- ทำความรู้จักกับอีกหนึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ที่ ‘มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน’ หรือ situationship ที่ปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมกันในกลุ่มชาวมิลเลนเนียล เนื่องจากเป็นสถานะที่มีข้อผูกมัดน้อย สอดคล้องกับค่านิยมการใช้ชีวิตอิสระ และปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ
- แม้ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship จะดูพิลึกกว่าความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักที่เคยมีมา แต่ก็มีข้อดีตรงที่เปิดโอกาสให้คนที่อาจมีความกลัวเรื่องความสัมพันธ์ หรือมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ได้ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนก่อน
- ท้ายที่สุดแล้ว จงซื่อสัตย์กับตัวเองว่าชอบความสัมพันธ์แบบ situationship จริงๆ หรือเราเหมาะกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงมากกว่า และอย่าลืมที่จะพูดคุยทำความเข้าใจกับอีกคนหนึ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรเดินออกมาหาความสัมพันธ์ที่ดีกว่าหรือไม่
ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ situationship ก็อาจจะคล้ายกับสถานะ ‘คนคุย’ ที่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ในกลุ่มวัยรุ่นชาวมิลเลนเนียล เนื่องจากเป็นสถานะที่มีข้อผูกมัดน้อย เช่น ไม่ต้องไปทำความรู้จักกับเพื่อนของกันและกัน ไม่ต้องลงรูปคู่ และไม่มีสถานะชัดเจน อาจแตกต่างจากสถานะคนคุยเล็กน้อยตรงที่ไม่ต้องนึกถึงอนาคตว่าความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอย่างไร
สำหรับนักรักที่กำลังไล่ล่าหาความรักมาเติมเต็มชีวิต ความสัมพันธ์นี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship นี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในแวดวงสังคมของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวมิลเลนเนียล
Situationship และความนิยมที่เพิ่มขึ้น
บางงานวิจัยพบข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับ situationship ว่าเรื่องของปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่เพิ่มความท้าทายให้การใช้ชีวิต เพราะต้องการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระ ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกดีมากกว่า หากได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการจริงๆ
คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใส่ใจว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจะต้องรีบตกลงปลงใจกับใครเสมอไป การลองคบไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรนั่นเอง
เราอาจสังเกตได้ว่าในปัจจุบัน ผู้คนมักให้ความสำคัญกับเรื่องเงินมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เนื่องจากเราต่างถูกปลูกฝังให้มองว่าการมีทรัพย์สินเงินทองแปลว่าประสบความสำเร็จ (ตามสภาพสังคมทุนนิยม) เงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ความสัมพันธ์ situationship เป็นที่นิยม เพราะเรายังไม่พร้อมจะลงหลักปักฐานกับใครได้อย่างจริงจังหากสถานะทางการเงินยังไม่พร้อม
นอกจากนี้ การที่เราหันไปมุ่งมั่นหาเงินเข้ากระเป๋า ก็ทำให้เวลาชีวิตลดน้อยลง การออกไปเที่ยวเตร่หาความสัมพันธ์มั่นคงนอกที่ทำงานก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นซะแล้ว สู้กลับบ้านไปนอนเพื่อเก็บพลังไปทำงานในวันถัดไปยังมีประโยชน์กว่ากันเยอะ เรียกได้ว่า นอกจากเวลาเอาใจใส่ตัวเองแล้ว เราก็แทบไม่มีเวลาไปเอาใจใส่คนอื่นๆ
สถานะ situationship จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะว่างเมื่อไรก็ค่อยมาเจอมาคุยกัน ไม่ต้องพัฒนาไปมากกว่านี้
หลายคนอาจจะมองว่า ‘ถ้าเราสำคัญมากพอ เขาก็จะหาเวลามาให้ได้’ แต่แน่ใจแล้วหรือเปล่าว่าอีกคนอยากให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปไกลกว่านี้ หากเขายังสนใจเรื่องอื่นมากกว่าและยังมองว่าความรักไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ของชีวิต ก็ทำใจได้เลย เพราะเขาอาจจะเพียงแค่หาคนคุยในระยะสั้นๆ ไม่ให้ชีวิตเงียบเหงาเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะมีคนคุยหลายคนอีกด้วย เพราะความสัมพันธ์แบบนี้ ทำให้เราไม่ต้องผูกมัดกับใคร จึงสามารถเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เต็มที่ มีตัวเลือกมากขึ้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับใคร เพราะ situationship คือสถานะระยะทดลองที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
อาจกล่าวได้ว่า situationship เป็นความสัมพันธ์ที่เน้นสะดวกไม่เน้นสานต่อ และถ้าใครเกิดรู้สึกมากกว่าก็ให้เตรียมใจไว้ได้เลย เพราะความสัมพันธ์นี้ น้อยครั้งที่จะสานต่อไปยังความสัมพันธ์ศึกษาดูใจที่จริงจังต่อได้
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า ลองสังเกตดูว่าเรื่องราวระหว่างพวกคุณทั้งสองคนตรงกับรูปแบบของ situationship หรือไม่
รูปแบบของ situationship
- เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก ในความสัมพันธ์ที่ทั้งสองคนอาจไม่เคยเปิดใจคุยกันจริงๆ จังๆ ว่า ‘ระหว่างเรา’ คืออะไร อาจเพราะรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป หรือไม่ก็อาจจะไม่สบายใจที่พูดถึงเรื่องนี้
- ไม่มีความสม่ำเสมอ ดร.Romanoff นักจิตวิทยาและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Yeshiva กล่าวไว้ว่า ใน situationship เราจะเกิดความรู้สึกที่ว่าไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไร หรือว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะตอบข้อความของเรา หรือไม่แน่ใจว่าเขามีความ ‘พยายาม’ ที่จะออกมาพบกันบ้างหรือเปล่า
- ไม่มีการพูดถึงอนาคต โดยทั่วไป ความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักมักจะมีการพูดถึงแผนในอนาคต เพราะต้องการสานต่อ แต่หากไม่มีการกล่าวถึงอนาคตร่วมกันเลย อาจแน่ใจได้แล้วว่ากำลังอยู่ในสถานะ situationship
- ขึ้นอยู่กับความสะดวก ว่างค่อยเจอ ไม่ว่างก็ไม่เจอก็ได้ ต่างคนต่างมีธุระ ให้เวลาหรือความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่า ไม่พยายามหาเวลามาเจอกัน ส่วนมากคุยกันผ่านแชท และไม่โพสต์รูปคู่ลงสื่อโซเชียล
แม้ว่าความสัมพันธ์แบบ situationship จะดูพิลึกกว่าความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักที่เคยมีมา แต่ก็มีข้อดีตรงที่เปิดโอกาสให้คนที่อาจมีความกลัวเรื่องความสัมพันธ์ หรือมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ได้ลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนก่อน โดยไม่มีแรงกดดันอย่างแฟนหนุ่มหรือแฟนสาวมากำหนด เพราะเราไม่ได้มองไปไกลถึงระดับนั้น
อย่างไรก็ตาม การมีความสัมพันธ์แบบนี้ก็อาจเป็นอุปสรรคที่ปิดกั้นไม่ให้เราได้พบเจอคนที่ใช่หรือความสัมพันธ์ที่มั่นคง แต่หากจะถามว่า situationship นั้นผิดหรือถูก ก็คงต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับมุมมองของความรักของแต่ละคน บางคนอาจสบายใจที่จะมีอิสระ แต่บางคนอาจจะชอบการผูกมัด ดังนั้น อาจต้องคอยสังเกตความสัมพันธ์อยู่เสมอว่าเป็นไปในทิศทางไหน และจงซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้ความสัมพันธ์แล้ว เราก็จะได้รู้จักตัวเองจากมุมมองที่เรามีต่อความสัมพันธ์ด้วย
ในท้ายที่สุดแล้ว เราอาจตอบตัวเองได้ว่าเราชอบ situationship จริงๆ หรือเราอาจเหมาะกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่า อย่าลืมที่จะพูดคุยทำความเข้าใจกับอีกคนหนึ่งในความสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรเดินออกมาหาความสัมพันธ์ที่ดีกว่าหรือไม่
ด้วยมุมมอง ประสบการณ์ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน ทำให้การวางแผนอนาคตต่างๆ แตกต่างกัน คนรุ่นใหม่มองเห็นโลกกว้างมากขึ้น และเห็นทางเลือกมากขึ้น การมีความสัมพันธ์และแต่งงาน มีลูกก่อนอายุ 30 จึงไม่ได้ตอบโจทย์เราอีกต่อไป ความกดดันและความยากลำบากไม่ได้ทำให้เรามองว่าการมีแฟนเร็วแต่งงานมีลูกไวเป็นความสำเร็จในชีวิต กลับกันเราเริ่มตระหนักถึงภาระหนักอึ้งในการมีความมั่นคงและความพร้อมที่จะดูแลชีวิตครอบครัวให้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะในสังคมที่วุ่นวาย การหาความมั่นคงเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
อ้างอิง