Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2020

เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น: นิยายญี่ปุ่นที่ทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลา
Book
19 June 2020

เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น: นิยายญี่ปุ่นที่ทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลา

เรื่องและภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • หากมีโอกาสสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้เมื่อนั่งเก้าอี้พิเศษในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ แต่เเค่เพียงช่วงเวลากาแฟยังอุ่น และไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหน ความจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะอยากกลับไปไหม และอยากกลับไปพบใคร
  • พล็อตเรื่องการย้อนเวลาสุดคลาสสิค ที่ถูกหยิบมาเล่าด้วยกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น ที่ชวนผู้อ่านตั้งคำถามถึงห้วงเวลาสำคัญต่อหัวใจในอดีตและการประคับประคองหัวใจดวงเดิมที่อาจมีบาดแผลต่อไปในอนาคต 
  • หนังสือเล่าเรื่องราว 4 รูปแบบความสัมพันธ์ของคนสี่คน ที่เลือกใช้โอกาสนี้เดินทางข้ามเวลา ทั้งในฐานะคนรัก สามีภรรยา พี่น้อง และแม่ลูก 

ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ Funiculi Funicula มีตำนานประจำเมืองเล่าขานว่า เมื่อได้นั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งในร้าน จะสามารถเดินทางข้ามเวลากลับไปในอดีตได้ ลูกค้ามากมายจากทั่วสารทิศจึงเดินทางมาเพื่อลิ้มรสประสบการณ์นี้ …

การย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต เป็นเรื่องที่ใครหลายคนปรารถนา  อย่างที่เราเห็นกันในพล็อตหนังและนิยาย Sci-fi หลายต่อหลายเรื่อง บางคนอาจส่ายหน้ากับพล็อตนี้ ในขณะที่บางคนกับโดนดึงดูดได้ในเพียงเสี้ยววินาที แตกต่างกันไปตามประสบการณ์และเรื่องราวที่อดีตประทับไว้ในใจ 

สารภาพว่าเราเป็นคนกลุ่มแรกที่ปวดหัวกับเส้นเรื่องการเดินทางข้ามเวลา และไม่ได้แยแสกับการแก้ไขอดีตนัก แต่กลับโดนหนังสือเล่มนี้ดึงดูดตั้งแต่สบตากับหน้าปก และคงเพราะความแตกต่างของเงื่อนไขการย้อนเวลาในหนังสือเล่มนี้ ที่มีกฏอยู่จำนวนหนึ่ง คือ คุณจะต้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนี้เท่านั้น คุณจะพบได้เฉพาะคนที่เคยมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ โดยมีเวลาแค่เพียงชั่วกาแฟยังอุ่นและต้องดื่มกาแฟให้หมดถ้วยก่อนที่จะเย็นชืดเพื่อเดินทางกลับสู่ปัจจุบัน และที่สำคัญ แม้จะย้อนเวลากลับไปได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ความจริงที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนแปลง 

รู้แบบนี้แล้ว คุณยังอยากย้อนเวลากลับไปอีกไหม?

หากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลง นั่นยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า อดีตไม่สามารถแก้ไขได้ แล้วการย้อนเวลาได้จะมีความหมายอะไร?

ด้วยกฏอันซับซ้อนมากมายที่กล่าวมา อาจทำให้ใครหลายคนหันหลังให้กับโอกาสนี้เช่นเดียวกับลูกค้ามากมายในหนังสือที่เลือกจะไม่ย้อนกลับไป แต่มีลูกค้า 4 ราย ใน 4 รูปแบบความสัมพันธ์ เลือกที่จะใช้โอกาสนี้ 

หนึ่ง หญิงสาว ในฐานะ คนรัก ที่แฟนหนุ่มชวนออกมาพบที่ร้านกาแฟ เธอออกไปซื้อชุดสวยเพราะใจหวังว่าจะถูกขอแต่งงาน แต่กลับมาเจอกับถ้อยคำบอกลาก่อนที่แฟนหนุ่มจะเดินทางไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา 

สอง นางพยาบาล ในฐานะ ภรรยา ที่สามีกำลังเผชิญกับอาการของโรคอัลไซเมอร์ และความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องของเธอกำลังค่อยๆ หายไป ในขณะที่สามีของเธอจะมานั่งที่ร้านกาแฟแห่งนี้ทุกวันเพราะหวังจะย้อนเวลากลับไปหาใครบางคน 

สาม เจ้าของร้านขายขนมที่กิจการกำลังไปได้ดี ในฐานะ พี่สาวและลูกสาว ที่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านตั้งแต่วัยรุ่น เพราะไม่อยากสืบทอดกิจการของครอบครัว เธอทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ย้ายมาอยู่ในเมือง เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างกิจการของตัวเอง และปฏิเสธคำชวนกลับบ้านของน้องสาวที่มาตามเธอทุกเดือนอยู่นานหลายปี 

สี่ ภรรยาเจ้าของร้าน ในฐานะ ว่าที่คุณแม่ ใครที่ได้รู้จักต่างชื่นชมว่าเธอคือผู้ที่มีพรสวรรค์ในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอกำลังตั้งครรภ์แม้รู้ว่าโรคประจำตัวที่มีมาแต่กำเนิดนั้นอาจส่งผลให้ร่างกายของเธออ่อนแอเกินกว่าจะรับมือการคลอดไหว และการเลือกเก็บเด็กไว้อาจนำไปสู่ทางเลือกระหว่างการรักษาชีวิตของลูกหรือของแม่ 

เรื่องราวทั้งสี่ถูกถ่ายทอด ร้อยเรียงอย่างละเมียดละมุนผ่านเหตุการณ์ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่ามีแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่จะเขียนนิยายรสชาติแบบนี้ได้ เราเชื่อว่าไม่ว่าตอนนี้คุณจะอยู่ในฐานะไหน กำลังดื่มด่ำหรือใกล้หมดศรัทธากับความรักในความสัมพันธ์รอบตัว ต้องมีสักเรื่อง สักจุดยืนหนึ่งของตัวละครในเรื่องนี้ ที่เชื่อมโยงได้อย่างง่ายดาย และอาจเผลอเสียน้ำตาให้โดยไม่รู้ตัว  

ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และท่ามกลางกระแสและข่าวรายวันอันร้อนแรงเต็มหน้าฟีด การได้ออกห่างจากโซเชียลมีเดียและใช้เวลากับหนังสือสักเล่มเป็นเสมือนการได้นั่งตากพัดลมในบ่ายวันอาทิตย์ที่อากาศร้อนเกิน 33 องศาเซลเซียส แถมหนังสือเล่มนี้ยังเป็นโชคสองชั้น ที่เหมือนพาเราไปนั่งรื่นรมย์กับมุมมองการใช้ชีวิตเคล้ากลิ่นมอคค่าในร้านกาแฟอีกด้วย และแม้ช่วงเวลากาแฟยังอุ่นจะจบลง แต่ความอบอุ่นหัวใจหลังได้อ่าน จะอยู่ต่อไปอีกหลายวันเลยล่ะค่ะ 

นิยายเรื่องนี้แปลมาจากนิยายญี่ปุ่นขายดีชื่อ Coffee Ga Samenai Uchi Ni มียอดขายกว่า 850,000 เล่มในญี่ปุ่น และถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อ Cafe Funiculi Funicula (2018) ซึ่งชื่อ Funiculi Funicula มาจากเพลงภาษาอิตาเลียน 

บนปกโปรยไว้ว่า “นิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลา” เราขอเสริมอีกนิดว่า หนังสือเล่มนี้ยังจะทำให้คุณเข้าใจความหมายของการมีชีวิตและการยังมีเวลาให้ได้ใช้ร่วมกัน แม้อาจจะเป็นคำที่ฟังดูเชยแสนเชยกับการตอกย้ำ “ความสำคัญของวันนี้” แต่ก็เป็นมนุษย์อีกนั่นแหละมิใช่หรือ ที่ยังคงผิดพลาดซ้ำเดิมและอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ส่งโอกาสครั้งที่สองมาให้

คำถามคือ ถ้าพระเจ้าส่งโอกาสมาให้แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรและใช้มันได้คุ้มค่ากับที่วิงวอนขออยู่ทุกคืนหรือเปล่า

และถ้าวันนี้ คือ present หากมีเวลาได้พบหน้าและสนทนากัน แม้เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น วันนี้คุณอยากชวนใครไปดื่มกาแฟด้วยกันคะ 

🙂

Tags:


Author & Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Movie
    The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

‘การตี’ วิธีลงโทษที่เด็กๆ อยากให้นึกถึงเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อเขาทำผิด : ญา ปราชญา
Family Psychology
18 June 2020

‘การตี’ วิธีลงโทษที่เด็กๆ อยากให้นึกถึงเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อเขาทำผิด : ญา ปราชญา

เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้การทำโทษด้วยการตีจะทำให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงการกระทำของตัวเองอย่างรวดเร็วเดี๋ยวนั้น แต่ในทางกลับกันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกที่พวกเขารู้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำมันผิด แต่คือการใช้ความรุนแรง ‘บังคับ’ ให้พวกเขาเปลี่ยนพฤติกรรม โดยที่เด็กๆ เองก็ไม่ทราบถึงเหตุผลเลยว่า ทำไมถึงไม่ควรทำสิ่งนั้น
  • การตีไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลไว้ที่ร่างกาย แต่ทิ้งความบอบช้ำให้กับจิตใจเด็กๆ
  • ‘อย่าเพิ่งตี โปรดฟังเหตุผลของเราก่อน’ เสียงจากเด็กๆ ที่อยากให้ผู้ใหญ่ได้ยิน

‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’ หรือ ‘ไม้เรียวสร้างคน’ คงเป็นสำนวนที่ผู้อ่านหลายท่านได้ยินมานาน ผู้ปกครองและครูส่วนใหญ่ก็เชื่อมั่นว่า ‘การตี’ จะขัดเกลา ดูแลลูกๆ เราได้ยินบ่อยๆ ว่าการตีของผู้ใหญ่เป็นไปด้วยความรัก เป็นการลงโทษเพื่อการพัฒนาตัวตนของเด็กไปในทางที่ดีขึ้น  

แต่เมื่อพูดในมุมมองของเด็ก แน่นอนว่าเด็กๆ เอง ย่อมไม่อยากถูกพ่อแม่ตี เพราะการตีไม่เพียงสร้างบาดแผลในร่างกาย จิตใจของพวกเราก็บอบช้ำเช่นกัน 

ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนมีโอกาสไปเป็นวิทยากรที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านชุมชนคลองเตย ก่อนได้มาบรรยายที่นี่ เคยได้ยินเพื่อนๆ พี่ๆ คุยกันถึงความดื้อของเด็กโรงเรียนนี้ บ้างก็ว่าไม่ฟัง บ้างก็ว่าเสียงดัง ขโมยของบ้าง 

เมื่อย่างก้าวถึงโรงเรียน ได้ยินเสียงเด็กมากมายกำลังเล่นหยอกล้อกัน ขณะเดียวกันเห็นคุณครูกำลังว่ากล่าวและทำโทษเด็กๆ ทีละคน เพื่อควบคุมไม่ให้เสียงดังและให้ทำตามที่ครูสั่ง หลายคนมักมองว่า ขนาดครูดุอย่างนี้ ทำโทษเกือบทุกวัน เด็กกลุ่มนี้ก็ยังไม่หายดื้อ คงจะแก้นิสัยไม่ได้อีกแล้ว พูดให้แรงกว่านั้น บางคนอาจบอกว่าความดื้ออาจลงลึกในระดับ ‘สันดาน’ 

แม้เราจะได้ยินคนรอบข้างพูดเช่นนี้ แต่ในใจเรายังรู้สึกว่าหากเราทำความเข้าใจกับน้องๆ เขาก็สามารถทำตามกติกาได้ และอาจไม่จำเป็นต้องลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกายกัน และเมื่อถึงเวลาบรรยายทำกิจกรรมหมุนเวียนกันในกลุ่มเล็กๆ ผู้เขียนในฐานะวิทยากรเลือกที่จะไม่ใช้การดุ การตี หรือคำพูดทำนองสั่งการควบคุมให้น้องๆ สงบลง แต่ใช้วิธีพูดด้วยความใจเย็น ค่อยๆ อธิบายถึงเหตุผล ไม่ตี ไม่ดุ ไม่ว่า แต่พูดคุยให้เห็นถึงความสำคัญของการตั้งใจฟัง วิธีนี้คนอื่นๆ อาจคิดว่าใช้ควบคุมความเจี๊ยวจ๊าวเอ็ดอึงของเด็กไม่ได้ แต่วิธีนี้กลับทำให้พวกเขาตั้งใจฟังอย่างง่ายดาย และเริ่มสนุกกับสิ่งที่เราบรรยาย  

พอได้เริ่มคุยเรื่องสุขภาพจิตและการตีกับเด็กๆ ส่วนใหญ่เล่าว่าทุกครั้งที่เขาดื้อหรือทำผิด ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือครูก็ล้วนใช้วิธีการตี ดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงและใช้เสียงดัง แม้วิธีการนี้อาจทำให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงการกระทำของตัวเองอย่างรวดเร็วเดี๋ยวนั้น

แต่ในทางกลับกันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกที่พวกเขารู้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำมันผิด แต่คือการใช้ความรุนแรง ‘บังคับ’ ให้พวกเขาเปลี่ยนพฤติกรรม โดยที่เด็กๆ เองก็ไม่ทราบถึงเหตุผลเลยว่า ทำไมถึงไม่ควรทำสิ่งนั้น 

การตีสร้างบาดแผลลึกในใจ

นอกจากการพูดคุยกับเด็กๆ ในโรงเรียนที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า การตีเป็นวิธีสุดท้ายที่พ่อแม่ควรนึกถึงเมื่อเด็กๆทำผิด แต่ผู้เขียนเองยังได้ให้คำปรึกษากับวัยรุ่นหลายคน สิ่งที่พวกเขาพูดเหมือนกันคือ การตีสร้างบาดแผลภายในใจที่ลึกยิ่งกว่าเดิม และยังทำให้เด็กๆ ต้องพบเจอกับปัญหาสุขภาพจิตอีกด้วย 

มีนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งมาขอคำปรึกษากับผู้เขียน เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและความเครียดจากอาการของโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่ เขาเล่าต้นตอของปัญหาให้ฟัง เรื่องเกิดจากความต้องการของพ่อแม่ที่อยากให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ และเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก

เขาเล่าว่า เวลาวันหนึ่งของเขาแทบทั้งหมดใช้ไปกับการเรียน ตื่นเช้าไปโรงเรียน พอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษกับอาจารย์ต่อจนถึงช่วง 21.30 หลังจากนั้นพ่อของเขาก็มารับกลับบ้าน วนลูปแบบนี้ไปตลอด แม้แต่ช่วงเวลาเสาร์-อาทิตย์และช่วงปิดเทอม ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนพิเศษตลอดทั้งวันเช่นกัน เขายังเล่าอีกว่า ทุกครั้งที่มีกิจกรรมค่ายต่างๆ ตัวเขาเองก็ไม่มีโอกาสได้ไป เพราะพ่อบังคับให้เอาเวลานั้นไปใช้กับการเรียนพิเศษจนหมด

ไม่เพียงการกดดันเรื่องเรียนที่ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งทุกเทอม และได้ที่หนึ่งของทุกการแข่งขัน แต่ถ้าเขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่พ่อคาดหวัง สิ่งที่ตามมาคือ การลงโทษและการตี เขาเล่าว่า บางครั้งพ่อเลือกใช้ก้านมะยม ไม้แขวนเสื้อ ไม้กวาด หรือแม้แต่สายไฟ จากที่เขาได้เล่ามาแม้จะเกิดเหตุการณ์มากมาย แต่เขากลับจำได้ทุกรายละเอียดและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในทุกครั้งที่ถูกตี

ตอนนี้การตีเหล่านั้นไม่ใช่เเรงผลักดันที่ทำให้เขา (หรือเด็กคนอื่นๆ) เก่งขึ้น หรือทำให้ไปสู่จุดที่สูงขึ้นอีกต่อไปแล้ว แต่มันกลับเป็นการกดพวกเราให้ต่ำลงเรื่อยๆ และทำให้เด็กๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืม 

ธรรมชาติของพวกเราที่เป็นเด็กนั้น มีความดื้อ ความซน บางครั้งเราอาจไม่ตั้งใจเรียน ไม่ได้เป็นแบบที่พ่อแม่หวัง แต่สิ่งที่พวกเราอยากขอ คือ ขอโอกาสในการปรับปรุงตัวและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยไร้ซึ่งเหตุการณ์และปมในใจ และมีโอกาสในการก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เลือกเองอย่างมั่นคง

ไม่ลงโทษด้วยการตีก่อน แต่อธิบายด้วยเหตุผล

มาจนถึงตอนนี้ ผู้อ่านที่เป็นผู้ปกครองคงจะตั้งคำถามขึ้นมาว่า ‘สาเหตุที่ตี เพราะอยากให้เด็กๆ ปรับปรุงตัว และสร้างพฤติกรรมที่ดีขึ้น ดังนั้นถ้าไม่ตี ควรใช้วิธีอะไรในการทำให้เด็กๆ ปรับปรุงตัว’ ผู้เขียนได้สรุปวิธีการ ซึ่งได้มาจากการพูดคุยกับเด็กๆ พวกเราเองพร้อมที่จะเปิดใจฟัง และปฏิบัติตาม หากผู้ปกครองใช้วิธีการเหล่านี้ 

1. อธิบายด้วยเหตุผล

เมื่อเด็กๆ ทำความผิด สิ่งแรกที่อยากให้ผู้ปกครองนึกถึง คือ การเปิดใจพูดคุย ถามว่าทำไมถึงทำสิ่งเหล่านั้น อาจลองเล่าถึงประสบการณ์จริงในวัยเด็กว่า พ่อแม่เองก็เข้าใจสาเหตุที่ลูกกระทำผิด หลังจากนั้นก็เริ่มอธิบายให้เข้าใจถึงเหตุผล โดยใช้คำพูดจาก วิจารณญาณ ประสบการณ์ของผู้ปกครองด้วยความสุภาพ และไม่มีคำพูดแกมบังคับที่ทำให้เด็กจำยอม เพื่อให้ เด็กๆ ได้รับรู้ (ความผิด) ด้วยจิตสำนึกของตนเอง และเหลือพื้นที่ให้เด็กๆ คิดด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผลด้วยว่า เขาอาจจะทำหรือไม่ทำตามคำขอของผู้ปกครองก็ได้และด้วยเหตุผลอะไร ให้เหลือพื้นที่ว่าคำของพ่อแม่ไม่ใช่คำขาด แต่เป็นความต้องการขอร้องที่อยากให้ลูกมองถึงความต้องการและความหวังดี  

และสิ่งที่สำคัญคือ ‘อย่าคุยกับเด็กๆ ในขณะมีอารมณ์โกรธ หรือโมโหอย่างรุนแรง’ เพราะหลายครั้งอารมณ์เหล่านี้ทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ นำไปสู่การใช้คำพูดรุนแรงและกระทบกระเทือนจิตใจเด็ก รวมไปถึงการลงโทษที่ทำให้เด็กๆ เจ็บปวด

หลังจากที่อธิบายแล้ว ผู้ปกครองลองเช็คผลของการพูดครั้งนั้น ด้วยการสำรวจการกระทำว่าลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และชวนคุยเรื่องผลเสียการกระทำนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยืนยาว 

2. การใช้ข้อแลกเปลี่ยนอย่างสมเหตุสมผล

วิธีการนี้ผู้ปกครองจะต้องเข้าใจเด็กๆ ก่อนว่า พวกเราต้องการอะไร และเมื่อไรที่เด็กๆ ทำความผิด ผู้ปกครองสามารถต่อรองกับลูกด้วยการแลกเปลี่ยน เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของลูกได้ เช่น ‘ถ้าหนูตั้งใจติวเทอมนี้ พ่อจะเริ่มสูบบุหรี่น้อยลง และพยายามเลิกสูบบุหรี่ให้ได้’ เด็กๆ จะรู้สึกว่าแม้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่สำหรับข้อแลกเปลี่ยนของผู้ปกครองเองก็ท้าทายต่อตัวท่านไม่น้อย ทำให้เด็กๆ เริ่มรู้สึกอยากปรับพฤติกรรมไปพร้อมกับผู้ปกครอง และให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพื่อทำให้ข้อแลกเปลี่ยนนี้สำเร็จ 

3. ทำโทษ

แต่ถ้าการพูดและใช้ข้อแลกเปลี่ยนยังไม่ได้ผล ก็ขอให้ผู้ปกครองลองไปสู่ขั้นตอนต่อไป คือ ‘การทำโทษ’ แต่ไม่ใช่การลงโทษด้วยการตี แต่เป็นการลงโทษที่ทำให้เด็กเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของการกระทำ เช่น หากเด็กๆทำลายข้าวของเสียหาย ดังนั้นต้องเก็บและซ่อมสิ่งของนั้นเอง ในช่วงเวลาที่เด็กๆ ต้องซ่อมของชิ้นนั้น มักจะมีความรู้สึกว่า ต้องมานั่งซ่อมแบบนี้ ไม่ทำพังแต่แรกดีกว่า, คราวหน้าจะใช้ให้ถนอมมากขึ้น ของสิ่งนี้จะได้อยู่กับเรานานๆ และนำไปสู่การปรับพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้

ช่วงเวลาการอยู่บ้านในช่วงนี้นั้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่และลูกๆ ได้ใช้เวลารวมกันมากขึ้น จึงอยากให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานบนพื้นฐานของความรักและเหตุผลให้ได้มากที่สุด และดูแลสุขภาพจิตของเด็กๆ และครอบครัวให้มั่นคงและแข็งแรง   

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาการลงโทษFamily psychology

Author:

illustrator

ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

ผู้สนับสนุนการแก้พ.ร.บ. ให้คนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ญาเริ่มทำงานด้านปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเมื่ออายุ 12 ปี ปัจจุบันญาอายุ 14 ปีทำงานเป็นที่ปรึกษาให้เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า ประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตบางกะปิ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร แกนนำเยาวชน Lovecare Station และทำวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ในโรงเรียน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Family Psychology
    3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family PsychologyHealing the trauma
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

HOME-BASED LEARNING : บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade ที่บ้าน
Learning Theory
18 June 2020

HOME-BASED LEARNING : บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade ที่บ้าน

เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • เพราะสถานที่ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการสร้างความรู้ ชวนเปลี่ยนบ้านให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยมีผู้ปกครองเป็นคนออกแบบหลักสูตรผ่านวิธีการ HOME-BASED LEARNING การประยุกต์การเรียนรู้เข้ากับกิจวัตรที่เด็กๆ ทำทุกวัน เช่น การทำงานบ้าน การเล่น เพียงเปิดโอกาสให้เด็กๆ สังเกตสิ่งต่างๆ ลองทำการทดลองง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยที่ผู้ปกครองช่วยจัดพื้นที่การเรียนรู้ให้พร้อมทั้งอุปกรณ์ แสง บรรยากาศในบ้าน
  • ชวนเปลี่ยนบ้านให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยมีผู้ปกครองเป็นคนออกแบบหลักสูตรด้วยวิธีการ HOME-BASED LEARNING
  • ผ่านงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘KID FORUM SERIES 01: PARENTING ROLE ON HOME-BASED LEARNING บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade’ จัดโดย ศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาฯ (CUD4S)
ภาพ: CUD4S

สืบเนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขมีคำสั่งให้ปิดสถานศึกษาทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้นักเรียนทุกช่วงวัยต้องเรียนที่บ้านโดยมีผู้ปกครองเป็นคุณครู หลักการเรียนรู้แบบ Home Based Learning ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่บ้านโดยอาศัยความร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัว จึงเป็นแนวทางสำคัญอย่างยิ่งในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โควิด-19

ศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาฯ (CUD4S) จึงจัดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘KID FORUM SERIES 01: PARENTING ROLE ON HOME-BASED LEARNING บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade’ เผยแพร่สดผ่านทางเฟซบุ๊ก CUD4S ในวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ปกครองและโรงเรียนออกแบบการเรียนรู้ที่บ้านให้เด็กในช่วงโควิด-19

โดยวิทยากรที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประกอบไปด้วย

  • คุณธรรณพร คชรัตน์ สบายใจ คุณแม่และรองเลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย 
  • คุณพนิดา เอี่ยมศิรินพกุล คุณแม่และเจ้าของเพจเที่ยวรอบลูก รับหน้าที่แบ่งปันประสบการณ์และให้ความรู้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home Based Learning 
  • คุณมุกดา คำวินิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปลาดาว 
  • คุณกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการศึกษาฟินแลนด์และเป็นประธานกรรมการบริหารโรงเรียนต้นกล้า เพื่อนำวิธีการสอนแบบ Home Based Learning ของทั้งสองโรงเรียนมาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้โรงเรียนอื่น
  • พญ.พร ไตรรัตน์วรกุล กุมารแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้คำปรึกษาในแง่วิชาการและตอบปัญหาที่เป็นความกังวลใจของผู้ปกครอง พร้อมให้คำแนะนำอย่างที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกครอบครัว

เมื่อผู้ปกครองกลายเป็นครู: HOME-BASED LEARNING ในสายตาพ่อแม่

คุณธรรณพร คชรัตน์ สบายใจ คุณแม่และรองเลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย แบ่งปันหลักการ Home Based Learning จากประสบการณ์ส่วนตัวว่ากิจกรรมในการเรียนรู้ควรประกอบไปด้วย 3 รูปแบบนี้

  1. Home Based Learning (กิจวัตรประจำวัน) เป็นการประยุกต์การเรียนรู้เข้ากับกิจวัตรที่ลูกทำทุกวัน
  2. Self Directed Learning (กิจกรรมตามความสนใจ) เป็นการเรียนรู้ที่ให้ลูกรับผิดชอบในการวางแผนการเรียนของตนเอง 
  3. Community Based Learning (กิจกรรมกับชุมชน) ให้ลูกเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น 

คุณพนิดา เอี่ยมศิรินพกุล คุณแม่และเจ้าของเพจเที่ยวรอบลูก เปิดเผยว่าจากที่คุณแม่เคยมีเวลาว่างวันละ 3-4 ชั่วโมงตอนที่ลูกไปโรงเรียน แต่เมื่อสถานศึกษาถูกสั่งปิดในช่วงโควิด-19 คุณแม่จึงจำเป็นต้องหากิจกรรมมาใช้เวลาร่วมกับลูกทั้งวัน โดยจะให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้

  1. ทำตารางอาหารล่วงหน้าทั้งสัปดาห์ วันละ 3 มื้อ เพื่อที่จะวางแผนการจ่ายตลาด เมื่อเตรียมพร้อมไว้แล้วจะช่วยประหยัดเวลาระหว่างมื้ออาหารให้คุณพ่อคุณแม่
  2. จัดตารางเวลาร่วมกับลูก ให้มีทั้งกิน เล่น เรียนรู้อย่างเหมาะสม โดยที่มีเวลาส่วนตัวให้ทั้งลูกและผู้ปกครองตามที่ตกลงร่วมกัน

เมื่อโรงเรียนกลายเป็นโคช: การปรับตัวของโรงเรียนและแนวทางสำหรับผู้ปกครองในยุค HOME-BASED LEARNING

คุณมุกดา คำวินิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปลาดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าโรงเรียนบ้านปลาดาวเป็นโรงเรียนที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน เด็กส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ในช่วงประกาศปิดสถานศึกษา ทางโรงเรียนได้ออกแบบกิจกรรมให้ผู้ปกครองและนักเรียนทำร่วมกัน ผ่านกระบวนการ STEAM Design Process ซึ่งเป็นกระบวนการแบบ Design Thinking โดยใช้ Learning Box ในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ปกครองจัดการเรียนการสอนให้ลูกที่บ้าน ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นั้นสามารถหาวัสดุเหลือใช้หรือวัสดุจากบ้านมาใช้ได้ เช่น การทำอาหาร การแปรรูปอาหาร การนำเอาวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์ ซึ่งผลงานเหล่านี้จะกลายเป็นนวัตกรรมของเด็กๆ

กิจกรรมใน Learning Box ประกอบไปด้วย

  1. กิจกรรม 3R การอ่าน การเขียน การคิดเลขเป็น
  2. กิจกรรมสร้างสรรค์ (Makerspace)
  3. กิจกรรมพัฒนาทักษะ (การช่วยเหลือตัวเอง การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น)

ทางโรงเรียนมีเว็บไซต์สำหรับพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษาและผู้ปกครอง ซึ่งมีบทเรียนและคำแนะนำในการทำกิจกรรม Home Based Learning

คุณกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการศึกษาฟินแลนด์และประธานกรรมการบริหารโรงเรียนต้นกล้า จังหวัดเชียงใหม่ ได้แบ่งการเรียนรู้ตามสถานการณ์ไว้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่

  1. Home Based Learning (HBL) 100%
  2. Outdoor Facilities + HBL (ฐานสิ่งกีดขวาง, ทางจักรยาน, สนาม, สนามเด็กเล่น)
  3. เรียนที่โรงเรียน 1-3 วันต่อสัปดาห์ + HBL
  4. เรียนที่โรงเรียน 5 วันต่อสัปดาห์ (ไม่มี HBL)

สำหรับการเรียนแบบ Home Based Learning ทางโรงเรียนจะจัดส่ง Tonkla Story Box ที่มีนิทาน หุ่นเงาและอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ไปให้นักเรียนที่บ้าน นอกจากนี้โรงเรียนต้นกล้ายังจัดทำคู่มือ HBL ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่นำไปประยุกต์ใช้ในการสอนลูกที่บ้าน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของโรงเรียนต้นกล้า

เมื่อการเล่นกลายเป็นการเรียนรู้: นวัตกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง

บริษัทแปลนทอยส์ ออกแบบชุดของเล่นที่เติบโตได้ตามวัยและพัฒนาการของเด็ก (Growth Toy Set) โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โดยของเล่นชุดนี้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย เหมาะสมกับเด็กทั้งสิ้น 5 ช่วงวัย ได้แก่ เด็กอายุ 4 เดือน+, 6 เดือน+, 12 เดือน+, 2 ปี+, 3 ปี+

เมื่อบ้านกลายเป็นห้องเรียน: เปลี่ยนข้อจำกัดของบ้าน เป็นโอกาสเล่นและเรียนรู้ของลูก

พญ.พร ไตรรัตน์วรกุล กุมารแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กเพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ปกครองต้องประสบกับภาวะเครียด ทำให้มีความอดทนอดกลั้นต่ำ อาจเผลอทำร้ายจิตใจหรือร่างกายลูก หลายท่านถูกให้ออกจากงานหรือลดเงินเดือน ส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายลดลงและทำให้การจัดหาปัจจัยสี่เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเป็นเรื่องยากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อโภชนาการของเด็ก ที่มีผลต่อสติปัญญาและสุขภาพของเด็ก นอกจากนี้เด็กยังขาดการเข้าสังคมที่สำคัญต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็ก พญ.พรเสนอให้ใช้คำว่า Physical Distancing แทน Social Distancing เราเพียงต้องห่างกันแค่ร่างกาย แต่ความรู้สึกและความสัมพันธ์นั้นยังคงต้องมีต่อกัน 

พญ.พร กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่สำคัญของ Home Based Learning คือการจัดตาราง ซึ่งจะลดความไม่แน่นอน ลดความกลัว และช่วยให้ลูกรู้ว่าแต่ละวันจะได้ทำอะไรบ้าง การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจากสิ่งรอบตัว ลองให้ลูกสังเกตสิ่งต่างๆ ลองทำการทดลองง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยที่ผู้ปกครองควรช่วยจัดพื้นที่การเรียนรู้ให้พร้อมทั้งอุปกรณ์ แสง บรรยากาศในบ้าน ฯลฯ พญ.พร ฝากว่าอยากให้ผู้ปกครองทุกคนเชื่อมั่นในตัวเองว่าคนที่พยายามเพื่อลูกได้ดีที่สุดก็คือตัวผู้ปกครองเอง ถึงแม้พยายามแล้วออกมาไม่สมบูรณ์แบบลองให้อภัยตนเองแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง

ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำให้ผู้ปกครองสังเกตตัวเองเพื่อให้เข้าใจขีดจำกัดทางอารมณ์ของตัวเอง เพื่อระงับความเครียดไม่ให้ไปลงกับลูก เมื่ออารมณ์เดือดพล่านใกล้ถึงขีดสุดให้ขอเวลาเพื่อไปปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงตามกฎ Rule of Pause แล้วจึงค่อยกลับมาหาลูก ควรสร้างข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันในแต่ละวัน เวลาไหนที่ใช้ร่วมกัน เวลาไหนเป็นเวลาทำงานของผู้ปกครอง ให้ลูกคิดกิจกรรมที่อยากทำ หากกิจกรรมนั้นไม่สามารถลงมือได้จริงให้ผู้ปกครองอธิบายให้ลูกเข้าใจ

กลวิธีในการจัดการเรียนรู้ควรคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็น Home School Learning, Home Based Learning หรือเรียนที่โรงเรียน ก็มีเป้าหมายเดียวกันคือเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีและเหมาะสมสำหรับเด็ก

สามารถรับชมการเสวนาย้อนหลังได้ที่ Facebook : CUD4S

Tags:

การเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)โรงเรียนบ้านปลาดาวHOME-BASED LEARNINGCUD4S

Author:

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวให้เป็นห้องเรียนรู้แสนสนุก กับครอบครัวเพอร์เฟกท์ฮาร์โมนี

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Social Issues
    ‘ชีวิตที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนักศึกษากับคนตกงาน’ หนึ่งในเสียงเล็กๆ ของนักศึกษาช่วงโควิด19

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • How to enjoy life
    อนุญาตให้ตัวเอง ‘รู้สึกเท่าที่รู้สึก’ 5 วิธีจัดการตัวเอง หาความสงบให้เจอในแก่นกลางความไม่แน่นอน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    ‘การเรียนรู้ที่บ้าน’ กำลังมา: กำกับตัวเองให้มาก ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสุขจากการเล่นนำทาง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Jeffrey Epstein Filthy Rich: ทำไมเด็กที่ถูกคุกคามทางเพศจึงใช้เวลาหลายปีค่อยออกมาเล่าความจริง
Social IssuesMovie
17 June 2020

Jeffrey Epstein Filthy Rich: ทำไมเด็กที่ถูกคุกคามทางเพศจึงใช้เวลาหลายปีค่อยออกมาเล่าความจริง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • จาก Jeffrey Epstein Filthy Rich สารดคีสืบสวนคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีของนักการเงินทรงอิทธิพล เจฟฟรีย์ เอปสตีน ถึง ความเข้าใจว่าทำไมเด็กที่ถูกคุกคามทางเพศ จึงใช้เวลาหลายปีค่อยออกมาเล่าความจริง
  • เหยื่อส่วนใหญ่ของเอปส์ตีนเป็นเด็กสาวอายุไม่ถึง 17 ปี ส่วนใหญ่ที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่า เศรษฐกิจทางบ้านไม่ดี จำนวนหนึ่งเคยถูกข่มขืนหรือคุกคามทางเพศในวัยเด็ก ความสับสน หวาดกลัว ทั้งการถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจและอิทธิพลก็ดูจะเป็นสถานการณ์ที่รับมือได้ยาก ทั้งพวกเธอยังถูกบอกให้เชื่อว่าการอยู่กับผู้ชายอย่างเอปส์ตีนคือความปลอดภัยและเขาอาจมอบชีวิตที่ดีกว่าให้
  • ชวนดู Jeffrey Epstein Filthy Rich เพื่อทำความเข้าใจมิติของการคุกคามทางเพศ ดูเพื่อลองจำลองความคิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของผู้ที่ถูกคุกคามว่ามันทั้งสับสน ไม่มั่นคง มันตัดสินชี้แนะด้วยหลักการไม่ได้ ดูว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมา 

ช่วงเดือนที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวคุกคามทางเพศในเด็กประถมและมัธยม หลายรายถูกกระทำเช่นนั้นต่อเนื่องเป็นขวบปีกว่าเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำจะออกมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ทุกครั้งที่ดูข่าว เราสงสัยว่าจุดที่พวกเขาทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปบอกใครสักคน เขาทำด้วยความรู้สึกอย่างไร ในห้วงเวลานั้น ทุกเช้าที่ลืมตา เขาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน เสียงที่คิดในหัวคือคำว่าอะไร มีอะไรเกิดขึ้นในความคิดและจิตใจขณะนั้นบ้าง?

Jeffrey Epstein Filthy Rich สารคดีสืบสวนคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ของนักการเงินทรงอิทธิพล เจฟฟรีย์ เอปสตีน (คศ. 1953 – 2019) เผยแพร่ครั้งแรกที่ Netflix ราวเดือนเมษาที่ผ่านมา ตอนที่เขาเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในคุกจากคดีดังกล่าวนั้น เขามีอายุ 66 ปีแล้ว 

แต่ ณ วันที่ มาเรีย ฟาร์เมอ (Maria Farmer) หนึ่งใน Survivors หรือ ผู้หนีรอด ฟ้องร้องต่อ FBI ครั้งแรกในปี 1996 เอปส์ตีนอายุ 43 ปี ขณะนั้นมาเรียเพิ่งเรียนจบจากสถาบันศิลปะนิวยอร์กอายุ 20 ต้นๆ งานของเธอโดดเด่นด้วยภาพวาดเด็กสาวเปลือยร่างกายบางส่วน นางแบบส่วนใหญ่ในงานของเธอคือพี่น้องของตระกูลฟาร์เมอร์เอง 

เธอถูกชวนไปทำงานที่มีความเกี่ยวพันกับเอปสตีน จากนั้นถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเอปสตีน และ กีเลน แม็กซ์เวล คู่รักของเอปส์ตีน หนึ่งในผู้มีส่วนรู้เห็น ล่อลวง จัดหา และคุกคามทางเพศเด็กสาวในขบวนการค้าประเวณี คุกคามทางเพศกับมาเรียไม่พอ ทั้งคู่ยังขโมยภาพวาดหญิงสาวอ่อนวัยที่มีลักษณะเปลือยบางท่อนกลับบ้านไปด้วย นอกจากนี้ น้องสาวของมาเรียที่ชื่อแอนนี ขณะนั้นอายุ 16 ปี ก็ถูกล่อลวงด้วยสถานการณ์คล้ายๆ กัน (ในสารคดีเรื่องนี้ ทั้งมาเรียและแอนนี เป็น Survivors ที่ออกมาเล่า เปิดเผยเรื่องราว และต่อสู้ในคดีฟ้องร้องเอปส์ตีนอย่างกล้าหาญ) 

Jeffrey Epstein: Filthy Rich Netflix trailer

ทั้งหมดนี้แปลว่า หากเชื่อและนับการฟ้องร้องของมาเรียในปี 1996 ก็แปลว่าเอปสตีนกระทำการครั้งแรกในวัย 43 ปี ต่อเนื่องเรื่อยมากระทั่งช่วงปี 2018 จุดปีที่แฟ้มคดีเอปส์ตีนถูกเปิดเผยในวงกว้าง ทั้งหมดทั้งมวล – ระยะเวลาของธุรกิจค้าประเวณี จำนวนเหยื่อที่ผันตามจำนวนปี การดำเนินคดีสอบสวน – ก็จะกินเวลาราว 23 ปี เลยทีเดียว 

พูดให้รู้สึกใกล้ชิดขึ้นอีกนิด เราอาจรู้จักข่าวนี้จากการ forward (‘ออกมาเล่าเรื่อง’ ‘ออกมาพูดความจริง’ ในความนัยที่แปลว่า ‘ก้าวไปข้างหน้า’) ของหนึ่งในผู้รอดคดีเอปส์ตีนอย่าง เวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็น จุฟเฟร) ออกมาบอกว่าชายแก่หนึ่งคนที่เธอต้องบริการครั้งอยู่กับเอปส์ตีนและกีเลน คือ  เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร การตอบโต้กันด้วยข้อมูลคนละด้านของทั้งคู่ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจและกินพื้นที่สื่อทันทีในปี 2019 ข่าวเอปส์ตีนถูกกระพือให้กลายเป็นที่รู้จัก ถูกขุดคุ้ย ถูกศึกษา และทำความเข้าใจเรื่องการคุกคามทางเพศอย่างเข้มข้น ทั้งเป็นหนึ่งในการปลุกกระแส #Metoo ในช่วงปีนั้นด้วย 

ซ้ายไปขวา: เจ้าชายแอนดรูว์, เวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ และ กีเลน แม็กซ์เวล

ความสับสน ไม่มั่นคง อำนาจที่น้อยกว่า และการถูกทำให้เชื่อว่าการไม่พูดคือความปลอดภัย ในมุม Survivor 

วิธีการของเอปสตีน คือ ชักชวนเด็กสาวม.ต้น อายุไม่เกิน 17 ปี โดยส่วนใหญ่ ‘ผู้คัดเลือก’ หรือ ‘แมวมอง’ จะเลือกเด็กที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่า เศรษฐกิจทางบ้านไม่ดี จำนวนหนึ่งเคยถูกข่มขืนหรือคุกคามทางเพศในวัยเด็ก ล่อลวงด้วยการบอกว่าจะมีงานพิเศษให้ทำ เป็นงานที่ง่ายและสบายๆ อย่างการเข้าไปนวดให้กับเศรษฐีคนหนึ่ง (คนนั้นคือเอปส์ตีน) ในโซนร่ำรวยอย่างเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า เด็กสาวจะได้ค่าตอบแทนหลังเสร็จงานทันทีจำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ

แมวมองคนแรกๆ ในช่วงต้น คือ กีเลนและหญิงสาวใกล้ชิดในฮาเร็มของเขา จากนั้นจะหา ‘นกต่อ’ รุ่นเยาว์ต่อไป โดยการหว่านล้อมให้เด็กสาวบางคนที่ไม่ยินยอมให้เขาล่วงละเมิด ไปชักชวนเด็กสาวคนอื่นมาให้บริการแทน เครือข่ายการคุกคามทางเพศจึงขยายต่อเป็นใยแมงมุมโดยเหล่า ‘นกต่อ’ วิธีนี้ทำให้ ‘นกต่อ’ ไม่ต้องถูกล่วงละเมิดโดยตรง แต่ยังได้รับผลประโยชน์จากเอปส์ตีนอยู่ 

จากการรวบรวมหลักฐานของตำรวจแห่งเวสต์ปาล์มบีช และ FBI คาดว่าเหยื่อของเอปส์ตีนจากการหาเหยื่อเช่นนี้ มีมากถึงหลักพันคนตลอดช่วงเวลาเกือบยี่สิบปี 

จากการบอกเล่าของ Survivors ทั้งที่เคยเป็น ‘นกต่อ’ และ เหยื่อ พบลักษณะที่คล้ายกัน คือ บางรายเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศก่อนแล้ว (ซึ่งนกต่อ และ เอปส์ตีนรู้ข้อเท็จจริงนี้ จึงพุ่งเป้าเข้าหา) แต่เมื่อถูกชวนให้กลับไป ‘นวด’ อีกครั้ง แม้หวาดกลัว โกรธ รู้สึกว่าถูกดูถูกเหยียดยาม สับสน และรู้ชัดว่าสิ่งนี้คือการคุกคามทางเพศ แต่จำนวนหนึ่งกลับไป ‘นวด’ อีก อยู่ในห้วงเวลานั้นยาวนานหลายเดือน บางรายหลายปี 

“ทุกคนกลัวเขา และความกลัวเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขามีอำนาจ”

แบรด เอ็ดเวิร์ด ทนายฝ่ายผู้รอด กล่าวไว้ตอนหนึ่งในสารคดี 

ความน่ากลัวที่ว่า ไม่ได้มาจากการถูกทำร้ายร่างกาย Survivors เหล่านั้นไม่ได้ให้การว่าถูกทำร้ายทุบตี (แต่อาจถูกข่มขืนด้วยความรุนแรง) ตรงกันข้าม Survivors เล่าว่า เอปส์ตีนมีบุคลิกที่ดูเป็นคนธรรมดา โน้มน้าวเก่ง ควบคุมคนได้ราวปีศาจ รู้ว่าจะหยิบยื่นข้อเสนอให้พวกเธออย่างไร เช่น บอกว่าจะสนับสนุนความฝัน บอกว่าการอยู่กับเขาจะเป็นวิธีที่ทำให้พวกเธอได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น และ การเลือกเหยื่อที่เคยถูกข่มขืนมาก่อน ก็เป็นเหตุให้เด็กสาวหลายคนรู้สึกว่าพวกเธอไม่มีค่าเป็นทุนเดิม 

“ส่วนหนึ่งของการค้าประเวณีคือ คุณถูกบังคับตั้งแต่แรก เมื่อคุณเปิดประตูบานนั้น พวกเขาปิดประตูบานนั้น คุณก็จะออกมาไม่ได้” หนึ่งใน survivor ที่ถูกเอปสตีนข่มขืนกล่าว

Jeffrey Epstein, 27

‘ต้องไม่ลืมว่าขณะนั้นฉันเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 14 15 แม้รู้ว่านี่คือการคุกคามและน่าขยะแขยง แต่เราก็เป็นเด็กคนนึงที่ทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกให้ทำ’ 

ฉันจำไม่ได้แล้วว่า Survivor คนใดเป็นเจ้าของคำพูดซึ่งมีใจความประมาณนี้ แต่ประโยคเรียบง่ายเช่นนี้ กลับตีหัวฉันให้มองสิ่งที่เกิดตรงหน้าด้วยความเข้าใจใหม่ ฉันเจอผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ไม่อาจตัดสินใจบนความถูกผิด พวกเธอคือเด็กสาวอายุไม่เต็ม 15 ที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชักชวนให้ไปเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเตรียมพร้อม ความสับสน ความกลัว และถูกคุกคามจากคนตัวใหญ่ที่ดูอย่างไรก็มีอำนาจกว่า มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายต่อการรับมือเลยจริงๆ 

Survivor คนหนึ่งกล่าวว่า วันที่เธอเดินลงบันไดบ้านของเอปส์ตีนหลังจากเห็นเขาช่วยตัวเองซึ่งหน้า เธอรู้สึกว่าร่างกายสกปรก บอกว่าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์นั้น โลกของเธอกลับไม่สดใสเหมือนดอกไม้แรกแย้มอีกต่อไป แม้หลังจากนั้นเธอไม่ได้กลับไปที่บ้านเอปส์ตีนอีก แต่เฉดสีในโลกของเธอเปลี่ยนไปแล้ว เธอหลงทางไปช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองกำลังเก็บความลับดำมืดไว้กับตัว เริ่มเสพยา เปรียบตัวเองว่าเป็นดอกไม้ที่ถูกเหยียบ และ ไม่อาจทำเป็นลืมภาพวันนั้นได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กอายุไม่เต็ม 16 ดี 

เหตุผลของเด็กผู้หญิงอีกคนที่กลายเป็นนกต่อก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำมันผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าเธอเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปี เคยถูกข่มขืนมาก่อนหน้า ฐานะทางบ้านยากจนและอยากหาเงินสักก้อนหนีจากบ้านเกิด หนีให้พ้นจากอดีตเรื่องการถูกข่มขืน การได้เงินจากเอปส์ตีนเรื่อยๆ ครั้งละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือเงินก้อนที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอ ทำให้หลุดพ้นไปจากวงจรมืดมิดนี้ เธอเองก็สับสนและไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเธอเต็มใจทำ แต่… รู้ตัวอีกทีมันก็เป็นไปแล้ว สุดท้ายเธอเข้ามอบตัว สารภาพว่าทำอะไรบ้าง และเป็นพยานสำคัญให้กับตำรวจแห่งเวสต์ปาล์มบีชต่อไป 

บทลงโทษทางสังคมของหญิงสาวที่ตัดสินใจพลาดในอายุ 16 วันนั้น คือการถูกสื่อและสังคมเรียกขานว่า ‘โสเภณี’ ต่อเนื่องหลายปี ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ระแวงว่าจะถูกสังคมรุมประณามอีก 

เธอทำผิดต่อผู้หญิงวัยเด็กหลายคน และฉันไม่ได้บอกว่าการกระทำของเธอถูกต้อง แต่จริงหรือไม่ที่น้ำหนักแห่งความรู้สึกผิดนี้ถูกโยนลงมาที่ตัวเธอเต็มๆ ทั้งที่ผู้กระทำผิดจริง กลับลอยเหนือความผิดเพียงเพราะเขามีอำนาจและอิทธิพลในการซื้อเกราะกำบังความผิดให้กับตัวเองได้? 

อีกอย่างที่มีผลและทำให้เหยื่อไม่กล้าดำเนินการในทันที นั่นคือ ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่แค่นักการเงินที่มีอำนาจ แต่ยังมีเครือข่ายที่มีอิทธิพลด้วยเช่นกัน เช่น เขารู้จักกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอย่างบิล คลินตัน คณะทำงานเพื่อช่วยเหลือเขาทางกฏหมายคือมือดีแห่งวงการวิชาชีพ มีสายสัมพันธ์กับโดนัลด์ ทรัมป์ นายทุนใหญ่จำนวนมาก รวมถึงเจ้าชายแอนดรูว์ด้วย การปรากฎตัวของคนเหล่านี้ก็ทำให้เด็กสาวเหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากหากจะดำเนินการทางกฎหมาย หลักฐานยืนยันการใช้เงินและอิทธิพลส่วนตัวซื้อความมั่นคงให้ตัวเองได้ คือการเอาผิดกับเอปส์ตีนไม่ได้เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ทั้งที่ฝ่ายตำรวจมีหลักฐานและพยานเต็มมือ

อีกเรื่องคือการจัดสถานที่ที่ส่งผลทางจิตวิทยาและทางร่างกายให้พวกเธอรู้สึกอับจนหนทาง กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ที่บ้านบนเวสต์ปาล์มบีช เอปส์ตีนจะพาเด็กสาวไปยังไร่นาที่ห่างไกลจากเมือง หรือ บนเกาะส่วนตัวที่ชื่อ ลิตเติล เซนต์ เจมส์ หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ เด็กสาวหลายรายถูกกักขังและข่มขืนที่นี่ (เจ้าชายแอนดรูว์ ก็ถูกกล่าวอ้างจากพนักงานว่าพบเจ้าชายกับเวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ ที่เกาะนี้ด้วย) 

หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความน่ากลัวอย่างหนึ่งของเอปส์ตีน หรือ ผู้คุกคาม คือการโจมตีทางจิตวิทยาทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และ รู้สึกว่าการเปล่งเสียงออกไปเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ 

เอปส์ตีนเป็นเรื่องไกลตัวหรือเปล่า? ไม่เลย ใครๆ ก็รู้ โลกนี้ไม่มีเอปส์ตีนแค่คนเดียว ยังมีเครือข่ายค้าประเวณีในระดับเล็กถึงใหญ่ ยังมีการคุกคามทางเพศเด็กในระดับปัจเจกอันปรากฏเป็นข่าวรายวันกันตลอดมา ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจน้อยของเรา ประการแรกคือการมองว่าเด็กมีทางเลือก หากถูกคุกคามทางเพศให้เดินมาบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะปกป้องเอง แต่ Jeffrey Epstein Filthy Rich ทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏชัด มันไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ๆ

ในเมื่อการคุกคามทางเพศจำนวนหนึ่งมาจากการหลอกล่อด้วยความกลัว ด้วยการกดข่มทางอำนาจ ด้วยการโจมตีทางจิตวิทยา แปลว่าการออกมา forward เหยื่อต้องปราศจากความกลัว ซึ่งความรู้ว่าว่า ‘จะไม่กลัวอีกต่อไป’ ต้องมาจากการมีทางเลือก รู้ว่าเลือกได้ หรือไม่อีกกรณีหนึ่งก็คือ หวาดกลัวจนทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 

ประการที่สองคือ มันอาจไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกไร้ซึ่งคุณค่า โดยเฉพาะเด็กที่พื้นฐานครอบครัวพังทลายเป็นทุนเดิม เคยถูกคุกคามทางเพศก่อนหน้านี้ การล่อลวงของผู้ใหญ่มาในรูปแบบ ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ หลอกล่อด้วยการบอกว่าจะหยิบยื่นความปลอดภัยและชีวิตที่ดีกว่าให้ สิ่งนี้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันหรืออาจจะน่ากลัวกว่ามาก 

หลายครั้งที่เราเห็นภาพข่าวผู้หลักผู้ใหญ่กระทำชำเรากับเด็กที่ไม่มีทางสู้ สู้… ที่ไม่ได้หมายถึงการชก ต่อย ตีกลับ แต่เป็นการสู้กลับทางอำนาจ มันน่าคับแค้นใจที่เราไม่สามารถจะคืนอำนาจ บอกให้เด็กเข้าใจได้เลยว่า การกระทำของผู้ใหญ่เหล่านี้เป็นสิ่งผิดและเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว เพราะเขาจะมั่นใจได้ว่ามีหลักการบางอย่าง มีคนที่เขาพึ่งพิงได้ มีคนมอบความปลอดภัยให้เขาได้จริงๆ น่าเศร้าที่เรารู้ว่ามันไม่จริงเช่นนั้นเสมอไป

ที่กล่าวมาทั้งหมด สุดท้ายแล้วแค่อยากเชิญชวนให้ผู้ที่มีส่วนสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กๆ พื้นที่ปลอดภัยที่คนในวงการศึกษาพูดกันบ่อยครั้ง อยากให้ดู Jeffrey Epstein Filthy Rich มากๆ ดูเพื่อทำความเข้าใจมิติของการคุกคามทางเพศ ดูเพื่อลองจำลองความคิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของผู้ที่ถูกคุกคามว่ามันทั้งสับสน ไม่มั่นคง เปรียบตัวเองเป็นดั่งดอกไม้ที่ถูกดึงทึ้ง เหยียบอัดบดขยี้ ดูว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมา 

ให้เข้าใจในคำว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่เราพูดกันบ่อยๆ ว่าต้องสร้าง มันกินใจความถึงการมอบคืนความกล้า ปลอบโยนความกลัวในใจของคนที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้อยู่ด้วย 

ทั้งยังไม่ใช่การประณามเด็กกลับว่าทำไมเด็กจึงไม่ออกมาต่อสู้ หรือออกมาปกป้องคนที่กระทำเพราะอยากปกป้องเครือข่ายส่วนตัว และไม่เข้าใจภาวะทางจิตวิทยาเหล่านี้เลย

Tags:

ซีรีส์Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)คุกคามทางเพศ (sexual harassment)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • MovieDear Parents
    Sex Education: ความเข้าใจเรื่องสิทธิ์เนื้อตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ครอบครัวต้องหยุดสร้างทัศนคติ Victim blaming

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Firefly Lane : บางทีเราก็ต้องการใครสักคนที่เชื่อในตัวเรา บอกว่าตัวเราเปล่งประกายและมีคุณค่าได้จากศักยภาพที่ตัวเองมี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Character building
    คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น
How to get along with teenager
16 June 2020

พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หัวดื้อ หัวแข็ง หัวร้อน พฤติกรรมที่คู่กับวัยรุ่น มองจากคนนอกก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใจได้ แต่ผู้ปกครองที่ต้องอยู่กับ ‘การเปลี่ยนไป’ ของลูก และบรรยากาศที่ ‘งัดข้อ’ กันไม่หยุด ทำให้หลายคนปวดใจและปวดหัวกันไม่น้อย
  • ชวนทำความเข้าใจธรรมชาติวัยรุ่น แถมคำแนะนำง่ายๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยว้าวุ่นนำไปใช้ดู

ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ไม่เพียงร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด ในทางจิตใจและสมองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นที่มาของความปัญหาว้าวุ่นใจต่างๆที่พ่อแม่หลายคนต้องพบเจอ

วัยรุ่นคือวัยที่พลังกายและพลังฝันว้าวุ่นพลุ่งพล่าน ฝักใฝ่ยึดมั่นกับอุดมคติแบบสุดตัว ตั้งมั่นในสิทธิของตัวเองและรักความยุติธรรมมากเสียจนบางครั้งบางทีผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องน่าเอือมระอา พ่อแม่ก็เลยมีปากเสียงถกเถียงกับลูกๆตามมา แต่หากเปิดใจเรียนรู้และลองทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาแล้ว จะพบว่านี่เป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่พ่อแม่จะสามารถมองเห็นและพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองที่ดีให้กับเขาได้

ทำความเข้าใจวัยรุ่น

ถ้าถามว่าวัยรุ่นเริ่มต้นที่ตรงไหน คำตอบคือแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนโตไวแต่บางคนอาจช้ากว่าคนอื่น เราจะเห็นเด็กบางคนโตเร็วพรวดพราดจนจำไม่ได้หรือบางคนค่อยๆโตไปทีละเล็กละน้อย จึงกล่าวได้ว่าขวบปีที่เด็กจะก้าวสู่วัยรุ่นนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่กว้างพอสมควร

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ต้องเข้าใจจุดที่ต่างกันของวัยแรกรุ่น (Puberty) กับวัยรุ่น (Adolescent) กันก่อน ส่วนใหญ่แล้วเมื่อพูดถึงวัยแรกรุ่นก็จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเป็นหลักเช่น มีหน้าอก ประจำเดือน ขนขึ้นตามใบหน้าและอวัยวะเพศ มักพบได้ระหว่างอายุ  8-14 ปี โดยประมาณ แต่นอกจากความเปลี่ยนแปลงทางกายที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็ก สำหรับวัยรุ่น เราจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายในมากกว่า

ในวัยรุ่น พ่อแม่จะเริ่มเห็นลูกๆ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังและคิดเองทำเองมากขึ้น  ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากว่าเพื่อนจะคิดกับตนอย่างไร และพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม แน่นอนว่าเพื่อนสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งกว่าทุกเรื่อง และถ้าให้เลือก เขาจะเอนเอียงไปทางเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ 

วัยรุ่นทั้งชายหญิงจะใช้ช่วงเวลานี้ “แปลงโฉม” ตัวเองเป็นลุคหรือสไตล์ต่างๆ ในขณะเดียวกันก็อยากเข้ากลุ่มและทำอะไรเหมือนกับเพื่อน จุดนี้เองที่ถ้าผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนเมื่อไหร่ เขาก็จะรู้สึกเป็นทุกข์และอาจมีปากเสียงกับพ่อแม่ด้วยเรื่องเหล่านี้ได้ 

อาการดื้อ หัวแข็ง 

ลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่งที่พบได้ในช่วงวัยรุ่นคืออาการหัวดื้อ ต่อต้านพ่อแม่ แม้บางคนอาจจะไม่เป็น ก็ยังมีภาวะอารมณ์แปรปรวนขึ้นลงให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าวัยรุ่นทุกคนจะต้องมีอาการเหล่านี้เหมือนกันหมด

จุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดระหว่างช่วงวัยนี้คือความต้องการเป็นอิสระเสรี นี่คือสาเหตุที่เขาจะไม่เรียกหาพ่อแม่อีกต่อไป บ้านไหนเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิดจะจับสังเกตพฤติกรรมได้ชัดขึ้น เขาจะมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่คล้อยตามพ่อแม่อีกต่อไปหรือมีการแสดงออกว่าไม่อยากใกล้ชิดเหมือนเดิม

ความคิดอ่านของวัยรุ่นจะเริ่มเป็นนามธรรมและเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เป็นความพยายามที่จะหาแนวทางที่เป็นแบบฉบับของตนเองจนพ่อแม่อาจรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ว่าลูกๆ ที่เคยว่านอนสอนง่ายกลับกลายเป็นคนละคน ทั้งความคิดเห็นและการแสดงออกติดจะหัวแข็งและดื้อด้านขึ้น

ในช่วงรอยต่อที่สำคัญนี้ พ่อแม่อาจต้องมาตริตรองกันหน่อยว่าเราให้พื้นที่ส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า “ฉันเป็นพ่อแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการรึเปล่า” “ฉันฟังสิ่งที่ลูกต้องการบ้างไหม” “ฉันให้ลูกมีอิสระที่จะคิดและชอบแตกต่างจากฉันหรือไม่” 

เคล็ดลับสำหรับผู้ปกครองเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น 

เรามีคำแนะนำง่ายๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยว้าวุ่นนำไปใช้ดู

1. หาข้อมูลและศึกษาการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น

มีหนังสือว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของวัยทีนในท้องตลาดมากมาย หรือลองมองย้อนไปสมัยที่คุณเป็นวัยรุ่นก็ได้ จำได้ไหมเวลาเป็นสิวแค่เม็ดเดียวก็กลุ้มจะเป็นจะตาย หรือครั้งนั้นที่อายแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อประจำเดือนมาก่อนใครเพื่อน หรือเพื่อนๆมีขนหน้าแข้งกันหมดแล้วแต่เรายัง ยิ่งพ่อแม่มีความรู้ความเข้าใจและเตรียมพร้อมกับอารมณ์แปรปรวนของเขาและการถกเถียงต่อปากต่อคำที่จะเกิดขึ้นไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับมือง่ายขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างบทความที่ The Potential ได้เสนอไปแล้ว เช่น

  • รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง
  • สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้
  • รู้ทันอาการโกรธโลกของวัยรุ่น ผ่านการทำงานของสมอง

2. พูดคุยกับลูกอย่างอบอุ่นใกล้ชิดแต่เนิ่นๆ 

อาจสายไปถ้าจะเกริ่นเรื่องการมีประจำเดือนกับลูกสาวหรือฝันเปียกกับลูกชายเมื่อเขาก้าวล่วงเข้าสู่วัยว้าวุ่นเข้าไปแล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านควรพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เขาจะได้พบเจอกันไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งเรื่องความแตกต่างทางร่างกายของชายหญิง หรือแม้กระทั่งว่าเด็กทารกเกิดมาจากไหน แน่นอนว่าเว้นข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ก่อน แต่ทั้งนี้พ่อแม่ควรเปิดกว้างให้เขาถามในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย โดยบางคำถามก็อาจจำเป็นต้องอาศัยผู้รู้ที่เคยมีลูกวัยรุ่นมาก่อนหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าใกล้ชิดกับลูกเพียงพอ ลูกๆจะกล้าเล่นมุกเรื่องเพศหรือแสดงออกให้เราเห็นโดยไม่เคอะเขินว่าเขากำลังสนใจรูปโฉมของตัวเองมากขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจังหวะอันดีที่พ่อแม่จะสามารถเอ่ยถามถึงหัวข้อส่วนตั๊วส่วนตัวกับพวกเขาได้เช่น 

  • ร่างกายลูกมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม?
  • ลูกรู้สึกแปลกๆ หรือพิเศษกับคนนี้ไหม? 
  • รู้สึกเศร้าหรือเบื่อโดยไม่มีสาเหตุบ้างไหม? 

ถ้าครอบครัวพากันไปตรวจสุขภาพประจำปียิ่งเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้พูดคุยกัน คุณหมอสามารถอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงให้เขาฟังโดยตรง และแนะนำคุณพ่อคุณแม่ได้ว่าจะพบเจอกับอะไรบ้างในช่วงวัยนี้ การตรวจสุขภาพจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พ่อแม่ลูกได้จับเข่าคุยกัน การปล่อยเวลาล่วงเลยให้ลูกวัยรุ่นเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจเพียงลำพังอาจทำให้เขารู้สึกอับอาย หวาดกลัวหรือเข้าใจผิดๆต่อสภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ยิ่งพ่อแม่เปิดอกคุยกับลูกเร็วเท่าไหร่ เขายิ่งกล้าเล่า กล้าเข้ามาปรึกษา ลองหาหนังสือคู่มือวัยรุ่นให้เขาอ่านแล้วทำความเข้าใจกับตัวเองสักเล่ม พร้อมกับเล่าประสบการณ์สมัยเป็นวัยรุ่นของตัวเองให้เขาฟัง 

ไม่มีอะไรจะทำให้เขาสบายใจและให้ความไว้วางใจพ่อแม่ได้เท่ากับการได้รู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์แบบที่พ่อกับแม่เคยประสบมาเช่นเดียวกัน

3. เข้าอกเข้าใจลูก

พยายามเข้าอกเข้าใจและให้กำลังใจเขาว่าสิ่งที่กังวลหรือรู้สึกอยู่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติตามวัย ไม่เป็นไรเลยที่เขาจะรู้สึกว่าบางทีตัวเองก็อยากเป็นผู้ใหญ่บางทีก็ยังอยากเป็นเด็ก

4. เลือกถกเถียงเฉพาะเรื่องที่สำคัญ

ถ้าลูกอยากย้อมผม ทาเล็บสีดำหรือใส่เสื้อผ้าแหวกกระแส คิดให้ดีก่อนเอ่ยห้าม เด็กวัยนี้ต้องการความตื่นเต้น ถ้าพ่อแม่ออกอาการทักท้วงยิ่งถูกใจ ลองให้เขาทำสิ่งแปลกใหม่แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยตามกระแสเพื่อนไปซักพัก แล้วสงวนพลังงานไว้ใช้กับเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นดีกว่า เช่น บุหรี่ ยาเสพติด เหล้า หรือการทำอะไรถาวรกับร่างกายอย่างเจาะ สัก หรือระเบิดหู

ทางที่ดีคือการถามเขาตรงๆว่าทำไมถึงอยากแต่งตัวแบบนี้และรับฟังคำตอบของเขาด้วยความเข้าใจ อาจอธิบายเสริมให้เขารู้ว่าการแต่งตัวหรือรูปลักษณ์นั้นทำให้คนอื่นมีมุมมองต่อเขาอย่างไร 

5. ตั้งความคาดหวังแต่พอดี

แม้จะไม่อยากถูกคาดหวังสักเท่าไหร่ แต่วัยรุ่นก็ยังอยากให้พ่อแม่แสดงความสนใจและชื่นชมเขาหน่อยเวลาเขาทำคะแนนได้ดี ทำอะไรได้เรื่องได้ราวหรือปฏิบัติตามกฎระเบียบในบ้านได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าความคาดหวังอยู่ในระดับเหมาะสม ไม่บีบคั้นเขาจนเกินไป เขาก็จะไม่อึดอัดใจที่จะพยายามทำตาม แต่ถ้าใส่ความคาดหวังมากหรือน้อยจนเกินไป กลับกันเขาจะเกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกเขาเลย 

6. สอนเขาในสิ่งที่ควรรู้ และหมั่นสอดส่องอย่างใกล้ชิด

เพราะช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการลอง และบางครั้งสิ่งที่อยากรู้อยากลองก็อาจเป็นเรื่องอันตราย อย่าเลี่ยงที่จะพูดกับลูกเรื่องเพศสัมพันธ์ ยาเสพติด การดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ ขอให้พูดคุยกับเขาอย่างเปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะได้ไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้นอย่างมีความรับผิดชอบเมื่อเวลานั้นมาถึง ให้เขามองเห็นค่านิยมและศรัทธาต่างๆที่ครอบครัวยึดถือ อธิบายว่าอะไรคือถูกผิดและทำไมจึงที่เป็นเช่นนั้น

อย่าลืมทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกและพ่อแม่ของพวกเขาไว้บ้าง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มพ่อแม่ด้วยกันเองคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาว่าเด็กๆทำอะไรบ้าง โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายโดยตรงให้เขารู้สึกอึดอัด

7. สังเกตสัญญาณอันตราย

ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงต่อบุคลิกหรือพฤติกรรมอย่างรุนแรงจากหน้ามือเป็นหลังมือหรือหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งยาวนานเกินไป อาจเป็นสัญญาณถึงปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากแพทย์อย่างจริงจัง ลองสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้

  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมากผิดปกติ 
  • มีปัญหาการนอนต่างๆ เช่น ไม่นอนหรือนอนมากเกินไป
  • บุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิมมากแบบปุบปับ
  • เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนใหม่
  • โดดเรียนเป็นประจำ
  • เกรดตก
  • พูดหรือคุยเล่นถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย
  • มีเครื่องบ่งชี้ว่าดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือใช้ยาเสพติด
  • ข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย 

พฤติกรรมน่าสงสัยอื่นๆที่ลูกหมกหมุ่นยาวนานมากกว่า 2 เดือนก็อาจเป็นเหตุปัจจัยของปัญหาที่จะตามมาด้วยเช่นกัน โดยปกติแล้วจะมีพฤติกรรมเพียงแค่อย่างหรือสองอย่างที่อาจเปลี่ยนไป หรือผลการเรียนอาจตกไปบ้าง แต่ถ้าลูกซึ่งเคยทำเกรดได้ดีมาตลอดแล้วตกฮวบฮาบหรือจากที่เคยร่าเริงสดใสแต่จู่ๆกลับกลายเป็นคนเก็บตัวผิดสังเกต จงอย่ารีรอที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือจิตแพทย์เพื่อการช่วยเหลือที่ถูกต้อง 

8. เคารพความเป็นส่วนตัวของเขา 

พ่อแม่หลายคนน่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าทุกเรื่องของลูกเป็นภาระหน้าที่ต้องดูแล แต่ในความเป็นจริงการช่วยประคับประคองวัยรุ่นให้ก้าวผ่านรอยต่อสู่ความเป็นผู้ใหญ่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เขามีพื้นที่ส่วนตัว ถ้าได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลถึงสัญญาณปัญหาที่กล่าวมา อย่าเพิ่งรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาทันทีเพื่อเค้นหาความจริง ทางที่ดีลองถอยออกมาดูอยู่ห่างๆก่อน

พื้นที่ส่วนตัวที่พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายคือห้องนอนและโทรศัพท์มือถือของเขา อย่าซักไซ้ให้ลูกบอกทุกอย่างที่คิดหรือรายงานว่าทำอะไรบ้างตลอดเวลา ขอเน้นแค่ความปลอดภัยของเขาเป็นหลักว่าเขากำลังจะทำอะไรที่ไหนกับใครและกลับเมื่อไหร่ โดยไม่ต้องให้แจกแจงรายละเอียด รวมทั้งต้องอดใจอย่าทู่ซี้ขอไปไหนมาไหนด้วยเมื่อเขาไม่ต้องการเป็นอันขาด 

จุดเริ่มต้นเล็กๆที่พ่อแม่ต้องมีก่อนคือความไว้เนื้อเชื่อใจ แสดงให้เขาเห็นและบอกเป็นคำพูดว่าเราไว้วางใจเขา ซึ่งตรงนี้ต้องอธิบายไว้ด้วยว่า ถ้าความไว้วางใจนี้ถูกสั่นคลอน พ่อแม่ก็มีสิทธิลิดรอนเสรีภาพบางอย่างของเขาจนกว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ด้วยเช่นกัน  

9. สังเกตว่าลูกเสพสื่อแบบไหน

สอดส่องข้อมูลที่ผ่านหูผ่านตาเขาบ่อยๆอย่าง รายการทีวี แมกกาซีน หนังสือและเวปไซต์ที่ลูกเข้าเป็นประจำ รวมทั้งระมัดระวังไม่ให้เขาเข้าถึงสื่อต่างๆที่เป็นพิษเป็นภัย การจำกัดช่วงและระยะเวลาที่เขาสามารถอยู่หน้าจอทีวีหรือเล่นคอมพิวเตอร์ก็เป็นอีกวิธีที่แนะนำ เช่นกำหนดให้เล่นได้ไม่เกินสี่ทุ่ม เป็นต้น รวมทั้งพ่อแม่ต้องหมั่นติดตามสังเกตด้วยว่าลูกเข้าถึงเนื้อหาอะไรในทีวี อินเตอร์เนทหรือพูดคุยกับใครออนไลน์บ้าง

แม้จะโตพอสมควร แต่ในวัยนี้พ่อแม่ก็ยังไม่ควรปล่อยให้เขาดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เนทส่วนตัวแบบไม่จำกัด ทีวีและคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในจุดที่พ่อแม่สามารถมองเห็น กับควรพยายามฝึกนิสัยให้เขาเล่นและหยุดเป็นเวลา เช่นกำหนดว่าหลังสี่ทุ่มจะเป็นเวลาเข้านอนที่เขาไม่สามารถแตะมือถือหรือเล่นคอมพิวเตอร์ได้อีกแล้ว

10. ตั้งกฎระเบียบในบ้านที่เหมาะสม 

วัยรุ่นจำเป็นต้องนอนให้ได้ 8-9 ชั่วโมง ดังนั้น การตั้งกฎให้เข้านอนเป็นเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากเป็นการฝึกให้เขารู้กฎระเบียบ สุขภาพร่างกายก็จะเจริญเติบโตได้เต็มที่เมื่อพักผ่อนเพียงพอ

นอกจากนั้นการให้รางวัลเล็กๆน้อยๆเพื่อชื่นชมที่เขาประพฤติตัวดี เช่น อนุญาตให้เข้านอนดึกกว่าเวลาที่กำหนดครึ่งชั่วโมงในวันหยุด หรือพากันทั้งครอบครัวไปเที่ยวตามสถานที่ที่เขาชื่นชอบ ใช้เวลาสำหรับครอบครัวร่วมกันแต่ก็ยังมีความยืดหยุ่นกับลูกด้วย คือไม่จำเป็นต้องให้เขาต้องทำกิจกรรมที่เราอยากทำหรือตัวติดกับพ่อแม่ตลอดเวลา ลองคิดถึงช่วงที่คุณเป็นวัยรุ่นดูว่า ตอนนั้นคุณคิดแบบเดียวกันนี้กับพ่อแม่ไหม 

ลูกจะก้าวผ่านช่วงวัยรุ่นรอดใช่ไหม? 

ช่วงเวลาที่ลูกเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงต่างๆของทั้งร่างกายและพฤติกรรมที่กล่าวมาจะเคลื่อนผ่านไปเร็วบ้างช้าบ้าง จนในที่สุดเราก็จะไม่เห็นภาพเด็กวัยกำลังโตอีกต่อไป ในที่สุดเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองได้ รู้จักความรับผิดชอบและพูดจาเป็นเรื่องเป็นราว 

ที่สุดแล้ว ขอมอบกำลังใจเป็นคำขวัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะนำพาลูกวัยรุ่นให้ก้าวเดินผ่านช่วงวัยนี้กันไปให้ได้ทุกคนว่า “เราจะเผชิญกับช่วงเวลานี้และข้ามผ่านมันไปได้ด้วยกันอย่างงดงามในที่สุด”

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นAdolescent Brainการจัดการอารมณ์วัยพรีทีน (Preadolescence)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ยอดรัก ธรรมกิจ: สอนแบบเดียวกับวิถีที่เด็กใช้ชีวิต อยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น
Unique Teacher
16 June 2020

ยอดรัก ธรรมกิจ: สอนแบบเดียวกับวิถีที่เด็กใช้ชีวิต อยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  •  “ผมอยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ถ้าเขาอยากเป็นชาวนา ผมอยากทำให้เขาเป็นชาวนาที่ชาญฉลาด ถ้าเขาอยากเป็นคนปลูกมัน ผมอยากทำให้เขาเป็นคนปลูกมันที่ชาญฉลาด คือไม่ใช่แค่รู้ว่าจะทำอาชีพยังไง แต่รู้ว่าเขาจะจัดการที่ดินตัวเองยังไง ค้าขายยังไง ทำการตลาดยังไง ทำอาชีพนี้ยังไงให้ยั่งยืน”
  • เรื่องราวของครู ยอดรัก ธรรมกิจ โรงเรียนบ้านอาวอย อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ฝันของเขาไม่ใช่การเป็นครูแต่คืออาชีพด้านการแพทย์ แต่เขาดันสอบได้ทุนเรียนครูโครงการเพชรในตม ภาคอีสาน กระทั่งได้มาสอนจริงที่โรงเรียนติดชายแดน วันนั้นเองที่นักเรียนเป็นคนให้คำตอบกับเขาว่า ทำไมเขาต้องเป็นครู และ เป็นครูแบบไหน
  • แม้พล็อตเรื่องพลิกผันของครูยอดรักจะเป็นโครงเรื่องหลักได้สบาย แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือการออกแบบการเรียนรู้ในห้อง อย่างเรียนสนุก ลุกนั่งสบาย ไร้ซึ่งเสียงกดดันขึงโกรธ น่าแปลกที่เสียงโวกเหวกในห้องไม่ใช่แค่เสียงพูดคุยเล่นกัน แต่ปะปนด้วยเสียงการถกเถียงเรื่องการเรียนรู้ การตอบคำถามเสียงดังฟังชัดที่ดูสนุกและฉลาด ไม่เหมือนห้องเรียนเน้นวินัยที่นักเรียนไม่กล้าตอบคำถามครูเลย

1.

ห้องเรียนชั้นป. 1/2 โรงเรียนบ้านอาวอย* อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ หนึ่งในห้องใต้อาคารไม้ชั้นเดียวยาวหนึ่งตอนแต่แบ่งออกเป็น 4 ห้อง ห้องข้างเคียงจัดโต๊ะแถวเดี่ยวตามปกติและทาสีพื้นๆ ตามมาตรฐานอาคารเรียนทั่วไป แต่กับห้อง ป.1/2 ห้องประจำชั้นของครูยอดรัก ธรรมกิจ ต่างออกไป เพราะฝาไม้ระแนงถูกทับด้วยสีพาสเทลตั้งแต่ชมพู ฟ้า เขียว ที่เป็นไอเดียและจัดทำโดยครูเอง แถมมีศิลปะน้อยใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือเด็กน้อยติดเต็มห้องไปหมด ไม่รวม ‘เสียง’ โหวกเหวกจากเด็กตัวเล็กๆ เพียงสิบกว่าคนที่จัดโต๊ะเป็นรูปตัวยู ผลัดกันตอบคำถาม วิ่งออกไปเติมคำตอบบนกระดาน หรือบ้างส่งเสียงเรียกความสนใจจากครูไม่ก็จากเพื่อนด้วยกัน

แค่นั่งในห้องไม่ถึง 10 นาที – ในฐานะผู้เข้ามาสอดแนมการเรียนการสอนในห้อง – ก็รับรู้ได้ถึงพลังสดใส (ปนเซี้ยว) ของเด็กๆ อายุ 8-9 ขวบ ที่ส่งถึงผู้มาใหม่อย่างเราได้อย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันได้ทำความสนิทชิดเชื้อกับเด็กๆ พวกเขาก็ตีซี้เราด้วยการไปหยิบหมวกเปเปอร์มาเช่รูปสัตว์ต่างๆ มา (วิ่ง) เล่นรอครูยอดรักตรวจงานเพื่อนนักเรียนคนอื่น เราหันมองครูว่ามีปฏิกิริยาต่อการวิ่งเล่นของเด็กๆ อย่างไร ครูแค่ยิ้มแซว หัวเราะตาม หยอกเอินพอให้หายมันเขี้ยว ถึงเวลาค่อยเรียกพี่ๆ มานั่งทำกิจกรรมต่อทั้งที่ยังสวมหมวกสัตว์นั้นอยู่ …แถมยื่นชวนให้ครูใส่เล่นด้วยกัน

เท่าที่เห็นและได้ยิน เด็กๆ ไม่กลัวครู เป็นธรรมชาติ ไม่เถียงหัวชนฝาแค่ชอบตั้งคำถามกับครูมากกว่าว่าที่ครูให้ทำแบบนี้เป็นเพราะเหตุผลอะไร ครูเองก็ดูไม่ขัดใจกับความ ‘เฮี้ยว’ ของเด็ก ตอบคำถามกลับทุกครั้งอย่างไม่หงุดหงิด กลมกลืนไปกับเด็กแต่ก็นำทิศทางการสอนได้อย่างไหลลื่นและได้ผลตามแผนการที่เตรียมมา

เราติดตามขอดูครูยอดรักสอนหนังสือเต็มวัน พบว่าครูแทบจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการ ‘โฮลด์’ ห้องเรียน สอนเต็มแมกซ์เกือบตลอด 8 คาบ (แถมตอนพักกลางวันยังกินข้าวโต๊ะเดียวกับนักเรียนประจำชั้นอีก) แต่ครูไม่ได้สอนวิชาการตลอดเวลา แต่แบ่งเวลาให้เด็กๆ ได้ออกไปวิ่งเล่นทำกิจกรรม และยังมีช่วงพักทำศิลปะด้วย (ซึ่งเด็กๆ หยิบอุปกรณ์แล้ววิ่งกรูไประบายสีใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าห้องเรียน)

ไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกว่าห้องเรียนครูยอดรักดูสนุก แต่เด็กห้องข้างๆ ก็แอบเมียงมองและชอบแวะมาชวนครูยอดรักคุยอยู่ไม่ขาดเช่นกัน

“ก่อนเลิกเรียนต้องให้เด็กๆ เล่นอะไรสักอย่างด้วยกันก่อนเขากลับบ้าน อยากให้เด็กๆ ได้พักเบรกก่อนกลับบ้าน อย่างวันนี้เราเล่น ‘ซ่อนแอบ’ กัน เวลาที่เด็กๆ เล่น เขาได้ความสามัคคี เข้าใจความยุติธรรม ได้เรื่องการเป็นผู้นำผู้ตาม ถ้าคนไหนเล่นไม่ถูกกติกานี่มีโวยกันเลยนะครับ คือมันได้เรื่องพวกนี้โดยที่เราไม่ต้องเลคเชอร์เลย” ครูยอดรักในชุดเครื่องแบบสีกากีแวบมาอธิบายเบื้องหลังกิจกรรมก่อนกลับบ้านให้ฟัง

2.

เขาเป็นครูหนุ่มอายุ 33 ปี อดีต 1 ใน 9 นักศึกษาทุนโครงการเพชรในตม ที่แปลว่านี่คือครูหัวกะทิที่พร้อมจะกลับไปทำงานที่บ้านเกิด ปัจจุบันเป็นครูประจำห้องเรียนชั้น ป.1/2  ณ โรงเรียนบ้านอาวอย สอนหลักในวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์ แม้ใครหลายคนจะบอกว่าตลอดการเป็นครูมา 9 ปีของเขาเข้าข่ายคำว่า ‘สำเร็จ’ คือมีความมั่นคงในอาชีพ ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองและเพื่อนร่วมงาน เป็นครูที่ไม่ได้แค่สอนตามคำบอกแต่มีเทคนิควิธีสอนมากมายที่อธิบายกลับด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ได้ และโรงเรียนบ้านอาวอยเองก็เป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพเพราะเป็นโรงเรียนนำร่อง Brain-based Learning (BBL) หรือ การเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมองแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ

กระนั้น ครูยอดรักบอกว่าเขากำลังจะย้ายกลับไปยังบ้านหลังแรกในการบ่มเพาะและเติมเชื้อไฟการเป็นครูของเขา นั่นคือ ‘โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์’ โรงเรียนติดชายแดน จ.ศรีสะเกษ ที่เรียกว่าเป็นหมู่บ้านสุดท้ายของจังหวัดเลยทีเดียว

“ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมไม่เคยอยากเป็นครูเลย กระทั่งตอนได้ทุนโครงการเพชรในตมก็ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง คือสอบเพราะแม่บอกให้สอบแต่ผมกลับติดทุนนี้ ตอนฝึกสอนก็ทุกข์มากเพราะเจอกับห้องเรียนที่ควบคุมไม่ได้ ถอดใจหลายครั้ง จนเรียนจบแล้วต้องกลับมาใช้ทุนที่โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์ ตอนรู้ครั้งแรกว่าจะต้องมาใช้ทุนที่โรงเรียนนี้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงไหน หาใน google map ก็ไม่เจอ จนมารู้จากลุงที่เคยเป็นทหารตระเวนชายแดนและเคยทำอยู่แถวโรงเรียนนี้”

จากที่ตั้งใจว่าจะไปแค่ใช้ทุนแล้วลาออก กลายเป็นได้คำตอบว่านี่แหละคืออาชีพที่เขาอยากทำ และก็ทำมาตลอด 9 ปี เพียงเพราะประสบการณ์ที่นี่สอนให้รู้ว่า…

“มันไม่ใช่ผมเลยที่สอนเขา นักเรียนก็เป็นคนสอนผมเรื่อง ‘ทักษะชีวิต’ ด้วย”

         3.

นักเรียนกำลังทำกิจกรรม Brain gym

“ตอนไปเป็นครูผู้ช่วยสอนที่โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์ใหม่ๆ ไฟแรงมาก เคยเรียนเคยฝึกสอนที่กรุงเทพฯ มายังไงก็เอามาใช้กับที่นี่หมด ตั้งใจอยากให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้และได้วิชาการเต็มที่ จำได้เลยว่าตอนนั้นผมสอนวิชาคณิตศาสตร์ เราก็เขียนโจทย์ขึ้นกระดานให้เด็กๆ 10 ข้อ เพราะตอนสอนที่กรุงเทพฯ เด็กๆ ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็เสร็จแล้ว เราก็ให้งานเด็กไว้แล้วเดินไปทำธุระกับครูที่โรงเรียน เพราะตอนมาใหม่ๆ ยังมีหลายเรื่องที่เราต้องไปศึกษาจัดการ ผ่านไป 1 ชั่วโมง เรากลับมาตั้งใจจะเฉลยคำตอบ ปรากฎว่านักเรียนเขียนแต่โจทย์แต่ไม่ทำ เราถามว่าทำไมถึงไม่ทำ เด็กๆ ตอบว่า ‘เอ้า ก็ทำไม่เป็นน่ะครู’ เลยต้องใช้เวลาอีกคาบชวนนักเรียนทำทีละข้อ กว่าจะจบใช้เวลานานมากและก็ไม่รู้ว่าเด็กๆ เข้าใจรึเปล่า จากนั้นผมไม่เคยให้งานนักเรียนเกิน 5 ข้อเลย (หัวเราะ) 

“ผมเป็นครูผู้ช่วยที่นั่นประมาณ 2 ปี ก็ได้เป็นครูเต็มตัว ทีนี้เราออกแบบห้องเรียนเราได้เองแล้ว และรู้แล้วว่าเด็กๆ ไม่ได้สนใจวิชาการขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องทักษะชีวิต เรื่องนี้เด็กๆ เก่งมาก ธรรมชาติของเด็กที่นี่คือเขาทำนา ทำไร่ รู้จักเครื่องยนต์ดีมากเพราะต้องใช้ทำงาน ก่อนมาโรงเรียนเขาต้องไปทำนา ปลูกมัน ทำงานที่บ้านให้เสร็จก่อน ผมเลยเริ่มจากค่อยๆ ถามเขาว่า ‘วันนี้ไปทำอะไรมา’ เด็กตอบว่า ‘ไปปลูกมัน ตัดมันมาสิครู’ เราก็ค่อยถามต่อ ‘เหรอๆ แล้วเวลาเธอตัด ตัดกี่เซนฯ รู้มั้ย ช่วยไปวัดมาให้ครูหน่อย’

“วันรุ่งขึ้นเด็กมาบอกเลย ‘ตัด 10 เซนฯ ฮะครู’ เราก็ถามต่อ ‘เหรอ แล้วต้องปักยังไง ปักลึกเท่าไร แต่ละต้นห่างกันเท่าไร’ เด็กก็กลับไปวัดระยะห่างแต่ละหลุมมาอีกว่าแต่ละหลุมห่างเท่ากันมั้ย วันรุ่งขึ้นกลับมาตอบว่าเขาปักแต่ปักไม่เท่ากัน เราก็ถามต่อเลย ‘อ้าว เหรอ แล้วทำยังไงให้มันเท่ากันละ’ เด็กบอก ‘งั้นจะไปดึงตลับเมตรมาวัดให้มันเท่าๆ กันครับครู’ แล้วเด็กก็กลับไปดึงตลับเมตร มาร์กหลุมแต่ละต้น เนี่ย… เราทำแบบนี้ทุกวัน ตั้งคำถามและให้เขากลับไปหาคำตอบทุกวันโดยที่เด็กไม่รู้เลยว่ากำลังเรียนเรื่องการวัด เรียนเรื่องหน่วยอยู่  พอสุดท้ายเราเฉลยว่า นี่แหละคือการวัด เด็กว่า ‘มันคือแค่นี้เหรอครู!’ เขารู้สึกว่าทำไมมันง่ายจังเลย หลังจากนั้นเด็กๆ ห้องผมแทบไม่ค่อยได้อยู่ในห้องเรียนเลย แต่แปปๆ นักเรียนชวนกันออกไปเก็บมันละ ไปคลองละ ชุดทำงานผมไม่ต้องพูดถึง ใส่สูทก็ต้องถอดแล้วโดดน้ำกับนักเรียนเลย

“การสอนแบบนี้ เราไม่ต้องเปิดหนังสือเลยแต่เด็กๆ เข้าใจและนำไปใช้งานได้จริง ถามว่ามันวัดผลได้มั้ย? ได้นะ เพราะตอนไปสอบ เด็กกลุ่มนี้สอบได้หมด เขาเล่าให้ฟังว่าที่เขาทำได้เพราะเขาเห็นเป็นภาพ จำได้ว่าตอนที่ลงไปวัด ไปแปลงหน่วย ไปใช้เครื่องมือนั้นมันกลับมาพลิกแพลงในการทำข้อสอบยังไง และนี่ไม่ใช่แค่กับวิชาเลขนะฮะ แต่กับวิชาภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน ผมไม่เคยให้เด็กๆ ท่องจำแบบ ‘C-A-T แคทแมว’ แต่เรียนจากเรื่องจริงว่า สัตว์ที่เขาเจอในชีวิตจริงคืออะไร คำศัพท์ที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ที่เขาใช้งานทุกวันคืออะไร”  

ครูยอดรักใช้เวลาที่โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์เป็นเวลา 5 ปีเต็มก็ครบกำหนดใช้ทุน เขาเล่าว่าการอยู่ที่นี่ไม่ใช่แค่ตอบคำถามว่าเขาอยากเป็นครูหรือไม่ แต่ตอบว่าเขาอยากเป็นครูแบบไหน เห็นจริงเลยว่าการเป็นครูคือทุกอณูของชีวิต

“อยู่ที่นั่น ด้วยความที่บริบทโรงเรียนมันแตกต่างมาก เด็กๆ มีหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะเขมร ส่วย ลาว เยอ ความฝันของเขาไม่ใช่การเป็นหมอ ครู ดารา แต่คือ เขาอยากเป็นชาวนา อยากปลูกมัน อยากทำอาชีพแบบพ่อแม่เขา การได้เห็นและอยู่กับเขาทำให้ผมตั้งใจกับตัวเองเลยว่า

“ผมอยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น และถ้าเขาอยากเป็นชาวนา ผมอยากทำให้เขาเป็นชาวนาที่ชาญฉลาด ถ้าเขาอยากเป็นคนปลูกมัน ผมอยากทำให้เขาเป็นคนปลูกมันที่ชาญฉลาด คือไม่ใช่แค่รู้ว่าจะทำอาชีพยังไง แต่รู้ว่าเขาจะจัดการที่ดินตัวเองยังไง ค้าขายยังไง ทำการตลาดยังไง ทำอาชีพนี้ยังไงให้ยั่งยืน”

4.

สิ่งที่ทำให้ครูยอดรักถูกติดเครื่องมือการสอนมากมาย ไม่ได้มาจากแลคเชอร์ในมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว แต่ตลอดการทำงาน 9 ปี และโดยเฉพาะขวบปีแรกของการเป็นครู เขาแสวงหาเคล็ดวิชา ทั้งอาสาและถูกชี้ตัวให้เข้าอบรมแทบทุกงาน

“ด้วยความที่เป็นคนโสด อายุน้อย เป็นผู้ชาย ทำให้การอบรมที่ส่วนใหญ่มักต้องไปต่างจังหวัด ไปค้างคืน ผมกลายเป็นคนที่คล่องตัวไปอบรมที่สุด ทุกครั้งที่ไปทำให้ได้เจอกับครูที่เก่งๆ ศึกษานิเทศน์เก่งๆ เวลาเขาคุยหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสอน แม้ผมจะรู้สึกตัวเล็กไม่มีอะไรไปแลกเปลี่ยนกับเขา แต่ก็ทำให้ผมตื่นเต้นและอยากพัฒนาตัวเองไปด้วย

“แต่พีคที่สุดคือการเข้าอบรมกับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลย”

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ตัวโรงเรียนเองมีนวัตกรรมการสอนแบบ PBL (Problem Based Learning การออกแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน) และ จิตศึกษา (การจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม) ไม่ใช่แค่เข้าอบรม แต่ครูยอดเป็นตัวแทนครูได้เข้าไปอบรมและฝังตัวที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเป็นเดือนๆ การเข้าอบรมหลายๆ ครั้งทำให้ครูยอดได้เคล็ดวิชาการสอนหลากหลายไปปรับใช้ในห้องเรียน และทำให้เห็นว่าการโลกแห่งการสอน มันมีวิธีหลากหลายที่จะส่งต่อให้กับนักเรียน 

ในปีที่ 5 ของการเป็นครู ครูยอดรักย้ายมาสอนที่โรงเรียนบ้านอาวอย ซึ่งเป็นโรงเรียนในตัวเมืองอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เด็กๆ มีความพร้อมจากทางบ้านและความพร้อมของโรงเรียน นักเรียนจึงมีความพร้อมเรียนรู้ทางวิชาการมากกว่าโรงเรียนเก่าที่ต้องปรับให้อิงชีวิตจริงของพวกเขา ครูยอดรักต้องปรับวิธีการสอนด้วยการเร่งเครื่องทางวิชาการเต็มที่ แต่ด้วยอาวุธที่สั่งสมมา การเร่งเครื่องทางวิชาการก็ไม่ใช่ในรูปแบบการท่องจำอยู่ดี 

“โจทย์ของที่นี่ไม่ใช่การสร้างทักษะให้นักเรียน แต่เน้นวิชาการได้เลย เพราะเด็กๆ มีพื้นฐานที่ค่อนข้างดีพร้อมเรียน แต่อย่างไรเราก็ไม่ชอบการสอนแบบเปิดหนังสือสอน แต่เรียนผ่านอุปกรณ์ ให้เข้าใจเป็นภาพ มีกิจกรรมเยอะๆ และพยายามจะรู้จักเด็กเป็นรายคน บางคนมีปัญหาเรื่องการพูด เราก็จะชวนเขาคุยมากหน่อย ทำให้เขาไว้ใจให้ได้ บางคนช้าหน่อย เราก็ต้องคัดกรองและกระตุ้นการเรียนการสอนให้เขา

“ที่สำคัญคือการสร้างทัศนคติที่ดีให้กับการเรียน”

หลักฐานคือ การไปสอนแทนวิชาภาษาอังกฤษให้นักเรียนชั้นมัธยมต้น ครูเล่าว่าตอนแรกเด็กๆ ปิดหนังสือและก้มลงนอนเลย บอกแต่ว่าเดี๋ยวลุกขึ้นมาจดตามคำบอกครูเอง

“เราบอกเด็กว่า แต่ครูไม่ได้จะให้จดนะ มา มาดูข่าวกัน” ครูยอดให้เด็กดูข่าว BBC เกี่ยวกับไฟป่าที่ประเทศออสเตรเลีย จุดประสงค์ของคาบนั้นมีเพียงอยากให้เด็กรู้จักสัญลักษณ์ป้ายบอกทางต่างๆ เมื่อคลิปฉายให้เห็นป้ายข้างทางเมื่อไรก็กดปุ่ม pause แล้วถามเด็กๆ คิดว่าป้ายนี้คืออะไร มากเข้าก็ค่อยถามว่าเข้าใจเนื้อเรื่องโดยรวมมั้ย พิธีกรกำลังบอกอะไร ไม่ต้องถูกทั้งหมดก็ได้แค่เดาๆ

“เด็กๆ ก็ตอบว่า ต้องเป็นป้ายนั้นแน่เลย สื่อสารแบบนี้แน่เลย เราถามเด็กว่า ‘รู้ได้ยังไงว่าเขาสื่อสารแบบนี้’ เด็กก็บอกว่า เดาเอาๆ ซึ่งเราไม่บอกว่าผิดหรือถูก แต่ชวนกันหาคำตอบมากกว่าว่าจริงมั้ย จริงไม่จริงยังไงให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาคำตอบดู เพราะความตั้งใจคืออยากให้เขาชินกับภาษา ไม่กลัว ไม่เบื่อมัน เราเองก็ไม่ใช่ครูภาษาอังกฤษเต็มตัวอยู่แล้ว เพียงแต่พอรู้ เข้าใจ และมีเพื่อนเป็นครูชาวต่างชาติ เขาบอกเราว่า เวลาสอนเด็กไม่ต้องเน้นแกรมม่าเลย แค่ให้เขาชินและอยากพูด พูดออกมาเถอะ เอาแค่นั้นก่อน เราเชื่อเขานะ คือถ้าเขาไม่กลัวเสียอย่าง นี่คือการเริ่มต้นที่ดี แม้จะไม่ได้สอนต่อแล้ว แต่ถ้าเด็กๆ เจอเราเราก็ยังขอให้เขาพูดภาษาอังกฤษกับเราอยู่เสมอ ผิดๆ ถูกๆ พูดมาเถอะ อย่างน้อยแค่ให้คุ้นคำศัพท์ก็พอ”

5.

“ผมไม่ได้คิดว่าการเป็นครูมันมีความสุขขนาดนั้นนะ เคยมีจุดที่ถามตัวเองด้วยว่าลาออกดีมั้ย ทำงานมาเกือบสิบปี พอแล้วล่ะ รับผิดชอบอะไรหลายอย่าง และการสอนหนังสือในบ้านตัวเอง เด็กๆ ที่อยู่ในห้องก็เป็นลูกเป็นหลานเราทั้งนั้น อึดอัดนะ เพราะมันใกล้กันเกินไป แต่ถึงจุดนึงก็ต้องปล่อย อยากสอนในแบบของเราเอง

“ครูหลายคนก็ไม่ได้เชื่อในวิธีการสอนของเราทั้งหมด แต่เขาไม่ได้ขัดขวางนะครับ เพียงแต่การจะเปลี่ยนทั้งระบบมันมากกว่าแค่ใครคนใดคนนึงทำ มันต้องทำร่วมกัน คิดว่าถ้าลาออกก็จะไปเรียนต่อและไปเป็นอาจารย์มหา’ ลัย คืออยากพักด้วย แต่… ที่ทำให้ผมยังเป็นครูต่อก็เพราะนักเรียนนี่แหละ เด็กๆ ที่จบไปถามว่า ‘ถ้าครูไม่อยู่แล้วน้องๆ หนูล่ะ เขาจะเรียนกับใคร’ (นิ่งคิด) สุดท้ายก็เลย เป็นครูนี่แหละ และเพราะอยากเป็นครู ผมเลยอยากกลับไปสอนที่เดิม เพราะรู้สึกว่าเราจะมีประโยชน์กับที่ตรงนั้นมากกว่า

“ผมอยากเปลี่ยนการสอนของที่นู่น อยากเปลี่ยนตัวเด็ก อยากเปลี่ยนชุมชน อย่างแรก – เปลี่ยนการเรียนการสอนหมายถึงว่า อยากเอาเด็กเป็นที่ตั้ง สอนแบบ active learning เปลี่ยนจากการสอนตามหนังสือมาเรียนผ่านกิจกรรม อาจจะเปลี่ยนยากหน่อยแต่ครูที่นั่นยังเป็นครูกลุ่มเดิมที่ผมเคยทำงานด้วย ก็เลยคิดว่าอย่างน้อยเขาน่าจะเข้าใจและเปลี่ยนไม่ยากนัก

“สอง – เปลี่ยนนักเรียน หมายถึงว่า ผมอยากเห็นชีวิตเขาดีขึ้น คือเด็กที่นู่นเขายากลำบากมากนะ ขนาดที่ว่าเด็กบางคนไม่มาโรงเรียนเพราะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีตังมาโรงเรียน แต่โรงเรียนที่นั่นก็ดีมาก คืออาหารกลางวันเต็มที่แถมตักใส่ถุงให้เด็กเอากลับไปกินที่บ้านด้วย หรือใต้โต๊ะของผมตอนอยู่ที่นั่นต้องมีถุงเท้าสำรองไว้ เห็นเด็กคนไหนถุงเท้าขาดไม่ไหวแล้วก็จะหยิบให้ ส่วนที่สาม – ชุมชน ผมอยากให้ชุมชนเขาพัฒนาขึ้น ทำนา ทำการเกษตรอย่างเข้าใจขึ้น แต่จะทำได้ก็ผ่านนักเรียนที่แหละ ให้เขาไปซึมๆ กับผู้ปกครอง”

Unique ในตัวครูยอดรักในสายตาเรา เขาคือครูที่สดใส มีแรงดึงดูดกับเด็กๆ ให้สนใจและพุ่งเข้าหา ตลอดสองวันที่อยู่กับครู ไม่มีช่วงไหนที่ครูจะยืนอยู่คนเดียว เป็นต้องมีนักเรียนแวะเวียนมาพูดคุยทั้งเด็กเล็กเด็กโต นอกจากความจริงใจและรู้จริงในสิ่งที่สอน รอยยิ้มและความอบอุ่นอาจเป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์ที่ทำให้เขาเป็นครูที่นักเรียนรัก

แต่เมื่อถามครูว่า คิดว่าคาแรกเตอร์ไหนในตัวเองที่เป็น Unique และเชื่อมกลับไปยังห้องเรียน เป็นจุดแข็งที่ทำให้เนรนิตห้องเรียนที่แตกต่างได้ ครูยอดรักเลือกคำว่า ‘ผจญภัย’

“แต่ไหนมาแล้วผมอยู่นิ่งไม่เป็น เป็นคน alert ตลอดเวลา กระหายใคร่รู้ ชอบทำชอบทดลองอะไรใหม่ๆ และต้องทำให้เห็นกับตา ซึ่งผมคิดว่าคาแรกเตอร์นี้ในตัวผมมันส่งต่อถึงเด็กในห้องเรียนมาก เด็กๆ ห้องผมต้องได้เรียนรู้อะไรแปลกใหม่ ตื่นเต้น เพราะผมเชื่อว่าถ้าเด็กอยากเรียนอยากรู้จริงๆ เขาจะพยายามค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งผมมองว่านี่คือการผจญภัย การผจญภัยจะได้ประสบการณ์กลับมา” 

ครูตอบพร้อมรอยยิ้มที่… นี่ก็คือเอกลักษณ์ในตัวครูยอดรักอีกอย่างนึง

*โรงเรียนบ้านอาวอย หนึ่งในโรงเรียนนำร่อง Brain-based Learning (BBL) หรือ การเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมองแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ การสอนของครูยอดจึงไม่เหมือนการเรียนการสอนแบบที่เราเคยคุ้น แต่เรียนเหมือนเล่น ให้อารมณ์และความอยากรู้ของเด็กๆ นำทาง และเน้นให้เด็กๆ ได้ทดลองทำมากกว่าการท่องจำ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าห้องเรียนครูยอดให้เด็กจดตามคำบอกน้อยมาก แต่เด็กเรียนผ่านอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการผสมคำจากบัตรคำ เรียนเป็นภาพ และมีสิ่งประดิษฐ์ในห้องให้เยี่ยมชมหลากหลายเลย

Tags:

ศรีสะเกษพื้นที่นวัตกรรมการศึกษายอดรัก ธรรมกิจunique teacher

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Creative learning
    ‘เห็ดหรรษา’ วิชาปากท้องที่บูรณาการวิทยาศาสตร์ ภาษาและทักษะสมรรถนะ : ผอ.ปวีณา พุ่มพวง โรงเรียนวัดถนนกะเพรา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Education trend
    SISAKET ASTECS: กรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ หมุดหมายการสร้างเมืองและคนศรีสะเกษในระยะ 10 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ: คุณภาพการศึกษาที่คนศรีสะเกษออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    จากครูไหวใจร้ายกลายเป็นครูเอ๋ใจเย็น: การเปลี่ยนผ่านของอดีตครูเจ้าระเบียบ เน้นท่องจำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

เด็กทุกคนเล่นดนตรีได้(และควรได้เล่น) ไม่ว่าเขาจะพิการหรือไม่ก็ตาม
Everyone can be an Educator
16 June 2020

เด็กทุกคนเล่นดนตรีได้(และควรได้เล่น) ไม่ว่าเขาจะพิการหรือไม่ก็ตาม

เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • ตามไปดู โครงการดนตรีสร้างสรรค์เพื่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โครงการสอนดนตรีของ ยุ้ย เสาวคล​ ม่วงครวญ​ – นักเชลโล่และ project director ในการสอนเด็กออทิสติกให้หัดเล่นดนตรี
  • ดูพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของเด็กออทิสติกทิสติกหลังกระบวนการดนตรี
  • เด็กทุกคนควรจะเล่นดนตรีได้ และควรมีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนดนตรี ไม่ว่าจะเขาพิการหรือไม่ก็ตาม เพราะดนตรีมีส่วนในการพัฒนาศักยภาพ

ทันทีที่เดินเข้าไปในโรงเรียนสอนดนตรีแห่งนี้ ดูทีแรกก็คงเหมือนโรงเรียนสอนดนตรีทั่วไป คีย์บอร์ดที่วางเรียงรายอยู่หลายตัว กล่องไวโอลินและเชลโล่ ตารางการเรียนการสอน แต่ใครจะรู้ว่าไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ยุ้ย เสาวคล​ ม่วงครวญ​ – นักเชลโล่ โปรเจ็ค​ไดเร็คเตอร์ และเจ้าของสถาบันร่วมที่นี่พยายามจะปลุกปั้นโครงการดนตรีสำหรับเด็กออทิสติก หรือโครงการดนตรีสร้างสรรค์เพื่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

จากจุดเริ่มต้นของนักดนตรีสู่การเป็นนักดนตรีทดลอง ที่ชอบทดลองใส่ความเปลี่ยนแปลงลงไปในงานของตนเอง วันนี้เธอเห็นโอกาสการทดลองของตัวเองอีกครั้ง หลังคำชักชวนของผู้ใหญ่ที่อยากให้เธอลองสอนดนตรีให้กับเด็กออทิสติก ทั้งที่เธอไม่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับเด็กพิการมาก่อน ยุ้ยตัดสินใจลองตั้ง โครงการดนตรีสร้างสรรค์เพื่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อสร้างพื้นที่ทางดนตรีและพื้นที่การทดลองของเธออีกครั้ง

แม้จะบอกว่าเป็นโครงการ แต่กิจกรรมนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหรือภาคเอกชนรายใหญ่ใดๆ ทั้งหมดเกิดจากความพยายามของครูยุ้ยและเพื่อนๆ มิตรสหายในการปลุกปั้น เริ่มต้นจากการทำอัลบั้มเพลงเองเพื่อเป็นทุนตั้งต้น สู่ความร่วมมือที่ทำให้โรงเรียนดนตรีแห่งนี้เป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับเด็กกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษอย่าง ออทิสติก 

ตามไปดู และพูดคุยกับครูยุ้ย ถึงที่มาและความพยายามสร้างพื้นที่การเรียนรู้ในครั้งนี้ ความสนใจ จุดเริ่มต้น อุปสรรค และเล็งเห็นอะไรในตัวน้องๆ ศักยภาพการพัฒนาของพวกเขา รวมถึงบทเรียนของครูยุ้ยเองที่ได้รับจากการทำงานนี้ และพิสูจน์ให้เห็นว่าทำไมคนทุกกลุ่มควรเข้าถึงดนตรี

เริ่มต้นสนใจดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ 

เราเรียนจบดนตรีศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เครื่องดนตรีที่เล่น คือ เชลโล่ พอเรียนจบก็มาเป็นครูที่สถาบันดนตรีอยู่ 10 ปี หลังจากนั้นไปเป็นอาจารย์ที่มหาลัยราชภัฏนครปฐม อยู่ 3 ปี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราค้นหาตนเอง แล้วก็ไปเจอโรงละครภัทราวดีเธียเตอร์ ของ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ได้ทำงานที่นั่นแล้วชอบ เลยลาออกจากการเป็นอาจารย์ เลิกสอนทุกอย่าง แล้วหันไปเดินสายทำดนตรีประกอบละครและผลิตชิ้นงานของตนเอง เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นนักดนตรี เป็นคนแต่งเพลงและเรียบเรียงด้วย ผลงานที่คนน่าจะรู้จักมี สมุย ซอง ของพี่ต้อม เป็นเอก แล้วก็มีงานจากต่างประเทศบ้าง

จุดเริ่มต้นของโครงการเป็นอย่างไร 

พอเป็นนักดนตรีเต็มตัว เรากลับมาอยู่บ้านที่นครปฐม ส่วนตัวก็รู้จักกับ หมอ พยาบาล โรงพยาบาลนครปฐมอยู่แล้ว พอเขารู้ว่าอยู่แถวนี้ก็ชวนเราไปเล่นดนตรีให้เด็กๆ ในโรงพยาบาลฟัง เช่น งานวันเด็ก ทำมาแล้ว 3 ครั้ง โดยทำปีละครั้ง ซึ่งก็จะมีเด็กที่ป่วยและไม่ได้กลับบ้าน เราไปเล่นให้เขาฟังตามห้องที่เขาพัก จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำว่า ทำไมไม่เปิดสอนดนตรีสำหรับเด็กออทิสติกล่ะ ที่นครปฐมไม่มีเลยแถมที่สอนในกรุงเทพฯ ก็ต้องไปรอคิวนานมาก 

เราเลยตัดสินใจเลือกทำที่บ้าน ส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะเราเป็นคนที่นี่ เคยเห็นโครงการแบบนี้มีอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ที่อื่นไม่ค่อยเห็น เลยรู้สึกว่าพวกเขาเข้าไม่ถึง และที่สำคัญคือสะดวกทั้งกับเราและน้องๆ 

เราเข้าใจว่ายังมีคนที่ทำงานเรื่องนี้ไม่มาก เท่าที่รู้ก็มี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ทำ แต่ก็แน่นเพราะปริมาณเด็กๆ ที่อยากเข้ากระบวนการมีเยอะ และกระบวนการก็ต้องใช้เวลานาน แต่พอมาทำก็เข้าใจว่าทำไมถึงนาน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน 

เราไปคุยเรื่องนี้กับโรงพยาบาลซึ่งผลคือเขาสู้ไม่ไหว เขาไม่มีงบประมาณที่จะมาจ่ายค่าเรียนและสนับสนุนโครงการ พอดีจังหวะนั้นเราได้ทำอัลบั้ม​ (พรายอินสเปซ)​ กับ พี่ พราย ปฐมพร​ ปฐมพร เราก็เลยชวนทีมงานและเพื่อนๆ วงอภิวาท ให้มาทำอัลบั้มนี้ด้วยกัน รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายก็เอาไปทำโครงการ ซึ่งทุกคนก็ช่วยกัน บวกกับพี่พราย ปฐมพร เองก็มีฐานแฟนคลับอยู่ เวลาทำอัลบั้มออกมาก็มีคนช่วยซื้อ จากนั้นเราก็กลับไปคุยกับโรงพยาบาลอีกครั้งนึงว่าเรามีทุนแล้ว คุยกันเสร็จ โรงพยาบาลก็คัดน้องๆ มา นอกจากทุนจากการทำเพลง บางส่วนก็มาจากเพื่อน พี่น้อง ครู อาจารย์ มาช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้อีกทางหนึ่ง เพื่อที่จะได้มาทำการจัดการในโครงการนี้

พอเริ่มโครงการเราก็เริ่มหาเพื่อนที่ปรึกษา ทั้งนักกายภาพ นักพัฒนาการเด็ก หาคนคุย  เราขอให้โรงพยาบาลคัดเลือกเด็กที่พอจะเรียนได้มาให้ ที่คิดว่าเราสอนพวกเขาได้ และเขาสามารถเรียนรู้ได้ 

อีกอย่างนึงที่เราอยากจะลองทำโครงการนี้เป็นเพราะว่าโดยพื้นฐานของเราเป็นนักดนตรีทดลองด้วย เราชอบทดลองไปเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ พอมาเห็นงานที่น่าสนใจ ก็อยากทำ  ดนตรีทดลอง คือการที่คนทั้งวงสามารถเล่นดนตรีแบบที่ไม่มีโน้ตบังคับ ไม่มีทำนองหรือจังหวะตายตัว ไม่ได้จำกัดว่าเป็นเครื่องดนตรีเท่านั้น บางคนใช้ไวโอลินแต่เล่นในวิธีที่ไม่เหมือนเดิม บางคนใช้เครื่องพิมพ์ดีดเป็นเครื่องดนตรี และทุกคนเล่นไปตามความรู้สึกของตนเอง เราได้รู้จักดนตรีทดลองแบบนี้จากงานอบรมที่นึง แล้วรู้สึกชอบมากๆ รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นการลดอีโก้ของนักดนตรี เพราะปกตินักดนตรีจะเล่นเพื่อทำยังไงก็ได้ให้เสียงกลมกลืน ให้เสียงตรงเสียง แต่ดนตรีทดลองไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลย ไม่มีใครรู้ว่าช่วงไหนใครจะเล่นนำ เล่นเบา อันนี้เขานำ อันนี้เรานำ เราคิดว่าสิ่งน้ำขัดเกลาให้เรากล้าลอง นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า เราเป็นคนที่ทำงานทดลองแล้วสนุก เรารักที่จะได้ทดลองเสมอ

น้องๆ  มีพื้นฐานไหม แล้วหัดให้น้องเริ่มเล่นยังไง

ไม่มีเลย แรกสุดเลยให้ผู้ปกครองพามา แล้วเราก็ลองดูสรีระ บางคนตัวสูง บางคนตัวเล็ก ดูนิ้ว ดูว่าใครมีแนวว่าเขาจะเหมาะกับอะไรแล้วก็ถามผู้ปกครองกับเด็กว่าชอบไหม เอาเครื่องดนตรีทั้ง 3 แบบ ไวโอลิน เชลโล่ และเปียโน แล้วให้เด็กเลือก ส่วนใหญ่เด็กจะเลือก เปียโน กับ ไวโอลิน เพราะเล่นง่าย สำหรับเรา เปียโนง่ายที่สุด เพราะว่ากดไปยังไงก็มีเสียง 

ในคาบแรก เราให้ผู้ปกครองเข้ามาด้วย เพราะหลายอย่างพ่อแม่ก็ต้องเอาไปสอนต่อ เราเลยสอนผู้ปกครองไปด้วย อย่างเปียโน ก็จะให้เด็กรู้จักมือซ้ายมือขวาก่อน เพราะบางคนไม่รู้เลยว่าอันไหนซ้ายขวา บางทีเราบอกให้ยกมือขวาก่อนแล้วยกมือซ้าย ให้รู้จักตัวโน้ตทีละตัว ว่าคือโน้ตอะไร ให้เขาจำให้ได้ว่าอยู่ตรงไหนของเปียโน บางคนขยับนิ้วแต่ละนิ้วไม่ได้ กล้ามเนื้อเล็กๆ ของเขาขยับไม่ได้ เราเลยให้ฝึกขยับนิ้ว ฝึกเคาะโต๊ะ ฝึกเคาะนิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อนิ้วทำงาน พอกลับบ้านไปก็ให้หาลูกบอลกดแต่ละนิ้ว ก็ได้ผลเหมือนกัน บางคนจับคันชักไวโอลินไม่ได้ ฝึกไปเดือนสองเดือน เขาสามารถจับได้

ความรู้ความเข้าใจของตัวเองเกี่ยวกับเด็กออทิสติกถือว่าเริ่มต้นจากศูนย์เลยใช่ไหม 

ใช่ค่ะ เรื่องความเข้าใจในคำพูดของเราด้วย แรกๆ เราไม่เข้าใจ บางครั้งเราพูดๆ ไปแล้วสงสัยว่าทำไมเค้าเงียบกันไปเลย เราเลยต้องไปขอคำปรึกษาจากผู้ปกครองของน้องๆ ถึงได้รู้ว่า เขาไม่เข้าใจที่เราพูด เพราะเด็กไม่ค่อยได้เจอคนอื่นหรือคนนอกครอบครัว ถ้าเป็นภาษาใหม่ๆ คำยากๆ ต้องพูดต้องอธิบายให้เขาเข้าใจมากขึ้น

ยังมีเรื่องความไม่ไว้ใจด้วยนะ เช่น น้องคนนึง 5 ขวบ กว่าจะทำให้เขาไว้ใจเราได้นั้นนานมาก ร้องไห้ ตะโกนโวยวาย มีคนนึงไม่ร้องแต่ไม่ยอมให้เราถูกตัวเลย เขาต้องเล่นเปียโนใข่มั้ย? แล้วดนตรีมันต้องมีการจับตัวแต่เขาไม่ให้เราจับ เวลาเล่นก็พยายามเอียงตัวหนี ไม่ให้โดนตัว เราต้องพยายามสื่อสารกับเขาให้ได้ ปรึกษากับพ่อแม่และผู้เชี่ยวชาญว่าต้องทำอย่างไร สรุปว่าเขาไม่ให้โดนตัวเราก็ไม่โดน แล้วน้องคนนี้ก็เป็นคนคำไหนคำนั้น ยึดสัจจะ สมมติเราบอกเขาว่าจะให้เล่นอีกครั้งเดียว เขาก็จะเล่นครั้งเดียวแล้วจบ มากกว่านี้เขาก็จะร้องไห้ 

วิธีแก้ของเราคือ พูดคำไหนต้องคำนั้นไปเลย ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง จะตามใจเราไม่ได้

ต่างจากตอนคิดไหม

(หัวเราะ) ตอนทำโครงการเดือนแรก คนรอบข้างพูดว่าหน้าเราดูเครียดมาก แต่พอผ่านเดือนนึงแล้วสบาย เพราะเรารู้จักเขาหมด อาจจะเป็นเพราะเราตกผลึกได้มากขึ้นว่า เขามาเพื่อกายภาพบำบัด ไม่ได้มาเพื่อเป็นนักดนตรี แรกๆ เรายังรู้สึกว่า เด็กต้องเล่นได้สิ ต้องเล่นได้สักเพลงหนึ่ง ต้องจับคอร์ด ต้องเดินเบสได้ตามเด็กในสถาบันดนตรี 

เด็กแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายในการเรียนแตกต่างกัน บางคนมาเรียนเพื่อผ่อนคลาย หรือเพื่อเป็นนักดนตรี  แต่โครงการนี้เราก็เพิ่งมาเข้าใจเพิ่มทีหลังว่าเพื่อพัฒนาศักยภาพทางร่างกายด้วยดนตรี พอเปลี่ยนโฟกัสเป้าหมายเราก็เปลี่ยน 

เราว่าสิ่งที่ยาก คือการที่เด็กแต่ละคนมีจุดที่ควรโฟกัสและดูแลต่างกัน การเรียนการสอนเลยควรทุ่มเทให้พวกเขาเฉพาะรายบุคคล ซึ่งโรงเรียนข้างนอกอาจจะให้สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ได้ ถ้าพวกเขาต้องการมากกว่านั้น หรือต้องการเน้นเฉพาะบางจุด บางคนเราอาจจะต้องบอกเขาหลายๆ รอบหน่อย ต้องสอนเขาย้ำๆ หน่อย เท่านั้นเอง ซึ่งก็พอเข้าใจว่าโรงเรียนที่มีคนเยอะๆ จะมานั่งสอนเด็กแบบนี้ไม่ได้ 

แล้วหาความรู้เรื่องเด็กออทิสติกจากไหน 

เราหาความรู้ตามสื่อต่างๆ สอบถามจากพ่อแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติก ดูจากอินเทอร์เน็ต ถามนักกายภาพจากทีมโรงพยาบาล คุยกันเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนจะสอน แล้วก็ไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับพื้นฐานของเด็กออทิสติกเป็นยังไงบ้าง ทางโรงพยาบาลก็ให้ข้อมูลมาอ่าน แต่ในที่สุดก็ต้องดูจากเด็กเป็นหลัก เรื่องนี้ไม่มีวิธีตายตัว วันนี้บางคนเล่นได้ดีมาก แต่อีกวันอารมณ์เขาเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับ อย่างเขาไปเจออะไรมาแล้วอารมณ์เสีย เขาก็เล่นไม่ดี หรือบางวันอารมณ์ดีมาก พอมาถึงก็ตั้งใจเรียนมากเลย เรียนได้ มีสมาธิ ถ้าเขากังวล เขาเครียด เขาก็เล่นไม่ได้เหมือนกัน ปัจจัยสภาพแวดล้อมค่อนข้างมีผล 

เริ่มต้นสอนยังไง 

เราพยายามให้เขาไล่นิ้วเป็นสเกล 1 ชุดของเสียงที่มันเรียงกัน  โด เร มี ฟา ซอล ซอล ฟา มี เร โด ก็ยังไม่ครบจนถึงที ให้ใช้แค่นิ้ว 5 นิ้ว ให้นิ้วขยับ (โด ถึง ซอล)  4 เดือนแรกเราทำอยู่แค่นี้ แล้วก็ให้เพลงไปแต่ละเพลง เพลงง่ายๆ ที่อยู่ในนิ้ว 5 นิ้ว เช่น เพลงหนูมาลี เพลงแมงมุมลายตัวนั้น หรือเพลงที่พ่อแม่เขารู้จักด้วย 

มีเด็กคนไหนที่ประทับใจไหม 

จริงๆ มีหลายคน เช่น​ จั้มเปอร์​ เขาพูดไม่ได้​ถ้าสงสัยจะขยับมือเหมือนหยิบ​ วันหนึ่งตอนหลังๆ นี่เขาหยิบเก้าอี้มาให้เรานั่ง, น้องผู้หญิงที่เล่นไวโอลิน ชื่อพริ้มเพรา น้องพัฒนาการดีมาก เพราะที่บ้านเขาใส่ใจมากเลย พอกลับไปบ้าน คุณยายของน้องเขาก็ให้น้องทำเองทุกอย่าง เราทราบว่าทางบ้านฝึกน้องให้มีวินัย คุณยายจะบอกให้ซ้อม ถามว่าวันนี้ซ้อมหรือยัง? สำคัญคือให้เด็กทำเอง สุดท้ายก็คือครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะเป็นปัจจัยในการพัฒนาและให้การสนับสนุน เราคิดว่าในอนาคตน้องพริ้มเพราสามารถเป็นนักดนตรีได้ถ้าเขาอยากจะเป็น

อีกคนหนึ่งชื่อ โอ๊ต น้องเขาเล่นเชลโล่ โอ๊ตจะมีปัญหาเรื่องการทรงตัว เวลาเดินจะโยกเยก และสายตาเขาจะมองไปที่อื่นอยู่ตลอดเวลา น้องเป็นคนร่าเริง ตอนเรียนก็มีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายน้องก็ทำได้

อีกคนคือน้องโมเม เราเอานิทานเรื่องหมูบินได้มาประกอบการแสดงสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ เวลาเราซ้อม เราก็จะมีบทให้เด็กพูด ที่นี่เราก็อ่านให้น้องๆ ฟัง แต่น้องโมเมเขาจะร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องพูดท่อนตัวเอง ท่อนนั้นพูดว่า “ไม่เจียมชาติพันธุ์ ไม่รู้หรือว่าเพียงหมูธรรมดาไม่อาจบิน” พอเขาร้องเราก็หยุด พอสัปดาห์ต่อไปเราก็ลองอีกครั้ง สรุปคือร้องไห้ ไม่เอาเลย แม้แต่ได้ยินก็ไม่เอา เราคิดเองว่ามันเกิดจากการที่เราไม่ได้อธิบายให้เขาฟังทั้งเรื่องน้องเลยไม่เข้าใจ เราเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้น้องเขาฟังด้วย คือ…

หมูบินได้เป็นนิทานที่สอนเรื่องความพยายาม เป็นเรื่องของความพยายามที่ไม่สูญเปล่า แม้หมูจะมีคำครหาจากคนรอบข้างว่า หมูบินไม่ได้หรอก พยายามไปทำไม พอเล่าให้เขาฟังจบ เขาดูเข้าใจมากขึ้น แม้ยังไม่ยอมพูดคำนี้แต่ก็ไม่ร้องไห้แล้ว เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขามีความอ่อนไหวทางอารมณ์มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครหลายคนอาจไม่ทันคิด เวลาเราลองเล่นเพลงอื่น เขาก็ไม่เป็น เขาก็แค่ตบมือ แต่พอเป็นเพลงนี้เขาร้องไห้ เพราะมีผลเชิงความรู้สึก

มองว่าน้องๆ จะไปได้ไกลขนาดไหน 

ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ พวกเขาทำได้ ซึ่งตอนนี้มีบางคนก็ทำได้แล้ว คือสามารถเล่นให้ตรงโน้ตที่กำหนดไว้ได้ ตรงจังหวะเป๊ะเลยด้วย แต่คนที่ยังไม่ได้ก็มี ซึ่งต้องใช้ความพยายามต่อไป  ถ้าไม่เลิกไปก่อน เราคิดว่าทุกคนทำได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเด็กพิการ เด็กออทิสติก หรือความพิการแบบไหน อันนี้จากประสบการณ์ ที่เราสอนมาทั้งสองฝั่ง เราเลยมั่นใจว่าทำได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าแค่เรื่องดนตรีด้วย คือเรื่องอื่นด้วย ขอแค่ให้ได้มีโอกาสฝึก

พ่อแม่เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 

พ่อแม่น้องคนนึง เล่าว่าลูกสามารถจับดินสอเขียนหนังสือได้ จนครูที่โรงเรียนชมว่าเขียนหนังสือสวยน่าเริ่มเขียนได้แล้ว บางคนก็เริ่มทำเสียงฮัมเพลง มีคำพูดใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะปกติเขาพูดไม่ได้เลย เขาจะพูดได้แค่คำบางคำ แต่พอมาเจอแบบนี้เขาได้พูด อีกคนแม่เล่าว่า เขากล้าสบตาคนแปลกหน้ามากขึ้น กล้าพูดมากขึ้น การพามานอกบ้าน เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ

มีอะไรเป็นบทเรียนหลังจากโครงการนี้ไหม

การวางแผนที่รัดกุม เรื่องการจัดการ อาจจะเป็นเพราะเราทำคนเดียวด้วย ยังมีงานหลังบ้านต่างๆ ที่เราไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าทำได้ก็จะดีกว่านี้ อย่างเรื่องทุนต่างๆ ก็สำคัญ เราคงต้องดูและพิจารณารายละเอียดเหล่านี้ให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้เรากำลังมองหาผู้ที่จะมาร่วมทำโครงการต่อ ตอนนี้เรากำลังเขียนโครงการกับที่ๆ หนึ่ง คิดว่าจะขยายผล แล้วก็หาผู้ที่จะร่วมด้วย ผู้ที่มีวัตถุประสงค์ใกล้ๆ กัน นักดนตรีที่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน

คิดว่าตัวเองได้อะไรจากกการทำโครงการนี้ 

รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมากกว่า คนอาจจะมองว่าเราช่วยเด็กใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วเรามองว่าน้องๆ ก็ช่วยเราเหมือนกัน ทำให้เราเห็นความพยายาม ทั้งตัวน้องเองและพ่อแม่ผู้ปกครอง หลายๆ คนที่มาเขาดูลำบาก ลำพังก็ต้องทำมาหากินด้วยก็ยังทุ่มเทการดูแลมากๆ 

แรงบันดาลใจจากน้องๆ เป็นพลังบวก ปกตินักดนตรีจะทำงานตามอารมณ์ เดี๋ยวมีอารมณ์แล้วค่อยทำ แต่พอเป็นงานนี้ทำให้เรารู้สึกว่ามีพลังจะทำต่อ แต่ละวันต้องคิดว่าเด็กคนนี้ครั้งหน้าเขามาเขาต้องได้อะไร และเราต้องหาวิธีให้เขาทำยังไงถึงจะได้ เขาจะขยับนิ้วได้ยังไง เขาจะเล่นเพลงนี้ได้ยังไง แต่ละวันพี่จะบอกต้องวางแผนก่อนที่จะมาเจอทุกวัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แถมรู้สึกแบบมีไฟขึ้น ขยันขึ้น

การสอนดนตรีระหว่างเด็กออทิสติกกับเด็กทั่วไป เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง 

มีค่ะ เด็กเหมือนกันทุกคน เขามีความซนเหมือนกัน มีความขี้เกียจเหมือนกัน อย่างเด็กไม่พิการบางคนพอถึงความยากขั้นนึง ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากแล้ว ไม่เอาแล้ว  เด็กพิการก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เราอาจจะมองว่าน้องเขาพิการ เลยทำไม่ได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยว

เด็กออทิสติกอาจจะพัฒนาช้าแต่พัฒนาได้ สิ่งที่เห็นชัดมากๆ จากการเรียนดนตรีคือผลทางกายภาพ จากที่หยิบจับอะไรไม่ได้ก็กลับมาหยิบได้ จากที่พูดไม่ได้ก็ร้องฮัมได้ บางคนพูดไม่ได้เลย ทำได้แค่ส่งเสียงที่ไม่เป็นคำ วันนี้เขาร้องเป็นทำนองได้ บางคนแค่ขาดความมั่นใจเฉยๆ พอทำได้หน่อยนึงความมั่นใจเขาก็กลับมา กล้าพูด กล้าทำมากขึ้น 

เราคิดว่าเอาจริงๆ แล้วความตั้งใจลึกของเรา คืออยากจะให้เด็กทุกคนได้เรียนดนตรี เพราะไม่ใช่ทุกคนจะได้เรียน การเรียนดนตรีต้องมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ค่าเล่าเรียนดนตรีก็ไม่ได้ถูก หาครูสอนยาก มีเวลามาเรียน เวลาฝึกซ้อม 

เราอยากให้มองเด็กออทิสติกว่า เขาว่าก็เป็นคนปกติเหมือนกันทั่วไป ก็เด็กคนนึ่งแค่นั้น เด็กก็คือเด็ก ถ้าเกิดเขาซนยังไงก็ให้คิดว่าเป็นเด็กคนนึ่ง เราก็อยู่ด้วยกันได้เขาเรียนรู้ได้ แล้วเขารับรู้ ความลึกซึ้งของคำพูด พวกเขามีความเซนซิทีฟเหมือนกัน 

มีอะไรที่อยากทำอีกไหม

เราอยากจะทำหลายๆ อย่าง อยากจะสอนน้องๆ ต่อไปในวันว่างของเรา แล้วก็อยากจะสอนดนตรีให้กับผู้สูงวัย ให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง คนที่หลังเกษียนแล้ว ก็อยากจะเอาดนตรีไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนทั่วๆ ไป อะไรก็ได้

ถ้ามีลูกออทิสติกแล้วอยากให้ลูกเรียนดนตรี 

ได้เลยค่ะ ถ้ามีโอกาสควรพาลูกเปิดประสบการณ์ สักช่วงชีวิตนึงที่เขายังเลือกเองไม่ได้ ต่อไปถ้าเขาเลือกเองได้แล้ว ถึงจะเลิกเล่นไป แต่เขายังมีทรัพยากรที่เป็นเพื่อนเขานั่นคือดนตรีอยู่ ที่ไปช่วยในด้านต่างๆ นอกจากร่างกายแล้วยังช่วยให้เขาเข้มแข็งในด้านจิตใจด้วย แม้อนาคตเขาอาจจะไม่ได้เล่น แต่เขาก็ยังเป็นคนฟังเพลงได้

คนพิการมีกี่ประเภท ? 

ประเภทความพิการในประเทศไทย ถูกแบ่งตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คนพิการจะถูกแบ่งเป็น 7 ประเภท

1.ความพิการทางการเห็น
2. ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
3. ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย
4. ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม
5. ความพิการทางสติปัญญา
6. ความพิการทางการเรียนรู้
7. ความพิการทางออทิสติก

Tags:

ดนตรีคนพิการดนตรีบำบัดเสาวคล ม่วงครวญ

Author & Photographer:

illustrator

คชรักษ์ แก้วสุราช

รักการอ่านและการนั่งรถเมล์ สนใจประเด็นทางสังคม คนพิการ และของกิน อยากเป็นนักเล่าเรื่องที่มีคนอยากฟัง

Related Posts

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    ‘WHITE MOUNTAIN, BLACK WATER’ ถ้าน้ำมีชีวิต เสียงมันจะเป็นยังไงนะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learningCharacter building
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educatorอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    แม่คือครู ครูคือแม่: ฮาวทูจัดการเรียนรู้เด็กพิการแบบพึ่งตัวเอง

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

“จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง
Dear Parents
16 June 2020

“จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • “ฉันมองเห็นแล้วก็นึกอิจฉา เพราะตัวฉันไม่เคยมีโอกาสได้ลองเป็นเพศอะไรเลย ใช้ชีวิตครึ่งๆ กลางๆ กล้าๆ กลัวๆ ว่าพ่อแม่จะไม่ยอมรับ แล้วเก็บความสับสนไว้ในใจกว่า 20 ปี ไม่มีวันไหนเลยที่มองเห็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่มีวันไหนเลยที่ชื่นชมยอมรับ หรือเข้าใจในเพศของตัวเอง”
  • พื้นที่ส่วนตัวในการค้นหาตัวเอง ในการพัฒนาอัตลักษณ์ตัวตน และไม่ว่าจะเติบโตเธอจะเติบโตและมีอิสระมากขึ้นแล้วในวันนี้ แต่ลึกๆ ยังมีคำถามที่สงสัยตลอดมา “จะยังรักกันเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ ‘ลูกสาว’ อย่างที่ท่านคิด”
  • “ต่อให้อยู่ห่างกันเป็นร้อยกิโลเมตร ต่อให้เจอกันแค่ปีละครั้ง ฉันก็ยังอยากให้สายใยแห่งครอบครัวนั้นเหนี่ยวแน่นเหมือนตอนที่ฉันเป็นเด็ก ยังอยากจะรู้สึกสนิทใจกับพ่อเหมือนตอนที่แกล้งหลับในรถแล้วให้พ่ออุ้มเข้าบ้าน ยังอยากจะหอมแก้มแม่อย่างไม่เขินอายแม้ผิวของแม่จะเหี่ยวย่นไปทั้งร่าง ฉันไม่เคยคิดจะหนีไปไหน ยังอยากจะกลับไปอยู่เสมอ หากพวกท่านยังรักและต้อนรับแม้ฉันจะไม่ได้เป็นลูกสาวในแบบที่ท่านคาดหวัง”
Illustrator: Varich

หากสามารถทวนเข็มนาฬิกาไปในวัยที่ฉันหยอกล้อและหอมแก้มพ่อแม่วันละหลายสิบครั้งได้ ย้อนไปช่วงนั้นที่เราพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ตอนที่ฉันกล้าเถียงตามประสาเด็กน้อยที่ไม่คิดมาก หากย้อนกลับไปได้ ฉันจะไม่เพียงรับฟังถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามอย่างนิ่งเฉยแล้ววิ่งออกไปร้องไห้ที่บ้านคนอื่น แต่ฉันจะร้องไห้ตัวคดตัวงอต่อหน้าบุพการีผู้เป็นสาเหตุของหัวใจที่บอบช้ำ เพื่อเรียกร้องพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ที่อนุญาตให้ฉันเท่านั้นได้เข้ามานั่งร้องไห้เงียบๆ คนเดียว

ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก มากเกินกว่าจะหันหลังกลับได้ ฉันออกจากบ้านหลังนั้นมา 7 ปีแล้ว บ้านที่ฉันไม่เคยมีพื้นที่สำหรับการร้องไห้คนเดียว ไม่เคยร้องเพลง ‘อยากร้องดังดัง’ ของปาล์มมี่ได้สุดเสียง ไม่เคยแกะท่าเต้นเพลง Genie ของ Girls’ Generation ได้จบเพลง หรือต้องแอบปาดเจลเซ็ตผมของพ่อเข้าห้องน้ำไป 1 กำมือเพื่อคอสเพลย์เป็นโงกุนใน Dragon Ball เพราะทุกครั้งที่พ่อแม่เห็นฉันทำกิจกรรมเหล่านี้ เขามักจะล้อเลียนเหมือนฉันเป็นตัวตลก

มันทำให้ฉันไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าริเริ่มทำอะไรตามใจตัวเอง สิ่งที่เด็กหญิงคนนั้นต้องการคือ “คำชม” ไม่ใช่ “การล้อเลียน” 

ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่พ่อแม่เคยชื่นชมเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วท่านก็จะสะเดาะกลอนประตู หาหนทางทะลุกำแพงห้องเข้ามายืนหัวเราะกับการเป็นตัวของตัวเองในพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ใช่แล้ว เพราะนี่คือบ้านที่เป็นของพวกท่าน ไม่ใช่บ้านของฉัน ตัวฉันที่ต้องการการยอมรับจากเจ้าของบ้าน จึงไม่เคยออกนอกลู่ทางที่พ่อแม่วางไว้ ไม่เคยคิดจะเป็นในสิ่งที่พวกท่านห้าม 

แต่ตอนนี้ฉันบังคับตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป ฉันเพิ่งยอมรับกับตัวเองได้ว่าฉันเป็นเลสเบี้ยน ฉันพยายามหนีความรู้สึกของตัวเองมาตลอด ฉันหลอกตัวเองจนถึงป.3 ว่าฉันชอบผู้ชาย แต่ที่แย่กว่านั้นคือฉันหลอกพ่อแม่มาจนถึงตอนนี้ เพราะญาติๆ มักบอกกับเด็กหญิงจอมแก่นแสนห้าวคนนั้นเสมอว่า “อย่าเป็นทอมนะ” เป็นคำพูดที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉันตลอด 

‘ฉันจะไม่เป็นทอม! จะไม่เป็นทอมเด็ดขาด! พ่อแม่ต้องรับไม่ได้แน่ๆ’ อคติเหล่านั้นที่ผู้ใหญ่เผยออกมา มันทำให้ฉันในตอนเด็กพลอยมีอคติต่อการเป็นทอมไปด้วย

คำถามต่อมาสำหรับเด็กหญิงคนหนึ่งที่รู้ว่าตัวเองชอบผู้หญิงแทนที่จะชอบผู้ชาย “เราคือเพศอะไรกันแน่” มีหลายครั้งที่ฉันมองตัวเองเป็นเอเลี่ยนที่ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีแม้แต่ชื่อเรียกให้เพศของฉัน เพราะฉันไม่ใช่ทอม ไม่ใช่ดี้ ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย สังคมไทยในช่วงที่ฉันเป็นเด็กแทบไม่มีจุดยืนให้เลสเบี้ยนเลย หรือมี แต่ฉันก็ไม่เคยจินตนาการถึง ไม่เคยเห็นตัวอย่าง สิ่งที่ใกล้เคียงกับฉันที่สุดคือคำว่า ไบเซ็กชวล ที่ทุกคนสมัยนั้นเรียกกันว่า “เสือไบ” 

เอาล่ะ ฉันไม่อยากเป็นอะไรเลยในโลกใบนี้ นอกจากครอบครัวไม่ยอมรับแล้ว สังคมก็ยังไม่มีที่ยืนให้ฉันอีกหรือ

ฉันอยากมองเห็นอนาคตล่วงหน้าสัก 10 ปี เพื่อที่ฉันในวัย 10 ขวบจะได้อธิบายให้พ่อแม่และญาติๆ ฟังได้ว่าเพศนั้นมีความลื่นไหลมากกว่าที่พวกท่านคิด เพื่อนที่เคยเป็นทอมก็กลายเป็นผู้หญิง เพื่อนที่เคยเตะบอลกับฉันตอนเด็กๆ เพิ่งเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และทุกเพศเป็นเพื่อนที่น่ารัก กะเทยไม่ได้เป็นตัวตลกแบบที่สื่อไทยปลูกฝังความคิด พวกเรามีมิติอื่นๆ ที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องบนเตียง พวกเรามีงานอดิเรก มีความถนัดทางวิชาการและความถนัดด้านอื่นไม่ต่างกับเพศชายและเพศหญิง หรือต่อให้พวกเราโง่หรือห่วยขั้นเทพ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับชายหญิงที่ก็ห่วยเหมือนกัน แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่ยอมรับพวกเราแค่เพราะพวกเราไม่ใช่ straight?

ตอนนี้ฉันมองเห็นเพื่อนหลายคนที่เคยเป็นทอมหันมาไว้ผมยาวเป็นคนสวยไร้ที่ติ บ้างก็หันไปคบกับผู้ชาย บ้างก็คบกับผู้หญิงที่สวยไม่น้อยหน้ากัน บ้างผันตัวไปมีแฟนเป็นทอม 

ฉันมองเห็นแล้วก็นึกอิจฉา เพราะตัวฉันไม่เคยมีโอกาสได้ลองเป็นเพศอะไรเลย ใช้ชีวิตครึ่งๆ กลางๆ กล้าๆ กลัวๆ ว่าพ่อแม่จะไม่ยอมรับ แล้วเก็บความสับสนไว้ในใจกว่า 20 ปี ไม่มีวันไหนเลยที่มองเห็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่มีวันไหนเลยที่ชื่นชมยอมรับ หรือเข้าใจในเพศของตัวเอง

ต้องขอบคุณตัวเองตอนอายุ 15 ปีที่คุกเข่าร้องไห้กับพ่อเพื่อขอสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทำให้ฉันได้ลองออกมาอยู่คนเดียว ได้ร้องเพลง Let It Go ประกอบภาพยนตร์ Frozen ได้อย่างสุดเสียง ได้พบกับเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศ ได้ลองแต่งตัวในแบบต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหน แล้วฉันก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น รู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึก ฉันไม่เคยส่องกระจกแล้วเห็นเงาตัวเองชัดขนาดนี้ ฉันไม่เคยพึงพอใจกับเสื้อผ้าที่พ่อแม่เตรียมให้ ไม่เคยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองสวมใส่เลย แต่ฉันไม่เคยเรียกร้องขอเสื้อผ้าแบบอื่น เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ฉันไม่เคยลองผิดลองถูก ไม่เคยลองเป็นอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เป็น

มันคงจะดีกว่านี้ถ้าฉันไม่ต้องสังเวยชีวิต 20 ปีให้กับความสับสนที่ไร้คำตอบ มันคงจะดีถ้าฉันกล้าที่จะร้องขอพื้นที่แห่งความลับขนาดเล็กเพียงแค่ 1 ตารางเมตรที่ฉันเป็นผู้ครอบครองรหัสผ่านเพียงผู้เดียว หากฉันมีพื้นที่ส่วนตัวในการทำวิจัยเกี่ยวกับตนเองตั้งแต่เด็ก ฉันคงจะมีผลการทดลองที่ตัวเองมั่นใจเพื่อไปยื่นเรื่องขอการอนุมัติจากพ่อแม่ได้ 

แต่เพราะฉันไม่มีอะไรเลย ฉันจึงไม่เคยรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร หรือมีความฝันอย่างไร ฉันไม่อาจชอบกินก๋วยเตี๋ยวหากฉันไม่เคยชิมมัน ไม่อาจเป็นทาสแมวหากไม่เคยรู้ว่าแมวหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันไม่สามารถเป็นตัวฉันได้เพราะฉันไม่เคยรู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเอง

พ่อแม่หลายคนมีเวลาและมีความสามารถในการลงทุนทางการศึกษาให้ลูก พวกเขาสามารถส่งลูกเรียนกวดวิชาได้ตั้งแต่ระดับประถม ส่งเสียลูกได้อย่างดีจนจบมหาวิทยาลัย แต่บางครั้งพ่อแม่ก็หลงลืมที่จะลงทุนสร้างพื้นที่ที่สอนให้ลูกเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามทางเลือกของลูก

พื้นที่ส่วนตัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็ก เป็นหลุมหลบภัยในยามที่คนรอบตัวใจร้ายกับเขา เป็นสวนสนุกสำหรับการสร้างสรรค์ปราสาททรายในจินตนาการ และเป็นพื้นที่สำหรับการค้นหาตัวตนที่โดดเด่นออกไปจากเด็กคนอื่น การที่เด็กมีพื้นที่ส่วนตัวนอกจากจะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และเรียนรู้การคิดนอกกรอบแล้ว ยังทำให้เด็กสามารถพัฒนาอัตลักษณ์ด้านต่างๆ ของเขาได้อีกด้วย

แม้ว่าฉันจะไม่ใช่เด็กที่ได้รับโอกาสนั้น แต่ฉันก็เชื่อว่าพ่อแม่ได้พยายามเลี้ยงดูและรักฉันอย่างดีที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะทำได้แล้ว ต่อให้อยู่ห่างกันเป็นร้อยกิโลเมตร ต่อให้เจอกันแค่ปีละครั้ง ฉันก็ยังอยากให้สายใยแห่งครอบครัวนั้นเหนี่ยวแน่นเหมือนตอนที่ฉันเป็นเด็ก ยังอยากจะรู้สึกสนิทใจกับพ่อเหมือนตอนที่แกล้งหลับในรถแล้วให้พ่ออุ้มเข้าบ้าน ยังอยากจะหอมแก้มแม่อย่างไม่เขินอายแม้ผิวของแม่จะเหี่ยวย่นไปทั้งร่าง ฉันไม่เคยคิดจะหนีไปไหน ยังอยากจะกลับไปอยู่เสมอ หากพวกท่านยังรักและต้อนรับแม้ฉันจะไม่ได้เป็นลูกสาวในแบบที่ท่านคาดหวัง

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันต้องการก็คือการยอมรับจากครอบครัวที่ฉันรักที่สุด ต่อให้คนทั้งโลกรักฉัน แต่ฉันก็ไม่อาจตายตาหลับหากไม่สามารถตอบข้อกังขาในใจตลอด 20 ปี ว่าท่านยังรักฉันเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ได้เป็น ‘ลูกสาว’ อย่างที่ท่านคิด และไม่สามารถแต่งงานกับผู้ชายได้แม้เขาจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ฉันแค่อยากได้ยินคำว่ารักจากปากพวกท่านอีกครั้ง หลังจากที่ท่านรับรู้และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของฉัน

Tags:

การเติบโตเพศdear parentsLGBTQ+

Author:

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

“เอสเซนส์” 4 แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น
Adolescent Brain
15 June 2020

“เอสเซนส์” 4 แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความเปลี่ยนแปลงของสมองวัยรุ่นไม่ใช่แค่เรื่องที่รับรู้ รู้แล้ว แล้วผ่านไป ด้วยเหตุผลว่าทุกคนจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่เป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้สมองของแต่ละคนได้รับอิสระที่จะก้าวไปถึงศักยภาพที่ดีสุด
  • ความเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาของสมองเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของวัยรุ่น และสมองทำงานเชื่อมโยงกับจิตใจ พฤติกรรมที่แสดงออกจึงสะท้อนมาจากความรู้สึกนึกคิดและจิตใจภายใน 
  • ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว ความสงสัยใคร่รู้ การลองคิดลองทำ การลองผิดลองถูก และความตื่นเต้นที่จะค้นหาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นกระบวนการทำงานภายในสมองวัยรุ่นที่จะสร้างตัวตนให้กับพวกเขาในอนาคต ทั้งลักษณะนิสัยและคุณสมบัติต่างๆ ในตัวเอง

ความรู้ความเข้าใจด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) ที่เป็นการศึกษาทางชีววิทยาของสมองมนุษย์ ช่วยไขข้อข้องใจและได้อธิบายความเข้าใจผิดหลายอย่างเกี่ยวกับสมอง พฤติกรรม และการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะความเชื่อและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “วัยรุ่น”

“ฮอร์โมนที่พุ่งพล่านในร่างกายของวัยรุ่นทำให้วัยนี้มีพฤติกรรมว้าวุ่น บ้าคลั่ง และควบคุมตัวเองไม่ได้” เป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง

ผลการวิจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ฮอร์โมนเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญขนาดนั้น ความเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาของสมองต่างหากเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของวัยรุ่น แล้วสมองที่ว่าก็ทำงานเชื่อมโยงกับจิตใจ พฤติกรรมที่แสดงออกจึงสะท้อนมาจากความรู้สึกนึกคิดและจิตใจภายใน       

หรือบางคนกล่าวว่า

“วัยรุ่นเป็นวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ จึงต้องอาศัยเวลาเรียนรู้และเติบโต ผู้ใหญ่จำเป็นต้องมีความอดทนกับวัยรุ่น”

คำกล่าวข้างต้นดูเหมือนเป็นความพยายามสร้างความเข้าใจและสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ใหญ่กับวัยรุ่น แต่ในทางปฏิบัติหากผู้ใหญ่ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริง ผลลัพธ์กลับนำมาสู่การทำให้เด็กวัยนี้ถูกปล่อยปละละเลยและวางเฉยจากผู้คนรอบตัว 

ผู้ใหญ่บางคนเหนื่อยหน่าย เบือนหน้าหนีรับไม่ได้กับพฤติกรรมบางอย่างของวัยรุ่น และไม่สามารถรับมือกับความต่างทางความคิดและพฤติกรรม ทั้งที่ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่สมองวัยรุ่นกำลังประกอบร่าง (remodeling) เพื่อให้สมองเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคคลและประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  

ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว ความสงสัยใคร่รู้ การลองคิดลองทำ การลองผิดลองถูกและความตื่นเต้นที่จะค้นหาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นกระบวนการทำงานภายในสมองวัยรุ่นที่จะสร้างตัวตนให้กับพวกเขาในอนาคต ทั้งลักษณะนิสัยและคุณสมบัติต่างๆ ในตัวเอง

แดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel) ศาสตราจารย์คลินิกจิตเวชศาสตร์ โรงเรียนสอนการแพทย์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCAL School of Medicine) และผู้อำนวยการสถาบันมายด์ไซท์ (Mindsight Institute) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทชีววิทยาระหว่างบุคคล (interpersonal neurobiology) และมีผลงานเขียนมากมาย ยกตัวอย่างเช่น  “Parenting from the Inside Out” และ “The Whole-Brain Child” ได้อธิบายเกี่ยวกับพลังและศักยภาพของสมองวัยรุ่นช่วงวัย 12 – 24 ปี ไว้ในหนังสือ “Brainstorm: The Power and Purpose of the teenage brain”

ซีเกลบอกว่าผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ หากมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงในสมองของวัยรุ่น แล้วรับมือได้อย่างเหมาะสม จะช่วยนำทางให้เด็กๆ วัยนี้มีโอกาสผจญภัยไปกับชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นพิมพ์เขียวสำหรับการใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่

สมองกับจิตใจหนึ่งเดียวกัน

วัยรุ่นมักถูกตัดสินด้วยคำพูดต่างๆ นานา เช่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ขี้เกียจ และขาดความมุ่งมั่น

จากการศึกษาพบว่า วัยรุ่นซึมซับคำพูดเชิงลบเกี่ยวกับตัวพวกเขาและสิ่งที่คนอื่นคาดหวังจากพวกเขา คำพูดเชิงลบจะยิ่งทำให้วัยรุ่นดำดิ่งและมีทัศนคติเชิงลบต่อสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบข้าง แทนที่จะให้ความสนใจกับการพัฒนาตนเองไปสู่ศักยภาพที่แท้จริง ดังนั้น สังคมจึงควรสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับวัยรุ่น แทนที่จะนิยามให้วัยรุ่นเป็นวายร้ายวัยว้าวุ่น

ซีเกล บอกว่า การทำงานสมองมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ “mind” หรือ “จิตใจ”

วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย พัฒนาการทางสมองและความเปลี่ยนแปลงของสมองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ไม่ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมของวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความแข็งแกร่งและมั่นคงทางจิตใจ

ความเปลี่ยนแปลงของสมองวัยรุ่นสัมพันธ์กับสภาวะทางจิตใจ 4 ส่วน ซึ่งแตกต่างจากวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง ซีเกลเรียกว่า “ESSENCE” – “เอสเซนส์” แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในวัยผู้ใหญ่ และการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต

สภาวะทางจิตใจทั้ง 4 ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิด การตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าและการตัดสินใจ ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวก ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบได้ The Potential จึงชวนมาทำความเข้าใจ เพื่อให้รู้เท่าทันและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสมองในช่วงวัยนี้

หนึ่ง การจุดประกายทางอารมณ์ (Emotional Spark: ES) มนุษย์มีแรงขับและแรงผลักดันในการใช้ชีวิตจากภายในจิตใจอยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งทำงานอย่างเข้มข้นในช่วงวัยรุ่น แรงขับและแรงผลักดันนี้ช่วยสร้างความหมายและพลังชีวิตให้พวกเขาได้ แต่พลังงานนี้อาจเปลี่ยนเป็นความรุนแรงทางอารมณ์ที่แสดงออกในทางที่ผิดได้เช่นกัน หากอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม (The Potential – เช่น การถูกบูลลี่ (bully) โดนแกล้ง โดนล้อจากกลุ่มเพื่อน)

สอง การมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Engagement: SE)

เป็นเรื่องของมิตรภาพ การเข้าสังคม และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตรอบตัว ไม่เฉพาะแค่ในพื้นที่ของสังคมวัยรุ่นเอง ผู้ใหญ่ไม่ควรทำให้วัยรุ่นรู้สึกแปลกแยกจากสังคมผู้ใหญ่ แต่เปิดพื้นที่ให้พวกเขามีตัวตน ทั้งในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน

วัยรุ่นไม่ควรตัดขาดตัวเองจากกลุ่มเพื่อนหรือสังคม เช่น การเล่นเกมออนไลน์ เก็บตัวอยู่คนเดียวมากเกินไป หรือถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถูกผลักออกจากสังคมใกล้ชิด เพราะนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุมหรือใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงทางสมองที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ได้

สาม ความสนใจใคร่รู้สิ่งแปลกใหม่ (Novelty: N)

วัยรุ่นมักมีแรงกระตุ้นหรือแรงบันดาลใจจากภายในให้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ให้ความหมาย ให้คุณค่าและท้าทายกับชีวิต เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก การคิดและร่างกาย แต่หากขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดการคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ อาจนำไปสู่การทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและเป็นอันตรายได้

และ สี่ การค้นคว้าอย่างสร้างสรรค์ (Creative Exploration: CE) การคิดนอกกรอบเพื่อจัดการปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ผ่านการลงมือทำ ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาด การวิพากษ์วิจารณ์หรือต้องเผชิญกับแรงกดดันรูปแบบต่างๆ หากวัยรุ่นไม่สามารถจัดการกับจิตใจตนเองได้ ไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไว้ใจ และไม่ได้กำลังใจจากผู้ใหญ่ อาจทำให้ท้อแท้ หลงทาง และหมดความเชื่อมั่นในตนเอง

“ทำไมคุณถึงใส่กางเกงให้หลุดลงมาอยู่ด้านล่างก้นคุณอย่างนั้น” ซีเกล เอ่ยถึงคำถามที่เขาถามอย่างตรงไปตรงมากับผู้ป่วยของเขา

เขาไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงตัดสินหรือดูถูก และเข้าใจดีว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของแฟชั่น แต่ก็อยากรับรู้จากเจ้าตัวเพื่อคลายความสงสัย

“ผมจำเป็นต้องใส่กางเกงแบบนี้เพราะผมอยากเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่พยายามทำตัวแตกต่าง ผมกำลังทำเหมือนคนอื่นที่กำลังพยายามทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่”  เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับวัยรุ่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองจากการขับเคลื่อนสภาวะทางจิตใจทั้ง 4 ส่วน ตามธรรมชาติแล้วจะดึงดูดให้พวกเขาออกไปผจญภัย สร้างพลังชีวิต สร้างความแจ่มใส ความตื่นเต้น ท้าทายและการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อน

มุมมองที่ผู้อื่นสะท้อนมายังพวกเขามีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้น แทนที่ผู้ใหญ่จะตัดสินความเป็นวัยรุ่นจากความเชื่อและทัศนคติเดิมๆ คัดง้าง และสร้างความกดดัน จนนำมาสู่ความขัดแย้งและการไม่เคารพซึ่งกันและกัน การโน้มน้าวด้วยการบอกเล่าถึงสิ่งที่ให้คุณค่า การพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจ การเปิดพื้นที่ให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์และสร้างการยอมรับระหว่างกัน

เบนจี (Benji) เพื่อนของลูกชายซีเกลวัย 20 ต้น ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการกระโดดทิ้งตัวลงน้ำจากหน้าผาสูง 50 ฟุตทางตอนใต้ของสเปน หลังรอดชีวิตมาได้ แล้วมีโอกาสได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ เขาถามเบนจีว่า คิดว่าจะกระโดดลงจากหน้าผาอย่างนั้นไหม ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ตรงนั้นด้วย เบนจีตอบทันทีว่า “ไม่มีทาง!!”

แต่หากเข้าใจความลับของสมองในวัยรุ่น ผู้ใหญ่และวัยรุ่นเองจะสามารถจัดการและควบคุมพฤติกรรมอยากลอง อยากเป็นที่ยอมรับ หรือกล้าได้กล้าเสียได้อย่างอยู่หมัด 

สถิติทั่วโลกพบว่า วัยรุ่นมักวิ่งเข้าหาบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาเสพติด  ซีเกล ยกตัวอย่าง กลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ให้วัยรุ่นหันมาดูแลรักษาสุขภาพ แทนการห้ามและบังคับจากผู้ปกครอง ซึ่งเป็นวิธีที่แทบใช้ไม่ได้ผล กลยุทธ์สร้างค่านิยมใหม่ที่ฉายภาพให้เห็นว่าการมีสุขภาพดี หุ่นฟิต รูปร่างสมส่วนเป็นเรื่องน่าอวดและน่าภาคภูมิใจ นำเสนอเนื้อหาที่บอกเล่าถึงความร่ำรวยของเจ้าของโรงงานบุหรี่ ที่ผลิตบุหรี่ขึ้นมาล้างสมองผู้คน เพื่อกอบโกยเงินทองจากผู้สูบ ผลการสำรวจปรากฏว่า สถิติวัยรุ่นอเมริกาสูบบุหรี่ลดลงหลังใช้กลยุทธ์ดังกล่าวที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ในเชิงบวก

สมองเรียนรู้จากประสบการณ์ได้ตลอดชีวิต ประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยรุ่นมีส่วนหล่อหลอมตัวตนของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาจจะเติบโตไปในทางที่ถูกหรือทางที่ผิดก็ได้ อาจทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

ความเปลี่ยนแปลงของสมองวัยรุ่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่รับรู้ รู้แล้ว แล้วผ่านไป ด้วยเหตุผลว่าทุกคนจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่เป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้สมองของแต่ละคนได้รับอิสระที่จะก้าวไปถึงศักยภาพที่ดีสุด สามารถสร้างสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น

ซีเกล อธิบายว่า แม้พลังของ ESSENCE จะค่อยๆ ลดลงเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่การรักษาและให้ความสำคัญกับ ESSENCE ที่พลุ่งพล่านตั้งแต่วัยรุ่น จะทำให้แรงขับเคลื่อนสภาวะทางจิตใจทั้ง 4 ส่วนคงอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ที่ขาดคุณสมบัติทั้ง 4 ของวัยรุ่น ผู้ใหญ่ที่เฉยชากับชีวิต ไม่มีความหลงใหล ขาดการมีส่วนร่วมทางสังคม ขาดความสงสัยใคร่รู้สึกแปลกใหม่ และขาดความคิดสร้างสรรค์ กักขังตัวเองอยู่กับสิ่งเดิมๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับชีวิต ชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ซึมเซา เคว้งคว้าง และแปลกแยก นำมาสู่ภาวะซึมเศร้า สิ้นหวัง ว่างเปล่า และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าในที่สุด

จะว่าไปก็แปลกดีเหมือนกันที่เรื่องวิทยาศาสตร์มากๆ  อย่างการทำงานของสมอง (วัยรุ่น) กลับเกี่ยวข้องกับจิตใจอย่างแยกไม่ออก

อ้างอิง
หนังสือ Brainstorm: The Power and Purpose of the teenage brain โดย แดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel)
TED x SunsetPark – Dan Siegel – What is the Mind?

Tags:

การจัดการอารมณ์ESSENCEจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Adolescent Brain
    ESSENCE แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?
Relationship
15 June 2020

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ในยุคที่เหมือนเราจะเชื่อมโยงกันมากที่สุด กลับเป็นยุคที่คนเหงาที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น อัตราการเกิดโรคซึมเศร้า และ waiting list รอเจอจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาในโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาวะต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่น่าตกใจ …มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกปัจจุบันของเรา?
  • ความย้อนแย้งของจำนวนผู้คนในชีวิต กับระดับความเหงาที่เพิ่มขึ้น, รากของความเหงาที่ทรมาน ไม่ได้มาจากการมีเพื่อนน้อยแต่มาจากการขาดความสัมพันธ์คุณภาพ และ ความเหงา เป็นสิ่งที่จัดการได้ด้วยการกลับมาใช้เวลาแบบหน้าต่อหน้า สร้างความสัมพันธ์คุณภาพ และการปรับวิถีชีวิตให้สมดุล — คือหัวข้อที่อยากชวนคุยกัน

“ความเหงา” เป็นอารมณ์ที่ทุกข์ทรมานและให้ผลร้ายแรงที่สุดอารมณ์หนึ่ง ส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจ เป็นที่มาของความรู้สึกซึมเศร้า ให้ผลในสมองเช่นเดียวกับการเกิดความเจ็บปวดทางกาย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่การเสียชีวิตที่เร็วขึ้นถึง 26% และอาจนำไปสู่การเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงคนเข้าด้วยกันเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ความตลกร้ายคือ ในยุคที่เหมือนว่าจะมีการเชื่อมโยงกันมากที่สุด กลับเป็นยุคที่คนเหงาที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น อัตราการเกิดโรคซึมเศร้า และ waiting list รอเจอจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาในโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาวะต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่น่าตกใจ

คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกปัจจุบันของเรา? ทำไมเราถึงเหงาได้ขนาดนี้ แม้ว่าจะมีผู้คนรอบกายมากมาย? แล้วเราจะพาตัวเองออกจากความเหงานี้ได้อย่างไร?

ปรากฏการณ์โลก: ความย้อนแย้งของจำนวนผู้คนในชีวิต กับระดับความเหงาที่เพิ่มขึ้น

“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” คนเราทุนคนล้วนมีความต้องการที่จะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ได้รับการยอมรับ และเชื่อมโยงกับใครสักคน ในระดับที่ลึกซึ้งเพียงพอที่จะรู้สึกว่ามี “คนที่เข้าใจ” 

แต่ทว่า ในยุคสมัยนี้ที่มีเทคโนโลยีในการเชื่อมโยงคนเข้าด้วยกัน จำนวนคนที่เรารู้จักและผ่านเข้ามาในชีวิตเรามีมากขึ้น ในช่องทางที่มีมากขึ้น (ดูง่ายๆ จากจำนวนคนที่เราเชื่อมโยงด้วยใน Social Media แต่ละแบบ) ความรู้สึกแปลกแยกจากผู้คน และความว่างเปล่ากลับเป็นสิ่งที่แพร่หลายและรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย เป็นปรากฏการณ์ระดับสากลที่พบได้ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า ช่วงวัยรุ่น (ประมาณ 16 – 24 ปี) ซึ่งเป็นช่วงที่ใช้เวลาเข้าสังคมค่อนข้างมาก กลับเป็นช่วงอายุที่มีความเหงามากที่สุด 

ในประเทศอเมริกา Cigna ได้ทำการสำรวจความเหงาของคนอเมริกัน 22,000 คน ในปี 2018 พบสถิติที่ค่อนข้างน่าตกใจ โดยเกือบครึ่งหนึ่ง ระบุว่ามีความเหงาบางครั้ง หรือ ตลอดเวลา 1 ใน 4 คน แทบไม่เคย หรือ ไม่เคยรู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจเขาจริงๆ  

2 ใน 5 คน รู้สึกอยู่บ่อยครั้งหรือตลอดเวลาว่าความสัมพันธ์ที่เขามีอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่มีความหมาย และ 2 ใน 5 คนเช่นเดียวกันที่รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว และ 1 ใน 5 คนแทบจะไม่ หรือ ไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับคนอื่นๆ เลย หรือ ไม่รู้สึกว่ามีใครที่เขาสามารถคุยด้วยได้จริงๆ  โดย Gen Z (คนอายุ 18-22 ปี) เป็นช่วงวัยที่เหงามากที่สุด และมีระดับสุขภาวะที่ต่ำกว่าคนรุ่นอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจความเหงาในประเทศอังกฤษโดย BBC ในปี 2018 ที่พบว่าช่วงวัยรุ่นอายุ 16 – 24 ปี เมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่นๆ พบว่าเป็นช่วงที่รู้สึกเหงาบ่อย มากที่สุด ถึงร้อยละ 40   

ในไทยก็ไม่ใช่ย่อย ขณะนี้มีเทรนด์มาร์เก็ตติ้งที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ ที่เรียกว่า “การตลาดคนเหงา” ออกมา เป็นการพลิกวิกฤตความเหงาที่แพร่ระบาดนี้ให้เป็นประโยชน์ทางธุรกิจ โดยทางวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้สำรวจตลาดคนเหงาแล้วพบว่า ในประเทศไทย มีคนเหงาจำนวนสูงกว่า 26.75 ล้านคน คิดเป็น 40.4% ของกระชากรทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งกลุ่มผู้มีภาวะความเหงาสูงสุด ได้แก่ วัยรุ่น และวัยทำงาน ในอัตราร้อยละ 33 และร้อยละ 34.7 ตามลำดับ 

เป็นที่น่าสนใจว่า 3 อันดับแรกของวิธีคลายความเหงาที่คนไทยชอบใช้คือ อันดับหนึ่ง-การเล่นโซเชียลมีเดีย ส่องเฟซบุ๊ก อัปเดตข่าวสารต่างๆ  อันดับสอง-การไปร้านอาหาร คาเฟ่ เพื่อจะได้เสพความสุขจากอาหารและได้เห็นผู้เห็นคนกันบ้าง  อันดับสาม-การไปช็อปปิ้งเพื่อออกจากบรรยากาศเหงาๆ นี้ได้ ซึ่งนี่เป็นข้อมูลสำคัญต่อวงการธุรกิจที่จะหาโอกาสสร้างรายได้จากเทรนด์ความเหงานี้ แต่ในเชิงความมีประสิทธิภาพของการออกจากความเหงาแล้ว ต้องมาพิจารณากันอีกทีนะคะ ว่ามันช่วยให้หายเหงาได้จริงๆ ไหม

รากของความเหงาที่ทรมาน ไม่ได้มาจากการมีเพื่อนน้อย แต่มาจากการขาดความสัมพันธ์คุณภาพต่างหาก

ในประเทศอเมริกา ได้มีการศึกษารูปแบบของความเหงา และความสัมพันธ์ระหว่างความเหงากับภาวะสุขภาพจิต โดย Philip Hyland และคณะ ในปี 2019 กับคน 1,839 คน  พบว่าความเหงาสามารถแบ่งเป็น 2 แกนหลักๆ คือ “ความเหงาทางสังคม” (social loneliness) และ “ความเหงาทางอารมณ์” (emotional loneliness)  ซึ่งความเหงาทางสังคม หมายถึง ความรู้สึกไม่พอใจกับจำนวนของผู้คนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย พูดง่ายๆ คือ รู้สึกมีเพื่อนน้อย ในขณะที่ความเหงาทางอารมณ์ หมายถึง ความรู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพของความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

จากงานวิจัยพบว่า ความเหงาทั้งสองรูปแบบนั้น ให้ผลทางใจที่ต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยไม่ว่าจะมีเพื่อนเยอะหรือเพื่อนน้อย แต่

หากมีความสัมพันธ์คุณภาพ จะไม่ค่อยมีความเจ็บป่วยทางใจ (psychological distress) เท่าไหร่ ในขณะที่ผู้ที่มีเพื่อนมากแต่ขาดความสัมพันธ์คุณภาพ กับผู้ที่ทั้งมีเพื่อนน้อยและความสัมพันธ์คุณภาพก็น้อย ระดับสุขภาวะทางจิตนั้นต่ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งยิ่งมีความเหงาทางอารมณ์ในระดับที่เข้มข้น ก็จะมีความเกี่ยวเนื่องกับภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวลโดยตรง 

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสนใจว่า การมีความสัมพันธ์แบบมีสถานภาพ เช่น มีแฟน มีสามีภรรยา มีลูก ที่เจอหน้า กินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้คือความสัมพันธ์คุณภาพนะ ในงานวิจัยพบว่า บุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถเหงาได้อยู่ …ถมเถไป 

ย้อนกลับมาที่พฤติกรรมการคลายความเหงาของคนไทยซึ่งเป็นที่นิยม การได้ไปส่องเฟซบุ๊ก คุยเล่นกับใครบางคน ไปคาเฟ่ หรือ ไปช็อปปิ้ง มันก็อาจจะช่วยให้ลดความรู้สึกเหงาลงได้ในระดับหนึ่ง เพราะมันเป็นการเติมเต็มความเหงาทางสังคม แต่ก็ไม่แปลกถ้าความรู้สึกเหงาจะยังคงอยู่ลึกๆ ในใจ นั่นเป็นเพราะว่าความเหงาที่มีผลต่อใจจริงๆ มันมาจากการขาดความสัมพันธ์คุณภาพ ขาดการรับฟัง ขาดบทสนทนาที่ลึกพอจะทำให้รู้สึกเข้าใจกันและกันต่างหาก

ซึ่งก่อนที่เราจะไปต่อ เราลองมาสำรวจตัวเองเล่นๆ ดูกันดีกว่า ว่าในตอนนี้เรามีความเหงามากน้อยแค่ไหน 

“เวลามีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่รู้จะไปคุยกับใคร”

“ช่วงนี้ รู้สึกว่างเปล่าอยู่เรื่อยๆ เลย..”

“ไม่ได้รู้สึกมีความสุขจากการได้ใช้เวลากับคนอื่นมาสักพักละ”

“เราไม่ค่อยมีใครที่ไว้ใจได้จริงๆเลย”

“มีความรู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธอยู่เรื่อยๆ” 

“อยากเจอคนที่เข้าใจเราจัง” 

หากมีตรงหลายข้อ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างเพื่อรักษาใจของเราให้มีความสุขมากขึ้นกันนะคะ 🙂

ความเหงา เป็นสิ่งที่จัดการได้ ด้วยการกลับมาใช้เวลาแบบหน้าต่อหน้า สร้างความสัมพันธ์คุณภาพ และการปรับวิถีชีวิตให้สมดุล

เราทุกคนล้วนต้องการใครสักคนที่อยู่เคียงข้างเรา ไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ ให้การสนับสนุนเชิงอารมณ์ และอยู่ตรงนั้นในยามที่เราต้องการ แต่ทว่า ในยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้น และเราก็หันไปพูดคุยกับคนผ่านหน้าจอมือถือกันมากขึ้น จนได้คำเรียกแบบเหยียดๆ บรรยายลักษณะสังคมยุคนี้ว่า “สังคมก้มหน้า” เพราะว่าเราคุยกันแบบหน้าต่อหน้าน้อยลงไปมากในระยะสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งมันมีผลต่อสภาพจิตใจจริง ส่งผลให้เราไม่ค่อยได้พัฒนาทักษะการพูดคุยแบบหน้าต่อหน้ากัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างคุณภาพในความสัมพันธ์ และยังเป็นเครื่องฝึกฝนให้เรารู้จักการรักษาระดับการ “พูด” และ “ฟัง” ในระดับที่เท่าเทียมระหว่างคู่สนทนาอีกด้วย 

ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีเข้ามา เราก็หันไปเคยชินกับการสื่อสารแบบทางเดียวมากขึ้น เช่น พิมพ์ status ลงเฟซบุ๊กสื่อสารไปสู่คนหมู่มาก ไลน์ไปหาอีกฝ่ายโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอการตอบสนองในทันที tweet ข้อความโดยที่ไม่ต้องรอว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้ว่าอะไร และอื่นๆ และมันก็เป็นการง่ายอีกเช่นกันที่จะไม่ต้องฟังให้จบ ก็ตัดการรับรู้จากสิ่งที่เราไม่พอใจจากอีกฝ่ายได้เลย เช่น การ unfriend การ block หรือ ก็แค่เพิกเฉยกับข้อความที่อีกฝ่ายส่งมา และอื่นๆ 

ดังนั้น เมื่อกลับมาพิจารณาบริบทความสัมพันธ์ มันจึงยากกว่าในอดีตที่จะพัฒนาความสัมพันธ์สู่ระดับที่ไว้ใจกัน ซึ่งต้องใช้การสื่อสารอย่างเปิดใจ การรับฟัง ความเคารพ ความสนใจในสิ่งที่คนตรงหน้าจะพูดโดยไม่จ้องจะตัดสินหรือพะวงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองจะโต้ตอบคนตรงหน้า  ทั้งนี้ สิ่งเหล่านี้สามารถริเริ่มได้ด้วยการหันมาใช้เวลาแบบต่อหน้า (face to face) กับคนรอบข้างมากขึ้น อาจจะเริ่มง่ายๆ ด้วยการกันเวลาส่วนหนึ่งออกมาจากการใช้โซเชียลมีเดีย มาพูดคุยกันแบบต่อหน้ามากขึ้น หากิจกรรมที่ทำให้ได้อยู่ด้วยกัน เช่น ออกไปเดินเล่น ทำอาหาร ไปเล่นกีฬา ไปเที่ยว ฯลฯ พูดคุยกันเรื่องความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น หรือ แม้แต่ว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่เงียบๆ ด้วยกัน สำหรับบางคนก็เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากเลยนะ 

สำหรับผู้ที่รู้สึกว่า ตัวเองไม่ค่อยเข้ากับใคร รู้สึกเหมือนว่าคนอื่นๆ จะชอบมองเราแปลกๆ และปฏิเสธเราบ่อยๆ จนเรารู้สึกเจ็บปวดที่จะไปเจอผู้เจอคน กลัวโดนตัดสิน แต่ในใจลึกๆ ก็เหงา (แม้จะเจ็บปวดจนแทบไม่อยากคุยกับคนแล้วก็ตาม) 

Olivia Remes (2018) นักวิจัยด้านปัญหาด้านความรู้สึกวิตกกังวลได้อธิบายถึงสภาพปัญหาและชี้ช่องทางออกไว้ว่า พอคนเรารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น หรือ เจ็บปวดจากการรู้สึกว่าถูกปฏิเสธ ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม จะมีแนวโน้มในการป้องกันตัวเองด้วยการแยกตัว สร้างกำแพง และทำตัวเหินห่างจากคนอื่นไปเรื่อยๆ และก็เป็นไปได้อีกว่า คนอื่นๆ (ที่อาจจะไม่ใช่กลุ่มคนที่ปฏิเสธเราด้วยซ้ำ) อาจจะสังเกตว่าเรามีท่าทีบางอย่าง ที่ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเขา จึงไม่ได้เข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งๆ ที่การพูดคุยด้วยนั้นเป็นหนทางของการรู้สึกดีขึ้นก็ตาม  ด่านแรกที่ต้องทำ (แม้อาจจะรู้สึกฝืนใจนิดๆ) คือ การพาตัวเองออกไปพบเจอผู้คน ซึ่งเป็นใครก็ได้ แม้กระทั่งแม่ค้า แล้วลองริเริ่มบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ เช่น กล่าวทักทายกันเฉยๆ ก็นับเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เรากลับมารู้สึกดีขึ้นได้  

อีกก้าวต่อมา คือการหาใครสักคนที่เรารู้สึกโอเคด้วยประมาณหนึ่ง แล้วเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ความรู้สึกของเราไม่ว่ามันจะบวกหรือลบ ที่เราอาจจะเก็บกับตัวเองมานานมากแล้วและกลัวที่จะพูดออกไป ให้อีกคนได้รับรู้และเข้าใจ 

ซึ่งไม่แน่ว่า คนๆ นั้นก็อาจเก็บความรู้สึกที่คล้ายกันนี้อยู่ก็ได้ และไม่มีพื้นที่ที่จะพูดถึงมันเหมือนกัน การริเริ่มบทสนทนา เท่ากับเป็นการทั้งช่วยเหลือตัวเอง และอาจจะช่วยคนตรงหน้าด้วยเช่นกัน และไม่แน่ว่า การคุยครั้งแรก อาจนำไปสู่ความสัมพันธ์คุณภาพระยะยาวเลยก็ได้

นอกจากการพูดคุยกับคนอย่างเปิดใจแล้ว การสร้างสมดุลชีวิตในด้านต่างๆ เพื่อให้สภาพร่างกาย จิตใจพร้อมสำหรับการพูดคุยกับคนอื่น และให้มีเวลาและพลังงานเพียงพอต่อการสร้างสัมพันธ์คุณภาพก็เป็นส่วนสำคัญในการลดความรู้สึกเหงา โดยงานวิจัยด้านความเหงาจาก Cigna ในปี 2018 พบปัจจัยในวิถีชีวิตต่างๆ ที่มีผลต่อความรู้สึกเหงาอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังต่อไปนี้ 

1. การใช้เวลาพูดคุยต่อหน้า (face to face) – นอกจากการเข้าสังคมผ่านโลก Social Media เราควรกันเวลาส่วนหนึ่งมาใช้กับการพบปะผู้คน และใช้เวลาคุณภาพด้วยกัน ซึ่งงานวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้เวลากับคนมีระดับความเหงาน้อยกว่าคนที่ใช้เวลาติดต่อคนผ่านหน้าจอมือถืออย่างเดียว

2. การนอนอย่างเพียงพอ – การนอนอย่างเพียงพอ มีความสำคัญต่ออารมณ์ของเรามาก การนอนไม่พอเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้มีอารมณ์โมโห หงุดหงิด และไม่อยากเข้าสังคมได้ 

3. เวลากับครอบครัว (ที่ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป) –  จากงานวิจัยพบว่า “ความสมดุลย์” ในการให้เวลากับส่วนต่างๆ ในชีวิต รวมถึงการมีเวลาให้กับ “ตัวเอง” เป็นหัวใจหลักของการคลายความรู้สึกเหงา  บางคนอาจจะเข้าใจว่า การมีผู้คนคอยสนับสนุนอยู่รอบตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัว อาจช่วยคลายเหงาได้ จึงให้เวลากับครอบครัวมากเป็นพิเศษและอาจละเลยส่วนอื่นๆ ของชีวิต อย่างการเข้าสังคม การอยู่กับตัวเอง ดูแลตัวเองไป ซึ่งผลจากงานวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้เวลากับครอบครัวมากเกินพอดี มีค่าคะแนนความรู้สึกเหงาพอๆ กับคนที่รู้สึกไม่เข้ากับใครเลยทีเดียว ดังนั้น ความสมดุลย์ของส่วนต่างๆ ในชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้มีเวลากับส่วนต่างๆ ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม

4. การออกกำลังกาย – แน่นอนว่าร่างกายที่ดี ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจ อารมณ์ และการแสดงออกของเราในเชิงบวก 

5. การทำงาน – จากงานวิจัยพบว่าคนที่ทำงานในปริมาณที่เหมาะสมเป็นกลุ่มคนที่มีการรายงานความเหงาน้อยที่สุด ในขณะที่ผู้ที่ทำงานหนักกว่าที่ตัวเองต้องการมีอารมณ์เหงารองลงมา และเป็นที่น่าสนใจมากว่า ผู้ที่ทำงานน้อยกว่าที่ตัวเองต้องการมีคะแนนความเหงาสูงที่สุด ดังนั้น การที่เราว่าง ไม่ได้แปลว่าเราจะมีแรงบันดาลใจ หรือความต้องการที่จะไปคุยกับคนอื่นเสมอไป อาจจะรู้สึกอืดจนไม่อยากทำอะไรเลยก็ได้ การบาลานซ์ชีวิตให้พอเหมาะต่างหาก ที่จะช่วยเพิ่มความความสุขให้กับเราได้

ท้ายนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้คนทุกคนที่กำลังเผชิญอยู่กับความเหงา ไม่ว่าจะเป็นเหงาในระดับไหนก็ตามนะคะ ผู้เขียนเชื่อว่า เราทุกคนย่อมมีเรื่องราวของตัวเอง ที่ล้วนน่าสนใจ และควรค่าแก่การรับฟัง ไม่มีชีวิตไหนหรอกที่ไม่มีค่าและควรแก่การถูกปฏิเสธ ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูแย่ หรือเคยถูกคนอื่นตอบสนองอย่างไรมา มันมีเหตุปัจจัยหนุนหลังทั้งนั้นแหละ และคนเราก็สามารถพลาดกันได้ (ถ้าทำถูกต้องหมด perfect หมด ก็อาจไม่ใช่คนแล้วจริงไหม?) 

ดังนั้น ก็ขอเป็นกำลังใจในการกลับมาเติมเต็มความอบอุ่นในใจให้กับคนที่ผ่านเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ได้เจอพื้นที่ปลอดภัยในการเป็นตัวของตัวเอง และสามารถเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าจะโดนตัดสิน  ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อเราให้โอกาสตัวเองในการได้เปิดใจกับคนอื่นแล้ว สักวัน เราจะเจอสิ่งที่เราค้นหาแน่นอนค่ะ  🙂 

อ้างอิง
psychologytoday.com
dailymail.co.uk
www.ncbi.nlm.nih.gov
www.ncbi.nlm.nih.gov/
link.springer.com
researchgate.net
forbes.com
campaigntoendloneliness.org

Tags:

การเติบโตrelationshipซึมเศร้าการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ชีวิตการทำงาน

Author:

illustrator

ธนัชพร ภูติยานันต์

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel