Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: February 2024

เรียนปนเล่น กับ ‘ก.ไก่กลายร่าง’ และ ‘เส้นนำสมอง’ ช่วยเด็กอ่านออกเขียนได้: ครูแชมป์-พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์
Creative learning
27 February 2024

เรียนปนเล่น กับ ‘ก.ไก่กลายร่าง’ และ ‘เส้นนำสมอง’ ช่วยเด็กอ่านออกเขียนได้: ครูแชมป์-พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก ครูแชมป์ – พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์ ครูวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านคลองแค (อ้อมน้อย) จึงคิดค้นนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้เด็กๆ มีพื้นฐานที่มั่นคงในด้านการอ่านและเขียน 
  • ครูแชมป์ออกแบบการเรียนรู้โดยเน้นเสริมสร้างประสบการณ์ทางภาษาที่หลากหลาย ฝึกให้เด็กทั้งเขียน พูด อ่าน ดู ที่สำคัญคือมีท่าทางการเคลื่อนไหว และรูปภาพประกอบ เพื่อให้เด็กจดจำได้ และเข้าใจความหมายของคำๆ นั้นมากขึ้น 
  • ครูมีหน้าที่เสริมแรง เสริมกำลังให้เด็กได้ถ่ายทอดออกมา มากกว่าคอยจับผิดว่าเขาเขียนถูกหรือไม่ พยัญชนะสระถูกตำแหน่งไหม หรือเขียนลายมือสวยหรือเปล่า  

เด็กจดจำพยัญชนะในภาษาไทยไม่ได้

เขียนออกมา ไม่สามารถอ่านเป็นคำที่มีความหมายได้ 

และถูกผลักให้ pass ชั้นไปทั้งๆ ที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

นี่คือสภาพปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในเด็กประถมฯ จากประสบการณ์ตรงของ ครูแชมป์ – พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์ ครูวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านคลองแค (อ้อมน้อย) จ.สมุทรสาคร สะท้อนผ่าน ‘Live นี้มีที่ปรึกษา’ หัวข้อ ‘อ่านออกเขียนได้เรื่องใหญ่ เราสอนยังไงดี ?’ จัดโดย เพจ insKru – พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในคอมมูนิตี้ insKru ผู้แบ่งปันไอเดียการสอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ในห้องเรียนด้วย

ปัญหาดังกล่าวมาจาก ความรู้พื้นฐาน เนื่องจากโรงเรียนคลองแค เป็นโรงเรียนที่มีทั้งเด็กไทยและเด็กจากประเทศเพื่อนบ้านที่ย้ายถิ่นฐานตามพ่อแม่มา ดังนั้นพื้นฐานภาษาจึงค่อนข้างต่างกัน บางคนมีพื้นฐานดี ในขณะที่บางคนไม่เคยผ่านเรียนในช่วงปฐมวัย หรืออนุบาลด้วยซ้ำ เป็นงานหนักของครูผู้สอนที่ต้องปูพื้นฐานให้เด็กๆ ก่อนที่จะส่งเขาไปต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น

รวมไปถึง พัฒนาการช้า เมื่อพื้นฐานที่มีมาไม่เท่ากัน ส่งผลให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ต่างกันไปด้วย จุดนี้ครูแชมป์ใช้วิธีเพิ่มประสบการณ์ทางภาษาให้หลากหลาย โดยจะฝึกทั้งเขียน พูด อ่าน ดู ที่สำคัญคือมีท่าทางการเคลื่อนไหว และรูปประกอบ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากภาพ 

ก.ไก่ กลายร่าง เรียนรู้พยัญชนะไทยแบบเชื่อมโยงภาพ

“เราไม่มองว่าตัวผู้เรียนเป็นปัญหา เรามองว่าบทเรียนเป็นปัญหาของผู้เรียน”

ครูแชมป์หยิบนวัตกรรม ‘ก.ไก่กลายร่าง’ วาด เชื่อม วาง สร้างพื้นฐานพยัญชนะ ที่คิดค้นขึ้นเอง ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำหรับแก้ปัญหาที่พอกพูนมานาน ในเรื่องที่เด็กจำพยัญชนะไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของภาษา โดยใช้แบบฝึกที่มีภาพประกอบให้เด็กเชื่อมโยงรูปภาพ โดยการเขียนทับบนรูปเป็นพยัญชนะ และค่อยๆ พาเด็กคิดจินตนาการว่า พยัญชนะที่เขียนทับไปนั้น มีความคล้ายกับรูปนั้นอย่างไร เสมือนการกลายร่างพยัญชนะนั่นเอง เพื่อช่วยให้เด็กจำพยัญชนะเป็นภาพ 

ในทุกๆ เช้า ครูแชมป์จะพาเด็กๆ ‘อ่าน คิด เขียน ท่อง 4 in 1’ เริ่มจากท่อง ก.ไก่กลายร่างด้วยกัน 3 แบบ หนึ่งคือท่องแบบธรรมดาอย่างที่เราคุ้นเคย เช่น ก.ไก่ ข.ไข่ ไปจนถึงฮ.ฮูก แต่เพิ่มการเคาะจังหวะไปด้วยกัน ครูแชมป์บอกว่า เป็นการทำให้เด็กโฟกัสไปกับครู นอกจากนี้ยังได้ใช้กล้ามเนื้อด้วย ทั้งการขยับปากพูด การกลอกลูกตาไปมาเพื่อดูตัวพยัญชนะ และการใช้นิ้วและมือในการชี้และเคาะจังหวะไปพร้อมๆ กันทั้งห้อง 

แบบที่สอง อ่านและเขียนไปด้วย “เขียนยังไง? ก็ลากเสียงยาวๆ ก…….ไก่ ข…….ไข่ เอาคำสร้อยไว้ท้ายสุด เน้นตรงเสียงท้าย” 

“และแบบที่สามเป็นการท่องแบบกลับหลัง เป็นการรีเวิร์สสมอง ฝึกให้เด็กได้คิดและมีสติมากขึ้น แรกๆ เด็กก็ตะกุกตะกัก แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้และสนุก และอีกแบบท่องแบบเสียงเดียว คือ ก ข ค ซึ่งยากที่สุด สกัดให้เหลือแต่เสียงที่พร้อมเอาไปใช้แต่งประโยคต่อได้เลย” 

เมื่อเด็กๆ แข็งแรงเรื่องพยัญชนะแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องสระ ครูแชมป์ใช้ ‘สระท่าทางมนุษย์’ ซึ่งเด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยคิดด้วย โดยใช้ร่างกายของเราทำท่าทางเป็นรูปสระต่างๆ พร้อมๆ กับออกเสียงสระนั้นๆ ดังนั้นปากกับร่างกายจะสัมพันธ์กัน

“ภาพประกอบทำให้เด็กจดจำได้ และเข้าใจความหมายของคำๆ นั้นมากขึ้น ส่วนการเขียนเป็นการพัฒนาสมอง อย่าเพิ่งสนใจว่า เด็กจะลายมือสวยไหม ตำแหน่งของสระอาจจะคลาดเคลื่อนเพียงเล็กๆ น้อยๆ ขอแค่พออ่านเป็นคำที่มีความหมายได้ 

ขอให้เขาได้ลองเขียน โดยไม่กลัวว่าจะถูกดุ ถูกตำหนิ ครูมีหน้าที่เสริมแรง เสริมกำลังให้เด็กได้ถ่ายทอดออกมา ไม่ใช่คอยจับผิด นั่นก็ผิด นี่ก็ไม่ได้ เขียนผิดเป็นตีมือ เด็กก็กลัว มือสั่นไม่กล้าเขียน ให้เขาได้เขียนก่อนผิดถูกค่อยๆ มาแก้กันไป” 

“พอเด็กเริ่มอ่านออกเขียนได้ไปสักระยะหนึ่ง ผมก็จะให้เขียนเรื่องที่เขาเจอมาในชีวิต เน้นเอาประสบการณ์ที่เขาเจอมาก่อน อย่างเพิ่งไปเอาเรื่องที่มันไกลตัว เพราะบางทีเรื่องไกลตัวเขานึกภาพไม่ออก พอเขานึกภาพไม่ออกเขาก็ถ่ายทอดมาไม่ได้ แล้วเราจะไปโทษว่า เด็กอ่านไม่ออกเด็กเขียนไม่ได้ เด็กคิดเองไม่ได้ มันไม่ใช่ เราไปไกลตัวเขา เราเป็นคนโตเรามีประสบการณ์ เรามีมุมมองชีวิตมากมาย แต่เด็กน้อยๆ เพิ่งโตขึ้นมา เขายังไม่ได้เจอโลกอะไรมากมาย เอาสิ่งที่ใกล้ตัว เวลาเขียนอาจจะเขียนเรื่องบ้านของฉัน บางทีเป็นการสืบเลย ทำให้ครูรู้จักเด็กไปด้วยว่าเขามาจากพื้นฐานครอบครัวเป็นยังไง เราก็ได้เก็บข้อมูลของเด็กด้วย”

เรียนปนเล่นด้วย ‘เส้นนำสมอง’ แบบฝึกหัดเขียนคำตามบอก

อีกหนึ่งนวัตกรรมของครูแชมป์ก็คือ ‘เส้นนำสมอง’ เก่งแบบก้าวกระโดด ด้วยคอมโบสุดโหด ฝึกเด็กเขียนตามคำบอก เสริมคลังศัพท์ในสมองเด็ก และเรียนรู้ความหมายของคำนั้นๆ เพื่อนำไปใช้ในการแต่งประโยคต่อไป  

“อันนี้ไม่ได้คิดเอง 100% แต่เป็นการตกตะกอนมาจากสื่ออยู่สองชนิด หนึ่งคืออักษร 4 สี พยัญชนะต้นเป็นสีดำ สระเป็นสีแดง ตัวสะกดเป็นสีฟ้า วรรณยุกต์เป็นสีเขียว เด็กก็จะไม่สับสนว่าตัวไหนเป็นพยัญชนะ ตัวไหนสระ แล้วก็หยิบสื่อที่เป็นแบบฝึกหัดที่มีเส้นๆ เส้นเติมคำ ให้เด็กเอาคำมาเติม ก็เลยเอาสีกับเส้นมาผสมกัน สื่อนี้เกิดขึ้นได้เพราะเราเจอเด็กที่อ่อน พอได้ลองทดสอบเขียนคำตามบอก เชื่อว่าครูหลายๆ ท่านก็น่าจะเคยทำ มันมีคนที่ได้มากกว่า 5 และมีคนที่ได้ต่ำกว่านั้น ไปจนถึงได้ 0 เราจะทำยังไงกับเขา เลยลองขีดเส้นระบุตำแหน่งให้เด็ก”

โดยหลักการของเส้นนำสมองนั้น เนื่องจากว่าเด็กผ่านการฝึกเขียน ท่อง จดจำพยัญชนะและสระกันมาแล้ว ทำให้มีพยัญชนะและสระในสมองเป็นพื้นฐานแล้ว แต่ปัญหาคือเขายังไม่สามารถเขียนออกมาได้ จึงจำเป็นต้องมีตัวนำทาง

“มันเหมือนกับเด็กที่เริ่มว่ายนำเป็นแล้วเขาอยู่ในทะเล อยู่ในแหล่งน้ำ เราเอาเส้นนำสมองไปปักหลักให้เขา ให้เขาได้ว่ายไปหาเส้นที่มันถูกทางของการเขียนคำ เพราะเขาพูดได้ เขาอ่านได้ แต่เขายังไม่เคยลองเขียน จึงต้องใช้เส้นนำสมอง ซึ่งมันเป็นนวัตกรรมที่ง่ายมาก แค่เอามาขีดให้เด็กเอาไปเติมๆ ผมซื้อปากกามาง่ายๆ ปากกาไวท์บอร์ดสี่สี ตรงที่ให้นำพยัญชนะมาใส่ก็ขีดเส้นนำสีดำไปอย่างนี้เป็นต้น แล้วเด็กก็เติมได้ จากตอนแรก 0 คะแนน ก็ค่อยๆ ขยับมา 2 มา 6 มา 8 คะแนน แล้วเส้นนำสมองมันไม่ได้จบแค่เขียนคำ มันไปยาวได้ทั้งประโยค”

“นวัตกรรมเส้นนำสมองเหมือนเป็นการหลอกนะ หลอกตัวผมเองเหมือนกันว่าเด็กได้ ทั้งๆ ที่เราช่วยใบ้เขา แต่เราอย่าลืมว่าป.1 เขามาฝึก ไม่ได้มาเก่ง ดังนั้นพอเขาได้ตัวช่วย มีครูคอยพยุงไป เขาเชื่อว่าเขาทำได้ เขาเชื่อว่าเขาเก่ง กลายเป็นว่าจากเขียนคำกระโดดไปแต่งประโยคได้อย่างรวดเร็ว ผมสลัดทิ้งก่อนเลยนะครับ ประธาน กริยา กรรม ยังไม่เอามาใช้ ให้รู้ก่อนว่า… ฉันทำอะไร ฉันเห็นโน่น ฉันเห็นนี่ แล้วค่อยเริ่มท้าทายเด็ก นักเรียนใครเริ่มเก่งแล้วครูแชมป์ลองท้าว่าหนูลองเปลี่ยนคำว่า หนู เป็นคำว่า พ่อ เป็นคำว่าครู ดูสิ ให้ลองเปลี่ยนประธานดูก่อน บางคนแต่งประโยคมาใช้ชื่อเพื่อนทั้งห้องเลย”

ครูแชมป์เสริมว่า ถ้อยคำให้กำลังใจก็สำคัญ เช่น หนูทำได้, หนูเก่งมาก, หนูเก่งขึ้นแล้ว, อย่าไปกลัวเดี๋ยวครูช่วยเอง, พัฒนาขึ้นแล้ววันนั้นหนูยังทำไม่ได้เลย, เพื่อนๆ ดูนี่ๆ… เขาเขียนคำยาก, คำนี้มันยากจริงเขียนผิดไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวครูสอน และพยายามตรวจงานต่อหน้าเด็ก เพราะเป็นพื้นที่สำคัญในการฟีดแบคกลับไปที่เด็ก 

“ผมขอฝากไว้อีกอย่างก็คือ ถ้าเรายังปล่อยให้เขาอ่านไม่ออก ก็เหมือนปล่อยให้เขาพิการ มีตาแต่ว่าเป็นตาที่บอด บอดไปจากการรับรู้ บอดไปจากข้อมูลข่าวสารที่จะมาพัฒนาสมอง พัฒนาประสบการณ์ของเขา 

ดังนั้นถ้าเราเป็นครู โดยเฉพาะป.1 แล้วเรายังปล่อยให้เขาบอดไป เราต้องพัฒนาให้เขาอ่านออกได้ไวที่สุด พออ่านออกได้ก็ไปต่อได้ เหมือนกับหนังสือ เวลาเจอหนังสือ เด็กที่อ่านไม่ออก เขาก็จะได้แต่เสพภาพ แต่พออ่านออกมันรับสารคูณสอง แล้วประสบการณ์แต่ละปีมันสำคัญ 

ท้ายสุดแล้วเราไม่ต้องคิดมากว่าเราอยากเป็นครูในสไตล์ไหน แค่ครูเป็นครูที่ทำให้เด็กๆ โชคดีให้ได้ที่มาเจอเรา”

ทั้งนี้ สื่อของครูแชมป์ทั้งหมดสามารถนำไปใช้ได้ฟรี โดยได้เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ inskru และเฟซบุ๊กของครูแชมป์  พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์ 

Tags:

การอ่านเด็กประถมวิชาภาษาไทยครูแชมป์-พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์ก.ไก่กลายร่างเส้นนำสมองการพูด อ่าน เขียน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Kru-gar_cover 2
    Creative learning
    ‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • phonics-nologo
    Learning Theory
    สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

‘บุคลิกภาพ’ สร้างได้? เข้าใจ 5 บุคลิกหลักจากมุมมองทางจิตวิทยา
Character building
26 February 2024

‘บุคลิกภาพ’ สร้างได้? เข้าใจ 5 บุคลิกหลักจากมุมมองทางจิตวิทยา

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ในทางจิตวิทยาบุคลิกภาพหลักของคนเรามีอยู่ 5 แบบ โดยอิทธิพลส่วนหนึ่งถ่ายทอดผ่านมาทางพันธุกรรม กับอีกส่วนหนึ่งผ่านประสบการณ์หล่อหลอมมาตลอดชีวิต
  • จุดอ่อนเรื่องหนึ่งของระบบการศึกษาไทยคือ ไม่เน้นการสร้างเสริมบุคลิกภาพให้เหมาะกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กลับเน้นไปที่การเติมเนื้อหาความรู้ใหม่ๆ มากจนเกินควร ทำให้เด็กต้องใช้เวลากับการเรียนมากขึ้น และที่แย่สุดคือเบื่อหน่ายต่อการหาความรู้
  • เราสามารถ ‘ฝึก’ และ ‘ปรับ’ ให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งการรู้ว่าบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีคนแค่เพียง 13% เท่านั้นที่พอใจกับบุคลิกภาพของตัวเอง

มนุษย์เรามีบุคลิกภาพไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละคน ผู้ที่สนใจเรื่องบุคลิกภาพหรือบุคลิกลักษณะและนิสัยน่าจะพอรู้ว่า มีการแบ่งคนได้สารพัดแบบ เช่น นพลักษณ์ จริต 6 หรือ DISC model ฯลฯ บ้างก็ว่าวิธีแบ่งบางแบบแม่นยำกว่าแบบอื่น แล้วแต่ประสบการณ์และการสังเกตที่แตกต่างกันไป 

แต่ในทางจิตวิทยามีการแบ่งที่พื้นฐานมาก มีงานวิจัยรองรับในหลายแง่มุมอย่างน่าสนใจ และที่สำคัญคืออาจจะประยุกต์ใช้ความรู้ในการแบ่งแบบนี้ เพื่อใช้พัฒนาเด็กให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นได้ตามต้องการ เหมาะสมกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว  

อันที่จริงจุดอ่อนสำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับระบบการศึกษาของไทย น่าจะได้แก่การไม่เน้นไปที่การสร้างเสริมบุคลิกภาพให้เหมาะกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กลับไปวุ่นวายอยู่กับการเติมเนื้อหาความรู้ใหม่ๆ เข้าไปในหลักสูตรมากจนเกินควร ทำให้เด็กๆ ต้องใช้เวลากับการเรียนมากขึ้น แต่กลับได้ผลสัมฤทธิ์ลดลง และที่แย่สุดคือเบื่อหน่ายต่อการหาความรู้ และหยุดหาความรู้ทันทีเมื่อมีโอกาส หรือจะหาความรู้แต่ก็เฉพาะเวลาโดนบังคับกะเกณฑ์เท่านั้น 

กลับมาที่เรื่องของบุคลิกภาพในมุมมองทางจิตวิทยากัน  

ในทางจิตวิทยานั้น บุคลิกภาพของคนแบ่งได้เป็น 5 แบบใหญ่ๆ คือ

(1) เปิดรับประสบการณ์ (Openness to experience) 

(2) มีจิตสำนึก (Conscientiousness) 

(3) มีความเปิดตัว (Extraversion) 

(4) มีความเป็นมิตร (Agreeableness) 

(5) มีความไม่มั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism) 

ถ้าเอาตัวอักษรแรกของคำเหล่านี้มารวมกัน ก็อาจจำได้ง่ายๆ ว่า OCEAN หรือบางคนอาจจะจำเป็น CANOE ก็ได้เช่นกัน

แนวคิดเรื่องบุคลิกภาพหลัก 5 แบบนี้เริ่มพัฒนาขึ้นในทศวรรษ 1970 (นั่นก็คือกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว!) โดยทีมวิจัย 2 ทีม ทีมแรกนำโดยพอล คอสตา และรอเบิร์ต อาร์. แมคเคร จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา และอีกทีมนำโดยวอร์เรน นอร์แมน และเลวิส โกลด์เบิร์ก จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่แอนน์อาร์เบอร์ และมหาวิทยาลัยออเรกอน [1] 

ก่อนจะลงไปดูที่บุคลิกภาพแต่ละแบบกัน ขอเน้นตรงนี้ก่อนว่า บุคลิกภาพเป็นผลลัพธ์มาจากพันธุกรรมส่วนหนึ่งและการเลี้ยงดูอีกส่วนหนึ่ง เช่น พบว่าปกติแล้วลูกคนโตจะมีลักษณะเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ไปพร้อมๆ กับเป็นคนจอมบงการ เจ้ากี้เจ้าการ เพราะต้องดูแลน้องๆ หากในครอบครัวไม่ได้มีลูกเพียงคนเดียว 

โดยสรุปคือแต่ละคนจะมีส่วนผสมของบุคลิกภาพทั้ง 5 แบบนี้ปะปนกันอยู่ บางคนก็มีบางอย่างมาก แต่มีบางอย่างน้อย โดยในตอนที่ทำวิจัยกันในช่วงแรกๆ มักจะเรียกว่าเป็นแบบจำลองห้าปัจจัย (Five-Factor Model) หรือ FFM แต่ชื่อเล่นที่ติดปากมากกว่าคือ บิ๊กไฟว์ (Big Five) [2]

คราวนี้มาดูบุคลิกภาพแต่ละแบบกันให้ละเอียดมากขึ้น 

คนที่มี Openness มาก เป็น ‘คนช่างคิดช่างฝัน’ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูง กล้าลองทำกิจกรรมใหม่ๆ ไวต่อความรู้สึก ความงาม รับรู้ความงามทางศิลปะได้ง่าย รับรู้อารมณ์ความรู้สึกตัวเองได้ดี และชอบใช้สติปัญญา 

ในทางกลับกัน คนที่มี Openness น้อยก็จะมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ติดกรอบประเพณีมาก ชอบอะไรที่เรียบๆ ไม่ซับซ้อนหรือลึกซึ้ง ไม่เปิดรับสิ่งใหม่เท่าไหร่ ไม่สนใจทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยมีการตอบสนองทางอารมณ์มากนัก  

มีการทดลองที่น่าสนใจในปี 2011 ที่ชี้ว่า ยาไซโลซีบิน (psilocybin) ซึ่งออกฤทธิ์หลอนประสาทแบบเดียวกับเห็ดขี้ควาย (magic mushroom) ทำให้ผู้ได้รับยาปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพกลายเป็นคนที่มีลักษณะ Openness มากขึ้นอย่างน้อยถึง 1 ปี [3] 

นี่หมายความบุคลิกภาพ (อย่างน้อยก็บางลักษณะ) สามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อใช้ยาบางอย่าง 

ถัดมา คนที่มี Conscientiousness หรือจิตสำนึกดีมาก ลักษณะเด่นคือเป็น ‘คนชอบวางแผน’ มักเป็นคนมีวินัย รู้จักหน้าที่ ระมัดระวังรอบคอบ มีจุดมุ่งหมายเรื่องความสำเร็จในชีวิต มักชอบเตรียมการล่วงหน้า คนอื่นมักมองคนแบบนี้ว่าฉลาดและเชื่อถือได้ 

แต่ก็มีข้อเสียคือมักบ้าความสมบูรณ์แบบ ชอบโหมงานหนัก และจริงจังกับทุกเรื่องจนดูเป็นคนเคร่งเครียด น่าเบื่อ หรือไม่มีชีวิตชีวาไปบ้าง พวกที่มีลักษณะตรงกันข้ามก็มักไร้จุดหมายในชีวิต ไม่ทะเยอทะยาน ทำตามแบบแผนไม่ค่อยได้ เพราะอยากทำอะไรตามแต่ใจตัวเองมากกว่า 

คนที่เปิดตัวมี Extraversion มาก มักจะเป็น ‘ดาวของงานปาร์ตี้’ เป็นคนชอบพบปะพูดคุยกับคนอื่น เป็นคนเปิดเผย ร่าเริง ดูอบอุ่น มองโลกในแง่ดี กระตือรือร้น ชอบเหตุการณ์ตื่นเต้นเร้าใจ และชอบเรียกร้องสิทธิของตัวเอง 

ถ้ามีลักษณะตรงข้ามก็เป็นคนแบบ Introvert คือ ค่อนข้างเงียบ ชอบเก็บตัวและอยู่คนเดียว หรือไม่ก็เลือกอยู่กับคนที่เหมือนกับตัวเองเป็นหลัก ถ้าเป็นมากก็จะดูเป็นคนไม่สนใจหรือแคร์คนอื่น รวมทั้งไม่เป็นมิตรหรือไม่ค่อยมีเพื่อน 

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจของ Introvert คือ บางคนอาจสับสนเรื่องนี้กับอาการขี้อาย แต่สองอย่างนี้ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวนัก ความขี้อายมีรากฐานมาจากความกลัวที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่น หรือการขาดความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ดังกล่าว ขณะที่คนเป็น Introvert อาจจะดึงดูดสายตาคนอื่นในงานปาร์ตี้ก็ได้ 

แต่สำหรับตัวพวกเขาเองแล้วกลับชอบอยู่คนเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ มากกว่า [4]  

ถัดมาอีกคือ คนที่มีความเป็นมิตรสูงหรือ Agreeableness มาก เป็นคน ‘ใจดีชอบตามใจคนอื่น’ เป็นพวกจิตใจอ่อนโยน ให้ความร่วมมือ มองเห็นความดีในตัวมนุษย์ ซื่อสัตย์ และไว้วางใจได้ ชอบช่วยเหลือคนอื่น และชอบความปรองดอง 

คนที่มีความเป็นมิตรต่ำก็จะเป็นคนเอาตั้งเองเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยสนใจสุขทุกข์ของคนอื่น ไม่ชอบช่วยเหลือใคร มีความหวาดระแวงสูง ไม่ค่อยเป็นมิตร และไม่ชอบทำงานร่วมกับคนอื่น 

เรื่องที่น่าสนใจกรณีบุคลิกภาพนี้ก็คือ ผู้ชายที่มีลักษณะแบบนี้สูง ผู้หญิงมักจะเห็นแล้วเชื่อว่าคนพวกนี้ต้องเต้นรำเก่งแน่ๆ แสดงนัยยะว่าคนพวกนี้มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่บ่งบอกความเป็นมิตรสูงบางอย่างอยู่ให้พอจับสังเกตได้ [4] 

อีกข้อสรุปที่น่าสนใจคือ ผู้ชายที่มีความเป็นมิตรต่ำกลับมักมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าผู้ชายทั่วไป คนจำพวกที่แสดงออกว่าโหด ดุ หรือก้าวร้าว กลับได้ประโยชน์จากบุคลิกภาพแบบนี้ที่ช่วยให้รอดชีวิตได้ในสมัยโบราณและยังตกทอดมาถึงยุคนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่บุคลิกแบบเดียวกันนี้กลับไม่แสดงความสัมพันธ์ใดๆ กับรายได้ของฝ่ายผู้หญิงเลย! [4] 

สุดท้าย คนที่มีความไม่มั่นคงทางอารมณ์หรือ Neuroticism เป็นคน ‘ขี้กลัวขี้เหวี่ยง’ มีความบกพร่องในการปรับตัวและปรับอารมณ์ ขี้วิตก ประหม่า โกรธ ซึมเศร้า เครียดและสับสนง่าย มักคิดแบบไม่เป็นเหตุเป็นผล 

แต่ถ้าเป็นคนที่มีลักษณะตรงกันข้าม ก็จะมีอารมณ์มั่นคง มีสมาธิดี ไม่ค่อยมีอารมณ์แบบลบ หรือถ้ามีก็หายไปเร็วมาก  

พวกขี้กังวลมีแนวโน้มจะมีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง เช่น สูบบุหรี่จัดและดื่มแอลกอฮอล์หนัก และเสียชีวิตขณะอายุน้อย 

การศึกษาชิ้นหนึ่งในปี 2006 พบความสัมพันธ์ระหว่างการติดปรสิต Toxoplasma gondii จากแมวกับอาการแบบ Neuroticism ที่เพิ่มมากขึ้น [5] แปลเป็นไทยเข้าใจง่ายๆ ว่า อาการป่วยที่เกิดจากปรสิตที่ถ่ายทอดกันได้ สามารถเปลี่ยนบุคลิกภาพให้เป็นคนขี้กลัวขี้เหวี่ยงมากขึ้นได้!

อย่างไรก็ตาม เราสามารถ ‘ฝึก’ และ ‘ปรับ’ ให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นได้เช่นกัน อันที่จริงเมื่อเราอายุมากขึ้น เราก็มักจะมีความเป็นมิตรมากขึ้นไปพร้อมๆ กับมีจิตสำนึกที่ดีมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพิ่มมากขึ้น [6]

การรู้ว่าบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีคนแค่เพียง 13% เท่านั้นที่พอใจกับบุคลิกภาพของตัวเอง [7]  

สรุปว่าบุคลิกภาพหลักของคนเรามีอยู่ 5 แบบ โดยอิทธิพลส่วนหนึ่งถ่ายทอดผ่านมาทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่ ผสมรวมกับอีกส่วนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์หล่อหลอมมาตลอดชีวิต และอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหลายสาเหตุปัจจัย ทั้งสารเคมีหรือยา ปรสิต และการฝึกฝน   

เอกสารอ้างอิง

[1] Psychology Now (2023) Vol. 4, p.38-39 

[2] https://thomasthailand.co/perspective/แบบทดสอบบุคลิกภาพ/

[3] J Psychopharmacol. 2011 Nov; 25(11): 1453–1461. doi: 10.1177/0269881111420188

[4] Psychology Now, 2023, Vol. 4, 38-39  

[5] Proc Biol Sci. 2006 Nov 7; 273(1602): 2749–2755.doi: 10.1098/rspb.2006.3641 

[6] https://www.psychologytoday.com/us/blog/media-spotlight/201509/can-you-change-your-personality

[7] https://www.truity.com/blog/studies-show-many-us-wish-we-had-totally-different-personalities

Tags:

จิตวิทยาบุคลิกภาพExtraversionOpenness to experienceConscientiousnessAgreeablenessNeuroticism

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Life classroom
    ลูกจะนิสัยเหมือนฉันไหม: บุคลิกภาพและการส่งต่อทางสายเลือด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    ทำไมมนุษย์มักจะลำเอียงให้คนหน้าตาดีเสมอ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ให้เด็กลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ วิธีเติมเต็ม Empathy ในห้องเรียนของครูนักปรัชญา: ครูเปี๊ยก – วิสิทธิ์ ตออำนวย
Unique Teacher
21 February 2024

ให้เด็กลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ วิธีเติมเต็ม Empathy ในห้องเรียนของครูนักปรัชญา: ครูเปี๊ยก – วิสิทธิ์ ตออำนวย

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ครูเปี๊ยกจบการศึกษาด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ จึงนำความรู้มาออกแบบกระบวนการสร้าง Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้กับนักเรียน ด้วยความเชื่อว่า หากทุกคนมี Empathy จะสามารถสร้างสังคมที่สงบสุขและราบรื่นได้
  • ‘ห้องเรียนจิตตื่นรู้’ นอกจากจะช่วยเติมเต็ม Empathy แล้วยังมุ่งหวังที่จะลดปัญหาการบูลลี่ โดยให้นักเรียนได้ลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ เพื่อที่จะได้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นผ่านการขบคิดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง
  • การสร้าง Empathy ในโรงเรียน สิ่งสําคัญคือ ครูควรมี Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจ, เห็นอกเห็นใจทั้งผู้ปกครองและเด็กเป็นพื้นฐาน ครูต้องเป็นคนที่เปิดใจ เป็นกลาง และคอยประสานทุกฝ่ายเพื่อแก้ปัญหา
  • ครูเปี๊ยกใช้กิจกรรมสร้างการเรียนรู้จากสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตจริง และการโยนคำถามให้เด็กลองคิดและลองตอบ เพื่อที่เด็กจะได้เข้าใจเหตุผลของการกระทำของตัวอย่างที่เล่าอย่างถ่องแท้ เพราะเมื่อเกิดความเข้าใจจึงจะเกิดความเห็นอกเห็นใจตามมา

“สิ่งใดตนไม่ปรารถนา สิ่งนั้นอย่าทํากับผู้อื่น”

นี่คือปรัชญาขงจื๊อประจำใจของ ครูเปี๊ยก-วิสิทธิ์ ตออำนวย ครูวิชาบูรณาการระดับชั้นประถม ของศูนย์การเรียนประถมภูมิธรรม 

ด้วยความที่ครูเปี๊ยกจบปริญญาโท คณะอักษรศาสตร์ สาขาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงยังจบปริญญาตรี วิชาเอก สังคมศาสตร์การพัฒนา วิชาโท ปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ครูจึงมีความสนใจทั้งในด้านสังคมศาสตร์และปรัชญาจีนเป็นพิเศษ และกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการส่งต่อแนวคิดที่คล้ายกันกับปรัชญาขงจื๊อคือ การสร้าง Empathy หรือ ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้กับนักเรียน เพราะครูเปี๊ยกเชื่อว่า หากทุกคนมี Empathy เราก็จะสามารถสร้างสังคมที่สงบสุขและราบรื่นได้

จุดเริ่มต้นของการที่ครูเปี๊ยกมองเห็นความสำคัญของ Empathy คือการที่ได้กลับมาเป็นครูอีกครั้ง หลังจากที่หยุดพักการสอนไปกว่า 8 ปี ทำให้ครูเห็นความแตกต่างของนักเรียนในปัจจุบัน กับนักเรียนรุ่นแรกที่เคยสอน ที่มีพฤติกรรมค่อนข้างต่างกันมาก และค้นพบปัญหาว่า โดยภาพรวมเด็กๆ ขาดบุคลิกที่มี Empathy เพราะเด็กมองเห็นตัวเองมากขึ้น คิดถึงผู้อื่นน้อยลง และยังคงมีการกลั่นแกล้งรังแกกัน (Bullying)  รวมถึงมีทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นลดลง ซึ่งน่าจะเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ถดถอยในด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม 

ครูเปี๊ยกจึงคิดว่าต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับนักเรียนให้ได้ เพราะถึงแม้ว่าวิชาการจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในฐานะครู สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การสร้างเด็กที่สามารถอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายได้อย่างราบรื่น แม้ว่าทุกคนจะมีความเห็นไม่เหมือนกับเขาก็ตาม

‘ห้องเรียนจิตตื่นรู้’ จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างกระบวนการเติมเต็ม Empathy ให้กับนักเรียน เพื่อลดปัญหาการบูลลี่ หรือการรังแกกันในโรงเรียน ให้นักเรียนได้ลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ เพื่อที่จะได้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นผ่านการขบคิดตาม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง

“พอเราปรารถนาดีต่อกัน ก็จะทําให้เราเห็นความรู้สึกของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น และเมื่อจุดเริ่มต้นมันดีแล้ว ก็จะทําให้เราสามารถเปิดใจรับฟัง และทํางานร่วมกันต่อไปได้ง่ายขึ้นครับ” ครูเปี๊ยกกล่าว

แนวคิดของครูนักปรัชญา ผู้แก้ปัญหาการบูลลี่

หลักของขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘สิ่งใดตนไม่ปรารถนา สิ่งนั้นอย่าทํากับผู้อื่น’ 

ปรัชญาขงจื๊อนั้นให้ค่ากับความสัมพันธ์ในชุมชน เพราะมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกัน ขงจื๊อจึงมีแนวคิดว่า หากมนุษย์จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้ ก็ควรจะต้องมาอยู่ร่วมกันก่อน แล้วถามว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร 

“ขงจื๊อเสนอว่าเราต้องมี ‘เหริน’ (仁) หรือ ความรัก เพราะมนุษย์ต้องรักกันมีความสัมพันธ์ที่ดีก่อน ถึงจะสร้างชุมชนที่มีมนุษยธรรมและงดงามขึ้นมาได้ ซึ่งก็เชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเคยเรียนและเห็นกันบ่อยๆ ว่า คนเราต้องการมี Liberty (เสรีภาพ) และ Equality (ความเสมอภาค) แต่ว่าหลายคนไม่ค่อยพูดถึง Fraternity หรือ การอยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง อยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์กันสักเท่าไร ซึ่งปรัชญาขงจื๊อมักพูดถึงเรื่องความกลมเกลียวสมดุล และการอยู่อย่างไรให้ราบรื่น 

ผมรู้สึกว่าถ้าเด็กๆ เขามีสิ่งนี้ และเข้าใจว่าท้ายสุดแล้วทุกคนต้องอยู่ร่วมกันกับคนที่มีความแตกต่าง เพราะยังไงเราก็เปลี่ยนทุกคนไม่ได้ ถ้าพยายามที่จะกีดกันคนที่คิดไม่เหมือนกันให้แยกออกไป หรือพยายามจะทําให้คนทุกคนคิดเหมือนกัน มันก็เป็นไปไม่ได้”

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ครูเปี๊ยกเห็นหลังจากกลับมาสอนในรอบ 8 ปี และเกิดการเปรียบเทียบกับนักเรียนรุ่นก่อนๆ คือ มองว่าเด็กๆ ค่อนข้างที่จะดูแลได้ยากขึ้นในหลายๆ ด้าน

“ข้อแรกเกิดการตั้งคำถามว่าทําไมนักเรียนรุ่นนี้ถึงไม่ค่อยฟังผู้อื่นเท่าที่ควร เวลาที่ครูเดินเข้ามาห้องเรียนปรากฏว่าเขาไม่สามารถนิ่ง หรือเตรียมข้าวของต่างๆ เพื่อจะเรียนได้ ถัดมาคือเรื่องการบูลลี่ ซึ่งก็มีทั้งการใช้คําหยาบคาย และการกลั่นแกล้งกัน แม้ว่าจะเป็นการแกล้งเล่นๆ แต่เด็กบางคนก็ไม่สามารถที่จะเบรกตัวเองได้ครับ

สุดท้ายคือความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน บางทีครูเดินถือของมา ถ้าเทียบกันเมื่อ 8 ปีก่อน ก็จะมีเด็กกุลีกุจอมาช่วย ครูเปี๊ยกก็ประเมินว่าความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนปัจจุบันไม่ได้แย่ แต่ว่าเขาไม่ค่อยรู้ตัวว่าควรประพฤติตัวอย่างไร”

จาก 3 ประเด็นนี้ ครูเปี๊ยกก็เริ่มสงสัยว่าอะไรที่ทําให้เด็กถึงมีลักษณะที่ต่างออกไปจากเด็กแต่ก่อน และคําตอบหนึ่งที่ครูเปี๊ยกได้จากการทํางาน รวมถึงการพูดคุยกับทั้งครูและผู้ปกครอง สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่คือ สถานการณ์โควิด ที่นอกจากจะมีภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในเชิงวิชาการแล้ว ก็ยังมีการถดถอยในด้านปฏิสัมพันธ์ด้วย

“แค่ในช่วงปิดเทอม ก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กนักเรียนจะมีภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ดังนั้นครูเลยต้องมีเครื่องมือในการมาช่วยแก้ปัญหา เช่น การสั่งการบ้าน หรือการให้งานทำร่วมผู้ปกครองช่วงปิดเทอม เพื่อที่จะคงสมรรถนะความสามารถของนักเรียน

แต่ในช่วงการแพร่ระบาดโควิดเป็นเรื่องหนักหน่วงกว่ามาก เพราะไม่ใช่ระยะเวลาแค่เพียง 1-3 เดือน เหมือนตอนปิดเทอม แต่กินระยะเวลายาวนานถึง 2-3 ปี และกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะตอบคำถามว่าทำไมเด็กถึงมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไปจากเด็กยุคก่อนๆ”

ซึ่งหากเราอยากหยุดวงจรการบูลลี่ของเด็ก หลายตําราที่ครูเปี๊ยกอ่านพูดตรงกันอย่างหนึ่งคือ ต้องมี ‘คนหยุดวงจร’ ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทําหรือผู้ถูกกระทําก็ตาม โดยที่ไม่ฝั่งใดก็ฝั่งหนึ่งต้องถอยออกมาเอง และไม่สานต่อ เพราะถ้าเกิดตาต่อตากันต่อฟัน เอาคืนกันไปมาวงจรก็จะไม่จบสิ้น คล้ายกับหลักพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า ‘เวรระงับด้วยการไม่จองเวร’ แต่ครูเปี๊ยกกลับสังเกตได้ว่า เด็กๆ หลายคนอาจไม่ค่อยเข้าใจคอนเซ็ปต์นี้ 

“พอมันมีโจทย์แบบนี้ ผมก็เลยเริ่มขบคิดว่า ทำไมเด็กเขาถึงยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ และจะมีอะไรที่สามารถช่วยเขาได้บ้าง ซึ่งคําตอบหนึ่งที่ผมเจอระหว่างช่วงปิดเทอม ในช่วงที่เข้ามาสอนประมาณกลางปี 2564 หลังจากที่ไม่ได้เป็นครูมานาน ก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งคือ ‘Unselfie’ ที่พูดเรื่อง empathy โดยเฉพาะ 

เราก็เลยคิดว่าเด็กๆ คงน่าจะขาดบุคลิกที่มี empathy ดูจากการที่เขามองตัวเองเป็นที่ตั้งว่าเขาต้องการอะไร แต่ลืมมองว่าคนอื่นเขาก็มีความต้องการเหมือนกัน เด็กๆ เขาไม่ได้มองว่าคนอื่นก็มีเหตุปัจจัยที่มองโลกต่างออกไปจากตัวเขา ก็เลยคิดว่าควรทำยังไงให้เด็กมี empathy มากขึ้นเพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น

ซึ่งในหนังสือ Unselfie ที่ผมอ่านมีอยู่เรื่องหนึ่งคือ ‘ภาวะเซลฟี่’ เป็นภาวะที่คิดแต่กับตัวเองฝั่งเดียว ซึ่งเวลาเขาเสพสื่อโซเชียลมีเดีย ก็จะเน้นว่า ‘ฉันต้องการจะสื่อสารอะไร’ ‘ฉันต้องการจะพิมพ์บอกอะไร’ เป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นส่วนใหญ่ 

การที่เด็กอยู่กับโลกที่มีปฏิสัมพันธ์ต่ำ ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากัน เด็กเขาก็จะขาดทักษะการเรียนรู้ในการรู้จักอ่านสีหน้าแววตา ภาษากายต่างๆ และน้ำเสียงต่างๆ ที่จะทําให้เราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่าย”

ครูเปี๊ยกจึงมองว่าเด็กในยุคก่อนที่สอนรุ่นแรก กับเด็กในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งก็ไม่ได้มองว่าเกิดจากการที่ผู้ใหญ่ไม่สอนเด็กเพียงแค่ปัจจัยเดียว  แต่เพราะสถานการณ์โควิดทำให้เด็กไม่ได้ถูกฝึกฝนทักษะในการเข้าสังคมมากเพียงพอ

‘ครู’ คือคนแรกที่ควรมี Empathy 

สำหรับการสร้าง Empathy ในโรงเรียน แน่นอนว่าสิ่งสําคัญคือ ครูควรมี Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจ, เห็นอกเห็นใจ ซึ่งครูต้องเข้าใจทั้งผู้ปกครองและเด็กเป็นพื้นฐานก่อน เวลาที่เด็กเขามีปัญหาหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ครูต้องเป็นคนที่เปิดใจ เป็นกลาง และคอยประสานทุกฝ่ายเพื่อแก้ปัญหา

“ครูต้องมี Empathy เพราะนี่คืองานของครู เราต้องประสานระหว่างพ่อแม่กับลูก นักเรียนกับโรงเรียน และถ้าครูเข้าใจก็จะทำให้ทํางานได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าเราเห็นอกเห็นใจคนอื่นก่อน ความแรงของเด็กและผู้ปกครองที่ส่งต่อมาถึงครูก็ถูกจะลดทอนลง เพราะเขาจะรู้สึกว่าเราเข้าอกเข้าใจเขา

หากตัวครูเองหลงลืมไปว่าเด็กต้องเผชิญอยู่ในสถานการณ์ช่วงโควิด แล้วเกิดการเรียนรู้ถดถอย รวมถึงครูไม่มี Empathy ไม่พยายามเข้าใจว่าพ่อแม่เจออะไรมาบ้างระหว่างที่เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านอยู่ตั้ง 2-3 ปี ก็มีโอกาสที่จะทําให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้น เพราะครูก็จะคิดว่า เด็กควรเหมือนกับที่เราเคยเห็นสมัยก่อนหรือเปล่า หรือเกิดตั้งคำถามว่า ทำไมผู้ปกครองปล่อยปละละเลยลูก ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าครูเริ่มจากการมี Empathy ก็จะทําให้เราเห็นภาพว่าเหตุปัจจัยล้วนมีที่มาที่ไป ไม่ใช่ความผิดของใครเลย

เพราะพ่อแม่ในภาวะเศรษฐกิจช่วงโควิดเขาก็สู้มากๆ ในการที่จะหาเงินมาเพื่อหล่อเลี้ยงครอบครัว แต่มันก็ทําให้เวลาคุณภาพของผู้ปกครองกับเด็กสูญหายไปด้วย เด็กๆ เขาก็ไม่ได้เรียนรู้สมรรถนะต่างๆในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น

หรือถ้าเราเห็นว่าเด็กมีปัญหา เราอาจจะต้องย้อนกลับไปคุยกับผู้ปกครองว่าอยู่ที่โรงเรียนเขาเป็นแบบนี้ เพื่อที่จะเช็กกับผู้ปกครองว่าภาพตรงกันกับที่บ้านหรือเปล่า ถัดมาคือต้องหาเหตุปัจจัยว่าอะไรที่ทําให้เด็กเขาเป็นแบบนี้ คุยและรับเหตุผลของผู้ปกครองมาก่อน ถ้าผู้ปกครองเปิดกว้างเปิดใจ เขาก็จะเริ่มวิเคราะห์แล้วว่ามันเกี่ยวกับที่การเลี้ยงดูที่บ้านหรือเปล่า ซึ่งถ้าเกิดว่าข้อมูลสามารถสื่อถึงกัน ก็จะได้ข้อมูลที่เป็นจริง และจะเข้าใจพ่อแม่มากขึ้นด้วย ทำให้ครูเห็นว่าจะสามารถช่วยพ่อแม่ได้อย่างไร

เพราะถ้าครูใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน มั่นใจว่าฉันมองเด็กถูก มองผู้ปกครองถูก และมั่นใจว่าแนวทางการศึกษาของฉันดีที่สุด จะทำให้ครูคนนั้นติดหล่มแน่นอน เพราะคนอื่นอาจมองไม่เห็นเหมือนเรา

โดยรวมผมมองว่า Empathy มีความสําคัญในการที่เป็นเครื่องมือ ในการช่วยให้ครูทํางานกับทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง หรือเพื่อนครูได้อย่างราบรื่นครับ ซึ่งคําว่า ‘ราบรื่น’ ก็หมายถึง พอเราปรารถนาดีต่อกัน ก็จะทําให้เราสามารถที่จะใส่รองเท้าของคนอื่น เห็นความรู้สึกของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น และเมื่อจุดเริ่มต้นมันดีแล้ว ก็จะทําให้เราสามารถเปิดใจรับฟัง และทํางานร่วมกันต่อไปได้ง่ายขึ้นครับ”

ห้องเรียนแห่งความปรารถนาดี เมื่อทุกคนมี Empathy ในใจ

ครูเปี๊ยกมักจะใช้วิธีการง่ายๆ ในการสื่อสารและทำกิจกรรมกับเด็ก โดยกิจกรรมดังกล่าวถูกนำมาใช้ในห้องเรียน ‘จิตตื่นรู้’ และนอกจากห้องเรียนนี้แล้ว ยังมีการนำไปบูรณาการร่วมกับวิชาอื่นๆ ด้วย เช่น วิชาภาษาไทยที่มีการสอนวรรณกรรม ทำให้เด็กเห็นภาพง่ายขึ้น

โดยเริ่มจากการเรียนรู้พัฒนาการตามวัยของเด็กก่อนว่าเด็กวัยนี้ต้องการอะไร ซึ่งระดับชั้นที่ครูเปี๊ยกรับผิดชอบอยู่หลักๆ คือประถมปลาย ซึ่งเป็นวัยที่เตรียมพร้อมเข้าสู่วัยรุ่น

“ตามตำราเขาบอกว่าเด็กจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนมัธยมต้น แต่ผมมองว่าด้วยความที่สื่อโซเชียลเข้ามาเร็ว แล้วเด็กมีโอกาสได้เสพสื่อมากขึ้น รวมถึงยุคโควิดที่ทําให้เด็กเสพสื่อเร็วกว่าเดิม ผมเลยมั่นใจมากว่าเด็กประถมปลายคือเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว เพราะเขาได้เห็นอะไรเยอะและไวกว่ายุคที่เราเคยอยู่

วัยรุ่นเขาต้องเจอกฎระเบียบมากมายจากพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเขาก็ถูกควบคุมจากพ่อแม่อยู่แล้ว ดังนั้นเลยคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ถ้าอยู่ในโรงเรียน แล้วเขาจะมีโอกาสในการสร้างเงื่อนไขข้อตกลงขอตัวเอง”

ข้อดีคือ จะช่วยสร้าง Self-esteem ให้เด็ก เพราะเขาอยู่ในวัยที่ต้องการรู้ว่า เขามีความสามารถอะไร และสามารถทําอะไรกับโลกได้บ้าง ถ้าเราเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และรับผิดชอบจากการกระทําของตัวเองโดยที่ครูไม่ต้องกํากับมาก ก็จะช่วยเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็กด้วย

“ผมลองให้เขาได้สร้างข้อตกลงร่วมกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วผมเองก็เตรียมข้อตกลงบางอย่างพื้นฐาน ที่คิดว่าครอบคลุมกับสิ่งที่เด็กๆ และครูต้องการ ก็เลยตั้งกฏไว้ 2 ข้อง่ายๆ กว้างๆ คือ ‘ให้กำกับตัวเอง’ หมายถึงว่าเด็กจะต้องดูแลตัวเองไม่ให้ไปเดือดร้อนคนอื่น ข้อสองก็คือ ‘อย่าทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน’ ซึ่ง 2 ข้อนี้ ก็เกี่ยวกับการมี Empathy ต่อผู้อื่น

ซึ่งตอนที่ใช้คำว่า Empathy แรกๆ เด็กๆ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมใช้กิจกรรมให้เด็กเข้าใจ Empathy ซึ่งคือการให้เข้าเรียนรู้จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง หรือเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้เขาได้ลองสวมรองเท้าของคนอื่นในเหตุการณ์นั้นๆ”

โดยครูเปี๊ยกจะใช้วิธีการโยนคำถามให้เด็กลองคิดและลองตอบ ว่าถ้าตัวเขาเป็นคนนั้น ในสถานการณ์นั้น เขาจะมีปฏิกิริยา หรือเลือกการกระทำแบบใด เพื่อที่เด็กจะได้เข้าใจเหตุผลของการกระทำของตัวอย่างที่เล่าอย่างถ่องแท้ และเมื่อเกิดความเข้าใจก็จะเกิดความเห็นอกเห็นใจตามมา

“เราต้องยกตัวอย่างสถานการณ์พวกนี้ให้เด็กตลอด เพราะเด็กยังอยู่แค่ระดับประถม ประสบการณ์ชีวิตยังน้อย ยิ่งมีสถานการณ์โควิดอีกก็ยิ่งมีประสบการณ์น้อยกว่าเดิม เพราะเด็กในระดับประถมปลาย เขาจะเริ่มมีการฝึกฝนแนวคิดเชิงนามธรรม เกี่ยวกับการวิเคราะห์ว่าสิ่งนี้ดีหรือเลว โหดร้ายหรือไม่ เป็นการเรียนรู้เรื่องอารมณ์ความรู้สึก เราเลยต้องสอนให้เขาคิดเหมือนกับว่าเราไปสวมรองเท้าของคนอื่น คอยย้ำเขาเยอะๆ เพราะถ้าอยากสร้างเจตคติ หรือสมรรถนะอะไรเป็นพิเศษ เราต้องเน้นย้ำให้เด็กเห็นว่านี่เป็นสิ่งสําคัญ”

นอกจากนี้ก็มีการนำมาเชื่อมโยงกับหัวข้อ ‘การปลูกสติ’ เพราะปัญหาที่พบคือ เด็กไม่ค่อยนิ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ทำให้ไหลไปตามสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้ง่าย ซึ่งขนาดตัวเด็กยังไม่ค่อยรู้ตัวเลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร จึงเป็นเรื่องยากที่จะนึกถึงคนอื่นว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร

“ผมเคยถามนักเรียนว่าเขาแกล้งเพื่อนทำไม เด็กก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่าเด็กโกหกหรือเปล่า ก็เลยเช็กว่าเขาไร้เดียงสาจริงไหม สรุปว่าเขาไร้เดียงสาจริงๆ เพราะช่วงโควิดก่อนหน้านี้ทำให้เด็กไม่ได้ผ่านการเจอผู้เจอคนมา เลยทําให้เขาไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้คิดถึงผลเสีย และความรับผิดชอบที่ตามมา ผมก็เลยมีเทคนิคการที่จะดึงตัวเด็กให้กลับมาอยู่นิ่ง โดยการให้คิดทบทวนตัวเองบ่อยๆ”

ซึ่งสื่อที่นำมาใช้สำหรับเด็กประถมคือ ‘สโนว์โกลบ’ (Snow Globe) ที่พอเขย่าแล้วจะมีหิมะล่องลอยในลูกแก้ว ก็จะบอกเด็กว่า เวลาโกรธให้มาเขย่าสโนว์บอลนี้นะ อย่าไปลงกับเพื่อน ระหว่างที่รู้สึกโกรธให้มองไปที่สโนว์บอล เปรียบเทียบว่าอารมณ์ข้างในก็ขุ่นมัวเหมือนกับสโนว์บอลเลย แล้วให้เขานั่งดูไปเรื่อยๆ ว่านานมั้ย กว่าหิมะจะสงบและลงมานอนก้นหมด พอหิมะนอนก้นหมดแล้วผมก็จะถามเด็กว่าตอนนี้โกรธอยู่หรือเปล่า ถ้าอารมณ์ดีแล้วค่อยกลับมาคุยกับเพื่อน เป็นต้นครับ

ในขณะเดียวกัน การทำงานกับเด็กประถมต้นก็มีความแตกต่างกับเด็กประถมปลายมากพอสมควร โดยสิ่งที่ครูเปี๊ยกเห็นได้ชัดเป็นอย่างแรกคือ เด็กประถมต้นเพิ่งโตมาจากอนุบาล ทำให้มีช่วงที่ยังมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง (self center) อยู่และพยายามที่จะสื่อสารว่าตนเองอยากได้อะไร รู้สึกอย่างไรเป็นหลัก จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาไปถึงการคิดถึงคนอื่น อย่างไรก็ตาม ระดับของการมองตัวเองเป็นศูนย์กลางจะค่อยๆ ลดลงตามวัย และสามารถคิดถึงผู้อื่นได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น 

“เด็กเขายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนามธรรม บางทีโยนคำถามเชิงปรัชญาลงไป เช่น คิดว่าการกินเนื้อสัตว์ เป็นเรื่องที่ยุติธรรมกับสัตว์ไหม แต่เด็กเขายังขาดคลังคำศัพท์อยู่ ก็จะยังไม่สามารถตอบหรืออธิบายได้มากขนาดนั้น

สิ่งที่ทำได้สำหรับการทำงานกับเด็กประถมต้นคือ  การใช้วรรณกรรมมาเป็นเครื่องมือ ให้เด็กได้เรียนรู้คลังคำศัพท์เชิงอารมณ์ความรู้สึก และเชิงนามธรรมมากขึ้น เพราะศัพท์บางคำเป็นคำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือไม่เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง 

ตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนบอกว่าโกรธ แล้วจะดูยังไงว่าเพื่อนโกรธ อ่านสีหน้าท่าทางยังไง ครูก็จะพาทํากิจกรรมให้เด็กได้ขบคิด ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ จึงต้องผ่านการทดลองทำจริงและสื่อค่อนข้างเยอะครับ

และนอกจากการบูลลี่ที่เราบอกเด็กว่าห้ามทําแล้ว ผมก็สอนตามตรงว่า บางครั้งการบูลลี่นั้น เราก็ไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ และถ้าโตขึ้นไปก็อาจจะมีคนมาพูดไม่ดีกับเราเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะแก้ได้ก็คือ ต้องมี Self Esteem เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เช่น การมีสายสัมพันธ์ที่ดี เห็นว่ามีคนที่ให้คุณค่ากับเรา สิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนให้เขามีเกราะป้องกันมากขึ้นด้วยครับ”

ทางโรงเรียนเองมีการสื่อสารกับผู้ปกครองต้องแต่วันปฐมนิเทศ ว่าจะมีการปลูกฝังนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลังจากทํากิจกรรมเสร็จ ก็จะมีบันทึกกิจกรรมและส่งให้ผู้ปกครองด้วย ซึ่งหากพ่อแม่อยากสานต่อสิ่งที่ครูสอนกับลูกก็สามารถทำได้ และทำให้พ่อแม่อุ่นใจว่าครูมีกระบวนการที่ชัดเจน

ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป กับความเห็นอกเห็นใจที่ค่อยๆ เบ่งบาน

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ เด็กดูนิ่งขึ้นและต่อต้านน้อยลง ตัวนักเรียนเองก็บอกว่าตัวเขาและเพื่อนๆ ดูสงบ อย่างแต่ก่อนมีการใช้ความรุนแรง ครูเรียกไปเจอทุกสัปดาห์ แต่เดี๋ยวนี้ก็น้อยลง เห็นว่าตัวเองมีลิมิตมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าอันไหนเกินไปก็สามารถดึงตัวเองกลับมาได้ แล้วเพื่อนเริ่มเตือนกันเองมากขึ้นโดยที่ครูไม่ต้องบอก เช่น อันนี้แรงเกินไปแล้ว หรือเพื่อนจะต่อยกันก็เข้าไปดึงเพื่อนออกมา  เด็กเขาจะไม่มองข้าม และเอาใจใส่กันมากกว่าเดิม

“แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเด็กยังคงมีการแกล้งกันอยู่เหมือนเดิมด้วยเหตุผลว่า ‘อยากแกล้ง’ เราก็พยายามเข้าใจเขาว่า เด็กอยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ และตอนนี้ยังอยู่ในเซฟโซนโรงเรียนที่เขาสามารถผิดได้ทุกอย่าง”

นอกเหนือจากครูและนักเรียนแล้ว กระแสตอบรับจากผู้ปกครอง ก็บอกว่าลูกมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเช่นเดียวกัน

“ผู้ปกครองเล่าว่า เด็กจะมีการกระทบกระทั่งกันตอนเล่นกีฬาและชนกันล้ม แล้วเขาก็เห็นภาพลูกตัวเองยื่นมือดึงเพื่อนที่ล้มขึ้นมา แล้วถามว่าเจ็บไหม ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาก็ประทับใจ ว่าลูกเราโตขึ้นอีกขั้นแล้ว

เพราะจิตวิทยาเชิงพัฒนาการที่คุณหมอจะบอกว่าช่วงประถมคือ Golden Time หรือช่วงเวลาสำคัญ ที่หากเราอยากสร้างทักษะ EF (Executive Function) ให้กับเด็ก เด็กประถมคือช่วงสุดท้ายแล้ว เพราะจริงๆ ทักษะพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องเติมเต็มตั้งแต่ต้น ถ้าหลุดประถมปลายไปก็จะไม่ทันแล้ว การที่เติมเต็มให้เด็กตั้งแต่ตอนนี้จึงสำคัญมาก เพราะสิ่งที่ครูมัธยมเขาเจ็บปวดอยู่ตอนนี้คือการที่เด็กไม่ได้ถูกเตรียมมา ยิ่งเด็กเจอภาวะวัยรุ่นที่จะยิ่งเตลิดไปไกล มันก็จะทวีคูณกว่าเดิม”

อย่างไรก็ตาม การสอนให้เด็กเรียนรู้อย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะนอกเหนือจากนั้นต้องมีคนช่วยแตะเบรกเด็กด้วย เนื่องจากความเป็นเด็กทำให้ยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อย

“บางทีเขาไม่สามารถที่จะจินตนาการผลลัพธ์แบบ Worst Case (เลวร้ายที่สุด) ได้ เช่น ถ้าเขาทําแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นจะทุกข์ทรมานมากน้อยแค่ไหน บางทีเขาอาจจะนึกไม่ออก ก็ต้องมีคนช่วยทําให้เขาเห็นให้ได้”

โดยคนที่จะเป็นคนแตะเบรกควรเป็นพ่อแม่และครู แต่หากต้องการปลูกฝังให้ได้ผลที่สุดควรเริ่มจากสถาบันครอบครัว และครูเป็นปราการสุดท้าย ที่จะช่วยเตือนเด็กและต้องยังมีความหวังว่าจะเปลี่ยนเขาได้ เพราะเด็กทุกคนไม่มีใครตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรง

“อาชญากรรมบางอย่างที่เด็กทำแล้วรุนแรง มันเป็นปกติที่เราไม่อยากให้อภัย แต่เราต้องเชื่อว่าเขาจะเปลี่ยน เชื่อว่าเขายังมีส่วนที่ดีงามอยู่ ผู้ใหญ่และครูต้องทําหน้าที่นั้นคือ ‘การให้อภัย’ เพราะสิ่งที่เราทำได้คือการเป็นโรลโมเดล เพราะถ้าเราอยากได้สังคมที่มี Empathy เป็นพื้นฐาน เราก็ต้องใช้ Empathy ในตัวเราแสดงให้เด็กเห็น” ครูเปี๊ยกกล่าวส่งท้าย

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การกำกับตัวเอง(self-regulation)Self Esteemการบูลลี่ครูเปี๊ยก - วิสิทธิ์ ตออำนวยศูนย์การเรียนประถมภูมิธรรมห้องเรียนจิตตื่นรู้

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Hometown Cha Cha Cha: ทะเลาะกันไม่ใช่ประเด็น แต่คือเรา ‘เอมพาตี้’ คนตรงหน้าแค่ไหน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to enjoy lifeBook
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด

    เรื่อง

เสี้ยวส่วนความทรงจำของ Paulo Freire  ใน Pedagogy of Hope 
Book
20 February 2024

เสี้ยวส่วนความทรงจำของ Paulo Freire  ใน Pedagogy of Hope 

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Pedagogy of Hope หนังสือที่บอกเล่าความทรงจำแห่งการเดินทางของชีวิต Paulo Freire ผู้เขียน ก่อนและหลังการลี้ภัยทางการเมือง หลังรัฐบาลทหารยึดครองอำนาจในบราซิล ชีวิตที่ต้องระหกระเหินไปยังที่ต่างๆ พัดพาให้เขาได้พบและสนทนากับผู้คนจากหลายแง่มุม ทั้งหมดคือกระบวนการทางการศึกษาที่เขาได้เรียนรู้ ก่อร่างเป็นตัวตนของเขา และเป็นจุดยืนที่เขามีต่อโลกที่อยุติธรรม
  • ‘class knowledge’ หรือ ความรู้ของชนชั้น เป็นเรื่องที่นักการศึกษาควรทำความเข้าใจมากขึ้น เรียนรู้ว่าโลกที่คนอื่น (ที่ไม่ใช่เรา) ดำรงอยู่บนเงื่อนไขอะไร จะช่วยให้เราเปิดโปงสภาพความเป็นจริงและเปลี่ยนแปลงมันได้จากใจกลางปัญหา ไม่ใช่การกล่าวโทษปัจเจกหรือมองว่าพวกเขาไร้ซึ่งอำนาจในตัวเอง
  • สำหรับ Freire การศึกษาต้องทำให้ผู้คนตระหนักว่า ตัวเขาเองไม่ใช่วัตถุที่ถูกวัดจากนักการศึกษาหรือเจ้าผู้ปกครองว่าเขารู้หรือไม่รู้อะไร ทุกคนมีความสามารถที่จะรู้ และมีความปรารถนาที่จะรู้ 

เรื่องเล่าในความทรงจำของใครสักคนอาจไม่ใช่เพียงการจดจำว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน และเมื่อไหร่ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของคนคนหนึ่ง ผ่านการได้ยิน สัมผัส และรู้สึก จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อตัวตนและต่อโลกที่ดำรงอยู่

Pedagogy of hope: reliving pedagogy of the oppressed เป็นหนึ่งในงานเขียนของ Paulo Freire ที่ทำหน้าที่แบบนั้น หนังสือได้บอกเล่าความทรงจำแห่งการเดินทางของชีวิตเขา ทั้งก่อนและหลังการตีพิมพ์การศึกษาของผู้ถูกกดขี่ (Pedagogy of the oppressed) หนังสือซึ่งทรงอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งในวงการการศึกษาเชิงวิพากษ์ ในอีก Timeline หนึ่งมันคือชีวิตของเขาก่อนและหลังการลี้ภัยทางการเมือง หลังรัฐบาลทหารยึดครองอำนาจในบราซิล ชีวิตที่ต้องระหกระเหินไปยังที่ต่างๆ พัดพาให้เขาได้พบและสนทนากับผู้คนกลุ่มต่างๆ จากหลายแง่มุม 

หนังสือ Pedagogy of Hope จึงไม่ใช่งานทฤษฎีแบบเดียวกับ Pedagogy of the oppressed ที่เน้นนำเสนอความคิด และการทำความเข้าใจอำนาจความรู้ การครอบงำ และการปลดแอกจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่อย่างเป็นระบบ แต่เป็นเสมือนอัตชีวประวัติ ที่ Freire ได้เดินทางย้อนกลับไปในความทรงจำในจังหวะช่วงเวลาที่แตกต่างของช่วงชีวิต ด้วยการระลึกถึงมัน รู้สึกกับมัน และสนทนามันอีกครั้ง ทั้งหมดนี้คือกระบวนการทางการศึกษาที่เขาได้เรียนรู้ ก่อร่างเป็นตัวตนของเขา และเป็นจุดยืนที่เขามีต่อโลกที่อยุติธรรม

ความรู้ของชนชั้น

ปี 1950 เป็นช่วงเวลาสำคัญของ Freire เมื่อเขาได้เริ่มทำงานกับศูนย์ SESI อย่างจริงจัง และได้ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อศึกษาความเข้าใจด้านปฏิบัติการศึกษาในครอบครัว กว่า 1000 ครอบครัวในเมือง Recife ของบราซิล เขาเล่าว่า การวิจัยของเขาไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากนัก เป็นเพียงการสัมภาษณ์พ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับลูกๆ อาทิ การลงโทษ การให้รางวัล เหตุผลของการลงโทษ และปฏิกริยาของเด็กๆ แต่สิ่งที่ทำให้ Freire ประหลาดใจคือการไปเยือนหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าผู้คนจะได้ทำงานอย่างคนที่รักอิสระอย่างการออกเรือไปในมหาสมุทร แต่พวกเขากลับใช้ความรุนแรงในการลงโทษเด็กๆ และเด็กเองก็ถูกคาดหวังจากพ่อแม่ให้ต้องอดทนต่อการลงโทษ ด้วยความเชื่อว่าการลงโทษอย่างหนักจะทำให้พวกเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและเอาตัวรอดจากโลกภายนอกที่โหดร้ายได้ ในตอนนั้น เขาเห็นว่าสิ่งนี้สะท้อนถึงอุดมการณ์อำนาจนิยม (authoritarian ideology) ที่ถูกผลิตซ้ำผ่านความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันของเรา ระหว่างผู้ปกครองและเด็ก หรือระหว่างครูและนักเรียน

หลังจากได้ข้อสรุป Freire มีโอกาสได้เดินทางไปนำเสนอและพูดเกี่ยวกับปัญหาการลงโทษในเมืองต่างๆ ของบราซิล ทว่า มีการบรรยายครั้งหนึ่งที่มีความหมายต่อเขาอย่างมากและยากที่จะลืม ชายคนหนึ่งที่เข้ามาฟังการบรรยายได้ตอบโต้กับเขาอย่างจริงจัง หลังจากที่ Freire ได้บรรยายว่า การเลี้ยงดูลูกควรอยู่บนพื้นฐานของความรักมากกว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง

ชายคนนี้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาว่า Freire ไม่ได้เข้าใจชีวิตของชนชั้นล่างอย่างพวกเขาดีเท่าไหร่นัก Freire ก็เป็นคนคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ต่างจากโลกที่พวกเขายืน ซึ่งปรากฏให้เห็นความแตกต่างระหว่างโลกของชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ในโลกที่ใครหลายคนยืนอยู่อาจเป็นตำแหน่งที่เด็กๆ มีห้องนอนเป็นของตัวเอง มีห้องครัว ห้องอาบน้ำ ห้องอ่านหนังสือ ที่ที่ผู้คนในบ้านมีเวลาและสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันได้ แต่ในโลกของชายคนนี้ บ้านที่เขาอาศัยอยู่กับลูกๆ มีพื้นที่จำกัด ขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต ตัวเขาเองต้องทำงานอย่างหนักเพี่อเลี้ยงดูลูกๆ ร่างกายจึงอ่อนแรงเหนื่อยล้าในแต่ละวัน การจะมีความฝันเพื่อวันพรุ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้าม เช่นเดียวกับความสุขหรือความหวัง เขาบอกกับ Freire ว่า 

“คุณรู้ไหม ชีวิตเราต่างกัน ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผม ที่ต้องกลับบ้านมาเหนื่อยๆ เครียดจากงานที่ทำ แล้วเห็นเด็กกำลังทำบ้านสกปรก หิว ร้องไห้ หรือทำเสียงดัง ในขณะที่คุณต้องรีบเข้านอนในแต่ละวันเพื่อตื่นเข้าไปทำงานในวันพรุ่งนี้ให้ไหว คุณจะทำอย่างไร?” 

เขาปิดท้ายด้วยการบอกกับแฟร์ว่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รักลูก แต่เพราะชีวิตมันยาก พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก

สำหรับ Freire นี่คือ ‘class knowledge’ หรือ ความรู้ของชนชั้น ที่นักการศึกษาควรทำความเข้าใจให้มากขึ้น นั่นคือการเข้าใจว่าโลกที่คนอื่น (ที่ไม่ใช่เรา) ดำรงอยู่บนเงื่อนไขรูปธรรมของความเป็นจริงอย่างไร หรือในอีกทางหนึ่งคือ การเรียนรู้ที่จะมองโลกจากตำแหน่งแห่งที่ของคนอื่นว่าเขากำลังอยู่ในเงื่อนไขความสัมพันธ์แบบไหน ทำไมเขาถึงตัดสินใจหรือกระทำการแบบนั้น ผ่านการเข้าใจไวยากรณ์ (syntax) และ สัญญะ (semantic) เพราะการทำความเข้าใจจากแง่มุมนี้จะช่วยให้เราเปิดโปงสภาพความเป็นจริงและเปลี่ยนแปลงมันได้จากใจกลางปัญหา ไม่ใช่การกล่าวโทษปัจเจกอย่างง่ายดาย หรือมองว่าพวกเขาไร้ซึ่งอำนาจในตัวเอง

นัยยะของการสนทนาระหว่าง Freire กับชายคนนี้ ยังเป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่ทำให้เขาคิดใหม่เกี่ยวกับ ‘pedagogy’ นั่นคือการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับความรู้ของประสบการณ์การดำรงอยู่ของมนุษย์คนหนึ่งๆ (knowledge of living experience) ที่ได้ถูกย้ำในหนังสือ pedagogy of the oppressed  ในเวลาต่อมา  

คุณรู้ แต่เราไม่รู้ เราจึงควรเงียบ ?

หลังรัฐบาลทหารปกครองบราซิล Freire ต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ชีลี และทำงานด้านสังคมอยู่หลายปี เขาเล่าว่ามีโอกาสได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ ในชีลี ได้มีเพื่อนร่วมทางเป็นคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าของชีลี และได้ฟังชาวนาพูดคุยเกี่ยวกับสภาพความเป็นจริงที่เผชิญอยู่เกี่ยวกับการปฏิรูปการเกษตร (agrarian reform) ในการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดิน เสรีภาพของการผลิต รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงความรู้และวัฒนธรรม ฯลฯ 

ที่เมืองแห่งหนึ่ง Freire ได้พบเพื่อนชาวนาในค่ำคืนของการสนทนา ชาวนาเอ่ยปากบอกกับเขาว่า พวกเขาไม่มีความรู้อะไรเลย แต่ Freire คือคนที่มีความรู้และควรบอกว่าพวกเขาควรทำอะไร อันที่จริงประโยคแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ยินอยู่บ่อยครั้งในการเดินทางไปที่ต่างๆ ลึกลงไปมันคือโลกทัศน์ความสัมพันธ์แบบการศึกษาแบบเจ้าผู้ปกครอง (elitist) กับผู้อยู่ใต้การปกครอง ที่ฝ่ายหนึ่งกำหนดว่าอะไรคือความรู้ และอีกฝ่ายคือคนที่คอยรับความรู้นั้นมา หรือที่แฟร์เรียกมันว่า การศึกษาแบบฝากธนาคาร (Banking Education) 

สำหรับ Freire การศึกษาต้องเป็น populist หรืออยู่ข้างมวลชน เป็นการกระทำร่วมกัน การศึกษาต้องทำให้ผู้คนตระหนักว่า ตัวเขาเองไม่ใช่วัตถุที่ถูกวัดจากนักการศึกษาหรือเจ้าผู้ปกครองว่าเขารู้หรือไม่รู้อะไร แต่เขาสามารถเห็นว่าตัวเองเรียนรู้ได้ ทุกคนมีความสามารถที่จะรู้ และมีความปรารถนาที่จะรู้ ดังนั้น เราไม่ควรจัดวางให้เขาเป็นผู้ไร้เดียงสา หรือทะนุถนอมให้เขาด้วยรอยยิ้มมากกว่าจะตั้งคำถามใดๆ หรือเติมเต็มความเงียบลงไปด้วยการพร่ำบอกว่าพวกเขาไม่รู้อะไร แต่การศึกษาคือการยอมรับและสร้างปัญหาลงไปในการสนทนาร่วมกัน

ด้วยเหตุนี้ในค่ำคืนนั้น Freire จึงชวนชาวนาเล่นเกมหนึ่ง เป็นเกมง่ายๆ ที่ผลัดกันถามคำถามๆ หากใครตอบได้ก็จะได้คะแนนไป ต่างฝ่ายต่างสลับกันถามและตอบ แล้วก็ต่างฝ่ายก็ต่างตอบคำถามอีกฝ่ายไม่ได้ เช่น Freire ถามชาวนาว่าอะไรคือความคิดสำคัญของมาร์กซ์และเฮเกล ชาวนาตอบไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามชาวนาถามเขากลับว่า soil liming คืออะไร เขาก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

เขาไม่ได้จบเกมด้วยการบอกว่า ทำไมเขาควรเล่นเกมนี้ แต่ในทางกลับกันเขาได้ชวนสนทนาลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ใช่ว่าตัวเขาจะรู้ไปหมด และก็ไม่ใช่ว่าชาวนาจะไม่รู้อะไรเลย เราต่างมีส่วนที่เรารู้และไม่รู้ แต่คำถามที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ “ทำไมผมรู้บางสิ่ง แต่พวกคุณไม่รู้” Paulo Freire ถาม ในตอนนั้นเองชาวนาก็เริ่มถกเถียงกันอย่างเข้มข้น พวกเขาเริ่มมองเห็นจากโลกประสบการณ์ของพวกเขาที่ไม่ได้ไปโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โชคชะตาจากพระเจ้า แต่มันคือโครงสร้างทางสังคมที่กลุ่มคนในบางชนชั้นได้รับประโยชน์มากกว่าคนอีกกลุ่ม Freire เห็นว่านี่คือสิ่งสำคัญของการศึกษา คือต้องทำให้ผู้คนสามารถพัฒนาภาษาของการต่อสู้ขึ้นมาได้  

นี่คือเรื่องเล่าจากความทรงจำหนึ่งใน Pedagogy of Hope ที่ไม่ได้บอกเพียงว่า Paulo Freire เรียนรู้และแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นความหวังและการต่อสู้ในช่วงชีวิตของเขาอย่างไร แต่ยังเป็นบทสนทนาให้เราในฐานะคนทำงานการศึกษากลับมาทบทวนว่าเรากำลังมองเห็นใครบางคนจากตำแหน่งแห่งที่แบบไหน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และความเข้าใจนั้นนำมาสู่การให้ความหมายการศึกษาอย่างไร    

หมายเหตุ

หยิบยกมาจากบางส่วนจากบทที่ 1 ของหนังสือ Pedagogy of Hope: Reliving Pedagogy of the Oppressed (ฉบับ Bloomsbury Revelations ตีพิมพ์ปี 2014)

Tags:

ความรู้ของชนชั้น (class knowledge)หนังสือการศึกษาPedagogy of hopePaulo Freire

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trendBook
    การศึกษาอาจต้องการ ‘ความเสี่ยง’ ไม่ใช่ ‘ความมั่นคง’: ปรัชญาการศึกษาของ Gert Biesta ใน ‘The Beautiful Risk of Education’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘เรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม’ บทสนทนาว่าด้วย ควอนตัม ความเชื่อ และการศึกษา กับ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ 

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

ถ้าพ่อนึกถึงความเจ็บปวดในวัยเด็กของตัวเองสักนิดคงไม่ทำร้ายจิตใจผมในแบบเดียวกัน
Dear Parents
16 February 2024

ถ้าพ่อนึกถึงความเจ็บปวดในวัยเด็กของตัวเองสักนิดคงไม่ทำร้ายจิตใจผมในแบบเดียวกัน

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บางครั้งมรดกครอบครัวก็มาในรูปแบบของการเลี้ยงดูเด็กโดยใช้ความรุนแรงทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ผ่านการเปรียบเทียบ ดุด่า ประจาน ทุบตี โดยอ้างความรักและความหวังดี ทั้งที่ครั้งหนึ่งตนเองก็เคยเจ็บปวดจากการเลี้ยงดูแบบนี้เช่นเดียวกัน

ในชีวิตผมเคยเห็นพ่อร้องไห้(นอกบ้าน)แค่ครั้งเดียว

ตอนนั้นผมอายุประมาณ 18 ปี ทุกวันหยุดพ่อมักส่งผมไปดูแลปู่ที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ซึ่งบอกตามตรงว่าผมเต็มใจมากๆ แต่เรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดคือในวันที่ผมติดธุระหรือมีนัดกับเพื่อน พ่อกลับไม่ค่อยฟังเหตุผลและกล่าวหาว่าผมเป็นคนไม่รู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เรียกได้ว่าผมทั้งโกรธทั้งสับสนว่าพ่อไปเอาความคิดนี้มาจากไหน เพราะในขณะที่พ่อเอาแต่สอนผมให้กตัญญูแต่ตัวพ่อเองกลับไม่เคยมาอยู่กับปู่ตั้งแต่เช้ายันค่ำแบบผมสักครั้ง

วันหนึ่ง ตอนที่พ่อขับรถมารับผมที่บ้านปู่ ผมไม่แน่ใจนักว่าสองพ่อลูกทะเลาะอะไรกันระหว่างที่ผมไปเข้าห้องน้ำ แต่สิ่งที่จดจำได้จนบัดนี้คือพ่อร้องไห้และตะโกนใส่ปู่ในทำนองตัดพ้อ ว่าปู่ก็เอาแต่ด่าพ่อว่าขี้เกียจไม่เอาไหนทั้งที่พ่อก็เชื่อฟังปู่และทำทุกอย่างที่ปู่สั่ง 

ฟากปู่ก็ดูหวั่นไหวกับคำพูดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่วายบ่นให้ผมฟังภายหลังว่าพ่อของผมเป็นคนไม่ได้เรื่อง ขี้เกียจ และรักสบาย

ย้อนกลับมาที่ผม ผมเองก็มักถูกพ่อของผมด่าแบบเดียวกับที่ปู่ด่าพ่อเสมอ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ผมผิดผมก็พร้อมยอมรับ แต่หลายๆ เรื่องผมมักเป็นฝ่ายที่ถูกตำหนิอย่างไร้ความผิดอยู่บ่อยครั้งราวกับเป็นถังขยะทางอารมณ์ของพ่อ

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเด็กๆ เวลาผมนั่งมองพ่อที่กินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พ่อมักจะด่าผมดังๆ ว่าผมไม่มีมารยาทและกำลังกวนประสาทพ่อ กลับกันหากผมนั่งกินข้าว พ่อมักจะจับผิดว่าผมกินข้าวเร็วไปช้าไปบ้าง เคี้ยวเสียงดังไปบ้าง หรือนั่งเขย่าขา (คนจีนถือว่าเป็นการทำให้เงินทองรั่วไหล) ผิดธรรมเนียมบ้าง ทั้งที่พ่อเองก็ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างเช่นกัน

หรือจะเป็นเรื่องที่พ่อห้ามไม่ให้ผมอ่านวรรณกรรมเด็ก หนังสืออ่านนอกเวลา หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เพราะพ่อมักโทษว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกรดของผมไม่ดี ผมจึงต้องไปอ่านหนังสือเหล่านั้นในห้องสมุดโรงเรียนบ้างหรือไม่ก็ยืมญาติมาอ่านในวันที่พ่อไม่อยู่บ้าน แต่โชคร้ายที่พ่อมักจับได้และลงโทษผมด้วยการเปรียบเทียบผมเป็นสัตว์สารพัด ยิ่งถ้าวันนั้นพ่ออารมณ์เสียมาก่อนผมก็อาจโดนลงไม้ลงมือ

เอาเป็นว่าทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าพ่อจะเลือกแค่ด่าหรือตีผม สุดท้ายพ่อก็จะไล่ให้ผมออกไปทำงานยกของหนักๆ กับลูกน้องของพ่อทั้งวัน ทั้งที่ผมเพิ่งจะอยู่ประถมเท่านั้น ทำเอาผมผูกใจเจ็บไม่รู้ลืมว่าหนังสือที่ผมอ่านหรือเกรดของผมไม่ดีตรงไหน เพราะถึงยังไงผลการเรียนของผมก็ดีกว่าพ่อสมัยเป็นนักเรียนด้วยซ้ำ และทำไมผมต้องเข้าไปใช้แรงงานอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่ในบรรดาลุงป้าน้าอาไม่มีใครทำแบบนี้กับลูกตัวเองสักคน 

ผมจำได้ว่าเวลาที่มีปัญหาใดๆ ในบ้าน พ่อจะสอนเสมอว่า “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” แต่ทุกครั้งที่ผมทำอะไรขัดใจพ่อ พ่อมักจะชอบด่าผมต่อหน้าลูกน้องดังๆ จนลูกน้องหลายคนบอกว่าสงสารผมที่ต้องเจออะไรแบบนี้ ส่วนพ่อก็ดูสะใจที่ได้ทำโทษผมต่อหน้าลูกน้อง ซึ่งภายหลังผมทราบมาว่าสมัยพ่อยังเล็ก ปู่ก็ชอบด่าพ่อต่อหน้าลูกน้องเพื่อให้พ่ออับอายจนไม่กล้าทำผิดอีก รวมถึงเป็นการแสดงอำนาจให้ลูกน้องกลัวไปในตัว    

ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจพ่อนัก เพราะพ่อมักบอกว่าตัวเองไม่ชอบที่ปู่ไม่ให้เกียรติพ่อแบบนั้น ทว่าพอพ่อกลายเป็นพ่อคน พ่อกลับใช้วิธีการที่พ่อรังเกียจนักรังเกียจหนากับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่นับรวมเวลาที่ควบคุมตัวเองไม่ได้จนใช้กำลังกับผมด้วยสีหน้าแววตาที่โมโหร้ายและไร้ความปราณีจนร่างกายของผมมีร่องรอยอยู่บ่อยครั้ง 

ดังนั้นผมจึงรู้สึกหดหู่เวลาเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเล่าเรื่องพ่อที่พาไปเที่ยว พ่อซื้อของให้ พ่อพาไปดูหนัง หรือพ่อที่เล่นอะไรต่างๆ ด้วยกัน ต่างกับผมที่ขอแค่พ่อไม่ด่าไม่หาเรื่องก็มีความสุขจนไม่กล้าขออะไรไปมากกว่านี้ 

นอกจากเรื่องพ่อที่ใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบปู่แล้ว ผมพบว่าพ่อมักเป็นคนที่เพื่อนๆ ชอบแวะเข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องลูก ซึ่งผมเคยแอบฟังว่าพ่อให้คำปรึกษายังไง จะแนะนำให้เพื่อนใช้กำลังหรือด่าประจานลูกแบบผมที่เจอหรือเปล่า แต่เปล่าเลย พ่อไม่เพียงแนะนำให้เพื่อนใจเย็นๆ ลองรับฟัง และค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากับลูก บางครั้งพ่อกับแม่ยังอาสาเป็นคนกลางในการพูดคุยกับลูกของเพื่อนเพื่อปรับความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ทำเอาผมสับสนพอสมควรเพราะถ้าพ่อเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผมแบบนั้นบ้างก็คงดี

หลังเข้ามหาวิทยาลัยผมพบว่าพ่อด่าผมน้อยลงมาก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าความทุกข์จะหมดไป เพราะพ่อไม่เคยยอมรับผิดในเวลาที่ผมเปิดใจคุยเรื่องบาดแผลจากการเลี้ยงดู ทั้งยังบอกผมว่าการใส่ร้ายพ่อแม่จะทำให้ตกนรกในโลกหน้า ไม่นับรวมที่พ่อพยายามให้เหตุผลอันชอบธรรมกับตัวเองว่าถึงพ่อจะเลี้ยงผมคล้ายปู่ แต่พ่อก็ ‘ลดระดับ’ ความโหดลงมาตั้งเยอะ หรือถ้าพ่อไม่ตีไม่ด่า ทุกวันนี้ผมก็คงมีชีวิตที่เหลวแหลกและอาจติดพนันติดยาเสพติดเหมือนกับลูกของคนที่พ่อรู้จัก รวมถึงอะไรก็ตามที่ฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลสักนิด

เอาเป็นว่าทุกวันนี้ผมไม่เพียงไม่เข้าใจพ่อ แถมยังรู้สึกเจ็บมากขึ้นที่พ่อยังคงยึดติดกับความเชื่อแบบนี้โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกผิดหรือคิดแก้ไข เพราะพ่อมองว่าแม้สไตล์การเลี้ยงลูกแบบโหดๆ จะไม่ถูกใจผม แต่พ่อทำทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับผมมากที่สุด และยังพูดดักคอว่าทุกครั้งที่ลงโทษผม ตัวพ่อเองต่างหากคือคนที่เจ็บปวดที่สุด 

ถ้าขออะไรได้สักอย่าง ผมคงขอให้พ่อเปิดใจรับฟังผมจริงๆ สักครั้ง ผมอยากให้พ่อรู้ว่าการบังคับและความรุนแรงทุกอย่างที่พ่อทำกับผมในตอนนั้น มันส่งผลให้ผมกลายเป็นคนหดหู่ หวาดกลัวและขาดความมั่นใจมากแค่ไหน 

ทำไมพ่อไม่คิดบ้างว่าวิธีที่พ่อคิดว่าดีที่สุดอาจไม่เหมาะกับผม 

ดังนั้น ผมอยากใช้พื้นที่นี้บอกกับพ่อแม่ทุกคนว่าแม้การใช้ความรุนแรงและความกลัวเลี้ยงลูกอาจส่งผลให้ลูกเชื่อง แต่อีกมุมหนึ่ง มันคือระเบิดเวลาที่ไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัวระยะยาว ยังทำลายโลกที่ควรจะสวยงามในวัยเด็กของคนๆ หนึ่งให้พังพินาศลง

แน่นอนว่าผมไม่ได้เรียกร้องว่าพ่อแม่ต้องเคารพลูกแบบที่พ่อของผมชอบประชด แต่ผมอยากให้พ่อแม่คิดถึงความรู้สึกของตัวเองในวัยเด็กให้มาก เพื่อให้ลูกคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาด้วยภาพจำของความรักความเมตตาซึ่งจะเป็นเข็มทิศและพลังใจอันเข้มแข็งให้เขาต่อไปในอนาคต

Tags:

ครอบครัวบาดแผลทางจิตใจ

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieDear Parents
    The me you can’t see: การเดินทางของ ‘พ่อ’ ที่ใจแตกสลายจากการเสียลูก 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ทำไมการมูฟออนจากคนรักเก่า…ถึงพูดง่ายแต่ทำยาก: รู้ใจตัวเองผ่าน Ironic Process Theory
Relationship
14 February 2024

ทำไมการมูฟออนจากคนรักเก่า…ถึงพูดง่ายแต่ทำยาก: รู้ใจตัวเองผ่าน Ironic Process Theory

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • การมูฟออนจากคนรักเก่า เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะมันไม่ใช่แค่การเลิกแยกทางกันของคนสองคน แต่คือการบอกเลิก กิจวัตรนิสัยความเคยชินเก่าๆ (Old habits) บางอย่างที่เคยทำด้วยกันประจำไปในตัว
  • การที่เราตั้งใจที่จะไม่ไปนึกถึง สมองกลับส่งผลลัพธ์ตรงกันข้าม สมองยิ่งจดจำได้แม่นยำชัดเจนขึ้นกว่าเดิมไปอีก ซึ่งสิ่งนี้ทำงานนอกจิตสำนึกและยากที่จะควบคุม
  • การมูฟออน ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลืมคนรักเก่า เราเดินหน้าต่อไปโดยหันมามองหลังเป็นครั้งคราวได้ ชีวิตดำเนินต่อไปกับคนใหม่ได้โดยไม่ต้องลบทิ้งข้อมูลคนเก่าออกไปในพื้นที่เก็บข้อมูลของสมอง

ความรักเป็นสวยงาม แต่ไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งไม่มีใครรู้ ความสัมพันธ์นั้นอาจเดินทางมาถึงจุดจบ นั่นคือ ‘การลาจาก’

เมื่อเลิกรากันไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือการ ‘มูฟออน’ ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับมุมมองสายตาคนนอก คำตอบอย่าง “ก็แค่หาคนใหม่สิ” เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากสำหรับคนในที่พบเจอเหตุการณ์กับตัว 

เลิกกันไปแล้ว แต่ยังคิดถึงอยู่ทุกวี่ทุกวัน เลิกไปแล้วแต่ใจยังโหยหาและหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ที่มีร่วมกัน ภาวะอารมณ์มักรุนแรงเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับคู่ที่ ‘เพิ่งเลิกกันใหม่ๆ’ 

เพราะมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก เราไม่สามารถกดปิดสวิตช์นี้ เพื่อไปเปิดสวิตช์ใหม่ได้แบบทันที ตามตรรกะเหตุผลเรา “รู้แหล่ะว่าต้องทำอะไร” เพียงแต่ก็ยังต้องการเวลาประมาณหนึ่งเพื่อเปลี่ยนผ่านเหตุการณ์รุนแรงบางอย่าง

แล้วทำไมการมูฟออนจากคนรักเก่า…ถึงเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก? หลายคนใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะทำได้ และบางคนไม่ประสบความสำเร็จในการผ่านพ้นมันไป?

บอกลาคนรักเก่า บอกลานิสัยที่เคยชิน

สิ่งแรกที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ การเลิกกับคนรักเก่า มันไม่ใช่แค่การเลิกแยกทางกันของคนสองคน คือการบอกเลิก กิจวัตรนิสัยความเคยชินเก่าๆ (Old habits) บางอย่างที่เคยทำด้วยกันประจำไปในตัวด้วย

  • วันนั้นไม่มีอีกแล้ว วันนั้นได้จากไปแล้ว ว้าาา เสียดายแย่จัง ไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้นด้วยกันอีกแล้ว

จริงอยู่ ความรักความผูกพันที่เคยมีให้กันยังคงทิ้งอาฟเตอร์ช็อกทางความรู้สึกไว้อยู่แม้จะเลิกลากันไปแล้ว โดยมีแนวโน้มถี่เป็นพิเศษหากความสัมพันธ์คบกันมาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่หลายคนทำใจยากไม่แพ้กันคือ การหักดิบนิสัยความเคยชินที่คู่ของเราเคยทำเป็นประจำ 

หนึ่งในทางออกที่ป้องกันได้แต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้ภาวะอารมณ์นี้รุนแรงเกินไป คือเมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์มีแนวโน้มเดินทางมาถึงจุดสิ้นสบ เราอาจค่อยๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยเดิมๆ ที่ทำด้วยกัน ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เตรียมตัวเตรียมใจสู่วันสุดท้ายของทั้งคู่ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อนิสัยพฤติกรรมเก่าถูกหักดิบทิ้งไปแล้ว การค้นหาและสร้าง พฤติกรรมนิสัยความเคยชินใหม่ๆ (New habits) มาแทนที่ของเดิมก็ช่วยได้มาก โดยทั่วไปแล้ว เมื่อทำอะไรซ้ำๆ ติดต่อกัน 21 วัน สิ่งนั้นมักจะกลายเป็นกิจวัตรนิสัยใหม่ของเราได้ไม่ยาก 

อย่างเช่น ถ้าปกติ 3 ทุ่มเป็นเวลาคุยกับแฟนเก่าทุกคืน ก็ลองเปลี่ยนเป็นคุยกับเพื่อนเพื่อปรึกษาระบายความรู้สึกต่างๆ หรือ หาหนังสือดีๆ อ่านสักเล่มก็น่าจะพอช่วยให้ผ่านพ้นเวลานี้ไปได้ ทั้งนี้ อย่าลืมว่ากิจวัตรด้านสุขภาพร่างกาย เช่น ตื่นมาวิ่งจ๊อกกิ้งทุกเช้า ก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเวลาออกกำลังกายเหนื่อยๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนินที่ทำให้เรามี ‘ความสุข’ แบบสุขลึกๆ ในใจ ก็น่าจะพอช่วยให้เรามูฟออนไปอีกก้าวเล็กๆ ได้บ้างก็ยังดี

ทำไมยิ่งอยากลืม ยิ่งจำได้แม่นกว่าเดิม?

นักจิตวิทยาสังคม แดเนียล เวกเนอร์ (Daniel Wegner) ได้ทำการทดลองในห้องแล็บเมื่อปี 1987 และได้สรุปออกมาเป็น ทฤษฎีกระบวนการแดกดัน (Ironic Process Theory) ชื่อนี้ฟังดูเข้าใจยากมาก แต่มีคำอธิบายที่เข้าใจง่ายและเราอาจจะเคยสัมผัสมันมาบ้างแล้วจากประสบการณ์ส่วนตัว

ทฤษฎีนี้บอกว่า การที่เราตั้งใจที่จะไม่ไปนึกถึง กดทับความคิดบางอย่าง หรือไปมีอารมณ์รู้สึกร่วมกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (หรือกรณีบทความนี้คือการที่เรา ‘ตั้งใจลืม’ คนรักเก่า) สมองกลับส่งผลลัพธ์ตรงกันข้าม สมองยิ่งจดจำได้แม่นยำชัดเจนขึ้นกว่าเดิมไปอีก! คุณอาจพบว่าความทรงจำเก่าๆ ของเราสองที่มีต่อกันกลับยิ่งพรั่งพรูออกมาแบบไม่ทันรู้ตัว

เรื่องนี้ทำงานนอกจิตสำนึกและยากที่จะควบคุม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การที่เราพยายามควบคุมสมองให้ ‘ลืมแฟนเก่า’ เราได้นึกถึง ‘แฟนเก่า’ คนนั้นไปแล้วในตัว! 

เศษเสี้ยววินาทีนั้น สมองได้ปลุกรื้อฟื้นความทรงจำที่มีต่อ ‘แฟนเก่า’ คนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว

  • ยิ่งอยากลืม…ยิ่งจำได้ฝังหัวไม่รู้ลืม
  • ยิ่งอยากสลัดความคิด…ยิ่งคิดวนเวียนในหัวไม่รู้จบ

นอกจากจะทำให้คนที่เพิ่งเลิกกับคนรักเก่ามูฟออนไม่ได้แล้ว ยังอาจเกิดภาวะซึมเศร้า หม่นหมอง หมกหมุ่นกับเรื่องเก่าๆ จนไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร และมีแนวโน้มที่อารมณ์ลบรุนแรงอื่นๆ จะทวีคูณขึ้นไปอีก

หนึ่งในทางออก คือ พยายามหา ‘เป้าหมายใหม่’ เพื่อเลี้ยวโค้งสมองให้ไปโฟกัสสิ่งนั้นแทน กรณีนี้คือการหา ‘คนคุยใหม่’ ให้ได้เร็วที่สุดนั่นเอง นอกจากนี้ การพยายามทำสมาธิเพื่ออยู่กับ ‘ปัจจุบันขณะ’ ปิดสวิตช์สมองให้ไม่คิดฟุ้งซ่าน โฟกัสที่ลมหายใจ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ตอนนี้มาอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ก็ดูเป็นวิธีที่เวิร์กในระยะยาวไม่น้อย

มูฟออนช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

‘หาคนใหม่ให้ได้เร็วที่สุด’ คือคำตอบแบบตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นคนคุย-คนรัก เพราะจะได้ไม่ติดกับดักพฤติกรรมนิสัยเก่าๆ ที่เคยผูกมัดเราไว้ และไม่เจอเข้ากับทฤษฎีกระบวนการแดกดัน (Ironic Process Theory) ดังที่กล่าวไป

แต่การรีบมีคนใหม่เร็วที่สุดด้วยจุดประสงค์ต้องการลืมคนเก่า ทำหน้าที่เป็นดาบสองคมได้เช่นกัน กรณีที่ตัวเราเองแค่ต้องการรีบหาใครสักคนมาคั่นเวลา แต่อีกฝ่ายคิดจริงจังระยะยาวกับเรา…อาจกลายเป็นเราเองที่ไปทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย? 

การมูฟออนจากคนรักเก่าแบบช้าๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป มันทำให้เราได้ขบคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา หาจุดบกพร่องของตัวเอง หาทางปรับปรุงนิสัยตัวเอง เราอาจเป็น ‘คนที่ดีขึ้น’ ให้กับคนใหม่ในอนาคตก็ได้?

และมันก็เป็นความสุขรูปแบบหนึ่ง การมีความทรงจำดีๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่มันเป็นจริง เรารู้สึกดีกับมันจริงๆ เก็บรักษาสิ่งดีๆ ไว้ก็ไม่เสียหาย?

อีกเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือ พลานุภาพของการ ‘นอนหลับ’ แมทธิว วอล์กเกอร์ (Matthew Walker) นักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับ และผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลกอย่าง Why We Sleep เผยว่า หลายคนเชื่อในวลี “เวลาเยียวยาทุกอย่าง” แต่การเยียวยานั้นจะดีที่สุดก็ต่อเมื่อเกิดควบคู่ไปกับการนอนหลับที่มีคุณภาพด้วย ทุกคืนที่เรานอนหลับ สมองจะ ‘เยียวยา’ สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ให้กลับมาดีขึ้นๆ จนถึงวันที่เรามูฟออน

การมูฟออนไม่ได้หมายความว่าเราต้องลืมคนรักเก่า เราเดินหน้าต่อไปโดยหันมามองหลังเป็นครั้งคราวได้ ชีวิตดำเนินต่อไปกับคนใหม่ได้โดยไม่ต้องลบทิ้งข้อมูลคนเก่าออกไปในพื้นที่เก็บข้อมูลของสมอง และใครบอกล่ะว่ามันช่างง่ายดาย แต่ด่านที่ยากสุดหินนี้ก็เป็นเส้นทางหนึ่งในชีวิตที่เราต้องผ่านพ้นไป

ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวมูฟ(วิ่ง)ออนทุกคน…

อ้างอิง

https://dtg.sites.fas.harvard.edu/DANWEGNER/pub/Wegner%20Ironic%20Processes%201994.pdf

https://www.vault-coaching.com/blog/breaking-up-with-old-habits

https://www.verywellmind.com/what-is-a-freudian-slip-2795851

https://www.everydayhealth.com/emotional-health/10-steps-moving-on/

Tags:

ความสัมพันธ์ความรักการลืมมูฟออน

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่
Relationship
14 February 2024

Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เอเซ็กชวล (asexual) เป็นหนึ่งในความหลากหลายทางเพศ ในด้านชีวิตรัก พวกเขาไม่รู้สึกดึงดูดใจหรืออยากเป็นคู่รักกับเพศใดๆ เลย รวมถึงไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร คนกลุ่มนี้มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
  • เอเซ็กชวลที่อยู่ในแต่ละสังคมวัฒนธรรมอาจมีขอบเขตของพฤติกรรมที่แสดงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือพวกเขาจะไม่ทำในสิ่งใดๆ เพราะไปตอบสนองต่อความต้องการทางเพศในมุมมองและการรับรู้ของตน
  • เอเซ็กชวลบางคนก็ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวให้มีคู่รัก แต่งงาน หรือมีลูก ถ้าตอนนี้สังคมเริ่มยอมรับได้ที่คนเพศเดียวกันจะเป็นคู่รักกัน สังคมก็ควรเปิดใจยอมรับคนที่ไม่ต้องการชีวิตคู่ด้วยเช่นเดียวกัน

ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ คือเรื่องของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับประเทศไทยครับ การรณรงค์จากหลายๆ ฝ่ายทำให้เรารู้ว่า ความรักแม้จะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่การยอมรับจากสังคมและกฎหมายก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้บุคคลไม่ว่าเพศใดมีความสุขในสังคมได้อย่างไม่ถูกกีดกันในด้านต่างๆ ตอนนี้แวดวงสื่อทั้งซีรีส์โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือการ์ตูนก็มีการสอดแทรกเนื้อหาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ LGBTQ+ เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเน้นไปทาง ‘ชีวิตรัก’ เป็นแกนเรื่องเกี่ยวกับความรักรูปแบบที่ต่างออกไป เช่น รักเพศเดียวกัน แต่วันนี้ผมจะมาชวนคุยถึงคนกลุ่มหนึ่งของสังคม ซึ่งเรียกว่า ‘เอเซ็กชวล’ (asexual) ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในความหลากหลายทางเพศเช่นกัน แต่ในด้านชีวิตรัก พวกเขาไม่รู้สึกดึงดูดใจหรืออยากเป็นคู่รักกับเพศใดๆ เลย ถึงแม้ว่าเอเซ็กชวลจะมีอยู่น้อยมากในสังคมแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามแน่นอน และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักคนกลุ่มนี้กันครับ

เวลาเราพูดถึงเรื่อง ‘เพศ’ เราต้องรู้ก่อนว่า คำนี้ประกอบด้วยหลากหลายแง่มุม สิ่งที่ชัดเจนสุดคือร่างกายว่าสรีระเป็นแบบไหน เพศหญิง เพศชาย หรือมีความคลุมเครือ (intersex) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศ (sexual identity) ว่าตัวบุคคลเองรับรู้ว่าตนคือเพศไหน ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับร่างกายก็ได้ (เลยมีคำว่าบุคคลข้ามเพศหรือ transexual เกิดขึ้น) นอกจากนี้ยังมีอีกด้านที่สำคัญซึ่งใช้เป็นจุดแบ่งคือเรื่องของ ‘เพศวิถี’ (sexual orientation) คำนี้เป็นคำทางวิชาการอาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่ความหมายนั้นเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี เพศวิถี คือ ลักษณะที่คงทนของแต่ละคนว่ารู้สึกดึงดูดใจกับคนเพศไหน ซึ่งการรู้สึกดึงดูดที่ว่ารวมถึงความรู้สึก ‘รักใคร่’ ในแบบทางเพศ หรืออยากเป็นคู่รักอยากมีเพศสัมพันธ์ทางเพศกับเพศใด เพศวิถีเองก็มีรายละเอียดเชิงลึกทางทฤษฎีที่ต่างกันไปตามนักวิชาการแต่ละท่าน แต่ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือทฤษฎีของเพศวิถีของ ไมเคิล สตอร์ม (ค.ศ. 1980) ว่าเพศวิถีนั้นถูกกำหนดใน 2 มิติ ดังภาพด้านล่างครับ

แผนภาพเพศวิถีของสตอร์ม (1980)

จากแผนภาพด้านบน คนเราจะมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศใน 2 แกน แกนหนึ่งคือดึงดูดทางเพศต่อบุคคลต่างเพศ และอีกแกนคือดึงดูดทางเพศต่อบุคคลเพศเดียวกัน ระดับความรู้สึกดึงดูดทั้ง 2 อย่างนั้นเป็นอิสระต่อกัน จะมากหรือน้อยก็ไม่เกี่ยวข้องกับอีกแกน หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศมาก และดึงดูดต่อบุคคลเพศเดียวกันน้อย ก็จะเรียกว่าชายแท้หรือหญิงแท้ (straight) หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศน้อย และดึงดูดทางบุคคลเพศเดียวกันมาก ก็จะเรียกว่าเกย์หรือเลสเบียน หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันมากทั้งคู่ ก็จะเรียกว่าไบเซ็กชวล  (bisexual) และหากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันน้อยทั้งคู่ ก็จะเรียกว่าเอเซ็กชวล  (asexual) 

เราน่าจะคุ้นเคยกับเพศวิถี 3 ประเภทแรกกันดี แต่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับเอเซ็กชวล การที่ดึงดูดทางเพศต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันน้อยทั้งคู่ทำให้เอเซ็กชวลไม่สนใจที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศใดๆ ไม่รู้สึกอยากมีคู่รัก ไม่รู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ สิ่งที่น่าสังเกตคือเรากำลังพูดถึง ‘การดึงดูดใจ’ นั่นแปลว่าเป็นเรื่องทางความคิดหรือจิตใจ ดังนั้นเราไม่ถือว่าบุคคลทุพพลภาพที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้แต่ในใจยังอยากมีอยู่นั้นเป็นเอเซ็กชวล และเอเซ็กชวลไม่รวมถึงบุคคลที่ข่มใจตัวเองไม่ให้ต้องการมีความรู้สึกดึงดูดดังกล่าว เช่น บุคคลที่ที่ต้องการถือพรหมจรรย์ด้วยเหตุผลทางศาสนา ความเชื่อ หรือเหตุผลอื่นๆ 

เอเซ็กชวลไม่ได้รู้สึกและไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร “แค่ไม่อยากเฉยๆ” ครับ ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับหลายๆ คน เพราะเราคุ้นชินกับสังคมวัฒนธรรมที่ถือว่าชีวิตรักคือเรื่องใหญ่ของทุกคน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือทั้งแวดวงวรรณกรรมและดนตรีโดยหลักแล้วจะเกี่ยวข้องกับความรัก และเรื่องความรักและการแต่งงานในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของใครหลายๆ คน แต่เอเซ็กชวลนั้นมีอยู่จริง จากการสำรวจในประเทศตะวันตกหลากหลายงานพบว่ามีเอเซ็กชวลประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งก็ถือว่ามีน้อยมาก แต่หากเรามองถึงปริมาณของมนุษย์ทั้งโลกแล้ว 1 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าไม่น้อยเลยจริงไหมครับ

สาเหตุที่ว่าคนเราจะมีเพศวิถีแบบใดนั้นยังเป็นสิ่งที่แวดวงวิชาการยังไม่มีคำตอบแน่ชัด และยังคงวิจัยหาคำตอบกันอยู่ แต่เป็นไปได้ว่ามาจากทั้งเรื่องของปัจจัยภายในคือ ร่างกายหรือพันธุกรรม และเรื่องของปัจจัยภายนอกอย่างการเลี้ยงดู ประสบการณ์ และการเรียนรู้ และปฏิสัมพันธ์ของทั้งภายในและภายนอก (เช่น การมีร่างกายแบบหนึ่ง เอื้อต่อการพบประสบการณ์แบบหนึ่งๆ) แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ชัดคือการมีเพศวิถีหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติ พฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ในเพศเดียวกันพบได้เป็นปกติในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สิงโต โลมา หรือช้าง ฯลฯ และตัวอย่างของสัตว์ที่มีความหลากหลายเรื่องเพศวิถีสูงมากอย่างคือแกะ ที่จะพบว่าจะมีบางตัวที่ดึงดูดกับเพศเดียวกันเท่านั้น และพบว่ามีส่วนน้อยที่เป็นเอเซ็กชวล ซึ่งไม่มีความปกติทางร่างกายใดๆ แต่ไม่พบว่าร่างกายดึงดูดกับเพศใดๆ เลย 

หากเรายึดตามแผนภาพของสตอร์ม เพศวิถีเป็นระดับที่มีการลดหลั่นกันไปจากต่ำไปสูง ชายแท้หรือหญิงแท้ก็อาจมีระดับการดึงดูดต่อบุคคลเพศเดียวกันได้ แต่อยู่ในระดับต่ำ หรือไบเซ็กชวลก็อาจจะดึงดูดเพศเดียวกันกับเพศตรงข้ามในระดับที่แตกต่างกัน เช่น ไบเซ็กชวลบางคนอาจจะดึงดูดใจกับเพศตรงข้ามมากกว่าเพศเดียวกัน จุดตัดว่าสูงหรือต่ำนั้นไม่มีตำแหน่งที่ตายตัวแน่ชัด หากใครที่มีด้านไหนสูงหรือต่ำเป็นพิเศษอาจจะชัดเจนในเพศวิถีของตนเอง แต่หากมีความก้ำกึ่งว่าคือดึงดูดใจกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามในระดับกลางๆ ทั้งคู่ก็อาจจะอยู่ในโซนสีเทาที่ยังไม่ชัดเจนได้ว่าเป็นเพศวิถีใด 

เช่นเดียวกัน เอเซ็กชวลเองก็ไม่ได้มีระดับของการดึงดูดทางเพศที่เท่ากันหมด  และทำให้แต่ละคนมีรูปแบบชีวิตในเรื่องความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป  เอเซ็กชวลบางคนไม่มีความรู้สึกต้องการความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากไปกว่าความสัมพันธ์เชิงเครือญาติหรือเพื่อนสนิท หรือเอเซ็กชวลบางคนก็ยังต้องการความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ต้องการสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความโรแมนติกอย่างเช่นการกอด หรือการจูบ ซึ่งมีคำเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเป็นแบบ ‘queerplatonic’ คือใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่งแต่ไม่มีเรื่องโรแมนติกมาเกี่ยวข้องเด็ดขาด 

หรือเอเซ็กชวลบางคนอาจจะมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติก แต่ไม่สนใจที่จะมีความรู้สึกและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ อาจจะต้องการกอดหรือจูบบุคคลที่อยากจะสัมพันธ์ชิดใกล้ แต่เจ้าตัวจะไม่รู้สึกว่านั่นทำไปเพราะความต้องการทางเพศ (ในบางชาติการจูบทำได้ในหลายโอกาส ไม่เพียงแต่ในคู่รัก) 

คำถามที่ว่าแล้วพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าเป็นเรื่องทางเพศนั้นค่อนข้างซับซ้อนครับ เพราะสิ่งดังกล่าวแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เอเซ็กชวลแต่ละคนที่อยู่ในสังคมหลากหลายเลยมีขอบเขตของพฤติกรรมที่แสดงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไปด้วย 

แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเอเซ็กชวลจะไม่ทำในสิ่งใดๆ เพราะไปตอบสนองต่อความต้องการทางเพศในมุมมองและการรับรู้ของตน

ความแตกต่างของเอเซ็กชวลยังรวมไปถึงเรื่องทางเพศที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเอเซ็กชวลบางคนอาจจะปราศจากความรู้สึกถูกกระตุ้นในเชิงสรีระใดๆ ไม่มีแม้แต่ความต้องการ ‘ช่วยตัวเอง’ แต่ร่างกายของบางคนก็ยังถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวทางเพศได้ (ร่างกายตอบสนองเช่นอวัยวะเพศชายแข็งตัว) แต่จะไม่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าอยากมีเพศสัมพันธ์ มีคำสัมภาษณ์จากงานวิจัยที่เห็นภาพคือ เอเซ็กชวลที่ร่างกายเป็นเพศชายท่านหนึ่งบอกว่าการช่วยตัวเองก็เหมือน “การระบายของที่ค้างในร่างกายออกไป” ไม่ใช่เพื่อความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ เอเซ็กชวลอาจใช้การจินตนาการถึงบุคคลเพศเดียวกันหรือต่างเพศเพื่อกระตุ้นให้ถึงจุดสุดยอดในการช่วยตัวเอง แต่บุคคลที่นึกถึงนั้นมักจะเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง บางคนจินตนาการถึง ‘ตัวเองในเวอร์ชันเพศตรงข้าม’ หรือต่อให้จินตนาการถึงคนที่มีอยู่จริง เอเซ็กชวลก็ไม่มีความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลนั้นแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ เอเซ็กชวลบางคนอาจจะแต่งงานด้วยเหตุผลอื่น ๆ นอกเหนือจากการอยากมีคู่รักหรือต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศ โดยเฉพาะคนที่ยังต้องการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือความสัมพันธ์แบบโรแมนติกก็อาจเลือกที่จะใช้ชีวิตในรูปแบบคู่แต่งงานกับคนนั้น แม้ว่าตนเองจะไม่ต้องการความสัมพันธ์ทางเพศ และอาจจะมีเพศสัมพันธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย หรือบางคนแต่งงานเพราะต้องการมีลูก บางคนแต่งงานเพราะอิทธิพลจากสังคม หรือแม้แต่เรื่องของเศรษฐกิจเช่นสวัสดิการที่เกี่ยวกับครอบครัว

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านอาจจะเห็นแล้วว่าเอเซ็กชวลมีรายละเอียดและความหลากหลายที่มาก และด้วยจำนวนที่น้อย สังคมเองก็ไม่ได้มีการตระหนักว่ามีเพศวิถีนี้เท่าใดนัก ในบางสังคมไม่รู้ว่าเอเซ็กชวลมีอยู่จริงด้วยซ้ำ การประกาศตนว่าเป็นเอเซ็กชวลจึงหายากมาก แถมบางสังคมก็อาจจะเข้าใจผิดว่าเอเซ็กชวลเป็นเหมือนโรค อย่างไรก็ตามในแวดวงการแพทย์ เช่น คู่มือวินิจฉัยอาการผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 (DSM 5) ที่เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคของแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศ ไม่ถือว่าเอเซ็กชวลหรือเพศวิถีอื่นๆ คือโรค แต่เป็นความแตกต่างของความพึงพอใจ นอกจากนี้จากงานวิจัยคนทีเป็นเอเซ็กชวลไม่ได้รู้สึกแย่หรือทุกข์ที่ตัวเองไม่มีความสนใจทางเพศหรือดึงดูดใจกับเพศใดๆ ไม่ได้เดือดร้อนจนกระทบจนใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ และไม่ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่มีปัญหาที่ต้องบำบัด 

แม้ว่าจะมีอยู่เพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ในสังคม แต่เอเซ็กชวลก็เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าทุกๆ สังคมควรให้ความสำคัญ การสำรวจในต่างประเทศพบว่าปัญหาหลักๆ ของเอเซ็กชวลหลายคนคือเรื่องของการยอมรับทางสังคม ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องเอเซ็กชวลยังมีน้อย การเปิดตัวว่าพวกเขาเป็นเอเซ็กชวลและได้รับการยอมรับจึงเป็นเรื่องยากตามไปด้วย 

คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่เข้าใจมุมมองของเอเซ็กชวล และคิดว่ามนุษย์ย่อมต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศ หรือมีคู่รัก และไม่เข้าในว่าเอเซ็กชวลไม่ใช่มีข้อจำกัด ไม่ได้ป่วย หรือไม่ได้ฝืน ที่ไม่มีสิ่งนั้น แต่พวกเขาไม่ต้องการจะมีจริงๆ

 และเป็นเรื่องปกติที่คนเรานั้นหากสนิทกับใครเช่น คนในครอบครัว หรือเพื่อน ก็อยากให้เข้าใจถึงตัวตนเขาในทุกแง่มุม เพศวิถีเองก็เป็นเรื่องหนึ่งที่แม้ว่าจะไม่ต้องป่าวประกาศกับสังคม แต่หากแม้แต่คนใกล้ชิดยังไม่เข้าใจ ก็ย่อมสร้างความทุกข์ ความเครียด และความอึดอัดให้กับคนกลุ่มนี้ เอเซ็กชวลเองก็เหมือนคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศอื่นๆ นอกเหนือจากชายหรือหญิง (หรือกลุ่ม LGBTQ+) ที่ต้องการให้สังคมยอมรับความเป็นตัวของเขา 

เอเซ็กชวลบางคนก็ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวให้มีคู่รัก แต่งงาน หรือมีลูก ถ้าตอนนี้สังคมเริ่มยอมรับได้ที่คนเพศเดียวกันจะเป็นคู่รักกัน ดังนั้นคนที่ไม่ต้องการจะมีคู่รักไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นเอเซ็กชวล ก็น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมควรเปิดใจยอมรับเช่นกัน (แต่แน่นอนครับว่าต่อให้ไม่ใช่เอเซ็กชวล ก็ไม่จำเป็นจะต้องการมีคู่รักหรือแต่งงานทุกคน) ส่วนเอเซ็กชวลบางคนที่อยากแต่งงาน หากคู่ของพวกเข้าใจว่าจะมีความสัมพันธ์กันในแบบใด เข้าใจว่าฝ่ายเอเซ็กชวลมอบความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ต่างไปจากคู่รักปกติ และยอมรับเรื่องนั้นได้ ไม่มีการปิดบัง นั่นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดเพราะทั้งสองฝ่ายต่างพอใจ

ในแง่มุมที่กว้างขึ้นอย่างเรื่องของนโยบายระดับประเทศ ก็อาจจะต้องคำนึงถึงตัวตนของเอเซ็กชวลเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่าภาครัฐของประเทศใด ณ ปัจจุบันก็ต้องการสนับสนุนการมีครอบครัวและการมีลูกด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ (อ่านเพิ่มเติมในบทความ “ทำไมรัฐบาลกับป้าข้างบ้านอยากให้เราแต่งงาน”) และแน่นอนว่าในเอเซ็กชวลนั้น การมีครอบครัวและลูกอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าไทยและหลายๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับคู่รักเพศเดียวกัน รวมถึงการรับอุปการะบุตรบุญธรรมอย่างถูกกฎหมายสำหรับคู่ที่ต้องการมีครอบครัว แต่กับคนที่ไม่ต้องการมีครอบครัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ นั้น ก็ไม่ควรจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียประโยชน์จนเกินไป การที่สังคมเริ่มมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเอเซ็กชวล อาจจะทำให้นโยบายของภาครัฐใส่ใจในประเด็นเหล่านี้มากขึ้นก็ได้

ในปัจจุบันมีเครือข่ายของกลุ่มคนเอเซ็กชวลที่ชื่อ ‘เครือข่ายการมองเห็นและการศึกษาเกี่ยวกับเอเซ็กชวล’ (Asexual Visibility and Education Network หรือ AVEN) กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างการยอมรับเอเซ็กชวลในสังคม ส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเอเซ็กชวล รวมถึงจัดพื้นที่ในการถกประเด็นในเรื่องดังกล่าว และอำนวยความสะดวกในการเติบโตของของชุมชนเอเซ็กชวล ตอนนี้มีสมาชิกทั่วโลกประมาณ 50,000 คน 

แม้ในประเทศไทยเรื่องนี้จะยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีการพูดถึงมากนัก แต่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนในด้านต่างๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ผมว่าคงมีสักวันหนึ่งที่คนในทุกๆ เพศวิถีจะมีชีวิตอยู่ได้แบบเต็มภาคภูมิในสังคมเหมือนกับ ‘ชายแท้’ หรือ ‘หญิงแท้’ ที่สังคมสมัยเก่ามองว่าคือเพศวิถีหลัก ผมมองว่าสังคมที่ยอมรับความแตกต่างน่าจะน่าอยู่กว่าสังคมที่กีดกันหรือบังคับแม้แต่ประเด็นที่เกี่ยวกับ ‘ความรัก’ ไม่ว่าด้านไหน จริงไหมครับ

เอกสารอ้างอิง

Bogaert, A. F. (2006). Toward a conceptual understanding of asexuality. Review of General Psychology, 10(3), 241-250.

Bogaert, A. F. (2015). Asexuality: What it is and why it matters. Journal of sex research, 52(4), 362-379.

Brotto, L. A., Yule, M. A., & Gorzalka, B. B. (2015). Asexuality: An extreme variant of sexual desire disorder?. The Journal of Sexual Medicine, 12(3), 646-660.

Milligan, M. S., & Neufeldt, A. H. (2001). The myth of asexuality: A survey of social and empirical evidence. Sexuality and disability, 19, 91-109.

Storms, M. D. (1980). Theories of sexual orientation. Journal of Personality and Social Psychology, 38(5), 783.

https://en.wikipedia.org/wiki/Queerplatonic_relationship

https://www.asexuality.org (เว็บไซต์ของ AVEN เครือข่ายของเอเซ็กชวล)

Tags:

สังคมความหลากหลายทางเพศ‘เอเซ็กชวล’ (asexual)เพศความสัมพันธ์ความรักอัตลักษณ์ทางเพศครอบครัว

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Non-binary : ตัวตน ความรักและความเป็นอื่น ‘นอกกล่องเพศ’ กับ คิว-คณาสิต พ่วงอำไพ

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

‘ขี่ม้า’ มากกว่ากีฬาคือการพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง
Space
12 February 2024

‘ขี่ม้า’ มากกว่ากีฬาคือการพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง

เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • การขี่ม้าเป็นกีฬาที่ไม่เพียงเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย พัฒนากล้ามเนื้อและฝึกการเคลื่อนไหว ยังช่วยทำให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น พัฒนาทักษะด้านการคิด การวางแผน
  • Charan 92 Horse Riding เป็นสนามฝึกสอนขี่ม้าที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เปิดสอนการขี่ม้าเบื้องต้น และ ‘อาชาบำบัด’ สำหรับเด็กที่ต้องการแก้ปัญหาหรือเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่างๆ 
  • “การใช้สัตว์เป็นสื่อกลางจะทำให้เด็กเปิดใจได้มากกว่า เขาจะเล่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่เขาไม่ได้กลัวสัตว์ ทุกอย่างก็จะโอเคกับเขา”

การขี่ม้านอกจากจะเป็นกีฬาหรือสันทนาการแล้ว ยังสามารถออกแบบให้เป็นกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการ รวมถึงแก้ไขข้อจำกัดด้านการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้ แต่หลายคนอาจจะติดตรงที่ว่า แล้วในกรุงเทพฯ จะไปหาสนามขี่ม้าแบบนี้ได้ที่ไหน 

The Potential ชวนทุกคนปักหมุดที่ Charan 92 Horse Riding ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ สนามฝึกสอนการขี่ม้าที่เปิดมากว่า 14 ปี โดยมี ปฏิการ มุขตารี เป็นผู้จัดการ ซึ่งต่อมาเขาได้ไปอบรมเกี่ยวกับศาสตร์ที่ชื่อว่า ‘อาชาบำบัด’ ที่ Horseshoe Point สนามขี่ม้าที่มีหลักสูตรอาชาบำบัดโดยครูฝึกจากประเทศอังกฤษและเยอรมนี ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กที่ต้องการเยียวยาร่างกายและจิตใจด้วยการขี่ม้า รวมถึงฝึกโค้ชเพื่อให้พร้อมในการดูแลเด็กๆ ให้ได้รับความปลอดภัย และออกแบบกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ปัญหาของเด็กแต่ละคน

ปฏิการ มุขตารี เป็นผู้จัดการ Charan 92 Horse Riding 

อาชาบำบัดคืออะไร?

น.สพ.ณัฐวุฒิ นุชประยูร สัตวแพทย์ที่ปรึกษาฟาร์มอธิบายว่า อาชาบำบัดคือการใช้ม้าเพื่อบำบัดเด็กทั้งที่มีความต้องการพิเศษและเด็กที่ไม่มีความต้องการพิเศษ โดยจะแบ่งเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย และด้านจิตใจเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ปรับอารมณ์ สนับสนุนด้านการสื่อสารให้เด็ก โดยใช้พื้นฐานของกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดมาใช้ร่วมกันโดยที่มีม้าเป็นสื่อกลาง

“ที่ต้องเป็นม้า เพราะม้าขี่ได้ ปกติแล้วจะมีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่ใช้บำบัดได้ เช่น ควายบำบัด, ช้างบำบัด ก็มี แต่การที่เด็กได้ขี่บนหลังม้า บริเวณสะโพกของเขาจะเคลื่อนที่เหมือนเด็กเดินได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เด็กนั่งบนหลังม้าแล้วสะโพกเขาเคลื่อนที่มันสอดคล้องกัน โดยเฉพาะกับเด็กที่เดินไม่ได้ ก็จะช่วยตรงนี้ได้มากกว่า”

ถึงจะบอกว่าดีต่อเด็กที่เดินเองไม่ได้ แต่อาชาบำบัดยังเหมาะสำหรับเด็กอีกหลายกลุ่มเช่นกัน ยกตัวอย่าง เด็กออทิสติก, ดาวน์ซินโดรม, สมาธิสั้น, โรคสมองพิการ (cerebral palsy) เป็นต้น นอกจากนี้คุณหมอบอกว่ายังเหมาะกับเด็กทั่วไปที่ขาดความมั่นใจ หรือมีปัญหาด้านสภาพจิตใจด้วย

“การใช้สัตว์เป็นสื่อกลางจะทำให้เด็กเปิดใจได้มากกว่า เขาจะเล่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่เขาไม่ได้กลัวสัตว์ ทุกอย่างก็จะโอเคกับเขา เหมือนเวลาเราเล่นกับสุนัข เล่นกับแมว เราก็เล่นได้อย่างสนิทใจ”

น.สพ.ณัฐวุฒิ นุชประยูร สัตวแพทย์ที่ปรึกษาฟาร์ม

ข้อจำกัดของอาชาบำบัด

แม้ว่าจะมีข้อดีในการเสริมสร้างพัฒนาการในหลายด้าน แต่อาชาบำบัดก็มีข้อจำกัดที่ น.สพ.ณัฐวุฒิ เน้นย้ำคือ ไม่ควรจัดกิจกรรมนี้กับเด็กที่ ‘กลัวสัตว์’ และเด็กที่มีปัญหาทางด้านร่างกายบางอย่าง ซึ่งเป็นข้อควรระวังที่ผู้ปกครองต้องรู้

“สำหรับเด็กที่กลัวสัตว์มากๆ เราต้องดูว่าเขาเข้าหาสัตว์ได้มากน้อยแค่ไหน เช่นต้องเว้นระยะห่างก่อนไหมแล้วค่อยขยับเข้ามา จากดูก่อนแล้วมาเล่นใกล้ๆ แล้วมาขี่ หรือไม่ได้เลยก็จะแนะนำให้เขาทำอย่างอื่นดีกว่า

หรืออย่างบางกรณี เช่น เขามีปัญหาเรื่องกระดูกหัก เคยผ่าตัดมาก่อน มีสมองบวมน้ำ มีอาการชักที่คุมด้วยยาไม่ได้ กลุ่มประมาณนี้เราก็จะไม่แนะนำให้เข้ามาใช้อาชาบำบัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็จะให้ผู้ปกครองคุยกับแพทย์ประจำตัวของเด็กมาก่อนว่ามีข้อแนะนำหรือข้อระวังอะไรเป็นพิเศษไหม”

ด้วยข้อจำกัดของอาชาบำบัดทำให้ในการเปิดรับเด็กที่จะเข้าคอร์สต้องมีเงื่อนไขการซักถามผู้ปกครองถึงปัญหาที่เด็กแต่ละคนเป็น ไปจนถึงความต้องการที่อยากได้รับจากคอร์สอาชาบำบัดนี้ เพื่อกำหนดกิจกรรมในหลักสูตรให้เหมาะสม

“นอกจากการพูดคุยเรื่องความต้องการจากอาชาบำบัด สิ่งที่เราคุยคือวัตถุประสงค์เราตรงกันไหม ผู้ปกครองอาจจะอยากให้เด็กได้ผลลัพธ์ทางร่างกาย แต่เรามองแล้วว่าเด็กคนนี้อาจต้องการเรื่องสมาธิกับการเข้าสังคมมากกว่า อันนี้ก็ต้องปรับกันว่าความเห็นตรงกันหรือเปล่า

หลังจากพูดคุยจนได้ข้อสรุปแล้วว่าเด็กคนนั้นเหมาะกับกิจกรรมอะไร เราจะกำหนดว่าให้ผู้ปกครองอยู่ตรงไหน เพราะบางคนเด็กอยู่กับผู้ปกครองแล้วดี มีสมาธิ แต่บางคนพออยู่กับผู้ปกครองแล้วจะทำให้เด็กหลุดสมาธิตลอด เราก็ต้องรู้ก่อนว่าเขาไปทำอะไรมาบ้าง ที่บ้านเป็นอย่างไร ตรงนี้มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่พอเขากลับไป ก็ต้องคิดว่าจะไปทำอะไรต่อ” 

อาชาบำบัด บำบัดอย่างไร

ระยะเวลาของคอร์สอาชาบำบัด จะอยู่ที่ครั้งละไม่เกิน 30 นาที ซึ่ง น.สพ.ณัฐวุฒิ อธิบายว่าเนื่องจากพื้นที่อันจำกัด หากเกิน 30 นาที สมาธิของเด็กๆ จะหมด โดยที่ระยะเวลามากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เด็กเผชิญในวันนั้นๆ เช่น หากวันนั้นอารมณ์ดีก็อยู่ครบ 30 นาที แต่วันถัดไปอาจน้อยกว่า

“อาชาบำบัดจะไม่เหมือนการเรียนขี่ม้าทั่วไป ถ้าเด็กที่มีปัญหาไม่เยอะ เช่น สมาธิสั้นเล็กน้อย เราอาจใช้การขี่ม้าแบบทั่วไปมาช่วยดึงสมาธิของเขา เพราะต้องทรงตัวไม่ให้ตกม้า หรือโฟกัสกับสิ่งที่ครูจะบอกให้ทำ เช่น การบังคับม้าให้เลี้ยวหรือให้หยุด

ส่วนเด็กที่มีปัญหาเยอะหน่อย เราอาจจะเริ่มจากการจูงม้าเดิน ไปพร้อมๆ กับมีกิจกรรมให้เล่นด้วย ก็จะไม่ได้ปล่อยให้เด็กขี่ม้าเลยทันที เราจะออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับปัจจัยแวดล้อมของเด็ก ในเรื่องการขี่ม้าก็มีตั้งแต่ขี่เดิน ขี่วิ่ง”

ในการทำกิจกรรมของอาชาบำบัด เด็กจำเป็นต้องมีครูฝึกคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และที่ Charan 92 Horse Riding ก็มีครูฝึกอยู่สองคนโดยยกระดับทักษะจากนักขี่ม้ามาเป็นครูที่เข้าใจเด็กๆ โดยไม่จำเป็นต้องดุ แต่อาศัยความเข้าอกเข้าใจ

“คำว่า หยุด ห้าม ไม่ เราจะพยายามหลีกเลี่ยง เพราะบางทีเราพูดไปจะเป็นการกระตุ้นให้เด็กต่อต้าน เราจึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจให้เขามาทำสิ่งที่เราอยากให้เขาทำมากกว่า จะดีกับเด็กด้วยที่เขารู้สึกว่าไม่โดนบังคับมากเกินไป”

จากกระบวนการต่างๆ ของอาชาบำบัด ทำให้เด็กหลายคนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผู้จัดการสนามขี่ม้าอย่างปฏิการยกตัวอย่างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนว่าเด็กส่วนมากเมื่อผ่านกิจกรรมไปแล้วประมาณ 3-4 ชั่วโมง จะมีสมาธิที่ดีขึ้น ต่อมาคือเรื่องร่างกายที่แข็งแรงขึ้น

“อาชาบำบัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่นอกจากจะได้ความแข็งแรง เด็กๆ จะได้เรื่องสมาธิ เรื่องบุคลิกภาพ เรื่องการวางแผน เรื่องความมีเมตตาต่อสัตว์ เรื่องความใจเย็น อาชาบำบัดเป็นการบำบัดทางเลือก คือไม่ได้เหมือนทางตรงเหมือนกุมารแพทย์ หรือกายภาพบำบัด แต่มันเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมเข้ามาได้”

(ข้อมูลเพิ่มเติม Facebook: https://www.facebook.com/Riverside92hobby คอร์สอาชาบำบัดเปิดวันอังคาร-ศุกร์ เวลา 8.00-11.00 และ 15.00-19.00 น.)

Tags:

ขี่ม้าCharan 92 Horse Ridingพัฒนาการด้านร่างกายกีฬาการสื่อสารเด็กพิเศษเด็กการสร้างความมั่นใจอาชาบำบัด

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • “แค่เขาติดกระดุมเม็ดเดียวได้ แม่ก็มีความสุขแล้ว” การเติบโตไปด้วยกันของ ‘แม่คนพิเศษ’ กับ ‘ลูกคนพิเศษ’: โสภา สุจริตกุล แม่ของเด็กดาวน์ซินโดรม

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 
Movie
9 February 2024

Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Perfect Days หยุดโลกเหงาไว้ตรงนี้ คือตัวแทนภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในปีนี้ บอกเล่าเรื่องราวของฮิรายามะ คุณลุงพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำในกรุงโตเกียวที่มีความสุขกับสิ่งรอบตัวและชีวิตประจำวันอันแสนเรียบง่าย 
  • เสน่ห์ของ Perfect Days คือการชวนให้ผู้ชมย้อนกลับมาถามตัวเองถึงนิยามความสุขที่แท้จริงว่าคืออะไร ผ่านการแสดงอันทรงพลังของโคจิ ยากุโซะ ที่เพิ่งคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีล่าสุด
  • ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นการคืนฟอร์มครั้งสำคัญของ วิม เวนเดอร์ส ผู้กำกับระดับตำนานชาวเยอรมัน (Wings of Desire และ Paris, Texas) ทั้งยังกวาดรายได้สูงสุดในรอบ 15 ปีของเขาอีกด้วย

เมื่อสองปีที่แล้ว ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ ‘พระอาจารย์ชยสาโร’ โดยระหว่างการสนทนา พระอาจารย์ได้ให้มุมมองเรื่องความสำเร็จว่า การประสบความสำเร็จที่แท้จริงคือ ‘การประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์’ ซึ่งสารภาพตามตรงว่าผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองเข้าใจความหมายของประโยคนี้มากน้อยแค่ไหน 

แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเรื่องที่ควรจะเข้าใจกลับไม่เข้าใจ ผมจึงเก็บประโยคนี้ไว้ในลิ้นชักความทรงจำ กระทั่งไม่กี่วันก่อนที่ผมได้ชมภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Perfect Days (หยุดโลกเหงาไว้ตรงนี้) ปริศนาธรรมที่ค้างคาใจมานานสองปีก็เหมือนจะได้รับคำตอบผ่านชีวิตอันเรียบง่ายของฮิรายามะ หรือคุณลุงที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะในกรุงโตเกียว

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์]

ด้วยเส้นเรื่องที่มีความคล้ายคลึงกับการนั่งดูสารคดีชีวิต ทำให้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชมจะเห็นกิจวัตรประจำวันของฮิรายามะซ้ำไปซ้ำมา ไล่ตั้งแต่การตื่นนอน รดน้ำต้นไม้ ดื่มกาแฟกระป๋อง ขับรถไปทำงาน เปิดเพลงจากเทปคาสเซ็ท ทำงาน พักกินอาหารกลางวันใต้ต้นไม้ต้นโปรดที่เขาถ่ายภาพเก็บไว้ทุกวัน ทำงาน อาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะ กินข้าวเย็นที่ร้านอาหารประจำสลับกันไปมาสองสามร้าน และปิดท้ายวันด้วยการอ่านหนังสือก่อนนอน 

ช่วงครึ่งชั่วโมงแรก สารภาพว่าผมหาวไปหลายรอบ ทั้งยังนึกเสียดายเวลาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะได้อะไรจากการตามติดชีวิตของลุงขัดส้วมคนหนึ่ง แต่หลังจากผ่านไปได้สักพัก ผมกลับค่อยๆ ตาสว่างและเข้าใจว่าทำไม Perfect Days ถึงได้เป็นตัวแทนประเทศญี่ปุ่นในการชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 96

ภาพยนตร์ใช้วิธีสื่อสารกับผู้ชมด้วยการทำให้เกิดความรู้สึกร่วมโดยไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด ‘Show, Don’t tell’ เพราะแม้ชีวิตประจำวันของฮิรายามะจะวนเวียนและเดาทางได้ แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ต่างกับวงจรชีวิตของผมที่มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน กินข้าว และใช้เวลาส่วนตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้านอนและตื่นขึ้นเพื่อทำแบบนั้นอีกวัน 

ทว่าความแตกต่างของคุณลุงขัดส้วมคือ การที่เขาสามารถยิ้มและมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยรอบตัว แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขามีความพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นโดยไม่ต้องไขว่คว้าสิ่งที่คนอื่นมองว่าดี 

ในช่วงกลางเรื่องผมชื่นชอบฉากต่อเนื่องหลังจากที่ ‘นิโกะ’ หลานสาวของเขาได้หนีออกจากบ้านครั้งแรกและขอมาอาศัยอยู่ด้วย ทำให้ผมได้เห็นถึงมุมมองชีวิตของฮิรายามะมากขึ้น ผ่านฉากที่นิโกะมาฟ้องว่าแม่ผู้ร่ำรวยของเธอมักบอกว่าเขาไม่เหมือนกับเธอเลยสักนิดราวกับอยู่บนโลกคนละใบ 

“เธออาจจะพูดถูก โลกของเราประกอบไปด้วยโลกหลายใบ มีบางที่เชื่อมต่อกัน แต่บางโลกก็ไม่ โลกที่ลุงอาศัยอยู่ มันแตกต่างจากโลกของแม่หนู”

ส่วนอีกฉากที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือตอนที่ฮิรายามะโทรบอกน้องสาวให้มารับตัวนิโกะหลังจากที่เธอหนีมาอยู่กับเขาได้ประมาณสองวัน ซึ่งระหว่างที่นิโกะกำลังเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ภาพยนตร์ก็ได้เปิดเผยปมของฮิรายามะว่าแท้จริงแล้วเขาน่าจะเคยเป็นลูกของเศรษฐีคนหนึ่งผ่านบทสนทนาของสองพี่น้อง

“พ่อเขาจำอะไรไม่ได้แล้ว ไปเยี่ยมเขาได้นะ เขาคงไม่ว่าพี่แล้ว พี่ทำงานล้างห้องน้ำจริงๆ เหรอ” น้องสาวของฮิรายามะถามด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน

แต่ที่น่าประทับใจคือ แทนที่ฮิรายามะจะรู้สึกอับอาย เขากลับพยักหน้ายิ้มอย่างมีความสุข แตกต่างกับน้องสาวที่มีสีหน้าสะเทือนใจกับคำตอบของพี่ชาย ซึ่งใบหน้าที่แตกต่างกันนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดที่ฮิรายามะบอกกับหลานของเขาว่าโลกที่เขาอยู่มันแตกต่างกับโลกของน้องสาวจริงๆ เพราะดูเหมือนว่านิยามการมีชีวิตที่ดีของน้องสาวจะอยู่ที่เงินทองและภาพลักษณ์ทางสังคม ต่างกับฮิรายามะที่พอใจกับชีวิตเรียบง่ายและใช้ทุกห้วงเวลาอย่างใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พบปะผู้คน อ่านหนังสือ ดูแลต้นไม้ หรือเฝ้ามองสิ่งต่างๆ รอบตัว

อย่างไรก็ตาม แม้ฮิรายามะจะยืนยันชีวิตที่มีความสุขของตัวเอง แต่ดูเขาจะเสียทรงพอสมควรเมื่อได้ยินเรื่องของพ่อ

ด้วยความที่ภาพยนตร์เปิดพื้นที่ให้เราตีความฉากต่างๆ ที่ซ่อนนัยยะไว้มากมายโดยไม่ให้คำตอบทางใดทางหนึ่ง จึงไม่แปลกที่ผมจะคิดถึงตัวเองในฉากนี้ เพราะผมเองก็มักเสียทรงยามอยู่กับพ่อที่คอยควบคุมบงการให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่พ่อต้องการ พร้อมกับประโยคอันแสนโรแมนติกที่ว่า “ที่ทำไปทุกอย่างเพราะรักและหวังดี” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมไม่ปฏิบัติตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการถูกพ่อตราหน้าว่าอกตัญญูบ้าง โง่บ้าง หรือไม่ก็ใช้ท่าไม้ตายเรื่องมรดกในอนาคตบ้าง ทำให้ผมผู้เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงต้องพ่ายแพ้ให้พ่อทุกครั้งไป 

ดังนั้นพอเห็นฮิรายามะ ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาเองก็อาจเคยเป็นเหมือนผม เพียงแค่เขากล้าพอที่จะเลือกเดินในเส้นทางที่ต่างออกไป

หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมย้อนกลับมาอ่านบทสัมภาษณ์ของพระอาจารย์ชยสาโรอีกรอบ และเข้าใจมากขึ้นว่า การประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์ไม่ได้หมายถึงการมีลาภยศสรรเสริญ แต่เป็นการที่เราใช้ชีวิตอย่างเห็นคุณค่าของผู้คนหรือสิ่งต่างๆ รอบตัว มีความสุขอย่างเรียบง่ายในทุกๆ วัน โดยไม่หวั่นไหวไปกับ ‘ไม้บรรทัด’ ของคนอื่น

Tags:

Perfect Daysภาพยนตร์ความสุขชีวิตความสำเร็จ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Dr.Tong The Filter
    Life classroomHow to enjoy life
    ‘เราต่างเป็น Expert ของชีวิตตัวเอง’ ค้นพบศักยภาพที่จะมีความสุข กับ ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร
Creative learning
7 February 2024

‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

เรื่อง The Potential

  • จากปัญหาที่พบในห้องเรียน คือ เด็กจะนั่งเรียนกันเรียบร้อย และเงียบกริบ จนไม่โต้ตอบเมื่อครูถามเลย เด็กขาดทักษะการสื่อสาร ไม่กล้าแสดงออก และเรียนอย่างไม่มีความสุข หรือห้องเรียนนี้จะน่าเบื่อเกินไปสำหรับพวกเขา
  • ครูดำรงฤทธิ์ เอี่ยมทอง ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงมองว่า ‘บอร์ดเกม’ อาจจะแก้ปัญหาจุดนี้ได้ เพราะว่าเกมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กมีความสุข ได้ลงมือทำ สนุกกับการเรียน แถมยังได้เพิ่มทักษะ เช่น การคิด-วางแผน-แก้ปัญหา เป็นต้น
  • ‘Animal Racing’ เกมกระดานที่ครูดำรงฤทธิ์ออกแบบ ต้นแบบจากเกมเศรษฐีแต่สอดแทรกเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับ ‘ภัยพิบัติ’ ให้เด็กเรียนรู้ และสามารถนำทักษะการแก้ปัญหาไปใช้จริงด้วย

การเรียนการสอนที่ครูยืนอยู่หน้ากระดาน เด็กๆ คอยเปิดหนังสือตามและทำแบบฝึกหัดวัดผล นอกจากจะเป็นรูปแบบการสอนที่ไม่เอื้อให้เด็กเกิดกระบวนการคิดแล้ว อาจจะส่งผลให้เด็กขาดทักษะการสื่อสาร และความกล้าแสดงออก ดังเช่น โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในสังคมชนบท แม้เด็กที่นี่จะเชื่อฟังครูเป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกันพวกเขากลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าตอบคำถามหรือกล้าแสดงออก 

ครูดำรงฤทธิ์ เอี่ยมทอง ครูชำนาญการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า ปกติผมสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 สอนหลายวิชา แต่วิชาหลักคือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รูปแบบการสอนก็เหมือนมาติวความรู้ ทำใบงาน เด็กก็นั่งเรียนเรียบร้อย เงียบกริบ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เราอยากให้เด็กกล้าแสดงออก และมีทักษะด้านการสื่อสารมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มองว่าสื่อการสอนที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ จึงมองว่าบอร์ดเกมอาจจะแก้ปัญหาจุดนี้ได้ เพราะว่าเกมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กมีความสุข เราไม่อยากให้เด็กเรียนแต่ท่องจำ อยากให้ได้ลงมือทำ สนุกกับการเรียน 

The Potential ชวนติดตามตัวอย่างการนำ ‘บอร์ดเกมเพื่อการศึกษา’ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) กระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ เพิ่มทักษะการคิด-การแก้ปัญหา ฝึกประลองปัญญาชิงไหวชิงพริบ และยังได้ทักษะการสื่อสารมากขึ้น

จากครูผู้สอนสู่ ‘นวัตกรบอร์ดเกม’

เพื่อเพิ่มทักษะด้านการพัฒนาบอร์ดเกมสำหรับนำมาบูรณาการในการเรียนการสอน ครูดำรงฤทธิ์ เอี่ยมทอง ได้เข้าร่วมอบรมในหลักสูตรการพัฒนานวัตกรรมบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้เชิงรุก ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะการจัดการการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยผลงานการออกแบบ ‘บอร์ดเกม’ ชิ้นแรก คือ Animal Racing เป็นเกมกระดานที่มีต้นแบบจากเกมเศรษฐีแต่สอดแทรกเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับ ‘ภัยพิบัติ’ 

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า ครั้งแรกผมออกแบบเกมโดยใช้แนวทางของเกมเศรษฐี เพราะคิดว่าเด็กๆ รู้จักและเล่นเป็น โดยนำลักษณะโครงสร้างของเกมเศรษฐีมาเป็นต้นแบบ จากนั้นตั้งชื่อ ออกแบบกลไกเกม และหมากตัวเดินใหม่ทั้งหมด ที่สำคัญคือมีการแทรกเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย ตอนนั้นเลือกเนื้อหาเกี่ยวกับภัยพิบัติ เพราะเป็นหนึ่งในหัวข้อเรียนรู้ของวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 

“เกม Animal Racing มีการวางแผนออกแบบให้เด็กเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นการเรียนรู้ภัยพิบัติในท้องถิ่น ซึ่งขั้นนี้เด็กจะได้เรียนรู้กลไกและวิธีการเล่นเกมก่อน และมีความรู้ถึงภัยพิบัติที่พบได้ในท้องถิ่น พอระดับที่ 2 เรียนรู้ภัยพิบัติในระดับชาติ รอบนี้เด็กจะต้องบอกกลไกเกมเอง เขาต้องทบทวนความรู้เกี่ยวกับกลไกเกม และระดับที่ 3 เรียนรู้ภัยพิบัติระดับโลก ในขั้นนี้เด็กจะได้สร้างเกมขึ้นมา เป็นการสร้างการ์ดเล็กๆ ขึ้นมาก่อน เพราะว่าเรามีการ์ดสถานการณ์ให้เขาออกแบบ เป็นการ์ดพิเศษที่มีให้เลือก”

ครูดำรงฤทธิ์ เอี่ยมทอง

‘การ์ดเปิดใจ’ เพิ่มทักษะสื่อสาร ติดตามพฤติกรรมเสี่ยง

ด้วยเป้าหมายสำคัญของการนำบอร์ดเกมมาจัดการเรียนรู้เชิงรุก คือการพัฒนาจุดอ่อนของเด็กๆ ในเรื่องทักษะด้านการสื่อสาร ทำให้ครูดำรงฤทธิ์นำ ‘การ์ดเปิดใจ’ มาใช้เป็นกิจกรรมนำเกม เพื่อกระตุ้นให้เด็กกล้าสื่อสารอย่างเปิดใจมากขึ้น 

“เราจะตั้งคำถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการเรียนที่ผ่านมา จากการเลือกการ์ดที่เขาชอบ เช่น เขาเลือกการ์ดรูปคนก็จะเล่าว่า ผมนึกถึงตัวเองตอนนี้ที่รู้สึกเคว้งคว้าง โดดเดี่ยว บางคนเลือกภาพที่มีเพื่อน เขาก็จะพูดถึงเพื่อน เป็นกิจกรรมก่อนเล่มเกมใน 5 นาทีแรก 

สำหรับในช่วงการเล่นเกม จะมีการแบ่งช่วง โดยครั้งแรกให้เล่นแค่ 5 นาที เพื่อตรวจสอบว่าเด็กเล่นถูกกติกาไหม เด็กบางคนเล่นไม่ถูก ไปไม่ได้ เรียนรู้ช้า เพื่อนก็ต้องช่วยแนะนำ ทำให้เกิดการพูดคุย การสื่อสารในกลุ่มของตัวเอง จากนั้นจะให้เล่นในรอบที่ 2 เป็นช่วงการเซ็ตเกม ออกแบบให้ใช้เวลา 15 นาที ซึ่งคราวนี้เด็กจะเริ่มเล่นเป็นมากขึ้น”

ทั้งนี้ หลังการเล่นเกมจะมี ‘กิจกรรมการแลกเปลี่ยนรู้’ เพื่อให้เด็กสะท้อนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน 

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า รุ่นแรกให้เขียน Mind Map แต่เด็กทำได้ช้า เพราะกลัวทำออกมาไม่สวย รุ่นที่สองเลยปรับให้เขียนเป็นตารางแยกออกมาว่า ภัยพิบัตินี้มีอะไรบ้าง ส่งผลกระทบอย่างไร พอมาในรุ่นที่ 3 ก็ปรับมาให้เขียนสรุปและออกมาอธิบายว่า ทำไมถึงเลือกออกแบบการ์ดภัยพิบัติเรื่องนี้ และจะมีวิธีแก้ปัญหาหรือป้องกันอย่างไร ดังนั้นเด็กจะไม่ได้แค่ทักษะการสื่อสาร แต่เขาจะได้สะท้อนถึงการนำไปใช้ด้วยว่าถ้าเขาเจอสถานการณ์จริง เขาจะประยุกต์ใช้อย่างไร ซึ่งก็เป็นการเรียนรู้ที่เกินไปกว่าเป้าที่เราตั้งไว้มาก

“แต่ก่อนการเรียนรู้เกี่ยวเรื่องภัยพิบัติจะใช้แบบฝึกหัด มีสถานการณ์ให้ แล้วก็มีคำถามคำตอบ พอเราเปลี่ยนมาเป็นเกม และให้เด็กสะท้อนความคิด สรุปองค์ความรู้ร่วมกัน จะเห็นว่าปลายทางเด็กได้ความรู้เหมือนกัน แต่ความสุขกับการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ที่สำคัญการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงก็ย่อมยั่งยืนกว่าการท่องจำ”

บอร์ดเกมไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสาร แต่ยังมีส่วนช่วยให้ครูติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมเด็กที่ส่อแววมีปัญหา

“เด็กในชั้นมี 16 คน ผลสะท้อนจากเกมการ์ดเปิดใจ ทำให้เราแบ่งกลุ่มเด็กที่เริ่มมีปัญหาเพื่อติดตามสังเกตอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้เรายังดูในเรื่องของเจตคติด้วย ดูจากการแบ่งกลุ่มว่าเขาแบ่งกลุ่มอย่างไร เลือกจะอยู่ในกลุ่มที่เพื่อนไม่ค่อยพูดเหมือนเดิมไหม กลุ่มไหนต้องเพ่งเล็งเป็นพิเศษ 

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนรู้ เพราะครูไม่ใช่แค่สอนความรู้อย่างเดียว แต่ต้องสอนทั้งทักษะและเจตคติ เพื่อให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข”

‘เกมประทัดระเบิด’ ฝึกการวางแผน แฝงความรู้เศรษฐกิจพอเพียง

นอกจากเกม Animal Racing แล้ว ก็ยังมีบอร์ดเกมอีกหลายชิ้นที่น่าสนใจ เช่น เกมประทัดระเบิด 

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า เกมประทัดระเบิดจะสอดแทรกวิชาสังคมศึกษา เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง เกมนี้ไม่มีแผนที่ มีแค่การ์ดอย่างเดียว เป็นการ์ดขนาดเล็กๆ แล้วให้เด็กจั่วคล้ายจั่วไพ่คนละ 5 ใบ แต่ว่ากลไกของเกม คือ เรื่องของการจับประทัด ถ้าใครได้ประทัด ต้องปลดชนวน ถ้าปลดชนวนได้ก็รอด และเอาประทัดไปซ่อนในกองเหมือนเดิม กลไกเกมมีแค่นี้ แต่ว่าเราแทรกความรู้เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปด้วย 

ตัวการ์ดจะประกอบด้วยรถไถนา นาข้าว พืชสวน พืชนา ปลา การเลี้ยงสัตว์ และที่อยู่อาศัย เป็นต้น ความรู้ที่ใส่ไป เช่น การ์ดรูปบ้านจะเป็นการ์ด Skip ปลูกฝังว่าถ้าปลูกบ้านเป็นของตัวเองได้ แปลว่าคนนั้นมีความพอเพียง สมมุติว่าเห็นประทัดอยู่ด้านบนสุด เด็กก็จะรู้แล้วว่าต้องใช้การ์ดบ้านเพื่อเลื่อนตาเล่นไปก่อน ถึงจะรอดจากระเบิดได้”

นอกจากความสนุกที่เด็กต้องลุ้นระเบิดจนตัวโก่งแล้ว กลไกของเกมยังช่วยให้เด็กได้ฝึก ‘ทักษะการคิดและการวางแผน’

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า เกมนี้สิ่งที่เด็กได้คือความสนุกและทักษะการคิด เด็กต้องเรียนรู้การ์ด 5 ใบที่อยู่ในมือ ทุกคนจะได้คีมสำหรับปลดชนวน เด็กต้องวางแผนว่าจะใช้คีมตอนไหน ต้องคอยตั้งใจ มีสมาธิอยู่กับกองการ์ดเลย เพราะตอนที่สับการ์ด คนเล่นไพ่เขาจะมีทริคในการซ่อนไพ่ เพื่อนคนไหนจะโดน เราจะวางแผนอย่างไรให้เป็นผู้ชนะ ตรงนี้สอดแทรกทักษะการคิดและการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ เขาจะได้ไปโดยอัตโนมัติ และด้วยเกมมีแค่กล่องการ์ดซึ่งพกพาได้ง่าย ทำให้เกมนี้ท็อปฮิตที่สุด

“เกมนี้เป็นเกมที่ออกแบบง่าย เด็กเรียนรู้จบภายใน 1 ชั่วโมง และเด็กสามารถสะท้อนความคิดออกมาได้เลยว่า เศรษฐกิจพอเพียงต้องมีอะไรบ้าง เขารู้โดยที่ไม่ต้องไปบอกว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในการ์ดหมดเลย ตั้งแต่ทำเกมมาประทับใจเกมนี้มากที่สุด เพราะเด็กเรียนรู้ไวและสะท้อนได้” 

สำหรับรูปแบบของการนำบอร์ดเกมมาใช้ในการเรียนการสอน ครูดำรงฤทธิ์ บอกว่า ไม่ได้นำมาใช้สอนทุกชั่วโมง แต่จะเลือกใช้ในโอกาสที่เหมาะสม 

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า บางช่วงก็สอนบรรยายตามปกติ แต่จะใช้กลไกให้เด็กเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย ยิ่งเราเป็นครูวิทยาศาสตร์ก็จะไม่ได้ใช้แค่เกม ต้องสอนการทดลอง การทำโครงงาน ที่สำคัญเด็กเล่นเกมทุกชั่วโมงก็อาจเบื่อได้ เราอยากให้เขารอว่า ครั้งหน้าครูจะมาด้วยเกมอะไร แล้วครูจะสอนอีกเมื่อไหร่

“ช่วงหลังๆ มา ทุกครั้งที่เล่นเกม ผมจะถามเด็กว่าเราจะมี Feed up, Feedback และ Feed Forword อย่างไร Feed up คือ เด็กได้เรียนรู้อะไร Feedback คือ เขาอยากเพิ่มเติมอะไรลงไป สุดท้าย Feed Forword คือครั้งหน้าอยากทำอะไรต่ออีก มีเกมอื่นไหม หรืออยากเรียนรู้อะไร” 

การ์ด ‘เกมประทัดระเบิด’
การ์ด ‘เกม Animal Racing ‘

บอร์ดเกมทลายข้อจำกัด พัฒนาทักษะสื่อสารและการคิดขั้นสูง

ผลจากการนำบอร์ดเกมมาใช้จัดการเรียนรู้เชิงรุกในปีแรก พบว่าเด็กสนุกกับการเรียนรู้และมีทักษะสื่อสารที่ดีมากขึ้น 

ครูดำรงฤทธิ์ เล่าว่า มีเคสหนึ่งที่ประทับใจ คือ น้องนักเรียนชั้นป. 6 เดิมเขาเป็นเด็กที่ไม่พูดเลย ไม่เข้าสังคม เรียนเก่ง แต่เจตคติยังไม่ค่อยดี เพราะเวลาเขาไม่พอใจ เขาจะเดินกลับบ้านเลย ผู้ปกครองก็จะโทรมาบ่นครูทันที แต่ทุกวันนี้เขาเป็นนักเรียนคนเดียวในชั้น ป. 6 ที่ไปหาเกมมาเล่นกับเพื่อน มาแชร์กับเพื่อน เราก็ดีใจที่เขาเลือกเกมการศึกษาในการเข้าสังคม เอาเกมมาแชร์ มาสอนเพื่อน จากที่ไม่ได้สนใจใครเลย ก็เริ่มแบ่งปันและช่วยเหลือเพื่อน ก็เป็นความสุขที่เราได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กจากการที่เราใช้บอร์ดเกมในการจัดการเรียนรู้ 

เด็กชายนรเศรษฐ์ บุญเกิด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดวังเรือน กล่าวว่า ชอบและสนุกที่ได้เล่นบอร์ดเกมในวิชาวิทยาศาสตร์ แล้วก็ได้ความรู้ไปด้วย เช่น เกม Racing Animal ก็ได้ความรู้เรื่องการออมเงิน ได้ฝึกการคิดเลข สมมติเราทอยลูกเต๋าได้ 1 แล้วเดินไปตกที่ช่องลด 10 คะแนน เราก็ต้องเสีย 2 เหรียญๆ เหรียญละ 5 คะแนน เป็นการฝึกการบวก-ลบคะแนน 

“นอกจากนี้ก็มีเกมประทัดระเบิด สมมติเราเล่น 4 คน จะมีการ์ดประทัด 3 ลูก ก็ต้องสุ่มไปเรื่อยๆ แล้วเราจะมีชนวนระเบิดคนละอัน ถ้าเพื่อนคนหนึ่งได้ระเบิด อีกคนหนึ่งมีชนวนกดระเบิด เขาก็จะใช้ชนวนกดระเบิดประทัดก็จะทำให้รอด แล้วก็ยังมีการ์ดทุ่งนา ต้องจับคู่ที่เหมือนกัน แล้วก็อ่านว่ามีความสามารถอะไร จับคู่ได้แล้วก็โจมตีคนอื่น ก็คือเอาการ์ดไปวางข้างหน้าเขา และหยิบการ์ดเขามาหนึ่งใบมาเป็นของเรา ทำให้เรามีการ์ดเพิ่มขึ้น ถ้าใครหยิบการ์ดบ้านจะสามารถเลื่อนตาได้ ไม่ต้องจั่วการ์ดในกอง เราก็จะใช้การ์ดเวลาที่รู้ว่ามีการ์ดระเบิดอยู่ด้านบน ใครที่โดนระเบิดหรือการ์ดหมดก่อนก็จะแพ้ คนที่เหลือการ์ดคนสุดท้ายจะชนะ ก็ต้องมีการคิดวางแผนในการเล่นด้วย 

เวลาเล่นเกมเสร็จ ครูจะชวนแลกเปลี่ยนว่าเกมนี้ได้อะไรบ้าง ซึ่งเราก็ได้ทั้งความสนุก ความรู้ และการวางแผน เล่นบ่อยๆ คิดเลขเร็วขึ้นด้วย ที่สำคัญคือได้ฝึกการสังเกต ต้องมีสมาธิ คอยดูว่าการ์ดระเบิดมาหรือยัง จะตื่นเต้นต้องคอยลุ้นว่าจะได้ระเบิดตอนไหน เพื่อนๆ ก็ชอบ ได้คุยกันมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี การนำบอร์ดเกมมาใช้พัฒนาเด็กให้มีสมรรถนะเท่าทันโลกสมัยใหม่ สามารถนำความรู้ไปใช้งานจริงได้ ต้องอาศัยการบูรณาการหลากหลายเครื่องมือและศาสตร์ความรู้เข้าด้วยกัน  

“ผมบอกเด็กเสมอว่า เราไม่จำเป็นต้องมีเกมก็เรียนอย่างมีความสุขได้ แต่เกมคือสื่อที่ทำให้เราเข้าถึงนักเรียนได้ไวและตรงจุด 

เพราะเทรนด์การศึกษาในตอนนี้จะเป็นเกมหมด ดังนั้นจะดีไหมถ้าเราทำเกมให้อยู่ในห้องเรียนดีกว่าอยู่ในมือถือ ฉะนั้นจุดประสงค์คือทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนอยู่ในสายตาของเรา และได้ความรู้ที่ควรได้รับ 

สิ่งสำคัญของเกมการศึกษาคือเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้พร้อมกับครูผ่านเกม แต่ทั้งนี้บอร์ดเกมก็เป็นเพียงทักษะหนึ่งที่ยังต้องอาศัยการบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โค้ดดิ้ง เพื่อให้เด็กมีสมรรถนะการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์โลกศตวรรษที่ 21” ครูดำรงฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

ครูดำรงฤทธิ์ เอี่ยมทองAnimal Racingการ์ดเปิดใจเกมประทัดระเบิดทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)บอร์ดเกมการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกActive Learningการคิดขั้นสูงการแก้ปัญหาโรงเรียนวัดวังเรือน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Competency cover
    Social Issues
    เรียนรู้อย่างมีความหมาย-ไร้รอยต่อ สร้างสมรรถนะเด็กไทยพร้อมรับความท้าทายแห่งอนาคต

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • Learning TheoryTransformative learning
    เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Voice of New Gen
    “เพราะเกมสอนให้รู้จักแพ้” เฮียโก้ เด็กติดเกมวันนั้น สู่เซียนนักพากย์เกมวันนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel