Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2020

อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020
Book
30 December 2020

อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020

เรื่อง The Potential

ตั้งแต่ต้นปี 2020 เราผ่านเรื่องหนักหนามาด้วยกันมากมาย ตั้งแต่ฝุ่นควันที่หนักหน่วง กราดยิงโคราช ไฟป่าออสเตรเลีย โควิด-19 (ซึ่งในซับเซตของโควิด-19 คือระบบเศรษฐกิจฝืดเคืองและการเปลี่ยนงานและตกงานของใครหลายคน) รวมทั้งบรรยากาศแห่งขับเคลื่อนทางการเมืองและประชาธิปไตย 

ปีนี้ดุเดือดมากจริงๆ แต่เมื่อผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ หันไปมองรอบๆ เพื่อนข้างตัวที่ยังอยู่ การงานที่ยังอยู่ (หรือได้เปลี่ยนใหม่) สำคัญที่สุด…ตัวคุณเองที่ยังอยู่ ต่อสู้อย่างกล้าหาญเข้มแข็งผ่านมันมาได้(อย่างเต็มที่ที่เราจะทำได้ ณ ขณะนั้นที่สุดแล้ว) 

เพื่อเป็นการขอบคุณและอยากยืนยันถึงการพักผ่อน (ปีใหม่ ทุกคนต้องอนุญาตให้ตัวเองพักนะคะ!) เราชวนคอลัมนิสต์ ผู้คนที่ปรากฎตัวบนหน้าเพจตลอดปีนี้ แชร์กันว่า ในวาระแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ปีใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากปีสุดปัง 2020 สู่ปี 2021 

พวกเขาอยากปันหนังสือเล่มไหนที่เหมาะแกการนอนอ่านสบายๆ จุ่มแช่กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเปลี่ยนปีนี้…กันดี 

ขออนุญาตส่งมอบความรู้สึกดีๆ และคำยืนยันว่า สำหรับทุกคนที่ยังอยู่ พวกคุณเก่งที่สุดเลยค่ะ 

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า ขอให้ทุกท่านได้พักผ่อนสบายๆ พร้อมรับปีใหม่อย่างมีพลัง และขอบคุณที่อยู่กับเราตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เดินหน้าสู่ปีใหม่ และปีที่ 4 ของเรา ไปพร้อมๆ กันนะคะ 🙂 

1

good days
เขียนและวาดภาพ โดย AURA CHERRYBAG

แนะนำโดย: พิมพ์พาพ์ 

“ด้วยความที่ปีนี้เป็นปีที่เครียดๆ เลยอยากเสนอหนังสือที่จะช่วยเพิ่มเติมความสดใสและเหมือนพาเราไปเที่ยว หนังสือเล่มนี้คือหนังสือภาพประกอบผสมงานเขียนเล็กน้อยที่เหมือนเป็นบันทึกความทรงจำของคุณ AURA ตอนไปเรียนศิลปะที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ความโดดเด่นของภาพประกอบเล่มนี้โดยคุณ AURA คือ เค้าได้ใช้เทคนิคสีอะคริลิค ผสมกับการตัดแปะกระดาษ(Collage)ที่มีพื้นผิวกระดาษที่แตกต่างกันไป ภาพส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพของกระจุกกระจิก อาหาร ดอกไม้ ผู้คน ที่ดูแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น มีความสุข แค่ดูภาพและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็เพลินใจแล้ว และในเมื่อปีนี้เรายังไปเที่ยวไหนไกลไม่ได้ เลยอยากชวนทุกคนให้ลองพักจากความจริงตรงหน้าแล้วออกไปเที่ยวออสเตรเลียผ่านมุมมองของคุณ Aura กัน”

อ่านงานของพิมพ์พาพ์ คลิก

2

milk and honey น้ำผึ้งซ่อนขม น้ำนมซ่อนคาว
เขียน: รูปี กอร์ / แปล: พลากร เจียมธีระนาถ

แนะนำโดย: มะขวัญ วิภาดา แหวนเพชร

ปีนี้มันหนักมาก เหนื่อยมาก อกหัก เจ็บ อ่านเล่มนี้เหมือนมีเพื่อนที่ไพเราะ

ฟังพอดแคสของมะขวัญ Life Classroom

3

วะบิ ซะบิ แด่ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
เขียน: เบท เคมป์ตัน
แนะนำโดย: เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ 

“เคยเป็นไหมคะ ที่ทุกวันนี้ เรารีบเร่ง กดดัน บังคับตนเอง เพื่ออะไรบางอย่าง บางอย่างในที่นี้อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิต หรือชื่อเสียงเงินทอง หรืออะไรก็แล้วแต่ จนชีวิตมันรู้สึกหนัก นีทเองเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งได้มาอ่าน หนังสือเล่มนี้ “วะบิ ซะบิ” ที่ทำให้นีทกลับมาค่อยๆ ประนีประนอมกับชีวิต ใช้ชีวิตให้ช้าลงอย่างมีคุณภาพ หยุดกดดันตนเอง ค่อยๆ กลับมาสร้างตนเองให้มีความสุขในแทบจะทุกๆ จังหวะของชีวิต พาตนเองมาเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งความไม่เที่ยง ทั้งความไม่สมบูรณ์แบบ พาตนเองค่อยๆ ยอมรับทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ พาตนเองค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พาตนเองมาชื่นชมทั้งความสำเร็จและล้มเหลว จนรู้สึกว่า ตนเองคือคนใหม่ที่ค้นพบความงามของความไม่สมบูรณ์แบบ 

“ใครที่รู้สึกว่าใจมันหนัก ลองมาปล่อยตัว ปล่อยใจกับหนังสือเล่มนี้กันนะคะ”

อ่านบทความของคุณเบญจรัตน์ คลิก

4

ดิสโทเปียไม่สิ้นหวัง: ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและการเมืองโลก
ผู้เขียน: สรวิศ ชัยนาม
แนะนำโดย: อรรถพล ประภาสโนบล
 

“หนังสือเล่มนี้ได้บอกเล่าความหดหู่ ความเจ็บปวด การต่อสู้ หรือแม้กระทั่งความคุ้นชินที่แสร้งว่ามันปกติในโลกอันบิดเบี้ยวที่เรียกว่าดิสโทเปีย แม้จะเป็นเรื่องราวสมมติจากภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม แต่ผู้เขียนกลับตีความรายละเอียดต่างๆ จนทำให้ผู้อ่านอย่างเรารู้สึกว่ามันคือโลกปี 2020 อย่างไม่ต้องสงสัย 

“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออ่านจบลงแล้ว หนังสือไม่ได้มอบความสิ้นหวังให้ แค่มันบอกกับเราว่าใน ปี 2021  คือจุดเริ่มต้นความหวัง”

 อ่านงานครูพล-อรรถพล ต่อ คลิก

5

Letter to Sam จดหมายถึงแซม
Daniel Gottlieb
แนะนำโดย: ณิชากร ศรีเพชรดี 

“งานเขียนจากคุณตา ดร.นักจิตบำบัด ซึ่งพิการเป็นอัมพาตที่แขนและขา ถึงหลานชาย -แซม ที่เป็นออทิซึมอ่านในวันที่เค้าโตขึ้นแล้วอาจ ‘รู้สึก’ ว่าตัวเองแตกต่างไม่เหมือนคนอื่น เราอ่านเล่มนี้ยังไม่จบเลย คืออ่านไปครึ่งนึงและก็ยั้งใจไว้ว่าเราจะเก็บไปอ่านรวดเดียวในวันสิ้นปี เพราะเนื้อหาในจดหมายของคุณปู่เหมาะกว่าที่จะต้องนั่งนิ่งๆ ปล่อยตัวให้สบายและไม่กังวลถึงภาระเงื่อนไขในชีวิตอันเป็นผลพวงของปีที่ผ่านมา และจะดำเนินต่อในปีต่อไป 

“จดหมายของปู่ไม่ได้บอกให้แซมลุกขึ้นมาคิดบวกหรือเชื่อว่าตัวเองไม่แตกต่าง และแม้ปู่จะเป็นนักจิตบำบัดที่น่าจะมีทฤษฎีอะไรมากมากมายมาสอนคนอ่าน เปล่า ปู่ไม่ได้ใช้ทฤษฎีเลย แต่ปู่เล่าเรื่องตัวเอง ความรักของตัวเอง ความล้มเหลวในชีวิต ความพิการ ความกลัวในฐานะมนุษย์ที่ต้องการความสมบูรณ์และดูดีอยู่เสมอ พาไปตรวจสอบความกลัวในฐานะคนที่มีบาดแผลจากครอบครัวและการกดดันของสังคม อ่านไปแล้วก็ลืมว่าคุณปู่เขียนให้แซมอ่าน แต่เหมือนว่าเรานี่แหละคือ ‘แซม’ ที่คุณปู่กำลังเขียนถึง

“ถ้าจะมีเล่มไหนที่ช่วยกู้พลังชีวิตเหมือนนั่งคุยกับคุณปู่ใจดี (ที่เราไม่มีในชีวิตจริง) ที่ผ่านชีวิตมามากจนรู้แล้วว่าความไม่สมบูรณ์และบ้าบอของชีวิตคือของขวัญ เล่มนี้เราแนะนำมากเลยค่ะ คิดว่ามันกำลังช่วยสร้างความเข้มแข็งและกล้าหาญให้เราตุนไว้ใช้ในปีต่อไปด้วยนะ” 

อ่านเรื่องของณิชากรต่อ คลิก

6

เจ้าสาวแห่งทางสายไหม: วัฒนธรรมแห่งความรักของเอเชียกลาง
ผู้เขียน: คาโอรุ โมริ
แนะนำโดย: พงศ์มนัส บุศยประทีป

“ปีใหม่นี้เราอาจจะไปเที่ยวเมืองนอกไม่ได้เพราะโรคระบาด แต่เราค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่งดงามรอบโลกได้เสมอผ่านทางหนังสือ

“เจ้าสาวแห่งทางสายไหม เป็นการ์ตูนที่มีฉาก คือ เมืองพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียและยุโรป เช่นในประเทศคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซสถาน เป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นงดงาม พาเราไปพบวัฒนธรรมแปลกตา อย่างเรื่องของการสร้างบ้าน การปักผ้า อาหาร การเลี้ยงและล่าสัตว์ จนถึงเรื่องสงคราม แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือวัฒนธรรมและมุมมองด้านความรักและการแต่งงานที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจในแต่ละท้องที่

“เป็นการ์ตูนที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เนื้อเรื่องที่เข้มข้นทั้งสุขและทุกข์ท่ามกลางชีวิตที่เรียบง่าย อาจทำให้เรามองเห็นแง่มุมของความสุขในแบบใหม่ต้อนรับปีใหม่นี้ก็ได้” 

อ่านงานของคุณพงศ์มนัส  คลิก 

7

ศิลปะ แห่ง อำนาจ
ผู้เขียน: ติช นัท ฮันห์
แปล: พระจิตร์ ตัณฑเสถียร และสังฆะหมู่บ้านพลัมประเทศไทย
แนะนำโดย: สัญญา มครินทร์ 

“ในปีที่ผมอึดอัดกับการบริหารของเหล่าผู้มีอำนาจทั้งระดับเล็กในรั้วโรงเรียน ชุมชน จนระดับใหญ่ไปถึงผู้มีอำนาจบริหารประเทศ ผมหยิบหนังสือเล่นนี้มาอ่านอีกครั้ง ในช่วงที่เราตั้งคำถามกับนิยามของคำว่า “อำนาจ” ในหลากหลายมิติ หนังสือเล่มนี้ชวนให้เราได้กลับมาตั้งคำถาม และสำรวจ ตรวจครวญ กับ อำนาจภายใน ด้านจิตวิญญาณผ่านประสบการณ์ เรื่องราวชีวิตจริง ของบุคคลหลากหลาย วัย เชื้อชาติ อาชีพ

“อ่านไป ก็ได้ใคร่ครวญ สังเกต สำรวจอำนาจในใจของตนเองไปด้วย  จนเบาใจ และมีกำลังใจ แบบสัมผัสถึงพลัง และอำนาจในใจของเรา ได้จริงๆ

” ‘อำนาจภายใน’ ที่อยู่เนื้อ ในตัว อยู่ตรงหน้า อยู่ปัจจุบันขณะ อำนาจทางจิตวิญญาณ ที่เราไม่ค่อยได้ ใส่ใจ เพราะมัวแต่หลงใหล กับ ‘อำนาจภายนอก’ ชื่อเสียง เงินทอง บริวารฯลฯ

“อำนาจที่เรามีมันอยู่แล้ว เพียงแค่เราช้าลง และกลับมาปลุกพลังอำนาจนี้ ให้ตื่นอีกครั้ง และคอยเฝ้าดูแล บำรุง ด้วยการสร้างการตื่นรู้ ด้วยการรู้สึกตัวถี่ๆ ในวิถีชีวิต กับปัจจุบัน เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ความศรัทธา ไต่ระดับ ไปจนเป็นความเพียร มีสติ มีสมาธิ และเกิดปัญญา ที่ทางพุทศศาสนาเรียกว่า “พละ 5” นั้นเองที่เป็น อำนาจแท้ ที่ผู้เขียนให้ความหมาย ของคำว่าอำนาจคือสิ่งใด 

“ชวนผู้อ่านกลับมา สำรวจ และปลุกพลังแห่งอำนาจ และกลับมาสำรวจ การใช้อำนาจ อย่างมีศิลปะ สู่การค้นพบความสุข และอิสรภาพทางใจ ในทุกปัจจุบันขณะ กับหนังสือ”

ฟังพอดแคสต์ของครูสัญญา: ข้างๆ ครูคูล

8

ความไม่เรียบของความรัก
ผู้เขียน: ฮิโรมิ คาวากามิ
แนะนำโดย: ณัฐชานันท์  กล้าหาญ

ความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเรียบอยู่แล้ว แต่จะง่ายไหมคืออีกเรื่อง

 90% ของมนุษย์ที่พบเจอกันอาจจะบอกว่ามันไม่เคยง่ายแต่ซับซ้อน และในความซับซ้อนนั้นมีความงดงามซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดเสมอ ความไม่เรียบของความรักคือรวมเรื่องสั้นของฮิโรมิ คาวากามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่นที่สอดกลิ่นอุ่นซ่อนขม สอดไส้เปรี้ยวแบบองุ่นหวานเข้าไปในตัวละครที่ถ้าอ่านละเอียดจะพบความเป็นชายขอบและความอุ่นใจเหมือนพายอบใหม่ของความรักเสมอ

 ทุกคนล้วนมาพบเจอกันด้วยเรื่องราวในชีวิตประจำวัน จากการเดินทางไกลในหน้าที่การงาน บทสนทนากิจกรรมปลดเปลื้องผ้ากันเปื้อนในห้องครัว หรือในบ้านฉันท์สามีภรรยา ฤดูกาลของความปวดร้าวไม่ได้แปรตามความร้อนหนาว แต่พัดพามาในอารมณ์ที่ทำให้ผู้อ่านกลายเป็นหมอและผู้ป่วยปางตายในหลายครั้ง ที่สำคัญคือมันแตกร้าวและสวยงามอย่างเงียบๆ ในขณะที่เรากำลังตื่นนอน รูดม่าน ปั่นจักรยาน หรือตักแกงค้างคืนใส่จาน

ความไม่เรียบของความรักผลักให้ผู้อ่านไปอยู่มุมห้องและปลอบว่าไม่เป็นไร เราอยู่มุมห้องนี้มานานแล้ว หรือภูมิต้านทานต่ำมากเกินไปเราจึงมาอยู่ตรงนี้ ตัวหนังสือในทุกเรื่องจะไม่โกหกว่าความเจ็บปวดไม่มีอยู่จริง แต่คลี่ให้เห็นว่าความรักอิงแอบอยู่ตรงไหนบ้าง การมองเห็นมันและทำความเข้าใจไม่จำเป็นต้องคร่ำครวญหรือโบยตีอย่างหนักเสมอไป 

บางครั้งมันคือการจ้องมองมันอย่างเงียบเชียบ รักและเจ็บให้เรียบที่สุดโดยที่ผู้รักและผู้ไม่รักไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

อ่านงานของ ณัฐชานันท์  กล้าหาญ คลิก

Tags:

หนังสือความสัมพันธ์ปีใหม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ: เมื่อโจทย์ของชีวิต ซับซ้อนกว่าปัญหาคณิตศาสตร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • lonely-cover (1)
    Book
    คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อใคร: ถึงฉันจะโดดเดี่ยว แต่ก็ยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ดี

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
How to get along with teenager
30 December 2020

ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • “กับคำถามที่ว่าศิลปะบำบัดกับวัยรุ่นจะทำงานด้วยกันอย่างไร ในปัจจุบันการทำงานไม่ได้อยู่แต่ในโรงพยาบาลแล้ว และวัยรุ่นเดินเข้ามาหานักศิลปะบำบัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องการจัดการอารมณ์อย่างเดียว ในสมัยก่อนที่ทำงานอาจจะมีเด็กที่มีภาวะอื่นๆ ด้วย เช่น เด็กพิเศษ หรือเด็กที่ต้องการการดูแลในเรื่องของอารมณ์หรือสมาธิ แต่ปัจจุบันเราสัมผัสได้ถึงเด็กปกติทั่วไปแต่มีเรื่องของโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาตลอดทั้งปีจะเจอกับเคสลักษณะนี้ ทำให้มีความสนใจส่วนตัวอยากจะเล่าให้ผู้ฟังได้รับฟัง”
  • สนทนากันต่อ ครูมอส-อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด เรื่อง ศิลปะบำบัดกับวัยรุ่น ‘ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด’
ภาพถ่าย: จรรสมณท์ ทองระอา

วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังค้นหาตัวเอง เปรียบเหมือนน้ำที่มีตะกอนขุ่นมาก รอวันตกตะกอนและชัดเจนกับตัวเอง ซึ่งกระบวนการศิลปะบำบัดนอกจากจะช่วยให้วัยรุ่นค้นพบตัวเองแล้วยังสามารถเยียวยาจิตใจ เชื่อมโยงเขาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง  ช่วยเติมเต็มจิตวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์จากภายใน

โจ้ – กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential  สนทนาในประเด็นนี้กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด ใน Podcast รายการ “ในโลกวัยรุ่น” Ep 3 ตอน ศิลปะบำบัดกับวัยรุ่น “ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด”

สามารถรับฟังทาง Podcast คลิก
หรืออ่านบทความตอนแรก เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี

 จุดเริ่มต้นที่วัยรุ่นเข้ามาที่ห้องศิลปะบำบัดคืออะไร ?

หลายๆ คนเห็นผมทำงานกับเด็กถึงผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมีอีกวัยนึงที่น่าสนใจมากๆ เป็นวัยที่ต้องการการดูแลและได้รับความช่วยเหลือ ปัญหาของวัยรุ่นแต่ละช่วงเวลามากน้อยแตกต่างกัน ในช่วงแรกน่าจะเป็นเรื่องของการจัดการอารมณ์ อาจมีเรื่องของความรุนแรงในชั้นเรียน สำหรับตัวศิลปะก็สามารถตอบโจทย์ได้ดี ศิลปะเป็นอีกด้านที่สามารถทำให้เขาได้รับความนุ่มนวล หรือมีพื้นที่ที่ให้เขาได้จัดการกับสภาวะทางอารมณ์นั้น 

กับคำถามที่ว่าศิลปะบำบัดกับวัยรุ่นจะทำงานด้วยกันอย่างไร ในปัจจุบันการทำงานไม่ได้อยู่แต่ในโรงพยาบาลแล้ว หันมาอีกทีตอนนี้ทำไมวัยรุ่นเดินเข้ามาหานักศิลปะบำบัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาเรื่องการจัดการอารมณ์อย่างเดียว ในสมัยก่อนที่ทำงานอาจจะมีเด็กที่มีภาวะอื่นๆ ด้วย เช่น เด็กพิเศษ หรือเด็กที่ต้องการการดูแลในเรื่องของอารมณ์หรือสมาธิ แต่ปัจจุบันเราสัมผัสได้ถึงเด็กปกติทั่วไป แต่มีเรื่องของโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาตลอดทั้งปีจะเจอกับเคสลักษณะนี้ ทำให้มีความสนใจส่วนตัวอยากจะเล่าให้ผู้ฟังได้รับฟัง

ส่วนคำถามที่ว่ายุคของเราคือสีอะไร ในช่วงเวลานี้ยุคของเราอยู่ในช่วงเปรียบได้กับยุค ‘บลูโทน’ (Blue Tone)  ซึ่งช่วงนี้กินเวลานานพอสมควร 2,000 ปี สีน้ำเงินโทนนี้ไม่ใช่สีน้ำเงินทั่วๆ ไป แต่เป็น Indigo หรือสีคราม แต่ที่สำคัญคือ ถ้ามีสีน้ำเงินมากเกินไป ไม่สามารถผสมกับสีอื่นได้ง่ายนัก เป็นสีที่ค่อนข้างหนัก เก็บตัว มีความกดดัน รวมถึงมีภาวะของความเศร้าอยู่ด้วย อันนี้พูดถึงประวัติศาสตร์สี แต่กว่ามันจะมาเป็นสีน้ำเงิน ต้องเดินทางผ่านข้ามหลายสี เพราะฉะนั้นสีแรกๆ คือ สีมาเจนต้า (Magenta) สีม่วงแดงคือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยมนุษย์ ในฐานะนักศิลปะบำบัดเราก็ได้อ่านเรื่องนี้มา ซึ่งเมื่อเทียบกับสังคมในปัจจุบันก็มีลักษณะคล้ายๆ กับสีบลูโทนนี้อยู่ สภาพของสังคมจะมีลักษณะเดี่ยวมากกว่ากลุ่ม จากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากยิ่งขึ้น เราได้รับอิทธิพลต่างๆ เช่น สื่อ การเลี้ยงดู และสภาพของการแข่งขัน

เพราะฉะนั้น เด็กที่เดินเข้ามาตรงนี้ เท่าที่เคยได้พูดคุย จะเป็นเด็กที่ขาดความเคารพในตัวเอง หรือขาดความรักในตัวเอง หลายๆ เคสจะเดินไปในเส้นทางที่พยายามฆ่าตัวตาย แต่ประเด็นนั้นไม่สำคัญเท่ากับผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างเขาได้ยื่นมือ หรือทำความเข้าใจเขาอย่างไร รวมทั้งเพื่อน ๆ หรือครูในชั้นเรียนที่ถ้ามีโอกาสได้สัมผัสเด็กในลักษณะนี้ เราจะให้ความช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ปกครองเดินเข้ามาหาศิลปะบำบัด นั่นหมายถึงว่าเขาน่าจะมีชุดความเข้าใจอย่างนึงว่านอกจากการดูแลรักษาในวิธีการต่างๆ แล้ว ศิลปะมันคงมีพลังบางอย่างที่สามารถช่วยทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น อย่างที่พูดกันตอนต้นว่า เราพูดถึงสีสันในวัยรุ่น คือสีสันอื่นมันหายไป เพราะสีน้ำเงินมันทำงานมากเกินไป

น่าสนใจมากที่สีของวัยรุ่นไม่ได้มาจากภายในอย่างเดียว แต่มาจากสังคมวัฒนธรรมและยุคสมัยด้วย

สังเกตไหมว่าสังคมรอบข้างส่งผลกับเรายังไง แต่ก่อนที่จะไปถึงเด็ก เด็กเหล่านี้ก็ผ่านคนสำคัญมา ก็คือครูและพ่อแม่ เพราะฉะนั้นมันเป็นอิทธิพลของกันและกันด้วย

ทีนี้ศิลปะบำบัดกับวัยรุ่น ความน่าสนใจคือการเติมสีสันให้เขา เพราะลักษณะผลงานของเด็กที่เดินมาทำศิลปะที่สตูดิโอ เขาจะใช้ชาโคล (Charcoal) แท่งถ่านมาสร้างสรรค์ผลงาน ลักษณะของแท่งถ่านมันจะไม่ใช่ก้านกิ่ง แต่เหมือนกิ่งลำไยหนาระดับนึง เขาได้ทำงานกับชาโคลลงบนกระดาษ สิ่งที่เห็นชัดอย่างนึงคือ เขาสว่างมากเกินไปในรูป เราอาจจะคิดว่าในลักษะของกลุ่ม Depressed  จะเป็นภาพมืดๆ หรือหนัก แต่ในหลายๆ กรณี รูปของเขามีความจ้ามากจนไม่มีน้ำหนักอื่นๆ ซึ่งมันเป็นลักษะที่บ่งบอกว่ารอยต่อของระบบคิดของเขาขาดสมดุล เช่น เวลาคนที่ออกจากความคิดไม่ได้ การทำงานของระบบความคิดของเขาจะถูกใช้งานอย่างหนัก เช่น การนอนไม่หลับ มีปัญหาเรื่องของการทานอาหาร การย่อยอาหาร เพราะฉะนั้นในรูปวาด สิ่งที่จะเห็นได้คือเรื่องของแสงด้วย สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือ เราจำเป็นจะต้องเติมสีเข้าไปในการทำงานระหว่างเขากับเรา

มีกระบวนการอย่างไรในการช่วยเติมสีสันเข้าไป ?

หลังจากชาโคลได้แสดงความสว่างของรูปแล้ว เรากลับมาทำงานกับสีน้ำ นอกจากสีน้ำเงิน เราจะพบสีเทอร์ควอยซ์ (Turquoise) ในภาพวาดเขา ซึ่งกระบวนการที่สำคัญคือ เขาจะต้องมีความหนักแน่นและมั่นคง  การทำงานของศิลปะสำหรับเด็กเหล่านี้ก็คือดิน จำเป็นจะต้องมีดินที่มั่นคง และมีแสงสว่างที่นำทางในการทำงานกับภาพของเขา ในประเด็นที่คุยกัน เช่น ถ้าภาพนั้นมืดมาก เราจะเติมแสงสว่าง และชิ้นไหนที่สว่างจนเกินไปก็จะเพิ่มความเข้มให้ เช่นการเติมดิน เพื่อให้รูปนั้นมีแผ่นดินอยู่ อันนี้คือมุมของการทำงานระบายสีกับกลุ่ม Depressed

อีกด้านที่เราจะเห็นได้คือ ความเปลี่ยวเหงา คือภาพที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย เพราะฉะนั้นต้องเพิ่มความมีชีวิตชีวาลงไป แต่ว่าไม่ใช่แค่สี เราพูดถึงสัตว์ต่างๆ รวมทั้งพืช และดอกไม้สัก 2-3 ดอก เพื่อให้รูปมีพลังมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นในการทำงานของเคส Depressed  มีความซับซ้อน ยากและใช้เวลา เพราะเขายืนอยู่บนสีน้ำเงินเข้ม ต้องใช้เวลาในการพาเขาออกมา อาจจะมีบางครั้งที่เขาเดินกลับเข้าไปและเดินออกมา เพราะฉะนั้นการทำงานกับวัยรุ่นจริง ๆ เราต้องเข้าไปช้อนพลังชีวิตของเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่เดินออก เช่น เด็กหลายคนไม่อยากไปโรงเรียน ไม่มีพลังใจที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร เพราะฉะนั้นความหมายของศิลปะ นอกจากพูดถึงสีสันแล้ว เรายังพูดถึงพลังชีวิตอีกด้วย

ก็คือศิลปะจะเข้าไปเติมสีสันให้กับชีวิตวัยรุ่นมากขึ้น ?

ใช่ แต่ก่อนที่ดินที่แห้งแล้งจะถูกเติม เราต้องไปทำงานกับปุ๋ยก่อน เพราะดินจะต้องมีอาหารก่อน พลังชีวิตเป็นจุดที่สำคัญของการเริ่มต้นต่อการทำงาน การได้ชวนน้องๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำอะไรเลย แล้วได้ลงมือทำ มันเป็นการขยับก้าวที่ 1 เป็นผลของความสำเร็จแรก ส่วนจะทำได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างเขากับนักบำบัด ซึ่งพ่อแม่หลายๆ คนอาจกังวลว่าลูกจะทำได้ไหม เพราะเวลาพ่อแม่ชวนทำงานหรือทำกิจกรรมอะไรเขาจะปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุยต่อจากนี้จะเป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบอกกับพ่อแม่หลายๆ คนที่มีลูกเป็นวัยรุ่นว่า เราไม่ต้องไปบังคับให้เขาทำศิลปะ จริงๆ แล้วพ่อแม่เองที่เป็นคนทำศิลปะ วัยรุ่นจะคิดว่าพ่อแม่ชอบบังคับให้ทำนี่นั่น แต่เมื่อพ่อแม่เป็นคนทำเอง เขาจะมองพ่อแม่และหันมาทำตามตัวอย่างได้เอง เพราะเราไม่สามารถไปบังคับเขาได้ แต่เราต้องให้การตัดสินใจเป็นของเขาและให้พื้นที่ที่เขาอยากจะลุกขึ้นมาทำด้วย

กระบวนการศิลปะบำบัดเชื่อมโยงเข้าไปสู่ชีวิตจริงของวัยรุ่นได้อย่างไร และส่งผลอย่างไรกับโลกจริงของเขา ?

จากตัวอย่าง จริงๆ แล้วเรามองย้อนกลับไปในรูปวาดของเขา เราอาจจะพบว่ามีตัวละครบางตัวที่ไม่ได้อยู่ในโลกจริง แต่เป็นโลกเสมือน ก็คือตัวการ์ตูน เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในรูปของเขา เมื่อเขาได้ทำงานศิลปะของตัวเอง นักศิลปะบำบัดก็จะช่วยพาเขาเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง อย่างเช่น วัยรุ่นอายุ 13-14 ปีจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ในช่วง 1-9 ปี เขาไม่ได้สนใจว่าเขาจะวาดรูปสวยหรือไม่สวย พอ 9 ปีขึ้นไปเขาจะบอกว่า เขาวาดรูปไม่สวย แสดงว่าเขาเริ่มแยกความแตกต่างออกมาชัดเจนขึ้น และส่งผลไปถึงวัยรุ่นที่ต้องได้รับการดูแลเพราะยังวาดรูปที่มีความฝันอยู่ข้างใน (Dream State) นั่นหมายถึงตรรกะของตัวละคร แสง และความเป็นจริงในกระดาษยังไม่มี และนักศิลปะต้องทำงานด้วยการพาเขาเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ปกติแล้วเวลาวาดต้นไม้เราจะวาดจากรากขึ้นไปสู่กิ่งใบ นั่นแปลว่าเป็นการวาดที่สัมพันธ์กับความเป็นจริง แต่เด็กที่มาบำบัดจะทำตรงกันข้าม เช่น วาดยอดไม้ลงมาถึงด้านล่าง ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจของศิลปะ

พื้นฐานที่อยู่ในเนื้อในของศิลปะคือ ธรรมชาติ ส่วนใหญ่คนที่ขาดความสมดุล หรือในช่วงวัยที่ควรจะมีเหตุและผล ถ้าวัยรุ่นขาดสิ่งเหล่านี้ เราจำเป็นต้องให้ภาพของความเป็นจริงและนำทางไปยังรายละเอียดที่ถูกต้องให้กับเขาได้ เช่น ถ้าอยากจะวาดต้นไม้ เราอาจจะต้องวาดดินก่อน เพราะต้นไม้โตจากดิน นี่คือเหตุผลว่าทำไมศิลปะบำบัดจึงช่วยเขาได้

นอกจากนั้นในความหมายของศิลปะ เรามีความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ เช่น เราวาดต้นไม้ แสดงว่าเราเคารพในต้นไม้ และเราจะเติบโตแบบต้นไม้ (Upright) เราวาดภูเขา เราได้รับความหนักแน่นของภูเขา ถ้าเราวาดสัตว์ สัตว์หลายๆ ชนิดมีชีวิตชีวา เพราะฉะนั้นในศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญาจึงให้ความสำคัญกับการวาดอะไรลงไปในกระดาษ ซึ่งมี 2 คำที่ชอบมากคือ โลกที่อยู่ในกระดาษคือ Microcosmic ส่วนสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าคือ Macrocosmic แปลเป็นไทยคือ จักรวาลน้อย เมื่อเราวาดรูปบนกระดาษ นั่นหมายถึงเราทำงานเชื่อมโยงกับสปิริต (Spirit) ต่างๆ ไม่ว่าเป็นสัตว์ ต้นไม้ หรือธรรมชาติ

สิ่งที่สำคัญก็คือเราพยายามเชื่อมโยงให้เด็กที่ขาดความสมดุลในปัจจุบันกลับมาเชื่อมโยงกับความเป็นจริง และยังมีเรื่องของมุมมอง (Perspective) ด้วย เช่น เมื่อเราก้มดูโทรศัพท์ เราก็มีมุมของการมองโทรศัพท์อีกแบบนึง แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้มันมากเกินไป เราก็จะมีมุมมองต่อมันอีกแบบนึง ในภาพวาดจึงมีรายละเอียดเหล่านี้ให้วัยรุ่นได้รู้ตัวว่า ขณะที่เขาวาดภาพ ดวงอาทิตย์เขาอยู่ตรงไหน และในสนามหญ้ามันมีเงาทอดไหม เราสามารถบอกได้ว่าในเด็กกลุ่มที่อยากจะถอดตัวออกจากโลก คือกลุ่มที่ขาดความรัก โดยเฉพาะความรักในตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้นงานที่จะช่วยให้เขากลับไปตรงนั้นได้คือ การเชื่อมสัมพันธ์กับดิน กับฟ้า กับน้ำ กับมวลสรรสัตว์ต่างๆ นี่คือความหมายของศิลปะ สิ่งนี้คือแนวทางในการรักษาร่วมกับการแพทย์และการบำบัดในเส้นทางอื่นๆ แต่สิ่งที่อยากให้ประสบการณ์คือ เรามองศิลปะแบบไหน เรามองเชื่อมโยงถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่กระดาษ แต่มันกลับไปที่หัวใจของเขาด้วย

กระบวนการทางศิลปะบำบัด ช่วยให้จิตวิญญาณของวัยรุ่นได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์มาจากภายใน ?

เราสามารถใช้ประโยคนี้ได้ ก็คือเราเติมความสมดุล แต่ในรายละเอียดของศิลปะบำบัดมันค่อนข้างลึกเลยทีเดียว เป็นเรื่องของตัวตน เรื่องของความสัมพันธ์ เรื่องของพลังงานชีวิตของเขาอยู่ในระดับไหน บางครั้งสีที่อ่อนเกินไป หรือรูปทรงที่แข็งมากในรูป เราสามารถจะเชื่อมได้ว่านี่คือความเจ็บป่วยที่แสดงออกมา เพราะฉะนั้นในศิลปะบำบัดที่เราพูดถึง ความอ่อนหวานหรือความอ่อนโยน หรือการลงสีเต็มกระดาษ มันสามารถดึงสิ่งที่เขาไม่มีในการทำงานนั้นกลับเข้าไปได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อได้ทำงานแล้ว สเต็ปเดิมของเขาได้ถูกก้าวผ่าน เช่น มีเคสนึงที่เคยเรียนศิลปะ แต่ไม่ได้หมายความว่าการอยู่ใกล้ศิลปะจะไม่เจ็บป่วย เมื่อชีวิตขาดสมดุล เราจะต้องเติมศิลปะที่มีชีวิตชีวาเข้าไป เคสนี้เราดูแลเน้นที่เรื่องของกระบวนการ เน้นการทำงานเป็นขั้นตอน เช่น เราทำงานกับดินก่อน ต่อไปคือรากไม้ ถึงจะมาเป็นกิ่ง ลำต้น และผล เป็นต้น

ในการระบายสี  รายละเอียดของมันเราจะต้องออกแบบไปถึงวัสดุด้วย เช่น สีโปสเตอร์ที่ไม่สามารถเชื่อมกันได้ดี เราอาจจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำที่สีสามารถเชื่อมโยงกับสภาพของท้องฟ้าได้เสมือนจริง สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้งานศิลปะเชื่อมโยงไปถึงภายในของเขา

น้องคนนี้เขามาด้วยอาการอะไร ?

โรคซึมเศร้า (Depressed)  ผ่านการรักษาร่วมกับแพทย์ และเคยผ่านการฆ่าตัวตายมาแล้วแต่ไม่สำเร็จ โชคดีมากเมื่อได้รับการรักษาก็ลดการรับยาลงไป เพราะการทำศิลปะบำบัดไม่ใช่แค่การวาดภาพตรงไปตรงมา แต่มีขั้นตอนต่างๆ หัวใจสำคัญคือ การพบตัวเองจากข้างใน และเราไม่ได้พูดความคิดอีกแล้ว แต่เราพูดถึงว่า เรารู้ สภาวะที่รู้ เป็นสภาวะที่ดีมากๆ ที่รู้ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ตรงไหน และกำลังทำอะไรอยู่ และรู้ไปถึงหัวใจลึกๆ ว่า เราต้องการคำตอบกับชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างไร

การพบตัวเองจากข้างในสำคัญอย่างไรกับช่วงวัยรุ่น ?

มันเป็นวัยที่เรียกว่าตัวฉัน หรือตัวตนของเด็กกำลังมา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเด็กหลายคนมีวิธีการหาตัวตนแตกต่างกัน คนที่มีไอดอลก็ใช้วิธีนั้น บางคนมีวิธีการที่ออกไปค้นหาตัวเองจากการลงมือทำ เพื่อหาว่าเราเป็นใคร ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เด็กจะได้พบข้างในของตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เป็นช่วงเวลานึงที่เขาจะบอกตัวเองได้ เราจะเห็นว่าถ้าระบบการศึกษาเน้นการลงมือทำ เขาจะได้คำตอบแล้วว่า ม.ปลายจะเรียนรู้เรื่องอะไรต่อ เพราะสิ่งเหล่านี้มีความหมายกับเด็กมากที่เห็นภาพตัวเองชัด แล้วก็รู้จากภายในว่าจะเดินไปทางไหน แต่เด็กที่ไม่มีเลยหรือเรียกว่า Lost คือเด็กที่ไม่เห็นค่าในตัวเอง เช่นรูปที่เราเห็นว่าตัวละครมันไม่มีจริง หรือความว่างเปล่า ความเงียบเหงาในรูป นั่นคือ Lost คือนี่ฉันอยู่ตรงไหน ฉันจะเดินไปทางไหนต่อ

เพราะฉะนั้นแสงจึงมีความจำเป็นสำหรับการวาดภาพ นักศิลปะบำบัดให้แสงนำทาง และเขาจะเห็นชัด ตรรกะต่างๆ เขาจะนึกออก เช่น ถ้าแสงมาตรงนี้ ตรงนั้นน่าจะมืด ศิลปะบำบัดจึงไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกซะทีเดียว แต่ในเด็กอายุ 14-21 ปี เป็นเรื่องของตรรกะ (Logic) และกระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล ในรูปภาพจึงซ่อนตรรกะอย่างมีเหตุมีผล การตัดสินใจของเด็กจะมีตรรกะมากยิ่งขึ้น พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่สำคัญ เพราะเมื่อเขามีพื้นที่แล้ว เขาจะสามารถตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจคือการก้าวไปข้างหน้า

น่าสนใจมากว่าศิลปะบำบัดช่วยให้เขามีกระบวนการคิดและเติมเต็มโลกภายในให้สมดุลขึ้น สุดท้ายมาถึงเรื่องการตัดสินใจ ทำให้เขาใช้เหตุผลในการตัดสินใจกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งแปลว่าเขาจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นไหม?

ในศิลปะบำบัดทุกอย่างที่พูดใช้เวลาเรียกว่าไม่น้อย เพราะฉะนั้นในการก้าวแต่ละก้าวของเขา ก้าวที่ 4 5 6 ตรรกะของเขาเริ่มชัดขึ้น เขาเริ่มมองออกว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของรูป ความหมายของศิลปะบำบัดที่เป็นหัวใจสำคัญในช่วงวัยรุ่น ในเคสซึมเศร้านี้จะทำให้เขาเกิดกระบวนการตัดสินใจ หลายคนเศร้ามากเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ แต่ในเคสที่เล่ามาคือการประสบความสำเร็จที่พาให้เขาก้าวออกมาได้

สุดท้ายอยากให้พี่มอสให้แนวทางกับพ่อแม่ ที่จะช่วยสนับสนุนลูกวัยรุ่นได้เข้าใจ หรือสนใจในศิลปะบำบัด ?

ศิลปะในหลายๆ แขนง มีประโยชน์กับลูกๆ อยากจะให้สนับสนุนถ้าเด็กต้องการ หรือรู้ว่าเขาต้องได้รับการดูแล อย่างแรกเลยศิลปะบำบัดก็จะเป็นเรื่องของการรักษา ถ้าเขาต้องการ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ข้อมูลได้เลย ศิลปะบำบัดเป็นส่วนนึงที่จะดูแลในเคสแบบนี้ได้ แต่ถ้าเป็นศิลปะ วัยรุ่นหลายคนก็สนใจ มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ อย่างที่เราเข้าใจว่าศิลปะเป็นแค่วิชานึง แต่จริง ๆ มันเป็นหัวใจและชีวิตของคนที่ไม่แห้งแล้ง เมืองหลายๆ แห่ง เช่น ญี่ปุ่น เราชอบไปเที่ยวเพราะเมืองนั้นเต็มไปด้วยความเป็นศิลปะ แต่เรากลับไม่ดูแลบ้านเราให้มีลักษณะของความชุ่มชื่น หรือมีศิลปะวัฒนธรรมในทางที่ดี ในมุมมองของผมไม่ใช่เรื่องของพ่อแม่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของเมืองที่เราจะช่วยกันดูแลให้มีหัวใจของศิลปะด้วย

กลับมาช่วงแรกที่เปิดด้วยยุคของ Indigo จริงๆ แล้วไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียวที่จะดูแลเด็กๆ แต่เป็นเมืองด้วย เพราะฉะนั้นในยุคของสีครามนี้ เราจะเติมสีสันให้กับชีวิตโดยเฉพาะวัยรุ่นได้อย่างไร ?

เห็นวัยรุ่นหลายคนสนใจศิลปะ เพราะฉะนั้นอยากจะพูดถึงพื้นที่ของศิลปะ มันยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้ง ๆ ที่เป็นหัวใจสำคัญของความเจ็บป่วยของเมือง ถ้าเรามีโอกาสให้พื้นที่ทางศิลปะของเมืองมีมากขึ้น เราจะไม่เห็นเลยว่าวัยรุ่นไปแหล่งมั่วสุม เพราะเราจะเห็นวัยรุ่นไปอยู่ในพื้นที่สร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นในยุค Indigo ก็อยากให้มีแสงเกิดขึ้นคือ สีของมาเจนต้า หวังว่าผู้ใหญ่จะเห็นความสำคัญของศิลปะด้วย

Tags:

การศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ศิลปะบำบัดครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจีในโลกวัยรุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • How to enjoy lifeBook
    MIND-BODY MEDICINE ปรับใจเยียวยากาย: ศาสตร์การบำบัดที่ทำให้คนกลับมาเข้าใจตัวเอง

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Unique Teacher
    ไม่ต้องระบายสีในช่องว่างและอย่าเขียนตามเส้นประ ‘ครูมอส’ อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ส่งท้ายปี 2020 ด้วยหนังสือ 10 เล่ม ที่เหมาะกับการอ่านเพื่อการ ‘มูฟออน’
Book
28 December 2020

ส่งท้ายปี 2020 ด้วยหนังสือ 10 เล่ม ที่เหมาะกับการอ่านเพื่อการ ‘มูฟออน’

เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

ในปีแสนปั่นป่วน เรามีโอกาสได้รับฟัง พูดคุย และประสบกับเรื่องราวหลากหลายจากเพื่อนๆ รอบตัว และนักอ่านหลายคนที่แวะเวียนมาเจอที่หน้าร้าน (ร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace) มาเล่าสู่กันฟัง หลายคนเปลี่ยนงาน บ้างพบความสูญเสีย บางคนเปลี่ยนความสัมพันธ์ รักใคร่ เลิกรา เจอความท้าทายให้ต้องทบทวน พิสูจน์ เผชิญหน้า

ราวกับว่าสถานการณ์วิกฤติจะทำให้สถานการณ์ชีวิตชัดขึ้น สะกิดแรงๆ ให้เราใคร่ครวญ

หนังสือทั้ง 10 เล่มในโพสต์นี้เป็นเหมือนตัวแทนของบทสนทนาเหล่านั้น บางเล่มช่วยให้เรามองเห็นสถานการณ์และตัวเองได้ชัดขึ้น บางเล่มก็พูดกับเราอย่างตรงไปตรงมา บางเล่มไม่ แต่กลับทำให้เราได้ตกตะกอนก้อนขะมุกขมัว บอกเราถึงความรู้สึกที่เราไม่เข้าใจ เชื่อมเราเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกภายในได้

เราว่าการมูฟออน ไม่ได้มีหน้าตาเป็นเส้นตรง และการหมุนวนก็มีพลังไม่แพ้การพุ่งไปข้างหน้า

การเปลี่ยนผ่านและฤดูกาลมักทำให้เราประหลาดใจ ลมหนาวแรกของฤดู พายุฝนหลังความร้อนแล้ง อากาศร้อนอบอ้าวหลังผ่านค่ำคืน

รับรู้ ดื่มด่ำ ซึมซับ ร่วมมือ เรียนรู้ ไปกับอีกวันที่มาถึง

อ่านหนังสือกันค่ะ 😊

1

“ในการเยียวยาความเศร้า เราต้องยอมให้ตัวเองรู้สึกถึงความเจ็บปวด”

Grief Works: Stories of Life, Death and Surviving : คู่มือหัวใจสลาย
เขียนโดย: Julia Samuel
แปล: วรรธนา วงษ์ฉัตร

คู่มือหัวใจสลาย หนังสือโดยนักจิตบำบัดที่ทำงานกับผู้ที่ผ่านความสูญเสียมากว่า 25 ปี เรื่องเล่าอ่อนโยน และเล่าตรงเข้าไปที่ใจอย่างไม่อ้อมค้อม แม้หนังสือจะมุ่งไปที่คนที่สูญเสียคนรักจากความตาย แต่ความเศร้าและความสูญเสียมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่านั้น แต่ละประโยคและประสบการณ์ที่ร้อยเรียง พาเราเข้าไปสัมผัสตัวเราเอง อาจเป็นความผิดหวังเสียใจตอนเด็กๆ ความคับข้องในวัยรุ่น เหตุการณ์อยากลืม คนที่เราไม่อาจเข้าใจ ความทุกข์อึมครึมที่ไม่รู้จะอธิบายแบบไหน

เป็นหนังสือแบบที่ทำให้รับรู้ความเศร้าอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม สบตา ยอมรับ เผชิญหน้า แล้วยอมให้ตัวเองได้เจ็บปวด

และบอกเราว่าสิ่งที่สะท้อนเคียงข้างในความเศร้า คือความรักทั้งของเราและคนที่เรารัก

2

“ในเมื่อมันเป็น love game งั้นเราก็มาเล่นกัน”

ดื่มเหล้าเคล้าชาตรีกับแวมไพร์ในคาบุกิโจ
เขียนโดย: รติพร ชัยปิยะพร

นิยายอ่านเพลินอ่านสนุกจากผู้เขียนที่เรียนมาทางปรัชญา และหลงใหลซับคัลเจอร์ญี่ปุ่น ตัวละคร ‘พอนจัง’ เป็นอีกภาคที่เราอยากเป็นเมื่อตกหลุมรักใครสักคน

เป็นหญิงสาวผู้รู้จักตัวเองดี และยืนยันที่จะ ‘ทำ’ ที่จะ ‘เป็น’ แคร์หรือไม่แคร์สิ่งใดอย่างรู้เนื้อรู้ตัวและไม่หวาดหวั่น

‘ดื่มเหล้าเคล้าชาตรีกับแวมไพร์ในคาบุกิโจ’ บอกกับเราว่า ความสัมพันธ์ขึ้นลง ห่างบ้างใกล้บ้างนั้นเป็นธรรมดาของชีวิต และการยืนหยัดในคุณค่าของตัวเองเป็นอำนาจภายในที่มีค่ายิ่งไม่ว่าในช่วงเวลาไหน หรือต้องผ่านประสบการณ์ใด

เป็นหนังสือที่ท้าทายความรัก ความหลงใหล​ ทำให้เราสำรวจความหมายของความสัมพันธ์ไประหว่างอ่าน ลุ้นไปกับหญิงสาวผู้หลงรักกลางคืนและโฮสต์หนุ่มในคาบุกิโจ

3

“ฉันอยากจะโยนอะไรสักอย่างลงไปในทะเล ฉันรู้สึกว่าจำเป็น”

มือสังหารบอด The Blind Assassin
เขียนโดย: มาร์กาเร็ต แอ๊ตวูด
แปล: นันทพร ปีเลย์ โพธารามิก 

มือสังหารบอดเป็นนิยายเล่มหนาระดับรางวัลของ Margaret Atwood ที่เล่าเรื่องของสองสาวพี่น้องตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิตจนถึงวันสุดท้าย

ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านมุมมองหลากหลาย ทั้งจากตัวพี่สาว จากตัวนิยายอีโรติกพิสดารที่น้องสาวเขียน และจากบุคคลอื่น ความรู้สึกและความคิดที่ถูกเล่าอย่างละเอียดลออ เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าที่พลิกผันเปลี่ยนชีวิต แต่ละส่วนเสี้ยวถักร้อยขึ้นมาเป็นสิ่งที่เราเป็น บอกให้ตัวเองเป็น และบอกให้คนอื่นรู้ว่าเป็น

ในความหนา คือความสนุกติดพัน เวลาที่เราไม่ยอมมูฟออนเสียที หนังสือแบบนี้คือสุดยอดแผนที่สำรวจ

4

“อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะคะ ขอแค่จัดการตัวเองให้เข้าที่เข้าทางได้ก็พอ ต้องมีทางไปสักทางล่ะ”

ห้องอาหารนกนางนวล (かもめ食堂)
เขียนโดย: มูเระ โยโกะ
แปล: สิริพร คดชาคร

ห้องอาหารนกนางนวล เป็นงานเขียนของ มูเระ โยโกะ ผู้เขียน วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว หนังสือเล่าถึงผู้หญิงญี่ปุ่น 3 คนที่เดินทางประเทศฟินแลนด์ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป แต่สิ่งที่คล้าย คือ พวกเธอต่างเหมือนนกที่เพิ่งกางปีกบินสู่โลกกว้างจริงๆ เป็นครั้งแรกในวัยที่ใครๆ ต่างมองว่ายากที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่แล้ว

ตัวละครแต่ละตัวเจอกับช่วงเวลาที่ยาก และเลือกเดินออกจากสิ่งที่ฉุดรั้งพวกเธอไว้ มันไม่ง่าย หลายครั้งเป็นไปโดยแทบไม่รู้ตัว แต่ไม่ว่าจะเตรียมใจอย่างไร รู้ตัวแค่ไหน ‘วิกฤต’ นั้นเกิดได้เสมอ และ ‘การเริ่มใหม่’ ก็เช่นกัน

หนังสืออ่านสบายๆ รวดเดียวจบเล่มนี้เคยเป็นภาพยนตร์เมื่อปี ค.ศ. 2006

5

“เราจะเห็นโลกงามได้อย่างไร”

หนึ่งปี•แสง In Darkness We Light – ศิลปะบำบัด อิสรภาพของการค้นพบความมืด สี และแสงภายใน
เขียนโดย: ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

หนึ่งปี • แสง หนังสือของครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดที่เล่าถึงศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา โลกที่สีสัน ความมืด จะพาเราไปพบแสงสว่างที่ซ่อนอยู่ภายใน

ในโลกที่มีฤดูกาล ผู้เขียนบอกกับเราว่าหัวใจของมนุษย์ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน เรามีฤดูฟ้าครึ้ม ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูหนาว ฤดูสดใส ที่เปลี่ยนไปอยู่ข้างในตัวเรา ถ้าปีนี้ทำให้ฤดูภายในของเราเปลี่ยนยากกว่าที่เคย ฝน หนาว หรือร้อนแล้ง ติดค้างอยู่ในใจนาน ใช้ปีใหม่นี้ ที่จะทบทวน มองเห็น แล้วปฏิสัมพันธ์กับโลกภายในของเรา

มูฟออนอย่างบทกวี อ่อนโยน ค่อยๆ พลิกเปลี่ยนหน้า หายใจ และให้เวลา

6

“การกวดขันกับตัวเองที่เราเห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขความเป็นมนุษย์นั้น
แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ทึกทักขึ้นมาเองหรือเปล่า”

Why Grow up? เติบโตอย่างไรไม่เจ็บปวด
เขียนโดย: Susan Neiman
แปล: โตมร ศุขปรีชา

ถ้าการเติบโตกำลังเป็นความเจ็บปวดและทำให้วิตกกังวล หนังสือเล่มนี้ อาจเปิดประตูบานใหม่ๆ ค่ะ

Susan Neiman พาเราย้อนประวัติศาสตร์ความคิดของบรรดานักปรัชญา ทบทวนการมองโลก การศึกษา คุณค่า และการใช้ชีวิตของเรา ในโลกที่หลายคนอาจรู้สึกว่าไม่เหมาะกับคนยุคเราเอาเสียเลย โดยเฉพาะกับคนอายุประมาณ 20-35 หนังสือเล่มนี้จะช่วยทำให้เห็นว่า ทำไมการเติบโตถึงได้เจ็บปวดนัก และมันมีทางไหนน่าสนใจกว่าที่เรากำลังพยายามกันอยู่อีกไหม

เราต้องโตแค่ไหนกัน การเติบโตเป็นเรื่องเดียวกับการได้รับการยอมรับ เก่ง ดัง ร่ำรวย ฉลาด หรือปรับตัวได้เก่งรึเปล่า?

ขอลงท้ายด้วยประโยคชวนมูฟออน “การเติบโตคือภาวะอุดมคติโดยตัวของมันเอง มันเป็นสิ่งที่แทบไม่อาจบรรลุได้เต็มที่ในตัวเอง แต่กระนั้นก็คุ้มค่าที่จะไขว่คว้าต่อสู้”

7

“ความสุขอันเจิดจรัสไม่อยู่ในสถานการณ์หรือสิ่งใด…เรารู้จริงๆหรือว่าอะไรทำให้เรามีความสุข”

สุขจรัสแสง: คู่มือผู้ใช้งานจิต (Radically Happy: A user’s guide to the mind)
เขียนโดย: พักชก ริมโปเช และ เอร์ริก โซโลมอน
แปล: สายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี

หนังสือพาตั้งหลักกันใหม่ ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาในปีนี้ ตอนนี้อาจได้เวลาเติมเครื่องมือให้กับกายใจแล้ว

งานเขียนโดยธรรมาจารย์ชาวธิเบตและผู้บริหารสายเทคในซิลิคอนวัลเลย์ ถึงวิธีการที่เราจะพบกับความอิ่มเอม สงบสุข ในชีวิตทั้งประจำวันและในระยะยาว เล่าง่ายๆ เป็นบทๆ ผ่านประสบการณ์ นิทาน งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมแบบฝึกหัด ให้เราได้เริ่มต้นลองบริหารจิต จัดการใจ พบความอิ่มเอมต่อชีวิตได้

สำหรับหลายคน การภาวนาอาจทำให้นึกถึงศาสนาพุทธ หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว ชวนลองเริ่มต้นกับหนังสือเล่มนี้ อ่านเพลิน ตรงไปตรงมา และลึกซึ้ง

8

“เผยให้เห็นโลกในอุดมคติที่เรากำลังสร้าง แสดงให้เห็นว่าโลกเราสามารถเป็นอย่างไรได้
ทำให้โลกนั้นไม่ใช่แค่รู้สึกว่าเป็นไปได้ แต่เป็นสิ่งที่เราไม่อาจหยุดยั้งได้”

คู่มือปลุกปั่นเพื่อสร้างสรรค์: กล่องเครื่องมือเพื่อการปฏิวัติ
เขียนโดย: Andrew Boyd, Dave Oswald Mitchell
แปล: เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, สรวิสิฐ โตท่าโรง

มีคนเคยบอกว่า ถ้าเราได้สัมผัสความทุกข์ของคนอื่นมากขึ้น เราจะมูฟออนเป็นวงกลมน้อยลง และในสถานการณ์ทางสังคมช่วงนี้ หนังสือเล่มนี้คืออีกหนึ่งตัวแทนของการมูฟออนเลยค่ะ

คู่มือปลุกปั่นเพื่อสร้างสรรค์ เป็นหนังสือแปลที่นักกิจกรรมทางสังคมหลายคนยกให้เป็นหนังสือในดวงใจ หนังสือเล่าถึงสารพัดวิธีการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธีจากทั่วโลก เต็มไปด้วยแนวคิดเชิงปรัชญาที่น่าสนใจ มุมมองที่เห็นความเป็นมนุษย์ของคนรอบตัว สนุก ทันสมัย ชวนคุยว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัวเรานั้นจะเกิดขึ้น สร้างการรับรู้ และสัมฤทธิ์ผลในมิติต่างๆ ได้อย่างไร

เป็นหนังสือพ็อกเกตบุคที่กราฟฟิกจัดเต็ม อ่านง่ายสบายๆ และครอบคลุมทั้งวิธีการ วิธีคิด และความเป็นมนุษย์

ชวนเขยื้อน มูฟไปด้วยกันทั้งสังคม

9

“เหงา ให้ออกกำลังกาย ถึงไม่หายเหงา อย่างน้อยร่างกายเราก็แข็งแรง”

ชายหนุ่มผู้ไม่ทำอะไรเลย
เขียนโดย: องอาจ ชัยชาญชีพ

บันทึกที่ผู้เขียนโปรยไว้ว่าเป็นบันทึกไร้สาระของชีวิต

หนังสือเล่มบางอ่านสบายๆ กับเรื่องราวจิปาถะในเรื่องรอบตัว เล่าถึงความรัก การก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบาก ความเหงา ความเจ็วปวด ความห่วงกังวล และอีกหลายเรื่องราวหนักหนา ผ่านเรื่องของแมว รถมอเตอร์ไซค์ การไปซื้อนม การแอบรัก และอื่นๆ ของชายหนุ่มผู้ไม่ทำอะไรเลย

ชายหนุ่มผู้บอกเราอย่างอ่อนโยนว่า ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ ธรรมดาๆ เอนหลัง แล้วก็เงี่ยหูฟัง

10

 “รู้หรือไม่ว่า เวลาเฉลี่ยที่คนเราควรพักผ่อนต่อวันคือ 5 ชั่วโมง”

พักผ่อนศาสตร์ ศาสตร์แห่งการพักให้ได้พัก(อย่างแท้จริง) The art of rest
เขียนโดย: Claudio Hammond
แปล: สาริศา กนกวรกิตติ์

รู้หรือไม่ว่า เวลาเฉลี่ยที่คนเราควรพักผ่อนต่อวันคือ 5 ชั่วโมง” และที่สำคัญคือ การพักที่ว่าไม่ใช่การนอน

อยากชวนทุกคนรับวันหยุด และก้าวเข้าสู่การเริ่มต้นใหม่ๆ ด้วยการรู้ว่า นอกจากชีวิตต้องสู้ ต้องมูฟออนแล้ว ชีวิตก็ต้องพักด้วย

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงหลายวิธี หลายรูปแบบ พร้อมเหตุผลหนักแน่นอ่านสนุก ว่าเราต้องพักจริงๆ และแต่ละวิธีการพักก็ให้ประโยชน์กับทั้งร่างกายและจิตใจต่างๆ กันไป บางวิธีช่วยพัฒนาสมอง บางวิธีช่วยให้เราสงบได้ในเวลาที่น่าเสียสติ บางวิธีบรรเทาอาการเจ็บปวดเรื้อรังได้อย่างน่าอัศจรรย์

ฟื้นฟูกายใจให้ปกติสุข และไม่ควรมีใครต้องรู้สึกผิดเพราะต้องการพัก

โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ 😊

Tags:

หนังสือความสัมพันธ์ปีใหม่Fathom bookspaceการเยียวยา

Author:

illustrator

ขนิษฐา ธรรมปัญญา

นักเล่น นักทำงานอดิเรก สนใจการเดินทางด้านในของผู้คน นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมากว่า15 ปี เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

illustrator

ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

นักอ่าน บรรณาธิการอิสระ อดีตกองบรรณาธิการนิตยสาร writer ชอบการเดินทางและกำลังสนุกกับกล้องฟิล์ม เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

Related Posts

  • Book
    ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ: เมื่อโจทย์ของชีวิต ซับซ้อนกว่าปัญหาคณิตศาสตร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • lonely-cover (1)
    Book
    คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อใคร: ถึงฉันจะโดดเดี่ยว แต่ก็ยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ดี

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020

    เรื่อง The Potential

“การศึกษาที่ทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งต้องถูกดัดแปลง” อรรถพล ประภาสโนบล ประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษา
Social Issues
28 December 2020

“การศึกษาที่ทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งต้องถูกดัดแปลง” อรรถพล ประภาสโนบล ประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษา

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • จากการเป็นครูในโรงเรียน เห็นนักเรียนตัวเองต้องดิ้นรนขอทุนเรียนต่อ ทำให้ครูพล – อรรถพล ประภาสโนบล อดีตครูประจำวิชาสังคมศึกษา ผู้ก่อตั้งกลุ่มพลเรียน กลับมาตั้งคำถามว่า ถ้าสังคมเรามีรัฐสวัสดิการจะทำให้เด็กๆ ไม่ต้องดิ้นรนเอาต่อรอดในการศึกษาแบบทุกวันนี้
  • “เราอยู่ในสังคมที่รัฐผลักให้ประชาชนดิ้นรนกันเอง ใครแข็งแรงกว่า มีต้นทุนเยอะกว่า คุณก็อยู่รอดได้ สิ่งหนึ่งมันเลยเรียกร้องให้เราต้องกตัญญูมากๆ ต้องช่วยเหลือดูแลพ่อแม่นะ ต้องหางานที่ทำให้คุณได้เงินเยอะๆ เป็นสังคมที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมั่นคงอะไรสักอย่างเลยในชีวิต มันมีภาระเงื่อนไขในชีวิต โตขึ้นไปต้องทำงานเป็นข้าราชการ ต้องทำนู่นทำนี่เพื่อให้มีสวัสดิการที่มั่นคงเอามาให้พ่อแม่ เอามาเลี้ยงตัวเอง มันเป็นสังคมที่เรียกร้องความกตัญญูสูงมาก”

“…มันทำให้เราเห็นเลยว่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งถ้าไม่มีเงินเรียนต่อ ทางเลือกแรก คือ คุณก็ออกไปทำงานเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงครอบครัว หรือทางเลือกที่สอง ถ้าอยากเรียนต่อ ถึงแม้ตัวคุณสนใจอยากเรียนต่อด้านนี้ แต่คุณก็ทำไม่ได้ ต้องไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้สนใจ เพื่อจะได้เรียนและทำงานมีเงินส่งน้องเรียน ตัวเราก็จะได้มีเงินใช้ด้วย

“มันก็น่าตั้งคำถามกับสังคมนี้นะว่า สังคมนี้ทำให้ความฝันของใครหลายคนถูกกลืน ถูกดัดแปลง โดยที่เขาไม่ได้อยากเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เพราะด้วยกำแพงทางเศรษฐกิจ ด้วยเงื่อนไขแบบนี้เลยทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญมากๆ” คำตอบแรกที่เราได้รับจากครูพล – อรรถพล ประภาสโนบล เพียงย่อหน้าเดียวก็พอจะทำให้เราเห็นปัญหาในระบบการศึกษาไทย

ครูพล – อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพลคืออดีตครูประจำวิชาสังคมศึกษา ผู้ก่อตั้งกลุ่มพลเรียน ปัจจุบันหันไปทำงานเบื้องหลังและสนใจปัญหาเชิงโครงสร้างในประเด็นการศึกษา โดยเฉพาะรัฐสวัสดิการด้านการศึกษา สาเหตุตั้งต้นก็มาจากการเป็นครูในโรงเรียน เห็นนักเรียนตัวเองต้องดิ้นรนขอทุนเรียนต่อ มันทำให้เขากลับมาตั้งคำถามว่า ที่พวกเรากำลังดิ้นรนให้ได้สิ่งนี้มา แต่จริงๆ แล้วรัฐใช่ไหมที่ควรเป็นคนทำให้พวกเรามีสิ่งนี้

การนัดพบกันครั้งนี้เราชวนครูพลมาคุยกันตั้งแต่ประเด็นการจัดสรรงบประมาณในระบบการศึกษาไทย รวมถึงประเด็นถ้ามีรัฐสวัสดิด้านการศึกษาจริงๆ จะช่วยผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง

อีกเรื่องในประเด็นเดียวกัน ชวนอ่านรัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี  

เหตุผลที่ทำให้ครูพลสนใจและอยากทำงานผลักดันเรื่องรัฐสวัสดิการ

เอาจริงๆ ก็มาจากอาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดีแหละ ตอนแรกยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ก็พยายามสื่อสารตลอดว่ามันมีสังคมแบบนี้ได้นะ สังคมที่มองคนเท่ากัน สังคมที่เด็กทุกคนได้รับสิทธิการศึกษาอย่างเสมอภาค

แต่หลังจากได้ทำงานสอนไปสักพัก ด้วยความที่พื้นที่ที่เราทำงานมันอยู่ในโรงเรียน ทำให้เราเริ่มมีแว่นมองเรื่องนี้ จุดแรกที่สะกิดใจมากๆ คือ ช่วงนั้นเราฝึกสอน แล้วมีเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเรียนจบม.3 ครูบอกว่าจะต้องไปเยี่ยมบ้านเด็กคนนี้ พอไปถึงก็เห็นว่ามีผู้สูงอายุนอนติดเตียงอยู่บ้าน ครูต้องคอยส่งฟูกที่นอนไปเพื่อเปลี่ยนให้ ตัวเด็กคนนี้เขาก็ชอบเล่นกีฬามาก ชอบวิชาคณิตศาสตร์ด้วย พอจบม.3 ครูเขาก็มาเล่าให้เราฟังว่า ‘พลรู้ไหม เด็กคนนี้ไม่มีเงินเรียนต่อแล้ว ต้องออกไปหางานทำ หาเงินส่งน้องเรียนและดูแลย่าที่กำลังป่วยอยู่’

ผ่านไปสักพักหนึ่งครูคนนี้ก็มาบอกเราอีกว่า มีโครงการของธุรกิจที่หนึ่งเขาจะให้ทุนเด็กเรียนและมีงานให้เด็กทำด้วย ครูเขาก็เอาทุนนี้ไปให้เด็กลองดู เพราะอย่างน้อยเด็กก็จะได้เรียนต่อ ได้ทำงานด้วย จะได้มีวุฒิการศึกษา แต่เราไม่รู้จบยังไงนะเพราะฝึกสอนเสร็จก่อน 

แต่มันทำให้เราเห็นเลยว่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งถ้าไม่มีเงินเรียนต่อ ทางเลือกแรก คือ คุณก็ออกไปทำงานเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงครอบครัว หรือทางเลือกที่สอง ถ้าอยากเรียนต่อ ถึงแม้ตัวคุณสนใจอยากเรียนต่อด้านนี้ แต่คุณก็ทำไม่ได้ ต้องไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้สนใจ เพื่อจะได้เรียนและทำงาน มีเงินส่งน้องเรียนและตัวเราก็จะได้มีเงินใช้ด้วย

มันก็น่าตั้งคำถามกับสังคมนี้นะว่า มันเป็นสังคมที่ทำให้ความฝันของใครหลายคนถูกกลืน ถูกดัดแปลง โดยที่เขาไม่ได้อยากเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เพราะด้วยกำแพงทางเศรษฐกิจ ด้วยเงื่อนไขแบบนี้เลยทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญมากๆ

ยิ่งพอเราถอยกลับมาดูภาพใหญ่ ทุกวันนี้การศึกษาบ้านเรามันถูกวางอยู่บนวิธีคิดแบบระบบกลไกตลาด ถามว่าดูจากอะไร? ผมคิดว่ามันมาจากวิธีจัดสรรงบประมาณ ก็คือเป็นแบบงบรายหัว ซึ่งถ้าโรงเรียนไหนมีเด็กเยอะ รัฐก็จะส่งงบมาให้เยอะ เช่น โรงเรียนนี้มีนักเรียน 3,000 คน ลองคูณงบรายหัวดูสิ ได้งบสูงอยู่นะ ขณะเดียวกันถ้าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เด็กมีจำนวนน้อยก็จะได้เงินน้อยตาม ซึ่งวิธีคิดของรัฐแบบนี้คือการมองว่าการศึกษาเป็นสินค้า ถ้าเกิดการแข่งขันก็จะนำมาซึ่งคุณภาพที่มันไหลไปสู่ทุกชนชั้นอย่างดีที่สุด

การจัดสรรงบแบบนี้ มันทำให้เกิดการแข่งขันได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างนะ มีบริษัท A B C D กำลังแข่งกันให้ลูกค้าเลือกตัวเองมากที่สุด พวกเขาก็ต้องพยายามทำให้บริษัทตัวเองมีคุณภาพมากที่สุด เพื่อที่ลูกค้าจะได้เลือกตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าท้ายที่สุดบริษัท A B C D ก็จะมีคุณภาพเพิ่มขึ้น และลูกค้าที่มีกำลังจ่ายเยอะก็จะได้สินค้าที่ดีที่สุดไป ส่วนคนที่มีกำลังปานกลางก็ได้สินค้าคุณภาพปานกลาง หรือมีกำลังน้อยก็ได้คุณภาพน้อยตามไป – อันนี้คือระบบกลไกตลาด

การจัดสรรงบแบบนี้มันมีข้อเสียอย่างไร? ถ้ามองเชิงเทคนิคว่า เด็กน้อย = งบน้อยมันก็สัมพันธ์กันดีนะ

สมมติงบอุดหนุนเด็ก ม.ต้น ได้ประมาณหัวละ 3,000 ต่อปี ลองจินตนาการดูว่าถ้าโรงเรียนขนาดเล็กที่มีเด็กอยู่ประมาณ 300 คน คูณจำนวนหัวเข้าไปโรงเรียนนี้ก็จะได้งบประมาณ 900,000 บาท แต่ถ้าโรงเรียนที่มีเด็ก 1,000 คน งบก็ได้ประมาณ 3 ล้านบาท วันหนึ่งทั้งสองโรงเรียนบอกว่าฉันอยากซื้อคอมพิวเตอร์ให้เด็ก โรงเรียนแรกอาจซื้อได้เครื่องหนึ่ง เพราะต้องเอางบไปใช้ส่วนอื่นต่อ แต่โรงเรียนที่สองเขาได้งบสูงมาก ก็ซื้อได้เยอะ มีทรัพยากรให้เด็กใช้ หรือถ้าจะพาเด็กไปทัศนศึกษา โรงเรียนแรกอาจไม่ได้มีทางเลือกเยอะ ต่างจากโรงเรียนที่สอง

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การจัดสรรแบบนี้ส่งผลต่อคุณภาพการจัดการศึกษา เพราะเมื่อเป็นแบบนี้ผู้ปกครองหลายคนก็มองหาโรงเรียนอื่นที่ดีกว่า (น้ำเสียงตั้งคำถาม) เราจึงเห็นภาพที่ผู้ปกครองจำนวนมากนิยมให้ลูกเข้าโรงเรียนใหญ่ๆ เพราะรู้สึกว่ามีคุณภาพมากกว่า   

ถ้างบประมาณไม่พอแบบนี้ ส่วนใหญ่โรงเรียนจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร?

ก็ทำผ้าป่า กับจ้างครูอัตราจ้างเดือนละ 3,000 – 5,000 บาท ส่วนใหญ่ในโรงเรียนขนาดเล็กหรือโรงเรียนที่งบไม่พอเขามักแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ แต่คำว่า ‘ไม่พอ’ ก็ต้องกลับมาดูนะว่าไม่พอเพราะอะไร ส่วนแรกเพราะงบประมาณที่ถูกจัดสรรมันไม่โปร่งใสด้วยแหละ ตอบไม่ได้ว่าเงินใช้ไปกับอะไรบ้าง อีกส่วนคือ…อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าพอให้งบเป็นแบบรายหัว ยังไงก็ไม่มีทางพอ แม้แต่โรงเรียนใหญ่ๆ หรือโรงเรียนที่ผมเคยสอน เด็ก 2,000 กว่าคน งบยังไม่พอเลยต้องทำผ้าป่าช่วย

การทอดผ้าป่าก็ถือเป็นกลไกการทำงานของชุมชนอย่างหนึ่ง ก็ถูกต้องแล้วนี่ที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ คนในชุมชนเป็นคนจัดการเอง นี่มันก็เหมือนการจัดการของท้องถิ่นไง มันเป็นปัญหาอย่างไรล่ะ?

จริงๆ มันก็ไม่ผิดหรอก แต่สิ่งนี้ทำให้กลไกรัฐในฐานะตัวประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนไม่ทำงาน ยิ่งคุณทำแต่ผ้าป่าไปเรื่อยๆ แต่ละเลยที่จะตรวจสอบเงินภาษีว่ามันควรจัดสรรใหม่ไหม หรือเราควรทำยังไงที่จะให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่ดี มีคุณภาพเท่าเทียมกัน แต่พอคุณผลิตซ้ำเรื่องผ้าป่า กลายเป็นทำให้เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าเงินที่มาโรงเรียนมันไปไหนหมด หรือถูกใช้ยังไง นี่เป็นสิ่งที่เราอยากบอก

ลองดูโฆษณาของร้านสะดวกซื้อที่หนึ่งที่เล่าเรื่องครูผู้เสียสละก็ได้ เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มายเซ็ตของสังคมอาชีพครูเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ ไม่ว่าจะมีปัญหาร้อยแปดพันอย่าง แต่ถ้ามีครูแบบนี้ (ครูที่เป็นผู้เสียสละ) ชีวิตเด็กก็จะดีขึ้น การศึกษาดีขึ้น ซึ่งไม่จริง (หัวเราะ) แต่เรื่องเล่าแบบนี้มันถูกส่งต่อเรื่อยๆ เลยนะ ด้วยความที่มันทัช (touch) ใจคน โรงเรียนคุณทางขึ้นเต็มไปด้วยโคลน คุณต้องขี่มอเตอร์ไซค์อย่างยากลำบากเพื่อขึ้นไปสอนเด็ก ทุกคนดูแล้วซาบซึ้ง แทนที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมองค์กรท้องถิ่นไม่มาดูแลทำทางให้ดีๆ หรือทำไมรัฐไม่จัดสรรงบประมาณมา ทำไมเด็กไม่มีเงินเรียนหนังสือ ทำไมการศึกษาไม่ฟรี

การจัดสรรงบประมาณสำหรับโรงเรียนที่ควรทำเป็นอย่างไร?

คิดว่าไม่ควรเอาเงินรายหัวมาเป็นตัวตั้งต้น จากที่เคยถามครูจุ๊ย (กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ) เขาบอกว่าที่ฟินแลนด์ รัฐจะเป็นคนอุดหนุนเงินให้รัฐบาลท้องถิ่น บวกกับการจัดเก็บภาษีในพื้นที่ ซึ่งทำให้ท้องถิ่นจะมีงบประมาณการศึกษาสูงมาก  ที่เป็นแบบนี้เพราะ เขาเชื่อว่า ท้องถิ่นเป็นคนใกล้ชิดกับนักเรียน โรงเรียนมากที่สุด ดังนั้นทำให้การจัดการงบประมาณเป็นไปตรงตามความต้องการของโรงเรียน เพื่อทำให้โรงเรียนมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก แต่บ้านเราไม่ใช่แบบนั้น บางรครั้งส่วนกลางกลายเป็นคนตัดสินใจมาให้

ผมเคยไปฝึกสอนที่โรงเรียนขยายโอกาส มีเด็กประมาณ 300 คน ในห้องเรียนมีทีวีสองเครื่อง เลยถามครูว่าทำไมมันมีสองเครื่อง เขาบอกส่วนกลางส่งมาให้ ทางโรงเรียนเองก็บอกไม่ได้ว่าต้องการอะไร สุดท้ายก็ทำให้ในห้องเรียนมีทีวีสองเครื่องโดยที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เหมือนกับการจัดสรรงบของบ้านเราจะมีส่วนกลาง เขาจะคิดและจัดสรรให้โรงเรียนเองเลย แต่บางทีโรงเรียนต้องการอย่างอื่น เช่น คอมพิวเตอร์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะส่วนกลางส่งมาให้แบบนี้

การจัดสรรงบการศึกษาที่ฟินแลนด์ เขาจะแบ่งเป็นสองส่วน คืองบที่ลงไปที่ครอบครัวเด็กโดยตรงหรือนักเรียนโดยตรงกรณีที่โตแล้ว เงินส่วนนี้จึงเป็นค่าเลี้ยงดู ค่าครองชีพพื้นฐานให้ทุกคนอย่างถ้วนหน้า ประกอบกับมีสวัสดิการอื่นๆ เช่น กรณีเป็นนักเรียนมีการลดค่าเดินทาง 50 % ห้องสมุดฟรี ตรวจรักษาพยาบาลฟรี รวมถึงหากมีการเดินทางมาโรงเรียนเกิน 5 กิโลเมตร รัฐต้องเป็นคนจัดสรรค่ารถรับส่งให้ เป็นต้น และงบสำหรับโรงเรียน ซึ่งท้องถิ่นจะเป็นคนจัดการส่วนนี้เอง ก็เลยทำให้โรงเรียนไม่ต้องมาแข่งกันเพราะท้องถิ่นเป็นคนดูแลอยู่แล้ว  ดังนั้นโรงเรียนและท้องถิ่นร่วมจัดการงบประมาณของตัวเองได้ ผ่านสภาท้องถิ่น

พูดง่ายๆ มันก็ล็อคสเป็กไปเลยว่าโรงเรียนต้องได้เหมือนกันหมด แต่ถ้าให้ท้องถิ่นดูแล โรงเรียนนี้ต้องการทีวี โรงเรียนนี้ต้องการคอมพิวเตอร์ โรงเรียนก็บอกท้องถิ่นได้ว่าฉันต้องการสิ่งนี้ๆ มันก็ทำให้โรงเรียนถูกพัฒนาได้ตรงจุด

การมีรัฐสวัสดิการมันช่วยซับพอร์ตเด็กอย่างไร?

คิดว่าอย่างแรก เด็กไม่ต้องกังวลว่าวันนี้มาโรงเรียนแล้วฉันเก็บเงินไปกินข้าวแค่มื้อเที่ยงดีไหม ไม่ต้องกังวลเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจครอบครัวตัวเองขณะเรียนหนังสือ เพราะเราก็ไม่รู้หรอกเห็นแค่เด็กนั่งเรียนในห้อง แต่เบื้องหลังเขามันมีเงื่อนไขที่บีบหรือส่งผลต่อการเรียนของเขา

เช่น บางคนมาถึงมานั่งหลับ เราถามว่าทำไม? เด็กตอบก็เมื่อคืนไปช่วยพ่อเฝ้าสนามฟุตบอลถึงห้าทุ่ม หรือบางทีมาโรงเรียนสายเพราะเมื่อเช้าเด็กต้องไปช่วยพ่อขายของ ถ้ามันมีรัฐสวัสดิการ เด็กก็ไม่ต้องรับภาระ เขาจะได้โฟกัสกับการเรียน กับสิ่งที่เขาอยากทำในชีวิต มันคือเงื่อนไขแรกที่ทำให้ปากท้องอิ่มได้ มั่นคงได้โดยไม่กระทบการเรียน

แต่มายเซ็ตของสังคมไทยยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องความกตัญญู เด็กกตัญญู โตไปจะได้ดี

เราอยู่ในสังคมที่รัฐผลักให้ประชาชนดิ้นรนกันเอง ใครแข็งแรงกว่า มีต้นทุนเยอะกว่า คุณก็อยู่รอดได้ สิ่งหนึ่งมันเลยเรียกร้องให้เราต้องกตัญญูมากๆ ต้องช่วยเหลือดูแลพ่อแม่นะ ต้องหางานที่ทำให้คุณได้เงินเยอะๆ เป็นสังคมที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมั่นคงอะไรสักอย่างเลยในชีวิต มันมีภาระเงื่อนไขในชีวิต โตขึ้นไปต้องทำงานเป็นข้าราชการ ต้องทำนู่นทำนี่เพื่อให้มีสวัสดิการที่มั่นคงเอามาให้พ่อแม่ เอามาเลี้ยงตัวเอง มันเป็นสังคมที่เรียกร้องความกตัญญูสูงมาก

กลับกันถ้าเราไม่ต้องมีเงื่อนไขพวกนี้ คือมีรัฐสวัสดิการ มันจะเปลี่ยนความหมายของคำว่ากตัญญูเลยนะ เป็นความรัก ความเอ็นดู ความเอาใจใส่ในอีกแบบที่เราไม่ต้อง… ฉันต้องดูแลคุณ เพราะคุณเลี้ยงฉันมา

ในอีกมุมหนึ่งถ้าเรามีรัฐสวัสดิการ เราก็จะไม่ต้องเห็นนักเรียนต่อสู้เพื่อแย่งชิงทุนที่มีจำกัด เพราะทุกคนจะเข้าถึงการศึกษาได้

เราเคยถามเด็กเหมือนกันนะว่า ทำไมไม่ขอทุนเรียนละ เด็กจะบอกว่าให้คนที่จนกว่าหนูเถอะ คือทุกคนไม่อยากถูกแปะป้ายหรือเรียกว่าเป็นเด็กยากจนจากสายตาเพื่อน เพราะมันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ยิ่งเด็กม.ปลาย ทำงานหลังเลิกเรียนหนักมาก บางทีเราสอนเสร็จไปเดินห้างเจอเด็กทำงาน ถามว่าทำงานเสร็จกี่โมง ห้าทุ่ม เราถามต่อว่าทำงานแบบนี้ได้เงินยังไงบ้าง เขาบอกว่าหักลบค่าใช้จ่ายแล้ว เงินก็แทบไม่เหลือเก็บ แต่ก็ต้องทำเพราะอย่างน้อยจะได้มีเงินมาใช้ได้บ้าง

ตัวโรงเรียนก็มองเห็นปัญหานี้ ก็จะมีทุนที่ถูกจัดมาให้ เช่น จากผู้ใจบุญ มีผู้ใหญ่เอาตังค์มาให้ คำถามคือใครจะได้เงินส่วนนี้ อะ…เธอเรียนเก่ง เธอก็จะได้ แต่ถ้าเก่งไม่พอ เธอก็ต้องเป็นคนดีถึงจะได้ทุนนี้ แต่เด็กที่ความสามารถทั่วๆ ไป ก็ไม่ได้

แล้วทุนก็จะมีจากภาครัฐด้วย เช่น ของ กสศ.(กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) คุณอยากได้ทุนใช่ไหม? ให้ครูไปสำรวจบ้านสิว่าจนแค่ไหน ยังไม่พอนะ เราต้องมาแข่งกันว่าใครจะได้อยู่ลำดับ (ranking) ที่ได้เงินก่อน พูดง่ายๆ คือแข่งกันว่าใครจนกว่า แสดงความจนให้เยอะที่สุด พอแข่งกันแบบนี้ก็จะมีเด็กที่ไม่ได้ และมีเด็กที่ได้ มีเด็กที่โรงเรียนผมคนหนึ่ง ที่ปรึกษาเขาก็ไปสำรวจบ้าน ครูเขาก็ประเมินกันแล้วเด็กคนนี้ควรได้ทุน แต่ปรากฎบ้านเด็กมันมีทีวี ตู้เย็น พอมากรอกในระบบมันก็บอกว่าไม่ได้ เพราะเด็กมีทีวี มีสิ่งของในเงื่อนไข สุดท้าย ครูเลยไปลบทีวี ตู้เย็นออก เด็กก็ได้ทุนไป มันกลายเป็นระบบ ranking ความจน เหมือนเล่นเกมวิ่งแข่งกันเพื่อดูว่าใครจนสุดแล้วก็จัดลำดับ แล้วคุณก็ได้เงินตรงนั้นไป

ในเมื่อทรัพยากรมีจำกัด เราก็ต้องให้คนที่ขาดแคลนที่สุดสิ

เวลาบอกว่างบจำกัด อยากให้ตั้งคำถามนะว่าจำกัดเพราะอะไร? ถ้าเพราะได้งบมาเท่านี้เลยทำให้จัดสรรไม่พอ ก็เลยต้องมีโควต้า จัด ranking ความจนเด็ก ถ้าพูดแบบนี้ก็ถูกเพราะมีเงินไม่พอ แต่สิ่งที่เราอยากชวนให้เห็นคือ เราต้องมองไปให้ไกลถึงตัวงบประมาณของประเทศ มากกว่าแค่ดูงบที่เขาจัดสรรงบมาแล้ว เช่น งบต่างๆ มันถูกจัดสรรยังไงบ้าง 

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าสังคมเราบอกว่าทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ ถึงเวลาเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี ดึงเก้าอี้ออก ใครนั่งไม่ทันก็ตายไป แต่ถ้าเราจินตนาการใหม่ ในเมื่อทรัพยากรน้อยลง แต่ถ้าเราเชื่อว่าเพื่อนร่วมชาติเราต้องได้นั่ง ต้องไม่มีใครตาย ไม่ว่าเก้าอี้จะเหลือ 9 ตัวหรือ 1 ตัว แต่มีคน 10 คน ทุกคนต้องนั่งบนเก้าอี้นี้ได้ โดยที่สังคมจะดูแลทุกคน ถ้ารัฐไม่ปล่อยให้ทุกคนตาย 10 คนก็ต้องหาวิธียืนให้ได้แหละ แต่สังคมไทยเราไม่ใช่แบบนั้นไง

อีกอย่างคือพอไม่มีรัฐสวัสดิการ ทำให้ใครมีเงินก็สามารถเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพให้ลูกได้

ผมเคยอ่านที่ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค สรุปข้อมูลจาก OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ Organization for Economic Co-operation and Development) เขาก็บอกเหมือนกันว่า โรงเรียนในไทยไม่มีความหลากหลายทางภูมิหลังของเด็ก ทางชนชั้น พูดง่ายๆ คือเด็กที่อยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่ ที่ดีหน่อย ก็จะมีภูมิหลังที่คล้ายๆ กัน มีฐานะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าในสังคมรัฐสวัสดิการจะมีภาพความหลากหลายสูงมาก ห้องเรียนเดียวกันจะเต็มไปด้วยนักเรียนที่มีความแตกต่างเชื้อชาติ สถานะทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งมันทำให้เขาเติบโตไปพร้อมกับการมองเห็นเพื่อนร่วมสังคม

ครูพลคิดยังไงกับสิ่งๆ นี้

มันก็ฝังมายเซ็ตเราว่าถ้าอยากได้การศึกษาที่ดี คือ คุณต้องมีเงินลงทุน มันกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม เราเลยเห็นชัดว่า แม้กระทั่งในโรงเรียนเดียวกัน การเข้าถึงทรัพยากรก็ต่างกันแล้ว ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือห้องพิเศษ (gifted) กับ ห้องธรรมดา เด็กที่ผู้ปกครองมีกำลังจ่ายสูง ก็ได้เข้าห้องเรียนที่มีคุณภาพ  มีห้องเรียนที่ติดแอร์ โต๊ะสีสันสดใส มีครูต่างชาติสอน เป็นต้น โรงเรียนก็เลยเป็นเสมือนพื้นที่ทางชนชั้นอย่างชัดเจน   

แล้วเวลาเราสอนสองห้องนี้จะเห็นความแตกต่างเลย สมมติสอนเด็กเรื่องแรงงาน ถ้าเป็นเด็กห้องทั่วไป เขาจะมีประสบการณ์หรืออะไรบางอย่างที่เด็กจะลิงก์กับสิ่งนี้ได้ง่ายมาก แต่พอเราสอนห้องเด็ก gifted  บางครั้งเขาก็จะจินตนาการไม่ออก แต่เด็กเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปนะ แต่มันทำให้เห็นว่าเวลาเรา approach ไปในห้องเรียนที่เด็กมีภูมิหลังต่างกัน มันเห็นความแตกต่างชัดเจน

ถ้ามีการจัดสรรงบการศึกษาที่ควรบวกกับมีรัฐสวัสดิการที่ดี ชีวิตของเด็กคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร?

อย่างแรก เขาจะมีเวลาไปทำสิ่งต่างๆ ที่เขาอยากทำ สมมติเขาอยากไปทำงานหลังเลิกเรียนก็ได้ ถ้าเขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันสนุก เขาอยากทำ หรือเขาชอบการ์ตูน อยากวาดการ์ตูน แต่ใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือวันหยุดไปพัฒนาฝีมือ หรือบางคนอยากทำช่องยูทูปก็จะมีเวลาทำ ผมมองว่าบ้านเรามันไม่มีบรรยากาศแบบนี้ สภาพแวดล้อมมันไม่เอื้อให้เกิดขึ้น โดยคอนเซปต์ทุกคนไม่ควรต้องกังวลว่า วันนี้ฉันจะมีกินไหม? จะทำยังไงให้ชีวิตฉันมั่นคง จริงๆ มันควรเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนรู้สึกว่า ‘ฉันอยากทำสิ่งที่ฉันทำได้’

เอาง่ายๆ เด็กที่แทบไม่มีเงินจะเรียน ในใจเขาคงคิดทุกวันว่า วันนี้ฉันจะทำงานๆๆ แต่ถ้าวันหนึ่งมันมีรัฐสวัสดิการให้ทุกคนถ้วนหน้า เด็กคงคิดในเซนส์ที่… เอ๊ะ วันนี้ฉันสนใจสิ่งนี้ ฉันจะไปทำอันนี้ ทำให้ศักยภาพคนๆ นั้นมันเติบโตได้ ทำในสิ่งที่เขาอยากเป็นจริงๆ

หรือบางคนอยากเต้น สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนทำได้มากสุด คือ มีพื้นที่ให้เขาฝึกเต้น แต่ถามว่าถ้าเขาอยากไปไกลกว่านั้นล่ะ? มันเป็นไปได้ยากนะในสังคมแบบนี้ แต่ถ้ามันมีต้นทุนหรือมีอะไรสนับสนุนเขา ไม่แน่เด็กอาจใช้ทรัพยากรพวกนี้ในการทำในสิ่งที่เขาอยากทำ อาจจะไปเข้าคอร์สที่ทำให้เขาพัฒนาทักษะการเต้นได้

พ่อแม่หลายคนพยายามบอกลูกว่าต้องเป็นข้าราชการนะ ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่โดนแบบนี้เลย แม่บอกตลอดว่า เป็นข้าราชการสิจะได้มั่นคง ทำให้เราเข้าใจเลยว่าทำไมเด็กหลายคนถึงเป็นซึมเศร้า เครียด ทำไมพ่อแม่ไม่เข้าใจตัวเขา อาจเพราะด้วยความที่พ่อแม่ก็โตมาในสังคมที่มันไม่ได้มีความมั่นคง และเขาเห็นช่องทางเดียว คือ ข้าราชการ ช่องทางเดียวที่เขาจะได้รัฐสวัสดิการดีๆ หลายครอบครัวเลยกดดันให้ลูกไปทำข้าราชการ หรือทำอะไรก็ได้ที่ต้องได้เงินเดือนสูงๆ สุดท้ายเด็กหลายคนเครียด ฆ่าตัวตาย หรือรู้สึกว่าเรียนไป พอจบก็ เนี่ย เอาใบปริญญามาให้แม่แล้ว ต่อไปนี้จะไปทำตามความฝัน อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรากำลังเรียนอยู่บนความฝันของพ่อแม่

แสดงว่ารัฐสวัสดิการ ทำแค่ภาคการศึกษาไม่ได้

ผมว่าไม่ได้ เอาง่ายๆ เรื่องขนส่งสาธารณะแบบพื้นฐานเลยนะ การที่เด็กคนหนึ่งจะไปโรงเรียน อย่างเด็กโรงเรียนผมบางคนต้องเสียค่าวินมอเตอร์ไซค์ไป-กลับ 40 บาทต่อวัน แถมบางคนนั่งวินมอเตอร์ไซค์เสร็จต้องต่อรถเมล์ไปโรงเรียนอีก 20 กว่าบาท มันสะท้อนให้เห็นเลยว่าขนส่งสาธารณะที่สามารถโอบอุ้มทุกคนให้ไปไหนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงื่อนไข ไม่ได้เกิดจริงๆ หมายความว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางขนาดนี้ เด็กหลายคนต้องยอมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อนั่งรถไปอีกฟากของเมืองเพื่อมาโรงเรียน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

กลับกัน ถ้าเรามีโรงเรียนใกล้บ้านที่ดี เด็กก็ไม่ต้องถ่อมาเรียนไกลๆ คุณอาจเดินไปเรียนก็ได้ หรือถ้ารัฐมีเส้นทางคมนาคม การขนส่งที่ดี ที่ทุกคนใช้ได้ ไม่ต้องขูดรีดตัวเองขนาดนั้น รถก็อาจไม่ต้องติด เราก็ไม่ต้องเสียเวลาชีวิตไปกับการนั่งรถวันหนึ่งเยอะๆ คุณได้ใช้ชีวิตได้ไปทำอย่างอื่น

สุดท้ายแล้วเราอยากให้คุณพลช่วยวาดภาพให้ดูได้ไหมว่า ถ้าบ้านเรามีรัฐสวัสดีการ คุณภาพชีวิตของคนในสังคมจะเป็นอย่างไร?

อย่างแรก ที่ฟินแลนด์เด็กทุกคนเกิดมาสิ่งแรกที่เขาจะได้รับเหมือนกัน คือ กล่องใบหนึ่งที่บรรจุเสื้อผ้า หนังสือนิทาน เบาะนอน ฯลฯ แต่ที่ประเทศไทยไม่ใช่ทุกคนจะได้ คนที่ได้คือคนที่มีต้นทุนไปซื้อของพวกนี้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเรามีรัฐสวัสดิการ เด็กทุกคนได้รับการจัดสรรแบบนี้ตั้งแต่แรก เชื่อว่าทุกคนจะมีต้นทุนสำคัญในการพัฒนาตัวเองได้ตั้งแต่เริ่มแรกก่อน

สอง รัฐสวัสดิการเท่ากับการมีเวลาว่าง พ่อแม่จะมีเวลาดูแลลูก ใช้ชีวิตกับเขา ทุกวันนี้ถ้าบางครอบครัวต้องทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน กว่าจะเดินทางกลับบ้านก็ทุ่มถึงสองทุ่ม คำถามคือเขาจะเอาเวลาไหนดูแลลูก? สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูก ถ้าในทางกลับกันเรามีรัฐสวัสดิการที่ดี คุณก็อาจจะทำงานสัก 5 – 6 ชั่วโมง ก็ได้กลับบ้านแล้ว แถมกลับบ้านด้วยขนส่งสาธารณะที่ดีด้วย ไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ มีเวลาดูแลลูกเพิ่มขึ้น ความเครียดอะไรต่างๆ ก็จะคลี่คลายลง ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง

ผมว่ารัฐสวัสดิการนี่เรื่องพื้นฐานเลยนะตั้งแต่เกิดจนตาย คิดอยู่บนฐานว่าทำยังไงให้คนได้ใช้ชีวิตจริงๆ 

Tags:

ความเหลื่อมล้ำรัฐสวัสดิการระบบการศึกษาอรรถพล ประภาสโนบล

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

จิตติมา หลักบุญ

ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพทุก category ชอบทำกับข้าวและรักปลาร้าเป็นชีวิตจิตใจ

Related Posts

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

6 คำถามสำหรับครู-โค้ช ชวนเด็กถอดบทเรียนหลังทำกิจกรรมเพื่อกดเซฟการเรียนรู้
Learning Theory
25 December 2020

6 คำถามสำหรับครู-โค้ช ชวนเด็กถอดบทเรียนหลังทำกิจกรรมเพื่อกดเซฟการเรียนรู้

เรื่อง The Potential

คำถามเป็นเครื่องมือหรืออาวุธที่ดีที่สุดในการสร้างการเรียนรู้

ที่ผ่านมาเรามักเข้าใจว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากการสั่งสอน เราจะมีคำพูดมากมาย มีความรู้หรือประสบการณ์มากมายในการสั่งสอนคนรุ่นใหม่ บอกให้ทำแบบนั้นแบบนี้

แต่จริงๆ แล้ว การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านการลงมือทำนั้น ต้องวางเงื่อนไขหรือเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีประสบการณ์ก่อน ซึ่งทำให้เขาได้ลองผิด ลองถูก และแก้ปัญหา สุดท้ายแล้วทักษะจะเกิดขึ้นในระหว่างทางที่เขาลงมือทำ จะเนียนเข้าไปอยู่ในเนื้อในตัว จากนั้นคุณครู โคช หรือพี่เลี้ยงค่อยตั้งคำถามให้เขาได้ทบทวนประสบการณ์ ทบทวนความรู้สึก และทบทวนบทเรียนและการเรียนรู้ ความรู้ที่เขาได้จากการทำกิจกรรมในครั้งนั้น

นี่คือ 6 คำถามสำหรับ ครู-โคช ชวนเด็กใคร่ครวญ (Reflection) หลังทำกิจกรรม หรือมีประสบการณ์จากการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำเหล่านี้ก็จะเป็นทักษะการตั้งคำถาม ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการช่วยให้น้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่เขาทำ คำถามที่ดีจะช่วยให้เขาชื่นชมตัวเองได้ว่าที่เขาผ่านประสบการณ์มานั้น ผ่านมาได้อย่างไร

ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเขาได้เห็นศักยภาพที่เขามีติดตัวอยู่แต่ไม่เคยมองเห็นมันมาก่อน แล้วคำถามที่ดีมันจะช่วยเสริมพลังให้เขานำศักยภาพนี้มาใช้บ่อยๆ

บทความฉบับเต็ม คลิก

Tags:

โคชความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Learning Theory
    สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

“นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี
Creative learning
24 December 2020

“นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ถ้าเยาวชนค้นเจอว่าเรื่องอะไรที่เขาสนใจ จะพบว่ามีพื้นที่เรียนรู้หลากหลายและเป็นไปได้มากมาย รวมถึง ‘นาข้าว’
  • กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรีสนใจทำโครงการ ศึกษาเรื่องข้าวอัลฮัม ซึ่งเป็นของดีของตำบล มีที่มาจากคำว่า ‘อัลฮัมดุลิลละห์‘ เป็นภาษาอาหรับ ที่แปลว่า ขอบคุณอัลลอฮฺหรือขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า เป็นข้าวที่นิยมปลูกในตำบลเกตรีในอดีต แต่ปัจจุบันมีข้าวสายพันธุ์อื่น เช่น ข้าวหอมปทุม เข้ามาแทนที่
  • พวกเขาศึกษาวิธีการปลูก ลงมือปลูก หาวิธีเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากแป้งข้าวอัลฮัม รวมถึงประชาสัมพันธ์ความรู้ผ่านทางออนไลน์ เป็นโครงการระยะ 1 ปีที่พบว่าคนทำนั้นเติบโตไปพร้อมๆ กับข้าว…

“กินมัน อิ่มนาน ทำงานทน” 

กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี เปรียบเปรยถึงคุณสมบัติข้าวอัลฮัม ข้าวพื้นถิ่นตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล

The Potential จะพาไปทำความรู้จักข้าวพันธุ์พื้นเมืองหายากอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ข้าวอัลฮัม‘ กับ โครงการข้าวอัลฮัม นำชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน โดย กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 

กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี

ความเป็นมาของข้าวอัลฮัมที่ได้อรรถรส

“กินมัน อิ่มนาน ทำงานทน” กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี เปรียบเปรยถึงคุณสมบัติข้าวอัลฮัม ข้าวพื้นถิ่นตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล

จุดเด่นทางโภชนาการของข้าวอัลฮัม เป็นข้าวที่มีแคลเซียม กาบา โอเมก้า 3, 6 และ 9 สูง หากวัดคุณภาพเมล็ดข้าวทางเคมี ข้าวอัลฮัมมี ‘อะไมโลส‘ (Amylose) หรือปริมาณแป้งในเนื้อข้าวอยู่ในระดับสูง (25%) ขณะที่ข้าวหอมมะลิมีอะไมโลสอยู่ในระดับต่ำ (12%)  

ปริมาณอะไมโลสบ่งบอกอะไร?

อะไมโลสส่งผลโดยตรงต่อเนื้อสัมผัสของข้าวหุงสุก เช่น ความนุ่ม ความร่วน และการพองตัว กลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี บอกว่า ข้าวที่มีอะไมโลสสูงเมื่อหุงสุกแล้วจะมีความแข็งร่วนมากกว่าข้าวที่มีอะไมโลสต่ำ จากคำบอกเล่าของกลุ่มเยาวชนที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คนท้องถิ่นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าวอัลฮัมเป็นข้าวแข็ง หุงขึ้นหม้อ กินอิ่มท้อง ให้พลังงาน เหมาะสำหรับกินกับแกงส้ม แกงคั่ว และแกงใต้รสจัดจ้าน แตกต่างจากข้าวหอมมะลิที่มีความนุ่มมากกว่า

“ทุกคนต้องกินข้าว ดังนั้นเราจะทำให้ข้าวไม่ใช่แค่ข้าว”

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวอัลฮัมเป็นความตั้งใจแรกของกลุ่มเยาวชน ที่ตัดสินใจเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตีทำโครงการ วันนี้ ซี – ภารดร พงค์สวัสดิ์, มุค – อับดุลมุคนี ขุนรักษ์, บีม – ภาวี อาดำ, ยิบ – มูฮัมหมัด แก้วสลำ และ บัส – สุชาติ เกสมาน เป็นตัวแทนกลุ่มมาบอกเล่าเรื่องราวการทดลอง ค้นคว้า สืบเสาะ สัมภาษณ์ ตะลุย และชิมขนมจากข้าว อย่างสนุกสนานครบรส

โครงการข้าวอัลฮัม นำชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ไม่ใช่โครงการแรกในนามกลุ่มเยาวชนตำบลเกตรี ก่อนหน้านี้รุ่นพี่สภาเยาวชนตำบลเกตรีเคยทำ โครงการศึกษาและรวบรวมตำนานและประวัติศาสตร์ของตำบลเกตรี เพื่อเผยแพร่ให้กับเยาวชนและคนในชุมชนมาก่อน ทำให้พวกเขามีฐานข้อมูลประวัติชุมชนอยู่แล้วในระดับหนึ่ง

“รุ่นพี่ได้ไปหาข้อมูลมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงลึก พวกผมเลยเลือกมาลงลึกเอาจริงกับเรื่องข้าวอัลฮัม” มุค กล่าว

การทำโครงการเริ่มต้นจากการมองหาประเด็นปัญหาหรือของดีที่มีอยู่ในชุมชน แล้วศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนวางแผนลงมือทำ และบริหารจัดการกิจกรรมให้สำเร็จลุล่วงตามแผน กลุ่มเยาวชน เล่าว่า แนวทางการทำโครงการของพวกเขายึดหลัก R-D-M 

R เป็นขั้นตอนสืบค้นข้อมูล ประกอบไปด้วย 3R ได้แก่ Research Review และ Reconceptual ซึ่งเป็นการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม การทบทวนข้อมูล แล้วตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากแหล่งต่างๆ 

“ก่อนทำโครงการ พวกผมได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนก่อน แล้วกลับมาประชุมเสนอกันว่าจะทำโครงการประเด็นไหน ในช่วงแรกพวกผมลงพื้นที่อย่างเดียวหาข้อมูลให้ได้เยอะที่สุด มีค้นหาในอินเทอร์เน็ต ไปถามปราชญ์ชาวบ้าน ลงพื้นที่สำรวจเอง ผมได้ยินชื่อข้าวอัลฮัมมาตั้งแต่ยังเด็ก และจากการสัมภาษณ์ผู้รู้ บังเฉ็ม (บูกาเส็ม กรมเมือง) อายุประมาณ 60 ปี เป็นผู้ดูแลศูนย์เรียนรู้เรื่องข้าว ทำให้รู้ว่าข้าวอัลฮัมเป็นของดีของตำบล และตำบลเกตรีก็ส่งข้าวอัลฮัมไปให้โรงพยาบาลสตูล ประจวบเหมาะกับตอนลงพื้นที่พวกผมเจอปัญหาว่าพื้นที่ปลูกข้าวอัลฮัมในชุมชนลดลง เรื่องข้าวอัลฮัมจึงกลายเป็นทั้งประเด็นปัญหาและเป็นของดีของตำบลด้วย ในกลุ่มเลยสนับสนุนและผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่” ซี เล่าเริ่มต้นเล่า

ส่วน D มาจาก Doing หรือ Development และ M มาจาก Management เป็นการนำชุดข้อมูลที่สรุปได้จาก 3R มาวางแผนกิจกรรม เพื่อลงมือดำเนินโครงการให้บรรลุเป้าหมาย 

“การวางแผนทำโครงการของพวกเราแบ่งเป็นสองงวด งวดที่หนึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวอัลฮัม มุ่งเน้นศึกษาว่าข้าวหายไปจากชุมชนเพราะอะไร จนได้รู้ว่าเพราะราคาผลผลิตตกต่ำ ดังนั้นเราคิดว่าถ้าข้าวราคาสูงขึ้นด้วยการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าว ชาวนาน่าจะเห็นคุณค่าของข้าวแล้วหันมาปลูกข้าวเยอะขึ้น” ซี เล่าต่อ

“หลังจากมีเป้าหมาย พวกผมค้นคว้าจนได้ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวอัลฮัมมาพอสมควร ทำให้พวกผมตระหนักว่าก่อนที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่สิ่งใด เราควรศึกษาเรื่องนั้นให้ลึกซึ้งให้ดีก่อน ทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายในงวดที่สองเป็นเรื่องการศึกษาข้าวอัลฮัม ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ความเป็นมา วงจรชีวิตข้าว คุณค่าสารอาหารของข้าว และจำนวนพื้นที่นาในชุมชนที่ยังคงปลูกข้าวอัลฮัม เพราะอยากได้ข้อมูลตัวเลขที่ชัดเจน รวมถึงได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพัทลุงและศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวพัทลุงด้วย”

ข้าวอัลฮัม มีที่มาจากคำว่า ‘อัลฮัมดุลิลละห์‘ ภาษาอาหรับ ที่แปลว่า ขอบคุณอัลลอฮฺหรือขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า จึงมีความเชื่อว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เป็นผลผลิต ตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของชาวนา เป็นข้าวที่นิยมปลูกในตำบลเกตรีในอดีต แต่ปัจจุบันมีข้าวสายพันธุ์อื่น เช่น ข้าวหอมปทุม เข้ามาแทนที่

สำหรับประวัติความเป็นมาของข้าวอัลฮัม มีความเชื่ออยู่ 2 แบบ ประวัติแรก บอกเล่าต่อกันมาว่า คนบ้านเกตรีสมัยก่อนรับจ้างทำนาที่ประเทศมาเลเซีย จึงนำเมล็ดข้าวอัลฮัมกลับมาปลูกในพื้นที่ เพราะเห็นว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกแล้วให้ผลผลิตดี ส่วนประวัติที่สอง กล่าวว่า พันธุ์ข้าวชนิดนี้ปลูกอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว เนื่องจากจังหวัดสตูลแต่เดิม คือ รัฐไทรบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย

“แต่เดิมข้าวยังไม่มีชื่อ ยังไม่มีการระบุสายพันธุ์ มีชาวนาที่เป็นเจ้าของไร่นา เห็นว่าข้าวออกรวงสวย ออกรวงเยอะ มีน้ำหนัก เขาเป็นคนมุสลิม เลยกล่าว อัลฮัมดุลิลละห์ ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าวนี้ให้ผลผลิตดี มีคนที่อยู่ข้างหลังเขาได้ยินว่าอัลฮัม เลยบอกว่าข้าวนี้ชื่ออัลฮัมดุลิลละห์ กลายเป็นที่มาของชื่อพันธุ์ข้าว” มุค อธิบาย

‘นานอกนา’ กับ ‘แผนที่นา’ ที่เกิดจากความขี้สงสัย

เพื่อศึกษา เรียนรู้ และเข้าใจเรื่องข้าวอัลฮัมอย่างลึกซึ้ง กลุ่มเยาวชนวางแผนการทำโครงการเป็น 4 กิจกรรม ได้แก่ นานอกนา แผนที่นา (ออนไลน์) การแปรรูปขนมรังต่อจากแป้งข้าวอัลฮัม และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม และความรู้เรื่องข้าวอัลฮัมผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘เด็กขี้สงสัย‘ ชื่อที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา นอกจากนี้กลุ่มเยาวชนยังผลิตสื่อวิดีโอและโปสเตอร์สำหรับการนำเสนอในที่สาธารณะตามเวทีต่างๆ ด้วย

“จะปลูกข้าว ทำไมต้องปลูกในนา” เป็นคำกล่าวของ พิเชษฐ์ เบญจมาศ โค้ชจากโครงการสตูล active citizen ที่ทำให้กลุ่มเยาวชนฉุกคิด จนได้ริเริ่มทดลองปลูกข้าวนอกฤดูกาล ไม่ใช่ในนาแต่ในถุงดำ จำนวน 100 ถุง โดยมีบังเฉ็มเป็นผู้อนุเคราะห์เมล็ดพันธุ์ข้าวและเป็นที่ปรึกษาเรื่องการปลูก และใช้พื้นที่บ้านพี่เลี้ยง (ราฎา กรมเมือง) เป็นศูนย์รวมทำกิจกรรม

“ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าอยากปลูกข้าว แต่ช่วงทำโครงการไม่ใช่ฤดูทำนา พวกผมเลยตัดสินใจทำนานอกแปลงนา คือปลูกในถุงดำและห่วงล้อยาง จุดประสงค์ของพวกเรา คือ ต้องการศึกษาระยะการเจริญเติบโตของข้าว การออกรวง ข้าวเจริญเติบโตขึ้นมามีลักษณะเป็นอย่างไร เรียนรู้เรื่องการดูแลข้าว ยกตัวอย่างเช่น การเช็คสภาพข้าว เช็คสภาพน้ำ และการให้ปุ๋ย” มุค กล่าว

วิธีคัดเลือกเมล็ดที่มีคุณภาพ เริ่มจากการใส่น้ำลงในกะละมังประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วนำไข่ทั้งฟองที่ยังไม่ต้มใส่ลงไปในน้ำ ปกติแล้วไข่จะจมน้ำ หลังจากนั้นจึงใส่เกลือผสมลงไป จนกว่าไข่จะลอยขึ้นเหนือน้ำ สังเกตให้ส่วนที่ลอยเหนือน้ำมีขนาดใหญ่ประมาณเหรียญ 5 บาท จึงเทเมล็ดข้าวลงต่อ

กลุ่มเยาวชน อธิบายว่า เมล็ดข้าวที่ลอยน้ำ คือ เมล็ดข้าวที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนเมล็ดข้าวที่จมน้ำเป็นเมล็ดที่นำมาเพาะเป็นต้นกล้าต่อได้ โดยให้แช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำขึ้นมาวางในที่ชื้นจนมีรากลักษณะเป็นหัวสีขาวงอกออกมา แล้วนำไปเพาะต่อในแผงเพาะกล้า

“ตอนที่บังเฉ็มบอกให้เอาไข่เป็นตัวชี้วัด ครั้งแรกพวกผมตอกไข่ใส่ลงไป ใส่เกลือตามไป 6 ถุง คนเกลือในน้ำเท่าไหร่ไข่ก็ไม่ลอยขึ้นมาสักที พวกผมก็คิดว่า ทำผิดไหมนะ? กลับไปถามบัง แกบอกว่าไม่ต้องตอกไข่ ให้ใส่ไข่ทั้งฟองลงไปเลย” กลุ่มเยาวชน เล่าไปหัวเราะไป

“เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว เพาะไว้ 30 วัน หลังจากที่ต้นกล้าเจริญเติบโตพอจะลงถุงได้ พวกผมก็นำต้นกล้าลงถุงดำ จากนั้นก็เริ่มดูแลรักษาและสังเกตการณ์การเจริญเติบโต เมล็ดข้าวสามเมล็ด แตกต้นได้ถึง 30 – 40 ต้น สูงสุดได้ถึง 50 ต้น ในหนึ่งต้นจะมีหนึ่งรวง ในหนึ่งรวงมีแง่งที่เป็นเส้นเล็กๆ แตกออกมา 15 แง่ง ในหนึ่งแง่งด้านบนสั้นกว่านับเมล็ดข้าวได้ประมาณ 10 – 15 เมล็ดครับ ตรงกลางมี 20 – 25 เมล็ดขึ้นไป แล้วในหนึ่งรวงมีร้อยกว่าเมล็ดขึ้นไป แล้วแต่ความสมบูรณ์” มุค อธิบายข้อมูลจากการบันทึก

ระหว่างรอข้าวจากภารกิจนานอกนาเติบโต กลุ่มแกนนำเยาวชนแบ่งกลุ่มลงสำรวจแปลงนาในชุมชน พบพื้นที่นาถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนไม่น้อย หนึ่งในนั้น คือ ที่นาของราฎาพี่เลี้ยงโครงการ พวกเขาจึงอยากทำแผนที่นาเป็นสื่อกระตุ้น สร้างจิตสำนึกให้คนในชุมชนฉุกคิดได้ว่านาที่ว่างและถูกทิ้งร้างสามารถนำมาทำประโยชน์ได้

“ตอนเด็กๆ ไปเล่นในพื้นที่นา เลยมีความทรงจำว่าบ้านเรามีพื้นที่นาเยอะ เมื่อก่อนมองไปด้านไหนก็เห็นแต่นา แต่ตอนนี้คือมีสวนปาล์ม สวนยาง มีบ่อ มีบ้านขึ้นมา ตอนแรกพวกผมลงพื้นที่ไปสำรวจก็ได้แผนที่นามาเป็นเรียบร้อยแล้ว เป็นแผนที่แบบวาดด้วยมือ พอมาดูเราก็ไม่รู้ว่านาตรงนั้นเป็นของใคร แต่อยากรู้ พี่เลี้ยงเลยแนะนำว่าให้ไปหาข้อมูลที่เกษตรอำเภอ เผื่อมีขึ้นทะเบียนที่ดินเกษตรกร พวกผมก็ไปหาแล้วก็ได้ข้อมูลเพื่อนำมาเทียบเคียงกับที่ลงไปสำรวจเอง” ซี กล่าว

“พวกเราไปลงพื้นที่หลายครั้ง เพราะต้องไปเดินนับที่นาเองเลยว่านาอยู่ตรงไหน แล้วก็ตรวจเช็ค ในกูเกิลเอิร์ธ (Google Earth) เทียบกันเพื่อวาดแผนที่ตามสัดส่วน เราอยากนำเสนอออกมาในรูปแบบออนไลน์ เพราะในตำบลของเราไม่มีข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับนาเลย พวกผมอยากจัดเก็บไว้เป็นข้อมูลทางสถิติ แล้วอัพเดตไปเรื่อยๆ ให้ผู้คนสามารถเข้ามาหาข้อมูลได้ตลอด” มุค อธิบาย

ตำบลเกตรี เรียกที่นาหนึ่งผืนว่า ‘หนึ่งบิ้ง’ แต่ละบิ้งอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกัน จากการสำรวจของกลุ่มเยาวชน พบว่า ในตำบลมีนาทั้งหมด 700 บิ้ง ทำนาอยู่ 400 บิ้ง และเป็นนาร้าง หรือเปลี่ยนไปทำประโยชน์อย่างอื่นแล้ว 300 บิ้ง

“ปัญหา คือ เราไม่ได้สำรวจทุกวัน ข้อมูลที่มีมาจากการสำรวจในเดือนธันวาคม 2562 – มกราคม 2563 ถัดจากนั้นอีกสองเดือน บางพื้นที่ก็เปลี่ยนไปเลย มีการสร้างบ้านมาถมดินเพิ่มไปอีก ถัดมาอีกหกเดือน ก็มีการขุดลอกขุดคลองประมาณ 100 ไร่ แค่ในช่วงเวลาที่เราทำโครงการตอนขี่รถผ่าน นาบางแห่งก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปแล้ว เลยรู้สึกเศร้า ผมเข้าใจว่าแต่ละคนมีความจำเป็นต้องสร้างพื้นที่ แต่ในความรู้สึกของผมคือ รู้สึกเสียใจและเสียดาย ในเมื่ออัตราประชากรเพิ่มขึ้น อาหารต้องเพิ่มขึ้น แต่ว่าพื้นที่แหล่งอาหารกลับลดลง พวกผมก็รู้สึกแบบ เอ๊ะ…มันน่าเสียดายนะ” ซี กล่าว

ต่อชีวิตข้าวอัลฮัม

การนำข้าวมาแปรรูปเป็นขนมดอกจอก หรือขนมรังต่อจากแป้งข้าวอัลฮัม เป็นกิจกรรมที่สามที่มาจากความตั้งใจเดิมของกลุ่มเยาวชน คือ ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวอัลฮัม แม้พวกเขายังไม่ได้ลงลึกในกระบวนการวิจัยหรือทำการทดลอง แต่ก็ได้ลงมือทำขนม ด้วยการนำข้าวมาป่นละเอียดเป็นแป้งข้าว สอบถามสูตรทำขนมจากผู้รู้ในชุมชน แล้วหยิบกระทะจับอุปกรณ์มาลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง คุณสมบัติเด่นเรื่องอะไมโลสในแป้ง ทำให้ขนมดอกจอกมีความกรอบ และขึ้นรูปได้ง่าย

“ตอนแรกคิดทำเป็นสบู่ แต่เราคิดว่ามันข้ามขั้นเกินไป เลยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน คือ การทำแป้งข้าว อยากรู้ว่าข้าวจะทำออกมาเป็นแป้งได้ไหม เราไปหาเครื่องโม่แป้งหินโบราณแบบดั้งเดิมในชุมชน ขอยืมมาใช้ก่อน พวกเราลองเอาข้าวที่โม่ได้เป็นน้ำไปตากแดด อยากดูว่าจะได้แป้งแบบที่ซื้อตามร้านไหม พอเอามาตากแดดก็มีบางส่วนที่เสียไปเพราะไม่รู้วิธีการจัดการที่ดีพอ ตอนหลังเลยใช้แป้งที่เป็นน้ำ ลองเอาไปทำขนม” ยิบ อธิบาย

และกิจกรรมที่สี่ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ผู้คนได้รู้จักและรู้ถึงคุณประโยชน์ของข้าวอัลฮัมมากขึ้น ผ่านเพจเด็กขี้สงสัย และเฟสบุ๊กส่วนตัวของราฎา กลุ่มเยาวชน เล่าว่า เมื่อถึงหน้าฤดูกาลทำหน้าช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พวกเขาได้จัดกิจกรรมดำนาแล้วประชาสัมพันธ์ผ่านเพจชักชวนให้คนที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี

“ก๊ะราฎาเขาก็รู้สึกไม่ดี เพราะพวกเราทำโครงการเกี่ยวกับข้าวแล้วทำไมนาของเขาถึงยังร้างอยู่ พอได้มาเป็นพี่เลี้ยงโครงการนี้ เขาก็ต้องการเปลี่ยนพื้นที่นาตรงนั้นให้เป็นพื้นที่นาจริง ๆ เลยร่วมมือกันทำ ชวนคนทำนา พี่ ป้า น้า อา เครือข่ายเยาวชนในชุมชน และเยาวชนจากที่อื่นมาร่วมด้วย บางคนรู้ข่าวจากการประชาสัมพันธ์ของเราทางเฟสบุ๊ก เขาก็อยากมาช่วย” ซี กล่าว 

“ก๊ะราฎาเสนอมา พวกผมก็สนองครับ เหมือนกับว่าเรามีแต่ข้อมูล เรามีแต่ตัวหนังสือ เราไม่ได้ลงไปทำจริง เหมือนนักรบที่ยังไม่ได้รบ” ยิบ ขยายความ

พวกเขาใช้เวลาราวหนึ่งอาทิตย์ลงแรงเตรียมพื้นที่ และใช้เวลาอีก 3 วัน เตรียมต้นกล้า ก่อนลงมือดำนาครั้งแรกในชีวิต

“มีเพื่อนหรือรุ่นน้องที่ติดตามเพจและเฟสบุ๊กของก๊ะราฎาติดต่อมา น่าสนุกจังไปด้วยได้ไหม แต่กิจกรรมของพวกเรา ไม่ได้จำกัดว่าต้องมาทีเดียวสามสิบคนแล้วยืนกันเต็มท้องนา แต่ละคนมาในช่วงเวลาที่ตัวเองว่าง มาช่วยตรงนี้แป๊บหนึ่ง บางคนอยู่ในช่วงถอนกล้า ขนกล้า ล้างกล้า หรืออยู่ในช่วงดำนาเลย แล้วแต่จังหวะที่มาถึง ระหว่างทำกิจกรรมเรามีไลฟ์ผ่านทางเพจด้วย” บีม กล่าว

“ผมชอบการไลฟ์สด มันไม่โดดเดี่ยวเกินไป มีหลายคนมามองเราด้วย ถ้าเราทำกันเองก็รู้กันเอง แต่ พอเราไลฟ์สดคนอื่นก็ได้เห็นด้วย ถึงไม่ได้ช่วยทำก็ได้เห็น อยากนำเสนอเป็นวีดิโอกิจกรรมของเราด้วย แล้วโพสต์ลงไปในกลุ่ม แชร์ ๆ กันให้คนอื่นเห็น บางทีคนที่เห็นอาจจะกดเข้ามาดูหน้าเพจว่าเป็นเพจเกี่ยวกับอะไร” ยิบ กล่าวถึงแผนงานที่วางไว้

‘นาข้าวอัลฮัม’ โรงเรียนรู้ในพื้นที่กว้าง

‘นาข้าวอัลฮัม’ เปรียบเสมือนโรงเรียนที่ให้อิสระทางความคิด ให้โอกาสได้ทดลองและลงมือทำ เยาวชนตำบลเกตรีได้เรียนรู้บทเรียนนอกตำราที่ไม่มีสอนในห้องเรียน สิ่งที่พวกเขาได้รับไม่ใช่แค่ความรู้ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง ทั้งด้านการจัดการตัวเอง การวางแผนและการเข้าสังคม โดยเฉพาะหลายคนบอกว่าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง นาข้าวอัลฮัมสอนทักษะการเข้าสังคมและการทำงานร่วมกันเป็นทีมให้กับพวกเขา ทำให้เข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น 

“ผมได้ฝึกได้พัฒนาตนเองในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงความสัมพันธ์กับเพื่อน พวกผมก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ละคนโลกส่วนตัวสูง พอได้มาอยู่ร่วมกันเราได้เห็นมุมมองความคิดการเป็นอยู่ของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร เวลาเราออกไปนอกกลุ่ม เราจะได้วางตัวถูก ว่าเราควรอยู่อย่างไร เพราะแต่ละคนแตกต่างกัน

ผมได้ฝึกเรื่องการวางแผนด้วย เมื่อก่อนผมทำอะไรไม่ค่อยวางแผน ไม่ค่อยจัดเวลา เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา พอได้ทำโครงการนี้เราต้องวางแผน วางระเบียบชีวิตของตัวเองมากขึ้น การแบ่งเวลาในแต่ละวัน ต้องทำอะไรก่อน ต้องทำอะไรหลัง เมื่อก่อนมีอะไรผุดมาก็ไปทำ บางทีลืมหลาย ๆ อย่างที่จำเป็นต้องทำ ตอนนี้ผมบริหารเวลาได้ดีขึ้น” ยิบ กล่าว 

ซี กล่าวเสริมว่า “เหมือนกับยิบ เรื่องเวลา ผมรู้จักจัดการเวลา มันมาคู่กันกับความเป็นระบบมีแบบแผน จัดการงานต่างๆ ให้เรียบร้อย รู้ว่าควรทำอะไรตอนไหนเพื่อให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี ได้นำทักษะไปใช้ในการเรียน การทำงานกลุ่ม และใช้จัดการตัวเอง”

“ตอนมาทำโครงการแรกๆ ผมยังไม่รู้สึกว่าเป็นโอกาสนะครับ มาสนุก มาอยู่แบบมีความสุขมากกว่า พอช่วงหลังๆ คิดว่าตัวเองพัฒนามากขึ้น เข้าใจความรู้สึกของผู้คนได้ง่ายขึ้น อยู่กับสังคมได้ง่ายขึ้น ทักษะแต่ละอย่างในการเข้าสังคมก็เพิ่มมากขึ้นด้วย อย่างในห้องเรียนเมื่อก่อนผมอยู่กับเพื่อนแค่สองสามคน ตอนนี้ผมอยู่ร่วมกับเพื่อนได้ทุกคน ทั้งๆ ที่เพื่อนอยู่เป็นกลุ่ม เพื่อนผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง เพื่อนผู้ชายอีกสองกลุ่ม ผมสนิทกับเพื่อนทุกกลุ่มเลย เข้าไปอยู่ร่วมกับทุกกลุ่มได้ หรือถ้าเพื่อนไม่เข้าใจเรา เราก็เข้าไปคุยว่าเป็นอย่างไร ทำไมถึงโกรธ ทำให้ผมเข้าใจว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร เมื่อก่อนคงเลิกคุยกันไปเลย” มุค กล่าว

“เมื่อก่อนผมคิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกหมด จริง ๆ มันมีผิดบ้างถูกบ้าง เราต้องฟังเหตุผลของผู้อื่น ทำให้ผมฟังเหตุผลคนอื่นมากขึ้น” บาส กล่าว

นาร้างบนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ ที่กลุ่มเยาวชนร่วมกันหักร้างถางพงด้วยตัวเอง จากวันที่มีหญ้าขึ้นรกสูงกว่าเอว บางจุดสูงถึงหัว ตอนนี้ต้นข้าวกำลังค่อยๆ ออกรวงเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองทองพร้อมเก็บเกี่ยว แน่นอนว่าความสำเร็จนี้สร้างความภาคภูมิใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก

“เวลาคนผ่านไปผ่านมาก็สงสัยว่าพวกผมใส่ปุ๋ยอะไร ทำไมข้าวสวยดีจัง ทั้ง ๆ ที่พวกผมยังไม่ได้ทำอะไร ดินตรงนั้นมันสมบูรณ์มาก เพราะไม่ได้ทำอะไรมานาน เลยมีแร่ธาตุสะสม พอไปปลูกต้นข้าวก็เจริญเติบโตได้เร็วและออกรวงดี” ยิบ กล่าว

“ตามตำนานครับ เหมือนประวัติความเป็นมาของข้าวที่เล่าไปผู้คนเห็นว่าข้าวออกรวงดี เลยพูดว่า อัลฮัมดุลิลละห์ ขอบคุณพระเจ้าครับ ข้าวอัลฮัมเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน เป็นข้าวพื้นเมืองของเกตรี พวกผมได้รักษาวัฒนธรรมของผู้คนได้สืบทอดต่อไป ต่อชีวิตของข้าวให้อยู่กับชุมชน” มุค กล่าวเสริม

ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับข้าว ทำให้ข้าวพื้นถิ่นกลายเป็นข้าวที่ ‘เคยนิยม’ แล้วค่อยๆ สูญหายไป ความหลากหลายทางชีวภาพของข้าวไทยที่เคยมีมากกว่า 2 หมื่นสายพันธุ์ จึงเหลือเพียงชื่อเรียกตามลิสต์สั้นๆ ในเชิงการตลาด เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวขาวและข้าวเพื่อสุขภาพ

เราในฐานะผู้บริโภคสามารถแยกแยะข้าวที่รับประทาน ได้เพียงความแตกต่างในระดับผิวเผิน เช่น ข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว ข้าวกล้อง/ ข้าวแดงกับข้าวขาว ข้าวเหนียวขาวกับข้าวเหนียวดำ หรือ ข้าวต้มกับข้าวสวย ทั้งที่เอกลักษณ์ของข้าวแต่ละสายพันธุ์มีความมหัศจรรย์และมีคุณประโยชน์มากมายซ่อนอยู่ 

การเข้ามาเรียนรู้และลงมือทำในโครงการเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนแกนนำได้รื้อฟื้นที่นาร้าง ให้กลับมาเป็นแปลงนาทดลองฝีมือเยาวชน  นอกจากสวมบทบาทเกษตรกรหรือคนปลูกข้าวแล้ว พวกเขายังได้เป็นทั้งนักวิจัยพันธุ์ข้าวและนักชิม เป็นทั้งคนขายและคนกินข้าว นำเสนอคุณค่าของ “ข้าวอัลฮัม” ให้คนในชุมชนและผู้คนได้รับรู้

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติข้าวอัลฮัม เป็นความฝันที่พวกเขาอยากสรรค์สร้างให้เกิดขึ้นในตำบลเกตรี เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้และเป็นศูนย์การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ที่จะช่วยเผยแพร่ให้ข้าวอัลฮัมเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

“พิพิธภัณฑ์ข้าวไม่มีหลังคา ถ้าอยากมาเรียนรู้ มาดู คุณต้องลงพื้นที่นา คุณต้องพร้อมสกปรก คุณต้องพร้อมเกลือกโคลนไปกับเรา ตอนนี้ชุมชนอาจจะยังไม่ได้อะไรมากนักจากสิ่งที่เราทำ แต่สิ่งที่ชุมชนได้คือตัวพวกผมเอง อย่างน้อยก็มีพวกผมแล้วสิบคนที่เห็นคุณค่าของข้าวอัลฮัม ศึกษา เก็บรวบรวมความรู้เกี่ยวกับข้าว” กลุ่มเยาวชน กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

ข้าวแต่ละพื้นที่มีฤดูกาลปลูกและฤดูกาลเก็บเกี่ยวแตกต่างกัน ตามสภาพภูมิอากาศ เพราะข้าวมีการตอบสนองต่อช่วงแสงและตามสภาพพื้นที่ หรือที่เรียกว่า “นิเวศการปลูก” ข้าวพื้นถิ่นในแต่ละท้องที่เป็นข้าวที่มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติสอดคล้องกับท้องถิ่นนั้นๆ พันธุ์ข้าวท้องถิ่นจึงมีความแข็งแรง ทนต่อโรค และเติบโตได้ดีเพราะสามารถทนฟ้าทนฝนทนอากาศได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ข้าวกลายเป็นสินค้าการเกษตรส่งออก เกษตรกรจึงพากันเลิกปลูกข้าวพื้นถิ่นแต่หันมาปลูกข้าวสายพันธุ์ยอดนิยม สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ติดกับดักกลไกตลาดโลกที่ส่งผลต่อความผันผวนของราคาข้าว
อ้างอิง
“ชวน ชิม ดม ข้าวใหม่” โอกาสข้าวพื้นถิ่นไทยสู่ตลาดที่เปิดกว้าง
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับข้าวไทย

Tags:

project based learningสตูลพิเชษฐ์ เบญจมาศactive citizen

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ปันจักสีลัต ศิลปะและการต่อสู้ ที่ใช้ทั้งกาย จิต และปัญญาประสานเป็นหนึ่งเดียว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก
Family Psychology
23 December 2020

ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การแสดงออกซึ่งความรัก เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองบางคนไม่เข้าใจ เพราะในวัยเด็กพวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร เกิดความเขินอาย ไม่กล้าพูดความรู้สึกที่มีต่อลูกหรือคนในครอบครัวออกไป
  • ผู้ใหญ่บางคนที่แสวงหาความรักและเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง มักมีประสบการณ์วัยเด็กที่ถูกปฎิเสธซ้ำๆ จากผู้ปกครองตัวเอง
  • บทความนี้จะชวนทุกคนตั้งหลักใหม่กับการแสดงความรักในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือควรเก็บไว้เงียบๆ เริ่มตั้งแต่ความสำคัญของการแสดงความรัก พัฒนาการความสัมพันธ์ในเด็ก และวิธีการสื่อสารกับลูกของผู้ปกครอง

เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่สามารถสื่อสารพูดบอกความต้องการของเขาได้ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้น เวลาที่เขาร้องไห้ก็เพื่อให้ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ตอบสนองเขา แต่บางคนกลับมองว่า…

“อุ้มมากๆ เดี๋ยวก็ติดมือ”

“โอ๋มากๆ เดี๋ยวเด็กก็โตไปเป็นเด็กขี้แย”

“ปล่อยมันร้องเถอะ เดี๋ยวก็เงียบเอง”

สุดท้ายเมื่อไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่เข้ามาปลอบประโลมเขา เด็กอย่างเขาคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการต้องพึ่งพาตัวเองตั้งแต่วัยแบเบาะ ด้วยการปลอบตัวเองให้สงบลง ซึ่งทำให้เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นในวัยที่เขาไม่พร้อม ส่งผลให้เมื่อเด็กเติบโตอาจจะดูแข็งกร้าว แต่ภายในเปราะบางเหลือเกิน

นอกจากนี้ ‘การแสดงออกซึ่งความรัก’ เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองบางคนไม่เข้าใจ แม้พวกเขาจะสามารถบอก ‘รักลูก’ ได้ แต่กลับไม่สามารถแสดงออกซึ่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นการมองตากับลูก สัมผัสทางกาย กอด หอม เกาหลัง ลูบหัว เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่บางคนไม่เคยได้รับมาก่อน ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่า จะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี ที่สำคัญ การพูดถึงความรู้สึกของตัวเองให้กับคนในครอบครัวรับรู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในวัยที่เขาเป็นเด็ก ทำให้ตัวเองเกิดความเขินอาย และไม่กล้าที่จะพูดความรู้สึกที่มีต่อลูกหรือคนในครอบครัวออกไป

ถ้าเรามองย้อนกลับไปในวัยเด็กของผู้ใหญ่บางคน เขาอาจไม่ได้รับความรักอย่างเหมาะสม เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็กลายเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นผู้ปกครองของลูก เขาอาจสงสัยว่า ความรักที่ผู้ปกครองควรจะรักลูกควรเป็นเช่นไร? เพราะตัวเขาเองไม่เคยได้รับความรักเช่นนั้นมา

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

เด็กที่ไม่ได้รับความรักในวันนั้น อาจจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มรักใครอย่างไรดี

ตอนที่ผู้ใหญ่เหล่านี้เป็นเด็ก ‘คำขอ’ ของเขาอาจจะถูก ‘ปฏิเสธ’ จากผู้ปกครองบ่อยครั้ง ในวัยเด็กเขารู้สึกเสียใจและเจ็บปวดกับมันมากมาย แต่มาวันนี้เขากลับชาชิน และเลือกที่จะสร้างกำแพงหนาขวางกั้นระหว่างตัวเขากับผู้อื่น ผู้ใหญ่บางคนที่แสวงหาความรักและเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง มักมีประสบการณ์วัยเด็กที่ถูกปฏิเสธซ้ำๆ จากผู้ปกครองตัวเอง 

น่าแปลกที่ภายในของพวกเขาต้องการให้ผู้อื่นเข้าหา แต่ภายนอกของพวกเขากลับแสดงท่าทีปฏิเสธผู้อื่น แค่เพียงมีใครสักคนมาสัมผัสโดนร่างกายของเขา ความรู้สึกที่เขาได้รับเพียงแผ่วเบาก็มากพอที่จะทำให้เขาถอยหนีอย่างหวาดกลัว เพราะสัมผัสเบาๆ ที่เขาได้รับนั้นมันหนักอึ้งทางความรู้สึก พวกเขากลัวการถูกปฏิเสธเช่นเดียวกับเมื่อครั้งเยาว์วัยที่เขาได้รับ วิธีการที่จะไม่ถูกปฏิเสธเช่นนั้นอีก คือ ‘การปฏิเสธผู้อื่นก่อน’ ที่ตัวเขาจะถูกปฏิเสธนั่นเอง เพราะเขาทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป

ความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นมาจากความขัดแย้งภายในใจระหว่างจิตสำนึก (Conscious) กับจิตใต้สำนึก (Subconscious) ที่มีช่องว่างระหว่างกันมหาศาล เนื่องจากได้รับการสั่งสมมานาน แม้ว่าผู้ใหญ่เหล่านั้นจะรายงานว่า “ตัวเองเติบโตมาในครอบครัวธรรมดา และไม่เคยมีปัญหาหนักใดๆ” 

แต่อย่าลืมว่า ปัญหาเล็กๆ เช่น การได้รับถ้อยคำเชิงลบเพียงไม่กี่คำ เมื่อเจอซ้ำๆ ย้ำๆ บ่อยๆ สามารถกลายเป็นปัญหาทางใจที่ฝังรากลึกติดตัวตั้งแต่เด็กมาจนปรากฏเป็นผลลัพธ์ในวันที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ 

ในใจลึกๆ แล้ว เด็กทุกคนปรารถนาให้ผู้ปกครองเข้าใจตนเอง และมอบความรักให้กับตนโดยปราศจากเงื่อนไข เมื่อพวกเขาไม่ได้รับมันในวัยเยาว์ พวกเขามีแนวโน้มจะเรียกร้องมันในตอนโต

พัฒนาการความสัมพันธ์ในเด็ก: เมื่อความสัมพันธ์แรกเกิดมีผลไปตลอดชีวิตของเด็กคนหนึ่ง

ความสัมพันธ์ เกิดจากพันธะทางอารมณ์ (Emotional bonding) กับบุคคลอื่น John Bowlby (1979) เชื่อว่า พันธะทางอารมณ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ปกครองลูก จะส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของลูกที่มีกับคนอื่นในอนาคตด้วย โดยเฉพาะมีผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์กับคนรักของเขา 

ความสัมพันธ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เลี้ยงดูกับเด็กทารกช่วยเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอดของเด็กทารกมากขึ้น โดยสัญชาตญาณของเด็กทารกที่เกิดมาจึงพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู (โดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นพ่อหรือแม่) ด้วยการเกาะติดและแสดงออกถึงความต้องการให้ผู้เลี้ยงดู เช่น การร้องไห้ให้อุ้ม ให้มาสัมผัส ให้นม และอื่นๆ

นักวิจัย Rudolph Schaffer และ Peggy Emerson (1964) ได้ศึกษาเด็กทารกจำนวน 60 คน ผ่านการเข้าไปสังเกตการณ์พฤติกรรมของเด็กทารกทุกคน ทุกๆ 4 สัปดาห์/ครั้ง ตลอด 1 ปีแรกของชีวิต และอีกครั้งหลังจากเด็กๆ ทุกคนอายุครบ 18 เดือน จากการสังเกตการณ์ระยะยาวครั้งนี้ ทำให้พบว่า เด็กๆ มีพัฒนาการความสัมพันธ์แบ่งเป็น 4 ขั้นด้วยกัน

ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนสร้างความสัมพันธ์ (Pre-Attachment Stage)

เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัย 3 เดือน เขาจะไม่แสดงความต้องการสร้างความสัมพันธ์แบบเฉพาะเจาะจงกับผู้เลี้ยงดูคนไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อหรือแม่ เป็นใครก็ได้ที่เข้ามาอุ้มและดูแล เขาจะไม่ต่อต้านใดๆ เด็กวัยนี้จะแสดงออกผ่านการร้องไห้หรือส่งเสียงร้องอ้อแอ้ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เลี้ยงดูให้มาดูแลเขาใกล้ๆ และตอบสนองเขา ซึ่งเด็กวัยนี้ต้องการความสนใจแทบจะตลอดเวลา

ดังนั้น วัยนี้ไม่มีคำว่า ‘อุ้มมากไป’ หรือ ‘ติดมือ’ เด็ดขาด เพราะธรรมชาติสร้างให้เขาต้องเรียกร้องให้เราเข้าไปใกล้ตอบสนองเขา เพื่อให้เขาได้พัฒนาความไว้วางใจขึ้นมา (Trust buiding) 

ขั้นที่ 2 ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูหลักกับผู้เลี้ยงดูรอง (Indiscriminate Attachment)

ทารกวัย 3 เดือน ไปจนถึง 7 เดือน จะเริ่มแสดงความต้องการที่มีต่อผู้เลี้ยงดูที่แตกต่างกันแล้ว เขารับรู้ได้ว่า ใครเป็นผู้เลี้ยงดูหลัก ใครเป็นผู้เลี้ยงดูรอง วัดจากใครเข้ามาดูแลตอบสนองและใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด วัยนี้ยังคงไม่แยกแยะว่าใครเป็นคนแปลกหน้า ใครเป็นพ่อหรือแม่เขา แต่เขาจะติดคนที่อยู่กับเขามากที่สุด

ด้วยเหตุนี้เอง หากเด็กวัยนี้อยู่กับใครมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นจะแนบแน่นกับบุคคลดังกล่าว หากผู้ปกครองเลี้ยงเขาเอง เขาจะติดเรา แต่ถ้าเราให้คนอื่นเลี้ยงเด็กจะติดคนนั้นมากกว่าเรา

ขั้นที่ 3 ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูกับคนแปลกหน้า (Discriminate Attachment)

ทารกวัย 7 – 11 เดือน เขาจะเริ่มแสดงออกถึงความต้องการและติดกับผู้เลี้ยงดูหลักของเขา จะเริ่มไม่ยอมให้ใครก็ได้มาอุ้ม และต่อต้านที่จะให้คนแปลกหน้ามาจับตัว ที่สำคัญเป็นช่วงวัยที่เกิดความวิตกกังวลเมื่อต้องแยกจากจากผู้เลี้ยงดูหลักของเขา (Seperation anxiety) และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมีคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่รอบตัวเขา (Stranger anxiety)

จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กจะร้องไห้ทันทีเมื่อเราทิ้งเขาไว้กับคนอื่นที่เขาไม่คุ้นเคย หรือเด็กจะไม่ยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ อีก ดังนั้น ถ้าพ่อหรือแม่ที่ฝากลูกไว้ให้คนอื่นเลี้ยงในช่วงวัยนี้มาตลอด โดยไม่ได้ไปหาเขาบ่อยๆ หรือให้ลูกได้เห็นหน้าเรา เราอาจกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูก ถ้าอยากให้ลูกเชื่อใจ ควรค่อยๆ เข้าไปอยู่ในชีวิตเขาให้มากขึ้น เริ่มจากนั่งใกล้ๆ เล่นใกล้ๆ และใช้เวลากับเขาจนเด็กเริ่มชินกับเรา จึงค่อยเข้าไปอุ้มสัมผัสเขา

ทางเลือกของผู้ปกครองทางไกล คือ การไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ หรือ ใช้วิดีโอคอลหาลูกเป็นประจำเวลาเดิม สม่ำเสมอ ระยะเวลาไม่ต้องยาว เพราะเด็กวัยนี้ไม่ควรใช้หน้าจอหากไม่จำเป็น

ขั้นที่ 4 ขั้นสร้างความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ (Multiple Attachments)

ทารกวัย 9 เดือนขึ้นไปจะเริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้เลี้ยงดูหลักของเขาได้แล้ว เขารับรู้ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงดูหลักแตกต่างจากคนอื่นในชีวิตเขา ดังนั้น เด็กวัยนี้สามารถสร้างและแยกแยะความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นกับคนอื่นๆ ได้ เช่น ความสัมพันธ์กับปู่ย่าตายาย พี่น้อง ลุงป้าน้าอา เป็นต้น

เด็กวัยนี้จึงแสดงออกกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นกับบุคคลดังกล่าว เช่น อยู่กับแม่เด็กอาจจะทำตัวทะเล้น อยู่กับปู่ย่าอาจจะเข้าไปอ้อน และอยู่กับพี่น้องอาจจะแสดงออกเป็นผู้ควบคุม เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็ก หากผู้ปกครองสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกได้ เด็กจะสามารถสร้างความเชื่อใจที่มีต่อโลกและผู้อื่นได้ แต่ถ้าเด็กไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขามีผู้เลี้ยงดูหลัก เช่น เด็กที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือเด็กที่เปลี่ยนคนเลี้ยงดูไปเรื่อยๆ ไม่แน่ไม่นอน เด็กอาจสูญเสียความไว้วางใจไป เพราะเขาไม่สามารถมีใครสักคนที่อยู่ตรงนั้นกับเขาไปตลอดเวลาที่เขาต้องการได้ หากเด็กร้องแล้วไม่มีใครมาอุ้ม มาปลอบประโลม เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ร้องเท่าไหร่ก็ไม่มีใครมา เด็กจะเรียนรู้การพึ่งพาตัวเองตั้งแต่วัยแบเบาะ ด้วยการปลอบตัวเองให้สงบลง ซึ่งทำให้เขาเลือกที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้น แม้ในวัยที่เขาไม่พร้อม ส่งผลให้เมื่อเด็กเติบโตอาจดูแข็งกร้าว แต่ภายในเปราะบางเหลือเกิน

ผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องให้การตอบสนองดูแลเมื่อเด็กวัยนี้ต้องการ เพราะเขายังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ความมั่นคงทางใจที่ถูกสร้างขึ้นจะกลายเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่เด็กจะสร้างกับคนอื่นๆ ในชีวิตของเขาอีกด้วย โดยเฉพาะกับคนรักของเขาในอนาคต

ในวัยที่ลูกต้องการความรัก การกอด การอุ้ม และเวลาจากผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดู แต่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่บางคนกลับมองว่า ‘การแสดงออกซึ่งความรัก คือ การทุ่มเททำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ซื้อของเล่นราคาแพงให้ลูก’ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เด็กต้องการมากที่สุด คือ ‘เวลาคุณภาพ’ และ ‘การสัมผัสด้วยรัก’ จากผู้ปกครองของเขา

วันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่และมีโอกาสได้เป็นพ่อแม่ของลูก

หากวันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรารับรู้ได้ว่าในวัยเด็กของเราอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับผู้ปกครอง สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือ ตระหนักรู้ และเลือกที่จะเปิดใจให้โอกาสกับคนที่เข้ามาในชีวิตของเรา เราสามารถเลือกได้ว่า เราอยากจะมีความสัมพันธ์แบบไหน โดยไม่ให้อดีตมาดึงรั้งเราไว้

การพูดคุยสื่อสารกับคนที่รัก จึงเป็นเรื่องสำคัญ บอกเล่าให้เขารับรู้ว่า เรามีความยากลำบากอย่างไรในเรื่องของ ‘ความไว้ใจ’ ในการสร้างความสัมพันธ์กับใครสักคน ความเข้าใจและความไว้ใจเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ความรักเติบโต

เวลาเราต้องการบอกรักลูก เราทำได้ด้วยการมีเวลาคุณภาพและสัมผัสเขาด้วยรัก สื่อสารกับเขาด้วยหัวใจ

วิธีการสื่อสารกับลูกที่ดีที่สุด

ข้อที่ 1 วางเครื่องมือสื่อสารหรือทุกสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าเวลาพูดคุยกับลูก หรืออยู่กับเขา

ถ้าหากเราทำอะไรไปด้วยคุยกับเขาไปด้วย แสดงว่า สิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญ และเด็กอาจไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่า เราพูดอะไรกับเขา และในทางกลับกัน หากเด็กคุยอะไรกับเรา เราก็ควรวางสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงเพื่อรับฟังเขาเช่นกัน

ในกรณีที่เราไม่สามารถหยุดสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าได้ ควรบอกลูกให้ชัดเจนว่า “พ่อ/แม่ขอเวลา…นาทีแล้วจะฟังลูก ลูกช่วยรอพ่อ/แม่ก่อนนะ” แต่เด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเวลา เราบอกลูกได้ว่า “พ่อ/แม่ เหลือทำ…(อีกเท่าไหร่) แล้วจะไปฟังลูกทันที ลูกนั่งรอตรงนี้นะ”

ข้อที่ 2 เวลาคุยกับเขา ให้ย่อตัวลงมาอยู่ในระดับความสูงเดียวกับลูก และมองตาลูกเสมอ

เมื่อเราอยู่ในระดับเดียวกับเขา ลูกจะรู้สึกว่า เขาไม่ถูกกดดันจากเราและรู้สึกปลอดภัย 

เด็กบางคนจะรู้สึกกลัว หรือรู้สึกถูกข่ม เวลาผู้ใหญ่ที่ตัวสูงกว่าตัวเองมองลงมาที่เขา และพูดบางอย่างกับเขา ที่สำคัญเป็นการให้เกียรติลูกด้วย นอกจากนี้ เราควรมองตาเขา แล้วพูดกับเขาให้ชัดเจน เพราะการมองตา ทำให้ลูกเข้าใจว่า เราคุยกับเขาอยู่ และสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เขาควรฟัง นอกจากนี้การมองตากัน ทำให้เด็กสามารถจดจ่อกับสิ่งที่เราพูดกันได้มากขึ้นอีกด้วย

ข้อที่ 3 การสัมผัสเพื่อสื่อสารความรู้สึกรัก

หากเราต้องการบอกรักลูกหรือให้กำลังใจเขา การกอดและสัมผัสที่ตัวเด็กโดยตรง อย่างการลูบหัว เกาหลัง จับที่ไหล่ แตะที่บ่า อาจทำให้เด็กรับรู้ถึงความรู้สึกได้ดีกว่าการแค่พูดบอกเขา

นอกจากนี้ เวลาสัญญาอะไรกับเด็กๆ หากเราลองใช้การเกี่ยวก้อยสัญญา เด็กๆ จะรู้สึกว่า ‘เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสัญญามากจริงๆ’ แม้นั่นจะเป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น แต่สำหรับเด็กๆ คำสัญญาที่เกี่ยวก้อยกันนั่นมีความพิเศษมาก เพราะนั่นคือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับเขา

สุดท้าย คำบอกรักสำหรับเด็กอาจจะเป็นนามธรรมสำหรับเขา แต่ถ้าหากเราใช้การสัมผัสและใช้เวลาอยู่กับเขา เด็กสามารถรับรู้ได้ว่า นี่คือ ‘ความรัก’ จากผู้ปกครองของเขา เมื่อเรามีโอกาสได้เป็นผู้ปกครองของลูก อย่าลืมให้ความรักที่มั่นคงนี้ให้กับลูก เขาต้องการมันจากเรายิ่งกว่าใครๆ

อ้างอิง
Bowlby, J. (1979). The Bowlby-Ainsworth attachment theory. Behavioral and Brain Sciences, 2(4), 637-638.
Schaffer, H. R., & Emerson, P. E. (1964). The development of social attachments in infancy. Monographs of the society for research in child development, 1-77. See Less

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)ความรักThe Untold Stories

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์
Creative learning
23 December 2020

การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • ที่โรงเรียนอนุบาลสตูล พวกเขาออกแบบหลักสูตรโดยใช้โครงงานฐานวิจัย หรือ Research-Based Learning (RBL) ให้ผู้เรียนเป็นคนเลือกเรื่องที่อยากเรียนและลงมือศึกษาด้วยตัวเอง รวมถึงออกแบบแพลตฟอร์มหนึ่งที่ให้เด็กๆ ได้เขียนความฝันของตัวเอง และคุณครูออกแบบการสอนให้ตอบโจทย์เด็กๆ
  • นอกจากนี้ ยังมีวิชาสุนทรียะ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ให้เด็กๆ ได้รู้จักกับวิชาศิลปะเพื่อค้นหาตัวเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เด็กได้ความรู้และทักษะสมรรถนะ พร้อมๆ กับค้นพบตัวตน
  • เพื่อไขเบื้องหลังการออกแบบการเรียนรู้นี้ ชวนไปคุยกับ อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์ หนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล และอดีตนายกสมาคมผู้ปกครองเเละครูโรงเรียนอนุบาลสตูล
  • “ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่า เด็กมีสิทธิที่จะฝัน เขามีสิทธิเป็นของตัวเขาเอง เเต่ระหว่างทางที่โรงเรียนอนุบาลสตูล การศึกษาเราถึงแค่ป.6 บางอย่างจะไปชี้ชัดมากก็ยังทำไม่ได้ เเต่อย่างน้อยเราทำให้เด็กกล้าที่จะบอกว่าความฝันของตัวเองคืออะไร คุณอยากจะเป็นอะไร ให้คนอื่นได้รับรู้เพื่อที่จะได้เติมเต็ม เพื่อจะได้ validate ได้ว่าคุณชอบสิ่งนี้”

ทุกคนเคยมีคำถามที่ตอนเด็กๆ เราจะกลัวกันไหม ให้ความรู้สึกแบบอย่าถามคำถามนี้กับฉันเลย

ของเรามีหนึ่งคำถาม คือ ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร’ เวลาเจอคำถามนี้ทีไรความกดดันตามมาทุกที ให้ความรู้สึกประหนึ่งนางงามตอบคำถามรอบสุดท้าย สปอตไลท์ส่องมาที่เราขณะรอคำตอบ มันค่อนข้างเป็นคำถามวัดใจเลยนะ สมมติตอบว่าไม่รู้ ก็ดูเป็นคนไม่มีอนาคต ไม่รู้จักวางแผนในสายตาคนอื่น หรือตอบไปแล้ว คำตอบดันไม่โดนใจคนฟังอีก ก็เจอปฏิกิริยาตอบกลับ เช่น ‘เอาที่มันเป็นไปได้หน่อย’ ‘ไม่ดีหรอก อย่าเป็นเลยอาชีพนี้’ 

ส่วนตัวเรารู้สึกว่าคำถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรในสังคมเรามันถูกผูกไว้กับคำว่า ‘อาชีพ’ หมายถึงความฝันเราคือเธอจะทำงานอะไร ซึ่งจริงๆ ความฝันเรามันอาจจะไม่ได้เป็นอาชีพก็ได้ เช่น เราแค่ฝันอยากมีชีวิตในฟาร์มได้ไหม? หรือฝันอยากไปเที่ยวรอบโลก 

ซึ่งพอความฝันเท่ากับอาชีพ แถมบ้านเราวงการอาชีพค่อนข้างแคบ งานที่ได้รับคุณค่าเยอะๆ หนีไม่พ้น หมอ ครู วิศวกร กลายเป็นตีกรอบชีวิตเราไปโดยปริยาย และช่วงนี้ที่ระบบการศึกษาเริ่มเปลี่ยนการสอน โรงเรียนหันมาตั้งหลักสูตรโดยวัดว่าเด็กจะได้ทักษะอะไรกลับมา ตอบโจทย์ตลาดแรงงานหรือไม่ 

เราว่าไม่ผิดนะ แต่อย่างน้อยความฝัน… โดยเฉพาะกับเด็กเราไม่ควรได้รับอิสระให้ฝันอย่างเต็มที่เหรอ? มันอาจหลุดจากกรอบสังคม ดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นจริง ถ้าเพียงแต่ได้รับการสนับสนุน

ที่โรงเรียนอนุบาลสตูล ถือเป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล พวกเขาออกแบบหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยใช้โครงงานฐานวิจัย หรือ Research-Based Learning (RBL) คือ ให้ผู้เรียนเป็นคนเลือกเรื่องที่อยากเรียนและลงมือศึกษาด้วยตัวเอง รวมถึงออกแบบแพลตฟอร์มหนึ่งที่ให้เด็กๆ ได้เขียนความฝันของตัวเอง และคุณครูออกแบบการสอนให้ตอบโจทย์เด็กๆ นอกจากนี้ ยังมีวิชาสุนทรียะ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ให้เด็กๆ ได้รู้จักกับวิชาศิลปะเพื่อค้นหาตัวเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เด็กได้ความรู้และทักษะสมรรถนะ พร้อมๆ กับค้นพบตัวตน

อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราชวน อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์ หนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล และอดีตนายกสมาคมผู้ปกครองเเละครูโรงเรียนอนุบาลสตูล มาคุยกัน

เขาคือคุณพ่อและนักธุรกิจที่จับพลัดจับผลูมาทำงานด้านการศึกษาโดยมีความหวังว่าอยากเห็นเด็กๆ เรียนอย่างมีความสุข พร้อมๆ ไปกับได้สร้างฝันอย่างเต็มที่ 

การเปลี่ยนผ่านจากคุณพ่อมาเป็นคนทำงานในภาคการศึกษา

ลูกผมเคยเรียนที่โรงเรียนอนุบาลสตูล เราคอยขับรถรับ – ส่งลูก ก็มีโอกาสเจอคุณสมชาย ตันติ์ศรีสกุล (ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนอนุบาลสตูล) เเละสุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียน ณ ขณะนั้น ได้คุยกันเรื่องการศึกษาเเล้วถูกคอ เลยชวนกันทำกิจกรรมเล็กๆ มาเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งผมคิดว่ามันคงถึงเวลาที่เราต้องทำงานอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ เพื่อจะก่อร่างสร้างที่ทางให้กับคนรุ่นหลัง เลยเป็นที่มาของการตั้งสมาคมผู้ปกครองเเละครูโรงเรียนอนุบาลสตูล ผมได้รับโอกาสเป็นนายกสมาคม และทำงานร่วมกับโรงเรียนเรื่อยมา 

เรื่องที่คุยกันถูกคอ คือเรื่องอะไร?

หลายคนมองว่าการศึกษาเป็นเรื่องที่อยู่แค่ในโรงเรียนเท่านั้น เป็นหน้าที่ของครูเเละโรงเรียน เเต่พวกเราเห็นตรงกันว่าการศึกษามันไม่ใช่เฉพาะโรงเรียน ผู้ปกครองเองก็มีหน้าที่ให้การศึกษาลูก ที่โรงเรียนเราจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล 3 – 3 – 4 คือเรียนอยู่ที่โรงเรียน 30 ที่ชุมชนอีก 30 เและ 40 ที่เหลือก็คืออยู่ที่ผู้ปกครอง อยู่ที่บ้าน การเรียนรู้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ใช่เกิดเเค่ในโรงเรียน 

ผู้ปกครองถือเป็นกุญแจสำคัญหนึ่งในการออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ

โรงเรียนไม่ได้สอนได้ทุกอย่าง บางอย่างเกิดจากการเรียนรู้ที่บ้าน ยกตัวอย่างเช่น การซักผ้ารีดผ้า การทำงานบ้าน รวมไปถึงการปลูกฝังเรื่องวินัย มันสามารถเกิดจากที่บ้านได้ ไม่ใช่แค่ที่โรงเรียน

เเต่เรื่องสอนหนังสือ เรื่องวิชาการ ก็ยังคงเป็นเรื่องหลักที่โรงเรียนรับผิดชอบอยู่ เเต่การศึกษาปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าการเรียนในระบบกับการสอบเเข่งขันมันไม่เท่ากัน ผู้ปกครองก็คงต้องช่วยกันเติม ทำงานร่วมกันกับโรงเรียนต่อไป

แต่บริบทของเเต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะไม่มีเวลา ตัวผมทำงานส่วนตัวจึงบริหารเวลาได้ง่าย เเต่จริงๆ เด็กเขาไม่ได้ต้องการเวลาเยอะนะ เขาต้องการนิดเดียว วันละสัก 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง เราก็เติมเต็มไปเรื่อยๆ ฝึกให้เขาคิด ฝึกให้เขาทำเอง เเล้วก็มีวินัย เด็กไม่ต้องการเยอะ เเต่ต้องการความสม่ำเสมอ

บทบาทของคุณอภิชาติในภาคการศึกษา

อย่างแรกผมเข้ามาช่วยออกเเบบการศึกษา โดยเอาข้อมูลที่โรงเรียนเก็บไว้เยอะมากแต่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ผลการสอบ ตัวผมมีความรู้ด้านสถิติอยู่แล้ว เราก็เอาโปรเเกรมสถิติใช้ประมวลข้อมูลนี้ แล้วเอาผลที่ได้ไปออกแบบการเรียนรู้ให้นักเรียน

นอกจากนั้นก็ชวนพ่อเเม่และเพื่อนๆ มาทำกิจกรรมในห้องเรียนมากขึ้น เช่น เอาคนข้างนอกมาช่วยติวเด็กบ้าง พาคนมาเติมเต็มสิ่งที่คุณครูในโรงเรียนไม่สามารถที่จะสอนได้นอกหลักสูตร หรือบางช่วง คุณครูที่โรงเรียนขาดเเคลน  เราเองสามารถช่วยพาครูข้างนอกมาสอนเด็กได้ พ่อเเม่บางคนก็มาเป็นครูได้ 

การนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อออกแบบหลักสูตรการศึกษา วิธีการเป็นอย่างไร?

ผมว่าจริงๆ ทุกโรงเรียนมีข้อมูลเก็บไว้เยอะนะ อย่างเรื่องการอ่าน ที่เขตพื้นที่จะมีการทดสอบการอ่านออกเขียนได้ของเด็กปีละ 4 ครั้ง อย่างการอ่านมันก็มีหลายเกณฑ์ เช่น อ่านออกไหม? อ่านเเล้วจับใจความได้หรือไม่ เป็นต้น เเต่ว่าข้อมูลของเด็กที่เก็บแต่ละครั้งเป็นข้อมูลดิบที่ทิ้งไป ไม่มีใครนำไปประมวลต่อ ส่งไปให้เขตพื้นที่การศึกษา เขตเอาไปเเล้วก็เงียบ ตัวผมมองว่าข้อมูลเเบบนี้มันน่าสนใจมากนะ เราอยากจะรู้ว่าเด็กที่อ่านไม่ออกไปกระจุกตัวอยู่ตรงไหน มันเป็นปัญหาที่ตัวเด็กหรือเป็นปัญหาที่ครู ข้อมูลสถิติจะช่วยให้เราวิเคราะห์ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น 

ยังมีข้อมูลอีกหลายตัว เช่น การสอบแข่งขันทางวิชาการระดับนานาชาติ เป็นการสอบวัดความสามารถทางวิชาการของแต่ละช่วงชั้น เราก็ดูผลสอบของเด็ก ป.4 ป.5 ป.6 มีความต่างกันอย่างไร เด็กป.4 ทำไมทำข้อสอบได้มากกว่าเด็ก ป.5 เด็กป.5 ทำไมสอบได้มากกว่าเด็ก ป.6 เหตุผลเเละปัจจัยคืออะไร ข้อมูลเเบบนี้เราเอามาใช้ในการบริหารจัดการและออกเเบบการศึกษาได้

ข้อมูลที่ผมใช้จะมี 2 ส่วน ส่วนเเรก – ส่วนที่โรงเรียนมีอยู่เเล้ว ปกติโรงเรียนต้องส่งข้อมูลต่างๆ ให้เขตพื้นที่อยู่แล้ว แต่ส่วนมากไม่ได้ใช้ต่อ เราหยิบข้อมูลนี้มาประมวลผลได้ ส่วนที่สอง – ข้อมูลการสอบสนามใหญ่ เช่น โครงการสอบของสสวท. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) การสอบแข่งขันทางวิชาการระดับนานาชาติ เป็นข้อมูลที่ประกาศในเว็บไซต์สาธารณะ เเต่ไม่มีใครเอาข้อมูลมาประมวลต่อ เราก็หยิบมาใช้

เรียกว่าใช้ความสามารถหลายๆ ศาสตร์จากผู้ปกครองหลายคน มาอุดรอยรั่วและช่วยสนับสนุนการศึกษาในความถนัดของตัวเอง 

ใช่ เเล้วผู้ปกครองก็จะได้เห็นศักยภาพของลูกตัวเอง จริงๆ มันก็มีประเด็นการเก็บข้อมูล เพราะบางคนก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็น บางคนก็อยากให้ประกาศให้เห็นกันชัดๆ เพราะฉะนั้น เราใช้วิธีการเอาคะแนนของเเต่ละคนมา plot เทียบกับสถิติ อย่างเช่น สูงสุด – ต่ำสุด ค่าเฉลี่ย เขาอยู่ตรงไหน เขาเป็นคนที่เท่าไหร่ในเเต่ละวิชา เราไม่ได้ประกาศ เเต่บอกเป็นรายบุคคล เขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของระดับชั้น คะแนนที่ตัวเองได้เทียบกับค่ากลางหรือค่าสูงสุด เพื่อพัฒนาตัวเองต่อ เราจัดทำเป็นข้อมูลส่วนตัว 

ข้อมูลมันมีประโยชน์มากนะ อย่างเช่น ณ โรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ปีๆ หนึ่งเขาจะรับเด็กที่สอบเข้าได้ 20 คน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยู่ใน 20 อันดับเเรก คุณก็มีโอกาส เเต่ถ้าเด็กบางคนที่รู้ข้อมูลก่อนว่าเขาอยู่ที่ลำดับ 25 อยู่ที่ 30 ถ้าคุณอยากติด เเปลว่าคุณต้องสปีดตัวเองขึ้น ทำงานหนักมากขึ้น เพื่อที่จะไต่ขึ้นไปอยู่ในลำดับ 1 – 20 ข้อมูลจะช่วยให้เกิดการพัฒนาเเบบนี้ เราไม่ได้มองว่านี่เป็นการเเข่งขัน เพราะ ณ ระบบวันนี้ เก้าอี้มีจำนวนจำกัด เพราะฉะนั้นทุกคนพยายามที่จะช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด นี่คือส่วนที่เรามองว่าเราช่วยเด็กเเละผู้ปกครองได้ การเห็นข้อมูลจะทำให้คุณมีเวลาเตรียมตัวเเละปรับปรุงตัวเอง

ต่อให้บอกว่านี่เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนา แต่สุดท้ายมันก็วนไปที่การแข่งขันอยู่ดี 

ต้องบอกว่าบางครั้งตัวข้อมูลก็ขึ้นอยู่กับมุมมองเเละเจตนา เราปฏิเสธความจริงได้ไหม? เราจะเอาอะไรมาวัด มาบอกว่าตัวเราอยู่ตรงไหน ถ้าเราไม่ยึดข้อมูล เเต่ถ้าเราบอกว่าเราเอาข้อมูลนั้นเพื่อบอกว่าเราอยู่ตรงไหนเป็นการเเข่งขัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาที่จะเอาไปใช้

เเต่สำหรับเรา เจตนาคือเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน อย่างเช่น คนที่อยู่ลำดับ 20 คุณสุ่มเสี่ยงมากนะ สอบคราวหน้าถ้าคุณพลาดไป 1 ข้อ ขณะที่คนที่สอบได้ที่ 21 เขาได้อีก 1 ข้อ เขาอาจมาเเทนคุณทันที เพราะฉะนั้นข้อมูลบอกให้คุณพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่การเเข่งขัน มันขึ้นอยู่กับมุมมอง

ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาทำงานในสายนี้ เราได้วาดภาพไว้ไหมว่าอยากเห็นอะไร?

สิ่งที่ผมต้องการไม่ได้ใหญ่เลย เราอยากเห็นเด็กเรียนอย่างมีความหมายเเละมีความสุข เพราะเรารู้สึกว่าการศึกษาในปัจจุบันทำร้ายเด็ก มันตัดความคิดสร้างสรรค์ ตัดความเป็นเด็กออกไป คือระบบมันทำให้เด็กมุ่งเเต่เรียน ทำข้อสอบ ติว เเข่งขัน  วิถีความเป็นเด็กมันหายไป มีเด็กเเค่หยิบมือเดียวประมาน 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ที่ได้อย่างที่ตัวเองหวัง เเต่เด็กอีก 80 เปอร์เซ็นต์ก็คือหลุดออกจากระบบ ไม่ได้อะไรเลย

คนที่ไปสอบสนามไหนก็ winner takes all ได้ทุกอย่าง ในขณะเด็กที่หลุดก็หลุดทุกสนามเหมือนกัน มาเรียนก็เบื่อๆ ไม่สนุก อย่างนี้เรามองว่าการเรียนไม่มีความหมาย เด็กไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอยากเห็นก็คือ ทำยังไงให้เด็กเรียนอย่างมีความหมายเเละมีความสุข นั่นคือเจตจำนงเเละทุกกิจกรรมที่เราทำเพื่อที่จะให้เด็กเรียนอย่างมีความหมายเเละมีความสุข

เป็นความรู้สึกที่ได้จากประสบการณ์ตรง

ถามว่าทุกวันนี้เด็กเรียนจบไป เขาทำอะไร สิ่งที่เรียนได้เอาไปใช้หรือเปล่า เเม้เเต่รุ่นเราเองก็พูดว่าเรียนมาไม่เห็นได้ใช้เลย เเปลว่าเรียนเเล้วไม่มีความหมาย เราอยู่ในภาคธุรกิจ เราเห็นเด็กที่จบมา เรารับเขาเข้ามา ความรู้ที่เขามีมาเเต่เดิม เขาเรียนมา 10 – 20 ปี แต่แทบไม่ได้ใช้เลย เราก็พบว่าการเรียนเเบบนี้มันไม่มีความหมาย ด้วยที่เราเป็นผู้ประกอบการเเละจากประสบการณ์ที่เราทำงาน เราก็เห็นว่าการเรียนเเบบนี้ไม่มีความหมาย เเล้วจะทำอย่างไรให้การเรียนนั้นมีความหมาย…

ถามว่าจำเป็นไหมต้องเรียนจบปริญญาเเล้วทำงานได้ ที่ จ.สตูล เรามีเเหล่งท่องเที่ยวเยอะเเยะ ต้องการอาชีพพวกนี้มาก เเต่เด็กที่จบมากลับไม่ได้มีความสามารถหรือทักษะที่จะเอื้อให้ไปทำงานต่อได้เลย เรามองว่านี่เป็นการเรียนเเบบไม่มีความหมาย

ถึงแม้คุณอาจไม่ได้จบปริญญา แต่สิ่งที่คุณเรียนที่ผ่านๆ มา มันน่าจะเป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพให้คุณได้ นี่คือการเรียนที่เรามองว่ามีความหมาย

วันนี้ทุกคนเรียนไป ถามว่าทุกคนมีเป้าหมายไหม ผมว่าเเทบไม่มีเลยนะ เราเรียนไปเพื่อเรียนให้จบ เเต่ถามว่าจบไปทำอะไร หรือคุณมั่นใจไหมว่าสิ่งที่คุณเรียนคือสิ่งที่คุณชอบจริงๆ ส่วนมากก็พ่อเเม่อยากให้เป็นบ้าง เพื่อนชวนบ้าง หรือเห็นเพื่อนเป็นกันเยอะ มันเท่ เราเลยอยากไป

เเต่เอาจริงๆ นะ ก่อนที่จะไปถึงจุดที่ต้องตัดสินใจว่าอยากเป็นหรือเรียนอะไร จะมีเด็กสักกี่คนที่มีโอกาสได้ ตรวจสอบ (validate) ตัวเอง ได้พิสูจน์ว่าฉันชอบอย่างนี้นะ ยกตัวอย่างเช่น เด็กเล็กๆ เห็นตำรวจจราจรยืนโบกรถอยู่หน้าโรงเรียน เด็กเขาก็รู้สึกว่านี่เท่มากใส่ชุดเครื่องเเบบ โตมาอยากเป็นตำรวจจราจรบ้าง ถามว่าเขาจะได้มีโอกาสไปลองไหม? มีกี่คนที่มีโอกาสที่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองฝันต้องทำยังไงถึงจะไปจุดนั้นได้ ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เราไม่มีโอกาสให้เด็กได้ลองทำเเบบนี้เลย 

เพราะฉะนั้น การเรียนเเบบนี้ไม่มีเป้าหมาย มันเลยไม่มีความหมาย ซึ่งเป้าหมายของเเต่ละคนมันก็ยากที่จะบอกในตอนนี้ เเต่อย่างน้อยเด็กๆ ควรมีโอกาสได้ฝัน เราสามารถให้เขา validate ฝันเขาได้ไหม ถ้าเขาอยากเป็นหมอ เขาต้องเตรียมตัวอย่างไร อาชีพหมอเป็นยังไง เขาทำงานอะไรบ้าง 

บางคนรู้ว่าสถานภาพทางครอบครัวไม่พร้อม ฐานะไม่พร้อม การเรียนบางอย่างต้องใช้เงินมันมีทางอื่นไหม มีทุนให้ไหม ถ้าไม่มีต้องหยุดกลางคัน เเล้วเราต้องทำอย่างไร 

แล้วเราจะทำยังไงที่จะช่วยสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสฝันและทดสอบความชอบตัวเอง

ปีล่าสุด โรงเรียนอนุบาลสตูลมีโอกาสได้ออกเเบบหลักสูตรเอง ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ เรามีวิชาหนึ่งชื่อวิชาสุนทรียะ ให้เด็กเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ทางศิลป์ เช่น ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ ให้เด็กมีโอกาสได้ไปดูว่าเขาชอบสิ่งเหล่านี้ไหม มันสามารถไปเป็นพื้นฐานของอะไรได้บ้าง การออกเเบบเเบบนี้ทำให้เด็กทดสอบตัวเองในเเต่ละมุม สมมติเทอมนี้ลองเรียนนาฏศิลป์แล้วรู้สึกไม่ชอบ เทอมหน้าก็เปลี่ยนใหม่ได้ หรือถ้าคุณยังชอบ คุณก็ validate เเละพัฒนาเพิ่ม อย่างนี้คือการออกเเบบของโรงเรียนที่ทำให้เด็ก validate ตัวเอง ในอนาคตตัววิชาอาจมีศาสตร์ด้านอื่นๆ เช่น วิชาช่าง เป็นต้น

ถ้าเราลองไปดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 54 จะระบุไว้เลยว่าการศึกษาต้องตอบสนองความต้องการเป็นรายบุคคล เเต่การศึกษาบ้านเรามันเป็นแบบ one size fit all ในประเทศนี้เราทำให้ทุกคนเหมือนกัน เราไม่เอาความแตกต่างของแต่ละบุคคลเป็นที่ตั้ง 

นอกจากนี้ เราวางแผนจะสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลขึ้นมาอันหนึ่ง เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ครูใช้ออกแบบการเรียนการสอน พาร์ทหนึ่งเราจะให้เด็กเข้าไปกรอกว่าความฝันของคุณคืออะไรเป็นรายบุคคล สามารถเข้าไปเปลี่ยนได้ตลอดนะ เพราะฝันของเด็กมันไม่อยู่คงทน หรือจะคงทนต่อก็ไม่เป็นไร เเต่ถ้ามันจะเปลี่ยนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จากนั้นให้ครูออกแบบหลักสูตรที่สามารถตอบสนองความฝันเด็กๆ ได้

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่า เด็กมีสิทธิที่จะฝัน เขามีสิทธิเป็นของตัวเขาเอง เเต่ระหว่างทางที่โรงเรียนอนุบาลสตูล การศึกษาเราถึงแค่ป.6 บางอย่างจะไปชี้ชัดมากก็ยังทำไม่ได้ เเต่อย่างน้อยเราทำให้เด็กกล้าที่จะบอกว่าความฝันของตัวเองคืออะไร คุณอยากจะเป็นอะไร ให้คนอื่นได้รับรู้เพื่อที่จะได้เติมเต็ม เพื่อจะได้ validate ได้ว่าคุณชอบสิ่งนี้ คุณบอกว่าคุณอยากจะเป็นศิลปินหรือนักวาดรูป เเต่คุณไม่ยอมวาดรูป มันเป็นไม่ได้ อยากจะเป็นวิศวกร เเต่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ ก็เป็นไม่ได้

ครูออกแบบการสอนอย่างไร?

เเต่เดิมเเผนการสอนเเละการวัดผลอยู่ในกระดาษ เเต่ในปัจจุบันเรามีเเพลตฟอร์มที่ครูสามารถออกเเบบแผนเเละกิจกรรมการสอนบนเเพลตฟอร์มออนไลน์ มันสามารถบอกได้ว่ากิจกรรมการสอนนี้มีตัวชี้วัดอะไรบ้าง ครูสามารถเลือกได้จากตรงนั้น สิ่งที่ออกเเบบสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่เกิดขึ้นหรือไม่ มากไปกว่านั้น ถ้าคุณมีหลายกิจกรรม มีหลายๆ เเผนการสอน ระบบจะประมวลให้เลยว่าสิ่งที่คุณสอนครบเเล้วหรือยัง ขาดอะไร เพราะระบบจะเข้ามาช่วยให้ครูทำงานง่ายขึ้น 

จากที่ออกแบบการสอนบนแผ่นกระดาษ โดยไม่รู้ว่าเเผนการสอนนี้มีตัวชี้วัดอะไรบ้าง อีกเเผนมีตัวชี้วัดอะไร ถ้ารวมเเล้วมีอันไหนมากน้อยเท่าไร ขาดตัวไหน เเต่ตัวเเพลตฟอร์มตัวนี้ ครูจะเห็นเลยว่า มีกี่ตัวเเล้ว เเล้วยังขาดอีกกี่ตัว ระบบจะบอกเเละช่วยประมวลผลให้เลย เพราะฉะนั้นครูจะทำงานง่ายขึ้น

ฟังดูแล้วแพลตฟอร์มนี้เหมือนเครื่องมือวิเศษช่วยครู น่าจะมีนานแล้ว

การทำงานกับโรงเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าโรงเรียนมีข้อจำกัดเยอะ กว่าที่เราจะออกเเบบตรงนี้ได้ก็ต้องมีประสบการณ์ ต้องปรับหลายเรื่องให้เหมาะ เชื่อไหมว่าครูบางคนเขียนเเผนการสอนไม่ค่อยเป็น เพราะที่ผ่านมาครูซื้อเเผนการสอนเเบบสำเร็จ เเล้วครูต้องออกเเบบหนึ่งกิจกรรมที่ต้องตอบความต้องการของเด็กที่เเตกต่างกัน ก็ต้องคิดอย่างละเอียด 

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะมีขึ้นมาได้ ต้องฝึกครูมาก่อน กว่าที่ครูจะเข้าใจกระบวนการ ขั้นตอนทำอย่างไร เเล้วมาประมวลผลเป็นระบบ ถ้าไม่มีองค์ความรู้ที่มากพอ เหมือนที่บอกว่าการที่จะรู้ว่าเด็กจะเรียนรู้อะไร คุณต้อง validate หลายๆ เรื่อง อันนี้ก็เหมือนกัน การที่จะทำระบบได้ เราก็ต้อง validate ครูในหลายๆ เรื่อง ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้

แพลตฟอร์มนี้ใช้เฉพาะที่โรงเรียนนี้ หรือที่โรงเรียนอื่นก็ใช้แล้ว

ตอนนี้เฉพาะโรงเรียนนำร่อง เริ่มทำเเพลตฟอร์มสำหรับคุณครูที่จะทำเเผนการสอน เเล้วต่อไปทุกอย่างมันจะต้องลิงก์ถึงกันว่า เเผนการสอนของครูตอบโจทย์เด็กเเต่ละคนหรือเปล่า จริงๆ ควรทำพอร์ตโฟลิโอของเด็กเเต่ละคนเลย ปัจจุบันเรามีเเต่ ปพ. (เอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน) มันก็เป็นบล็อก หรือวิชาเลือกที่เราบอกกันว่าให้เด็กเลือก เด็กมีสิทธิเลือกจริงๆ เหรอ? ไม่มี วิชาเลือกเขายังเลือกไม่ได้เลย นี่คือความเศร้าของการศึกษาที่เกิดขึ้นอยู่ เพราะฉะนั้น เราพยายามให้เด็กมีโอกาสได้เลือก เเละได้ทำในบริบทที่เขาต้องการ

เราเพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่นาน ตอนนี้เราให้ครูเริ่มก่อน เมื่อพาร์ทของครูนิ่งเเล้ว เราจะเริ่มให้เด็กเข้าใช้เพราะเราพึ่งใช้เเพลตฟอร์มนี้เป็นปีเเรก เพราะถ้าทำพร้อมกัน จะมีประเด็นว่าอันนี้ก็เป็นปัญหา อีกฝั่งก็เป็นปัญหา เเต่เราเริ่มไปทีละส่วน ตอนนี้คิดว่าของเด็กใกล้เเล้ว เพราะของครูใกล้เสร็จเเล้ว

นอกจากแพลตฟอร์มนี้ โรงเรียนยังมีเครื่องมืออะไรอีกบ้างที่ช่วยนักเรียนค้นหาตัวเอง

ทุกวันนี้เราจัดการเรียนเเบบ active learning คือ ใช้โครงงานฐานวิจัย หรือ Research-Based Learning (RBL) ในการเรียน โดยเด็กเป็นคนเลือกว่าอยากเรียนเรื่องอะไร เเล้วเขาจะลงไปทำ ศึกษาข้อมูล ซึ่งเเต่ละคนจะมีความชอบหรือความถนัดไม่เหมือนกัน ในหนึ่งเรื่องเราสามารถออกเเบบได้หลายเเบบ เช่น คนไหนถนัดคำนวณก็ให้เขาทำงานคำนวณ คนไหนถนัดงานศิลปะก็มุ่งงานศิลปะ หรือถนัดการพูดก็มุ่งไปที่การพูดได้ ในหนึ่งกิจกรรมมันสามารถออกแบบเพื่อต่อยอดความชอบเเละความถนัดของเด็กได้หลากหลาย

ผมมองว่า การเรียนที่นักเรียนได้ลงมือทำ (hand – on) ทำให้เด็กมีความสุขเเละได้สมรรถนะ คือ ไม่ใช่เเค่มีความรู้ เเต่เขารู้ว่าจะได้ความรู้นี้มาอย่างไร (learn how to learn) เช่น ถ้าตั้งคำถามแบบนี้ จะได้คำตอบอย่างไร หรือเรื่องนี้คุณไม่มีคำตอบ จะไปหาข้อมูลที่ไหน การตรวจสอบความน่าเชื่อถือเเละความถูกต้องของข้อมูล

คนมักบอกว่าการศึกษาไทยเเก้ไม่ได้ในชาตินี้ สำหรับคุณอภิชาติคิดยังไงกับคำถามนี้?

ชาติไหนก็แก้ไม่ได้ครับ ถ้าทุกคนมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาของตัวเอง การศึกษาเป็นปัญหาของทุกคน ถ้าเราบอกว่าจะปฏิรูปแล้วเรารอนายกฯ รอกระทรวง สมมติว่าถ้าวันนี้กระทรวงให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ถามว่าครูพร้อมเป็นกระบวนกรไหม? พ่อแม่โอเคไหมถ้าลูกสอบไม่ได้ที่หนึ่ง พ่อแม่รับได้ไหมถ้าลูกไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นวิศวกร ถ้าลูกอยากเป็นนักดนตรีหรือนักฟุตบอล เรากล้าเปิดใจไหม 

ผมมองว่าต่อให้ระบบเอื้อคุณแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ปรับตัวก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้การปฏิรูปที่แท้จริง คือ การมองจากข้างล่างขึ้นข้างบน เกิดจากตัวเราทุกคน เราทุกคนทำตัวให้พร้อมก่อนผมเชื่อว่าถ้าเราพร้อม ระบบจะพร้อมหรือไม่พร้อม แต่เราก็พร้อมแล้ว ถ้าเราพร้อมมากเพียงพอ สุดท้ายระบบก็ต้องเปลี่ยน มันอยู่ไม่ได้หรอก

พื้นที่นวัตกรรม โครงการนำร่องแห่งการปฏิรูปการศึกษา ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง เป็นการร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายและชุมชน ร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อทำให้ความหลากหลายของการศึกษาปรากฏตัว

พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนอนุบาลสตูลได้ที่
วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน
40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน

Tags:

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาResearch Base Learning(RBL)สตูลโรงเรียนอนุบาลสตูลอภิชาติ อดิศักดิ์

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘ครูสามเส้า’ นวัตกรรมการศึกษาโรงเรียนอนุบาลสตูล : เมื่อครูอยู่รอบตัวเรา และการเรียนรู้ไม่ได้หยุดแค่ห้องเรียน

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Education trend
    โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

Generation of Innovators : กล้าที่จะสร้างนวัตกรรม ทักษะคนรุ่นใหม่ในยุค Disruption
21st Century skills
23 December 2020

Generation of Innovators : กล้าที่จะสร้างนวัตกรรม ทักษะคนรุ่นใหม่ในยุค Disruption

เรื่อง The Potential

คุยกับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Head of Venture Builder แห่ง SCB10X, ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสอนวิชานวัตกรรม Design Thinking for Business Innovation ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง และอีกหลายบทบาทเกี่ยวกับงานนวัตกรรม 

ว่าในฐานะคนที่ทำงานกับคนรุ่นใหม่ ในฐานะหัวหน้าทีมนวัตกรรมแห่งธนาคารไทยพาณิชย์ เขาเห็นว่าอะไรคือศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มองหา อะไรคือจุดปิดกั้นศักยภาพนั้น และทำไมการมีทักษะนวัตกร จึงจำเป็นสำหรับคนยุคนี้

บทความฉบับเต็ม คลิก

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsGeneration of Innovatorกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี
Education trend
23 December 2020

Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี

เรื่อง The Potential

เรามี ‘วิธีการเรียนรู้’ หรือ learning style ไม่เหมือนกัน บางคนชอบเรียนผ่านการอ่าน บางคนผ่านการฟัง บางคนคนเรียนรู้ผ่านการใช้ร่างกาย บางคนเรียนรู้ผ่านการดูและจดจำ

จะดีแค่ไหนถ้า ‘ครู’ รู้ทัน และจัดองค์ประกอบการเรียนเฉพาะคน รู้จักกับ ‘Learning Analytic’ ระบบการวิเคราะห์สไตล์การเรียนเฉพาะบุคคล ทางลัดในการติดตั้งทักษะให้นักเรียน โดยนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี – สฤษดิ์วงศ์

– การถ่ายทอดทักษะ soft skills เป็นเรื่องยาก ถ่ายทอดอย่างไรดี?

– แม้ครูตั้งใจจะทำเช่นนั้น แต่ครูไม่มีข้อมูล หรือ ตัวช่วยเพียงพอว่า เด็กแต่ละคนเหมาะที่จะเรียนรู้แบบไหน เครื่องมือนี้จึงจะเป็นเครื่องมือที่รวบรวม ‘learning style’ ของเด็ก และให้ครูมี ‘ข้อมูล’ จัดสภาพการเรียนรู้ที่เหมาะกับเค้า

– ที่ต่างประเทศมี open badges ระบบเก็บชุดประสบการณ์ แล้วแปลสิ่งนี้ไปเป็น ‘ทักษะ’ เช่น เราทำงานพาร์ทไทม์มา 3 ปี ระบบก็จะเก็บ ‘ทักษะ’ เหล่านี้ไปใช้ในการสมัครงานได้!

Tags:

นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์Learning Analyticครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนGeneration of Innovator

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel