Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค
21st Century skills
10 December 2018

4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

การทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์ค ทักษะหนึ่งที่ต้องใช้คือ Collaborative skill

collaborative skill คือทักษะที่หมายรวมทั้งทักษะทางการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง ทักษะการเข้าสังคม เช่น มารยาทในการสนทนา เคารพความคิดเห็นผู้อื่น และ ทักษะทางอารมณ์ (emotional skill) เป็นต้น

แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคน ทุกความคิดเห็นจะลงรอยกันเรื่องวิธีแก้ปัญหาไปเสียหมด ทีมต้องผ่านการลองถูกผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเผชิญภาวะชะงักงันจากปัญหาการสื่อสารไม่ชัดเจน ความขัดแย้ง หรือตัดสินใจผิดพลาดได้ตลอดเวลา

แล้วจะทำอย่างไรให้ทีม ‘เวิร์ค’

ซัคเคอรี เฮอร์แมน (Zachary Herrman) อาจารย์ประจำภาคบัณฑิตวิทยาลัยคณะศึกษาศาสตร์แห่ง University of Pennsylvania กล่าวไว้ในบทความ A Strategy for Effective Student Collaboration ว่า

เมื่อหัวใจของการทำงานกลุ่มคือ แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยกัน ทีมต้องตอบคำถาม 4 ข้อนี้ให้ได้เสมอ

1.จุดประสงค์ของงานที่ทำอยู่คืออะไร

2.ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร

3.ที่มาที่ไปของผลลัพธ์เป็นอย่างไร

4.เมื่องานเสร็จสิ้นลง คิดว่าอะไรที่ดี และอะไรควรแก้ไข

และที่สำคัญ

“ยอมรับธรรมชาติของความยุ่งเหยิงที่มากับงานกลุ่ม และไม่เข้าไปแทรกแซงการค้นหาคำตอบร่วมกันของทีม”

เรียนรู้วิธีฝึก Collaborative skill ในห้องเรียนและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน4Csทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)ครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร
EF (executive function)
10 December 2018

อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

ตอนนี้เป็นตอนที่ 3

โดยสรุป การเล่น มีประโยชน์ดังต่อไปนี้

  • เพิ่ม EF (executive function)
  • เพิ่มความสามารถด้านภาษา
  • เพิ่มทักษะทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ ระบบจำนวน และ มิติสัมพันธ์
  • เพิ่มทักษะสังคม
  • เป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและสุขภาพ

ทั้งนี้โดยอ้างอิงเอกสาร 9 ฉบับที่ได้ทบทวนประโยชน์ของการเล่นอย่างเป็นระบบ

การขาดการเล่นทำให้เป็นโรคสมาธิสั้นมากขึ้น ประโยคนี้อ้างอิงจากเอกสาร 1 ฉบับคือ Christakis DA. Rethinking attentiondeficit/hyperactivity disorder. JAMA Pediatr. 2016;170(2):109–110. ใครแคลงใจตามไปอ่านเอง

ก่อนจะไปต่อ ขอหยุดอธิบายประโยชน์ทีละข้อก่อน เผื่อแผ่สำหรับท่านที่มิใช่แพทย์และอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านี้

เพิ่ม EF (executive function) อธิบายว่าเพราะการเล่นทุกชนิดต้องได้ฝึกความสามารถของสมองที่จะใช้ควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อเล่นให้บรรลุเป้าหมาย หรือเพื่อเอาชนะ ดังนั้นเล่นมาก EF มาก อันนี้ตรงไปตรงมา

เพิ่มความสามารถด้านภาษา อธิบายว่าเวลาเด็กเล่น จะมากน้อยก็จะพูด ต่อให้เล่นคนเดียวก็จะพูดคนเดียว เล่นหลายคนยิ่งต้องพูด การพูดเป็นกลไกการกำกับตัวเอง ทั้งกำกับความคิดและอารมณ์ ดังนั้นการพูดดีแน่นอน โดยเฉพาะหากพ่อแม่สละเวลาลงไปเล่นบทบาทสมมติกับลูก ไม่ใช้ของเล่นสำเร็จรูป ใช้มือเปล่าและวัสดุเหลือใช้ในบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีมากมายที่เราทิ้งขว้างลงขยะ เก็บเอามาเล่นกับลูก ภาษาจะก้าวไกล คำศัพท์ที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แปลไม่ค่อยจะออก จะหลุดออกมาจากปากเด็กจะรู้จักและใช้คำนั้นเป็น

เพิ่มทักษะทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ ระบบจำนวน และ มิติสัมพันธ์ (spatial relation) อธิบายว่าคณิตศาสตร์ที่แท้มิได้หมายถึงบวกลบคูณหาร พีชคณิต เรขาคณิต หรือตรีโกณมิติแบบที่การศึกษาบ้านเราเน้น

แต่คณิตศาสตร์ที่แท้คือเรื่องของการจัดสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งในจักรวาลซึ่งจะนำไปสู่ระบบเหตุผล คือตรรก(logic) รวมทั้งการใช้สัญลักษณ์ (symbolization) ด้วยระบบตัวเลข การเล่นทุกชนิดคือการจัดสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งอยู่แล้ว

เพิ่มทักษะสังคม และ เป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน สองข้อนี้ไม่เหมือนกัน

ทักษะสังคมหมายถึงความสามารถที่จะดำรงชีวิตในสังคม มิได้หมายถึงมีเพื่อนมาก มิได้หมายถึงเข้าสังคมเก่ง ไปงานเลี้ยงบ่อย มีความกว้างขวาง แต่หมายถึงอยู่ได้ ไม่กลัว ไม่ปิดตัวเอง มนุษย์เราสื่อสารกับมนุษย์ผู้อื่นด้วยภาษาพูดเป็นหลัก แต่เราสื่อสารด้วยภาษาท่าทางมากพอๆ กันด้วย พูดง่ายๆ ว่าเราสื่อสารกันด้วยการทายใจเสียมาก

หลายครั้งที่เราเองพูดไม่ตรงกับใจตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เช่น ไม่กล้าพูดตรงกับใจ หรือความสามารถด้านภาษาน้อยเกินไป จนกระทั่งไม่มีคลังคำให้ใช้ (สอดคล้องกับข้อที่แล้วคือการเล่นเพิ่มความสามารถด้านภาษา) ผลคือเราพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่หลายครั้งที่ผู้ฟังที่ดีก็รู้เรื่องเพราะเขาก็มิได้ฟังที่เราพูด แต่เขาอ่านสีหน้า ท่าที ท่าทาง และบริบทแวดล้อม ไปจนถึงวัฒนธรรมของสังคมนั้นว่าที่แท้แล้วเราอยากพูดอะไรกันแน่ นี่คือทักษะสังคม

เรื่องมีเพื่อนมาก สามารถรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อน อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการบุคลิกภาพของเด็กอายุ 7-12 ปีที่อิริคสันเรียกว่า Industry แปลว่าสร้างผลผลิต กล่าวคือ เด็กไปโรงเรียนเพื่อไปฝึกทักษะการทะเลาะ แก่งแย่ง ไม่ชอบหน้ากัน แล้วฝึกทักษะลงรอย ประนีประนอม อ่อนข้อ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ร่วมกันเล่นหรือทำงานด้วยกัน การเล่นและการศึกษาด้วยโจทย์ปัญหาเป็นฐานโดยการแบ่งกลุ่มทำงานจริงจึงส่งเสริมความสามารถและพัฒนาการด้านนี้ตรงๆ นั่นคือมีเพื่อนมาก

ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและสุขภาพ เป็นที่เข้าใจง่าย วิ่งเล่นร่างกายก็แข็งแรง กระโดดหัวใจก็ทำงานหนัก ปีนที่สูงเพิ่มพลังแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ที่สำคัญมากคือการทรงตัว การประสานมือสายตา ระบบภูมิคุ้มกันและต่อมไร้ท่อ เล่นกลางแดดได้วิตามินดี แม้แต่เล่นคนเดียวในร่มนิ้วมือทั้งสิบนิ้วก็ขยับทำงานพร้อมๆ กันส่งผลกระทบถึงพัฒนาการของเซลล์สมองและจุดเชื่อมต่อประสาทในสมองที่ควบคุมการทำงานของนิ้วมือ

เหล่านี้คือรายละเอียดของประโยชน์แห่งการเล่น

บทความนี้ขยายความ EF ต่อไปว่าประกอบด้วย 3 องค์ประกอบคือ คิดยืดหยุ่น ควบคุมตัวเอง และความจำใช้งาน โดยใช้คำภาษาอังกฤษว่า cognitive flexibility, inhibitory control และ working memory แล้วขยายความการควบคุมอารมณ์ให้เห็นเด่นชัดขึ้นด้วยเรื่องการควบคุมอารมณ์ก้าวร้าวซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานของสมองส่วนที่เรียกว่าอะมิกดาล่า (amygdala) อธิบายอย่างง่ายว่าการเล่นควบคุมวาล์วปิดเปิดการทำงานของอะมิกดาล่า

นอกจากนี้ EF ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่า “ตนเองเรียนรู้เรื่องที่อยากรู้อย่างไร” คือ How to Learn อธิบายว่าการเล่นช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีเรียนรู้ มิใช่เพื่อให้รู้เฉยๆ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสำคัญมากของการศึกษาสมัยใหม่ ที่ต้องการให้เด็กรู้วิธีที่จะเรียนรู้มากกว่าวิธีที่จะรู้หรือแค่รู้

การศึกษาบ้านเราทุกวันนี้แม้แต่วิธีที่จะรู้ยังไม่ต้องเลย อ้าปากก็พอครูจะป้อนความรู้ใส่ปากให้เอง

บทความเขียนต่อไปว่าเด็กที่ได้เล่นอิสระ จะพัฒนาภาษาได้ดีกว่าการเล่นประเภทที่ผู้ใหญ่กำหนดให้มากถึง 3 เท่า และการเล่นกับตุ๊กตาผ้าธรรมดาๆ พัฒนาภาษาได้มากกว่าการเล่นกับตุ๊กตาอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะอธิบายได้ว่าเป็นเพราะการเล่นตุ๊กตาผ้าธรรมดาๆ เด็กต้องเป็นฝ่ายโปรแอ็คทิฟจับมือจับขาตุ๊กตาให้เคลื่อนไหวแล้วพูดแทนตุ๊กตาทุกย่างก้าว

เมื่อเทียบกับการเล่นกับหุ่นยนตร์ผลลัพธ์ที่ได้จะต่างกัน เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับวัยด้วย กล่าวคือช่วงอายุ 2-7 ขวบยังคงเป็นระยะก่อน-ปฏิบัติการของเพียเจต์ (pre-operation) เด็กยังมี animism และ magic คืออะไรที่เคลื่อนไหวได้ล้วนมีชีวิตและเวทมนตร์มีอยู่จริง การเล่นตุ๊กตาผ้าไร้ชีวิตธรรมดาๆ จึงสำคัญเพราะเด็กจะเนรมิตรให้ตุ๊กตามีชีวิตได้ด้วยตัวเอง

Tags:

พัฒนาการประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่น

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ
21st Century skills
6 December 2018

กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ครูผู้สอนสนับสนุนให้นักเรียน ‘คิดเอง ทำเอง ผิดเอง แก้เอง’ จะส่งผลต่อพัฒนาการความคิดวิเคราะห์เป็นอย่างมาก
  • การถามคำถามเป็นหนทางพานักเรียนไปสู่นักคิดที่ดีได้ ทำให้พวกเขามั่นใจในตนเองและพิสูจน์ความคิดเห็นของตนอย่างมีเหตุผล กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในความผิดพลาดล้มเหลว
  • หากคุณครูมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้นักเรียนเป็นนักคิดที่ดีได้ ครูควรเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ที่ให้คำชี้แนะ และกระตุ้นวินัยการคิดให้เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เราอาจเคยหวังพึ่งพาคุณครูที่ยืนหน้าชั้นเพื่อบอกให้เด็กนักเรียนตั้งใจจดจำเนื้อหาที่จะออกสอบ โดยเฉพาะสูตรสำเร็จการจำเพื่อคว้าเกรดเฉลี่ยสูงๆ มาไว้ในใบรายงานผล แต่ปัจจุบัน เราต่างรู้ดีว่าแค่ความภูมิใจในใบเกรดเฉลี่ยไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้วในการทำงานจริง ชัยชนะจากการจำเนื้อหาเข้าไปตอบในสนามสอบไม่ช่วยอะไรเลย

‘การคิดแก้ปัญหาเป็น’ ต่างหาก

ทักษะที่นักเรียนต้องใช้แน่นอน คือการคิดแก้ปัญหาเป็น พวกเขาต้องสามารถคิดวิเคราะห์ ใช้วิจารณญาณเพื่อตัดสินใจ ไตร่ตรองแก้ปัญหา หรือกระทั่ง เรียนรู้ปรับตัวต่อสิ่งใหม่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่ประสบได้ต่างหาก

ปัจจุบัน การศึกษาที่มุ่งเน้นการท่องจำเพื่อไปสอบคงไม่เพียงพออีกต่อไป ความรู้ที่วัยเรียนต้องได้รับ ควรมาจากความเข้าใจผ่าน ‘การลงมือทำจริง’ ไม่ใช่รู้เพียงคอนเซปต์หลักการในตำราเรียนเท่านั้น

คุณครูต้องชี้จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ให้พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าในสาระสำคัญที่ว่า พวกเขาเรียนสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร วิชา/กิจกรรมนี้ช่วยให้พวกเขาจะพัฒนาทักษะด้านใดได้บ้าง และทั้งหมดนี้นำไปใช้อย่างไรได้บ้างในโลกแห่งการทำงานจริง

บทบาทของครูผู้สอนที่สนับสนุนให้นักเรียน ‘คิดเอง ทำเอง ผิดเอง แก้เอง’ มีอานุภาพยิ่งใหญ่ต่อพัฒนาการความคิดวิเคราะห์เป็นอย่างมาก แต่ที่ผ่านมา การศึกษาที่ไม่เน้นการคิดทำให้นักเรียนเชื่ออย่างมั่นใจว่า เอาเข้าจริงแล้ว คุณครูจะเป็นคนแก้โจทย์ต่างๆ ในห้องเรียน และปัญหาจะถูกเฉลยคลี่คลายตอนท้ายชั่วโมงอยู่ดี

แอนดริว มิลเลอร์ (Andrew Miller) โค้ชการสอนจากมหาวิทยาลัย Shanghai American School ในประเทศจีนผู้คร่ำหวอดในแวดวงการศึกษา ชี้ว่า ปฏิกิริยาที่ครูไม่ทำตัวเป็นกรรมการชี้ถูกผิด แต่เป็นผู้รับฟังและกระตุ้นผลักดันการคิดของนักเรียนเมื่อต้องแก้ปัญหา เป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาการทักษะความคิด ในแง่ของการช่วยให้พวกเขามั่นใจและกล้าตอบคำถามยากๆ โดยไม่กลัวว่าการพึ่งพาตนเองจะนำไปสู่ข้อผิดพลาด

ในขณะเดียวกัน ครูที่ยื่นมือเข้าไปช่วยคิดแก้ปัญหาให้ อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม คือพัฒนาการจะไม่เกิดขึ้นเลย เมื่อนักเรียนคิดว่าคุณครูคือผู้ถือกุญแจไขประตูทางออกให้อยู่เสมอ

ภาพใหม่ที่ควรเกิดขึ้นคือ ครูต้องกระตุ้นให้นักเรียนคิดวิเคราะห์หาเหตุผล กลไก ข้อโต้แย้ง หรือข้อพิสูจน์ในประเด็นนั้นๆ มาแก้ปัญหาเอง แล้วค่อยร่วมกันประเมินคำตอบนั้นว่าดีเพียงพอหรือไม่

วิธีที่คุณครูสามารถกระตุ้นกระบวนการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองให้เป็นคือ การถามให้คิด(Question) ใช้วลีกระตุ้นความคิด (Prompt) และบอกใบ้ให้คิด (Cue)

คำถามกระตุ้นความคิด (Question)

ในชั้นเรียนที่เอื้อต่อการคิด คำถามเป็นเครื่องมือสำคัญที่นอกจากสามารถวัดประเมินความเข้าใจของนักเรียนแล้ว ยังช่วยให้นักเรียนเชื่อมไอเดียระหว่างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นได้

ทิ้งคำถามประเภท “เข้าใจไหมคะ” ไปซะ คำถามที่กระตุ้นพัฒนาการคิดควรเป็นคำถามปลายเปิด และอย่าลืมให้เวลาพวกเขาในการใช้ความคิดสักเล็กน้อย แล้วค่อยเปิดโอกาสให้ตัดสินใจหรืออธิบายกระบวนการคิดและเหตุผล

ว่าด้วยคำถามช่วยเพิ่มหยักสมองให้นักเรียนนั้น คาร์ลี สวัทสกี (Carly Sawatzki) อาจารย์มหาวิทยาลัย Monash University ออสเตรเลีย แนะนำไว้ในบทความที่สอนวินัยการออมและบริหารจัดการเงินให้เด็กวัยรุ่นช่วง 10-12 ปี ว่า

การตั้งคำถามปลายเปิด นอกจากกระตุ้นให้นักเรียนคิดหาคำตอบ ขณะเดียวกันก็สะกิดเตือนให้พวกเขาไตร่ตรองวิถีคิดของตน (ในบริบทของคาร์ลีคือ การตัดสินใจใช้เงินและบริหารจัดการเงินของเด็กๆ) ได้อย่างมีเหตุผล

หลักการถามของคาร์ลีนี้ มีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภท คุณครูสามารถนำคำถามเหล่านี้ไปประยุกต์ในชั้นเรียนทุกวิชาได้

  • ถามถึงเหตุผล (Reasons): “ที่หนูตอบ/ตัดสินใจแบบนี้เพราะอะไร”
  • ถามถึงหลักการ (Evidence): “หนูอธิบายให้ครูและเพื่อนๆ ฟังได้ไหมว่าทำไมนี่จึงควรเป็นคำตอบ/วิธีที่ดีที่สุด”
  • ถามถึงขั้วตรงข้าม (Argument) : “หนูคิดว่าฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับหนู เขาคิดอย่างไรและเขามีเหตุผลอะไรบ้าง”
  • ถามถึงผลกระทบต่อผู้อื่น (Impact on others): “การตัดสินใจนี้หรือคำตอบนี้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไรบ้าง”
  • ถามถึงผลลัพธ์ (Consequences): “เมื่อตัดสินใจทำสิ่งนี้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป”
  • ถามถึงบทเรียนที่ได้รับ (Reflection): “อะไรคือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจนี้ และครั้งต่อไปจะทำในสิ่งที่แตกต่างหรือเหมือนเดิมอย่างไรบ้าง”

จากคำถามที่ช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ข้างต้น เมื่อลงมือทำแล้วผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคิด คำถามที่ดีจะช่วยนำทางให้พวกเขาเรียนรู้ว่า ยิ่งผิดเท่าไหร่ ยิ่งมากประสบการณ์

เพอร์รี่ ยีทแมน (Perry Yeatman) อดีตรองประธานบริษัทอาวุโสและประธานมูลนิธิ บริษัทคราฟท์ฟู้ด จำกัด เจ้าของหนังสือแนวเปิดประสบการณ์การท่องโลกที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมายอย่าง Get Ahead by Going Abroad แชร์แนวการคิดวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจครั้งสำคัญทางการงานและอาชีพของเธอว่า เธอเองก็มักใช้การตั้งคำถามเช่นกัน

“เมื่อต้องตัดสินใจ คำถามที่ฉันมักถามตัวเองเสมอๆคือ ‘ถ้าเลือกทำอย่างนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร?’ จริงอยู่ที่คำบอกเล่าจากคนอื่นอาจช่วยได้บ้าง แต่มันเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ที่ฉันได้ลองคิดและลองทำด้วยตนเอง นั่นต่างหากที่ทำให้ฉันเติบโตและน้อมรับผลแห่งการตัดสินใจของตนเองได้”

คำถามที่เพอร์รี่ใช้ถามตัวเองถึงผลลัพธ์ที่ดีสุดและเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเธอนี้ ทำให้เธอกล้าเรียนรู้ กล้าลองเสี่ยง คว้าโอกาสในการรับตำแหน่งงานที่สิงคโปร์แทนประเทศในยุโรปที่วาดฝันไว้ตอนแรก และตามมาด้วยการที่เธอกลายเป็นนักผจญภัยผู้ประสบความสำเร็จ ได้เดินทางไปทำงานมาแล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลกภายในระยะเวลาสิบปี ก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในที่สุด

วิธีตั้งคำถามที่กล่าวมาสอดคล้องกับหลักการคิดวิเคราะห์พื้นฐานที่ควรเกิดขึ้นในชั้นเรียนตามที่ ปีเตอร์ เอลเลอร์ตัน (Peter Ellerton) อาจารย์สอนการคิดวิเคราะห์เคยกล่าวไว้อยู่มากทีเดียว โดยปีเตอร์แนะให้คุณครูที่ตั้งใจสร้างนักเรียนให้เป็นนักคิดคนเก่ง มุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสให้นักเรียนถกเถียงในชั้นเรียน โดยฝึกให้มองประเด็นอย่างต่างขั้วกันเสียก่อน ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร การถกกันจะนำไปสู่การหาเหตุผลที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมาใช้สนับสนุน และพิจารณาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมในขณะนั้นด้วย เช่น อารมณ์ บริบทสังคม ค่านิยม ความเชื่อ อคติบางอย่าง

ท้ายที่สุด การหาข้อพิสูจน์ด้วยการทดลองปฏิบัติจริง พร้อมกับเก็บข้อมูล สืบค้นสถิติและงานวิจัยมาอ้างอิงก็เป็นเครื่องมือช่วยหาข้อสรุปหรือทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

ในขณะที่การถามคำถามเป็นหนทางพานักเรียนไปสู่นักคิดที่ดีได้ ฟีดแบคที่คุณครูแสดงออกก็ต้องส่งแรงสนับสนุนให้พวกเขามั่นใจในตนเองและพิสูจน์ความคิดเห็นของตนอย่างมีเหตุผล ไปจนถึงกล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในความผิดพลาดล้มเหลวด้วยเช่นกัน เพราะเส้นชัยปลายทางไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด แต่คือการพัฒนากระบวนคิดของเด็กให้เติบโตรอบด้านต่างหาก

“ฮะ?” “อะไรนะ?” “แล้วไงต่อ” วลีเด็ดที่ครูใช้ได้ตลอดกาล (Prompt)

เคยเจอสถานการณ์ที่โจทย์ยากๆ ทำนักเรียนท้อแท้จนไม่ตอบคำถามมันซะดื้อๆ ไหม? นี่เป็นไม้เด็ดไม้ตายที่คุณครูทุกคนเป็นต้องหลงกลยอมเผยคำตอบหรือบอกวิธีคิดเล็กๆ น้อยๆ ให้นักเรียนเจ้าเล่ห์ยอมเปิดปากออกมาก่อน

ตรงนี้สำคัญมาก คุณครูต้องประเมินให้แน่ใจก่อนว่า เนื้อหาอาจยากเกินไปจนนักเรียนไม่เข้าใจจริงๆ หรือเป็นลูกไม้ของจอมวางแผนให้เวลาในคาบเรียนนี้ผ่านพ้นไปอย่างไร้ประโยชน์ คุณครูต้องผ่านบททดสอบกำจัดจุดอ่อนบทสำคัญนี้ไปให้ได้ พึงระลึกไว้เสมอว่า การสอนให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ในชั้นเรียนจะไม่สำเร็จเลย ตราบใดที่ไม่สามารถลบล้างทัศนคติที่นักเรียนยังมองครูเป็นผู้เฉลยคำตอบออกไปได้ และนักเรียนยังคิดเองไม่เป็น

เมื่อบรรยากาศห้องเรียนกำลังเจอทางตัน คุณครูอาจให้นักเรียนทวนเนื้อหาความเข้าใจหัวข้อหรือทฤษฎีก่อนแล้วลองเปลี่ยนคำถามใหม่ หรือ ให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างสิ่งที่คิดว่าใกล้เคียงกับเนื้อหาเพื่อแตกประเด็นหรือเชื่อมโยงไอเดียไปสู่สิ่งใหม่ หรือเปรียบเทียบระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการบอกขั้นตอนการคิดหาคำตอบโต้งๆ หรือเฉลยคำตอบแล้วค่อยถามความคิดเห็นนักเรียนจะดีกว่า

เจมส์ มาร์คัส บัค (James Marcus Bach) คุณครูจอมขบถที่ดร็อปจากโรงเรียนด้วยวัยเพียง 13 ปีและศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจนกลายเป็นผู้จัดการอายุน้อยที่สุดในบริษัทแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ผู้เขียนหนังสือ Secrets of a Buccaneer-Scholar ที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเอง แนะว่า 3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาลคือ “Huh?” “Really?” “So?” หรือ “ฮะ?” “จริงเหรอ?” “และ “แล้วไงต่อ?” โดยความหมายที่แท้จริงของ 3 คำนี้ลึกซึ้งกว่าที่เห็นมากนัก กล่าวคือ

“ฮะ?” หมายถึง – “พวกหนูเข้าใจหัวข้อนี้รึเปล่า”
– “ลองใช้วิธีอื่นอธิบายอีกครั้งได้ไหมจ๊ะ”
-“งงตรงไหนไหม”

“จริงเหรอ?” หมายถึง -“ที่หนูอธิบายมานี่เป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้รึเปล่า”
– “มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนไหมจ๊ะ”

“แล้วไงต่อ?” หมายถึง -“ใจความสำคัญคืออะไร”
-“เรื่องนี้ส่งผลอย่างไร”
-“เรื่องนี้ส่งผลกับใครบ้าง”

บอกใบ้เพื่อให้คิดต่อ (Cue)

การบอกใบ้ในที่นี้ คือการแสดงออกท่าทาง คำพูด ไปจนถึงการใช้สื่อโสตทัศน์ต่างๆ เช่น ลูกโลก แผนที่ รูปภาพหรือกราฟ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดในประเด็นที่กำลังเรียนรู้อยู่ในเชิงลึกมากขึ้น หรือ อาจเป็นทำนองให้ลองนึกถึงสิ่งแปลกใหม่ แตกต่างจากที่พวกเขาเห็นว่าสัมพันธ์กับเนื้อหาดูบ้างก็เป็นได้ การตั้งคำถามและกระตุ้นการคิดด้วยวลีเชื่อมบทสนทนาดังที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นการบอกใบ้ทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ การบอกใบ้ด้วยท่าทาง ที่อาจตีความคลาดเคลื่อนไปในแง่ลบได้ จำเป็นต้องระมัดระวัง เช่น การเลิกคิ้วส่ายหน้าซึ่งอาจตีความได้ว่าคุณครูไม่เห็นด้วย การผายมือซ้ำๆ หรือชี้รูปภาพเพื่อกระตุ้นให้คิดนอกกรอบไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ก็ตามที อาจทำให้นักเรียนสับสนไม่มั่นใจก็เป็นได้ ดังนั้น อากัปกิริยาการบอกใบ้ที่จะเกื้อหนุนจุดประสงค์ให้นักเรียนกล้าคิด กล้าตอบได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ คุณครูต้องมีโครงสร้างการสอนที่ปูทฤษฎีและเนื้อหาความรู้มาหนักแน่นพอให้นักเรียนมีขอบเขตในการคิดก่อนเช่นกัน

หากคุณครูมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้นักเรียนเป็นนักคิดที่ดีได้ ก็ต้องให้ตนเองสวมบทบาทเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ที่ให้คำชี้แนะ และกระตุ้นวินัยการคิดให้เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร

การอธิบายหลักการของเนื้อหาหลักยังจำเป็นต้องมี แต่จุดสำคัญที่ต่างออกไปอยู่ที่ คำถามหรือข้อสงสัยในชั้นเรียนจะไม่ถูกเฉลยโดยครูผู้สอนอีกต่อไป

เมื่อคุณครูทำหน้าที่กระตุ้นส่งเสริมบรรยากาศในทางบวกให้พวกเขามีความมั่นใจและกล้าคิดกล้าทำ ผลลัพธ์ที่น่าชื่นใจคือการได้เห็นพวกเขาตระหนักว่าทุกประสบการณ์ระหว่างทางที่พยายามคิดหาวิธีการหรือคิดวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นจะลงเอยด้วยการเติบโตทางความคิดทีละเล็กละน้อยไปสู่คำตอบที่อาจกว้างใหญ่และมีคุณค่ากว่าแค่ถูกหรือผิด

อ้างอิง
Feedback for Thinking: Working for the Answer
Teaching Critical Thinking (with Dog Food)
The one question to ask when making a difficult decision
How to teach students to think critically

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน21st Century skills4Csการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด
How to get along with teenager
6 December 2018

UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

ต้นตอความเครียดที่ทำให้วัยรุ่นทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต มาจากเทรนด์โลกที่เรียกว่า Neoliberalism หรือเสรีนิยมใหม่ซึ่งให้อภิสิทธิ์สูงสุดกับคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งวัดได้จากการมีเงินเท่านั้น

Neoliberalism จุดกำเนิดของแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนี้อยู่ที่ชาติมหาอำนาจในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคใหม่ เมื่ออังกฤษโดยนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นำแนวคิดนี้มาเพื่อกระตุ้นให้เกิดกลไกตลาด และลดบทบาทของรัฐสวัสดิการที่เกิดปัญหารัฐแทรกแซงตลาดมากเกินไปจนเศรษฐกิจไม่เติบโตในยุค 70

ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวได้สร้างโครงสร้างทางสังคมที่ ‘เงิน’ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์

เพื่อให้ได้เงิน คนจึงต้องแข่งขัน และแข่งขันกันตั้งแต่เด็กๆ

ไม้บรรทัดที่สังคมใช้กับเด็กคือ โรงเรียน มหาวิทยาลัย (ต้องจบจากสถาบันรัฐ-เอกชนที่มีชื่อเสียง) สาขาอาชีพที่เรียน (จบไปแล้วมีค่าตอบแทนสูงและมั่นคง) อีกทั้งยังมีแรงคาดหวังจากพ่อแม่ผู้ปกครอง การเข้าสังคมกับเพื่อนฝูง การไหลบ่าของโซเชียลมีเดียที่ส่งเมสเสจย้ำๆ ว่า “ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ และดูดีกันทั้งนั้น”

เด็กๆ ถูกเปรียบเทียบ จัดประเภท จัดอันดับอยู่ตลอดเวลา หากถูกจัดให้อยู่ในอันดับล่างหรืออยู่ในเกณฑ์ ‘อ่อน’ จะหมายความทันทีว่าไม่มีค่าและเป็นจุดบกพร่องของสังคมนั้น

เมื่อถนนทุกสายมุ่งไปที่ความสมบูรณ์แบบเป็นเส้นชัย จึงไม่แปลกที่เด็กวัยรุ่นยุคนี้ต้องแบกรับความกดดันให้ตนเอง ‘ดีที่สุด’  ยิ่งไปกว่านั้น เด็กเหล่านั้นยังมีพื้นที่ในโซเชียลเป็นกระจกสะท้อนความสำเร็จจากมุมมองที่คนอื่นมีต่อตัวเอง กระหายที่จะต้องมีข้อพิสูจน์มารับรองว่าตนบรรลุเป้าหมายแล้ว เช่น สอบติดมหาวิทยาลัย ได้เกรดเฉลี่ยสูง ได้รางวัล หรือคำชื่นชม (หรือ คอมเมนต์ต่างๆ ยอดไลค์ ยอดแชร์ และยอดติดตาม หรือ followers)

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความกดดันภายในของวัยรุ่นที่ต้องเป็น ‘มนุษย์เป๊ะเว่อร์’ ตลอดเวลา อาจพ่วงมากับอาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคกลัวอ้วนจนมีพฤติกรรมกินผิดปกติ โรควิตกกังวลเกินไป ซึมเศร้า และมีความคิดฆ่าตัวตาย

รักในสิ่งที่ตัวเองเป็นคือทางออก

ในเมื่อเด็กและเยาวชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดันจากสังคมที่เป็นอยู่นี้ได้อยู่แล้ว พ่อแม่และโรงเรียนควรต้องช่วยกันติดตั้งภูมิคุ้มกันให้พวกเขาหาจุดยืนในการเป็นตัวของตัวเองในสังคมได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบ ปลูกฝังหนึ่งในสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ คือความไม่สมบูรณ์แบบ ความแตกต่าง ความหลากหลายในสังคม

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เคยให้สัมภาษณ์ในบทความ 14 คำถามความรักกับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เอาไว้ว่า ความหลากหลายคือความแข็งแกร่ง

“หลักข้อหนึ่งของการเลี้ยงลูกคือ ‘รักเขาแบบที่เขาเป็น’ ดังนั้นเขาจะเป็นเกย์ ทอม ดี้ ชาย หญิง transsexual หรือกะเทย เขาจะเป็นเด็กพิเศษ สมาธิสั้น ปัญญาบกพร่อง แอลดี ออทิสติก พิการ เรารักเขาแบบที่เขาเป็น วันใดที่ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่รักเขาแบบที่เขาเป็น เขาจะพุ่งไปข้างหน้าได้เสมอไม่ว่าจะเกิดมาเป็นตัวอะไรก็ตาม” นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ดังนั้น พื้นฐานแรกสุดคือพวกเขาต้องรู้จักยอมรับ และรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น

ถ้าให้พูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็กจะทำได้ อาจไม่ตายตัวนักในครอบครัวและบริบทที่แตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งคือ พ่อแม่และครูต้องหมั่นเข้าไปสำรวจโลกของพวกเขาบ้างว่า กำลังสนใจหรือหมกมุ่นกับอะไรเป็นพิเศษ เสพวงดนตรี ศิลปิน หนังสือ ภาพยนตร์หรือเกมประเภทไหน คร่ำเคร่งกับเป้าหมายมากเกินไปรึเปล่า และมีแนวโน้มที่จะตัดสินเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในทางลบหรือไม่

นอกจากต้องหูไวตาไวกับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเป็นสัญญาณของความเครียดภายใน พ่อแม่และครู ต้องนับตัวเองเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เรียนรู้ที่จะสวมหมวกเพื่อนที่ปรึกษา เป็นพวกเดียวกับเขาโดยไม่ตัดสิน เปรียบเทียบ หรือคาดหวังใดๆ

อ่านรายละเอียดได้มากกว่านี้ที่ PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน
Unique TeacherCreative learning
4 December 2018

ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • การแสดงละครสร้างสรรค์ หรือ Creative Drama เป็นรูปแบบการแสดงละครที่เรียบง่าย (แต่เอาจริงเอาจัง) นักแสดงแสดงผ่านความเข้าใจ ไม่มีบทละครหรือสคริปต์ที่ต้องท่องจำ และไม่เน้นแสดงเพื่อผู้ชมภายนอก ผลัดกันแสดงและผลัดกันชม
  • ผลลัพธ์สำคัญที่ได้จากละครสร้างสรรค์คือ ‘การค้นพบตัวเอง’ รู้ว่าตำแหน่งแห่งที่บนโลกใบนี้อยู่ตรงไหน ถ้าเจอจะรู้สึกว่ามั่นคง เมื่อมีความมั่นคงในจิตใจแล้ว การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตจะดีขึ้น
  • ความงดงามของละครสร้างสรรค์คือ เอาสิ่งที่เห็นในละครมาคุยต่อว่าเกิดอะไรขึ้น มักเป็นเรื่องที่ไม่มีคำตอบถูกที่สุด มีแค่การตัดสินใจ สุดท้ายมันแค่การเลือก ที่อยู่บนพื้นฐานของ ‘ความรู้’ และการตรวจสอบ ‘ข้อเท็จจริง’ ดังนั้นทุกคนต้องใช้วิจารณญานในการเลือก

‘ละครสร้างสรรค์ หรือ Creative Drama’ คำๆ นี้ดูไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ในอีกโลกหนึ่ง โลกของนักการละครและนักการศึกษา คำว่า ละครสร้างสรรค์ หรือ Creative Drama มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นมาก และกว่าจะเข้าใจความหมายทั้งหมด ต้องเรียนและศึกษาอย่างจริงจัง

The Potential จึงชวน ครูแพท หรือ ผศ.ดร.ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ อาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี โท และ เอก ด้านการละครจากสหรัฐอเมริกามาโดยตรง และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก ‘ละครสร้างสรรค์’ (ตลอดจน การทำละครเวทีแนวทดลอง และการวิจัยด้านละครเวที) ในเมืองไทย มาให้ความรู้และอธิบายถึงความสำคัญมากๆ ของวิชาละครสร้างสรรค์ ในฐานะเครื่องมือที่พัฒนามนุษย์ทั้งภายนอกและภายใน

และชวนตั้งคำถามว่า “ละครสร้างสรรค์มีอะไรดีที่ทุกคนควรจะได้รู้”

ผศ.ดร.ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์

Creative Drama คืออะไร

Creative Drama เป็นคำเฉพาะทาง และใช้ตัว C ใหญ่กับ D ใหญ่เสมอ และไม่ใช่ศัพท์ที่มีในพจนานุกรม เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในฝั่งอเมริกา ขณะที่ฝั่งอังกฤษนิยมใช้คำว่า Drama-In-Education (D.I.E)

แนวคิดการใช้ ‘การเล่นละคร’ มาเป็นส่วนหนึ่งในห้องเรียนอย่างจริงจังนั้น เริ่มต้นมาจากนักการศึกษาในช่วง 1920 ในสหรัฐที่มองว่า “การศึกษาที่สมบูรณ์นั้น ต้องช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญา อารมณ์ สังคม หรือ จิตใจ” ซึ่งแนวคิดนี้อยู่ขั้วตรงข้ามกับการศึกษากระแสหลักในยุคนั้นที่มุ่งไปที่การพัฒนาความรู้โดยมีครูเป็นศูนย์กลางอำนาจในห้องเรียน

ปี 1960 นักการศึกษาชื่อ ดร.เอ็ดการ์ เดล (Dr.Edgar Dale) ทำวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า “มนุษย์เรียนรู้จากเครื่องมือใดได้มากที่สุด” ก่อนจะพบคำตอบว่า อันดับ 1 คือ การลงมือปฏิบัติกับของจริง รองลงมาคือ ทดลองกับวัตถุจำลอง และอันดับ 3 คือ การแสดงละครหรือนาฏกรรม (dramatic action) โดยให้ผู้เรียนได้สวมบทบาทสมมุติ

นักการละคร นักการศึกษา นำผลการวิจัยนี้ไปพัฒนาต่อเนื่องจนทศวรรษ 1930 คำว่า Creative Drama จึงเกิดขึ้นครั้งแรกและกลายเป็นศาสตร์สำคัญเพื่อพัฒนา ‘ผู้เรียน’ จุดสำคัญของการทำ ‘ละครสร้างสรรค์’ จึงไม่ได้อยู่ที่การทำการแสดงบนเวที เพื่อให้ความบันเทิงกับผู้ชม แต่กลายเป็น ‘การแสดง’ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการเรียนรู้เฉพาะผู้มีส่วนร่วมในกลุ่มปิด

ละครเวที (Theatre Production) เป็นการทำการแสดงเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด แต่ละครสร้างสรรค์ หรือ Creative Drama เป็นรูปแบบการแสดงละครที่เรียบง่าย (แต่เอาจริงอาจัง) ใช้อุปกรณ์การแสดงที่หาได้ง่าย นักแสดงแสดงผ่านความเข้าใจสถานการณ์ของตัวละคร จึงไม่มีบทละครหรือสคริปต์ที่ต้องท่องจำ การแสดงละครสร้างสรรค์ยังแสดงเพื่อให้เพื่อนร่วมกิจกรรมด้วยกันชม ไม่เน้นแสดงเพื่อผู้ชมภายนอก พูดง่ายๆ คือผลัดกันแสดงและผลัดกันชม

อีกทั้งพื้นที่ที่ใช้แสดงก็ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากการถูกตัดสินหรือจับจ้อง อนุญาตให้ผิดพลาดได้ สามารถทดลองทำท่าทางและพูดบทตามที่เราคิดเอง (เรียกว่าการด้นสด หรือ verbal improvisation) จะไม่มีคนโกรธเราหรือล้อให้อาย มันคือพื้นที่ปลอดภัยที่เรา set zero ขึ้นมาใหม่และใช้เป็นกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นมิตร แต่ในส่วนของคุณภาพการแสดง (acting) นั้น ก็จะมีกระบวนการพัฒนาไปสู่ระดับที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงขั้นดีมากได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ดี การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอาจจะสะเปะสะปะได้ หรือไม่เกิดการเรียนรู้อะไรเลยหากปราศจากขั้นตอนที่นำไปสู่จุดคิดวิเคราะห์ที่ดี ดังนั้นการใช้ ‘กระบวนการ (process)’ หรือแผนการสอนที่ถูกวางแผนและออกแบบมาอย่างดีโดยผู้สอน หรือ ‘กระบวนกร’ หรือ ‘ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator)’ ในการเรียนรู้ จึงสำคัญมากสำหรับละครสร้างสรรค์

ทำไมครูแพทถึงสนใจเรื่องละครสร้างสรรค์

วิชาแรกที่ได้เรียนสมัยที่ไปเรียน ป.ตรีด้านการละครที่ Hunter College ที่ New York คือวิชา Creative Drama กับ อาจารย์แพทริเซีย สเติร์นเบิร์ก (Patricia Sternberg)  ทำให้เรารู้สึกทึ่งกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวเราเอง การเรียนวิชานี้ ทำให้เรากล้าที่จะแสดงออกทางความคิด ผ่านการพูด การฟัง การเขียน การแสดง ด้วยความสุขสนุกสนาน

ต่อมา สมัยเรียน ป.โท Master of Fine Arts (ด้านการกำกับการแสดงและละครเพื่อเยาวชน) ที่ Arizona State University ไปเรียนเพื่อกำกับละครเวที แต่ก็ได้เรียนเพิ่มวิชาเกี่ยวกับที่จะประยุกต์ใช้กับเด็กและเยาวชนเข้าไปอีก เช่น ละครสร้างสรรค์ขั้นสูง ละครเพื่อเด็กและเยาวชน วรรณกรรมสำหรับเด็ก และได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยวิจัย ให้กับอาจารย์ที่เป็นผู้บุกเบิกการวิจัยเรื่องนี้ที่อเมริกา คือ ดร.ลิน ไรท์ (Lin Wright) และ ดร.จอห์นนี ซัลดานา (Johnny Saldaña) ผู้ทำวิจัยที่เกี่ยวกับ การใช้ละครสร้างสรรค์ในการพัฒนาทักษะในการชมผลงานศิลปะการแสดงของเด็ก

ซึ่งเป็นการวิจัยกับเด็กกลุ่มหนึ่ง โดยติดตามพฤติกรรมทักษะในคิดวิเคราะห์ตั้งแต่ที่พวกเขาเรียนชั้นอนุบาลไปจนกระทั่ง ป.6 (ช่วง ค.ศ 1983-1990) ใช้เวลาวิจัยนานถึง 7 ปี ในแต่ละปี เด็กจะได้เรียนละครสร้างสรรค์ (Creative Drama) ในโรงเรียน และได้เริ่มชมละครเวทีสำหรับเด็กปีละ 1-2 ครั้ง มีการเก็บข้อมูลจากการถ่ายวิดีโอและสัมภาษณ์เด็กทุกปี นักวิจัยนำผลการคิดวิเคราะห์ของเด็กกลุ่มนี้ไปเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้เรียน เพื่อดูความแตกต่างทางของพัฒนาการทางความคิดและทักษะการวินิจฉัยงานศิลปะ

เด็กกลุ่มนี้ มี Critical Thinking ที่ต่างกัน

ผลจากการวิจัยชี้ชัดเจนว่า เด็กที่ผ่านการเรียนละครสร้างสรรค์มานั้น มีทักษะการคิดวิเคราะห์และการใช้วิจารณญาณในการชมละครเวทีและการวินิจฉัยเรื่องอื่นๆ ค่อนข้างมาก มีทักษะคิดอย่างมีวิจารณญาณหรือ critical thinking ในการชมงานละครเวทีอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากเด็กกลุ่มทั่วไปมาก

งานวิจัยชิ้นนี้ ได้ช่วยทำให้มลรัฐอริโซนา (Arizona) ให้การสนับสนุนการนำ Creative Drama ไปใช้ในหลักสูตรการละครมากขึ้นอย่างเป็นทางการ คือ ระดับอนุบาล ถึง ประถมปลาย เด็กได้เรียนวิชานี้ และตามด้วยหลักสูตรศิลปะการละครเต็มรูปแบบในระดับ มัธยมต้นถึงมัธยมปลาย เท่าที่ทราบ ในหลายๆ มลรัฐก็เป็นแบบนี้

การได้ไปมีส่วนร่วมกับการทำวิจัยและช่วยปรับปรุงหลักสูตรพื้นฐานของอเมริกา ทำให้เรารู้สึกว่า โอ้โห รัฐของเขาสนใจการพัฒนาเยาวชนมาก เขาไม่ได้สนใจการพัฒนาเพียงมิติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สนใจจะพัฒนาคนแบบรอบด้าน รวมไปจนถึงศิลปะทุกแขนง กีฬาและดนตรี และเขาก็ยังยอมรับว่า Creative Drama เป็นเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา

ตอนนั้น ตั้งใจไว้ว่า ถ้าเรากลับมาประเทศไทย เราก็อยากให้ศาสตร์นี้ได้ทำงานรับใช้การศึกษาในประเทศไทยบ้าง

พอมาสอนที่ธรรมศาสตร์ ได้รับโอกาสจาก อ.วันดี ลิมปิวัฒนา ตอนแรกให้ลองสอนเป็นวิชาเล็กๆ ซ่อนอีกทีอยู่ในวิชาอื่น ค่อยๆ สอนกันมาจนมันพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นประโยชน์มากพอที่จะเปิดเป็นอีก 1 วิชา นักศึกษารู้สึกว่าเขาเรียนแล้วได้อะไรเยอะ เขาก็มาเรียกร้องเองว่าเปิดเป็นวิชาเฉพาะเลยได้ไหม จนเปิดเป็นวิชาเต็ม แล้วเราก็เป็นคนไปเปิดสอนวิชานี้ที่ มศว.(มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร) ด้วย และได้เขียนหนังสือ ‘ละครสร้างสรรค์สำหรับเด็ก’ เพื่อให้ผู้สนใจมีโอกาสได้รู้จักศาสตร์แขนงนี้

ผศ.ดร.ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์

วิชาละครสร้างสรรค์มีลักษณะอย่างไร

เป้าหมายของวิชานี้ลึกซึ้งมาก เป็นวิชาที่ต้องการอำนวยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพัฒนาอย่างจริงจังในการใช้ทั้งสมอง ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ความรู้สึก ให้เป็นผู้ที่เรียนรู้โดยใช้ฐานของความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด จึงเป็นการเรียนที่ไม่ได้เน้นแค่จดจำความรู้ไปสอบ แต่มาฝึกฝนการใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว เพื่อนำไปสู่การเข้าใจโลก สังคม และชีวิต

เราพยายามจะพิสูจน์คุณค่าของศาสตร์แขนงนี้ ด้วยการทำวิจัยเรื่อง ‘การใช้ละครสร้างสรรค์ในการพัฒนาผู้เรียน’ ทำไว้ตั้งแต่ปี 2546 กับเด็กชั้นประถมปีที่ 4 จำนวน 29 คน โดยงานวิจัยนี้มีเป้าหมายที่ต้องการพิสูจน์ว่า “ละครสร้างสรรค์สามารถพัฒนาพหุปัญญาได้เป็นอย่างดี” (พหุปัญญาในที่นี้ หมายถึง พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และ ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)

เราออกแบบแผนการสอนโดยยึดกระบวนการและแนวทางของ Creative Drama และเราประเมินพัฒนาการของเด็กเป็นรายบุคคลโดยละเอียดในทุกคาบ เนื่องจากละครสร้างสรรค์เน้นกระบวนการ เราสังเกตเห็นว่า เด็กพัฒนามากขึ้นเมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้ (learning process) ที่มีขั้นตอนที่ดี และช่วง process นี้เองที่คุณครูหรือคนที่เข้ามาทำกระบวนการต้องทำกระบวนการให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยการนำกิจกรรม ชี้แนะ การโค้ช การวิจารณ์ การถาม การอภิปราย เป็นต้น

กระบวนการเป็นอย่างไร

เริ่มต้นตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อเล่นละคร แต่จู่ๆ เด็กจะเล่นละครเลยไม่ได้ เด็กไม่มีสมาธิ ไม่มีทักษะ ใช้พื้นที่ไม่เป็น ใช้ร่างกายก็ไม่เป็น บางคนขี้อาย ถูกเพื่อนแกล้ง เพื่อนไม่คบ เด็กมาจากสภาวะต่างๆ มากมาย อยู่ๆ จะบังคับให้เด็กเรียนรู้เลย เช่นให้ “เด็กๆ นั่งตัวตรง ฟังครู” มันไม่ได้แล้ว

การสร้างแรงจูงใจ (Motivation) ต้องมาก่อน

เราจะเริ่มต้นกระบวนการด้วย ‘Motivation’ สร้างแรงจูงใจให้เด็กก่อนเสมอ เพราะเราเชื่อว่าการเรียนต้องเกิดจากการอยากรู้ ไม่ใช่บังคับให้เด็กรู้

ดังนั้นกระบวนการแรกๆ จะเป็นการสร้างความสบายใจ ความไว้วางใจในพื้นที่ใหม่ จากที่เราไม่เคยเจอกัน เราไม่เคยรู้จักกัน เด็กบางคนถูกโยนมาตรงนี้ (งานวิจัย) เพราะว่าครูวิชาอื่นไม่เอา เรียนไม่เก่ง สอบตกทุกวิชา ดื้อ วิ่งเล่น แกล้งเพื่อนตลอดเวลา ส่งมาเข้าโครงการวิจัยของเรา อยู่กับเราวันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เป็นห้องเรียนที่มีเด็กหลากหลายมาก ตั้งแต่เด็กเรียนดี เด็กเก่งศิลปะ เด็กเก็บตัว เด็กกล้าแสดงออก ไปจนถึงเด็กที่ครูอาจจะมองว่า มีปัญหามาก เช่น สมาธิสั้น

สิ่งที่เราต้องทำคือให้เด็กเห็นความเป็นมนุษย์ภายในตัวของเด็กเองก่อน ในวันแรกเลย จะต้องสร้างความไว้วางใจ สร้างความรู้สึกปลอดภัยในการทำกิจกรรมร่วมกัน อาจเริ่มจากกิจกรรม ละลายพฤติกรรม เพื่อให้ทุกคนรวมทั้งผู้นำกิจกรรมได้คลายความกังวลต่างๆ และเป็นโอกาสที่ครูจะได้ ‘มองเห็น’ เด็กทุกคน

จากนั้นจึงจะเข้าสู่ทักษะการฝึกฝนละครสร้างสรรค์ เราจะบอกเด็กว่า ทุกๆ วันเราจะมาทำกิจกรรมที่เขาจะได้เรียนรู้นะ ดังนั้นเขาต้องทำกิจกรรมแบบเคารพในกติการ่วมกัน ไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องออกไปจากการร่วมกิจกรรม เขาก็จะรู้ว่าทุกครั้งที่มีการเล่นอะไรก็ตาม เสร็จแล้วจะมีการ ‘คุยกัน’ เสมอ เพื่อสำรวจดูว่า เขาได้ค้นพบอะไรบ้างจากการ ‘เล่น’ (หรือการทำกิจกรรม) การโค้ชเด็กระหว่างกิจกรรม หรือ การสนทนาหลังกิจกรรมเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการ ‘ประกอบสร้างการเรียนรู้’

(ต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างบทสนทนาง่ายๆ)

ครู: เมื่อสักครู่สนุกไหมคะ

เด็ก: สนุกๆๆ

ครู: เราสังเกตเห็นอะไร ในตัวเพื่อนๆ บ้างไหมคะ

เด็ก: เมื่อก่อนเด็กชายอ๊อดไม่เห็นพูดเลย เมื่อกี้พูดแล้วค่ะ

ครู: ใช่เมื่อกี้เขาพูดเสียงดังตอนที่แสดงละคร เป็นสิ่งที่ดีไหมคะ

เด็ก: ดีค่ะ

การที่มีเด็กวิจารณ์การแสดงแบบนี้ แสดงว่า “คนที่ไม่มีใครเคยมองเห็นตัวตนของเขา ได้มีคนเห็นแล้ว”

ทักษะที่จำเป็นของละครสร้างสรรค์ที่ผู้เรียนควรฝึกฝนมีอะไรบ้าง

ทักษะสำคัญที่จะค้อยๆฝึกไปทีละขั้นตอน ได้แก่ การใช้สมาธิ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสร้างสรรค์ การใช้ท่าใบ้ การพูดด้นสด ไปจนถึงการแสดงละครแบบด้นสด ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและการโค้ชจากผู้เชี่ยวชาญ

งานวิจัยชิ้นนี้เรานำเอานิทาน ‘ตำนานเมล็ดข้าว’ มาเป็นเรื่องที่จะใช้สำหรับการเรียนรู้

เรื่องย่อ ‘ตำนานเมล็ดข้าว’
หมู่บ้านหนึ่งแห้งแล้งมาก ชาวบ้านอดอยากมาก ฤาษีตาไฟสงสารจึงเสกให้เมล็ดข้าว ‘บิน’ ไปที่หมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้กิน จากนั้นชาวบ้านก็กินดีอยู่ดี มีความสุข และขี้เกียจทำงาน วันหนึ่งเมล็ดข้าวกำลัง ‘บิน’ ไปที่ยุ้งฉางในขณะที่ชาวบ้านกำลังพักผ่อนตอนกลางวัน ชาวบ้านรำคาญเลยเอาไม้ไล่ตีเมล็ดข้าว

พอเรื่องถึงหูฤาษีตาไฟ ฤาษีก็เลยไม่เสกข้าวให้บินไปช่วยชาวบ้านอีก ชาวบ้านเลยกลับมาอดอยากอีกครั้ง จนกระทั่งหญิงชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ นางโพสพ ทนเห็นความลำบากของชาวบ้านไม่ไหว จึงอาสาเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากฤาษีตาไฟที่ป่าลึก นางต้องเดินทางไกลมาก ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้นางโพสพเสียชีวิตระหว่างทาง สัตว์ในป่าจึงพานางไปหาฤาษี ฤาษีเห็นความตั้งใจของนางโพสพ จึงเสกนางให้กลายเป็นเมล็ดข้าวเปลือก แล้วให้ควายป่าสองตัวนำไปให้ชาวบ้าน จากนั้นชาวบ้านก็ขยันขันแข็ง ทำมาหากิน และระลึกถึงบุญคุณของแม่โพสพตลอดมา

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการนำมาทำเป็นละครสร้างสรรค์ คือสุนทรียะในการใช้จินตนาการ ทำให้เกิดความเคารพ ความซาบซึ้ง เกิดความรู้สึกว่าเมล็ดข้าวเป็นสิ่งมีชีวิต เวลาที่เด็กโตขึ้น เขาอาจไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเด็กรู้สึกว่าแม่โพสพยิ่งใหญ่ ผู้หญิงคนเดียวทำไมยอมทำขนาดนี้ แล้วเด็กๆ ก็มานั่งคุยกันว่าอะไรทำให้แม่โพสพตัดสินใจเดินทางไปคนเดียว โดยขั้นตอนการพูดคุยนี้สำคัญมากๆ ครูต้องมีทักษะการ ‘ถาม’ ที่จะ ‘ชวน’ ให้เด็กใช้ ‘การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking)’

เมื่อเด็กเล่นละคร เด็กจะเล่นเป็นทุกตัวในเรื่อง ตั้งแต่เป็นชาวบ้าน ประกอบอาชีพต่างๆ ฤาษี เมล็ดข้าวที่บินได้ แม่โพสพ ไปจนถึงต้นไม้และสัตว์ป่า เราจะแบ่งกลุ่มกันเล่นคนละฉาก เพื่อให้คนที่เหลือได้ผลัดกันเป็นคนดูเด็กต้องใช้ความเข้าใจในตัวละคร สถานการณ์ ความยุ่งยากซับซ้อนในการแสดงผ่านจินตนาการ มากมาย เพื่อแสดงฉากต่างๆ ในละคร

เด็กๆ เล่นละครกันจริงจังแค่ไหน

ไม่น่าเชื่อว่า เด็กเล่นละครได้อย่างจริงจัง เขาซีเรียสกับการแสดงมาก แต่นั่นเกิดจากกระบวนการที่เราปูไว้ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เรื่องสมาธิ เรื่องการใช้ 5 senses คือการฝึกทักษะด้านต่างๆ จนกระทั่งก่อร่างขึ้นมาเป็นความมั่นใจในการแสดงออก มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เก่งเลย อยู่ดีๆ ก็เล่นละครได้เลย มันมีกระบวนการเยอะแยะมากมายที่เป็นพื้นฐานให้เขามีสมาธิ มีความมั่นใจ มั่นใจที่ได้ใช้ร่างกาย ภาษาพูดและด้นสด และไม่มีการท่องจำ

ละครเล่นเกือบ 1 ชั่วโมง เขาแสดงพูดด้นสดออกมาเยอะมาก แต่เป็นการด้นสดออกมาจากใจ ออกมาจากความเข้าใจเนื้อหาและสถานการณ์ ซึ่งน่าสนใจที่เขาสามารถทำได้ในที่สุด แน่นอนว่าตอนแรกๆ ยังทำไม่ได้ คุณครูยังต้องช่วย เช่น ช่วยเป็นคนเล่าเรื่อง พอเขามั่นใจแล้วว่าเรื่องมันเดินอย่างนี้ เขาก็จะเล่นเองได้

เล่นแบบนี้หลายๆ รอบ พอเล่นได้ดี มันก็มีความสุข การแสดงก็ได้รับคำชื่นชมจากเพื่อน เพราะมันผลัดกันดู ผลัดกันเล่น ไปตลอดจนจบเรื่อง

อภิปรายหลังเล่นละคร สำคัญแค่ไหน?

พอจบเรื่องเราก็จะมีการสนทนา อภิปรายกับเด็กๆ ทุกครั้ง การอภิปรายในที่นี้ไม่ใช่พูดคุยแค่ว่าสนุกไหมรู้สึกอย่างไรเท่านั้น แต่จะเป็นการถามที่กระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กๆ เพราะเราเชื่อว่าละครสรา้งสรรค์ให้การเรียนรู้สามแบบใหญ่ๆ ด้วยกัน

1. เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง คือการค้นพบเกี่ยวกับตัวเอง เด็กอาจจะไม่ได้สนใจในมิติของการค้นพบตัวเองถ้าคุณไม่มีคำถามช่วยเขา ยกตัวอย่าง เอ (นามสมมุติ) เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ชอบซุกซน แกล้งเพื่อน วิ่งไปวิ่งมา ไม่มีสมาธิ แต่ต้องมาเล่นเป็นช้างที่มาพบศพของแม่โพสพ คิดดูว่าเขาต้องมีสมาธิขนาดไหน ที่จะเข้าไปอยู่ในบทบาทนี้อย่างสมจริง น่าเชื่อต่อตัวละครในนิทาน

สมมุติว่าวันนี้เขาเล่นได้นิดหน่อย เวลาประเมินหลังละคร อาจจะมีบทสนทนาตอนหนึ่งว่า

ครู: มีใครอยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับการแสดงของน้องเอไหม

เด็ก: เมื่อกี้น้องเอแสดงดีมากเลยค่ะ เขาทำท่าทางแบบช้างที่เศร้ามาก

ครู: ใช่ค่ะ เป็นการสังเกตที่ดีมาก น้องเอเล่นเป็นช้างที่รู้สึกเสียใจ ที่แม่โพสพต้องมาเสียชีวิตกลางป่า น้องเอทำท่าทางอย่างไรคะ

เด็ก: น้องเอ เขานั่งลงแบบช้าง ข้างๆ แม่โพสพ

เด็ก: แล้วเขาทำหน้าตาเศร้า เขาไม่หัวเราะเลยค่ะ

ครู: ใช่ค่ะ น้องเอใช้ ‘สมาธิ’ ได้ดี ทำให้การแสดง ‘น่าเชื่อ’ มากๆ ปรบมือให้น้องเอหน่อย

น้องเอจากที่เคยเป็นเด็กวิ่งไปวิ่งมามาแกล้งเพื่อนโดยตลอด ได้มาถูกเพื่อนยอมรับว่าเขาก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้ กระบวนการพูดคุยหลังการแสดง เป็นขั้นตอนสำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้

การค้นพบตัวเอง จะช่วยให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า self-esteem ก็จะตามมา เพราะ self-esteem เป็นเรื่องของยอมรับคุณค่าของตัวเอง

ครู: แล้วน้องเอค้นพบอะไรเกี่ยวกับตัวเองไหม

น้องเอ: ผมแสดงได้ครับ (ยิ้ม)

นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ในเรื่องการค้นพบเกี่ยวกับตัวเอง

2. ค้นพบเกี่ยวกับคนอื่น

ครู: แล้วตอนที่น้องเอสลับมาเป็นคนดูละครที่เพื่อนแสดงล่ะ น้องเอชอบอะไรมากที่สุดในการแสดงวันนี้

น้องเอ: ผมชอบโหน่งตอนที่เขาเล่นเป็นงูครับ เป็นงูที่น่ากลัวมาก ผมเห็นเขาเลื้อยเยอะเลย แล้วผมเห็นเหงื่อเขาเต็มเลยครับ (คำกล่าวนี้ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับผู้อื่น)

ครู: เป็นการสังเกตที่ดีค่ะ

น้องเอ: อยากให้งูแลบลิ้นด้วยครับ

ครู: ทำไมต้องแลบลิ้น

น้องเอ: เพราะงูมีลิ้นครับ

ครู: โหน่งลองทำดูได้ไหมคะ

โหน่งทำท่างูแลบลิ้น เพื่อนหัวเราะ เพื่อนชอบ เพื่อนปรบมือ “นี่คือการค้นพบเกี่ยวกับคนอื่น” เพื่อนๆ ของโหน่งพบว่า โหน่งมีความสามารถ

3. การเรียนรู้เนื้อหาของเรื่องนั้น (ซึ่งเกี่ยวข้องกับ พุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือ ทักษะพิสัย)

การ ‘ถาม’ และการ ‘ชี้แนะ’ ของครูกระบวนกรเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง

ครู: ทำไมชาวบ้านถึงถูกลงโทษ ชาวบ้านทำผิดอะไรถึงต้องถูกลงโทษคะ

เด็ก: ชาวบ้านรำคาญ จึงไปไล่ตีเมล็ดข้าวที่บินเสียงดัง

ครู: ไปตีเมล็ดข้าวนี่เป็นเรื่องที่ดีไหมคะ

เด็ก: ไม่ดีครับ

ครู: เพราะอะไร

เด็ก: เพราะทำให้เมล็ดข้าวตกใจครับ

ครู: การไปทุบตีคนอื่น แบบนี้เรียกว่าอะไรคะ

เด็กๆ: รังแก/กลั่นแกล้ง/อันธพาล ฯลฯ

ครู: ที่เด็กๆ พูดมา เราเรียกว่า ‘การใช้ความรุนแรง’ ค่ะ

ฯลฯ

บทสนทนาสามารถดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เพื่อชวนให้เด็กๆ มองเห็นผลของการกระทำของตัวละคร ดังนั้น การพูดคุยหลังละคร เราอาจจะเลือกที่จะนำพาเด็กไปสู่แก่นความคิดหรือสารหลักของเรื่องด้วย เมื่อเด็กเข้าใจสาระที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง เด็กได้รู้ว่าการทำร้ายผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะมีผลตามมา

ภาพจากรายงานผลการวิจัยเรื่อง ‘การใช้ละครสร้างสรรค์ในการพัฒนาผู้เรียน’

ผลจากการวิจัยชี้ว่า พัฒนาการด้านพุทธิพิสัย (ความรู้ สติปัญญา ความคิด) จิตพิสัย (ความมีน้ำใจ ความเข้าใจผู้อื่น ความร่วมมือ) ทักษะพิสัย (ทักษะการพูด อ่าน เขียน สื่อสาร แสดงออก) คะแนนขึ้นหมดทุกคน คือ ผลเป็นบวก 100 เปอร์เซ็นต์ บางคนขึ้นเยอะอย่างมีนัยสำคัญด้วย

แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าผลของกราฟคือว่า สิ่งที่เด็กเขียนความรู้สึกของเขา เช่น เด็กเขียนว่า ได้เข้าใจชีวิต เข้าใจเนื้อหาสาระจากละคร เข้าใจโลกและเข้าใจสัตว์ ภูมิใจและประทับใจที่ได้แสดงละคร รู้สึกได้เรียนอย่างสนุกมาก รู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ รู้สึกว่าเรียนคือเรียน เล่นคือเล่น เป็นต้น

สิ่งที่ได้จากละครสร้างสรรค์ เด็กๆ สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง

เมื่อคุณรู้สึกว่า คุณรู้ตำแหน่งแห่งที่ของคุณบนโลกใบนี้แล้ว ความรู้สึกว่า ‘เรามีตัวตน’ จะมา แต่ไม่ได้มาแบบหลงตัวเอง แต่มันมาแบบ ‘know your position in the world’ คือรู้ว่าตำแหน่งแห่งที่บนโลกใบนี้อยู่ตรงไหน แล้วถ้าคุณเจอมัน คุณจะรู้สึกว่ามั่นคง นี่คือเรื่องที่เด็กหรือวัยรุ่นมักจะมีปัญหา บางครั้ง เขามองไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงในตัวเอง เขาจึงขาดความมั่นคงในจิตใจ เมื่อมีความมั่นคงในจิตใจแล้ว การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตน่าจะดีขึ้น

Creative Drama สำหรับผู้ใหญ่เป็นอย่างไร

เราได้พัฒนาศาสตร์นี้ต่อไปในระดับที่เรียกว่า ขั้นสูง เป็น Advance Creative Drama สำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ด้วย เพื่อนำไปสู่การแสดงละครด้นสดที่เกี่ยวกับประเด็นที่ซับซ้อน หรือตัดสินใจได้ยาก เช่น หัวข้อเกี่ยวกับ โทษประหารชีวิต การเกณฑ์ทหาร สิทธิทางแต่งงานของคนข้ามเพศ ไปจนถึง เรื่องการเมือง หรือ กฎหมายต่างๆ

หัวข้อที่ตอบได้ยากเหล่านี้ใช้ละครสร้างสรรค์มาช่วยสร้างความเข้าใจได้เกือบทั้งหมด ถ้าเราสามารถหาข้อมูลแวดล้อมมาประกอบการวางโครงเรื่อง หรือที่เรียกว่า ‘ซีนนารีโอ (Scenario)’ (หมายถึงการกำหนดตัวละครและสถานการณ์จากการศึกษาค้นคว้ามาอย่างดี) เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หัวใจ แก่นแท้ของละครสร้างสรรค์ ขึ้นอยู่กับการที่ตัวคุณเองได้เข้าไปทดลองสวมบทบาทอะไรบางอย่างในปัญหาที่แก้ไม่ตกหรือ dilemma นั้น เช่น มีนักศึกษารุ่นหนึ่งทำเรื่องสิทธิในการตายของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ขอฆ่าตัวตายโดยให้คุณหมอฉีดยาให้ ซึ่งประเทศไทยทำไม่ได้

นักศึกษาทำเรื่องสิทธิ์การตาย เขาเขียน scenario ดีมาก เขาเขียนถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นมะเร็ง แล้วไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาต้องการเตรียมความพร้อมการตายของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ลูกไม่ให้ตาย ญาติไม่ยอมให้เขาตาย แล้วมันเป็นฉากที่เขาต้องเขียน scenario ที่เกิดขึ้นว่าแม่ที่ขออนุญาตลูก แม่ขอตายนะ แล้วแม่ก็ต้องให้เหตุผล

ทีนี้ลูกจะตอบอย่างไร เราก็เขียน scenario ให้คาแรคเตอร์ให้สามารถตัดสินใจออกมาได้หลายแบบมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทายผู้นำกิจกรรมมากๆ ตรงนี้ต้องอาศัยข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าอย่างหนักในหัวข้อนี้ การเขียนโครง scenario นั้นไม่มีตอนจบที่ชัดเจน เป็นการเขียนข้อกำหนดแบบปลายเปิด ตอนจบจะจบได้หลายแบบมาก เช่นสำหรับตัวอย่างที่ยกมานี้ อาจจะไม่มีตอนจบตายตัว บางกลุ่มอาจจะชี้ไปในทางว่าแม่ควรให้ธรรมชาติตัดสิน ธรรมชาติมีกฎของเขาเอง บางกลุ่มอาจจะจบแบบให้แม่เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ดังนั้นแม่ย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินชีวิตของแม่เอง คำตอบอื่นๆ คือคำตอบทางกฎหมายกับการแพทย์ เป็นต้น

ละคร Scenario จะเล่นหลายรอบ รอบที่หนึ่งกลุ่มนี้เล่น รอบที่สองอีกกลุ่มเล่น รอบที่สามอีกกลุ่มเล่น ต่างคนต่างไปเตรียมตัว คุณไม่มีทางรู้ว่ามันจะจบอย่างไร มันอาจจะจบสามแบบ

ความงดงามคือ คุณต้องเอาสิ่งนี้มาคุยต่อว่าที่เห็นในละครเมื่อสักครู่มันเกิดอะไรขึ้น ส่วนมากมักเป็นเรื่องที่ไม่มีคำตอบสุดท้าย แต่มีแค่การตัดสินใจ สุดท้ายมันแค่การเลือก แต่มันจะเป็นการเลือกที่อยู่บนพื้นฐานของ ‘ความรู้’ และการตรวจสอบ ‘ข้อเท็จจริง’ หลายๆ ด้าน ดังนั้นทุกคนต้องใช้วิจารณญาณในการเลือก

ส่วนใหญ่เมื่อสิ้นสุดการทำกิจกรรมละครสร้างสรรค์ ผู้ร่วมกิจกรรมมักจะรู้สึกเหมือนได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน บางคนบอกว่าไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้อย่างมีมิติมาก่อน เคยแต่ประณามเรื่องนี้อย่างเดียว แต่พอมาเล่นละครสร้างสรรค์ scenario เดียวเท่านั้น เปลี่ยนความคิดเลย มองคนลึกซึ้งขึ้น หลายมิติมากขึ้น

ดังนั้น ประโยชน์ของศาสตร์ด้านนี้จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย บางครั้ง ก็นำไปใช้ในวงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วย

ห้องเรียนทั่วๆ ไปสามารถทำละครสร้างสรรค์ ได้ไหม

ได้หมดเลย (แต่อาจจะเหมาะกับวิชาทางสังคมศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์มากกว่า) กระบวนกรควรจะต้องผ่านการอบรมฝึกฝน ผ่าน training มาบ้าง มันต้องฝึกกับคนที่เขาทำเป็น ไม่ได้ยากเกินไป workshop สัก 3 วันก็ใช้เทคนิคเบื้องต้นได้แล้ว แต่ถ้าจะให้มีทักษะถึงระดับสูงที่เราคุยกัน ต้องใช้เวลามากกว่านั้น การเป็นกระบวนกรที่ดีต้องใช้ประสบการณ์

ที่ผ่านมาครูตามโรงเรียนทั่วๆ ไปมาเทรนบ้างไหม

มีค่ะ หลังจากที่ทำวิจัยเสร็จทาง สกศ. (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) ให้เราเปิดอบรบครูทั่วประเทศ เป็นครูแกนนำทุกจังหวัดมาเทรน มาทีละเป็นร้อยคน แต่น่าเสียดายที่หมดยุคอาจารย์รุ่ง แก้วแดง เป็นเลขาธิการสำนักงานการศึกษาแห่งชาติ การเทรนลักษณะแบบนี้ก็หายไปพร้อมกับการเปลี่ยนวาระของผู้บริหาร แต่ก็มีองค์กรเอกชนเช่น กลุ่มมายา กลุ่มมะขามป้อม ที่ได้ใช้แนวทางแบบนี้เหมือนกันในการฝึกอบรมครูและนักการศึกษาอย่างกว้างขวาง

หมายเหตุ:
สามารถดาวน์โหลดงานวิจัย ‘การใช้ละครสร้างสรรค์ในการพัฒนาผู้เรียน’ ได้ที่นี่
หนังสือประกอบการเรียนการสอนวิชาละครสร้างสรรค์ ‘ละครสร้างสรรค์สำหรับเด็ก’ สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์และจากสำนักพิมพ์สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)

Tags:

ระบบการศึกษา4Csศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)transformative learningปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Space
    มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า
Voice of New Gen
4 December 2018

NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Nextzy บริษัทรับพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่พนักงานไม่เคยเกลียดวันจันทร์ จะมีแต่รู้สึกว่า อ้าว…วันศุกร์แล้วเหรอ
  • สำหรับที่นี่ เทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของการทำงานทั้งภายนอกและภายใน เครื่องมือไหนที่ช่วยให้การทำงานและการสื่อสารมีประสิทธิภาพจริง – ต้องใช้
  • แต่ถึงอย่างไร การเข้าออฟฟิศเพื่อเจอหน้ากันและสื่อสารกัน สำคัญยิ่งกว่า งานถึงจะเดินหน้าด้วยคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น
ภาพ: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย

เมื่อเดินเข้าไป ห้องแรกของออฟฟิศแห่งนี้ คือ ‘ห้องดนตรี’ มีครบหมดทั้งกีตาร์ เบส กลองชุด อูคูเลเล่ และไมโครโฟนพร้อมขาตั้ง ถัดจากนั้นคือพื้นที่โล่งสำหรับทำกิจกรรม ถัดจากนั้นเข้าไปอีกถึงจะเป็น ‘โซนทำงาน’ ที่มีโต๊ะพูลตั้งอยู่ตระหง่าน

ที่นี่คือ ที่ทำการของ Nextzy Technologies Co., Ltd มี 3 ไพโอเนียร์ คือ เอก-สมเกียรติ กิจวงศ์วัฒนะ Android Developer, ออม-วรกานต์ พูลสุข System Analyst และ ออน-สุมณฑา เจริญเผ่า UX/UI Designer มาขยายความถึงงานที่ทำ

แล้วเรามาคุยกับ Nextzy ทำไม?  คำเฉลยรออยู่แล้วตั้งแต่บรรทัดถัดไป

Nextzy คืออะไร

Nextzy เป็นบริษัทรับพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ให้ลูกค้า อย่างเช่น AIS TRUE ทิพยประกันภัย ฯลฯ

“โดยรายละเอียด เราพัฒนาแอพพลิเคชั่น เช่นหน้าเว็บ หรือ mobile application จากความต้องการของลูกค้า อยากได้แอพฯ แบบไหน ทำงานอย่างไร เขาอยากได้ทีมพัฒนา เขาเลยมาจ้างเรา” เอกอธิบาย

เช่น ลูกค้าที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ต้องการแอพพลิเคชั่นที่ให้ลูกค้าสามารถล็อคอินง่ายๆ ผ่านเบอร์โทรศัทพ์ เพื่อเช็คยอดเงิน เช็คยอดอินเทอร์เน็ต หรือซื้อแพ็คเกจ ฯลฯ Nextzy จะนำความต้องการเหล่านี้มาพัฒนาต่อ

แต่กว่าจะมาเป็นแอพพลิเคชั่น ต้องผ่านการทำงานหลายขั้นตอน ออมบอกว่า “โดยหลักๆ แล้ว Nextzy มีงานอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ

System analyst ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานและรับ requirement จากลูกค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์เพื่อแจกแจงงานให้กับคนในทีม ทำเอกสารอธิบายรายละเอียดของงานให้กับคนในทีม เพื่อใช้เป็นเอกสารกลางให้คนในทีมเข้าใจตรงกันและสามารถทำงานไปในทางเดียวกัน และคอยประสานงานระหว่างคนในทีมด้วยกันหรือคนในทีมกับลูกค้า และรวบรวมข้อมูลจากระบบที่ทุกคนในทีมพัฒนาขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น developer, designer หรือ tester ก็ตาม เพื่อจัดทำเป็นเอกสารที่เรียกว่า system requirement specification (SRS) เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า

ออม-วรกานต์ พูลสุข System Analyst

Programmer/Developer ผู้ที่สร้างซอฟต์แวร์ขึ้นมาด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเขียนโค้ดและใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าตามที่ system analyst มอบหมายให้ จะประกอบไปด้วยตำแหน่งย่อยดังนี้

  • Front-end Web Developer พัฒนาในส่วนของหน้า website ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้งาน
  • Back-end Web Developer พัฒนาระบบทำงานของ server และ database รวมไปถึงการออกแบบระบบบน server ให้มีความปลอดภัย เสถียร และสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากๆ ได้
  • iOS Developer พัฒนา application ใช้สำหรับ iOS
  • Android Developer พัฒนา application ใช้สำหรับ Android
  • UX/UI Designer ออกแบบหน้าตาของ software ได้ตรงตามโจทย์

Tester ทำหน้าที่ทดสอบ software ให้ตรงกับ requirement และครอบคลุมมากขึ้น และทำการเตรียมข้อมูลจำลอง (mock) เพื่อจำลองการทดสอบในกรณีต่างๆ เมื่อ software เสร็จสมบูรณ์ก็จะทำการทดสอบใหม่ทั้งระบบอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าทำงานได้ถูกต้องก่อนที่จะนำ software ตัวนั้นไปใช้งานจริง

แบ่งงานชัดเจน ทุกคนต้องช่วยกัน

แม้หน้าที่จะถูกแบ่งอย่างชัดเจน แต่เมื่อทำงานจริง ทุกคนต่างมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ไม่ได้ทำงานแบบสายพาน 1-2-3-4

เอก ในฐานะที่เเป็น Android developer เล่าให้ฟังว่า “การทำงานแบบสายพานจะมีความเสี่ยง เช่น ออมบอกผมว่า ทำอันนี้ให้หน่อย แล้วถ้าผมหายไปนั่งโค้ดสองสัปดาห์ ก่อนจะโผล่มาบอกว่า มันมีปัญหา หรือทำไม่ทัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่โอเคสำหรับที่นี่ ส่วนมากเราจะทำงานด้วยกันมากกว่า เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่”

หรือในกรณีที่ไปรับงานจากลูกค้า ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ของ system analyst เพียงฝ่ายเดียว แต่เวลาทำงานจริง ฝ่ายอื่นก็ต้องไปด้วย เพื่อความละเอียดในการรับงานลูกค้า เอกบอกว่า “ตอนที่ไปคุยกับลูกค้า ไม่ได้ส่งน้องออมที่เป็น system analyst ไปคนเดียว แต่จะส่ง dev. (คำย่อของ Developer) หรือบางทีก็เอา tester ไปด้วย เพราะแต่ละคนก็จะมองภาพไม่เหมือนกัน

“อย่างออมไปเก็บ requirement จากลูกค้า ออมจะถามบางอย่างที่ลูกค้าไม่ได้พูด เพื่อให้ละเอียดขึ้น ทำงานได้ง่ายขึ้น แต่บางอย่างที่ออมไม่รู้ แต่คนที่ทำอย่างอื่นอาจจะรู้ ถ้าเขาไปด้วย เขาจะได้ถาม เพื่อให้ requirement มันละเอียดขึ้น เช่นถ้าลูกค้าบอกว่าอยากให้คลิป video online ที่เขามีอยู่แล้วมาต่อกับระบบ ออมก็จะ ‘อ๋อ ลูกค้าจะเอาวิดีโอที่แสดงผลได้’ ก็จบ แต่ถ้า dev. ไปด้วย dev. ก็จะถามต่อว่า ‘ใช้ระบบวิดีโอของเจ้าไหนอยู่ครับ’ นี่เป็นคำถามทางเทคนิค เพราะบางทีเขาแค่ลืมบอก ส่วนเราก็ไม่ได้ถาม การที่เราเอาคนไปช่วยกันคิด มัน brainstorm ได้ง่ายขึ้น requirement ก็จะละเอียดขึ้น”

ฝั่ง tester ที่ตามบทบาทเหมือนจะมีหน้าที่แค่ตอนจบงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะอยู่ในทุกขั้นตอนด้วยซ้ำ

“หลังจากที่รับ requirement มา เราก็มาประชุมรวมเพื่อให้ developer คนที่ต้องเขียนโค้ดมาช่วยดูว่า ถ้าเขาต้องเขียนโค้ด ต้องออกมาลักษณะอย่างไร ในระหว่างนั้น tester ต้องนึกแล้วว่าถ้า developer ทำงานเสร็จ เขาต้อง test อะไรบ้าง เขาต้องแพลนว่าเขาจะกดอะไรบ้าง แล้วถ้ามีปัญหาเขาก็ต้องวิเคราะห์ไปในตัวด้วยว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร”

ออม-วรกานต์ พูลสุข, ออน-สุมณฑา เจริญเผ่า และ เอก-สมเกียรติ กิจวงศ์วัฒนะ

Technology ส่วนสำคัญของการทำงาน

ด้วยความที่ทำงานกับเทคโนโลยี Nextzy จึงเลือกสรรเครื่องมือเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด รวมทั้งแนวคิดในการทำงานเพื่อเน้นความคล่องตัวที่เรียกว่า AGILE

Agile ไม่ทิ้งลูกค้าไว้กลางทาง

“Agile เป็นวิธีการทำงานในด้านซอฟต์แวร์แบบใหม่ที่นิยมใช้กันตอนนี้ เปรียบเทียบกับสมัยก่อน ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นเจ้าของร้านค้าขนาดใหญ่ แล้วผมอยากมีเว็บไซต์ มีแอพพลิเคชั่นเพื่อขายของให้ง่ายขึ้น เราก็ถามว่า แล้วคุณอยากขายแบบไหน

ลูกค้าตอบว่า ผมอยากแสดงสินค้า ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ จ่ายเงินได้ คนขายเองก็เรียกเก็บเงินได้ ยิงโปรโมชั่นได้ ทีนี้ก็มีประเด็นว่าลูกค้าต้องการทั้งหมด ถ้ายิ่งเยอะก็ต้องใช้เวลาทำนาน ลูกค้ามีความต้องการเยอะมากๆ โอเค เราขอเวลา 1 ปี เราก็หายไปทำงาน 1 ปี จนได้ซอฟต์แวร์ออกมา

ลองนึกภาพให้เหมือนการสร้างบ้าน ลูกค้าไม่เคยเห็นบ้านเลย 1 ปีผ่านไป พอมาดู เราบอกว่า นี่คือบ้านของคุณ เนี่ยเสร็จแล้วนะ คุณลองไปเดินเล่นในบ้านดู พอเข้าไปเดินดูจริงๆ ก็อาจมีหลายอย่างที่ไม่ตรงใจลูกค้า พอลูกค้าบอกให้ปรับ ทีนี้แทนที่จะ 1 ปีเสร็จก็เลื่อนไปเป็น 1 ปีครึ่งหรือ 2 ปี ทีนี้ลองนึกภาพว่าถ้าเป็นแอพพลิเคชั่นที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดล่ะ มันหายไปสองปี เผลอๆ อาจมีเจ้าอื่นทำเสร็จและครองตลาดไปแล้ว” เอกยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย

วิธีการทำงานแบบนี้เรียกว่า waterfall คือ การทำงานเป็นขั้นตอนจากบนลงล่าง ทำเสร็จไปทีละขั้นๆ แล้วค่อยส่งงานสำเร็จทีเดียว แต่จะเกิดปัญหาตามมาว่า อาจไม่ตอบโจทย์และไม่ได้เป็นไปตามที่ลูกค้าต้องการ

แนวคิดหลักๆ ของ Agile มีดังนี้

  1. ทำงานเป็นทีม และมีการ communicate กันในทีมอย่างต่อเนื่อง
  2. ผิดพลาดได้ และต้องแก้ให้ได้โดยเร็ว พร้อมเปลี่ยนแปลง และปรับตัวอยู่เสมอ
  3. ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิดๆ โดยมีการส่งมอบงาน และอัพเดทกันอย่างต่อเนื่อง ไม่รอให้เกิดเป็นโปรเจ็คท์ใหญ่ แล้วส่งทีเดียว
  4. ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ให้ความสำคัญกับ value ให้มากที่สุด (ที่มา: https://www.coraline.co.th)

“Agile จะเอา waterfall มาแบ่งซอยย่อยให้ละเอียดมากขึ้น โดยที่เราคอยส่งงานหรือฟีเจอร์บางส่วนให้ลูกค้าเอาไปทดลองใช้ เอาไปทดสอบเพื่อให้ชัวร์ก่อนว่าเวิร์คหรือไม่ ทำทีละส่วนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่โยนทั้งก้อนไปให้เขาใช้งาน”

เอก-สมเกียรติ กิจวงศ์วัฒนะ Android Developer

Slack คุยเพื่องาน สื่อสารให้ตรงจุด

ออม ออน และเอก เล่าว่าในออฟฟิศใช้ Slack ในการสื่อสารภายในองค์กร เพราะ Line กับ Facebook ไม่ตอบโจทย์ในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ออน จะส่งดีไซน์ให้เอกดู ก็ถูก Line กับ Facebook ย่อภาพให้เล็กเสียจนนำไปใช้งานจริงไม่ได้ การสืบค้นย้อนหลังก็ทำได้ยาก เอกเสริมว่าการส่งโค้ดที่เป็นอักขระหลายบรรทัด ผ่านโปรแกรมแชทอย่าง Line ก็มักทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้

Slack คือ ‘แพลตฟอร์ม’ สำหรับการสื่อสารกันภายในทีม (team communication) ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนไอเดียในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความธรรมดา code snippets ไฟล์ภาพ วิดีโอ ลิงค์ ตารางนัดหมาย ฯลฯ อีกทั้งยังโพสต์โต้ตอบกันเหมือนโซเชียลเน็ตเวิร์คเน้นใช้ “เพื่อทำงาน” ไม่ใช่เพื่อคุยเล่น และในหนึ่งโปรเจ็คท์ สามารถแยกกลุ่มก้อนการทำงานได้เป็น channel (เห็นเป็น #hashtags แยกกันไป) ซึ่งใครมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนไหนก็เข้าไปอัพเดตความคืบหน้าเฉพาะใน channel นั้นๆ ได้

แม้ว่า Nextzy จะแบ่งออกเป็นสามทีม แต่การแลกเปลี่ยนความคิดไม่จำกัดอยู่เฉพาะในตำแหน่งหน้าที่ เช่นเวลาที่ออนดีไซน์ UI ของเว็บ ก็จะเปิดภาพให้เพื่อนๆ ในออฟฟิศช่วยกันดูและช่วยกันเลือก จากนั้นอาจจะเปิดโหวตกันว่าจะเลือกแบบไหนเพื่อนำไปเสนอลูกค้า

ออนเล่าว่า “เวลาที่ออนดีไซน์มา ทุกคนสามารถคอมเมนต์ได้ บอกกันได้ พอหนูออกแบบเสร็จ หนูก็จะเปิดให้ดูเลยว่าทุกคนโอเคหรือเปล่า ถ้าทุกคนโอเคก็จะส่งให้ dev. แต่ถ้ามีคนบอกว่าจะต้องแก้ตรงนี้ๆๆ ก็จะแก้ให้ แม้ว่าหลายคนจะมองไม่เหมือนกัน เราก็จะโหวต แล้วก็ตัดสินใจ”

ออน-สุมณฑา เจริญเผ่า UX/UI Designer

เอกเสริมว่า “หลายความเห็นไม่สำคัญเท่า เมื่อทุกคนโหวตแล้วผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร คุณต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่นั้น คุณไม่ควรทำงานที่เป็นแบบ ‘มันน่าจะเป็นอย่างนี้’ เฮ้ย แต่เราตัดสินใจร่วมกันแล้วนี่ คุณก็ต้องยอมรับว่าเราเห็นพ้องต้องกัน ถ้ายากที่สุดคือเรื่องเทคนิค อย่างเมื่อออนออกแบบมาแล้ว dev. บอกว่าหน้าตาแบบนี้ทำยากมาก ก็จะ feedback มาบอกออนว่ามันยากมากสำหรับอันนี้ ออนก็จะปรับให้”

แต่กว่าจะมาลงตัวที่ Slack ชาว Nextzy ต้องร่วมมือร่วมใจกันทดลองว่าแพลตฟอร์มนั้นๆ ตอบโจทย์การทำงานของพวกเขาจริงหรือไม่ เวลามีเครื่องมืออะไรน่าสนใจ ทุกคนก็จะให้ความร่วมมือ เข้าใปลองใช้ แล้วร่วมกันตัดสินใจว่า มันเหมาะสมกับทีมไหม

เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน เราก็ต้องเจอหน้าและสื่อสารกัน

แม้ว่าชาว Nextzy จะมีแอพพลิเคชั่นมาช่วยเรื่องการทำงานมากแค่ไหน แต่สำหรับคนที่นี่ การเข้าออฟฟิศ การเจอหน้ากัน การพูดคุยกันยังถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมออฟฟิศนี้ถึงเต็มไปด้วยเครื่องสันทนาการ

มุมสันทนาการของชาว Nextzy

“พนักงานที่นี่ต้องเข้าออฟฟิศ เหตุผลหลักๆ คือเรื่อง communication จริงๆ มันสามารถทำงานสไตล์รีโมตได้แหละ แต่จะขาดเรื่องการสื่อสารของคนในทีม เช่น ถ้าผมทำงานอยู่บ้านทุกวัน แล้วผมไม่รู้ว่า ออมเป็นคนยังไง นิสัยอย่างไร แค่ข้อความที่ออมส่งมาว่า ทำอันนี้ๆ ให้หน่อย ผมอาจจะเข้าใจผิด หรือคุยกันไม่รู้เรื่องได้

“ฉะนั้นออฟฟิศที่นี่จะมีทุกอย่าง เกมคอนโซล โต๊ะพูล บอร์ดเกม คาราโอเกะ เครื่องดนตรี ฯลฯ เพราะถ้าคุณทำออฟฟิศให้เหมือนบ้าน ทำให้มันเป็นที่ที่สนุก เราก็จะรู้สึกว่าอยากเข้าออฟฟิศ จะไม่ค่อยมีความรู้สึกว่า วันจันทร์อีกแล้ว จะมีแต่ อ้าววันศุกร์แล้วเหรอ ถ้าทำให้เขารู้สึกว่าอยากมาออฟฟิศ เขาก็อยากจะทำงาน

เวลาเครียดๆ เราก็จะมาเล่นเกมกัน บางทีเล่นเกมมากกว่าทำงานเสียอีก แล้วพอดึกๆ เราก็จะเห็นเขาใน Slack คือนั่งทำงานชดใช้กรรมกันอยู่ (หัวเราะ)” เอกทิ้งท้าย

Tags:

วัยรุ่นชีวิตการทำงานอาชีพนวัตกรรม

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS
21st Century skills
3 December 2018

อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ทุกวันนี้เพียงแค่เปิดโทรศัพท์ก็มีข่าว กระแส เรื่องเด่นประเด็นร้อนมากมายให้เราเลือกอ่าน  บางครั้งเราก็อ่านโดยไม่คิดเลยว่านั่นเป็นข่าวจริง หรือข่าวปลอม เอริน วิลคีย์ โอห์ (Erin Wilkey Oh) ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ Common Sense Education เครือข่ายที่พูดเรื่องการเท่าทันสื่อโดยเฉพาะ ให้เคล็ดลับแยกข่าวจริงกับข่าวปลอมด้วย ‘คำถาม’ 5 ข้อ ดังนี้

  1. ใครเป็นคนเขียนบทความนี้? คำถามนี้จะช่วยให้นักเรียนหยุดคิดว่า บทความนี้ถูกเขียนขึ้นด้วย ‘บุคคล’ หนึ่ง ซึ่งหมายความว่ามันอาจเป็นทัศนคติส่วนตัว อันมาจากเหตุผล บริบท และภูมิหลังที่แตกต่างกัน
  2. ทำไมข้อความหรือบทความนี้จึงถูกส่งมา ทำไมเขาถึงเขียนมันขึ้น? คำถามนี้เปิดโอกาสให้เด็กๆ พิจารณาจุดประสงค์ของผู้เขียน ว่าเขียนขึ้นเพื่อ ให้ข้อมูล, สร้างความบันเทิง, โน้มน้าวให้เชื่อ หรือทั้งหมด? จากนั้นอาจถามต่อว่า บทความนี้ทำให้เด็กๆ หรือผู้อ่านรู้สึกอย่างไร เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาตีความความตั้งใจของผู้เขียน
  3. บทความนี้เผยแพร่ที่ไหน? พื้นที่ที่ปล่อยย่อมสร้างบอกความน่าเชื่อถือในตัวเอง เช่น เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือ, ถูกส่งกันต่อๆ มาในอีเมล, แชร์ต่อกันผ่านเฟซบุ๊ค ซึ่งทั้งหมดนี้สืบสาวกลับไปยังพื้นที่เผยแพร่ตั้งต้นได้หรือไม่
  4. ผู้เขียนใช้เทคนิคอะไรมาดึงความสนใจของผู้อ่าน? ในรูปแบบคลิปวิดีโอ, แอพพลิเคชั่น หรือแพลตฟอร์มอื่นในรูปแบบออนไลน์
  5. บทความนั้นสอดแทรกมุมมองอะไรเอาไว้บ้าง? เพราะทุกบทความย่อมมี ‘ข้อความระหว่างบรรทัด’ หรือทัศนคติบางอย่างที่ผู้เขียนต้องการจะโน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อ แม้ว่าในบทความนั้นจะไม่ได้แสดงน้ำเสียงของผู้เขียน แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านต้องพึงรู้ว่ามันมีอยู่

อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่: MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

Tags:

เทคนิคการสอน4Csความปลอดภัยไซเบอร์Media literacyครูคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

BEARHUG: เพราะสงสัยและสื่อสารอย่างนักสำรวจ จึงเป็นยูทูบเบอร์ที่อยู่รอด
Voice of New Gen
3 December 2018

BEARHUG: เพราะสงสัยและสื่อสารอย่างนักสำรวจ จึงเป็นยูทูบเบอร์ที่อยู่รอด

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • หัวใจการ Communicate แบบ Bearhug คือการแคร์ “คนดู”
  • สื่อสารให้ “คนดูสนุก และเราสนุก” คือเคล็ดลับความสำเร็จของ Bearhug
  • ในยุคที่ทุกคนเป็น Youtuber ได้  “ถ้าเราอยากอยู่รอด เราควรทำคลิปให้แตกต่างและมีเอกลักษณ์”
ภาพ : Bearhug

เมื่ออาชีพที่ตรงสายไม่ใช่คำตอบของความสุข ‘ซารต์’ ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช ตัดสินใจลาออกมาตามหาความฝันของตัวเอง กระทั่งได้มีโอกาสได้ช่วยเพื่อนซี้อย่าง กานต์-อรรถกร รัตนารมย์ ที่เปิดช่องยูทูบ KNN อยู่ก่อนหน้า และรู้สึกหลงรักการทำคลิปอย่างรุนแรง จึงเปิดช่องยูทูบเป็นของตัวเองขึ้นมาชื่อว่า Sunbeary Channel

ทั้งคู่ทำงานด้วยกันมาตลอด ต่างคนต่างเป็นเบื้องหลังให้กันและกันอยู่เสมอ จนต้นปี 2018 ซารต์และกานต์ ตัดสินใจรวมตัวกันสร้างช่อง Bearhug ขึ้นมา ด้วยสาเหตุว่า ความสุขจากการทำงานด้วยกันหายไป เพราะต่างคนต่างทำงานโดยโฟกัสเรื่องการตลาดของแต่ละคนมากเกิน ถึงจะอยู่กันเป็นทีม แต่ไม่ได้ทำงานเป็นทีม

เมื่อเกิดการรวมตัว เนื้อหาหลักของ Bearhug จึงมีความหลากหลาย ทั้งการพาไปท่องเที่ยว พาไปกินของอร่อยๆ หรือพาไปเปิดเรื่อง Unseen ต่างๆ ทุกคลิปวิดีโอเต็มไปด้วยความสนุกสนานผสานการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ของทีมงาน จนมียอดผู้ติดตามพุ่งทะลุกว่า 2 ล้าน และคงพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่า Bearhug กลายเป็นช่องยูทูบที่ทุกคนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ

สื่อสารแบบ Bearhug

Bearhug เปรียบเทียบตัวเองเป็น ‘ทีมนักสำรวจ’ ที่เดินทางออกไปเรียนรู้เรื่องราวหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่มีอยู่แล้วในโลก แต่อาจจะถูกซ่อนอยู่ในที่ที่แสงส่องไปไม่ถึง พวกเขาจะช่วยเข้าไปค้นหามุมมองต่างๆ เกี่ยวกับมัน แล้วฉายออกมาเป็นวิดีโอให้ผู้ชมผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมได้รู้จักกับโลกใบนี้มากขึ้น โดยพวกเขาเองก็ใช้โอกาสนี้เรียนรู้ไปพร้อมกับคนดูด้วยเช่นกัน

จุดเริ่มต้นของการทำคลิปวิดีโอแต่ละชิ้น ไม่ได้ซับซ้อน ซารต์และกานต์เริ่มมาจากความรู้สึก ‘อยากทำ’ เมื่อรู้สึกอยากไปรู้ อยากไปเห็น อยากไปสัมผัส และพอจะมองเห็นเหลี่ยมมุมที่น่าสนใจของเรื่องนั้น จนอยากนำมาเล่าต่อ ก็ไม่ลังเลที่จะลงมือทำทันที

“เราจะมาดูกันก่อนว่าสถานที่ที่เราอยากไป มันน่าเล่ามั้ย ส่วนเรื่องสคริปต์ กับเรื่องความรู้ของแต่ละสถานที่ที่ไป ส่วนมากไม่มีการ research เลย” ซาร์สารภาพ

ทีมสำรวจ Bearhug อาจมีวิธีออกเดินทางที่ไม่เหมือนกับทีมสำรวจอื่น ซารต์บอกว่า “ถึงข้อมูลในคลิปวิดีโอจะผิดพลาดบ้าง แต่เราอยากไปด้วยความใสซื่อจริงๆ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ อยากแทนตัวเองให้เหมือนคนดู มันรู้สึกเรียลดี”

ถึงจะถ่อมตัวว่าไม่ได้เตรียมข้อมูลก่อน แต่ผลงานของพวกเขาเต็มไปด้วยความสนุกและเสียงหัวเราะที่แอบแฝงสาระสำคัญให้คนดูขบคิดหรือตกตะกอนอยู่บ้าง

ยกตัวอย่างเช่น คลิปที่พาไปรู้จักกับอาชีพ Calligrapher หรือคนเขียน/ออกแบบฟอนต์ด้วยมือ ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก แต่เป็นอาชีพที่มีคุณค่าอย่างมหัศจรรย์

หรือคลิปที่พาไปดูสถานที่ขึ้นชื่อว่ามีมลภาวะเยอะในกรุงเทพมพหานคร เพื่อสร้างความตื่นตัว ให้กับคนรุ่นใหม่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม ให้ดูแลสิ่งแวดล้อมในเมืองหลวงให้ดีขึ้น

แต่กว่าจะเป็นหนึ่งวิดีโอให้เรารับชม ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังมีกระบวนการทำงานหลังกล้องอีกมากที่ผู้ชมไม่เคยรู้ ซารต์บอกว่า ในการทำงานทีมจะถูกแบ่งตำแหน่งหน้าที่ต่างกันไป

ซารต์จะเป็นคนอยู่หน้ากล้องซะส่วนใหญ่ ส่วนกานต์จะอยู่หน้ากล้องบ้าง แถมยังลุยงานหลังกล้องอีก โดยแต่ละคลิปวิดีโอจะถูกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของกานต์ที่มักจะผ่านการคิดมาแล้วว่าจะสื่อสารอย่างไรให้เข้าไปถึงคนดู แต่ซารต์จะเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง เพราะด้วยความถนัดที่แตกต่างกันในการแสดงอารมณ์ ทำให้ซารต์สามารถถ่ายทอดและเข้าหาผู้คนได้ดีกว่า

ยังไงก็ตามแต่ เมื่อแบ่งหน้าที่ให้ตรงตามความชอบและความถนัดของแต่ละคนในทีมแล้ว สิ่งสำคัญที่นักสำรวจทีมนี้ให้ความใส่ใจมากที่สุดคือ “ความบันเทิงของคนดูเป็นหลัก”

แล้วคนดู Bearhug ส่วนใหญ่มีแค่เด็กจริงหรือ ?

Demographic หรือยอดผู้เข้าชมบอกว่า คนที่เข้ามาดูคลิปไม่ใช่เด็กมัธยมอย่างเดียว แต่เป็นกลุ่มคนอายุ 18-24 ปี เพียงแต่คอมเมนต์ที่มักจะแสดงตัวตนส่วนมากจะเป็น เด็กมัธยม ดังนั้น Bearhug ต้องคำนึงถึงการออกแบบเนื้อหาหรือคอนเทนท์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายคนดู จึงเน้นเนื้อหาไปทางผู้ใหญ่มากกว่า ซึ่งสอดคล้องความชอบของทีมด้วย

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ติดตามช่อง Bearhug อยู่ สิ่งที่ต้องกลั่นกรองเพิ่มเติมคือเรื่องของความรับผิดชอบ

“การที่เด็กเข้ามาดูเราเยอะ ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การแกล้งกันหรือบางคำพูดก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะเด็กบางคนยังแยกไม่ออก โลกของเขาไม่มีสีเทา มีแต่ขาวกับดำ” ซารต์บอก

นอกจากการคิดวิธีการสื่อสารให้เหมาะกับกลุ่มผู้ชมแล้ว โลกที่เปลี่ยนไปทำให้ใครก็ผันตัวมาเป็น Youtuber ได้ นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของทีม เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทุกคนเข้าถึงอุปกรณ์ได้หมด มีแค่มือถือเครื่องเดียว ทุกคนก็สามารถเป็น Youtuber ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยาก ไม่ต้องผ่านกระบวนการตัดต่อเหมือนสื่อโทรทัศน์

แต่คำถามคือ จะอยู่รอดในระยะยาวหรือไม่ ?

ในยุคทำให้ทุกคนทำคลิปได้เหมือนกันหมด ซารต์บอกว่า “ถ้าเราอยากอยู่รอด เราก็ควรจะแตกต่างและมีเอกลักษณ์”

สิ่งที่ Bearhug กำลังทำ คือการปั้นคลิปออกมาให้ Unique หลุดออกจากกรอบเดิมๆ และอย่าลืมคิดวิธีสื่อสารและคอนเทนต์ที่มีคุณภาพควบคู่ไปด้วย

ส่วนยอดคนดูที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นข้อดีที่เป็นช่องทางเปิดโอกาสให้มีลูกค้าเข้ามาจ้างหรือสนับสนุนทีม แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะตัวเลขยอดยิ่งเยอะ มันยิ่งเพิ่มแรงกดดันในการทำงานจน บางครั้งถึงขั้นสูญเสียตัวตนไปเลย

“ทำให้เราสนุก และคนดูสนุกค่ะ” คือเคล็ดลับที่ Bearhug ใช้รักษาสมดุลของตัวเองให้พอดี เมื่อต้องทำคลิป tie-in รีวิวสินค้าอย่างหนักๆ โดยไม่ให้คนดูรู้สึกว่าถูกยัดเยียดจนเกินไป

เมื่อย้อนกลับไปเริ่มแรกที่เปิดชาแนล ซารต์ยอมรับว่า พยายามผลิตวิดีโอคอนเทนต์ตื้นๆ ง่ายๆ เพื่อให้คนมากดติดตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนตกตะกอนได้ว่า

“ถ้าเราเป็นนักสำรวจที่ทำคอนเทนต์ดี คนดูได้รับประโยชน์ เดี๋ยวก็มีคนมาติดตามเอง”

ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ช่วยการลดแรงกดดันให้ทีม ลดความคาดหวัง และยังคงความเป็นธรรมชาติได้พอสมควร

ภายใต้น้ำเสียงสนุกสนาน ท่าทีที่เป็นกันเอง สิ่งที่จะทำให้ดูเชื่อถือ นั่นคือการพูดความจริง ฉะนั้นหัวใจการ Communicate แบบ Bearhug คือการแคร์ ‘คนดู’

และในอนาคตสิ่งที่นักสำรวจทีมนี้คาดหวังอยากจะทำ คือการผลิตคอนเทนต์ที่มีความเฉพาะทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องท่องเที่ยว ของกิน หรือการรีวิว

Bearhug จะต้องกลายเป็นนักสำรวจที่รู้ลึก รู้จริง และเป็นตัวจริงในเรื่องนั้นให้ได้ – ธงต่อไปของซารต์และทีม

Tags:

วัยรุ่นอาชีพyoutuber

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Education trend
    ฟรีแลนซ์ อาชีพแห่งศตวรรษที่ 21

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

    เรื่อง The Potential

CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
21st Century skills
30 November 2018

CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • นอกจาก ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน อีกทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 คือ Critical Thinking หรือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  • ว่ากันว่าในบรรดาสี่ทักษะ Critical Thinking ฝึกยากที่สุดเพราะทั้งซับซ้อนและมีปัจจัยต่างๆ มากมาย – พูดง่ายๆ ว่า ‘นามธรรม’ มากที่สุด
  • แต่ไม่มีอะไรที่ฝึกไม่ได้ ยากแค่ไหนก็ง่าย ถ้าพร้อม เข้าใจ และให้ความสำคัญ

งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่ากลุ่มนักเรียนที่คิดอย่างมีวิจารณญาณได้-ใช้วิจารณญาณเป็น หรือมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างงานวิจัยของบัตเลอร์ (Butler et al., 2012) นักวิจัยด้านพฤติกรรมและศาสตร์ด้านองค์กรแห่งบัณฑิตวิทยาลัย Claremont สหรัฐอเมริกาที่รายงานว่า มีความเชื่อมโยงกันระหว่างทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณกับคุณภาพชีวิตด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal outcomes) อาชีพ และการเงินของแต่ละบุคคล

สิ่งที่พบคือ ผู้เข้าทดสอบที่คิดอย่างมีวิจารณญาณ มักไม่ค่อยก่อปัญหาเลวร้ายในชีวิตมากนัก ตั้งแต่ปัญหาในชีวิตขั้นต่ำสุดอย่าง“คืนซีดีหนังทุกเรื่องที่เช่าตรงเวลา ถึงจะยังไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย” ไปจนถึงขั้นรุนแรงคือ “เมาแล้วขับจนได้ใบสั่ง”

หรือในงานวิจัยเรื่อง Redesigning a General Education Science Course to Promote Critical Thinking ของโรว์และคณะ (Rowe et al 2015) แห่ง Sam Houston State University สหรัฐอเมริกา ซึ่งนำหลักวิทยาศาสตร์ อันได้แก่ การสังเกต ค้นคว้า ทดลอง มาผนวกเข้ากับการเรียนรู้ในห้องเรียนเพื่อสร้างเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ พบข้อสรุปว่า นักเรียนที่ผ่านการฝึกฝนด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีแนวโน้มที่จะยอมรับความคิดที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้มากกว่า

กล่าวคือ การมีวิจารณญาณทำให้นักเรียนไม่เป็นคนหูเบา เชื่อสิ่งใดง่ายๆ เมื่อได้รับข้อมุูลบางอย่าง นักเรียนสามารถพิจารณาว่าเรื่องใดจริงไม่จริง น่าเชื่อถือหรือไม่ โดยลงมือค้นคว้า ทดลองหาข้อพิสูจน์ก่อน เป็นต้น

ทำไมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงสำคัญ

นอกเหนือจาก 3 ทักษะสำคัญ คือ ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการสื่อสาร กรอบการเรียนรู้เพื่อศตวรรษที่ 21 (Framework for 21st Century Learning) ยังบรรจุความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นอีกหนึ่งในทักษะบังคับที่นักเรียนทุกคนต้องได้รับการฝึกฝน ด้วยเหตุผลดังนี้

  • ทุกสาขาอาชีพ ทุกลักษณะงานในองค์กร จำเป็นต้องใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการแก้ปัญหาทั้งสิ้น
  • ผู้ที่มีทักษะด้านนี้ สามารถเข้าใจเนื้อหาความรู้ เชื่อมโยงเหตุและผลได้ จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา การงาน และการใช้ชีวิต
  • การเติมทักษะนี้ให้นักเรียน จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ในห้องเรียน เช่น การเขียน การให้เหตุผล ได้ดียิ่งขึ้นต่อไป
  • ผู้ที่มีทักษะการเรียนรู้มักไม่สร้างปัญหาให้ตนเอง และมีแนวโน้มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในห้องเรียน

การนิยามความหมายของทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในบริบทของการศึกษานั้น ปรากฏอยู่ในงานศึกษาตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา โดยเน้นไปที่กระบวนการคิดของนักเรียนเป็นหลัก เช่น การใช้ทักษะการคิดต่างๆ ประมวลข้อมูล การแบ่งระดับการคิดเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการให้ความสนใจถึงปัจจัยทางลักษณะนิสัย เช่น กระตือรือร้นต่อการแก้ปัญหา เป็นต้น

แต่โดยสรุปแล้ว จากงานวิจัยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ขอบเขตทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของวัยเรียนในศตวรรษที่ 21 ล้วนหมายถึงการใช้วิจารณญาณวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเพื่อหาข้อสรุปที่ถูกต้อง

อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ

  • นักเรียนต้องสามารถคัดสรรข้อมูลที่เชื่อถือได้และตรงประเด็นมาสนับสนุนหรือปกป้องความคิดของตนเอง
  • แยกแยะความเห็นส่วนตัว อคติ และตรรกะที่ผิดเพี้ยนจากความจริงได้
  • สามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนัก
  • เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงของเหตุปัจจัย
  • มองประเด็นได้หลายแง่มุม จนสามารถอนุมานข้อสรุปที่ถูกต้องเชื่อถือได้ในที่สุด

ว่าด้วยความสำคัญในการผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณดังที่กล่าวมาข้างต้น Pearson องค์กรผู้นำด้านการศึกษาโลก กับ P21-ภาคีความร่วมมือเพื่อการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 จึงร่วมมือกันพัฒนาแลกเปลี่ยนข้อมูลและบุคลากรทางวิชาการเพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐานการสอนและประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้เกิดขึ้นในระบบการศึกษา โดยสรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้

จากหนังสือ Skills for Today: What We Know about Teaching and Assessing Critical Thinking โดย Ventura, M., Lai, E., & DiCerbo, K. (2017) เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า “ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้นแยกย่อยเป็นความสามารถในการจัดการกับข้อมูลหรือหลักฐาน 4 ด้าน” ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะไปบรรจบกับความสำเร็จในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงในท้ายที่สุดได้

ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณแบ่งเป็น 4 มิติ ดังนี้

1. ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงระบบ (Systems analysis) – การเข้าใจหน้าที่ขององค์ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันในระบบ มองเห็นปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในระบบ และสามารถจัดการบางอย่างกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งแล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาพรวมได้

2. ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงโต้แย้ง (Argument analysis) – สามารถหาข้อสรุปอย่างเป็นเหตุเป็นผลจากข้อมูลที่มีอยู่ในมือ โดยการแยกแยะข้อมูลทั้งหลายออก ว่าส่วนใดคือความคิดเห็น และส่วนใดที่เป็นข้อเท็จจริง และประเมินความน่าเชื่อถือได้ ในขั้นตอนนี้ต้องมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ จนกระทั่งพิจารณาหาข้อสรุปว่ามีหลักฐานหรือเหตุผลรองรับหรือไม่ และควรรู้จักความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์เชิงโต้แย้ง (มีเหตุผลรับรอง) กับการถกเถียง (ใช้ความคิดเห็นส่วนตัวเป็นหลัก) ด้วย

3. ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน (Creation) – สามารถสร้างสมมุติฐาน วิธีการ ขั้นตอนกระบวนการ ทฤษฎี ไปจนถึงข้อโต้แย้งจากการรวบรวมหลักฐาน การประมวลความคิดอย่างมีวิจารณญาณข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง หลากหลายแง่มุมจนเกิดแนวทางใหม่หรือเป็นผลงานที่สร้างขึ้นจากกระบวนการทางความคิดจนเป็นข้อสรุปรูปธรรม หรือ ต่อยอดจากสิ่งที่เคยมีอยู่เดิมให้เป็นสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น

4.ความสามารถในการตัดสินคุณภาพ (Evaluation) – ตัดสินคุณภาพของขั้นตอน ทางออกของปัญหา หรือผลงานที่ออกมาว่า ดีพอแล้วหรือยัง โดยใช้ตัวชี้วัด บรรทัดฐาน หรือเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนได้

สามารถวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขั้นตอน คำตอบของปัญหา หรือผลงานที่ออกมานั้นดีหรือไม่ น่าเชื่อถือหรือไม่ ดีพอแล้วหรือยัง เกี่ยวพันกับประเด็นปัญหาหรือไม่ มีจุดบอดและหรืออคติอื่นใดผสมหรือไม่ ความสามารถในการตัดสินคุณภาพ คือต้องใช้เกณฑ์สำหรับไตร่ตรองความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาเป็น เช่น หากจะประเมินคุณภาพรายงานการเงินต้องใช้หลักเกณฑ์ทางบัญชีและมาตรการด้านความปลอดภัย เป็นต้น

หลัก 4 ข้อที่นักเรียนต้องเข้าใจก่อน

เป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อยที่จะออกแบบกระบวนการพัฒนาทักษะให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นกระบวนการซับซ้อนและมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมาย ทั้งลักษณะนิสัยของตัวนักเรียนเอง สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ เอลเลอร์ตัน (Peter Ellerton) อาจารย์สอนวิชา Critical Thinking แห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ เสนอแนวทางพื้นฐานว่าการสอนเด็กให้คิดอย่างมีวิจารณญาณเป็น ครูต้องบอกหลักการของการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้พวกเขาเข้าใจก่อน หลักการเบื้องต้น 4 ข้อที่นักเรียนต้องทำความเข้าใจเสียก่อนคือ

1. หลักของการโต้แย้ง (Argumentation) – บริบทที่ดีที่สุดที่จะกระตุ้นให้นักเรียนวิเคราะห์ประเด็นใดประเด็นหนึ่ง โดยสามารถหาเหตุผล ความเชื่อมโยงและข้อสรุปได้นั้น มักอยู่ในรูปของการโต้แย้งถกเถียงกัน กระบวนการดังกล่าวบังคับให้นักเรียนต้องสรรหาหลักฐานอ้างอิงที่ให้น้ำหนักมาสนับสนุนจุดยืนของตัวเองให้ได้

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ตามมาคือข้อมูลเหล่านั้นต้องมีคุณภาพ คือเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล และเชื่อถือได้มากพอ เพื่อสามารถโน้มน้าวไปสู่ข้อสรุปหรือหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้

2. หลักการใช้ตรรกะเหตุผล (Logic) – สิ่งที่การคิดอย่างมีวิจารณญาณจะขาดไปไม่ได้คือการใช้ตรรกะเหตุผล ตรรกะ 2 ประเภทคือ

2.1 นิรนัย (Deduction) หรือ ตรรกะที่ตายตัวแน่นอนอย่างตรรกะของหลักคณิตศาสตร์หรือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงสากล เช่น คนที่เป็นพ่อหมายถึงผู้ชาย

2.2 อุปนัย (Induction) คือ ตรรกะที่เป็นการกล่าวอ้างกว้างๆ และจากประสบการณ์ ซึ่งไม่ตายตัว การใช้ตรรกะทั้ง 2 อย่างนี้ในทางที่ผิดอาจก่อให้เกิดทั้งการเข้าใจผิด หรือข้อสรุปที่ไม่น่าเชื่อถือ

3. หลักจิตวิยา (Psychology) – จิตวิทยาในที่นี้ คือ ใจของเราทำงานอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่เคยฉุกคิดมาก่อนคือ เราควบคุมความคิดหรือการตัดสินใจไม่ได้อย่างใจนึก และบางครั้งนอกจากกระบวนการคิดของเรากระจัดกระจายไม่เป็นระบบอย่างที่ครูอยากให้เป็น เราอาจจะใช้ความคิดน้อยไปเสียด้วยซ้ำ การหาข้อสรุปจากความเชื่อ ข้อมูลมาจากแรงขับที่ล้วนเกิดจากความสนใจเฉพาะตัว ความเชื่อส่วนบุคคล ค่านิยม อคติบางอย่างของแต่ละคน

4. หลักในการหาข้อพิสูจน์ (The Nature of Science) – นักเรียนควรมีเครื่องมือในการประเมินว่าข้อมูลที่มีอยู่มากมายในปัจจุบันมีคุณภาพหรือไม่ สองสิ่งที่จะช่วยสกรีนได้คือ การหาข้อพิสูจน์ด้วยการทดลอง และสถิติ

ครูต้องให้เด็กๆ รู้จักสังเกต ตั้งสมมุติฐาน รวมถึงมองกฎทฤษฎีต่างๆ ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต กฎแรงดึงดูด กฎการเคลื่อนที่ สสารโมเลกุล และสถิติไม่ใช่เรื่องของอัจฉริยะ หรือนักวิทยาศาสตร์ แต่องค์ความรู้ที่เป็นจริงเหล่านี้คือรากฐานของความเข้าใจโลกและระบบต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันและกันเอาไว้ การเรียนรู้อาจไม่ได้หมายความว่าต้องจำรายละเอียดยิบย่อยได้ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจกระบวนการที่เกิดขึ้นและโครงข่ายที่โยงใยกันอยู่ต่างหาก

เทคนิคคิดอย่างมีวิจารณญาณแบบขั้วตรงกันข้าม

แอนิตา วูลฟอล์ค (Anita Woolfolk) ครูด้านจิตวิทยาการศึกษา และเขียนหนังสือแนะนำการสอนเทคนิคการกระตุ้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณในห้องเรียนมาแล้วหลายเล่ม มองว่า การจะฝึกให้นักเรียนวิเคราะห์ประเด็นเป็นนั้น ครูต้องลองให้พวกเขามองประเด็นนั้นๆ จากมุมตรงกันข้ามกันก่อน เช่น ข้อดี-ข้อเสีย มี-ไม่มีดีกว่ากัน เป็นต้น

การวิเคราะห์ประเด็นแบบขั้วตรงกันข้ามนี้ ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนหาเหตุผลมารองรับแต่ละมุมมอง ซึ่งอาจเปิดโลกทัศน์ในด้านที่นักเรียนอาจไม่เคยรู้มาก่อน และช่วยทุเลาความคิดยึดติดในความเชื่อเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่บทสรุปใหม่ที่เป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง

ในตำราด้านจิตวิทยาการศึกษาของแอนิต้า เธอจะเสริมการวิเคราะห์ประเด็นแบบขั้วตรงข้ามในช่วงท้ายของแต่ละบทด้วยเสมอ มีอยู่บทหนึ่ง เธอตั้งคำถามว่า เด็กที่มีความพกพร่องด้านการเรียนรู้จากโรคสมาธิสั้น (ADHD) วิธีรักษาระหว่างกินยากับไม่กินยาอย่างไหนดีกว่ากัน

มุมที่สนับสนุนการกินยา แอนิตาหยิบยกงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จในการใช้ยารักษาอาการสมาธิสั้น มาอ้างอิงเพื่อสร้างน้ำหนักว่า กลุ่มยาที่ใช้ในการรักษา เช่น Adderall, Focalin, Dexadrine, Vyvanse, and Cylert มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นสมอง ซึ่งการใช้ยาตามโดสที่เหมาะสมกับผู้ป่วยจะช่วยให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทให้ระบบสมองทำงานเป็นปกติ เมื่ออาการของโรคดีขึ้นก็จะส่งผลให้เด็กแสดงออกทางพฤติกรรมที่ควบคุมได้มากขึ้น

ตรงกันข้ามกับมุมที่ต่อต้านการใช้ยา แอนิตานำงานวิจัยที่เน้นย้ำว่า การรักษาอาการ ADHD ไม่ควรใช้ยาเป็นทางเลือกแรก จากนั้นเธอก็รวบรวมงานวิจัยที่บ่งชี้ถึงอาการข้างเคียงด้านลบที่เกิดขึ้นกับเด็กที่ใช้ยามาให้น้ำหนัก โดยงานวิจัยก็มีทั้งที่แสดงให้เห็นว่า อัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตของเด็กเพิ่มสูงขึ้น การเจริญเติบโตชะงักงัน นอนไม่หลับ น้ำหนักลด และมีอาการวิตกกังวลสูง แม้แพทย์สามารถคุมผลข้างเคียงเหล่านี้ได้จากการปรับโดสและระยะเวลาในการให้ยา แต่ยังไม่มีข้อยืนยันเรื่องผลข้างเคียงในระยะยาว โดยเฉพาะยาตัวหนึ่งที่ชื่อ Strattera ซึ่งไม่ได้ออกฤทธิ์เป็นสารกระตุ้น มีรายงานว่าเด็กที่ใช้ยาตัวนี้ซึมเศร้าและมีความคิดฆ่าตัวตายร่วมด้วย ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรติดตามงานวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มยาในการรักษาอย่างต่อเนื่อง

งานวิจัยในแง่มุมนี้ยังกล่าวถึงผลลบที่เกิดขึ้นทางร่างกาย งานวิจัยมากมายที่บอกว่าการใช้ยาอาจช่วยเรื่องการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ดีขึ้น แต่ประสิทธิภาพการเรียนรู้และการเข้าสังคมกับเพื่อนกลับดิ่งเหว ครูและผู้ปกครองอาจวางใจเมื่อเห็นเด็กควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น แต่ปัญหาใหญ่คือ จุดบอดด้านความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ ทักษะการอ่าน และการนำเสนอยังมีอยู่

ข้อพึงระวังเมื่อคิดแบบเป็นกลาง ไม่ว่าอย่างไร หากนักเรียนในชั้นใช้ยาในการรักษา พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้ทางด้านวิชาการและทักษะการเข้าสังคมอยู่ดี ครูผู้สอนมีหน้าที่ชี้ให้พวกเขารู้ว่าทักษะเหล่านั้นใช้อย่างไรและควรใช้ตอนไหน

นอกจากนั้นการฝึกให้นักเรียนมีความอดทนควบคุมให้ตนเองฟันฝ่าอุปสรรคหรือโจทย์ที่ยากไปให้ได้จนลุล่วงก็สำคัญไม่แพ้กัน ตรงนี้คือสิ่งที่ยาไม่สามารถทำได้ ครูยังคงเป็นหัวใจของการที่ปรึกษาและสนับสนุนทักษะด้านบวกให้เกิดขึ้นได้

จากตัวอย่างข้างต้น ครูอาจเปิดโอกาสให้นักเรียนเขียนบทความวิเคราะห์ประเด็นด้วยเทคนิคขั้วตรงข้ามดูก่อน เพื่อกระตุ้นให้มองประเด็นจากหลายหลายแง่มุม พร้อมกับหาข้อมูลมาสนับสนุนความคิดในแต่ละด้านเพื่อหาข้อสรุป เช่นตั้งคำถามว่า ร้านสะดวกซื้อควรยกเลิกถุงพลาสติกใส่สินค้าหรือไม่ เป็นต้น

ไม่ว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้จะเป็นแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่ม หัวใจสำคัญที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณคือ นักเรียนต้องได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันและหาคำตอบด้วยตนเอง

มีหลากหลายแนวทางและรูปแบบที่ช่วยกระตุ้นทักษะมากมายที่ครูผู้สอนสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยต้องไม่ลืมพิจารณาถึงการกระตุ้นให้เกิดความสามารถ 4 ข้อย่อยข้างต้น คือ ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงระบบ เชิงโต้แย้ง การสร้างสรรค์ผลงานและการตัดสินคุณภาพ กับพิจารณาความแตกต่างของระดับทักษะหรือช่วงวัยของนักเรียนมาเป็นเกณฑ์ออกแบบด้วย

อ้างอิง:
Skills for Today II: What We Know about Teaching and Assessing Critical ThinkingSkills
What We Know about Teaching and Assessing Collaboration
Critical Thinking : Executive Summary for Educator
How to teach students to think critically

Tags:

พัฒนาการคาแรกเตอร์(character building)4Csการคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    9 วิธีพ่อแม่ช่วยลูกพิชิตฝัน ดันไปให้สุดทาง

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

พาลูกเที่ยว ‘บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018’
Space
30 November 2018

พาลูกเที่ยว ‘บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ‘มะม่วง’ ตัวอย่างงานแสดงที่ผู้ปกครองสามารถนำลูกหลานมาเข้าร่วมได้ สถานที่จัดคือโรงแรมเพนนินซูล่า โดย วิศุทธิ์ พรนิมิตร ศิลปินนักวาดการ์ตูน ที่มีผลงานดังเป็นพลุแตกกับคาแรคเตอร์น้องมะม่วงในญี่ปุ่น และในงานบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ครั้งนี้ มีน้องมะม่วงให้ชมในหลายๆ ฟอร์แมต ทั้งแอนิเมชั่น และในโปสเตอร์
  • ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่สูงส่ง ไกลตัว หรือเรื่องเข้าใจยาก แต่ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
  • เด็กมีทักษะและมีความสามารถในการรับรู้งานศิลปะมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กไม่ต้องมานั่งคิดว่างานชิ้นนี้คืออะไร และเด็กไม่ได้มาตามหาความหมาย เขามาเพื่อซึมซับความรู้สึก
ภาพ: ศุภจิต สิงหพงษ์/ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

สังเกตไหมว่าช่วงนี้กรุงเทพฯ มีอะไรแปลกๆ ?!?

ใครชอบเดินห้างสรรพสินค้าแถบใจกลางเมือง เช่น สยามดิสคัฟเวอรี สยามพารากอน เซ็นทรัลเอ็มบาสซี และเซ็นทรัลเวิลด์ จะเห็นงานศิลปะจัดวางหน้าตาแปลกๆ ตั้งเรียกร้องความสนใจอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แม้กระทั่งใครไปวัดสำคัญๆ ก็ยังได้เจองานศิลปะแทรกอยู่ตามพื้นที่ภายในวัด เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์, วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

นอกจากจุดแปลกตาที่ไม่น่าจะเข้ากับงานศิลปะอย่างที่ว่ามาแล้ว สถานที่คุ้นชินกับงานศิลปะอย่างหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ก็เป็นจุดสำคัญที่พลาดไม่ได้เลย รวมทั้งอีกหลายชิ้นงานที่กระจายอยู่ตามสถานที่หลายหลากใจกลางกรุงเทพฯ เช่น โรงแรมเพนนินซูล่า, อาคารอีสต์ เอเชียติก และอื่นๆ รวม 20 แห่ง

ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 (Bangkok Art Biennale 2018) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ไปจนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ คืออะไร?

บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ เป็นงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แต่ประวัติความเป็นมาของเทศกาลศิลปะเบียนนาเล่นั้นมีอายุยาวนานนับร้อยปี

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ นักเขียน และโอตาคุด้านงานศิลปะ ที่สนใจการผสมผสานศิลปะหลากแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งศิลปะแบบเพียวๆ งานดีไซน์ วัฒนธรรมร่วมสมัย และเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ก็เพื่อสลายพรมแดนระหว่างศิลปะแต่ละประเภท เล่าถึงที่มาที่ไปของ ‘เบียนนาเล่’ (Biennale) ว่า เป็นเทศกาลศิลปะที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มีชื่อเรียกภาษาอิตาเลียนว่า La Biennale di Venezia หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘เวนิสเบียนนาเล่’ (Venice Biennale) คำว่า ‘Biennale’ ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า ‘ทุก ๆ สองปี’ ชื่องานนี้จึงสื่อสารถึงความถี่ของการจัดงานที่จะจัดขึ้นทุกสองปี เบียนนาเล่ถือว่าเป็นมหกรรมศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยรูปแบบการจัดงานที่มีเสน่ห์และมีมนต์ขลัง เวนิสเบียนนาเล่จึงเป็นความใฝ่ฝันของศิลปินทั่วโลกว่าจะมีโอกาสได้รับเชิญไปร่วมจัดแสดงงานที่นั่นสักครั้งในชีวิต

เวนิสเบียนนาเล่เริ่มก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1895 ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการอภิเษกสมรสของกษัตริย์อุมแบร์โตที่หนึ่ง (Umberto I) และสมเด็จพระราชินีมาร์เกอริตาแห่งซาวอย (Margherita of Savoy) รากฐานเดิมของเบียนนาเล่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นปกครอง มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและหนุนเศรษฐกิจของเมืองเวนิสที่ในขณะนั้นกำลังซบเซาจนถึงขีดสุด โดยใช้งานเทศกาลศิลปะเป็นตัวดึงดูดผู้คน  

ความเก่าแก่นับร้อยปี ทำให้โมเดลการจัดเทศกาลศิลปะเวนิสเบียนนาเล่ ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในวงการศิลปะ จากที่เคยนำเสนอแค่งานศิลปะแบบโมเดิร์นอาร์ตจากศิลปินในประเทศ ปัจจุบันเบียนนาเล่เป็นเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ที่ไม่ใช่แค่พื้นที่นำเสนอผลงานศิลปะของศิลปินชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นพื้นที่ให้ศิลปินจากวงการศิลปะทั่วโลกมานำเสนอผลงานของตัวเอง สิ่งสำคัญที่เห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเบียนนาเล่ คือ การผนึกศิลปะเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับวิถีของผู้คน งานศิลปะรูปแบบต่างๆ ไม่ได้แสดงอยู่แค่ในหอศิลป์ แกลเลอรี หรือพิพิธภัณฑ์ แต่ถูกติดตั้งและจัดแสดงอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วมุมเมือง

“ถ้ามองดีๆ ศิลปะอยู่ในชีวิตของเราอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีงานเบียนนาเล่ อนุสาวรีย์ที่เราขับรถผ่าน ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เห็นเวลาไปวัดก็เป็นงานศิลปะ แต่ยุคหนึ่งศิลปะที่ได้รับความสนใจและมีความสำคัญ ถูกนำไปบรรจุไว้แค่ในหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ทำให้ศิลปะค่อยๆ อยู่ห่างไกลผู้คน”

ภาณุบอกว่า นี่เป็นการจัดงานงานบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งแรกที่ประเทศไทย มีทั้งศิลปินชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงมาร่วมงานกว่า 75 คน จาก 33 ประเทศ นำผลงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 200 ผลงานมาร่วมแสดง ภายใต้แนวคิด ‘สุขสะพรั่งพลังอาร์ต’ หรือ Beyond Bliss ไม่ว่าจะเป็น มารีนา อบราโมวิช (Marina Abramovic) ศิลปินศิลปะร่วมสมัยผู้มีผลงานทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก, โยชิโตะโมะ นาระ (Yoshitomo Nara) เจ้าของคาแรคเตอร์เด็กผู้หญิงตาโต ร้ายๆ กวนๆ แววตาเฉยชา แต่มองไปมองมากลับดูน่ารัก และ ยาโยอิ  คุซามะ (YAYOI KUSAMA) ศิลปินชาวญี่ปุ่น วัย 81 ปี เจ้าของฉายา ‘คุณป้าลายจุด’ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยถึงศิลปะ หลายคนยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเข้าถึงยาก เหมาะสำหรับคนที่มีความสนใจจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากเทศกาลศิลปะครั้งใหญ่ครั้งนี้?

“ได้ดูงานศิลปะไง” ภาณุเอ่ยขึ้นสั้นๆ ก่อนขยายความต่อว่า

ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่สูงส่ง ไกลตัว หรือเข้าใจยากอย่างที่หลายคนวาดกำแพงขึ้นมากั้นตัวเองไว้ แต่ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน งานหลายชิ้นสะท้อนถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต เสื้อผ้าการแต่งกาย แม้กระทั่งปัญหาสังคม

ภาณุ เปรียบเทียบว่าในยุโรปการเดินพิพิธภัณฑ์หรือหอศิลป์เปรียบได้เหมือนการเดินห้างที่ให้ความบันเทิงและผ่อนคลาย การเสพศิลปะจึงไม่จำเป็นต้องเรียนหรือมีความรู้เฉพาะทางเสมอไป

“ศิลปะไม่ใช่แค่ความรู้หรือทักษะที่ต้องเป็นคนเรียนศิลปะเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นการไปดูงานศิลปะไม่จำเป็นต้องคาดหวังเรื่องความเข้าใจเสมอไป เราสามารถไปดูงานศิลปะเพื่อความบันเทิงได้เหมือนกัน แล้วหน้าที่อย่างหนึ่งของศิลปะ คือการเป็นตัวบันทึกประวัติศาสตร์ คิดง่ายๆ  อีกมุมหนึ่งการดูงานศิลปะก็เหมือนการศึกษาประวัติศาสตร์ เราไปเพื่อเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องทุกอย่างไปก่อน”

ภาณุกล่าวว่า มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ที่จัดแสดงงานไปตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ช่วยเปิดมุมมองการเสพงานศิลป์ของคนไทย อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ผู้ปกครองจะได้พาเด็กๆ ไปดูงานศิลปะ รวมไปถึงเยาวชน นักเรียนและนักศึกษาจะได้มีส่วนร่วมเรียนรู้ไปด้วย

เขาย้ำว่า สิ่งที่สังคมไทยต้องสร้าง คือ วัฒนธรรมการเสพงานศิลปะ การทำให้คนไทยรู้สึกว่าการดูงานศิลป์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องยาก และเป็นความรู้ได้

“วัฒนธรรม หมายถึงสิ่งที่สืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน ในประเทศตะวันตกมีวัฒนธรรมนี้ ถึงประเทศไทยยังไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ งานศิลปะถ้าคุณไม่คิดอะไรกับมันมาก คุณอาจเข้าใจมันได้มากกว่า งานบางชิ้นไม่ได้สร้างขึ้นมาให้คนเข้าใจ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นศิลปินหรือคนทั่วไป ยกตัวอย่างศิลปะนามธรรม (Abstract Art) หลายคนสงสัยว่าทำไมดูไม่รู้เรื่อง ถ้าถามศิลปินเขาจะตอบว่าก็เพราะคุณพยายามดูให้รู้เรื่องไงเลยดูไม่รู้เรื่อง เพราะชิ้นงานไม่ได้เล่าเรื่อง เขาไม่ได้ทำออกมาให้ดูรู้เรื่อง แต่พยายามสื่อสารความรู้สึกหรืออารมณ์ของสีสัน จังหวะองค์ประกอบที่ลงตัว ความสวยงามมันอยู่ตรงนั้น  

เหมือนเราเห็นดอกไม้สวยๆ เราอาจไม่รู้หรอกว่าคือดอกอะไร เห็นคนแต่งตัวสวยเราก็รู้สึกดี รู้สึกชอบ ความสวยงามอยู่ตรงที่เราซึมซับความรู้สึก งานหลายชิ้นให้ความสุขในการดู งานบางชิ้นทำให้มีสมาธิจิตใจสงบ งานบางชิ้นทำให้ตื่นเต้นสนุกสนาน บางชิ้นกลับน่ากลัว ศิลปะแต่ละชิ้นสื่อความหมายและความรู้สึกไม่เหมือนกัน การดูงานศิลปะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย มันก็เหมือนการดูหนังฟังเพลง เราไม่ได้ดูหนังทุกเรื่องแล้วรู้สึกสนุก แต่เราก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ จริงมั้ย แต่ในขณะเดียวกัน งานศิลปะบางประเภทก็กระตุ้นให้เราใช้ความคิดและตั้งคำถาม กับทั้งตัวงานเองไปจนถึงสิ่งรอบตัว สังคม การเมือง หรือแม้แต่กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองได้เหมือนกัน”

ศิลปะจับต้องได้

“จับฉันสิ เหยียบฉันก็ได้” หากชิ้นงานศิลปะส่งเสียงได้ งานหลายชิ้นในบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ คงเอ่ยคำเชิญชวนออกมาเสียงดังแบบนี้

ในฐานะคุณพ่อลูกสอง ภาณุบอกว่า เขาพาลูกๆ ไปเที่ยวชมงานโดยไม่รู้สึกกังวล เพราะงานศิลปะในบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ปล่อยให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมกับชิ้นงาน แสดงให้เห็นถึงการออกแบบงานศิลปะให้ใกล้ชิดกับคน และให้คนเข้าถึงงานศิลปะได้ง่าย

“งานหลายชิ้นเราสามารถเดินเข้าไปเหยียบได้เลยนะ บางชิ้นทำเป็นอุโมงค์ให้เด็กเข้าไปเล่นได้ หรือเปิดให้เด็กเข้าไปนั่งวาดรูปด้วย นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะบนพื้นที่สาธารณะที่เปิดโอกาสให้คนดูเข้าไปมีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งกับงาน ไม่ใช่แค่ไปดูภาพวาดราคาแพงใส่กรอบไว้จับต้องไม่ได้ งานแบบนี้ผมพาลูกไปก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไปทำงานเสียหาย เพราะฉะนั้นเวลาไปดูงานศิลปะพ่อแม่ก็แค่ดูก่อนว่างานชิ้นไหนให้คนเข้าไปร่วมได้ งานชิ้นไหนมีราคาแพงต้องระวัง เราก็ไม่พาลูกเข้าไปก็แค่นั้นเอง”

ยกตัวอย่างเช่น ชิ้นงาน ‘เทป แบงคอค’ (Tape Bangkok) โดยศิลปินกลุ่มนูเมน ฟอร์ ยูส คอลเลคทีฟ ดีไซน์ (Numen for Use Collective Design) ตั้งอยู่ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พวกเขาทำประติมากรรมขนาดใหญ่จากเทป ติดจากผนังจรดพื้นขึงเป็นลักษณะคล้ายหยากไย่ งานชิ้นนี้ให้ผู้ชมงานเดินเข้าไปในถ้ำคล้ายรังไหม กระตุ้นด้วยแสง เสียง สัมผัส และกลิ่น สื่อสารถึงประสบการณ์ของการเดินทางค้นหาตัวตนและการเกิดใหม่

ภาณุบอกว่า ศิลปะจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น หากมีการปรับมุมมองความคิดใหม่เกี่ยวกับศิลปะให้เป็นมากกว่าแค่การวาดๆ เขียนๆ ในห้องเรียน ซึ่งแบบนั้นเป็นการฝึกฝนงานฝีมือมากกว่าพัฒนาให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

“ศิลปะคือความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ตามอารมณ์ ความรู้สึกและความคิด งานศิลปะจะบ่งบอกและสะท้อนบุคลิก ความคิดหรือความเป็นตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ของคนคนนั้นผ่านชิ้นงาน การวาดรูปดอกไม้ตามแบบ หรือการระบายสีลงในช่อง ไม่ใช่งานศิลปะ ผมเรียกว่าเป็นงานฝีมือมากกว่า เพราะศิลปะไม่ใช่การทำงานตามสั่งหรือตามโจทย์แล้วครูเป็นคนให้คะแนน แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้คิดและสร้างผลงานตามที่ตัวเองอยากทำ งานศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีสอบตกหรือสอบได้ ยิ่งทำผิดทำไม่ได้คนก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีก”

ชวนลูกมาซึมซับ ไม่ได้มาหาความรู้

ถ้าอยากเห็นคนรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์และมีพัฒนาการที่ดี ภาณุบอกว่า ต้องปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้เข้าใจศิลปะตั้งแต่ในระบบการศึกษา รวมทั้งจากครอบครัว

“อย่างที่บอกว่าศิลปะมีอยู่ทุกที่ ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องเดินเข้าหาศิลปะแล้ว เพราะศิลปะจะเดินเข้าหาเราเองอยู่ที่เราจะมองเห็นหรือเปล่า ที่มองไม่เห็นเพราะอาจมัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์จนไม่ได้สังเกตอะไรเลย เวลาผมเดินผ่านงานกราฟฟิตี้ตามกำแพงข้างทาง ผมจะชวนลูกดูแล้วชวนลูกคุยตลอด…ลูกดูซิมีอะไรอยู่ที่กำแพง พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องอธิบายเยอะ แค่ดูว่าลูกชอบมั้ย แค่นั้นเอง

เด็กมีทักษะและมีความสามารถในการรับรู้งานศิลปะมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กไม่ต้องมานั่งคิดว่างานชิ้นนี้คืออะไร มีความหมายอย่างไร ผู้ปกครองต้องไม่ลืมว่า เด็กไม่มีกรอบ ผู้ใหญ่นี่แหละที่ไปสร้างกรอบ และเด็กไม่ได้มาตามหาความหมาย เขามาเพื่อซึมซับความรู้สึก”ภาณุกล่าวทิ้งท้าย

Tags:

ศิลปะอีเวนต์ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel