Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่
Family Psychology
13 August 2018

พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • พลิกวิกฤติพี่อิจฉาน้องให้กลายเป็นโอกาสเรียนรู้และเติบโตจากการเป็นพี่ใหญ่ ให้คอยดูแลน้อง
  • และรู้หรือไม่ น้องๆ เลียนแบบพี่มากกว่าพ่อแม่เสียอีก
  • บทความนี้จะแนะนำวิธีเปลี่ยนความกังวลของเด็กๆ ให้เป็นความตื่นเต้น ภูมิใจ และกระตือรือร้นที่จะได้เป็นพี่กันตั้งแต่เนิ่นๆ

ถึงการเป็นพี่คนโตจะมาพร้อมกับเรื่องสุดช้ำใจว่าทำไมต้องเกิดมาก่อนด้วย เพราะเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่พ่อแม่กลับดุน้องน้อยกว่าที่เคยดุคุณอีก แต่เฮ้ … เป็นพี่คนโตก็มีข้อดีนะ ทั้งออกคำสั่งได้ เสื้อผ้าในตู้ก็ไม่ได้มีแต่ของส่งต่อ แถมยังได้ทวีตเรื่องฮาๆ แบบพี่เหล่านี้ได้ด้วย

ลองดูว่ามีทวีตเรื่องของพี่คนไหนโดนใจคุณบ้าง

  • คิดเล่นๆ: เป็นพี่คนโตนี่ถือเป็นคำชมนะ คิดดูสิ พ่อแม่ตัดสินใจว่าเธอน่ะสุดแสนมหัศจรรย์ แล้วก็อยากมีเธอเพิ่มอีกคน (@amyvandyken)
  • ลูกสาววัย 9 ขวบเพิ่งพูดถึงน้องชายสองคนว่าเป็น “ภาคต่อ” ของเธอ (@kierstenwhite)
  • รู้ว่าตัวเองเป็นพี่คนโตก็ตอนที่น้องสาวดีกรีปริญญาพยาบาลโทรมาหาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการแพทย์ 🙂 (@shannonstacey)
  • น้องชายเริ่มถึงวัยมีแฟนแล้ว ส่วนผมก็ต้องขับรถพาพวกมันไปทุกที่เลย #OldestChildProbs (@TierraJolene)
  • จริงๆ ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีวันไหนที่ถือน้ำปั่นโดยไม่มีน้องสี่คนมาล้อมรอบแล้วขอชิม #Oldestchildlife (@gracechitwood)
  • บางครั้งการเป็นพี่คนโตก็คือพ่อแม่คนที่สองหรือสามนั่นแหละ LOL (@Quincy)

พี่ = พ่อแม่คนที่สอง

เด็กๆ เลียนแบบพี่มากกว่าพ่อแม่เสียอีก

ในงานวิจัยปี 2004 ริชาร์ด เรนด์ (Richard Rende) ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ พบว่า พี่น้องอาจมีอิทธิพลที่สำคัญต่อเด็กๆ – แต่โชคร้ายนิดหน่อยตรงที่การศึกษานี้พุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมการสูบบุหรี่ โดยเปรียบเทียบจากครอบครัวที่พ่อแม่สูบบุหรี่และครอบครัวที่มีพี่คนโตสูบด้วย ผลก็คือพี่คนโตมีผลต่อน้องมากกว่าพ่อแม่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ เรนด์ ก็มั่นใจว่า พฤติกรรมดีๆ ของพี่คนโตติดต่อถึงน้องได้พอๆ กับพฤติกรรมไม่ดี

เช่นเดียวกับอีกผลการศึกษาในปี 2014 ที่แสดงให้เห็นว่า

พี่สามารถผลักดันให้น้องประสบความสำเร็จด้านการศึกษาได้ ด้วยการเป็นต้นแบบด้านบวกตอนช่วยน้องทำการบ้านหรือให้คำแนะนำเรื่องการเรียน

ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนด้านการศึกษากับลูกคนโตจะยิ่งส่งผลดีในต่อลูกคนต่อไปได้เช่นกัน

นอกจากเลียนแบบแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่น่าสนใจ โดยในงานวิจัยในปี 2009 ของ แพทริเซีย อีสต์ (Patricia East) นักจิตวิทยาสาขาวิทยาพัฒนาการ ที่ UC San Diego School of Medicine ซึ่งสนใจด้านความสัมพันธ์พี่น้องและครอบครัว  พบว่า ผู้หญิงที่มีพี่สาวตั้งท้องจะมีโอกาสตั้งท้องมากกว่าคนที่ไม่มีพี่สาวหรือพี่สาวไม่ได้ท้องถึง 5 เท่า โดย อีสต์ เริ่มวิจัยหัวข้อนี้หลังจากพบว่ามักมีพี่สาวน้องสาวที่ตั้งท้องและไปคลินิกสูตินรีเวชด้วยกัน

เตรียมลูกให้พร้อมเป็นพี่

หน้าที่อันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง – ไม่ใช่สไปเดอร์แมน แต่เป็นเส้นทางสู่การเป็นพี่ของเด็กๆ เพราะแม้พวกเขายังเป็นหนูน้อยของพ่อแม่ แต่หน้าที่ของพี่จะเป็นความรับผิดชอบและเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในชีวิต

วิธีเหล่านี้อาจช่วยให้พ่อแม่เปลี่ยนความกังวลของเด็กๆ เป็นความตื่นเต้น ภูมิใจ และกระตือรือร้นที่จะได้เป็นพี่กันเสียแต่เนิ่นๆ ลองเอาไปทำดูนะ

  • สร้างสถานการณ์สมมติ เช่น ลองแทนตัวสัตว์หรือตุ๊กตาที่พวกเขาเล่นว่า น้องสาว น้องชาย และให้พวกเขาเรียนรู้การแบ่งปัน การเล่น และการสื่อสารกับน้อง ก่อนที่น้องจริงๆ จะมาถึง
  • บอกชื่อน้อง ถ้าเลือกชื่อให้ทารกแล้ว อย่าลืมบอกลูกคนโตและให้ชื่อนั้นอยู่ในทุกการพูดคุยถึงน้องที่กำลังจะมาถึง
  • โชว์รูปน้องให้ดู แม้ว่าจะเป็นรูปอัลตราซาวด์ก็ตาม
  • ตอบทุกคำถาม เด็กๆ มีกองทัพคำถามมาถล่มใส่คุณแน่ๆ หน้าที่ของคุณคือใจเย็นและตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่ความโกลาหลในสองสามเดือนแรก ทั้งการนอน การกิน ขนาดตัวของทารกที่ยังเล็กเกินจะเล่นแรงๆ ได้ ถ้าพวกเขาโตพอแล้วก็ลองให้ช่วยดูแลน้อง เป็นวิธีที่ดีในการสร้างความรักระหว่างพี่น้องให้เกิดขึ้น
  • จัดห้องหรือเตียงให้เสร็จก่อนมีน้อง ถ้าลูกต้องย้ายห้องหรือเปลี่ยนเตียง ทำให้เสร็จก่อนคลอด เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อนน้องจะมาถึง
  • ทำทุกอย่างเหมือนเดิม กิจวัตรประจำวันที่เหมือนเดิมจะทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งช่วยให้พวกเขารับมือกับน้องคนใหม่ได้ง่ายขึ้น
  • ให้เด็กๆ เป็นผู้ช่วย ถ้าพวกเขาอยากช่วย จงมอบหน้าที่ที่พวกเขาจะทำได้ อาจเป็นการหยิบผ้าอ้อมให้คุณ หรือให้เลือกหนึ่งชุดสำหรับทารกจากสองชุดที่คุณเตรียมไว้แล้ว
  • ทำให้เด็กๆ รู้ว่ายังรักและห่วงใยเหมือนเดิม บางครั้งเด็กๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้งในเวลาที่ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ทารก เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำให้พวกเขารู้ว่าพ่อแม่ยังรักมากเหมือนเดิม ในช่วงตั้งท้องและหลังคลอดใหม่ๆ อย่าลืมแบ่งเวลาที่จะมีแค่คุณกับลูกคนอื่นๆ ด้วยนะ

ที่มา: https://www.huffpost.com
https://www.curosity.com
https://pathways.org

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเติบโตพ่อแม่

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
10 August 2018

มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ลูกคนแรกปักธงเป็นนักดนตรีคลาสสิก แต่คนที่สองรักการผจญภัยและเคยเลี้ยงด้วงจนเกือบเป็นพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ ‘แม่บี’ ทำ คือสั่งลุย ไม่ใช่เพราะตัวเองชอบ แต่เพราะขีดเส้นชัด ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’
  • มิชชั่นของพ่อแม่คือเป็น ‘นักสืบ’ ช่วยลูกค้นหาตัวตน แต่ต้อง ‘ระแคะระคาย’ ให้เป็น
  • หลักสูตรบ้านเรียน ‘แกงโฮะ’ เน้นสร้างพื้นที่ ตัวตน เปิดโอกาสให้ลูกทดลองและประเมินความเสี่ยงด้วยสายตาตัวเอง ปีนต้นไม้ได้ ใช้มีดเป็น อนุญาตให้ร้องไห้ โดยมีทีมพ่อแม่อยู่ข้างๆ ช่วยกันก้าวข้ามทุกความรู้สึก
  • “เราไม่ได้สร้างลูก แต่สร้างพื้นที่ สร้างสเปซให้คนในครอบครัว เป็นพื้นที่ให้คนที่มีตัวตนไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันได้”

“หนึ่งในงานที่ทำคือ Transformation Game เป็นกระบวนการที่พาคนสำรวจและพัฒนาพื้นที่ภายในตัวเอง ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเห็นชัดเลยว่ามีคนใช้ชีวิตเพื่อแม่ เพื่อพ่อ และมีความทุกข์เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ จนทุกข์ และหาทางออกไม่ได้ บางคนซึมเศร้า บางคนเบื่อโลก บางคนไม่รู้คุณค่าของตัวเอง ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เราแก้ปัญหาเรื่องนี้ในคนที่โตแล้วเยอะมาก ในฐานะคนทำกระบวนการ พอเห็นแบบนี้มากเข้า เราถามตัวเองว่า ทำยังไงเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นกับลูกของเรา”

คือคำตอบข้างต้นของ มิรา ชัยมหาวงศ์ หรือ ‘แม่บี’ – นักวิจัยอิสระด้านการศึกษาทางเลือก ผู้มีประสบการณ์ด้านการเรียนรู้กว่า 20 ปี โดยเริ่มทำงานที่สถาบันอาศรมศิลป์ในฐานะนักวิจัย คุณแม่และครูเต็มเวลาของลูกๆ สองคนในบ้านเรียน ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมัชชาพ่อแม่-เครือข่ายแม่พ่อไม่รอระบบ

ลองตั้งคำถามกับตัวเอง ตัวตนของคุณในวันนี้ อะไรที่เหมือนกับพ่อแม่และอะไรที่ต่าง หลายครั้งต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ บางทีเฉยๆ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำ (ทำๆ ไป) เพียงเพราะมันเป็นความคาดหวังต้องการของพ่อแม่บ้างไหม? หรือถามจี้ไปให้สุดขั้ว เคยไหมที่บางครั้งเราขัดใจในนิสัยบางอย่างของพ่อแม่เหลือเกิน แต่โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หลายครั้งเรากลับทำสิ่งนั้นเสียเอง

ถ้าไม่ได้ติดใจ ไม่รู้สึกเป็นปัญหา ไม่ได้ทุกข์ร้อนจากความคาดหวังกดดันจากพ่อแม่ การเข้าใจว่าตัวตนของเราย่อมเป็นสิ่งตกทอดจากพวกท่านอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และหากมองตัวเองอย่างเข้าใจ สามารถขีดเส้นให้ชัดได้ว่า ‘นี่เรา’ ‘นี่เขา’ ก็อาจเป็นเรื่องทำได้ในวันหนึ่งที่โตพอ แต่ถ้าเป็นเงื่อนไขที่กลับข้าง ความทุกข์หลายระดับคงถมทับยากดิ้นหลุด

ขมวดประเด็นให้ชัด สิ่งที่เราอยากชวน ‘แม่มิรา’ พูดคุยวันนี้คือ…

มุมมองการเลี้ยงลูกของคุณแม่มิรา ในฐานะนักวิจัยด้านการศึกษาทางเลือก และคุณแม่ที่ทำบ้านเรียนหรือโฮมสคูลให้ลูก ผู้พยายามขีดเส้นใต้ (ในใจตัวเอง) ให้ชัดว่า…

“ความคาดหวังของแม่ คือของแม่ ความคาดหวัง ความต้องการ ความสุข ความทุกข์ ความผิดพลาดของลูก คือของลูก”

ทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออนุญาตให้ลูกไม่กลัวในสิ่งที่แม่กลัว ให้ลูกไม่ชอบในสิ่งที่แม่ชอบ อนุญาตให้เขาได้มีพื้นที่และสิทธิเสียงเลือก ‘ตัวตน’ ของตัวเอง

“แน่นอนว่าพ่อแม่เป็นจุดเริ่มต้น เขามีตัวตนของเขาเองอยู่แล้ว แต่ด้วยความใกล้ชิดจากการเลี้ยงดู เขาได้รับอิทธิพลจากความเป็นเรา บางทีความชอบและความต้องการของเรากับของลูกมันนัวเนียกันเนียนมาก เนียนขนาดที่ว่า เอ๊ะ… นี่มันความต้องการของแม่หรือของลูกกันนะ? แต่ถึงพ่อแม่จะมีอิทธิพลกับลูกขนาดไหน ก็ต้องระลึกให้ได้ว่าเรากับลูกเป็นคนละคนกัน”

“การสร้างครอบครัว เราไม่ได้แค่สร้างลูก แต่สร้างพื้นที่ สร้างสเปซให้คนในครอบครัว เป็นพื้นที่ให้คนที่มีตัวตนไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันได้”

แม่บีย้ำตลอดบทสนทนาว่า วิธีคิดจาก ‘ทีม’ ของเธอ -ใช่ เธอนิยามเธอและสามีว่าคือ ทีม- ไม่ใช่สิ่งถูกหรือผิด แต่ละบ้านมีวิธีสร้างพื้นที่ครอบครัวหลากหลาย เพียงแต่จากประสบการณ์ทำงานด้านการเรียนรู้เกือบยี่สิบปี ทั้งความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์สมอง แนวคิดการพัฒนาตัวเองภายใน จิตวิทยา การศึกษาทางเลือกต่างๆ และบทบาทล่าสุดคือการสร้างเครือข่ายสมัชชาพ่อแม่ ทำให้หลักสูตรบ้านเรียน ‘แกงโฮะ’ ของเธอเน้นไปที่การสร้างพื้นที่ สร้างตัวตน และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทดลองและประเมินความเสี่ยงด้วยสายตาตัวเอง โดยมีทีมพ่อแม่อยู่ข้างๆ

เกริ่นคร่าวๆ ว่าหลักสูตร ‘แกงโฮะ’ ของบ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำ มีหัวใจหลัก 5 ข้อด้วยกันคือ

  • แยกตัวตนของพ่อแม่ออกจากลูก: ขีดเส้นใต้ให้ชัด นี่คือความต้องการของแม่หรือของลูก
  • ให้ความสำคัญกับตระกูล self: เช่น self-organize บริหารจัดการตัวเอง, self-regulating การกำกับตัวเอง โดยมีปลายทางคือ self-evaluation หรือ การประเมินตนเอง และโลกด้วยสายตาและประสบการณ์ตัวเอง (ไม่ใช่ประสบการณ์ของผู้ใหญ่)
  • อนุญาตให้ ‘ผิดพลาด’ และ ‘ทุกข์’: ความหมายตรงตัว เพิ่มเติมคือ ไม่ใช่สอนลูกให้มีความสุขอย่างเดียว แต่ต้องเขาให้เผชิญกับความทุกข์ด้วยการมีประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ปิดกั้น และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขและผ่านมันไปด้วยกันได้
  • ให้รู้จัก ‘อารมณ์ (ทั้งบวกและลบ): เจ็บ โกรธ อิจฉา หงุดหงิด ไม่พอใจ และอื่นๆ คลี่ออกมาให้หมดและชี้แจงว่าอารมณ์ที่แตกต่างมีชื่อว่าอะไร แล้วจึงช่วยกันหาวิธีระบายออก หรือแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสม
  • อยู่ข้างๆ เสมอ: อยู่เพื่อให้เขามั่นใจว่าโลกนี้ปลอดภัย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะได้รับความรักจากพ่อกับแม่เสมอ และความรักนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สำคัญคือ อยู่ข้างๆ ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย แต่อยู่เพื่ออธิบายและช่วยเขาก้าวข้ามความรู้สึกผิดพลาดนั้น

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’
บ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำ

จุดเริ่มต้น… ฉันต้องไม่เป็นแม่แบบในโฆษณาทีวี!

ในฐานะนักวิจัยอิสระด้านการศึกษาทางเลือกที่ผันตัวเองจากแวดวงธุรกิจสู่การเรียนรู้กว่ายี่สิบปี เคยมีจินตนาการก่อนเป็น ‘คุณแม่’ ไหมว่า ถ้าเป็น จะเป็นคุณแม่แบบไหน?

“คำตอบอาจสวนทางกับคำถาม แต่เราเป็นแม่ที่พยายามจะเอาภาพ ‘คุณแม่ในทีวี’ ออกไป เราเติบโตมากับยุคที่โฆษณา ภาพในทีวีฝังหัวเราว่าครอบครัวประกอบไปด้วย บ้านหลังสีขาว มีสวนเล็กๆ หน้าบ้าน คุณพ่อไปทำงาน คุณแม่เป็นแม่บ้าน มีหมาหนึ่งตัว ลูกๆ รักการเรียนรู้ เวลาที่อยู่ร่วมกันทุกคนจะยิ้มแย้ม พูดคุยกันสนุกสนาน แม้แต่หมายังยิ้มเลย เรามี stereotype แบบนี้ในหัวซึ่งเราไม่รู้ตัวเลยนะ

“เราไม่ได้คาดหวังแค่กับตัวเอง แต่เราอยากให้ครอบครัวเป็นแบบนั้น มีสามีแบบภาพนั้น อยากมีลูกน่ารักๆ เชื่อฟังเราแบบในภาพนั้น แต่พอมันไม่ตรงกับความจริงซึ่งอยู่ตรงหน้า มันก็ทุกข์น่ะสิ”

แม้ตั้งใจจะทลายภาพจำ ‘คุณแม่ในอุดมคติ’ แบบนั้น แต่ #แม่ก็คือแม่ และเป็นคุณแม่ที่มีความรู้ทางวิชาการเต็มสิบ อะไรที่คิดว่าดี เธอทำทั้งนั้น

โดยเฉพาะในช่วงแรกของการมีลูก ความคาดหวังมีร้อยแปดอย่าง ทั้งด้านโภชนาการ ด้านอารมณ์ เป็นแม่ห้ามโมโห เป็นแม่ต้องจัดการได้ ควบคุมสถานการณ์ได้ ยิ้มเสมอ และอีกมากมายที่พยายามกดดันตัวเอง และข่มตัวตนของตัวเองไว้ เพื่อให้เป็น ‘แม่ที่ดี’ โดยเฉพาะ การเลือกตัดสินใจว่าจะเป็นคุณแม่เต็มเวลา หรือเป็นคุณแม่ที่ทำงานไปด้วย?

“ตอนที่เลี้ยงลูกเองแรกๆ ลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกเลย เพราะภาพจำอีกแล้ว ภาพที่บอกว่าการเป็นแม่ต้องโฟกัสที่ลูก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคนชอบทำงานมาก บ้างานเลยแหละ แต่มันมีความคิดว่า ‘ถ้าฉันทำงานแล้วไม่โฟกัสลูก ไม่ได้นะ ฉันจะไม่เป็นแม่แบบนั้น’ พอลาออกมาก็กลายเป็นว่า เอาลูกมาเป็นงาน ความคาดหวังในชีวิตของเราทั้งหมดทุ่มไปอยู่ที่ลูก แต่พอถึงจุดหนึ่งมันเห็นตัวเอง มันเห็นว่า เอ๊ะ… นี่ไม่ใช่ฉันละ ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย เพี้ยนละๆ แบบนี้ไม่ได้ แย่แล้ว แย่แล้ว เปลี่ยนๆๆ”

ทั้งหมดนี้เป็นจุด ‘เอ๊ะ’ ครั้งแรกๆ ที่ทำให้เธอเข้าใจภาพ ‘ความคาดหวัง’ ที่เริ่มก่อเกิดในตัวเอง เดาได้ไม่ยากว่าวงจรสุดท้ายของความคาดหวังจะไปจบที่ใครและอาจให้ผลลัพธ์อะไรแก่คนเป็นลูก โดยเฉพาะเมื่องานส่วนหนึ่งของเธอคืองานด้านกระบวนการภายใน หลายครั้งที่เรื่องเล่าของคนที่ทำงานร่วมกับเธอ บอกเล่าว่าทุกข์สุขสะสมเรื้อรังส่วนหนึ่งมาจากการใช้ชีวิตเพื่อคนในครอบครัว

เพื่อตัดวงจร เธอและสามีจึงมีคำขวัญประจำตัว 5 อย่าง เพื่อสร้างพื้นที่ให้ลูก พัฒนาตัวตนของตัวเองโดยมีความคาดหวังของพ่อแม่น้อยที่สุด

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: แยกตัวตนของพ่อแม่ออกจากลูก

“ลูกสองคนไม่เหมือนกันเลย คนแรกอายุ 8 ขวบ และเขาปักธงว่าอยากเป็นนักดนตรีคลาสสิก ซึ่งเรารู้สึกว่าปักธงเร็วมาก แต่เขาก็ปักแล้ว จะให้เราแบบ… ‘มันไม่ใช่หรอกลูก’ ก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือสนับสนุน ขณะที่คนเล็กเขาสนใจธรรมชาติ เคยเลี้ยงด้วงที่บ้าน มีหนอนด้วงเกือบสองร้อยตัว ซึ่งพี่ไม่ชอบเลยนะ ด้วงสองร้อยตัวอยู่ในบ้าน แล้วมันกระดึ๊บๆ (ทำเสียงสยอง) แต่เช่นกัน มันคือความชอบของเขา เป็นพื้นที่ของเขา ไม่ใช่ของแม่

“สิ่งที่เรากับสามีคุยกันตลอดหลังจากที่ลูกคนโตปักธงว่าจะเป็นนักดนตรีคลาสสิกคือ ถ้าลูกเดินมาบอกว่า ไม่เอาแล้ว จะเลิกแล้ว ต้องได้ เขาต้องเลิกได้ และเราต้องไม่เป็นอะไร”

ในจุด ‘เรา’ หรือพ่อแม่ต้องไม่เป็นอะไรนี่แหละ คือคีย์เวิร์ดที่มิราเห็นว่า มันคือการแยกตัวตน แยกความคาดหวังของพ่อแม่ ออกจากลูก

“ที่บอกว่า ‘ต้องไม่เป็นอะไร’ คือเป็นการบอกกับความคาดหวังข้างในตัวเราเองในฐานะพ่อแม่ เพราะจริงๆ เราคงเสียใจแหละ เราทุ่มทรัพยากร และเวลา จ่ายค่าเรียนตั้งแพง คอยรับคอยส่ง และเอาเข้าจริง แม้เราบอกว่าเราไม่คาดหวัง แต่ลึกๆ เราจะจินตนาการ มโนไปถึงเส้นทางอาชีพของลูกไปแล้ว แล้วอยู่มาวันหนึ่งจะบอกว่าไม่เอาแล้ว เราคงเสียใจ แต่เราตั้งใจบอกกับตัวเองตั้งแต่แรกเลยว่า ถ้าลูกตัดสินใจจะเลิกจริงๆ หรือเปลี่ยนเส้นทาง เขาต้องได้โอกาสนั้น เพราะนั่นเป็นชีวิตของเขา และนั่นไม่ใช่การเสียเปล่า เพราะการเรียนรู้และการฝึกฝนมันย่อมส่งผลให้เกิดบางสิ่งในตัวเขา

“การเรียนดนตรี การลงทุนกับเขาด้านดนตรี ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องได้ดนตรี แต่การลงทุนของเราคือการให้ลูกได้มีโอกาสฝึกตัวเองเป็นนักดนตรี ซึ่งเขาจะเป็นรึเปล่า ให้เขาตัดสินใจ และมันอาจจะนำมาซึ่งคุณลักษณะบางอย่าง เช่น ‘การกัดไม่ปล่อย’ และถ้ามันบ่มเพาะนิสัยนั้นได้ เราถือว่าคุ้ม”

เธอขยายความต่ออีกว่า ไม่ใช่แค่กับเรื่องดนตรี แต่คือวิธีมอง ‘การเรียนรู้’ การเรียนเลขไม่ใช่เพื่อให้บวก ลบ คูณ หารได้ แต่เรียนรู้การแก้ปัญหา เรียนศิลปะไม่ใช่การวาดรูปสวย แต่คือการเป็นผู้สรรสร้าง รู้จักเอาสิ่งต่างๆ มาผสมกันแล้วสร้างเป็นสิ่งใหม่ และถ้ามองการเรียนรู้เช่นนี้ ไม่ว่าคุณลักษณะที่เกิดในตัวลูกคืออะไร เธอถือว่า ‘คุ้ม’

อย่างไรก็ตาม คำถามที่ควรต้องถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือตัวตนของลูก เพราะตัวตนของลูกจะมาจากไหน ถ้าไม่ได้ปลูกฝังมาจากคนเป็นพ่อและแม่?

“จะบอกว่าเราไม่บิลด์เลย อยู่ดีๆ เขาเกิดความชอบนี้ขึ้นมาเองมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว พ่อแม่ทำหน้าที่คล้ายๆ นักสืบ หาจุด ‘ระแคะระคาย’ และมันสำคัญมากที่ต้อง ‘ระแคะระคาย’ ให้เป็น เช่น ลูกคนโต เขาชอบฟังเพลง และเขาเป็นคน emotional สุดๆ คือฟังเพลงแล้วน้ำตาไหล ซึ้งไปกับบทเพลง ใช้หูเยอะ เวลาเขาฟังเพลง แป๊ปเดียวเท่านั้นเขาก็จำเนื้อร้องได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งเด็กจะคอยส่งสัญญาณให้เราเห็น เรามีหน้าที่ค่อยๆ แกะรอย จากจุดนั้นมันจะมีจุดให้เราสังเกตไปเรื่อยๆ บางทีก็ชวน ‘ไปฟังคอนเสิร์ตกันมั้ย?’ ไปฟัง ไปดูซิว่าชอบเพลงแบบไหน ชอบเครื่องดนตรีอะไรมั้ย เสียงนั้นแปลก เสียงนี้เพราะ พาเขาไปมีประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็คอยแกะรอยต่อไปอีก

“ช่วงแรกเรายังไม่ให้เขาเรียน แต่ที่บ้านจะมีเปียโนเก่าๆ ของแม่อยู่หลังหนึ่ง ทุกวันเขาจะไปนั่งบรรเลงเพลงซึ่งไม่รู้ว่าคือเพลงอะไรของเขาไปตามเรื่อง เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาเองตามอารมณ์ของเขา ทำแบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งถามเขาว่า อยากเรียนเปียโนมั้ย? ก็เริ่มพาเขาไปเรียนเปียโน ซึ่งตอนที่พาไป เราก็บอกกับเขาว่าถ้าไม่ชอบเลิกได้นะ ทุกวันนี้เขาซ้อมแล้วเครียด หรือบางทีไปแข่งแล้วกดดัน เราก็ยังย้ำคำเดิม ว่าไม่ชอบเลิกได้นะ แต่ถ้ายังชอบ ยังมุ่งมั่น เต็มที่เลยลูก เราก็สนับสนุนเขาให้สุดด้วยเช่นกัน ซ้อมด้วยกัน หาครูที่ดี แล้วพอเจอครูที่ใช่ วันหนึ่งเขาเดินมาบอกว่า ‘แม่ หนูอยากเป็นนักดนตรี’

เธอเล่าต่อไปว่า ขณะที่ลูกคนเล็กในวัย 5 ปี ชอบกิจกรรมผจญภัยนอกบ้าน โดยเฉพาะการอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของมิราเลย แต่เช่นเคย เธอก็… ลุย

“ขณะที่คนที่สอง เราเห็นว่าเขาไม่เคยอยู่ในบ้านเลย ออกนอกบ้านตลอด เวลาเดินอยู่ในสวนก็ชอบไปแคะ ขุด หาอะไรในดิน เราก็เอ๊ะ เขาน่าจะชอบอะไรแบบนี้นะ ก็เลยเริ่มพาเขาเข้าป่า เท่านั้นแหละ โอ้โห… เด็กสี่ขวบเดินป่าสามชั่วโมง สนุกสนาน เห็นไม้ผุก็เอามือล้วงเข้าไปแล้วได้หนอนด้วงออกมา ขณะที่แม่แบบ… โอย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้วนะ”

เรื่องท้าทายจากความ ‘เอ๊ะ’ ในการเป็นคุณแม่ ‘เจ๊ดัน’ ผลักดันลูกให้มีโอกาสได้ลองค้นหาตัวตนของตัวเอง คือการค้นพบว่า สิ่งที่ลูกชอบ อาจไม่ใช่สิ่งที่แม่ชอบ หรือไม่ใช่ตัวตนของแม่เลย ข้อสังเกตนี้เธอตอบชัดว่า…

“เพราะถ้าเราแยกชัดว่า ‘เขา’ กับ ‘เรา’ ตั้งแต่แรก เราจะได้มีโอกาสเห็นว่าเวลาที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ สนใจด้วยตัวเอง การเรียนรู้มันจะเหมือนระเบิด ประกายตาสนใจใคร่รู้ของเขา ความพยายามหาว่าทำยังไงถึงจะรู้เรื่องที่เขาสนใจได้ คำถามของเขา การรบเร้าให้เราพาไปเข้าป่า หรือการให้เราอ่านหนังสือเรื่องเดิมให้ฟังซ้ำๆ มันทำให้เราสงสัยว่า เด็กสี่ห้าขวบ ทำอะไรได้มากขนาดนี้เลยเหรอ”

เรื่องของเด็กสี่ห้าขวบที่ไม่ถูกสกัดการเรียนรู้จนเหมือนระเบิดที่มิราว่า เธอยกตัวอย่างการเดินทางด้านการเรียนรู้ของลูกคนเล็ก ที่แม้ไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกับตัวเธอไว้ว่า การเรียนรู้ด้านธรรมชาติของลูกคนเล็กเริ่มต้นที่การเพาะเลี้ยงหนอนด้วงจำนวนสองร้อยตัวที่บ้าน จากนั้นพลิกไปสู่ความสนใจเรื่องงู เปลี่ยนเป็นการตกปลา ปัจจุบันดำเนินมาที่สามก๊ก

“นี่คืออีกบทเรียนที่ให้แม่ได้ซ้อมว่า ถ้าวันหนึ่งลูกเปลี่ยนความสนใจไปเลย มันจะไม่เป็นไร เพราะอย่างตอนลูกเลี้ยงด้วงแรกๆ ในหัวเรามันจะจินตนาการถึงอาชีพแบบอัตโนมัติ ‘อุ้ย… เขาต้องเป็นนักชีววิทยา นักกีฏวิทยาแน่ๆ’ คือคิดไปถึงขนาดนั้น เวอร์ไปถึงขนาดนั้น แต่พอเขาเปลี่ยนความสนใจไปที่งู ในหัวเราเริ่มปลอบใจตัวเองละ ‘เอาน่า ยังอยู่ในข่ายของสิ่งมีชีวิต’ จากนั้นไปเป็นปลา แต่เขาไม่ได้สนใจปลาแบบชีววิทยา เขาต้องการเป็นผู้ล่า อยากจะเย่อ อยากจะใช้แรง (หัวเราะ) แล้วตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นสามก๊ก ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ ด้วง งู ปลา เลยสักนิดเดียว นักกีฏวิทยาหายไปแล้ว และแม่ก็ได้รู้จักความมโนของตัวเอง แต่เขาก็ยังคงชอบธรรมชาติ เดินในสวนก็หาด้วง แต่หาด้วงไปด้วยถือทวนฟันดาบไปด้วย

“คือถ้าไม่บอกตัวเองไว้ตั้งแต่แรกว่า ลูกมีโอกาสเปลี่ยนได้ มันคงแย่ เพราะ passion เปลี่ยนได้ มนุษย์เราเปลี่ยนตลอดเวลา และลูกก็ยังเด็ก มีโอกาสจะเปลี่ยนความสนใจอีกมาก ตรงนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่ตัวตนของเขาจะก่อรูปก่อร่าง พ่อแม่ ก็ระแคะระคาย สนับสนุน แล้วก็คอยดูว่าเขาจะไปทางไหนนะ เอ๊ะๆ มันเปลี่ยนอีกแล้ว สนุกไปกับการเป็นผู้เฝ้ามองชีวิตลูกเติบโต”

แต่เธอยังกระซิบ “เอาจริงๆ มันสนุกมาก เหมือนเล่นเป็นนักสืบเลย คุยกันกับสามีตลอดว่า ดูๆ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปทางไหนอีก วันหนึ่งลูกอาจจะสร้างสิ่งใหม่ เป็นนักอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีก็ได้”

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: ตระกูล Self

‘self’ ที่แปลว่า ‘ตัวเอง’ และเมื่อไปรวมกับคำนามคำไหน จะให้ความหมายว่า ‘ด้วยตัวเอง’ คำศัพท์ภาษาอังกฤษตระกูล ‘self’ ในความหมายของแม่มิรา หมายถึงกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ ที่ลงท้ายด้วย ‘ด้วยตัวเอง’ เช่น self-organize บริหารจัดการตัวเอง, self-regulating การกำกับตัวเอง

แต่ไม่ว่าจะ ‘self’ แบบไหน ปลายทางขอให้ไปจบที่คำว่า ‘self-evaluation’ หรือ การประเมินด้วยตัวเอง

“เช่น การปีนต้นไม้ ถ้าประเมินจากเราในฐานะผู้ใหญ่ ด้วยน้ำหนักเรา ประสบการณ์ของเราที่เราอาจเคยได้ยินเรื่องเสี่ยงๆ หรือเคยถูกห้าม เคยตกต้นไม้ เราจะคิดไปเองว่าปีนขึ้นไปคือหักแน่ ในหัวเราประเมินแล้วว่าการปีนต้นไม้เท่ากับอุบัติเหตุ ขณะที่เด็กไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่ได้มีข้อมูลชุดนั้นในหัว

“ไม่ได้บอกว่า พ่อแม่ทุกคนจงเอาลูกไปปีนต้นไม้กันเถอะ แต่เปิดโอกาสและหาโอกาสให้เขาได้ประเมินตัวเอง เขาปีนได้แค่ไหน จะขึ้นสูงแค่ไหน กิ่งตรงนี้เหยียบได้มั้ย กิ่งนี้อ่อนไปรึเปล่า เขาหนักไปมั้ยสำหรับกิ่งนี้ นี่คือการเปิดโอกาสให้ประเมินด้วยตัวเอง แต่ถ้าเราเอาแต่พูดว่า ‘อย่านะมันอันตราย’ ใครประเมิน? ผู้ใหญ่ประเมิน วันนึงเขาจะไม่รู้ว่า ความสามารถเขาอยู่ตรงไหน เขาทำอะไรได้หรือไม่ได้ เขาต้องปรับปรุงอะไรเพิ่ม หรือเขาทำอะไรได้ดี เขาจะทำไม่เป็น เพราะต้องคอยถามพ่อแม่ว่า เขาทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นตัวตนจะเกิดได้ยังไง

“ที่บ้านเราไม่มีแก้วหรือจานพลาสติกเพราะลูกต้องหัดใช้ เขาจะทำแตก แต่ทุกครั้งที่ทำแตกเขาจะเสียใจ แต่ครั้งต่อไปจะระวังขึ้น เพราะเขาจะประเมินเป็น ที่ผ่านมาถืออย่างนี้ ทำให้หล่นแตก ครั้งหน้าต้องระวังอย่างไร เขาจะรู้เอง อย่างการใช้มีดเหมือนกัน เราให้เขาใช้มีดเหลาไม้ตั้งแต่เล็กๆ มีดบาดแน่นอน แต่ครั้งต่อไปจะระวังขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ระวังเลย ปล่อยให้ลูกใช้จนนิ้วขาดก็ไม่ใช่ แม่ก็ต้องอยู่ตรงนั้นด้วยเพราะเขายังเด็ก”

นอกจากข้อนี้จะเชื่อมกับข้อแรก คือการแยกประสบการณ์แม่ ออกจากประสบการณ์ลูกแล้วให้เขาประเมินเหตุการณ์จากมุมมองของตัวเอง ยังเชื่อมโยงกับข้อถัดไปคือ ‘ให้รู้จักทุกข์’ และ ‘ความผิดพลาด’

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: อนุญาตให้ ‘ผิดพลาด’ และ ‘ทุกข์’

ในหลักสูตรข้อนี้เธอเน้นย้ำเป็นพิเศษ นอกจากให้เผชิญความทุกข์และข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง สำคัญที่สุดคือการเห็นทุกข์ในขณะที่เด็กๆ ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ในแง่นี้หมายความว่า เมื่อวันที่ลูกเพิ่งรู้จักและจำแนกความรู้สึกเป็นครั้งแรกๆ และยังอยู่ในวัยที่โลกทั้งใบคือพ่อแม่ สำคัญมากที่เขาจะมีใครไว้แอบอิงพิงหลังและปลอดภัยพอจะระบายความทุกข์เศร้าออกมาได้อย่างซื่อตรงและปลอดภัย

“เป็นข้อที่ทำได้ยากมากที่สุด ในฐานะที่เรามีสัญชาตญาณความเป็นแม่ แม่ไม่อยากให้ลูกทุกข์ ไม่อยากให้ลูกผิดพลาด เราจะรู้สึกว่าลูกเจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ลูกอยู่กับเรา เรามีหน้าที่ทำให้เขามีความสุข เรียนรู้ที่จะมีความสุขบนโลกใบนี้ นั่นเป็นหน้าที่หนึ่งของพ่อแม่ แต่อีกหน้าที่หนึ่งคือการพาเขาเผชิญความทุกข์ เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เราจะปกป้องเขาไม่ให้เผชิญทุกข์เลยตลอดชีวิต เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือ อยู่ด้วยกันกับเขาในเวลาที่เขาต้องใช้ความพยายามในการยอมรับความทุกข์ และแก้ไขความผิดพลาดด้วยความรู้สึกเป็นปกติ ไม่ได้มองเห็นความผิดพลาดเป็นความทุกข์

“ลองนึกภาพวันหนึ่งที่ไม่มีเรา หรือวันที่เขาไม่กล้ามาหาเรา วันที่เขาเป็นวัยรุ่นซึ่งเขาอาจจะไม่เคยชินในการบอกเรื่องความผิดพลาดหรือความทุกข์ของเขากับพ่อแม่ วันที่เขาเห็นความผิดพลาดเป็นความทุกข์ใหญ่ ผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ ตอนนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และยากมาก แต่ถ้าเราทำตั้งแต่ตอนนี้ ผิดพลาดล้มเหลวไปด้วยกันแล้วบอกเขาว่า ‘ผิดแล้วแก้ได้นะ’ เราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้วก็พยายามกับมันมากๆ ด้วย เรียกว่าเป็นการละวางความเป็นแม่หรือสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกไปเลย”

แต่การจะอธิบายข้อนี้ จำเป็นต้องอธิบายคู่ไปกับหลักสูตร 2 ข้อถัดไปคือ ‘การรู้จักกับอารมณ์’ และ ‘พ่อแม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ’

หลักสูตรแกงโฮะ: ให้ลูกรู้จักกับ ‘อารมณ์’

ในความเห็นของมิรา เราจะเข้าใจความทุกข์หรือเรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดไม่ได้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ยอมรับ และแบ่งแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดได้

“คำต้องห้ามที่เรากับสามีคุยกันเลยว่าห้ามพูดเด็ดขาด คือ เวลาลูกหกล้ม เราจะไม่พูดคำว่า ‘ไม่เจ็บ’ ‘ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้’ ‘เก่งมากเลย ไม่ร้องไห้’ เราจะไม่พูดเลย เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะความจริงคือมันเจ็บไง เลือดไหลขนาดนี้ มันต้องเจ็บใช่มั้ย แล้วทำไมแม่พูดว่าไม่เจ็บ?

“จริงๆ แล้ว คำพูดที่เราบอกเด็กว่า ไม่เจ็บ เราบอกใคร มันอาจเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกของเราเอง เพราะถ้าลูกร้องไห้ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่เข่าเขาเลือดไหล

เวลาที่เราบอกออกไปว่า ‘ไม่เป็นไรลูก ไม่เจ็บเลยเนอะ’ ลูกจะงง เพราะความรู้สึกเจ็บของเขา กับคำพูดของแม่มันสวนทางกัน กลายเป็นอีกหน่อยเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร เวลาเจ็บตัว ต้องเก็บไว้ใช่ไหม แล้วต้องจัดการยังไง ระบายออกก็ไม่ได้ เพราะการไม่ร้องไห้นั้นเก่งมาก แล้วยังไงต่อ?

มันจะฟอร์มเขาให้โตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่บอกว่าตัวเองร้องไห้ไม่ได้ ซึ่งการร้องไห้ไม่ได้นี่โคตรทรมาน (เน้นเสียง) เลยนะเพราะมันเป็นวิธีการระบายออกของมนุษย์”

นี่เป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่เด็กคนหนึ่งจะรับรู้ความรู้สึกของตัวเองและรู้จักพื้นที่ปลอดภัยที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้ แต่เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ เมื่อเด็กๆ เริ่มโตขึ้นและเริ่มรู้จักกับความอิจฉา โกรธ ไม่พอใจ โมโห อึดอัด สำคัญที่สุดคือต้องรู้จักว่าอารมณ์นั้นคืออารมณ์ไหน และต้องรู้จักวิธีจัดการหรือแสดงอารมณ์ ซึ่งสองอย่างนี้ มิราย้ำว่านั่นไม่เหมือนกัน

“หรืออย่างอารมณ์ลบๆ เช่น ความอิจฉา เป็นเรื่องปกติของบ้านที่มีลูกสองคนแล้วเด็กจะอิจฉากัน เป็นเรื่องปกติมาก แต่ที่บ้านเราความอิจฉานั้นปรากฏตัวขึ้นได้ พูดมันออกมาได้ เรียนรู้ได้ วันที่อารมณ์นั้นปรากฏขึ้นมา เราจะคุย จะไม่ฆ่ามันทิ้ง ไม่บอกลูกว่า ‘อิจฉาไม่ได้ อิจฉาไม่ดีนะ’ เราเอาเลย คุยเลยว่า ‘ความรู้สึกแบบนี้มันคือยังไงนะ มันขุ่นเคืองเหรอ มันแสบๆ คันๆ หมั่นไส้ หรือบางทีมือไม้มันจะอยากออกเหรอ ความรู้สึกมันมาจากไหนนะ กลัวแม่รักน้องมากกว่าเหรอ แล้วหนูคิดยังไง หนูว่าแม่รักน้องมากกว่าหนูจริงมั้ย? เวลาคิดอย่างนั้นแล้วรู้สึกยังไง’ เราก็จะคุย พาเขาระบุความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่านี่หงุดหงิด อิจฉา โกรธ ทำให้เห็นว่าแต่ละอารมณ์ไม่เหมือนกันนะ

“อารมณ์ลบมันคู่กับมนุษย์น่ะ และถ้ามันปรากฏขึ้นที่บ้าน เราดีใจนะ ดีกว่าไปเกิดขึ้นในที่ที่เราไม่เห็น เพราะในเวลาที่เราอยู่ด้วย เรามีโอกาสบอกเขา พาเขาไปรู้จักมัน สอนเขา ทำให้เห็นว่า เราดูแลได้ ให้อภัยกันได้และแก้ไขทัน”

นอกจากจำแนกแจกแจงว่าอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมันคืออะไร ขั้นต่อไปคือช่วยลูกๆ ‘เอาออก’

“โกรธได้ ไม่ผิด แต่เราเลือกวิธีแสดงออกซึ่งความโกรธได้ และสองอย่างนี้เป็นคนละเรื่องกัน คือคุณ ‘รู้สึก’ โกรธได้ เราไม่อั้น แต่ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วทำร้ายคนอื่น อันนี้ต้องคุย การระบายออกต้องมีขอบเขต อยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำร้ายคนอื่น แต่จะอั้นไว้ก็ไม่ได้ ต้องหาวิธีระบายออก อันนี้สำคัญที่แม่ต้องอยู่ด้วยเพราะเขายังเล็ก เขายังไม่รู้ได้ว่าต้องทำยังไง และการไล่ให้เขาไปอยู่ในห้อง หรือ time out แล้วจัดการกับความโกรธคนเดียว มันทำไม่ได้ ทำยังไง? (เสียงสูง)

“เราก็ไปอยู่กับเขา โกรธใช่มั้ย? ไหนเล่าให้ฟังซิ เล่าไม่ได้เหรอ? เล่าไม่ได้งั้นเขียน เขียนไม่ได้ลองขีดเส้น ระบายออกมา ตีหมอน แล้วพออารมณ์เขาเย็นลง เราค่อยชวนคุยต่อเรื่องการแสดงออก”

ยัง… ยังไม่หมดเท่านั้น ขั้นตอนนี้ยังต้องอธิบายต่อในข้อถัดไป เพราะเมื่อผิดพลาด เรียนรู้จักอารมณ์แล้ว เด็กๆ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ และ ‘แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอๆ’

หลักสูตรแกงโฮะ: แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ

มิราย้ำหนักแน่น การอยู่ข้างๆ ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย ให้ท้าย หรือปกป้องว่าลูกไม่ผิด แต่เป็น ‘เพื่อน’ เป็นฟูกนิ่มๆ ที่ให้ลูกทิ้งตัวลงนอนและปลอดภัยพอจะเล่าได้ว่า วันนี้รู้สึกอย่างไร หรือทำผิดพลาดเรื่องอะไรมา

“ข้ออื่นๆ เหมือนเป็นทฤษฎีเนอะ แต่ข้อสุดท้ายนี้เป็นเรื่อง ‘ใจๆ’ เป็นสิ่งที่พยายามบอกและทำให้เห็น คือ

ไม่ว่าลูกจะทำอะไร เราจะอยู่ข้างๆ เสมอ เช่น สมมุติว่าลูกไปทำของบ้านคนอื่นแตกแล้วเขาต้องเดินไปขอโทษ เราจะไม่ปล่อยให้เขาไปคนเดียว

“เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญความรู้สึกผิดคนเดียวจนไม่ชอบมัน และไม่กล้ายอมรับความผิด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาทำถูก ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับการกระทำของเขา แต่ทำให้เห็นว่าเขาจะมีพื้นที่ให้เริ่มใหม่ได้เสมอ เขาสามารถก้าวข้ามความรู้สึกผิดของตัวเองได้ด้วยการขอโทษ และการแก้ไขให้ถูกต้อง ทำให้เห็นว่า การผิดพลาด และการแก้ไขเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และถ้ามันยาก แม่ก็อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน เหมือนเพื่อนที่ไปไหนไปกัน และความรักของพ่อกับแม่จะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแม้ว่าลูกจะทำของบ้านใครแตก”

และอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องผิดพลาดหรือการจัดการความรู้สึกด้านลบ แม้แต่เรื่องธรรมดาอย่างการซ้อมดนตรี หรือการอยู่ข้างๆ ในวันที่ลูกเพาะพันธุ์ด้วงซึ่งอาจไม่ใช่ความหลงใหลของเธอ แม้ไม่เห็นด้วย แต่นี่ก็เข้าข่าย ‘แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ’ เช่นกัน

ประเมินหลักสูตร

สุดท้ายนี้ ถ้าให้ต้องสรุปหลักสูตร ‘แกงโฮะ’ หรือคำขวัญประจำบ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำว่าคืออะไร ทำทุกอย่างทั้งหมดนี้ อยากเห็นลูกๆ ของเธอเติบโตขึ้นมาเพื่อมีคุณลักษณะแบบไหน เธอนิ่งคิดไปนาน ก่อนจะตอบว่า

“ไม่รู้ว่าจะตอบได้ไหมนะ คิดไม่สุดเหมือนกัน แต่พูดบ่อยๆ ว่าพ่อแม่เป็นเบ้าหลอมตัวตนของลูก ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ลูกจะเป็นอย่างที่เราเป็น ทั้งหมดที่พูดมานั้นวันนี้เรายังทำได้ไม่หมด และกำลังฝึก ผิดพลาด แก้ไข ปรับเปลี่ยน และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก

เวลาเราทำอะไรไม่ถูกกับลูก เราก็ขอโทษ ทำให้เขาเห็นว่า เรายอมรับความผิดพลาด ที่จะบอกคือ ทั้งหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าพ่อแม่ไม่เป็นก่อน พ่อแม่จะพาลูกยอมรับอารมณ์ได้ ก็ต้องรู้จักยอมรับอารมณ์ของตัวเอง ลูกจะเรียนรู้เป็น เมื่อพ่อแม่เรียนรู้เป็น ลูกจะรู้จักตัวตนของตัวเองได้ เมื่อพ่อแม่รู้จักตัวตนของตัวเอง

“ตัวตนเริ่มต้นที่บ้านไม่ใช่โรงเรียน เริ่มตั้งแต่วันที่เขามีโอกาสได้เลือกอาหารที่ชอบ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สะสมมาในชีวิตเล็กๆ ของเขา เป็นเรื่องเล็กๆ ที่จะบอกเขาว่าเขามีโอกาสได้เลือกตัวตนของตัวเองบนโลกใบนี้ไหม โดยมีพ่อแม่อยู่ข้างๆ ถ้าเราฝากความหวังไว้กับโรงเรียน กับระบบการศึกษา ในห้องเรียนอย่างน้อยที่สุด คือครูหนึ่งคนต่อเด็ก 40 คน อย่างมากคือครูหนึ่งคนต่อเด็ก 60 คน เขาจะเห็นได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ชอบอะไร มีวิธีคิดอย่างไร รู้สึกอะไร ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมาโฮมสคูล หรือโฮมสคูลดีที่สุด แต่จะดีกว่าไหมถ้าโรงเรียนให้การศึกษา และพ่อแม่ก็มีหน้าที่ช่วยสังเกตตัวตน ช่วยบ่มเพาะตัวตน ช่วย ‘ระแคะระคาย’ ทำให้เขารู้จักตัวเอง ถ้าร่วมมือกันแบบนี้ได้ เด็กรอดเลยนะ”

สารภาพตามตรง ฟังมาถึงตรงนี้แล้วทำให้คิด ‘การเป็นพ่อแม่จะยากเย็นอะไรขนาดนี้’ แน่นอนว่าความเบื่อหน่ายและทุกข์ใจเกิดขึ้นหลายขณะ แต่อะไรที่ทำให้แม่คนนี้ยังสนุก และดวงตาเป็นประกายขณะเล่าวีรกรรมสุดซ่าของลูกๆ และเอ่ยปากตลอดการสนทนาหลายครั้งว่า ‘เฮ้ย มันสนุกนะ’

ชอบอะไรในการเป็นแม่ที่สุด – เราถาม?

“ชอบโมเมนต์ฟินๆ ดวงตาเป็นประกายเวลาที่เขาวิ่งมาบอกเราว่าเขาทำอะไรสักอย่างสำเร็จ โดยเฉพาะการทำโฮมสคูลยิ่งเป็นโอกาสที่ทำให้เราต้องเป็นประจักษ์พยานในความสำเร็จของลูก ถ้าให้นึกเร็วๆ จะนึกถึง ตอนที่ลูกสาวฝึกดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งมันยากมาก ซ้อมเท่าไรก็ไม่ได้ เขาพยายามอยู่กับมันนานมาก เราก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา เห็นว่าเขากำลังเผชิญความยาก แล้วพอทำได้ เขาหันมาขอไฮไฟว์กับเรา ตอนเขาหันมาสบตากับเรา เรารู้สึกเลยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเขา เขานับรวมเราเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา”

แม่บี มิรา ปิดท้ายและดวงตายังเป็นประกายอยู่

Tags:

มิรา ชัยมหาวงศ์พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)โฮมสคูลFlock Learning

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Family Psychology
    FLOCK LEARNING: มาคุยกันหน่อยได้ไหม ทำไมฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วลืมความสุขของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ‘น้อย พรู’ อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน PASSION คือเพลงและลูก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น
Life classroom
10 August 2018

BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

เรื่องและภาพ SHHHH

ปลายปี 2017 ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตเปิดเผยตัวเลขน่ากังวลพบว่า วัยรุ่นไทยมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าถึง 44 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นตัวเลขง่ายๆ คือ 3 ล้านคน จากการศึกษาวัยรุ่นทั่วประเทศอายุระหว่าง 10-19 ปี พร้อมกันนั้นยังคาดการณ์ว่า มีวัยรุ่นที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน

พวกเขามัก ‘ใจร้ายกับตัวเอง’ จนนำไปสู่ความเครียดและโรคซึมเศร้า

เช่น ชอบตะโกนใส่ตัวเองซ้ำๆ ว่า ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ และวัยรุ่นถือเป็นจุดพีค

ปัจจัยขับเคลื่อนทางจิตวิทยาที่ก่อให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้นในสังคมทุกวันนี้คือ ความหวาดกลัว (fear) ความไม่แน่นอน (uncertainty) และไร้การควบคุม (lack of control)

หนึ่งในวิธีทุเลาอาการ คือ Self-compassion  แปลเป็นไทยว่า การเมตตาต่อตัวเอง คือความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจข้อผิดพลาดในชีวิต ตระหนักรู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง เห็นอกเห็นใจและให้อภัยต่อตัวเอง ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษและไม่ลงโทษตัวเอง

Self-compassion ถูกหยิบยกมาพูดครั้งแรกโดย คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัส (University of Texas) สำหรับบำบัดผู้ป่วยทางจิตที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อลดอาการเจ็บปวดทางใจ เปิดใจยอมรับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว มองทุกอย่างด้วยสติ โดยเนฟฟ์ยังชี้อีกว่า Self-compassion ช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจและมาตรฐานการทำงานให้สูงขึ้นภายใต้ความคิดว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องใจร้ายกับตัวเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จ’

เรเชล ซิมมอนส์ (Rachel Simmons) ผู้เขียนบทความเรื่อง ‘The Promise of Self-compassion for Stressed-out Teens’ ลง New York Timesกล่าวว่า Self-compassion เป็นอุปนิสัยที่ช่วยลดอาการโลกแตก หัวร้อนและความเครียดของวัยรุ่น

จากประสบการณ์ของเรเชลนั้น อุปนิสัยที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีความเสี่ยงว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้ามีเหมือนกันนั้นคือ การชอบวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง (Self-criticism) และมีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (self-consciousness) สูง เช่น ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ เป็นต้น โดยเฉพาะเด็กหญิงช่วงวัยมัธยมจะมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้มากที่สุดและมี Self-compassion ต่อตนเองน้อยที่สุด

“ช่วงวัยรุ่นถือเป็นจุดพีคของความเครียดของชีวิตและวัยรุ่นที่มีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (Self-consciousness) สูง พวกเขาจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองภายในสูงกว่าคนอื่น” เรเชลกล่าว

ขีดเส้นใต้หนาๆ เอาไว้ว่า Self-compassion ไม่ใช่การปลอบใจให้ตัวเองรู้สึกดีไปวันๆ แต่เป็นการเตือนใจให้พวกเขารู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้มีคุณค่า กล่าวคือ การปรับทัศนคติทางความคิดให้ค่อยๆ ยอมรับความผิดพลาดของตนเองเพื่อที่จะกลับไปเดินตามเส้นทางที่ตั้งเป้าเอาไว้อย่างมีสติ

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นจิตวิทยา

Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง
Creative learning
9 August 2018

‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เลิกเรียนแล้วได้วิ่งเล่นอยู่กลางทุ่งนา ร้องเพลง เล่นดนตรีท่ามกลางธรรมชาติ ช่างเป็นภาพที่เป็นไปได้ยาก แต่โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง ทำให้มันเป็นจริงได้
  • สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเด็กก็คือ ‘จินตนาการ’ เพราะจินตนาการจะพาชีวิตไปเจอความงาม และจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความแตกต่างของคน หรือที่เรียกว่า อัตลักษณ์ของคน
  • การเล่นนอกห้องเรียน นอกจากสร้างพัฒนาการให้เด็กได้แล้ว ยังเปลี่ยนบุคลิกภาพและนิสัยของเด็กให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้อีกด้วย
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

โอ่..โอ้…โอ…โอ่
แสงแห่งยามเช้าส่องกระทบตัว หมู่หมอกสลัวทอดยาวขาวพราวตา
วิหกเจ้าผกผินบินล้อลอยลมบน เหมือนดั่งชีวิตคนออกทำมาหากิน
ป่าดงพงไพรกว้างใหญ่เหลือคณา ฉันเดินออกค้นหาเส้นเสียงแห่งเสรี
อย่ามัวรีรอคอยฟ้าคอยฝนดลเกิดมาเป็นคนอย่าจนจิตใจ
ไปเถิดเราไปเรียนรู้โลกกว้างใหญ่ผ่านเป็นบทเพลงกู่ร้องกล่อมไพร
โอ่…โอ้…โอ…โอ่…

เสียงร้องเพลงกล่อมไพรของ ‘เก่ง’ นริศรา ตระกูลศรี เด็กสาวชั้น ม.6 เคล้าด้วยพิณเสียงใสๆ ของ ‘ท็อป’ ธนโชติ เฉลิมศิลป์ หนุ่มน้อยชั้น ป.4 ดังทั่วทุ่งนาเขียวขจี ที่โอบล้อมด้วยภูเขาจำนวนเกินนิ้วนับ

กว่า 3 นาทีของเสียงเพลง ทั้งคู่ไม่มีท่าทีเขินอาย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้อวดโอ้ว่าตัวเองเก่ง แววตาของเก่งและท็อปฟ้องว่า พวกเขาตั้งใจร้องให้ผู้มาเยือน ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ฟังจริงๆ

ผู้ก่อตั้งโรงเรียนกับคนแต่งเพลง คือ คีตา วาริน ซึ่งเป็นคนตำบลถาวร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยกำเนิด และเป็น ‘ครูลี่’ ของเด็กๆ

ครูลี่ คีตา วาริน

“เมื่อก่อนผมเป็นนักดนตรี เดินสายไปทั่วประเทศ จากบ้านไปเกือบยี่สิบปี แล้ววันหนึ่งเรากลับมาเพื่อดูแลพ่อแม่ ท่านก็อายุเยอะแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือวิถีของผู้คนเปลี่ยนไป เด็กๆ อยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์ ผู้คนขาดการแบ่งปัน มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เราไปเก็บเห็ดบนภูเขา กลับมาเราก็เอามาขายให้กัน ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ใช่ เมื่อก่อนเป็นการให้

สิ่งที่ผมสะเทือนใจกับหมู่บ้านของผมคือ พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนหนุ่มสาวทิ้งบ้าน เดินทางไปกรุงเทพฯ ไปเมืองท่าอุตสาหกรรม ทิ้งลูกหลานไว้กับปู่กับย่า ให้เขาเผชิญชีวิตตามลำพัง เงินคือเป้าหมายอย่างเดียว ตอนนี้พ่อแม่กำพร้าลูก ไม่ใช่ลูกกำพร้าพ่อแม่ ไร่นาก็ไม่มีใครทำ ลูกก็ไม่มีใครสอน แล้วสิ่งที่เขาหามา ผมว่ายังไงก็ไม่คุ้มค่า

จึงมาเปิดโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ การเปลี่ยนแปลงของสังคม อีกสาเหตุหนึ่งคือเราทำแล้วเรามีความสุข เมื่อไหร่ที่เราได้มองแววตาที่มีความสุขของเด็ก นั่นคือเงินเดือน ค่าจ้างผม มันอิ่ม มันละมุน มันบอกไม่ถูกแต่มันรู้สึกได้”

ใบสมัครสีเขียวๆ

ทุกๆ วันเมื่อท็อปและเก่งเลิกเรียน แม่จะรับมารับที่โรงเรียน กลับบ้านอาบน้ำกินข้าว จากนั้นแม่จะมาส่งที่โรงเรียนของครูลี่ มีเพื่อนๆ แบบนี้อีกสิบกว่าคน

เมื่อมาถึงโรงเรียน สิ่งที่ท็อปและเก่งทำเป็นอันดับแรกคือ เดินตรงมาที่ ‘ใบสมัคร’ ของตัวเอง

ใบสมัครที่ว่านี้ หน้าตาสีเขียวๆ ต้องการความดูแลใส่ใจทุกวัน

“ใบสมัครคือแปลงผัก หลังจากเลิกเรียนก็จะมาดูแลใบสมัครของตัวเอง มารดน้ำผัก มาพรวนดิน” เก่งอธิบายไปยิ้มไป

ต้นคิดใบสมัครกินได้คือ ครูลี่

“เด็กหนึ่งคนจะมีแปลงผักหนึ่งแปลง ก่อนเข้ามาเรียน หรือแปลงเดียวสองคนก็ได้ ผมใช้แผ่นดินเป็นกระดาษ ใช้จอบเป็นปากกาในการวาดใบสมัคร แล้วเขาจะวาดชีวิตเขาในแปลงผัก ผักหนึ่งแปลงมันจะบ่งบอกตัวตนของเด็กๆ เลย ว่าเขาเป็นคนอย่างไร

เช่นคนที่ไม่เอาใจใส่แปลงผักตัวเอง นั่นคือเขาไม่เอาใจใส่ชีวิตของเขา ความรับผิดชอบน้อย ถ้าจะรวบไปถึงดนตรี ถ้าเขาดูแลแปลงผักไม่ได้ เขาก็จะเล่นตรีไม่ได้เหมือนกัน เช่น ไวโอลิน ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่ไม่มีบันไดเสียง คุณต้องใช้ความแม่นยำมากในการที่จะพานิ้วไปให้ได้ตรงโน้ต ต้องใช้ความเพียร ใช้การสังเกต ใช้ความรับผิดชอบ”

หลังจากดูแลใบสมัครเสร็จ ทุกคนก็เริ่มฝึกซ้อมดนตรีตามความถนัดของตัวเอง เช่น เก่ง ก่อนจะมาร้องเพลง เธอเคยเล่นทั้ง อูคูเลเล่ โปงลาง ไวโอลิน ล่าสุดมีโปรเจ็คท์จะเล่นพิณ งานนี้เก่งวางแผนฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ของรุ่นน้องวัย 9 ขวบอย่างท็อป

“สอนพิณให้เก่งน่าจะยากนะครับ” ครูท็อป-ยังไม่ทันจะสอนก็แซวศิษย์พี่ซะแล้ว

ส่วนท็อป พิณคือวิชาแรกหลังดูแลใบสมัครจนผ่าน แถมพูดดังๆ ด้วยว่า “เล่นพิณไม่ยากครับ”

“ที่เห็นผมย่ำเท้าตลอดในคลิป ไม่ได้ตื่นเต้นครับ เท้ามันไปเอง (ยิ้ม) แต่เราต้องมีจังหวะในใจ เข้ามาแรกๆ ผมเล่นพิณไม่เป็นเลย ก็ได้ฝึกจังหวะ เขย่าน้ำเต้า เดินจากโน่นไปนี่บ้าง แล้วก็ย่ำเท้า ซ้ายขวาซ้ายไปเรื่อยๆ แล้วจังหวะมันก็ได้ ค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้น”

โรงเรียนที่อยากไปทุกวัน

เสาร์อาทิตย์ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งสวรรค์ของเด็กๆ โรงเรียนเล็กฯ เลยก็ว่าได้ เด็กทุกคนจะมานอนและใช้ชีวิตที่โรงเรียนตั้งแต่คืนวันศุกร์ถึงค่ำของวันอาทิตย์ กิจกรรมที่เด็กๆ จะได้ทำคือ เดินป่า ปั่นจักรยาน เก็บเห็ด เล่นน้ำ เป็นต้น แต่ละกิจกรรม เด็กจะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน แสดงความคิดเห็น และที่สำคัญคือการใช้จินตนาการ

“ดนตรีคือความละมุนภายใน ดนตรีสำหรับผม ผมจะไม่ให้เด็กท่องจำ ผมจะล้อมวงเด็ก แล้วให้ทุกคนออกความคิดเห็นว่า ตรงนี้จะทำอะไร ท่อนนี้ควรจะร้องยังไง เราอยากให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น แต่เราก็จะคุมหางเสืออยู่ หรืออย่างทำบ้านดิน บ้านดินเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบบ้าน ไม่มีกฎเกณฑ์กับเด็ก อย่างแปลงผัก เด็กคนหนึ่งปลูกผัก แปลงแค่นิดเดียวแต่ปลูกห้าอย่าง ผมก็จะบอกว่า เอาเลย ทำเลยลูก แต่เราดูอยู่ห่างๆ

“การที่จะให้เด็กเก่ง หนึ่ง ต้องปล่อยให้เขาเผชิญ ต้องกล้าให้เขาได้ไปเผชิญและใช้จินตนาการ แต่ทุกวันนี้เด็กๆ ไม่ได้เผชิญ เด็กๆ มีแต่ท่องจำเพื่อเอาไปสอบ หวังผลแต่กับคะแนนเสียมากกว่า” ครูลี่กล่าว

เก่งชอบเล่นน้ำมากที่สุด ส่วนท็อปก็ชอบเล่นน้ำเหมือนกัน เพิ่มเติมคือเดินป่า ท็อปเล่าด้วยใบหน้าเขินอายว่า

“ที่ทุกคนเห็นในคลิปเล่นดนตรีของพวกเรา เห็นว่าพวกเรายิ้มแย้ม ที่จริงแล้วมันจะมีข้อตกลงครับ ถ้าเราเล่นแบบยิ้มแย้มแจ่มใส เทคเดียวผ่าน ครูจะพาไปเล่นน้ำ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเราสามารถเล่นได้เทคเดียวผ่าน เวลาเล่นน้ำของพวกเราเลยลดน้อยลง”

เมื่อวันอาทิตย์สิ้นสุดลง วันจันทร์ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ทุกเช้าที่ต้องตื่นไปโรงเรียนช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนลำบาก ยากมากกว่าจะลากตัวเองออกมาจากเตียงได้

“ความรู้สึกตอนไปโรงเรียน กับไปโรงเรียนเล็กฯ ต่างกันมากเลยค่ะ ตื่นเช้าไปโรงเรียนรู้สึกว่าใจไม่ค่อยอยากไป เหนื่อย แต่ว่าหลังจากเลิกเรียนแล้ว เราตื่นเต้นที่จะมาโรงเรียนเล็ก เวลาเรียนเราก็นั่งรอว่า เอ…เมื่อไหร่จะเลิกเรียนสักที จะได้มาที่นี่ จะได้มาเจอเพื่อนๆ มาดูแลใบสมัครของตนเอง แล้วอีกอย่างวิวที่นี่ก็สวยดี ได้เจอทุ่งนา ได้อยู่กับธรรมชาติ รู้สึกว่ามันโล่ง ไม่แออัด อยู่แล้วรู้สึกสบายใจ”

มือพิณของเราก็สารภาพเสียงอ่อยๆ ว่า ตอนเช้าก็ไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนกัน

“เพราะว่ามันไม่มีอะไรสนุกเลย อยู่แต่ในห้อง แต่ถ้ามาที่โรงเรียนเล็กฯ ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนไม่ซ้ำกันเลย” ท็อปพูดเสียงเบาๆ

จินตนาการ สร้าง ความเป็นคน

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างมีกิจกรรมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เล่นดนตรี ปลูกผัก แสดงละคร ทั้งหมดนี้เป็นวิชาสร้างจินตนาการสำหรับครูลี่

“ทุกวันนี้เด็กโดนทำร้ายจากการขาดจินตนาการ เด็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึง สิบสองปี เป็นช่วงที่เขากำลังสร้างจินตนาการให้กับตัวเอง สองปีถึงยี่สิบปี เป็นวัยที่อยากเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น และวัยยี่สิบปีเป็นต้นไปเป็นวัยที่เขาต้องเผชิญโลก”

ครูลี่บอกว่า จินตนาการเป็นเรื่องสำคัญมาก จินตนาการจะพาชีวิตไปเจอความงาม จินตนาการบ่งบอกถึงความแตกต่างของคน บ่งบอกถึงความงามของแต่ละคน แต่ทุกวันนี้เด็กถูกปลูกฝังให้ทำอะไรเหมือนๆ กัน อย่างการอ่านหนังสือเพื่อไปสอบ

“ทุกวันนี้เด็กสามขวบเข้าโรงเรียนแล้ว ผมไม่เรียกโรงเรียนนะ ผมเรียกว่าคอก แล้วเลี้ยงเหมือนไก่พันธุ์ ทุกคนให้อาหาร ถึงเวลาตอนเช้าแปดโมง เคารพธงชาติ เที่ยง ตีระฆัง ไล่ออกจากจากคอก บ่ายเข้าคอก เย็นตีระฆัง วนแบบนี้ห้าวัน ขาขาดการวิ่งเล่นในโลกกว้างๆ ทุ่งกว้างๆ”

ครูลี่ย้ำว่าคนเป็นสัตว์ที่ต้องอยู่กับธรรมชาติ แต่วิถีปัจจุบันกำลังทำให้คนเหินห่างจากธรรมชาติ และความห่างเหินจากธรรมชาติจะทำให้คนแปลกแยกจากธรรมชาติ

“แปลกแยกหมายถึง อยู่กับธรรมชาติ แต่ใจไม่อยู่กับธรรมชาติ ใจมันไปอยู่ที่อื่น ใจมันไปอยู่ที่เงิน อยู่กับการเป็นหนี้ หรือเป็นทุกข์กับครอบครัว แล้วเด็กที่ขาดจินตนาการ พอเขาโตขึ้น ชีวิตของพวกเขาจะหาความงามไม่ได้ เพราะถ้าขาดจินตนาการแล้ว ชีวิตจะกลายเป็น copy ชีวิต ทุกวันนี้การ copy ชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก แต่ผมมองว่าเป็นภัย เพราะเราจะไม่มีวิถีชีวิตที่หลากหลาย ถ้าความหลากหลายของชีวิตน้อยลง เราจะหาความงามไม่เจอ”

Before & After ของเก่งและท็อป

2 ปีแล้วที่เก่งและท็อปเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเล็กฯ ทั้งคู่บอกว่า before และ after ต่างกันลิบลับ

เก่งยกมือตอบก่อนเลยว่า รู้สึกตัวเองเปลี่ยนไปมาก จากเด็กชอบเล่นโทรศัพท์ ชีวิตติดทีวี มาวันนี้มีความรับผิดชอบเข้ามาแย่งเวลาไปหมด

“นอกจากใบสมัคร (แปลงผัก) แล้วก็ยังต้องซ้อมดนตรี ตรงต่อเวลาในการซ้อม ฝึกวินัยด้วย พอเรามาเรียนที่นี่ การบ้านก็จะเยอะ เราต้องแบ่งเวลา นี่ก็เป็นการฝึกการแบ่งเวลา ฝึกความอดทนด้วย”

แสบที่สุดต้องยกให้ ท็อป หนุ่มน้อยโดนฝึกหนักกว่าเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่น โทษฐานที่เป็นหลานแท้ๆ ของครูลี่

“เจ้าท็อป สายพิณ คนนี้แสบ คนนี้คือหลานแท้ๆ เป็นคนแรกที่มาเรียนกับผม 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่เชียงใหม่ วางแผนจะกลับบ้าน ระหว่างนั้นไปกลับเชียงใหม่-บุรีรัมย์บ่อยมาก ก็จะเจอเจ้าท็อป หยอกบ้าง เล่นบ้าง ตอนเช้าผมก็พาไปวิ่ง ว่ายน้ำ แต่พอผ่านไปแค่ปีเดียว ผมกลับมา แววตาของเขาเปลี่ยนไปหมดเลย เหม่อลอย แล้วค่อนข้างก้าวร้าว แล้วก็เป็นเด็กที่เรียกร้อง เพราะเขาก้มหน้าอยู่แต่กับจอโทรศัพท์ทั้งวัน นั่นแสดงว่าโทรศัพท์กำลังสอนเขาให้เขาเป็นคนแบบนั้น เขาเรียกร้องจากพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เราก็เลยคิดว่าเราจะทำยังไงดี พอเขามาอยู่กับเรา เราเริ่มเล่นกับเขา พอเราเล่นบ่อยๆ เขาก็เริ่มห่างจากโทรศัพท์ ผมก็เลยมาสรุปได้ว่า

การแก้ไขปัญหาคือการเปลี่ยนกิจกรรม แค่เปลี่ยนกิจกรรม ให้เขาปลูกผักบ้าง เล่นละครบ้าง ว่ายน้ำบ้าง ปั่นจักรยาน ผมทำหลากหลายมาก แล้วเราก็มาตกผลึกว่า เราทำวิธีนี้เด็กเปลี่ยนนะ แม้ว่ายังคงเล่นมือถืออยู่ แต่เล่นเป็นเวลา ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะแล้ว”

พฤติกรรมเปลี่ยน แล้วนิสัยล่ะ?

“คิดว่าดีขึ้นค่ะ (ยิ้ม) แต่ก่อน จะเป็นคนร้อนแรงมาก อย่างเวลาอยู่ครอบครัว ยายจะชอบบ่น แล้วเราไม่ชอบ จะมีอารมณ์แล้วก็โต้ไปด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร พอเรามาอยู่ที่นี่ครูลี่ก็สอนเรื่องการจัดการกับภายใน จัดการกับอารมณ์ พอเรารู้ตรงนี้ เราก็เอาไปปรับใช้กับยาย กับครอบครัวดู

พอเราเข้าใจเรื่องภายในแล้ว พอยายบ่น เราก็เข้าใจว่าที่ยายบ่นก็เพราะว่าหวังดี เลยไม่ตอบโต้ไป เพราะว่าเบื้องหลังคำด่า คำว่าของยาย เพราะแกเป็นห่วง เพราะแกรักเรา เราต้องขอบคุณแกมากกว่าที่เตือนเรา” after ของเก่ง

อดีตนักก้มหน้าอย่างท็อปก็บอกว่า “ผมว่าผมนิสัยดีขึ้นครับ”

“ตอนแรกอยู่บ้านชอบเล่นเกม เล่นไม่เป็นเวลา พอแม่กับพ่อเตือน เราก็ด่าในใจ แล้วก็เดินหนี”

ด่าว่าอะไร?

“แหม เล่นแค่นิดหน่อยไม่ได้ (ยิ้มเขิน) พอมาอยู่โรงเรียน ครูลี่สอน สมมุติถูกครอบครัวด่า เราก็ต้องมารู้สึกตัว กลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ด่ากลับ แต่เปลี่ยนมามองว่าที่เขาด่า เพราะเขาหวังดีกับเราจริงๆ”

วิชา Reset แก่นของชีวิต

“ความรู้ที่เราเรียนจากที่นี่ มันได้ทั้งวิชาชีพและวิชาชีวิต วิชาชีพคือวิชาที่สามารถเลี้ยงชีพเราได้ เป็นอาชีพของเรานั่นเอง ส่วนวิชาชีวิตเป็นเรื่องการจัดการภายในของเรา อันนี้โรงเรียนในระบบไม่มีสอนค่ะ แต่โรงเรียนครูลี่มีสอน”

สำหรับเก่ง สิ่งที่นำไปใช้ได้แน่นอนคือ เรื่องการจัดการกับภายใน

“เราเรียกวิชานี้ว่า reset คือการกลับมารู้สึกกับตัว ออกจากความคิดแล้วมาอยู่กับความรู้สึกตัว เราจะไม่ฟุ้งซ่าน พอเราออกจากโรงเรียนเล็กไปแล้ว เราต้องออกไปทำงาน หรือออกไปเรียนต่างจังหวัด ต้องเจอสังคมอื่นๆ ต้องเจอปัญหา เราก็เอาวิชา reset ไปใช้”

ครูลี่ อธิบายให้กระจ่างว่า วิชา reset ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์อีกที คือการฆ่าเชื้อร้ายในกระแสใจ

“สมมุติว่าร่างกายกินอาหารแล้ว ร่างกายเป็นพิษ แล้วร่างกายไม่สบาย เราต้องขับถ่ายออกมา เช่นกัน ถ้าอาหารใจติดเชื้อ ถ้ามันติดเชื้อในกระแสใจ มันจะขับถ่ายยังไงอันนี้คือสาเหตุ เรารู้อาหารกายก่อน คือข้าว คือน้ำ อาหารใจคือ อารมณ์

อารมณ์มีสองแบบ คือ ชอบกับชัง เราจะอยู่อย่างไรกับสิ่งที่ชอบ แล้วเราจะอยู่อย่างไรกับสิ่งที่ไม่ชอบ

“มันคือการตัดวงจรความคิด ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส พวกนี้เป็นประตูทำให้เกิดอารมณ์ ใจเป็นประธาน แล้วตัดสินสองอย่างคือ ชอบกับไม่ชอบ แล้วถ้าไม่ชอบเมื่อไหร่ ทำยังไง อันนี้คือประเด็น

มันคือการกลับมารู้สึกตัว ถ้าเราเจอสิ่งที่เราไม่ชอบ เช่น สอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด กระโดดตึกตาย ทำไมแค่เรื่องสอบไม่ติด ถึงต้องโดดตึกตาย เพราะว่าเขาออกจากความคิดนั้นไม่ได้ เราต้องตัดวงจร มันคือต้องกลับมารู้สึกตัว นี่คือการลดน้ำหนักของเรื่องราวให้มันเบาลง เป็นการเยียวยาใจตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือต้องให้เขารู้สึกถึงสิ่งที่เขาทั้งชอบและไม่ชอบ แล้วก็จัดการกับมัน”

ท้้งหมดนี้คือวิชาชีวิตที่ครูลี่อธิบาย ซึ่งหาไม่ได้จากห้องเรียนสี่เหลี่ยมและกระดานดำ แต่ต้องวิ่งออกไปในทุ่งกว้างๆ เท่านั้นถึงจะเจอ

Tags:

การเล่นครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
EF (executive function)
6 August 2018

เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ระหว่างที่เรายังไม่เห็นงานวิจัยระยะยาวของประเทศไทย มีงานวิจัยระยะยาวจากต่างประเทศบางเรื่อง คัดเลือกเฉพาะเรื่องใหม่ๆ ให้เราได้อ่าน พิจารณา และคิดตาม

มีเพียงพ่อแม่ส่วนน้อยในบ้านเราที่กล้าหาญและมีทุนมากพอจะต้านกระแส นั่นคือพยายามที่จะมิให้ลูกเรียนหนังสืออย่างจริงจังมากเกินไปก่อนอายุ 7 ขวบ ในความเป็นจริงแล้วเกือบทุกบ้านส่งลูกไปโรงเรียน แต่พยายามที่จะคัดเลือกโรงเรียนที่ไม่มีการเรียนการสอนและเน้นการละเล่นเพื่อเตรียมความพร้อม

สำหรับโฮมสคูล เด็กที่เรียนโฮมสคูลรุ่นแรกๆ จบมหาวิทยาลัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพวกเขาทำได้ เหมือนที่โรงเรียนทั่วประเทศทำได้ นั่นคือให้การศึกษาที่พอเพียงต่อการดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดเท่าที่จะดีได้

สำหรับโรงเรียนที่มิใช่โรงเรียนทางเลือก และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่มีทางเลือก อาจจะเพราะต้องปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำหรือไม่กล้าต้านกระแสเรียนหนังสืออย่างจริงจังของคนรอบข้าง ที่ท่านควรรู้คืออะไรที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็กตามที่ประเทศพัฒนาแล้วทำกัน ส่วนเรื่องจะทำได้หรือทำไม่ได้ เราจะค่อยๆ คุยกันในบทต่อๆ ไป

งานวิจัยระบาดวิทยาระยะยาวติดตามเด็กนิวซีแลนด์ 1,000 คนจากวัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่าคะแนนการควบคุมกำกับตนเอง (self-regulation) ทำนายผลลัพธ์ของชีวิตที่ดีกว่า ทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย การใช้สารเสพติด ฐานะการเงิน ประวัติการก่ออาชญากรรม ทั้งนี้โดยไม่สัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจของบ้านหรือเชาวน์ปัญญา (IQ) – Moffitt etal (2011) .A gradient of childhood self-control predicts health, wealth and public safety. Proceedings of the National Academy of Sciences of USA, 108 (7), 2693-2698. อ้างอิงใน Lynn Meltzer. Executive Function in Education, from theory to practice, 2nd edition, 2018. New York: Guilgord Press. p.66.

การควบคุมกำกับตนเอง หรือ self-regulation นี้เป็นปฐมบทของสิ่งที่เรียกว่า Executive Function (EF) ซึ่งเป็นตัวทำนายการใช้ชีวิตในอนาคตได้ดีกว่า IQ หรือผลการเรียน คือ การควบคุมตนเองให้สามารถทำงานยากได้เป็นเวลานานอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องการสมองส่วนหน้าที่ดี และสมองส่วนหน้าที่ดีนั้นได้จากการเล่นในช่วงปฐมวัยมากกว่าการเรียนหนังสือ

อีกงานหนึ่ง จากการติดตามเด็กอนุบาลจำนวน 753 คนจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (young adulthood) พบว่าความสามารถในการควบคุมกำกับตนเองเป็นตัวทำนายผลลัพธ์ที่ดีด้านการศึกษา การจ้างงาน ประวัติการก่ออาชญากรรม การใช้สารเสพติด และปัญหาสุขภาพจิต – Jones etal (2015). Early social-emotional functioning and public health: The relationship between kindergarten social competence and future wellness. American Journal of Public Health, 105 (11), 2283-2290. อ้างแล้ว

งานวิจัยชิ้นนี้อ้างถึงการควบคุมกำกับตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าความสามารถเชิงสังคมคือ social competence ซึ่งนำไปสู่วิวาทะที่สำคัญของบ้านเราคือมีความจำเป็นมากน้อยเพียงไรที่เด็กๆ จะต้องไปโรงเรียนเพื่อให้มีสังคมหรือทักษะสังคม ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าโรงเรียนบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทั่วไปหรือโรงเรียนทางเลือกมีบุคลากรที่มีความรู้ทางจิตวิทยามากพอจะช่วยเหลือเด็กหรือไม่ ทั้งนี้ยังไม่นับคำถามท้าทายคือเด็กโฮมสคูลจะเป็นเด็กที่ไม่มีสังคมจริงหรือ ซึ่งเชื่อว่าพ่อแม่ของเด็กโฮมสคูลที่เติบใหญ่แล้วจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ได้

อีกชิ้นหนึ่ง งานวิจัยระยะยาวในเดนมาร์ก ศึกษาข้อมูลประชากรตั้งแต่ข้อมูลการตั้งครรภ์ การคลอด การเข้าโรงเรียนเมื่ออายุ 6 ปี แล้วติดตามไปจนถึงอายุ 7 และ 11 ปี เพื่อดูภาวะสุขภาพจิต โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่เริ่มเรียนเมื่อต้นปี คืออายุ 6 ขวบเล็กน้อย กับกลุ่มที่เริ่มเรียนเมื่อปลายปี คือเกือบจะ 7 ขวบ รวมทั้งสิ้น 50,000 ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่เริ่มเรียนช้ากว่า จะมีปัญหาสมาธิสั้น (attention deficit) และอยู่ไม่นิ่ง (hyperactive) น้อยกว่าเด็กที่เริ่มเรียนเร็วกว่า – Health Thomas S. Dee and Hans Henrik Sievertsen. The Gift of Time? School Starting Age and Mental. NBER Working Paper No. 21610, October 2015.

ผลการศึกษานี้มิได้แปลว่าเข้าเรียนเร็วกว่าเกิดโรคสมาธิสั้นมากกว่า ไม่เกี่ยวกัน ที่จริงการศึกษาข้อมูลประชากรลักษณะนี้เป็นเรื่องที่บ้านเราทำได้เลยหากต้องการ อาจจะมีปัญหามากตอนที่ไล่ติดตามข้อมูลเด็ก 50,000 คนว่าบัดนี้กระจัดกระจายไปที่ใดและจะควบคุมตัวแปรและตัวกวนตลอดชีวิตได้อย่างไร

อีกชิ้นหนึ่งคล้ายชิ้นที่แล้ว จากเยอรมนี ปี 2012 รายงานการศึกษาเด็กเล็ก 360 คนจากเขตไรน์-เน็คคาร์ตอนกลางของเยอรมนี พบว่าไปโรงเรียนช้ากว่ามีอุบัติการณ์ของภาวะอยู่ไม่นิ่งลดลง และเด็กมีสมาธิจดจ่อดีกว่าเมื่อตรวจวัดที่อายุ 8 ขวบ – Muhlenweg A etal (2012): Effects of age at school entry (ASE) on the development of non-cognitive skills: Evidence from psychometric data. Economics of Education Review, 31 (3), 68-76.

และอีกชิ้นหนึ่ง จากนอร์เวย์ ปี 2011 รายงานการศึกษาปัญหาสุขภาพจิตในทหารเกณฑ์ใหม่ พบว่าทหารเกณฑ์ที่มีประวัติไปโรงเรียนช้ากว่า 1 ปี ลดปัญหาสุขภาพจิตลงไปอย่างมีนัยสำคัญ – Black etal (2011): Too young to leave the nest? The effects of school starting age. The Review of Economics and Statistics, 93 (2), 455-467.

รายงานฉบับหลังนี้เป็นเรื่องที่ทำวิจัยซ้ำได้ไม่ยากเช่นเดียวกัน บ้านเรามีทหารเกณฑ์มากมายจากหลากหลายสถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจให้รอสำรวจ น่าสนใจมากว่าทหารเกณฑ์บ้านเรามีปัญหาสุขภาพจิตมากน้อยเพียงไร และนักวิจัยสามารถกำจัดตัวแปรได้หรือไม่ว่าปัญหาสุขภาพจิตเหล่านั้นสัมพันธ์กับอะไร

อีกชิ้นหนึ่ง รายงานจาก NIH ปี 2007 ติดตามเด็กมากกว่า 900 คนจากอายุ 54 สัปดาห์ถึงประถม 3 โดยควบคุมตัวแปรทางครอบครัวไว้แล้วพบว่าเด็กที่เข้าอนุบาลเร็วกว่าทำคะแนนด้านการรู้จักตัวอักษร-คำ สูงกว่า แต่คะแนนด้านภาษา ความเข้าใจ และการคิดเชิงคณิตศาสตร์ต่ำกว่าเด็กที่เข้าอนุบาลช้ากว่า เด็กที่เข้าอนุบาลช้ากว่าพบว่าคะแนน 4 ด้านนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างต่อเนื่องและอย่างชัดแจ้ง คือ รู้จักตัวอักษร-คำ การแก้ปัญหา ความจำรูปประโยค และคำศัพท์จากรูปภาพ

และเมื่อถึงประถม 3 สามารถทำคะแนนการแก้ปัญหาและคำศัพท์จากรูปภาพได้สูงกว่าเด็กที่เข้าเรียนเร็วกว่า ทั้งนี้โดยเป็นอิสระจากสถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจ -NICHD Early Child Care Research Network. Age of Entry to Kindergarten and Children’s Academic Achievement and Socioemotional Development. Early Education Development 2007; 18 (2): 337-368.

งานชิ้นนี้เป็นไปตามที่เรากังวลกันมานาน กล่าวคือการเร่งเรียนเร็วอาจจะทำให้เด็กดูคล้ายจะอ่านออกเขียนได้เร็ว แต่มิได้พิสูจน์ว่าการอ่านเอาเรื่อง เก็บประเด็น และความสามารถวิพากษ์จะดีตามไปด้วย อีกทั้งการคิดเลขได้เร็วมิได้บอกว่าความสามารถด้านตรรกหรือการให้เหตุผลจะดีตามไปด้วย ที่จริงแล้ว หากเพียเจต์ถูก แน่นอนว่าใครๆ ก็สามารถพูดได้ว่าเพียเจต์ผิด แต่ถ้าเพียเจต์ถูก ความสามารถด้านการอ่านเอาเรื่อง วิพากษ์ และตรรกเหล่านี้มิได้เกิดจากการเรียนหนังสือแต่เกิดจากการเล่น

ปิดท้ายด้วยงานจากประเทศไทยที่กัลยาณมิตรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่งมาให้ คือ การศึกษาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์และการมีจิตสาธารณะเพื่อการพัฒนาศักยภาพการเป็นคนดีคนเก่งของนักเรียนไทย พ.ศ. 2559 โดย รศ.ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ และ ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า พบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ที่ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมากของเด็กไทย และมีความสัมพันธ์กับจิตสาธารณะด้วย

โดยทีมวิจัยชุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยเกี่ยวข้องที่สำคัญคือเรื่องความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างพื้นฐาน ดังที่ทราบว่าจิตสาธารณะใช้กลไกทางจิตที่เรียกว่า altruism อันเป็นกลไกที่พัฒนาได้ดีในช่วงวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ซึ่งเป็นพัฒนาการช่วง abstract operation และการคิดวิเคราะห์นั้นจะขาดซึ่งวิธีคิดเชิงนามธรรม (abstract thinking)ไปมิได้ สอดคล้องกับผลวิจัยของนักวิจัยไทยชุดนี้ที่พบว่าจิตสาธารณะแปรตามความสามารถในการคิดวิเคราะห์

กล่าวคือหากเด็กไทยคิดวิเคราะห์ไม่ได้ จะมีผลกระทบต่อจิตสาธารณะ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์และแนวโน้มที่สังคมของเรากำลังเผชิญอยู่

ระหว่างรองานวิจัยระยะยาวของบ้านเราว่าที่แท้แล้วการเร่งเรียนก่อนวัยอันควรมีประโยชน์หรือไม่และมีประโยชน์อย่างไร นักวิชาการจำนวนหนึ่งเห็นความร้ายแรงของสถานการณ์ที่รอไม่ได้เพราะเด็กไทยอยู่ยากมากขึ้นทุกวัน ยอดผู้ป่วยจิตเวชเด็กที่ถูกส่งไปจากระบบการศึกษาปฐมวัยมีมากขึ้นทุกเดือน ใครบางคนจึงมีหน้าที่บอกกล่าวแก่สังคมว่าโดยทฤษฎีแล้วเราควรทำอะไร

และถ้าสมมุติว่าทำไม่ได้ เพราะยากจนหรือเพราะไม่สามารถต้านกระแสสังคมได้ เราจะทำอะไรได้บ้าง คือเรื่องที่เราจะคุยกันต่อไป

แต่เพื่อตอบคำถามสองข้อนี้ จำเป็นที่เราควรรู้ลึกถึงประโยชน์ของการเล่นที่มีมากกว่าการเรียนในช่วงปฐมวัย ทั้งนี้โดยอ้างอิงงานเขียนของ Freud, Klein, Erikson, Piaget และ Kohlberg รวมทั้งความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้านสมองสมัยใหม่ที่เรียกว่า Executive Function (EF)

ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพข้างต้นผิดได้ แม้ว่าจะมีงานวิจัยสมัยใหม่หลั่งไหลออกมารองรับก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ตรวจผู้ป่วยจิตเวชที่ระบบการศึกษาผลิตขึ้น ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพเหล่านี้มีส่วนถูกมากกว่าผิด

Tags:

โรงเรียนปฐมวัยEFการกำกับตัวเอง(self-regulation)

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.3 แนวทางในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนเข้าสู่สังคม (โรงเรียน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ
How to get along with teenager
6 August 2018

วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • จะแก้ปัญหายาเสพติดในวัยรุ่น ก็จะต้องเข้าใจวัยรุ่นให้ลึกซึ้งถึงกระบวนการทำงานทางสมอง ถึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุจริงๆ
  • การป้องกันสารเสพติดจากวัยรุ่น ไม่สามารถทำได้แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ องค์กรด้านสาธารณสุข คริสตจักร ตำรวจ และหน่วยบริการทางสังคมที่เกี่ยวข้อง
  • การสร้างทางเลือกกิจกรรมที่หลากหลาย เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นลดความเครียด และถอยห่างจากยาเสพติด

ปัจจุบันไอซ์แลนด์ถือเป็นประเทศที่มีเยาวชนปลอดสารเสพติดมากที่สุดในยุโรป ตัวเลขทางสถิติระบุว่า เด็กอายุ 15 และ 16 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ลดลงจาก ร้อยละ 42 ในปี 2541 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2560 ส่วนเด็กที่ใช้กัญชาลดลงจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 7 และเด็กที่สูบบุหรี่ทุกวันก็ลดลงจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 3

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าไอซ์แลนด์มาถูกทางแล้วสำหรับการแก้ปัญหาการใช้สารเสพติดในหมู่วัยรุ่น เพราะกว่าจะได้วิธีการมา ต้องผ่านการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสมองของเด็กให้ถ่องแท้ดังที่ ฮาร์วี่ มิลค์แมน (Harvey Milkman) ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาชาวอเมริกันในมหาวิทยาลัย Reykjavik กล่าวว่า

“นี่เป็นการศึกษาที่เข้มข้นและลึกซึ้งมากที่สุดเกี่ยวกับความเครียดในชีวิตของวัยรุ่นที่เคยเห็นมา”

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของมิลค์แมนสรุปว่า สารเสพติดแต่ละชนิดถูกใช้เพื่อจัดการความเครียด แต่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ใช้เฮโรอีนต้องการให้ตัวเองรู้สึกมึนงง ผู้ใช้แอมเฟตามีนต้องการเผชิญหน้ากับความเครียดอย่างจริงจัง เป็นต้น หลังจากงานวิจัยได้ตีพิมพ์แล้ว มิลค์แมนได้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัยในสถาบันแห่งชาติของสหรัฐฯ หัวข้อ “การใช้ยาเสพติด” เพื่อหาคำตอบที่ว่า ทำไมคนเริ่มใช้ยาเสพติด? ทำไมพวกเขาใช้ต่อเนื่อง? เมื่อใดที่พวกเขาถึงเกณฑ์การละเมิด? พวกเขาจะหยุดเมื่อไหร่? และเมื่อไหร่ที่พวกเขากลับมาเป็นแบบเดิม?

ต่อมาปี 1992 ทีมงานของเขาในเดนเวอร์ (Denver) ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลมูลค่า 1.2 ล้านเหรียญเพื่อสร้างโครงการ Self Discovery โดยเน้นไปที่เด็กที่มีแนวโน้มเสพยาเสพติดและอาชญากรรมสูง แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือก่อปัญหาอาชญากรรมก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ Milkman รวบรวมจากเด็ก ครู พยาบาลในโรงเรียนและอาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียน เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่โปรแกรม Self Discovery

“พวกเราไม่ได้บอกเด็กกลุ่มนี้ว่าให้เข้ามารักษา แต่บอกเขาว่า เราจะมาสอนในสิ่งที่คุณสนใจและอยากเรียน ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี เต้น ฮิปฮอป ศิลปะ ศิลปะการต่อสู้ เป็นต้น”

การมีตัวเลือกวิชาที่แตกต่างจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสารแคมีในสมองของเด็ก และให้พวกเขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้

เด็กที่เข้าร่วมโครงการบางคนอยู่สามเดือน หรือบางคนอยู่ถึงห้าปี จะถูกฝึกฝึกอบรมทักษะชีวิต เน้นการปรับปรุงความคิดเกี่ยวกับตัวเอง ชีวิต และวิธีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น “การให้ความรู้เด็กเรื่องยาเสพติดที่ผ่านมาไม่ได้ผล เนื่องจากไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ฉะนั้นต้องทำให้เด็กมีทักษะชีวิตในการปฏิบัติตามโปรแกรมต่างๆ” Milkman กล่าว

ปี 1991 Milkman ได้รับเชิญจากไอซ์แลนด์เพื่อบรรยายผลการวิจัยและความคิดของเขา เขากลายเป็นที่ปรึกษาให้กับศูนย์บำบัดยาเสพติดท้องถิ่นเมือง Tindar และสร้างแนวทางการปฏิบัติให้กับคนในพื้นที่

จากภาคทฤษฎี สู่ภาคปฏิบัติ

ยกตัวอย่างเมือง เคานาส (Kaunas) ตั้งแต่ปี 2006 เมืองได้ทำแบบสำรวจห้าครั้งเพื่อสำรวจการใช้สารเสพติดของวัยรุ่น สร้างเครือข่ายให้โรงเรียน พ่อแม่ องค์กรด้านสาธารณสุข คริสตจักร ตำรวจ และหน่วยบริการทางสังคม ทั้งหมดร่วมมือกันปรับปรุงสวัสดิภาพเด็กและลดการใช้สารเสพติด เช่น พ่อแม่ได้รับสิทธิ์เข้ารับการอบรม 8-9 ครั้งต่อปี ให้เงินทุนเพิ่มเติมสำหรับสถาบันสาธารณสุขและ หน่วยงานเอกชนที่ทำงานส่งเสริมสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด

ระหว่างปี 2006-2014 จำนวนเด็กอายุ 15 และ 16 ปีในเคานาสดื่มเหล้าลดลงประมาณ1 ใน 4 และสูบบุหรี่รายวันลดลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ รัฐได้ระดมทุนสำหรับ การจัดกีฬา ดนตรี ศิลปะการเต้น และอื่น ๆ เพื่อให้เด็กทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และรู้สึกดีขึ้นมากกว่าการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด อย่างเมือง Reykjavik จะให้ครอบครัวละ 35,000 โครนา (ประมาณ 10,850 บาท) ต่อปี ต่อเด็กเพื่อจ่ายค่ากิจกรรมสันทนาการ

จากงานวิจัย และผลสำรวจเชิงลึกจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงงานของ Milkman ถูกนำมารรวมกันและพัฒนาให้เป็นวาระแห่งชาติภายใต้ชื่อ “Youth in Iceland”

สืบเนื่องจาก Youth in Iceland กฎหมายเดิมก็ถูกปรับให้เข้มข้นขึ้น เช่น การซื้อบุหรี่ในวัยต่ำกว่า 18 ปี และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การโฆษณายาสูบและแอลกอฮอล์ถูกห้ามทั้งหมด และสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนเข้มแข็งขึ้นจากการกำหนดให้ผู้ปกครองเป็นสมาชิกสภาโรงเรียนด้วย และยังสนับสนุนให้พ่อแม่ใช้เวลาร่วมกับลูกเป็นประจำ ไม่ใช่แค่ตามโอกาสสำคัญเท่านั้น เพื่อพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของลูก เพื่อนของลูก และเพื่อให้ลูกไม่ออกไปไหนมาไหนตอนเย็นๆ เพราะกฎหมายห้ามเด็กที่อายุ 13 – 16 ปีออกนอกบ้านหลังจากเวลาสี่ทุ่มในช่วงฤดูหนาวและ เที่ยงคืนในช่วงฤดูร้อน

จากมาตราการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลทางสถิติปี 1997 และ 2012 เด็กอายุ 15-16 ปีใช้เวลากับพ่อแม่ในวันธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 46 เล่นกีฬาอย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ จาก 24 เปอร์เซ็นต์เป็น 42 เปอร์เซ็นต์

ตารางชีวิตแน่น จนไม่เหลือที่ให้ยาเสพติด

JónKonrád อายุ 21 ปีและ Birgir Ísar อายุ 15 ปี สองพี่น้องได้พูดคุยเกี่ยวกับการดื่มและสูบบุหรี่ Jón บอกว่าเขาและเพื่อนๆ ดื่นแอลกอฮอล์เป็นเรื่องปกติ แต่ Birgir บอกว่านึกไม่ออกเลยว่าใครในโรงเรียนที่สูบบุหรี่หรือดื่ม ส่วนเรื่องการเล่นกีฬา Birgir ฝึกฟุตบอล 5-6 ครั้งต่อสัปดาห์ Jón ฝึก 5 ครั้งต่อสัปดาห์ พวกเขาทั้งคู่เริ่มฝึกซ้อมหลังเลิกเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบ

พ่อของ Jón และ Birgir บอกว่า “เรามีอุปกรณ์กีฬาทั้งหมดที่บ้าน ก่อนหน้านี้เราเคยพยายามให้เขาเล่นดนตรี แล้วก็เคยให้เขาฝึกขี่ม้า แม้ว่าภรรยาของผมจะเก่งเรื่องขี่ม้า แต่ก็ไม่สามารถให้พวกเขาสนใจได้ แล้วท้ายที่สุดพวกเขาก็เลือกเล่นฟุตบอล”

เมื่อถามเด็กทั้งสองว่า เคยรู้สึกว่าซ้อมหนักเกินไปไหม มีแรงกดดันจากการฝึกหรือไม่ Birgir ตอบว่า “ไม่เลย เราสนุกกับการเล่นฟุตบอล” ส่วน Jón กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราพยายามเล่นให้ชิน และทำมันต่อไปเรื่อยๆ”

แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองจะเล่นแต่ฟุตบอล เพราะว่าพ่อแม่ก็พาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย เช่นพาไปดูภาพยนตร์ กินข้าวที่ร้านอาหาร เดินป่า ตกปลา สังสรรค์ภายในครอบครัว เพื่อให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย และให้รู้สึกสนุก ผ่อนคลาย ไม่เครียด

การสร้างทางเลือกให้กับเด็ก ทำให้เด็กสามารถเลือกทำในสิ่งที่เขามีความสุขจริงๆ เขาได้เรียนรู้ว่าอะไรที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่บังคับให้เด็กอยู่ในกรอบไม่กี่กรอบ เพราะจะทำให้เด็กเกิดความเครียดได้ง่าย และอาจจะนำไปสู่การใช้สารเสพติด ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ เหล้า กัญชา ยาบ้า เป็นต้น

แต่เมื่อไหร่ที่เขามีความสุขในสิ่งที่ทำ กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อให้ความรู้เรื่องยาเสพติด เด็กก็จะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่เขาจะทำในอนาคต ดังนั้นถ้าผู้ใหญ่เข้าใจกระบวนการทำงานสมองของเด็ก ก็จะรู้ว่าที่เด็กเสพยา ไม่ใช่เพราะดื้อ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี แต่เพราะสารเคมีในสมองเขาเขาต่างหาก

ที่มา: https://www.theatlantic.com

Tags:

พ่อแม่ครูวัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่
Character building
3 August 2018

คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ช่วง 0-7 ปี ไม่ต้องส่งลูกออกไปเรียน เรียน และเรียน

ถ้าอยากให้ลูกมีนิสัย เห็นอกเห็นใจ มีวินัย สนใจใคร่รู้ พ่อแม่ควรทำให้เห็น  (เพราะช่วงวัยนี้เรียนรู้จากการเลียนแบบ) และสร้างได้ง่ายๆ ผ่านกิจกรรมในบ้าน สม่ำเสมอ ตลอดช่วงวัย เช่น กอด เล่น เล่านิทาน  ให้ช่วยงานบ้าน เขาจะเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง

กระบวนการนี้เราเรียกว่า Character Building

1

2

3

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด
Character building
2 August 2018

CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • “อันนั้นคืออะไรคะ” “ทำไมอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ครับ” คำถามซ้ำๆ หลายๆ รอบของลูก พ่อแม่อาจมองว่าน่ารำคาญแต่ถ้าเข้าใจลูกสักนิด ก็จะรู้ว่าเด็กๆ กำลังเรียนรู้
  • ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ CQ เป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้ 
  • โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายและง่ายดาย แต่จะตัดทอนปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงออกไป ถ้าพ่อแม่ คุณครูอดทน และพาเด็กไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเด็กเอง เขาจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความมั่นใจและรักการเรียนรู้

โลกยุคปัจจุบัน การหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัยทำได้ง่ายเหลือเกิน เรามีอินเทอร์เน็ตเป็นคลังความรู้ขนาดใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ข้อมูลที่เชื่อถือได้ทุกแขนงสามารถสืบเสาะได้ง่ายนิดเดียวหากรู้จักกลั่นกรองหาข้อเท็จจริง นั่นเป็นวิวัฒนาการที่ดีที่เกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องออกไปถามหาจากครู อาจารย์ หรือผู้รู้ แต่อีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ถูกบั่นทอนลงไป

เราใช้เวลาสื่อสารกับวัตถุอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ระบบตอบโต้ด้วยเสียงใน iPhone อย่าง ‘Siri’ หรือ ใน Amazon TV อย่าง ‘Alexa’ นับไปนับมาเราให้เวลาอยู่กับวัตถุพวกนี้มากกว่าคนรอบตัวเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองมองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงดูลูกที่จะเติบโตขึ้นมาในเจเนอเรชั่นที่รอบตัวเต็มไปด้วยวัตถุดึงดูดความสนใจแบบนี้

โทมัส ชาโมร์โร-พรีมูซิค (Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจ University College London และ Columbia University รวมทั้งเป็นคณะทำงาน Harvard’s Entrepreneurial Finance Lab เขียนบทความเรื่อง ‘Curiosity is as Important as Intelligence’ หรือ ‘ความสงสัยใคร่รู้สำคัญเท่ากับความฉลาด’ ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review นิตยสารที่มีความน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า มีคุณลักษณะทางจิตวิทยาที่สำคัญ 3 อย่างที่ช่วยให้มนุษย์อยู่รอดในสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ได้ ได้แก่

ไอคิว (IQ: Intellectual Quotient) ความฉลาดทางปัญญา ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เสาะหามาได้

อีคิว (EQ: Emotional Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ สองอย่างแรกเป็นคุณลักษณะที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ

ซีคิว (CQ: Curiosity Quotient) ความอยากรู้อยากเห็น ที่เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้จากผู้อื่นและโลกภายนอก

ชาโมร์โร-พรีมูซิค บอกว่า คนที่มีซีคิวสูงเป็นคนชอบถามคำถาม ชอบพูดคุยเพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้คน ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ เห็นความแปลกใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เลยเบื่อง่ายหากต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจ ทำให้ชอบคิด มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ แตกต่างจากไอคิวที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเรียนรู้ การทำความเข้าใจองค์ความรู้และหลักการต่างๆ แต่ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

แล้วผู้ปกครองจะช่วยสร้างซีคิวให้ลูกได้อย่างไร?

การเลี้ยงดูให้เด็กเติบโตขึ้นมาโดยไม่ถูกปิดกั้นความคิด…ช่วยได้  

วิธีการแสดงออกถึงความสงสัยใคร่รู้อย่างหนึ่งของเด็ก คือ ‘การตั้งคำถาม’ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู การถามซึ่งๆ หน้าหรือตัวต่อตัว นอกจากทำให้ได้รับความรู้ใหม่ที่ตอบข้อข้องใจแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะต้อง ‘ฟัง’ ความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น

ความเข้าใจนี้ทำให้เราสร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ไม่ยาก และยังทำให้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่สนิทสนมใกล้ชิดกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เราอยู่กับสภาพแวดล้อมที่พร้อมมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามากำจัดความสงสัยใคร่รู้ของเราอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่ต้องพึงระวัง เช่น พ่อแม่มักรู้สึกรำคาญหรือขี้เกียจตอบคำถาม เมื่อลูกถามเยอะ ถามไม่หยุด โรงเรียนเข้มงวดให้เด็กทำตามระเบียบ เชื่อฟังครูมากกว่าเปิดโอกาสให้นักเรียนพูดคุยสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้นักเรียนไม่กล้ายกมือถามหรือแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน เพราะกลัวถามออกไปแล้วครูบอกว่าผิด กลัวถามคำถามโง่ๆ หรือกลัวถามไปแล้วโดนดุ เป็นต้น

ดังนั้น ความสงสัยใคร่รู้ จึงเป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่า และควรค่าแก่การปลูกฝังและดูแลให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้ ดังที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า

“I have no special talents. I am only passionately curious.”

“ฉันไม่มีพรสวรรค์พิเศษ ฉันมีแต่ความอยากรู้อยากเห็น”

อยากส่งเสริมให้ลูกเป็นคนช่างสงสัย พ่อแม่ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

จูลี สคาเกล (Julie Scagell) นักเขียน ถ่ายทอดประสบการณ์การเลี้ยงลูกของตัวเองลงในคอลัมน์ On Parenting หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ถึง 5 วิธีเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่มีความสนใจใคร่รู้ว่า

หนึ่ง คำถามสั้นๆ เมื่อเด็กเริ่มพูดได้ เช่น “อะไร อะไร?” หรือแม้แต่คำถามตลอด 10 นาทีระหว่างทางขับรถ เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ แต่เคล็ดไม่ลับที่สคาเกล บอกไว้อย่างแรกคือ อย่าเพิ่งตอบคำถามในทันที แต่ควรแนะนำช่องทางหรือวิธีการให้ลูกหาคำตอบด้วยตัวเองอย่างเหมาะสมตามอายุ เช่น ให้เข้าห้องสมุด ให้ไปสอบถามจากผู้รู้ ใช้อินเทอร์เน็ต หรือดูสารคดีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถาม

สอง ตอบคำถามด้วยคำถาม ครั้งหนึ่งลูกชายของเธอ ถามขึ้นว่า “เถ้าจากภูเขาไฟเผาไหม้มนุษย์อย่างเราได้ไหม?”

“แล้วลูกคิดว่าได้ไหม” สคาเกล ถามกลับ

“ผมคิดว่าได้ เราไม่ควรสร้างบ้านใกล้ภูเขาไฟ เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีพลาสเตอร์ปิดแผลกล่องใหญ่ๆ อยู่ในบ้าน” ลูกชายตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่เธอมองว่าสมเหตุสมผลตามช่วงวัยของลูกชาย

สาม เปลี่ยนเรื่องเล่าก่อนนอน เปลี่ยนพล็อตเรื่อง สลับตัวละครหรือสลับเหตุการณ์ แล้วถามความคิดเห็น เพื่อให้ลูกจินตนาการเรื่องราวหรือตอนจบด้วยตัวเอง

สี่ การจะได้อีกสิ่งหนึ่งต้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อการเรียนรู้ ยกตัวอย่าง หากลูกขอค่าขนมเพิ่มสำหรับซื้อเสื้อผ้า ขอนอนตื่นสายหรือนอนดึกกว่าเดิม ให้โจทย์ลูกไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วให้ลองวิเคราะห์ว่า คุณลักษณะอะไรทำให้พวกเขามีชีวิตแบบนั้น เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ เส้นทางการเติบโตในชีวิตด้วยตัวเอง

ห้า เล่นเกม “อยากเป็นหรือทำอะไร ระหว่าง…กับ…?” เช่น อยากเป็นอะไรระหว่างสไปเดอร์แมนกับแบทแมน? อยากนอนอยู่ท่ามกลางฝนหรือหิมะที่กำลังตกลงมา? อยากอาศัยอยู่ในประเทศที่หนาวหรือร้อน? แล้วถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกคำตอบนี้ เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล

ไม่ว่าโลกใบนี้จะมีความซับซ้อนมากขนาดไหน ถ้าเรามีคุณลักษณะที่เหมาะต่อการใช้ชีวิตในแต่ยุคสมัย หรือในแต่ละช่วงเวลา ความซับซ้อนก็กลายเป็นความเรียบง่ายได้ พ่อแม่สามารถเปลี่ยนชั่วโมงคำถามของลูกให้เป็นความสนุกสนานเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่นได้หากรู้วิธีการ

การเปลี่ยนความกลัวของลูกให้เป็นความกล้า ทำให้ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ แถมยังทำให้การตอบคำถามแบบ non-stop กลายเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสำหรับผู้ปกครองมากกว่ามาหงุดหงิด หรือรำคาญใจเมื่อไร้คำตอบ ที่สำคัญเป็นการเปิดพื้นที่ให้ความสนใจใคร่รู้ของลูกได้เติบโต เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านอื่นๆ ในชีวิตต่อไป

ที่มา: Curiosity Is as Important as Intelligence
“Let’s Find Out!”: Three Tips for Raising Curious Kids
Curiosity is the number one trait of awesome people
Five ways parents can encourage kids to be curious

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์
Unique Teacher
1 August 2018

สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ครูน้ำนิ่ง แต่นักเรียนห้ามนิ่ง เพราะการที่นักเรียนนั่งนิ่ง ไม่ได้แปลว่าเรียบร้อย หรือเข้าใจเนื้อหา แต่อาจจะเบื่อและไม่อยากมีส่วนร่วมในห้องเรียน จึงเป็นหน้าที่ของครูน้ำนิ่ง ที่จะต้องสร้างบรรยากาศในห้องเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก
  • สื่อการสอนเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ เปิดรับความรู้และสร้างสรรค์จินตนาการได้อย่างไม่สิ้นสุด
  • “Once a Teacher, Always a Teacher เมื่อได้เป็นครูสักครั้งแล้ว ก็จะเป็นครูตลอดไป” คงจะไม่ต่างกับครูน้ำนิ่ง ที่นอกจากเธอไม่สามารถละทิ้งความเป็นครูไปได้ เธอยังทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้นักเรียนมีความสุขกับการมาโรงเรียนทุกวัน
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน เมื่อ ด.ญ.ณัฎฐา จบการศึกษาชั้น ป.6 จากโรงเรียนบ้านโชกเหนือ อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ จากนั้นก็ไปต่อชั้นมัธยมในจังหวัด และสามารถสอบได้ทุนโครงการเพชรในตม เข้าศึกษาต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อกลับมาโรงเรียนบ้านโชกเหนืออีกครั้ง ในฐานะ คุณครูณัฎฐา ถมปัทม์ หรือ คุณครูน้ำนิ่ง ของเด็กๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชีวิตที่วนเป็นวงกลมอย่างนี้ เป็นสิ่งที่คุณครูน้ำนิ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่พอได้ลองสวมเครื่องแบบคุณครูจริงๆ สิ่งที่ค่อยๆ เกิดขึ้นคือความรักในอาชีพ ประกอบกับเป็นโรงเรียนเก่าในบ้านเกิด เด็กๆ อ่านออกเขียนได้มีน้อยกว่าที่ควร ทั้งหมดกลายเป็นแรงฮึดให้ครูน้ำนิ่งตัดสินใจลุกขึ้นมาทำสื่อการเรียนการสอนเอง และเผยแพร่เผื่อแผ่ครูคนอื่นผ่านเพจเฟซบุ๊ค “บันทึกพี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง”

แล้วทำไมเราต้องดั้นด้นมาถึงจังหวัดสุรินทร์เพื่อมาดูสื่อการสอนของคุณครูน้ำนิ่ง?

ก็เพราะ…สื่อการสอนของครู ทำให้เด็กๆ มีความสุข สนุก อ่านออกเขียนได้ และอยากไปโรงเรียนทุกๆ วัน

อะไรทำให้คุณครูรู้สึกว่า ต้องลุกขึ้นมาทำสื่อการเรียนการสอนเองแล้ว

ช่วงแรกๆ ก็สอนไปตามหนังสือ ตามบทเรียนไปเรื่อยๆ ก็อยากทำให้มันดีกว่านี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เรารู้สึกท้อว่าทำไมเด็กต้องอิดออด ทำไมเด็กดูไม่สนุก เหมือนเราพยายามเข็นอะไรสักอย่าง พอผลักแล้วมันไม่ไป เลยรู้สึกท้อและเหนื่อยมาก แต่พอเข้าร่วมโครงการ เราได้เห็นทิศใหม่ๆ บวกกับหลักการสอนที่เติมเต็มให้เรา

สองปีแรกยังผลิตสื่อน้อยอยู่ เพราะเรียนต่อปริญญาโท เพิ่งมาทำสื่อการสอนแบบจริงจังเมื่อปีที่แล้ว ผลิตเยอะมาก รู้สึกมีความสุข พอทำแล้วมันตรงใจเรา ทำง่าย เรารู้ว่า สื่อนี้ใช้ยังไง เพราะว่าเราสร้างเอง แล้วก็ภูมิใจ

ปริญญาตรีเอกประถมศึกษาที่จบมา จะเหมือนเป็ด บินได้นิดหน่อย ว่ายน้ำได้ อาจไม่ชำนาญในด้านต่างๆ อย่างลงลึก เมื่อเข้าเรียนรู้ในโครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน (SCB Connext ED) ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ดูแล และเลือกเข้าโมดูลพัฒนาศักยภาพครู ยกระดับคุณภาพวิชาการ: อ่านออกเขียนได้ ได้จุดประกายเราว่าถึงเราจะเป็นเป็ด เราก็ต้องเป็นเป็ดที่ดีมีคุณภาพ เราเลยต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ ต้องคิดว่าเราทำได้ พอเราได้ไฟจากตรงนั้น ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย

ได้ไอเดียการทำสื่อมาจากไหน

ไอเดียส่วนใหญ่จะได้มาจากกลุ่มเฟซบุ๊คกลุ่มครูที่แชร์สื่อซึ่งผลิตขึ้นมาเองเพื่อใช้ในห้องเรียนของเขา เราก็จะไปเอาจากตรงนั้นมาแบ่งปัน บางทีก็เอามาเพื่อเป็นแนวทางที่จะผลิตเอง จากนั้นก็จะกลับมาดูที่เนื้อหา เช่นถ้าเราจะสอนสักเรื่องหนึ่งแล้วอยากให้เด็กรู้คำศัพท์ เราก็คิดว่าจะทำยังไงให้สนุกกับเนื้อหา เด็กๆ จะชอบเกมง่ายๆ เกมจับคู่ เกมเขียน เกมอ่าน เกมที่มีการแข่งขันเด็กจะชอบมาก เราก็เลยเอาเนื้อหาไปใส่ในเกม เด็กก็จะสนุก

การออกแบบสื่อ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือเนื้อหาจะต้องได้ ไม่ใช่เล่นให้สนุกอย่างเดียว ต่อให้สนุกแค่ไหน แต่เนื้อหาคุณไม่มีกรอบเลย ไม่มีคอนเซ็ปต์ มันก็ไม่เกิดประโยชน์

นอกจากสื่อแล้ว การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ในห้องเรียนจะจัดมุมนิทานไว้ให้เขา เราได้รับบริจาคจาก SCB ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูน้ำนิ่งอยากได้มาก แต่ไม่มีงบประมาณหรือเวลาที่จะไปซื้อ พอได้มาเราก็เริ่มเปลี่ยนห้อง พยายามเอาความรู้ไว้ตามชั้นตามมุมต่างๆ เด็กสามารถหยิบมาเล่นได้ แล้วก็พยายามหากิจกรรมให้เขาเรียนรู้ ไม่จำกัดความคิด ส่งเสริมจินตนาการให้เขาได้คิด

เวลาที่ต้องสอนวิชาที่น่าเบื่อ (สำหรับเด็กๆ) ครูน้ำนิ่งมีวิธีการทำสื่อ หรือว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุกกับวิชานั้นๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างวิชาพระพุทธศาสนา เด็กจะได้ยินเรื่องพระพุทธเจ้าจากการ์ตูนเป็นส่วนใหญ่ พอต้องมาสอนเราอาจจะใช้คำพูดที่ง่ายขึ้น เช่น เรื่องประวัติพระพุทธเจ้าจะเรียกชื่อพระนางพระสิริมหามายา หรือพระนางโคตชาบดี ก็จะยากไป บางทีเราจะสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นนิทาน หรือให้เด็กทำเป็น Mind Mapping เป็นแผนผัง ว่าพระพุทธเจ้าประสูติตรงนี้ ตรัสรู้ตรงนี้ แตกออกไปเรื่อยๆ ตามเรื่องราวที่เขาจำเป็นนิทาน เหมือนเด็กวัยนี้เขาจะจำเป็นนิทาน ในสัปดาห์หนึ่งอย่างน้อย 3 วัน ครูจะเล่าตอนที่เขานั่งสมาธิ เราจะไม่เฉลยตอนจบ แต่เราจะถามเขาว่า ถ้าหนูเป็นคนนี้จะทำอย่างนี้ไหม คืออยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้วทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ อย่างเช่นนิทานเรื่อง ‘มดกับตั๊กแตน’

มดจะขยัน เก็บเสบียงเป็นอาหาร ส่วนตั๊กแตนก็จะร้องเพลงเรื่อยไป ไม่รีบ เพราะอีกตั้งนานกว่าฤดูฝนจะมา สุดท้ายตอนจบของเรื่องคือ ตั๊กแตนไม่ได้อาหาร เพราะมดบอกว่า เจ้าไม่หาเอง ไม่มีความรับผิดชอบ แต่เราอยากรู้ว่า ตอนจบเด็กจะให้อาหารกับตั๊กแตนมั้ย ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็น่ารัก สงสาร และบอกว่าเลือกที่จะให้อาหารแก่ตั๊กแตน

ในแง่การเรียนรู้ของนักเรียน ถ้าเปรียบเทียบกับการสอนทั่วไปในตอนแรกกับตอนนี้ที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย ต่างกันอย่างไรบ้าง

เด็กอ่านออกมากขึ้น จากเมื่อก่อนสมมุติเด็กมี 20 คน เด็กอ่านได้ฉะฉานชัดเจนได้จริงๆ จะไม่ถึงครึ่ง แต่พอมีสื่อเข้ามาช่วย มันเกินครึ่งห้อง ถ้าเปรียบเทียบภายในเทอมแรก เปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่พอเข้าเทอมสอง เริ่มดีขึ้นมาก สามเดือนแรกก็เห็นผลแล้วค่ะ คือไม่ใช่เด็กเราจะเก่ง เป็นเลิศ แต่เราเห็นพัฒนาการของเขา มันก้าวไปเรื่อยๆ

หนึ่ง เด็กมีความสุข สองเด็กมีความเข้าใจเนื้อหาที่เราสอนแล้วเด็กมีความสุข คือ เรื่องการอ่านออกเขียนได้นี่เป็นปัญหาระดับชาติมาก การที่เด็กอ่านออกเขียนได้ยังไงก็ส่งผลต่อวิชาอื่นแน่ๆ ขอให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้แล้วเราก็ค่อยไปฝึกทักษะอื่นๆ ไม่ว่าทักษะการคิด หรือ อะไรของเขาก็จะตามมาด้วย

ในแง่ของการวัดผล สื่อการสอนที่ผลิตขึ้นมาส่งผลต่อการเรียนอย่างไรบ้าง

จากการวัดผลเด็กเมื่อปีที่แล้ว ถ้าวัดผลด้วยคะแนนข้อสอบเด็กส่วนใหญ่ทำข้อสอบได้ ผลการสอบของเป็นที่น่าพอใจ การเขียนของเขาดีขึ้น โดยเฉพาะการเขียนเล่าเรื่องจากจินตนาการ ส่วนใหญ่เป็นแบบแต่งประโยคหลายบรรทัด เขาเริ่มเขียนบรรยาย แม้จะไม่สละสลวย แต่เราเห็นว่าเขามีพัฒนาการ จากตอนแรกเด็กอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านได้แค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้น

ส่วนเด็กที่จบจากครูนิ่งไป เราจะสอบถามครูที่ประจำชั้นต่อคือครูประจำชั้น ป.3 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตรงไหนที่เด็กไม่แน่น ยังไม่ได้ ครู ป.3 จะให้ feedback กลับมาดีมาก อย่างเช่น เด็กยังไม่ได้เรื่องนี้ เด็กยังอ่อนเรื่องนี้ เราก็จะมากลับมาปรับปรุง วางแผนว่าเราจะสอนเรื่องนี้ให้แน่น ปัจจุบันเราก็ปรับปรุงให้ดีขึ้น ครูบางท่านเคยสอนเด็กคนนี้มาตั้งแต่ ป.1 แล้วมาสอน ป.2 เขาก็ชมว่า เด็กดีขึ้นนะ กล้าตอบ เมื่อก่อนไม่เคยกล้าตอบ

ในมุมมองของครู เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กจากวันแรกจนถึงตอนนี้อย่างไรบ้าง

เด็กสนุก มีรอยยิ้ม ‘ครูขาวันนี้ทำอะไร ครูขาหนูอยากทำอันนี้’ เด็กจะถามตลอด วันนี้เรียนเรื่องอะไรคะ เมื่อวานแพ้ขอแก้มือ คือเขาจะสนใจในการเรียนของเราตลอด จากเดิมไม่เคยไต่ถามอะไร บรรยากาศก็จะเงียบๆ ไม่ค่อยกระตือรือร้นด้านการเรียน หรือเนื้อหา บางทีมีผู้ปกครองที่เล่นเฟซบุ๊ค เขาก็จะบอกว่า เนี่ย น้องพิ้งค์มาอ่านหนังสือให้คุณยายฟังทุกวันเลย จากที่แต่ก่อนอ่านหนังสือไม่คล่อง (ยิ้ม)

อย่าง ป.2 รุ่นนี้ชัดมากๆ มีผู้ชาย 16 คน มีผู้หญิงแค่ 5 แล้วด้วยความที่เด็กผู้ชายซนๆ 16 คน มาอยู่รวมกัน ปวดหัว เครียดมากเลย จะทำอย่างไรให้เด็กผู้ชายพร้อมที่จะเรียนรู้ เพราะว่าเขาชอบเล่นต่อสู้ ต่อยตี ซึ่งเป็นเรื่องที่จัดการยากมากสำหรับครูนิ่งเพราะไม่ใช่คนดุมาก ก็กลับมาคิดว่าเด็กชอบอะไร เลยต้องเริ่มสังเกตว่าเด็กชอบเล่นอะไร แล้วจะใช้การเสริมแรงเข้ามาช่วย เช่น ให้ดาว สติกเกอร์ที่ออกแนวผู้ชายๆ เยอะหน่อย

สื่อก็ต้องทำ งานครูก็เยอะ ต้องไปประชุม ไหนจะสัมมนาอีก คุณครูแบ่งเวลาอย่างไร

สื่อส่วนใหญ่ครูจะทำที่บ้าน สื่อบางอย่างเด็กช่วยเราได้มาก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเพราะเขามีความละเอียดอ่อนมากกว่า อย่างสื่อที่เห็นเราจะใช้ลังนม ปรินท์กระดาษออกมาแล้วเอามาทาบกับกระดาษลังจากนั้นตัดตามรูป เด็กอาจจะยังตัดไม่สวย ครูก็ตัดเป็นแบบให้ เด็กช่วยทากาวแปะ พับกระดาษลังตามแบบ

เด็กมีส่วนช่วยในการผลิตสื่อ ซึ่งคุณครูไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นเด็กแค่ ป.2 แต่เขาช่วยได้ พอเอามาใช้ ‘อันนี้เขาตัดนะ อันนี้ของเขา’ เขาก็จะมีความภูมิใจในสื่อที่เขาทำ

ส่วนเวลาการทำงานก็ต้องแบ่งให้ดี ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับคุณครูหลายคน บอกว่าอยากอยู่โรงเรียน อยากอยู่กับห้อง อยากอยู่กับเด็ก แต่ประชุม สัมมนาทุกอาทิตย์ไม่มีเวลาว่างอื่นเลย เขาอยากทำนะ แต่เวลาของเขาถูกเบียดเบียนด้วยเอกสาร ถูกเบียดเบียนด้วยการประเมิน แต่พอเราสร้างสื่อแล้วแชร์ให้ครูคนอื่นๆ นำไปใช้ เขาก็บอกว่าขอบคุณ อย่างน้อยเขาก็ได้ปรินท์ไปใช้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามาก เหมือนเป็นการช่วยอีกแรง

ครูแต่ละคนก็หน้าที่เยอะแตกต่างกันไป พอเรามาช่วยตรงนี้ ทำให้เขารู้สึกว่า มีเพื่อนผู้ร่วมอาชีพที่ต้องการแบบนี้เหมือนกัน มันสะดวกขึ้น เขาก็ไม่ต้องมาคิดใหม่ เพราะเวลาเหล่านั้นถูกบั่นทอนไปด้วยงานเอกสาร และงานประเมินทั้งหลายไปหมดแล้ว

เป็นครูเหนื่อยไหม

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ครูนิ่งเคยเขียนย้าย ตอนนั้นมันเหมือนกับเกิดความรู้สึกท้อ ไม่ใช่เพราะนักเรียน แต่เป็นปัญหาภายนอก เลยคิดว่า ‘ย้ายโรงเรียนดีมั้ยเหนื่อยจังเลย’ ตอนเขียนก็ไม่ได้กะจะย้ายจริงๆ หรอก เหมือนบางทีก็ประชด ขอเขียนหน่อยเหอะ พอเขียนไป ผู้ปกครองทราบเขาก็มาถามว่า “ครูจะย้ายจริงเหรอ อยู่นี่แหละ อยู่สอนนักเรียนต่อ” เหมือนเขาอยากให้เราได้อยู่สอนต่อ บางคนมีพี่น้อง เราสอนคนพี่ไปแล้ว ก็อยากให้อยู่สอนน้องต่อ เพราะเขาประทับใจที่เราสอนลูกคนโตเขา

แต่สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ครูนิ่งไม่ไปไหน ก็คือนักเรียน เด็กเป็นทั้งหมดของครูนิ่งจริงๆ คนอาจจะมองว่า ครูนิ่งยังโสดไง ครูนิ่งยังไม่มีภาระเลยทำได้ บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ แล้วถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ยังจะขยันแบบนี้อยู่ไหม ก็เลยคิดว่า ไม่รู้ว่าจะภาระรับผิดชอบจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะไม่ทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้แน่นอน

หมายเหตุ: ติดตามเพจคุณครูน้ำนิ่งได้ที่นี่ค่ะ บันทึกพี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง 

Tags:

พัฒนาการครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอนครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์ความบกพร่องทางการเรียนรู้(Learning Disabilities)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว
Early childhood
31 July 2018

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

เรื่อง ภาพ บัว คำดี

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จักความโกรธ เศร้า เหงา กลัว

1.บอก ‘ชื่อ’ ความรู้สึก เช่น ถ้าลูกนอนอยู่และบอกว่าเหนื่อยจนยอมให้คุณเลือกเสื้อผ้าให้ เป็นโอกาสดีที่คุณจะแนะนำให้เขารู้จักความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หมดแรง’

2.เข้าใจปัญหาของเขา เป็นกองหนุนด้านอารมณ์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่า ต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เช่น บอกเขาว่า ความรู้สึกท้อระหว่างพยายามทำสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

3.ช่วยหาทางออก ลองพูดคุยกับเด็กๆ ถึงไอเดียในการจัดการความรู้สึกตัวเอง ช่วยกันสร้างจุดที่ตัวเขาจะรู้สึกสงบและร่วมกันฝึกทักษะการจัดการอารมณ์บ่อยๆ

4.มองข้ามการกระทำ อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป ใส่ใจสิ่งที่เด็กๆ รู้สึกมากกว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมา ลองเปลี่ยนการลงโทษเป็นความเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของพวกเขาดูสิ

5.หาวิธีสื่อสารใหม่ๆ การปล่อยให้เด็กๆ บ่นหรือสั่งได้ทุกอย่างตามใจอาจทำให้พวกเขาไม่สนใจอารมณ์บูดๆ ที่เกิดขึ้น ลองสอนวิธีที่จะทำให้เขาสื่อสารความรู้สึกในแบบที่ต่างจากเดิม เช่น อาจถามเขาว่า “หนูคิดว่าควรพูดขอความช่วยเหลือยังไงดีคะ”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

ที่มา : เจนนิเฟอร์ อันเดอร์วู้ด (Jennifer Underwood) ผู้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กวัยรุ่นในเว็บไซต์ SexandtheSilly.com

Tags:

การจัดการอารมณ์พัฒนาการทางอารมณ์ความกลัว (Fear)พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel