Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: April 2021

School 2017: เมื่อการสอบเป็นแรงขับเคลื่อนทางการศึกษา แล้วเกรดเป็นเครื่องตัดสินนักเรียน
Movie
30 April 2021

School 2017: เมื่อการสอบเป็นแรงขับเคลื่อนทางการศึกษา แล้วเกรดเป็นเครื่องตัดสินนักเรียน

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • ซีรีส์ School 2017 เล่าเรื่องของราอึนโฮ นักเรียนอันดับ 280 หรือนักเรียนระดับ 6 ของชั้นถูกกดทับจากครูว่าเป็นเด็กไม่ดีและไม่มีคุณค่า เพราะชีวิตม.ปลาย ‘อันดับ’ คือ สิ่งที่ตัดสินนักเรียนจากครูและเพื่อน
  • การสอบจึงกลายเป็นแรงกดดันและความหวังของนักเรียนว่า ‘จะต้องเรียนให้เก่ง มีเกรดที่ดี’ ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาจะรู้สึกเป็นผู้แพ้และเป็นคนที่ล้มเหลวในระบบการศึกษา เพราะเกรดไม่ดีอาจถูกมองว่าเป็นเด็กเกเรและไม่สนใจการเรียน 
  • ไม่ต่างกันกับนักเรียนไทย ที่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะระบบการศึกษากดทับพวกเขาจากบ้านหลังที่สองที่ชื่อว่า ‘โรงเรียน’ โรงเรียนเลือกแบ่งห้องเรียนจากความสามารถของนักเรียน รายงานของ PISA Thailand แม้แต่โรงเรียนประถมเล็กๆ ยังแบ่งนักเรียนตามความความสามารถถึง 50% ส่วนในโรงเรียนสาธิตมีการแยกกลุ่มถึงประมาณ 90% 

ซีรีส์ตระกูล School คือ ซีรีส์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวในโรงเรียนและปัญหาของวัยเรียน ทั้งเรื่องเรียนและความรักที่อยู่กับวงการซีรีส์เกาหลีมายาวนานตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน 

สำหรับ School 2017 เป็นเรื่องลำดับที่ 7 ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับการจัดอันดับจากการสอบ เนื่องจากโรงเรียนให้สิทธิพิเศษกับเด็กอันดับแรกก่อนเสมอ และบอกเล่าการต่อสู้ของนักเรียนจนทำลายการสอบจำลองเพื่อบอกว่า “ฉันไม่อยากสอบอีกแล้วและอยากหลุดพ้นจากการสอบนี้สักที!!!”

จากความหวังอันน้อยนิดของนักเรียนที่คิดว่าโรงเรียนจะเป็นพื้นที่ความสุขของพวกเขาที่หาไม่ได้จากที่ไหน เพราะพวกเขาอยากจะหัวเราะ ร้องไห้ สนุก หรือทำกิจกรรม 

แต่โรงเรียนกลับกลายเป็นสนามแข่งขันจำลองที่กดดันให้พวกเขาต้องทำทุกอย่างในโรงเรียนให้ดีและถูกมองข้ามถ้าเขาไม่ใช่นักเรียนอันดับต้นของชั้นเรียน ระบบการศึกษาคงลืมไปว่า เด็กนักเรียนเหล่านี้อายุแค่ 18 ปีที่สามารถเรียนรู้และทำผิดพลาดได้

School 2017 เล่าเรื่องของราอึนโฮ นักเรียนอันดับ 280 หรือนักเรียนระดับ 6 ของชั้นถูกกดทับจากครูว่าเป็นเด็กไม่ดีและไม่มีคุณค่า เพราะชีวิตม.ปลาย ‘อันดับ’ คือ สิ่งที่ตัดสินนักเรียนจากครูและเพื่อน

กลายเป็นว่าเด็กที่มีคะแนนสอบอันดับท้ายๆ อย่างราอึนโฮถูกมองว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีหรือเกเร ผลสำรวจของ National Youth Policy Institute ระบุว่า เกรดเฉลี่ยคือสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้นักเรียนม.ปลายคนหนึ่งถูกเลือกปฏิบัติ อีกทั้งการเลือกปฏิบัติเพราะเกรดเฉลี่ยก็จะสูงขึ้นตามระดับชั้น

ไม่ต่างกันกับนักเรียนไทย ที่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะระบบการศึกษากดทับพวกเขาจากบ้านหลังที่สองที่ชื่อว่า ‘โรงเรียน’

กล่าวคือ โรงเรียนเลือกแบ่งห้องเรียนจากความสามารถของนักเรียน รายงานของ PISA Thailand แม้แต่โรงเรียนประถมเล็กๆ ยังแบ่งนักเรียนตามความความสามารถถึง 50%  ส่วนในโรงเรียนสาธิตมีการแยกกลุ่มถึงประมาณ 90% 

บนเวที TEDXYouth2020 พื้นที่เล่าเรื่องของนักเล่าเรื่องรุ่นเด็กเมื่อปีที่ผ่านมา ‘แพร’ นักเรียนเกรด 4 ชั้น ม.5 ค้นพบว่า เกรดเฉลี่ย คือ โลกสองด้านที่มอบโอกาสให้คนคนหนึ่งมีชีวิตที่ดี และอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

หมายความว่า ครูจะมอบโอกาสให้กับนักเรียนเกรดดี ทำให้เด็กเหล่านี้มีคุณสมบัติที่พร้อมมากพอที่จะทำให้มหาวิทยาลัยเลือกเข้าไปเรียนต่อ ขณะที่เด็กเกรดไม่ดีกลับไม่เคยได้รับโอกาสนั้น

อาจเรียกได้ว่าระบบการศึกษาและโรงเรียนกำลังตัดสินนักเรียนคนหนึ่งจากเกรดเฉลี่ยเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้เด็ก ๆ ยังต้องเจอกับการสอบและการแข่งขันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

“เราแทบบ้าเพราะกังวลช่วงใกล้สอบ รู้สึกว่ามีการแข่งขันอีกนับไม่ถ้วนไล่ล่าอยู่ พวกเขาต้องกัดฟันทนและต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปในวัย 18 ปี” 

ความคิดของราอึนโฮก่อนสอบจำลองครั้งที่ 3 อธิบายว่าเด็กทุกคนมองว่าคะแนนสอบสามารถเปลี่ยนชีวิตคนหนึ่งได้ จากเด็กที่ครูไม่เคยมองเห็น อาจจะเฉิดฉายขึ้นมาเพราะคะแนนดี กลายเป็นว่าการสอบกำลังขับเคลื่อนความรู้สึกในใจของเด็กและการศึกษาในเกาหลีใต้

นักเรียนเกาหลีใต้จะสอบทั้งหมด 8 ครั้งต่อปี (สอบ 2 ครั้งต่อเทอม เรียนทั้งหมด 4 เทอม) โดยจะสอบทั้งหมด 8 วิชา วันละ 2 – 3 วิชา ระยะเวลา 3 – 4 วันขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน และทุ่มเทเวลาช่วงปิดเทอมและเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือเพื่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยตอน ม.6 เพียงวันเดียว เนื่องจากเกาหลีใต้จะสอบวันเดียว ยื่นคะแนนครั้งเดียว ถ้าไม่ผ่านต้องรอปีต่อไป พวกเขาจึงต้องทำคะแนนให้ดี เพราะคะแนนเดียวสามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้

ไม่ต่างจากนักเรียนไทยที่มีทั้งสอบกลางภาค ปลายภาค และการสอบย่อยในแต่ละวิชา อีกทั้งเมื่อก้าวสู่ ม.6 การสอบจะเพิ่มขึ้นจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทั้ง GAT / PAT O – NET 9 วิชาสามัญ และความถนัดเฉพาะด้านหรือสอบกับทางมหาวิทยาลัย

ดังนั้น การสอบจึงกลายเป็นแรงกดดันและความหวังของนักเรียนว่า ‘จะต้องเรียนให้เก่ง มีเกรดที่ดี’ ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาจะรู้สึกเป็นผู้แพ้และเป็นคนที่ล้มเหลวในระบบการศึกษา เพราะเกรดไม่ดีอาจถูกมองว่าเป็นเด็กเกเรและไม่สนใจการเรียน 

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พวกเขาอาจไม่เก่งด้านวิชาการ แต่ถนัดงานด้านอื่น เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬาหรือด้านอื่นๆ ที่พวกเขาสนใจ

ราอึนโฮเองก็มุ่งมั่นอยากเรียนด้านศิลปะของมหาวิทยาลัยชื่อดัง แม้ว่าเกรดอันดับ 6 ของเธอจะทำให้ความฝันของเธอดูจะเป็นเรื่องเกินตัวสำหรับนักเรียนคนนี้

สิ่งสำคัญ คือ คุณครูควรจะเข้าใจว่า นักเรียนแต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน บางคนอาจไม่ถนัดด้านวิชาการ แต่ถนัดด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา หรือด้านอื่นๆ ที่เขาสนใจ รวมถึงระบบการศึกษาควรจะสนับสนุนและสร้างทางเลือกให้กับพวกเขา

‘ครูชิมคังมยอง’ ครูประจำชั้นของราอึนโฮ คือ ตัวแทนของครูที่มองเห็นข้อดีของนักเรียนแต่ละคนพร้อมกับชื่นชมและเข้าใจในสิ่งที่นักเรียนทำ ไม่เคยมองว่าสิ่งที่พวกเขาทำคือปัญหา แต่ในฐานะของครู เขามีหน้าที่สนับสนุนเส้นทางที่นักเรียนตัดสินใจเลือก เพราะคำชมของครูเพียงเล็กน้อยอาจเป็นแรงผลักดันที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักเรียนทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และยังเป็นกำลังใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา

นอกจากครูแล้ว อีกปัจจัยหนึ่ง คือ ต้องมีระบบการศึกษาที่สนับสนุนความถนัดและความหลากหลายของนักเรียนแต่ละคน 

ในเกาหลีใต้ กระทรวงศึกษาธิการเริ่มผลักดันนโยบาย ‘Free Semester’ ตั้งแต่ปี 2556 เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนตามหาสิ่งที่ชอบหรือสร้างชมรมตามความสนใจของตัวเองและมองข้ามการสอบ แต่ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนระบบการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วยการสอบและค่านิยมในสังคมที่เชื่อว่า การศึกษาจะพัฒนาคนให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน

อีกทั้งการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ นักศึกษาไม่ได้กังวลว่าจะต้องจบภายใน 4 ปีแต่ว่าพวกเขาต้องมั่นใจว่าพร้อมที่จะเดินเข้าสู่การทำงานในสายนั้นจริงๆ ผ่านการฝึกงานและเรียนในมหาวิทยาลัย

ขณะที่นโยบายการศึกษาของไทยในปีงบประมาณ 64 มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนสู่อนาคตมากกว่าการสร้างพื้นที่ให้นักเรียนมองหาความชอบของตัวเองในอนาคต ส่งผลให้เด็กไทยยังคงตั้งคำถามกับการศึกษาว่า พวกเขาชอบอะไรหรือเรียนหนักไปเพื่ออะไร

นอกจาก School 2017 จะเล่าถึงชีวิตเด็กอันดับท้ายแล้ว อีกแง่หนึ่ง เส้นเรื่องในการตามหาคนทำลายการสอบในโรงเรียน เพื่อยกเลิกการสอบ ก็เป็นการชวนตั้งคำถามกับคนดูว่า ‘ถ้าระบบการศึกษาไม่มีการสอบ เด็กๆ จะมีความสุขมากขึ้นไหม?’

อ้างอิง
การคัดเลือกและแยกกลุ่มนักเรียนสัมพันธ์กับผลการเรียนรู้อย่างไร
3 เสียงของคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจและเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020
Biggest discrimination worries: appearance for middle schoolers, grades for high schoolers
Major Tasks
How do exams work in a South Korean high school? Do students have to attend school in the usual schedule?
นโยบายและจุดเน้น ของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนกลั่นแกล้ง(bully)เกาหลีใต้

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • Social Issues
    ‘บ้านไม่เป็นบ้าน โรงเรียนไม่เป็นโรงเรียน’ เด็กไทยต้นทุน(ชีวิต)ต่ำ: รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyEarly childhood
    มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)
Early childhood
29 April 2021

เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การสอนให้รู้จักรอและออมเงินนั้นไม่ใช่การสอนให้ลูกห้ามใช้เงิน ความต้องการอยากได้อยากมีเป็นเรื่องแสนจะปกติธรรมดาไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่พ่อแม่เองก็ต้องอดทนฟังเสียงเว้าวอนของลูก แทนที่จะควักกระเป๋าซื้อให้ทันทีก็ช่วยแนะนำให้เจ้าตัวเล็กรู้จักรอ อดทน เก็บออม และใช้เงินเก็บดังกล่าวเพื่อซื้อของที่อยากได้
  • สำหรับเด็กวัยอนุบาล แกนหลักสำคัญ คือ การสอนให้รู้จักรอพร้อมเน้นย้ำว่า การรอนั้นจะมีปลายทางที่หอมหวานอยู่เสมอ สำหรับเด็กวัยนี้ พ่อแม่สามารถซื้อกระปุกน่ารักมาให้ลูกหยอด แบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาว และเงินบางส่วนสำหรับแบ่งปันให้กับคนที่ไม่มี โดยที่อาจมีอีกกระปุกหนึ่งเป็นกระปุกส่วนกลางที่พ่อแม่ลูกช่วยกันหยอดเพื่อเอาไปใช้สำหรับกิจกรรมของครอบครัว
  • สำหรับเด็กวัยประถม หัวใจสำคัญ คือ การปลูกฝังการออมให้เป็นอุปนิสัย โดยเริ่มจากกฎจำง่าย เช่น เก็บเงิน 2 บาททุกครั้งที่ได้เงิน 10 บาท ในวัยนี้ พ่อแม่สามารถจูงมือไปเปิดบัญชีธนาคาร อธิบายแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับดอกเบี้ย แต่ถ้าผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์น้อยเกินไปจนเด็กขาดแรงจูงใจ พ่อแม่ก็สามารถทำ ‘โครงการจ่ายเงินสมทบ’ เช่น ทุกๆ เงินออม 1 บาท พ่อแม่จะสมทบให้ 1 บาท เป็นต้น

เคยได้ยินชื่อ ‘การทดลองมาร์ชเมลโลว (marshmallow experiment)’ ไหมครับ?

การทดลองดังกล่าวเป็นงานเชิงพฤติกรรมที่โด่งดังโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ทดสอบความสามารถในการยับยั้งชั่งใจเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า (Delayed Gratification) ในกลุ่มเด็กเล็ก โดยจะนำมาร์ชเมลโลวมาวางไว้ตรงหน้าและให้รับประทานได้ แต่ถ้าใครอดใจรอเพียง 15 นาทีก็จะให้มาร์ชเมลโลวเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น

ความโดดเด่นของการศึกษาชิ้นนี้ คือ นักวิจัยตามติดเด็กกลุ่มนี้จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และพบว่าในหมู่เด็กๆ ที่สามารถอดทนต่อสิ่งเย้ายวนใจตรงหน้าเพื่อรอสิ่งที่ดีกว่า จะมีคะแนนสอบสูงกว่าและมีรายได้มากกว่าเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน

อ่านแล้วก็ลองทดลองทำกับเด็กๆ ในบ้านดูนะครับ แต่ถ้าลูกๆ ของเราไม่สามารถอดทนรอได้ก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะลักษณะนิสัยเหล่านี้สามารถสร้างได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไป สิ่งสำคัญคือการเริ่มสอนให้ลูกรู้จักการ ‘รอ’ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดสำหรับการออมเงิน

การสอนให้รู้จักรอและออมเงินนั้นไม่ใช่การสอนให้ลูกห้ามใช้เงิน ความต้องการอยากได้อยากมีเป็นเรื่องแสนจะปกติธรรมดาไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ก่อนเด็กๆ จะได้ของที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นขนม ของเล่น เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต เครื่องใหม่ แทนที่พ่อแม่จะควักกระเป๋าซื้อให้ทันที ก็จะต้องอดทนฟังเสียงเว้าวอนของลูกๆ พร้อมกับช่วยแนะนำให้เจ้าตัวเล็กรู้จักรอ อดทน เก็บออม และใช้เงินเก็บดังกล่าว (บวกกับเงินของพ่อแม่) เพื่อซื้อของที่อยากได้

ในบทความนี้จะรวบรวมเทคนิคสอนการออมสำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่มีลูกวัยอนุบาลจนถึงประถมนะครับ

วัยอนุบาล เริ่มต้นด้วยการรู้จัก ‘รอ’

  1. ย้ำเสมอว่าการรอคือสิ่งที่ดี

ไม่แปลกหรอกครับที่เด็กๆ จะเกลียดการรอคอย เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนเองก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้ที่จะต้องรออะไรนานๆ ไม่ว่าจะเป็นการต่อแถวจ่ายเงิน รอคิวเล่นของเล่น หรือกระทั่งติดแหงกอยู่ในรถเพราะสภาพการจราจร

หน้าที่ของพ่อแม่ คือ ต้องย้ำกับลูกๆ เสมอว่าการรอคอยครั้งนี้มีสิ่งดีรออยู่ที่ปลายทาง เช่น การนั่งรถนานๆ ก็เพื่อไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าและกินอาหารอร่อยๆ หรือไปเที่ยวสถานที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เมื่อมีโอกาส อย่าพลาดที่จะชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการรอคอย อย่างการต่อคิวเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น พ่อแม่ก็สามารถชวนลูกมองไปท้ายแถวเพื่อบอกว่าเด็กๆ ทุกคนไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือเด็กโตก็ต้องเข้าคิวเพื่อเล่นเครื่องเล่นเหมือนกัน นี่คือตัวอย่างของความเท่าเทียมในสังคม

นอกจากนี้ พ่อแม่ยังสามารถชวนเด็กๆ เล่นเกมส์ระหว่างรอเพื่อไม่ให้น่าเบื่อเกินไป เช่น เล่นเป่ายิ้งฉุบ หรือการทายคำที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือชวนลูกคุยถึงแผนการสนุกๆ ในอนาคต เช่น ทริปท่องเที่ยวปลายเดือนหน้า หรืองานจับของขวัญฉลองปีใหม่ เป็นต้น

ข้อห้ามเด็ดขาดสำหรับพ่อแม่ คือ การ ‘โกง’ ระบบเพื่อลูก เช่น การขอลัดคิวโดยให้เหตุผลว่ารีบ หรือไปต่อคิวเครื่องเล่นแทนลูก พฤติกรรมเช่นนี้นอกจากจะเป็นการสอนลูกว่าการโกงนิดโกงหน่อยไม่เป็นอะไร เด็กๆ ยังอาจโตมาโดยที่ไม่มีความสามารถในการควบคุมตนเองอีกด้วย

  1. เริ่มหยอดกระปุก 

แน่นอนครับว่าเราคงเริ่มสอนการออมเงินไม่ได้ หากยังไม่มีกระปุกออมสินซึ่งอาจจะเป็นกระปุกสวยงาม กระป๋อง หรืออะไรก็ได้สามารถใส่เงินเอาไว้ได้ ถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นวัสดุโปร่งแสงและหยิบยากสักหน่อยเพื่อลดความเย้ายวนที่เด็กๆ จะหยิบเงินเหล่านั้นออกมาใช้

หลายตำราแนะนำว่าควรมีกระปุกสัก 3 อัน เพื่อให้เจ้าตัวเล็กแบ่งการออมตามเป้าหมาย เช่น กระปุกที่หนึ่งสำหรับของเล่นหรือขนมชิ้นเล็กๆ ที่ราคาไม่สูงมากนัก กระปุกที่สอง ของเล่นชิ้นใหญ่ที่อาจต้องใช้เวลาออมนานสักหน่อย กระปุกที่สามสำหรับบริจาค โดยแต่ละกระปุกต้องมีการทำสัญลักษณ์อย่างชัดเจน โดยอาจแปะรูปของที่อยากได้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเก็บออมของเด็กน้อย

อีกไอเดียหนึ่งที่น่าสนใจคือ ‘กระปุกกองกลาง’ ที่พ่อแม่และลูกจะร่วมกันออมเงินโดยมีเป้าหมายร่วมกัน เช่น สั่งอาหารที่ทุกคนชื่นชอบ หรือทริปไปเที่ยวสวนสัตว์กันทั้งครอบครัว แน่นอนว่าเงินส่วนใหญ่ในกระปุกจะมาจากพ่อแม่ แต่กระปุกกองกลางจะเปรียบเสมือนการสอนภาคปฏิบัติที่ทำให้การออมเงินเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น และยังเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยเรื่องเทคนิคการออมต่างๆ ระหว่างพ่อแม่ลูก

  1. ทำตามสัญญา แม้เราจะมีเทคนิคแพรวพราวอย่างไรในการจูงใจให้ลูกออมเงิน แต่เทคนิคเหล่านั้นก็อาจเปล่าประโยชน์หากพ่อแม่ไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้ได้โดยไม่มีคำอธิบาย การทำตามสัญญาจะช่วยสร้างความเชื่อใจระหว่างพ่อแม่และเจ้าตัวเล็ก การออมเงินเป็นเรื่องที่ต้องอดทนรอในระยะยาว แต่การจูงใจให้ออมจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยหากเด็กๆ ไม่เชื่อมั่นว่าการหยอดกระปุกในวันนี้ จะทำให้ได้ของเล่นชิ้นใหญ่ที่พ่อแม่สัญญาว่าจะช่วยออกเงินส่วนต่างให้ในอนาคต

วัยประถม ปลูกฝังการออมให้เป็นนิสัย

  1. เริ่มด้วยกฎจำง่าย

วิธีหนึ่งที่จะเปลี่ยนให้การออมกลายเป็นนิสัย คือ การตั้งกฎจำง่าย (rule of thumb) ซึ่งหลายคนอาจคุ้นเคยกันดี เช่น การออมธนบัตร 50 บาททุกครั้งที่ได้รับเป็นเงินทอนของเหล่ามือใหม่หัดออมทั้งหลายแต่สำหรับเจ้าตัวเล็ก เราอาจเริ่มต้นด้วยกฎง่ายๆ ที่ตรงไปตรงมา เช่น ถ้าได้เงิน 10 บาท จะกันเงิน 2 บาทหรือ 20 เปอร์เซ็นต์ไว้เป็นเงินออม 

กฎเช่นนี้จะช่วยให้การออมเป็นเสมือน ‘ระบบอัตโนมัติ’ เสมือนการแปรงฟันก่อนนอน คาดเข็มขัดเมื่อขึ้นรถ หรือสวมหมวกกันน็อคทุกครั้งที่นั่งมอเตอร์ไซค์ กฎจำง่ายเช่นนี้ยังเปิดโอกาสให้พ่อแม่สามารถย้ำเรื่องการแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับเก็บออมได้ทุกครั้งเมื่อเด็กๆ ได้รับเงิน

  1. เปิดบัญชีธนาคาร

เมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มโตขึ้น กระปุกกุ๊กกิ๊กอาจไม่น่าดึงดูดใจอีกต่อไป ถึงเวลาที่พ่อแม่จะพาเด็กน้อยไปเปิดบัญชีธนาคาร แต่ก่อนอื่นต้องอย่าลืมอธิบายด้วยว่าธนาคารทำงานอย่างไร อย่ากังวลไปนะครับ สำหรับเด็กระดับประถมเราคงไม่ต้องอธิบายไปถึงการตั้งเงินสดสำรองตามกฎหมายหรือการทำกำไรของธนาคาร 

สิ่งสำคัญที่เด็กๆ จะมีคำถามแน่ๆ คือ ‘เงิน’ ที่เขาเก็บหอมรอบริบอย่างยากลำบากจะไปอยู่ที่ไหนหลังมอบให้ธนาคารเราสามารถอธิบายแบบตรงไปตรงมาว่าธนาคารมีตู้เซฟอันใหญ่ มีการป้องกันแน่นหนา และถึงจะมีปัญหา เรายังมีสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จัดตั้งโดยรัฐบาลไทยคุ้มครองเงินที่ฝากไว้กับธนาคารสูงสุดถึง 1 ล้านบาท ดังนั้นลูกๆ มั่นใจได้เลยว่าเงินที่ฝากไว้จะไม่หายไปไหนแน่นอน

  1. เรียนรู้เรื่องอัตราดอกเบี้ย

การฝากเงินไว้กับธนาคารนอกจากจะปลอดภัยแล้ว เรายังได้ดอกเบี้ยอีกด้วยนะ พ่อแม่สามารถเน้นย้ำเรื่องดอกเบี้ยรับจากธนาคารว่าเปรียบเสมือน ‘เงินเพิ่มที่ได้มาฟรีๆ’ จากการฝากเงิน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เราสามารถอธิบายให้ลูกๆ ฟังได้ว่า ถ้าฝากเงิน 1,000 บาทไว้ที่ธนาคาร ผ่านไปหนึ่งปีเงินก็จะงอกเงยมาเป็น 1,002.50 บาทโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร

สำหรับพ่อแม่คนไหนที่มองว่าตัวเลขดังกล่าวต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่สามารถจูงใจคุณลูกได้ เราก็สามารถทำ ‘โครงการสมทบการออม’ คล้ายๆ กับการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน แต่สำหรับการออมของเด็กๆ จะเป็นการที่พ่อแม่จ่ายเงินสมทบเข้าเงินออมของลูก

ตัวอย่างเช่น ทุกการออมเงิน 1 บาทของเจ้าตัวเล็ก พ่อแม่จะสมทบเพิ่มอีก 1 บาท เป็นต้น ส่วนจะสมทบมาก สมทบน้อย ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่โปรดระวังอย่าใจป้ำเกินไปเพราะจะหมดตัวเพราะเหล่าเด็กน้อยนักออมเงิน (ฮา!)

ข้อห้ามสำคัญ – อย่าแอบขโมยเงินออมลูกเด็ดขาด!

แม้กฎข้อนี้ดูจะเป็นสามัญสำนึกธรรมดา แต่ทราบไหมครับว่ามีการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่าพ่อแม่จำนวนไม่น้อยเลือกจะ ‘หยิบ’ เศษเงินจากกระปุกคุณลูกมาใช้ก่อนแล้วค่อยนำมาคืนทีหลัง แต่หากถูกจับได้เมื่อไหร่รับรองได้ว่าเป็นเรื่อง เพราะพฤติกรรมดังกล่าวจะทำลายทุกอย่างที่เราพยายามสอนลูก ไม่ว่าจะเป็น ‘ของรางวัล’ ที่ได้จากการอดทนออมเงิน หรือ ‘ความปลอดภัย’ ของการหยอดเงินไว้ในกระปุก

สิ่งที่พ่อแม่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือเงินเหล่าเป็นเงินของเจ้าตัวเล็กซึ่งเราไม่มีสิทธิจะไปแตะต้อง การเก็บหอมรอมริบและการบริหารเงินด้วยตัวเองจะทำให้เด็กๆ รู้สึกมั่นใจ ภาคภูมิใจ และเป็นอิสระ ซึ่งเราไม่ควรพรากความรู้สึกเหล่านั้นไป ทางที่ดีหากจะหยิบเงินลูกมาใช้ก็ต้องให้ลูกยินยอมพร้อมใจเสียก่อน

สำหรับพ่อแม่ที่ลูกล่วงเลยประถมวัยไปแล้วก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะครับ อดใจรอสักหน่อยแล้วบทความชิ้นหน้าเรามาต่อด้วยเทคนิคสอนลูกเรื่องการออมฉบับเด็กโต เพราะการออมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรฝึกให้เป็นอุปนิสัย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ยังไม่สายเกินไป เพราะเป้าหมายสำคัญที่สุดในการเก็บออมของเรานั้นแสนยาวไกล คือการมีเงินเก็บเพียงพอในช่วงวัยที่รายได้เริ่มขาดหายนั่นเอง

Tags:

เงินทองต้องคิดส์การออมการเงิน

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (7) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ไม่ปฎิเสธ ไม่ยัดเยียด’ สอนให้ลูกเท่าทันความรู้สึกเมื่อต้องห่างกัน
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
28 April 2021

‘ไม่ปฎิเสธ ไม่ยัดเยียด’ สอนให้ลูกเท่าทันความรู้สึกเมื่อต้องห่างกัน

เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • การฝึกลูกให้รู้จักความรู้สึกของตัวเอง ‘เท่าทันอารมณ์’ ทักษะที่ผู้ปกครองสามารถสอนลูกได้ตั้งแต่เล็กๆ จะเป็นตัวช่วยทำให้เขาสามารถจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้น
  • เมื่อลูกล้มแล้วร้องไห้พร้อมกับบอกว่าเจ็บ สิ่งที่พ่อแม่หลายคนมักทำทันที คือ เป่าลมลงที่บาดแผลแล้วบอกว่า “ไม่เจ็บนะลูก”
  • ความรู้สึกเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ผู้ปกครองไม่ควรปฏิเสธความรู้สึกลูก ไม่ยัดเยียดความรู้สึกของเราให้ลูก และช่วยให้ลูกค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงให้เจอ
  • สิ่งที่เราควรทำ คือ ถามว่าลูกเจ็บตรงไหน เจ็บแค่ไหน หรือเปรียบเทียบความเจ็บ เช่น ที่เจ็บแผลนี้มันเจ็บเท่าตอนโดนคุณหมอฉีดยาไหม? การทำแบบนี้จะทำให้ลูกอธิบายและเข้าใจความเจ็บได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ช่วยทำให้เขาหาวิธีก้าวผ่านความเจ็บนั้นไปให้ได้
Photo by Josh Applegate on Unsplash

‘ความเป็นห่วง’ กับ ‘ความคิดถึง’ เส้นบางๆ ของความรู้สึกที่สามารถแยกออกจากกันได้ ถ้าแยกได้จะเบาลงเยอะ

“หนูไปเรียนไกลแล้วแม่จะเป็นห่วงหนูไหม?” ลูกสาวเอ่ยถามเรา ก่อนที่จะออกเดินทางไกล

“แม่คิดว่าแม่ไม่ห่วงหนูมากนะ เพราะแม่มั่นใจว่าหนูเอาตัวรอด ดูแลตัวเองได้ และที่สำคัญแม่มั่นใจว่า ถ้ามีอะไรหนูจะบอกแม่ทันที แม่เลยไม่ห่วงมาก แต่คงคิดถึงหนูมาก มากๆ เลยละ” คำตอบที่เราให้ลูกไปในวันนั้น

นี่ไม่ใช่คำตอบเพื่อให้ดูดี แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เรารู้สึก ความมั่นใจที่เรามีว่าลูกจะเอาตัวรอดได้ ดูแลตัวเองได้ เป็นสิ่งที่หลายคนอาจแย้งว่า เธอจะมั่นใจได้อย่างไรว่าลูกจะเจออะไรบ้าง? จริงอยู่เราไม่สามารถมั่นใจอนาคตที่ยังไม่เกิดได้ แต่ความมั่นใจที่เรามีมันมาจากอดีตที่ผ่านมา ที่เราเรียนรู้ สอน ฝึกฝน ให้ความรักลูก ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่เราอยู่กับเขา 

ซึ่งความรักที่เราให้ลูกเป็นแบบไหน? แบบปกป้อง โอบกอด ให้เขาอยู่กับเราตลอดไป หรือให้ความรักแบบเตรียมพร้อมให้เขาโบยบินสู่โลกกว้างอย่างแข็งแรง

ถ้าเรามั่นใจว่า เราให้ความรักแบบอย่างหลัง ความห่วงก็จะเบาบางลงไปเยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็มิได้แปลว่าเราจะไม่ห่วงลูก ปล่อยปละละเลยและคิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ภายใต้ความไม่ห่วงนั้น เราก็ต้องมีทั้งเตรียมการป้องกัน รวมทั้งเผื่อใจเตรียมรับหากสถานการณ์มันไม่เป็นอย่างที่เรามั่นใจไว้ด้วย ทำให้ลูกรับรู้ว่าหากอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อ้อมกอดของพ่อแม่ยังคงอ้าแขนรอเขาอยู่เสมอ…

ส่วนเทคนิคหรือวิธีการในการให้ความรักแบบเตรียมพร้อมให้เขาโบยบินสู่โลกกว้างนั้น เราก็เคยเขียนแชร์ประสบการณ์ของตัวเองในบทความครั้งก่อน “เตรียมตัวอย่างไรก่อนลูกออกจากอก : เมื่อลูกต้องไกลห่างท่ามกลางข่าวละเมิดเด็กมากมาย ประสบการณ์จากคุณแม่โฮมสคูล” อีกทั้งคิดว่าสามารถหาอ่านงานเขียน งานวิจัยของคุณหมอ ของผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กได้ไม่ยาก

บทความชิ้นนี้เราอยากมาแชร์ประสบการณ์การฝึกลูกให้รู้จักความรู้สึกของตัวเอง หรือในทางวิชาการอาจเรียกว่า การเท่าทันอารมณ์ตัวเอง นั่นแหละ เป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้ตั้งแต่เด็กและมันจะส่งผลตอนโตอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนที่เราต้องรับมือกับอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้น แม้แต่พ่อแม่เองถ้าถูกฝึกมาอย่างดีก็จะเป็นประโยชน์มากเมื่อลูกออกจากอก

เช่น ‘ความเป็นห่วง’ กับ ‘ความคิดถึง’ เส้นบางๆ ของความรู้สึกที่บางทีมันทับซ้อนกันจนเราแยกไม่ออก บางครั้งเรารู้สึกทั้งกังวล เศร้า ปนเปไปหมด จนแยกไม่ออกว่าเรากำลังมีความรู้สึกอะไร แต่ถ้าเราแยกออกได้ เราจะรู้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกหลักตอนนี้ ‘ห่วง’ หรือ ‘คิดถึง’ 

ถ้าห่วงก็จะมีความกังวล ความกลัวว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูก แล้วถ้าแก้ด้วยวิธีโทรคุยก็อาจจะยิ่งเพิ่มความห่วงสารพัด พาลนอนไม่หลับได้ ต้องหาวิธีอื่นอย่างแก้ แต่ถ้าคิดถึงเพราะห่างกัน ไม่ได้นอนกอดกัน ทำให้เกิดอาการโหยหา เพ้อถึง ก็คงต้องแก้อีกแบบ เช่น โทรหากันเพื่อรับรู้สารทุกข์สุกดิบ ซึ่งก็คงพอคลายความคิดถึงได้ หรือแม้แต่การอย่างอื่นทำก็ช่วยผ่อนความคิดถึงลงไปได้ วิธีแก้ความคิดถึงก็จะต่างจากวิธีแก้ความเป็นห่วง

ความรู้สึกเป็นเอกสิทธิ์ส่วนบุคคล ของคนคนนั้น

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องฝึกฝนลูกให้รู้จัก หรือเท่าทันความรู้สึกของตัวเอง จากประสบการณ์ของเรา คือ การไม่ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง แม้มันจะเป็นความรู้สึกด้านลบ ต้องคิดไว้เสมอว่าความรู้สึกเป็นเอกสิทธิ์ของคนๆ นั้น ไม่มีใครเหมือนและไม่มีใครมีสิทธิ์บอกว่า ไม่ใช่ 

เช่น เมื่อลูกล้มแล้วร้องไห้พร้อมกับบอกว่าเจ็บ สิ่งที่พ่อแม่หลายคนมักทำทันที คือ เป่าลมลงที่บาดแผลแล้วบอกว่า “ไม่เจ็บนะลูก” ความเจ็บเป็นของลูกไม่ใช่ของเรา เราจึงไม่ควรปฏิเสธความเจ็บนั้นให้พ้นไปจากลูก สิ่งที่เราควรทำ คือ ถามว่าลูกเจ็บตรงไหน เจ็บแค่ไหน การเปรียบเทียบความเจ็บ เช่น ที่เจ็บแผลนี้มันเจ็บเท่าตอนโดนคุณหมอฉีดยาไหม? หรือเจ็บเท่าที่โดนมดกัดวันนั้น เป็นต้น การทำแบบนี้จะทำให้ลูกอธิบายและเข้าใจความเจ็บได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ช่วยทำให้เขาหาวิธีก้าวผ่านความเจ็บนั้นไปให้ได้ เช่น ถ้าเจ็บเท่าที่ลุงหมอฉีดยาวันก่อน วันนั้นลูกทำอย่างไรถึงหายเจ็บ เป็นต้น 

หรือถ้าวันนี้อากาศหนาว เราอยากให้ลูกใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียน แต่ลูกปฏิเสธเพราะตัวเขาไม่รู้สึกหนาว พ่อแม่จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้? ด้วยความเป็นห่วงว่าลูกจะหนาว หรืออาจป่วยไดเ ส่วนใหญ่ก็มักเลือกที่จะยัดเยียดให้ลูกใส่จนได้ พร้อมทั้งยัดเยียดความรู้สึกหนาวให้ลูกด้วย ทั้งที่ความรู้สึกหนาวเป็นของเรา ไม่ใช่ของลูก สิ่งที่เราควรทำก็แค่เอาเสื้ออกันหนาวใส่กระเป๋าให้ลูก และบอกเขาว่า “วันนี้แม่รู้สึกหนาวจัง เป็นห่วงว่าหนูจะหนาวเหมือนแม่ ถ้ารู้สึกหนาวเมื่อไหร่ก็หยิบเสื้อกันหนาวไปใส่นะ แม่ใส่ไว้ในกระเป๋าให้แล้ว” เป็นต้น

หรือบางทีลูกก็อาจเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าตัวเขาจะเข้าใจ เช่น ทะเลาะกับเพื่อนมา รู้สึกโมโห โกรธ ร้องไห้ แต่ใจก็ยังอยากเล่นกับเพื่อนอยู่ดี สุดท้ายเขาอาจจะพูดว่า ‘หนูเกลียดเพื่อน’ พ่อแม่บางคนฟังแล้วอาจตกใจ หรือไม่ก็รีบปฏิเสธความรู้สึกนั้นให้พ้นไปจากลูกทันที ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้พ่อแม่ควรให้ลูกค่อยๆ ค้นความรู้สึกที่แท้จริงให้เจอ อาจจะด้วยการตั้งคำถาม เช่น หนูรู้สึกเกลียดเพื่อน แสดงว่าวันพรุ่งนี้หนูจะไม่เล่นกับเขาแล้วใช่ไหม? หรืออะไรที่เพื่อนทำที่ทำให้หนูรู้สึกว่าเกลียด เป็นต้น พ่อแม่อาจช่วยแยกความรู้สึกของลูกออกมา เช่น ถ้าลูกรู้สึกแบบนี้เรียกว่าโกรธ เพราะลูกไม่ชอบที่เพื่อนทำแบบนี้ใช่ไหม? หรือถ้าลูกไม่ชอบที่เพื่อนแย่งของ แล้วถ้าเพื่อนไม่แย่งของแล้วลูกจะยังอยากเล่นกับเพื่อนได้ไหม? เป็นต้น

การไม่ปฏิเสธความรู้สึกลูก ไม่ยัดเยียดความรู้สึกของเราให้ลูก และช่วยให้ลูกค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงให้เจอ เป็น 3 สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญและพยายามใช้กับลูกมาตั้งแต่เล็กจนโต

เมื่อวันหนึ่งลูกออกจากอกเรา โบยบินไปใช้ชีวิตคนเดียว นั่นแหละคือเวลาที่สิ่งที่เราและลูกฝึกฝนมาทั้งหมดจะเริ่มทำงาน

“รู้สึกเหงาๆ นะแม่ แต่ไม่ได้เศร้า” วันหนึ่งลูกสาววัย 12 ขวบบอกมาตามสาย ขณะที่เราคุยข้ามประเทศกัน ในวันที่ลูกต้องไปใช้ชีวิตที่หอคนเดียวในต่างแดน ถึงแม่อย่างเราจะฟังแล้วน้ำตาซึมแต่ก็ยิ้มได้ เพราะประโยคนั้นทำให้เรารู้ว่าจะช่วยลูกอย่างไร และคิดว่าภายใต้ประโยคนั้นลูกเองก็รู้วิธีการที่จะจัดการกับความรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน เพราะเมื่อรู้ชัดว่านี่คือ ‘ความเหงา’ ไม่ได้เศร้า จึงไม่ได้ร้องไห้ ขณะที่ลูกบอกประโยคนั้นมา หน้าที่ของคนเป็นแม่คือช่วยลูกทำความรู้จักกับความรู้สึกนี้ สิ่งที่ผู้เขียนทำคือการชวนลูกคุยว่า ความรู้สึกเหงาที่ว่านี่เป็นยังไง? 

“มันเคว้ง เคว้ง เหมือนไม่มีใคร แต่ก็มีเพื่อนอยู่นะ” ลูกตอบ 

แล้วคิดว่าเพื่อนคนอื่นๆ รวมทั้งแม่ด้วย จะมีความรู้สึกแบบนี้ไหม? – เราถามลูกกลับ

“ก็มีแหละแม่ เพื่อนบางคนก็ร้องไห้ก็มีนะ” ลูกตอบ  

เมื่อลูกเห็นว่าความเหงาเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่ห่างบ้าน ห่างพ่อแม่ เพื่อนสนิท หรือแม้แต่บางคนอยู่บ้านตัวเองก็เหงาได้ ความเหงาจึงเป็นเหมือน ‘เพื่อน’ อยู่ที่เราจะทำความสนิทสนมกับเพื่อนคนนี้ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน ผู้เขียนชวนลูกให้หาวิธีการที่จะเป็นเพื่อนกับความเหงาให้ได้ในแบบของเขา แล้วมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง เพราะเมื่อลูกสามารถบอกได้ชัดว่าว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร จึงง่ายขึ้นในการช่วยลูกให้ผ่านความรู้สึกนั้นได้ง่ายขึ้น ตัวลูกเองก็ด้วย “วางสายจากแม่แล้ว ก็ลองโทรคุยกับเพื่อน กับพี่ซักคนที่หนูอยากคุยก็ดีนะลูก” ผู้เขียนบอกลูกก่อนวางสาย

อีก 2 ชั่วโมงต่อมา เสียงปลายสายที่โทรมาสดใสขึ้นและบอกว่า “หนูโทรไปคุยกับพี่บัวมาแหละ (พี่คนหนึ่งที่ลูกสนิทสนมและคุยได้ทุกเรื่อง) คุยกันยาวเลย หนูรู้สึกดีขึ้นมากเลยแม่” และก็เล่า เล่า เล่า เรื่องที่คุยกับพี่ซะยาวเลย ผู้เขียนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เราสอนลูกมาตลอดมันทำงาน

ลองคิดในทางกลับกัน หากลูกโทรมาร้องห่มร้องไห้ พูดแต่ว่าไม่อยากอยู่ อยู่ไม่ได้ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ อยากกลับเหลือเกิน อยากกลับมากๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเชื่อเหลือเกินว่าหัวใจคนเป็นพ่อแม่ก็คงร้องไห้ไม่ต่างจากลูก และการจะช่วยประคองอารมณ์ความรู้สึกลูกก็ยากเป็น 2 เท่า และถ้าเป็นแบบนั้นแม้แต่ผู้เขียนเองก็ไม่น่ารอด

ฉะนั้น วันนั้นที่ลูกถามเราว่า “หนูไปเรียนไกลแม่เป็นห่วงหนูไหม?” “แม่คิดว่าแม่ไม่ห่วงหนูมากนะ เพราะแม่มั่นใจว่าหนูเอาตัวรอด ดูแลตัวเองได้ และที่สำคัญแม่มั่นใจว่าถ้ามีอะไรหนูจะบอกแม่ทันที แม่เลยไม่ห่วงมาก แต่คงคิดถึงมาก มาก เลยหละ” เราตอบลูกไปในวันนั้น

และคำตอบวันนั้นเราเองก็ไม่ต่างจากลูก มันก็ทำให้ผู้เขียนเองก็ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน และสามารถรับมือ จัดการความรู้สึกตัวเองได้ง่ายขึ้นในวันที่ลูกออกจากอก เพราะเมื่อรู้ว่า ‘คิดถึง’ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เลวร้ายอะไร แค่ต้องหาวิธีเข้าหา และสนิทสนมกับเขาให้ได้ เราก็จะอยู่กับความคิดถึงอย่างไม่เป็นทุกข์ เพราะเราไม่ได้ห่วง กังวล เรื่องอื่นๆ เพราะหาก ‘ห่วง’ คงต้องรับมืออีกแบบ

ทุกความรู้สึกมีผลต่ออารมณ์ของเราที่ต่างกัน ฝึกลูกให้รู้จักความรู้สึกแต่ละแบบ คือ การรับมือกับอารมณ์อย่างมีเป้าหมาย แต่ที่สำคัญตัวเราเองก็ต้องเท่าทันกับความรู้สึกนั้นด้วยเช่นกัน จึงจะฝึกลูกได้ หรือถ้าพูดให้ชัดขึ้นการฝึกลูกให้เท่าทันอารมณ์ตัวเองนั้นก็เป็นการฝึกฝนตัวเราเองด้วยเช่นกัน

Tags:

การจัดการอารมณ์ปฐมวัย

Author:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    อกหักครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

I am good enough : เห็นคุณค่าตัวเองในวันที่ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่ขาด empathy
How to enjoy life
27 April 2021

I am good enough : เห็นคุณค่าตัวเองในวันที่ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่ขาด empathy

เรื่อง ภณิชชา ไชยกวิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • โลกใบแรกที่เด็กต้องเผชิญและเรียนรู้คือ ครอบครัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเชื่อที่มีในตนเอง หลายคนไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem) ได้ เพราะโลกใบแรกนี้มักตำหนิ ต่อว่า หรือคาดหวังให้พวกเขาต้องดีขึ้น เก่งขึ้นอีก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ให้เห็นว่าเป็นแบบนั้นนะถึงจะดี และบ่อยครั้งก็ปราศจากคำชื่นชมใดๆ จึงไม่แปลกที่จะทำให้เขาเชื่อสนิทใจว่า “ฉันไม่ดีพอจริงๆ”
  • การสร้างทักษะการเห็นคุณค่าในตนเองนั้น เหนือสิ่งอื่นใดเราควรมีก็คือ การมี Empathy ต่อตนเอง ถึงแม้สังคมหรือคนรอบตัวที่เราต้องพบเจออยู่เป็นประจำ อาจจะขาด Empathy ก็ตาม แต่อย่างน้อยถ้าเรามีสิ่งนี้ให้กับตนเองอย่างสม่ำเสมอ มันก็เพียงพอต่อการเพิ่มพลังงานทางกายและใจให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขมากขึ้น

ความคิดที่ว่า “ฉันไม่ดีพอ” กลายเป็นความเชื่อที่ถูกฝังอยู่ในใจของใครหลายๆ คนไปแล้ว เลยทำให้เราต่างต้องพยามที่จะพัฒนาตัวเองและปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า “เราดีพอนะ” เพื่อให้เกิดการยอมรับ หรือบางครั้งก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ ที่อาจจะทำให้เรารู้สึกว่าไม่ดีพอ เศร้า เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง จนขาดโอกาสในการใช้ชีวิตตามที่ตนเองต้องการ และสร้างความทุกข์ใจ สร้างบาดแผลเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง แล้วอะไรกันที่ทำให้เราเกิดความเชื่อที่ว่า ฉันไม่ดีพอขึ้นมาได้

ความเชื่อที่มีต่อตนเองถูกก่อร่างสร้างตัวจากหลายๆ ปัจจัย และในแต่ละคนก็เกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะขออธิบายในมุมมองกว้างๆ และไม่ได้ลงลึกมากนัก ซึ่งจะพาย้อนกลับไปในวัยเด็กช่วงสั้นๆ ให้เห็นว่าเมื่อเด็กเติบโตขึ้นมา โลกใบแรกที่เด็กต้องเผชิญและเรียนรู้ก็คือสถาบันครอบครัว ซึ่งโลกใบนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเชื่อที่มีในตนเอง และความสามารถในการเห็นคุณค่าของตนเอง (Self-Esteem) นั้นเริ่มต้นจากจุดนี้ 

มีหลายคนที่ไม่สามารถมองเห็นคุณค่าตนเองได้ เพราะโลกใบแรกนี้มักจะตำหนิ ต่อว่า หรือคาดหวังให้พวกเขาต้องดีขึ้น เก่งขึ้นอีก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ให้เห็นว่าเป็นแบบนั้นนะถึงจะดี และบ่อยครั้งก็ปราศจากคำชื่นชมใดๆ ซึ่งเมื่อคำพูดหรือการกระทำที่ขาด Empathy เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในโลกใบแรกที่เด็กเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้เชื่อมโยงตนเองกับโลกภายนอก ก็ไม่แปลกเลยที่จะทำให้เด็กคนหนึ่ง โตมาแล้วเชื่อสนิทใจว่า “ฉันไม่ดีพอจริงๆ” แล้วเราจะหยุดหรือเปลี่ยนแปลงความเชื่อนี้ได้ยังไงกัน ?  

สิ่งสำคัญคือเราจำเป็นต้องกลับมาสร้าง “ความสามารถในการเห็นคุณค่าในตนเอง” และฝึกฝนอยู่เป็นประจำ โดยสามารถฝึกฝนได้ผ่านกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้

การทำ self-monitoring การสังเกตติดตามตนเอง 

ลองจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่ดีพอ” ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น เรามีความคิดอะไรบ้าง ความรู้สึกอะไรบ้าง พร้อมให้คะแนนระดับความเข้มข้นของความรู้สึกเหล่านั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเราทำอะไรบ้าง ตอนนั้นร่างกายเราเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อให้เราสามารถรู้ทันตนเองมากขึ้น เข้าใจตนมากขึ้น และไม่จมอยู่กับความเศร้านานเกินไป เพราะได้เห็นความเชื่อมโยงเกี่ยวกับความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตนเอง และเห็นโอกาสที่ตัวเองจะสามารถจัดการหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้

การหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือคัดค้าน ความเชื่อที่เรามีต่อตนเอง 

หลายครั้งเราอาจจะเผลอเอาเรื่องแย่ๆ เหตุผลหรือความคิดเชิงลบมาอธิบาย และตีความสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เราจะทำได้ดีแล้วก็ตาม เช่น “ฉันได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงานว่าทำงานได้ดี แต่จริงๆ ไม่หรอก ฉันมันแย่จะตาย เพื่อนแค่พูดไปอย่างนั้นเอง” การฝึกหาเหตุผลมาสนับสนุนหรือคัดค้านจะทำให้เราเห็นว่าจริงๆ แล้ว มันมีเหตุผลอื่นอีกนะ ที่มาสนับสนุนหรือคัดค้านความคิดที่เรามี อาจจะทำให้เราเห็นว่าจริงๆ แล้ว ที่เพื่อนชมไม่ใช่เพราะชมไปอย่างนั้น แต่เพราะเราเองก็เป็นคนขยันนะ เรามีน้ำใจ เราตรงต่อเวลา เรามีความพยายาม เรามีความรับผิดชอบด้วย ซึ่งเหตุผลใหม่ๆ เหล่านี้ จะทำให้เราสามารถตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงมากขึ้น และไม่มองตนเองลบจนเกินไป 

ฝึกการตีความสถานการณ์ต่างๆ ให้หลากหลายมากขึ้น

โดยปกติแล้วเราจะมีการตีความอย่างรวดเร็วเมื่อกระทบกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจากประสบการณ์และความเชื่อที่เรามี เกิดเป็นความคิดอัตโนมัติ (Automatic thought) เช่น เหตุการณ์ที่เราถูกปฏิเสธไม่รับเลือกเข้าทำงาน ความคิดอัตโนมัติก็เกิดขึ้นทันทีว่า เพราะเราไม่ดีพอ ส่งผลให้เรารู้สึก เศร้า เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง 

ขั้นตอนนี้อยากจะชวนคิดว่า เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว จากแต่ก่อนที่เราตีความแบบเดิมว่าเราไม่ดีพอแน่ๆ หลังจากนี้เราจะฝึกตีความเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม เพื่อให้เรามีความสามารถในการตีความที่หลากหลายมากขึ้น และนำไปสู่การเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้นด้วย แล้วเราจะตีความว่าอะไรได้อีกบ้าง เพื่อให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเองได้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น 

เป็นไปได้ไหมว่าที่เราถูกปฏิเสธงานเพราะบริษัทเห็นว่าเรายังไม่เหมาะสม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ อาจจะมีบริษัทอื่นที่เราเหมาะมากกว่าก็เป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ไหมว่าบริษัทอาจจะต้องชะลอการรับคนเข้าทำงานเพราะสถานการณ์โควิด-19 หรือเพราะนโยบายของบริษัท ฯลฯ พอมาถึงตรงนี้เราอาจจะได้เห็นความเป็นไปได้อื่นๆ ว่าในสถานการณ์หนึ่งเราสามารถตีความต่างไปจากเดิมได้เหมือนกัน และมีอีกหลายเหตุผลมากที่เราสามารถนำมาอธิบาย หรือตีความเหตุการณ์ต่างๆได้

ฝึกการชื่นชมและให้กำลังใจตนเอง

การสร้างทักษะการเห็นคุณค่าในตนเองนั้น เหนือสิ่งอื่นใดเราควรมีก็คือ การมี Empathy ต่อตนเอง ถึงแม้สังคมหรือคนรอบตัวที่เราต้องพบเจออยู่เป็นประจำ อาจจะขาด Empathy ก็ตาม แต่อย่างน้อยถ้าเรามีสิ่งนี้ให้กับตนเองอย่างสม่ำเสมอ มันก็เพียงพอต่อการเพิ่มพลังงานทางกายและใจให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขมากขึ้น 

ไม่มีใคร Perfect ในโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณเองหรือคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นบางครั้งที่เราผิดพลาดบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาสากล และไม่จำเป็นต้องซ้ำเติมตัวเองมากนัก ให้ฝึกลองเปลี่ยนจากการซ้ำเติมตนเองมาเป็นการให้กำลังใจ และชื่นชมตนเองแทน เพื่อผลิตความคิดที่สร้างพลังงานดีๆ กับตนเองในทุกวัน อารมณ์เศร้าต่างๆ หรือบาดแผลที่ทุกข์ทรมานนั้น ก็จะค่อยๆ เบาบางลง มันอาจจะไม่ได้หายไป แต่เราจะสามารถรับมือได้ดีขึ้น และเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้นอีกด้วย

เราสามารถสั่นคลอนความเชื่อเดิมๆ ที่มีต่อตนเองได้จากการเฝ้าสังเกตตนเอง ตั้งคำถามกับความเชื่อนั้นๆ อย่าเพิ่งเชื่อทุกอย่างที่เราคิด เพราะการตีความของเราเองบางครั้งก็ไม่ตรงตามความเป็นจริงเท่าไรนัก และหากเกิดเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเศร้า หรือเสียใจจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไรที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ให้คอยเฝ้าดูตนเอง ไม่ให้คิดลบต่อตนเองมากจนเกินไป จนเกิดเป็นความเศร้านานและสะสม ให้กลับมารู้ทันความคิดตนเอง และมองสถานการณ์ให้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น ให้กำลังใจตนเอง ชื่นชมตนเองทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส เพื่อสร้างความสามารถในการเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้นและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติสุขอีกครั้ง

อ้างอิง

5 Strategies to Increase Low Self-Esteem – CBT Psychology

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)I am good enough

Author:

illustrator

ภณิชชา ไชยกวิน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ‘สัตว์เลี้ยงนักบำบัด’ มากกว่าเพื่อนคลายเหงา คือการเสริมสร้าง Self-esteem ในตัวเด็ก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • How to enjoy life
    อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางบ้าง เพราะการเข้มแข็งตลอดก็อาจทำร้ายตัวเองได้ (The Power of Vulnerability)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life Long Learning
    ใช้ร่างกายไล่ล่าปัจจุบัน หาความท้าทายใหม่เพื่อค้นพบตัวเอง: สูงวัยด้วยคุณภาพและพลังชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่?
Social Issues
27 April 2021

มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่?

เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบ ปรับเงินสนับสนุนค่าอาหารกลางวันโรงเรียนเป็นมื้อละ 21 บาท โดยจะมีผลในปีงบประมาณ 2565 ปัจจุบันโรงเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับเงินสนับสนุนค่าอาหารกลางวัน มื้อละ 20 บาท และนม 7.36 บาท ต่อมื้อต่อคน จำนวน 200 วันต่อปีการศึกษา และโรงเรียนกีฬา ได้รับมื้อละ 40 บาท สูงสุดวันละ 4 มื้อ
  • ปัญหาอาหารกลางวันของเด็กไทยไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณและการขาดแคลนอาหาร แต่หมายรวมถึงการขาดแคลนสารอาหารในอัตราที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย การขาดสุขอนามัยที่ดีในการประกอบอาหาร และการบริโภคอาหารที่ผิดหลักโภชนาการ 

มื้อกลางวันวันนี้ คุณกินอะไร?
เรามีคำถามที่ท้าทายกว่านั้น ว่าถ้ามีเงิน 20 บาท สำหรับมื้อกลางวันวันนี้ คุณจะกินอะไรดี? 

20 บาท คือจำนวนเงินสนับสนุนจาก… สำหรับค่าอาหารกลางวันหนึ่งมื้อต่อคน

20 คน คือจำนวนเด็กในโรงเรียนขนาดเล็ก

400 บาท คืองบที่โรงเรียนขนาดเล็กได้รับสำหรับอาหารเด็ก 20 คน ต่อวัน 

6.4 ล้าน คือจำนวนนักเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6*

510,000 ล้านบาท คืองบประมาณของกระทรวงศึกษา โดยประมาณต่อปี**

มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่? 

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบ ปรับเงินสนับสนุนค่าอาหารกลางวันโรงเรียนเป็นมื้อละ 21 บาท จากเดิมที่สนับสนุนให้มื้อละ 20 บาท โดยจะมีผลในปีงบประมาณ 2565 โดยเป็นการปรับครั้งนี้เพิ่มงบประมาณขึ้นมา 823 ล้านบาทเศษ สำหรับคุณภาพมื้ออาหารของเด็กไทยวัยเรียน 4 ล้านคน 

ปัจจุบัน โรงเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับเงินสนับสนุนค่าอาหารกลางวัน มื้อละ 20 บาท และนม 7.36 บาท ต่อมื้อต่อคน จำนวน 200 วันต่อปีการศึกษา และโรงเรียนกีฬา ได้รับมื้อละ 40 บาท สูงสุดวันละ 4 มื้อ

ก่อนจะไปสำรวจว่าอาหารมื้อละ 20 บาท ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เราขอพาย้อนกลับไปดูว่ากว่าจะมาเป็นนโยบายอาหารกลางวันโรงเรียนมื้อละ 20 บาทอย่างทุกวันนี้ รุ่นพ่อรุ่นเเม่เราท่านกินอะไรกันที่โรงเรียน

โครงการกองทุนอาหารกลางวันเพื่อแก้ปัญหาเด็กไทยทุพโภชนาการ

โครงการกองทุนเพื่ออาหารกลางวันนั้นได้ริเริ่มขึ้นจากผลการสำรวจภาวะขาดแคลนสารอาหารในประชากรไทย และการขาดแคลนอาหารกลางวัน ในเด็กวัยเรียน ซึ่งเป็นช่วงเจริญเติบโต และสารอาหารมีผลต่อการพัฒนาทั้งร่างกายและสมอง ในปี พ.ศ. 2495 รัฐบาลกำหนดให้มีโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาขึ้น และได้แต่งตั้งคณะกรรมการอาหารและโภชนาการแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันในโรงเรียน แต่ในช่วง 20 ปีแรกนั้นโครงการไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้ต้องขอเงินสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศและภาคเอกชน

จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2520 รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพประชากรเพื่อพัฒนาประเทศอีกครั้ง เพราะพบว่านักเรียนจำนวนมากขาดแคลนอาหารกลางวันและเกิดภาวะทุพโภชนาการ รัฐบาลจึงได้บรรจุแผนอาหารและโภชนาการลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 และในปี 2530 กำหนดนโยบายให้โรงเรียนทุกโรงเรียนดำเนินการโครงการอาหารกลางวันครบทุกโรงเรียน เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ภายใต้คำขวัญ “ฉลอง 60 พรรษามหาราชา เด็กประถมไทยไม่หิวโหย” 

ปี 2534 รัฐบาลจัดตั้งกองทุนขึ้นในกระทรวงการคลังเพื่อสนับสนุนค่าอาหารกลางวัน ในอัตราวันละ 5  ต่อคน 200 วันต่อปีการศึกษา และเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 6 บาทในปี 2542 ต่อมาปี 2544 กระทรวงศึกษาธิการได้ถ่ายโอนงบประมาณค่าอาหารกลางวันให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อเข้าสู่การกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น นำไปดูแลโรงเรียนภายใต้การดูแลขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น ปี 2551 รัฐบาลได้ปรับเพิ่มงบเป็น 10 บาท และ 13 บาทในปี 2552 และ ในปี 2556 คณะรัฐมนตรี ภายใต้การนำของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติปรับขึ้น เป็น 20 บาท ต่อคนต่อวัน ซึ่งนับว่าเป็นการปรับขึ้นที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของโครงการอาหารกลางวัน อย่างไรก็ดีในอัตรานี้มีผลสำรวจเด็กไทยมีภาวะอ้วน ร้อยละ 9.5 (ปี 2557 โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย) 

ปัญหาอาหารกลางวันของเด็กไทยจึงไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณและการขาดแคลนอาหาร แต่หมายรวมถึงการขาดแคลนสารอาหารในอัตราที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย การขาดสุขอนามัยที่ดีในการประกอบอาหาร และการบริโภคอาหารที่ผิดหลักโภชนาการ 

มีปัญหาอะไรบ้างในจานอาหารกลางวันของเด็กไทย 

1. ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงของเด็กวัยเรียน ทั้งในเชิงปริมาณเพื่อให้ท้องอิ่ม และเชิงสารอาหารให้ครบห้าหมู่เพื่อการเจริญเติบโต รวมทั้งแหล่งวัตถุดิบมีการผลิตปนเปื้อนสารเคมี 

2. ความเหลื่อมล้ำของเด็กด้อยโอกาส และการจัดสรรงบประมาณสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส ตรงตามชื่อโรงเรียนขยายโอกาสเกิดขึ้นเพื่อขยายโอกาสให้เด็กในถิ่นทุรกันดารได้เข้าถึงการศึกษาในระดับมัธยม โรงเรียนจึงมักเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดสอนให้ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 หากแต่งบประมาณนั้นไม่ได้ครอบคลุมโอกาสที่ขยายให้ งบประมาณสนับสนุนอาหารกลางวันครอบคลุมถึงเพียงชั้นประถมหก ทำให้บางโรงเรียนต้องยอมลดคุณภาพเพื่อเฉลี่ยงบประมาณมาให้นักเรียนทุกคนได้อิ่มท้อง

3. ความใส่ใจและความรู้ด้านโภชนาการของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง คุณภาพอาหารไม่ได้อยู่แค่ที่ราคา แต่เกิดจากทั้งสายพานการผลิต ตั้งแต่แปลงเกษตรถึงโรงครัว เมื่อเกษตรกรต้องใช้สารเคมีเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพียงพอ ผู้บริหารขาดความเอาใจใส่ในการเลือกแหล่งที่มาของวัตถุดิบ พ่อครัวแม่ครัวขาดทักษะทางโภชนาการ โรงเรียนไม่มีนักโภชนากร อาหารหนักหวาน มัน เค็ม แม้เพิ่มงบประมาณต่อหัวก็ยังไม่สามารถอุดช่องโหว่เหล่านี้ได้

4. กลไก ระเบียบ การทำงาน ที่รัดรึง ไม่เอื้อต่อท้องถิ่นให้นำเงินมาบริหารจัดการ ปัญหานี้สะท้อนระบบที่คนสั่งไม่ใช่คนหน้างาน และคนหน้างานไม่สามารถบริหารงบประมาณได้เอง ทำให้ในบางโรงเรียน แม้จะทราบปัญหาและสถานการณ์ของโรงเรียนในท้องถิ่นตนเอง แต่ไม่สามารถของบประมาณมาแก้ปัญหาได้ เช่น กลไกการจัดจ้างนักโภชนาการที่ยังไม่ชัดเจน การเลือกแหล่งที่มาของอาหาร การเลือกคนกลางในการมาประกอบอาหาร ไปจนถึงการอนุญาตให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการอาหารให้ลูกหลานของตนเอง 

5. ขาดการทำงานร่วมมือกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในมื้ออาหารของเด็ก
หลายคนอาจคิดว่าอาหารกลางวันเป็นเรื่องของโรงเรียน และผลักภาระทั้งหมดไปให้โรงเรียน หากแต่นั่นเป็นความจริงแค่เพียงส่วนเดียว อาหารกลางวันนั้นเกิดขึ้นที่โรงเรียนจริง แต่ต้องไม่ลืมว่า อาหารกลางวันนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งมื้อต่อวัน มื้อเช้า มื้อเย็น เสาร์อาทิตย์ วันปิดเทอม เด็กๆ อยู่ในความดูแลของพ่อแม่

พ่อแม่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดหาอาหารกลางวันที่ถูกหลักโภชนาการให้แก่ลูก นอกจากโรงเรียนแล้ว ชุมชน ก็ควรเข้ามามีส่วนร่วม เมื่อเด็กก้าวออกจากรั้วโรงเรียน ขนมแบบใดกันที่รอต้อนรับพวกเขา เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ต้องให้ความสำคัญ และสุดท้ายลักษณะนิสัยและพฤติกรรมการกินของเด็กเอง ที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพอาหารที่เข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกฝึกฝนและปลูกฝังตั้งเเต่เล็กได้จากที่บ้าน

สุดท้ายแล้ว ปัญหาอาหารกลางวันโรงเรียน ไม่สามารถแก้ได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายเดียว แต่ต้องการการร่วมมือกันของทุกฝ่าย ทั้งงบประมาณ และวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา อาหารกลางวันของเด็กไทย อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยคิด ช่วยส่งเสียงถึงปัญหา หรือส่งเสียงสนับสนุนเพื่อหาทางออก อนาคตของชาติจะสดใสได้อย่างไร หากวันนี้ท้องยังไม่อิ่ม 

The Potential พาไปดูแนวทางการแก้ปัญหา จากหลายหน่วยงาน 
– ดร.สง่า ดามาพงศ์ นักวิชาการกรมอนามัย ผู้สนุบสนุนโครงการนักโภชนาการตำบล
พ่อแม่ควรเตรียมอาหารให้ลูกอย่างไร เมื่ออาหารและโภชนาการเด็กวัยเรียน ไม่ได้อยู่แค่ที่โรงเรียน – The Potential
– โครงการ Thai School Lunch
– โรงเรียนแพรกษา : ความใส่ใจของผู้อำนวยการโรงเรียนและการเข้ามามีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
– บ้านโนนแสนคำ : การปลูกผักในโรงเรียน เพื่อการเรียนรุ้ของสมองและท้องอิ่ม 
อ้างอิง
คู่มือการดำเนินงาน กองทุนเพื่ออาหารกลางวันโรงเรียนประถมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
* จำนวนโดยประมาณของนักเรียนชั้นอนุบาลและประถมศึกษา ปี 2562 อ้างอิงจาก จำนวนนักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบโรงเรียน จำแนกตามระดับการศึกษา และชั้น ปีการศึกษา 2558 – 2562, สำนักงานสถิติแห่งชาติ http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/03.aspx
และข้อมูลสถิติ ร้อยละของนักเรียนต่อประชากรวัยเรียนในวัยเรียนจำแนกตามระดับชั้น ปีการศึกษา 2563 ของ ระบบคลังข้อมูลกลางด้านการศึกษา http://eduwh.moe.go.th/pub/report/stat/?cmd=report&year=2563&rep=2&zone=&prov=&div=&area=
** อ้างอิงจาก รายงานการวิเคราะห์ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา งบประมาณรายจ่ายประจำปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2559-2561) https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parbudget/ewt_dl_link.php?nid=411

Tags:

อาหารกลางวันปัญหาอาหารกลางวันโรงเรียนโภชนาการความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • โรงเรียนเล็ก โรงเรียนใหญ่ แก้ปัญหาแบบไหนที่ตรงจุด?: มองหาทางออกใหม่ ให้การศึกษาไทยได้ไปต่อ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Creative learning
    Chef’s table: 4 เมนูอาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน” วันนี้เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีพอหรือยัง?

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Education trend
    เติม How ในห้องเรียนออนไลน์ : แก้สมการการเรียนรู้ให้เด็กไทย เมื่อโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม
Movie
23 April 2021

Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • เมื่อ ‘โรงเรียนกวดวิชา’ กำลังเข้ามาแทนที่โรงเรียน และครูเอกก็ถูก ‘ติวเตอร์’ เขามาแทนที่เช่นกัน
  • ซีรีส์ Blackdog ว่าด้วยเรื่องของ โกฮานึล คุณครูอัตราจ้างคนใหม่ในฝ่ายให้คำปรึกษาโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งที่มีอดีตฝังใจ ทำให้เธอมีความฝันและตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อเป็นครูประจำให้ได้
  • ฮานึลเป็นครูประจำชั้นห้องเรียนอิคารัส ห้องเรียนสำหรับนักเรียนหัวกะทิและมีโอกาสสูงที่จะเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เป็นตัวสะท้อนให้เห็นค่านิยมสังคมเกาหลีใต้ที่การเรียนต่อมหาวิทยาลัยคือเป้าสูงสุด
  • โรงเรียนจากที่เคยเป็นสถาบันการศึกษาหลักของประเทศถูกลดบทบาทลง การเข้ามาแทนของโรงเรียนกวดวิชา ถึงขั้นเป็นตัวกำหนดอนาคตของนักเรียนในสังคมที่แข่งขันสูง พ่อแม่ยอมเสียเงินให้โรงเรียนกวดวิชาหลักแสนต่อเดือนเพื่ออนาคตของลูกๆ

ถ้ามองว่าอาชีพครูมีหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว ก็อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะนอกจากการเตรียมการสอนแล้ว ยังต้องส่งนักเรียนคนหนึ่งให้จบการศึกษาในรั้วโรงเรียนให้ได้ แต่หลังจากนั้นเส้นทางของนักเรียนแต่ละคนจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะเป็นคนเลือกเอง

ซีรีส์เรื่อง Blackdog ว่าด้วยเรื่องของ ‘โกฮานึล’ คุณครูอัตราจ้างคนใหม่ในฝ่ายให้คำปรึกษาโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งที่มีอดีตฝังใจ คือ ครูประจำชั้นที่ปกป้องเธอจากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำ แต่เธอมารู้ตอนหลังว่าครูที่ช่วยเธอเป็นเพียงแค่ครูอัตราจ้างและไม่ได้ยอมรับว่า เขาคือครูคนหนึ่ง ทำให้เธอมีความฝันและตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อเป็นครูประจำให้ได้

โกฮานึล

นอกจาก Blackdog จะเล่าเรื่องการทำงานของครูแล้ว ในอีกแง่หนึ่งยังสะท้อนให้เห็นว่าโรงเรียนเกาหลีใต้กำลังต่อสู้กับโรงเรียนกวดวิชาที่ได้รับความนิยมมากและเรียกความไว้ใจจากนักเรียนและผู้ปกครองว่า พวกเขาสามารถเป็นศูนย์รวมการศึกษาที่บริการข้อมูลได้อย่างเต็มที่ไม่ต่างจากโรงเรียนกวดวิชา

บทความนี้อยากแสดงให้เห็นว่า การกอบกู้ความอยู่รอดของโรงเรียนและซื้อใจนักเรียนหรือผู้ปกครองของเหล่าคุณครู ท่ามกลางกระแสการเรียนพิเศษที่เข้มข้นจนโรงเรียนถูกลดความสำคัญ โรงเรียนจะต้องวางแผนหรือต่อสู้อย่างไรเพื่อพวกเขาจะไม่ตกเป็นสถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

ห้องเรียนรวมหัวกะทิสำหรับเด็กเก่งเท่านั้น

สิ่งแรกที่บ่งบอกว่าโรงเรียนนี้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่ว่านักเรียนจากโรงเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กี่คน แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้มากน้อยแค่ไหน (ไทยกับเกาหลีก็เหมือนๆ กัน)

สำหรับ Blackdog โรงเรียนสร้างห้องเรียนอิคารัสสำหรับนักเรียนเก่ง เพื่อส่งเสริมให้เด็กกลุ่มนี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และเป็นกลุ่มที่คุณครูในโรงเรียนให้ความสนใจ โดยถือว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เด็กๆ อยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชมรมนี้ เพราะพวกเขาจะมีสิทธิเรียนเพิ่มเติมมากกว่านักเรียนคนอื่น

ชมรมอิคารัส คือ หนึ่งในผลผลิตจากนโยบายของภาครัฐซึ่งระบุไว้ในกฎหมายการศึกษาปี 2543 เพื่อสร้างนวัตกรรมการศึกษา พัฒนาศักยภาพในการทำงานของคนให้สูงขึ้น และพัฒนาคนเพื่อตอบโจทย์ตลาดและสังคม หรือเรียกว่าการศึกษาแบบกิ๊ฟเต็ด (Gifted Education)

โดยสถาบันการศึกษาสามารถนำไปสร้างแนวทางการสอนได้ 3 รูปแบบ คือ โรงเรียนมัธยมเฉพาะทาง จัดตั้งเป็นศูนย์การศึกษาภายใต้การดูแลของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย รวมถึงกำหนดเป็นห้องเรียนเฉพาะทางในโรงเรียนทั่วไป (อิคารัสอยู่ในแบบสุดท้าย)

ข้อมูลล่าสุดจาก Gifted Education Database (GED) เมื่อปี 2013 พบว่านักเรียนเกาหลีใต้เข้าร่วมโครงการ Gifted ในรูปแบบต่างๆ ประมาณ 120,000 คน และมีสาขาสำหรับสายวิทย์และศิลป์ให้พวกเขาเลือก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ และภาษาเป็นต้น

ห้องเรียน Gifted ในเกาหลีใต้ไม่ต่างจากการห้องเรียน Gifted ในโรงเรียนรัฐและเอกชนของไทยที่มีการแข่งขันและค่าเทอมสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หรือโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ตามแนวทาง สสวท. และสอวน. ของโรงเรียนสตรีวิทยา

นอกจากหลักสูตรของห้องเรียน Gifted ที่เข้มข้นและเรียนหนักกว่าห้องเรียนทั่วไปแล้ว สภาพแวดล้อมในห้องเรียนก็ยังเอื้อให้เด็กๆ เรียนอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าพวกเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อย่างชมรมอิคารัสใน Blackdog ก็สามารถใช้ห้องอ่านหนังสือได้และมีแนวข้อสอบในการทำข้อสอบ ทั้งๆ ที่นักเรียนคนอื่นไม่สามารถทำได้

เรียกได้ว่า ห้องเรียน Gifted กำลังทำหน้าที่เป็นทั้งห้องเรียนเสริมเด็กเก่งและพัฒนาศักยภาพของคน รวมถึงเป็นป้ายโฆษณาเรียกความน่าเชื่อถือจากผู้ปกครองได้ด้วย

บทบาทของโรงเรียนในวงการศึกษา

โรงเรียนกวดวิชาเกาหลีใต้ (ฮักวอน) ถูกยกย่องจนเป็นสถาบันหลักของสังคมเรื่องการศึกษาจากการเป็นศูนย์รวมการศึกษาทุกด้าน ทั้งเรื่องเรียน สุขภาพ และจิตใจ เพราะสถาบันทางสังคมนี้กลายเป็นตัวกำหนดอนาคตของนักเรียนในสังคมการแข่งขันที่เข้มข้นภายใต้โลกทุนนิยมที่มีเงินเป็นเครื่องนำทาง ดังนั้นพ่อแม่จึงยอมเสียเงินให้กับโรงเรียนกวดวิชาวางแผนอนาคตของลูกๆ

ย่านคังนัมในโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้มีฮักวอนอยู่ 25,000 – 30,000 แห่งและอาจมีฮักวอนทั่วประเทศประมาณ 70,000 แห่ง อีกทั้งพ่อแม่ยังยอมเสียค่าใช้จ่าย 124,000 – 186,000 บาทต่อเดือนสำหรับเด็กหนึ่งคนเพื่อเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน และรายได้ของฮักวอนยังคิดเป็นค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเกาหลี (Gross Domestic Product: GDP) ซึ่งมีค่ามากกว่าจำนวนงบ (กว่าครึ่ง) ที่เกาหลีใช้ไปกับระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ให้เรียนฟรีในโรงเรียนรัฐบาลจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 

ขณะที่โรงเรียนเกาหลีใต้ จากสถาบันหลักของสังคมในอดีต แต่วันนี้กลายเป็นสถาบันการศึกษาทั่วไป เพราะเป็นทางเลือกที่นักเรียนไม่ได้เป็นคนเลือกเอง เนื่องจากเป็นระบบสุ่มของภาครัฐ  คุณครูเลยทำงานหนักขึ้นทั้งการวางแผนการสอนหรือดูแลนักเรียน เพื่อบอกว่า โรงเรียนและครูมีความรู้และความตั้งใจมากพอที่จะให้คำแนะนำทุกด้านกับนักเรียนและผู้ปกครองเช่นกัน

ใน Blackdog โกฮานึลรับหน้าที่เป็นครูดูแลห้องเรียนอิคารัส เธอค้นพบว่าเด็กทุกคนต่างมีความฝันและมองเห็นเส้นทางของตัวเอง หน้าที่ของเธอ คือ การเตรียมพร้อมนักเรียนสู่มหาวิทยาลัย ทำให้ครูคนใหม่คนนี้เลือกจะแนะนำและอยู่เคียงข้างนักเรียนของเธอตลอด แม้กระทั่งดูมหาวิทยาลัยที่เหมาะสม ตั้งใจเขียนจดหมายแนะนำนักเรียน หรือสมัครสอบให้

นอกจากนั้น ฝ่ายให้คำปรึกษาที่เธอทำงานอยู่ต้องวางแผนการทำงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประชาสัมพันธ์และการร่วมมือกับบุคลากรในมหาวิทยาลัยให้เข้ามาเป็นผู้ให้ข้อมูลการสมัครสอบ ไปจนถึงขอทุนมหาวิทยาลัยให้กับนักเรียน

ที่โรงเรียนต้องลงทุนลงแรงดูแลนักเรียนกันอย่างเต็มที่เพราะโปรไฟล์ด้านการเรียนและพฤติกรรมของนักเรียน หรือแม้แต่จดหมายแนะนำนักเรียนเป็นตัวกำหนดว่า นักเรียนคนนั้นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม หรือจะสอบเข้าได้ในมหาวิทยาลัยไหน หรือจะเลือกอนาคตแบบไหน

อีกทั้งซีรีส์เรื่องนี้กำลังบอกว่า โรงเรียนกวดวิชาอาจจะสำคัญในเรื่องเทคนิคการทำข้อสอบ แต่โรงเรียนมีหน้าที่ประคับประคองและดูแลประวัตินักเรียนแต่ละคนให้ดีที่สุดเพื่อให้พวกเขาพร้อมในสนามแข่งขันและโลกความเป็นจริง

ครูในโรงเรียนถูกลืม เพราะติวเตอร์เข้ามาแทนที่

จะเห็นว่าโรงเรียนกวดวิชาเข้ามาครองใจเหล่านักเรียนและผู้ปกครองได้เพราะพวกเขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี สามารถดูแลนักเรียนคนหนึ่งให้พร้อมกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างรอบด้านด้วยจำนวนนักเรียนที่น้อยกว่าห้องเรียนธรรมดาครึ่งหนึ่ง ส่วนครูในโรงเรียนก็ยังคงมีภาระงานจากกระทรวงศึกษาและการเตรียมแผนการสอนจนอาจมองข้ามความรู้สึกของนักเรียนไปบ้าง

หากจะบอกว่าโรงเรียนกวดวิชากำลังแทนที่โรงเรียน ติวเตอร์ก็กำลังมาแทนที่ครูในโรงเรียนเช่นกัน

ประเด็นนี้ Blackdog ถูกหยิบมาสร้างเป็นปมปัญหาในเรื่อง จากการเฉลยข้อสอบผิดพลาดที่เด็กห้องอิคารัสไม่ยอม เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาทำถูกและเลือกที่จะเช็คคำตอบข้อสอบนี้จากครูในโรงเรียนกวดวิชาอีกครั้ง (ครูในโรงเรียนยืนกรานว่าพวกเขาทำถูก) ซึ่งผลจากโรงเรียนกวดวิชาก็แสดงออกมาว่าข้อสอบผิดพลาดจริง ทำให้เด็กๆ ตั้งคำถามกับการออกข้อสอบของครู

หากถอยออกมาจากโลกของซีรีส์คงจะจริงที่นักเรียนเลือกจะไม่สนใจการเรียนในโรงเรียน แต่ตั้งใจเรียนในโรงเรียนกวดวิชาแทน เพราะนักเรียนบางคนแบกหมอนกับผ้าห่มมานอนที่โรงเรียนแล้วกลับไปเรียนพิเศษชดเชยตอนเย็นแทน จนร้านกิฟต์ช็อปในเกาหลีผลิตหมอนพิเศษสำหรับการนอนบนโต๊ะนักเรียน

“ติวเตอร์บางคนบอกว่าพวกเขามีอิทธิพลกับเด็กๆ มากกว่าคุณครูในโรงเรียนเสียอีก” ติวเตอร์คณิตศาสตร์คนหนึ่งเล่าผ่านบทความของเว็บไซต์ koreanjoongkangdaily

เหตุผลที่เขาพูดได้อย่างเต็มปากเป็นเพราะเขารู้ว่าเด็กๆ เบื่อกับการเรียนในโรงเรียน จากคุณครูบางคนที่เข้มงวดและขยันจัดอันดับพวกเขา รวมถึงเนื้อหาที่สอนยังเป็นเนื้อหาที่เขารู้อยู่แล้ว

อิทธิพลของโรงเรียนกวดวิชาในเกาหลีไม่ต่างจากประเทศไทย เพราะทุกวันนี้นักเรียนหรือแม้แต่นักศึกษายังต้องเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนถึงสองหรือสามทุ่ม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองตอนทำข้อสอบ และเริ่มเข้ามาลดบทบาทโรงเรียน เนื่องจากเนื้อหาในโรงเรียนเป็นสิ่งที่นักเรียนรู้อยู่แล้ว

Blackdog คือ ซีรีส์สะท้อนกระบวนการทำงานของอาชีพครูและโรงเรียนที่ไม่ได้มีแค่หน้าที่ยืนแล้วให้ความรู้นักเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ทุกขั้นตอนคือความละเอียดอ่อนที่ส่งผลต่ออนาคตของเด็กคนหนึ่งหากบอกว่าโรงเรียนกำลังจะถูกลืม เพราะค่านิยมสังคมกำลังบอกว่า นักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต้องเรียนพิเศษ แต่ในโลกความจริงแล้วโรงเรียน คือ สถาบันเตรียมพร้อมนักเรียนที่กำลังจะก้าวสู่โลกภายนอกที่ไม่มีครูคอยชี้แนะ

อ้างอิง
Korean Gifted Education: DomainSpecific Developmental Focus
เจาะชีวิตการเรียน “ห้องกิฟต์ (GIFTED)” มีโอกาสสอบติดมากกว่าห้องธรรมดาจริงหรือ?
Gifted education in Korean
The sheer thrill of being a teacher
หนังสือ the Birth of Korean cool

Tags:

ครูระบบการศึกษาซีรีส์เกาหลีใต้

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • Education trendSocial Issues
    เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Unique Teacher
    ‘ครูหยกฟ้า’ ไพลิน ลิ้มวัฒนชัย: ครูแนะแนวมีอยู่จริง จริงๆ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

นาฬิกาและเค้กแต่งงานของมิส ฮาวิชแฮม: บาดแผลที่หยุดเวลาเอาไว้และภาพทุกข์ในใจที่ถูกฉายซ้ำ
Myth/Life/Crisis
23 April 2021

นาฬิกาและเค้กแต่งงานของมิส ฮาวิชแฮม: บาดแผลที่หยุดเวลาเอาไว้และภาพทุกข์ในใจที่ถูกฉายซ้ำ

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เพราะความมั่นใจที่คนอื่นอาจมองว่ามีมากเกินไป กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกเกลียดชัง สุดท้ายจำต้องเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่แสดงออก หรือเพราะความสดใสที่มีกลายเป็นบ่อเกิดของความไม่ชอบใจจากคนรอบข้าง สุดท้ายต้องลบความสดใสนั้นออกไปเพื่อให้มีเพื่อน
  • การเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้น บางคนเลือกที่จะพยายามไม่เป็นสิ่งนั้นๆ (ที่เชื่อว่าเป็นเหตุที่ทำให้โดนแกล้งหรือหมั่นไส้) หรือบางคนก็ติดอยู่ในห้วงเวลานั้นไม่สามารถเดินต่อไปได้ อย่างเช่น มิส ฮาร์วิชแฮม (ตัวละครจาก Great Expectations) ที่นาฬิกาชีวิตเธอหยุดลงตั้งแต่ถูกคนรักทิ้งไปในวันแต่งงาน
  • ‘ถ้ามีทุกข์ให้เดินทางข้ามน้ำและทิ้งทุกข์ลงในทะเล’ เวลาที่เรายังแก้ปัญหาที่รบกวนจิตใจไม่ได้ การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ ก็เหมือนกับการฉายภาพปัญหาและวิธีแก้แบบเดิมๆ วนไปวนมา การออกไปข้างนอก ปรับเปลี่ยนวงจรชีวิตใหม่ เพื่อให้เราได้เปลี่ยนความรับรู้ (perception) ใหม่ อาจเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์

ใน Great Expectations นวนิยายของนักเขียนชาวอังกฤษเลื่องชื่อ นามว่า ชาร์ลส์ ดิกเคนส์ สะดุดตาสตรีนางหนึ่ง ด้วยเพราะลักษณะชอบกลของเธอซึ่งแฝงด้วยความคับแค้น เศร้าโศกขมขื่น และสูญเสีย

มิส ฮาร์วิชแฮม ที่ดูเหี่ยวเฉาปรากฏตัวในชุดเจ้าสาวซึ่งหม่นหมองพอกันกับเธอ ณ ห้องหับไร้แสงตะวันในคฤหาสน์ บรรยากาศอับลมอันหนักอึ้ง เชื้อรา และฝุ่นคลี่คลุมทุกสิ่งทุกอย่างในห้องที่ดูจะเคยงดงาม และสิ่งที่โดดเด่นอย่างยิ่งในห้องนั้นเห็นจะเป็นโต๊ะยาวอันคลุมด้วยผ้าปูเหมือนกำลังเตรียมจัดงานเลี้ยง ตรงกลางมีวงวัตถุแหยะๆ มุงด้วยหยากไย่ซึ่งกลายเป็นหอประชุมของแมงมุมร่างกระดำกระด่าง นั่นคือเค้กแต่งงานอันเคยเป็นดั่งคำมั่นสัญญาของความสัมพันธ์และชีวิตใหม่ที่น่าจะรื่นรมย์ ทว่าบัดนี้กลับสะท้อนเพียงภาพวิญญาณของใครคนหนึ่งที่ผุพังเสื่อมสลาย กาลเวลาเสมือนว่าหยุดลงที่คฤหาสน์หลังนั้น

มิส ฮาร์วิชแฮม (ซึ่งเสียงคล้ายๆ Have a shame ซึ่ง shame สามารถแปลว่า ความละอายใจ ความอับอายขายหน้า) เป็นลูกสาวของชนชั้นสูงซึ่งเป็นเจ้าของกิจการโรงเบียร์อันเฟื่องฟู เธอมีน้องชายต่างมารดาชื่อ อาร์เธอร์ ซึ่งเป็นลูกของคนครัวกับมิสเตอร์ ฮาร์วิชแฮม พ่อของเธอ

อาร์เธอร์ชิงชังมิส ฮาร์วิชแฮม และโดยทุจริต อาร์เธอร์สมคบคิดกับคอมพ์ซัน (Compeyson) บุรุษผู้ดูสูงส่งแต่ภายนอก หลอกลวงมิส ฮาร์วิชแฮม ด้วยความเท็จว่าคอมพ์ซันรักและจะแต่งงานกับเธอ ทว่าในท้ายที่สุดคอมพ์ซันก็ทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน ด้วยการหลอกลวงนี้ เขาได้ไปซึ่งทรัพย์สินเงินทองส่วนหนึ่งของมิส ฮาร์วิชแฮม และนำกำไรไปแบ่งปันกันกับอาร์เธอร์   

ในวันวิวาห์ล่ม มิส ฮาร์วิชแฮมตระหนักว่าคอมพ์ซันได้สลัดเธอทิ้งแล้วในขณะที่ยังสวมรองเท้าไว้ได้เพียงข้างเดียว เธอได้หยุดนาฬิกาทุกเรือนในคฤหาสน์ของตนเองไว้ ณ จุดเวลาที่เธอรู้ข่าวร้าย และไม่ว่ากี่ปีผ่านไป เธอก็ยังคงใส่ชุดแต่งงานกับรองเท้าข้างเดียวเช่นนั้นเสมอมา 

บาดแผลที่หยุดเวลาเอาไว้

มิส ฮาร์วิชแฮมหยุดนาฬิกาทุกเรือนในคฤหาสน์ของเธอไว้ที่จุดเวลาหนึ่งในวันแต่งงานซึ่งเธอได้รู้ว่าถูกคนรักทรยศ 

บาดแผลทำให้นาฬิกาภายในของเราหยุดลงได้เช่นนั้นจริงๆ เหมือนเวลามีอะไรมาสะกิดแผลเก่าที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา การตอบสนองทางอารมณ์ต่อความเจ็บปวดของเราก็มักจะมีรูปแบบไม่ต่างจากในอดีตตอนที่เรื่องราวเกิดขึ้นเท่าใดนัก พลังงานทางจิตของเราถูกบิดให้เบี้ยวเป็นเสี้ยวส่วนและถูกกั้นกักไว้ในอดีตจึงไม่ไหลลื่น

นอกจากนี้ เรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวดในวันวานยังสามารถทำให้เราใช้วิธีรับมือ (coping) แบบเดิมๆ แม้จะเราโตขึ้นและการกระทำเช่นนี้จะไม่มีประโยชน์แล้วก็ตาม ยกตัวอย่าง เด็กมากมายที่ถูกชิงชังรังแกด้วยเหตุผลต่างๆ ที่จริงๆ ก็ไม่มีเหตุผล เช่น เพราะก๋ากั่นมั่นใจเกินไปหรือเพราะสุภาพเรียบร้อยเกินไป เพราะสดใสเกินไปหรือหม่นหมองเกินไป เพราะผอมเกินไปหรือเจ้าเนื้อเกินไป ฯลฯ ด้วยความเจ็บปวด วิธีการรับมืออย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาพยายามจะไม่เป็นสิ่งนั้นๆ (ที่เชื่อว่าเป็นเหตุที่ทำให้โดนแกล้งหรือหมั่นไส้) และวิธีการรับมือดังกล่าวก็ “หยุดอยู่ที่เดิม” แม้กระทั่งในยามที่เขาเป็นผู้ใหญ่มาหลายทศวรรษกันแล้ว กระทั่งวันหนึ่งพวกเขาก็ได้ยินเสียงเพรียกให้เปลี่ยนแปลง

เช่น คนที่พยายามถ่อมตัวมาตลอดอย่างที่แทบจะลบให้ตัวเองหายไปจากซีนเลย ด้วยรู้สึกเจ็บจากการถูกเกลียดชังเพราะเคยมั่นใจเกินไปในวัยเด็ก วันหนึ่งก็พบว่าตัวเองต้องกลับมามั่นหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นงานบางอย่างก็จะไม่สำเร็จและไม่สามารถรับมือกับบุคคลบางประเภทได้ อีกตัวอย่าง หญิงสาวคนหนึ่งเคยถูกเพื่อนๆ ไม่ชอบในตอนวัยรุ่น โดยเธอเชื่อว่าต้นเหตุเป็นเพราะความสดใสของเธอ เธอจึงทำตัวไม่สดใสเพื่อให้มีเพื่อน แต่วันหนึ่งเธอในวัยผู้ใหญ่ก็รู้ตัวว่าจำเป็นต้องนำความสดใสที่ทิ้งไปกลับคืนมา เพื่อให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างพ้นไปจากวงจรความหดหู่ทึมเทา

หลายคนในวัยประมาณ 20 ปลายถึง 30 กว่าๆ มาเล่าให้ฟังว่าพวกเขาได้กลับไปยังสถานที่ในวัยเด็กซึ่งเรื่องราวรบกวนจิตใจเคยเกิดขึ้นตรงนั้น ได้ยินข้อความซ้ำๆ ว่าพวกเขา “ได้ตัวเองกลับคืนมา” เพราะพวกเขาได้ไป “รวมร่าง” กับคนที่ตัวเองเคยทอดทิ้งไป ณ สถานที่แห่งนั้น และนับแต่วันรวมร่าง พวกเขาก็รู้สึกสดชื่นและมีพลังขึ้นอย่างยิ่ง

ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะพวกเราหลายคนในวัยผู้ใหญ่สามารถมองเรื่องเดิมด้วยมุมมองใหม่ (reframe) และมีแนวโน้มรับรู้เหตุการณ์เก่าๆ ได้หลากหลายมิติกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม บางกรณีการทำเช่นนี้ก็อาจทำให้บอบช้ำซ้ำรอยเดิมหรือเป็นเหยื่อซ้ำ ดังนั้น หากผู้มีบาดแผลอยู่ในกระบวนการบำบัด ในบางกรณีนักบำบัดอาจให้เราจินตนาการถึงภาพในอดีต โดยสำคัญอย่างยิ่งที่ต้อง “ปักหมุดอยู่กับตัวตนปัจจุบัน” ร่วมกับมีเสียงนำของนักจิตบำบัดหรือคนที่สามารถเป็นไกด์การเดินทางภายในให้เราก็ได้ การกลับไปที่เก่าจึงใช้ได้กับแค่บางคนในบางสถานการณ์เท่านั้น

ภาพในใจที่ถูกฉายซ้ำ  

มิส ฮาร์วิชแฮม หญิงผู้มีชีวิตพรั่งพร้อมคนหนึ่งถูกทอดทิ้งไปในวันแต่งงาน สิ่งที่หลงเหลือ คือ ความบาดเจ็บทางจิตใจ ใครก็ตามที่มีแผลใจน่าจะเข้าใจถึงความรู้สึกต่างๆ อันไม่สอดคล้องลงรอย อีกทั้งความรู้สึกถึงตัวเองที่แตกแยกเป็นเสี้ยวส่วนและไร้ความเต็ม เมื่อบาดแผลทางจิตใจยังไม่ได้ถูกเยียวยา เหตุการณ์ที่ทำให้โลกภายในแตกสลายก็อาจถูกฉายซ้ำไปมา เหมือนที่มิส ฮาร์วิชแฮม ใส่เสื้อผ้าและรองเท้าข้างเดียวเหมือนเดิม ปล่อยเค้กแต่งงานให้เน่าทิ้งอยู่ที่เดิม ฉากในคฤหาสน์ดูเหมือนถูกเซ็ตไว้แบบเดิมเพื่อย้ำภาพวันวิวาห์ล่มวันแล้ววันเล่า มิส ฮาร์วิชแฮม ไม่สามารถหลุดออกจากภาพอันปวดร้าวนั้นได้ 

พวกเราเองก็อาจมีบางห้วงเวลาที่เผชิญกับสิ่งกระตุ้นซึ่งดึงเอาความสะเทือนอารมณ์จากเหตุการณ์ในอดีตออกมา หรือแม้แต่เมื่อมีปัญหารบกวนจิตใจธรรมดาๆ ที่ไม่ฉกรรจ์ถึงเพียงนั้นเกิดขึ้น เมื่อจิตใจเรายังไม่คลี่คลายหรือยังแก้ปัญหาบางอย่างไม่ได้ เราก็อาจมีภาพบางอย่างวนไปวนมาในใจเหมือนกัน 

เช่น เราจะฉายภาพอันปวดร้าวหรือภาพปัญหาเดิมๆ วิ่งวนดุจแผ่นเสียงตกร่องที่เล่นท่อนเดิมซ้ำอยู่อย่างนั้น กระทั่งแวบที่ตระหนักว่าเรากำลังฉายภาพซ้ำๆ ของอดีตลงในความคิดปัจจุบัน ภาพนั้นถึงมลายลงได้ หรือบางทีการฉายภาพซ้ำก็ถี่น้อยลงหรือหายไปเมื่อเราย้ายไปอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นชิน  

เดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้น

ดังนั้น หนึ่งในการโพรเซสบาดแผลในจิตใจหรือแม้แต่เหตุการณ์ที่รบกวนจิตใจทั่วไปที่ไม่สาหัสอะไรเลย จึงสามารถไปยังที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงหรือพื้นที่ที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย

เคยได้ยินผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกว่าถ้ามีทุกข์ให้เดินทางข้ามน้ำและทิ้งทุกข์ลงในทะเล อีกทั้งมีรุ่นน้องเคยมาถามว่า พี่เชื่อไหมเวลาหมอดูบอกว่าเดินทางไปต่างประเทศสักพักแล้ววิกฤตชีวิตจะดีขึ้น ส่วนตัวนั้นวิเคราะห์ในอีกแง่มากกว่า นั่นคือการออกจาก routine เดิมๆ เพิ่มความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนความรับรู้ (perception) เหมือนอย่างที่เล่ามาข้างต้นว่าเวลาเรายังแก้ปัญหารบกวนจิตใจไม่ได้ บางทีคนเราจะฉายภาพปัญหาและวิธีแก้แบบเดิมๆ วนไปวนมา โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับบุคคลและสถานที่เกิดเหตุ ภาพเก่าก็ยิ่งจะถูกฉายซ้ำในใจได้มากเป็นพิเศษ   

เพื่อนหลายคนบอกเล่าว่า เวลาอยู่ในวงจรลบแบบเดิมๆ นั้น การเดินทางช่วยให้ออกจากวงจรไปได้ก็จริง แต่บ้างก็บอกว่าแก้ได้แค่ชั่วคราวและส่วนใหญ่ก็บอกว่าต้องออกไปอยู่ที่อื่นแบบมีระยะเวลาสักหน่อย ส่วนบางคนที่เดินทางด้านในมามาก บางทีก็เกิดปิ๊งแวบขึ้นมาแบบสายฟ้าฟาดเพียงแค่เดินผ่านคนแปลกหน้าขากลับบ้าน หรือกับบางคน แม้จะออกไปนอกพื้นที่คุ้นเคยหลายครั้งหลายคราและพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้ามากมาย แต่ก็ไม่ช่วยให้หลุดจากวงจรทุกข์อะไรเลย ทว่าอย่างไรเสีย มันก็ไม่เสียหายที่จะลองออกผจญโลกอื่น

อีกกรณี เราไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปภายนอกจริงๆ แต่เราทำสถานที่ประจำของเราให้แปลกตาออกไป เช่น จัดห้องนอนใหม่ ย้ายโต๊ะทำงานไปทิศอื่น ทาสีใหม่ ขนของออกไปทำให้ห้องโล่งขึ้น ลองเปิดหน้าตาบานที่ไม่ค่อยได้เปิดทิ้งไว้บ้าง ปลูกต้นไม้เพิ่ม เอาน้ำมันหอมระเหยมาวางข้างเตียง ฯลฯ อันนี้ก็ช่วยเปลี่ยนโลกภายในได้เหมือนกัน

เราจึงยังมีความหวังได้เสมอว่า นาฬิกาจะสามารถกลับมาเดินอีกครั้ง ส่วนเค้กเน่าที่เต็มไปด้วยหยากไย่และดวงราก็ถูกเก็บกวาดออกไปได้ แต่ถ้าหากยังไม่หลุดจากวังวนก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกัน เราก็แค่ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นปุถุชน 

อ้างอิง
Great Expectation โดย Charles Dickens
The Impact of Unresolved Trauma on Relationships โดย Robert Johnson 

Tags:

Myth Life Crisisการเยียวยา

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • How to enjoy life
    Empathy Gap: เปลี่ยนการทำร้ายกันด้วยคำพูด เป็นการเรียนรู้ผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    A Beautiful Day in the Neighborhood: เมื่อความแหลกสลายในอดีตมาครอบงำจิตใจ จงปลดปล่อยตัวเองจากความโกรธ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

ครูต่าย ภูมินทร์ ประกอบแสง : ให้แรงจูงใจเปลี่ยนเด็กเทคนิคเป็นนวัตกร
Creative learning
22 April 2021

ครูต่าย ภูมินทร์ ประกอบแสง : ให้แรงจูงใจเปลี่ยนเด็กเทคนิคเป็นนวัตกร

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • ‘สร้างแรงจูงใจให้เด็กลองปฏิบัติ แล้วค่อยสำทับด้วยความรู้ภาคทฤษฎี’ วิธีสร้างการเรียนให้เหล่าเด็กอาชีวะของครูต่าย – ภูมินทร์ ประกอบแสง ซึ่งแรงจูงใจก็มีตั้งแต่ขดลวด แม่เหล็ก และหลอดไฟ ไปจนถึงห้องน้ำอัตโนมัติ
  • “กระบวนการเรียนรู้แบบนี้จะทำให้เด็กเกิดความสงสัย เมื่อสงสัยและอยากรู้เขาจะไปไขว่คว้าหาสิ่งที่เขาสนใจเอามาทำ พอเขาได้ความรู้จากสิ่งที่ทำเขาก็เอามาเล่นกับเพื่อน เขาก็จะรู้สึกว่ามีภูมิกว่าเพื่อน หรือถ้าเจอเพื่อนในห้องที่ชอบเรื่องเดียวกัน เขาก็จะจับคู่กันสนใจเรื่องนั้นไปเลย”
  • การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ขึ้นไปลุยทำผลงาน ให้นักเรียนได้เจอปัญหาอุปสรรค จนหมดยกกลับเข้ามุม ครูต่ายก็ช่วยชี้แนะแนวทางให้นักเรียนกลับไปสู้ใหม่ เป็นรูปแบบการสอนที่สอนไม่หมด ให้เด็กได้ลองเจอและฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยที่ครูจะคอยช่วยเติมความรู้ไปทีละเปลาะ

ทุกๆ นวัตกรรมเกิดได้จากกระบวนการ Design thinking ทว่าทุกๆ Design Thinking ต้องเริ่มต้นจากแรงจูงใจ

แต่ความจริงก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจด้วยตัวเองได้…

การชี้แนะและให้โอกาสจากผู้ใหญ่จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนวัตกร ซึ่งนั่นเองคือสิ่งที่ ภูมินทร์ ประกอบแสง หรือที่เด็กๆ เรียกติดปากว่า ครูต่าย กำลังพยายามทำอยู่

ครูต่าย – ภูมินทร์ ประกอบแสง

จากอดีตเด็กบ้านนอก สู่การพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นนวัตกรผู้สร้างผลงานหลากหลาย (หนึ่งในนั้นคือ Easy Mushroom ชุดเพาะเห็ดขนาดเล็กอัตโนมัติสำหรับครัวเรือน ผลงานในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 3) ปัจจุบันครูต่ายคือ อาจารย์ประจำสาขาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ

วัยวุฒิอาจเปลี่ยนแปลง และบทบาทอาจเปลี่ยนไป ทว่าความเป็นนวัตกรของครูต่ายยังเปี่ยมล้น ทุกวันเขายังคงทำหน้าที่นวัตกร ผู้เพียรสร้างนวัตกรรม…ที่หาใช่เครื่องจักรกลหรือซอฟท์แวร์

หากแต่คือ ลูกศิษย์ในชั้นเรียนของเขาเอง

Empathize & Define : เด็กช่างมีโลกเป็นของตัวเอง

ในยุคปัจจุบัน ที่ระบบอนาล็อกล่มสลาย และถูกแทนที่ด้วยระบบดิจิทัลอย่างเต็มตัว มีการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวางถึงตลาดแรงงาน ที่เด็กอาชีวะจะมีที่ยืนมากมายในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่กำลังพัฒนาไปสู่การใช้ AI – Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น

“เด็กอาชีวะจะมีผลต่อโลกมากในยุคที่ทุกอย่างใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เทคโนโลยีจะยิ่งก้าวต่อไปเรื่อยๆ คนรุ่นเก่าจะค่อยๆ หายไป เด็กรุ่นใหม่จะเติบโตขึ้นมา โดยเฉพาะเด็กที่เรียนศาสตร์เหล่านี้มา เขาจะสามารถเอาไปใช้งานได้จริงๆ จากที่เราเคยมองเทคโนโลยีว่าเป็นเรื่องไกลตัว ทุกวันนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากโดยเฉพาะในเขตเมือง ชนชั้นแรงงานสมัยนี้จะเป็นคนที่เรียนจบ ม.3 ม.6 ส่วนที่จบ ปวช. ปวส. ปัจจุบันไม่ใช่ชนชั้นแรงงาน จะเป็นระดับช่างขึ้นไป”

ทว่าในความเป็นจริง เด็กอาชีวะที่จบการศึกษาจากสถาบัน ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อตลาดแรงงานได้

ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากค่านิยมการเรียนอาชีวะ ที่สังคมไทยยังไม่ให้การยอมรับเท่าการเรียนสายสามัญ ทว่าครูต่ายบอกว่าอีกเหตุผลหนึ่งคือ เด็กอาชีวะขาดแรงจูงใจ!

“ชั่วโมงแรกที่ผมสอน หรือทุกครั้งที่มีเด็กใหม่มาเข้าเรียน ผมจะถามคำถามแรกเสมอว่า ทำไมถึงเลือกมาเรียนช่าง? ก็จะมีคำตอบหลากหลาย ไม่ชอบวิทย์คณิตบ้าง บางคนก็บอกเพราะความขี้เกียจของตัวเองบ้าง”

ในฐานะเด็กอาชีวะเก่า และเคยได้รับแรงจูงใจจากอาจารย์มาก่อน จนได้เข้ามาสู่เส้นทางของการเป็นนวัตกร ครูต่ายจึงถอดบทเรียนของตัวเอง เพื่อนำมาปรับใช้ในการสอนลูกศิษย์

“สิ่งที่ทำให้ผมมาได้ถึงจุดนี้ได้ คือมีอาจารย์หลายท่านสอน ตอนเรียนอาชีวะผมเคยไปทำค่ายกับอาจารย์แล้วเขาบอกให้ผมหัดเป็นผู้นำ ได้เป็นพี่ค่าย ฝึกเป็นวิทยากร พอขึ้นมาเรียนมหาวิทยาลัยก็ทำค่าย E-Camp กับอาจารย์นครินทร์ ศรีปัญญา อาจารย์ที่ปรึกษาที่ดูแลเรา หลังจากนั้นอาจารย์ก็ชวนให้ทำผลงานไปแข่งขันโครงการ Youth’s Electronics Circuit Contest (YECC) ทำเครื่องเพาะเห็ดธรรมดา ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ของเราใช้งานได้จริง อาจารย์ก็บอกให้เอาการใช้งานได้จริงนี่แหละไปสู้กับเขา จนได้รางวัลที่ 2 ระดับประเทศ ถือเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยได้มา ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย เราคิดว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ได้ผลออกมาขนาดนี้”

Ideate : สร้างโลกการเรียนรู้ใหม่…ไม่ใช่แค่ในตำรา 

การสร้างเด็กในพื้นที่ห่างไกลให้เติบโตขึ้นเป็นทรัพยากรบุคคลที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศ จึงเป็นเจตนารมณ์หนึ่งของครูต่าย ที่เขาตั้งมั่นไว้ตั้งแต่เลือกเรียนคุรุศาสตร์ จนกระทั่งจบออกมาและบรรจุที่วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ

“ตอนเลือกเรียนคุรุศาสตร์คิดว่าในอนาคตพอเราโตไปอยากจะสอนนักเรียน อยากจะสร้างนักศึกษาหรือสร้างคนที่เริ่มจากศูนย์ เพราะผมก็มาจากบ้านนอก เป็นเด็กคนหนึ่งที่มองหาโอกาส วิธีการหาโอกาสก็คือการเข้าหาอาจารย์ มีงานอะไรให้ช่วยผมก็ทำหมด พออาจารย์เขาเห็นความตั้งใจของเราเขาก็ส่งเราไปร่วมโครงการต่างๆ”

แต่ก่อนจะไปถึงขั้นแสวงหาประสบการณ์จากโลกภายนอกได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากในชั้นเรียนก่อน จากการถอดองค์ความรู้ตัวเองและประเมินเด็กในชั้น ครูต่ายจึงพยายามที่จะรื้อสร้างกระบวนการเรียนในชั้นเรียนเสียใหม่ จากแต่เดิมที่ต้องเรียนทฤษฎีแล้วไปปฏิบัติ ครูต่ายเลือกที่จะสร้างแรงจูงใจให้เด็กลองปฏิบัติ แล้วค่อยสำทับด้วยความรู้ภาคทฤษฎี

“เพราะผมเคยนั่งเรียนแนวทฤษฎีมาก่อน บอกเลยว่าเบื่อมาก (หัวเราะ) เคยลองให้เด็กแสดงความคิดเห็นเขาก็จะบอกว่า ถ้าอาจารย์ท่านไหนหาอะไรมาให้เล่นเขาจะสนุกมากกว่าที่จะนั่งฟังเฉยๆ เพราะลักษณะของเด็กช่างเขาไม่ชอบการนั่งเรียนทฤษฎีจากหนังสือหรือให้เขียนให้จดเลย จึงต้องหาอะไรมาให้เขาสัมผัส ผมจะเอาของมาให้ดูตั้งแต่คาบแรกเลย หลังจากนั้นค่อยมาอธิบายให้เขาเข้าใจในเชิงทฤษฎีภายหลัง”

เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เด็ก โดยที่หลายๆ ครั้งกระบวนการหรือกิจกรรมก็ไม่ได้อยู่ในแผนการสอน

“บางครั้งก็ไม่ได้สอนตามแผนครับ (หัวเราะ) เพราะตามแผนที่เราส่งจะเป็นตารางการเรียนรู้แต่ละสัปดาห์ แต่หลักการสอนของผมคือการหาแรงจูงใจมาให้เขาดูเพื่อให้เกิดความอยาก สร้างแรงจูงใจโดยการหาอะไรที่เด็กไม่เคยรู้หรือไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นของใหม่ๆ ในยุคปัจจุบันนำมาให้เด็กดู ให้เด็กลองทำ พอได้เจออะไรใหม่ๆ บางคนเขาเกิดความประทับใจ เขาก็จะฝังใจเลยว่าเขาชอบอันนี้ สนใจอันนี้ เขาก็จะขี้สงสัยเรื่องนี้ แล้วคอยถามเราตลอด แล้วไปหาอุปกรณ์มาทำของเขาเอง”

Prototype : รูปร่างของแรงจูงใจ

การสร้างแรงจูงใจให้เด็กนั้น หลายครั้งที่ครูต่ายสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ ไม่กี่ชิ้น ทว่ากลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ

“ผมสอนรายวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่เรื่องการกำเนิดไฟฟ้าเลย เด็กบางคนอาจได้เรียนตั้งแต่ชั้น ม.3 แต่เขาได้เรียนแต่ในหนังสือหรือเห็นภาพวิดีโอที่ครูเปิดให้ดู แต่ของผมจะทำสื่อการสอนสำหรับเด็ก ปวช. ไว้ชุดหนึ่ง เป็นขดลวดพันกับแม่เหล็กแล้วมีหลอด LED หนึ่งหลอด พอใช้มือหมุนหลอดไฟก็จะติด เด็กก็จะสงสัยว่าอาจารย์ใส่ถ่านหรือเปล่า แค่นี้เด็กก็เกิดความว้าว! แล้วว่าแค่ขดลวดกับแม่เหล็กก็ทำให้กำเนิดไฟฟ้าได้”

หรือสำหรับเด็ก ปวส. ครูต่ายก็มีวิธีสร้างความว้าว! ตามวัยวุฒิของเด็ก เช่น การควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยโทรศัพท์มือถือ ครูต่ายจะลงมือทำให้เด็กดูแบบสดๆ จนเด็กเกิดความสนใจ และต่อยอดไปสู่ไอเดียใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี 

“กระบวนการเรียนรู้แบบนี้จะทำให้เด็กเกิดความสงสัย เมื่อสงสัยและอยากรู้เขาจะไปไขว่คว้าหาสิ่งที่เขาสนใจเอามาทำ พอเขาได้ความรู้จากสิ่งที่ทำเขาก็เอามาเล่นกับเพื่อน เขาก็จะรู้สึกว่ามีภูมิกว่าเพื่อน หรือถ้าเจอเพื่อนในห้องที่ชอบเรื่องเดียวกัน เขาก็จะจับคู่กันสนใจเรื่องนั้นไปเลย”

นั่นคือขอบเขตของโลกการเรียนรู้แบบใหม่ที่ครูต่ายพยายามสร้างขึ้นในชั้นเรียน แต่ก็ดังที่เกริ่นไปก่อนหน้า ว่าการได้ออกจากชั้นเรียนไปแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในโลกใบกว้าง ก็เป็นสิ่งที่ครูต่ายเชื่อมั่น และพยายามผลักดันให้นักเรียนของเขาก้าวออกไปเมื่อมีโอกาส ดังเช่น การจุดประกายและผลักดันผลงาน Intelligent Toilet System ระบบห้องน้ำอัตโนมัติ ที่นักเรียนของเขาพัฒนาขึ้นและเข้าร่วมในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 7

“ตัวผลงานนี้เริ่มต้นจากเด็ก ปวส.1 คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาเรียนไม่นาน ยังไม่ได้รู้จักเทคโนโลยีอะไรมากนัก เขาไปเห็นห้องน้ำอัตโนมัติที่ห้างแห่งหนึ่งใน จ.บึงกาฬ แล้วมาถามว่า อาจารย์ครับทำไมห้องน้ำที่วิทยาลัยเราถึงไม่มีแบบนี้บ้าง?”

แต่แทนที่จะให้คำตอบเปล่าๆ ครูต่ายกลับเลือกที่จะสร้างแรงจูงใจให้เด็ก ด้วยการถามกลับไปว่า

“ผมก็ถามกลับไปว่า แล้วอยากทำมั้ย? ให้เป็นโปรเจกต์จบของพวกเรา”

หากขั้นตอน Prototype ในกระบวนการ Design Thinking คือการที่นวัตกรรมแปรรูปไอเดียของตนเองออกมาเป็นผลงานต้นแบบ ครูต่ายในฐานะนวัตกรก็ริเริ่มที่จะแปรรูปประสบการณ์และแนวคิดของตน เพื่อส่งต่อไปพัฒนานักเรียนต้นแบบของเขา ไปพร้อมๆ กับที่ตัวนักเรียนก็ได้พัฒนาตัวเองผ่านการ Design Thinking ระบบห้องน้ำอัตโนมัติด้วยตัวนักเรียนเองอีกชั้นหนึ่ง

“หลังจากนักเรียนมาถาม ผมก็ให้เขาไปสืบหาข้อมูลมาก่อน ว่าในจังหวัดเรามีห้องน้ำแบบนี้ที่ไหนบ้าง รูปลักษณ์หน้าตาของแต่ละที่เป็นอย่างไร ให้ไปทดลองใช้ทุกตัว (หัวเราะ) ไปยืนเก็บข้อมูลว่าที่มีใช้อยู่ในบ้านเราใช้แบบจับเวลากี่วินาที ให้เก็บข้อมูลเพื่อตั้งสมมติฐานก่อน หลังจากได้ข้อมูลแล้ว ผมจึงให้โจทย์ไปว่า ให้ทำห้องน้ำอัจฉริยะด้วยงบไม่กี่พันบาท ซึ่งผมประเมินราคาอุปกรณ์แล้วว่ามันทำได้”

“ที่ตั้งโจทย์แบบนี้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เด็ก เพราะเขาไปเห็นเครื่องแบบนี้ในห้างราคาหลักหมื่น แล้วเงินแค่ไม่กี่พันทำได้แบบนี้เลยเหรอ เด็กก็พากันตื่นเต้นอยากจะทำ เพราะยังไม่เคยมีใครทำอะไรที่สามารถนำมาใช้ได้ในวิทยาลัย เป็นผลงานที่ใช้ในส่วนรวมด้วย เด็กหลายคนที่เดินผ่านแล้วสนใจก็ตื่นเต้นอยากทำกัน เป้าหมายตอนนั้นก็คือ ทำให้ออกมาใช้งานได้”

Test : บททดสอบของครู คือการเติบโตของนักเรียน

ขั้นตอน Test ของครูต่าย ก็คือ การผลักดันให้นักเรียนต้นแบบได้ลองดำเนินกระบวนการพัฒนาผลงานระบบห้องน้ำอัตโนมัติด้วยตนเอง โดยครูต่ายวางตัวอยู่ในบทบาทของที่ปรึกษา ที่คอยช่วยหนุนเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด

“การทำงานของเด็กจะค่อยๆ ไต่เป็นระดับๆ ไป อย่างช่วงแรกหน้าตาของผลงานก็จะเป็นแบบหนึ่ง ตอนทำเป็นโปรเจกต์จบก็หน้าตาออกมาอีกแบบหนึ่ง ตอนแรกตั้งเป้าหมายเพียงแค่ให้ใช้งานภายในแผนก มีการทำแบบสอบถามให้นักเรียนที่ได้ลองเข้าไปใช้งานได้แสดงความคิดเห็น นี่คือเป้าหมายของโปรเจกต์จบ จนได้เข้าร่วมโครงการต่อกล้าฯ ก็เริ่มชวนนักเรียน ปวช. มาร่วมเพิ่มเติม ให้เขาได้ลองทำดูเผื่อว่าจะมีไอเดียอะไรแปลกใหม่”

เปรียบเหมือนเวทีเวทีหนึ่ง ที่ครูต่ายเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ขึ้นไปลุยทำผลงาน ให้นักเรียนได้เจอปัญหาอุปสรรค จนหมดยกกลับเข้ามุม ครูต่ายก็ช่วยชี้แนะแนวทางให้นักเรียนกลับไปสู้ใหม่

เป็นรูปแบบการสอนที่สอนไม่หมด ให้เด็กได้ลองเจอและฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยที่ครูจะคอยช่วยเติมความรู้ไปทีละเปลาะ

“เรื่องระบบต่างๆ เด็กเขาไม่มีปัญหา ปัญหาหลักๆ อยู่ที่การออกแบบเพราะเขายังมองภาพไม่ออกว่ามันควรจะหน้าตาแบบไหน? ควรจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดา? หรือจะวางตำแหน่งท่ออย่างไร? เด็กสามารถวางแผนวางระบบจนสำเร็จพร้อมทำงานได้แล้ว แต่ผมอยากฝึกให้เขาได้คิดออกแบบเอง ให้ลองทำ ให้เจอปัญหาเองก่อนแล้วค่อยๆ บอกทีละขั้นตอน ซึ่งนั่นเองทำให้เจอว่าปัญหาของเขาคือการออกแบบ”

เพราะการชี้แนะจากผู้ใหญ่หรือผู้รู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนวัตกร ครูต่ายที่เคยผ่านจุดนี้มาก่อนจึงพยายามทำหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษาอย่างเต็มที่

“เห็นภาพตัวเองช่วงที่ทำโครงการต่อกล้าฯ (ยิ้ม) ทำเครื่องเพาะเห็ดตอนเรียนปี 2 บอกเลยว่าเหนื่อยมาก เพราะอาจารย์ให้โจทย์มาใหญ่เกินตัวมาก ตัวระบบเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่พอไปถึงเรื่องโครงสร้างเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผม ต้องคอยปรึกษาอาจารย์ตลอด ผมได้เรียนรู้ว่าขีดความสามารถเราเท่านี้ เราต้องมีคนเข้ามาช่วยต่อยอด เราต้องเอาคำแนะนำเรื่องนั้นเรื่องนี้ของผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่านมาแล้วพัฒนาเพิ่มเติมเอง”

และถึงวันนี้ การทดสอบของครูต่ายก็เริ่มเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ จากการที่นักเรียนของเขาเกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนาผลงานให้ดียิ่งๆ ขึ้น ให้ถึงขนาดสามารถจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้

“ที่เห็นคือ เด็กเกิดความอยากที่จะทำต่อให้ขายให้ได้ อยากมีธุรกิจเล็กๆ ของเขาเอง เพราะเวลาไปออกงาน อย่างที่งาน NECTEC มีคนสนใจเข้ามาถาม แล้วจะขอซื้อทั้งตัวฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์เลย เด็กเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมามันขายได้จริงๆ นะ เหมือนจะเป็นสิ่งที่ที่ไหนก็มีขาย แต่ของเราราคาถูกกว่า คนทั่วไปแตะต้องได้ บ้านไหนอยากมีก็สามารถทำได้”

Next Step : แต่ละคนมีก้าวย่างของตัวเอง

แม้จะมองว่า เด็กอาชีวะจะเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันอันใกล้ที่ทุกอย่างล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยี และแม้จะพยายามถ่ายทอดวิชาความรู้ในศาสตร์ของนวัตกรให้แก่ลูกศิษย์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ครูต่ายอยากเห็นจากลูกศิษย์ของเขา ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเติบโตไปเป็นนวัตกรที่มีชื่อเสียง หรือร่ำรวยด้วยการขายนวัตกรรมที่ผลิตสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง…

“การได้เป็นครูสอนเด็กช่างนี่แหละครับคือความภูมิใจของผม เพราะเด็กช่างพวกนี้เขาจะโตไปเป็นอนาคตของชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟที่ทำในบ้าน ช่างไฟที่ทำงานการไฟฟ้า หรือช่างอิเล็กทรอนิกส์ที่ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ความภูมิใจคือเราได้สอนช่างให้เป็นช่าง ถึงไม่ได้เป็นช่าง อย่างน้อยเขาก็ได้เอาความรู้ที่ได้เรียนกับเราไปใช้ประโยชน์”

“อย่างการพาเด็กไปแข่ง สิ่งที่เขาได้มากที่สุดคือ ประสบการณ์ ที่เขาจะไปเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังได้ พ่อแม่จะเกิดความประทับใจในตัวลูก อย่างน้อยครั้งหนึ่งลูกเราก็เคยได้ไปร่วมโครงการ ได้ไปทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นประสบการณ์ของเขา หรือการได้ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ไปเจอโครงการของโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ เขาน่าจะเกิดเป็นแรงบันดาลใจ”

เพราะถึงที่สุดแล้ว มนุษย์หาใช่เครื่องจักรกล และเมื่อขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ก็ล้วนแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล

“สิ่งสำคัญคือ ครูต้องเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย ซึ่งมีความต้องการไม่เหมือนกัน ความสนใจก็ไม่เหมือนกัน นักเรียนในห้อง 20 – 30 คน จะมีแค่บางส่วนที่สนใจเรา และอีกส่วนที่ไม่สนใจเราเลย (หัวเราะ) เราต้องสังเกตพฤติกรรมเขาแล้วแก้ปัญหาให้ได้”

“ตัวอย่างเช่นถ้าเจอเด็กที่เล่นหยอกล้อกันตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กหลังห้อง สิ่งแรกที่จะทำคือย้ายเขามาอยู่หน้าห้อง เขาอาจเกิดความกดดัน แต่ผมจะมองตาเขา พยายามชวนพูดชวนคุย ให้เขาได้ออกมาทำกิจกรรม ได้สัมผัสอุปกรณ์ข้างหน้า พอเขาเกิดความใกล้ชิดกับเรามากขึ้น เด็กคนนั้นจะเปลี่ยนไป พอคาบต่อไปเขาจะความสนใจเรามากขึ้น การสอนครั้งแรกมีความสำคัญมาก เขาต้องประทับใจในตัวเราถึงจะสอนกันไปได้ตลอด แต่ถ้าครั้งแรกเราไม่น่าประทับใจเลยครั้งต่อๆ ไปก็เป็นเรื่องยาก”

นั่นคือแนวทางของนวัตกรผู้สร้างนวัตกร สิ่งสำคัญคือการให้โอกาสและสร้างจูงใจให้เกิดขึ้นกับเด็กให้ได้ หากแต่เมื่อจุดแรงจูงใจติดแล้ว สุดท้ายปลายทางผลงานของเขาจะเลือกเดินต่อในทางไหน เขาก็พร้อมยินดีกับทุกเส้นทางที่ลูกศิษย์ได้เลือกแล้ว

กระนั้นสำหรับตัวครูต่ายเอง การเป็นนวัตกรผู้สร้างนวัตกรอาจยังฟังดูไม่ซับซ้อนพอ เพราะก้าวต่อไปของเขาคือการยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เป็นนวัตกรผู้สร้างนวัตกรผู้สร้างนวัตกร

“ตอนนี้ผมเพิ่งอายุ 25 ปี รู้สึกว่ายังมีอะไรที่ทำได้มากกว่านี้ วันนี้เราสามารถสร้างเด็กขึ้นมาได้ชุดหนึ่ง ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ดำเนินรอยตามเราได้ทุกอย่าง แต่ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาได้แล้ว ในอนาคตผมอยากเป็นผู้บริหารที่สอนครูท่านอื่นให้ไปสอนเด็ก ให้เขามองเด็กให้ออก โฟกัสที่ตัวเด็กให้มากขึ้น แล้วเราจะพบว่า เด็กอาชีวะสามารถทำอะไรได้มากมายเลย” ครูต่ายทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Tags:

นวัตกรภูมินทร์ ประกอบแสงอาชีวะ

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

illustrator

มณฑลี เนื้อทอง

Related Posts

  • Voice of New Gen
    4 เคล็ดลับสู่การเริ่มต้นเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี : ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’
Dear ParentsMovie
21 April 2021

The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • The King’s speech เล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ของคิงจอร์จที่ 6 พ่อของควีนอลิซาเบธที่สอง เจาะประเด็นไปที่การพูดติดอ่างของคิงจอร์จที่เค้าพยายามจะแก้ไขการพูดของตัวเองในที่สาธารณะ คิงจอร์จโดนพ่อกดดันตั้งแต่ตอนเด็กให้พูดให้ชัด พูดให้คล่อง เพราะตำแหน่งหน้าที่ของการเป็นรัชทายาท ท่านโดนคนรอบตัวล้อเลียนการพูดมาตลอดแม้กระทั่งพี่ชายแท้ๆ ก็ล้อ ท่านกลายเป็นคนกลัวที่จะพูด (แถมกลัวพ่อด้วย) ยิ่งโดนกดดันก็ยิ่งพูดไม่ได้ จนมีอาการพูดติดอ่างมาจนโต
  • ‘ไลโอเนล โล็ก’ นักบำบัดการพูดชาวออสเตรเลียให้เข้ามาช่วยเหลือท่าน โล็กเป็นคนที่ใจเย็นมากต่างจากพ่อของเบอร์ตี้ (ชื่อเล่นของคิงจอร์จ) ที่แม้จะหวังดี แต่ก็มีวิธีสอนลูกที่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับเด็ก เพราะพ่อของเค้ามักจะบอกให้เค้า relax ในการพูดด้วยการดุและตะเบ็งเสียงใส่ กลับกันโล็กเป็นคนที่รับฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสินเบอร์ตี้ เค้าบอกกับเบอร์ตี้ว่า ‘ไม่ต้องกลัวสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดันเค้า)ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

Tags:

ภาพยนตร์ปม(trauma)dear parentsเพื่อนThe King’s speech (2010)

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์: ภาพที่เห็น ภาพที่จำ และภาพคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองได้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    Firefly Lane : บางทีเราก็ต้องการใครสักคนที่เชื่อในตัวเรา บอกว่าตัวเราเปล่งประกายและมีคุณค่าได้จากศักยภาพที่ตัวเองมี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep3 : เรียนรู้โลกสีเทาจากนิทานขาว-ดำ ‘ฮันเซลกับเกรเทล’
Early childhood
19 April 2021

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep3 : เรียนรู้โลกสีเทาจากนิทานขาว-ดำ ‘ฮันเซลกับเกรเทล’

เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • นิทานเรื่องนี้มีหลายประเด็นที่อาจสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก หลายช่วงตอนที่มีการใช้ความรุนแรง รวมถึงการตัดสินถูกผิดดีชั่วอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สอดคล้องวิธีการในการเสริมสร้างคุณลักษณะของเด็กยุคใหม่
  • เรื่องราวที่พ่อแม่ไม่มีเงินเลยเอาลูกไปทิ้ง เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้เด็กวัยที่หวาดกลัวการพลัดพราก แม้เด็กโตเกิน 7 ขวบ จะสามารถรับรู้ความเป็นจริงได้มากขึ้น แต่ควรชวนคุยให้เด็กเห็นว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา บางคนอาจเห็นแก่ตัว บางคนคิดไม่รอบคอบ บางคนตัดสินใจผิดพลาด บางคนทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม 
  • ในเรื่องแม่มดและแม่เลี้ยงคือคนเลว ฮันเซล เกรเทล และพ่อเป็นคนดี ขีดเส้นแบ่งสีขาวกับสีดำชัดเจน ความดีความชั่วแยกกันเด็ดขาด อาจเหมาะสำหรับสอนเด็กเล็กเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่เมื่อเด็กโตขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจโลกรอบด้านมากขึ้น ว่าไม่มีใครเลวตลอดเวลา และไม่มีใครดีพร้อมไร้ที่ติ ทุกคนและทุกเรื่องราวล้วนเป็นสีเทาๆ มีทั้งข้อดีและข้อด้อยปะปนกันไป

ฮันเซลกับเกรเทลเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองถูกพ่อนำไปปล่อยป่าด้วยความคิดของแม่เลี้ยงที่จะแก้ปัญหาขาดแคลนอาหาร  รอบแรก ฮันเซลได้ยินแม่เลี้ยงกับพ่อคุยกัน เลยเก็บหินโปรยตามทางระหว่างพ่อพาไปปล่อย และเดินตามก้อนหินกลับมาบ้านได้ รอบที่สอง เกรเทลโปรยขนมปังตามทาง พอนกมาจิกกินหมด สองคนเลยหลงป่า

สองพี่น้องเดินหลงไปเจอบ้านขนมหวานสวยงามน่าอร่อย ปรากฏว่าเป็นบ้านของแม่มด พี่น้องจึงถูกจับขังไว้เป็นอาหาร วันหนึ่ง แม่มดให้เกรเทลช่วยเตรียมเตาเพื่อจะต้มฮันเซล พอแม่มดเผลอเลยถูกเกรเทลผลักตกหม้อตาย สองพี่น้องช่วยกันขนทรัพย์สมบัติของแม่มดกลับบ้าน และอยู่กันสามคนพ่อลูกอย่างมีความสุข โดยที่แม่เลี้ยงได้ตายไปก่อนหน้านั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ฮันเซลกับเกรเทล เป็นหนึ่งในเทพนิยายเยอรมนีที่พี่น้องตระกูลกริมม์รวบรวมไว้เมื่อ ค.ศ. 1812 ต่อมามีการนำมาดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ ทั้งตีพิมพ์เป็นนิทาน จัดทำภาพยนตร์แอนิเมชัน รวมทั้งละครเวที ในมุมมองของ ‘หมอโอ๋’ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นิทานฮันเซลกับเกรเทลมีหลายประเด็นที่อาจสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก และสำหรับเด็กโต มีข้อควรระวังในเรื่องทัศนคติ จำเป็นที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องชวนคุยเพื่อให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้และความเข้าใจที่เหมาะสม

พ่อแม่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่คือคนธรรมดา

สำหรับเด็กเล็ก เรื่องราวที่พ่อแม่ไม่มีเงินเลยเอาลูกไปทิ้ง เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้เด็กวัยที่หวาดกลัวการพลัดพราก คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องทำให้ลูกเชื่อมั่นว่าพ่อแม่จะไม่ทำแบบนั้น เพื่อให้ลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัย 

สำหรับเด็กโตเกิน 7 ขวบ สามารถรับรู้ความเป็นจริงได้มากขึ้น ควรชวนคุยให้เด็กเห็นว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา บางคนอาจเห็นแก่ตัว บางคนคิดไม่รอบคอบ บางคนตัดสินใจผิดพลาด บางคนทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม 

“เราอยู่ในสังคมที่สร้างพ่อแม่ให้เลิศเลอ เราบอกเสมอว่า พ่อแม่ทุกคนรักลูก ทำเพื่อลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ ทำให้หลายคนมีความคาดหวัง แล้วก็ผิดหวัง หลายคนไม่ชอบพ่อแม่ ทำไมพ่อแม่ฉันไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ความเป็นจริงคือ พ่อแม่เป็นคนธรรมดา ซึ่งไม่มีใครดีพร้อม โดยเฉพาะในปัจจุบัน พ่อแม่จำนวนมากมีความไม่พร้อมหลายด้าน ถ้าลูกเข้าใจความเป็นมนุษย์ของพ่อแม่ เขาจะมีเมตตากับพ่อแม่ได้มากขึ้น” 

เมื่อโลกนี้ ไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ

ทุกสิ่งในนิทานฮันเซลกับเกรเทล แม่มดและแม่เลี้ยงคือคนเลว ฮันเซล เกรเทล และพ่อเป็นคนดี นิทานขีดเส้นแบ่งสีขาวกับสีดำชัดเจน ความดีความชั่วแยกกันเด็ดขาด อาจเหมาะสำหรับสอนเด็กเล็กเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่เมื่อเด็กโตขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจโลกรอบด้านมากขึ้น ว่าในความเป็นจริง ไม่มีใครเลวตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครดีพร้อมไร้ที่ติ แต่ทุกคนและทุกเรื่องราวล้วนเป็นสีเทาๆ คือมีทั้งข้อดีและข้อด้อยปะปนกันไป

สำหรับนิทานที่เล่าเรื่องแบบตัดสินขาวและดำ ดีและชั่ว สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังคืออาจทำให้ลูกมีกรอบความคิดแบบมีมายาคติ ซึ่งการตัดสินโลกรอบตัวว่าไม่ขาวก็ดำ จะทำให้ขาดโอกาสในการทำความเข้าใจกับผู้คนและเรื่องราวตามความเป็นจริง เมื่อเห็นคนทำอะไรไม่ดี แล้วตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่ดี ในที่สุดทุกคนจะกลายเป็นคนไม่ดี มีสีดำแปดเปื้อนกันไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง ถ้าวันหนึ่งทำสิ่งที่ไม่ดีก็อาจจะยอมรับตัวเองไม่ได้ ทำให้เป็นทุกข์ 

สิ่งที่ควรสร้างให้เด็กมากกว่าคือ แนวคิดที่เชื่อว่าทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีถูกมีผิด คนที่ใช้ได้ คือ คนที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง

เตรียมตัวดี มีเปอร์เซ็นต์รอด

การที่ฮันเซลเก็บก้อนหินเอาไว้โปรยตามทางในวันที่พ่อพาไปปล่อยป่า ทำให้ในที่สุดแล้ว สองพี่น้องสามารถกลับบ้านได้โดยปลอดภัย เป็นสิ่งที่สามารถชี้ชวนให้เด็กๆ เห็นถึงข้อดีของการคิด วางแผน และเตรียมการล่วงหน้า ว่าจะทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม การคิดล่วงหน้าอาจจะผิดพลาด เหมือนอย่างที่เกรเทลใช้ขนมปังโรยตามทางแต่ลืมคิดไปว่าขนมปังจะกลายเป็นอาหารนก ดังนั้น บางครั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็จำเป็นด้วยเหมือนกัน

นอกจากนี้ ความเป็นทีมเวิร์คเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าสองคนพี่น้องช่วยกันคิดช่วยกันวางแผนเตรียมการด้วยกัน อาจช่วยลดช่องว่าง ป้องกันข้อผิดพลาดได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งเย้ายวน แต่แฝงพิษภัย

บ้านขนมหวานของแม่มด สวยงามและน่ากินเป็นที่สุด ทำให้สองพี่น้องฮันเซลกับเกรเทลพากันเข้าไปหยิบกินจนถูกแม่มดจับตัวไปขังและขุนให้อ้วนเพื่อจะปรุงเป็นอาหาร หมายความว่าของบางอย่าง ถึงจะดูดีชวนให้หลงไหลเข้าไปใกล้ๆ เข้าไปสัมผัสคลุกคลี อาจกลายเป็นกับดักที่ล่อลวงให้ตายใจและมีอันตรายแอบแฝงอยู่  

เนื้อหาในส่วนนี้จึงเป็นประเด็นที่ดี คุณพ่อคุณแม่สามารถชักชวนให้ลูกคิดถึงสิ่งที่ล่อตาล่อใจ แต่มีผลด้านลบ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ได้ยั้งคิดและระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ขนมอร่อย เกมออนไลน์ ฯลฯ

ทำดี อาจไม่มีรางวัล

ตอนท้าย พี่น้องฮันเซลกับเกรเทลฆ่าแม่มด แล้วนำทรัพย์สมบัติของแม่มดกลับบ้านไปด้วย สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่น่าจะชี้ชวนให้ลูกเห็นคือ การเป็นผู้ถูกกระทำหรือโดนรังแก ไม่ได้แปลว่าทำอะไรก็ไม่ผิด ฮันเซลกับเกรเทลถูกแม่มดจับตัวไปขังหวังจะกินให้อร่อย เมื่อสองคนรอดชีวิตมาได้เพราะฆ่าแม่มดตายไป (ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความรุนแรงนิทานเรื่องนี้) การได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อก็ดีมากแล้ว แต่การเอาทรัพย์สินของแม่มดไป แทนที่ฮันเซลกับเกรเทลจะเป็นคนดี สองพี่น้องก็จะกลายเป็นคนขโมยของ หรือถ้าข้าวของเหล่านั้น แม่มดไปขโมยจากคนอื่นมาอีกที ฮันเซลกับเกรเทลก็จะเข้าข่ายรับของโจร

ฮันเซลกับเกรเทลถือเป็นนิทานซึ่งมีเนื้อหาในหลายช่วงตอนที่มีการใช้ความรุนแรง การขู่ให้เกิดความหวาดกลัว รวมถึงการตัดสินถูกผิดดีชั่วอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สอดคล้องวิธีการในการเสริมสร้างคุณลักษณะของเด็กยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เนื้อหาของนิทานสองพี่น้องเพื่อชี้ชวนให้ลูกได้เห็นแง่มุมที่เป็นประโยชน์และเหมาะกับยุคร่วมสมัยได้เช่นกัน

แนวคำถามชวนลูกคิด

  • ลูกว่าเป็นไปได้ไหมที่พ่อแม่จะทำไม่ดีกับลูก อะไรที่ทำให้พ่อแม่ทำแบบนั้น สอนลูกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ว่าพ่อแม่ก็เป็นคนที่มีความผิดพลาด
  • จริงมั้ยที่แม่เลี้ยงทุกคนใจร้าย ในเรื่องแม่เลี้ยงกับแม่มดทำอะไรที่ถือเป็นเรื่องดี เกรเซล ฮันเซล ทำอะไรบ้างที่น่าจะไม่ถูกต้อง
  • ถ้าเป็นลูกจะใช้อะไรทำให้กลับบ้านได้ถูกทาง ถ้านกกินขนมปังถูกนกกินหมดแล้ว คิดว่าจะมีอะไรทำให้เรากลับบ้านได้ไหม เราสังเกตอะไรได้บ้างที่จะทำให้เราไม่หลงทาง
  • ถ้าลูกเป็นเกรเทล จะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะรอดชีวิตได้โดยไม่ต้องฆ่าแม่มด ลูกคิดว่าการเอาสมบัติของแม่มดไปเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือเปล่า ทำไม
  • ลูกว่ามีอะไรบ้างที่ล่อใจ แต่อาจจะมีอันตรายแฝงอยู่ ถ้าเจอสิ่งเหล่านี้ เราจะทำอย่างไร

Tags:

ฮันเซลกับเกรเทลความรุนแรงพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรเลี้ยงลูกด้วยนิทานนิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่า

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Social IssuesMovie
    อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง: อนาคตสีจางๆ ของเด็กไทย ในรั้วโรงเรียนที่ล้อมด้วยอำนาจและผลประโยชน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ PHAR

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life classroomVoice of New Gen
    นิศาชล คำลือ: ถึงอวกาศจะไม่มีอากาศ แต่ทำให้อยากหายใจเพื่อค้นหาดาวดวงต่อไป

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel