Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2021

หลายครั้งเราไม่อาจพูดสิ่งที่คิดว่าจริงแม้กับตัวเอง แต่หากสื่อสารกับคนอื่นแล้วบังเอิญไปกระทบคุณค่ากันและกัน ก็เป็นโอกาสสำหรับการเติบโต
Myth/Life/Crisis
15 October 2021

หลายครั้งเราไม่อาจพูดสิ่งที่คิดว่าจริงแม้กับตัวเอง แต่หากสื่อสารกับคนอื่นแล้วบังเอิญไปกระทบคุณค่ากันและกัน ก็เป็นโอกาสสำหรับการเติบโต

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • นิทานเรื่อง ฉลองพระองค์ใหม่ของพระราชา ดำเนินอยู่บนเรื่องเล่าหลอกหลวง ซึ่งก็ล้อเล่นอยู่กับความกลัวในเราทุกคนที่ไม่อยากรู้สึกด้อยค่าและไม่อยากถูกปฏิเสธที่ทางของเราบนโลกใบนี้
  • เมื่อคนเรามักต้องการอาหารใจ ในความสัมพันธ์ที่มีมารยาทสังคมกำกับอยู่นั้นเราทุกคนก็พอรู้ว่าจะต้องให้อาหารใจคนอื่นในลักษณะเดียวกันกับที่เราต้องการ ยิ่งในบริบทที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ฉลองพระองค์ที่ไม่ดำรงอยู่เลยก็สามารถจะถูกสอพลอว่าสวยงามได้เหมือนที่ผู้คนปั้นแต่งคำสรรเสริญกันว่าวิเศษเลิศเลอแม้น่าเศร้าที่บางทีลับหลังก็พูดถึงกันอีกอย่างหนึ่ง
  • การแสดงความเห็นที่เถรตรงเกินไปแม้เราไม่มีเจตนาทำร้ายคนอื่น แต่ผลแห่งการสื่อสารออกไปโดยไม่ถูกที่ถูกเวลาอาจกลับกลายเป็นการทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อผู้รับสารตีความสารของเราในลักษณะที่ไปกระทบเขา

1.

ฉลองพระองค์ใหม่ของพระราชา 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ นครซึ่งอาบด้วยชีวิตชีวาของผู้คนมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่เสมอ มีพระราชาแฟชั่นนิสต้าอยู่พระองค์หนึ่งที่วันๆ หมกมุ่นอยู่กับการแต่งเนื้อแต่งตัว และพระองค์ก็เริ่มจะได้สนุกยิ่งขึ้นเมื่อนักต้มตุ๋นสองคนเข้ามาเหยียบเยือนถึงในเมือง โดยพวกเขาแอบอ้างว่าเป็นช่างทอผ้าซึ่งไม่เพียงแต่สามารถจะถักทอผืนผ้าอันวิจิตรพิสดารเท่านั้น แต่ผ้าทอฝีมือพวกเขายังสามารถจะหลบลี้จากสายตาของคนโง่บรมและคนที่ดำรงตำแหน่งการงานอันไม่เหมาะสมกับตนเองอีกด้วย   

พระราชาได้ฟังคุณสมบัติสุดอัศจรรย์ของผ้าดังกล่าวแล้วก็ชอบใจ จึงตบรางวัลอย่างงามให้ช่างทอกำมะลอไป (แสร้งทำเป็น) ทอผ้าตัดชุดให้ และเมื่อพระราชาส่งเหล่าขุนนางให้ไปดูความคืบหน้า แม้นพวกเขาจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ทุกคนก็ต่างเออออไปกับคำลวงของนักตุ๋นในเรื่องความตระการตาของผลงานนั้นเรื่อยไปจนกระทั่งถึงวันที่ฉลองพระองค์พร้อมให้พระราชาได้ทอดลองสวมใส่ และพระราชาเองแม้มองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์ไม่เหมาะกับยศกษัตริย์หรือเป็นคนเขลา เช่นเดียวกับข้าราชบริพารทั้งหลายที่เลี่ยงความกระอักกระอ่วนด้วยการพร้อมใจกันยกยอความงามของฉลองพระองค์ใหม่เป็นเสียงเดียวกัน แม้จะเห็นเพียงความว่างเปล่าอยู่ตรงหน้า

พระราชาใส่ฉลองพระองค์ล่องหนนี้ไปอวดปวงราษฎร์ ซึ่งต่างก็เคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับคุณสมบัติของมัน และพวกเขาก็พร้อมใจชื่นชมว่ามันดีเลิศประเสริฐศรีเพียงไร

แต่แล้วเด็กคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นว่า พระองค์ไม่ได้ใส่เลยอะไรนี่นา

ทันใดนั้นประชาชนกลับเริ่มกระซิบกระซาบข้อเท็จจริงนี้ต่อๆ กันไป จนในที่สุดคลื่นแห่งสรรพเสียงก็หลอมเป็นมติเอกฉันท์ ที่แท้แล้วพระราชาทรงความเปลือยเปล่า

พระราชาเริ่มปั่นป่วนใจ แต่ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ทำได้เพียงก้าวเดินต่อด้วยท่าทีองอาจภาคภูมิกว่าเดิม! 

2.

เราล้วนไม่อยากรู้สึกด้อยค่าและไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแห่งที่

นิทานเรื่อง ฉลองพระองค์ใหม่ของพระราชา ดำเนินอยู่บนเรื่องเล่าหลอกหลวง ซึ่งก็ล้อเล่นอยู่กับความกลัวในเราทุกคนที่ไม่อยากรู้สึกด้อยค่าและไม่อยากถูกปฏิเสธที่ทางของเราบนโลกใบนี้ 

เห็นได้ว่าด้วยการยอมรับ เรื่องเล่า เท็จอันหนึ่ง (พูดภาษาบ้านๆ ก็คือ โกหกให้ตัวเองดูดี) พระราชาและทุกคนซึ่งปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ก็สามารถจะรู้สึกควรค่ากับตำแหน่งแห่งที่ต่อไป แม้จะยืนอยู่บนเรื่องลวงนั้นได้อย่างไม่มั่นคงทางใจก็ตามที การสมาทานเรื่องเล่าหลักอันหนึ่งที่ตอบสนองอาหารใจ เช่น ความรู้สึกมีค่า ได้รับการยอมรับและได้เป็นส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้โลกภายในของแต่ละคนไม่ปั่นป่วนจนเกินไปนัก

ปฏิสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจสื่อสารสิ่งที่ เราคิด ว่าจริง

เมื่อคนเรามักต้องการอาหารใจ ในความสัมพันธ์ที่มีมารยาทสังคมกำกับอยู่นั้นเราทุกคนก็พอรู้ว่าจะต้องให้อาหารใจคนอื่นในลักษณะเดียวกันกับที่เราต้องการ ยิ่งในบริบทที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ฉลองพระองค์ที่ไม่ดำรงอยู่เลยก็สามารถจะถูกสอพลอว่าสวยงามได้เหมือนที่ผู้คนปั้นแต่งคำสรรเสริญกันว่าวิเศษเลิศเลอแม้น่าเศร้าที่บางทีลับหลังก็พูดถึงกันอีกอย่างหนึ่ง

หากแม้โชคดีได้อยู่ในบริบทที่ไม่ถูกบีบให้ต้องพูดปดมดเท็จใส่กัน อย่างไรเสียเราย่อมล้วนเคยอยู่ใน ห้วงการปฏิสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถสื่อสารสิ่งที่ เราคิด ว่าจริงกับอีกฝ่ายได้ แม้คิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์บางประการ โดยเฉพาะหากมันจะไปกระเทือนตัวตนของอีกฝ่าย (ใช้คำว่าสิ่งที่ เราคิด ว่าเป็น ‘ความจริง’ อาจไม่จริงหรือจริงแค่ในมุมของเรา และใช้คำว่า “ห้วง” ในการสะท้อนชั่วขณะที่รูปแบบนั้นเกิดขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องตายตัวตลอดไป)

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีใครสักคนเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ตะโกนความจริงของเขาขึ้นอย่างไร้เดียงสา?

สารสะกิดใจ และการปกป้องตัวเอง

ในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนอกนิทาน การแสดงความเห็นที่เถรตรงเกินไปแม้เราไม่มีเจตนาทำร้ายคนอื่น แต่ผลแห่งการสื่อสารออกไปโดยไม่ถูกที่ถูกเวลาอาจกลับกลายเป็นการทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อผู้รับสารตีความสารของเราในลักษณะที่ไปกระทบเขา เช่น ตีความว่าเราพูดจาลดทอน “คุณค่า” และทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ถูกยอมรับ โดยเฉพาะในด้านที่เขาต้องการการยอมรับอย่างมาก

ดังนั้น ถึงแม้ระวังการสื่อสารกันอย่างสุดขีดก็อาจเลี่ยงการกระทบใจอีกฝ่ายไม่ได้หากเขามีรอยแผลบางอย่างอยู่แล้ว เช่น ในวัยเด็ก ใครคนหนึ่งเคยถูกผู้ใหญ่ย้ำบอกว่าเขาโง่กว่าพี่น้อง เมื่อเขาในวัยผู้ใหญ่ได้ยินใครสักคนพูดในทำนองที่ทำให้ เขาตีความ (แปลว่าคนพูดอาจจะไม่ได้เจตนาสื่อแบบนั้น) ตอกย้ำรอยช้ำในอดีตของตน เขาก็สามารถจะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ขึ้นมา

หรือบางคนรู้สึกว่าถูกตั้งคำถามกับคุณภาพของการงานอันเชื่อมโยงกับคุณค่าของตน โดยที่ลึกๆ เขาก็ไม่มั่นใจหรือไม่เคารพตัวเองอยู่บางประการ บ้างเคยโดนตำหนิจนฝังใจ (เช่น เคยถูกติว่าไม่มีความรู้หรือถูกเหยียดว่าด้อยความรู้ความสามารถกว่า และได้พยายามพัฒนาตัวเองอย่างสุดแรงมาตลอดชีวิตแล้ว) เมื่อได้รับสารที่ทำให้เขาตีความ เช่นว่า “หาว่าฉันไม่มีวิชาความรู้ และคุณสมบัติอะไรก็ตามพอจะทำงานนี้หรือ?” ก็สามารถจะมีแรงเหวี่ยงขึ้นมาโดยพลัน  

ในชีวิตประจำวันเราทุกคนก็อาจเจอสารจี้ใจและรู้สึกสั่นคลอนเช่นนั้นได้

และเมื่อเราถูกเขย่า เราต่างก็มักจะหาทางปกป้องชุด ‘ความจริง’ อันหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอง และกลับยิ่งคุ้มกันมันอย่างแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลึกๆ เห็นว่ามันเป็นความเท็จที่อาจถูกเปิดโปง นักต้มตุ๋นเข้าใจหัวอกมนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างดี อีกนัยหนึ่งอัตตาของเราเองรู้ดีว่าจะลวงเราด้วยเรื่องเล่าแบบไหน

3.

การสื่อสารที่กระทบกระทั่งกันและกัน และการเติบโตของทั้งสองฝ่าย 

สะเทือน

เวลาที่ เราคิดว่า คนอื่นส่งสารล่วงเกินเรา ในขณะหรือก่อนที่เราจะฟาดฟันกลับไปแบบปกป้องตัวเอง เคยได้ยินเสียงตำหนิตัวเองที่ซ้อนอยู่ไหม? ซึ่งถ้อยคำเฆี่ยนตีตัวเองเหล่านั้นก็สามารถจะเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากคนอื่นในอดีตอีกทอดหนึ่ง  

แล้วอะไรทำให้เสียงของผู้อื่นไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันมีน้ำหนักมากถึงเพียงนั้น ใช่เรื่องราวในใจของเราเองที่ซ้อนอยู่หรือไม่?

มันเป็นสิ่งที่สามารถนำมาตั้งตำถามแม้แต่กับเสียงที่เราได้ยินในความเงียบในการสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตประจำวัน ซึ่งบางทีเขาก็เพียงชายตามองและไม่ได้พูดอะไรกับเรา หรือมองแต่ทำราวกับว่าไม่เห็นเราไปเลย เขาอาจกำลังอยู่ในห้วงคำนึงของตนเองเช่นเดียวกัน และไม่ได้มีเจตนาจะส่งสัญญาณว่าการดำรงอยู่ของเรานั้นไร้ค่าไร้ความหมายหรือปฏิเสธเราแต่อย่างใด 

สำรวจโลกภายในและขยายขอบเขต

เสียงที่มากระทบเราในการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อาจเป็นเสมือนเสียงของเด็กน้อยที่โพล่งความจริงของเขาขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา สวนกระแส และสั่นสะเทือนคนได้ทั้งเมือง ซึ่งทำให้แต่ละคนสามารถตระหนักถึงขอบเขตและแม้แต่แผลเก่าในใจของตน อีกทั้งสามารถเป็นจุดเริ่มต้นสู่การขยายขอบแดนและการเยียวยาบาดแผลในอดีตด้วย โดยหากรู้สึกสะเทือนจากสารภายนอก ก็อาจเริ่มจากการ

  1. ฟังเสียง อันมีอารมณ์ความรู้สึก ความรับรู้ ความคาดหวัง ความปรารถนาที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ฯลฯ อันผุดเกิดขึ้นภายใน 
  2. หาโอกาสไดอะล็อกด้วยความรู้สึกที่แท้จริงกับเพื่อนที่ทำเช่นนั้นด้วยได้ อาจช่วยให้ตกผลึกไวขึ้น 
  3. ในบางกรณีสามารถลองเปลี่ยนมุมมองว่า การที่คนอื่นพูดจากระทบเรา เช่น วิจารณ์ สั่งสอน ลดทอนค่า (ซึ่งบางกรณีอาจเป็นเพียงการตีความของเราเอง) มันทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น และมันคือการที่เขาเห็นว่าเราปลอดภัยที่จะพูดสิ่งนั้นด้วย หรือเขาเห็นว่าเราโตพอจะรับมือกับความจริงของเขาได้และเห็นว่าเรามีศักยภาพในการเติบโต จากที่ใช้ได้อยู่แล้วก็สามารถจะยอดเยี่ยมขึ้นไปกว่านั้นได้อีก 

เราทุกคนมีโอกาสวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อมีสารบางอย่างมากระแทก มันก็ทำให้เราได้ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราสมาทานว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับตัวเอง และเปิดพื้นที่ให้เราเคลื่อนย้ายภาวะหลักของตัวเองสู่ความกว้างใหญ่ขึ้นได้

หรืออย่างน้อยก็ขับเน้นวิถีของเราให้ชัดเจนมากขึ้นว่า เราไม่ต้องการอะไรในชั่วขณะนั้นๆ

อ้างอิง
The Emperor’s New Clothes, a translation of hans christian andersen’s by jean hersholt. 

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ตำนานการสื่อสาร

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี
Voice of New Gen
14 October 2021

เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • เมื่อการขายงานผ่าน NFT กำลังได้รับความนิยม ต่อให้ไม่ใช่คนสายศิลปะคงได้ยินข่าวทำนองว่าขายงานศิลปะได้หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน กระตุ้นต่อมอยากรู้ว่าวงการนี้เป็นอย่างไร
  • ชวนคุยกับ กิม – ฮากีม หมันวาหาบ วัย 15 ปี เป็นศิลปินชาวไทยที่ลงขายงาน NFT ด้วยเช่นกัน โดยงานศิลปะที่กิมทำเป็นแบบ 3D Art หรือภาพศิลปะแบบสามมิติ ซึ่งกิมเรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่ป.6 รู้จักกับงาน 3D Art และ NFT ไปพร้อมๆ กับชีวิตของกิม

NFT หรือ Non – Fungible Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่จุดเด่น คือ การเป็นโทเคน (เหรียญ) ที่ไม่สามารถทำซ้ำหรือคัดลอกได้ เรียกได้ว่ามีชิ้นเดียวในโลก นิยมใช้กับงานในแวดวงศิลปะ ด้วยการนำภาพวาด งานศิลปะต่างๆ เพลง เกม และอื่นๆ มาสร้างเป็น NFT

ในเวลานี้ NFT กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ฝั่งเมืองไทยต่อให้ไม่ใช่คนที่ติดตามวงการศิลปะก็คงเคยได้ยินข่าวทำนองว่า ‘เด็กอายุ… ปีขายงาน NFT ได้แสนกว่าบาท’ อาจทำให้หลายคนหันมาสนใจและอยากรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เพราะมีแนวโน้มว่าการขายงาน NFT อาจกลายเป็น ‘อาชีพ’ ยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ในตอนนี้

กิม – ฮากีม หมันวาหาบ

กิม – ฮากีม หมันวาหาบ วัย 15 ปี เป็นศิลปินชาวไทยที่ลงขายงาน NFT ด้วยเช่นกัน โดยงานศิลปะที่กิมทำเป็นแบบ 3D Art หรือภาพศิลปะแบบสามมิติ ซึ่งกิมเรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่ป.6 

บทสนทนาต่อไปนี้จะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับงาน 3D Art และวงการ NFT และรวมถึงอาจทำให้ใครบางคนลุกขึ้นมาวาดลวยลายงานศิลปะก็ได้

โลก 3D ART

หลังจากได้โน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการท่องโลกของกิมที่กำลังอยู่ชั้นป.3 โดยปกติกิมใช้เล่มเกม หาข้อมูลที่สนใจ และได้รู้จักกับ ‘ครูยูทูบ’

“ยูทูบเนี่ยแหละตัวสำคัญเลย ผมดูและก็เรียนทำตามเขาไปเรื่อยๆ”

วันหนึ่งขณะที่กิมกำลังเล่มเกมซึ่งเป็นสิ่งที่เขาบอกว่าชอบที่สุด เบื้องหลังความสนุกที่ได้รับ คือ ฉากที่อลังการ และการครีเอทตัวละครในรูปแบบต่างๆ ทำให้กิมรู้สึกว่า “เราไม่อยากเป็นแค่คนบริโภค แต่อยากสร้างด้วย อยากรู้ว่าทำยังไงถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้ เราอยากเป็นสายผลิต”

เมื่อแพสชันเกิดขึ้น กิมใช้ของที่อยู่ใกล้ชิดเขาที่สุดในการเริ่มศึกษาว่าการทำกราฟิกในเกมทำอย่างไร นั่นก็คือ ครูยูทูบ ทำให้เขาได้รู้จักกับงานศิลปะที่เรียกว่า ‘3D Art’ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่างานศิลปะแบบสามมิติ ซึ่งความหมายก็ตรงตามตัวเลยว่าเป็นการสร้างงานศิลปะที่มีความเสมือนจริง แตกต่างจากงานศิลปะที่เป็นแบบ 2D ก็คือการวาดภาพบทพื้นงานต่างๆ แต่ 3D จะเป็นการปั้นรูปขึ้นมาเป็นสิ่งต่างๆ ผ่านโปรแกรม เช่น Zbrush, cinema 4D, Blender

“ตอนแรกฝึกปั้นจากวงกลมให้ออกมาเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ ค่อยๆ พัฒนาจนสามารถสร้างโมเดล (คำเรียกชิ้นงาน 3D Art) ใส่ดีเทล เทกเจอร์ต่างๆ หรือกระดูกทำให้มันเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต (ภาษาคนทำ 3D art จะเรียกกระดูกว่า Rigging)

“เสน่ห์ของ 3D Art ในมุมผม คือเหมือนเราได้สร้างสิ่งๆ หนึ่งในคอมพิวเตอร์ด้วยวัตถุดิบที่ไม่จำกัด สร้างสิ่งที่เกิดขึ้นในจินตนาการของเรา โดยที่ไม่ใช่การวาดด้วยดินสอ”

สัตว์ประหลาดต่างๆ ที่ทำให้เราตื่นตาในโลกภาพยนตร์ การสร้างโลกที่ไม่มีอยู่จริง การสร้างฉากและตัวละครในเกม รวมถึงการ์ตูนที่สมจริงเหมือนคน ทั้งหมดคืองาน 3D Art 

กิมแชร์ช่องยูทูบที่เขาเริ่มเรียนทำ 3D Art CG Shortcuts, New Plastic, Josh Pierce ส่วนใหญ่จะเป็นยูทูบเบอร์ต่างชาติ ทำให้ความยากของการเรียน 3D Art คือ กำแพงภาษา กิมเล่าว่า หาคนสอนในยูทูบที่เป็นคนไทยไม่ค่อยเจอ ทำให้ต้องเรียนกับชาวต่างชาติ ซึ่งข้อดีได้พัฒนาทักษะภาษา

ถ้ามีโอกาสลองเข้าไปชมผลงานของกิมผ่านแอ็กเคานต์อินสตาแกรม hakkemwahab ภาพที่เราจะได้เห็น คือ โมเดลที่เป็นโครงกระดูกต่างๆ ให้ความรู้สึกดูหลุดจากความเป็นจริง กิมเรียกงานที่เขาทำว่าเป็นแนวไซไฟ (Sci – Fi หรือ Science Fiction เป็นไอเดีย เรื่องราวที่แต่งขึ้น โดยตั้งอยู่บนฐานคิดทางวิทยาศาสตร์)

งานของกิมจะเป็นการผสมผสานระหว่างการดึงสิ่งที่เขาชอบมาปั้นเป็นโมเดลต่างๆ นั่นก็คือความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ตำนาน และนักปราชญ์ต่างๆ 

“ผมชอบใช้พวกรูปปั้น หรือว่านักปราชญ์ เพราะมันโดนใจเราตรงที่มีสิ่งพวกนี้มีสตอรี่ในตัวมันเอง เช่น ผมชอบนักปราชญ์คนหนึ่งชื่อว่า Chrysippus เป็นนักปราชญ์ที่ตายเพราะหัวเราะ ผมชอบสตอรี่ของเขาก็เลยเอามาปั้นเป็นโมเดล ใส่หัวกะโหลกให้เขา”

กิมหยิบผลงานที่เขาชอบมาที่สุดมาเล่าให้เราฟัง เป็นงานที่เอานักปราชญ์ชาวกรีกชื่อว่า Chrysippus มาปั้นทำงาน 3D Art เพื่อส่งเข้างานประกวดที่จัดโดยศิลปินในดวงใจเขา Billelis ถึงแม้จะไม่ชนะในการประกวด แต่ผลงานชิ้นนี้ก็ยังคงติดอันดับหนึ่งผลงานที่กิมชอบมากที่สุด 

ทำไมถึงชอบละ? – เราพยายามหาคำตอบ เพราะรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากตัวกิมเมื่อเขาพูดถึงผลงานชิ้นนี้ มีทั้งความสุข สนุก และภูมิใจที่ได้ทำ กิมเพียงแต่ยิ้มให้เราและตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเราชอบชิ้นนี้มากๆ ภูมิใจที่ได้ทำ”

โลก NFT

NFT แพลตฟอร์มลงงานที่กำลังมาแรงในหมู่คนทำงานศิลปะ กิมเป็นคนหนึ่งที่นำงานไปลง เขาเล่าว่ารู้จัก NFT ตอนอ่านข่าวศิลปินที่ชื่อว่า Beeple ขายงานได้ราคา 2 พันล้านบาทผ่าน NFT ทำให้กิมสนใจเช่นกัน เขาทดลองลงขายงานทั้งหมด 4 ชิ้น ผลตอบรับมีคนซื้อผลงานของเขาทั้งหมดโดยคอลเลกเตอร์คนไทย (คำที่ใช้เรียกคนที่ซื้อผลงาน NFT) ตกชิ้นละประมาณหนึ่งหมื่นบาท

ความรู้สึกตอนขายผลงานชิ้นแรกได้เป็นยังไง – เราถามกิม

“ตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นวิ่งไปบอกพ่อบอกแม่ ดีใจสุดๆ ได้เงินก้อนแรกงาน NFT” ประกายในแววตากิมยังคงปรากฏร่องรอยให้เราเห็น ถึงแม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านไปแล้ว

แม้ผลตอบแทนจะเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้กิมสนใจ NFT แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุด คือ NFT เป็นเสมือนประตูที่เปิดกว้างให้คนที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนได้เห็นผลงานของกิม เป็นเหมือนสนามที่ทุกคนสามารถลงแข่งด้วยกัน

“มีคนต่างชาติมาคอมเมนต์ในไอจีผมว่าสุดยอด เท่ อ่านแล้วเราก็รู้สึกดีสุดๆ นะ ที่มีคนรู้สึกดีกับงานเรา”

โลกรอบข้างของกิม

นอกจากงาน 3D Art ที่กิมรัก ‘คอมพิวเตอร์’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กิมรัก อาจจะมากกว่างานศิลปะด้วยซ้ำ กิมเล่าว่าเพราะความชอบในคอมพิวเตอร์เนี่ยแหละ ที่ทำให้เขารู้จักกับ 3D Art และเป็นทักษะสำคัญในการทำงานศิลปะดังกล่าว

“มีพี่ที่โรงเรียนผมคนหนึ่งเขาเป็นเซียนคอมพ์เลยแหละ ผมชอบเวลาเขาเขียนโค้ดให้ดูแล้วบนหน้าจอก็ออกมาแบบหนึ่ง ทำให้ผมสนใจอยากทำแบบพี่เขาได้”

ที่หาดใหญ่วิทยาคาร โรงเรียนที่กิมเรียนตอนนี้ มีเปิดสอนวิชา Coding (การเขียนชุดคำสั่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์) ทำให้เขาได้ขยับเข้าใกล้สิ่งที่ชอบ ประกอบกับโรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งชมรมที่สนใจและมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญมาช่วยสอนนักเรียนด้วย

“ผมเคยสร้างเกมส่งอาจารย์ เป็นเกมผีเอาไว้แกล้งเพื่อน (หัวเราะ) เราเซ็ตคำสั่งว่าถ้าคนเล่นเดินผ่านจุดนี้จะมีผีออกมาแกล้ง” 

ที่ขาดไม่ได้ คือ คนที่ให้อุปกรณ์กิมทำให้กิมได้รู้จักและทำงานศิลปะ ก็คือพ่อแม่ กิมบอกว่าตัวเขาโชคดีที่พ่อแม่ปล่อยให้ทำสิ่งที่อยากทำ “ผมชอบคอมพ์อยู่แล้ว แม่ก็สนับสนุนว่าจะชอบคอมพิวเตอร์จริงๆ ไปสายนั้นเลยก็ได้ คือปล่อยเราเต็มที่ โน้ตบุ๊กที่ได้มาเพราะบอกว่าเราอยากได้ เขาก็ซื้อให้มา”

โลกอนาคตของกิม

“ผมอยากลองปั้นโมเดลแล้วเอามาจัดถ่ายรูปให้ภาพออกมาแนว cinematic (cinematic photography การถ่ายภาพโดยจัดองค์ประกอบให้เหมือนภาพยนตร์ ให้ความรู้สึกที่ลึกกับคนดู) แพนกล้องช้าๆ โชว์โมเดลของเรา” กิมเล่าถึงแพลนงานชิ้นต่อไปของเขา ที่คราวนี้จะขยับไปทำงานอีกฝั่ง การจัดโชว์แสดงผลงาน ทำให้เราสงสัยว่ากิมอยากจัดโชว์แสดงผลงานของตัวเองไหม นอกจากแพลตฟอร์มอย่างอินสตาแกรมและ NFT

“อยากเหมือนกันครับ ไปจัดนิทรรศการในห้องเล็กๆ สักห้องหนึ่ง เอาผลงานขึ้นจอให้คนมาดู แต่คงต้องโตก่อนนะ (หัวเราะ) เพราะที่สงขลาคนสนใจน้อย ถ้าไปกรุงเทพฯ แถวภาคกลางคงมีคนสนใจบ้าง ผมเห็นในกรุงเทพมีจัดนิทรรศการศิลปะเต็มไปหมดเลย แถวบ้านผมคือไม่มีเลย (หัวเราะ)”

ส่วนแพลนอนาคตของกิม เขาตั้งเป้าว่าอยากเป็นศิลปินที่มีชื่อระดับโลกเช่นเดียวกับไอดอลของเขา ก่อนจะไปถึงความฝันนั้น กิมขอทำความฝันหนึ่งให้เป็นจริงก่อน “จะมีเว็บๆ หนึ่ง ที่คนในวงการ 3D Art บอกว่าเข้ายากมาก (เน้นเสียง) เป็นเว็บที่ศิลปินดังๆ เข้าไป ผมก็อยากเข้าเว็บนั้นให้ได้ด้วย” กิมกล่าวทิ้งท้าย

Tags:

ศิลปะ3D ArtNFTวัยรุ่นศิลปิน

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Everyone can be an EducatorLife classroom
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Everyone can be an Educator
    บัว วรรณประภา ตุงคะสมิต: Papercutting Art จากมุมมองของโลกจิ๋วๆ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

    เรื่อง ศิริกร โพธิจักร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

    เรื่องและภาพ PHAR

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

‘นราทิป ชูช่วง’ กลุ่มเยาวชนคนชายเล อาสาแปลงร่างเศษขยะเป็นประติมากรรมชายหาด
Creative learningVoice of New Gen
14 October 2021

‘นราทิป ชูช่วง’ กลุ่มเยาวชนคนชายเล อาสาแปลงร่างเศษขยะเป็นประติมากรรมชายหาด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ประติมากรรมรูปปลาที่ตั้งเด่นเป็นสีสันบน หาดกาสิง จังหวัดสตูล ทำมาจากเศษขยะในท้องทะเลที่ถูกพัดพามาเกยตื่นในหน้ามรสุม ไอเดียโดย แดน – นราธิป ชูช่วง วัย 19 ปี หนึ่งในแกนนำเยาวชนคนชายเล กับการทำ โครงการสิ่งประดิษฐ์จากเศษขยะจากหาดกาสิง
  • “ผมเห็นด้วยตาว่าขยะไม่มีวันหมดสิ้น เก็บแล้วก็มีมาอีก แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ยกตัวอย่างชิ้นงานที่ผมเอาขยะมาประกอบกันเป็นเกล็ดปลา กลายเป็นประติมากรรมที่เป็นแหล่งเช็คอินใหม่”
  • ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กหนุ่มชาวเลอย่างแดน แม้หลายคนอาจกำลังคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่เยาวชนกลุ่มนี้ได้คิดและลงมือทำจนเกิดเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชายหาดของพวกเขา

ประติมากรรมรูปปลาขนาดใหญ่ ลำตัวทำมาจากรองเท้ายางสีสันหลากหลาย เขียว น้ำเงิน ชมพู ขาว ดำ บางข้างเป็นลายสลับสี ส่วนท่อนหัวและหางสานขึ้นเป็นลายตารางจากที่รัดวัสดุ ปลาตัวนี้ตั้งอยู่บนคานไม้ที่มีป้ายชื่อ “หาดกาสิง” แขวนไว้

แดน – นราธิป ชูช่วง

แดน – นราธิป ชูช่วง ในวัย 19 ปี เป็นเจ้าของไอเดียผลงานชิ้นนี้ เขาและเพื่อนๆ เก็บวัสดุทั้งหมดจำนวนมากได้จากชายหาด อ่านไม่ผิด…ประติมากรรมรูปปลาที่ตั้งเด่นเป็นสีสันบน หาดกาสิง บ้านบ่อเจ็ดลูก ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล ทำมาจากเศษขยะในท้องทะเล (แค่ส่วนหนึ่ง) ที่ถูกพัดพามาเกยตื่นในหน้ามรสุมที่มีเข้ามาถึงปีละ 2 ครั้ง

“อันดับหนึ่ง คือ ขยะเลยครับ ขยะพลาสติกมีจำนวนมาก เช่น ขวดน้ำ โฟม รองเท้ายาง เชือกก็มี ส่วนถ้าเป็นไม้มีทั้งไม้ท่อนใหญ่ จากซากเรือ และกิ่งไม้” แดน อธิบาย 

บ้านบ่อเจ็ดลูกเป็นเกาะเล็กๆ สมัยก่อนเรียกว่า ‘ตาลากาตูโหย๊ะ’ ตามภาษามลายู ทิศเหนือติดกับบ้านสนใหม่ ตำบลแหลมสน ทิศใต้กับทิศตะวันตกติดกับทะเลอันดามัน ส่วนทิศตะวันออกติดกับบ้านปิใหญ่ ตำบลกำแพง บ้านบ่อเจ็ดลูกเป็นหนึ่งในหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว มีหาดกาสิงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ด้วยมีน้ำทะเลสีเขียวอมฟ้าใส นอกจากชายหาดแล้วยังมีถ้ำ หน้าผา แหล่งปะการัง และแหล่งหอยตะเภาที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่

ที่มาของชื่อ ‘บ่อเจ็ดลูก’ มีประวัติความเป็นมาที่ถือเป็นต้นกำเนิดของชุมชนแห่งนี้ เล่ากันว่ามีชาวเลเผ่ามอแกนซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เดินทางมาบนเกาะแห่งนี้เพื่อเสาะหาแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ แต่ขุดเท่าไรกลับพบแต่น้ำกร่อย กระทั่งขุดไปจนถึงบ่อที่เจ็ดจึงพบน้ำจืดให้ได้ประทังชีวิต ปัจจุบัน “โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก” ยังคงปรากฏเป็นร่องรอยให้ระลึกถึงเรื่องเล่าขานต่อกันมาของชุมชน

เศษขยะที่ (ไม่) ไร้ค่าบนหาดกาสิง

เมื่อถามว่า ปกติคนในชุมชนไปทำอะไรที่หาดกาสิง แดน หนึ่งในแกนนำเยาวชนคนชายเล บอกว่า “ไปหาหอยท้ายเภา หอยเจดีย์ หาปลา หรือไปเดินเก็บไม้มาทำฟืน เก็บขวดพลาสติกมารีไซเคิล”

จากถ้อยคำที่แดนสื่อสารออกมา ฉายให้เห็นภาพธรรมชาติ ระบบนิเวศน์ในน้ำที่เกื้อกูลผู้คน ขณะเดียวกันก็ยังมีสิ่งแปลกปลอมซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการใช้สอยของมนุษย์ ด้วยเห็นความสำคัญในทรัพยากรธรรมชาติรอบตัว แดนไม่อยากให้เศษขยะเหล่านี้กลายภาพชินตา จนโดนมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำอีก 

“ผมขี่รถตามชายหาดทุกวัน เห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ ขัดหูขัดตา รู้สึกรับไม่ได้แล้ว เพราะขยะมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก่อนนี้ผมเคยเก็บพวกไม้มาทำโต๊ะ ทำให้เกิดเป็นชิ้นงานขึ้นมา ตอนนั้นยังทำคนเดียวไม่ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ” แดน เล่าถึงความชอบส่วนตัว

กว่าจะมาเป็นกลุ่มเยาวชนคนชายเล ลุกขึ้นมาทำ โครงการสิ่งประดิษฐ์จากเศษขยะจากหาดกาสิง ด้วยแนวคิดที่ไม่ซับซ้อน คือ เปลี่ยนเศษขยะ เศษไม้ มาเป็นสิ่งประดิษฐ์ ก่อนหน้านี้กลุ่มเยาวชนเคยรวมกลุ่มกันทำโครงการศึกษาการใช้ประโยชน์จากสีธรรมชาติเพื่อนำมาทำผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมของฝากประจำชุมชนมาก่อน แดนเป็นหนึ่งในทีมงานที่มาเข้าร่วมโครงการในระยะหลัง และยังคงทำโครงการต่อเนื่องมาถึงปีที่สอง

“หมู่บ้านผมเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวแล้วก็กลับ เหมือนมาเที่ยวเฉยๆ โครงการปีแรกกลุ่มเยาวชนเลยคิดขึ้นมาว่าหาของฝากให้กับหมู่บ้านหรือทำเป็นสินค้าโอท็อปน่าจะดี ครั้งแรกเพื่อนมาปลุกถึงที่นอน ให้ไปหาไม้ฟืนในหาดมาช่วยก่อไฟเพื่อต้มสี ผมก็ไป ทำๆ ไปเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมา เพราะปกติไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เล่นโทรศัพท์อย่างเดียวมันน่าเบื่อ เย็นๆ ค่ำๆ มีอะไรทำมากกว่าเล่นโทรศัพท์ ผมก็ชอบ

“ในหมู่บ้านมีกลุ่มเยาวชนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจากรุ่นสู่รุ่น แต่รุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่ทำอยู่ เพราะรุ่นพี่ออกไปเรียนต่อนอกชุมชนกันแล้ว เลยไม่ว่าง ผมคิดว่าโครงการแบบนี้ช่วยพัฒนาหมู่บ้านได้ ในเมื่อไม่มีรุ่นใหญ่สานต่อ ผมก็เลยทำต่อ มีช่วงที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยวบ้าง แต่เพื่อช่วยหมู่บ้านให้ดีขึ้น ผมก็อยากทำเพราะที่นี่คือบ้านที่เราอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีพวกผมก็คงไม่มีใครทำแล้ว” 

“ในส่วนของขยะชายหาด สถานที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่แล้ว เราอยากทำให้หาดดูสะอาดตายิ่งขึ้น เพราะภาพที่เห็นมันไม่สบายตา บางครั้งคนเอาขยะไปเผา เอาขยะมาทิ้งตามหาด ถ้าเราเก็บขยะพวกนี้ไปทำลายก็ได้แค่นั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นมา พวกเราเลยมาคิดกันว่าขยะพวกนี้นำมาทำอะไรได้บ้าง เช่น นอกจากเอาไม้มาทำถ่านทำฝืน อาจทำอย่างอื่นได้หลายๆ อย่าง ส่วนตัวผมชอบประดิษฐ์อยู่แล้ว ผมเลยคิดว่าเศษขยะต่างๆ สามารถนำมาทำประโยชน์ได้อีก” แดน เล่าย้อนความเชื่อมโยงถึงที่มาของโครงการในปีที่สอง

ตามหาวัตถุบันทึกความทรงจำที่หาดกาสิง

“ถึงแล้ว”

ข้อความบนป้ายไม้ ผลงานชิ้นแรกจากการนำเศษซากเรือริมหาดมาเขียนข้อความ แล้วนำกลับไปใช้ประโยชน์จนดูโดดเด่นน่ามอง 

“ผมเห็นด้วยตาว่าขยะไม่มีวันหมดสิ้น เก็บแล้วก็มีมาอีก แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ยกตัวอย่างชิ้นงานที่ผมเอาขยะมาประกอบกันเป็นเกล็ดปลา กลายเป็นประติมากรรมที่เป็นแหล่งเช็คอินใหม่ 

“เพราะหาดกาสิงมีนักท่องเที่ยวมาอยู่แล้ว งานของเราทำให้นักท่องเที่ยวมีจุดถ่ายรูปใหม่ๆ ขยะลดลงมองแล้วสบายตาขึ้น พอเขาได้เห็นก็รู้ว่านี่คือขยะ ถ้าคนไม่หยุดใช้ ขยะชายหาดไม่มีวันหมด ตอนแรกคิดว่าเอาขยะมาทำเป็นรายได้ แต่ได้รับความสนใจน้อย เลยหันมาทำสื่อให้กับหมู่บ้านดีกว่า” แดน เล่าถึงแนวคิดของกลุ่ม

  • ป้ายไม้ ขนาดต่างๆ บางป้ายทาสี บางป้ายใช้เชือกมาขด ตอกตะปูทับเป็นตัวอักษร
  • กระถางและจานรองกระถางต้นไม้
  • เศษไม้ที่ประกอบกันเป็นนก
  • ศิลปะลอยน้ำ เช่น พวกกุญแจจากไฟแช็ค 
  • หรือของชิ้นใหญ่ อย่าง โพเดียม

เป็นลิสต์รายการชิ้นงานที่กลุ่มเยาวชนคนชายเล ค่อยๆ ผลิตขึ้นจากเศษขยะที่เก็บได้ในแต่ละครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าวัตถุแต่ละชิ้นมีที่มาจากไหน แต่หากวัตถุเหล่านั้นบันทึกเรื่องราวไว้ได้ คงมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นตลอดการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ฝ่าลมมรสุมจนมาเกยตื้นที่หาดกาสิง 

“ขวดพลาสติก ขวดไหนขายได้พวกผมแยกออกมาขาย ส่วนที่ทำไม่ได้ก็เอามาทำเป็นกระถางต้นไม้ จานรองกระถาง ในส่วนของไม้แยกได้หลากหลาย เช่น ไม้แผ่นใหญ่เอามาสร้างขนำ (ที่พัก) เหมือนที่ผมอยู่ ไม้แผ่นยาวเอามาทำเป็นป้าย ชิ้นเล็กๆ เอามาทำที่วางของ ประกอบกันเป็นโต๊ะ ส่วนรากไม้เอามาทำเป็นขาโต๊ะครับ ไฟแช็คและของเล่นที่ลอยมาติดชายหาด เอามาทำสีลอยน้ำ รองเท้าเอามาทำเป็นชิ้นงานลักษณะเหมือนเกล็ดปลาซึ่งเป็นงานปะติดเป็นปลาตัวใหญ่” แดน เล่าถึงวิธีการจัดการขยะ

ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กหนุ่มชาวเลอย่างแดน แม้หลายคนอาจกำลังคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่เยาวชนกลุ่มนี้ได้คิดและลงมือทำจนเกิดเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชายหาดของพวกเขา

“ขั้นตอนแรกเริ่มจากนัดประชุมกับเพื่อนที่บ้านก่อน ก็มีเรื่องขยะที่รู้สึกขัดตา โดยเฉพาะช่วงมรสุม เราอยากทำอะไรได้มากกว่าที่เคยทำ เลยมาคิดว่าจะทำอะไรกันดี พวกไม้และขยะนำมาทำอะไรได้บ้าง หลังจากนั้นก็ไปลงพื้นที่ พบว่ามีวัสดุที่เป็นเศษขยะต่างๆ มากกว่าที่คิด นอกจากไม้แล้วยังมีพลาสติก รองเท้า โฟม หรือแม้กระทั่งไฟแช็ค กลับมาเลยมาคิดกันต่อว่าของต่างๆ ที่พบบนชายหาด จะเอามาทำอะไรได้บ้าง โฟมทำอะไรได้บ้าง ไม้ทำอะไรได้บ้างนอกจากเอามาทำไม้ฟืนอย่างเดียว โดยเฉพาะขวดพลาสติกมีเยอะมาก ขวดสีขาวขายได้ และขวดที่เป็นสีๆ คิดว่าจะเอามาทำอะไรได้ ทำให้ต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ไปศึกษาว่าไม้ โฟมและขวดน้ำนำไปทำอะไรได้อีก สิ่งที่เราทำได้เอง เราก็ทำไปก่อนเปลี่ยนขยะให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง” แดน อธิบายขั้นตอนการทำงาน

แดน เล่าว่า พวกเขานำข้อมูลที่เก็บได้มารวมกัน เพื่อคิดหาไอเดียว่าจะนำมาใช้ประโยชน์หรือพลิกแพลงเป็นอะไร ไอเดียส่วนหนึ่งได้มาจากการไปศึกษาดูงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่พวกเขาเรียกติดปากว่า ครูต้อย วังสายทอง (ตำบลน้ำผุด อำเภอะงู จังหวัดสตูล) โดยเฉพาะชิ้นงานทำจากไม้ กะลามะพร้าว และเทคนิคการทำศิลปะลอยน้ำ ซึ่งแดนและเพื่อนๆ ได้นำความรู้ส่วนนี้ไปถ่ายทอดให้กับน้องๆ นักเรียนชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนตาดีกาของชุมชน ส่วนงบประมาณจากโครงการส่วนหนึ่งนำไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการทำสิ่งประดิษฐ์ เช่น สีน้ำมัน เป็นต้น 

“ในโรงเรียนไม่ได้ทำงานไม้แต่ให้น้องๆ ทำงานศิลปะ พวกเราเตรียมสีน้ำมัน ที่คล้องพวงกุญแจ กากเพชร สีสเปรย์เคลือบเงา และวัสดุจำพวกขยะที่เก็บได้ เช่น ไฟแช็คและขวดน้ำที่มีเกลื่อนเต็มหาด นำมาล้าง แล้วสอนน้องๆ ทำศิลปะลอยน้ำ หยดพ่นสีหลายๆ สีลงในอ่างน้ำ หลังจากนั้นเอาไฟแช็คหรือวัสดุที่เตรียมไว้จุ่มลงในอ่าง วัสดุจะติดสีขึ้นมามีลวดลายโค้งไหวตามธรรมชาติ พวกผมใช้สีน้ำมันทำลวดลาย เอาไฟแช็คจุ่มลงไป แล้วนำมาทำเป็นพวงกุญแจ

“ผมอยากให้น้องๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และได้รับความสนุกสนาน มีความคิดเป็นของตัวเอง และอยากให้น้องๆ รู้ว่าชายหาดขยะที่สามารถนำมาทำอะไรได้อีกเยอะ” 

เรื่องราวของแดนและกลุ่มเพื่อนๆ เยาวชน ชวนให้นึกถึง มาร์แชล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ศิลปินชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน ผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อวงการศิลปะสมัยใหม่มากที่สุดคนหนึ่ง ผลงาน Fountain (1917) โถสุขภัณฑ์กระเบื้องเคลือบสีขาวหน้าตาธรรมดา ที่วางบนแท่นโชว์ พร้อมลายเซ็นต์ R. Mutt ได้รับการโหวตให้เป็นงานศิลปะสมัยใหม่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20 ฉีกทุกกฎความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะที่มีต่อผู้คน โดยเฉพาะที่มองว่าศิลปะคือความสวยงามเท่านั้น ความช่างคิดที่สวนกระแสทำให้ดูชองป์ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของศิลปะแนวคอนเซ็ปชวล (Conceptual Art) หรือศิลปะร่วมสมัย และทำให้เกิดศิลปะแนวทางใหม่ที่เรียกว่า ‘Readymades’ หรือการนำวัตถุและวัสดุที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน อะไรก็ได้รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม กระดาษ แจกัน ไม้ขีดไฟ ฯลฯ มาทำให้กลายเป็นศิลปะ 

สิ่งที่ดูชองป์นำเสนอผ่านงานศิลปะของเขา ต้องการสื่อสารให้เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่ศิลปินเห็นว่ามีคุณค่าพอ สิ่งนั้นสามารถเป็นศิลปะได้ แล้ววัตถุเหล่านั้นก็กลายเป็น ‘Found Object’ ที่ถูกค้นพบโดยศิลปิน หลังจากนำมาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานโดยผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด 

แม้ความฝันของแดนจะไม่ใช่การเป็นศิลปินระดับโลก แต่ความคิดและสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้ลงมือหยิบจับเศษขยะบนชายหาดมาสร้างคุณค่าใหม่ เพื่อพัฒนาชายหาดบ้านเกิดของตัวเองก็ไม่แพ้ใครในโลก

อย่างไรก็ตาม แดนที่มีความคิดสร้างสรรค์และใส่ใจสิ่งแวดล้อมในวันนี้ ไม่ใช่แดนในมุมที่ผู้ใหญ่มองเห็นก่อนหน้า เขาเคยนำเศษไม้ริมหาดมาสร้างเป็นขนำเล็กๆ ไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่กลับถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุม อาจเพราะความเป็นวัยรุ่นและบุคลิกลุยๆ ห้าวๆ กับมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ส่งให้ภาพลักษณ์ของแดนถูกตัดสินจากภายนอกในทางไม่สู้ดีนัก แต่เพราะเขามีแรงขับลึกๆ ภายในที่อยากกอบกู้ธรรมชาติและนำความสวยงามกลับคืนสู่หาดกาสิง ชายหาดที่เปรียบเสมือนชีวิตของผู้คนในชุมชน สิ่งที่แดนและเยาวชนคนชายเลร่วมมือกันสร้างสรรค์จึงค่อยๆ ปรากฏแก่สายตาคนในชุมชนในเชิงสร้างสรรค์ แถมยังสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ 

“เมื่อก่อนผมขี่มอเตอร์ไซค์แว้นไปมาอย่างเดียว ไม่คิดอะไรขอแค่สนุก พอมีโครงการเข้ามาก็ได้เปลี่ยนตัวเอง ไม่อยากให้คนอื่นมองไม่ดีและดูถูก ที่ทำไปก็เพื่อลบคำดูถูกด้วย สำหรับสิ่งที่อยากทำต่อผมอยากให้ชายหาดมีที่นั่งเพิ่ม ตอนนี้มีแต่นั่งพื้นปูเสื่อ บางทีมีคนมากางเต้นท์ เลยอยากทำที่นั่งจากไม้วางไว้สำหรับกินกาแฟ ดูวิวตอนเช้า 

ชายหาดบ้านผมไม่มีกำแพงกั้น เป็นหาดธรรมชาติจริงๆ ซึ่งถือเป็นจุดเด่น เพราะละแวกนี้มีแค่หาดกาสิงกับหาดแหลมสนที่เป็นหาดแบบไม่มีสิ่งปลูกสร้างเลย การที่ผมได้มาทำกิจกรรมแบบนี้ มาทำงานจิตอาสาช่วยหมู่บ้าน ทำให้ผมมีความสุข” แดน กล่าวทิ้งท้ายอย่างจริงจังและจริงใจ

Tags:

active citizenสิ่งแวดล้อมสตูล

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character buildingCreative learning
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”
How to get along with teenager
13 October 2021

ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เด็กคนหนึ่งยืนหยัดเพื่อตัวเขาเองได้ คือ การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-value) เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ เช่น ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เรารัก
  • การมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากแต่ก็ต้องได้รับการสร้างและพัฒนา โดยต้องได้รับความรัก การช่วยเหลือ การสอน และการมีแบบอย่างที่ดีจากผู้เลี้ยงดูหลัก ‘พ่อแม่’ หรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ
  • พ่อแม่เป็นบุคคลแรกในชีวิตของลูกที่จะช่วยเติมเต็มการมองเห็นคุณค่าตัวเองในขั้นแรกสุด โดยการรักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางกาย ในวันที่ลูกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เด็กๆ ที่เติบโตขึ้นบนโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน หากพวกเขาสามารถรักษาใจของเขาให้เข้มแข็งและมั่นคงเพียงพอ เขาจะสามารถเติบโตต่อไปเป็นตัวเองที่มีความสุขได้ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เด็กคนหนึ่งยืนหยัดเพื่อตัวเขาเองได้ คือ ‘การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง’

การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-value) หมายถึง บุคคลรับรู้ถึงการมีคุณค่าในตัวเอง ทำให้ตัวเองเชื่อว่า “ตนนั้นมีคุณค่า”

ความสำคัญของการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง

  1. เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะยอมรับในตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจในชีวิต
  2. เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ เช่น ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เรารัก
  3. เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะไตร่ตรองก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น ยิ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราจะไม่อยากทำมัน เพราะเรารู้ว่าตัวเรานั้นมีค่ามากพอที่จะไม่ไปทำสิ่งที่ไม่ดี
  4. คุณค่าที่เรารับรู้เกิดจากภายใน ทำให้เมื่อภายนอกมากระทบเรา เราจะไม่หวั่นไหวต่อการกระทบนั้น เช่น ถ้าเรารับรู้ว่า เรามีความสามารถ และเราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เมื่อคนมาบอกเราว่า “ไอ้ขี้แพ้” “ไอ้คนไม่เอาไหน” เราจะรู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่เป็นความจริง และไม่ควรค่าพอจะเอาเก็บมาคิดหรือใส่ใจ
  5. ไม่เพียงแค่ตัวเราที่รับคุณค่าในตัวเอง แต่เรารับรู้ว่าผู้อื่นสามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเราเช่นกัน ทำให้เราอยากทำสิ่งดีๆ เพื่อส่วนรวมอีกด้วย
  6. เมื่อรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเองแล้ว การรับรู้จะแผ่ขยายไปสู่การรับรู้ถึงคุณค่าของผู้อื่นเช่นกัน

การมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากแต่ก็ต้องได้รับการสร้างและพัฒนา โดยต้องได้รับความรัก การช่วยเหลือ การสอน และการมีแบบอย่างที่ดีจากผู้เลี้ยงดูหลัก ในที่นี้ คือ ‘พ่อแม่’ หรือ ในบางครอบครัวอาจจะเป็นสมาชิกในครอบครัวท่านอื่นๆ เช่น คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณลุงคุณป้า เป็นต้น

แนวทางการสร้างการมองเห็นคุณค่าในตัวเองให้กับเด็กๆ 

ขั้นที่ 1 ให้ความรัก ให้เวลาคุณภาพ ให้การตอบสนอง ในเด็กเเรกเกิด

‘การมองเห็นในคุณค่าในตัวเองต้องเริ่มจาก ผู้อื่นให้ความสำคัญและตอบสนองต่อความต้องการของเขา’

พ่อแม่เป็นบุคคลแรกในชีวิตของลูกที่จะช่วยเติมเต็มในขั้นแรกสุด โดยการรักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางกาย ในวันที่ลูกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ขั้นที่ 2 สอนเด็กช่วยเหลือตัวเอง

‘การมองเห็นคุณค่าในตัวเองพัฒนาได้จาก ผู้อื่นยอมรับในสิ่งที่เขาทำ’

เมื่อเด็กๆ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี พวกเขาจะสามารถพัฒนาการรับรู้ความสามารถในตนเอง และการเป็นที่ยอมรับของสังคม

ขั้นที่ 3 สอนเด็กดูแลข้าวของเครื่องใช้ของตนเองและพื้นที่ที่ตนใช้

เด็กๆ ที่ดูร่างกายของตัวเองพอสมควร เราจะมอบหมายให้เขาดูแลข้าวของเครื่องใช้ (Belongings) และพื้นที่ที่ตนเข้าไปใช้งานได้ เช่น

เมื่อเล่นของเล่นเสร็จ ให้เขาเก็บของเล่นด้วยตนเอง

เมื่อกินข้าวเสร็จ นำจานไปวางในอ่าง แล้วกลับมาเช็ดโต๊ะบริเวณที่เขากิน

เมื่อกลับมาจากโรงเรียน นำของใช้ในกระเป๋าออกมาดูแล จะซัก จะทิ้ง จะจัด เพื่อเตรียมสำหรับวันถัดไป

เมื่อรองเท้า-ถุงเท้าสกปรก เราสอนเขาซักได้ เป็นต้น

เพราะเมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบของๆ ตนเอง และพื้นที่ที่เขาใช้ เด็กจะเรียนรู้ว่า “ตนเองสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร” ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของทุกๆ คนในสังคมก็ว่าได้

ขั้นที่ 4 สอนการดูแลส่วนรวม โดยเริ่มจากงานบ้าน

‘งานบ้าน’ ถือเป็นงานส่วนรวมงานแรกในชีวิตของเด็กเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเด็กทำงานบ้าน เขาได้ทำประโยชน์ให้กับคนที่มาใช้งานพื้นที่นั้น หรือของตรงนั้น เด็กจะรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเองว่า “เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้”

การมอบหมายงานบ้านให้เด็กๆ ทำ ไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ ‘ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ’ เช่น บ้านที่สะอาด การทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติ แต่เพื่อ

‘ให้เด็ก ๆ ฝึกความอดทนอดกลั้น ทำงานบ้านให้เสร็จก่อนไปเล่น’ เพื่อสอนเขาเรื่องหน้าที่และลำดับความสำคัญ

‘ให้เด็กได้ใช้ความพยายามทำสิ่งที่มีคุณค่า’ เพื่อสอนเขาเรื่องการทำให้ตนเองมีคุณค่า ต้องอาศัยความพยายามและและความอดทน

‘ให้เด็กทำในสิ่งที่เขาทำได้ เพื่อผู้อื่นบ้าง’ เพื่อดึงเขาออกจากศูนย์กลาง (Egocentrics) ทำให้เขามองเห็นและเข้าอกเข้าใจผู้อื่นบ้าง

เด็กๆ หลายคน เกิดมาเพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ความอยากช่วยค่อยๆ เลือนหายไป เนื่องด้วย ‘การถูกตำหนิที่ผลลัพธ์ก่อนได้รับการชื่นชมในความตั้งใจทำ’ เพราะพ่อแม่อาจจะลืมไปว่า ผลลัพธ์สำคัญน้อยกว่าความพยายาม เด็กๆ ทำไม่ได้ดี เขาพัฒนาได้ แต่ถ้าเราห้ามเขาทำ บ่นที่เขาทำไม่ได้ดังความคาดหวังของเรา เด็กจะไม่อยากทำมันอีก นานวันไป ก็กลายเป็น ‘เขาไม่ทำมันดี น่าจะดีที่สุด’ เพราะเขาไม่อยากถูกบ่นหรือตำหนิ

ดังนั้น คุณค่าในตนเองเริ่มจาก ‘การทำให้ตนเองมีคุณค่า’ ผ่านการลงมือทำ ช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เป็นภาระของใคร ดูแลของใช้และพื้นที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น และเมื่อดูแลตัวเองและของๆ ตัวเองได้ ก็พัฒนาไปสู่การช่วยเหลือส่วนรวม โดยเริ่มจากงานบ้านเพื่อคนที่บ้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่เขารัก และสุดท้าย แม้จะไม่ได้เกิดกับทุกคน คือ การช่วยเหลือส่วนรวม ซึ่งเป็นบุคคลอื่นๆ ที่เด็ก อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน

“สิ่งที่เด็กลงมือทำคือสิ่งที่มีคุณค่า เมื่อคุณค่าถูกส่งออกไปจากตัวเขาไปสู่ผู้อื่น สิ่งที่ได้รับกลับมา คือ การที่ผู้อื่นรับรู้ถึงคุณค่าในตัวเขา เป็นการยืนยันว่าเขามีคุณค่าในขั้นแรก นานวันเขาไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นมายืนยันคุณค่านั้นอีก เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่า ภายในเขามีคุณค่า”

การรับรู้ถึงความรักที่พ่อแม่มอบให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไข และการรับรู้ความสามารถในตนเอง และการรับรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างเพื่อผู้อื่น ทำให้การมองเห็นคุณค่าในเด็กจะชัดเจนขึ้น และระยะยาวจะส่งผลดีต่อตัวเขา ในวันที่เขาต้องเจอกับปัญหา เขาจะฝ่าฟันมันไปได้ โดยไม่ยอมแพ้เสียก่อน

Tags:

ความเครียดวัยรุ่นการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)Growth mindsetไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร”

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ให้เด็กได้ค้นหาความชอบ แล้วเลือกเรียนในสิ่งที่ใช่ : ครูกุ๊กกั๊ก – ร่มเกล้า ช้างน้อย
Unique Teacher
12 October 2021

ให้เด็กได้ค้นหาความชอบ แล้วเลือกเรียนในสิ่งที่ใช่ : ครูกุ๊กกั๊ก – ร่มเกล้า ช้างน้อย

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เด็กมัธยมฯ ร้อยละ 80 ค้นไม่พบว่าตัวเองชอบอะไร แต่กลับค้นพบว่าตัวเองไม่ชอบอะไรในหลักสูตร เช่น รู้ว่าตัวเองไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หากทำให้เด็กค้นพบความชอบ ความถนัดของตัวเองได้เร็ว เขาจะไม่เสียโอกาสในการพัฒนาตัวเองหรือโอกาสค้นหาวิธีไปให้ถึงปลายทางที่ตั้งไว้
  • ไอเดียจัดแผนการเรียน ‘1 ห้องเรียน 4 สายการเรียน’ ของครูกุ๊กกั๊ก – ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม โปรเจกต์ที่จะช่วยให้เด็กได้ค้นพบความชอบ ความถนัดของตัวเอง สนันสนุนความหลายหลายของผู้เรียน เพราะเราเชื่อว่า “ทุกคนเก่งไม่เหมือนกัน”  
  • “ข้อดีของมันก็คือว่า เราจะมีเพื่อนที่เก่งหลายแบบ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำรายงานหรือว่างานกลุ่มเราจะเห็นมิติมุมมองทางสังคมที่มันมากกว่าเดิม พอเราออกไปทำงานเราจะเข้าใจว่ามันมีคนที่มีวิธีคิดแบบนี้นะ เด็กเองก็ควรจะได้เรียนรู้สังคมแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเราอยากให้เด็กมาสร้างสังคมที่ดียังไง เราก็ต้องทำสังคมในโรงเรียนในห้องเรียนให้เป็นแบบนั้น” 

โตขึ้นอยากเป็นอะไรเอ่ย…? 

ประโยคคำถามที่เด็กๆ มักเจอมาตลอดช่วงชีวิตของการเรียนรู้ในรั้วโรงเรียน ไม่ว่าถูกตั้งให้เป็นหัวข้อในการเขียนเรียงความ หรือชั่วโมงวิชาแนะแนว ซึ่งมองผิวเผินนี่ก็เป็นคำถามที่ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่ต้องใช้สูตรในการแก้สมการ ทว่าสำหรับเด็กบางคนกลับเป็นคำถามที่ตอบยากกว่าที่คิด ยิ่งสิ่งที่เขาอยากเป็นนั้นแปลกแตกต่างออกไป บ้างก็ถูกมองว่าเพ้อฝัน หรือไม่ก็หัวเราะขบขันซะอย่างนั้น   

หากเราลองถามย้อนกลับไปว่า แล้วโรงเรียนซึ่งถือเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นสถานที่ที่จะสามารถจุดประกายเด็กๆ ได้ ส่งเสริมให้เขาตอบคำถามดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหนกัน? 

ครูกุ๊กกั๊ก – ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม หยิบประเด็นที่ว่า…เมื่อเด็กๆ อยู่ที่โรงเรียน มักเจอคำถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” แล้วโรงเรียนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กตอบคำถามนี้ได้จริงหรือมาพูดใน เวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 2 ‘หลักสูตรการศึกษาแบบไหน ช่วยเด็กไทยค้นพบเป้าหมายและศักยภาพของตนเอง?’ โดยสำนักนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับคณะอนุกรรมการสื่อสารและการมีส่วนร่วม ในคณะอนุกรรมการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักสูตรฐานสมรรถนะ) 

(ร่าง) แผนการเรียนที่คิดถึงใจผู้เรียน

ในฐานะตัวแทนของครู ซึ่งมีโปรเจกต์มากมายไม่ว่าจะเป็นการลดภาระของครูให้น้อยลง การสอนข้ามสายวิทย์-ศิลป์ และตอนนี้ครูกุ๊กกั๊กยังมีอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่กำลังรอคิวลงสนาม นั่นคือ แผนการเรียนที่มีชื่อว่า ‘1 ห้องเรียน 4 สายการเรียน’ เพื่อให้ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียน แต่ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงไอเดียที่ผ่านการค้นคว้า สำรวจความเห็น และความต้องการของเด็ก ซึ่งเป็นผู้เรียนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ได้ทดลองใช้จริง เนื่องจากด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่นับว่าเป็นไอเดียดีๆ ที่น่าสนใจไอเดียหนึ่ง 

โดยแรงจูงใจที่ทำให้ครูกุ๊กกั๊กลุกขึ้นมาเขียนแผนการเรียนนี้ เนื่องจากเห็นว่าเด็กมัธยมฯ ร้อยละ 80 ค้นไม่พบว่าตัวเองชอบอะไร แต่กลับค้นพบว่าตัวเองไม่ชอบอะไรในหลักสูตร เช่น รู้ว่าตัวเองไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์

“เราเห็นแล้วว่าเด็กเขาเจอวิชาที่เขาไม่ชอบเยอะ แล้วเราก็ไม่รู้จะช่วยเด็กยังไง เพราะว่าเราเองก็เป็นคนนึงที่ตอนที่เรียนเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยากเป็นครูหรือว่าอยากทำหน้าที่ในการสอนหนังสือ ก็เลยคิดว่างั้นเดี๋ยวเรามาทำหนึ่งห้องเรียนสี่สายการเรียนดีกว่า ต้องย้อนนิดนึงว่าตอนผมไปฝึกสอนได้ฝึกที่โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งซึ่งในสายศิลป์ของเขาวิชาพื้นฐานเรียนด้วยกัน แต่ว่าพอเป็นวิชาพวกภาษาต่างๆ เขาจะเดินแยกห้องกันไปเรียน แล้วผมก็เห็นว่าโรงเรียนสาธิตทำได้ทำไมโรงเรียนรัฐทำไม่ได้ ก็เลยอยากจะทดลองในการทำดู” 

ใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking เริ่มจากความคิดที่ว่า ถ้าเราต้องย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กเราจะต้องคิดเรื่องอะไรบ้างในการที่จะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย หนึ่งวิชาพื้นฐานที่เด็กทุกคนต้องเรียน เช่น คณิตฯ วิทย์ ไทย อังกฤษ สังคม พลศึกษา ศิลปะ การงานฯอาชีพ GAT และวิชาเพิ่มเติมที่เด็กจะต้องเรียนตามสายการเรียน เช่น คณิตฯ เพิ่มเติม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา พื้นฐานวิศวะ พื้นฐานสถาปัตย์ ความถนัดครู วิชาเฉพาะ และภาษาต่างๆ 

“ถ้าเราเป็นเด็กคนหนึ่ง เราจะเป็นเด็กที่ยืนอยู่ในวิชาพื้นฐาน แล้วก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะทำอะไรดี เพราะว่าเส้นทางที่จะวิ่งออกไปหาอาชีพมันไปได้หลายแบบมากๆ นี่คือระบบการสอบเข้าเมื่อสักปีสองปีที่แล้วจากที่ผมหาข้อมูลมา แล้วก็ทำออกมาเป็นแผนภาพ เด็กก็โอ้โห…เครียดเลยเมื่อเห็นแผนภาพอันนี้ แต่ถ้าเกิดเขาค้นพบตัวเองก่อนจะง่ายกว่านั้น” 

ยกตัวอย่าง ถ้าเด็กคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองอยากเข้าคณะบัญชีฯ เขาจะมีเส้นทางวิ่งกลับไปแค่สองทาง เช่น ต้องเรียนวิชาพื้นฐานและเรียนวิชาคณิตฯ เพิ่มเติม เหมือนเป็นการรู้ว่าปลายทางของเราคืออะไร แล้วจะทำอย่างไรให้ไปถึงปลายทางนั้น หากทำให้เด็กค้นพบความชอบ ความถนัดของตัวเองได้เร็ว เขาจะไม่เสียโอกาสในการพัฒนาตัวเองหรือโอกาสค้นหาวิธีไปให้ถึงปลายทางที่ตั้งไว้ 

“ลองนึกภาพถ้าเด็กคนหนึ่งนึกไม่ออกว่าตัวเองอยากเรียนอะไรก็เรียนสายวิทย์ไปก่อน เรียนกว้างๆ ไว้ก่อน พอเข้ามหาลัยไปปุ๊บเรียนไปสี่ปีก็ไม่ใช่ ทำงานไปอีกสามปีก็ไม่ใช่ 

สุดท้ายเขาก็ค้นไม่พบว่าตัวเองอยากทำอะไร กลายเป็นปัญหาในระดับชาติเลยว่าเรามีแรงงานที่ไม่มีศักยภาพในการทำงานบางอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราทำย้อนกลับมาที่หลักสูตรว่าถ้าเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ตั้งแต่แรกมันอาจจะจบก็ได้”

1 ห้องเรียน 4 สายการเรียน ช่วยเด็กค้นพบศักยภาพ 

สำหรับแผนการเรียนที่พูดถึงนั้น เริ่มจากการที่ไปคุยกับเด็กตลอดหนึ่งปีว่าจริงๆ แล้วนักเรียนอยากเรียนแบบไหน ซึ่งแน่นอนว่าความคิดของเด็กๆ หลากหลายมาก จึงเกิดเป็นประโยคนี้… สนับสนุนความหลากหลาย เพราะเราเชื่อว่า “ทุกคนเก่งไม่เหมือนกัน”

“ผมจะบอกว่าจริงๆ แล้วเด็กมีความหลากหลายมาก รวมถึงคุณครูด้วย จะเห็นว่าเรามีคุณครูตัวอย่างดีๆ หลายแบบ เด็กเองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ถ้าเราสนับสนุนความหลากหลายให้เขา มันก็จะทำให้ครูได้สอนเด็กที่อยากเรียนแล้วเด็กก็ได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ลองนึกภาพว่าถ้าคนสองคนนี้มาเจอกัน ห้องเรียนมันก็ต้องมีความสุข แต่ว่าตอนนี้เราให้เด็กไปเรียนในสิ่งที่เด็กเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ เขาต้องการมันหรือเปล่า ก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่อยากเรียนรู้”

โดยในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หากยึดตามพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2551 ก็คือ เน้นสำรวจความถนัด วิชาการและความชอบของผู้เรียน ซึ่งขณะนี้อาจไม่ได้สำรวจลึกขนาดนั้น แต่การปรับหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะน่าจะมีส่วนในการส่งเสริมให้เด็กได้สำรวจความถนัดของตัวเองได้มากขึ้น 

ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลาย เข้าสู่ 1 ห้องเรียน 4 สายการเรียน คือ วิชาพื้นฐานเรียนด้วยกัน แต่พอถึงวิชาเพิ่มเติม อย่างเช่นสายวิทย์ก็เดินไปเรียนฟิสิกส์ เป็นต้น จากนั้นแยกเรียนตามความชอบ หรือตามสายการเรียนที่เลือก เช่น วิทย์ คณิตฯ จีน ญี่ปุ่น เพื่อให้ในหนึ่งห้องเรียนมีบรรยากาศและความหลากหลายทางสังคมในการเรียนรู้ เด็กจะได้เห็นบริบทการเรียนของแต่ละสาย แต่เมื่อค้นพบว่าไม่ใช่ก็สามารถเปลี่ยนสายการเรียนได้ แต่ไม่ควรเกินม.5 เพราะจะทำให้จบไม่ทันเพื่อน  

“ข้อดีของมันก็คือว่า เราจะมีเพื่อนที่เก่งหลายแบบ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำรายงานหรือว่างานกลุ่มเราจะเห็นมิติมุมมองทางสังคมที่มันมากกว่าเดิม พอเราออกไปทำงานเราจะเข้าใจว่ามันมีคนที่มีวิธีคิดแบบนี้นะ เด็กเองก็ควรจะได้เรียนรู้สังคมแบบนี้เหมือนกัน 

ถ้าเราอยากให้เด็กมาสร้างสังคมที่ดียังไง เราก็ต้องทำสังคมในโรงเรียนในห้องเรียนให้เป็นแบบนั้น” 

“แล้วสายศิลป์-คำนวณ ซึ่งเป็นสายที่เรียนน้อยที่สุดเขาสามารถที่จะชอปปิงได้ เช่น อยากจะเรียนรู้ฟิสิกส์ แต่ไม่ได้อยากเรียนสายวิทย์เขาก็สามารถไปลงฟิสิกส์เป็นวิชาเลือกได้ เพราะว่ามันเป็นคาบว่างของเขา อาจทำให้เด็กค้นพบความถนัดความชอบของตัวเองมากขึ้นก็ได้ แล้วถ้าเกิดว่าอยู่ดีๆ เขาไปค้นพบว่าตัวเองชอบเรียนสายวิทย์ในเทอมที่สอง เขาก็แค่ไปตามเก็บหน่วยกิตคล้ายกับการเรียนในมหาวิทยาลัย อันนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวช่วยได้มากขึ้น”

นอกจากนี้เมื่อเลือกสายการเรียนในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในสายนั้นตลอด เป็นห้องเรียนที่นักเรียนสามารถกำหนดเส้นทางของตัวเองได้ว่า ฉันจะไปทางไหน 

“และถ้าเราไม่มองความเป็นช่วงชั้น แต่มองที่ความสามารถในการเรียน ผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนสายเปลี่ยนวิชาเมื่อไรก็ได้ และสุดท้ายที่เราพยายามจะเน้น จริงๆ เราอยากจะเน้น 4 อัน ซึ่งมี Head Heart Hand และ Health” 

โดย Head เน้นความรู้ โดยให้เด็กได้สำรวจความชอบ ความถนัดของตัวเองเท่าที่จะมากได้ เช่น สำรวจภาษา ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และถ้าเป็นการติวก่อนสอบของม.ปลาย ก็ต้องเกิดจากความต้องการของเด็กจะไม่ใช่ครูยัดเยียด

Hand เน้นลงมือฝึกทักษะ หรือ Soft Skill ต่างๆ ซึ่งจะเป็นวิชาที่เด็กเลือกเข้ามาเอง ส่วนใหญ่วิชาเหล่านี้จะจัดอยู่ในกิจกรรมชุมนุมหรือการเรียนเสริม เช่น วิชาละคร ภาวะผู้นำ เรียนรู้อาชีพ/ความสนใจ ค่ายวิชาการ/เปิดประตูสู่การเรียนรู้ 

“นักเรียนม.6 รุ่นนี้เขานำเสนอมาเหมือนกันว่า จริงๆ ค่าเทอมถ้าเกิดหักคนละ 94 บาท ทั้งม.ปลาย เราสามารถเปิดวิชาเฉพาะบางอย่างที่คุณครูสอนไม่ได้ อย่างเช่น สมมติที่โรงเรียนไม่มีครูสอนทำอาหาร เราก็ไปจ้างครูสอนทำอาหารมาสอนในคาบชุมนุม ซึ่งผมคิดว่าการบริหารจัดการ จริงๆ หลักสูตรเดิมบางอย่างถ้าเรามาพัฒนา แล้วยังเก็บมันไว้อยู่ทำให้มันมีคุณค่ามากขึ้นมันก็ไปตอบโจทย์เรื่องความหลากหลายของผู้เรียนได้แล้ว”

และอีกส่วนที่หลายโรงเรียนหลงลืม ก็คือ Heart เน้นความสุข ผ่อนคลายกายใจ ถ้าเป็นที่ทำงานก็จะเป็น Co-working space แต่ถ้าเป็นโรงเรียนจะเป็นห้อง Co-Learning space เป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย และสุดท้าย Health เน้นสุขภาพและการดูแลสุขภาพของตัวเอง 

“จัดเป็นพื้นที่โล่งๆ เพื่อให้เด็กเขาหยิบจับหรือจัดสถานที่ทำอะไรได้ ทั้งการเสิร์ชข้อมูล การซ้อมพรีเซนต์ มีที่เล่นบอร์ดเกม หรือแม้แต่นั่งพัก แล้วก็อยากจะให้มีนักจิตวิทยาเข้ามาทำงานด้วย เพราะว่าการให้คนนอกเข้ามาให้คำปรึกษาบ้างมันทำให้ผู้เรียนหรือว่าคนที่จะให้ข้อมูลกลับไปกล้าในบางประเด็นโดยที่จะไม่รู้สึกว่าเขาจะเข้าข้างหรือไม่เข้าข้าง” 

“ถ้าเราสามารถจัดนิเวศอย่างนี้ได้ในโรงเรียน ตอบสนองทั้ง Head Heart Hand และ Health มันน่าจะทำให้ผู้เรียนค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง จากสิ่งที่ตัวเองอาจจะไม่ได้เลือก แต่ว่าบรรยากาศมันพาไปแล้วมันได้ค้นพบ” ครูกุ๊กกั๊ก ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม 

Tags:

ร่มเกล้า ช้างน้อยการจัดการเรียนรู้ที่ดีมัธยมศึกษา1 ห้องเรียน 4 สายการเรียนdesign thinkingหลักสูตรฐานสมรรถนะ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Character building
    ทุกคน คือ ‘Active Citizen’: สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ จากเรื่องใกล้ตัว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    สมรรถนะ ‘การทำงานเป็นทีม’ จิ๊กซอว์ความสำเร็จที่สอนเด็กว่ากระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning21st Century skills
    วิชาสตูดิโอและภาคสนามออนไลน์ : เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเองได้ กับโรงเรียนมัธยมรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    จุดเปลี่ยนพลเมืองไทยคุณภาพใหม่ ผู้เรียนต้องเป็น ‘learner person’ มีสมรรถนะเป็นฐานการเรียนรู้

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    นโม INSKRU: นักออกแบบการศึกษาที่อยากเห็น “ใครๆ ก็อยากเป็นครู”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน
Voice of New Gen
12 October 2021

การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนรุ่นใหม่ คือ พลเมืองสำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนโลก การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมที่มีหลากหลายทุกวันนี้โดยคนรุ่นใหม่ ชวนให้สนใจว่า พวกเขากำลังขีดเส้นทางสังคมไทยไปทิศทางใด
  • ทำไมถนนหน้าบ้านถึงไม่เคยเรียบ? ทำไมรถสาธารณะและรถไฟฟ้าถึงกระจุกอยู่เพียงบริเวณเมืองหลวง? ทำไมการจะได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการจะต้องเข้ารับราชการ? ทำไมคนจนที่ขยันทำงานอย่างหนักจนป่วยถึงไม่สามารถมี Work life balance ได้?
  • คำถามง่ายๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างมากมายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นไปได้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจประเด็นความเท่าเทียมและตระหนักในสิทธิมนุษยชน เพราะพวกเขาเติบโตและได้เห็นความเหลื่อมล้ำอันไม่เป็นธรรม

จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้กลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว เกิดขึ้นมาหลากหลายคล้ายกับการแตกหน่อของเมล็ดพันธุ์ยามถึงฤดู ฤดูที่รอวันสุกงอมและเจริญงอกงามออกมา อาจเป็นฤดูที่เมล็ดพันธุ์ก่อนๆ รอคอยซึ่งการมาถึงของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ หรือบ้างก็อาจไม่คาดคิดว่าจะเกิด แต่ทั้งหมดก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงเวลาเหล่านี้คือ ฤดูกาลของคนรุ่นใหม่ 

เราจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อประเด็นต่างๆ ในสังคมนั้นบ้างก็ช่างขัดต่อขนบธรรมเนียม ค่านิยม หรือศีลธรรม ‘อันดีงาม’ ต่างๆ ที่คนรุ่นก่อนๆ ดำเนินตามกัน บ้างก็ช่างดูก้าวร้าว จนขอเรียกว่าเป็นพวกหัวรุนแรง แต่ครั้นจะให้ไม่สนใจคนรุ่นใหม่เลยก็คงไม่ได้ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนรุ่นใหม่นี่แหละคือพลเมืองสำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนโลก

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นอวัยวะที่ 33 ข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถค้นหาได้เพียงปลายนิ้วคลิก เราจะพบได้ว่าในช่วงสองสามปีให้หลังมานี้คนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเด็นสังคมต่างๆ อย่างโดดเด่น  เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ที่เปิดพื้นที่ให้คนออกมาพูดคุยและถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจนไปถึงโลกออฟไลน์อย่างการลงถนนประท้วงและเดินหน้าเข้าสู่สภา 

โดยประเด็นต่างๆ ที่คนรุ่นใหม่นำเสนอนั้นหากพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นได้ว่าทุกสารของการขับเคลื่อนมักแฝงไปด้วยจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือ ‘การมีชีวิตและอนาคตที่ดีขึ้น’

การมีชีวิตและอนาคตที่ดีขึ้น หมายถึง การมีสภาพแวดล้อมที่ดี ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตในทุกด้านและทุกชนชั้นทางสังคม เป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถเปิดโอกาสให้คนทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรและเครื่องมือได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมจนทำให้สามารถสร้างอนาคตที่ดีได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นที่ตัวเราอย่างที่คนรุ่นก่อนๆ มักถูกปลูกฝังมา ‘ความสำเร็จเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา’ คำพูดนี้หากจะให้มานึกคิดพิจารณากันมีเพียงคนชนชั้นกลางขึ้นไปที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้เท่านั้นจึงจะสามารถใช้วาทกรรมนี้ได้ 

เพราะถ้าเรามองลึกลงไปแล้ว คนชนชั้นแรงงาน กลุ่มชาติพันธุ์ หรือกลุ่มคนชายขอบที่พยายามอย่างยิ่งยวดในการใช้ทั้งกำลังกายและกำลังสมอง รวมทั้งทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและใช้เวลา 24 ชั่วโมงได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด เหตุใดเล่า พวกเขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานะที่เรียกว่าฐานพีระมิดได้ ถ้าจะกล่าวว่า ‘ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา’ จริงๆ แล้วล่ะก็ การที่คนชนชั้นแรงงานพยายามอย่างยิ่งที่จะผลักตนเองให้หลุดออกจากสถานะต่ำสุดในพีระมิดแต่ไม่ว่ายิ่งผลักไปมากเท่าไหร่ก็มักจะโดนผลักกลับมาที่เดิมมากเท่านั้น 

การวนลูปเหล่านี้คงเป็นการยืนยันว่าวาทกรรม ‘ความสำเร็จเริ่มต้นที่ตัวเรา’ คงจะมีเพียงคนที่เข้าถึงทรัพยากรเท่านั้นที่จะสามารถพูดได้ ซึ่งนี่แหละคือประเด็นความเหลื่อมล้ำอันไม่เป็นธรรมที่คนรุ่นใหม่มองเห็น

การมองเห็นเหล่านี้เกิดจากการตั้งคำถามง่ายๆ ในเรื่องพื้นฐาน อย่างเช่น ทำไมถนนหน้าบ้านถึงไม่เคยเรียบ? ทำไมรถสาธารณะและรถไฟฟ้าถึงกระจุกอยู่เพียงบริเวณเมืองหลวง? ทำไมเสาไฟตามทางถนนในเมืองหลวงถึงสว่างไม่เท่ากันในทุกที่? ทำไมฝนตกหนักเมื่อไหร่กรุงเทพถึงเกิดน้ำท่วมขังง่าย? ทำไมการศึกษาไทยจึงเป็นเรื่องที่คนทุกคนไม่สามารถเข้าถึงได้? ทำไมในทุก ๆ ปีถึงมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม? ทำไมเด็กนักเรียนถึงจะต้องใส่เครื่องแบบนักเรียนและตัดผมทั้งๆ ที่มันคือสิทธิในร่างกายของเรา? ทำไมการจะได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการจะต้องเข้ารับราชการ? ทำไมคนจนที่ขยันทำงานอย่างหนักจนป่วยถึงไม่สามารถมี Work life balance ได้? ทำไมค่าจ้างขั้นต่ำถึงไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ? ทำไมคนจนทำงานหนักทั้ง 24 ชั่วโมงแต่ไม่สามารถมีเงินได้เก็บสักที? และทำไมการออกมาพูดเรื่องราวถึงความเหลื่อมล้ำพวกนี้จึงมักจะถูกคุกคามหรือตั้งข้อหาทั้งๆ ที่มันคือสิทธิในการพูดของเรา? 

คำถามง่ายๆ พวกนี้ถูกตั้งขึ้นอย่างมากมายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นไปได้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจประเด็นความเท่าเทียมและตระหนักในสิทธิมนุษยชนเพราะพวกเขาเติบโตและได้เห็นความเหลื่อมล้ำอันไม่เป็นธรรมผ่านทางข่าวสารและแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ประโยคที่มักถูกนำมาพูดถึงอย่างมากบนโลกออนไลน์จนถึงโลกออฟไลน์อย่าง “การเมืองคือเรื่องของทุกคน” มักเป็นประโยคที่คนรุ่นใหม่มักนำมาใช้ในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมต่างๆ นั้น จริงแท้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะไปเปิดมุมมองหลากประเด็นที่คนรุ่นใหม่กำลังขับเคลื่อนกัน

ถ้าการเมืองดี สภาพแวดล้อมของเมืองก็จะดีตาม

คุณเคยเดินริมถนนแล้วรู้สึกว่าทำไมทางเท้าถึงเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือแคบเล็กนิดเดียวจนแทบไม่มีที่เดิน หรือการเดินทางไปข้างนอกช่างใช้เวลาเนิ่นนานเพราะรถติด การนั่งรถสาธารณะก็ไม่สามารถคาดเดาเวลาได้เพราะรถมาไม่ตรงเวลา แถมจอดบ้างไม่จอดบ้าง ยิ่งอย่าพูดถึงรถขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดที่แทบไม่มีหรือบางที่ก็ไม่มีเลย ในส่วนสภาพรถที่กี่ปีผ่านไปก็ยังคงเหมือนเดิมเพราะได้นั่งเมื่อไรราวกลับว่าได้ย้อนเวลาไปสมัยก่อนอย่างไรอย่างนั้น ทางเท้าสำหรับคนพิการที่แทบจะใช้งานจริงไม่ได้ การที่คนพิการหรือคนสูงวัยที่จะต้องเดินขึ้นสะพานลอยเพราะว่าบนถนนไม่มีทางม้าลายให้ข้าม หรือแม้กระทั่งการกลับบ้านตอนกลางคืนแล้วบนถนนสองข้างทางช่างมืดมิดเสียจนกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ และในฤดูฝนที่ฝนตกแทบทุกวัน ปัญหาน้ำท่วมขังก็เกิดขึ้นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ 

ตัวอย่างปัญหาที่กล่าวมาเหล่านี้ คือ เรื่องพื้นฐานที่เราพบเจอกันในทุกวันตั้งแต่ลืมตาเกิด สาเหตุนั้นส่วนนึงเป็นเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากผลประโยชน์ของประชาชนตั้งแต่แรก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยกล่าวถึงปัญหาข้อนี้ไว้ว่า

“การดำเนินการด้านการผังเมืองในประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการด้านการผังเมืองโดยกรมโยธาธิการและผังเมืองที่มุ่งเน้นเฉพาะการวางและจัดทำผังเมืองรวม (Comprehensive Plan) ตามแบบอย่างผังนครหลวง 2533 เท่านั้น อีกทั้งผังเมืองรวมที่ได้วางและจัดทำขึ้นนั้นได้มุ่งเน้นเฉพาะการวางแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อผลต่อการควบคุมการพัฒนาของภาคเอกชน ประกอบกับการวางแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่งที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการจราจรของเมือง ผังเมืองรวมที่ได้วางและจัดทำขึ้นนั้นจึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประสานการดำเนินงานด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ

“นอกจากนี้ด้วยความไม่สมบูรณ์ครบถ้วนของต้นแบบซึ่งได้แก่ผังนครหลวง 2533 ที่แสดงเฉพาะการวางและจัดทำผังเมืองรวมซึ่งประกอบด้วยแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง และแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค ประกอบกับการอธิบายถึงแนวทางการใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งในขณะนั้นได้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการผังเมืองจนกระทั่งได้มีการตราขึ้นต่อมาในปีพ.ศ.2518 ด้วยสาเหตุดังกล่าวเป็นผลให้การบังคับใช้ผังเมืองรวมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีความคลาดเคลื่อนจากหลักการการบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างถูกต้องและครบถ้วน เช่น การขาดการควบคุมลำดับการพัฒนาของเมือง การขาดการควบคุมความหนาแน่นของประชากร การขาดการเชื่อมโยงกับการควบคุมการจัดสรรที่ดิน และการขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในแนวถนนโครงการ เป็นต้น”

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ผังเมืองมุ่งเน้นนั้นแทบจะไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ยังเน้นย้ำถึงปัญหาการเพิกเฉยต่อเสียงของประชาชนไว้ว่า

“พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2518 ได้กำหนดขั้นตอนในการให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางและจัดทำผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ แต่ในการดำเนินการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางและจัดทำผังเมืองรวมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการที่ได้ละเลยการให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535 ได้แก้ไขให้การประชุมเพื่อรับฟังข้อความคิดเห็นของประชาชนในการวางและจัดทำผังเมืองรวมซึ่งแต่เดิมกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง เป็นไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง 

การละเลยการให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนนอกจากจะส่งผลให้การวางและจัดทำผังเมืองรวมไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในท้องที่นั้นๆ แล้ว ยังเปิดโอกาสให้มีการแทรกแซงเพื่อแสวงประโยชน์ส่วนบุคคล และในหลายๆ กรณีได้นำมาสู่ความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางอีกด้วย”

การมีผังเมืองที่ไม่ได้รับฟังจากเสียงผู้ใช้งาน แน่นอนว่าผลลัพธ์ของมันนอกจากจะไม่ตอบสนองผู้ใช้งานแล้ว ยังคงเป็นการเอื้อผลประโยชน์ในคนกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนั้นจนกลายเป็นคำตอบการผุดขึ้นมาของถนนและสะพานหลากหลายเส้นจนแทบมึนงงราวกับเป็นการแก้ไขปัญหาทีหลัง การเจริญเติบโตของบ้านเมืองโดยที่พื้นที่บริเวณรอบไม่เอื้ออำนวยรวมทั้งสลับปนเปกันจนไม่อาจแยกออกจากกันได้ ส่งผลไปถึงการเกิดการจราจรที่ติดขัดเพราะถนนหนทางที่ไม่ได้ถูกวางแบบมาอย่างพิถีพิถัน และน้ำท่วมขังที่เกิดบ่อยครั้งเพราะการสร้างคมนาคมภายหลังโดยไม่ได้คำนึงถึงทางเดินน้ำ รวมทั้งการวางระบบระบายน้ำที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากพอ

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรูปแบบเมืองที่ไม่ได้เอื้อต่อคนทุกกลุ่ม อย่างเสียงของผู้พิการที่มักจะถูกกลบลงไป ทั้งๆ ที่ผู้พิการมีศักยภาพและสามารถดำรงชีพได้ด้วยตนเองเหมือนกับคนที่มีอวัยวะ 32 ประการหากผู้มีอำนาจช่วยเหลือจัดสรรเครื่องมือและทรัพยากรให้ผู้พิการสามารถเข้าถึงได้ แต่ผู้มีอำนาจกลับไม่ได้มองเห็นตรงนี้ ในขณะที่คนปกติใช้ชีวิตในเมืองยากแล้วนั้น คนพิการกลับยากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่น ทางเท้าที่ไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เอื้อต่อผู้พิการในทุกรูปแบบ ทั้งไม่ได้ออกแบบมาให้ผู้พิการสามารถใช้ได้จริง หนำซ้ำยังทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งเพราะคุณภาพของทางเท้าที่ไม่ได้มาตรฐาน อย่างการปูพื้นที่มีระดับแตกต่างกัน และคุณภาพก็เปราะบางชำรุดง่ายจนมักเกิดหลุมบนทางเท้าบ่อย ๆ (ยังไม่นับรวมไฟบนทางเท้าที่แทบจะไม่มี) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัยและยังคงอยู่จนกระทั่งวินาทีนี้

จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ประชาชนคนทั่วไปไม่อาจเริ่มต้นที่ตนเองได้เลย นั่นเพราะเรื่องราวเหล่านี้คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขให้ประชาชน รัฐบาลจะต้องรับฟังเสียงของประชาชนอย่างจริงใจโดยไม่ปิดกั้น ดังนั้นวาทกรรมที่บอกว่า ‘เริ่มต้นที่ตัวเรา’ คงจะต้องปัดตกลงไป เพราะปัญหาเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าถ้าการเมืองดี สภาพแวดล้อมของเมืองก็จะดีตามคือเรื่องจริง

ค่านิยมที่ควรรื้อถอน สำคัญแค่ไหน?

อีกหนึ่งประเด็นที่เรามักเห็นบ่อยครั้ง คือ เรื่องค่านิยมต่างๆ ที่คนรุ่นใหม่ออกมาเขย่าโครงสร้างของค่านิยมเหล่านี้ ยกตัวอย่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน เรื่องอำนาจนิยมในโรงเรียนที่ควรรื้อถอน

ในยุคที่คนรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่หลากหลายก็เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการตระหนักรู้ในสิทธิมนุษยชน สิทธิของตนเองด้วยเช่นกัน การที่เด็กออกมาเรียกร้องในสิทธิของตนเองซึ่งบ่อยครั้งมักจะถูกมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าวหรือเด็กที่หัวรุนแรง แต่หากเราลองคิดพิจารณาอย่างรอบคอบจะเห็นได้ว่าเนื้อหาในการเรียกร้องนั้น คือ เรื่องราวที่คนทุกคนสามารถพบเจอ หรือบางรุ่นอาจผ่านมาก่อนเสียด้วยซ้ำ อย่างระบบอำนาจนิยมในห้องเรียนที่เปิดโอกาสให้คุณครูมีสิทธิที่จะใช้อำนาจของตนลงโทษเด็กนักเรียนด้วยความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ได้

“ที่ครูต้องทำแบบนี้ (ตีพวกเธอ) รู้ไหมว่าครูเองก็เจ็บเหมือนกัน แต่ครูก็ต้องทำเพราะอยากให้พวกเธอได้ดี” – หนึ่งในฉากของหนังสือเรื่อง ‘การศึกษาของกระป๋องมีฝัน โดย สะอาด’

ประสบการณ์ร่วมที่ใครหลายๆ คนมักพบเจอไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคือการลงโทษด้วยความรุนแรง จุดประสงค์คือ เพื่อให้เด็ก ‘หลาบจำและหวาดกลัว’ เด็กจะได้ไม่กระทำสิ่งนั้นอีก ฉากข้างต้นมาจากหนังสือเรื่องการศึกษาของกระป๋องมีฝัน แม้เหตุการณ์ที่ผู้เขียน (สะอาด) นำเอามาเล่าจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าในปัจจุบันกระทรวงศึกษาได้มีการออกระเบียบห้ามลงโทษเด็กนักเรียนด้วยการตี แต่การลงโทษด้วยความรุนแรงก็ยังคงพบเห็นได้บ่อยครั้ง และเมื่อนักเรียนออกมาเรียกร้องและตั้งคำถามกับการใช้ความรุนแรงรูปแบบนี้ ก็มักจะมีเสียงตอบกลับมาในทำนองที่ว่า ‘เราก็ผ่านมาก่อน คุณครูทำเพราะรักจริงๆ’ หรือ ‘ครูอยากทำให้เราหลาบจำจะได้ไม่ทำซ้ำอีก’ 

ถ้อยคำเหล่านี้ ฟังดูเผินๆ อาจจะรู้สึกถึงความรักความห่วงใยที่ครูมีต่อเด็กจึงอยากสอนสั่ง แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น เราจะพบได้ว่าการกระทำนี้ คือ ความรุนแรงรูปแบบหนึ่ง และหากเราเลือกที่จะสนับสนุนความรุนแรงและพยายามผลิตซ้ำโดยการทำให้มันเป็นเรื่องที่สวยงาม (Romanticize) ทั้งที่ความจริงแล้วมีคนที่กำลังเจ็บปวดกับการกระทำเหล่านั้นอยู่ เราอาจจะต้องมาลองทบทวนกันว่า เราอยากให้ลูกหลานของเราอยู่ในสังคมแบบไหน สังคมที่ทำให้การใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติหรือสังคมที่ปราศจากความรุนแรง

จริงๆ ในกรณีของการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง American Academy of Pediatrics สมาคมวิชาชีพกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน NBC News ว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงไม่ได้สร้างความตระหนักรู้ให้เด็กนอกจากความหวาดกลัวและเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต

“พ่อแม่ ผู้ดูแล และผู้ใหญ่ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กและวัยรุ่นไม่ควรใช้การลงโทษทางร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรือเป็นการลงโทษในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และรวมถึงการลงโทษอย่างการละเมิดทางวาจา ที่ทำให้เด็กเกิดความอับอายหรือเกิดความเสื่อมเสียต่อตนเอง”

นอกจากนี้ Verywell Family เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ำถึงปัญหานี้ว่า “การลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงอาจทำให้เด็กสับสนในพฤติกรรมของตนเอง ทำให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำรูปแบบนี้คือวิธีการที่ถูกต้อง และส่งผลถึงสภาพจิตใจไปตลอดชีวิต รวมถึงทำให้เด็กรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความนับถือตนเอง ขาดความไว้วางใจ และทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เด็กจะไม่ได้รับแรงจูงใจให้ปรับปรุงพฤติกรรมและเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำได้ดีกว่านี้

“การตีเด็กเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ในทางที่ดีขึ้นได้ และไม่สมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ การใช้วิธีการลงโทษให้เด็กเข้าใจในการกระทำของตนเองแบบอ่อนโยนจะได้ผลมากกว่าในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจในตนเองให้เด็กด้วย”

จากการรับรองทางการแพทย์ในหลายๆ ที่จะเห็นได้ว่าการใช้ ‘ความรุนแรงในการลงโทษ’ ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเด็กในแง่ของการสร้างความเข้าใจในการกระทำของตนเอง หรือสร้างการเรียนรู้ที่แท้จริงเลย ในทางกลับกัน มันกลับส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กอีกด้วย

ค่านิยมการลงโทษรูปแบบนี้เป็นเรื่องที่เด็กทุกคนในระบบการศึกษาพบเจอในทุกยุคทุกสมัย เราไม่สามารถบอกได้ว่าเพียงเพราะเราอดทนมาก่อน คนรุ่นหลังจึงต้องอดทนตาม เพราะหากสิ่งเหล่านี้ได้นำมาวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลให้เกิดประโยชน์ใดๆ จะดีกว่าไหมถ้าค่านิยมเหล่านี้ได้รับการปรับเปลี่ยนและไม่ส่งต่อ

นอกจากการลงโทษด้วยความรุนแรงแล้ว ประเด็นสิทธิในร่างกายที่กลุ่มเด็กนักเรียนกำลังออกมาเรียกร้องก็เช่นกัน ทั้งเรื่องทรงผม, การแต่งกายเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ได้เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้หรือความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้, หรือแม้แต่การแสดงออกของเด็กที่จะต้องอยู่ในมาตราฐานเด็กดีที่ระบบการศึกษาตั้งไว้ การตั้งคำถามของเด็กนักเรียนได้สะท้อนภาพการท้าทายอำนาจนิยมอย่างเห็นได้ชัด เพราะยิ่งเด็กตั้งคำถามมากขึ้นเท่าไร การแปะป้ายว่าเด็กก้าวร้าวและหัวรุนแรงก็เกิดขึ้นตามมามากเท่านั้น 

ค่านิยมการเป็นเด็กดีที่คอยกดทับให้เด็กจะต้องอยู่ใน ‘มาตรฐานเด็กดี’ ตามที่ระบบการศึกษาคอยพร่ำบอก จริงๆ แล้วได้ระบุคำว่าเด็กดีไว้อย่างไร 

หากคำว่า ‘เด็กดี’ คือ ‘เด็กที่เชื่อฟังโดยที่ไม่ตั้งคำถาม’ คงไม่แปลกนักที่เหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังออกมาเรียกร้องในสิทธิและอนาคตของเขาจะโดนปิดป้ายกลายเป็น ‘เด็กไม่ดีในระบบการศึกษา’

ประเด็นเรื่องเพศที่ฝังรากลึกในทุกอณูของสังคม 

ประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ คือ อีกหนึ่งประเด็นที่คนรุ่นใหม่ตื่นตัวและพยายามตระหนักรู้กันอย่างมากในทุกๆ แพลตฟอร์ม ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ระบบเพศทวิลักษณ์ (ระบบที่เชื่อว่าเพศแท้จริงมีเพียง 2 เพศ ได้แก่ เพศชายและเพศหญิง) ได้ฝังรากลึกไปทุกอณูตั้งแต่เราลืมตาเกิด ประเด็นเรื่องเพศจึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คนรุ่นใหม่เล็งเห็นถึงความสำคัญและพยายามที่จะทลายระบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือระบบสังคมที่เอื้อหนุนเพศชายให้มีสิทธิและมีอํานาจเหนือกว่าเพศอื่นๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา เป็นระบบที่แฝงและสอดแทรกค่านิยมความเป็นชายและความเป็นหญิงที่ถูกต้องเอาไว้เสมือนว่าคุณค่าเหล่านั้นคือเรื่องจริง (Fact) การดำรงอยู่ของสังคมปิตาธิปไตยได้กดขี่คนทุกเพศ ไม่เว้นแม้กระทั่งเพศชายเอง 

การค่อยๆ ทำความเข้าใจในมิติการกดทับอันซับซ้อนในสังคมปิตาธิปไตยนั้นได้เผยให้เห็นถึงโครงสร้างอันบิดเบี้ยวของสังคม ยกตัวอย่างประเด็น ‘ผ้าอนามัยควรเป็นรัฐสวัสดิการ’ หนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า ทำไมผ้าอนามัยที่เป็นของใช้จำเป็นที่ ‘ไม่อาจเลือกได้’ ของผู้มีมดลูกหรือผู้มีประจำเดือนจึงไม่สามารถเป็นรัฐสวัสดิการในขณะที่ถุงยางอนามัย ‘ตัวเลือก’ ในการคุมกำเนิดถึงสามารถแจกฟรีได้ หรือประเด็น ‘การทำแท้งปลอดภัย’ ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน แต่เพราะจารีตประเพณีอันปิดกั้นได้สร้างมายาคติในด้านลบให้แก่การทำแท้งในสังคมจนทำให้ผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องเข้ารับการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย หรือบ้างก็ไม่กล้าที่จะทำแท้งเพราะอคติที่ระบบสังคมสร้าง ในขณะที่การทำแท้งอย่างปลอดภัยฉบับที่ผู้มีอำนาจให้ผ่านกลับไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมจริงๆ 

นอกจากนั้นยังมีประเด็นอื่น ๆ อย่างประเด็น ความรุนแรงทางเพศ (Sexual Harassment), ความยินยอม (Consent), My Body My Choice, วัฒนธรรมการข่มขืน (Rape Culture), ค่าจ้างที่ไม่เท่าเทียมอันเนื่องจากเพศ (Gender Pay Gap), สมรสเท่าเทียม, Sex Worker is Work, และอีกหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกันในหลากมิติที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะเรื่องราวเหล่านี้คือชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจริงๆ

การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต คือ ปลายทางที่คนรุ่นใหม่ฝันถึง

จะเห็นได้ว่าทุกประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ต้นสายปลายเหตุของปัญหามักจะมาจากโครงสร้างในสังคมที่เอื้อให้คนไม่กี่กลุ่มคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในขณะที่คนผู้เป็นฐานกลับโดนกดลงจนมิดในทุกๆ วินาที กระแสการเรียกร้องถึงระบบการเมืองที่ดีจึงเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมาก เพราะหลายคนมองว่าหากเราอยากจะสร้างอนาคตที่ดีในประเทศนี้จริงๆ สิ่งสำคัญคือต้องลงไปแก้ไขที่ระบบโครงสร้าง 

ลองนึกภาพว่าหากเรามีผู้นำที่รับฟังถึงปัญหาของประชาชน เข้าใจและมองเห็นถึงความทุกข์ยากของแต่ละชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ให้ความสำคัญกับชนชั้นแรงงานและคนชายขอบพอๆ กับการโอบอุ้มนายทุน เล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และพยายามจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ทั่วถึงและคุ้มค่ามากที่สุด เราคงไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องเพราะเราคงสามารถมองเห็นภาพตนเองมีอนาคตที่ดีอยู่ในประเทศนี้ได้

มนุษย์ไม่ได้เกิดมาแล้วอยากขับเคลื่อนสังคม แต่สังคมอันไม่เป็นธรรมต่างหากที่ผลักดันให้พวกเขาต้องออกมาขับเคลื่อน

สุดท้ายแล้ว การตัดสินว่า ‘คนรุ่นใหม่ คือ พวกหัวรุนแรง’ จริงหรือไม่นั้น ก่อนอื่นเราคงต้องมานิยมคำว่าหัวรุนแรงกันก่อน หากแต่คำว่าหัวรุนแรงคือการที่มีใครสักคนลุกขึ้นออกมาเรียกร้องโดยไม่ได้ยินยอมตามขนบธรรมเนียมที่ชำแหละออกมาว่าเป็นการสานต่อระบบอำนาจความไม่เท่าเทียมที่เอื้อและผลักให้คนกลุ่มนึงอยู่สูงจนสามารถกอบโกยผลประโยชน์ในขณะที่เท้าของพวกเขาเองกำลังเหยียบย่ำคนที่คอยเป็นฐานมั่นอยู่นั่น การลุกออกมาเรียกร้องคงไม่ได้แปลว่าพวกคนรุ่นใหม่ก้าวร้าวหรือหัวรุนแรง แต่เป็นเพราะพวกเขายึดมั่นในสิทธิของตนเอง เคารพในเสรีภาพในการแสดงออกและมองว่าเรื่องราวนั้นสามารถตั้งคำถามได้ต่างหาก

การหันมาตระหนักและทำความเข้าใจในประเด็นทางสังคม รวมทั้งสร้างความเห็นอกเห็นใจต่อกันคงไม่ยากเกินไปนัก เพราะอย่าลืมว่าในขณะที่เรากำลังนั่งอ่านบทความนี้ ยังมีคนอีกจำนวนมากที่กำลังโดนเหยียบย่ำและไม่แม้กระทั่งสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จริงๆ  ประเด็นทางสังคมที่คนรุ่นใหม่หยิบยกมาขับเคลื่อนถ้ามองในภาพรวมแล้วคงจะกล่าวได้ว่า…

สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการไม่ได้มากไปกว่าการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโลกที่สามารถโอบอุ้มคนทุกคนไปพร้อมๆ กันได้ โลกที่ให้สิทธิคนทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โลกที่เปิดกว้างและรองรับความหลากหลายได้อย่างไม่มีใครตกขบวน โลกที่คนกล้าพูดว่านี่แหละคืออนาคตของพวกเรา

อ้างอิง

การผังเมืองของประเทศไทย : ปัญหาและการแก้ไข

Is Spanking Children an Effective Consequence?

Here’s what spanking does to kids. None of it is good, doctors say.

การศึกษาของกระป๋องมีฝัน

Tags:

วัยรุ่นประชาธิปไตยเพศความเหลื่อมล้ำประเด็นทางสังคม

Author:

illustrator

กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ

ชื่อชอบงานศิลปะ แต่ไม่ถนัดวาดรูป รักการถ่ายรูป ค้นพบตัวได้ที่อาร์ตแกลหรือร้านหนังสือ สนใจในเรื่องเพศ สังคม จิตวิทยา มนุษย์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เป็นเฟมินิสต์แอคทิวิสต์ที่ชอบฟังนิทานก่อนนอน เชื่อในความหลากหลายและฝันอยากมีโลกที่โอบอุ้มคนทุกคน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    65 ปี คำขวัญวันเด็ก คำท่องจำที่สะท้อนความคาดหวังต่อเด็กจากรัฐ แต่ไม่เคยสะท้อนเสียงของเด็กเลยสักครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

‘Slam Dunk’ บาสเกตบอล ความรักและมิตรภาพของเด็กมัธยมปลาย : Soft Power ที่ซ่อนอยู่หลังความฝันของเด็ก 90s
Book
7 October 2021

‘Slam Dunk’ บาสเกตบอล ความรักและมิตรภาพของเด็กมัธยมปลาย : Soft Power ที่ซ่อนอยู่หลังความฝันของเด็ก 90s

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย จะมีพื้นที่ใดเปิดโอกาสให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ ฝึกคิดและจินตนาการ ทดลองในสิ่งที่สนใจไปมากกว่าการดู ‘การ์ตูน’
  • แม้จะดูเหมือนไร้แก่นสาร แต่ต้องยอมรับว่าการ์ตูนเป็นสื่อบันเทิงที่มีนัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กในทุกช่วงวัย พวกเขาจะได้เรียนรู้โลกที่ต้องโตมาใช้ชีวิตอยู่ รวมไปถึงปัญหาชีวิตที่อาจต้องเจอ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกใหม่ๆ
  • และบ่อยครั้งที่การ์ตูนได้สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กหลายคน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กได้เข้าถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจ ได้ทดลองทำ และอาจต่อยอดไปถึงความสำเร็จของการก้าวผ่านวัย (Coming of Age) ของพวกเขาในอนาคตด้วย

การ์ตูน คือ สื่อบันเทิงสำหรับเด็กที่มีมากมายหลายประเภทและสัญชาติ แต่การ์ตูนที่มีอิทธิพลกับเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเราๆ คงไม่มีประเทศไหนไหนมาสู้การ์ตูนจากแดนปลาดิบไปได้ โดยเฉพาะในสมัยที่สื่อบันเทิงและสิ่งพิมพ์มีบทบาทอย่างมากในสังคมเรา มังงะ (Manga) หรือการ์ตูนที่ตีพิมพ์เป็นเล่มของญี่ปุ่น และการ์ตูนเคลื่อนไหวที่ฉายบนโทรทัศน์อย่าง อนิเมะ (Anime) ถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงหลักของเด็กๆ 

ด้วยเนื้อหาที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกสนาน เรื่องราวที่เปิดให้ผู้อ่านได้มีพื้นที่จินตนาการ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จึงทำให้การ์ตูนญี่ปุ่นมีอิทธิพลต่อเด็กในยุคนั้นมาก โดยเฉพาะการ์ตูนประเภทการ์ตูนเด็กผู้ชาย (Shonen Manga) และหากจะพูดถึงการ์ตูนที่ได้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและในประเทศไทย ทำให้เด็กๆ ต้องลุกขึ้นมาเล่นกีฬาบาสเกตบอลกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนกีฬานั้นได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นการ์ตูนระดับตำนานเรื่องสแลมดังก์ (Slam Dunk)

ช่วงราวๆ ปี พ.ศ. 2533-2539 หากคุณเคยมีโอกาสได้ไปร้านเช่าหนังสือการ์ตูน หรือได้ดูการ์ตูนทางโทรทัศน์คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเด็กหนุ่มหัวแดงอดีตนักเลงหัวไม้อย่าง ซากุรางิ ฮานามิจิ เจ้าของวลีสุดฮิต “ฉันมันอัจฉริยะ!” ที่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลมือสมัครเล่นเพื่อหวังพิชิตใจ ฮารุโกะ สาวน้อยน่ารักผู้หลงใหลในกีฬาชนิดนี้ ซึ่งแม้ในตอนแรกพระเอกของเราจะดูไม่เอาไหนแต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและความทะเยอทะยาน ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเต็มตัวและพาทีมเข้ารอบอินเตอร์ไฮได้สำเร็จ ก่อนจะปิดฉากลงอย่างสวยงามจนตราตรึงอยู่ในหัวใจนักอ่านเป็นเวลากว่าสามทศวรรษ

แน่นอนว่าเรื่องราวในการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ แต่เหตุผลอะไรที่ทำให้สแลมดังก์มีอิทธิพลต่อเด็กๆ ในยุค 90 มากและยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันด้วยการครองอันดับการ์ตูนที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในการ์ตูนประเภทกีฬา และอันดับสองของการ์ตูนทุกประเภทรองจากการ์ตูนเรื่อง One Piece เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เราอาจต้องลงลึกไปดูถึงความหมายที่ซ่อนไว้ใต้ความรักของเด็กหนุ่ม มิตรภาพของลูกผู้ชาย ความฝันของเด็กมัธยมปลาย และลูกบาสเกตบอล

ส่วนผสมที่กลมกล่อม

ในช่วงเวลานั้นกีฬาบาสเกตบอลในเอเชียยังไม่เป็นที่นิยมเท่ากีฬาฟุตบอล และในวงการการ์ตูนญี่ปุ่นก็มีการ์ตูนกีฬาเพียงไม่กี่เรื่องที่ได้รับความนิยม โดยหนึ่งในนั้นไม่มีกีฬาบาสเกตบอล อาจารย์ ทาเคฮิโกะ อิโนะอุเอะ ผู้ชื่นชอบในกีฬาประเภทนี้จึงตัดสินใจเขียนการ์ตูนเรื่องสแลมดังก์ขึ้นมาด้วยความหวังเล็กๆ ว่าการ์ตูนของเขาอาจทำให้กีฬาบาสเกตบอลเป็นที่นิยมเหมือนกับกีฬาเบสบอลในญี่ปุ่นได้บ้าง และโชคก็เข้าข้างเขาเพราะช่วงเวลาที่การ์ตูนเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเป็นช่วงยุครุ่งเรืองของ NBA ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่ดีในการเปิดตัวบาสเกตบอลฉบับเอเชียจึงไม่แปลกที่หลังจากได้ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Jump เป็นครั้งแรกก็สามารถดึงความสนใจของนักอ่านได้อยู่หมัด

นอกจากนี้ ตัวเนื้อเรื่องที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงและเต็มไปด้วยมุกตลกชวนหัวผสมกับความจริงจังของการแข่งขัน การบรรยายกฎและกติกาพื้นฐานผ่านตัวละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ เข้าใจง่ายชนิดที่ว่าแม้ไม่มีความรู้เรื่องกีฬาประเภทนี้มาก่อนก็สามารถเริ่มเล่นไปพร้อมกับซากุรางิได้ รวมไปถึงการเล่าเรื่องแบบการก้าวผ่านวัย (Coming of Age) ด้วยการสร้างอุปสรรค การพ่ายแพ้ ก่อนจะดำเนินไปสู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้อ่านหันมาสนใจกีฬาชนิดนี้มากขึ้น  

ไม่เพียงแต่จุดประกายความสนใจในกลุ่มผู้อ่าน สแลมดังก์ยังสอดแทรกปรัชญาคำสอนที่ช่วยให้กำลังใจไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น “ถ้าตัดใจเมื่อไร เกมก็จบเมื่อนั้นน่ะสิ” วลีที่โด่งดังที่พูดโดยอาจารย์อันไซ กุนซือคนสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของโชโฮคุ คำพูดนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเตือนใจในเกมกีฬาบาสเกตบอล แต่ยังสามารถนำมาใช้และให้กำลังใจในชีวิตจริงได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญของความนิยมในการ์ตูนสแลมดังก์ที่นำไปสู่กระแสการเล่นกีฬาบาสเกตบอลทั่วเอเชีย คือ ตัวละครที่มีความโดดเด่น มีมิติ และมีชีวิต ที่ผู้แต่งตั้งใจสร้างขึ้นอย่างประณีต โดยอาจารย์เคยให้สัมภาษณ์กับ CNN เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

“ตัวละครที่ชัดเจนจะสามารถสร้างเรื่องราวที่ดี และหากตัวละครมีชีวิต พวกเขาจะสร้างเรื่องราวด้วยตัวเอง”

นี่อาจเป็นเคล็ดลับของอาจารย์อิโนอุเอะในการออกแบบตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นที่จดจำของผู้อ่าน เราจึงมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครเพราะได้เห็นและเข้าใจที่มาที่ไปที่แตกต่างกันไปในตัวละครแต่ละคน และทุกการเติบโต ความผิดหวัง ความฝัน และความสำเร็จในสแลมดังก์จึงดูสมจริง ส่วนผสมที่ลงตัวทั้งหมดนี้ทำให้เด็กที่ได้อ่านสแลมดังก์ได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กันกับตัวละคร  

อำนาจอ่อนที่แฝงไว้ใน Slam Dunk

ชีวิตของเด็กหนุ่มวัยรุ่นจะมีอะไรมากไปกว่าความอยากเท่เพื่อเอาชนะหัวใจเด็กสาวที่ชอบ นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนลุกขึ้นมาจับลูกบาสเกตบอลและยัดลงห่วง (Slam Dunk) ตามตัวละครหลักอย่างซากุรางิ หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่น อยากยิงลูกสามแต้มได้สวยเท่ามิสึอิ อยากเก่งเหมือนรุคาว่าหรือเซนโด อยากผ่านลูกได้คมแบบมิยางิที่แม้จะมีข้อจำกัดด้านส่วนสูงแต่ก็เล่นได้เก่งไม่แพ้ใคร หรืออยากสนุกไปกับเพื่อนๆ อย่างในทีมโชโฮคุ ทั้งหมดนี้ก็มากเพียงพอที่จะสร้างคลื่นลูกใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการบาสเกตบอลในเอเชีย

กระแสความร้อนแรงของกีฬาบาสเกตบอลจากสแลมดังก์และความใฝ่ฝันของเด็กในยุค 90 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เด็กในยุคนั้นต้องลุกขึ้นมาจับกลุ่มรวมตัวเล่นบาสเกตบอลกันจนสนามบาสเต็ม ต้องต่อคิวรอเล่นกัน ความนิยมดังกล่าวนี้เป็นผลมาจาก อำนาจอ่อน (Soft Power) ที่ Joseph Nye จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า เป็นการใช้อำนาจในการชักจูง หรือดึงดูดความสนใจของผู้คนจนสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดหรือพฤติกรรมได้โดยไม่มีการบังคับ ในกรณีนี้ ถือเป็นการใช้วัฒนธรรมในการทำให้กีฬาบาสเกตบอลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย

แม้ว่าความฝันในการทำให้กีฬาบาสเกตบอลเป็นที่นิยมของอาจารย์อิโนะอุเอะจะประสบความสำเร็จอย่างสูงและสแลมดังก์จะปิดฉากลงไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 แต่ความรักที่มีต่อกีฬาชนิดนี้ไม่ได้สิ้นสุดตามไปด้วย อาจารย์ได้สานต่อความรักของเขาด้วยการจัดตั้งกองทุนสแลมดังก์ (Slam Dunk Scholarship) ขึ้นในปีพ.ศ.2549 เพื่อสนับสนุนเด็กญี่ปุ่นที่มีความสามารถและมีความฝันอยากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ให้ได้มีโอกาสไปฝึกทักษะและเรียนภาษาถึงที่อเมริกาเพื่อเป็นนักกีฬาบาสอาชีพได้ในอนาคต โดยเป็นทุนให้เปล่าและเป็นเงินของอาจารย์เองทั้งหมด

การไม่จำกัดและส่งเสริมความฝันของเด็กโดยใช้การ์ตูนสแลมดังก์เป็นตัวกลาง ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจอ่อนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เราอาจได้เห็นนักกีฬาทีมชาติที่มีแรงบันดาลใจจากสแลมดังก์ก็เป็นได้ แต่หากไปไม่ถึงฝัน อย่างน้อยในระหว่างทางเด็กก็ได้ค้นหาความหมายและมีความสุขกับช่วงชีวิตในช่วงวัยที่รอคอยการเติบโต 

อย่างไรก็ดี หากมองความสำเร็จของการ์ตูนเรื่องนี้ให้แคบลงมา เราจะเห็นว่านอกจากการที่กีฬาบาสเกตบอลจะเป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กๆ มากขึ้นแล้ว สแลมดังก์ยังได้เปิดพื้นที่ให้เด็กวัยฝันได้จินตนาการ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ลองผิดลองถูกจากความสนใจ ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ในห้องสี่เหลี่ยมกับตำราเรียน เด็กหลายคนที่ได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจและใฝ่ฝันที่จะเป็นนักกีฬาก็ตั้งใจฝึกฝนตัวเองจนได้เป็นตัวโรงเรียนหรือติดทีมชาติก็มี หรือบางคนที่ไม่ได้โดดเด่นด้านกีฬาก็ได้สนุกไปกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนซึ่งถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และดีต่อสุขภาพด้วย 

ถึงแม้ว่าปีนี้สแลมดังก์จะมีอายุถึง 31 ปีแล้ว แต่กระแสความนิยมก็ไม่ได้ลดลงไป แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการ์ตูนสแลมดังก์และร่องรอยความทรงจำวัยหนุ่มสาวที่เด็กยุค 90 มีต่อการ์ตูนเรื่องนี้ เราอาจพูดได้ว่าผลลัพธ์ของการ์ตูนเรื่องนี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กได้ทดลองลงมือทำ พร้อมสนับสนุนให้พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ และยังให้บทเรียนชีวิตที่ช่วยให้สามารถพัฒนาตัวเองได้ 

ดังนั้น หากเห็นเด็กอ่านหนังสือการ์ตูน อย่าด่วนตัดสินว่าไร้สาระ เพราะเราไม่รู้เลยว่าสาระที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นจะมีผลต่อจินตนาการของเขาอย่างไรบ้าง เปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ชีวิตตามวัย ได้ใช้ความคิดสร้างความฝันดูบ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจหาตัวตนเจอจากการลองผิดถูกตามการ์ตูนเหมือนที่สแลมดังก์เคยสร้างปรากฏการณ์ไว้เมื่อสามสิบปีที่แล้วก็เป็นได้

อ้างอิง
A special Slam Dunk Scholarship to support Basketball!
Slam Dunk: How Japan’s Love of Basketball Can Be Traced Back to a Comic
Takehiko Inoue on CNN

Tags:

กีฬาญี่ปุ่นการ์ตูนความฝัน

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Related Posts

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    คาบเรียนจริยปรัชญา: เมื่อคำถามชีวิตตอบในการ์ตูน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • How to enjoy life
    โลกร้ายๆ ยิ่งต้องการคนใจดี: เรียนรู้ ‘ความใจดี’ ผ่านการ์ตูน กับ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
Education trendSocial Issues
7 October 2021

เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

เรื่อง The Potential

  • ‘หลักสูตร’ หนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาระบบการศึกษาไทย
  • งานเสวนาออนไลน์ ห้องเรียนของผู้ถูกกดขี่ : ศาสตร์การสอนเพื่อปลดปล่อยความเป็นมนุษย์ ครั้งที่ 2 ในประเด็น “มองหลักสูตรฐานสมรรถนะผ่านเลนส์ทฤษฎีการศึกษาเชิงวิพากษ์” จะชวนเราไปตั้งหลักกันใหม่ มอง ‘หลักสูตร’ ด้วยเลนส์ ‘การตีความ’ ที่จะทำให้เราเข้าใจระบบการศึกษาไทยมากขึ้น
  • “ถ้าเรามองว่าแบบเรียน คือ text หรือตัวบท ผู้เรียนจะสามารถถูกครอบงำโดยแบบเรียนได้จริงหรือ ถ้าเรามองเรื่องนี้ด้วยทฤษฎี critical (ทฤษฏีแนววิพากษ์) จะมองเห็นว่าการครอบงำเกิดโดยผู้มีอำนาจเชิงวิธีการ”

“หลักสูตรไทยล้าสมัย ไม่สอนเรื่องเพศเด็ก”

“เด็กมีความเชื่อแบบผิดๆ ก็เพราะหลักสูตร”

ปัญหาระบบการศึกษาไทยเป็นหัวข้อที่พูดเมื่อไรก็มีประเด็นให้ถกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะการไม่อัปเดตเนื้อหาให้เข้ากับโลกยุคนี้ เนื้อหาที่แคบไม่ครอบคลุมความหลากหลายของคนในประเทศ หรือเนื้อหาที่อาจส่งสารชวนเข้าใจผิดหรือปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง และอื่นๆ อีกมากมาย

แน่นอนว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องมีคนที่ต้องรับผิด หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘ผู้ร้าย’ ผู้ร้ายที่เราเห็นรับบทบ่อยๆ ในปัญหาการศึกษาไทยก็คือ ‘หลักสูตร’ เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าถ่ายทอดเนื้อหาผิดๆ ไม่มีความยืดหยุ่น สร้างความยุ่งยากให้กับผู้ใช้งาน ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา 

ถ้าให้หลักสูตรเป็นใครสักคน เขาคงเป็นคนที่หัวแข็งไม่ยอมปรับตัวกับอะไรทั้งนั้น ยึดมั่นในความเชื่อตัวเอง ทำให้วิธีหนึ่งที่เลือกใช้เพื่อการแก้ปัญหาระบบการศึกษา คือ การทำหลักสูตรใหม่ โดยล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการมีแพลนจะนำหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency – based education) มาเป็นหลักสูตรแกนกลางตัวใหม่ ที่จะเน้น Active Learning การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ ติดตั้งทักษะสมรรถนะที่จำเป็นต่อผู้เรียนโดยสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง

แต่คำถาม คือ เราคิดว่าหลักสูตรสามารถครอบงำหรือชี้นำผู้เรียนได้จริงหรือ?

เป็นคำถามจาก ดร.ออมสิน จตุพร อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศาสตร์การศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ชวนให้คิดทบทวนใหม่ว่า การมองว่าหลักสูตรเป็นตัวร้ายอาจทำให้เรามองไม่เห็นหรือมองข้ามผู้ร้ายตัวจริงไป

เครือข่ายการเรียนรู้ Thai Civic Education ภาคเหนือตอนล่าง และกลุ่ม LeftED จัดงานเสวนาออนไลน์ ห้องเรียนของผู้ถูกกดขี่ : ศาสตร์การสอนเพื่อปลดปล่อยความเป็นมนุษย์ ครั้งที่ 2 ในประเด็น “มองหลักสูตรฐานสมรรถนะผ่านเลนส์ทฤษฎีการศึกษาเชิงวิพากษ์” ที่จะชวนเราไปตั้งหลักกันใหม่ มอง ‘หลักสูตร’ ด้วยเลนส์ ‘การตีความ’ ที่จะทำให้เราเข้าใจระบบการศึกษาไทยมากขึ้น

ระบบการศึกษาในไทย

ดร.ออมสิน ในฐานะผู้นำเสวนาครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมแชร์ว่าคิดเห็นอย่างไรกับคำว่า ‘หลักสูตร’ คำตอบจากวงเสวนามีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบแผนที่ใช้ในการสอน เป็นไกด์ไลน์คู่มือ เป็นกรอบการทำงานที่ไม่มีความยืดหยุ่น เป็นต้น

จากนั้นดร.ออมสินก็พาทุกคนนั่งไทม์แมนชีนย้อนกลับไปดูรากฐานการศึกษาไทย ซึ่งระบบการศึกษาของไทยจะได้รับอิทธิพลจากสองชาติใหญ่ในโลกตะวันตก คือ อเมริกา (Teacher Education) และอังกฤษ (Teacher Training) ชนชั้นนำที่มีบทบาทในการสร้างระบบการศึกษาถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศก็รับเอาแนวคิดการจัดการศึกษาต่างๆ เข้ามา เกิดเป็นกระบวนการ Recontextualization Policy คือ การเลือกสรรบางอย่าง คงบางอย่าง และทิ้งบางอย่างไป หมายความว่าบ้านเราไม่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกแบบ 100% เพราะชนชั้นนำจะมีแนวคิดว่าต้องทำให้ประเทศก้าวทันโลกตะวันตก แต่ยังคง ‘ความเป็นไทย’ ไว้ 

“ความทันสมัยในระบบการศึกษาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยช่วงศตวรรษครึ่งที่ผ่านมา เป็นความทันสมัยที่วางอยู่บนตรรกะของอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) แบบไทยๆ ที่ไม่เพียงปิดกั้นองค์ความรู้และวิธีวิทยาเชิงวิพากษ์ทางการศึกษา แต่สร้างระบอบราชการขนาดใหญ่ในวงการการศึกษา คือแทนที่จะปรับปรุงให้ระบบการศึกษาไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลับทำให้การปฏิรูปการศึกษากลายเป็นสิ่งที่สร้างความอ่อนเปลี้ยให้กับสังคมไทย” ดร.ออมสิน กล่าว

ครูทิว – ว่าที่เรือตรี ธนวรรธน์ สุวรรณปาล แสดงความเห็นว่าหลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มีความพยายามที่จะกระจายอำนาจ รัฐพยายามผลักภาระของตัวเองไปให้เอกชน เกิดรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ในระบบการศึกษามีการคิดเกณฑ์ประเมินต่างๆ ขึ้น เพื่อตอบโจทย์การศึกษา รวมถึงการโอนย้ายโรงเรียนไปให้ท้องถิ่น เกิดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปี 2542 ที่พูดเรื่องประกันคุณภาพการศึกษาและหลักสูตรใหม่

นอกจากนี้ เกิดวิธีคิดใหม่ต่อสถานศึกษา คือ จากที่เป็น ‘สมบัติสาธารณะ’ กลายเป็น ‘สินค้า’ เปิดตลาดเสรีให้เอกชนเข้ามาทำ เช่น เกิดโรงเรียนทางเลือก โรงเรียนนานาชาติ เน้นขายหลักสูตร และชุดความคิดนี้ส่งผลต่อสังคมด้านอื่นๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม

หลักสูตรไม่ใช่ประตูที่ปิดตาย แต่เป็นประตูแห่งโอกาสที่เปิดกว้างให้คนที่เข้าใจ

กลับมาที่ตัวเอกสำคัญอย่างหลักสูตร ดร.ออมสินเล่าว่า หลักสูตรแต่เริ่มแรกของไทยเป็นแบบ Content base เน้นเนื้อหาสาระเป็นหลัก จนปี 2540 เกิดการปฏิรูปการศึกษาในโลกตะวันตกที่อเมริกา เกิดหลักสูตรอิงมาตรฐาน (standard – based education) และนโยบายสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างพระราชบัญญัติการศึกษาในอเมริกา ‘no one left behind’ เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ไม่มีใครถูกทิ้ง ชนชั้นนำไทยก็รับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในระบบการศึกษา

แต่หลักสูตรแบบอิงมาตรฐานถูกคนบางกลุ่มมองว่าจำกัดความคิดสร้างสรรค์หรือเชิงวิพากษ์ออกไป เพราะปลายทางนำไปสู่การทดสอบระดับชาติ

ดร.ออมสินหยิบปัญหาที่คนมีต่อหลักสูตรของไทย เช่น วาทกรรมสังคมที่มักบอกว่าหลักสูตรไทยไม่สอนเรื่องเพศศึกษา ดร.ออมสินให้ความเห็นว่า หลักสูตรเป็นคนสอนไม่ได้อยู่แล้ว แต่เป็นเพียงเครื่องมือให้คนสอนตัวจริง ถ้าลองอ่านเอกสารหลักสูตรจะพบคีย์เวิร์ดสำคัญ เช่น ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้สุขศึกษาของมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย มีข้อหนึ่งที่บอกว่า วิเคราะห์ค่านิยมเพศตามวัฒนธรรมไทยและอื่นๆ หมายความว่าหลักสูตรไม่ได้ปิดกั้นไม่ให้ครูหรือผู้สอนใช้วัฒนธรรมของชาติอื่นมาสอน 

ครูแนน – ปาริชาต ชัยวงษ์ ในฐานะครูวิชาพระพุทธศาสนาร่วมแลกเปลี่ยนในมุมนี้ว่า ในหลักสูตรแกนกลางมีกำหนดสาระวิชานี้ว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ หรือศาสนาอื่นที่เปิดพื้นที่ให้นับถือ หมายความว่าครูผู้สอนสามารถหยิบยกศาสนาได้มาสอนได้

ดร.ออมสินกล่าวต่อว่า หลักสูตรเปรียบเสมือนตัวบทการเมือง (curriculum as political text) เมื่อไรที่พูดถึงคำว่าการเมือง มันก็คือพื้นที่แห่งการต่อรอง ปะทะ ประสาน พื้นที่แห่งความเป็นไปได้ในการสร้างความหวังจินตนาการใหม่ ทำให้เห็นว่าหลักสูตรในแง่ที่เปิดให้คนตีความได้จึงไม่ใช่ตัวปิดกั้นทางวิธีคิดในการออกแบบการสอน ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีจุดยืนอย่างไร 

ปฏิบัติการทางวัฒนธรรม (Discursive Practices) ต่างหากที่เป็นปัจจัยส่งผลต่อมุมมองและการแสดงออกของคน ฉะนั้น การวิพากษ์หลักสูตร อาจต้องตั้งคำถามว่าเรากำลังวิพากษ์ตัวบทหลักสูตรหรือปฏิบัติการทางวัฒนธรรม 

ดร.ออมสินยกเคสดรามาในตำนานอย่าง ข้อสอบ O – Net วิชาสุขศึกษา ที่มีข้อหนึ่งถามว่าหากเกิดอารมณ์ทางเพศต้องทำยังไง กระแสสังคมโจมตีว่าการศึกษาไทยสอนเด็กแบบนี้ ถ้าเราลองมองลึกลงไปอาจจะไม่ใช่หลักสูตรที่พยายามติดตั้งมายเซ็ตนี้ให้เด็ก แต่เพราะปฎิบัติการทางวัฒนธรรมที่ผู้สร้างข้อสอบอาจมีโลกทัศน์หรือมายเซ็ตบางอย่างที่เกิดจากสังคมไทยและไม่สามารถสลัดหลุดได้ 

“ถ้าเรามองว่าแบบเรียน คือ text หรือตัวบท ผู้เรียนจะสามารถถูกครอบงำโดยแบบเรียนได้จริงหรือ ถ้าเรามองเรื่องนี้ด้วยทฤษฎี critical (ทฤษฏีแนววิพากษ์) จะมองเห็นว่าการครอบงำเกิดโดยผู้มีอำนาจเชิงวิธีการ” 

เมื่อหลักสูตรเป็นพื้นที่ที่ขึ้นอยู่กับความตีความ ก็ต้องทำให้คนทำงานมีพื้นที่ด้วยเช่นกัน สามารถมีจุดยืนที่แตกต่างกัน เช่น มีแนวคิดชาตินิยม เสรีนิยม เฟมินิสต์ (feminism) เป็นต้น ซึ่งดร.ออมสินมองว่า เราสามารถมีจุดยืนได้ในการทำงานการศึกษาหรือการพัฒนาหลักสูตร

ที่สำคัญเขาเห็นว่า การมาของหลักสูตรฐานสมรรถนะ (competency – based education) อาจสร้างพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ พื้นที่ที่คนทำงานสามารถต่อรอง ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ หรือหลักปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทที่ทำงานอยู่ ไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ครอบงำคนทำงานซะทีเดียว เช่นเดียวกับการเกิดของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่เป็นพื้นที่ทำให้เราสามารถเข้าไปต่อรองได้ ถ้าเรามีความเข้าใจหลักสูตร

อยากให้ครูคิดก็ต้องมีพื้นที่ให้ครู

การเข้าฟังงานเสวนาตั้งแต่นาทีแรกจนถึงตอนนี้ทำให้มุมมองที่มีต่อหลักสูตรต่างจากเดิม หลักสูตรไม่ใช่กล่องเหล็กแคบๆ แต่เป็นดินน้ำมันที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างตามที่คนปั้นต้องการ บนฐานความเชื่อ จุดยืนที่คนคนนั้นมี

แต่การจะให้ผู้ปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือคนที่ทำงานด้านการศึกษามีมายเซ็ตเช่นนี้คงต้องอาศัยการปลุกปั้นมาตั้งแต่ต้น ดร.ออนสินกล่าวถึงสถาบันฝึกสอนครูต่างๆ ที่คงถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนการเทรนครู โดยที่คนสอนเองก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักสูตรซะก่อน เพราะเราต่างสอนเน้นเชิงเทคนิคให้นักศึกษาฝึกครู สอนวิธีออกแบบแผนการสอน แต่ไม่ได้สอนให้นักศึกษาครูตีความหลักสูตร รวมถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆ ไม่ว่าจะสถานที่ทำงานจริงอย่างโรงเรียน สถาบันศึกษาต่างๆ ที่เปิดพื้นที่ให้ปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ และสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างสังคม เศรษฐกิจที่ต้องเอื้ออำนวยให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นความเป็นไปได้

“สมมติครูคนหนึ่งสอนอยู่ในโรงเรียนย่านคลองเตย จะลุกขึ้นมาสร้างหลักสูตรฐานสมรรถนะโดยมีชุมชนเป็นฐาน ในเชิงนโยบายหรือเชิงตัวบทเปิดให้เขาทำได้แน่นอน แต่มันก็ต้องอาศัยต้นทุนชีวิตที่สูงมาก”

ครูแนน เห็นด้วยว่านิเวศการศึกษา (หรือนิเวศการเรียนรู้ Learning Ecosystem) เป็นปัจจัยสำคัญ มีการถกเถียงในกลุ่มคนทำงานว่านิเวศทางการศึกษาในปัจจุบันเอื้ออำนวยพอหรือยังกับการมาของหลักสูตรฐานสมรรถนะ หรือจะกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้หลักสูตรใหม่ตกร่องเหมือนเดิม

ครูทิว แชร์ในประเด็นเดียวกันในมุมวัฒนธรรมโรงเรียน เช่น ระบบราชการ และโครงสร้างงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักเรียนในห้อง หรือวิธีประเมินครู ปัจจัยเหล่านี้ต่างถ่ายทอดความคิดบางอย่างให้กับครูส่งผลต่อการจัดการศึกษาหรือตีความหลักสูตร

“ขอเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมจับผิด ไม่ได้สร้างมาเพื่อเอื้อให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอาไว้จำผิดคนกลุ่มเล็กๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบนั้นไป” ครูแนน กล่าว

เมื่อครูกลายเป็นหัวใจหลักที่จะตีความหลักสูตรและออกแบบการศึกษา นอกจากการติดตั้งเครื่องมือให้ครูสามารถเข้าใจหลักสูตรได้อย่างแท้จริง จุดยืนมุมมองของคนสอนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เห็นว่าทิศทางการสอนไปทางไหน ครูพล – อรรถพล ประภาสโนบล ให้ความเห็นว่า การสอนด้วยหลักสูตรสมรรถนะ ถ้าเป็นครูที่มีทัศนคติแนวอนุรักษ์นิยม แล้วได้โจทย์สอนเรื่องวัฒนธรรม เขาอาจจะคิดหัวข้อสอนเป็นการไหว้แบบสมรรถนะ ดูว่าเด็กสามารถไหว้ได้กี่แบบ หรือจัดโต๊ะหมู่บูชาแบบสมรรถนะ ในขณะที่ถ้าเป็นครูทัศนคติก้าวหน้า ก็อาจจะคิดคอนเซปต์การสอนในเรื่องวัฒนธรรมอีกแบบ

นอกจากนี้ ครูพลเน้นว่าแม้หลักสูตรจะเปิดพื้นที่การทำงานให้กว้าง แต่การทำงานขับเคลื่อนพัฒนาหลักสูตรก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อไป พร้อมกับปิดท้ายว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาในเวลานี้มีออกมาหลากหลายวาทกรรม อย่างในปัจจุบันวาทกรรมการศึกษาที่กำลังได้รับความนิยม คือ การศึกษาเพื่อมีงานทำ

“หลังปี 40 ที่โรงเรียนกลายเป็นตลาดเสรี เกิดโรงเรียนทางเลือก โรงเรียนนานาชาติต่างๆ ที่พยายามเอาหลักสูตรมาขาย เกิดวาทกรรมการศึกษาเพื่อมีงานทำ ผมไปดูที่คนถกเรื่องหลักสูตรฐานสมรรถนะที่บอกว่า เด็กเรียนแล้วไม่ได้เอาไปใช้จริง เรารู้สึกคำนี้อยู่ในสังคมไทยมานานมากนะ ‘เรียนแล้วไม่ได้ใช้จริง’ ‘เรียนแต่ทฤษฎีแต่ไม่ได้ปฏิบัติ’ ‘เรียนแล้วไม่ได้เอาไปใช้ทำงาน’ สุดท้ายวาทกรรมเหล่านี้มันอาจจะไปสอดรับกับทุนนิยม หรืออุตสาหกรรมไหม “จริงๆ การศึกษาที่ดีควรเป็นอย่างไร” ครูพล กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามงานเสวนาตอนอื่นๆ ได้ที่ Thai Civic Education : ภาคเหนือตอนล่าง

Tags:

ระบบการศึกษาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาหลักสูตรฐานสมรรถนะครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • ‘ครูต้องเชื่อว่าตัวเองมีเสรีภาพที่จะสร้างหลักสูตรในระดับปฏิบัติการ’ แนวคิดที่จะทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.2 “I am not good enough.”
How to get along with teenager
6 October 2021

ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.2 “I am not good enough.”

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘การเลี้ยงดู’ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ดีพอ’ เช่น การไม่ได้รับความรักและการยอมรับในตัวตนที่เป็น การถูกเปรียบเทียบและโดนตัดสินอยู่เสมอ หรือการที่ไม่สามารถทำผิดพลาดได้เลย
  • ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เขาเฝ้าตั้งคำถามว่า ตัวเองดีพอให้คนมารักไหม? หรือต้องพยายามเฆี่ยนตีตัวเองให้ทำตามความคาดหวังของคนอื่น เพื่อได้รับความรัก ความภาคภูมิใจ การยอมรับ และรู้สึกว่าตัวเองดีพอ
  • สิ่งที่วัยรุ่นต้องการจากพ่อแม่มากที่สุด คือ บ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ ที่เขาสามารถวางหัวใจที่เหนื่อยล้าลงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ และกลับไปเผชิญโลกภายนอกต่อไป และการ ‘ใจดีกับตัวเอง’ ในวันที่ทำได้ไม่ดีตามที่คาดไว้ ให้เราใจดีกับตัวเองบ้าง บอกกับตัวเองเสมอว่า “วันนี้ฉันทำดีที่สุดแล้ว และฉันภูมิใจที่ฉันได้ลงมือทำ”

ที่มาของความรู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ดีพอ’

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘การเลี้ยงดู’ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ‘ตัวเองไม่ดีพอ’ ซึ่งลักษณะการเลี้ยงดูที่ส่งผลให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว มีดังนี้…

ปัจจัยที่ 1 การไม่ได้รับความรักและการยอมรับในตัวตนที่เป็น

เด็กบางคนเติบโตมาท่ามกลางบ้านที่ปราศจากความรักและความเอาใจใส่ ทำให้ตัวเขารู้สึกไม่มีคุณค่า และไม่สำคัญ เด็กๆ เหล่านี้มักเติบโตมาพร้อมกับความสงสัยในตัวเองว่า “ฉันสมควรถูกรักไหม? แล้วถ้าฉันสมควรได้รับความรัก แล้วทำไมถึงไม่มีใครรักและยอมรับในตัวฉันในวัยเยาว์เลย?” แม้บางคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้แล้ว แต่ในยามที่จิตใจอ่อนแอและไหวหวั่น ความสงสัยเหล่านั้นยังคงวนเวียนมาย้ำเตือนว่า “ฉันยังมีค่าพอใช่ไหม?”

ถ้าพ่อแม่ให้การยอมรับลูกอย่างที่เขาเป็นจากใจจริง เด็กทุกคนจะเหมือนได้รับอิสระ เพราะการยอมรับเป็นการปลดปล่อยพวกเขาจากโซ่ตรวนทางความคิดที่ว่า “เขาจะเป็นลูกที่ไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่”

ปัจจัยที่ 2 การถูกเปรียบเทียบและโดนตัดสินอยู่เสมอ

บางครั้งผู้ใหญ่อาจจะละเลยหรือหลงลืมไปว่า ‘เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวเอง’ เราจึงถือสิทธิ์ในการเป็นผู้ใหญ่เปรียบเทียบและตัดสินเด็กๆ ตามความคิดและความเชื่อของเราอยู่เสมอ แม้ว่าที่ทำไปเพราะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เราอาจจะสร้างบาดแผลให้เด็กๆ ไปแล้ว

“เด็กทุกคนมีคุณค่า ขอเพียงผู้ใหญ่มองให้รอบและมองให้ลึกเข้าไปในตัวเขา”

ไม่ควรมีเด็กคนใดถูกตัดสินจากมิติเดียวที่เราเห็น เด็กบางคนแม้ว่า เขาอาจจะไม่เก่งวิชาการ แต่เขาอาจจะมีความสามารถในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ขอเพียงเรามองเด็กๆ ให้รอบด้าน มองให้เห็นสิ่งดีๆ และคุณค่าในตัวเขา

“เด็กทุกคนมีดีในแบบของเขาเอง เขาไม่จำเป็นต้องดีเหมือนใคร หรือดีกว่าใคร”

ผู้ใหญ่ไม่ควรเปรียบเทียบเด็กคนหนึ่งกับเด็กอีกคนหนึ่ง ที่แย่ยิ่งกว่า คือ การเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นในครอบครัว ระหว่างพี่น้อง เพราะลูกทุกคนต่างต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ที่เขารัก และการที่พ่อแม่เปรียบเทียบตัวเขาว่า ด้อยกว่าพี่หรือน้องของตัวเอง ย่อมสร้างบาดแผลในใจของเขา ซ้ำร้ายไปกว่านั้นบาดแผลระหว่างพี่น้องมักจะฝังลึกในใจของเด็กๆ เอง 

พ่อแม่ควรแสดงอออกเรื่องความรักต่อลูกๆ อย่างเท่าเทียม และยอมรับในตัวลูกแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น

ปัจจัยที่ 3 การถูกคาดหวังไม่ตรงกับความเป็นจริง

เด็กบางคนถูกคาดหวังให้ทำอะไรที่เกินกว่าวัยและความสามารถของเขา เช่น ให้ลูกอ่านออกและเขียนให้ได้คล่องในวัยอนุบาล เพื่อหวังให้เขาสอบเข้าโรงเรียนประถมที่พ่อแม่หวัง หรือให้ลูกเรียนกวดวิชามากมายในวัยประถมต้น เพื่อหวังให้เขาสอบได้อันดับดี ๆ ในชั้นเรียน

เด็กบางคนถูกคาดหวังให้ทำอะไรที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น ให้ลูกเลือกเรียนสายวิทย์ ทั้งๆ ที่ลูกไม่ชอบการเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือให้ลูกไปประกวดความสามารถในเวทีต่างๆ ทั้งๆ ที่ลูกไม่ชอบการแข่งขัน

และเด็กบางคนถูกคาดหวังให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เช่น พ่อแม่บางคนอาจจะรู้ว่า ลูกเป็นกลุ่มหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับในตัวเขา และบอกให้ลูกแสดงออกในแบบที่เราต้องการ หรือพ่อแม่บางคนหวังให้ลูกทำอาชีพเดียวกับตนเอง แต่ลูกไม่ได้อยากทำ ก็พยายามขอร้องแกมบังคับให้ลูกทำ

การใช้ชีวิตเป็นความภาคภูมิใจของคนอื่นนั้นเหนื่อยนัก ยิ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนที่เรารักนั้นเหนื่อยยิ่งกว่า

เพราะคงไม่มีลูกคนไหนที่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวังและเลิกรักเขา สำหรับลูกมันเจ็บปวดมากที่เขาต้องเลือกระหว่าง ‘ความฝัน ความเชื่อ และตัวตนที่เขาเป็น’ กับ ‘พ่อแม่ที่เขารัก’

ทุกความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ลูกเป็น หากลูกฝืนตัวเองเพื่อทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ 

ในกรณีที่ทำได้สำเร็จดังที่พ่อแม่หวัง แต่สุดท้ายใจของคนเราไม่สามารถบังคับกันได้ เด็กบางคนต้องเผชิญกับความสับสนและความขัดแย้งในตัวเอง 

ในกรณีที่ทำได้ไม่สำเร็จดังที่พ่อแม่หวัง ตัวเขาเองก็คงผิดหวังในตัวเองมากพอแล้ว อาจจะต้องรับรู้ว่า พ่อแม่ผิดหวังในตัวเขาอีก

ทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้น สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และอื่นๆ

ความเชื่อมั่นที่พ่อแม่มีให้กับลูก คือ พรที่วิเศษที่สุดที่ลูกทุกคนต้องการ

ซึ่ง ‘ความเชื่อมั่น’ ไม่เท่ากับ ‘ความคาดหวัง’ เพราะความเชื่อมั่น คือ การยอมรับในตัวลูกในแบบที่เขาเป็น และเชื่อว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่เขาตั้งใจได้ ในขณะที่ความคาดหวัง คือ ความต้องการของเราที่ถูกนำไปใส่ในตัวของลูก บางครั้งความคาดหวังมีปริมาณมากกว่าขนาดของตัวลูกที่จะรองรับได้เสียอีก

นอกจากนี้ ความรักและความหวังดีของพ่อแม่ ที่ปราศจากการยอมรับและรับฟังเสียงของลูก อาจจะเป็นความคาดหวังที่กลายเป็นความกดดันมหาศาล

ปัจจัยที่ 4 การที่ไม่สามารถทำผิดพลาดได้เลย

ในบางครอบครัว เวลาที่ใครทำผิดพลาด แม้จะเป็นความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่โต และเมื่อทำผิดมักจะถูกตำหนิอย่างมาก และบางครั้งอาจจะถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนในบ้านอีกด้วย 

เด็กๆ ที่เติบโตมากับบ้านที่การทำผิดพลาดเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น  พวกเขาอาจจะกลัวที่จะทำสิ่งต่างๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำพลาด และกลัวว่าสิ่งที่ทำจะดีไม่พอ เมื่อขาดประสบการณ์ในการลงมือ ก็ยิ่งบั่นทอนความมั่นใจภายในตนเอง

ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ และเมื่อลูกทำผิดพลาดก็ควรให้การชี้แนะในทางที่ถูก ไม่ใช่ตำหนิและทำให้เขาอับอายหรือหวาดหลัว เพราะสุดท้าย เด็กที่กลัวทำผิดพลาด กลัวว่าตัวเองไม่ดีพอ เขาอาจจะกลัวการยืนหยัดเพื่อตัวเขาเอง

ปัจจัยที่ 5 การไม่ได้รับความเชื่อมั่นหรือความไว้วางใจ

ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากพ่อแม่ที่มีต่อลูกมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด วัยรุ่นหลายคนที่สามารถยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตัวเองรักได้จนสุดทาง มักมีเบื้องหลังเป็นพ่อแม่หรือใครสักคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา ยกตัวอย่าง

วัยรุ่นคนหนึ่งตั้งใจจะไปเรียนด้านการทำอาหารเพื่อเป็นเชฟตามฝันของเขา

ป้าข้างบ้าน “ทำไมลูกไปเรียนสายอาชีพล่ะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดเหรอ”

คุณแม่ของวัยรุ่น “ไม่หรอก ก็แค่ไม่อยากสอบน่ะ” 

ป้าข้างบ้าน “ไม่ใช่ไม่อยากสอบหรอกทั้ง คงกลัวสอบไม่ติดมากกว่า”

คุณแม่ “คงงั้นแหละ”

วัยรุ่นเมื่อได้ยินป้าข้างบ้านกับแม่ของเขาคุยกัน ก็แอบรู้สึกน้อยใจและคิดว่า แม่ไม่เชื่อมั่นในตัวเขาหรือสิ่งที่เขาทำ แม่อาจจะอายที่เขาเรียนสายวิชาชีพ เลยไม่กล้าพูดออกไป ในความเป็นจริง เรื่องนี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับวัยรุ่นแล้ว หากพ่อแม่เชื่อมั่นในตัวเขา พ่อแม่ควรสนับสนุนในตัวเขาด้วย

ถ้าคุณแม่ของวัยรุ่นคนนี้พูดกลับไปว่า “ลูกอยากเรียนทำอาหาร เพราะเขาอยากเป็นเชฟ” ลูกวัยรุ่นคงจะดีใจไม่น้อย เพราะสำหรับลูกแล้ว แม้คนอื่นไม่เห็นคุณค่าและไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ยังไม่เจ็บปวดเท่าพ่อแม่มองไม่เห็นและไม่ยืนหยัดที่จะเคียงข้างเขา

สำหรับเด็กบางคนที่ไม่มีทั้งพ่อหรือแม่ ขอเพียงใครสักคนที่พร้อมจะรักและเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ในโลกใบนี้

สิ่งที่วัยรุ่นต้องการจากพ่อแม่มากที่สุด คือ บ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ

บ้านในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึง ‘สถานที่’ หากแต่คือ ‘บุคคลที่เขาไว้วางใจได้’ พ่อแม่ที่ลูกไว้วางใจได้ คือ บ้านที่พักใจสำหรับลูก

แต่บ้านสำหรับเด็กบางคน อาจจะไม่ได้มีทั้งพ่อและแม่ แต่มีเพียงผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็สามารถเติมเต็มใจให้กับเขาได้เช่นกัน หากผู้ใหญ่คนนั้นสามารถเติมเต็มความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และปัจจัยทั้งสี่ให้กับเด็กน้อยได้

สำหรับเด็กเล็กๆ อาจจะต้องการบ้านที่เขาสามารถดูแลและตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน กินอิ่ม นอนหลับ สอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขาได้ แต่เมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาต้องการบ้านที่เขาสามารถวางหัวใจที่เหนื่อยล้าลงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ และกลับไปเผชิญโลกภายนอกต่อไป

‘พ่อแม่’ และ ‘ผู้ใหญ่’ สามารถเป็น ‘บ้านที่ปลอดภัย’ ให้กับเด็กๆ ได้ โดยเริ่มจากสิ่งหล่านี้

  1. ให้การรับฟัง
  2. ให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น
  3. ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ
  4. ให้อภัยและการสอน
  5. ให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ

ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง หากพ่อแม่เชื่อมั่นในตัวลูก เขาจะกลับมามีความหวังในตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

แนวทางในการรับมือกับ ‘ความรู้สึกไม่ดีพอ’

ข้อที่ 1 เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็น และปรับเปลี่ยนตัวเองทีละน้อย 

เริ่มจากมองให้เห็นตัวเองตามความเป็นจริง และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นทีละเล็กทีละน้อย 

ถ้าเราไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ตัวเองเป็น การพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจและขอให้เขาช่วยสะท้อนให้เราฟังว่า เขามองเห็นอะไรในตัวเราบ้าง ทั้งด้านดี และด้านที่ยังต้องพัฒนา เราจะรับรู้ตัวเองตามความเป็นจริงมากขึ้น 

ข้อที่ 2 เรียนรู้ที่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ และลงมือทำอย่างจริงจัง

แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งเล็กๆ มากมายที่เราทำได้ สามารถกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้เสมอ ความสำเร็จเล็กๆ เป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีแรงเดินหน้าเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ และสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้อื่น 

ข้อที่ 3 มองเห็นสิ่งที่เราทำได้ดี และข้อดีในตัวเอง

แม้สิ่งที่เราทำได้ จะมีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่าก็ไม่เป็นไร เพราะขอแค่เรารู้ว่าตนเองทำได้ดีก็เพียงพอแล้ว เมื่อเรารับรู้ว่า เราสามารถทำอะไรได้ดีบ้าง เราจะรับรู้ความสามารถและคุณค่าภายในตัวเอง

ข้อที่ 4 ใจดีกับตัวเอง

ในวันที่ทำได้ไม่ดีตามที่คาดไว้ ให้เราใจดีกับตัวเองบ้าง บอกกับตัวเองเสมอว่า “วันนี้ฉันทำดีที่สุดแล้ว และฉันภูมิใจที่ฉันได้ลงมือทำ” 

และในวันที่เราทำผิดพลาด อย่าลืมที่จะให้อภัยตัวเองด้วย เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด และการทำผิดพลาดเป็นหลักฐานของการลงมือทำ ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องซ้ำเติมตัวเองด้วยการรู้สึกผิด แต่ให้เรานำประสบการณ์ที่ผิดพลาดในวันนี้ไปพัฒนาตัวเองต่อไป

ข้อที่ 5 ขอความช่วยเหลือ

ถ้าหากเรารู้สึกว่าใจเราไม่ไหว คนที่เราไว้ใจ หรือคนกลางอย่างเช่น จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาสามารถช่วยเคียงข้างเราได้

สุดท้าย ในโลกใบนี้ คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่เราทุกคนล้วนมีคุณค่า และมีข้อดีในแบบของเราเอง เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ดีพอ แต่เราสามารถเป็นตัวเองในแบบฉบับที่ดีที่สุดได้

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)จิตวิทยาวัยรุ่นปัญหาการสื่อสาร

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.1 ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่มีต่อเด็กปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    การล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทักษะการสื่อสารในเด็กเล็ก

    เรื่อง The Potential

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Learning Theory
    HOME-BASED LEARNING : บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade ที่บ้าน

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Social Issues
    ห้องเรียนที่บ้าน: 5 วิชาจากโคโรน่าไวรัส เปลี่ยนวิกฤตเป็นสนามการเรียนรู้ของเด็กๆ

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

จริยธรรม “หลังสมัยใหม่” ของเด็กยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก
Learning Theory
5 October 2021

จริยธรรม “หลังสมัยใหม่” ของเด็กยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ธรรมชาติการเรียนรู้จริยธรรมของเด็กไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการเรียนในวิชาจริยธรรมหรือศาสนา และไม่จำเป็นต้องเกิดจากการสั่งสอนของผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น แต่รวมถึงประสบการณ์ในการเข้าสังคม และการรับรู้ข้อมูลทางตรงหรือทางสื่อต่างๆ ด้วย
  • จริยธรรมเป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์พยายามกันมานานที่จะหาความจริงหนึ่งเดียว ถกเถียงกันว่าศาสนาใดถูกต้องที่สุด หรือจะยึดหลักทางวิทยาศาสตร์มาตัดสินศีลธรรม แต่แนวคิด “หลังสมัยใหม่” (Postmodernism) มองว่า เรื่องของจริยธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะถูกต้องตายตัว ศีลหรือเกณฑ์ในการบอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ดีหรือชั่วนั้นแตกต่างไปตามบริบท
  • สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องรู้เกี่ยวกับการสร้างเด็กให้เป็น “คนดี” คือ จริยธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดด้วยการฟังหรือการเรียนในระยะเวลาสั้นๆ กลไกการสร้างจริยธรรมของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่ค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการคาดหวังว่าแค่เข้าค่ายอบรมหรือสอนครั้งสองครั้งแล้วจะได้ผลมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก และการจำกฎหรือศีลได้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนจริยธรรม

หากถามคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านว่า “อยากให้ลูกของท่านเป็นอะไร” คำตอบที่อาจจะได้ยินคือ “เป็นอะไรก็ได้ที่เขามีความสุข” และที่สำคัญคือ “ขอให้เป็นคนดี” วันนี้ผมเลยมาชวนผู้ใหญ่ที่เป็นบุคคลที่สำคัญมากในการสอนให้เด็กเป็นคนดีมาคุยกันเรื่องจริยธรรมกันดีกว่า เพราะเวลาผ่านไปหลายสิ่งก็ต้องปรับให้ทันสมัยขึ้น และการสอนจริยธรรมให้เด็กเองก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องปรับให้ทันสมัยเช่นกัน

เด็กยุคใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับวิทยาการอย่างอินเทอร์เน็ตนั้นมีสังคมที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้ามากทีเดียวครับ เพราะสังคมของเขาเหมือนโลกที่ไม่มีพรมแดน ข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสาระหรือความบันเทิงจากทุกมุมโลกเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายดาย เหมือนเด็กอยู่ในสังคมขนาดยักษ์ที่สมาชิกของสังคมมีเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย และประเด็นเรื่องจริยธรรมนั้นเกี่ยวพันกับสังคมไซเบอร์อย่างเหนียวแน่นเลยล่ะครับ เพราะกิจกรรมบนนั้นไม่ว่าการกด “ไลค์” หรือการแสดงความคิดเห็น มันคือการตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และนั่นคือเรื่องของจริยธรรมทั้งนั้น เด็กจะได้เรียนรู้ว่าคนในสังคมตัดสินคนอื่นกันอย่างไรผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือด้วยการอ่านคอมเมนต์หรือการดูยอดไลค์ ฟังแบบนี้แล้วอาจทำให้ผู้ใหญ่หลายท่านหนักใจพอสมควรว่า ลูกหลานของตนนั้นจะได้รับการผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารที่บางครั้งก็ขัดกับความถูกต้องดีงามในสายตาผู้ใหญ่เหลือเกินหรือไม่ และคำตอบก็คือมีแน่นอน

ธรรมชาติของมนุษย์นั้นสมองมีกลไกในการเรียนรู้จริยธรรมอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีใครสอน เด็กจะเรียนรู้ได้เองว่าสังคมนั้นสิ่งใดที่ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรทำ 

ธรรมชาติการเรียนรู้จริยธรรมของเด็กไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการเรียนในวิชาจริยธรรมหรือศาสนา และไม่จำเป็นต้องเกิดจากการสั่งสอนของผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น แต่รวมถึงประสบการณ์ในการเข้าสังคม และการรับรู้ข้อมูลทางตรงหรือทางสื่อต่างๆ ด้วย 

ทุกครั้งที่เด็กได้พบเจอข้อมูลอะไรก็แล้วแต่เด็กจะนำมาประมวลผลออกมาเป็นกฎเกณฑ์ไว้ใช้ตัดสิน สิ่งที่เด็กจะทำตามคือสิ่งที่คนรอบตัวบอกว่า “ดี” หรือทำแล้ว “ได้รับผลดี” ดังนั้นเด็กอาจจะมี “จริยธรรมในแบบของตนเอง” ซึ่งมันอาจจะตรงหรือไม่ตามคำสอนของผู้ใหญ่หรือตามหลักศาสนาก็ได้

แต่การจะบอกว่าหากเด็กคิดผิดไปจากคำสอน หรือศาสนาต่างๆ มันคือสิ่งที่ “ผิด” หรือไม่ อาจจะตอบได้ยาก เพราะผิดหรือถูกเป็นเรื่องนามธรรม หลายท่านอาจคิดว่าถูกผิดเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วเพราะศาสนาทุกศาสนากำหนด “ศีล” ไว้ชัดเจนว่าคนดีควรและไม่ควรทำอะไร แต่ปัญหาที่จะตามมาคือแต่ละศาสนาก็จุดที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน แต่ละครอบครัวก็คงสอนต่างกันไป และยิ่งไปกว่านั้นในต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม คำสอนต่างๆ ยิ่งหลากหลายเข้าไปอีก ดังนั้นการที่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูอาจารย์สอนจริยธรรมเด็กตามหนังสือ หรือคำสอนทางศาสนาที่ตนเองเชื่อหรือนับถือเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้เด็กยุคใหม่พบว่าจริยธรรมแบบนั้นตอบเรื่องความถูกผิดไม่ได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะตอนเด็กเจอกับคนต่างชาติ ต่างศาสนา

บางศาสนาสอนไม่ให้กินเนื้อสัตว์บางอย่าง ส่วนบางศาสนาไม่ห้ามเรื่องนี้เลย บางศาสนาให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพิธีกรรม แต่บางศาสนาห้ามดื่มไม่ว่าตอนไหน ศาสนาบางศาสนามีข้อปฏิบัติเรื่องพิธีกรรม ไปจนถึงการแต่งกายที่แตกต่างกัน เมื่อเด็กเข้าสู่สังคมขนาดใหญ่ เด็กจะพบว่าการใช้หลักของศาสนาเดียวตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิดนั้นอาจทำไม่ได้เสนอไป การสอนจริยธรรมให้เด็กในยุคใหม่จึงอาจจะต้องพัฒนาไปตามความกว้างของสังคมไปด้วย

มีแนวคิดทางจริยธรรมในแง่มุมหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจมากครับ แนวคิดนี้อยู่ในปรัชญา “หลังสมัยใหม่” (Postmodernism) ก่อนจะรู้จักคำว่า “หลังสมัยใหม่” เราต้องรู้จัก “สมัยใหม่” กันก่อน คำว่าสมัยใหม่หมายถึงยุคที่วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากๆ และทุกอย่างล้วนอธิบายได้ด้วยหลักการ กฎเกณฑ์ สูตรคำนวณ ความจริงนั้นต้องมีหนึ่งเดียวและวิทยาศาสตร์จะตอบคำถามนั้นได้ 

อย่างไรก็ตาม นักปรัชญาและนักวิชาการหลายๆ คนก็เริ่มเห็นถึงจุดอ่อนของความเชื่อแบบสมัยใหม่ และพบว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจะหาสูตรหากฎตายตัวได้ หลายอย่างนั้นแตกต่างกันไปตาม “บริบท” หรือสิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น วัฒนธรรม พื้นที่ ยุคสมัย สิ่งที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวนั้นอาจไม่มีอยู่จริง เรื่องของจริยธรรมเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์พยายามกันมานานที่จะหาความจริงหนึ่งเดียว ถกเถียงกันว่าศาสนาใดถูกต้องที่สุด หรือจะไปยึดแต่หลักทางวิทยาศาสตร์มาตัดสินศีลธรรมแทนดี แต่แนวคิดหลังสมัยใหม่มองว่า เรื่องของจริยธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะถูกต้องตายตัว ศีลหรือเกณฑ์ในการบอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ดีหรือชั่วนั้นแตกต่างไปตามบริบท 

ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูนะครับ ทหารที่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันในสนามรบเป็นคนดีหรือไม่ คนที่ฉีดยาให้นักโทษประหารเป็นคนดีหรือไม่ แพทย์ที่ช่วยเหลือชีวิตอาชญากรที่ฆ่าคนมหาศาลทำถูกหรือไม่ คนที่ขโมยยาเพราะจะเอามารักษาแม่เป็นคนดีหรือไม่ คนที่โกหกเพื่อไม่ให้คนอื่นเสียใจเป็นคนดีหรือไม่ หากนั่งคิดแล้วเราพอจะเห็นว่าบางสถานการณ์มีข้อยกเว้นหรือมองได้หลายแง่มุม การฆ่าหรือการช่วยชีวิตคนที่น่าจะตัดสินด้วยหลักศีลธรรมได้แน่ๆ กลับตอบได้ยากในบางบริบท และสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิต การที่จริยธรรมไม่ใช่กฎตายตัว แต่ต้องพิจารณาตามสถานการณ์และบุคคลไป จึงเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ

คำถามต่อมาคือหากยอมรับว่าศีลธรรมเปลี่ยนแปลงได้และมีข้อยกเว้น แปลว่าเราไม่ควรสนใจหลักของศาสนา หรือความเชื่อในสังคมที่มี เลยหรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่ใช่ครับ” เราไม่ต้องถึงขนาดล้มล้างความถูกต้องและการตีความถูกผิดตามศาสนาของท่าน และยังสอนเด็กๆ ให้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาได้ แต่สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมขึ้นมาในการสอนจริยธรรมสมัยใหม่ คือ การยอมรับความแตกต่าง สอนให้เด็กตระหนักว่า สิ่งที่เรามองว่าดี คนในต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมอาจจะมองว่าไม่ดีก็ได้ หรือในทางตรงกันข้ามสิ่งที่เรามองว่าไม่ดี คนในต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมอาจจะมองว่าดีก็ได้ สิ่งที่ดีในตอนนี้ อาจจะเปลี่ยนในอนาคต สิ่งที่อดีตยอมรับไม่ได้ อนาคตอาจจะยอมรับได้ และถึงจะมีข้อยกเว้นมากมาย แต่มันก็มีบางสิ่งที่ศาสนาและวัฒนธรรมส่วนใหญ่เห็นตรงกันในแง่ของความดี เราเน้นย้ำสิ่งเหล่านั้นเป็นหลักสำคัญได้ เช่น เราไม่ควรเบียดเบียนใคร การเบียดเบียนที่รุนแรงที่สุดคงเป็นการฆ่า การทรมาน และทำร้ายตามลำดับ ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะทำอย่างยิ่งหากไม่มีเหตุผลคอขาดบาดตาย เช่น เพื่อรักษาชีวิตของตนเอง หากจำเป็นต้องเบียดเบียนจริงๆ จะมีทางไหนที่เบียดเบียนน้อยที่สุด หรือทางไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมที่สุด

หลักนี้ยังนำไปประยุกต์ใช้ได้กับสัตว์ เช่น ปศุสัตว์ต้องได้รับการเลี้ยงดูที่ดีและไม่ถูกฆ่าอย่างทรมาน การไม่เบียดเบียนยังรวมไปถึงขั้นการไม่เบียดเบียนธรรมชาติ เช่น ต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆ บนโลก และหากสังเกตดีๆ คำสอนของหลายๆ ศาสนาต่างพูดถึงสิ่งนี้ตรงกัน

แต่แน่นอนว่าในชีวิตจริง มีหลายเรื่องที่ตีความได้ยากและซับซ้อนกว่านั้น ทักษะหนึ่งที่จะทำให้เด็กรับความคิดด้านความแตกต่างหลากหลายไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด คือการวิเคราะห์ด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ไม่ใช่การท่องจำอย่างเดียว เพราะแต่ละกรณีที่ต้องตีความถูกผิดล้วนมีบริบทที่แตกต่างกัน 

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าการสอนจริยธรรมแบบจดจำว่าต้องทำหรือไม่ทำอะไร ไม่ให้ผลดีต่อการพัฒนาจริยธรรมของเด็กเท่ากับการให้เด็กได้คิดเอง 

วิธีที่ผู้ใหญ่ทุกคนใช้ฝึกจริยธรรมให้เด็กได้ เช่น ตอนเล่านิทานให้เด็กฟัง แทนที่จะสอนเด็กตรงๆ ว่านิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร ควรให้เด็กได้ลองคิดแล้วตอบว่าได้ข้อคิดอะไร สำหรับเด็กโตอาจจะไม่ชอบฟังนิทาน การใช้เรื่องราวจากสื่ออื่นๆ อย่างเหตุการณ์ที่เกิดในภาพยนตร์ที่ดูด้วยกัน หรือนิยายที่เคยอ่าน หรือแม้แต่ในข่าวมาวิเคราะห์แทนว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นถือว่าถูกหรือผิดอย่างไร และมีเหตุผลอะไร 

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่าหากจะสอนจริยธรรมเด็กแล้ว การเน้นผลดีที่ได้จากการทำสิ่งถูกต้อง ได้ผลกว่าการเน้นผลเสียที่ตามมาจากการทำไม่ถูก หรือก็คือ “รางวัลนั้นได้ผลกว่าไม้เรียว” ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยสำคัญซึ่งพบว่าการเลี้ยงลูกแบบเข้าใจได้ผลดีกว่าเลี้ยงแบบเข้มงวด ดังนั้นตอนที่ชวนเด็กวิเคราะห์เรื่องราวควรเน้นก่อนว่าเกิดผลดีอะไรบ้างจากการทำสิ่งที่ถูกต้องแทนที่จะเน้นถึงผลเสียที่ตามมา

สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องรู้เกี่ยวกับการสร้างเด็กให้เป็น “คนดี” คือ จริยธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดด้วยการฟังหรือการเรียนในระยะเวลาสั้นๆ กลไกการสร้างจริยธรรมของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่ค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการคาดหวังว่าแค่เข้าค่ายอบรมหรือสอนครั้งสองครั้งแล้วจะได้ผลมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก และการจำกฎหรือศีลได้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนจริยธรรม

การสร้างวิธีคิดทางจริยธรรมให้เด็กนั้นสำคัญกว่า ดังนั้นพยายามชวนเด็กๆ คุยเรื่องจริยธรรมบ่อยๆ เปิดโอกาสให้เขาได้คิดว่าอะไรที่ถูก ถูกเพราะอะไร เกิดประโยชน์ตรงไหน อะไรที่ผิด ผิดเพราะอะไร เบียดเบียนผู้อื่นตรงไหน และอย่าปิดกั้นความคิดเห็นของเด็กหากมันไม่ตรงกับของผู้ใหญ่เอง หรือเพียงเพราะมันไม่ตรงกับศีลธรรมและความเชื่อในแบบที่ตนยึดถืออยู่ เพราะว่าเมื่อเด็กเข้าสู่สังคมที่กว้างใหญ่ ที่มีคนหลากหลายความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม เด็กจะได้พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ตนต้องคิดเองว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ถูกหรือผิด ควรทำตามหรือไม่ เพราะอะไร 

การตัดสินว่าผิดเพราะคิดไม่เหมือนกับตน ไม่ใช่วิธีที่ดีในการอยู่ในสังคมที่เปิดกว้างแบบปัจจุบัน หากผิดเด็กต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าผิดด้วยเหตุใด สิ่งนี้ถูกต้องในวัฒนธรรมหรือศาสนาของเขาหรือเปล่า และมันเกิดผลกระทบที่ดีหรือไม่ดีต่อตัวเขาหรือคนอื่นๆ หรือไม่ ปลูกฝังให้เด็กเคยชินว่าความถูกผิดคือสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ เมื่อคิดไม่ตรงกับคนอื่น เด็กจะรู้ว่าจุดยืนของตนเหมาะสมหรือไม่เพราะอะไร หรือถ้ามีคนมาขัดแย้ง จะสื่อสารกับอีกฝ่ายเพื่อยึดมั่นในจุดยืนของตนเองอย่างไร และเข้าใจอีกฝ่ายอย่างไร

การตีความด้านจริยธรรมในอนาคตของทุกสังคมมีแนวโน้มที่จะมีทิศทางในแนวที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นไม่ได้แปลว่าไม่มีสิ่งใดผิด หรือจะทำอะไรก็ได้ตามใจ อย่างที่เราคุยกันไว้ว่าการทำสิ่งใดต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่เบียดเบียนใคร หากรู้สึกว่าตัดสินใจยาก ลองนึกถึงสุภาษิตของไทยที่ยังใช้ได้ครอบคลุมเสมอในแทบจะทุกสถานการณ์คือ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ก็ได้ครับว่าหากจะตัดสินว่าการกระทำนั้นถูกไหม ลองมองในมุมมองของทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำให้รอบด้าน สมมติว่าถ้าคนที่ได้รับผลกระทบคือเราเอง เราจะเดือดร้อนหรือไม่ เราจะทุกข์จากการกระทำดังกล่าวแค่ไหน คิดให้ดีและพยายามเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย 

นอกจากนี้การมีจริยธรรมที่เข้มแข็งไม่ได้ใช้เพื่อห้ามทำอะไรเท่านั้น แต่เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงมือทำ ในอนาคตเด็กจะต้องเจอเหตุการณ์ตัดสินใจได้ยากในชีวิต เหตุการณ์ที่ไม่เคยมีบทเรียนจริยธรรมไหนเคยสอนว่าทางไหนที่ถูกต้อง เหตุการณ์ที่จำเป็นจริงๆ แต่เกิดสิ่งไม่ดีกับคนอื่นโดยเลี่ยงไม่ได้ ทักษะการวิเคราะห์เหตุการณ์ในแง่ของจริยธรรมจะเป็นเหมือนเข็มทิศสำคัญในที่ช่วยให้เด็กเลือกเส้นทางที่ตนคิดว่า “ถูกต้องที่สุด” ณ ขณะนั้นได้อย่างรอบคอบ 

แค่ตั้งใจคิดคำนึงถึงคนอื่น ผมว่าแค่นี้ก็คือ “เด็กดี” ในมุมมองสากลแล้วครับ

อ้างอิง

Cushman, F., Kumar, V., & Railton, P. (2017). Moral learning: Psychological and philosophical perspectives. Cognition, 167, 1-10.

Lee, K., Talwar, V., McCarthy, A., Ross, I., Evans, A., & Arruda, C. (2014). Can classic moral stories promote honesty in children?. Psychological science, 25(8), 1630-1636.

Rhodes, M., & Wellman, H. (2017). Moral learning as intuitive theory revision. Cognition, 167, 191-200. 

Robinson, D. (2008). Introducing Ethics: A Graphic Guide. London, Icon Books.

Vasile, C. (2019). Learning moral attitudes: children vs parents. Journal of Educational Sciences & Psychology, 9(2).

Tags:

การยอมรับPostmodernismจริยธรรมศาสนา

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • SpaceCreative learning
    วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipHow to enjoy life
    รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 2): ถ้าเพื่อนชอบฉันเอาบ้าง และขวัญใจนักการตลาด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    Resilience : เลี้ยงลูกให้มี ‘ความยืดหยุ่นทางจิตใจ’ กลับมาตั้งต้นใหม่ได้ทุกเมื่อ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel