Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: May 2022

ตัวตนอันลื่นไหลผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ความรับรู้ที่เปลี่ยนเรื่อยไปและกระทบต่อกันและกัน
Myth/Life/Crisis
13 May 2022

ตัวตนอันลื่นไหลผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ความรับรู้ที่เปลี่ยนเรื่อยไปและกระทบต่อกันและกัน

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • หลายชั่วขณะแห่งการรับรู้ภาวะบางอย่าง ผ่านความสัมพันธ์กับคนอื่น บ้างก็เอาสิ่งที่เข้าไปรู้มานิยามสิ่งที่เรา ‘เป็น’ แต่เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยน กระบวนการ ‘เป็น’ ก็แปรไป ตัวตนที่ลื่นไหล ยอมจำนนต่อกระบวนการ ซึ่งทรงพลังมาก กระทั่งไม่มีใครรบกวนมันได้
  • บางครั้งก็ยากที่คนเราจะเห็นคุณลักษณะบางอย่าง ‘ในตัวเอง’ ได้อย่างชัดเจนหากไม่ผ่านคนอื่น รวมไปถึงยากที่จะเห็นอภิสิทธิ์ที่เรามีอยู่แล้วด้วย
  • การที่ชุมชนมีผู้ ‘ป่วยไข้’ และได้ปฏิสัมพันธ์กับความป่วยนั้นก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง มันอาจไม่มีใครเคย ‘ปรกติ’ เลย และสิ่งที่เรียกว่าป่วยไข้ไม่ปรกติก็สำคัญต่อการเดินทางสู่ ‘ความไหลลื่น’  ไปด้วยกัน

1.

หลายชั่วขณะแห่งการรับรู้ภาวะบางอย่าง ผ่านความสัมพันธ์กับคนอื่น บ้างก็เอาสิ่งที่เข้าไปรู้มานิยามสิ่งที่เรา เป็น กำลังกลายเป็น เคยเป็น 

เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยน กระบวนการ เป็น ก็แปรไป (และในทางกลับกันด้วย)

 คล้ายเราเป็นภาชนะอาณาเขตพร่ามัวซึ่งอนุญาตให้สิ่งต่างๆ ไหลเข้ามาได้ อดีตราวกับความฝัน และแม้ปัจจุบันขณะก็เป็นเฉกเช่นฝัน สิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับ ‘ตนเอง’ ผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นและในทางกลับกันต่างก็มีผลกระทบต่อกัน การนิยามความ เป็น อะไรบางอย่างประหนึ่งกำลังละลายเลือนไปกับสิ่งอื่นและกาลเวลา 

ฉันเป็นได้หลายสิ่ง และบางทีมันก็เป็นแค่บท 

บางทีก็ไม่จำเป็นต้องรู้ 

ตัวตนที่ลื่นไหล ยอมจำนนต่อกระบวนการ.. ซึ่งทรงพลังมาก กระทั่งไม่มี ‘ใคร’ รบกวนมันได้

2.

การสัมผัสลักษณะบางอย่างในตน ผ่านความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น

ใครคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าลึก เขาได้สัมผัสกับความพันลึกและไกลโพ้น อีกความชราที่ได้สั่งสมประสบการณ์ผสานกับความเป็นมารดาที่หล่อเลี้ยง ซึ่งทั้งมวลมีความดิบโหดและคุณลักษณะอีกมายมายไปพร้อมกัน.. หลายปีผ่านไป เขาค่อยๆ ตระหนักรู้ลักษณะต่างๆ เหล่านั้นในตัวเองชัดขึ้น

ใครคนหนึ่งได้ทำคลอดให้แม่แมว มันจงใจนำเหล่าลูกน้อยมาไว้ที่ห้องนอนเล็กๆ ของเขา เขาอิ่มเอมใจ เป็นชั่วขณะที่เขากลายเป็นใครคนหนึ่งที่รู้สึกได้รับความไว้วางใจและได้รับเกียรติสูงสุด

ความเป็นชาย (musculinity) ของใครคนหนึ่งซึ่งเกิดมาพร้อมกับมดลูกได้ถูกขับเน้นให้สัมผัสได้เด่นชัดขึ้น ผ่านความสัมพันธ์กับบุรุษที่เด่นในความเป็นหญิง (femininity) ความสัมพันธ์ที่ ดูเป็น ขั้วตรงข้ามซึ่งแท้จริงก้าวข้ามความเป็นสองขั้ว

สัมผัสความเป็นผู้ ‘ให้’ (ซึ่งจริงๆ ก็รับด้วย) ผ่านคนอื่น 

ผู้ชายที่อยาก ‘ซ่อมแซมเยียวยา’ (ใส่เครื่องหมายเพื่อตั้งคำถาม) ผู้หญิงที่ เขาเห็นว่า ทุกข์ยากและดูเหมือนอ่อนแอกว่า บ้างก็เพียงต้องการความรู้สึกว่าตน ‘แข็งแกร่ง’ ‘เป็นวีรบุรุษ’ หรือแม้แต่ ‘เหนือกว่า’ เธอจึงกลายเป็นเงาสะท้อนของสิ่งที่เขาต้องการและไม่ต้องการสัมผัสในตนเองพ่อแม่และเพื่อนที่ต้องการสนับสนุนและอยากมีส่วนร่วมผ่านการ ‘ช่วยเหลือ’ อีกฝ่าย กระทั่งลืมไปว่าเราอาจกำลังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอ่อนแอกว่า อึดอัด ถูกบุกรุก รู้สึกถูกหยาม หรือแม้แต่ทำให้อีกฝ่ายโดนบุคคลภายนอกดูถูกขึ้นมาจริงๆ ความอยากมีประโยชน์ของใครบางคนทำให้คนอื่นรู้สึกยิ่งกว่าหมดประโยชน์ได้เหมือนกัน เช่น ในห้วงขณะคนที่ต้องเล่นบทลูกไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่ที่อยากมีส่วนร่วมก็กระโจนเข้าไป ‘ช่วย’ (ลึกๆ คือตอบสนองความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ของลูก) และทำให้ลูกถูกคนภายนอกดูถูก

เข้าใจผิดว่าเขาทำอะไรไม่เป็นและต้องพึ่งผู้อาวุโสตลอด บางทีสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นพ่อแม่หรือเพื่อ หรืออะไรก็ตามที่ ‘ดีพอ’ ก็คือการทิ้งบทบาทนั้นไปบ้าง 

หลายกรณี อีกฝ่ายก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวและไม่ได้อยากรู้สึกว่าต้องพึ่งพา อีกทั้งก็กำลังทำงานกับความเปราะบางของเขาอยู่เช่นเดียวกันกับผู้ที่ต้องการหยิบยื่นความช่วยเหลือ 

เราต้องการอาณาเขตที่ชัดเจน

3.

การต่อรอง

อย่างไรก็ตาม เมื่ออาณาเขตของแต่ละคนกลายเป็นดั่งปราการแน่นหนาเกินไปและ/ หรือเมื่ออาณาเขตของเรามีอภิสิทธิ์อยู่มากมาย ก็ย่อมเกิดการ ต่อรองจากคนหรือกลุ่มที่รู้สึกว่าตนถูกกีดกันออกไปและรู้สึกแปลกแยก หรือรู้สึกว่าถูกทำให้เป็นชายขอบ โดยการขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้สีกถูกกีดกันก็เป็นการกระจายพลังให้เขาได้อีกวิธีหนึ่ง

นอกจากนี้ การที่คนที่อยู่เลยจุดศูนย์กลางออกไปแสดงการเข้าไปมีความสัมพันธ์กับคนที่เข้าถึงทรัพยากรมากมายและมีอภิสิทธิ์บางอย่าง ก็สามารถเป็นการต่อรองกับลำดับขั้นทางสังคมอีกอย่างหนึ่งด้วย 

ความสัมพันธ์ และการหยิบยืมลำดับขั้นทางสังคมของผู้อื่น

ได้สัมผัสถึงความภูมิใจไปจนถึงลำพองของคนที่ได้บอกกล่าวต่อบุคคลอื่นว่าเขาได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีลำดับขั้น (Ranking) บางอย่างที่ดูอยู่สูง หรือเป็นจุดสนใจ หรือเป็นศูนย์รวมทรัพยากร  

อาร์โนลด์ มินเดล (Arnold Mindell) ผู้ก่อตั้งจิตวิทยาเชิงกระบวนการ (Process) นิยาม ‘ลำดับขั้น’ ทางสังคม (นอกเหนือจากลำดับขั้นทางจิตใจและลำดับขั้นทางจิตวิญญาณ) ไว้หลากหลายเช่น ‘ผลรวมอภิสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งๆ’ อีกทั้ง ความสามารถ พลังอำนาจและการสนับสนุนจากวัฒนธรรมและชุมชน นอกจากนี้ แอเลน ชูพบาค (Ellen Schupbach) แห่งสถาบันประชาธิปไตยเชิงลึก ยังให้นิยามที่น่าสนใจของลำดับขั้นซึ่งเกี่ยวกับการที่เราดำรงอยู่ในศูนย์กลางหรือชายขอบและเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ มากน้อยเพียงใด      การที่ใครคนหนึ่งได้อวดว่าเป็นเพื่อนดารา การที่ผู้ชายส่วนหนึ่งประกาศว่าได้เป็นแฟนกับผู้หญิงสวย มีนางแบบตัวท็อป(ภาษาที่คนส่วนหนึ่งใช้)มาชอบมาจีบ มาหาถึงที่ หรือการที่ใครสักคนบอกอย่างภาคภูมิว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำทางโลกหรือทางธรรมในชุมชนนั้นๆ

เป็นดั่งการได้ไปหยิบยืมหรือไป มีส่วนร่วมกับ ลำดับขั้นและลักษณะบางอย่างผ่านคนอื่น แล้วใช้มันสรรค์สร้างแสดง ตัวเอง ต่อ

บางทีมันก็ยากที่คนเราจะเห็นคุณลักษณะบางอย่างในตัวเองได้อย่างชัดเจนหากไม่ผ่านคนอื่น รวมไปถึงยากที่จะเห็นอภิสิทธิ์ที่เรามีอยู่แล้วด้วย

4.

ความยากจนอันสูงส่ง คนนอกที่อยากมีส่วนร่วม และความป่วยไข้ที่มีปัญญา

การที่ใครสักคนแสดงความยากจนและขาดพร่องโดยมีนัยของความ ‘สูงส่ง’ และ ‘เหนือกว่า’ อาจเป็นกลไกการปกป้องตัวเอง ซึ่งบ้างก็เป็นการชดเชยความรู้สึกอิจฉาหรือขาดพร่อง ที่ทำเป็นลืมอภิสิทธิ์อย่างอื่นของตนไป 

น่าสนใจว่า คนที่มีรายได้และสถานะทางสังคมค่อนข้างดีถึงดีมากและเป็นจุดสนใจ แต่ดันไปสวมบท ‘คนจน(ผู้สูงศักดิ์)’ ‘คนที่ไม่มีใครมองเห็น’ ฯลฯ ซึ่งเป็นเพราะอะไรหลายอย่าง แม้แต่เป็นการเข้าไป ‘สวมบท’ อย่างไม่รู้ตัว เพราะอีกฝ่ายก็กำลังรอคอยอย่างไม่รู้ตัว (unconsciously) เข่นกันที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘บทนั้น’ 

การตัดพ้อผ่านการสวมบทคนจนทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้จนถึงเพียงนั้น หรือสวมบท ‘คนนอก’ ที่กลายเป็น ‘ผู้ร้าย’ ขี้อิจฉาสามารถทำให้

ผู้ที่ปฏิสัมพันธ์กับเขาได้สัมผัสถึงอภิสิทธิ์บางอย่างที่ตัวเองอาจไม่รู้ว่ามี และได้สัมผัสความเปราะบางและความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการมีสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นอภิสิทธิ์นั้น 

และต่อจากนั้นผู้ที่ รู้สึกว่าตนอยู่ชายขอบหรือด้อยสิทธิ์กว่า ก็สามารถสัมผัสถึงสิทธิ พลังและความสามารถ(อย่างน้อยก็สามารถสร้างความปั่นป่วน และกะเทาะสถานะแช่แข็งให้พังทลายแตกออก) และแม้แต่ตระหนักชัดในที่สุดว่าตัวเองก็มีอภิสิทธิ์หลายอย่างซึ่งอาจมากมายกว่าคนหรือกลุ่มที่ตัวเองโจมตีอยู่ด้วยซ้ำ

ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นดวงตา และ ‘อีกฝ่าย’ ก็คือสารัตถะที่ถูกมองเห็น

และต่างก็ล้วนสลับลักษณะกันได้ หรือรับเอามาราวกับต่อเปลวเทียน

สลายหรือเจือจางการอยู่ในจุดศูนย์กลางและชายขอบที่แช่แข็งเกินไปในห้วงขณะนั้นๆ 

ลักษณะอันยากจนข้นแค้นและร่ำรวยด้วยอภิสิทธิ์ ลักษณะของผู้เยียวยาและคนที่ป่วยไข้ ลักษณะของผู้จับโจรและโจร ฯลฯ ต่างปฏิสัมพันธ์กันอยู่… เราต่างก็สัมผัสถึงความเป็นชายขอบได้ในตนเอง และในกระบวนการต่อรองและกลายเป็น เราก็อาจกำลัง สร้างความเป็นอื่นและแปลกแยกให้ผู้อื่น อยู่เช่นกัน 

การที่ชุมชนมีผู้ ‘ป่วยไข้’ (ตั้งคำถามกับคำดังกล่าว) และได้ปฏิสัมพันธ์กับความป่วยนั้นก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง มันอาจไม่มีใครเคย ‘ปรกติ’ เลย และสิ่งที่เรียกว่าป่วยไข้ไม่ปรกติก็สำคัญต่อการเดินทางสู่ 

ความไหลลื่น  ไปด้วยกัน.. 

ให้เราเป็นลายลักษณ์อักษร และ ‘คุณ’ คือสารัตถะที่ได้รับการเขียนถึง.. ได้ไหมนะ? (คุยกันได้ที่ Line ID: patrasuwan) 

อ้างอิง

บทประพันธ์ The Wave ของ Virginia Woolf

ขอบคุณแรงบันดาลใจจากทุกคนซึ่งเข้าร่วมกระบวนการ ‘ความขัดแย้งและการลื่นไหล’ วันที่ 22-24 เมษายน 2565

Facilitate การเรียนรู้โดย Ellen Schupbach
จัดงานโดย
คุณชโลบล ฉัตรชัยวงศ์

 

Tags:

ความสัมพันธ์ตัวตนความลื่นไหล

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Brooklyn Nine-Nine: ถึงรับปากไม่ได้ว่าพ่อจะเข้าใจ แต่พ่อจะพยายาม

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

The me you can’t see: การเดินทางของ ‘พ่อ’ ที่ใจแตกสลายจากการเสียลูก 
Dear ParentsMovie
13 May 2022

The me you can’t see: การเดินทางของ ‘พ่อ’ ที่ใจแตกสลายจากการเสียลูก 

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • The me you can’t see คือ รายการสารคดีของ Apple TV พูดถึงเรื่องสุขภาพจิต ที่ทำให้เราได้เข้าใจปัญหาด้านสุขภาพจิตของคนหลากหลายแบบ ซึ่งหลายๆ คนที่ได้มาให้สัมภาษณ์มักจะมีปมหรือบาดแผลทางจิตใจที่เกิดจากครอบครัว หรือบ้างก็มาจากเรื่องราวภายในอดีตบางอย่าง
  • หนึ่งเรื่องราวที่อยากหยิบมาพูดถึงคือ เรื่องราวของ ‘เดวิด’ ชายวัยกลางคนผู้เคยถูกคนในครอบครัวล่วงละเมิดร่างกายจนเกิดแผลใจและเป็นโรคซึมเศร้าเพราะสูญเสียลูก ซึ่งเขาก็ได้พบทางออกของการบำบัดจิตใจหลังพบกับ ‘ฟาร์ม’ ที่ช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย
  • การเป็น‘พื้นที่ปลอดภัย’ คอยอยู่เคียงข้างและรับฟังคนที่เรารักโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจเขาในทันที อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่เราจะมอบให้ใครคนหนึ่งก็ได้

Tags:

บาดแผลทางจิตใจซึมเศร้าครอบครัวThe me you can’t see

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear Parents
    ถ้าพ่อนึกถึงความเจ็บปวดในวัยเด็กของตัวเองสักนิดคงไม่ทำร้ายจิตใจผมในแบบเดียวกัน

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ก้าวข้ามมายาคติ ‘ครอบครัวอบอุ่นแสนดี’ แห่งยุคโซเชียล:  หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา
Family Psychology
10 May 2022

ก้าวข้ามมายาคติ ‘ครอบครัวอบอุ่นแสนดี’ แห่งยุคโซเชียล:  หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

เรื่อง ลลิตา ไวสินิทธ์ธรรม

  • การที่พ่อแม่คาดหวังจะมีภาพครอบครัวที่ดี ให้ลูกมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี ส่วนลูกคาดหวังบทบาทความเป็นพ่อแม่ ว่าจะดูแลทั้งกายภาพและตอบสนองด้านจิตใจด้วยเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ แต่หลายครั้งอาจจะมองมาจากมุมของตนเอง และขาดความเข้าใจถึงประสบการณ์และข้อจำกัดของอีกฝ่าย
  • จุดที่ต้องระวังคือ บางทีพ่อแม่ตัดสินใจแทนเพราะรักลูก กลัวลูกผิดหวัง แต่ความผิดหวังเป็นอนาคตที่เราไม่รู้ และผิดหวังไม่ใช่ไม่ดี เด็กหลายคนเรียนรู้ได้ดีมากจากความผิดพลาดของตัวเอง ถ้าไม่ปล่อยให้ลูกตัดสินใจเองเลย สุดท้ายลูกอาจจะโทษพ่อแม่ด้วย ว่าที่ชีวิตไม่โอเคเพราะพ่อแม่เลือกให้
  • คลี่คลายข้อสงสัยในหลายแง่มุมของสารพัดเรื่องในบ้าน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปัญหา สู่การประคับประคองความสัมพันธ์ให้ไปกันต่อได้ กับ หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

ในยุค 4G ที่พ่อแม่ กับลูกๆ ดูจะคุยกันคนละภาษา  การมี ‘ครอบครัวแสนสุข’  ดูจะเป็นเรื่องห่างไกลเหลือเกินสำหรับหลายบ้าน ลูกบอกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ส่วนพ่อแม่ก็แสนจะเหนื่อยล้ากับลูกที่เถียงคำไม่ตกฟาก บ้านกลายเป็นสนามอารมณ์  

แค่ไหนที่จะบอกว่าได้ว่าครอบครัวของเรายังเป็นปกติดี หรือจุดไหนที่ไม่ควรเดินหน้าต่อ ครอบครัวที่ดีของยุคนี้ควรเป็นอย่างไร ลูกต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังเหมือนเพลงบัลลังก์เมฆไหม หรือต้องรู้สึกเปี่ยมสุขเหมือนเพลงอิ่มอุ่นในงานวันแม่ หรือทุกปัญหาควรคลี่คลายแบบขำปนอย่างในซิทคอมฟีลกู้ด หรือชีวิตจริงนั้นจะยิ่งกว่าละคร ชวน ถาม-ตอบ กับ หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คลี่คลายข้อสงสัยในหลายแง่มุมของสารพัดเรื่องในบ้าน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปัญหา สู่การประคับประคองความสัมพันธ์ให้ไปกันต่อได้ 

หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น 

ทุกวันนี้หลายครอบครัวรู้สึกว่าเข้าใจกันน้อยลงทุกที ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เริ่มแรกคิดว่าเราคงไม่สามารถไปสรุปสำหรับครอบครัวไหนได้ว่าเขาเข้าใจกันแค่ไหน เพราะแต่ละครอบครัวก็มีบริบทที่มีความเฉพาะตัวอยู่ แม้ว่าความเข้าใจจากครอบครัวเป็นอาหารใจสำคัญสำหรับทุกคน แต่ปัญหาคือ แทบทุกคนอยากได้ความเข้าใจจากคนอื่น แต่อาจจะยากกว่าที่เราจะมอบความเข้าใจให้คนอื่นก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวด้วยกันเอง เพราะยิ่งเป็นคนใกล้ตัวก็ยิ่งทำให้มีอารมณ์เยอะ มีเดิมพันและผลกระทบเยอะ หลายครั้งเราจึงออกไปหาความเข้าใจจากภายนอก 

ในยุคนี้ไม่ว่าจะคนวัยไหนก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ รวมไปถึงตอบสนองความต้องการ ‘ความเข้าใจ’ ก็ได้ด้วย ในทุกแพลทฟอร์มเราสามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดเห็นของตัวเองได้มากขึ้น ยิ่งทำให้ยึดมั่นในความคิดของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนที่เห็นต่างรุนแรงขึ้นอีก  

นอกจากนี้ การรับข้อมูลข่าวสารจากภายนอกมากๆ ก็จะเกิดมุมมองการให้คุณค่า มีการเปรียบเทียบว่าชีวิตที่ดี ที่สำเร็จเป็นยังไง ครอบครัวที่ดีเป็นยังไง ลูกควรเป็นอย่างไร พ่อแม่ควรเป็นอย่างไร มีการสร้างอุดมคติของตัวเองและนำมาเปรียบเทียบกับชีวิต กลายเป็นความขาด ความไม่พึงพอใจในชีวิต ในตัวเอง หรือในครอบครัวได้ 

การที่พ่อแม่คาดหวังจะมีภาพครอบครัวที่ดี ให้ลูกมีชีวิตที่ดี ดูแลตัวเองได้ทั้งในเรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องการเรียนและอนาคต  ส่วนลูกคาดหวังบทบาทความเป็นพ่อแม่ ว่าจะดูแลทั้งกายภาพและตอบสนองด้านจิตใจด้วยเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ แต่หลายครั้งอาจจะมองมาจากมุมของตนเอง และขาดความเข้าใจถึงประสบการณ์และข้อจำกัดของอีกฝ่าย 

ความคาดหวังและกังวลของพ่อแม่ต่ออนาคตของลูก อาจมาบดบังความต้องการจำเป็นของลูกในปัจจุบัน ความคาดหวังและต้องการของลูก ก็อาจมาจากความไม่เข้าใจถึงภาระความรับผิดชอบ ข้อจำกัดและความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผิดพลาดได้ของพ่อแม่ ตัวอย่างเช่น ลูกอาจบอกว่า พ่อแม่ไม่รัก ไม่ใส่ใจ ซึ่งในมุมของลูก ใส่ใจ เข้าใจ กับตามใจ อาจจะดูแยกออกจากกันได้ยาก คือ ถ้าไม่ให้ในสิ่งที่อยากได้ คือเขาไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจ ไม่รักเรา เป็นต้น

พ่อแม่จำนวนไม่น้อยคิดว่ารู้จักลูกดีที่สุด อยู่มาวันหนึ่ง รู้สึกเหมือนลูกกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้า  

พ่อแม่มักจะคาดหวังว่าตนเองจะรู้จักและเข้าใจลูกได้ดีที่สุด แต่ในความจริงอาจไม่ง่ายแบบนั้น แม้ในครอบครัวที่ไม่ได้มีความขัดแย้งหรือปัญหามากมาย เพราะการที่อยู่ใกล้กันและมีบทบาทต่อกันมาก แคร์ต่อความรู้สึกและความคิดเห็นของกันและกันมาก ก็อาจทำให้ลูกไม่เปิดเผยบางด้านให้พ่อแม่รับรู้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเราทุกคนก็มีส่วนที่ไม่อยากให้ใครรู้ และการเปิดเผยทุกเรื่องก็อาจไม่ใช่เรื่องดี หรือบางทีลูกเปิดเผยแล้ว แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นใจ หรือ ไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาเลยอาจทำให้ลูกลังเลที่จะเปิดเผยอีก ทำให้ไม่ได้รู้จักตัวตนของลูกจริงๆ  เวลาผ่านไป รู้ตัวอีกทีเหมือนเราไม่รู้จักเค้าแล้ว 

การได้รับรู้ว่าเราถูกยอมรับจากพ่อแม่ เป็นอาหารใจที่สำคัญมาก ถ้าขาดอาหารใจนี้ เด็กๆ จะรู้สึกรักตัวเองได้ยาก จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีใคร โดดเดี่ยว แม้บางคนจะเรียนหนังสือได้ ใช้ชีวิตได้ แต่ข้างในมันว่างเปล่า

ตัวอย่างปัญหาคลาสสิกของพ่อแม่เลยคือ ลูกติดเกม เล่นโทรศัพท์มือถือกลางคืนแล้วนอนดึก พ่อแม่ก็จะพยายามเปลี่ยนพฤติกรรม ห้ามบ้าง ยึดบ้าง ทะเลาะกัน ร้องไห้บ้าง โดยที่อาจจะไม่เข้าใจว่า สำหรับลูก การเล่นเกมอาจจะหมายถึงการมีสังคม มีเพื่อน มีอีกชีวิตที่มีความสุข  บางทีเด็กก็คุยงานไปเล่นเกมไป  บางทีก็ปรับทุกข์ คุยเรื่องชีวิต เหมือนมีคนมารับฟัง เป็นอาหารใจของเขา  บางคนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเพื่อน เป็นความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เพื่อนในโรงเรียนไม่มีก็อาจจะเป็นเพื่อนออนไลน์ อยู่คนละซีกโลกกัน แต่ซัพพอร์ทจิตใจเขาได้ ซึ่งสำคัญมาก นี่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องตามใจปล่อยให้เขาเล่นเท่าไหร่ก็ได้ แต่ก็ต้องสื่อสารด้วยความเข้าใจเขา และสื่อสารสิ่งที่เราห่วงใยและให้ความสำคัญ เช่น การเรียน สุขภาพและการพักผ่อน เป็นต้น

สิ่งที่พบบ่อยก็คือ ในสายตาพ่อแม่ ลูกทำอะไรก็ดูจะไม่ใช่ไม่ควรไปเสียหมด เพราะอะไร 

ถ้าลูกทำอะไรที่เราไม่เห็นด้วย อาจต้องมองดูว่าทำไมลูกถึงทำแบบนั้น ถ้ามุ่งแต่จะดุ จะบ่น จะแก้ไขลูก เราจะขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์ และความสัมพันธ์กับลูก พ่อแม่อาจคิดว่า ตัวเองรู้ดีกว่า เคยผ่านมาก่อน เคยเจอมาแล้ว แต่ถึงบอกแบบนั้นไปลูกก็ไม่ได้ทำตาม เพราะเด็กไม่รู้สึกว่าพ่อแม่ยอมรับหรือรับฟังเขา โดยทั่วไปเราบังคับให้ใครเปลี่ยนตัวตนไม่ได้ ตัวเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงเพราะอยากเปลี่ยนเองจึงจะยั่งยืน ไม่งั้นเราก็ต้องทำหน้าที่เหมือนตำรวจคอยตรวจจับบังคับใช้กฎไปในแต่ละวัน 

พ่อแม่อาจจะลองถอยกลับมาสักก้าว ลองนึกดูว่า เรากำลังห่วงเรื่องอะไร ที่เราดุว่าหรือห้ามลูก ความต้องการและความรู้สึกจริงๆ ของเราคืออะไร กลัวไม่ทำการบ้าน กลัวใช้ชีวิตในสังคมไม่ได้ หรืออะไร พอเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แล้วค่อยคุยกับลูก ว่าอาจจะไม่ได้ต้องการให้ลูกหยุดเล่นเกม ณ เวลานั้น แต่ต้องการมั่นใจว่าลูกปลอดภัย และรับผิดชอบการเรียนของตัวเองได้  เปิดโอกาสให้ลูกได้อธิบาย รับฟังและปรับเข้าหากัน ถ้าลูกคะแนนดี ดูแลตัวเองได้ เราอาจจะปล่อยให้เล่น แต่ขอให้นอนตรงเวลา ให้ลงมากินข้าวกับที่บ้านบ้าง เป็นเรื่องที่คุยกันได้ 

พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ความคิดแบบนี้มีจุดที่ต้องระวังหรือไม่ 

บางทีพ่อแม่ตัดสินใจแทนเพราะรักลูก กลัวลูกผิดหวัง แต่ความผิดหวังเป็นอนาคตที่เราไม่รู้ และผิดหวังก็ไม่ใช่ไม่ดี ผิดหวังคือได้เรียนรู้ ได้มีกระบวนการลงมือทำอะไรบางอย่าง ได้เลือก ได้ตัดสินใจ และมีผลลัพธ์กลับมาจากการที่ลูกลงมือทำเอง ซึ่งสำคัญสำหรับเด็กมาก ถ้าเขาทำสำเร็จจะยิ่งต่อยอดให้อยากทำมากขึ้น กล้ามากขึ้น

ถ้าเราไม่เห็นด้วย อาจลองพูดคุยและรับฟัง อาจให้ความเห็นว่าเราห่วงอะไร ต้องสังเกตเด็กแต่ละคน ว่าควรปล่อยได้แค่ไหน จะให้กระโจนลงไปเลยไหมหรือค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจขอรับเรื่องไว้ก่อนแต่ขอขยายเวลาไปอีกนิด หรือหาวิธีที่ปลอดภัยเป็นทางเลือกให้ลูก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ถ้าลูกล้มเหลว เราก็มาช่วยลูกวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น ลองคุยกันว่าถ้าเลือกใหม่ได้จะทำแบบไหน และป้องกันความผิดพลาดได้อย่างไร ให้ความเสียหายอยู่ในขอบเขตที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ ไม่เจ็บมากเกินไป และไม่ซ้ำเติม แต่ให้ ‘รู้สึกร่วม’ ไปกับเขาด้วย 

เด็กหลายคนเรียนรู้ได้ดีมากจากความผิดพลาดของตัวเอง  ถ้าไม่ปล่อยให้ลูกตัดสินใจเองเลย สุดท้ายลูกอาจจะโทษพ่อแม่ด้วย ว่าที่ชีวิตไม่โอเคเพราะพ่อแม่เลือกให้ 

อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่ที่จะตัดสินใจว่าแค่ไหนคือความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ที่ยกตัวอย่างคือเรื่องเล่นเกม หรือเรื่องความชอบของลูก ในชีวิตจริงอาจมีเรื่องอื่นอีกมากที่ตัดสินใจได้ยาก เช่น เรื่องความปลอดภัย ความปลอดภัยในร่างกายหรือด้านสุขภาพ ซึ่งต่างไปแต่ละครอบครัว บางทีพ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจไปแล้วก็อาจยังไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือคิดผิด 

ตรงนี้อยากให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่สมบูรณ์แบบได้คะแนนเต็มร้อยในทุกเรื่อง แต่สิ่งที่พ่อแม่เรียนรู้ได้ในแต่ละขณะ คือ การใคร่ครวญอย่างมีสติ รับฟังปัญหา แล้วรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของลูกและของตัวเอง ฝึกฝนการสื่อสารออกไปว่าอะไรที่สำคัญ เช่น เรื่องอิสรภาพสำคัญนะ แต่จุดนี้ความปลอดภัยสำคัญกว่า รับรู้ว่าลูกอาจจะไม่เห็นด้วย แต่บางครั้งต้องขอใช้อำนาจในการห้ามลูก เพราะตอนนี้ลูกยังเป็นเยาวชน เรายังเป็นคนตัดสินใจแทนลูกอยู่  แต่ถ้าวันหนึ่งลูกโตแล้ว เราก็จะสนับสนุนในสิ่งที่ลูกเลือกตัดสินใจ

บางปัญหาก็แสนจะยากสำหรับคนเป็นพ่อแม่ อีกวิธีคือการพยายามมองปัญหาเป็นสองด้านทั้งบวกและลบ แทนที่จะมองแต่เรื่องลบๆ และอยากจะไปแก้มันให้หาย เช่น ลูกอยากตาย ต้องไปห้ามไม่ให้ฆ่าตัวตาย คอยจับตาดูตลอดเวลา อาจจะปรับโดยลองดูว่าปัญหาของลูกคืออะไร ทำยังไงให้ลูกมีความสุขกับชีวิต หรือกับเด็กที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมปัญหา เขามีด้านดีอะไรบ้างที่เราเห็น ซึ่งการทำให้ลูกรู้สึกว่ามีคนเข้าใจนั้นสำคัญมาก เพราะการตัดสินใจพลาดไปมันกลับมาแก้ไขได้ จะสอบตก เอนท์ไม่ติด ท้องไม่พร้อม หรืออะไรก็แล้วแต่ เรากลับมามีชีวิตที่ดีได้ แต่คนที่รู้สึกโดดเดี่ยวไม่เหลือใครในชีวิต อาจจะนำไปสู่โรคซึมเศร้า อาจจะคิดเรื่องตาย หรือทำอะไรที่เป็นโทษกับตัวเองหรือคนอื่นด้วย  

ตกลงว่าสำหรับครอบครัว สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร 

สัมพันธภาพในครอบครัวสำคัญมาก เพราะเป็นรากฐานของทุกอย่าง เราห่วงใยกัน เป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นที่พึ่งพิงให้กัน ก็จะทำให้ความสุขในครอบครัวเกิดขึ้นได้ 

เพราะความคิดเห็นกับพฤติกรรมเปลี่ยนได้ และเราก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง บางเรื่องที่คิดว่าดี ในอนาคตอาจจะไม่จริงก็ได้ เช่น บางอาชีพที่เคยประสบความสำเร็จ ก็อาจจะพลิกเลย เวลาคุยกับพ่อแม่จะบอกว่า ความขัดแย้งมันเกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติ ยังไงก็ต้องมีสู้รบกันบ้าง ถ้ารบไม่ต้องชนะทุกสนาม แต่อยากให้ชนะสงคราม คือเรื่องของใจและความผูกพัน เพราะในครอบครัวจะมีเรื่องความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เยอะมาก มีหลายสนามรบ ถ้าอยากเอาชนะมากๆ ถึงจุดหนึ่งจะพบว่า ลูกอยู่กับเราแต่ตัว แต่ใจเขาไปแล้ว คือความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เสียไปแล้วและกู้กลับมาไม่ง่าย   

ถ้าบ้านที่ไม่รักกันแล้ว จะยังมีหวังที่จะกลับมาประสานรอยร้าวได้หรือไม่ 

รอยร้าวก็มีหลากหลายระดับ อยากให้ความหวังทุกคนว่าความรักประสานได้ทุกอย่าง สำหรับเราถ้าจะเข้าไปช่วย คงพยายามหาว่า ยังคงมีต้นอ่อนของความรู้สึกดีๆ อะไรบางอย่างบ้างไหม ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มี และแต่ละคนไม่เหมือนกัน อาจจะถามถึงการเติบโตขึ้นมา การเลี้ยงดูที่ผ่านมา ลูกยังรักพ่อแม่ไหม เห็นอะไรดีๆ ในตัวพ่อแม่บ้างหรือเปล่า เวลาพ่อแม่ว่าหรือคาดหวัง รู้สึกยังไง กลัวไหม รู้สึกผิดไหม

หลายครั้งถ้าฟังแล้วจะรับรู้ได้ว่ายังมีความปรารถนาดีอยู่ตรงนั้น ที่ทำให้เรามีหวังที่จะสานต่อไปได้ แต่ถ้าไม่มีเลย เราก็รับฟัง แล้วก็ช่วยแก้ปัญหาที่เขากังวลก่อน แล้วมีอะไรเข้ามาก็ค่อยๆ ต่อไป ซึ่งเวลาผ่านไป เมื่อเขาเปิดใจมากขึ้น มีความสุขขึ้น หรือโตขึ้น เขาก็จะเริ่มมองเห็นเอง บางคนก็ไปดูหนังไปอ่านหนังสือ ไปคุยกับคนอื่นแล้วความคิดก็เปลี่ยน  

แต่ถ้าสำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีรอยรอยร้าวลึกมากๆ จนอาจจะไม่รู้สึกว่ามีความรักเหลืออยู่อีกแล้ว ก็จะไม่แนะนำให้ต้องไปสอนหรือยัดเยียดให้ลูก ต้องกตัญญูนะ ต้องรักพ่อรักแม่ หรือยกเรื่องบาปบุณคุณโทษ เพราะเรื่องนี้มันบังคับกันไม่ได้และมันอาจไม่สอดรับกับความเป็นจริง บางคนที่เขาถูกทำร้ายจริงๆ จากครอบครัวจนในใจมันปิดไปแล้ว บางคนอาจจะรู้ตัวอีกทีตอนอายุมากแล้ว จึงได้มาคลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ก็ยังมีโอกาสได้ 

ฟังดูคล้ายกับว่าครอบครัวอบอุ่นแบบที่เห็นกันในสื่อ อาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกบ้าน 

ครอบครัวจำนวนมากอาจมีหลายปัญหารุมเร้า ตัวพ่อแม่เองก็อาจจะเติบโตมาอย่างยากลำบากและมีข้อจำกัดมากมาย ผนวกไปกับปัญหาสังคมที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม ทั้งความไม่มั่นคงด้านสังคม หรือเศรษฐกิจ ประกอบกับความเครียดของเด็กยุคใหม่ ที่ต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อประกอบสร้างตัวตนของตัวเองในโลกที่ทุกอย่างหมุนไปเร็วมาก ที่พูดมาทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อย 

อาจจะฟังดูโลกสวยถ้าจะบอกว่าทุกบ้านยังมีหวังที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีและเติมเต็มหัวใจได้ อยากให้เปิดกว้างกับรูปแบบความสัมพันธ์มากมายที่เป็นไปได้ โดยไม่ต้องไปยึดติด แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เราต้องเคารพการเลือก การตัดสินใจของคน เคารพความเป็นจริงว่าไม่ใช่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแบบครอบครัวอุดมคติ  

บางบ้านอยู่ห่างๆ กันไปเลย ก็อาจจะดีกับชีวิตของทั้งคู่มากกว่า เชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ตามแบบฉบับของตัวเอง 

Tags:

ปัญหาครอบครัวความคาดหวังครอบครัวมายาคติครอบครัวอบอุ่นแสนดีพ่อแม่พญ.วินิทรา แก้วพิลา

Author:

illustrator

ลลิตา ไวสินิทธ์ธรรม

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Situationship: ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีคำว่า ‘เรา’
Relationship
9 May 2022

Situationship: ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีคำว่า ‘เรา’

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ทำความรู้จักกับอีกหนึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ที่ ‘มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน’ หรือ situationship ที่ปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมกันในกลุ่มชาวมิลเลนเนียล เนื่องจากเป็นสถานะที่มีข้อผูกมัดน้อย สอดคล้องกับค่านิยมการใช้ชีวิตอิสระ และปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ
  • แม้ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship จะดูพิลึกกว่าความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักที่เคยมีมา แต่ก็มีข้อดีตรงที่เปิดโอกาสให้คนที่อาจมีความกลัวเรื่องความสัมพันธ์ หรือมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ได้ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนก่อน
  • ท้ายที่สุดแล้ว จงซื่อสัตย์กับตัวเองว่าชอบความสัมพันธ์แบบ situationship จริงๆ หรือเราเหมาะกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงมากกว่า และอย่าลืมที่จะพูดคุยทำความเข้าใจกับอีกคนหนึ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรเดินออกมาหาความสัมพันธ์ที่ดีกว่าหรือไม่

ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ situationship ก็อาจจะคล้ายกับสถานะ ‘คนคุย’ ที่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ในกลุ่มวัยรุ่นชาวมิลเลนเนียล เนื่องจากเป็นสถานะที่มีข้อผูกมัดน้อย เช่น ไม่ต้องไปทำความรู้จักกับเพื่อนของกันและกัน ไม่ต้องลงรูปคู่ และไม่มีสถานะชัดเจน อาจแตกต่างจากสถานะคนคุยเล็กน้อยตรงที่ไม่ต้องนึกถึงอนาคตว่าความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอย่างไร

สำหรับนักรักที่กำลังไล่ล่าหาความรักมาเติมเต็มชีวิต ความสัมพันธ์นี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship นี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในแวดวงสังคมของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวมิลเลนเนียล

Situationship และความนิยมที่เพิ่มขึ้น

บางงานวิจัยพบข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับ situationship ว่าเรื่องของปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่เพิ่มความท้าทายให้การใช้ชีวิต เพราะต้องการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระ ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกดีมากกว่า หากได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการจริงๆ 

คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใส่ใจว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจะต้องรีบตกลงปลงใจกับใครเสมอไป การลองคบไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรนั่นเอง

เราอาจสังเกตได้ว่าในปัจจุบัน ผู้คนมักให้ความสำคัญกับเรื่องเงินมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เนื่องจากเราต่างถูกปลูกฝังให้มองว่าการมีทรัพย์สินเงินทองแปลว่าประสบความสำเร็จ (ตามสภาพสังคมทุนนิยม) เงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ความสัมพันธ์ situationship เป็นที่นิยม เพราะเรายังไม่พร้อมจะลงหลักปักฐานกับใครได้อย่างจริงจังหากสถานะทางการเงินยังไม่พร้อม

นอกจากนี้ การที่เราหันไปมุ่งมั่นหาเงินเข้ากระเป๋า ก็ทำให้เวลาชีวิตลดน้อยลง การออกไปเที่ยวเตร่หาความสัมพันธ์มั่นคงนอกที่ทำงานก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นซะแล้ว สู้กลับบ้านไปนอนเพื่อเก็บพลังไปทำงานในวันถัดไปยังมีประโยชน์กว่ากันเยอะ เรียกได้ว่า นอกจากเวลาเอาใจใส่ตัวเองแล้ว เราก็แทบไม่มีเวลาไปเอาใจใส่คนอื่นๆ

สถานะ situationship จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะว่างเมื่อไรก็ค่อยมาเจอมาคุยกัน ไม่ต้องพัฒนาไปมากกว่านี้

หลายคนอาจจะมองว่า ‘ถ้าเราสำคัญมากพอ เขาก็จะหาเวลามาให้ได้’ แต่แน่ใจแล้วหรือเปล่าว่าอีกคนอยากให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปไกลกว่านี้ หากเขายังสนใจเรื่องอื่นมากกว่าและยังมองว่าความรักไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ของชีวิต ก็ทำใจได้เลย เพราะเขาอาจจะเพียงแค่หาคนคุยในระยะสั้นๆ ไม่ให้ชีวิตเงียบเหงาเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะมีคนคุยหลายคนอีกด้วย เพราะความสัมพันธ์แบบนี้ ทำให้เราไม่ต้องผูกมัดกับใคร จึงสามารถเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เต็มที่ มีตัวเลือกมากขึ้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับใคร เพราะ situationship คือสถานะระยะทดลองที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง

อาจกล่าวได้ว่า situationship เป็นความสัมพันธ์ที่เน้นสะดวกไม่เน้นสานต่อ และถ้าใครเกิดรู้สึกมากกว่าก็ให้เตรียมใจไว้ได้เลย เพราะความสัมพันธ์นี้ น้อยครั้งที่จะสานต่อไปยังความสัมพันธ์ศึกษาดูใจที่จริงจังต่อได้ 

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า ลองสังเกตดูว่าเรื่องราวระหว่างพวกคุณทั้งสองคนตรงกับรูปแบบของ situationship หรือไม่

รูปแบบของ situationship

  • เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก ในความสัมพันธ์ที่ทั้งสองคนอาจไม่เคยเปิดใจคุยกันจริงๆ จังๆ ว่า ‘ระหว่างเรา’ คืออะไร อาจเพราะรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป หรือไม่ก็อาจจะไม่สบายใจที่พูดถึงเรื่องนี้ 
  • ไม่มีความสม่ำเสมอ ดร.Romanoff นักจิตวิทยาและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Yeshiva กล่าวไว้ว่า ใน situationship เราจะเกิดความรู้สึกที่ว่าไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไร หรือว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะตอบข้อความของเรา หรือไม่แน่ใจว่าเขามีความ ‘พยายาม’ ที่จะออกมาพบกันบ้างหรือเปล่า
  • ไม่มีการพูดถึงอนาคต โดยทั่วไป ความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักมักจะมีการพูดถึงแผนในอนาคต เพราะต้องการสานต่อ แต่หากไม่มีการกล่าวถึงอนาคตร่วมกันเลย อาจแน่ใจได้แล้วว่ากำลังอยู่ในสถานะ situationship
  • ขึ้นอยู่กับความสะดวก ว่างค่อยเจอ ไม่ว่างก็ไม่เจอก็ได้ ต่างคนต่างมีธุระ ให้เวลาหรือความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า ไม่พยายามหาเวลามาเจอกัน ส่วนมากคุยกันผ่านแชท และไม่โพสต์รูปคู่ลงสื่อโซเชียล

แม้ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship จะดูพิลึกกว่าความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักที่เคยมีมา แต่ก็มีข้อดีตรงที่เปิดโอกาสให้คนที่อาจมีความกลัวเรื่องความสัมพันธ์ หรือมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ได้ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนก่อน โดยไม่มีแรงกดดันอย่างแฟนหนุ่มหรือแฟนสาวมากำหนด เพราะเราไม่ได้มองไปไกลถึงระดับนั้น

อย่างไรก็ตาม การมีความสัมพันธ์แบบนี้ก็อาจเป็นอุปสรรคที่ปิดกั้นไม่ให้เราได้พบเจอคนที่ใช่หรือความสัมพันธ์ที่มั่นคง แต่หากจะถามว่า situationship นั้นผิดหรือถูก ก็คงต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับมุมมองของความรักของแต่ละคน บางคนอาจสบายใจที่จะมีอิสระ แต่บางคนอาจจะชอบการผูกมัด ดังนั้น อาจต้องคอยสังเกตความสัมพันธ์อยู่เสมอว่าเป็นไปในทิศทางไหน และจงซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง

เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้ความสัมพันธ์แล้ว เราก็จะได้รู้จักตัวเองจากมุมมองที่เรามีต่อความสัมพันธ์ด้วย 

ในท้ายที่สุดแล้ว เราอาจตอบตัวเองได้ว่าเราชอบ situationship จริงๆ หรือเราอาจเหมาะกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่า อย่าลืมที่จะพูดคุยทำความเข้าใจกับอีกคนหนึ่งในความสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรเดินออกมาหาความสัมพันธ์ที่ดีกว่าหรือไม่

ด้วยมุมมอง ประสบการณ์ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน ทำให้การวางแผนอนาคตต่างๆ แตกต่างกัน คนรุ่นใหม่มองเห็นโลกกว้างมากขึ้น และเห็นทางเลือกมากขึ้น การมีความสัมพันธ์และแต่งงาน มีลูกก่อนอายุ 30 จึงไม่ได้ตอบโจทย์เราอีกต่อไป ความกดดันและความยากลำบากไม่ได้ทำให้เรามองว่าการมีแฟนเร็วแต่งงานมีลูกไวเป็นความสำเร็จในชีวิต กลับกันเราเริ่มตระหนักถึงภาระหนักอึ้งในการมีความมั่นคงและความพร้อมที่จะดูแลชีวิตครอบครัวให้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะในสังคมที่วุ่นวาย การหาความมั่นคงเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน 

อ้างอิง

What Exactly Is A ‘Situationship’?

What Is a Situationship?

Tags:

แบบแผนความสัมพันธ์ความสัมพันธ์แบบ situationship

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Everyone can be an Educator
    เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Relationship
    ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Ginny & Georgia : คนรักใหม่ของแม่ กับ การมีหรือไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจชีวิตของเรา

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ
8 May 2022

ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • บาริสต้าน้อย เป็นการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบของธุรกิจกาแฟ ซึ่งอยู่ภายใต้ ‘หลักสูตรทักษะอาชีพ’ ของโรงเรียนสินแร่สยาม เป็นการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเด็กๆ ทุกระดับชั้นจะได้เรียนรู้ทักษะอาชีพตามที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าอยากเรียน
  • สำหรับคนภายนอก สยามคอฟฟี่อาจเป็นแค่ร้านกาแฟในโรงเรียนธรรมดาๆ แต่กับเด็กนักเรียนสินแร่สยาม นี่คือห้องเรียนที่ทำให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ที่ไม่เพียงให้ทักษะอาชีพ แต่ยังมอบทักษะชีวิตที่จะติดตัวเขาไปอีกนาน
  • เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง สามารถต่อยอดความรู้ที่มีได้ โดยที่ครูมีหน้าที่แนะนำและคอยเป็นโค้ชให้อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่เน้นสั่งการแต่ค่อยๆ กะเทาะเปลือกนอกให้เด็กกล้าลงมือทำ และเรียนรู้การแก้ปัญหา

ห้องกระจกเล็กๆ มุมหนึ่งของ โรงเรียนสินแร่สยาม อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี คือที่ตั้งของร้านกาแฟ ‘Siam Coffee By Sinraesiam school’

บาริสต้าของที่นี่แม้จะเป็นแค่นักเรียนชั้นประถมศึกษา แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และครั้งนี้เด็กๆ แนะนำตัวด้วยการเทลายลาเต้อาร์ตรูปหัวใจให้ดูอย่างคล่องแคล่ว 

สำหรับคนภายนอก สยามคอฟฟี่อาจเป็นแค่ร้านกาแฟในโรงเรียนธรรมดาๆ แต่กับเด็กนักเรียนสินแร่สยาม นี่คือห้องเรียนที่ทำให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ที่ไม่เพียงให้ทักษะอาชีพ แต่ยังมอบทักษะชีวิตที่จะติดตัวเขาไปอีกนาน

เป็นการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สอดแทรกทักษะต่างๆ ไว้อย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรับผิดชอบ วินัย การวางแผน การแก้ปัญหาต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ กล้าลงมือทำ กล้าที่จะลองผิดลองถูก และค้นพบความชอบความสนใจของตัวเอง ซึ่งมากไปกว่านั้นคือการที่เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง

ห้องเรียนทักษะอาชีพ ตอบโจทย์บริบทพื้นที่

แม้ว่าอำเภอสวนผึ้งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี แต่สภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ไม่ต่างอะไรกับอำเภอชายขอบทั่วไป การพัฒนาทักษะอาชีพให้กับนักเรียนจึงเป็นโจทย์หนึ่งที่โรงเรียนในพื้นที่อย่างโรงเรียนสินแร่สยามให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ ผอ.ภาณุพงศ์ มุ่นพลาย ผู้อำนวยการโรงเรียนสินแร่สยาม ได้ให้โจทย์กับคุณครูแต่ละคนว่า “อยากจะมีหลักสูตรที่เปิดให้นักเรียนแต่ละชั้นได้ฝึกอาชีพ เพื่อเป็นทักษะพื้นฐาน” เนื่องจากบริบทของโรงเรียนและชุมชน เด็กๆ ค่อนข้างมีฐานะยากจน ถ้าเด็กๆ มีทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็คงจะดีไม่น้อย 

ครูอุ้ม ขนิษฐา อินทะเส ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสินแร่สยาม ผู้รับหน้าที่โค้ชหลักของโครงการฝึกทักษะอาชีพ ‘บาริสต้าน้อย’ จนกลายมาเป็น Siam Coffee By Sinraesiam school บอกว่า บาริสต้าน้อย เป็นการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบของธุรกิจกาแฟ ซึ่งอยู่ภายใต้ ‘หลักสูตรทักษะอาชีพ’ ของโรงเรียนสินแร่สยาม เป็นการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเด็กๆ ทุกระดับชั้นจะได้เรียนรู้ทักษะอาชีพตามที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าอยากเรียน 

“อย่าง ป.1 ก็จะเป็นการเพ้นท์กระเป๋า ป.2 ทำผ้าเช็ดเท้า เน้นไปที่งานประดิษฐ์ ส่วนป.3 มีตัดผม เสริมสวย พอเริ่มประถมปลายจะเน้นเชื่อมโยงกับวิชาหลัก อยู่ที่ว่าครูประจำชั้นเป็นครูสอนวิชาอะไร อย่าง ป.4 จะเป็นเรื่องสบู่สมุนไพร เชื่อมโยงกับสาระวิทยาศาสตร์ ป.5 มีเรื่องกล้วยๆ หลักสูตรกล้วยฉาบ อันนี้เด็กก็ชอบ เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้การทำกล้วยฉาบแล้ว ยังได้ทำแพ็กเกจด้วย แล้วก็มีภาพยนตร์สั้นด้วย ส่วนป.6 ก็จะเป็นธุรกิจกาแฟ  Siam Coffee” 

ครูอุ้มบอกว่าหัวใจสำคัญของห้องเรียนทักษะอาชีพคือ ความสนใจร่วมกันของผู้เรียน แม้ความเข้มข้นทางวิชาการอาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยเด็กที่จบออกไปก็จะได้ทักษะพื้นฐานในการใช้ชีวิต เช่น ความรับผิดชอบ วินัย การวางแผน การแก้ปัญหาต่างๆ หรือเกิดแรงบันดาลใจในการลงมือทำอะไรสักอย่าง กล้าที่จะลองผิดลองถูกหรือค้นพบความชอบความสนใจของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้เด็กด้วย

อย่างเช่นทักษะอาชีพบาริสต้า ครั้งแรกที่เด็กๆ รู้ว่าจะได้เรียนทำกาแฟ ได้เข้าใกล้การเป็นบาริสต้า ต่างก็ตื่นเต้นไปตามๆ กัน สีหน้าและแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง 

ครูอุ้ม ขนิษฐา อินทะเส

“พอเริ่มเห็นมีการสร้างห้องเรียนเขาก็ถามว่า พวกหนูจะได้เรียนจริงๆ เหรอคะ จะได้เข้ามาจับเครื่องเหรอคะ ครูก็บอกว่าได้เรียนจริงๆ นี่เป็นห้องเรียนร้านกาแฟของเรา ระหว่างที่รอห้องเรียนก็ให้เด็กตั้งชื่อร้านประกวดกัน พวกเขาก็จะได้มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อร้าน แล้วก็ครีเอทโลโก้ด้วย แล้วก็ได้มาเป็น Siam Coffee By Sinraesiam อย่างที่เห็น”  

“ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดถึงขั้นเปิดเป็นร้านแบบนี้ แค่อยากเอาเครื่องชงกาแฟมาตั้งสักมุมใดมุมหนึ่งของโรงเรียน แล้วก็ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การชงกาแฟด้วยกัน ก็ไปดูซื้อเครื่องชงแล้วทางร้านเขาก็ใจดีมาสอนให้ด้วย บาริสต้าชุดแรกก็จะได้เทรนกับเจ้าของที่ขายเครื่องชงเลยเต็มๆ หนึ่งวัน เขาก็ได้เรียนตั้งแต่ขั้นตอนการตีฟอง การเข้าเครื่องและก็เรียนทฤษฎีทั้งหมด คุณครูเองก็เรียนด้วย” 

สำหรับไฮไลท์ในวันนั้นคือการเรียนทำลาเต้อาร์ตรูปหัวใจ ซึ่งเป็นลายพื้นฐานในการเริ่มฝึกทำ เด็กต่างทุ่มเทและพยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด  

“ขั้นตอนการฝึกสตีมนมต้องใช้ความอดทนมาก กว่าจะเทนมให้เป็นลายได้ วิทยากรที่มาเทรนให้ก็เทรนกันตั้งแต่บ่ายสองจนทุ่มนึง เด็กๆ เขาพยายามฝึกให้ได้สักคนเผื่อที่เขาจะได้เอาไปสอนเพื่อนต่อ เราชื่นชมในความอดทนของเขา สรุปวันนั้นก็หมดนมไป 5 ลิตรได้ แต่ผลออกมามันก็คุ้มค่า เขาก็สามารถเทออกมาเป็นรูปหัวใจจนได้ เราก็ให้เขาเทหัวใจมาให้ทุกๆ เช้าเป็นการฝึก ก็เทกับช็อกโกแลตบ้าง ชาบ้าง” 

เมื่อถามว่าอะไรทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ขนาดนี้? ครูอุ้มตอบทันทีด้วยความภาคภูมิใจว่า เพราะทำให้เด็กๆ มีความรู้สึกถึงการได้เรียนรู้สิ่งที่แปลกใหม่ เรียนรู้จากนอกตำรา และการได้เป็นส่วนหนึ่งของร้านกาแฟไม่ว่าจะทำหน้าที่ไหนเขาก็จะรู้สึกภูมิที่ได้ร่วมมือกับเพื่อนทำงานนี้จนสำเร็จ 

Active Learning เรียนรู้จากการลงมือทำ

หลังจากเรียนทฤษฏีและฝึกปรือกันมาพอสมควรแล้ว เมื่อถึงคราวต้องลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง ครูอุ้มจัดกลุ่มให้เด็กๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาประจำที่ร้านกาแฟ โดยเด็กแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่กันไป นอกจากบาริสต้า ก็มีงานรับออร์เดอร์ เสิร์ฟ เก็บล้างทำความสะอาด ไปจนถึงการทำบัญชี โดยลูกค้าประจำเมนูกาแฟจะเป็นคุณครู ส่วนเด็กๆ ก็เป็นพวกเมนูชาและโกโก้

“เวลาเด็กๆ เขาขายกาแฟครูก็จะคอยดูอยู่ห่างๆ จะไม่เข้ามาวุ่นวาย เพราะว่าถ้าเข้ามาเขาจะไม่เกิดการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เขาก็จะ…ครูขาทำยังไงคะ เราก็จะเห็นตลอดว่าแต่ละวันเขาเจอปัญหาอะไรบ้าง 

อย่างวันแรกเด็กมาซื้อกันยุ่งเหยิงไปหมด หลังจากที่ขายเสร็จเราก็คุยกับเขาว่า น้องมายืนออเต็มหน้าร้านกาแฟมองมาแล้วมันดูวุ่นวายมากเลยนะ แล้วเวลาทอนเงินหนูจะจำได้ไหมลูกว่าคนนี้เขาสั่งหรือยัง สะท้อนให้เห็นปัญหา เพราะว่าเราเป็นคนนอกมองเข้ามา เด็กก็ถามแล้วหนูต้องทำยังไง เราก็ให้เขาลองบริหารจัดการกันเองเลย วันรุ่งขึ้นก็มีส่งตัวแทนออกมาคอยจัดระเบียบหน้าร้าน ให้เข้าแถวต่อคิว เขาก็จะแอบมาถามเราว่ามันดีขึ้นไหมคะ 

“หรือบางทีเด็กทำแก้วแตก ครูก็จะบอกว่าแตกก็ซื้อใหม่ ทำงานก็ต้องมีแตกบ้าง แต่หนูก็ควรระวัง แล้วมันแตกเพราะอะไร แตกได้ยังไง เด็กเขาก็บอกว่ามันซ้อนกันพอดึงมันก็เลยแตก ครูก็บอกกลับไปว่าทีหลังก็จะได้ไม่ต้องซ้อนกันจะได้ไม่แตก เขาก็เหมือนผ่อนคลาย เพราะพอแก้วแตกเขาก็หน้าเสียแล้ว ถ้าเรายิ่งไปดุเขาก็จะยิ่งกลัวและไม่กล้า แล้วก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่พลาด” 

ด้วยประสบการณ์ในการเป็นครูมา 15 ปี ทำให้ครูอุ้มเห็นความแตกต่างระหว่างการสอนแบบเดิมๆ ที่มีครูยืนสอนอยู่หน้าชั้นกับการเรียนแบบ Active Learning หรือการเรียนรู้ที่เด็กๆ ได้ลงมือทำว่าให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน จึงพยายามออกแบบการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมฝึกทักษะอาชีพนี้ 

“การเรียนแบบท่องจำ เด็กไม่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ เพราะว่าความรู้มันถูกตีกรอบมาแล้ว แต่ Active Learning ณ ปัจจุบันที่เราใช้การสอนแบบนี้เด็กเขาต่อยอดเองได้ 

อย่างเช่นเรื่องการเทลายกาแฟ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เทได้แต่หัวใจอย่างเดียวแหละ แต่จะเห็นว่าเด็กเขารู้สึกว่าเราเทอันนี้ได้แล้วทำไมเราไม่ลองเปลี่ยน หัดเทลายอื่นบ้าง ครูคิดว่าการเรียนรู้โดยให้เด็กลงมือทำหรือ Active Learning มันสามารถทำให้เด็กเกิดองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง มันคงทนถาวร แล้วก็เอาไปประยุกต์ใช้ได้จริง” 

ที่สำคัญ ครูอุ้มมองว่าทักษะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเด็ก ไม่ว่าจะนำไปประกอบอาชีพในอนาคตหรือไม่ก็ตาม 

“อย่างหลักสูตรกล้วยฉาบ เด็กๆ ก็จะรู้การใช้อุปกรณ์ครัว การจุดเตาแก๊ส การจุดเตาถ่าน การใช้เครื่องอบกล้วย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ถ้าเราไม่ได้ฝึกเด็ก ถ้าต้องช่วยงานผู้ใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่เด็กที่นี่งานครัวจะเก่ง สำหรับบริบทที่นี่คือเขาต้องช่วยผู้ปกครองหารายได้ การมีทักษะอาชีพ นอกจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น สื่อสารได้ ตามที่หลักสูตรระบุเราก็ไม่ได้ทิ้งทักษะวิชาการเหล่านั้น แต่หลักสูตรอาชีพเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้เด็ก คือได้ความรู้และก็ได้ทักษะพวกนี้ไปด้วย” 

“ทุกหลักสูตร ทุกกิจกรรมการเรียนรู้ คือเราอยากจะฝึกให้เด็กเขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะครูไม่สามารถไปคอยบอกได้ตลอด เขาก็ต้องลองทำเอง 

นอกจากนี้ยังได้ฝึกใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหาลายลาเต้อาร์ตใหม่ๆ ซึ่งเด็กๆ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ อย่างเด็กคนหนึ่งเขาเปิดยูทูบหัดเทลาเต้อาร์ตรูปทิวลิป เพราะเขาสนใจและรักที่จะทำ หรือบางคนเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง”

เชื่อมโยงการเรียนรู้นอกห้องเรียนเข้ากับหลักสูตรพื้นฐาน

เนื่องจากครูอุ้มเป็นครูสอนภาษาอังกฤษระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในหลักสูตรทักษะอาชีพ ‘บาริสต้าน้อย’ จึงพยายามเชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาในวิชาภาษาอังกฤษด้วย เช่น คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับกาแฟ หรือบทสนทนาในร้านกาแฟ 

“บางทีก็ให้เขาเขียนสูตรกาแฟเป็นภาษาอังกฤษบ้าง รุ่นนี้เขาเรียนออนไลน์เยอะ เขาเรียนเรื่อง Food and drink มาแล้ว เมื่ออยู่ในร้านกาแฟ เขาก็สามารถที่จะครีเอทประโยคภาษาอังกฤษได้อยู่แล้ว หรืออย่างครูให้โจทย์ไป How to make Latte. เขาก็จะเขียนเป็นขั้นตอนมา ซึ่งอันนี้เราก็แอบภูมิใจว่าเขาเอาสิ่งที่เขาทำมาใช้กับการเรียนของเรา” 

นอกจากนี้ในรายวิชาอื่นๆ ครูประจำวิชาก็แวะเวียนมาใช้สถานการณ์จริงจุดนี้เป็นเชื่อมโยงกับเนื้อหาบางส่วนของวิชานั้นๆ ด้วย  

“อย่างเช่นครูคณิตฯเขาให้มาดู ราคาสูตรเย็น สูตรปั่น สูตรร้อน ทำไมมันถึงต่างกัน ต่างกันเท่าไร แล้วทำไมมันถึงต่าง พี่ๆ ในร้านก็จะบอกเพราะเขาได้เรียนรู้มาแล้วจากความรู้ความเข้าใจของเขาว่า สูตรปั่นนมมันก็ต้องเพิ่ม เฟรบเป้เพิ่มนมข้น ก็เหมือนคิดราคาต้นทุนสูงขึ้น ราคาขายก็เลยบวกไป” 

ผลลัพธ์ที่มากกว่า ‘บาริสต้าน้อย’

หลังจากเปิดร้านกาแฟมากว่า 1 ปี แม้จะต้องเว้นวรรคเพราะสถานการณ์โควิด-19 ไปบ้าง แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลลัพธ์ของการเรียนรู้อาชีพบาริสต้า เรียนรู้ธุรกิจกาแฟ ที่ได้มากกว่าแค่การชงกาแฟเป็น ทำลาเต้อาร์ตได้ นั่นคือ เด็กๆ เห็นคุณค่าในตัวเอง เกิดความภาคภูมิใจที่สามารถทำสิ่งๆ หนึ่งได้สำเร็จ และยังได้ทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหา การวางแผน และเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง สามารถต่อยอดความรู้ที่มีได้ โดยที่ครูมีหน้าที่แนะนำและคอยเป็นโค้ชให้อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่เน้นสั่งการแต่ค่อยๆ กะเทาะเปลือกนอกให้เด็กกล้าลงมือทำ และเรียนรู้การแก้ปัญหา

“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ เช่น การฟัง มีทักษะการสื่อสารมากขึ้น มีการคิดวิเคราะห์ แล้วเรื่องการจัดการเงิน เขาจะมีความซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบสูงมาก 

อีกทักษะที่เด็กๆ ทำได้ดีคือการแก้ปัญหา บางทีลูกค้ามาเยอะ จะทำยังไงถึงจะขายได้ทัน เงินก็อยากได้เวลาก็จำกัด เขาก็ฝึกกันเองโดยที่ครูไม่ได้เข้าไป แต่เขาก็แก้ปัญหากันได้ และสิ่งที่ตามมาอีกอย่างคือเขามีความสุขกับการได้ทำกาแฟ แล้วเขาก็ภูมิใจในตัวเอง”  

ในมุมของเหล่าบาริสต้าน้อยพวกเขาต่างสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งที่นอกเหนือไปจากตำราเรียน มันแปลกใหม่สำหรับพวกเขา บวกกับความชอบเป็นทุนเดิม ทำให้การเรียนรู้ครั้งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจและเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หาได้ยาก 

“หนูชอบกาแฟมาตั้งแต่ป.4 เพราะว่าพ่อแม่ให้ทำกาแฟให้กิน แล้วบอกว่าอร่อย หนูก็เลยมีความสุขในการทำกาแฟ แล้วก็ชอบกาแฟด้วยเพราะกลิ่นหอม หนูฝึกมาได้เกือบๆ หนึ่งปี ก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง การชง การสตีมนม ได้ทักษะการขาย แล้วเราก็ได้ทักษะอาชีพ พอเวลาเราโตไปเราไม่มีงานทำหรือตกงาน ก็สามารถนำความรู้นี้ไปประกอบอาชีพได้ แล้วสิ่งที่ได้อีกอย่างก็คือต้องซื่อสัตย์ด้วย” มลฤดี ทองลาย หนึ่งในบาริสต้าน้อยแห่ง Siam Coffee By Sinraesiam เล่าถึงประสบกาณ์ที่ได้รับ

 “ครั้งแรกที่ได้เรียนเรารู้สึกกลัว กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ แต่ทำไปทำมามันก็สนุกดี ตอนแรกๆ ก็คิดว่ามันยาก แต่พอได้ฝึกทำแล้วหลังๆ พอทำเป็นก็คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายแล้วค่ะ ครูก็คอยให้กำลังใจ ครูบอกว่าไม่ต้องกลัวทำให้เต็มที่ ไม่สวยก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็เพิ่งฝึกทำ แล้วพอเวลาเราทำสวยครูก็จะชมว่าสวยอะไรแบบนี้ ก็เลยทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมา ตอนนี้ก็มีเอาน้องป.5 มาฝึกด้วย ก็สอนทำกาแฟก่อน เพราะกาแฟยากกว่าชากับโกโก้ ทำเป็นกาแฟร้อนก่อน แล้วก็ตามด้วยการสตีมนม”  

ขณะที่ สุภานิดา ศรีสยาม อีกหนึ่งบาริสต้าชั้น ป.6 บอกว่านี่คือหนึ่งในอาชีพที่สนใจ เพราะเธออยากเปิดร้านกาแฟของตัวเอง “จากที่ได้เรียนบางอย่างก็ยากบางอย่างก็ง่าย เช่น การสตีมนมหรือว่าเทลาย อันนี้ยากค่ะ แต่สนุกดี ถึงจะยากแต่พอฝึกฝนไปแล้วมันจะเริ่มง่าย ก็เลยอยากจะทำ พอทำได้ก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองทำได้ ตอนนี้กำลังศึกษาลายทิวลิปอยู่ค่ะ ดูในยูทูบเอาแล้วก็มาลองทำตาม แล้วพอเรามาทำตรงนี้ทำให้เรามีระเบียบวินัยขึ้น เริ่มตรงเวลา แล้วก็ช่วยเรื่องการคิดเลข ได้คำศัพท์เกี่ยวกับสายเมล็ดพันธุ์กาแฟ ชื่อเมนูกาแฟด้วย”   

สำหรับอีกหนึ่งสาวน้อยบาริสต้า ณัฏฐิกา มงคล แม้จะมีความฝันว่าอยากเรียนเภสัช แต่ก็เห็นว่าการเรียนรู้การทำกาแฟคือประสบการณ์ที่สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต    

“หนูชอบไปคาเฟ่ที่เขาทำกาแฟแบบนี้ค่ะ พอมาเรียนก็ได้เรียนรู้หลายอย่างได้เรียนรู้การทำกาแฟ ชา เครื่องดื่มต่างๆ แล้วหนูก็ชอบการสตีมนมค่ะ พอเทลายหัวใจได้ก็รู้สึกภูมิใจที่ทำได้ อนาคตจริงๆ หนูอยากเป็นเภสัช แต่ตรงนี้เราก็ทำเป็นอาชีพเสริมได้” 

จากวิชาบาริสต้าน้อย สู่ร้านกาแฟสยามคอฟฟี่ นี่คือพื้นที่การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง โดยมีคุณครูเป็นพี่เลี้ยงคอยประคับประคอง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนทักษะอาชีพและทักษะชีวิต ยังเติมเต็มความสุขความภูมิใจให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเองอีกด้วย

Tags:

การเรียนรู้บาริสต้าActive Learningห้องเรียนทักษะอาชีพโรงเรียนสินแร่สยาม

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Active Learning กับ การสอนสังคมฯ ที่ (ไม่) ได้รับอนุญาตให้ศึกษา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    จาก ‘ขยะ’ สู่การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง : โครงงานบูรณาการกับการสร้าง Co – Agent โรงเรียนบ้านกู้กู ภูเก็ต

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

‘ล่องจุ๊น’ ลูกคนกลางผู้เอาชนะอคติและบาดแผลในใจจากคำพูดร้ายๆ ของพ่อ
Book
6 May 2022

‘ล่องจุ๊น’ ลูกคนกลางผู้เอาชนะอคติและบาดแผลในใจจากคำพูดร้ายๆ ของพ่อ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • ขอหมอนใบนั้นเมื่อเธอฝันยามหนุน เขียนโดย ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ปี 2554  นวนิยายเล่มนี้ได้รับรางวัลชมเชย จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปี 2535 และได้รับเลือกเป็น 1 ใน 500 เล่ม หนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน โดยได้รับการชื่นชมในฐานะนวนิยายที่เป็นแรงใจให้ทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ 
  • หนังสือถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครเอก ‘ล่องจุ๊น’ ลูกคนกลางผู้เติบโตมาท่ามกลางอคติและการเลือกที่รักมักที่ชังของผู้เป็นพ่อ แต่เขากลับไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาและความอยุติธรรมทั้งหลายในชีวิต และใช้มันเป็นแรงผลักดันไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น


เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2557 อ.ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์  ได้ส่งหนังสือเรื่อง ‘ขอหมอนใบนั้น…ที่เธอฝันยามหนุน’ มาให้ผมทางไปรษณีย์

แม้จะไม่เคยอ่านมาก่อน แต่ด้วยชื่อเสียงเรียงนามที่ไม่ธรรมดา ก็พาให้ผมทราบคร่าวๆ ว่านี่คือนวนิยายน้ำดีที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ลูกคนกลาง’ ผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาและความอยุติธรรมทั้งหลายในชีวิต

ลูกคนกลางและลางร้าย

“พ่อมีพี่ถมเมื่อเริ่มงานรับจ้างถมที่ มีผมเมื่อพ่อพลาดถลำไปกับงานชิ้นนั้นจนหมดเนื้อหมดตัว และมีนายกี้เมื่อโชคดีกลับมาตั้งตัวใหม่ได้อีกครั้ง”

‘ล่องจุ๊น’  เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า ‘หมดเนื้อหมดตัว’ พ่อตั้งชื่อนี้ให้กับลูกคนกลางอย่างเขา เพราะเขาดันเกิดมาในช่วงที่พ่อหมดตัวไปกับงานถมที่และนับแต่นั้นเวลาพ่อประสบปัญหาต่างๆ ในชีวิต แทนที่จะยอมรับและแก้ไขมัน พ่อกลับโยนความผิดว่าเป็นเพราะล่องจุ๊น จนล่องจุ๊นเข้าใจว่าตัวเองเป็นตัวนำโชค(ร้าย)ให้กับคนรอบข้าง

นับแต่นั้น พระเอกของเราก็มีชีวิตค่อนข้างอาภัพ และกลายเป็นลูกนอกคอกที่พ่อไม่รัก ไล่ตั้งแต่การเป็นเด็กที่พ่อไม่เคยอุ้ม เวลามีของกินอร่อยๆ หรือของเล่นดีๆ พ่อก็จะมอบมันแก่พี่ชายและน้องชายของเขา โดยปล่อยให้เขามองอยู่ห่างๆ ด้วยความน้อยใจ

เมื่อลูกคนกลางถูกเลี้ยงด้วยความรู้สึกเลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้ล่องจุ๊นไปจับกลุ่มอยู่กับแก๊งนักเรียนเกเร ที่เป็นแหล่งรวมเด็กมีปัญหาเข้าไว้ด้วยกัน

แต่ท่ามกลางความมืดมิดในชีวิต ที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวซึ่งเหนี่ยวรั้งให้เขายังคงอยู่ในลู่ในทางก็คือแม่…แม่ที่เห็นเขาเป็นลูกคนหนึ่งจริงๆ

ล่องจุ๊นบอกว่าตอนที่พ่อด่าว่าหรือลงโทษเขา แม่จะเป็นคนเดียวที่มาปลอบใจ หรือเวลาพ่อซื้อของให้ ‘ถม’ กับ ‘กี้’ แม่จะแอบย่องมายัดเงินใส่มือของเขาด้วยความรัก

แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อของเขากลับทรยศแม่ด้วยการมีเมียน้อย และจะพาหล่อนเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกัน ทำให้แม่ตัดสินใจหอบข้าวหอบผ่อนพร้อมชวนเขาย้ายออกจากนรกขุมนี้ด้วยกัน

 สองแม่ลูกจึงต้องระหกระเหินจากเมืองกรุงไปยังนครปฐม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันอีกครั้ง

บ้านที่แท้จริง

‘น้าจุรี’ หรือที่ล่องจุ๊นเรียกว่า ‘อาอี้’ เป็นคนแรกและคนเดียวที่แม่นึกถึง เธอทำอาชีพขายหมูอยู่ในตลาดนัดกับสามีชาวจีน ทั้งยังมีเล้าหมูเล็กๆ ในซอยเยื้องๆ กับห้องแถวที่พัก

“คนจีนเขาว่าถ้าญาติพี่น้องไม่ช่วยกัน แล้วจะให้หมาที่ไหนมาช่วย” สามีของอาอี้กล่าวพร้อมต้อนรับพวกเขาอย่างดี

ถึงสภาพของบ้านหลังใหม่จะทรุดโทรม ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นหืนของเนื้อหมูและขี้หมูอยู่ในทุกอณูของอากาศ หากในใจของล่องจุ๊นกลับรู้สึก ‘อบอุ่น – ปลอดภัย’ กว่าบ้านหลังใหญ่ในกรุงเทพเป็นไหนๆ

ที่นครปฐม นอกจากความรักจากแม่ ล่องจุ๊นยังได้รับความรักความเมตตาจากครอบครัวของอาอี้เสมอ ทั้งการฝากเข้าโรงเรียน การเข้ามานั่งคุยเล่นให้กำลังใจ รวมถึงการปลอบใจเขา แม้ในยามที่อาอี้เองก็อ่อนแอเช่นกัน

วันนั้นเป็นวันที่ล่องจุ๊นตื่นแต่เช้าเพื่อให้อาหารหมูในคอกตามปกติ ปรากฏว่าหมูทุกตัวกลับนอนนิ่งเป็นผัก เขาจึงรีบวิ่งไปบอกสามีของอาอี้ด้วยความตกใจ

สองสามีภรรยาแทบจะล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่าหมูทุกตัวที่กำลังอ้วนพีได้ที่ถูกตะขาบกัดจนตาย ส่วนล่องจุ๊นก็ยืนร้องไห้จนตัวสั่น พลางนึกโทษตัวเองว่าเป็นตัวนำหายนะอย่างที่พ่อของเขาเคยกล่าวไว้

ดึกดื่นคืนนั้น อาอี้เดินมาคุยกับเขา พร้อมปลอบใจเด็กชายที่เอาแต่โทษตัวเอง เธอบอกว่า “พระจะสึก ลูกจะออก ขี้จะแตก คนจะตาย มันห้ามกันไม่ได้ ถ้าหมูตายมันก็ต้องตาย ไม่ใช่ความผิดของจุ๊นหรือของใคร”

“แต่ผมเป็นคนทำให้อาเตี๋ยกับอาอี้เดือดร้อน เพราะผมชื่อไอ้ล่องจุ๊น”

ถึงบรรทัดนี้ ผมในฐานะลูกคนกลางเห็นใจล่องจุ๊นมาก เพราะผมเชื่อว่าคำพูดของพ่อแม่ โดยเฉพาะคำพูดร้ายๆ ที่กล่าวกับเราในวัยเด็กมักฝังแน่นอยู่ในความคิดของเราเสมอ 

แทนที่จะปล่อยผ่าน อาอี้กลับดึงล่องจุ๊นมากอดไว้ พร้อมกล่าวกับเขาด้วยความรักว่าชื่อนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมติ ต่อให้ชื่อไอ้หมาแต่ถ้าเป็นคนดีมีมานะ ขยัน และไม่คดโกงใคร คนเขาก็จะนับถือยิ่งกว่าคนที่ชื่อเทวดาแต่ทำตัวระยะตำบอน

ล่องจุ๊นก้มลงกราบอาอี้ของเขาด้วยความกตัญญู เพราะถึงพ่อจะจงเกลียดจงชังเขา แต่เขายังมีแม่ที่รักและเมตตาเขาถึงสองคน

การเปลี่ยนแปลง

หลังผ่านเหตุการณ์หมูทั้งคอกตายไป แม่ก็เริ่มมีรายได้จากการขายข้าวแกงจนย้ายออกมาอยู่กับเขาสองคน แต่แม่ยังคงสอนให้ล่องจุ๊นปลีกเวลาหลังเลิกเรียนไปช่วยงานอาอี้เท่าที่พอจะช่วยได้ 

กระทั่งวันที่ครอบครัวของอาอี้ตายยกบ้านจากการถูกปล้น แม่ของเขาจึงเหมือนคนเสียศูนย์เสียหลักไปพักใหญ่ ประกอบกับช่วงนั้นล่องจุ๊นเริ่มเป็นวัยรุ่นที่ติดเพื่อนติดสาว ทำให้เขาไม่ได้อยู่กับแม่บ่อยๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่ของเขาบอกว่าจะพาสามีใหม่มาอยู่ด้วย (แม้ล่องจุ๊นจะทัดทานแค่ไหนก็ตาม)

แต่พ่อเลี้ยงกลับเป็นคนเสเพล ไม่ทำการทำงาน ทั้งยังผลาญเงินของแม่ไปกับการพนันขันต่อ 

พอพนันแล้วเสียบ่อยเข้า สามีใหม่ก็ขอเงินแม่มากขึ้นทุกวัน พอไม่ให้ก็ลงมือทำร้ายร่างกายแม่ โดยเฉพาะวันที่ล่องจุ๊นเห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง

วันนั้นสามีใหม่มาขอเงินที่แม่กันไว้สำหรับจ่ายค่าเล่าเรียนของล่องจุ๊น แต่แม่ยืนยันว่ายังไงก็ไม่ให้ แม้ตัวเองจะถูกทุบตีจนใบหน้าฟกช้ำก็ตาม

เมื่อล่องจุ๊นเห็นแม่ถูกทุบตี เขาจึงเลือดขึ้นหน้าและหยิบมีดไปจ้วงเข้าที่ท้องของพ่อเลี้ยง ก่อนหนีขึ้นรถขนผักที่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพด้วยความหวาดกลัว

เผชิญหน้ากับพ่อ

จากนั้นล่องจุ๊นต้องเผชิญความโหดร้ายมากมายด้วยตัวคนเดียว โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาใส่ร้ายว่าพรากผู้เยาว์ (ที่เพื่อนของเขาเป็นผู้ก่อ) จนนำไปสู่การติดคุก ที่สุดแล้วเขาจึงต้องกลับมาพึ่งพาอาศัยพ่ออีกครั้งด้วยความจำใจ 

แม้จะให้ลูกคนกลางกลับมาอาศัยอยู่ด้วย แต่ผู้เป็นพ่อก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเหน็บแนมต่อว่าเขาอยู่ตลอดเวลา

“หลายครั้งหลายหนที่ผมถามตัวเองว่าทำไมพ่อถึงทำเหมือนผมเป็นไอ้ตัวอะไรสักตัวที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อ ทำไมพ่อถึงเหยียบย่ำผมให้จมดินอยู่ตลอดเวลา และทำไมพ่อถึงไม่เคยคิดว่าพ่อเป็นคนที่ทำร้ายจิตใจและทำลายความเชื่อมั่น ทำลายอนาคตของผมมาตั้งแต่ผมเกิด โดยไม่เคยหยิบยื่นเศษเสี้ยวของความเมตตาให้แม้แต่น้อยนิด”

หลังย้ายมาอยู่บ้านของพ่อได้พักใหญ่ พ่อก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ เมื่อฟื้นคืนสติ พ่อก็สั่งให้ล่องจุ๊น ‘ลาออกจากโรงเรียน’ เพื่อมาช่วยงานที่บริษัท ด้วยเหตุผลว่าพี่ชายกับน้องชายของเขาเรียนหนังสือเก่งและดูดีมีอนาคตกว่า

ล่องจุ๊นจึงจำใจมาเฝ้างานก่อสร้างที่พระประแดงแทนพ่อ ระหว่างนั้นเองเขาได้พบกับ ‘แตงกวา’ นางเอกของเรื่องที่เป็นเสมือนที่พึ่งพิงและคอยให้กำลังใจเขาเสมอ

“ไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง และไม่มีใครจะพลาดหวังทุกครั้งไป” 

“ลูกท้อกินได้ แต่ความท้อใจกินไม่ดี” 

สองประโยคนี้ คือคำพูดที่แตงกวามักให้กำลังใจล่องจุ๊นเสมอ เพราะล่องจุ๊นยังติดภาพจำว่าเขาคือตัวซวย ดังนั้นการที่พ่อรถคว่ำและเขาต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยบริหารงานก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

กว่าพ่อจะยอมรับในตัวล่องจุ๊นก็ตอนที่เขาบริหารงานของพ่อให้ดำเนินต่อไปด้วยดี แถมยังช่วยน้องชายของเขาจากเหตุการณ์ถูกจิ๋กโก๋รุมทำร้าย รวมไปถึงการเป็นคนกลางในการนำพาให้ทุกคนเดินทางไปเยี่ยมแม่ที่นครปฐมอยู่บ่อยครั้ง

……….

ถึงแม้พ่อจะสร้างบาดแผลในใจของล่องจุ๊นด้วยคำพูดและการกระทำอยู่บ่อยครั้ง แต่ล่องจุ๊นกลับไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตตกต่ำไปตามคำดูถูกเหล่านั้น กลับกันเขาได้นำสิ่งนี้มาเป็นแรงผลักดันสู่ชีวิตที่ดีขึ้น และผมขอเป็นกำลังใจให้ลูกคนกลางทุกคนว่า “ไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง และไม่มีใครจะพลาดหวังทุกครั้งไป”

Tags:

ลูกคนกลางครอบครัวขอหมอนใบนั้นเมื่อเธอฝันยามหนุนล่องจุ๊น

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Aftersun: แม้ภายในจะรวดร้าวแต่พ่อยังอยากเป็นความทรงจำที่ดีของลูก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ในตัวเด็ก ปลดล็อกปัจจัยบั่นทอนที่บ้านและโรงเรียน
Character building
6 May 2022

ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ในตัวเด็ก ปลดล็อกปัจจัยบั่นทอนที่บ้านและโรงเรียน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บ้านและโรงเรียนเป็นองค์ประกอบสองส่วนแรกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด จึงสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กได้
  • ข้อสรุปที่นักการศึกษาทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันคือ ต้องพัฒนาการศึกษาให้หลุดจากกับดักความสำเร็จด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว จนปิดกั้นการพัฒนาศักยภาพด้านอื่นๆ ที่เป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้ของเด็ก
  • ความคิดสร้างสรรค์สามารถทำงานได้ดีในสถานการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ได้อย่างอิสระ ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการลงมือทำ

เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 เซอร์ เคน โรบินสัน (Sir Ken Robinson) นักเขียน นักพูด และที่ปรึกษาระดับนานาชาติด้านการศึกษา ได้หยิบยกเรื่องช่องว่างของระบบการศึกษา ความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาศักยภาพด้านสติปัญญาหลากหลายด้าน มากล่าวถึงบนเวทีเท็ดทอร์ก (TED Talk) จนเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง คลิปนี้กลายเป็นคลิปที่มีผู้ชมมากที่สุดตลอดกาล ทั้งยังถูกอ้างอิงและกล่าวถึงมากระทั่งปัจจุบัน

‘โรงเรียนฆ่าความคิดสร้างสรรค์’ โรบินสัน ย้ำชัดเมื่อ16 ปีก่อน

เขายืนกรานว่า ระบบการเรียนในโรงเรียนต้องได้รับการปฏิรูปแนวคิดเสียใหม่ ด้วยการทุ่มเทและใส่ความพยายามกับการส่งเสริมศักยภาพผู้เรียนด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างเท่าเทียมกับการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็น 

เพราะมนุษย์ไม่ได้เติบโตไปสู่ความคิดสร้างสรรค์แต่เติบโตขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์

หมายความว่าทุกคนล้วนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัวเอง และสิ่งนี้มีความสำคัญมากพอๆ กับการรู้หนังสือ 

โรบินสัน กล่าวว่า ระบบการศึกษาต้องทบทวนวิธีคิดเรื่องความฉลาดเสียใหม่ ความฉลาดมีความหลากหลายไม่ใช่แค่การอ่านออกเขียนได้ สังเกตได้ว่าไอเดียดีๆ ที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ มักผุดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสภาพแวดล้อม และขึ้นอยู่กับมุมมองรวมถึงประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ การสร้างประสบการณ์จากการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการคิดแล้วได้ลงมือทำ แก่นความคิดที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ เด็กทุกคนมีความสามารถและต้องไม่กลัวความผิดพลาด เมื่อเด็กทำผิดพลาดจึงไม่ควรถูกตราหน้า แต่ควรมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเรียนรู้

“ถ้าคุณไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดได้ คุณก็ไม่มีวันค้นพบสิ่งที่ต้องการ”

ไม่ต้องกลัวลูกเรียนไม่ทัน หันมาทำเรื่องสนุกๆ กันดีกว่า

ย้อนกลับไปเกือบ 30 ปีก่อน (ปี 1993) ได้มีการศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลในประเทศไทย งานวิจัยหัวข้อ ‘ผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบต่างๆ และหลักสูตรการเรียนที่ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลในประเทศไทย’ โดย ปรียาพร ภาสะวณิช ทำการศึกษานักเรียนระดับชั้นอนุบาลทั้งหมด 317 คน จากโรงเรียนอนุบาล 14 โรงเรียน ซึ่งแบ่งรูปแบบหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. หลักสูตรเชิงวิชาการ (academic oriented curriculum)
  2. หลักสูตรเชิงกิจกรรมเตรียมความพร้อม (readiness activities oriented curriculum)

ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนในกลุ่มหลักสูตรเชิงกิจกรรมเตรียมความพร้อมมีคะแนนมาตรฐานด้านความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนในกลุ่มหลักสูตรเชิงวิชาการอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเรื่องความคล่องแคล่ว (fluency) ความคิดริเริ่ม (originality) และการคิดอย่างรอบคอบ (elaboration) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยอื่นๆ ด้านการศึกษาก่อนหน้าที่พบว่า หลักสูตรการเรียนการสอนระดับอนุบาลที่เน้นความสำเร็จทางวิชาการ (วัดประเมินผลด้วยคะแนนจากการทำข้อสอบและการท่องจำ) ไม่ได้ช่วยให้เด็กเก่งขึ้น เมื่อเทียบกับคะแนนผลลัพธ์การเรียนรู้จากนักเรียนในหลักสูตรการสอนแบบอื่นๆ อีกทั้งยังทำให้เด็กมีแรงจูงใจในการเรียนน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อเด็กได้คะแนนวัดประเมินผลต่ำ

นอกจากนี้ยัง พบว่า สภาพแวดล้อมหรือรูปแบบการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเป็นอิสระและไม่ถูกบังคับ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้ดีกว่าสภาพแวดล้อมหรือรูปแบบการเรียนการสอนที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด

เพราะความคิดสร้างสรรค์สามารถทำงานได้ดีในสถานการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ได้อย่างอิสระ ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการลงมือทำ

งานวิจัยได้ให้คำแนะนำกับผู้ปกครองและครูเกี่ยวกับการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

  1. ให้กำลังใจเด็กๆ ทุกครั้งเมื่อพวกแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นด้วยตัวเอง เช่น การชม หรือยินดีกับสิ่งที่พวกเขาค้นพบ
  2. เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ทดลองและสำรวจสิ่งที่พวกเขาสนใจ สนับสนุนการอ่าน การเดินทางและการสื่อสารกับผู้อื่น เพื่อสร้างการเรียนรู้และส่งเสริมประสบการณ์ที่จะช่วยพัฒนากระบวนการคิดของพวกเขา
  3. ไม่เบื่อหน่ายกับคำถามของเด็กๆ รวมถึงความคิดหรือการลงมือแก้ปัญหาที่อาจดูแปลกประหลาดในสายตาของผู้ใหญ่ การวิจารณ์หรือเพิกเฉยต่อความสงสัยใคร่รู้และกิจกรรมที่เด็กๆ ลงมือทำเป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ พ่อแม่และครูควรแสดงออกให้เด็กเห็นว่าความคิดของพวกเขามีค่า
  4. สื่อสารและตอบคำถามของเด็กๆ อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ด้วยความเข้าใจและตื่นเต้น
  5. พร้อมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กๆ ทำผิดพลาดหรือล้มเหลวในงานที่ยากเกินไป และทำให้พวกเขารู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องเก่งไปเสียทุกอย่าง
  6. พัฒนาหลักสูตรที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ระดมความคิดร่วมกัน บูรณาการเรียนรู้เพื่อให้พวกเขาได้คิดและสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ด้วยตัวเอง 

บทบาทของพ่อแม่ แค่ไหนถึงจะพอ

สิ่งที่น่าสนใจ คือ งานวิจัยที่ทำการศึกษามาเกือบ 30 ปีชิ้นนี้ พบว่า วิธีการเลี้ยงดูลูกไม่ส่งผลต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กในวัยอนุบาล แต่โลกในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและวิทยาการได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์แทบทุกมิติ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘บ้าน’ หรือ ‘การเลี้ยงลูก’ มีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชนในศตวรรษที่ 21 

ความสำเร็จของลูกเปรียบเสมือนความสำเร็จของพ่อแม่ด้วย…จริงไหม?

พ่อแม่ยอมรับไหมว่า ยิ่งพ่อแม่เลี้ยงดูลูกได้ดี พ่อแม่ยิ่งมีความสุขและภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น

ปัญหาอยู่ที่นิยามคำว่า ‘ดี’ ของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน และคำว่า ‘ดี’ ที่ต่างกันนี้ ส่งผลต่อวิธีการเลี้ยงดูลูก การเลี้ยงลูกได้ดีของครอบครัวหนึ่งอาจหมายถึง การเคร่งครัดเรื่องการเรียนและความสำเร็จทางการศึกษา เช่น ลูกมีผลการเรียนที่ดี และสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ขณะที่อีกครอบครัวหนึ่งอาจให้คุณค่ากับเรื่องอื่นๆ

‘Helicopter Parenting’ เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกพ่อแม่ ผู้ปกครองที่เอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด (มากเกินไป) ทำให้ทุกอย่าง (concierge) ไม่ปล่อยให้ลูกได้คิด ลองผิดลองถูก หรือเรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง ช่วยปกป้องจนเกินพอดี (over-protective) และชอบสั่ง (over-directive) จนกลายเป็นการควบคุมหรือบงการชีวิตลูกอยู่ตลอดเวลา การเลี้ยงลูกแบบนี้ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี จูเลีย ไลท์คอธ-เฮมส์ (Julie Lythcott-Haims) อดีตคณบดีนักศึกษาใหม่ (a former dean of freshen) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เล่าจากประสบการณ์ว่า ในแต่ละปีมีนักศึกษาใหม่ที่เก่ง ประสบความสำเร็จทางการเรียน และทำผลงานที่แทบหาที่ติไม่ได้บนหน้ากระดาษเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย แต่หลายคนดูเหมือนจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย ขณะเดียวกันพ่อแม่เข้ามาบงการชีวิตของลูกมากขึ้นเรื่อยๆ คุยกับลูกวันละหลายครั้ง และพยายามแทรกแซงจัดการเรื่องส่วนตัวของลูกทุกครั้งที่เกิดปัญหา

เพราะต้องการปกป้องพวกเขาจากความผิดหวัง ความล้มเหลว และความยากลำบาก

มีรายงานการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาเด็กและครอบครัว (Journal of Child and Family Studies) ชี้ว่าเด็กที่ถูกพ่อแม่ดูแลแบบไม่ปล่อยในลักษณะเดียวกับ ‘Helicopter Parenting’ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านความคิดและอารมณ์ (สุขภาพจิต) ของเด็ก ทำให้เด็กมีความเสี่ยงและความกลัวต่อความไม่สมบูรณ์แบบและรู้สึกว่าตนขาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตอยู่เสมอ จนอาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมลักษณะนี้ไม่เป็นมิตรต่อความคิดสร้างสรรค์ 

ด้วยเหตุนี้ งานที่เหมาะสมของพ่อแม่ คือ การเอาตัวเองออกจากการทำงานในบทบาทของพ่อแม่ที่มากจนเกินพอดี เปลี่ยนการตั้งคำถามจาก “จะช่วยลูกอย่างไร?” มาเป็น “จะทำอย่างไรให้ลูกพึ่งพาและดูแลตัวเองได้?”

ถ้าถามว่า “บ้านและโรงเรียนทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเด็กจริงหรือ?”

คงต้องตอบว่า ทั้งบ้านและโรงเรียนเป็นองค์ประกอบสองส่วนแรกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด จึงสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงดูและหลักสูตรการเรียนการสอนว่าเปิดโอกาสให้เด็กได้นำความรู้ออกมาใช้จริง และเรียนรู้ผ่านข้อผิดพลาดได้อย่างเป็นอิสระและมีความสุขมากแค่ไหน เด็กรู้สึกปลอดภัยและยอมรับว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ แล้วมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้หรือไม่

การปฏิรูปการศึกษาเป็นโจทย์ท้าทายที่ถูกเอ่ยถึงมาหลายทศวรรษไม่เฉพาะแค่ในประเทศไทย ทั้งนี้ ข้อสรุปที่นักการศึกษาทั่วโลกเห็นพ้องต้องกัน คือ การพัฒนาการศึกษาให้หลุดจากกับดักความสำเร็จด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว จนปิดกั้นการพัฒนาศักยภาพด้านอื่นๆ ที่เป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้ของเด็ก ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหนคงอยู่ที่ความร่วมมือของการศึกษาทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงเรียนและการทำงานในเชิงนโยบายที่ช่วยสนับสนุนกลไกการศึกษาให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันและพร้อมกันได้ โดยไม่ทิ้งและทำลายความคิดสร้างสรรค์ระหว่างทาง

อ้างอิง

https://scholarworks.umass.edu/dissertations_1/4957

https://www.youtube.com/watch?v=iG9CE55wbtY

https://www.washingtonpost.com/news/education/wp/2015/10/16/former-stanford-dean-explains-why-helicopter-parenting-is-ruining-a-generation-of-children/

Tags:


Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.4 ‘ความวิตกกังวลสูงในเด็ก’ อาจเริ่มต้นจากความกังวลของพ่อแม่

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Old enough! : ให้เขาทำเอง ได้รู้ว่าเขาทำได้ ได้มั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
Dear ParentsMovie
6 May 2022

Old enough! : ให้เขาทำเอง ได้รู้ว่าเขาทำได้ ได้มั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Old Enough! หรือ ผจญภัยวัยอนุบาล คือรายการเรียลลิตี้สัญชาติญี่ปุ่น ไปตามติดเด็กเล็กวัย 2-5 ขวบ ที่อาสาหรือถูกวานให้ช่วยครอบครัวทำธุระ
  • ภารกิจที่อาจดูธรรมดาๆ สำหรับเรา แต่มันกลับเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา และจริงๆ แล้วพวกเขาก็ ‘Old enough’ ที่จะทำสิ่งเหล่านั้นแล้ว หากผู้ใหญ่ลองเปิดใจให้เด็กๆ ได้ลองช่วย
  • การปล่อยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การทำสิ่งนั้นด้วยตัวเอง ทำให้เขาก็ได้เรียนรู้ ได้ใช้ชีวิต และยังเปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายได้เรียนรู้ที่จะปล่อยวางให้ลูกได้ทำหน้าที่ของตัวเอง

Tags:

เรียนรู้ด้วยตัวเองพ่อแม่Old Enough!ผจญภัยวัยอนุบาลเรียลลิตี้เด็กเล็ก

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.2 ‘6 วิธี เปลี่ยนวิกฤตวัยทอง 2 ขวบ (Terrible 2) ให้เป็นช่วงเวลาทองแห่งการเติบโตของพ่อแม่ลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.1 ‘วัยทอง 2 ขวบ’ (Terrible 2) มีจริงหรือ?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    ไม่ผิดหรอกหากพ่อแม่จะกอดตัวเองบ้าง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

อีกด้านของรางวัลและการลงโทษ
Learning Theory
3 May 2022

อีกด้านของรางวัลและการลงโทษ

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ‘ถ้าครูไม่ทำโทษ ไม่ให้รางวัล นักเรียนจะไม่เกิดการเรียนรู้’ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรมหลักในชั้นเรียนไทย
  • นักเรียนจึงถูกจูงใจหรือกระตุ้นด้วยเงื่อนไขอย่างการให้รางวัลและการลงโทษ โดยมีสมมติฐานว่าหากครูให้รางวัลบางอย่างกับการเรียน นักเรียนจะมีแนวโน้มเกิดการเรียนรู้
  • ชวนสำรวจถึงเบื้องหลังของรางวัลและการลงโทษที่สัมพันธ์กับแนวคิดแบบพฤติกรรมนิยม พร้อมกับเผยให้เห็นผลกระทบอีกด้านของวิธีการควบคุมที่เราอาจต้องกลับมาทบทวน

“ถ้าเธอไม่ตั้งใจเรียน ครูจะหักคะแนนเธอ”  

“ครู ถ้าหนูทำสิ่งนี้ ครูจะให้หนูกี่คะแนน” 

“ถ้าครูไม่ตี พวกเธอก็ไม่ฟังครู” 

บทสนทนาระหว่างครูกับนักเรียนที่ยังปรากฏชัดในความทรงจำของผู้เขียน ทั้งจากช่วงเวลาของการเป็นนักเรียนและประสบการณ์การเป็นครูที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรมหลักในชั้นเรียนไทยราวกับว่า ‘ถ้าครูไม่ทำโทษ ไม่ให้รางวัล นักเรียนจะไม่เกิดการเรียนรู้’ หรือวิธีการสร้างการเรียนรู้ที่ดีเป็นเรื่องของการสร้างเงื่อนไขให้รางวัลและการลงโทษ 

รางวัลมักจะหมายถึงเครื่องมือที่ใช้สร้างแรงจูงใจหรือควบคุมให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ครูคาดหวัง ในขณะที่การลงโทษก็เป็นวิธีการเพื่อกำจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้หายไป

รูปแบบของการให้รางวัลและการลงโทษมีหลากหลายแตกต่างกันไป ตั้งแต่การให้ดาว ให้เกียรติบัตร ให้คะแนน การย้ายที่นั่ง การตัดคะแนน ว่ากล่าวตักเตือน ไปจนถึงการลงโทษทางร่างกาย ฯลฯ รูปแบบของความพยายามควบคุม พฤติกรรมทั้งหมดนี้สะท้อนให้เราเห็นว่า จิตวิทยาการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (behaviorism) เป็นแนวคิดมีอิทธิพลต่อระบบชั้นเรียนของไทยอย่างเห็นได้ชัด ในข้อเขียนครั้งนี้ ผู้เขียนจึงอยากชวนสำรวจถึงเบื้องหลังของรางวัลและการลงโทษที่สัมพันธ์กับแนวคิดแบบพฤติกรรมนิยม พร้อมกับเผยให้เห็นผลกระทบอีกด้านของวิธีการควบคุมที่เราอาจต้องกลับมาทบทวน

พฤติกรรมนิยมกับรางวัลและการลงโทษ 

แนวคิดจิตวิทยาแบบพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า สิ่งเร้า (stimulus) มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นหรือจูงใจการเรียนรู้ของนักเรียน พฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออกเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า การออกแบบเงื่อนไขของสิ่งเร้าจึงเป็นกลไกสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ดังที่ Thorndike นักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ชี้ว่าพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ควบคุมและจัดการได้ผ่านการออกแบบเงื่อนไข จิตวิทยาแบบพฤติกรรมนิยมมีมุมมองต่อสิ่งเร้าในฐานะปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของนักเรียน ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์และเงื่อนไข  หรือพูดอีกแบบ เงื่อนไขของสิ่งเร้าแต่ละแบบนำมาซึ่งผลลัพธ์การตอบสนองที่ต่างกัน  ดังนั้น ตามแนวคิดแบบพฤติกรรมนิยมแล้ว เราต้องพยายามค้นหาและใช้เงื่อนไขที่เชื่อว่าสามารถควบคุมจัดการพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพซ้ำๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง สำหรับ Skinner รางวัลและการลงโทษ  เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างกระบวนการเสริมแรง (reinforcement) ทั้งบวกและลบ เพื่อใช้ในการจัดการกับพฤติกรรมของนักเรียนให้อยู่ในทิศทางที่คาดหวังหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์  

นักเรียนจึงถูกจูงใจหรือกระตุ้นด้วยการเงื่อนไขอย่างการให้รางวัลและการลงโทษ โดยมีสมมติฐานว่าหากครูให้รางวัลบางอย่างกับการเรียน นักเรียนจะมีแนวโน้มเกิดการเรียนรู้ ดังนั้น หากมองจากมุมมองนี้คะแนนถูกรับรู้ในฐานะรางวัลที่เป็นเงื่อนไขกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีส่วนร่วมกับชั้นเรียนหรือจดจ่อกับบทเรียน เช่นเดียวกับการลงโทษที่เป็นเสมือนเงื่อนไขด้านลบที่จะทำให้นักเรียนถอยห่างจากพฤติกรรมที่ครูไม่ต้องการ เช่น การลงโทษด้วยการตี เมื่อนักเรียนเสียงดังในชั้นเรียน นักเรียนจะรับรู้ว่า การลงโทษเป็นเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาส่งเสียงดัง 

ด้วยเหตุนี้แนวคิดจิตวิทยาแบบพฤติกรรมนิยมจึงกลายเป็นที่นิยมสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ในแง่ที่สามารถคาดการณ์และสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนในทันที

อีกด้านของรางวัลและการลงโทษ

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ารางวัลและการลงโทษได้สร้างผลข้างเคียงกับนักเรียนด้วยเช่นกัน  ในงานศึกษาแนวมานุษยวิทยาการศึกษา Zhang ได้ทำการศึกษาชั้นเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในจีนเกี่ยวกับตำแหน่งที่นั่งในชั้นเรียน เขาพบว่า ตำแหน่งที่นั่งถูกให้ความหมายเป็นรางวัลสำหรับสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักเรียน  โดยมีครูเป็นคนจัดวางว่าใครควรได้ตำแหน่งที่นั่งตรงไหนของชั้นเรียน แถวตรงกลาง โดยเฉพาะด้านหน้าๆ จะถูกให้ความหมายว่าเป็น ‘ที่นั่งที่ดี (good seat)’เป็นรางวัลสำหรับนักเรียนที่ตั้งใจเรียนหรือมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม ในทางตรงกันข้ามแถวทางด้านขอบซ้ายและขวาสุดคือ ‘ที่นั่งที่แย่ (bad seat)’  ซึ่งจะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการลงโทษนักเรียนที่มีพฤตกรรมที่ไม่พึงประสงค์  

Zhang ยังพบอีกว่าการจัดที่นั่งลักษณะนี้ได้กลายเป็นลำดับชั้นทางสังคมเชิงสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ผลกระทบทางจิตใจ ประทับตราการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติลงบนตัวนักเรียน 

Zhang เห็นว่านักเรียนคนหนึ่งร้องไห้จากการที่ถูกครูจัดให้นั่งในตำแหน่งที่แย่ และในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของครูที่ปฏิบัติต่อเด็กยังแปรเปลี่ยนตามตำแหน่งที่นั่งอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ครูจะสั่งห้ามไม่ให้นักเรียนในที่นั่งที่ดีไปยุ่งกับนักเรียนที่มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ สะท้อนถึงการแบ่งแยกในชั้นเรียนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการให้รางวัลและการลงโทษ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ครูต้องการเสมอไป บางครั้งนักเรียนทั้งสองกลุ่มก็มีปฏิสัมพันธ์กันเมื่อพ้นสายตาครู

ในทำนองเดียวกัน กรณีศึกษาของนักเรียนชายคนหนึ่งในประเทศอังกฤษเกี่ยวกับรางวัลและการลงโทษที่ส่งผลต่อมุมมองเรื่องความยุติธรรมและความไว้เนื้อเชื่อใจกันของนักเรียน Wood ศึกษากรณีศึกษานี้นานเกือบ 2 ปีและพบว่า แทนที่วิธีการดังกล่าวจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติตามกฏของโรงเรียน ตัวเด็กชายกลับรู้สึกโกรธและต้องการแก้แค้นครูมากกว่า เพราะเมื่อเขาถูกตัดสินจากครูให้รู้สึกอับอาย เขารู้สึกว่าตัวครูมีอคติ ไม่เป็นกลาง และมองเห็นว่าวิธีการของครูในลักษณะที่ทำอยู่นั้นไม่ยุติธรรม นั่นยิ่งทำให้เขามีพฤติกรรมท้าทายกฎระเบียบของโรงเรียน และหันไปยอมรับหลักการบางอย่างที่เพื่อนในกลุ่มของเขาสร้างขึ้นมาแทน  ผลการศึกษาของ wood แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของกลยุทธ์แบบพฤติกรรมนิยม

บทสรุป

งานศึกษาทั้งสองชิ้นได้แสดงให้เห็นอีกด้านของวิธีการให้รางวัลและการลงโทษ ว่าแนวคิดนี้อาจไม่ได้นำไปสู่การสร้างเงื่อนไขการเรียนรู้ที่ดีหรือที่คาดหวังตามแนวคิดพฤติกรรมนิยม แต่กลับกลายเป็นการสร้างความรู้สึกด้านลบ การแบ่งแยก การเลือกปฏิบัติ รวมถึงมุมมองต่อความอยุติธรรมของนักเรียนได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นต้องตระหนักและกลับมาทบทวนถึงการประยุกต์ใช้แนวคิดพฤติกรรมนิยมผ่านวิธีการดังกล่าวให้มากขึ้น เพราะนักเรียนไม่ใช่วัตถุที่ปราศจากสำนึกใดๆ แต่พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต มีความรู้สึก และมีความคิดเกิดขึ้นเสมอระหว่างการเรียนรู้และการใช้ชีวิตในโรงเรียน

อ้างอิง

Allan C. Ornstein and Francis P. Hunkins. (2018). Curriculum :Foundation, Priciples,and Issues. Pearson Education 2017.

Schunk ,Meece,and Pintrich. (2014). Motivation in Education Theory, Research and Applications. England: Pearson .

Seifert and  Sutton. (2009). Educational Psychology. The Saylor Foundation.

Woods, D. R. (2008). When rewards and sanctions fail: a case study of a primary school rule-breaker. International Journal of Qualitative Studies in Education Vol. 21, No. 2,, 181–196.

Zhang, M. (2018). ‘If you take learning seriously, I’ll assign you to a good seat’: moralized seating order and the making of educational success in China’s public schools. Ethnography and Education.

Tags:

การเรียนรู้รางวัลและการลงโทษแนวคิดพฤติกรรมนิยม

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Weerathep pomphan-cover
    Life classroom
    ‘เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ’ นักฟุตบอลทีมชาติที่มีครอบครัวเป็นกองหลัง: วีระเทพ ป้อมพันธุ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent Brain
    6 วิธีจัดการชีวิตและสิ่งแวดล้อม สร้างสมาธิในการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ปลดกุญแจมือแล้วกอดเขา จนกว่าคนสีเทานั้นจะอ่อนแอลง: มองมุมกว้างเมื่อเด็กก้าวพลาด กับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร 
2 May 2022

ปลดกุญแจมือแล้วกอดเขา จนกว่าคนสีเทานั้นจะอ่อนแอลง: มองมุมกว้างเมื่อเด็กก้าวพลาด กับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร 

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ในความทรงจำทั้งหมดของเด็กคนหนึ่งตั้งแต่เล็กจนโตคือเห็นการใช้ความรุนแรงและการทำร้ายกันเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นในวันที่เขาอยู่ในหมู่เพื่อน การใช้ความรุนแรงก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะได้รับการยอมรับ หรือเด็กบางคนที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่เขาอาจจะรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อเห็นคนออกท่าออกทาง กลายเป็นเด็กที่หวาดหวั่นและเก็บกด รู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา
  • ฟังเสียงของเด็กบ้าง การฟังเสียงของเด็กๆ นี้ ไม่ใช่การตามใจเด็ก แต่มันจะพาไปสู่การเข้าใจในความคิดของเขา และอาจจะทำให้ปัญหาบางอย่างถูกแก้ ที่สำคัญการแก้ปัญหาเด็กๆ ไม่มีสูตรสำเร็จ มันเกิดขึ้นจากการฟังให้มาก รู้จักตัว และใจด้วย มันก็จะประคับประคองกันไปได้ 
  • ชวนคุยกับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ถึงมุมมองที่ได้จากประสบการณ์ในการสร้างกระบวนการเพื่อเยียวยาเด็กกลุ่มที่ถูกนิยามเป็น ‘ผู้กระทำ’ ความรุนแรง หรือเป็น ‘ผู้ก่อคดี’

“แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ผู้รู้เห็นในฐานะสักขีพยานของการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่  แต่พอเขาเจอสถานการณ์อะไรบางอย่างที่ต้องรับมือ ความรุนแรงที่คุ้นเคยจะถูกหยิบมาใช้โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ถ่ายทอดมุมมองที่ได้จากประสบการณ์ในการสร้างกระบวนการเพื่อเยียวยาเด็กกลุ่มที่ถูกนิยามเป็น ‘ผู้กระทำ’ ความรุนแรง หรือเป็น ‘ผู้ก่อคดี’ และกระทำในสิ่งที่กฎหมายไม่สามารถอนุโลมได้ว่ามีปัจจัยทั้งบาดแผลภายในใจที่เกิดจากครอบครัว สภาพแวดล้อมทางสังคม และอีกหลายปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป จนทำให้เด็กหลายคนต้องเข้ามาอยู่ในบ้านกาญจนาฯ ซึ่งเป็น 1 ใน 20 ‘คุกเด็ก’ ของประเทศ 

“สำหรับป้าและทีมที่บ้านกาญจนาฯ นั้นเราไม่เชื่อว่าเขาเกิดมาแล้วเป็นคนเลวโดยกำเนิด หรือเขาตั้งใจเพื่อเติบโตมาติดคุก มาอยู่กับเราที่นี่ เราคิดว่ามันไม่จริง แต่ด้วยความอ่อนแอของครอบครัวเขา ด้วยระบบนิเวศทางสังคมที่มันไม่เอื้อต่อการเติบโต ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาก้าวพลาดจนต้องถูกตำรวจจับมาอยู่กับเรา”

ป้ามลชวนให้เรามองเห็นประเด็นสำคัญว่า การโทษตัวเด็กแบบปัจเจกฯนั้นไม่ใช่การสร้างความเข้าใจที่ดี เราควรมองลึกลงไปถึงภูมิหลัง สภาพครอบครัว การใช้ชีวิตที่เขาเติบโตขึ้นมา และมองให้เห็นถึงปัญหาเชิงนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการสนับสนุนให้เขาและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากพอ

ถ้าต้องคลี่ออกมาให้เห็นชัดๆ ป้ามลคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เด็กกระทำความรุนแรง?

“เมื่อเราเห็นเด็กที่กระทำความผิด เราก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวของเด็ก ซึ่งก็คือ ‘ครอบครัว’ อยู่แล้ว เช่น เห็นพ่อแม่ที่อาจจะดูอ่อนแอ มีจุดอ่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและพ่อแม่ที่ดูห่างมาก บางครอบครัวไม่เคยเลี้ยงดูกันมาก่อนเลย พอมีลูกก็พาไปฝากปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างจังหวัดเลี้ยง แล้วส่งเงินให้ จนกว่าลูกจะโตและดูแลตัวเองได้ เด็กที่ก่อคดีที่เราพบบ่อยที่สุดคือ เด็กๆ ที่กลับมาอยู่กับพ่อแม่หลังจบ ป.6 ดังนั้นตั้งแต่เกิดจนถึง ป.6 เด็กก็จะโตอยู่ในชนบทกับปู่ย่าตายาย ทำให้พ่อแม่แทบจะไม่รู้เลยว่า เด็กที่อยู่ข้างหน้าเรานี้มีนิสัยใจคอ มีวิธีจัดการปัญหาหรือโต้ตอบสิ่งที่เข้ามากระทบอย่างไร เขารู้แค่หน้า ชื่อ รู้ว่านี่คือลูกของเรา แต่ไม่รู้ใจ ไม่รู้ความคิด ”

“แต่พอพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา ป้าก็มีข้อห่วงใยนะโดยเฉพาะการเน้นความเป็น ‘จำเลย’ ของพ่อแม่ เพราะหลายคนอาจจะเกิดความคิดตามมาว่า พ่อแม่เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ผลักไสไล่ส่งให้เด็กต้องไปก่ออาชญากรรมใช่ไหม แต่จริงๆ ป้าก็อยากให้เรามองไกลไปจากพ่อแม่ออกไปอีกสักก้าวหนึ่ง 

ในประเทศไทยเรามีประชากรโดยเฉลี่ย 67 ล้าน คน  ถ้ายุบเป็นครอบครัวก็ประมาณ 22.8 ล้าน ครอบครัว และเราก็พบว่าในจำนวนครอบครัวทั้งหมดนี้ มีครอบครัวจำนวนมหาศาลที่เขาไม่สามารถแบกภาระความเป็นพ่อแม่เอาไว้ได้ด้วยตัวเองตามลำพัง เขาต้องมีตัวช่วย ต้องมีกลไกในสังคมมาสนับสนุนเขา” 

นอกจากความห่างเหินของครอบครัว การเลี้ยงดูก็น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่ง คิดอย่างไรที่ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อว่า ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ ?

“เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าโลกไม่ได้หยุดนิ่ง โลกเป็นพลวัต หมุนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นรูปแบบการเลี้ยงลูกในยุคสมัยหนึ่งมันอาจจะได้ผล แต่ว่ามันก็ไม่ได้ผลตลอดกาลและตลอดไป เหมือน ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ ในสมัยก่อนเมื่อ 50 ปี 100 ปีที่แล้ว คำนี้อาจจะใช้ได้จริงๆ ก็ได้ เพราะว่าทุกครั้งที่เราตีลูก หรือทุกครั้งที่คุณครูที่โรงเรียนตีลูก คนในชุมชนทั้งหมดอาจจะมาเจอกันที่วัดสักแห่งหนึ่งในวันบุญ หรือวันสำคัญของชุมชน ซึ่งทุกคนก็จะได้คุยกัน เขาก็อาจจะบอกเล่ากันว่าตีสั่งสอนไปนะ คือทุกคนมีการพบปะกัน มีการพูดคุย มีการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ และตัวเด็กก็ไม่ได้ไปไกลจากตรงนั้นเลย ก็เห็นผู้ใหญ่สนทนากัน บรรยากาศแบบนี้อาจจะมีทั้ง ‘การบาดเจ็บและเยียวยา’ ไปพร้อมๆ กันตลอดเวลา 

แต่สังคมปัจจุบันมันไม่เหมือนสมัยก่อน เราเหลือเป็นครอบครัวเดี่ยวเล็กๆ ทุกครั้งที่เราสร้างบาดแผลในใจให้กับเด็กๆ ก็ไม่ได้มีใครเยียวยาเด็กๆ ต่อ เมื่อก่อนพ่อแม่อาจจะดุเขา แต่เขาก็ยังมียายให้หนุนตัก มีเพื่อนที่ไปวิ่งเล่นกันในชุมชน สุดท้ายบาดแผลเล็กๆ นั้นก็ถูกเยียวยา มีตัวกลไกที่ช่วยสนับสนุน เด็กๆ มากกว่า ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะใช้ความรุนแรงกับเด็กๆ บ้างในสมัยก่อน 

แต่พอยุคนี้ที่ครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวกันไปหมดแล้ว การใช้ความรุนแรงหรือแม้แต่การไม่มีเวลาพูดคุยกับลูก มันก็คือการสร้างบาดแผลที่ทำให้เด็กๆ รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งพอเอามาใช้ในตอนนี้มันก็แทบจะไม่ได้ผลเลย อีกอย่างคือสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กหรือที่เราเรียกว่า ‘ปัจจัยดึงดูดภายนอก’ ก็เร้ามากกว่าเดิมด้วย ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือที่ชัดเจนที่สุดคือโทรศัพท์มือถือ ฉะนั้นป้าคิดว่าไม่มีทางอื่นนอกจากการปรับตัวของพ่อแม่ให้สอดคล้องกับบริบทชีวิตของลูกที่เปลี่ยนไป 

ถ้าเรายังยึดถือแนวคิดที่ติดตัวมา 50 ปี 100 ปี ที่แล้วแล้วมาใช้ในปี พ.ศ. นี้  เรานั่นแหละที่กำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็กๆ”

ป้ามลมีความเห็นอย่างไรกับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่มีการใช้ความรุนแรง?

“ปัจจุบันนี้สังคมไทยเปลี่ยนจากครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ถ้าหากเด็กได้เห็นได้สัมผัสหรือเจอความรุนแรงในครอบครัว เช่น ระหว่างพ่อกับแม่ หรือบางบ้านก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับเด็กโดยตรง แต่ว่าใช้ความรุนแรงให้เด็กเห็น เด็กกลุ่มนี้ก็อยู่ในสถานะที่เป็นพยานรับรู้ความรุนแรง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกกระทำโดยตรง แต่เขาก็เป็นสักขีพยานในความรุนแรงนั้น ซึ่งมันก็ไม่มีสูตรตายตัวว่าเป็นอะไรบ้าง 

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ผู้รู้เห็นในฐานะสักขีพยานของการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่  แต่พอเขาเจอสถานการณ์บางอย่างที่ต้องรับมือ ความรุนแรงที่คุ้นเคยจะถูกหยิบมาใช้โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ 

บ้านกาญจนาก็มีเด็กอยู่คนนึง เขาเล่าให้ฟังว่าเห็นพ่อแม่ทุบตีกันตลอดเลย บ้านของเขาก็เล็กนิดเดียว แม้นอนในห้องก็ได้เห็นได้รับรู้ เขาบอกป้าว่า “ผมอยากหายตัวได้ครับ” แต่เมื่อหายตัวไม่ได้เขาก็ออกจากบ้านไป เพราะต้องการให้เสียงทะเลาะนี้เงียบลงนิดหนึ่งแล้วก็จะกลับมา ซึ่งทุกครั้งที่ทำแบบนี้ตอนแรกก็ได้ผล แต่พอหลังๆ ข้างนอกก็มีสิ่งเร้าที่ดึงดูดเขาเหมือนกัน จาก 5 นาที ก็เป็น 10 นาที เป็นวันเป็นคืนและสุดท้ายก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย 

พอเขาได้เจอกลุ่มเพื่อน ความรุนแรงที่เขาเห็นอยู่หลายๆ ปี มันก็ถูกดึงมาใช้ ซึ่งทุกครั้งที่ดึงขึ้นมาใช้ก็ได้รับการยอมรับจากหมู่เพื่อนมากขึ้นไปอีก สุดท้ายเคสนี้ก็จบลงด้วยคดีฆ่าคู่อริ เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาครั้งนั้น แต่ความทรงจำทั้งหมดของเขาตั้งแต่เล็กจนโตคือเห็นการใช้ความรุนแรงและการทำร้ายกันเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นในวันที่เขาอยู่ในหมู่เพื่อน การใช้ความรุนแรงก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะได้รับการยอมรับ แล้วเขาไม่ได้รู้สึกมีปัญหากับการใช้ความรุนแรงด้วย เพราะเขาเห็นมันเป็นประจำในทุกๆ วัน

หรือเด็กบางคนที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่เขาอาจจะรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อเห็นคนออกท่าออกทาง กลายเป็นเด็กที่หวาดหวั่นและเก็บกด รู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา สรุปว่าเด็กแต่ละคนไม่ได้แสดงออกต่อสิ่งที่เข้ามากระทบเหมือนกันทั้งหมด”

“ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า อย่าทำให้เด็กๆ มีแผลในใจ ไม่ว่าจะเป็นแผลกายที่มองเห็นชัดจากการตบตีทำร้าย หรือแผลใจที่เกิดจากความรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งแผลทั้งสองแบบนี้เป็นสิ่งที่เด็กไม่ควรมีประสบการณ์ร่วมกับมัน

แต่ก็เข้าใจว่าพ่อแม่แต่ละคนไม่ได้เกิดมาแล้วได้เป็นพ่อแม่เลย เขาก็ผ่านวันคืนที่เคยเป็นเด็กที่เคยมีบาดแผลเหมือนกัน ซึ่งบาดแผลของเขาก็อาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เมื่อวันหนึ่งเมื่อเขาต้องมาทำหน้าที่พ่อแม่ บาดแผลเหล่านี้ก็ออกมาด้วย ทั้งความคาดหวัง ความรู้สึกที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ แล้วส่งต่อสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก มันก็ลามออกมาเรื่อยๆ อีก ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีคนช่วยจัดระบบใหม่อีกทีหนึ่ง

แต่ว่าในสังคมไทยสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอ โดยเฉพาะจากรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์เรื่องครอบครัว ทำให้เรื่องครอบครัวกลายเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น ผัวเมียตีกัน ตำรวจยังไม่รับแจ้งความเลยเพราะเขาคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จริงๆ มันไม่ใช่ มันยังเป็นเรื่องที่นโยบาย และระบบการจัดการของรัฐสามารถช่วยสนับสนุนให้เกิดครอบครัวเข้มแข็งก็ได้ ถ้าเรานั่งคิดกันดีๆ อย่างเป็นระบบและมีวิสัยทัศน์” 

ที่ผ่านมามีวิธีการรับมือกับเด็กที่เข้ามาในบ้านกาญจนาฯ เป็นครั้งแรกอย่างไร?

“เมื่อเรารับเด็กมาหลังจากที่ศาลพิพากษาเขาแล้วว่าจะต้องถูกควบคุมตัว สิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้องเริ่มที่ความเชื่อที่แข็งแรงมากๆ ว่าเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราว่าเขาเป็นอาชญากรจริงหรือเปล่า ทั้งประวัติ รูปคดี ซึ่งสำหรับป้าและทีมบ้านกาญจนานั้นเราไม่เชื่อว่าเขาเกิดมาแล้วเป็นคนเลวโดยกำเนิด ไม่เชื่อว่าเขาตั้งใจเพื่อเติบโตมาติดคุก และต้องมาอยู่กับเราที่นี่ แต่ด้วยความอ่อนแอของครอบครัวเขา ด้วยระบบนิเวศทางสังคมที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาก้าวพลาดจนต้องถูกตำรวจจับมาอยู่กับเรา พอเราเชื่อแบบนี้ปุ๊บ กิจกรรมต่างๆ ที่เราออกแบบจึงไม่ซ้ำเติมเขา แต่จะค้นหาสิ่งดีๆ ในตัวเขา 

หลังจากเด็กๆ มาถึงที่นี่ พอเขาปลดกุญแจมือ ป้าจะผูกข้อมือรับขวัญและกอดเขา คำพูดแรกคือ ป้าเชื่อว่าในตัวของหนูยังมีอีกคนหนึ่ง คนคนนั้นเป็นคนดี เป็นคนสว่างที่แสนจะอ่อนแอ แต่คนที่นำทางหนู ทำให้หนูมาถึงจุดนี้ คือ คนมืด คนเทา คนดำและแข็งแรง 

ในตัวหนูมีคนอยู่สองคน เรามาช่วยกันไหมลูก เดี๋ยวป้าจะชวนพ่อแม่ คนในครอบครัวหนูด้วย และเจ้าหน้าที่ที่นี่จะช่วยให้คนสว่าง คนที่อยากดีคนนั้นให้ออกมา ซึ่งเราจะไม่ตอกย้ำการกระทำผิดของเขาแม้หลายคนจะเป็นเด็กในข่าว ในจอทีวี เราไม่เคยพูดด้านมืดกับเด็กๆ แต่เราจะพูดความทุกข์ ความสูญเสียของเหยื่อที่ต้องการความเป็นธรรม

พอเขารู้ว่ามันมีที่ที่ทำให้เขาลงจากหลังเสือได้ มีที่ที่ทำให้เขาเกิดใหม่และมีจุดเปลี่ยนได้ มันก็ทำให้เขาเกิดการตอบสนอง อาจจะไม่ได้ดีที่สุดในช่วงแรกๆ แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่อุ่นใจว่าคนสีเทาในตัวเขานั้นอ่อนแอและทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว” 

บ้านกาญจนาฯ มีกระบวนการเยียวยาและ Empower พ่อแม่เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวอย่างไร?

“ความที่เราได้ออกแบบตั้งแต่ปี 2546 ให้เด็กๆ ทำกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนวิธีคิดหรือ Mindset และหนึ่งในกิจกรรมที่ทำให้เราตาสว่างและมองเห็นฉากหลังของเด็กๆ ทุกคนได้ชัดมาก คือให้เด็กๆ ทุกคน เขียนสมุดบันทึกก่อนนอนทุกคืนตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ รวมถึงการเรียน ‘วิชาชีวิต’ การคิด วิเคราะห์ ผ่านกรณีศึกษาทั้งบวก ทั้งลบ และการดูหนังที่จบลงด้วยการร่วมคิด ร่วมคุย ร่วมเขียน

บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า ‘เด็กๆ จะกล้าเขียนเหรอ’ เขาก็ต้องกล้าเขียนสิ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เราการันตีความปลอดภัย แล้วทุกอย่างที่เด็กเขียนก็เป็นสิ่งที่เราเคารพ และเราก็จะตอบไดอารี่ของทุกๆ คน ดังนั้นสมุดบันทึกของเด็กๆ จึงเป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ทำให้เราทำงานได้ลึกขึ้น”

“บางครั้งเราก็เห็นเด็กเขียนว่า “ก่อนที่ผมจะไปก่อคดีจนตำรวจจับ ผมแทบจะไม่ได้อยู่ที่บ้านเลยครับ และพ่อของผมเขาก็พูดแต่ความสำเร็จของตัวเองซ้ำๆ ซากๆ ตอนแรกก็ฟังได้อยู่นะครับ แต่พอโตขึ้น ผมก็รู้สึกว่าพ่อไม่เข้าใจโลกของผม และหลังจากนั้นผมและพ่อก็คุยกันน้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้า” พอเราอ่านบันทึกแบบนี้ปุ๊บ เราพบว่าคีย์เวิร์ดคือ ‘พ่อของผมพูดแต่ความสำเร็จของตัวเองซ้ำๆ ซากๆ’

ซึ่งเราก็จะเห็นอะไรแบบนี้จากสมุดบันทึกของเด็ก และคีย์เวิร์ดเหล่านี้ที่ค่อยๆ ถูกเก็บมาเกือบปี เมื่อนำออกมากางดูอีกที เราก็เห็นภาพชัดว่าทั้งหมดนี้มันคือ ‘ปัจจัยผลักไสไล่ส่ง’ เด็กออกจากบ้าน แต่แค่รู้แค่เห็นมันยังไม่พอ ต้องทำอะไรบางอย่างด้วย สุดท้ายเราเอาคีย์เวิร์ดเหล่านี้มาออกแบบเป็นกระบวนการเวิร์กช็อป ที่เรียกกว่า ‘Empower พ่อแม่’ โดยที่พ่อแม่ของเด็กในบ้านกาญจนาทุกคน ทุกครอบครัวต้องเข้าสู่กระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือที่เรียกว่า เวิร์กช็อป Empower”

‘ปัจจัยผลักไสไล่ส่ง’ ที่เราพบจากบันทึกของเด็กๆ มีทั้งหมด 22 รูปแบบ ซึ่งเมื่อเด็กแต่ละคนต้องเลือกว่าเขามาจากครอบครัวแบบไหน เราพบว่าเด็กแต่ละคนเลือกได้แม่นมาก เขาเลือกจากประสบการณ์ จากบาดแผลของเขา ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการผลักลูกออกไปและเจอกับปัจจัยดึงดูดนอกบ้าน จนกระทั่งเกิดคดี สุดท้ายต้องเข้ามาในสถานพินิจ”

“การ์ดที่ขายดีที่สุดก็คือ ‘การ์ดเปรียบเทียบ’ ป้าก็จะให้เขาอธิบายว่าทำไมมันถึงมีอิทธิพลต่อเขาและสามารถผลักเขาออกจากบ้าน เด็กก็จะตอบว่า “ทุกครั้งที่พ่อแม่เปรียบเทียบผมกับคนอื่น หรือกับพี่กับน้อง มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีแรงที่จะปีนขึ้นที่สูงเลย แต่มันจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ แล้วพ่อแม่ก็เปรียบเทียบบ่อยๆ ซ้ำๆ” ซึ่งระหว่างที่เขาพูด เขากล้าที่จะสบตาพ่อแม่เต็มตา และพ่อแม่บางคนก็ตกใจ เพราะความคิดของพ่อแม่เวลาเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นนั้นตรงกันข้าม 

พ่อแม่ก็จะบอกว่า “คนละเรื่องเลย แม่เปรียบเทียบเขาเพราะอยากให้เขาเห็นตัวอย่างที่ดีๆ อยากให้มีแรงบันดาลใจ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาเราเปรียบเทียบแล้วลูกจะรู้สึกด้อยค่าตัวเอง” พ่อแม่ของเด็กเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีมุมแบบนี้อยู่ และนี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงหัวใจของลูก”

“กระบวนการ Empower คือการค้นพบ ‘ระเบิดเวลา’ ด้วยตัวเอง  แต่ถึงจะค้นพบก็ไม่ได้แปลว่าระเบิดเวลานั้นจะหมดสภาพไป มันต้องมีการถอดชนวนต่ออีก แต่กระบวนการนี้ทำให้ทุกครอบครัวมองเห็นว่า เวลาที่คนพูดว่าครอบครัวของเขานั้นมีปัญหา หรือมีคนถามว่าครอบครัวของเขามีปัญหาตรงไหน คำตอบของเขามันจะไม่ฟุ้ง เพราะทุกครอบครัวจะมีโฟกัสของตัวเอง ว่าครอบครัวของเขามีปัญหาอยู่ตรงไหน ทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ตรงประเด็นขึ้น”

ป้ามลคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับบทลงโทษสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีอยู่ในตอนนี้?

“สำหรับป้าแล้ว เด็กที่กระทำความผิด เขาต้องไม่ลอยนวล ไม่ว่าใครก็ตามที่กระทำความผิด ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เสียหาย เสียใจ เขาต้องรับผลจากการกระทำความผิดของเขาอยู่แล้ว แต่การลงโทษแบบไหนก็เป็นข้อท้าทาย เราต้องค้นหาให้เจอว่าการลงโทษแบบไหนที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างจุดเปลี่ยน Turning Point ของมนุษย์ เพราะไม่อย่างนั้นการลงโทษทั้งหมดก็สูญเปล่า 

ถ้าเราลงโทษไปแล้ว แต่ความเป็นอาชญากรของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นมา ไม่เคยหายไปเลย แสดงว่าระบบของเรามันล้มเหลวจริงๆ และป้าก็ไม่เชื่อว่าการลงโทษที่รุนแรงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะช่วยให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นมา เพราะถ้าช่วยได้มันคงเกิดขึ้นไปนานแล้ว”

“หลังจากกระทำความผิดและถูกตัดสินให้ควบคุมในสถานควบคุม สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปอยู่ในสังคมอยู่ดี แต่เขาจะอยู่อย่างไรไม่ให้สร้างปัญหาในสังคมมากขึ้น และเกิดเป็นพลังเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ซึ่งทั้งหมดนั้น ช่วงเวลาแห่งนาทีทองก็อยู่ที่เรา และการทำงานของเราแล้ว 

บางครั้งป้าก็โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานแบบที่ทำอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการไม่ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับผู้กระทำ ทุกครั้งที่ป้าโอบกอด ผูกข้อมือรับขวัญเด็กที่เพิ่งเข้ามา ป้าจะบอกว่า ป้าไม่ซ้ำเติมหนูนะ เพราะป้าเชื่อว่าหนูรับมือเรื่องยากๆ ยังไม่ได้ และป้าก็คิดถึงเหยื่อของหนู คิดถึงผู้เสียหายจากการกระทำของหนู ป้าห่วงใยเหยื่อและไม่ต้องการให้เกิดเหยื่อคนใหม่อีก ไม่มีใครย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้แต่เราจะแก้ไขวันนี้เพื่ออนาคตได้แน่นอน”

ป้ามลมีวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับเด็ก เพื่อรับมือกับการถูกซ้ำเติมจากสังคมหลังออกจากบ้านกาญจนาฯ อย่างไร?

“เราไม่สามารถไปบอกให้คนในสังคมยอมรับเขาได้ แต่โชคดีที่เราได้ทำงานกับเขาทุกๆ วัน ในระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงคนในครอบครัวเขาด้วย ซึ่งกระบวนการที่เริ่มด้วยความเชื่อในด้านดี ความเชื่อไม่มีใคร Born to be นำไปสู่การใช้ Soft power การ Empower และการเปลี่ยน Mindset ทำให้พวกเขารวมถึงครอบครัวเห็นตัวเอง เห็นความเสียหายและยอมรับข้อผิดพลาดเพื่อไปต่ออย่างมีเป้าหมาย ที่สำคัญเรามีพิธีกรรมขอขมาเหยื่อซึ่งเป็นงานประจำปีของบ้านกาญจนาฯ เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2548 หลังจากมีเด็กคู่ขัดแย้งถูกพิพากษาเข้ามา โดยคนที่มาก่อนคือคนที่ฆ่าพ่อของคนที่มาทีหลังแต่เราได้ทำงานกับเด็กสองคน ผู้ปกครองสองฝ่าย และเด็กทั้งบ้านเกือบ 200 คน เพื่อนำทุกคนเข้าสู่พิธีกรรมการขอโทษ-การให้อภัย หรือพิธีกรรมสันติภาพ ปัจจุบันพัฒนาเป็นพิธีกรรมขอขมาเหยื่อ เมื่อหลอมรวมทุกกระบวนการภายใต้ระยะเวลา 1.6 ปี ขึ้นไป ก็น่าจะเป็นก้าวใหม่ที่เข้มแข็งนะ” 

ในมุมของป้ามลแล้ว คิดว่ารัฐควรต้องทำอย่างไรเพื่อลดปัญหาการก่ออาชญากรรมและความรุนแรงในเด็กและเยาวชน?

“เอาแค่มิติเดียวก่อนเลย เช่น ใน 1 ปี มี 365 วัน และใน 365 วันนี้ก็มีประมาณ 120-130 วัน ที่เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนซึ่งก็เป็นช่วงปิดเทอม ปิดเสาร์อาทิตย์ ปิดเทอมใหญ่ ปิดเทอมเล็กบ้าง เราพบว่าในจำนวนวันที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนนั้นจาก 22.8 ล้าน ครอบครัวในประเทศไทย มีจำนวนครอบครัวแค่เพียงนิดเดียวบนยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่มีกำลังมากพอที่จะสามารถพาเด็กๆ ไปพบกิจกรรม พบโลกทัศน์ที่น่าสนใจ เช่น การไปต่างประเทศ เมื่อเขากลับมาสิ่งที่เขาไปพบเจอมาก็จะมีพลังให้เขาได้หมุนตัวเอง และกระตือรือร้นที่จะทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา 

อีกจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ได้มีกำลังเท่าเด็กกลุ่มแรก แต่พ่อแม่ก็สามารถลงทุนสรรหาสิ่งต่างๆ ให้ลูกได้ เช่น ค่ายกีตาร์ ค่ายจักรยานภูเขา ค่ายสเก็ตบอร์ด แต่นั่นหมายความว่าต้องมีเงินมาสนับสนุน หรือมีกำลังมากพอที่จะจ่ายเพื่อเป็นค่ากิจกรรมที่เหมาะสมนั้น และในช่วงเวลาที่เด็กได้อยู่ในมีกิจกรรมที่เขาชอบ เด็กก็จะได้ Empower ได้เปิดโลกเพื่อรอการต่อยอดต่อไป

แต่อีกจำนวนมหาศาล ที่เขาไม่ได้ทั้งในแบบที่เด็กกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองได้ ถามว่าพ่อแม่ต้องทำยังไงกับเด็กกลุ่มนี้ บ้านกาญจนาฯ ของเราก็เคยเจอ แม่คนหนึ่งลุกขึ้นมาเลยตอนที่ป้าเล่าเรื่องนี้ว่า “หนูนึกออกเลย หนูทำงานแบบเอาเสื้อผ้าจากโรงงานมาเย็บที่บ้าน ถึงเวลาก็เอาไปส่งให้เถ้าแก่ ช่วงปิดเทอมของลูกเราก็นึกอะไรไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงดี สิ่งที่นึกออกอย่างเดียวคือสะสมเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ ช่วงปิดเทอมก็ให้ลูกเอาไปอยู่ร้านเกม เราก็อยากให้ลูกอยู่ที่นั่นทั้งวัน ค่อยกลับมาตอนกินข้าวเย็นแล้วเข้านอนเลย พอตอนเช้าก็ให้ไปอีกเรื่อยๆ เราคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว สุดท้ายลูกติดเกม ติดความรุนแรง บังคับเราซื้อมอเตอร์ไซค์ และปล้น” นี่ก็เป็นทางเลือกของแม่กลุ่มหนึ่ง แต่ก็มีอีกจำนวนมหาศาลเลยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลือกไปที่ไหน”

“ทั้งหมดทั้งมวลที่ป้าพูด มันเป็นชะตากรรมส่วนตัวที่ใครมีศักยภาพอะไรก็เลือกไปตามศักยภาพที่มีของตัวเอง คำถามก็คือ ‘แล้วรัฐบาลทำอะไรได้บ้าง’ ที่จะมาช่วยสนับสนุนครอบครัวและ Empower เด็กๆ 

ถ้ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์และหากขอรัฐบาลได้ เราอยากให้ทุกปิดเทอมรัฐบาลมีการแจกคูปองให้เด็กๆ และ มีพื้นที่กิจกรรมให้เขาได้เลือกทำ เช่น จักรยานภูเขา สเก็ตบอร์ด กีตาร์ ภาษาอังกฤษ ​ฯลฯ โดยไม่เสียเงิน ซึ่งมันจะทำให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมอย่างสร้างสรรค์และค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบ

แต่รัฐบาลก็อธิบายข้อเสนอนั้นว่ามันเป็นการลงทุนที่มหาศาล รัฐบาลจะเอาเงินและพื้นที่ที่ไหนมาจัดให้กับเด็กๆ เฮ้ย! รัฐบาลตอบแบบนั้นไม่ได้นะ เพราะนั่นคือการเฝ้าระวังให้เด็กๆ ทุกคนได้เติบโตภายใต้ระบบนิเวศที่เหมาะสม เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น สุดท้ายเราก็ต้องมาลงทุนกับสถานบำบัดยาเสพติด สร้างสถานพินิจ สร้างเรือนจำ ซึ่งมันเป็นการลงทุนกับพื้นที่ปลายน้ำแทนที่จะลงทุนกับพื้นที่ต้นน้ำ

หากรัฐบาลมีวิสัยทัศน์ และคิดในเชิงระวังป้องกันอย่างจริงจัง เราต้องทำได้อยู่แล้ว ประเทศเรามีต้นทุนมากพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เด็กๆ ไปสู่ความฝันของตัวเอง และเมื่อถึงขั้นนั้น จำนวนเรือนจำในประเทศไทยก็จะน้อยกว่าเดิม สถานบำบัดยาเสพติดก็อาจจะหายไปอีกเยอะเลย หรือเหลือที่จำเป็นเท่านั้น นี่ก็แค่มิติเดียวที่รัฐบาลต้องทำ เพื่อให้ครอบครัวทุกครอบครัวมีพื้นที่ทำกิจกรรมที่เหมาะสม หรือมีระบบนิเวศทางสังคมที่เหมาะสมเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคน ไม่ใช่เพียงกลุ่มคนที่มีกำลังมากพอเท่านั้น”

สุดท้ายป้ามลมีอะไรอยากฝากเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในครอบครัวบ้าง?

“สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองป้าก็เข้าใจว่าการเลี้ยงดูลูกในยุคใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่ที่กระตุ้นเร้าด้านมืดมากมายนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ก็ต้องปรับตัว เพราะหลายเรื่องที่เป็นความสำเร็จของคนรุ่นโบราณอาจจะไม่ใช่ความสำเร็จของคนยุคปัจจุบันก็ได้ หัดฟังเสียงของเด็กๆ ให้มาก เพราะบางทีคำตอบก็อยู่ที่เด็กๆ 

การฟังเสียงของเด็กๆ นี้ ไม่ใช่การตามใจเด็ก แต่มันจะพาไปสู่การเข้าใจในความคิดของเขา และอาจจะทำให้ปัญหาบางอย่างถูกแก้ ที่สำคัญการแก้ปัญหาเด็กๆ ไม่มีสูตรสำเร็จ มันเกิดขึ้นจากการฟังให้มาก รู้จักตัว และใจด้วย มันก็จะประคับประคองกันไปได้

แต่จริงๆแล้วคนที่ตอบโจทย์นี้ได้ดีคือรัฐบาล อยากให้รัฐบาลมีวิสัยทัศน์กว่านี้ และควรสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้กับเด็กและครอบครัว ประคับคองให้พวกเขาได้เติบโตในพื้นที่ที่เหมาะสม ให้เขาไปสู่ฝั่งฝันของเขา ไม่ว่าเขาจะเรียนเก่งหรือไม่ มีกำลังสนับสนุนหรือเปล่า เพราะทุกคนคือประชาชนที่จะเป็นพลเมืองในอนาคต 

สำหรับคนในสังคมก็อยากให้เบรกตัวเองบ้างเวลาที่มีเด็กก่ออาชญากรรมแต่ละครั้ง อย่าเพิ่งเกรี้ยวกราด อย่าเพิ่งใช้ด้านมืดมาตัดสิน เพราะการเอาแต่เกรี้ยวกราดและโฟกัสไปที่ปัจเจกบุคคลหรือเด็กที่กระทำความผิด คือการทำให้คนที่คิดนโยบายหรือรัฐบาลลอยนวล เพราะคนไม่ได้โฟกัส ว่าสุดท้ายคนคิดนโยบายคือเบื้องหลังของความผิดพลาดทั้งหมด”

Tags:

เด็กก้าวพลาดความรุนแรงในครอบครัวบ้านกาญจนาพิเษก‘ป้ามล’ ทิชา ณ นครการลงโทษการเยียวยา

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • พลิกชีวิตเด็กก้าวพลาด บนเส้นทางแห่ง ‘โอกาส’ และ ‘อาชีพ’ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Character building
    Honest : ที่โกหกเพราะเป็นนิสัย หรือเพราะเป็นกลไกป้องกันตัว หนีความกลัวและการถูกลงโทษ?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    “เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Family Psychology
    เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel