Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: October 2021

เงินทองต้องคิดส์ (8) : เรื่องหนี้ เรื่องนี้พ่อแม่ต้องสอน
Early childhood
29 October 2021

เงินทองต้องคิดส์ (8) : เรื่องหนี้ เรื่องนี้พ่อแม่ต้องสอน

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘หนี้’ คำต้องห้ามที่หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากจะพูดถึง แต่การหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่าหนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา บางคนก็ต้องกู้เพื่อเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เรียนจบออกมาก็มีบัตรเครดิต ซื้อบ้านหลังแรกก็ต้องไปจำนองที่ธนาคาร อยากได้รถยนต์ก็ใช้วิธีผ่อนชำระ แล้วจะดีกว่าไหมถ้าเราเตรียมตัวลูกให้พร้อมเจอกับ ‘หนี้’ ในวันข้างหน้า
  • แม้ควรให้ลูกรู้จักหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พ่อแม่ก็ควรให้ลูกใช้เงินสดจนกว่าจะจบมัธยมปลาย พร้อมทั้งทำความรู้จักการก่อหนี้ผ่านบัตรเครดิต ชวนกันมาดูรายงานสรุปรายเดือนที่จะมาส่งที่บ้าน พร้อมกับย้ำว่าถ้าจ่ายเงินช้า หรือจ่ายเพียงขั้นต่ำก็อาจทำให้ต้องเสียเงินมากกว่าค่าของที่รูดบัตรซื้อมาได้
  • เมื่อลูกประสบปัญหาหนี้สิน การห้ามช่วยลูกแบบเด็ดขาดคงเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยพ่อแม่ก็ไม่ควรแก้ปัญหาหนี้ให้ลูกแบบไร้เงื่อนไข เพราะอาจทำให้ต้องกลับมาแก้ปัญหาเดิมซ้ำๆ ไม่จบไม่สิ้น เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่าเราไม่มีปัญญาหาเงินมาช่วยแก้ปัญหาให้ลูกได้ตลอดไป แทนที่จะควักกระเป๋าเอาเงินก้อนใหญ่ไปโปะหนี้ให้ลูก ลองช่วยเหลือทางอ้อมเพื่อลดค่าใช้จ่าย เช่น ให้กับมากินอยู่ที่บ้าน หรือหากจะจ่ายหนี้บัตรเครดิตพะรุงพะรังให้ก็ควรมานั่งจับเข่าคุยกันว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก

ไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะคุยเรื่อง ‘หนี้’ กับลูก เพราะแม้แต่กับญาติสนิทมิตรสหาย คำว่าหนี้ก็ดูเหมือนเป็นคำต้องห้ามที่หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากจะพูดถึง

แต่การหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงก็ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่าหนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน บางคนก็ต้องกู้เพื่อเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เรียนจบออกมาก็มีบัตรเครดิต ซื้อบ้านหลังแรกก็ต้องไปจำนองที่ธนาคาร อยากได้รถยนต์ก็ใช้วิธีผ่อนชำระ แล้วจะดีกว่าไหมถ้าเราเตรียมตัวลูกให้พร้อมเจอกับ ‘หนี้’ ในวันข้างหน้า

ผมเข้าใจครับว่าเป็นเรื่องยากเพราะผมก็เติบโตมาในครอบครัวที่มีทัศนคติไม่ดีกับหนี้นักโดยจะไม่กู้ยืมหากไม่จำเป็น ตัวผมเองแม้จะจบด้านบัญชีและการเงินมา กว่าจะกล้ามีบัตรเครดิตใบแรกของตัวเองก็ตอนอายุ 26 ปีหลังจากที่เข้าไปทำงานธนาคารฝ่ายอนุมัติสินเชื่อจนชินชากับคำว่าหนี้

ทัศนคติต่อหนี้ของผมค่อยๆ เปลี่ยนไป จากสิ่งที่น่ากลัวห้ามพูดถึงกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการชีวิตซึ่งการจะนำไปใช้ให้แคล่วคล่องต้องมีทักษะเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง คงจะดีกว่าหากเราจะให้เจ้าตัวเล็กที่บ้านคุ้นเคยกับ ‘หนี้’ ตั้งแต่เด็ก และเตรียมพร้อมก่อนที่วันหนึ่งเขาจะเติบโตและต้องตัดสินใจก่อหนี้ด้วยตัวเอง

1.ใช้เงินสดจนกว่าจะจบมัธยมปลาย

หลังจากอ่านบทนำจนจบ พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าผมแนะนำให้เจ้าตัวเล็กในบ้านหัดก่อหนี้ ซึ่งช่องทางที่ง่ายที่สุดก็คือการสมัครบัตรเครดิตให้

ช้าก่อน! อย่าเด็ดขาดเชียวนะครับ ก่อนที่ลูกจะได้สัมผัสกับบัตรพลาสติกควรโตพอที่จะรู้ว่า บัตรเครดิต คือ การก่อหนี้ที่เป็นการใช้ก่อนจ่ายทีหลัง พร้อมทั้งควรมีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจพอประมาณ มิฉะนั้น บัตรที่อยู่ในมืออาจกลายเป็นหายนะขนาดย่อมๆ

แม้จะดูขัดกับยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัลอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนก็อยากแนะนำให้เด็กๆ ใช้เงินสดจนกว่าจะจบมัธยมปลาย เพราะมีการศึกษาพบว่าคนเรามีความเต็มใจจะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าหากจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตแทนที่จะเป็นเงินสด นอกจากนี้ งานวิจัยชิ้นล่าสุดยังเปิดเผยว่า การจ่ายเงินโดยบัตรเครดิตจะทำให้เราไม่คิดถึงเรื่องต้นทุนจริงๆ แต่จะไปกระตุ้นสมองในส่วนที่สร้างความสุขในการได้ซื้อของทำให้ใช้จ่ายเกินตัวแบบไม่รู้ตัว

แม้ว่าบทความนี้จะตั้งใจสอนเด็กๆ เรื่องหนี้ แต่ตอนนี้ให้เด็กๆ เรียนรู้ภาคทฤษฎีไปก่อนโดยให้พ่อแม่ทำเป็นตัวอย่าง อย่าเพิ่งรีบให้เจ้าตัวเล็กก่อหนี้เลยครับเพราะยังมีเวลาที่เหลืออีกทั้งชีวิตในการฝึกภาคปฏิบัติ

2.รู้จักหนี้ผ่านบัตรเครดิต

การก่อหนี้ที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันมากที่สุด และเด็กๆ น่าจะได้เจอบ่อยครั้งที่สุด ก็คือการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่เชื่อไหมครับว่าเด็กน้อยคนจะเข้าใจว่าบัตรเครดิตนั้นทำงานอย่างไร บางคนอาจคิดไปเองว่านี่คือบัตรมหัศจรรย์ที่พ่อแม่รูดเท่าไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องควักสตางค์จ่าย

พ่อแม่ควรจะบอกลูกเสมอว่า การจ่ายเงินโดยบัตรเครดิตนั้น คือ การก่อหนี้ที่เราจะต้องจ่ายตอนสิ้นเดือน หากมีโอกาสก็อาจจะลองชวนมานั่งดูใบสรุปรายการที่ธนาคารจะจัดส่งมาให้ แล้วชวนให้เด็กๆ นึกถึงว่าค่าใช้จ่ายก้อนนั้นก้อนนี้คืออะไร อาจจะเป็นอาหารมื้ออร่อยหรือผลไม้ที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ แล้วย้ำว่าถ้าจ่ายล่าช้า ค่าผลไม้ 100 บาทในใบรายการก็อาจงอกเงยเป็น 105 ในเดือนถัดไป

คำเตือนสำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกคน คือ อย่าให้เลขบัตรเครดิตลูกไปใช้ซื้อของตามอำเภอใจโดยเด็ดขาดและห้ามบันทึกข้อมูลบัตรไว้ในคอมพิวเตอร์ของลูก จำไว้เสมอว่าเด็กๆ มีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าเรา การกระทำเช่นนั้นอาจให้ลูกสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ไม่เชื่อใจพวกเขา ซึ่งเราสามารถอธิบายให้ฟังได้ว่า นี่คือนโยบายของบริษัทบัตรเครดิตที่จะกำหนดให้ใช้เฉพาะเจ้าของบัตรเท่านั้น

3.เมื่อซื้อของชิ้นใหญ่ให้ชวนลูกมาดูแผนผ่อนชำระ

การสอนลูกเรื่องหนี้ที่ดีที่สุดไม่ใช่การห้ามก่อหนี้แบบคอขาดบาดตาย แต่ควรชวนลูกๆ มาทำความเข้าใจว่าหากต้องการก่อหนี้เพื่อซื้อสิ่งที่เราอยากได้นั้นควรทำอย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าถูกวิธี

ทุกครั้งที่ซื้อสินค้าราคาแพง อาจเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ หรือแม้แต่บ้านสักหลัง พ่อแม่ควรชวนลูกมาทำความเข้าใจกระบวนการก่อหนี้ อธิบายเหตุผลทุกขั้นตอนการตัดสินใจ ตั้งแต่การเลือกวิธีผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย การวางเงินดาวน์ รวมถึงจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือน

เป้าหมายสำคัญของการให้เด็กๆ มารับรู้กระบวนการดังกล่าว คือ การให้พวกเขาสลัดภาพความคิดว่าการก่อหนี้เป็นเรื่องเล็กแค่รูดบัตรเครดิตแล้วจ่ายในตอนสิ้นเดือน เพราะความจริงแล้วการตัดสินใจก่อหนี้ควรเป็นเรื่องที่ต้องคิดอย่างถี่ถ้วน เป็นการตัดสินใจระยะยาวที่หากถอนตัวกลางคันจะมีต้นทุนราคาแพง และควรจะกระทำต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราะความอยากได้แบบชั่วครั้งชั่วคราว

4.เตือนลูกเรื่องให้เพื่อนยืมเงิน

เรื่องเพื่อน คือ เรื่องใหญ่สำหรับเด็กๆ หลายครั้งที่เจ้าตัวเล็กอาจให้เพื่อนหยิบยืมเงินแบบไม่คิดมาก แต่น้อยครั้งที่จะได้รับเงินกลับคืน เหลือไว้เพียงความรู้สึกไม่ดีต่อกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งไป

กฎจำง่ายในการให้เพื่อนยืมเงินซึ่งใช้ได้ทั้งกับผู้ใหญ่และเด็ก คือ หนี้ระหว่างเพื่อนสนิทนั้นไม่มีอยู่จริง หากคุณต้องการจะช่วยเพื่อนที่ตกที่นั่งลำบากให้คิดเสมอว่าเงินที่ให้ไปนั้นไม่ได้หวังจะได้รับกลับคืน (แต่ถ้าได้คืนก็ถือเป็นโบนัส) เงินก้อนไหนที่คุณจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็อย่าให้ยืมเด็ดขาด เพราะการคอยตามทวงถามเรื่องเงินแทนคำทักทายแสดงความห่วงใยคงไม่ช่วยให้มิตรภาพยืนยาวนัก

5.ทำความรู้จักรายงานเครดิต

เด็กๆ อาจสงสัยว่าธนาคารมีหลักการอย่างไรในการตรวจสอบประวัติว่าคนหนึ่งคนมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน

คำตอบง่ายๆ คือ การสืบค้นข้อมูลเครดิตบูโรซึ่งถือเป็นหน่วยงานกลางที่รวบรวมข้อมูลการก่อหนี้และการชำระหนี้ของคนไทยเอาไว้ที่เดียว รายงานดังกล่าวจะระบุว่าเรายังมีหนี้คงค้างเท่าไหร่ เคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ และเคยมีประวัติการปรับโครงสร้างหนี้หรือเปล่า ทำให้ธนาคารตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้นสำหรับคนที่มีเครดิต

พ่อแม่อาจชวนเด็กๆ ไปตรวจสอบขอรายงานเครดิตบูโรของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการทั้งออฟไลน์และออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ต่อให้ยังไม่เคยก่อหนี้ก็สามารถตรวจสอบได้และควรสอนลูกๆ ให้ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครแอบอ้างชื่อของเราไปก่อนหนี้ที่เราไม่เคยรู้

ประเด็นสำคัญที่พ่อแม่ต้องย้ำลูกๆ คือ การไม่จ่ายชำระหนี้หรือการจ่ายล่าช้าจะส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตติดตัวเราไปทำให้โอกาสในการขออนุมัติบัตรเครดิตและสินเชื่อต่างๆ ทำได้ยากขึ้น หรือได้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น นี่คือเหตุผลที่เราควรก่อหนี้เฉพาะที่จ่ายไหวเพื่อไม่ให้เราต้องตกที่นั่งลำบากเมื่อต้องหยิบยืมเงินมาใช้จากอนาคต

6.อย่าแก้ปัญหาหนี้ให้ลูกแบบไร้เงื่อนไข

การห้ามช่วยลูกแบบเด็ดขาดคงเป็นไปได้ยาก ผมเลยขอแนะนำกลางๆ ว่าพ่อแม่ไม่ควรแก้ปัญหาหนี้ให้ลูกแบบไร้เงื่อนไข เพราะการตามแก้ปัญหาหนี้สินให้ลูกเพียงหนึ่งครั้งก็อาจทำให้เราต้องกลับมาแก้ปัญหาเดิมซ้ำๆ ไม่จบไม่สิ้นเพราะลูกรู้แล้วว่ายังไงพ่อแม่ก็ต้องเข้ามาช่วย

เตือนตัวเองเสมอว่าเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าและคงไม่มีปัญญาหาเงินมาช่วยแก้ปัญหาให้ลูกได้ตลอดไป แทนที่จะควักกระเป๋าเอาเงินก้อนใหญ่ไปโปะหนี้ให้ลูก ลองช่วยเหลือทางอ้อมเพื่อลดค่าใช้จ่าย เช่น ให้กับมากินอยู่ที่บ้าน หรือหากจะจ่ายหนี้สินบัตรเครดิตพะรุงพะรังให้ก็ควรมานั่งจับเข่าคุยกันว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก

ส่วนใครที่คิดจะเซ็นสัญญาให้ลูกกู้ยืมเงินผมแนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านข้อ 4. นะครับ จงทำใจล่วงหน้าว่าอาจจะไม่ได้เงินคืน ดังนั้น อย่าขายเงินก้อนเพื่อการเกษียณของตัวเองมาช่วยเหลือลูก เพราะเราต้องเกษียณก่อนลูกอย่างน้อยๆ ก็ 20 ปี ปล่อยให้เขาลิ้มรสความกระเสือกกระสนกับปัญหาที่ก่อขึ้นเองบ้าง เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง

7.จัดการหนี้ก่อนเริ่มลงทุน

จ่ายหนี้ก่อนหรือลงทุนก่อนคือคำถามยอดนิยมสำหรับหลายคนที่มีภาระต้องผ่อนชำระทุกเดือน แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นโอกาสให้เงินทำงานผ่านการลงทุน

ผู้เขียนไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่แนะนำให้พิจารณาจาก ‘อัตราดอกเบี้ย’ เงินกู้เป็นหลัก

หากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ค่อนข้างสูง เช่น มากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ผมแนะนำให้เร่งใช้หนี้ให้หมดก่อนการลงทุน เพราะถึงแม้เงินลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น หุ้น อาจมีผลตอบแทนล่อตาล่อใจเฉลี่ยที่ 8 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าลืมว่าผลตอบแทนดังกล่าวมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเป็นเงาตามตัว ต่างจากการนำเงินไปจ่ายหนี้ที่อัตราดอกเบี้ย 5 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเปรียบเสมือนการลงทุนที่ได้ผลตอบแทน 5 เปอร์เซ็นต์แบบไร้ความเสี่ยง ดังนั้นการใช้หนี้ให้หมดก่อนหรือการเพิ่มเงินดาวน์เมื่อซื้อบ้านหรือรถแทนที่จะเอาไปลงทุนนั้นอาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากกว่า

เมื่อพูดถึงเรื่องการเงิน เรามักจะเน้นความสำคัญที่การลงทุนให้เงินงอกเงยและมักมองข้าม ‘การก่อหนี้’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก แต่การงดเว้นไม่พูดถึงก็ไม่ได้ลดทอนความสำคัญของหนี้ต่อชีวิตของคนหนึ่งคน แทนที่จะมองด้วยอคติ เราควรปลูกฝังเด็กๆ ในบ้านให้มองการก่อหนี้ไม่ต่างจากเครื่องมือทางการเงินที่จะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นหากใช้อย่างถูกวิธี

Tags:

การเลี้ยงลูกการเงินเงินทองต้องคิดส์หนี้

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (11): เรื่องเงินทองที่พ่อแม่ต้องวางแผน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (7) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย
Movie
27 October 2021

Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Love Simon หนังแนว Coming of age เล่าเรื่องราวของ ‘ไซมอน’ วัยรุ่นม.ปลายที่ปกปิดตัวตนและเก็บเรื่องที่เขาชอบเพศกำเนิดเดียวกันเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ มองเขาเปลี่ยนไป
  • “ในตอนแรกที่พ่อของเค้าได้ยินความลับนั้นก็พยายามพูดติดตลกล้อเล่น แต่กลายเป็นว่าทำให้บรรยากาศอึดอัด ในตอนนั้นคนในครอบครัวของไซมอนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเพราะน่าจะยังไม่รู้ว่าจะรับมือต่อกันยังไง แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครโมโหหรือแสดงออกว่าไม่พอใจเลยที่ไซมอนเก็บความลับนี้ไว้”
  • “จะมีสักกี่บ้านที่จะทำให้ลูกไม่ต้องรู้สึกว่าเค้าโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ จะมีสักกี่ครอบครัวที่ไม่ได้ต้องการหรือคาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย ไม่ต้องเป็นความสุขให้พ่อ ไม่ต้องเป็นความสำเร็จให้แม่ แค่ให้เค้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่เท่านั้น”

Tags:

วัยรุ่นภาพยนตร์เพศLGBTQ+การเลี้ยงลูกอัตลักษณ์ทางเพศ

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Relationship
    Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    เพียงพบบรรจบฝัน – เมื่อรสนิยมทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องชอบชายหรือหญิง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhoodMovie
    THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

    เรื่อง

ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary)
Relationship
27 October 2021

ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary)

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ขอบเขตหรือจุดยืนที่ชัดเจน (Healthy Boundary) คือ การที่เราเลือกรับฟังความรู้สึกและความต้องการตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า อะไรคือสิ่งที่เรารู้สึกพอใจ และอะไรคือสิ่งที่รู้สึกไม่พอใจ รวมถึงเราต้องการอะไร
  • ความสัมพันธ์ที่ดีเกิดจากการมีขอบเขตและจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งมาจาก 2 องค์ประกอบ หนึ่ง – การเคารพจุดยืนในตัวเอง และสอง – การเคารพจุดยืนอีกฝ่าย หากขาดอย่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จะส่งผลให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน
  • จุดยืนที่ดีควรเป็นจุดยืนที่ไม่สุดโต่งไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งเกินไป กล่าวคือ ไม่ใช่จุดยืนที่แข็งเกินไปโดยไม่ยืดหยุ่นปรับตามสถานการณ์ (Rigid Boundary) และก็ไม่ใช่จุดยืนที่อ่อนปวกเปียก (Loose Boundary) เพราะสิ่งเหล่านี้มักส่งผลให้เราและคนรอบข้างรู้สึกแย่ไปด้วย 

การมีจุดยืนที่ชัดเจนหรือมั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกความสัมพันธ์ที่ดีบนโลกนี้ (Healthy Boundary) ความสัมพันธ์ที่ดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากสิ่งนี้ สิ่งนี้เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ที่คอยส่องแสงหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ให้งอกงาม ซึ่งใช้ได้ทั้งความสัมพันธ์คู่รัก ครอบครัว เพื่อน รวมถึงกับตัวเอง

หากขาดจุดยืนหรือมีการล้ำเส้นขอบเขต ความสัมพันธ์จะบั่นทอนและสั่นคลอน ไม่เพราะความรู้สึกแย่ที่เรามีกับตัวเอง ก็อาจเป็นเพราะเรารู้สึกแย่กับอีกฝ่าย หรืออีกฝ่ายรู้สึกแย่กับความคลุมเครือของเรา

นึกภาพว่าวันนี้เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากจนไม่อยากมีบทสนทนากับใคร ช่วงท้ายของวันจึงไม่ได้อยากตอบไลน์แฟน ถึงอย่างนั้น แม้ข้างในจะเหนื่อยล้าแค่ไหน เราก็พร้อมจะละเลยความรู้สึกและความต้องการตัวเองเพื่อเอาใจแฟนเสมอ

วันหนึ่ง แฟนเราเหนื่อยล้าจนไม่อยากตอบไลน์ เราก็อาจรู้สึกขุ่นเคืองใจ (Resentment) เปรียบเทียบว่าทำไมทีฉันยังพยายามเพื่อเธอตั้งเยอะ ทำไมเธอไม่ทำเพื่อฉันบ้าง

จะเห็นได้ว่าการที่อีกฝ่ายเคารพจุดยืนตัวเองในเหตุการณ์ที่เราเคยละเลยจุดยืนตัวเองเพื่อเอาใจอีกฝ่ายมักนำมาซึ่ง
ความรู้สึกแย่กับตัวเอง เมื่อเราไม่เคารพจุดยืนตัวเอง (Boundary) การเคารพจุดยืนคนอื่นก็มักเป็นเรื่องยาก
แล้วการกระทำนี้มักส่งผลให้เรารู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนจนไม่สามารถพึ่งพายึดตัวเองเป็นเสาหลักใน
ชีวิตได้ (Codependence) อีกฝ่ายก็จะรู้สึกแย่ที่เราไม่เข้าใจและเคารพจุดยืนเขา และก็อาจรู้สึกว่าทำไมเราไม่เคารพตัวเอง ฟังเสียงข้างในตัวเองบ้างเลย 

การเข้าใจจุดยืนคนอื่นจะง่ายขึ้นมาก เมื่อเราทำสิ่งนั้นกับตัวเอง – เคารพจุดยืน

การทำเช่นนี้ต่อเนื่องจะส่งผลต่อความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง หรือ Self-Esteem รวมถึงความเชื่อใจเสียงของหัวใจ

เสียงในหัวที่อาจเกิดมาจากการล้ำเส้นขอบเขตตัวเอง “ทำไมเขาเอาเปรียบฉันจังเลย” “ทำไมไม่มีใครเคารพฉัน” “เขาใส่ใจและรู้จักฉันจริงๆ หรือเปล่า” “ทำไมฉันเป็นคนแย่จังเลย” 

ขอบเขตหรือจุดยืนที่ชัดเจน (Healthy Boundary) หมายถึง การกลับมาทบทวนความรู้สึกและความต้องการตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่ตัวเองรู้สึกพอใจ และอะไรคือสิ่งที่รู้สึกไม่พอใจ ทั้งแง่จิตใจและร่างกาย โดยเราเลือกที่จะรับฟังความรู้สึกและความต้องการตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ฟังให้ได้ยินถึงหัวใจข้างในว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร อะไรคือสิ่งที่เรายึดถือ แล้วจริงๆ อะไรคือสิ่งที่เราไม่ต้องการ สำคัญที่สุดคือ การเคารพสิ่งที่หัวใจตัวเองบอกอย่างซื่อตรง

สัญญาณที่อาจบอกได้ว่าเรากำลังมีจุดยืนที่ไม่ชัดเจนกับตัวเอง

  • รู้สึกผิดและกังวลเมื่อปฎิเสธคนอื่น
  • เลือกที่จะตอบตกลงไปปาร์ตี้ด้วยทั้งที่จริงๆ ไม่ได้อยากไป
  • บอกว่าตัวเองโอเคทั้งที่ข้างในไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
  • ใส่ใจและห่วงใยคนอื่นอย่างมาก ทั้งที่รู้สึกไม่พร้อมจะทำ
  • ยังคงเอาตัวเองไปอยู่ใกล้คนที่ทำให้รู้สึกแย่
  • ไม่สื่อสารความรู้สึกและความต้องการ ทั้งที่รู้สึกไม่โอเคกับการกระทำอีกฝ่าย
  • อธิบายเหตุผลในการปฏิเสธมากเกินจำเป็น
  • เล่นมือถือต่อทั้งที่ร่างกายต้องการนอนแล้ว

สัญญาณที่อาจบอกได้ว่าคนอื่นกำลังไม่เคารพจุดยืนเรา

  • เขาตื้อให้ไปปาร์ตี้ทั้งที่เราสื่อสารความต้องการไปแล้ว
  • เขาคอยควบคุมชีวิตจนเรารู้สึกอึดอัด
  • เขาไม่รับฟังและเคารพความรู้สึกและความต้องการเรา
  • เขารู้ว่าคำพูดเขาทำให้เรารู้สึกแย่แต่เขาก็ยังคงพูดต่อไป
  • เขาจับร่างกายของเราในส่วนที่เราไม่ได้อนุญาต

ทุกความสัมพันธ์ที่ดีเกิดจากขอบเขตและจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งมาจาก 2 องค์ประกอบ หากขาดอย่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จะส่งผลให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน หนึ่ง – การเคารพจุดยืนในตัวเอง และสอง – การเคารพจุดยืนอีกฝ่าย

หากเราไม่เคารพจุดยืนตัวเองแล้วทำสิ่งตรงข้ามกับความรู้สึกข้างในโดยที่ไม่ได้เต็มใจที่จะทำ การกระทำเช่นนี้มักนำพาความรู้สึกขุ่นเคืองเข้ามาในหัวใจเรา แม้ไม่ใช่วันนี้ แต่สักวันความรู้สึกนี้จะมาแน่นอน และอาจนำพาซึ่งความรู้สึกไม่เชื่อใจความรู้สึกและความต้องการตัวเอง หรือที่เรียกว่าเกิดการตัดขาดจากความรู้สึกและความต้องการตัวเอง

เราอาจละเลยไม่ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองจนวันหนึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ ข้างในตัวเองต้องการอะไร หรือกระทั่งถึงรู้ก็ไม่สามารถเชื่อเสียงข้างในนั้นได้

นอกจากนี้ การไม่เคารพจุดยืนอีกฝ่ายจะทำให้เขาค่อยๆ สะสมความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นการถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
นานวันจะทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง แล้วก็พลอยรู้สึกแย่กับเราด้วย 

ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดี คือ การที่เราทำให้อีกฝ่ายสามารถรักตัวเองได้มากขึ้นเวลาที่เขาอยู่กับเรา ซึ่งการไม่เคารพจุดยืนอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เขารักตัวเองมากขึ้นแน่นอน และนั่นมักไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดี (Unhealthy Relationship)

จุดยืนที่ดีควรเป็นจุดยืนที่ไม่สุดโต่งไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งเกินไป กล่าวคือ ไม่ใช่จุดยืนที่แข็งเกินไปโดยไม่ยืดหยุ่นปรับตามสถานการณ์ (Rigid Boundary) และก็ไม่ใช่จุดยืนที่อ่อนปวกเปียก (Loose Boundary) เพราะสิ่งเหล่านี้มักส่งผลให้เราและคนรอบข้างรู้สึกแย่ไปด้วย 

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสูตรชัดเจนว่าจุดยืนที่ชัดเจนควรจะเป็นอย่างไร เพราะทุกคนล้วนมีบริบทชีวิตที่แตกต่างกัน คีย์เวิร์ดสำคัญ คือ การฟังเสียงหัวใจ และพิจารณาความเป็นจริงอย่างซื่อสัตย์ว่าตอนนี้ควรชัดเจนเลย หรือว่าควรผ่อนปรนบ้าง แล้วประโยชน์ของการทำสิ่งนั้นคืออะไร บางครั้งการต้องใจแข็งอาจเป็นประโยชน์กว่า บ้างการผ่อนปรนก็อาจเหมาะกว่า และบางสถานการณ์การหาจุดกึ่งกลางก็อาจดีกว่า

เมื่ออีกฝ่ายไม่เคารพจุดยืน เราควรสามารถสื่อสารจุดยืนหรือขอบเขตตัวเองอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
โดยอาจเป็นคำพูดว่า

  • เรารู้สึกไม่โอเคที่แกใช้คำพูดแบบนี้ (ชัดเจนในความรู้สึกตัวเอง)
  • ขอบคุณที่ชวนไปทำงานนะ แต่ตอนนี้เรายังไม่ค่อยพร้อม ขอบคุณนะ (ปฏิเสธอย่างมั่นใจ)
  • อย่ามาจับตรงนี้นะ ฉันไม่โอเค (ยืนยันขอบเขตชัดเจน)
  • เราสะดวกคุยถึงแค่ 22.00 นะ ตามที่คุยกันนะ ถ้านานกว่านี้ไว้ต่อกันวันหลัง (แจ้งขอบเขตเวลาที่ชัดเจน)

เราสามารถฝึกเคารพจุดยืนอีกฝ่ายด้วยคำถามง่ายๆ ว่า

  • เขารู้สึกอย่างไรที่เราขอทำแบบนี้
  • เธอคิดอย่างไรกับการที่เราพูดแบบนี้

การตั้งคำถามไปที่ความรู้สึกและความต้องการอีกฝ่าย แล้วรับฟังด้วยความเคารพจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราใส่ใจเสียงข้างในใจของเขา ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

สำหรับหลายคนการกลับมาฟังเสียงความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง หรือเรียกให้โรแมนติกหน่อยว่า การฟังเสียงของหัวใจ อาจเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกอึดอัด บ้างก็รู้สึกผิด ซึ่งเป็นความรู้สึกปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ช่วงแรกอาจรู้สึกแปลกๆ ที่ทำ เหมือนการที่เราใช้ชีวิตโดยการวิ่งมาตลอด หากวันนี้จะกลับมาเดินบ้างก็คงรู้สึกไม่แปลกไม่ใช่น้อย 

คำถามยอดฮิตที่ผมมักใช้เพื่อกลับไปเข้าใจเสียงของหัวใจตัวเองคือ ตอนนี้จริงๆ กำลังรู้สึกอะไร แล้วข้างในจริงๆ ตอนนี้ต้องการอะไร ผมเชื่อว่าเราสามารถใช้สองคำถามนี้ถามตัวเองในทุกวันได้ แล้วมันจะเป็นกุญแจสำคัญในการกลับมาเชื่อมโยงและฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ชัดขึ้น

การมีจุดยืนที่ชัดเจนด้วยการฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่างซื่อสัตย์ เป็นหนึ่งในวิธีการรักตัวเองที่ดี และการฟังเสียงหัวใจผู้อื่นอย่างซื่อสัตย์และเคารพก็เป็นจุดเริ่มต้นของการรักคนผู้อื่นที่ดีเช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งสองเริ่มได้เชื่อมโยงกับเสียงที่แท้จริงของหัวใจตัวเอง หัวใจของพวกเขาก็จะเชื่อมโยงกันง่ายขึ้น  

หมายเหตุ คำว่าจุดยืนและขอบเขตเป็นคำที่ผมใช้สลับกันเพื่อให้ได้ใจความสำคัญในการแปลคำว่า Boundary 

Tags:

แบบแผนความสัมพันธ์Healthy Boundaryความรัก

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • RelationshipHow to enjoy life
    ความรักคืออะไร: รู้จัก เข้าใจ และรักใครสักคน

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    Situationship: ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีคำว่า ‘เรา’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Everyone can be an Educator
    เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Movie
    Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

6 คุณลักษณะที่บอกว่าเด็กคนนี้ฉายแววอัจฉริยะ
Adolescent Brain
26 October 2021

6 คุณลักษณะที่บอกว่าเด็กคนนี้ฉายแววอัจฉริยะ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • ‘กิ๋น’ หรือสัญชาติญาณ, เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (empathy), รู้ระดับสติปัญญาของตัวเองประเมินไม่สูงหรือต่ำเกินไป, อยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา, มีอารมณ์ขันอย่างพอดี และรักสันโดษ 6 คุณลักษณะเหล่านี้ มีแนวโน้มฉายแววความเป็นอัจฉริยะ
  • งานวิจัยพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือได้รับการยอมรับจากคนอื่นว่าเก่ง และตัวเองก็มีความสุขและมีความพึงพอใจในตัวเองกับสภาพแวดล้อม คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี IQ สูงล้น แต่ต้องมี EQ สูงพอจะควบคุมอารมณ์ และจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดี
  • พ่อแม่ผู้ปกครองและครูสามารถช่วยตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ ได้ โดยเวลาเด็กถาม ต้องตั้งอกตั้งใจตอบ ไม่โบ้ยไปแบบไม่มีเยื่อใย เช่น บอกว่าไม่รู้ (และไม่นึกอยากจะหาคำตอบให้เลยแม้แต่น้อย) หรือแย่กว่านั้นคือ แสดงความรำคาญเวลาเด็กๆ ถาม แต่ควรจะต้องพูดต่อว่า เดี๋ยวจะไปหาข้อมูลมาให้ หรือไม่ก็สอนวิธีหาข้อมูลเองให้

ปัญหาของโลกยุคดิจิทัลที่มีโซเชียลมีเดียเป็นตัวขับเคลื่อนก็คือ มี ‘กูรู’ ที่สถาปนาตัวเองเป็นผู้รอบรู้ไปเสียทุกสิ่ง ชวนให้สงสัยว่าคนที่ฉลาดเฉลียวระดับอัจฉริยะจริงๆ ควรมีลักษณะเช่นใดกันแน่ ในอีกมุมหนึ่งถ้าเราตอบคำถามนี้ได้ เราก็อาจจะพอมองเห็นลูกหลานของตัวเองว่า ฉายแววความเป็นอัจฉริยะที่ควรค่าแก่การส่งเสริมได้อย่างไรบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ 

เรื่องพื้นฐานที่เราควรต้องตระหนักก็เป็นดังเช่นคำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เอ่อ…บางทีแกอาจจะไม่ได้กล่าวก็ได้นะครับ มีคนชอบเอาคำพูดยัดใส่ปากแกมาก แต่ถึงจะไม่ใช่ คำกล่าวนี้ถือเป็นคำคมที่เข้าท่า) ที่ว่า 

“ทุกคนเป็นอัจฉริยะ แต่หากคุณตัดสินปลาจากความสามารถของมันในการปีนต้นไม้ มันก็จะใช้ทั้งชีวิตเชื่อว่าตัวเองโง่เง่า” 

ในที่นี้จะเล่าถึงคุณลักษณะ 6 อย่างที่มีแนวโน้มว่า น่าจะแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของเจ้าของนิสัยเหล่านั้นได้ 

ลักษณะแรกที่น่าสนใจคือ คนที่มี “กึ๋น” หรือสัญชาติญาณ หรือลางสังหรณ์… แล้วแต่จะเรียก… ชนิดที่แม่นยำอยู่เสมอๆ มีโอกาสมากว่าจะเป็นคนที่ฉลาดมากๆ 

ดร. เกิร์ด ไกเกเรนเซอร์ (Gerd Gigerenzer) ที่เป็นผู้อำนวยการของสถาบันมักซ์พลังก์เพื่อการพัฒนามนุษย์ที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง กึ๋น: เชาวน์ปัญญาแห่งจิตไร้สำนึก (Gut Feelings: The Intelligence of the Unconscious) ทำวิจัยเรื่องนี้และสรุปไว้ว่า สติปัญญาแสดงออกได้ทั้งแบบคิดเป็นเหตุเป็นผลอย่างชัดแจ้ง และแบบพิเศษที่อธิบายยากกว่าว่าทำได้อย่างไร 

กรณีหลังนี้อาจเป็นการสุกงอมของความรู้ ความเชี่ยวชาญ และการคิดหรือแก้ไขปัญหาผ่านจิตใต้สำนึกจนเกิดเป็น ‘สัญชาติญาณ’ ที่แม่นยำ 

งานวิจัยเรื่องนี้ใช้คำจำเพาะอีกคำหนึ่งเพื่ออธิบายเรื่องนี้คือ คำว่า ‘เชาวน์ปัญญาแบบรวมยอด (collective intelligence)’ … เผื่อว่าใครไปอ่านเข้า จะได้ทราบว่าเป็นเรื่องเดียวกัน

หนึ่งในตัวอย่างที่ไกเกเรนเซอร์ใช้อธิบายก็คือ กรณีของเคปเลอร์และกาลิเลโอที่เป็นพวกศึกษาวิทยาศาสตร์นานหลายปี หลายเรื่องก็ไม่มีประจักษ์พยานที่มองเห็นด้วยตาได้ (ในสมัยนั้น) แต่พวกเขาก็ยังสามารถสรุปความจริงเกี่ยวกับเอกภาพได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แม้ว่าสังคมในยุคนั้นจะไม่เชื่อพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่อความจริงที่รับรู้ได้ด้วย “กึ๋น” ของพวกเขา 

คนที่ฉลาดมากๆ จึงมักฟัง ‘เสียงจากความรู้สึกภายใน’ ของตัวเอง และมีแต่คนจำพวกนี้จึงจะสามารถค้นพบสิ่งที่แปลกใหม่อย่างยิ่งใหญ่ได้ จนถึงกับมีบางคนเชื่อว่าสัญชาติญาณเป็นรูปแบบของสติปัญญาขั้นสูงสุด! 

เรื่องน่าสนใจคือ ในโลกของการบริหารสมัยใหม่มักสอนกันว่า เรื่องของกึ๋นเป็นเรื่องความเชื่อผิดๆ และไม่ควรนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ … แต่กึ๋นของแท้จะไม่ใช่การเดามั่วหรือใช้แค่ความรู้สึกล้วนๆ  เพียงแต่เป็นการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากอย่างละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ปกติแล้วจะใช้หลักเหตุผลมาจับได้ยากก็ตาม ก็ยังมองเห็นได้ 

น่าสนใจว่าเรื่องของสัญชาติญาณแบบนี้ อาจจะเป็นทางเลือกที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้ เมื่อหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาแย่งงานมนุษย์เป็นจำนวนมาก แต่การทำให้คอมพิวเตอร์มี “กึ๋น” น่าจะยังอยู่ในอนาคตอีกไกล! 

เชื่อแน่ว่าน่าจะมีงานวิจัยออกมามากขึ้นว่า จะสร้างกึ๋นให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

คุณลักษณะของสติปัญญาอย่างที่ 2 ก็คือ มีความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) มีนักจิตวิทยามากขึ้นเรื่อยๆ ที่เชื่อว่า ความสามารถในการเข้าใจคนอื่นถือเป็นความฉลาดที่สำคัญ จะเห็นได้ชัดจากเรื่องการขยับจากการเน้นย้ำเรื่อง IQ มาเป็นเรื่อง EQ ที่ต้องควบคุมตัวเองได้ 

โดยงานวิจัยพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือได้รับการยอมรับจากคนอื่นว่าเก่ง และตัวเองก็มีความสุขและมีความพึงพอใจในตัวเองกับสภาพแวดล้อม คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี IQ สูงล้น แต่ต้องมี EQ สูงพอจะควบคุมอารมณ์ และจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดี 

การควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี เป็นพื้นฐานอย่างดีในการทำความเข้าใจความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นด้วย

ลักษณะต่อไปนี่ยิ่งน่าสนใจ เขาว่าคนที่เจ๋งจริงจะประเมินระดับสติปัญญาของตัวเองได้ใกล้เคียงความจริงมากกว่าคนทั่วไป กล่าวคือจะประเมินตัวเองไม่สูงหรือต่ำเกินไป เป็นคนที่มองเห็นเรื่องความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ มีจิตใจเปิดกว้างพร้อมจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งต่างจากคนรู้น้อยที่มักจะตกหลุม ‘กบน้อยในบ่อ’ ที่มักคิดว่าตัวเองรู้มาก ประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงจนกลายเป็น ‘ปรากฏการณ์ดันนิ่ง-ครูเกอร์ (Dunning-Kruger effect)’ ที่พบได้บ่อยในคนที่เริ่มจะรู้มากขึ้นนิดหน่อยหรือ “อิน” ในบางเรื่อง แต่มักหลงตัวคิดว่าเป็นผู้รอบรู้ไปซะงั้น!    

การรู้ว่าตัวเองอยู่ระดับใด ฉลาดแค่ไหน ทำให้เราเดินหน้าต่อและใช้ประโยชน์จากความรู้และความไม่รู้ของตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

คุณลักษณะที่ 4 ของคนที่ฉลาดจริงก็คือ เป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา

มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่เปิดตัวเปิดใจและมีความอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ จะกลายไปเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากกว่าคนทั่วไปเมื่อมีอายุมากขึ้น 

ความอยากรู้อยากเห็นมอบให้ได้มากกว่าแค่ความรู้หรือความจำ แต่ยังให้ ‘ประสบการณ์’ อีกด้วย อย่างสุดท้ายนี่แหละครับที่คนไม่ค่อยขี้สงสัยยากจะได้รับ 

ข้อนี้จะเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองและครูอาจารย์ช่วยเด็กๆ ได้นะครับ 

วิธีการก็คือต้องคอยตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ ครับ เวลาเด็กถาม ต้องตั้งอกตั้งใจตอบ ไม่โบ้ยไปแบบไม่มีเยื่อใย เช่น บอกว่าไม่รู้ (และไม่นึกอยากจะหาคำตอบให้เลยแม้แต่น้อย) หรือแย่กว่านั้นคือ แสดงความรำคาญเวลาเด็กๆ ถาม 

อันที่จริงตอบว่าไม่รู้ได้นะครับ แต่ควรจะต้องพูดต่อว่า เดี๋ยวจะไปหาข้อมูลมาให้ หรือไม่ก็สอนวิธีหาข้อมูลเองให้ หากเด็กๆ เห็นว่าการสงสัยของพวกเขาเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สนับสนุน เขาก็จะยิ่งสงสัยและตั้งคำถามมากขึ้นไปอีก

ใครจะไปรู้ ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องต่างๆ อาจจะนำเด็กสักคนไปสู่เรื่องที่น่าสนใจ จนนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้  

ลักษณะต่อไปอาจจะทำให้บางคนประหลาดใจครับคือ คนที่มีอารมณ์ขัน นิยมเรื่องตลกโปกฮา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสามารถในเรื่องการพูดจาประชดเหน็บแนม มักจะมีสติปัญญาสูงกว่าคนทั่วไป เพราะการด้นสดเรื่องพวกนี้ หรือการทำเรื่องพวกนี้ให้ได้อย่าง ‘พอดี’ ถือเป็นศิลปะขั้นสูงที่ต้องคิดและวิเคราะห์เยอะ 

ฉะนั้น ต้องเน้นคำว่า ‘พอดี’ นะครับ ถ้าทำแล้วมีแต่คนส่ายหน้า…อย่างนี้ไม่ใช่ละ! 

คุณลักษณะลำดับที่ 6 ที่เป็นข้อสุดท้ายก็คือ ความรักสันโดษ ครับ

ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว มักถือกันว่าปราชญ์มักจะเป็นคนถือสันโดษ สามารถอยู่กับตัวเองได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือสิ่งอื่นใดมากนัก เมื่อจะพูดหรือกล่าวสิ่งใด ก็ดูจะสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่อยู่ภายในเสมอ 

การมีสติอยู่กับตัวเองทุกขณะจิตหรือการมีความสำรวม มักเป็นคุณลักษณะของผู้คงแก่เรียนและเป็นปราชญ์ผู้มีปัญญา  

อันที่จริงในโลกสมัยใหม่ หากเราเห็นใครที่ป่าวประกาศถึงความเจ๋งของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็ควรต้องตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ อย่างที่คำโบราณกล่าวว่า … 

มีแต่กลองที่ข้างในกลวงเท่านั้นแหละจึงจะตีแล้วดังมากๆ!

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)อัจฉริยะความอยากรู้อยากเห็น

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Related Posts

  • Unique Teacher
    ให้เด็กลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ วิธีเติมเต็ม Empathy ในห้องเรียนของครูนักปรัชญา: ครูเปี๊ยก – วิสิทธิ์ ตออำนวย

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ทุกคน คือ ‘Active Citizen’: สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ จากเรื่องใกล้ตัว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodLearning Theory
    เด็กจะเล่นอย่างไรให้สนุกเเละคลายความเศร้าในใจได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Education trend
    เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

วิทยาศาสตร์ในหม้อชาบูและไอศกรีม ห้องเรียนเคมีชวนน้ำลายสอของ ครูดาว – ฒามรา พรหมหอม
Creative learning
25 October 2021

วิทยาศาสตร์ในหม้อชาบูและไอศกรีม ห้องเรียนเคมีชวนน้ำลายสอของ ครูดาว – ฒามรา พรหมหอม

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนสถานะของสสารจากการทำไอศกรีมและอธิบายเรื่องกลไกการเดือดของน้ำในหม้อชาบู คาบเรียนวิชาเคมีของ ครูดาว – ฒามรา พรหมหอม โรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์
  • “เมื่อไรก็ตามที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติ เขาก็จะสามารถแปลงจากสิ่งที่เขาเห็นเป็นคอนเซปต์ในทางเคมีได้ เพราะฉะนั้นถามว่าการออกแบบการเรียนรู้ผู้เรียนได้อะไรบ้าง แน่นอนว่ากิจกรรมทำให้เราเห็นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน มีการร่วมคิด มีการร่วมกันทำ และเกิดเป็นความสุขในการทำงาน”
  • Tricks ในการสร้าง Integrated Creative Lesson การบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ คือ หนึ่ง-ครูต้องเอ๊ะ? จนเป็นนิสัย สอง-ผูกโยงไปกับชีวิตประจำวัน ท้ายที่สุดต้องเท่าทันเหตุการณ์ และผสานกับสิ่งที่นักเรียนสนใจ 

‘Food and Fruit Atomic Model’ 

‘Science in Shabu Pot’ 

‘Dried Ice I-Tim’

‘ตามล่าหาสารละลาย’ 

นี่คือส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้ในคาบเรียนวิชาเคมีของ ครูดาว – ฒามรา พรหมหอม จากโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ จังหวัดสงขลา ผู้ที่ใช้อาหารมาอธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเดือดของน้ำ การเปลี่ยนสถานะของสสาร เป็นต้น เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว เพราะเชื่อว่าเด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือทำผ่านเรื่องใกล้ตัว

นำเสนอเป็นตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ใน เวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 5 ‘หลักสูตรฐานสมรรถนะระดับมัธยมศึกษา ออกแบบอย่างไรให้ถูกใจเยาวชน?’ โดยสำนักนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับคณะอนุกรรมการสื่อสารและการมีส่วนร่วม ในคณะอนุกรรมการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักสูตรฐานสมรรถนะ)

คาบเคมีของครูดาวจะสนุกหรืออลหม่านแค่ไหน ชวนเปิดห้องเรียนไปพร้อมๆ กัน 

ห้องเรียนเคมีที่เด็กๆ รัก 

หลักการออกแบบและพัฒนาบทเรียนของครูดาวคือ ต้องยึด ‘ผู้เรียน’ เป็นสำคัญก่อน จากนั้นใช้กระบวนการ Active Learning บูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน และขับเคลื่อนด้วยวงจร PLC ‘มีเพื่อนครูช่วยคิด เพื่อนครูช่วยทำ’   

“เมื่อไรก็ตามที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติ เขาก็จะสามารถแปลงจากสิ่งที่เขาเห็นเป็นคอนเซ็ปต์ในทางเคมีได้ เพราะฉะนั้นถามว่าการออกแบบการเรียนรู้ผู้เรียนได้อะไรบ้าง แน่นอนว่ากิจกรรมทำให้เราเห็นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน มีการร่วมคิด มีการร่วมกันทำ และเกิดเป็นความสุขในการทำงาน” 

ทั้งนี้ยังได้เผยแพร่ไปยังห้องเรียนทางไกล มูลนิธิชัยพัฒนา เพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนที่ห่างไกล ถ่ายทอดจากห้องเรียนต้นทางคือโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ไม่ว่าโรงเรียนจะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ร่วมกันได้ 

และเนื่องจากความชอบในการทำอาหารและความชอบกินของครูดาว เธอจึงออกแบบการเรียนรู้ที่เน้นไปที่อาหาร “อะไรก็ตามที่กินได้ เราก็จะสร้างสื่อการเรียนการสอนได้”

ออกแบบ ‘อะตอม’ จากสิ่งของรอบตัว    

ครูดาวยกตัวอย่างบทเรียนแรกคือ เรื่อง ‘อะตอม’ ซึ่งอะตอมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแน่นอน เมื่อเด็กต้องเรียนในสิ่งที่มองไม่เห็นจะทำอย่างไรให้รู้สึกว่าอะตอมสามารถจับต้องได้ จากไอเดียนี้เกิดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ชื่อว่า ‘Food and Fruit Atomic Model’ 

“เราให้เด็กๆ สามารถออกแบบอะตอมโดยใช้อาหารเป็นสื่อการเรียน นำอาหารหรือสิ่งของรอบตัวมาสร้างเป็น Atomic Model แบบจำลองอะตอม ท้ายที่สุดจะต้องนำเสนอและวิเคราะห์ รวมถึงเชื่อมโยงไปสู่ทฤษฎีแบบจำลองอะตอมทั้ง 5 แบบให้ได้” 

นี่คือรูปแบบกิจกรรมที่ใช้ในกรณีที่เป็นออนไซต์ แต่เมื่อเจอสถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นออนไลน์ เด็กๆ ต่างคนต่างเรียนจากที่บ้านของตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กเกิดการเรียนรู้ร่วมกันและความเป็นทีมยังคงอยู่ ครูดาวจึงต้องปรับกิจกรรมนี้ 

“ปรับโจทย์ใหม่ว่า ให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มเขาหาสิ่งของในบ้านทั้งหลายเอามาแทนอะตอมแบบต่างๆ โดยที่นักเรียนทุกคนก็ยังคงมีการทำงานร่วมกัน แต่การทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ของเขาทำยังไงละ ก็คือการออนไลน์ผ่านโปรแกรมง่ายๆ google slides ทุกคนมะรุมมะตุ้มที่สไลด์เดียวกัน แต่ละคนก็ต้องมานึกว่าอุปกรณ์ที่เขามีในบ้านจะแทนอะไรด้วย Atomic Model แต่ละชนิด” 

นั่นหมายความว่า เด็กจะต้องมีความคิดขั้นสูง ความคิดในการรวบยอด และท้ายที่สุดต้องสื่อสารออกมาได้ ในขณะเดียวกันการทำงานเป็นทีมก็ยังเกิดขึ้นได้ เป็นความท้าทายในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่จำเป็นต้องให้เด็กๆ ได้ทั้งสามสิ่งนี้อยู่ด้วยกัน 

“เพราะฉะนั้นเด็กแต่ละกลุ่มเขาก็จะสื่อสารออกมาหรือแทนออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไม่น่าเชื่อว่าโจทย์ที่เราออกเพียงห้านาที แต่ว่าภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นได้เลยว่าเด็กเขาสามารถเชื่อมโยงคอนเซ็ปต์ในห้องเรียนไปสู่แบบจำลองที่สามารถจับต้องได้”

และอีกหนึ่งทักษะที่ครูดาวเอ่ยปากว่าจำเป็นมากในปัจจุบัน ก็คือ จะต้องส่งเสริมให้เด็กเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ดังนั้นครูดาวจึงเปิดโอกาสให้เด็กมีการประเมิน ให้ข้อคิดเห็นหรือคอมเมนต์ซึ่งกันและกันเสมอ 

“สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นหรือเป็นการฝึกเขาเรื่อยๆ ว่าในการอยู่ร่วมกันมันต้องมีการแสดงความคิดเห็นและเราต้องยอมรับ ยอมฟัง แล้วก็นำไปปรับปรุงงานของตัวเอง” 

ของแข็ง ของเหลว แก๊ส เรียนรู้การเปลี่ยนสถานะของสสารจากของกินยอดฮิต

ลองจินตนาการถึงหม้อชาบูที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์ ผักต่างๆ และน้ำซุปรสเด็ด กำลังเดือดพล่าน ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอไปทั่วทั้งห้องเรียน 

ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาอาจจะรู้สึกว่านี่คือวิชาการงานอาชีพหรือเปล่า แต่เปล่าเลยนี่คือห้องเรียนเคมีที่กำลังสอนเรื่องการเปลี่ยนสถานะของน้ำต่างหาก เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ประจำห้องเรียนเคมีของครูดาว ที่มีชื่อว่า วิทยาศาสตร์ในหม้อชาบู หรือ ‘Science in Shabu Pot’ เป็นการนำอาหารยอดฮิตในยุคนี้อย่าง ‘ชาบู’ มาบูรณาการเข้ากับสาระวิชาวิทยาศาสตร์ 

เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอน้ำหรือแก๊ส และอธิบายเรื่องกลไกการเดือดของน้ำ โดยเริ่มจากการสังเกตการเปลี่ยนสถานะของน้ำซุป ซึ่งเกิดจากการที่น้ำที่มีสถานะเป็นของเหลว ถูกนำไปต้มบนความร้อนจนถึงจุดเดือดจึงกลายเป็นไอน้ำที่ลอยตัวขึ้น 

เมื่อทิ้งไว้ในความร้อนเรื่อยๆ ก็จะระเหยจนหมด หรือถ้านำมาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติก็จะกลับมาเป็นของเหลวเหมือนเดิม เป็นการกลับไปกลับมาของสถานะของสสาร

อีกทั้งยังสามารถบูรณาการเข้ากับวิชาชีววิทยาเรื่องโครงสร้างพืช นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ว่า ทำไมพืชแต่ละชนิดถึงสุกเร็วและช้าต่างกัน จะเห็นว่าในหม้อชาบูเต็มไปด้วยวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นเลย

“ตามปกติก็ต้มน้ำให้เด็กดู แต่ปัจจุบันนี้ปรากฏว่ามองออกไปรอบๆ โรงเรียน เดินไปหน้าโรงเรียนแป๊บเดียวก็เจอร้านชาบูละ แล้วชาบูคืออาหารหลักของวัยรุ่นไทยไปละ เพราะฉะนั้นเรามาคิดง่ายๆ ว่า ชาบูสอนอะไรได้บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าในชาบูหนึ่งหม้อเด็กได้เรียนรู้ตั้งแต่เรื่องราวของการเปลี่ยนสถานะ บูรณาการกับวิชาชีววิทยาเรื่องของโครงสร้างพืช เช่น ใส่อะไรก่อนอะไรหลัง เมื่อกุ้งโดนความร้อน ทำไมกุ้งถึงเปลี่ยนสี เป็นต้น หลังๆ เวลาเด็กไปกินชาบูกันก็แอบส่งรูปมาแซวว่า ครูวันนี้ได้ความรู้เพิ่มแล้วนะจากหม้อชาบูที่เราไปนั่งกินกัน” 

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เด็กชื่นชอบและร้องขอครูดาวเสมอนั่นก็คือ การทำไอศกรีมที่ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับหลักการทางเคมี กับกิจกรรม ‘Dried Ice I-Tim’ เด็กๆ ได้ออกแบบสูตรไอศกรีมของตัวเอง ตามโจทย์สถานการณ์ที่ครูให้บูรณาการทั้งเรื่อง colligative สมบัติของสารละลาย และได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการมิกซ์แอนด์แมทช์ส่วนผสมเพื่อให้ได้ไอศกรีมรสชาติที่ถูกใจ 

โดยหลักการทำไอศกรีม เกิดจากวัตถุดิบที่มีสถานะเป็นของเหลวโมเลกุลเคลื่อนที่ได้หลายชนิดมารวมกัน โดยมีองค์ประหลักๆ คือ น้ำตาล น้ำหวานหรือน้ำผลไม้ นม และอาจจะมีช็อกโกแลตหรือหัวเชื้อกลิ่นต่างๆ ที่ชอบด้วย ตามแต่รสชาติที่ต้องการ ซึ่งการกรรมวิธีในการทำนั้นจะใช้น้ำแข็งกับเกลือเม็ดเป็นตัวทำให้ไอศกรีมแข็งตัว 

เมื่อเริ่มเปลี่ยนสถานะเรียกว่าการแช่แข็ง ด้วยวิธีการทำความเย็น ส่วนผสมของไอศกรีมที่ถูกผสมจนเข้ากันดีค่อยๆ คายพลังงานความร้อนออกมาจนหมดเกิดเป็นผลึกน้ำแข็งที่เข้าไปแทนที่ยึดเกาะกับโมเลกุล และเกิดเป็นไอศกรีมในที่สุด

และเมื่อไอศกรีมเจอกับความร้อนภายนอก ความร้อนก็แทรกตัวเข้าไปทำลาย หลอมโมเลกุลที่แข็งตัวให้กลายเป็นของเหลว และถ้าปล่อยทิ้งไว้น้ำที่เป็นของเหลวไว้กลางแดดหรือเอาไปทำความร้อนโดยการต้ม โมเลกุลของน้ำก็จะกระจายตัวลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะกลายเป็นของเหลวในที่สุด

นี่คือลักษณะบทเรียนบูรณาการที่ครูดาวพยายามรวบทฤษฎีในห้องเรียนผสานกับสิ่งที่เด็กจะสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ชวนไปออก ‘ตามล่าหาสารละลาย’ เรียนรู้เรื่องสารละลายในเครื่องดื่มจากร้านสะดวกซื้อหน้าโรงเรียน

“เนื่องจากโรงเรียนเราเป็นบริบทของชุมชนเมือง ข้ามถนนไปเจอเซเว่นฯ แน่นอนว่ากิจกรรมนี้เราให้เด็กขออนุญาตเรียบร้อย ครูดาวให้เด็กสำรวจสารละลายในเซเว่นว่ามีอะไรบ้าง หรือสารละลายมีความเข้มข้นเท่าไรในชานมไข่มุก” 

ทั้งนี้ครูดาวทิ้งท้าย Tricks สำคัญในการสร้าง Integrated Creative Lesson การบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ โดยหนึ่ง-ครูต้องเอ๊ะ? จนเป็นนิสัย สอง-ผูกโยงไปกับชีวิตประจำวัน ดังตัวอย่างบทเรียนข้างต้น ท้ายที่สุดต้องเท่าทันเหตุการณ์ และผสานกับสิ่งที่นักเรียนสนใจ 

และทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ของครูดาว- ฒามรา พรหมหอม จากโรงเรียนมอ.วิทยานุสรณ์

Tags:

เทคนิคการสอนหลักสูตรฐานสมรรถนะครูดาว-ฒามรา พรหมหอมโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์Integrated Creative Lesson

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Creative learning
    ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ วิชาเรียนของเด็กๆ โรงเรียนบ้านกระถุนในช่วงโควิด – 19 ที่ยังคงได้ทักษะชีวิตและสมรรถนะที่จำเป็น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Learning Theory
    ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Book
    กล้าที่จะสอน: ตัวตน ซื่อตรง เสมอภาค และหัวใจที่ไม่หวั่นกลัวของคนเป็นครู

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?

    เรื่อง The Potential

Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน
How to get along with teenager
25 October 2021

Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หลายครั้งในชีวิตที่ความกดดัน ความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ความซึมเศร้า และความซ้ำซากจำเจจากการทำอะไรเดิมๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งสามารถนำไปสู่อาการหมดไฟ (Burnout) ภาวะที่ผู้ใหญ่หลายคนพยายามอย่างมากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น
  • และแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็ยังต้องคอยย้ำกับตัวเองว่าอย่าลืมดูแลจิตใจอยู่เสมอ ชีวิตการทำงานอาจทำให้เราเคยชินและหลงลืมการเอาใจใส่ตัวเองไป นับประสาอะไรกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งจะเริ่มยืนด้วยขาตัวเอง
  • ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ถึงการดูแลตัวเองและการหยุดพักด้วยการออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนจิตใจจากวันทำงาน แต่หากลองถอยกลับมามองวัยรุ่นในช่วงยุคนี้จะพบว่าวัยรุ่นก็มีอาการหมดไฟมาจากการศึกษาและในชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน

วัยรุ่นในยุคนี้ได้รับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ลืมตาดูโลก พวกเขาต้องแบกความคาดหวังของผู้ใหญ่ไว้มากมาย ทั้งยังถูกผลักดันให้ต้องแข่งขันกันอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้เกรดดีๆ หรือกระทั่งได้รับเกียรตินิยม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ พวกเขายังต้องมีกิจกรรมพิเศษไปพร้อมๆ กันกับมีงานอดิเรกและมีสังคม นอกจากนี้ พวกเขายังต้องมีวิถีการกินและการนอนหลับในรูปแบบของคนสุขภาพดีเพื่อที่จะเป็นมนุษย์วัยรุ่นที่สมบูรณ์แบบ

แต่ในความจริงพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้ตัวเองมีคุณลักษณะที่ตรงตามอุดมคติของวัยรุ่นคุณภาพที่ผู้ใหญ่เป็นคนสร้างขึ้น เหล่าวัยรุ่นต้องตื่นเช้าเพื่อไปโรงเรียน ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมชมรมหรือการเรียนพิเศษรวมเวลาราวแปดชั่วโมงต่อวัน ก่อนจะกลับบ้าน พักกินข้าว จากนั้นใช้เวลาอีกสี่ถึงห้าชั่วโมงในการทำการบ้านจึงจะได้เข้านอนเพื่อตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้าของวันถัดไป วัฏจักรนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ห้าวันต่อสัปดาห์เป็นเวลาหลายปี ตารางชีวิตแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจไม่ว่าจะต่อมนุษย์ในช่วงวัยไหนก็ตาม

ผลกระทบจากโควิด-19 สู่ภาวะหมดไฟ

ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองยังเป็นปกติ เราอาจไม่ทันได้สังเกตเห็นอาการหมดไฟในเหล่าวัยรุ่น เนื่องจากผู้ใหญ่มักมองข้ามปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟเพราะเข้าใจว่า การใช้ชีวิตแบบในข้างต้นเป็นเหมือนมาตรฐานทางสังคมมากกว่า และเป็นหน้าที่ของเด็กๆ เองที่จะต้องผลักตัวเองให้ถึงอุดมคติดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อโควิด-19 ได้เข้ามามีบทบาทอย่างรุนแรงในสังคมโลก ความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเสมือนการเน้นให้เห็นถึงภาวะนี้ เราอาจพบว่าการปิดสถานศึกษาและการเรียนออนไลน์มีผลทำให้เหล่าวัยรุ่นของเราเริ่มมีปัญหาพฤติกรรมทางอารมณ์เพิ่มขึ้น ทั้งความเครียดและภาวะหมดไฟในการเรียนที่เพิ่มมากขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การทำความเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุอาจทำให้เราเข้าใจภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัยฝันได้ดีขึ้น

  1. ความกังวลเรื่องการเรียน

แม้ว่าจะไม่ได้มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่เราก็สามารถรับรู้ได้ว่าวัยรุ่นมีความกังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถรักษาผลการเรียนไว้ได้เพราะเขาขาดแรงกระตุ้นและไม่สามารถจดจ่อกับงานหรือการบ้านได้ดีเท่าตอนที่ยังต้องไปโรงเรียน

  1. ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและครูน้อยลง

มาตรการเรียนออนไลน์ทำให้การสื่อสารของวัยรุ่นกับกลุ่มเพื่อนมีอุปสรรคมากขึ้น การทำการบ้านไปจนถึงการทำงานกลุ่มกลายเป็นเรื่องยากอย่างคาดไม่ถึง นอกจากนี้ การขอความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนจากครูเองก็ลำบากไม่น้อยเพราะมีเทคโนโลยีเป็นกำแพงกั้น สาเหตุข้อนี้อาจทำให้เกิดภาวะหมดไฟในกลุ่มครูผู้สอนได้ด้วยเช่นเดียวกัน

  1. ความไม่พร้อม

บรรยากาศที่บ้านไม่ใช่สภาพการณ์ที่เหมาะแก่การศึกษา ซ้ำร้ายการเรียนออนไลน์ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงจนบางครัวเรือนอาจไม่สามารถจ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการศึกษาที่จำเป็นต้องมี เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต โทรศัพท์ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไฟและค่าหอที่เพิ่มสูงขึ้น เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้วัยรุ่นหลายคนจำต้องยอมแพ้ต่อการศึกษาด้วยการพักการเรียนหรือลาออกไปหางานทำก่อนวัยอันควรทีเดียว

สัญญาณการหมดไฟ

ผู้ใหญ่อาจมองว่าปัจจัยดังกล่าวไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอาการหมดไฟ แต่สำหรับวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเอง นี่เป็นช่วงวัยที่เขาจะได้สนุกกับชีวิตอย่างเต็มที่และมีความทรงจำสุขสันต์ให้กลับมานึกถึง การใช้ชีวิตกับการศึกษาอยู่ที่บ้านตลอดเวลาจึงถือเป็นวงจรชีวิตที่ซ้ำซากน่าเบื่อ ทั้งยังไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงก็ทำให้ไม่ได้ผ่อนคลายชีวิตที่รัดตึง แนวโน้มอาการหมดไฟจึงเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากสังเกตพบว่าวัยรุ่นของคุณมีอาการดังต่อไปนี้ คุณอาจต้องเตรียมรับมือและหาหนทางช่วยเหลือพวกเขาจากภาวะหมดไฟหมดฝัน

  1. ซึมเศร้า

พวกเขาสูญเสียความสนใจในสิ่งที่พวกเขาชอบทำ ไม่สามารถจดจ่อหรือทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีเหมือนเคย มากไปกว่านั้นพวกเขาอาจไม่อยากทำอะไรเลยก็เป็นได้

  1. วิตกกังวล

มีความกังวลโดยไม่มีสาเหตุและไม่สามารถปล่อยใจสบายๆ ได้จนอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ (Insomnia) ร่วมเพราะฝันร้ายบ่อยและไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ

  1. พฤติกรรมผิดปกติ

ในด้านร่างกาย พวกเขาอาจกินมากขึ้นหรือน้อยลงจากเดิม หรือในทางจิตใจ พวกเขาอาจอ่อนไหวผิดปกติ ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ อาจโกรธง่าย กลัวง่าย และเศร้าง่ายกว่าปกติมาก

  1. สุขภาพร่างกายผิดปกติ

วัยรุ่นอาจมีอาการปวดคอหรือปวดหลังจากการเรียนออนไลน์ ทั้งยังรวมไปถึงประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีอาการปวดท้องและเวียนหัว 

  1. มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์

มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การลองมีเพศสัมพันธ์หรือเสพยา

เติมไฟเพื่อเยียวยา

ในฐานะผู้ปกครอง เราอาจช่วยเรื่องการเรียนการศึกษาโดยตรงไม่ได้เท่าไรนัก แต่ยังมีอีกหลายหนทางที่เราจะช่วยให้วัยรุ่นของเรายังไม่หมดไฟและยังมีฝันได้

  1. ผ่อนคลายกฎในครอบครัว

ปล่อยให้ลูกได้ติดต่อพบปะกับเพื่อนบ้างตามความเหมาะสม การใช้เวลานอกบ้านหรือร่วมกิจกรรมสามารถทำได้ใต้เงื่อนไขการสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมือ หรืออาจอนุญาตให้ใช้โซเชียลมีเดียระหว่างวันเพื่อพักผ่อนจิตใจจากการนั่งเรียนออนไลน์ได้

  1. สอนให้พวกเขาดูแลตัวเอง

ลองปล่อยให้เขาได้หาหนทางรักษาจิตใจห่อเหี่ยวจากอาการหมดไฟดู ไม่ต้องเป็นการทำอะไรที่ยากเย็น อาจเป็นแค่การอาบน้ำนานๆ เผื่อว่าอาการเหนื่อยล้าจะไหลลงท่อตามน้ำไปบ้าง หรืออาจเป็นแค่การปล่อยให้เขาดูรายการโทรทัศน์เบาสมอง ฟังหรือร้องเพลงเสียงดัง ออกไปเดินเล่นหรือวิ่งบ้างเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย กิจกรรมง่ายๆ เล็กน้อยเหล่านี้อาจช่วยให้เขาค้นพบวิธีรับมือกับความเครียดที่พบเจอได้

  1. หมั่นพูดคุยเปิดใจแต่ไม่ลืมที่จะให้พื้นที่ส่วนตัว

การไถ่ถามทั่วไป เช่น “เหนื่อยไหมลูก” หรือ “หิวไหม อยากกินอะไร” เป็นการเริ่มบทสนทนาที่ดีและยังเป็นการบอกเหล่าวัยรุ่นอ้อมๆ ว่าพวกเขาไม่ได้ตัวคนเดียว การไม่จริงจังจะทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นและเขาอาจแบ่งปันความกังวลในหัวออกมาบ้าง แต่อย่ารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว เพราะแน่นอนว่าความเป็นวัยรุ่นจะต้องการพื้นที่ในการคิดการจินตนาการเพื่อหาตัวเอง

แม้ว่าภาวะหมดไฟในวัยรุ่นจะยังเป็นหัวข้อที่ใหม่และยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ แต่เราอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูผู้สอน กระทั่งเพื่อนฝูงรับฟังและใส่ใจความรู้สึกของวัยรุ่นเหล่านี้ดูบ้าง เพราะช่วงวัยของพวกเขาเป็นช่วงสำคัญของการเจริญเติบโต พยายามทำความเข้าใจพวกเขาด้วยการย้ำเตือนตัวเองเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ที่ผกผันว่าครั้งหนึ่งสมัยที่เรายังเป็นวัยรุ่น เราเองก็มีอาการแบบนี้เช่นเดียวกัน และลองคิดว่าหากเราในช่วงเวลานั้นไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น พบปะเพื่อนฝูง หรือนอนหลับพักผ่อนเต็มที่เราจะเป็นอย่างไร 

โลกในปัจจุบันที่หมุนด้วยความรวดเร็วเร่งรีบทำให้การใช้ชีวิตแบบค่อยๆ เจริญเติบโตนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย วัยรุ่นหลายคนที่หมดไฟยอมแพ้ก็จะต้องเคว้งคว้างโดดเดี่ยวเพราะไม่สามารถไปถึงเป้าหมายในอุดมคติของสังคมได้ 

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ เราไม่ควรกดดันวัยรุ่นมากจนเขาต้องประสบกับภาวะหมดไฟเพราะพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ออกไปพักผ่อนเพื่อรักษาจิตใจจากแบบแผนชีวิตที่รัดตึง ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต พวกเขาอยู่ตรงกลางในความเดียงสาและไม่แก่กล้าพอจะยืนหยัดด้วยตัวคนเดียว โปรดใส่ใจพวกเขาและคอยให้กำลังใจเพื่อที่วัยรุ่นของเราเหล่านั้นจะยังคงมีไฟมีฝัน สามารถก้าวผ่านความลำบากในช่วงเวลานี้และได้เติบโตขึ้นได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง

10 Signs Your Teenager Is at Risk of Burnout

National Poll: Pandemic Negatively Impacted Teens’ Mental Health

Pandemic has teens feeling worried, unmotivated and disconnected from school

Teenage Burnout: An Epidemic

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)burn outความเครียดวัยรุ่น

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    “อย่าเร่งร้อนให้ผลิบาน” ความยากลำบากของวัยหนุ่มสาวกับการบรรลุนิติภาวะในวัย 18

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    ‘ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ’ เสียงจากนักเรียนม.6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 และอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทาง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Hometown Cha Cha Cha: ทะเลาะกันไม่ใช่ประเด็น แต่คือเรา ‘เอมพาตี้’ คนตรงหน้าแค่ไหน
Movie
21 October 2021

Hometown Cha Cha Cha: ทะเลาะกันไม่ใช่ประเด็น แต่คือเรา ‘เอมพาตี้’ คนตรงหน้าแค่ไหน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ฮเยจิน หมอฟันที่ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตเปิดคลินิกทำฟันที่หมู่บ้านริมทะเล ‘กงจิน’ เพราะความทรงจำในวัยเด็ก เมืองแห่งนี้แตกต่างจากที่ๆ เธอเคยอยู่ โดยเฉพาะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้สูงอายุ
  • คุณยายกัมรี วัย 80 ปีที่ชอบกินปลาหมึกมากๆ แต่ไม่สามารถกินได้แล้วเพราะอาการปวดฟัน ‘หัวหน้าฮง’ พามารักษาที่คลินิกของฮเยจิน คุณยายกัมรีไม่ยอมรักษาและอยากถอนฟันให้หมดเพราะเสียดายเงิน แต่ฮเยจินไม่ยอมและพูดขู่สารพัดทำให้คุณยายไม่ยอมรักษา
  • “แม้ภายนอกอาจจะดูเหมือนต่างคนต่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ได้นำสิ่งที่อีกคนพูดมาคิดทบทวน หัวหน้าฮงก็เลือกที่จะเอามาสื่อสารใหม่ด้วยวิธีของตัวเอง ส่วนคุณหมอฮเยจินก็พยายามทำความเข้าใจในมุมมองของคุณยายกัมรี”

Tags:

เกาหลีใต้ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)สังคมสูงวัยซีรีส์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    ธอโร กับหัวหน้าฮง (และขงจื๊อ)

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Reply 1988: แม่มีรักครั้งใหม่ได้นะ มาอยู่เป็นเพื่อนพึ่งพากันแบบในซีรีส์ได้ก็จะยิ่งยินดี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

ชวนเด็กเล่นเกม เรียนรู้ผ่านกล ฝึกฝนกระบวนการคิด : ฟิสิกส์แสนสนุกฉบับ ‘วิทย์พ่อโก้’ ดร.พงศกร สายเพ็ชร์
Everyone can be an Educator
20 October 2021

ชวนเด็กเล่นเกม เรียนรู้ผ่านกล ฝึกฝนกระบวนการคิด : ฟิสิกส์แสนสนุกฉบับ ‘วิทย์พ่อโก้’ ดร.พงศกร สายเพ็ชร์

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • วิชาหมวดวิทยาศาสตร์ เป็นหนึ่งในวิชายาขมของเด็กไทย ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจยากจนไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ในเมื่อชีวิตจริงเราก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน
  • ดร.โก้ – พงศกร สายเพ็ชร์ เจ้าของเพจ วิทย์พ่อโก้ และเว็บไซต์ witpoko.com เขาสามารถหยิบทุกอย่างรอบตัวมาสร้างเป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่นอกจากจะสนุกแล้วยังพุ่งเป้าไปที่กระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วย
  • “จุดบกพร่อง คือ เราเรียนกันเสร็จแล้วยังเชื่อ ตัดสินใจแบบใช้โชคลาง เชื่ออะไรต่างๆ เชื่อคำพูดของผู้วิเศษหรือ expert โดยที่เราไม่ได้คิดต่อ คือมันก็ค่อนข้างล้มเหลว เราเสียเวลากับการเรียนรู้เยอะมากแล้วมันไม่ค่อยได้ของมีประโยชน์”

แค่เอ่ยถึงวิชาวิทยาศาสตร์หลายคนก็แทบจะเบือนหน้าหนี ยิ่งเป็นฟิสิกส์ด้วยแล้วปฏิกิริยาความงุนงงคงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่ที่เรากำลังจะชวนแลกเปลี่ยน คือ ทำอย่างไรให้เด็กเล็กๆ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างมีความสุขและได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นไปได้ยาก แต่สำหรับ ดร.โก้ – พงศกร สายเพ็ชร์ เจ้าของเพจ วิทย์พ่อโก้ และเว็บไซต์ witpoko.com เขาสามารถหยิบทุกอย่างรอบตัวมาสร้างเป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่นอกจากจะสนุกแล้วยังพุ่งเป้าไปที่กระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วย

ดร.โก้ – พงศกร สายเพ็ชร์

ดร.โก้ เริ่มต้นความสนใจด้านฟิสิกส์โดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เรียนชั้นประถมโดยมาในรูปแบบของความเป็นนักประดิษฐ์ นักเล่นและนักรื้อ จนกระทั่งได้เลือกเส้นทางการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ที่ The California Institute of Technology (Caltech) ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วต่อยอดไปถึงระดับปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ แต่กลับไม่ได้ทำงานด้านที่เรียนมา เพราะจับพลัดจับผลูไปทำงานเกี่ยวกับการผลิตซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ จนกระทั่งมีลูก เขาจึงได้นำความรู้ที่มีกลับมาใช้อีกครั้งในฐานะครูอาสาที่โรงเรียนและเจ้าของเพจ

การมีลูก คือ จุดเปลี่ยนที่ทำให้กลับมาใช้ความรู้ด้านฟิสิกส์สร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ ?

ตั้งแต่เรียนจบจนทำงาน ผมไม่ได้ใช้ความรู้ด้านฟิสิกส์หรืออะไรที่เรียนมาเท่าไร แต่ว่าพอมีลูก เราก็เล่นกับลูกที่อยู่อนุบาล ก็ไปเป็นพ่อแม่อาสาที่โรงเรียน สอนให้เด็กทำของเล่น แล้วพบว่าเด็กชอบมาก เราก็เลยพัฒนากิจกรรมเหล่านี้ ให้เป็นกิจกรรมที่เด็กเข้าใจของเล่น แล้วเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็เข้าใจหลักการธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง ก็พยายามปลูกฝังด้านวิทยาศาสตร์ให้เด็กๆ เข้าไป

นี่ก็ทำมาปีที่ 15 แล้ว ผมเน้นกับเด็กตั้งแต่อนุบาล 3 ถึงมัธยมต้น เด็กวัยประถมอะไรอย่างนี้ เขาจะยังมีความสนใจเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัวอยู่ โดยเฉพาะเด็กที่ไปทำกิจกรรมด้วยเนี่ย จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวที่ไม่ใช่เด็กเร่งเรียน พูดตรงๆ สิ่งที่ผมสอนหรือทำกิจกรรมมันไม่ค่อยมีประโยชน์กับการสอบโดยตรงหรอก เพราะว่าอย่างประเทศไทยจะมีการสอบที่เน้นเนื้อหาอะไรบางอย่าง ซึ่งจริงๆ มันไม่สำคัญเท่าไร แต่เราพยายามทำกิจกรรมปลูกฝังสิ่งที่คิดว่ามันจะดีกับเด็กในระยะยาว ให้รู้ตัวว่าตัวเรามันมีข้อจำกัดอะไรเยอะเหมือนกัน ถูกหลอก หลอกตัวเอง ภาพลวงตาต่างๆ หรือได้ยินเสียงต่างๆ แล้วต้องไปแปรความทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ที่เริ่มมโนในหัวเรา

ให้ความสำคัญกับการคิดวิเคราะห์ค่อนข้างมาก?

เด็กสักประถมปลายจนถึงมัธยมต้นเนี่ย เราพยายามปลูกฝังว่า เรามี Cognitive biases อะไรบ้าง เช่น เวลาเราคิดหรือเชื่ออะไรบางอย่างเราจะเห็นเฉพาะข้อมูลที่มาสนับสนุนเราซึ่งมันอันตรายมาก เป็น Confirmation Bias ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็น คือมันก็มีประโยชน์แหละ เพียงแต่ว่าในสังคมที่มันเปลี่ยนไป มันถูกวิวัฒนาการเมื่อนานมาแล้ว สภาพแวดล้อมไม่เหมือนตอนนี้ สภาพแวดล้อมตอนนี้มันยุ่งยากและซับซ้อนขึ้น วิธีคิดแบบนี้มันทำให้เราตัดสินใจผิดอะไรต่างๆ ได้

แล้วก็ฝึกให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ คือ เห็นของอะไรบางอย่าง เห็นปรากฏการณ์อะไรบางสิ่งแล้วเราพยายามเข้าใจมัน ทีนี้ความเข้าใจอะไรทั้งหลาย ความรู้ทั้งหลายที่เกิดขึ้นใหม่ในโลก จากการที่เราไปเดาว่ามันเป็นอย่างไร พยายามอธิบายมันด้วยการเดา แต่ว่าการคิดแบบวิทยาศาสตร์มันได้ผลดีมากๆ เพราะว่า เดาแล้วเราตรวจสอบ เราเช็ก เราพยายามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ว่าข้อมูลนี้มันขัดแย้งกับไอเดียเราอย่างไรหรือเปล่า หรือว่าเราจะออกแบบการทดลองอย่างไรดี

แต่เราจะไปให้เด็กเล็กๆ นั่งคิดเรื่องวิทยาศาสตร์แบบนี้เลยไม่ได้หรอก เราก็เลยหาพวกกล กลมันเป็นแบบจำลองปรากฏการณ์ประหลาดๆ ที่เด็กเห็นปุ๊บแล้วให้เด็กพยายามดูครึ่งแรกก่อนว่าเล่นแบบนี้แล้วมันเกิดได้อย่างไรบ้าง ฝึกว่าพอไปเจอปรากฏการณ์ที่ไม่เข้าใจ พยายามอธิบายว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดได้อย่างไร ก็สังเกต เช็กดูว่าข้อมูลมันขัดแย้งกับไอเดียเราอย่างไร

สำหรับเด็กที่โตขึ้น มีวิธีการแตกต่างกันไหม อย่างไร?

สำหรับเด็กโตขึ้นมาเนี่ยเราก็จะมีพวกของเล่นประเภทต่างๆ มาให้เด็กเล่นสนุกก่อนแล้วค่อยอธิบายว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไรกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ทำไมเล่นแบบนี้มันถึงยิงอะไรไปได้ไกลเท่าไร มันขึ้นกับอะไรบ้าง ขึ้นกับความเร็ว ขึ้นกับอะไร พยายามให้เข้าใจว่าธรรมชาติและจักรวาลทั้งหลายมันมีกฎเกณฑ์ เราก็ค่อยๆ เจอมันไปเรื่อยๆ และสะสมมันมา ความรู้ที่ว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร มันทำให้ถ้ารู้มากพอก็เอาความรู้เหล่านี้มาสร้างของเล่น และเทคโนโลยีทั้งหลาย แล้วก็พยายามเอาคลิปสิ่งประดิษฐ์การค้นพบใหม่ๆ มาให้เด็กดูเรื่อยๆ พยายามปลูกฝังว่า ความรู้ใหม่ๆ มันถูกสร้างตลอดเวลา 

ใช้เครื่องมืออะไรบ้างเพื่อถ่ายทอดฟิสิกส์ให้เด็ก?

มีของเล่น มีกล มีคลิปการทดลอง คลิปสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ทำไปเราก็จดไว้ว่าสัปดาห์นี้เรามีกิจกรรมประมาณนี้ มีลิงก์ที่เกี่ยวข้องอย่างนี้ๆ เราก็โพสต์ขึ้นไปเป็นเว็บไซต์ เพื่อให้เด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่เข้ามาดูด้วย หรือคุณครูที่สนใจเกิดไอเดียประยุกต์ไปทำกิจกรรม คือมันใช้แทนการเรียนในประเทศเราไม่ได้ แต่มันน่าจะมีประโยชน์ในเชิงทักษะและความคิดของเด็กๆ ที่เขาต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่างน้อยจะได้ถูกหลอกยากมากขึ้น เหมือนที่ผมย้ำกับเด็กๆ เวลาดูกลว่า ตกลงเขาเป็นผู้วิเศษหรือเปล่า? เสกนั่นเสกนี้ได้หรือเปล่า? หลังๆ เด็กก็ตอบว่า ไม่ใช่

ความคิดที่ว่าของทุกอย่างมันมีกระบวนการ มีกลไก พอมีใครมาบอกอะไร ก็จะมีคำถามกลับว่าแล้วมันทำงานได้อย่างไร มันเกิดได้อย่างไร เช่น ที่ผมภูมิใจมาก มีเด็กที่เรียนจบไปจากผมแล้วตอนนี้เขาอยู่ ม.2 ก็มีผู้ใหญ่หลายคนบอกว่ารักษาโควิดด้วยน้ำยาวิเศษ​กินแล้วมันจะหาย คนที่เชื่อฟังแล้วใช้เขาก็บอกว่ามันน่าจะใช้ได้เพราะว่ามีคนมาบอก คล้ายๆ ผู้มีความรู้หรือผู้วิเศษมาบอกว่าทำได้

แล้วเด็กคนนี้เขาก็ถามว่ามันทำงานอย่างไร ไปยุ่งกับไวรัสอย่างไร แล้วพอค้นคว้าเพิ่มเติมไปก็รู้ว่าวิธีสร้างมันมีสารเคมีอะไรบางอย่าง แล้วมันละลายด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ หนึ่งต่อร้อย ทำอย่างนี้หลายรอบมาก เพราะฉะนั้นมันเจือจางจนไม่มีโมเลกุลด้วยซ้ำ ไม่มีโมเลกุล มีแค่น้ำกับแอลกอฮอล์แล้วมันจะไปแก้ปัญหาอะไรได้ เด็กเข้าใจอย่างนี้ มันไม่ใช่ความรู้เฉพาะอะไรนะ ผมว่าตรงนี้สำคัญ คือเขาพยายามทำความเข้าใจว่า เฮ้ย…ยานี้มันทำงานอย่างไร แล้วพอรู้เองมันก็สามารถป้องกันตนเองได้จากการเข้าใจผิดหรือถูกหลอก 

พูดถึงเรื่องการศึกษาแบบไทยๆ เห็นจุดบกพร่องอะไรตรงนั้นบ้าง?

จุดบกพร่องคือ เราเรียนกันเสร็จแล้วยังเชื่อ ตัดสินใจแบบใช้โชคลาง เชื่ออะไรต่างๆ เชื่อคำพูดของผู้วิเศษหรือ expert โดยที่เราไม่ได้คิดต่อ คือมันก็ค่อนข้างล้มเหลว เราเสียเวลากับการเรียนรู้เยอะมากแล้วมันไม่ค่อยได้ของมีประโยชน์ อย่างแรกการเข้าใจสิ่งรอบตัวก็ไม่เยอะเท่าไร พอความรู้ไม่เยอะ ไม่ตรงกับความจริงมันก็สร้างความรู้ต่อยาก สร้างเทคโนโลยีต่อยาก เราก็เลยกลายเป็นใช้ชีวิตแบบอยู่ในเมฆหมอก แล้วเดี๋ยวก็เจออะไรบางอย่างมากระตุ้นให้เราทำสิ่งที่ไม่เข้าท่าได้

จริงๆ เราก็เห็นมานานว่าการศึกษาเรามันมีปัญหา คือเราเรียนเยอะเกินไปมากๆ เนื้อหามันเยอะไป แล้วเนื้อหาที่เยอะๆ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อยู่เยอะ พอไปเจอวิธีเรียนที่ไม่มีกิจกรรมให้มันน่าสนใจ น่าสนุก มันทำให้คนหมดความสนใจในการเรียนรู้หรือพยายามเข้าใจ 

หลายๆ วิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มันทำให้คนเรียนเกลียดวิชาเหล่านั้น ซึ่งมันแย่มาก จริงๆ เหล่านี้มันเป็นตัวอธิบายว่ากฎเกณฑ์ธรรมชาติรอบตัวมันเป็นอย่างไร ถ้าเรามีความเข้าใจบ้าง มันจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น

คนเกลียดวิชาเหล่านี้ไปเลยเพราะมันเรียนอะไรก็ไม่รู้ เรียนเอาไปสอบ ฟิสิกส์กลายเป็นว่าเรียนเพื่อแก้โจทย์เลข หรือเคมีกลายเป็นว่าจำว่า อะตอมมีอิเล็กตรอนเรียงอย่างงี้ๆ เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งของอย่างนี้มันไม่จำเป็นต้องจำแล้วไปสอบแข่งกันไง เราอาจจะถามเรื่องที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ เราเรียนเนื้อหาเยอะไป จริงๆ แล้วควรเน้นที่พื้นฐานแน่นๆ เรียนช้าๆ ก็ได้ มีตัวอย่างหลายๆ อัน พอพื้นฐานมันแน่นแล้วไม่ต้องสอนต่อ

อีกอันคือ ให้ใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ อย่างน้อยอ่านหรือฟังได้เบื้องต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กไปต่อยอดเองได้ เราไม่จำเป็นต้องอัดความรู้เผื่อเต็มไปหมด เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดี เนื้อหาที่อัดๆ ไปมันก็ไม่ได้ไปเชื่อมโยงอะไร แค่จำได้ว่ามันพูดถึงอย่างนี้แต่ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันอย่างไร 

ในต่างประเทศ จำเป็นต้องทำให้เด็กสนุกกับวิทยาศาสตร์ไหม หรือว่าจริงๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเล่าสนุกก็ได้?

จริงๆ แล้วยกตัวอย่างการศึกษาที่ประเทศอเมริกาเองเขาก็ไม่ได้วิเศษอะไรนะ เขาก็ยังบ่นเรื่องการศึกษาของเขา ตอนจบก็คือเด็กๆ หลายคนก็ไม่ได้หลุดไปจากเรื่องพวกนี้หรอก วิธีการสอนและการสอบก็ไม่ได้ดีอะไรเท่าไรหรอก แต่ว่าเนื่องจากมันไม่สุดโต่งเหมือนประเทศเรา และมันมีอาชีพที่ทำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตรงๆ เยอะ มีมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนการค้นคว้าเยอะกว่า เลยทำให้คนมีโอกาสหลุดเข้าไปทำงานในด้านนั้นเยอะกว่า

ทีนี้มันต้องสนุกหรือเปล่า เอาเป็นว่ามันมีกิจกรรมน่าสนุกเยอะกว่า ถ้าไปดูในอินเทอร์เน็ต มันมีกิจกรรมทั่วไป คือสิ่งที่ผมทำมันไม่ใช่สิ่งวิเศษหรือแปลกมากอะไรนักหนา มันเป็นสิ่งที่อย่างน้อยครูวิทยาศาสตร์ควรจะทำบ้าง หรือดูในยูทูบมันก็มีตัวอย่างอะไรต่างๆ มีช่องกิจกรรมที่น่าสนใจเยอะ แต่จริงๆ เรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไม่ยาก แต่อย่างแรกมันต้องสนใจ อดทน ต่อสู้กับความยากให้ได้ก่อน 

แต่ถ้าเราไม่สนใจก็ทนเรียนให้จบ สอบเสร็จเลิกกัน แล้วได้ความเข้าใจผิดๆ ไปว่าฟิสิกส์มันคือการแก้สมการ ของขยับ วิ่งจากโน่นมาชนนี่ แค่นี้แล้วก็ลืมไป จริงๆ ควรจะรู้ธรรมชาติรอบตัวว่ามันมีอะไรบ้าง เช่น น้ำ มีคุณสมบัติอย่างไร ดำไปในน้ำมีความดันอย่างไร เราอยู่ใต้น้ำแล้วเรารู้สึกอย่างโน้นอย่างนี้ หรือว่าทำไมท้องฟ้ามันเป็นอย่างนี้ ข้างล่างของเมฆมันเรียบแล้วทำไมข้างบนมันฟูๆ ท้องฟ้าทำไมสีฟ้า ใบไม้ส่วนใหญ่ทำไมสีเขียว มันเกี่ยวข้องอะไรกับอุณหภูมิดวงอาทิตย์

แต่วิทยาศาสตร์ของเรากลายเป็นมานั่งคำนวณอะไรบางอย่างแล้วก็มาตอบกัน วิธีให้คะแนนก็แบบว่า คำนวณผิดนิดหนึ่งคือศูนย์เลย มันไม่ได้วัดความเข้าใจ มันวัดว่าทำพลาดหรือเปล่า ซึ่งในชีวิตจริงก็มีการเช็กการอะไร ทำงานเป็นทีม ว่าเออข้อมูลนี้คำตอบมันเชื่อถือได้แค่ไหน กลายเป็นว่าการสอบไม่มีการวัดแบบนี้เลย มันเลยไม่มีประโยชน์ 

การนำฟิสิกส์มาใช้กับลูก ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?

ก็โอเคนะ มีความสุขดี ตอนอนุบาลเราก็เอาไปเข้าโรงเรียนแถวๆ นี้ โชคดีที่เป็นโรงเรียนไม่เร่งเรียน เน้นกิจกรรม พอประถมก็อยากหาโรงเรียนที่ไม่เร่งเรียนแบบนี้ แล้วก็ไม่แพง แต่มันไม่มีหาไม่ได้ เราเลยรวมกลุ่มพ่อแม่หลายๆ บ้าน เป็นสิบบ้านเหมือนกัน จัดการศึกษาเอง จบเป็น home school มันเลยอิสระในการที่ว่าจะจัดการศึกษาอย่างไร เด็กๆ ก็มีความสุขดี ตอนนี้ก็อายุ 18, 16 และ 14 แต่ละคนก็มีสิ่งที่เขาสนใจและอยากจะทำ ประดิษฐ์โน่นประดิษฐ์นี่ มีคนชอบวาดรูปมาก ชอบศึกษาวิทยาศาสตร์ ก็ต้องลองดูๆ กันไป แต่เขาก็มีความเข้าใจอะไรที่น่าจะทำให้ชีวิตไม่เลวร้ายนัก ดูมีความสุข ไม่มีความเครียด

ผมเห็นเด็กประเทศเรานี่เครียดมากเลยนะ เรียนไม่เก่งก็เครียดแบบหนึ่ง คนเรียนเก่งก็เครียดไปอีกแบบหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไอ้สิ่งที่เครียดๆ ไปเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเครียด ตอนจบเราก็รู้ว่ามันเป็นเกมที่ไม่สัมพันธ์กันเท่าไร คือชีวิตมันมีสิ่งที่ควรจะทำมากกว่านั้น และเติบโตได้มากกว่านั้น

แล้วลูกๆ รักวิทยาศาสตร์ไหม?

ไม่แน่ใจว่าจะมีใครทำงานด้านวิทยาศาสตร์หรือเปล่า แต่เขาสนใจ Engineering ประดิษฐ์ของอะไรบางอย่าง อีกคนชอบ Biology ก็ไม่แน่ใจว่าอยากเป็นหมอหรือเปล่า เขาก็อ่านวิจัยเหมือนกัน อ่านพวกการค้นพบทางการแพทย์เยอะ พวกทำวัคซีนเขาก็สนใจ เขาเป็นเด็กหญิงไง เขาก็เห็นฮีโร่ที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น คนเล็กก็เขียนโปรแกรม วาดรูป เขาอยากเป็นอะไรผมก็ตามใจเขา

ผมสอนเด็กๆ ว่าเราไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นเราจะทำอะไร ผมเองผมก็ไม่รู้ตอนเด็กๆ สิ่งสำคัญคือมองรอบๆ ตัวว่ามันมีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องการคนแก้ แล้วเราก็ไปแก้มองดูว่ามันเป็นอาชีพได้ไหม บอกให้มองแบบนั้นมากกว่า ไปเรียนให้จบแล้วค่อยหางานทำบางทีมันไม่สนุกเท่าไร คนส่วนใหญ่รวมถึงผมด้วยเรียนมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ทำงานตรงกับที่เรียนมาจริงๆ หรอก ผมยังมองเลยว่า อยากจะทำอะไร แล้วต้องฝึกวิชาอะไรบ้าง ฝึกก็ไม่ต้องไปเข้าเรียนนะ อาจจะเรียนจากคนเก่งๆ ในยูทูบแล้วลองทำเอง มันขาดอะไรก็ไปหาเพิ่ม เราบอกอย่างนี้

สถานการณ์โควิดที่ต้องล็อกดาวน์ ถือเป็นโอกาสที่พ่อแม่จะได้มีโอกาสจัดการเรียนรู้ร่วมกับลูกไหม? 

มันก็พูดยาก อย่างแรกคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ลูกมากขึ้นแต่เรื่องเวลามันลำบากมาก มันต้องทำงานด้วย เรียนออนไลน์หลายๆ ก็มีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น คือบางบ้านมันก็ได้ บางบ้านมันก็ไม่ได้ เป็นรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงมากนะ แต่ผมว่าทำให้มีคนมองว่าเราจัดคลาสการศึกษาเองเลยไหมสำหรับเด็กๆ ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าหลายๆ บ้านมันดีนะ ดีทั้งเด็กแล้วก็พ่อแม่ด้วย ถ้าทำได้แล้วมันมีประโยชน์กว่าผมก็สนับสนุนให้ลองทำดู แต่ถ้าทำแล้วไม่เวิร์กก็ไม่ต้องทำ หาทางอื่น 

สำหรับผม ผมเล่นกับเด็กๆ มากกว่า มันมีอะไรที่เราอยากจะปลูกฝังให้ติดตัวเด็กไปบ้างก็หาทางเล่นสนุกกับเขา ผมไม่ได้มีความรู้ทางการเรียนการสอนลึกซึ้งอะไร ผมแค่จัดกิจกรรมให้สนุกสานแล้วก็หวังว่าจะติดตัวเด็กไปบ้าง แล้วก็พยายามบันทึกไว้ว่าเราทำอะไร เผื่อว่าคุณครูหรือคนที่มีความรู้มากกว่าเราจะดูแล้วประยุกต์อะไรได้ไหม หรือเป็นไอเดียให้คุณพ่อคุณแม่ว่าจะทำอะไรได้บ้าง ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร 

คิดกระบวนการหรือขั้นตอนการเรียนรู้เหล่านี้อย่างไร?

มองรอบตัวว่าเราอยู่กับอะไร รอบตัวในบ้านเรามีอะไรบ้าง ดูในช้อปออนไลน์ว่าของเล่นอะไรน่าสนใจ อะไรที่เราอยากเล่น แล้วเราก็จินตนาการว่าถ้าเด็กเล่นมันจะน่าสนุกหรือเปล่า สมมติเราได้ของเล่นมาชิ้นหนึ่ง ก็เตรียมว่ามันทำงานอย่างโน้นอย่างนี้นะ ถ้าเราจะแทรกกฎเกณฑ์ธรรมชาติต่างๆ จะแทรกเรื่องอะไรบ้าง เช่น กฎอนุรักษ์พลังงาน โมเมนตั้ม เราก็เตรียมเนื้อหาพวกนั้นไว้แล้วเราก็ไปเล่นกัน คุยกัน อธิบาย ให้เห็นว่าสมมติเราจะปรับปรุงของเล่นนี้ให้มันดีขึ้น ลอยนานขึ้น บินตรงขึ้น จะทำอย่างไรดี ก็ทดลอง หรือกลง่ายๆ ผมก็เล่นได้ ถ้ากลที่ต้องใช้ทริกอะไรเยอะหน่อยผมก็หาคลิปในอินเทอร์เน็ตเตรียมดูก่อนว่าการทำงานมันเป็นอย่างไร

ตอนแรกๆ มันจะยาก ดูไปเรื่อยๆ เราจะรู้แล้วเพราะมันมีไม่กี่มุกหรอกที่เขาจะเล่นกล เราก็เตรียมให้เด็กดู เด็ก 20-30 คน แล้วเราก็ถามหนูคิดว่าเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร เราก็พยายามแย้งเขาด้วย ว่าเขาลอยได้อย่างนี้ ทำไมเราไม่เห็นเส้นลวด ขัดแย้งกับไอเดียเขาด้วยเพื่อให้เขาเช็กไอเดียเขาว่าที่คิดมันใช่จริงไหม 

คาดหวังกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในรูปแบบนี้มากน้อยแค่ไหน?

ไม่ได้คาดหวังอะไรนะ ผมมองว่าผมทำอะไรได้บ้าง อาจหวังว่ามันพอจะมีประโยชน์บ้าง มีคนที่เอาไปทำได้ มีผลกับเด็กๆ รอบตัวเขา แต่ถ้าหวังผลใหญ่ๆ เลยไม่ได้มอง แค่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำได้ก็ควรจะทำ 

เด็กที่เรียนกับผมเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 กันเอง ส่วนใหญ่ไปทางสถาปนิกกันเสียเยอะเลยนะ คือนอกจากเขารู้ด้านวิทยาศาสตร์เขายังได้เรียนรู้การฝึกจากครูด้านอื่นๆ ทั้งศิลปะ ธรรมชาติ ดูแล้วเด็กมีความสุขเป็นคนที่โอเค เราคาดหวังแค่นั้นเราก็แฮปปี้แล้ว แล้วก็บอกเด็กๆ ว่าให้มองรอบๆ ตัวว่าเราจะทำสิ่งรอบๆ ตัวให้ดีขึ้นได้อย่างไร แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ต้องรออีกสักพักมั้งครับ

อีกอย่างตอนที่เพิ่งกลับจากอเมริกาใหม่ๆ ผมก็ไปสอนที่มหิดล ภาควิชาฟิสิกส์ ก็มีคนที่เรียนด้านนั้นเขาก็มาเป็น Professor เป็นคุณครูในวงการนั้นหลายคน มันอาจจะไม่เกี่ยวกับผมเลยแต่เราก็มีความสุขและภูมิใจว่าลูกศิษย์เราหลายๆ คนทำงานด้านวิทยาศาสตร์ หรือไปสอนอะไรต่อได้

ไม่สามารถฟันธงได้ว่าสิ่งที่ผมทำมันส่งผลอย่างไรกับแต่ละคน เขาก็กล่าวถึงผมด้วยว่าผมสอนสนุกดี เราก็เออ…ไม่เลวนักในการสอน

Tags:

ระบบการศึกษาวิทยาศาสตร์ทักษะคิดเชิงวิพากษ์(Critical Thinking)ดร.พงศกร สายเพ็ชร์

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Learning Theory
    กรอบเพศแบบสองขั้ว (Gender binary) : วิทยาศาสตร์ชายเป็นใหญ่ที่กดทับเด็กในระบบการศึกษา

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    คุณวุฒิ บุญฤกษ์: เด็กชายผู้ล้มเหลวในวิชาวิทย์ สู่นักวิจัยสายสังคมศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Problem Solving : ชวนเด็กเรียนรู้ทักษะการแก้ปัญหาด้วยการตั้งคำถาม สร้างภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรค
Character building
19 October 2021

Problem Solving : ชวนเด็กเรียนรู้ทักษะการแก้ปัญหาด้วยการตั้งคำถาม สร้างภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรค

เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving Skill) เป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรค ผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเด็กคิด มีความอดทนรับฟัง และไม่คิดแทนเด็ก 
  • พ่อแม่หรือครูสามารถใช้เกมและกิจกรรมอื่นๆ กระตุ้นให้เด็กแก้ไขปัญหา ชวนคิด ‘ตั้งคำถาม’ กับตัวเอง แล้วสังเกตพฤติกรรมขณะพยายามคิดหาทางออก ในขณะเดียวกันพ่อแม่และครูเองก็ต้องส่งเสริมให้เด็กร่วมคิดแก้ไขปัญหากับเพื่อนในกลุ่มด้วย 
  • 4 คำถามกระตุ้นการคิดแก้ปัญหา สิ่งที่สำคัญคือเด็กต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเองและไม่กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นต้นเหตุ

ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving Skill) เป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรค และเป็นหนึ่งในทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ช่วยเตรียมความพร้อมเด็กให้สามารถใช้ชีวิตและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสิ่งที่คาดไม่ถึงในโลกภายนอกได้ เด็กควรได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านนี้ตั้งแต่ยังเล็กผ่านประสบการณ์ชีวิตในทุกๆ วัน 

มีหลักฐานการวิจัยพบว่าเด็กควรเรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ช่วงก่อนวัยเรียน เนื่องจากเมื่อเด็กโตขึ้น พฤติกรรมของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ยากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เริ่มแสดงพฤติกรรมงอแงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ หรือการแสดงความโกรธ 

ทั้งนี้ การวิจัยพบว่าเด็กที่ไม่เคยได้รับการติดตั้งทักษะการแก้ไขปัญหาเลยมักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับเพื่อนและคนรอบข้าง นำมาสู่การถูกทอดทิ้งจนรู้สึกโดดเดี่ยว และมีแนวโน้มถูกชักจูงไปในทางที่ผิดถึงขนาดมีความเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมในอนาคตได้ 

ในทางกลับกันเด็กที่ใช้ทักษะการแก้ไขปัญหาได้ดี พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรค แก้ไขสถานการณ์บนพื้นฐานของความเป็นธรรมและไม่ทำร้ายผู้อื่น

คำถามกระตุ้นคิด

พ่อแม่หรือครูสามารถใช้เกมและกิจกรรมอื่นๆ กระตุ้นให้เด็กแก้ไขปัญหา ชวนพวกเขาคิด ‘ตั้งคำถาม’ กับตัวเอง แล้วสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาขณะพยายามคิดหาทางออก ในขณะเดียวกันพ่อแม่และครูเองก็ต้องส่งเสริมให้เด็กร่วมคิดแก้ไขปัญหากับเพื่อนในกลุ่มด้วย 

4 คำถามกระตุ้นการคิดแก้ปัญหา เช่น

1. ปัญหาของฉันคืออะไร? ขั้นตอนแรกในขณะที่เด็กกำลังแก้ไขปัญหา ผู้ใหญ่ควรสังเกตอารมณ์ของเด็กและส่งเสริมให้เด็กใช้คำพูดเพื่อแสดงอารมณ์ออกมา อาจใช้การ์ดแสดงรูปภาพอารมณ์หรือคำศัพท์เพื่อสอนให้เด็กจำแนกอารมณ์ของตัวเอง สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนนี้คือเด็กต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเองและไม่กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นต้นเหตุ 

คำตอบที่แสดงความเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง เช่น “ฉันรู้สึกเศร้า” 

คำตอบที่กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นสาเหตุ เช่น “เธอแย่งขนมของฉัน”

สำหรับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน กิจกรรมส่งเสริมการแก้ไขปัญหาควรรวมอยู่ในบทเรียน ผู้สอนสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างสถานการณ์ให้เด็กคิด เช่น ผู้สอนอาจถือแอปเปิ้ลมาหนึ่งลูกในห้องเรียนและถามเด็กว่าจะแบ่งแอปเปิ้ลให้เด็กทุกคนกินได้อย่างไร?

คำตอบของนักเรียนไม่มีถูกผิด เพราะสิ่งที่ต้องการคือการพาเด็กเข้าสู่กระบวนการคิดก่อนการแสดงความคิดเห็นของเด็ก

2. หลังจากเกิดปัญหาแล้ว เด็กต้องถามตนเองว่า มีทางออกอะไรบ้าง? ช่วยให้เด็กคิดหาทางออกหลายๆ ทาง เพื่อเป็นแผนสำรอง อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทางออกหรือทางแก้ปัญหาไม่ได้มีแค่ทางเดียว จากสถานการณ์แอปเปิ้ล 1 ลูก เมื่อเด็กคิดหาทางออกได้บ้าง ผู้สอนกระตุ้นให้เด็กหาทางออกเพิ่มอีก เช่น “เราได้ทางออกสองข้อแล้ว มาช่วยกันคิดให้ได้สักห้านะ ดูซิ…ทำยังไงได้อีก” 

สังเกตต่อเนื่องว่ามีเด็กคนไหนไม่เข้าร่วมกิจกรรมบ้าง เพราะเด็กบางคนอาจเขินอายหรือไม่กล้าพูดคุยกับเพื่อน พ่อแม่และครูผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเรียนรู้ให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน 

3.เมื่อเด็กคิดหาทางออกได้แล้ว ตั้งคำถามว่า ทางออกดังกล่าวจะส่งผลอะไรบ้าง? ขั้นตอนที่สามนี้สามารถถามเด็กตรงๆ ว่าถ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จะส่งผลกับผู้อื่นและตัวเด็กเองอย่างไร ก่อนจะนำมาสู่ขั้นตอนต่อไป

4.เมื่อเด็กเลือกทางออกที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว เด็กควรถูกส่งเสริมให้จำลองสถานการณ์ด้วยทางออกที่เขาคิดขึ้น ในห้องเรียนครูผู้สอนให้เด็กจับกลุ่มแสดงบทบาทสมมุติ เล่าเรื่องราวผ่านตุ๊กตาหรือหุ่นมือ นำเสนอปัญหา วิธีคิดและแนวทางแก้ปัญหา ขณะที่พ่อแม่สามารถสวมบทบาทเป็นผู้รับฟัง ให้ลูกได้จินตนาการเล่าถึงผลกระทบที่ลูกคิดว่าจะเกิดขึ้นหลังแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ แล้วเลือกทางออกที่ดีที่สุด

สิ่งที่สำคัญ คือ ผู้ใหญ่สามารถสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมเข้าไปในขั้นตอนนี้ได้ ส่งเสริมให้เด็กแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ไม่เลือกแสดงพฤติกรรมงอแงหรือใช้อารมณ์โกรธเป็นทางออก ยิ่งเด็กสามารถคิดหาทางออกได้หลายทาง เด็กยิ่งพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาที่สร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี

ทักษะการแก้ไขปัญหา ( Problem Solving Skill) เป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรค ผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเด็กคิด มีความอดทนรับฟัง และไม่คิดแทนเด็ก 

สำหรับผู้ปกครองการสร้างสถานการณ์จำลอง การเล่นเกม และทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจความคิดและความรู้สึกของลูกมากขึ้น สำหรับในชั้นเรียนครูสามารถปรับการตั้งคำถามให้เข้ากับความต้องการและพื้นฐานของเด็กแต่ละคน  เช่น เด็กบางคนสมาธิสั้น เด็กบางคนมีปัญหาครอบครัว เด็กบางคนมีความไม่มั่นใจในตัวเองสูง ดังนั้น ครูต้องใช้การสังเกตและให้เวลากับเด็ก เพื่อสร้างบรรยากาศห้องเรียนที่ปลอดภัยให้พวกเขาได้ฝึกทักษะ ฝึกความแข็งแกร่ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้ 

อ้างอิง

Joseph, G. E., & Strain, P. S. (2010). Teaching young children interpersonal problem-solving skills. 

Young Exceptional Children, 13(3), 28–40. https://doi.org/10.1177/1096250610365144.

Tags:

การจัดการอารมณ์ทักษะการฝึกแก้ปัญหา (problem-solving)Problem Solving Skillการตั้งคำถาม

Author:

illustrator

กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy lifeAdolescent Brain
    11 ชุดคำถาม ชวนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปคุยกับอดีตเพื่อรู้จักและเข้าใจตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ปลดปล่อยความทรงจำอันเจ็บปวด เรียกคืนความสมดุลให้ชีวิต ด้วย 4 คำทรงพลัง “ขอโทษ ให้อภัย ขอบคุณ และฉันรักคุณ”

    เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    อกหักครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู

    เรื่องและภาพ KHAE

Spotlight Effect : โดนจ้องจับผิดหรือคิดไปเอง
How to enjoy life
18 October 2021

Spotlight Effect : โดนจ้องจับผิดหรือคิดไปเอง

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความวิตกกังวลกับความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่การจมอยู่กับความผิดพลาดจนสูญเสียตัวตนไประหว่างทางนั้นไม่ใช่เรื่องที่ปกติ
  • ความวิตกกังวลที่มากเกินไปอาจทำให้คุณไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข การออกไปนำเสนองานหน้าชั้นเรียนหรือห้องประชุมก็อาจเป็นเรื่องที่ยากจนทนไม่ได้ เพราะคุณกลัวว่าจะทำพลาดและคนอื่นๆ อาจหัวเราะเยาะหรือล้อเลียนคุณตลอดไปตราบที่ยังพบกัน
  • แต่แน่ใจแล้วหรือว่าคนอื่นๆ กำลังจ้องจับผิดคุณ สปอตไลต์ที่ฉายส่องลงมาเป็นของพวกเขาหรือของตัวคุณเองกันแน่

เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์น่าอับอายเกิดขึ้นในชีวิต เช่น การใส่ชุดผิดไปโรงเรียน เข้าร่วมประชุมสาย หกล้มในที่ที่คนพลุกพล่าน หรือกระทั่งลืมรูดซิปกางเกง เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่หากความทรงจำดังกล่าวทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากทุกครั้งที่นึกถึง จนคุณรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อต้องเข้าสังคมและอยากจะลบความทรงจำเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด หรือทำให้คุณพยายามหลีกเลี่ยงพยานที่เคยร่วมพบเห็นความผิดพลาดของคุณ นี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอาการ Spotlight effect

Spotlight effect คือ อาการของกลุ่มคนที่มีความวิตกกังวลว่าจะโดนคนในสังคมตัดสินความผิดพลาดแม้จะเป็นแค่อุบัติเหตุหรือเรื่องเล็กน้อย เพราะมีความเชื่อว่าทุกคนกำลังจับตาและจ้องจับผิดอยู่ทุกฝีก้าวราวกับมีสปอตไลต์ส่องมาที่ตนเอง ซึ่งความคิดนี้ถือเป็นความคิดที่มีอคติ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวว่าการคิดแทนผู้อื่นนั้นถือเป็นการปรุงแต่ง อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนที่พอจะรู้ตัวแต่ก็ยังไม่สามารถห้ามความคิดของตัวเองได้ คนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง

แน่นอนว่ามนุษย์เราไม่สามารถอ่านจิตใจของกันและกันได้ แต่ทำไมเราถึงรู้ว่าอาการ Spotlight effect มีอยู่จริง เราคงต้องย้อนไปช่วงราวๆ ปี ค.ศ. 2000 ณ มหาวิทยาลัย Cornell ที่ซึ่ง ศาสตราจารย์ Thomas Gilovich ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับสมมติฐานเรื่องความเชื่อเกินจริงของมนุษย์เกี่ยวกับมุมมองที่ผู้อื่นมีต่อพฤติกรรมของตนเอง การทดลองนี้มีชื่อว่า T-shirt experiment

การทดลองเสื้อยืด (T-Shirt Experiment) 

ศาสตราจารย์ Thomas ได้สุ่มเลือกกลุ่มนักศึกษาตัวอย่างจากในมหาวิทยาลัย และได้ให้พวกเขาสวมเสื้อยืดที่สกรีนภาพบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น Martin Luther King Jr. หรือ Bob Marley ก่อนจะทำให้พวกเขาเข้าห้องเรียนช้าไปสัก 5 นาที และเมื่อนักศึกษาคนดังกล่าวเดินเข้าไปในห้องเรียน พวกเขาจะพบกับสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองมา เพราะศาสตราจารย์ตั้งใจให้นักศึกษาในห้องเรียนนั่งหันหน้าเข้าหาประตูนั่นเอง

เมื่อการทดลองนี้สิ้นสุดลง ศาสตราจารย์ได้สอบถามกลุ่มนักศึกษาตัวอย่างและพบว่าหลายคนคิดว่าประสบการณ์นี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากจนทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีทุกครั้งเมื่อนึกถึงหรือนึกขึ้นได้ พวกเขาคิดว่ามีนักศึกษาในห้องนั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่จะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ทว่า เมื่อศาสตราจารย์ได้สอบถามคนที่นั่งอยู่ในห้องในวันนั้นเกี่ยวกับนักศึกษาที่สวมเสื้อแปลกๆ และมาสาย เขากลับพบว่ามีเพียง 10% ของเด็กทั้งหมดเท่านั้นที่จำได้ นั่นหมายความว่าความเข้าใจของกลุ่มนักเรียนตัวอย่างนั้นเกินจริงไปเอง 

ดังนั้น คุณสามารถปล่อยใจสบายๆ เมื่อเข้าสังคมได้แม้ว่าคุณอาจเคยทำผิดพลาด เพราะเป็นที่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่อาจจำไม่ได้ว่าเกิดเรื่องราวน่าอายอะไรขึ้น พวกเขาอาจไม่ได้สังเกตหรือสนใจคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อาจฟังดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์อีกเช่นกัน 

การรับมือกับ Spotlight Effect

เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรู้สึกว่าตัวเราเป็นศูนย์กลางของโลก แต่การใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกระทำของเรานั้นสามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อความมั่นใจและนำไปสู่โรคกลัวสังคม (Social anxiety) ได้ในที่สุด หากงานวิจัยในข้างต้นยังไม่มากพอที่จะช่วยบรรเทาอาการ Spotlight effect  วิธีการต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมีความมั่นใจและก้าวผ่านความคิดแย่ๆ เหล่านั้นได้

  1. ย้ำเตือนตัวเองเกี่ยวกับ Spotlight effect

วิธีการที่ง่ายที่สุด คือ การรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน เมื่อคุณรู้ว่าคนอื่นไม่ได้สนใจคุณมากเท่าที่คุณคิด แสงสปอตไลต์ที่ส่องลงมาจะไม่สว่างจ้าพอที่จะทำให้คุณเสียความมั่นใจ ดังนั้น หากเกิดเรื่องน่าอายขึ้น คอยย้ำกับตัวเองไว้ว่าไม่ได้มีคนใส่ใจคุณขนาดนั้น และหากมีคนสนใจจำได้ เขาก็จำได้ไม่นานแล้วก็จะลืมไปเอง

  1. ใช้อารมณ์ขันเข้าสู้

บางครั้งเมื่อทำผิดพลาด การใช้อารมณ์ขันที่เป็นทางแก้ปัญหาที่ฉลาดไม่เบา เพราะนอกจากจะทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดแล้วยังทำให้ผู้คนจดจำความอารมณ์ดีและพลังบวกจากคุณได้มากกว่าเหตุการณ์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ การทำสมาธิหรือตั้งสติเพื่อให้เราจดจ่ออยู่กับตัวเองก็ยังเป็นอีกวิธีที่ทำให้เราสามารถเอาชนะ Spotlight effect ได้ หากคุณยังไม่มั่นใจว่าวิธีการในข้างต้นจะสามารถช่วยได้จริง ให้ลองถามตัวเองดูว่าคุณจำเรื่องราวความผิดพลาดน่าอายที่คนอื่นทำได้มากน้อยแค่ไหน จำไว้ว่านั่นแหละคือคำตอบ

ในโลกที่กว้างใหญ่ เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋ว แม้ว่าในมุมมองของเรานั้นนักแสดงหลักจะเป็นตัวเราเองก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับคุณมากขนาดนั้น เพราะในมุมมองของเขาก็มีตัวเขาเองที่เป็นนักแสดงหลัก ดังนั้น ปิดสปอตไลต์ที่ส่องลงมาแล้วหันไปสนใจอย่างอื่นนอกจากตัวเองดูบ้าง แล้วคุณจะค้นพบว่าความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่าอาย และที่สำคัญคือไม่มีใครคอยจ้องจับผิดนอกจากคุณที่คิดไปเอง

อ้างอิง

Spotlight Effect: Definition, Examples, and Experiments

The Spotlight Effect and Social Anxiety

The Key To Overcoming Social Anxiety

Tags:

จิตวิทยาความเครียดSpotlight effect

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Family Psychology
    รับมือกับความเครียดในวันที่พ่อแม่ Work from home ลูกเรียนออนไลน์: คุยกับนักจิตวิทยา ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

    เรื่อง ศากุน บางกระ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel