนอแนวคิด ซึ่งยกเครดิตว่าวิธีคิดนี้เขาเรียนรู้จากลูกชายอีกทีหนึ่งว่า การอำนวยการสอนต้องเห็นเป้าหมายว่าจะพาทั้งห้อง/คลาส ไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ รู้ว่าจะมีวิธีพาไปอย่างไร ด้วยวิธีการอะไร และสุดท้าย ต้องดู learning mode หรือบรรยากาศในห้องเรียนหรือผู้เรียนด้วย

การเรียนรู้ของนักการสื่อสาร: เป้าหมายสูงสุดคือทำให้สื่อมวลชนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ดร.วิลาสินียกตัวอย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่ง นำเสนอโดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ในรายการคิดยกกำลังสองออกอากาศทางช่องไทยพีบีเอส ระบุว่าจากผลสำรวจคนไทย 6,000 คนอายุ 15-35 ปี ส่วนใหญ่บอกว่า ความรู้ที่มีอยู่ขณะนี้จะใช้ประโยชน์ได้ราว 14 ปี และความรู้ที่ว่าส่วนใหญ่เห็นว่ามาจากการศึกษาในระบบ ขณะที่คนในประเทศเพื่อนบ้านบอกว่าความรู้ที่มีทุกวันนี้อาจใช้ได้จริงแค่ราว 6 เดือนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนในประเทศเพื่อนบ้านเห็นว่าความรู้ทุกวันนี้มีอายุสั้นลง และพวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา

นี่เป็นสิ่งที่ ดร.วิลาสินี ตั้งคำถามอย่างเป็นกังวลว่า เพราะเหตุใดเราจึงไม่ต้องเรียนรู้? เราไม่กระหายใคร่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

ในฐานะผู้อำนวยการโทรทัศน์สาธารณะ เธอย้ำว่านี่คือเป้าประสงค์ขององค์กรที่ต้องการทำให้สื่อสารมวลชนในปัจจุบันไม่ใช่แค่การรายงานข่าวและเหตุการณ์ในสังคม ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดหรือที่เราเรียกกันว่าเป็นยุค disruptive world สื่อมวลชนต้องเขยิบตัวเองเพื่อสร้างและสนับสนุนให้คนลุกขึ้นมาสร้างการเรียนรู้ เป็น inform citizen และท้ายที่สุด ต้องเป็นสื่อที่สร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับผู้ชมได้

ต่อประเด็นการเรียนรู้ท่ามกลางความหลากหลายและโลกที่เปลี่ยนเร็วในปัจจุบัน ดร.วิลาสินีให้ความเห็นว่าการศึกษา ไม่ว่าจะในรูปแบบใด การศึกษาในระบบหรือพื้นที่การเรียนรู้อื่นๆ อย่างเช่นสื่อสารมวลชน จำเป็นต้องทำให้ผู้เรียนเกิด soft skill อย่างการรู้จักตัวเอง การทำงานเป็นทีม การพัฒนาคน สำคัญที่สุด ดร.วิลาสีนีเห็นว่าต้องสร้างการเรียนรู้ในแง่ conceptual worker หมายถึง การเห็นภาพรวมทั้งหมด และรู้ว่าจะสร้างการเรียนรู้อย่างไร

การ (สร้างการ) เรียนรู้ของเด็กๆ ที่ก้าวพลาด: การเรียนรู้ที่ไม่ควรถูกทำเฉพาะตอนปลายน้ำ

คุณทิชา หรือ ป้ามล มักพูดเสมอว่า เด็กที่อยู่ในบ้านกาญจนาภิเษก – สถานควบคุมเยาวชนชายหลังคำพิพากษาที่ไร้กำแพง ไม่มียูนิฟอร์ม ไม่มีไม้กระบอง ไม่บังคับให้กราบกรานผู้คุม และอื่นๆ ที่คล้ายตรวนล่องหน – เป็นเยาวชนก้าวพลาดที่มาจากสังคมหักพังและระบบการศึกษาที่ล้มเหลว

แม้หลายคนจะบอกว่าเด็กที่อยู่ในสถานควบคุมยากจะกลับตัวหรือไม่มีใครเชื่อมั่นว่าจะกลับตัวและเรียนรู้ได้ แต่ ‘บ้านกาญจนาฯ’ ไม่เชื่อเช่นนั้น ภายใต้คำว่า ‘คุกเด็ก’ ที่นี่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดในบ้าน เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ว่า ทุกคนพัฒนาและเรียนรู้ได้

ที่บ้านกาญจนาฯ ทุกวันเด็กๆ ต้องวิเคราะห์ข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือคลิปข่าว พวกเขาต้องดูหนังและวิเคราะห์ตัวละคร โดยหลายครั้งทีมงานตั้งใจเลือกประเด็นทั้งหนังและข่าวให้ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุพาให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน ปิดท้ายด้วยการเขียนไดอารีก่อนนอนทุกคืนว่าวันนี้พวกเขาทำอะไร และรู้สึกอย่างไรในแต่ละวัน

แค่เฉพาะ 3 ประเด็นข้างต้น นี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้ได้คิด (อย่างหนัก) วิเคราะห์ทุกเหลี่ยมมุมชีวิตและอธิบายออกมาอย่างเข้าอกเข้าใจ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่ ‘ถูกออกแบบ’ ให้ผู้เรียนทำงานกับความคิดตัวเองอย่างหนัก หมดจด และชัดเจน

“มีครั้งหนึ่ง ขออนุญาตเอ่ยถึง ‘กรณีแพรวา’ เราให้เขาวิเคราะห์ข่าวนี้และนำไปสู่ประเด็นถกเถียงในบ้านอย่างจริงจังมาก เด็กคนนึงพูดเลยว่า ข่าวนี้ทำให้เค้าเข้าใจว่าแม้จะมีเงินทองแค่ไหนแต่ก็ซื้อสิทธิของคนไม่ได้ พอเด็กคนหนึ่งคิดได้ขนาดนี้ นั่นแปลว่าการก่ออาชญากรรมครั้งที่สองของเขาอาจถูกตัดออกไปจากความคิด แต่เป็นการตัดที่มาจากความเข้าใจของเขาเอง” ป้ามลกล่าว

ป้ามลย้ำว่า การออกแบบการเรียนรู้แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเฉพาะที่บ้านกาญจนาฯ เพราะการทำงานทางความคิดในบ้านหลังนี้ย่อมเจอกับแรงเสียดทานทั้งจากตัวเองและสังคมที่มาก แต่หากโรงเรียนออกแบบการเรียนรู้ที่ที่ทำให้เขาเข้าใจตัวเอง การเรียนรู้ที่เด็กไม่รู้สึกโง่ เป็นส่วนเกิน หรือรู้สึกว่าไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย การก้าวพลาดของเด็กในสังคมย่อมน้อยลง

การเรียนรู้ของนักจัดการเรียนรู้ พื้นที่ปลอดภัยที่หล่อเลี้ยงชีวิตและความสุขของผู้เรียน

ก่อนที่เจ้าบ้านอย่าง อ.อธิษฐาน์ หรือครูเปิ้ล จะพูดถึงบทบาทของนักจัดการศึกษา ครูเปิ้ลกล่าวต่อจากป้ามลว่า ไม่ใช่แค่เด็กในบ้านกาญจนาฯ ที่เป็นผู้แพ้ในระบบ แม้แต่เด็กที่ยังอยู่ในระบบโรงเรียนก็ยังแพ้เพราะการศึกษาที่เหลื่อมล้ำและสภาพความกดดันแข่งขันในสังคม และยังไม่ใช่แค่เด็กหรือผู้ปกครองที่อึดอัด แต่ตัวครูเองก็ทนไม่ไหวกับระบบที่รัดรึงและรุงรังเช่นนี้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาแห่งโจทย์ของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ ‘การเรียนรู้ที่มีค่า’ การบ่มเพาะบุคลากรนักออกแบบการเรียนที่เข้าใจเรื่องการเรียนรู้ โรงเรียนก็ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะดำรงไว้ซึ่งความสร้างสรรค์ จินตนาการ ความกล้าหาญ ที่ติดตัวมากับเด็กทุกคนไว้ได้

ครูเปิ้ลเล่าว่า ที่ผ่านมาคณะฯ ไม่ได้ทำงานแค่ผลิตบัณฑิตในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ยังมีโครงการที่ทำงานกับเครือข่ายข้างนอก เช่น โครงการก่อการครู ที่ตั้งต้นด้วยความปรารถนาสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่สร้างสมรรถนะของครูและผู้เรียน แต่มุ่งไปสู่การพาคนกลับมาพบคุณค่าความหมายของตัวเอง และรู้ว่าคุณค่าและความหมายที่ตัวเองมีจะส่งต่อหรือสร้างสรรค์ให้ผู้อื่นอย่างไร

แต่ครูเปิ้ลย้ำว่าการจะทำทั้งหมดนี้ได้ ครูเองก็ต้อง ‘ส่งเสียง’ ได้อย่างเป็นอิสระ ซึ่งเท่ากับว่าโครงสร้างการศึกษาต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ครูด้วยเช่นกัน

การเรียนรู้ของนักเขียน

ปิดท้ายด้วยคุณสราวุธ หรือ ‘นิ้วกลม’ ด้วยเรื่องเล่าเรื่องการเรียนรู้ของตัวเองตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่โตมากับการล่อหลอกให้ ‘กลัว’ ของครู เขาเคยกลัวการตอบคำถามผิดและรู้สึกว่าการเรียนรู้คือ ‘การเดาใจครู’ แต่วันหนึ่งในคาบศิลปะซึ่งเรียนกับครูฝึกสอน แม้ว่าคาบนั้นเพื่อนของเขาจะบอกว่าการลงสีของเขาจะไม่สวยและไม่เหมือนเพื่อน แต่ครูคนนั้นกลับไม่ว่าและบอกว่าเขาใช้วิธีเดียวกับ ‘ปิกัสโซ่’ เลย นั่นเป็นจังหวะแรกที่ทำให้เขายิ้มกริ่มและบอกตัวเองในใจว่า ‘ปิกัสโซ่นี่ใครวะ?’ แต่อย่างไรก็ตาม…

“การเรียนมันอิสระได้นะ และไม่จำเป็นต้องเดาใจครูเลย”

การเรียนรู้ฉบับเปลี่ยน ‘ความเข้าใจต่อการเรียนรู้’ ของเขายังมีอีกหลายเรื่องและหลายจุดเวลา เช่น การเข้าเป็นนิสิตคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ท่ามกลางบรรยากาศของความคิดสร้างสรรค์ การเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ทำให้ได้พบหนังสือมากมายและทำให้เข้าใจว่า ‘ความจริงมีหลายรูปแบบ’ หรือ การเดินทางไปอินเดีย ที่ได้พบกับ รูป รส กลิ่น เสียง และชีวิตคนจริงๆ นั่นก็คือการเรียนรู้ให้หมกมุ่นกับตัวเองน้อยลงและอยู่กับชีวิตคนอื่นให้มากขึ้น และอีกหลากการเรียนรู้ แม้การจีบใครสักคนราว 7 ปีแต่ไม่ได้รับรักตอบ นี่ก็เป็นบทเรียนเรื่องการ ‘เปลี่ยน หรือ ไม่เปลี่ยนใจ’ ที่ทำให้อัตตาของเขาลดลง

ภายใต้เรื่องเล่าอบอุ่นและเคล้าเสียงหัวเราะ นิ้วกลมตบประเด็นการเรียนรู้ในความเห็นของเขาว่า เขาขอแยกการเรียนรู้อย่างหยาบเป็น 2 ประเด็น นั่นคือการเรียนรู้ที่มาจาก สมอง และการเรียนรู้ที่มาจาก หัวใจ

‘สมอง’ อาจทำให้เราหมกมุ่นและอยู่กับตัวเอง แต่ ‘หัวใจ’ ทำให้เราใจกว้าง เข้าใจและเห็นความทุกข์คนอื่น เมื่อเห็นความทุกคนอื่น อาจสะท้อนกลับให้เราเข้าใจความหมายของตัวเองเพื่อที่จะทบทวนว่าเราอาจใช้ความสามารถของตัวเองกลับไปช่วยคนอื่นได้มากขึ้น

ก่อนจะวางไมค์จริงๆ เขาเห็นว่าความน่าสนใจของการเรียนรู้คือเส้นบางๆ ระหว่าง ‘ความรู้’ กับ ‘ปัญญา’ ขึ้นอยู่กับใครจะให้น้ำหนักกับอะไร แต่เขาให้น้ำหนักคำหลัง หากการศึกษาที่สร้าง ‘ปัญญา’ ให้เกิดแก่มนุษย์ได้ เราคงเป็นคนที่มี ‘หัวใจ’ เข้าใจและใจกว้างที่จะใช้ปัญญาของเรากับผู้อื่นมากขึ้น

Tags:

อธิษฐาน์ คงทรัพย์เดชรัต สุขกำเนิดวิลาสินี พิพิธกุลระบบการศึกษา21st Century skillsงานเสวนาทิชา ณ นคร

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • 21st Century skills
    อมรวิชช์ นาครทรรพ: ใช้ทัพเล็กสู้การศึกษา ซุ่มตีทีละเรื่อง “นี่คือรัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET
Growth & Fixed Mindset
25 October 2019

ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • สรุปวิธีสร้างความสัมพันธ์ 3 รูปแบบ: ครูกับศิษย์ ครูกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ และครูกับพ่อแม่ ให้คุณครูนำไปใช้เพื่อสร้าง Growth Mindset ให้กับเด็กๆ
  • บทบาทของครูมีมากกว่าสอนหนังสือ เพราะในกระบวนการเปลี่ยนแปลง Mindset อย่างองค์รวมจำเป็นต้อง ‘โค้ช’ ไปถึงพ่อแม่ด้วย
  • อย่ามองข้ามการสนทนาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครูฉันมิตร เพราะความสัมพันธ์เป็นรากฐานสำคัญต่อการสร้าง Growth Mindset 
  • หมดเวลาสำหรับการพัฒนาเด็กๆ แบบ ‘ตัวใครตัวมัน’ แล้ว เพราะพื้นที่การเรียนรู้ของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน

การสร้าง Growth Mindset หรือการเปลี่ยนเด็กให้เชื่อในศักยภาพของตนเอง จะทำได้นอกจากชี้ให้เขารู้ว่าพลังที่เขามี ทำอะไรได้บ้างแล้วนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ต้องแน่นแฟ้นมากพอที่จะเข้าไปเขย่าศรัทธาความเชื่อในพลังการเปลี่ยนแปลงตนเองให้กระจ่างชัดได้ 

แอนนี บร็อค (Annie Brock) และ ฮีเธอร์ ฮันด์ลีย์ (Heather Hundley) สองครูผู้ร่วมกันเขียนหนังสือ ‘The Growth Mindset Coach’ บอกว่าบทบาทของครู นอกจากมีหน้าที่เปลี่ยน mindset ลูกศิษย์ให้คิดแบบเติบโตผ่านการบ่มเพาะบรรยากาศการเรียนรู้ในห้องเรียน ยังมีขอบเขตไกลเกินกว่านั้น การมีพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนครู (Professional Learning Community) และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กๆ ที่บ้าน ก็ถือเป็นอีกแรงเสริมหนึ่งที่ผลักดันการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ให้เป็นไปอย่างยั่งยืนได้จริง 

บทความนี้สรุปวิธีสร้างความสัมพันธ์ 3 รูปแบบ: ครูกับศิษย์ ครูกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ และครูกับพ่อแม่ ให้คุณครูนำไปใช้กันได้แบบไม่กั๊ก

สร้างพื้นที่เปี่ยมรักในห้องเรียน

ครูสามารถสำรวจตนเองด้วยแบบประเมินที่วัดแนวโน้มความเป็น Growth / Fixed Mindset ของการสร้างสัมพันธ์กับนักเรียนตามตัวอย่างคำถามนี้

ด้วย 5 วิธีผูกสัมพันธ์กับเด็กๆ ในชั้นเรียน ต่อไปนี้ เราเชื่อว่าครูจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของพวกเขาได้ดีขึ้น

1. ครูศรัทธาในความสามารถของพวกเขา 

หัวใจของ Growth Mindset คือความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ด้วยความพยายาม ขยันและอดทน แต่ถ้าในชั้นเรียนเด็กไม่รู้สึกว่าครูเชื่อมั่นในตัวเขา คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเชื่อในตัวเองเช่นกัน ครูจำเป็นต้องแสดงออกว่าเชื่อมั่นจากใจจริงและพร้อมจะสนับสนุนเคียงข้างเขา เช่น เอ่ยชมเมื่อเห็นเขาพยายามและไม่ปล่อยผ่านข้อผิดพลาดหรือซ้ำเติม แต่ให้คำแนะนำไปปรับปรุงแก้ไข

บนเวที TED Talk เพียร์สัน (Pierson) เผยเคล็ดลับในการปลุกความเชื่อมั่นของเด็กๆ ว่า ในช่วงโฮมรูมเธอจะให้ชั้นเรียนกล่าวคำปลุกใจทุกวันว่า 

“ฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ฉันมาที่นี่เพื่อจะเป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้น ฉันมีศักยภาพและเข้มแข็ง ฉันคู่ควรกับการศึกษาที่นี่ตอนนี้ ฉันมีหน้าที่ มีคนที่อยากให้เขาภูมิใจและมีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง” 

เธอเชื่อว่าถ้าเด็กๆ พูดกับตัวเองแบบนี้ทุกวัน มันจะซึมซาบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา และอีกทางหนึ่งเธอต้องการแสดงให้เด็กๆ รู้ด้วยว่าเธอเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเป็นที่สุด

2. ครูมีอัธยาศัยดีและเป็นกันเองมากพอที่เด็กๆ เข้าถึงได้ 

ครูที่วางตัวห่างเหินเข้าถึงยาก เสมือนมีกระดาษแปะกลางหน้าผากว่า “ไปเล่นกันตรงโน้น อย่ายุ่งกับฉัน” นักเรียนจะไม่กล้าเข้าหา

ถ้าทำได้ ครูลองเข้าหานักเรียน ถามไถ่เรื่องที่พวกเขากำลังสนใจหรือข้อมูลความเป็นอยู่ทั่วไป เช่น บ้านอยู่แถวไหน ครอบครัวทำอะไร อยู่กันกี่คน บางคนพ่อแม่หย่าร้าง อาศัยอยู่กับยาย หรือบางคนไม่สบายมีโรคประจำตัว การถามสารทุกข์สุกดิบหรือแม้แต่แบ่งปันข้อมูลของตัวเองที่ให้ประโยชน์กับเด็กๆ เช่น ประสบการณ์ตอนทำงานพิเศษช่วงวัยรุ่นหรือการวางแผนออมเงิน ช่วยให้ครูสามารถสร้างความสนิทสนมใกล้ชิดและไว้วางใจได้

3. ครูให้เสียงสะท้อนที่สร้างพลัง

ความสัมพันธ์มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำหรือชี้ข้อปรับปรุงให้เด็กๆ รู้ เพราะฟีดแบ็คที่ครูหวังดีอาจไปกระตุ้นให้เด็กๆ ต่อต้านได้ถ้ายังสนิทกันไม่มากพอ ถ้าครูกับศิษย์ไว้วางใจกันในระดับหนึ่งและเขารู้ว่าครูให้คำแนะนำด้วยความเชื่อมั่นในพลังความสามารถของพวกเขา ไม่ได้ตัดสินว่าเขาอ่อนด้อยหรือโง่กว่าคนอื่น เมื่อนั้นเสียงสะท้อนจากครูจึงจะมีพลังในการเปลี่ยนแปลง

ถ้ายังไม่สนิทกันมากพอ ครูอาจต้องใช้วิธีพูดคุยให้คำแนะนำกับศิษย์แบบตัวต่อตัวเพื่อจะได้สร้างความสนิทไปในตัว หรือเปิดช่วงสนทนารายสัปดาห์ในชั้นเรียนให้ทุกคนอัพเดตแบ่งปันกันว่าใครมีปัญหาตรงไหนเรื่องใดบ้างและเพื่อนๆ หรือครูสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร

4. ครูสนใจความพยายามมากกว่าผลคะแนน

เปลี่ยนจากสอบเพื่อวัดเกรด มาสร้าง ‘ตัวชี้วัดความพยายาม’ แทน ‘ตัวชี้วัดระดับความสามารถ’ จัดการเรียนการสอนที่โฟกัสการเรียนรู้โดยให้เด็กๆ มีประสบการณ์ผ่านงานยากๆ ให้ผิดพลาดเพื่อแก้ไขเรียนรู้ ครูช่วยตั้งเป้าหมายและกระตุ้นความเชื่อมั่นพยายามเพื่อให้พัฒนาจากเกรดที่แล้วมา

5. นักเรียนควรรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ครู

ครูที่เดินเข้าห้องมาแล้วนักเรียนเงียบกริบหรือเดินผ่านกลุ่มไหนเป็นอันวงแตก เพราะในสายตาเด็กๆ เขาไม่รู้สึกปลอดภัยกับครู แจคเคอลีน เซลเลอร์ (Jacqueline Zeller) อดีตคุณครูและนักวิจัยประจำ Harvard Graduate School of Education ชี้ว่า “เด็กที่รู้สึกปลอดภัยในห้องเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่า” ความรู้สึกปลอดภัยนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อครูแคร์ความรู้สึกเขาไม่ว่าจะทำผิดพลาดเช่นไร พร้อมจะปกป้อง รับฟัง และจับมือให้เขาลุกขึ้นแก้ไขบทเรียนนั้น โดยไม่ประจานความผิดเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

อยากเชิญชวนให้ครูทุกคนลองตั้งเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์กับนักเรียนเป็นรายสัปดาห์ด้วยหลัก SMART: Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Timely หรือ เป้าหมายชัด-วัดความคืบหน้าได้-ทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย-มีใครหรือข้อมูลใดซัพพอร์ตได้-ทำภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น เป้าหมายคือทุกวันตลอดสัปดาห์นี้ ฉันจะคุยกับนักเรียนคนละ 2 นาที ให้ครบทุกคนเรื่องสัพเพเหระนอกห้องเรียนของเขา เราจะได้สนิทกันมากขึ้น

หรือถ้ายังนึกไอเดียเจ๋งๆ ไว้สร้างสัมพันธ์กับเด็กๆ ไม่ออก เรามีกิจกรรมหลากหลายแบบที่ครูสามารถนำไปใช้ในห้องเรียนมาแบ่งปันดังนี้

  • Finding Common Ground เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเล่นในช่วงเปิดปีการศึกษาเพื่อ break the ice วิธีคือเริ่มด้วยครูบอกสิ่งที่ชื่นชอบและทุกคนที่เหลือในห้องที่ชอบเหมือนกันยกมือ ไล่เรียงไปแต่ละคนจนครบ (เลือกหัวข้อสนุกๆ ที่เป็นเรื่องนอกโรงเรียน เช่น กีฬา แนวเพลง ดาราคนโปรด ละคร หรือนักร้อง) 
  • Lunch Buddies นัดกินมื้อเที่ยงกับนักเรียนตัวต่อตัวโดยสุ่มจับสลากหรือเวียนตามเลขที่ 
  • Two-Minute Check-ins หาโอกาสเหมาะๆ สัก 2 นาทีช่วงก่อนเข้าเรียน หลังเลิกเรียนหรือพักเบรกเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนักเรียน (โดยเฉพาะคนที่มีปัญหา) ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน  
  • Just Say Yes ผ่อนปรนและ ‘say yes’ เมื่อนักเรียนขออนุญาตทำอะไรที่มาจากไอเดียแหวกแนวสร้างสรรค์หรือต้องการโดดเด่นไม่ซ้ำใคร เช่น ขอใช้ปากกาสีเขียวในการสเก็ตช์ภาพแทนดินสอ หรือแต่งตัวชุดจัดเต็มมารายงานหน้าห้อง 
  • ทักทายหน้าประตูทุกเช้า ถึงเป็นวิธีที่ไม่แปลกใหม่แต่ใช้ได้ผลตลอด! 
  • กิจกรรม Get to Know You ล้อมวงแนะนำตัวพร้อมตั้งกติกาสนุกๆ เช่น ใบ้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของชื่อด้วยท่าทาง
  • ใช้สัญญาณมือหรือคำพูดที่เป็นรหัส ครูกับนักเรียนตกลงกันแต่เนิ่นๆ ช่วงเปิดเรียน เช่นถ้าครูปรบมือ 3 ครั้ง หมายความว่าทั้งห้องที่กำลังจ้อกแจ้กจอแจต้องอยู่ในความเงียบพร้อมฟังเรื่องสำคัญ 
  • ตั้งกฎประจำชั้น เช่นในชั้นเรียนจะไม่ตะโกนหรือพูดเสียงดังใส่กันด้วยอารมณ์ ชั้นเรียนจะเริ่มตรงเวลาและปล่อยตรงเวลาเป๊ะทุกครั้ง กฎเหล่านี้สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งครูเองต้องเคารพและทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย

นอกจากกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ที่นำไปปรับใช้ บรรยากาศในห้องเรียนก็ควรเป็นไปอย่างอบอุ่นส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้ ในThe Growth Mindset Coach เปรียบเทียบบรรยากาศห้องเรียนเอาไว้ 3 แบบ 

บอกอยู่กลายๆ ว่าทางสายกลางแบบสร้างสรรค์นั่นแหละดีที่สุด ไม่หย่อนยานหรือเคร่งเครียดกับกฎระเบียบจนเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไป ต้องให้ผู้เรียนพบกับสิ่งท้าทายศักยภาพและสร้างข้อผิดพลาดเสียบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งบทเรียน

Connect กับพ่อแม่ของเด็ก

แน่นอนว่าแต่ละบ้านเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกๆ ไม่เหมือนกัน บางบ้านไม่ได้ให้น้ำหนักกับผลการเรียนมากไปกว่าเห็นลูกเล่นสนุกทำกิจกรรมอย่างมีความสุข ต่างจากหลายบ้านที่ยึดผลการเรียนเป็นตัวแปรสำคัญของอนาคต ชนิดปล่อยผ่านไม่ได้เลยสักเทอม ปัญหาสำหรับครูหลายคนจึงไม่ใช่แค่สงสัยว่าควรสื่อสารพัฒนาการของศิษย์ ‘อย่างไร’ ให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทราบ แต่อยู่ที่ว่า ‘แค่ไหน’ จึงจะพอดีด้วย

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2014 โดย แมทธิว เอ. คราฟต์ (Matthew A. Kraft) กับ รอดด์ โรเจอร์ส (Rodd Rogers) ศึกษาการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อรายงานผลการเรียนของเด็กที่เก็บหน่วยกิตไม่ครบและอาจเรียนไม่จบเป็นรายสัปดาห์ให้พ่อแม่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกเป็นข้อความที่รายงานถึงพัฒนาการเชิงบวกของเด็ก ส่วนอีกกลุ่มส่งข้อความชี้จุดที่นักเรียนควรแก้ไขพัฒนาเพื่อให้ได้คะแนนดีมากกว่านี้ ผลออกมาว่าการส่งข้อความรายงานพ่อแม่ช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ สามารถเก็บหน่วยกิตตามกำหนดได้เพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์ ลดโอกาสเด็กเรียนไม่จบได้ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งในกลุ่มที่พ่อแม่ได้รับรายงานให้แก้ไขข้อบกพร่องเด็กมีพัฒนาการและสามารถเก็บหน่วยกิตได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 9 เปอร์เซ็นต์  

รายงานนี้กำลังบอกเราว่า

  • การสื่อสารให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทราบถึงพัฒนาการของเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องยืดยาวหรือจัดประชุมเป็นเรื่องเป็นราวเสมอไป อย่างในวิจัยนี้ ส่งข้อความมือถือสั้นๆ ให้ผู้ปกครองสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว
  • ครูบอกจุดที่นักเรียนควรแก้ไขดีกว่าแค่ชื่นชม และจะให้ผลดีที่สุด ควรรายงานทั้งส่วนดีและให้คำชี้แนะไปพร้อมกันเลยว่าควรพัฒนาเพิ่มเติมตรงไหน และพ่อแม่มีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง เช่น

“น้องข้าวแกงเป็นตัวของตัวเองและมีมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นยอดเยี่ยม คิดสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน ในสัปดาห์นี้น้องกำลังพยายามทำความเข้าใจเรื่องบัญญัติไตรยางค์ ถึงจะยังไม่ค่อยแตกฉานแต่มีความพยายามดีมาก คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยเสริมความรู้ด้วยการพาเขาไปจ่ายตลาดแล้วให้ช่วยคิดเงินบ่อยๆ ค่ะ”

อย่างนี้แล้ว บทบาทของครูมีมากกว่าสอนหนังสือ เพราะในกระบวนการเปลี่ยนแปลง Mindset อย่างองค์รวมจำเป็นต้อง ‘โค้ช’ ไปถึงพ่อแม่ด้วย แครอล ดเวค (Carol Dweck) นักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เขียน Mindset บอกว่า “ถ้าพ่อแม่อยากให้ของขวัญล้ำค่ากับลูก จงสอนให้เขารักความท้าทาย ตื่นเต้นกับความผิดพลาด สนุกสนานที่ได้พยายามและตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ต่อไปไม่รู้จบ”

อย่างไรก็ตาม การส่งข้อความทางโทรศัพท์อาจเป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆ ในยุคสมัยที่มีช่องทางโซเชียลอีกเป็นพะเรอเวียนที่ครูสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองอัพรูปบรรยากาศห้องเรียนลง IG หรือ Facebook และติด Hashtag #ป.4/2ห้องครูวารี ลงคลิปกิจกรรมเสริมทักษะลง YouTube เป็นระยะๆ หรือที่สะดวกและแพร่หลายสุดน่าจะเป็นการตั้งกลุ่ม Line ไว้คอยส่งข่าวสารกิจกรรมในโรงเรียนหรืออัพเดตแลกเปลี่ยนตารางกิจกรรมกันระหว่างคุณครูกับพ่อแม่ 

ถักทอสัมพันธ์ที่สนับสนุนเกื้อกูลกันระหว่างเพื่อนครู

การสนทนาพาทีกับเพื่อนครูฉันมิตรเป็นรากฐานของความสัมพันธ์อันมีค่ายิ่งในสถาบันหรือองค์กรการศึกษา ยิ่งกับการสร้าง Growth Mindset ด้วยแล้ว นั่นหมายถึงบุคลากรในโรงเรียนเองก็ต้องเปิดกว้างและพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะเด็กๆ จะไม่มีทางขยับขยายความคิดให้เติบโตได้ด้วยแนวทางการเรียนรู้ซ้ำเก่าไม่เปลี่ยนแปลง

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างฝ่ายต่างนำมาใช้ในการเข้าถึงใจลูกศิษย์หรือวิธีสอนที่แปรเนื้อหาวิชายากๆ ให้เป็นเรื่องย่อยง่ายสำหรับเด็กจะช่วยยกวัฒนธรรมองค์กรให้เอื้อกับการหลอมรวมการเรียนรู้ของทั้งครูและนักเรียนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน  

อีกเช่นเคย เรามีวิธีสร้างสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนครูหรือชุมชนการเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียนมาแชร์กัน 

  • Mentoring น้อมรับคำวิจารณ์หรือข้อเสนอแนะจากครูคนอื่นอย่างเปิดกว้างและแบ่งปันความคิดเห็นของเราอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน
  • PLC Groups สร้างหรือเข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (Professional Learning Community) กับผู้คนซึ่งทำงานด้านการศึกษาหลากหลายสาขาเพื่อเชื่อมโยงถึงแหล่งข้อมูลการเรียนรู้และโอกาสแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์เพื่อสร้าง Growth Mindset ให้เติบใหญ่ขยายเป็นวงกว้างในสังคมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
  • Committees หมั่นเข้าร่วมประชุมครู อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อเพราะที่นั่นเราจะมีโอกาสได้พูดคุยหารือกับครูที่มีเป้าหมายและความคิดเหมือนกันกับเรา 
  • PBL Planning ออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม โดยหลอมการเรียนรู้ในระดับชั้นเดียวกันให้มีหลากหลายมิติวิชา หรือนำนักเรียนหลายระดับชั้นหรือต่างหลักสูตรมาเรียนรู้ร่วมกันเพื่อผสานทักษะที่แตกต่างและฝึกการทำงานร่วมกันทั้งนักเรียนและตัวผู้สอนเอง 
  • Cooperative Teaching สอนร่วมกับครูท่านอื่นเพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ๆในห้องเรียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการสอนซึ่งกันและกัน โดยอาจกำหนดเป็นช่วงเวลาหนึ่งเทอมหรือระยะเวลาสั้นๆ
  • Book Clubs เลือกหนังสือที่เปิดมุมมองความคิดทางการศึกษาใหม่ๆ ให้ครูทุกคนในโรงเรียนได้อ่านแล้วมานั่งล้อมวงวิพากษ์ประเด็นความคิดความรู้สึกที่ได้จากหนังสือร่วมกัน นอกจากจะก่อให้เกิดบทสนทนาที่เป็นโอกาสให้เรียนรู้ร่วมกันยังเสริมเพิ่มพลังมิตรภาพระหว่างเพื่อนครูไปพร้อมกันด้วย
  • Interpersonal Relationships อย่าปิดตัวเองด้วยการไม่ make friends กับครูคนไหนเลยที่โรงเรียน และหัวข้อสนทนากับเพื่อนครูก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องในโรงเรียนเสมอไป สัมพันธภาพในโรงเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาการจ๋า แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่สามารถสนับสนุนเกื้อกูลกันฉันมิตร
  • Interest Inventories เริ่มปีการศึกษาด้วยการสำรวจความสนใจของครูในโรงเรียนแบบเปิดเพื่อให้ครูแต่ละคนทราบข้อมูลของกันและกันในเบื้องต้น นี่อาจเป็นการจุดประกายให้ครูที่มีความชอบเหมือนกันแต่ยังไม่เคยทำงานร่วมกันได้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้

หมดเวลาสำหรับการพัฒนาเด็กๆ แบบ ‘ตัวใครตัวมัน’ แล้ว เพราะพื้นที่การเรียนรู้ของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน โครงข่ายความสัมพันธ์ของครูจำเป็นต้องแผ่กิ่งก้านให้ครอบคลุมทั่วถึงครอบครัวที่บ้านและเป็นปึกแผ่นในองค์กร เพื่อสร้างกลไกการเปลี่ยนแปลงให้ไปในทิศทางเดียวกัน

พึงระลึกเสมอว่า “ตัวฉัน นักเรียน และบุคลากรทุกคนคือสมาชิกคนสำคัญของชุมชนการเรียนรู้แห่งนี้” ใครเลยจะรู้ว่าพลังสร้างสรรค์การเรียนรู้และพัฒนาตนเองของเด็กๆ ซึ่งสามารถพลิกฟื้นการศึกษาให้ก้าวไปข้างหน้า แท้จริงแล้วอยู่ในมิตรภาพและสายสัมพันธ์ที่มีครูเป็นผู้ถักทอนี่เอง 

Tags:

เทคนิคการสอนGrowth mindsetพ่อแม่ครู

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ
Learning Theory
23 October 2019

ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

เรื่องและภาพ The Potential

หัวใจของการศึกษา คือ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

ครูสามารถสร้างการเรียนรู้แบบนี้ได้ผ่าน ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) โดย ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) นักทฤษฎีการศึกษา

ผ่านวงจร 4 ขั้นตอนง่ายๆ ตามหลักการของ ELT ภายใต้แนวคิดว่าคนเรามีรูปแบบการเรียนรู้อยู่ 4 โหมดซึ่งหมุนเป็นวงจร สลับสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ได้แก่

Experiencing – เรียนรู้ข้อมูลผ่านการมีประสบการณ์และการลงมือทำ เน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง

Reflecting – นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน ใคร่ครวญ เช่น จดบันทึก ประชุมกันในทีม

Thinking – คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ออกมาจากขั้นที่ 1 และ 2 สรุปออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติ

Acting – ลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรปรับปรุง

ทั้ง 4 วงจรคือ 1 วงจรการเรียนรู้ แต่วงจรการเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เมื่อจบ 1 วงจรแล้ว ก็ได้เวลาเรียนรู้ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ EXPERIENTIAL LEARNING: 8 ข้อครูควรรู้ เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetExperiential Learning Theory(ELT)

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
EF (executive function)
22 October 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ชื่อเรื่องว่าอ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ เป็นความพยายามที่จะเขียนถึงประโยชน์ของการอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างเป็นระบบอีกครั้งหนึ่ง และเชื่อได้ว่าหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะไม่สมบูรณ์อีกเพราะงานวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านสมองก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง นับวันเรายิ่งอธิบายได้มากขึ้นว่าเพราะอะไรการอ่านนิทานให้ลูกฟังจึงมีประโยชน์

มิใช่สักแต่ว่าพูดลอยๆ ได้ว่ามีประโยชน์ แต่ทำไมถึงมีประโยชน์

เพราะอะไรจึงว่าเขียนอย่างไรก็ไม่มีวันสมบูรณ์ เหตุผลหนึ่งคือเพราะจำนวนเซลล์ประสาท (neurons) ในสมองของคนเรามีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเซลล์มีเส้นประสาท (nerves) ออกจากตัวเองไปรับสัญญาณประสาทมาจากเซลล์ประสาทอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เกิดเป็นจุดเชื่อมต่อ (synapses) ของเซลล์ประสาทจำนวนยิ่งกว่านับไม่ถ้วน

และเพราะการอ่านหนังสือ 1 คำ รูปภาพในหนังสือนิทานประกอบภาพสำหรับเด็ก 1 ภาพ กระทบต่อเซลล์ประสาทและจุดเชื่อมต่อเหล่านี้นับไม่ถ้วน ประโยชน์จึงนับไม่ถ้วนตามไปด้วย

หลายปีที่บรรยายและเขียนหนังสือ ผมพบว่าตะครุบเนื้อหาเรื่องการอ่านได้ไม่หมดเสียทีจริงๆ ด้วย ประโยชน์ของการอ่านนิทาน 1 ข้อสามารถแตกออกได้เป็นอีกหลายข้อเหมือนเซลล์ประสาท และอีกหลายข้อนั้นสามารถแตกออกไปหรือย้อนกลับมาเพิ่มพลังให้กันและกันได้อีกหลายข้อจนกระทั่งจัดหมวดหมู่ก็ไม่ค่อยจะได้อีกด้วย พูดง่ายๆ ว่าประโยชน์ทั้งทางด้านจิตวิทยา ชีววิทยา และสังคมศาสตร์มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันตลอดเวลา

เอาแค่เรื่องจำนวนของจุดเชื่อมต่อ เราพบเรื่อยๆ ว่าตำราแต่ละเล่มไม่เคยเขียนตรงกัน เหตุผลคือเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเรามีจุดเชื่อมต่อมากเท่าไรกันแน่ ยกตัวอย่างตำรา Executive Function เล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2018 เขียนว่าเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งแสนล้านตัว (100 billion neurons) ซึ่งแต่ละตัวสามารถแตะกับเซลล์ประสาทอีก 10,000 ตัว ทำให้เรามีจุดเชื่อมต่อได้มากถึงหนึ่งพันล้านล้านจุด (1 quadrillion synapses) ในขณะที่บทความหนึ่งในนิตยสาร Scientific American ฉบับเดือนกรกฎาคม 2019 เขียนว่าเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งแสนล้านตัว (100 billion neurons) และจุดเชื่อมต่อหนึ่งร้อยล้านล้านจุด (100 trillion synapses) อธิบายได้ว่าจำนวนจุดเชื่อมต่อที่ต่างกันมากมายนี้เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมองเด็กกับสิ่งแวดล้อม มากกว่าเยอะกว่า

คืออ่าน เล่น ทำงานมากกว่า มีจุดเชื่อมต่อมากกว่า

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ขอขยายความก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อเรื่อง คือเรื่องคำว่า ‘ก่อนนอน’ ผมมักเขียนและพูดเสมอว่าอ่านนิทานก่อนนอน ไม่ค่อยจะพูดหรือเขียนว่าอ่านนิทานเฉยๆ เท่าไรนัก เหตุผลหนึ่งคือเราใส่ใจมากเรื่องจังหวะ (rhythm) ดังที่ทราบกันว่าเด็กๆ เรียนรู้ชีวิตด้วยจังหวะมากกว่าคำสั่งสอน

เช่น เด็กที่เรียนรู้ว่าในหนึ่งวัน เรามีจังหวะชีวิตที่สำคัญ 4 จังหวะ คือ กิน กิน กิน และนอน และถ้าเขาควบคุมตนเองให้เรียบร้อยใน 4 จังหวะนี้ได้ เขาควบคุมตนเองได้ทั้งหมด เรื่องนี้มิได้โม้ ชาวตะวันตกเลี้ยงลูกให้ช่วยเหลือตนเองเท่านี้จริงๆ จากนั้นเด็กๆ จะมีโอกาสได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองค่อนข้างมาก และตบตนเองให้เข้ารูปเข้ารอยทีละเรื่องสองเรื่องได้เอง โดยไม่ต้องปากเปียกปากแฉะเหมือนบ้านเรา

เราไล่ป้อน 3 มื้อ แล้วปล่อยปละละเลยเรื่องเวลาเข้านอน ผลที่ได้คือเละทุกเรื่อง

การอ่านนิทานก่อนนอนมีประโยชน์ตรงที่เราได้ใช้เวลาอ่านนิทานก่อนนอนเป็นการกำหนดจังหวะที่ 4 นี้ให้ตรงเวลาทุกคืน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ปีละประมาณ 300-360 คืน ที่เราจะได้คือจังหวะการนอนที่ชัดเจน และมากกว่านี้คือแม่/พ่อที่มีอยู่จริง

บ้านที่อ่านนิทานก่อนนอน และเริ่มต้นอ่านตรงเวลา เช่น สองทุ่มครึ่งตรง (สองทุ่มยังไม่ถึงบ้าน ดึกกว่าสามทุ่มถือว่าดึกเกินไปสำหรับเด็กเล็ก) พ่อและแม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเข้าห้องนอนพร้อมลูก วางมือถือ ปิดเครื่อง แล้วอ่านนิทาน 3-5 เล่มโดยไม่มีอะไรรบกวนเลย 30 นาทีทุกคืน เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้จากความสม่ำเสมอและต่อเนื่องยาวนานว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพ่อแม่จะปรากฏตัวตรงเวลาเสมอ และสิ่งมีชีวิตทั้งสองนั้นมีอยู่จริง ความมีอยู่จริงเป็นจุดกำเนิดของจิตวิทยาพัฒนาการทุกขั้นตอนที่จะติดตามมาดังที่เรียกว่า บันได 7 ขั้นสู่ศตวรรษที่ 21

การอ่านนิทานก่อนนอนยังมีประโยชน์ข้อที่สองคือ ช่วยเตรียมคลื่นสมองการนอนให้เข้าที่ก่อนเข้าสู่โหมดการนอนที่มีคุณภาพ หลังจากสนุกสนานมาทั้งวัน หรือถูกดุด่าว่าตีมาทั้งวัน เวลา 30 นาทีก่อนเข้านอนกับเสียงของพ่อแม่จะช่วยสงบคลื่นสมองให้เข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การนอนหลับ

การนอนหลับของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือระยะไม่ฝันและระยะฝัน (Non-REM & REM sleep) เมื่อคนเรานอนหลับจะเข้าสู่ระยะไม่ฝันระยะที่ 1 ก่อน จากนั้นจะผ่านระยะที่ 2-3-4 แล้วเข้าสู่ระยะฝันรอบที่ 1 จากนั้นจะลัดขั้นตอนเข้าสู่ระยะไม่ฝันระยะที่ 2-3-4 แล้วเข้าสู่ระยะฝันรอบที่ 2 เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

เวลาตั้งแต่เริ่มหลับจนถึงระยะฝันรอบแรกใช้เวลา 70-90 นาที โดยที่ระยะฝันรอบแรกกินเวลาประมาณ 5 นาที ส่วนระยะฝันรอบที่สองจะเกิดขึ้นหลังจากการนอนหลับประมาณ 3 ชั่วโมงและกินเวลาประมาณ 10 นาที เด็กๆ มักไม่มีระยะฝันรอบที่ 1

หลังจากระยะฝันรอบที่สองแล้ว กระสวนของวงจรการนอนนี้จะเกิดขึ้นทุก 90 นาทีโดยที่ระยะฝันจะนานขึ้นเรื่อยๆ อาจจะนานได้ตั้งแต่ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง คนเรามักจะจำได้เฉพาะความฝันเรื่องสุดท้าย คือเลขสามตัว

จะเห็นว่าการนอนหลับและความฝันมีรูปแบบจำเพาะและเด็กๆ ต้องการการนอนที่ดี ดังนั้นการอ่านนิทานก่อนนอนจะช่วยให้คลื่นสมองสงบลง เข้าที่ แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่ระยะต่างๆ ของการนอนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

จบคำนำ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน : อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน : เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานการอ่านพัฒนาการEFนิทาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
Social Issues
22 October 2019

LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.

เรื่อง The Potential

รายละเอียดโดย คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีการก่อตั้ง คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการ LSEd Symposium 2019 & TSS Open-house ‘การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง’ ‘Meaningful Learning -Transforming Education’ วันที่ 25-26 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00-16.00 น. ณ อาคาร SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เวทีที่จะฉายภาพของการศึกษาไทยในปัจจุบันผ่านการนำเสนอแนวคิด นวัตกรรม และเทคนิคการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างหลากหลายไปจากระบบการศึกษากระแสหลักที่ทุกคนคุ้นเคย ผ่านเวทีเสวนาและการบรรยายที่รวบรวมมุมมอง วิสัยทัศน์และจิตวิญญาณของผู้ที่ทำงานด้านการขับเคลื่อนการศึกษา

สัมมนาวิชาการที่แบ่งปันองค์ความรู้จากงานวิจัยและการปฏิบัติงานของผู้ที่ทำงานด้านการพัฒนาการเรียนรู้ในสาขาต่างๆ ตลอดจนของคณาจารย์ของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การอบรมเชิงปฏิบัติการหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ในมิติต่างๆ จากวิทยากรชั้นนำ ทั้งในแวดวงวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ทำงานด้านการศึกษา ภาคประชาสังคม ตัวแทนครูจากโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ และคณาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ คณาจารย์โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นำเอาประสบการณ์จริงในการทำงานของตนเองมาเชื่อมร้อยเป็นกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เข้าร่วมอบรม

นอกจากนี้ ภายในงาน ยังมีการแสดงจากนักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และงาน ‘เปิดบ้าน’ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อแนะนำแนวทางการจัดการศึกษาของโรงเรียน ทั้งในรูปแบบเวทีเสวนา การอบรมเชิงปฏิบัติการและห้องเรียนจำลอง เพื่อสัมผัสกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนอีกด้วย

นำเสนองานวิจัย พื้นที่การเรียนรู้ Active Citizen มีผลต่อสำนึกพลเมือง และ การเปลี่ยนแปลงทางสมองอย่างไร

งานนี้ มูลนิธิสยามกัมมาจล ในฐานะทีมทำงานโครงการ Active Citizen หนุนเสริมเยาวชนให้ทำโครงการในพื้นที่ชุมชนตลอด 8 ปี เปิดห้องชวนคุยประเด็น ‘การสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนและทักษะการคิดเชิงบริหารและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายในวัยรุ่นด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช’ วันที่ 26 ตุลาคม 2562 เวลา 13.00 – 15.00 น. ณ ห้อง 326 อาคารเรียนรวม S23 มธ. ศูนย์รังสิต

เวทีนี้ดำเนินการในโครงการ 2 ประเด็นคือ

  • รายงานการสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช (coach) โดยทีมวิจัยคณะวิทยาการจัดการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
  • การทำโครงการเพื่อชุมชนที่มีผลต่อสมอง สู่ทักษะการบริหารจัดการตัวเองและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายของวัยรุ่น (EF) โดยรองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียดกิจกรรม
13.00 – 13.15 น.แนะนำโครงการ Active Citizen ซึ่งเป็น social lab ของมูลนิธิฯ ในการพัฒนาตัวอย่างการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะของเยาวชน โดย คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล
13.15 – 13.35 น.การสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช (coach) โดย ทีมวิจัยคณะวิทยาการจัดการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
13.35 – 13.45 น.แลกเปลี่ยนมุมมอง 10 นาที
13.45 – 14. 05 น.การทำโครงการเพื่อชุมชนที่มีผลต่อสมอง สู่ทักษะการบริหารจัดการตัวเองและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายของวัยรุ่น (EF) โดยรองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล
14.05 – 14.25 น.ปัจจัยและเงื่อนไขในการออกแบบการเรียนรู้ที่นำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างพลเมืองเยาวชนในแต่ละพื้นที่ โดย โค้ชและทีมออกแบบกระบวนการเรียนรู้โครงการ Young Active Citizen 4 จังหวัด (สงขลา สมุทรสงคราม ศรีสะเกษ น่าน)ข้อเสนอการนำบทเรียนไปปรับใช้ในบริบทต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้โดย นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ
14.25 – 15.00 น.แลกเปลี่ยนมุมมอง 10 นาที

Tags:

งานเสวนาระบบการศึกษาactive citizen

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • 21st Century skillsSocial Issues
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ต้นทุนชีวิต อย่าคิดให้ติดลบ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel