Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2019

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก
Early childhoodSocial Issues
29 November 2019

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ทำความเข้าใจและรู้ที่มาที่ไปในธรรมชาติของเด็กๆ เจนอัลฟ่า (เกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป) ว่าทำไมเขาคิดและทำอย่างนี้ เพื่อนำไปสู่การรับมือด้วยวิธีคิดเชิงบวก
  • นำขบวนโดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ที่ย้ำว่าในโลกเหวี่ยงเร็ว แรง และไวเช่นนี้ การให้ลูกเรียนวิชาผิดหวัง กับ เปิดโอกาสให้เขาร่วมทุกข์ร่วมสุข คือเกราะอย่างดีที่จะติดตัวเขาไปจนโต
  • ท้ังหมดนี้จะไม่สามารถเกิดได้ด้วยพลังงานลบ พ่อแม่ควรรับมือและไปต่อด้วยพลังงานบวก การให้โอกาส ให้อภัย และพลังใจ ภารกิจถึงจะลุล่วง
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

“สู้ๆ นะ”

ประโยคของนักแสดงหญิงในโฆษณาชุดหนึ่ง เป็นโฆษณาที่นำเสนอเรื่องราวของชายหญิงเจนเนอเรชั่นซี (Z) สองคนที่อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน ทั้งสองต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึกท้อ นักแสดงผู้หญิงจึงได้พูดประโยคข้างต้นเพื่อให้กำลังใจตัวเองผ่านกระจก บอกตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหานั้นไปให้ได้

นี่คือโฆษณาที่ถูกฉายภายในงานเสวนา ‘ฟังเสียงลูกด้วยหัวใจ’ จัดโดยชมรมห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ SCB Academy โดยมี รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาให้คำแนะนำวิธีการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะเด็กในเจนเนอเรชั่นซี และ อัลฟ่า (ด้วยหัวใจ)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

คุณหมอให้เหตุผลที่เปิดโฆษณาตัวนี้ให้ดูไว้หลายประการ ตั้งแต่การตั้งต้นเข้าใจเด็กในเจนเนอเรชั่นซีและอัลฟ่า การให้กำลังใจ ให้พลังใจ หรือทัศนคติเชิงบวกกับลูกในวันที่เด็กๆ ต้องออกไปเจอกับปัญหา (โดยเฉพาะในวันซึ่ง gap ระหว่างลูกกับผู้ปกครองถ่างกว้างเพราะโลกเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ) จุดนี้พ่อแม่มีส่วนสำคัญมากๆ ในฐานะ ‘ระบบนิเวศ’ ของลูก

เจนอัลฟ่า อยู่คนเดียวได้ไม่ต้องพึ่งใคร

ก่อนที่จะพูดคุยกันเรื่อง ‘วิธีฟังเสียงลูกด้วยหัวใจ’ รศ.นพ.สุริยเดว อธิบายก่อนว่าธรรมชาติของเด็กในเจนเนอเรชั่นนี้เป็นอย่างไร เพราะนี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่เฉพาะพ่อแม่ที่ปวดหัว ปวดใจ ไม่เข้าใจ แต่ในสนามทำงาน คนในเจนเนอเรชั่นเบเบี้บูมเมอร์ หรือ เจน Y ก็ส่งเสียงกังวลถึงความแตกต่างในธรรมชาติ และต้องหาคู่มือเพื่อทำความเข้าใจความต่างระหว่างวัยนี้เช่นกัน

รศ.นพ.สุริยเดว เจาะจงไปที่ ‘เจนเนอเรชั่นอัลฟ่า (Gen Alpha)’ หรือเด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้า สังคมขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว แรง และขนาดใหญ่ ทำให้เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่ามีลักษณะที่แตกต่างกับเด็กเจนอื่นๆ ดังนี้

ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว (Individualism) เด็กเจนอัลฟ่าสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง อาศัยเทคโนโลยีในการใช้ชีวิต ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น

เชี่ยวชาญเทคโนโลยี (Robust Education Technology Savvy) เทคโนโลยีจะมีบทบาทในชีวิตของเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าเป็นอย่างมาก พวกเขาจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยเทคโนโลยีและให้ความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

อาชีพผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Generation) เด็กเจนเนอเรชั่นนี้จะกล้าลองกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้อาชีพส่วนใหญ่ของคนในเจนนี้เป็นการประกอบธุรกิจ

ขาดการปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Less of Human Contact or Relationship) เมื่อสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว การติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นก็น้อยลง แม้แต่ในครอบครัวของตัวเอง

ได้ความรักท่วมท้น (Extreme Coddle) มาจากการที่พ่อแม่ยุคปัจจุบันมีลูกน้อยลง มีหลานน้อยลง ทำให้ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่และความหวังไปที่ลูกมากเกินไป ซึ่งบางครั้งอาจกลายเป็นปัญหาได้ (หากมองในมุมเศรษฐศาสตร์ก็คือการที่คนคนหนึ่งแชร์ทรัพยากรกับคนในครอบครัวน้อยลง)

ขาดความยืดหยุ่น (Less of Resilience) การใช้ชีวิตผูกติดกับเทคโนโลยีมากเกินไป ก็อาจทำให้เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่ามีพฤติกรรมคล้ายกับหุ่นยนต์ ใช้ชีวิตประจำวันตามโปรแกรมที่พ่อแม่ตั้งให้ไว้ ห่างไกลจากธรรมชาติและสังคม

คุณธรรมและจิตวิญญาณลดลง (Moral and Spiritual Weakness) เมื่อใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์ความรู้สึกก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกเขาอาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอดทนคอยอะไร ไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง หรือเสียใจกับเรื่องอะไร

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี

ข้อดีของเจนเนอเรชั่นนี้คือรับมือกับเทคโนโลยีได้เร็ว ค้นหาความรู้เก่ง ไม่จำเป็นต้องนั่งในห้องเพื่อรอฟังคุณครูถ่ายทอดความรู้ และด้วยความที่เทคโนโลยีถึงพร้อม พวกเขามีความเป็นผู้ประกอบการอยู่ในตัวเอง ไม่รอ (และไม่จำเป็นต้องรอ) เรียนจบตามขั้นทางการศึกษา ส่วนข้อที่คนเจนเนอเรชั่นเบเบี้บูมเมอร์และ Y เป็นห่วงและบอกว่าเป็นปัญหา คือเรื่องคาแรคเตอร์ เช่น ขาดความยืดหยุ่น มีความอดทนจำกัด ทักษะการร่วมงานเป็นทีมน้อยลง

ความกังวลที่สุดไม่ใช่การตัดสินว่าเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าจะ ‘นิสัยไม่ดี’ แน่ๆ เลย แต่คือการเตรียม ‘สภาพแวดล้อม’ อุดช่องโหว่เรื่อง soft skills ให้พวกเขาเติบโตอย่างเต็มพร้อมโดยเฉพาะทางจิตใจ

จุดนี้จึงตามมาด้วยวิธีการเลี้ยงดูของคนในบ้านที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับธรรมชาติของเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า ซึ่งรศ.นพ.สุริยเดวถือว่าจำเป็นมาก ในฐานะที่พ่อแม่เป็นผู้ใกล้ชิดกับลูกที่สุด และพ่อแม่คือระบบนิเวศของลูก การที่ลูกจะออกมาเป็นคนแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู

พ่อแม่เป็นระบบนิเวศของลูก

การที่เด็กจะเติบโตมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด เรียกว่าเป็น ‘ระบบนิเวศ’ ของลูกได้เลย เด็กจะเป็นในสิ่งที่ผู้ปกครองเป็น แม้โตเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่วัฒนธรรมครอบครัวแบบไทยๆ ก็ยังใกล้ชิดกับพ่อแม่เช่นเดิม ทำให้อย่างไรพ่อแม่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกของลูกเสมอ

“นักแสดงสาวในโฆษณา ถ้าเขาไม่มีพลังใจที่เป็นบวก เวลาที่เจอกับปัญหา การแสดงออกของเขาอาจจะเป็นอีกอย่างไปเลย ถ้าตัวพ่อแม่และครูไม่มีทัศนคติที่บวก ใจไม่เปิด ไม่สามารถอยู่เพื่อให้กำลังใจเขาได้ ภาวะโรคซึมเศร้าคงเกิด”

รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวและเพิ่มว่า โดยเฉพาะเวลาที่เด็กเจนเนอรชั่นอัลฟ่าซึ่งมีธรรมชาติที่อธิบายข้างต้นเจอกับอุปสรรคปัญหา เป็นเรื่องดีทีเดียวที่ผู้ปกครองจะปล่อยให้เขาเผชิญหน้า คอยประคอง

“สำคัญที่สุด คือ รับฟังเสียงของลูก ตรงนี้สำคัญมาก เพราะต้องไม่ลืมว่าช่องว่างระหว่างเจนเนอเรชั่นมักทำให้คนที่อาวุโสกว่าตั้งแง่เสมอ“

ระบบนิเวศที่คอยประคับประคอง รับฟังอย่างไม่ตัดสิน คือระบบนิเวศที่จะช่วยหนุนเสริมให้เจนเนอเรชั่นอัลฟ่าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

การเลี้ยงดูลูกไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่สไตล์ของแต่ละครอบครัว สิ่งที่ใช้ได้ คือ “ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเราเป็นคนอย่างไร เราก็ต้องเป็นคนแบบนั้น” เช่น พ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นคนที่อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย หรือต่อต้านสังคม พ่อแม่ก็ไม่ควรเลี้ยงลูกแบบใช้ความรุนแรง หรือไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าทำอะไร พ่อแม่ก็ต้องให้อิสระกับลูก ให้เขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ไม่กดดันลูกจนเกินไป

และถ้าหากพ่อแม่อยากให้ลูกโตมาพร้อมความเข้มแข็งและทัศนคติที่เป็นบวก ก็ต้องเริ่มจากการเลี้ยงดู การแสดงออกของพ่อแม่มีผลต่อลูก การควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“แรงบันดาลใจรวมถึงศรัทธาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมาจากพลังงานลบ หากแต่มาจากพลังงานบวก การให้โอกาส ให้อภัย และพลังใจ”

รศ.นพ.สุริยเดว ทิ้งท้ายในเซคชั่นนี้

วิชาความผิดหวัง เกราะป้องกันที่ต้องถูกสร้างในเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า

“ที่สวิตเซอร์แลนด์มีโมเดลการศึกษาที่น่าสนใจ มีวิชาที่สอนให้รู้จักผิดหวังและเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมเลย”

เพราะความผิดหวังคือเกราะป้องกันในการทำงาน หนึ่งในธรรมชาติของเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าคือการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย จะมีสตาร์ทอัพเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่หากดูธรรมชาติของคนรุ่นนี้ในข้ออื่นๆ ทักษะการจัดการตัวเองกลับเป็นกราฟดิ่งลง ‘วิชาผิดหวัง’ จึงควรถูกป้อนคู่ขนานกันไปตั้งแต่ยังเล็ก

ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ให้ลูกลองทำกิจกรรมบางอย่างแต่ลูกทำไม่ได้ ถ้าพ่อแม่เลือกที่จะปลอบลูกด้วยการบอกว่า “ทำไม่ได้ไม่เป็นไรช่างมัน” เด็กก็อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวเอง ทำให้ไม่กล้าลองทำอีก แต่ถ้าพ่อแม่ให้โอกาสเด็กลองพยายามทำ โดยคอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือเขา เมื่อเด็กผ่านไปได้ ความรู้สึกที่เขาจะได้รับ คือ ความกล้าพร้อมสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต

ที่สำคัญ คือ พ่อแม่จะต้องไม่ตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังกับลูกมากจนเกินไป เพราะจะสร้างความกดดันให้กับเด็ก ทำให้เวลาที่เด็กไม่สามารถทำตามที่พ่อแม่คาดหวังได้จะทำให้เขารู้สึกแย่ ขาดความมั่นใจ และไม่อยากทำอีกต่อไป พ่อแม่จะต้องคำนึงเสมอว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่าง ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำได้หรือพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว พ่อแม่อาจปลอบใจลูก แล้วบอกให้เขาลองทำใหม่โดยไม่ต้องกดดันหรือกำหนดว่าลูกต้องทำตอนไหน แต่ให้ทำเมื่อเขาพร้อม

ลูกควรได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข

นอกจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการรับฟังความรู้สึกของกันและกัน คุณหมอใช้คำว่า ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ซึ่งประโยคนี้เรามักเจอในบริบทที่พูดถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา คู่ชีวิต พอเอามาใช้กับลูกอาจสร้างความแปลกใจ เพราะบทบาทในครอบครัว พ่อและแม่มักเล่นบทผู้นำ ส่วนลูกเป็นผู้ตาม

ถ้าเป็นความสัมพันธ์ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ แบบพ่อ แม่ ลูก จะทำให้ทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน แชร์ความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ทำให้คำว่าครอบครัวชัดเจนขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลูกอาจไม่ชอบพฤติกรรมบางอย่างที่พ่อแม่ทำกับตัวเอง ถ้าเขาเก็บไว้ไม่กล้าบอกออกมาเพราะกลัว พ่อแม่ก็จะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลูกไม่ชอบ หรือเมื่อพูดออกมาแล้ว พ่อแม่ก็ต้องเปิดใจยอมรับฟังสิ่งที่ลูกพูด และเอามาคุยกันเพื่อหาทางออก หรือเวลาที่ครอบครัวเกิดปัญหาอะไรแล้วพ่อแม่ไม่ยอมเล่าให้ลูกฟัง เพราะมองว่าลูกเป็นเด็ก ไม่มีสิทธิรับรู้ จะกลายเป็นว่าพวกเขากันเด็กออกไป เด็กก็จะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น ในอนาคตปัญหานั้นอาจจะส่งผลกระทบกับตัวเด็กเอง พ่อแม่จึงควรแชร์ เล่าปัญหาให้ลูกฟัง อาจจะเล่าโดยไม่ได้หวังให้ลูกมาช่วยแก้ไข แต่เพื่อทำให้ลูกรู้สึกถึงความสำคัญว่าเขาก็เป็นสมาชิกสำตัญคนหนึ่ง มีสิทธิที่จะรับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว

“ความรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข รักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกต้องรู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุข การที่ลูกเจอกับความทุกข์ยาก ไม่ได้เจอแต่ความสุขเท่านั้น จะทำให้ลูกมีพลังฮึดสู้”

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นครอบครัว คือ การรับฟัง ทั้งพ่อ แม่ และลูกต่างก็ต้องเป็นผู้รับฟังที่ดี แชร์ความรู้สึกของกันและกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเข้มแข็งขึ้น

สุดท้ายแล้วทั้งเด็กรุ่นใหม่อย่างเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า เด็กเจนเก่า หรือเด็กเจนในอนาคต ล้วนแล้วแต่ต้องการทัศนคติพลังบวกในการใช้ชีวิต ซึ่งพลังงานเหล่านี้ก็ได้มาจากพ่อแม่ที่เป็นระบบนิเวศของพวกเขา คนที่คอยสั่งสอน คนที่เป็นต้นแบบของพวกเขา

อ้างอิง:
thepotential.org/
https://www.amarinbabyandkids.com/
https://med.mahidol.ac.th/
https://thepotential.org/

Tags:

ปฐมวัยนพ.สุริยเดว ทรีปาตีgeneration gapGeneration Alpha

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    This is my Generation. This is our Generation เข้าใจวัยที่แตกต่างเพราะเราเติบโตจากโลกที่ต่างกัน

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    7 คาแรคเตอร์ของเด็กเจนฯ อัลฟ่า

    เรื่อง The Potential

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรคเตอร์ดีๆ ที่สร้างได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รังแกฉัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?

    เรื่อง The Potential

วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง
Learning Theory
28 November 2019

วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ ‘ครูเพื่อศิษย์’ ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ   

บันทึกที่ 25 เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย หรือเข้าสู่อาชีพนี้ เป็นบันทึกสุดท้ายใน 3 บันทึก ภายใต้ชุดความคิดเพื่อความสำเร็จของนักเรียน (graduation mindset) ตีความจาก Chapter 20: Prepare for College or Careers

มีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่เรียนไม่เก่ง แต่จะเรียนดีขึ้นทันตา หากครูจัดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติโดยใช้มือ ทำกิจกรรมทางกาย หรือออกไปเรียนนอกห้อง นักเรียนเหล่านี้จะเรียนได้ดีหากมีกิจกรรมฝึกวิชาชีพ เรียนนอกห้อง เรียนโดยทำโครงงาน ทัศนศึกษา เรียนโดยฝึกปฏิบัติ และเรียนรับใช้ชุมชน (service learning)

ให้นักเรียนระดับประถมทำกิจกรรมเหล่านี้ใกล้ๆ โรงเรียน แค่ได้ออกไปทัศนศึกษาใกล้ๆ เด็กก็ตื่นเต้นแล้ว แต่จะให้ได้เรียนรู้มากกว่าต้องให้นักเรียนทำโครงงานเล็กๆ จากกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย และแม้ทำโครงงานเล็กๆ นอกห้องเรียน แต่อยู่ในบริเวณโรงเรียน ก็ช่วยสร้างความตื่นตัวในการเรียนได้มาก

ครูพึงตระหนักว่า นักเรียนเบื่อเมื่ออยู่ในห้องเรียน หรือต้องนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน และมีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่เบื่อง่ายกว่าคนอื่นๆ ครูพึงเอาใจศิษย์มาใส่ใจตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใจที่นึกถึงอนาคตของตัวเอง เขาแนะนำรายการคำถามต่อไปนี้

คำถามเกี่ยวกับความพร้อมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

นักเรียนมีทักษะชีวิตไปเผชิญชีวิตในมหาวิทยาลัยหรือไม่ นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้วิชาต่างๆ หรือไม่ นักเรียนมีที่ปรึกษาที่ตนใกล้ชิดเอาไว้ปรึกษายามจำเป็นหรือไม่ หากนักเรียนไม่ได้รับทุนการศึกษา จะทำอย่างไร ในบริบทของสหรัฐอเมริกา เขาบอกให้นักเรียนรู้ว่า มีมหาวิทยาลัยที่เรียน online ฟรี ชื่อ The University of the People (https://www.uopeople.edu/) แต่หากต้องการสอบเพื่อรับปริญญามีค่าใช้จ่ายราวๆ 1,000 เหรียญสหรัฐ   

คำถามเกี่ยวกับความพร้อมเข้าสู่อาชีพ

นักเรียนที่เรียนจบออกไปมี resume สำหรับเป็นหลักฐานรับรองสมรรถนะในการทำงานหรือไม่ นักเรียนทุกคนมีทักษะเข้ารับการสัมภาษณ์เข้างาน โดยผ่านการฝึกและได้รับ feedback หรือไม่ นักเรียนแต่ละคนมีงานที่ตอบรับแล้ว หรืออยู่ในรายชื่อรอเรียกเข้าทำงานหรือไม่ นักเรียนแต่ละคนมีที่ปรึกษายามต้องการหรือไม่

หนังสือแนะนำเว็บไซต์ช่วยแนะนำการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ที่ครูควรเข้าไปทำความเข้าใจพร้อมกับนักเรียนเพื่อช่วยทำความเข้าใจ ในสหรัฐอเมริกามีวิทยาลัยชุมชน (community college) ที่สอนวิชาชีพ ครูควรแนะนำ ซึ่งจะตรงกับคำแนะนำของครูชั้นมัธยมต้นของไทย ที่แนะนำให้นักเรียนพิจารณาเข้าเรียนวิทยาลัยอาชีวะ หลังเรียนจบ ม.3 ซึ่งจะเป็นเส้นทางสู่การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในภายหลังได้

ในสองตอนต่อจากนี้ เป็นตัวอย่างที่โรงเรียนคุณภาพสูง ดำเนินการช่วยนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยหรือเข้าสู่อาชีพอย่างได้ผลดี 

กลยุทธ์เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และสู่อาชีพ

ต่อไปนี้เป็นวิธีการที่โรงเรียนคุณภาพสูงในสหรัฐอเมริกาใช้ ทั้งโรงเรียนระดับประถมและระดับมัธยม

  • ให้มีโอกาสได้ไปเห็นหรือมีประสบการณ์ เช่น ให้นักเรียนชั้น ป.5 จับคู่ ร่วมกันไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอาชีวศึกษาใกล้ๆ และศึกษาข้อมูล เช่น ค่าเล่าเรียน ทุนช่วยเหลือการศึกษา สาขาที่สอน ตำแหน่งที่ตั้ง อายุของนักศึกษา เป็นต้น นำมาทำโปสเตอร์สำหรับนำเสนอต่อนักเรียนชั้น ป.2 ซึ่งผมคิดว่าในกรณีของบริบทไทยสามารถดำเนินการได้ในหลายรูปแบบ เช่น ให้คู่นักเรียนแยกย้ายกันไปศึกษาสถาบันที่อยู่ไม่ไกลโรงเรียนนัก ทีมละ 1 สถาบัน หากจะซ้ำสถาบันก็ให้ซ้ำได้สถาบันละไม่เกิน 3 ทีม นำมาจัดทำโปสเตอร์เสนอต่อเพื่อนๆ ในชั้นหรือในโรงเรียน   

หนังสือเอ่ยถึงการให้นักเรียนชั้น ป.4 จับคู่กับเพื่อน ศึกษาอาชีพที่ต้องการวุฒิ ม.3 เช่น ช่างหล่อ ช่างไฟ ช่างก่อสร้าง เจ้าหน้าที่บริการบนเครื่องบิน เป็นต้น   

  • เชื่อมโยงพฤติกรรมเข้ากับผลต่อตนเอง ช่วยให้นักเรียนทำกิจกรรมและเชื่อมผลลัพธ์ของงานสู่เป้าหมายในชีวิต  “เวลาที่เธอใช้ทำการบ้านจะมีความหมายต่ออนาคตของเธอ มันจะช่วยให้เธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้”
  • เชื่อมโยงสาระวิชาเข้ากับอนาคตการงาน เช่น ในนักเรียนชั้นมัธยม เมื่อเรียนวิชาใด ครูเอ่ยถึงหน้าที่การงานที่ใช้ความรู้และทักษะของวิชานั้นๆ หาทางให้คนในอาชีพนั้นๆ มาแชร์ประสบการณ์กับนักเรียน
  • ใช้ถ้อยคำที่ให้ความหวัง เช่น ไม่ใช้คำว่า “ถ้าเธอเรียนจบ” แต่ใช้คำว่า “เมื่อเธอเรียนจบ” ไม่ใช้คำว่า “ถ้าเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย” แต่ใช้คำว่า “เมื่อเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย”
  • จัดการเรียนเสริมแก่นักเรียนชั้นมัธยม ดังตัวอย่าง

– จัดติวเตอร์จากมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ มาสอนทุกวันหลังชั้นเรียน เป็นเวลา 45 นาที (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อช่วยให้นักเรียนทำการบ้านถูกหมด 

– มีครูที่ปรึกษาที่ทำงานเข้มแข็งให้แก่นักเรียนใหม่ทุกคน

– กรณีที่พ่อแม่เด็กเป็นคนต่างชาติที่อพยพเข้าเมือง โรงเรียนจัดบริการแปลภาษาให้

– หาทุนเป็นค่าเดินทางแก่เด็กยากจน

– ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าเรียนชั้นเข้มข้น (honor class) ทางอินเทอร์เน็ต (www.avid.org) เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจ

– นักเรียนตั้งแต่ชั้น ม.1 เป็นต้นไปทุกคนต้องเข้าร่วมนิทรรศการของโรงเรียน และร่วมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรียน

– จัดการประชุมปฏิบัติการเรื่อง ‘เมื่อลูกเข้ามหาวิทยาลัย’ ให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมลูกให้ประสบความสำเร็จในการเรียน

เขายกตัวอย่างโรงเรียนที่นักเรียนทุกคนเป็นเด็กยากจน แต่ร้อยละ 90 ของนักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยชุมชน) กิจกรรมตัวอย่างข้างต้นเป็นกิจกรรมในบริบทของสหรัฐอเมริกา โรงเรียนไทยต้องปรับให้เข้ากับบริบทของเรา

กลยุทธ์หนุนสู่อาชีพและอาชีวศึกษา

โรงเรียนต้องไม่มุ่งให้นักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยอาชีวะ) เพียงอย่างเดียว ต้องดำเนินการเตรียมนักเรียนเข้าสู่อาชีพไปพร้อมๆ กันด้วย ตัวอย่างของอาชีพที่ควรให้นักเรียนได้ฝึก ได้แก่

  • การลงโค้ดคอมพิวเตอร์ และพัฒนาซอฟต์แวร์
  • ช่างอุตสาหกรรม (ช่างเชื่อม, ช่างก่อสร้าง, ช่างประปา)
  • ช่างบริการวิทยุ โทรทัศน์ ช่างเทคโนโลยีการสื่อสาร ช่างระบบข้อมูล
  • นักวิทยาศาสตร์การอาหาร เชฟ
  • นักการตลาด นักธุรกิจ
  • นักการเกษตร
  • เทคนิคและธุรกิจการเลี้ยงสัตว์
  • กิจการด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ
  • กิจการรักษาความปลอดภัย และบังคับใช้กฎหมาย

ตัวอย่างข้างบนเป็นบริบทสหรัฐอเมริกา โรงเรียนไทยพึงปรับตามบริบทไทย และท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่

เขาแนะนำให้โรงเรียนจัดโปรแกรมการสอนทักษะอาชีพอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่แค่เป็นกิจกรรมให้นักเรียนเลือกเรียนนอกเวลาเรียนหรือเป็นวิชาเลือก กิจกรรมนี้จำเป็นมากสำหรับโรงเรียนในเขตยากจน กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กวัยรุ่นลงอย่างมากมายและทำให้เด็กอยากมาโรงเรียน  

เขาแนะนำโมเดลการดำเนินการของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเสตส์ ที่ดำเนินการได้ผลดีมีชื่อเสียงมาก โดยร้อยละ 96 ของนักเรียนสอบผ่านการสอบชั้น ม.ปลาย ที่เข้มงวดของรัฐ โดยโมเดลดังกล่าวมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ

  1. ติดต่อกระทรวงศึกษาธิการของรัฐ เพื่อปรึกษาว่ามีลู่ทางผสมผสานการศึกษาเพื่ออาชีพ และการศึกษาเชิงเทคนิคเข้ากับกิจกรรมในโรงเรียนอย่างไรบ้าง
  2. เริ่มช้าๆ เพิ่มปีละ 1 โปรแกรม
  3. จัดมินิโปรแกรมที่ใช้เวลาน้อยกว่า ดังตัวอย่าง

– นักเรียนค้นคว้าและดำเนินการฝึกซ้อม กรณีเกิดเพลิงไหม้ จับตัวประกัน น้ำท่วม หรือมีการรังแกกัน

– นักเรียนพัฒนาความสัมพันธ์กับธุรกิจในท้องถิ่นเพื่อการฝึกงาน

– นักเรียนพัฒนาการดูงานภายในโรงเรียนเพื่อเรียนรู้จากเจ้าหน้าที่ เรียนรู้เรื่องต้นไม้ และการออกแบบสถาปัตยกรรม

– นักเรียนจัดทัวร์สถานประกอบการในท้องถิ่น ในช่วงที่มีการเรียนน้อย เช่น วันหยุดหรือในสัปดาห์ที่ไม่มีการสอบ

– นักเรียนจัดกิจกรรมร่วมกับองค์การลูกเสือ เนตรนารี หรือกิจกรรมเดินป่าในท้องถิ่น

เขาแนะนำว่า อย่าพยายามผลักดันนักเรียนทุกคนไปสู่เส้นทางเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับนักเรียนที่ไม่พร้อมหรือไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัย เขาแนะนำแหล่งความรู้สำหรับเด็กเหล่านั้นคือ

  • หนังสือ Better than College: How to Build a Successful Life Without a Four-Year Degree by Blake Boles
  • หนังสือ 40 Alternatives to College by James Altucher
  • TED และ TEDx Talk แนะนำอาชีพ ค้นในกลุ่ม education   

หน้าที่ของครูคือ ให้ศิษย์ได้เห็นลู่ทางอาชีพที่หลากหลายสำหรับเลือกตามที่ตนชอบและเหมาะต่อตัวเอง โดยครูไทยพึงปรับคำแนะนำเหล่านี้ให้เหมาะต่อบริบทไทย และบริบทท้องถิ่นของศิษย์

จะสมาทานชุดความคิด “ฉันได้พยายามคิดบวกแล้ว แต่เด็กเหล่านี้มาจากสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ฉันไม่คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต” หรือ “ฉันเอาใจใส่เรื่องสำคัญ ที่จะช่วยให้ศิษย์เข้ามหาวิทยาลัยได้หรือพร้อมทำงาน”

หมายเหตุ: อ่านบทความ วิจารณ์ พานิช สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ตอน 1 และ ตอน 2 

Tags:

ครูวัยรุ่นเทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • BookLearning Theory
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม
Voice of New Gen
27 November 2019

ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี นักการละครและเจ้าหน้าที่ กลุ่มมะขามป้อม หนึ่งในผู้จัด ผู้ริเริ่ม และเจ้าของความฝันอยากเห็นพื้นที่รวมเครือข่ายศิลปินเชียงใหม่ให้มาทำงานขับเคลื่อนประเด็นร่วมกัน
  • กอล์ฟอยากชวนศิลปินส่งเสียงผ่านละคร  เพราะเราต่างถูกกดทับอยู่และไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สิทธิใช้เสียง แต่ก็ต้องเล่ามันออกมาอย่างมีสุนทรียะ
  • จริงๆ แล้วศิลปินรุ่นใหม่อย่างกอล์ฟมีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่กลับปัดข้อเสนอนี้ไป โดยให้เหตุผลว่า “ยิ่งมันกดฉันใช่ไหม แพชชั่นยิ่งร้าย ยิ่งท้องฟ้ามืดเท่าไร ดวงดาวยิ่งสว่างและสวยมากเท่านั้น ดังนั้นฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าประเทศฉันจะดี”

ตอนเห็นโปสเตอร์งาน Act Up: Chaingmai Transformative Theatre Festival ครั้งแรกผ่านฟังก์ชั่นอีเวนต์ในเฟซบุ๊ค คำอธิบายอีเวนต์นี้ขึ้นว่ามันคือ เทศกาลละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ครั้งที่ 1 แถมพ่วงด้วยว่าละครจะมีทั้งหมด 8 เรื่อง จาก 8 กลุ่มละครทั่วจังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาจะมา act up – คำกริยาที่แปลว่า ‘แสดงอาการออกมา’ หรือ ‘ทำให้สภาพที่เป็นอยู่แสดงอาการออกมา’ – ประเด็นสังคมอย่างเข้มข้น …เข้มข้น ในโปสเตอร์ใช้คำนี้จริงๆ

ความสนใจแรกไม่ใช่แค่เรื่องละคร แต่อยากรู้ว่านักการละครทั้งมืออาชีพและรุ่นใหม่ เขากำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร ประเด็นทางสังคมที่พวกเขาอยากสื่อสารคือเรื่องอะไร และด้วยท่าทีน้ำเสียงแบบไหนกัน

และนี่คือลิสต์รายชื่อกลุ่มนักการละครและประเด็นที่สื่อสารในงานนี้

  • Orange: ประเด็นโรค/ภาวะซึมเศร้า โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Sirisook Dance Theatre 
  • ปีก: ประเด็นการเหยียดชาติพันธ์ุโดยเฉพาะแรงงานเพื่อนบ้าน โดย กลุ่มละครมืออาชีพ มะขามป้อม
  • FARmily: ความกดดันกะเกณฑ์ชีวิตจากคนในครอบครัว โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Chapter One
  • WHY? สิ่งแวดล้อมที่เชื่อมกับการเมือง โดย กลุ่มละครมืออาชีพ พระจันทร์พเนจร
  • กระดานดำ: การไร้อิสรภาพในการศึกษา โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Define Love
  • ขี้แห้งจับตาหมา: ความสวยงามตามกรอบสังคม จากนักการละครมืออาชีพ Foong Bur Dance Theatre
  • THE CAGE: กรอบหรือกงขังมนุษย์ จากกลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ ลานยิ้มการละคร
  • HO Butoh Contempolary Dance: และการตีความเรื่องชาตินิยมในบ้านเรา โดย กลุ่มนักการละครมืออาชีพ Sonoko Prow & Khandha Arts

การศึกษา ครอบครัว เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ อิสรภาพ – คือหมวดใหญ่ที่ศิลปิน …ซึ่งนัยหนึ่งก็คือเพื่อน พี่น้อง คนในสังคม ยังรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดกับมันอยู่

จาก 4 ใน 8 เรื่อง ซึ่งจัดแสดงโดยกลุ่มละครคนรุ่นใหม่ – Orange, FARmily, กระดานดำ, THE CAGE: ภาวะซึมเศร้า ครอบครัว สถานการณ์การศึกษาไทย และความสวยงามที่สังคมเป็นคนกำหนด – ทั้งหมดนี้กำลังจะบอกอะไรกับเราไหมว่า คนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ เจ็บช้ำและรู้สึกถูกกดขี่กดดันจากสถานการณ์แบบใด? เขามองประเด็นทางสังคมด้วยสายตาอะไร?

วางประเด็นความคับข้องใจของคนในสังคมไว้ข้างหนึ่งก่อน The Potential ชวน กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี นักการละครและเจ้าหน้าที่ กลุ่มมะขามป้อม หนึ่งในผู้จัด ผู้ริเริ่ม และเจ้าของความฝันอยากเห็นพื้นที่รวมเครือข่ายศิลปินเชียงใหม่ให้มาทำงานขับเคลื่อนประเด็นร่วมกัน

พูดคุยกันถึงเบื้องหลังโครงการ Act Up ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาในฐานะโครงการที่ต้องการสร้างกระบวนการผลิต ‘ผู้นำนักการสื่อสารละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง’ เริ่มตั้งแต่กระบวนการอบรมการเป็นผู้นำการสื่อสารละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง และอบรมทักษะการละคร ช่วงเวลาฝึกซ้อมละคร การออกทัวร์ทั่วเมืองเชียงใหม่ของแต่ละทีม ทีมละ 2 ครั้ง มาจนถึงอีเวนต์งาน Act up ณ Dream space Gallery CNX เมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี

ไม่ใช่แค่ถอยเวลากลับไปตลอด 1 ปี แต่การเกิด Act Up ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ธนุพลใช้เวลา 2 ปี ศึกษาหรืออาจเรียกว่าเป็นการทำวิจัยส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเครือข่ายศิลปินในพื้นที่ชุมชน ตั้งต้นจากคำถามที่ว่า เชียงใหม่ที่ใครก็ว่าเป็นพื้นที่ศิลปะศิลปิน แต่เพราะอะไรการรวมตัวกันขับเคลื่อนประเด็นสังคม ที่ร่วมกันตั้งแต่ภาครัฐ เอกชน และภาคสังคม จึงไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักครั้งเลย?

หากคนหนุ่มสาวขับเคลื่อนชีวิตด้วยไฟฝันและจินตนาการข้างใน ธนุพลก็เช่นนั้น ฝันของเขาคืออยากเห็นการรวมตัวของศิลปินในพื้นที่ ศิลปินต้องไม่ไส้แห้ง และร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสังคมที่กดทับพวกเราอยู่ – เพราะศิลปะไม่ใช่แค่สุนทรียะแต่คือพื้นที่ระบายออกซึ่งความคับข้องใจ การถูกกดทับกดขี่ หรือส่งมอบอารมณ์บางอย่างที่ไม่สามารถสื่อสารผ่านตัวอักษรหรือการบอกเล่าทางตรงได้ ในหลายพื้นที่ ศิลปะจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่อพลิกเปลี่ยนความคิดคนและสร้างความเคลื่อนไหว (movement) บางอย่าง

เหมือนที่คนหนุ่มสาวและทุกเพศออกมา act up หลากประเด็นในพื้นที่กลางแห่งนี้

ที่มาโปรเจ็คต์ Act Up

Act Up เป็นพื้นที่ที่อยากสร้างนักการละครเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเชียงใหม่ วางไว้ว่าอยากทำงานกับนักการละครเยาวชน 4 กลุ่มและมืออาชีพ 4 กลุ่ม ที่วางแบบนี้เพราะเป็นจำนวนที่ไม่มากไม่น้อยไป จัดการได้ แต่กระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนที่เน้นสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในตัวเอง ในกลุ่ม หรือสังคมที่เขาอยู่ ทำทั้งหมดนี้โดยใช้กระบวนการละครนำ ซึ่งเราคิดว่าละครและงานศิลปะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เริ่มต้นตั้งแต่ในคนทำงาน เปลี่ยนทั้งวิธีคิด ท้าทายความเชื่อเก่าๆ ตั้งคำถามกับความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาตลอดแล้วพยายามรื้อสร้างความเชื่อใหม่ๆ ที่สร้างคุณค่าร่วมกันในสังคม 

อันนี้รู้สึกว่าจะเป็นโจทย์แรกเลยที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงคืออะไร?” ก็คือเริ่มที่ตัวเองก่อน ถ้าคุณเปลี่ยนได้ คนอื่นจะเปลี่ยนได้ เราอยากเห็นแววตาที่เป็นความเชื่อว่าเขาเปลี่ยนตัวเองได้ มันต้องใช้เวลาในการ empowering สูงมาก

เห็นว่าการเดินทางของ Act Up ไม่ใช่แค่หน้างานวันนี้ แต่ดำเนินงานมาเกือบปีแล้ว

(พยักหน้า) กิจกรรมมีตลอดทั้งปีเลย ช่วงสองเดือนแรกจะเป็นค่ายแลกเปลี่ยนให้พี่ๆ นักการละครรุ่นใหญ่ แต่ละกลุ่มออกแบบกิจกรรมและหลักสูตรเพื่อแชร์ประสบการณ์ให้น้อง และน้องก็ได้แชร์ประสบการณ์ให้กลุ่มพี่ๆ ได้ฟังด้วย

หลังจากนั้นอีกสามเดือน เราจะให้ทุนเล็กๆ กับแต่ละกลุ่มไปผลิตงาน ออกแบบกระบวนให้พี่กับน้องได้เจอกันบ่อยๆ ทั้งเรื่องจัดที่ซ้อม เวลา หรือหาเวลามา follow up ร่วมกัน มา feed back กัน พี่ฟังน้อง น้องฟังพี่ ต่อมาอีกเดือนนึงจะเป็นช่วงที่แต่ละกลุ่มต้องไปทัวร์ด้วยเงื่อนไขว่าแต่ละกลุ่มต้องแสดงอย่างน้อย 2 รอบ ซึ่งบางกลุ่มก็มากกว่านั้นนะ แสดงไป 4-5 รอบก็มี แต่หมายความว่ามันจะเกิดพื้นที่ศิลปะในเชียงใหม่อย่างน้อย 16 ที่ในเดือนเดียว

การเลือกสถานที่แสดงละครก็ต้องดีไซน์นะว่าทำไมคุณไปเล่นที่นี่ ไม่ใช่เพราะเขาให้คุณเล่นฟรี แต่เพราะคุณรู้จักที่นี่ เพราะ performance art ที่คุณจะแสดงมันเหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เพราะคุณรู้ว่าถ้าเล่นที่นี่มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด social change ต่อพื้นที่นี้ได้ หรือ ถ้าคุณจะไปเชิญคนมาดู คนกลุ่มไหนที่คุณเชิญมาแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเด็นที่คุณจะเคลื่อนจริง นี่คือสิ่งที่เราก็พยายามออกแบบกระบวนการให้เห็นว่าการออกแบบเพื่อพัฒนาคนดู มันทำได้ตั้งแต่การเลือกสถานที่แล้วนะ

เบื้องหลังคือกระบวนการสร้างนักการละคร งาน Act Up: Chiang Mai Transformative Theatre Festival เหมือนเป็นงานโชว์ผลงานหรือเปล่า หรือความตั้งใจต่องานวันนี้คืออะไร

กับงานวันนี้ ใจจริงเราอยากประกาศนามให้สังคมได้รู้มากกว่าว่ามันมีแปดกลุ่มนี้อยู่จริงๆ และเราไม่ได้มาเล่นๆ นะ / ซ้อมกันมา 7-8 เดือนนะ / ทัวร์มาแล้วด้วยนะ / โดนสาป โดนแช่ง โดนด่า โดนชมมาตลอดทางนะ แต่เขาก็ยังทำอยู่ เอาเข้าจริง แปดกลุ่มนี้ก็เพิ่งมาแสดงเวทีเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเคยไปที่อื่นมาแล้ว และแม้ว่าบางทีมจะเคยแสดงร่วมกันมาก่อนหรือไปดูแต่ละทีมแสดงตอนทัวร์กันมาก่อนหน้านี้ แต่งานนี้เป็นเหมือนเวทีที่ให้พวกเขามาแสดงร่วมกันจริงๆ เวทีแรก และเราเห็นคนดูหน้าใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักแต่คิดว่ามันเป็นแรงกระทบจากการเดินทางไปทัวร์มาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา  

อีกอย่าง ที่เราฝันมากๆ คืออยากให้ภาคประชาชนในเชียงใหม่เข้าถึงงานศิลปะ งานศิลปะมันเป็นเครื่องมือที่สร้างการเรียนรู้ให้คนทำงาน และสร้างการรับรู้ให้คนดูไปด้วย

คุณกล่าวก่อนหน้านี้ว่างาน Act Up เป็นการสร้างเครือข่ายคนทำงานศิลปะในพื้นที่เชียงใหม่ มีสองคำถาม คำถามแรก – ทำไมคุณไฮไลต์คำว่า ‘เครือข่ายคนทำงานศิลปะในเชียงใหม่’ คำถามที่สอง – เข้าใจว่าเชียงใหม่ถูกบอกว่าเป็นพื้นที่ศิลปะ แต่ฟังดูเหมือนมันไม่มีเครือข่ายในพื้นที่นี้?

จริงๆ เชียงใหม่มีพื้นที่ performing art festival หลายที่หลายจุดนะ แต่สังเกตได้เลยว่าคนที่จัดหรือการแสดงต่างๆ ที่มาเข้าร่วมเป็นของต่างเมืองต่างประเทศทั้งนั้น ไม่เคยมีเทศกาลไหนที่รวมศิลปินท้องถิ่นมากๆ ได้ นี่คือความแตกต่างของ act up กับเทศกาลอื่นๆ ในเชียงใหม่ และเอาจริงๆ นะ พอเราจัดงานนี้ปุ๊บ เราก็ช็อกเหมือนกันที่พบว่านี่เป็นครั้งแรกของศิลปินซึ่งแม้เป็นที่รู้จักในพื้นที่ได้มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก คือเขารู้จัก อิ๊อ๊ะ ทักทายกันแต่ไม่เคยร่วมงานกัน เลยคิดว่า เออ… เราก็มาถูกทางเหมือนกันนะที่ทำให้ศิลปินที่ต่างทำงานของตัวเองอยู่แล้วได้มาเจอกัน

คำถามที่สอง ถ้าบอกว่าการรวมกันทำงานไม่ใช่ธรรมชาติของศิลปิน ทำไมจึงอยากทำให้เกิดเครือข่ายของนักการละคร

เพราะทำงานคนเดียวลำบากแน่ (ตอบทันที) soft power อย่างศิลปะมีอำนาจและอิทธิพลในการขับเคลื่อนคน อารมณ์ สังคม ก็จริงอยู่ แต่มันจะไม่ได้เคลื่อนร่วมกันเป็นคลื่น มันจะไม่ขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงได้เลยถ้าคุณทำด้วยตัวเองคนเดียวหรือมันไม่มีแผนยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนมวลใหญ่ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมาช่วยกันในมวลใหญ่ตลอดเวลานะ ทำงานเดี่ยวก็ได้ แต่คุณรู้รึเปล่าว่างานเดี่ยวของคุณมันอยู่ในแผนใหญ่ด้วยกันรึเปล่า อยู่ในความตั้งใจร่วมกันรึเปล่า

ประเด็นที่ 8 กลุ่มละครเลือกหยิบมาเล่า เป็นประเด็นสังคมทั้งหมด เป็นโจทย์ของ Act Up หรือแต่ละกลุ่มมีประเด็นที่อยากเล่าอยู่แล้วแต่บังเอิญรวมกันแล้วกลายเป็นประเด็นสังคมทั้งหมด?

แต่จริงๆ แล้วทุกคนทำงานและประเด็นการเมือง ประเด็นสังคมหมดเลย จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม การที่คุณลุกขึ้นมาพูดมันคือเสียงหนึ่งของสังคม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงนั้นก็คือการแสดงออกทางการเมือง และศิลปะก็เป็นงานสื่อสารที่คุณทำและจับอยู่ เราอยากยกระดับการสื่อสารให้คนเห็นว่ามันไม่ใช่แค่ละคร แต่เป็นการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม อยากให้มองเห็นกระบวนการคิด ออกแบบ วิเคราะห์ปัญหา รวมไปถึงเสนอทางแก้อย่างเป็นภาพรวม ไม่ใช่แค่มองว่าฉันสนใจปัญหาซึมเศร้าแล้วจะจบแค่นั้น ไม่จริง ทุกอย่างมันลิงค์กันหมด

เช่น หนึ่งในเรื่องซึมเศร้าก็คือปัญหาการศึกษา คนทำละครต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมเดียวกัน ภายใต้คลื่นลูกเศรษฐกิจเดียวกัน เราอาจจะถูกกระทบคนละจังหวะเวลาแต่สุดท้ายเราก็โดนเหมือนกัน

กระบวนการผลิตละครต้องชี้ให้คนทำละครเห็นว่าสิ่งที่อยากจะมาพูด อยากจะมาส่งเสียงผ่านละคร จริงๆ แล้วก็เพราะเราถูกกดทับอยู่ไง เราไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สิทธิใช้เสียงไง เราเลยอยากทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่ก็ต้องบริหารเรื่องเล่าว่าทำยังไงให้ดูมีสุนทรียะนิดนึง

แต่สารภาพว่าตอนรับสมัครเราไม่ได้เลือกน้องที่ประเด็นนะ แค่ถามว่าเขาสนใจอะไร หมกมุ่นเรื่องอะไร มี passion อะไร สนใจเรื่องไหน กับกลุ่มน้องๆ ที่ไม่เคยเล่นละครในประเด็นทางสังคมมาก่อนเขาก็เหวอไปแป๊บนึงแล้วถามเราว่า “จะต้องยังไง สังคมแค่ไหนนะ มันต้องการเมืองขนาดไหนคะ ต้องเครียดไหมคะ?”

เราก็ค่อยๆ ให้กระบวนการเป็นตัวผ่าตัดความคิดเขา เช่น ช่วยถามว่า “หนูตั้งใจจะทำอะไร หรือหนูอยากพูดเรื่องอะไรก่อน?” เขาก็จะค่อยๆ เห็นว่า เออ… ประเด็นการศึกษาที่เขาอยากพูดถึงนี่มันก็การเมืองนะ มันก็สังคมนะ และมันก็ลิงค์กับชีวิตเขาหลายเรื่องนะ ท้ายที่สุดกระบวนการละครมันก็นำไปสู่ประเด็นที่เกี่ยวกับความคับข้องใจหรือความขัดแย้งที่ตัวเขามีต่อประเด็นนั้น ทั้งหมดนี้ใช้กระบวนการนำไม่ใช่ชี้นำ ค่อยๆ พาเขาไปเจอประเด็นที่อยากสื่อสารจริงๆ  

อยากให้ช่วยเล่า process การทำงานกับนักการละครรุ่นใหม่ในช่วงพัฒนาประเด็น เพราะเข้าใจว่าก่อนจะมาที่ประเด็นนี้นักแสดงต้องทำหลายอย่างมาก เช่น เอาประเด็นมาวางเพื่อเลือกกัน ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ว่าที่เขาแสดงออกแบบนั้นเพราะอะไร อยากให้เล่าตรงนี้เพิ่มเติมเพราะอยากทราบว่านักการละครจะเปลี่ยนสังคมได้ยังไง ด้วยกระบวนการแบบไหน

เชื่อไหมว่าเราเริ่มต้นจากการที่ให้ค้นหา being ของตัวเองก่อน โดยจะมีกิจกรรมที่ชวนให้นึกถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของเราแต่ละคนว่ามันมีผลอย่างไรกับจุดยืนในปัจจุบัน กิจกรรมนี้จะทำให้แต่ละคนถูกปลดล็อค ได้ทบทวน ได้เติมคำตอบให้ชีวิต และเสริมพลังภายใน 

จากนั้นเราจะเอาประเด็นสังคมที่แต่ละกลุ่มเลือกว่ามันเชื่อมโยงอะไรกับชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนยังไง ทำเพื่อหาแรงขับในการทำงาน เพื่อหาคำถามที่พวกเขาใช้กระบวนการในกิจกรรมเพื่อหาคำตอบ และนำไอเดีย ความคิด ข้อความ ภาพที่ต้องการ เทคนิคการแสดงมาเสนอกันแล้วผสมผสานหาจุดเชื่อมและจุดแย้ง หาสิ่งที่น่าสนใจจากการสนทนา กระบวนการนี้เรียกว่า devising theater เพราะกิจกรรมนี้จะสร้างความเป็นเจ้าของและความ,uส่วนร่วมจากทุกคนอย่างมาก 

จากนั้นเราจะชวนแต่ละกลุ่มคิดว่าถ้าประเด็นปัญหาสังคมที่จับมันคือปรากฏการณ์บนภูเขาน้ำแข็ง แล้วอะไรที่เป็นแนวคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมที่อยู่ล่างปัญหาเหล่านั้น และเมื่อเห็นแล้ว ประเด็นปัญหาที่เราจับมันไปเชื่อมโยงได้อย่างไรกับประเด็นปัญหาที่กลุ่มอื่นจับ เพราะเราต้องการให้เห็นว่าปัญหาทุกอย่างมันอยู่ภายใต้โครงการสร้างสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อที่ซับซ้อน เราจึงต้องให้ความละเอียดในการหาข้อมูล วิเคราะห์ และนำเสนออย่างเป็นเข้าใจ 

เราถึงเชื่อว่าการทำละครเพื่อการเปลี่ยนแปลงต้องสามารถเปลี่ยนตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเชื่อว่า ประชาชนอย่างเราก็มีเสียง อำนาจในการเปลี่ยนแปลง แล้วเมื่อรวมกลุ่ม รวมเครือข่ายเรายิ่งจะมีอำนาจในการต่อรองและสร้างการเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

ตอนที่คิดจะทำโปรเจ็คต์นี้ เราฝันเห็นภาพแบบไหน มีแรงขับอะไรที่ตัดสินใจทำมัน

ฝันของเราคือ BTF (Bangkok Theatre Festival เทศกาลละครกรุงเทพฯ) ตอนเด็กๆ เราลงไปกรุงเทพฯ เพื่อดูละครครั้งแรกแล้วแบบ “เฮ้ย BTF โอ้ มายก็อช” (ลากเสียง) มีละครเป็นร้อยเรื่องให้จิ้มๆๆ และฟรี (กดเสียง) นี่คือฝันของเรา มันติดตาตรึงใจไปหมด พอโตขึ้นเราก็มีโอกาสไปเทศกาลอื่นๆ ในต่างประเทศ … (นิ่งคิด/ตัดประโยค) แต่ไม่หรอก เรารู้ว่าแม้แต่ BTF ก็ไม่เหมาะกับบริบทสังคมเชียงใหม่ ซึ่งปัญหาตอนนั้นก็คือเราก็ไม่แน่ใจว่าอะไรคือโจทย์คนเชียงใหม่ เข้าใจไหม? เราเลยต้องไปรีเสิร์ช

รีเสิร์ชในแง่ไหน ค้นข้อมูลส่วนตัวหรือเป็นการทำวิจัยในสถาบันการศึกษา

ทำของเราส่วนตัวเลย ไปนั่งไล่อ่านวิจัยต่างๆ เวลาเขาสร้างพื้นที่ศิลปะแต่ละที่เขาทำยังไง และใช้เวลาสองปีทำรีเสิร์ช ออกไปสัมภาษณ์ผู้คน สมมุติฐานของเราตอนนั้นคือทำไมมันไม่มีพื้นที่ทางกายภาพของศิลปะในเชียงใหม่เลย แล้วมันจะโตยังไงวะ? ก็ไปถามคนหลายๆ กลุ่มที่ไม่ใช่แค่กลุ่มละคร ถาม art producer ถามนักธุรกิจ ถามคนทำงานการศึกษา ถาม NGO ถามแอคติวิสต์

ถ้าเป็นนักธุรกิจจะตอบว่าเพราะมันใช้เงินเยอะ เพราะทำแล้วมันไม่ได้อะไร มีคนมาดูงานแต่ไม่เห็นมานอนโรงแรมฉันเลย ฝ่ายการศึกษาตอบว่าเพราะมันจะขโมยเวลาเด็กๆ ออกจากห้องเรียน พวกที่ทำก็เป็นแต่พวกเด็กกิจกรรมและไม่สนใจเรียน แอคติวิสต์ก็บอก โอ๊ย พวกนี้มันติสต์กันมาก แม้เรื่องที่พูดจะดูเป็นการเมืองเหอะนะ แต่สื่อสารไม่รู้เรื่องเลย เราก็เลยพอเข้าใจว่าศิลปะในความหมายแต่ละกลุ่มมันไม่เชื่อมกันและไม่สื่อสารกัน

จากจุดเริ่มต้นของ BTF นำมาซึ่งการทำรีเสิร์ชการเกิดชุมชนละครในพื้นที่หนึ่งๆ และนำมาซึ่งงาน Act Up ในปีนี้

(พยักหน้า) และภาพ BTF มันทำให้เราไฝว้ (fight) มากนะ เราส่งใบสมัครไปที่เทศกาลละครการเมืองฝ่ายซ้ายที่ใหญ่มากของเยอรมัน ปีนั้นเขาเปิดรับศิลปินจากทั่วโลก เราเป็น 1 ใน 30 ศิลปินทั่วโลกที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเรางงมากว่านี่ฉันติดเหรอ? เขาให้เหตุผลว่าเพราะเราฝันแรงมาก เขาเห็นไฟในตัวเรา เลยคงอยากเห็นว่าเด็กคนนี้มันเป็นยังไงนะ ไหนเอาตัวมาดูหน่อย (หัวเราะ) พอไปดูมันแบบ … (คำอุทาน) นี่เหรอ พื้นที่ละครมันเป็นแบบนี้เหรอ มันเป็นความยั่งยืนที่มาจากการสนับสนุนภาครัฐ รัฐปันเงินจากภาษีประชาชนมาทำพื้นที่แบบนี้นะ โรงละครใหญ่มาก มีงบเป็นล้านให้ทำละครไม่ใช่แค่หมื่นสองหมื่น และบอกให้คนทำงานขายบัตรเข้าชมไปเลยเพราะสังคมต้องมีส่วนร่วม และโมเดลการเรียนรู้ศิลปะมันไปทุกทิศทุกทางไม่ใช่แค่ตัวละคร

กลับมาเมืองไทย ซัพเฟอร์ไหม ดูเหมือนมันไม่มีทางเป็นไปได้ในระยะเวลาอันใกล้

อยู่ที่วิธีการมอง เราว่าเราก็เห็นเหมือนที่ทุกคนเห็น รู้สึกเหมือนที่ทุกคนรู้สึก แต่เราจะเลือกกุมฝันหรือกุมทุกข์ ถ้าคุณเลือกจะฝัน ยังไงคุณก็มีแรงพลังจากทุกคน เคยมีคนเสนอให้ไปเรียนเมืองนอกไม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นจะได้ทำงานศิลปะได้ แต่ไม่ ฉันต้องอยู่ในพื้นที่แบบนี้แหละ อาร์ตฉันจะแพงมาก (หัวเราะ) ฉันจะมีแรงบันดาลใจในการทำอาร์ต ยิ่งมันกดฉันใช่ไหม แพชชั่นยิ่งร้าย ยิ่งท้องฟ้ามืดเท่าไร ดวงดาวยิ่งสว่างและสวยมากเท่านั้น (หัวเราะ) ดังนั้นฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าประเทศฉันจะดี

Tags:

ธนุพล ยินดีพลเมืองศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Space
    มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Space
    BOOK RE:PUBLIC การเมืองเป็นเรื่องต้องพูด จะเกลียดกันบ้างก็ได้ ไม่มีปัญหา

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง
Creative learningCharacter building
26 November 2019

OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Or Health ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์อัจฉริยะ พัฒนาโดยคู่หูเทคนิค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดที่มีภาวะโลหิตจาง หรือผู้ที่ห่วงใยสุขภาพทั่วไป 
  • จากความตั้งใจแค่ทำโปรเจ็คต์ให้จบกลายเป็นความต้องการลึกๆ ที่อยากเห็นคนใกล้ตัวอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมและต้องดื่มน้ำจากต้นข้าวสาลีได้อย่างมั่นใจและราคาถูกลง 
  • แม้วันนี้อาจารย์ผู้เป็นแรงบันดาลใจจะไม่อยู่แล้ว แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นและทำต่อไป เพราะสิ่งที่อาจารย์หวังไว้คือการทำได้ถึงจุดสูงสุด
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

หนึ่งในผลข้างเคียงของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัดคือภาวะโลหิตจาง มีงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่รับประทานน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีจะช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงและป้องกันภาวะโลหิตจางได้ดี

อย่างไรก็ตาม น้ำต้นอ่อนข้าวสาลีในท้องตลาดมีราคาสูง และไม่รับประกันว่าต้นอ่อนข้าวสาลีนั้นมีการใช้สารเคมีหรือไม่?

เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและรับประกันถึงความสะอาดของน้ำต้นอ่อนข้าวสาลี Or Health ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์อัจฉริยะ จึงเกิดขึ้นด้วยฝีมือของ กัน-อิตาลี จรัสภิญโญ และ นุ๊ก-กรรณิการ์ เกือบสันเทียะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา เพื่อผู้รักสุขภาพและผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน 

(ซ้าย) กัน-อิตาลี จรัสภิญโญ, (ขวา) นุ๊ก-กรรณิการ์ เกือบสันเทียะ

หัวข้อและความหวังจากอาจารย์

Or Health มีจุดเริ่มต้นจากโปรเจ็คต์จบการศึกษาของกันและนุ๊ก อาจเดาได้ว่าทั้งสองมีแรงขับเคลื่อนจากคติที่ว่า ‘ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า’

“อาจารย์แนะนำว่าสุดท้ายเราต้องทำโปรเจ็คต์จบอยู่แล้ว เราเริ่มทำโปรเจ็คต์ตั้งแต่ปี 2 แล้วส่งประกวด จะได้รางวัลหรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ก็จะได้มีผลงานออกมา การที่เราได้ทำก่อนเพื่อนจะพัฒนาได้มากกว่าโดยไม่ต้องรอถึงปี 4 ค่อยทำ (หัวเราะ) ตอนแรกอาจารย์ถามว่าอยากทำอะไร แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย อาจารย์เลยแนะนำหัวข้อให้เราเลือก แล้วเราก็เลือกทำชุดปลูกข้าวสาลี” กันเล่าถึงจุดเริ่มต้นของผลงาน Or Health

แนวคิดของกันและนุ๊กในเวลานั้นคือ การพัฒนาชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอัจฉริยะที่สามารถควบคุมปัจจัยแวดล้อมให้ต้นอ่อนสามารถเติบโตได้อย่างอัตโนมัติและไม่ต้องใช้สารเคมี โดยที่ผู้ปลูกไม่ต้องเสียเวลามาคอยดูแล 

“โจทย์คือจะปลูกข้าว เริ่มจากการทดลองปลูกข้าวสาลีหลายๆ พันธุ์เพื่อดูว่าพันธุ์ไหนขึ้นสวย แล้วเราก็ประดิษฐ์เครื่องมาเพื่อควบคุมเรื่องต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อัตโนมัติ เพื่อประหยัดเวลา ผู้ปลูกไม่ต้องมาคอยดูแล” 

โดยกลุ่มเป้าหมายก็คือ ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่จำเป็นต้องรับประทานน้ำต้นอ่อนข้าวสาลี ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองคืออีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของกันและนุ๊ก

เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาเองป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมอยู่ในขณะนั้น กันบอกอีกเหตุผลสำคัญ

“ส่วนหนึ่งที่ทำหัวข้อนี้ เพราะอาจารย์ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม อาจารย์ต้องสั่งซื้อน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีจากอินเทอร์เน็ตมาทาน แต่ไม่รู้ว่าน้ำที่ซื้อมามีสารปนเปื้อนไหม จึงคิดว่าปลูกเองปลอดภัยกว่า” 

นุ๊กช่วยเสริมว่า “อีกปัจจัยหนึ่งก็คือน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีมีราคาแพง ถ้าปลูกเองมันจะง่าย ประหยัดเงินและเวลากว่า” 

Or Health ถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิดนั้น โดยยกระดับขึ้นจากความตั้งใจเดิมของกันและนุ๊ก ที่ต้องการเพียงให้เป็นโปรเจ็คต์จบการศึกษา หากพัฒนาไปสู่การประกวดวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (YECC) และโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6

กระบวนการทำงานสร้างนวัตกร

แรกๆ แรงจูงใจในการทำงานของกันและนุ๊กมีแค่อยากทำให้เสร็จเพื่อลดภาระการทำโปรเจ็คต์เท่านั้น ปราศจากความกระหายอยากรู้อยากทดลองเหมือนธรรมชาติของนวัตกรทั่วไป ทว่าหลังจากที่ได้เริ่มลงมือทำ Or Health หลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป

โดยเฉพาะการเสียชีวิตของอาจารย์ที่ปรึกษา…

“ระหว่างที่เราพัฒนาเครื่องจนสามารถสั่งงานผ่านโปรแกรมได้ แต่ยังไม่ได้ทดสอบว่าคุณสมบัติของต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นยังไง ช่วงครึ่งเดือนก่อนไป YECC อาจารย์ก็เสีย ส่วนหนึ่งก็คือห่วงชื่อเสียงอาจารย์ ถ้าเราทำไม่เสร็จอาจารย์ก็จะเสียชื่อ ผลงานนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ทำ จึงอยากทำต่อให้สำเร็จ อีกส่วนคือเราเริ่มทดลองไปแล้วก็อยากทดลองต่อว่าผลจะออกมาเป็นยังไง มันจะมีประโยชน์ต่อใครบ้าง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ เหมือนได้ทำบุญ” กันเล่าด้วยรอยยิ้ม

กันและนุ๊กพัฒนา Or Health ให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านโปรแกรมได้ ให้เครื่องสามารถรดน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีและแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว และนำเวอร์ชั่นนี้ส่งประกวด YECC ก่อนจะเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ตามปณิธานของพวกเขาที่อยากพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสำหรับการใช้งานจริง

“เวอร์ชั่นแรกจริงๆ มันก็โอเคแล้ว ข้าวสวย โตเร็ว จากที่ปลูกปกติจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน แต่ถ้าใช้เครื่องนี้จะประมาณ 5-7 วัน เห็นอย่างนั้นเราจึงตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าควบคุมเรื่องอื่นๆ ได้อีกมันก็น่าจะโตเร็วขึ้นกว่าเดิม จึงอยากทดลองต่อดู” นุ๊กเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ต่อยอดผลงานสู่โครงการต่อกล้าฯ

ด้วยคำแนะนำจากกรรมการและทีมโค้ชก็ทำให้กันและนุ๊กพัฒนา Or Health ไปได้ไกลกว่าเดิม ทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างชุดปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพิ่มการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสง เพื่อให้ต้นอ่อนข้าวสาลีโตได้เร็วขึ้น

“รวมไปถึงการพัฒนาเซนเซอร์วัดความชื้นทั้งในอากาศและในดินให้สัมพันธ์กัน และเปลี่ยนจากโซลินอยด์วาล์วมาเป็นปั๊ม เพื่อให้สามารถพักน้ำได้ คลอรีนจะหายไป แต่ถ้าเราต่อจากสายยางโดยตรงจะมีคลอรีนอยู่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่โค้ชต่อกล้าฯ แนะนำมา” กันอธิบายถึงการพัฒนาผลงาน

จนปัจจุบัน Or Health เวอร์ชั่นล่าสุดสามารถรดน้ำได้อัตโนมัติ มีการควบคุมความชื้นด้วยพัดลมระบายอากาศ ซึ่งช่วยป้องกันโรคและแมลงให้กับต้นอ่อนข้าวสาลีได้ และทำให้ต้นอ่อนข้าวสาลีที่ปลูกด้วยชุดปลูกนี้ มีอัตราการเติบโตเร็วกว่าการปลูกแบบทั่วไป 1-2 วัน โดยปริมาณผลผลิตต่อเครื่องต่อรอบปลูกอยู่ที่ 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 4 ถาดปลูก ซึ่ง 1 ถาดจะสามารถนำต้นอ่อนข้าวสาลีมาคั้นเป็นน้ำได้ 4-5 ช็อต

“พอได้ต้นอ่อนแล้วเราก็เอาไปคั้นแยกกากออกมาเป็นน้ำ แล้วผมก็ลองเอาน้ำนั้นไปขายที่ฟิตเนส สำหรับกลุ่มคนออกกำลังกายหรือผู้ที่ดูแลสุขภาพ ดื่มช็อตหนึ่งก็เหมือนทานผักใน 1 วัน โดยที่เขาไม่ต้องวิ่งซื้อผักมาทำเอง ผมเอาน้ำใส่ขวดไปเทใส่แก้วกระดาษขายช็อตละ 30 บาท ปรากฏว่าขายดี ปกติท้องตลาดจะขายช็อตละ 70 บาท ไปขายมา 3 ครั้ง ได้กำไรครั้งละ 300 กว่าบาท (หัวเราะ) ก็ถือเป็นการลองตลาดคร่าวๆ ยังไม่ได้จริงจังมาก”

ประสบการณ์การนำผลผลิตจาก Or Health ไปทดลองตลาดจริง สำหรับกัน ถือเป็นภาพที่ห่างไกลจากตอนที่เริ่มทำโปรเจ็คต์มาก

“ความรู้สึกตอนทำครั้งแรกคืออยากเรียนจบไวๆ (ยิ้ม) จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตอนปี 3 ปี 4 แต่พอได้ทำไปแล้วมันเริ่มมีประโยชน์ ก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่าและความหมายที่จะทำ” กันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไม่มีทางลัดสำหรับนวัตกร

แม้การเริ่มต้นโปรเจ็คต์จะปราศจากแรงบันดาลใจเชิงบวกมากนัก รวมไปถึงไม่มีองค์ความรู้รองรับในสิ่งที่กำลังจะทำ แต่การที่ทั้งกันและนุ๊กสามารถพัฒนาผลงาน Or Health มาจนถึงจุดที่สามารถใช้งานได้จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้สภาพแวดล้อมของกระบวนการพัฒนาผลงานนำพาพวกเขาไปโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเพิ่มเติมกับตัวเอง 

กลับกัน หากนวัตกรคนอื่นๆ ต้องลงทุนลงแรงไปมากเท่าไรเพื่อให้ได้ผลงานออกมาชิ้นหนึ่ง กันและนุ๊กก็ต้องลงทุนลงแรงลงเวลาไม่ต่างกับนวัตกรคนอื่นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสวงหาความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ คือกระบวนการสำคัญที่ทั้งสองต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็น 2 เท่า

 “ความท้าทายที่สุดของการทำงานนี้ก็คือ ความรู้ของเรายังไม่เพียงพอ อย่างเรื่องการเขียนโค้ด การทำงานของเซนเซอร์ การเลือกวัสดุโครงสร้างต่างๆ โปรแกรมออกแบบโครงสร้าง แม้แต่เรื่องถ่าน ดิน เมล็ดพันธุ์ พูดง่ายๆ ก็คือต้องเรียนรู้ใหม่หมดทุกอย่างเลย (หัวเราะ)” 

และวิธีการได้มาซึ่งความรู้ของพวกเขาก็ตรงไปตรงมา นั่นคือแสวงหาจากผู้รู้ จากอาจารย์ รุ่นพี่ ผู้รู้เฉพาะทาง ทีมโค้ชโครงการต่อกล้าฯ รวมถึงการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ถ้าอยากรู้เรื่องถ่านหรือดินที่ใช้ปลูกเราก็ต้องไปที่ร้านต้นไม้ จากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยปลูกอะไร ไม่เคยทำโครงสร้าง ไม่เคยออกแบบ (หัวเราะ) ก็ไปถามคนรู้จักในเฟซบุ๊คที่เป็นพวกสถาปัตย์หรือออกแบบภายในว่าจะออกแบบโครงสร้างยังไง ต้องเรียนรู้เรื่องวัสดุว่าต้องใช้อะไรถึงจะแข็งแรง หรือวัสดุเท่านี้ถ้าถึงความสูงเท่านี้จะแข็งแรงได้เท่าไหน รวมทั้งเรื่องความใหญ่ น้ำหนัก ความสูงของแต่ละชั้นด้วย ต้องศึกษาหมดเลย ซึ่งในภาพรวม ทีมโค้ชช่วยเยอะมาก ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การตลาด อย่างเรื่องโครงสร้างตอนแรกผมออกแบบเป็นแนวนอน เขาก็แนะนำให้เป็นแบบคอนโด 4 ชั้น ซอฟต์แวร์เขาก็แนะนำการเพิ่มระบบควบคุม การตลาดก็แนะนำเรื่องเว็บไซต์หรือการหาลูกค้าว่าเราต้องทำไปเพื่อใคร กลุ่มเป้าหมายเราคือใคร” กันเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ของทีม

และแน่นอนว่าผู้รู้คือผู้ที่สนับสนุนความรู้ แต่คนลงมือทำนั้นก็คือตัวกันและนุ๊กเองที่ต่างต้องแบ่งเวลาจากการเรียนมาอดทนมุงานให้แล้วเสร็จ และการมุงานนั้นก็ไม่ใช่แค่การทำเพราะเป็นแค่โปรเจ็คต์จบการศึกษา แต่ทำเพื่อให้ใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์

“เหนื่อยมาก (ลากเสียง) เพราะถ้าทำแค่โปรเจ็คต์จบก็แค่ให้จบๆ ไป แค่เครื่องติดใช้งานได้ ใช้ค่าประมาณเอา แต่ถ้าเราทำให้คนใช้งานได้จริง มันต้องเป๊ะทุกอย่าง เรื่องอุณหภูมิก็ไม่สามารถเฉลี่ยหรือเมคขึ้นมาได้ ยิ่งทำให้คนกินก็ต้องทำให้เป๊ะ คลาดเคลื่อนน้อยมาก ซึ่งแม้จะเหนื่อย แต่ก็ถือเป็นข้อดีของการทำงานนี้คือเราได้เปิดอีกมุมมองหนึ่ง ได้ไปในโลกของการเรียนรู้ เหมือนเราต้องทำโปรเจ็คต์ 2 รอบ ต้องพัฒนา ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น” 

และแม้ถึงวันนี้ผลงาน Or Health ยังคงมีเรื่องให้พัฒนาต่ออีกหลายแง่มุม แต่กันและนุ๊กก็พร้อมที่จะทำงานต่อไป และพร้อมส่งมอบงานต่อให้รุ่นน้องเมื่อถึงเวลาอันสมควร เพราะในวันนี้พวกเขาไม่ใช่คนเดิมที่รีบทำโปรเจ็คต์เพราะอยากจบเร็วๆ อีกต่อไป หากคือนวัตกรที่ทำงานหนักเพื่ออยากเห็นผลงานของตัวเองสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากที่สุด

“จะทำผลงานต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ทำ…เสียดายที่อาจารย์ไม่ได้เห็น”

กันกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

“เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทำงานสานต่อจากที่อาจารย์อยากให้ทำ เพราะอาจารย์ก็หวังว่าพวกเราจะทำได้ถึงจุดสูงสุด ก็ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะ ยังไงก็จะทำต่อ” นุ๊กทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)AI21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรผู้ประกอบการ(entrepreneurship)แพทย์

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ
Learning Theory
25 November 2019

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ

เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

ถอดรหัสจากเกรต้า ธันเบิร์ก ทำไมเธอจึงลุกขึ้นมา act up และปลุกพลังมวลชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมได้ทรงพลังขนาดนี้?

เหตุผลหนึ่งในนั้นก็เพราะเธอ(และเรา) รู้สึก เพราะมี passion กับมันอย่างลึกซึ้งและมากพอ และทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับประเด็นการเรียนรู้ อย่างตัดไม่ขาด

ข้อเท็จจริงทางประสาทสมองยืนยันว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นเมื่อสมองซีกหน้าทั้งสองข้าง ทั้งส่วนความรู้สึกและการคิดวิเคราะห์ ทำงานพร้อมกัน

ไม่ต้องให้งานวิจัยบอกก็ได้ แต่เคยมั้ยที่เรารู้สึกกับอะไรมากๆ ก็อยากเข้าไปค้นคว้ากับมัน, มี passion กับมัน, สงสัยกับมัน, บ้าบอไปกับมัน, ล้มลุกคลุกคลานไปกับมัน และเป็นเจ้า ‘ความรู้สึก’ นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกอยากเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากจะทำความรู้สึกกับมันโดยไม่ต้องมีใครบอก

ประเด็นนี้จริงจังขนาดที่ว่านำไปสู่การออกแบบการศึกษาทั่วโลกออกแบบสภาพแวดล้อมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างมีความรู้สึก เช่น การเรียนรู้แบบ STEAM ของฟินแลนด์, การสร้าง making space ในหลายประเทศเช่น สิงคโปร์, การใช้ design thinking ในการศึกษาเพื่อให้เด็กเข้าอกเข้าใจประเด็นนั้นอย่างลึกซึ้งแล้วจึงสร้างนวัตกรรมมาแก้ไขปัญหานั้น

เจ้าความรู้สึกนี่สำคัญนะ อย่าดึงมันออกจากการเรียนรู้เลย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

Tags:

STEAMเทคนิคการสอนความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สมองExperiential Learning Theory(ELT)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3
EF (executive function)
19 November 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เนื้อหาที่จะได้อ่านต่อไปนี้สรุปความจากคำบรรยายให้แก่คณะครูจำนวนประมาณ 500 คนที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่เมืองทองธานี จัดโดยสำนักพิมพ์แปลนฟอร์คิดส์ ซึ่งได้กรุณาช่วยทำสไลด์นิทานหลายเรื่องประกอบคำบรรยายทางวิชาการ

อ่านนิทานได้อะไร?

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2: ประโยชน์ของการอ่านนิทาน ข้อ1-4

5. ตัวเอกพัฒนา (self esteem)

เด็กเกิดมาเพื่อพัฒนา (develop)

เด็กคนหนึ่งจะพัฒนาได้ต้องการองค์ประกอบสำคัญคือแม่ที่ไว้ใจได้ เหลียวหลังเมื่อไรก็ได้เห็น ในห้องนอนที่แม่กำลังนอนอ่านนิทานกับลูก ลูกกำลังสวมรอยเป็นตัวเอกผจญภัยไปในนิทาน เมื่อไรที่ตัวเอกพบอุปสรรคหรือเรื่องน่ากลัว เสียงแม่จะเป็นเครื่องปลอบประโลมว่าแม่ยังอยู่ และถ้าแม่เงียบไป ตัวเอกจะหยุดชะงัก หน้ากระดาษถูกพลิกค้างไว้ แล้วลูกจะเงยหน้าหันดูแม่ว่ายังอยู่หรือเปล่า

ส่วนใหญ่แม่หลับ ถ้าเป็นพ่ออ่าน หลับเร็วกว่า

แม่เป็นต้นแบบ (prototype) ของจักรวาล ว่าจักรวาลนั้นไว้ใจได้เหมือนแม่ที่ไว้ใจได้ คำสำคัญคือความไว้ใจ (trust) เป็นองค์ประกอบที่สองของการพัฒนา ถ้าโลกไม่น่าไว้ใจเด็กจะหยุดพัฒนาหรือพัฒนาล่าช้า

องค์ประกอบที่สามคือความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง เราเรียกว่า self-esteem ซึ่งอาจจะแปลว่าความรักตนเอง มั่นใจตนเอง ภูมิใจตนเองก็ได้ แต่คำนิยามที่ดีกว่าคือเด็กรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง

ในชีวิตจริงเด็กสูญเสียเซลฟ์เอสตีมได้ด้วยเหตุสารพัด บ้านที่พ่อแม่ห้ามทุกเรื่อง ตำหนิบ่อยๆ หรือโรงเรียนที่คอยพูดว่าเด็กช้า รั้งท้าย ที่โหล่ แต่ในหนังสือนิทานที่เขากำลังสวมรอยตัวเอกเขาสามารถไปได้ในโลกใหม่โดยง่าย พัฒนาตนเองไปตามตัวเอกที่ผจญภัย ฝ่าฟันอุปสรรค สู้พ่อ (มด) แม่ (มด) หรือเหล่า (ครู) ร้าย เด็กไม่มีเพื่อนได้มีเพื่อนในนิทาน เด็กไม่มีพ่อแม่ได้มีพ่อแม่ในนิทาน เด็กที่ถูกขังทั้งวันได้หนีออกจากที่คุมขังในนิทาน เหล่านี้ช่วยให้ตัวตนสามารถพัฒนาไปข้างหน้า

6. วัตถุมีอยู่จริง (object constancy)

วัตถุมีอยู่จริงเรียกว่า object constancy ตอนทารกเกิดใหม่ แม่หายไปจากสายตาคือหายไปจากจักรวาล วัตถุอื่นๆ ก็เช่นกัน จนถึงวันที่เขารู้ว่าแม่มีจริง แม้หายไปจากสายตาก็มิได้หายไปจริงๆ เมื่อนั้นวัตถุอื่นจึงจะมีอยู่จริงตามมา แม่เป็นต้นแบบของการสร้างวัตถุอื่นๆ

บนหน้ากระดาษนิทานมีวัตถุมากมาย วัตถุนั้นมิได้อยู่บนแผ่นกระดาษ วัตถุบนแผ่นกระดาษอยู่ในโลกนิทานรอบตัวเอกซึ่งกำลังผจญภัย หน้าต่อหน้า แผ่นต่อแผ่น วัตถุหนึ่งข้ามจากหน้าหนึ่งไปปรากฏที่อีกหน้าหนึ่งเสมอ ช่องว่างระหว่างหน้าที่หายไป (gap) คือบริเวณที่ว่างเปล่า (space) ที่เด็กจะต้องเติมวัตถุลงไปอยู่เรื่อยๆ วัตถุจึงมีอยู่จริง

7. คนอื่นที่มีอยู่จริง

วัตถุเป็นคำรวมๆ เรียกว่า object กินความรวมถึงผู้คนและสรรพสิ่ง คือสัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา ก้อนหิน ลำธาร เครื่องเรือน เครื่องใช้ สารพัดที่จะปรากฏในนิทาน

กล่าวเฉพาะผู้คน ผู้คนมิได้มีอยู่จริงจนกว่าสายสัมพันธ์ (attachment) กับแม่จะแข็งแรงมากพอ เมื่อสายสัมพันธ์มีมากพอและแข็งแรงพอ ทั้งล้นเหลือและทอดออกไปห่างจากร่างกายแม่ได้เป็นระยะทางไกล สายสัมพันธ์ที่มากพอนั้นจึงมีเหลือเฟือให้เด็กใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนและสรรพสิ่ง เรียกว่า object relation

ในหน้านิทาน ช่วงสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน คือช่วงเวลาที่พ่อแม่ไม่ไปไหน วางมือถือและอ่านนิทานด้วยกัน เวลาสั้นๆ นั้นเองที่สายสัมพันธ์มีปริมาณมากมาย เหมือนกัมมันตรังสีที่มีพลังล้นเหลือ พลังนั้นไม่จ่ายไปไหนเพราะมือถือได้ถูกวางแล้ว ไม่มีอะไรให้พ่อแม่วอกแวก พลังงานของสายสัมพันธ์จ่ายให้แก่ลูกเพียงคนเดียว หรือถ้ามีลูกหลายคนก็จ่ายไปตามลำดับความสำคัญของพี่คนโตไปจนถึงน้องคนสุดท้องตามลำดับ อย่าลืมว่าทุกคนอยู่ในนิทาน

พลังงานสายสัมพันธ์ที่ล้นเหลือจะมีพอแจกจ่ายให้แก่ตัวละครทุกๆ ตัวในนิทาน

8. ปฏิสัมพันธ์ (interaction)

โลกเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์

หากทารกหรือเด็กเล็กนอนนิ่งในห้องปฏิบัติการที่ไร้สิ่งเร้า โลกจะไม่เกิดขึ้นเหตุเพราะโลกเงียบเกินไป ทารกไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกที่เงียบ ลูกลิงที่ดูดกินนมจากหุ่นลิงจึงไม่โตเพราะหุ่นลิงแข็งกระด้างนั่งเฉยอยู่เช่นนั้น แม่ที่เฉยเป็นหุ่นก็เช่นกัน ลูกลิงที่ดูดนมจากแม่ลิงจริงๆ จึงเติบโตได้เพราะไม่เพียงแม่มีอยู่จริง แต่โลกมีอยู่จริงด้วย อวกาศขยายตัวออกจากร่างกายของตนเองกลายเป็นโลกใบใหญ่ที่ร่างกายของตนเองสามารถขยายตาม

แม่ลิงมีปฏิสัมพันธ์กับลูก แม่คนก็ควรทำเช่นนั้น

ในหน้านิทาน ลูกกำลังสวมรอยตัวเอก แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับก้อนหินดินน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้าดวงดาว เช่นนี้โลกเกิดขึ้นได้เพราะทุกประการล้วนมีชีวิต นิทานนั้นมีตัวละครหลากหลาย เช่น สัตว์ที่พูดได้ หรือคนที่พูดได้ ตัวเอกมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครเท่ากับสร้างโลกขึ้นมา มันคือโลกนิทานที่อยู่ในหน้ากระดาษ และเด็กๆ มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นตัวเอกที่เดินไปในโลกนิทานและพูดคุยกับสรรพสิ่งทั้งสัตว์และคน

โลกในห้องนอนครอบโลกในนิทานไว้ชั้นหนึ่ง พ่อแม่ที่นอนข้างๆ มีอยู่จริงเสมอ อ่านนิทานไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง รอยต่อระหว่างสองโลกจึงจะบังเกิดขึ้น เด็กๆ ผลุบเข้าออกระหว่างสองโลกอยู่ตลอดเวลา

หน้ากระดาษ 1 หน้า คือโลก

ตอนต่อไป สร้างโลก

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

Tags:

นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่านการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ดนตรีบำบัด: ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต
Family Psychology
19 November 2019

ดนตรีบำบัด: ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก หรือ ครูมัย เป็นนักดนตรีบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาและเป็นครูสอนดนตรีในโรงเรียนวอลดอร์ฟ 
  • ดนตรีบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญาทำงานได้สองแบบคือ 1. พัฒนาการ 2. เยียวยา โดยนักดนตรีบำบัดจะต้องเข้าใจที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นนำไปสู่การออกแบบดีไซน์กิจกรรมที่จะไปเยียวยาและพัฒนา โดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือ
  • ในทางมนุษยปรัชญา (anthroposophy) จะแบ่งความเป็นเด็กเป็น 3 ช่วงย่อยได้อีก คือช่วงอายุ 0-7 ปี, 7-14 ปี, 14-21 ปี ซึ่งดนตรีและเสียงเพลงจะเข้าไปทำงานกับเด็กแต่ละช่วงวัยต่างกัน

คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์บอกว่าดนตรีส่งผลให้สมองสองซีก ทำงานเชื่อมโยงกันได้ดี เพราะเสียงเพลงและจังหวะที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมองที่ช่วยเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ และการทบทวนความจำต่างๆ ได้ 

ยิ่งมองให้ลึกไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับเด็ก เราจะยิ่งพบความเชื่อมโยงหลายด้าน เพราะดนตรีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม หรือสติปัญญา หากเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมก็จะช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ภายในสมองของลูกให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ศาสตร์แห่งดนตรีบำบัดใช้ยึดพิงหลังและบอกทุกคนว่า ดนตรีไม่ได้ให้แค่ความเพลิดเพลินและบันเทิงอารมณ์เท่านั้น แต่แฝงไปด้วยประโยชน์มหาศาล

The Potential สนทนากับ ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก หรือ ครูมัย นักดนตรีบำบัดตามแนวมนุษยปรัชญา (anthroposophy) เพื่อทำความเข้าใจถึงการใช้ดนตรีและเสียงเพลงเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้เหมาะสมตามวัยต่างๆ รวมถึงทำความเข้าใจ ‘ปรัชญาแห่งดนตรีบำบัด’ ว่า มีวิธีการทำงานอย่างไร ต่างจากวิชาดนตรีในห้องเรียนตรงไหน และใครบ้างที่เหมาะกับดนตรีบำบัด

ครูมัย-ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก

ครูมัยเข้ามาเป็นนักดนตรีบำบัดได้อย่างไร

เราชอบดนตรี และมีแพชชั่นตั้งแต่เด็กมัธยมว่าอยากเป็นนักเปียโน เพราะว่าเราเห็นครูที่โรงเรียนเล่นดนตรีมาตลอด ในขณะเดียวกันเรายังมีโอกาสได้ร้องเพลง ได้สัมผัสกับดนตรีเยอะมาก จนถึงช่วง ม.2 เราจึงตัดสินใจอยากจะเรียนดนตรีจริงจัง จังหวะเดียวกันกับที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเป็นปีแรกพอดี เราจึงอยากจะเข้าไปเรียน ตอนนั้นตัดสินใจเรียน คิดแค่เพราะชอบดนตรีเพียวๆ ไม่ได้คิดอยากจะเป็นครู ไม่ได้อยากเป็นนักบำบัด 

พอเรียนจบจากจุฬาฯ มา อาชีพแรกที่เราทำคือการเป็นครูสอนเปียโนตามโรงเรียนหรือสอนส่วนตัวทั่วไปธรรมดาๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับในช่วงนั้นทางโรงเรียนอนุบาลบ้านรัก กำลังหาคนมาเล่นเปียโนประกอบในวิชายูริธมี (Eurythmy) ให้เด็กอยู่พอดี ซึ่งวิชานี้ว่าด้วยการเคลื่อนไหวให้เข้ากับภาษาและดนตรีอย่างสวยงาม เราก็ไปเล่นโดยที่ยังไม่รู้จักว่าอะไรคือยูริธมี แต่พอได้ลอง เราเห็นถึงการเคลื่อนไหวที่มันไปกับเสียงจริงๆ มันไม่ใช่การเต้น ไม่ใช่บัลเล่ต์ มันคือการเคลื่อนไหวที่ผูกเนื่องกับจิตวิญญาณ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้จักดนตรีในแนวมนุษยปรัชญา (anthroposophy)

เราเริ่มจากการเป็นนักดนตรี เล่นเปียโนตามงานต่างๆ ขยับมาเป็นครูสอนดนตรี และได้เริ่มมีอาชีพใหม่ โดยเป็นครูเปียโนประกอบวิชายูริธมี เราทำมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง ‘โรงเรียนแสนสนุกไตรทักษะ’ ซึ่งเป็นโรงเรียนแนวทางเลือกแนววอลดอร์ฟ กำลังเปิดสอน ‘วิชาดนตรีบำบัด’ โดยครูนักดนตรีบำบัดชาวเยอรมันอยู่ เราถูกชักชวนจากรุ่นพี่จึงตัดสินใจเข้าไปเรียนศาสตร์นี้เพิ่มเติม

ตอนนั้นที่ตัดสินใจไปเรียนเราคิดแค่ว่า ถ้าความรู้ด้านดนตรีที่เรามีติดตัว มันสามารถช่วยคนได้ เราก็อยากจะทำ จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เข้าไปเรียนรู้ดนตรีบำบัดเพิ่มเติมกับครูสเตฟาน (Stephan kühne) นักดนตรีบำบัดแนวมนุษยปรัชญาชาวเยอรมัน นับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ประมาณ 15-16 ปีแล้ว 

‘ดนตรีบำบัด’ ในแนวมนุษยปรัชญาคืออะไร

ขออธิบายให้เข้าใจถึงแนวทางมนุษยปรัชญาก่อน​ มนุษยปรัชญา คือ ปรัชญาที่มาจากเยอรมนี โดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์ มีสาขาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งสิ้น 3 สาขา 

หนึ่ง – การแพทย์ 

สอง – การศึกษา 

สาม – การเกษตรแบบพลวัต​ 

โดย ‘ดนตรีบำบัด’ จะทำงานอยู่ตรงกลางระหว่างการแพทย์และการศึกษา เพราะด้วยตัวบทบาทหน้าที่ของดนตรีเองแล้ว สามารถทำงานได้สองแบบคือ 1.ช่วยเรื่องพัฒนาการ 2. เยียวยา ในฐานะครูดนตรีที่ทำงานอยู่กับเด็กตลอด ​สิ่งที่สำคัญคือการเข้าใจธรรมชาติแต่ละช่วงวัยของเขา เพื่อคิดต่อไปว่าเราจะออกแบบกิจกรรมโดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือเชื่อมไปถึงเขา เพื่อไปพัฒนาและใช้เยียวยาตัวเขาอย่างไร 

ดนตรีใช้ช่วยเยียวยาอย่างไร และใครเหมาะกับการใช้ดนตรีในการเยียวยา

ถ้าพูดถึงคำว่าเยียวยา เราต้องดูก่อนว่าเบื้องหลังของเขาเป็นอะไร ดนตรีบำบัดมีเป้าหมายเสมอ คุณต้องการอะไร ต้องการรักษาอาการไหน ดนตรีไม่ได้ให้แค่ความเพลิดเพลินอย่างเดียว เช่น เด็กพิเศษที่มีอาการน้ำลายไหลตลอดเวลา สิ่งที่นักดนตรีบำบัดทำคือการให้เด็กเป่าทรัมเป็ต หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่ต้องใช้ mouth piece ที่เขาต้องใช้การบังคับกล้ามเนื้อหรือรูปปาก ประเด็นสำคัญคือเราไม่ได้สอนให้เด็กเป่าทรัมเป็ตให้เป็น ให้ไพเราะ แค่ให้เขาได้เล่น แค่ฝึกเป่าให้มีเสียงออกมา ไม่จำเป็นต้องถูกตัวโน้ตหรือตรงจังหวะ แต่การเป่าจะไปช่วยกระตุ้นให้เขาควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณปากได้ และอาจจะส่งผลให้น้ำลายหยุดไหลได้ในที่สุด

ส่วนคนที่จะใช้ดนตรีเยียวยาได้นั้น ไม่ว่าใครก็ใช้ได้ ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้ว่าเขาจะมั่นใจในดนตรีแค่ไหน การที่เราจะพาดนตรีกลับไปสู่ตัวคนไข้ มันก็ไม่ยากและมันก็ไม่ได้ง่าย ดนตรีอาจจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายคน หลายคนปฏิเสธ ‘ไม่เอา ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น’ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เกี่ยวเลย

แล้วดนตรีทำงานด้านพัฒนาการอย่างไร

ถ้าโฟกัสในวัยเด็ก เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า​ในสถานการณ์ปัจจุบัน​ เด็กๆ ​หลายคนต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องพัฒนาการ​ เราเคยสังเกตท่าทางเด็ก 9 ขวบคนหนึ่งซึ่งตามปกติแล้วเด็กอายุเท่านี้ควรจะเดินเต็มเท้าได้แล้ว แต่เด็กคนนี้เดินเงอะๆ งะๆ การเดินของเด็กไม่เฟิร์ม ไม่ฟอร์ม เราต้องกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ พอเจอปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว นำไปสู่การออกแบบกิจกรรมที่จะไปเสริมและพัฒนาเขา ซึ่งเราสามารถสังเกต​เด็กผ่านการนั่งคุยกับเขา​ ไปจนถึงการเล่นดนตรีและร้องเพลง​ ซึ่งบางครั้ง​เราจะสามารถ​มองเห็นปัญหา​ของเขาได้จากกิจกรรมต่างๆ อย่างชัดเจน

ยกตัวอย่าง เด็กคนหนึ่งเขามีปัญหาทางครอบครัว พ่อแม่แยกทางกัน ต่างคนต่างพยายามดึงลูกให้ไปอีกทาง เด็กจึงโตมาด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง​ปลอดภัย​ ลักษณะท่าทางของเขา​ ก็จะไม่มั่นคง​ ไม่เฟิร์ม ตัวตนด้านในไม่แข็งแรง แตกสลาย เราจึงให้เด็กตีกลอง เพราะกลองมีความหนักแน่น มีจังหวะที่ดี คุณภาพเสียงของกลองจะให้ความรู้สึกหนัก มั่นคง ในการตีกลองกัน​ จะให้เด็กเริ่มจับจังหวะของกลองให้ได้  และพัฒนาไปจนถึงรูปแบบจังหวะต่างๆ​ ที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น​ ซึ่งมันจะส่งผลไปถึงจังหวะชีวิตของเขา ความแน่วแน่มั่นคงของกลองจะทำให้เด็กรู้สึกเฟิร์มขึ้น และสร้างฟอร์มที่ดีขึ้นมาใหม่ได้

เวลาทำงานแต่ละเคส ครูมัยทำงานร่วมกับใครบ้าง

ถ้าเป็นการบำบัดรักษา เราต้องคุยกับแพทย์เสมอ เพื่อพิจารณาร่วมกันว่าแต่ละเคสมีปัญหาอะไรและเราจะแก้อย่างไร เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นนักบัญชี มีความเครียดสะสม จนกล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งตัว ส่งผลให้ปวดหัว จนกระดูกบริเวณคอมีอาการคดงอ เขาได้รับการรักษาโดยการฝังเข็มมาตลอด จนถึงจุดที่​ลึกเกินกว่าฝังเข็มได้แล้ว​ คุณหมอเลยส่งมาร้องเพลงกับเรา ปรากฏว่าอาการดีขึ้น กระดูกคอที่เคยคดเริ่มกลับคืนรูปเดิม และอาการเกร็ง ตึง เริ่มดีขึ้น เพียงแค่เขาร้องเพลง

การร้องเพลงจะช่วยบำบัดเยียวยาได้อย่างไร

ก่อนการร้องเพลงมันต้องวอร์มก่อน ซึ่งการวอร์มเสียงเป็นจุดสำคัญ เราไม่ได้วอร์มแค่เสียงเพื่อร้องเพลงเพราะ แต่เมื่อไรที่เราร้องเพลงร่างกายของเราจะกลายเป็นเครื่องดนตรี ดังนั้นการวอร์มก็เหมือนให้เรารู้จัก​การจัดการร่างกายคอ ไหล่ ท้อง จนไปถึงการเปล่งเสียงต่างๆ

ซึ่งเราจะรู้ได้เลยว่าคนไข้มีปัญหาอะไรจากการฟังเสียงของเขา คุณภาพของเสียงที่ออกมาจะฟ้องได้ทันที บางคนออกเสียงไม่ได้ บางคนออกเสียงตรงเกินไป กระแทก เสียงแข็ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ผ่อนคลาย ชีวิตเขาเกร็งสะสม อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตการงานแบบเป๊ะมากเกิน ไม่รู้จักหย่อน ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจทำให้เขาป่วยได้

สำหรับครูมัย เราใช้ดนตรีทำงานกับอินเนอร์ของเขา ทำงานกับจิตวิญญาณ เสียงจึงเป็นตัวที่บ่งบอกตัวตนของคนไข้ชัดที่สุด ไม่มีใครในโลกที่เสียงเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เสียงเกิดข้างในผ่านกระบวนการของร่างกายทำงานร่วมกับสมองและเปล่งออกมาเป็นคำพูด ฉะนั้นคุณอาจจะไม่รู้ แต่เสียงที่เปล่งออกมานั้น มันบอกอะไรได้เยอะ บอกถึงข้างใน บอกได้ถึงใจ ครูมัยเคยมีประสบการณ์ตอนที่น้องสาวเสียชีวิต เราร้องเพลงไม่ได้นานถึง 3-4 เดือน เพราะใจมันไม่เปิด ข้างในมันเศร้า จนเราร้องเพลงไม่ได้ ดังนั้นเสียงแต่ละเสียงที่เปล่งออกมามันมีเรื่องของภาวะทางจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด

ครูมัยเคยพูดว่าถ้าจังหวะชีวิตดี เราก็จะเติบโตมาอย่างมั่นคง หมายความว่าอย่างไร

เด็กๆ เขาไม่รู้จังหวะตัวเองหรอก ถ้าเป็นสมัยก่อนเวลาแม่ทำงานบ้าน ลูกอยู่ที่ไหน ลูกอยู่กับอก หรือไม่ก็บนหลังแม่ การที่แม่ถูบ้าน ลูกจะสัมผัสจังหวะถูบ้าน​พร้อมกับเสียงร้องเพลงของแม่ 

จังหวะชีวิตของเด็ก ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่กับเด็ก เด็กตื่นเป็นเวลาไหม กินข้าวตรงเวลาหรือเปล่า ไปโรงเรียน อาบน้ำ ถ้าทุกอย่างถูกทำให้เป็นจังหวะซ้ำๆ เป็น step เหมือนกันทุกวัน เด็กจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงมากๆ 

มีอีกตัวอย่าง เราเคยเจอเด็กที่ใช้ชีวิตแบบรวดเร็วฉึบฉับ พอเลิกเรียนแล้วไปนู่น ไปนี่ ไปกินข้าว ไปเรียนต่อ ไม่มีวันไหนที่เขาเลิกแล้วได้กลับบ้านได้พัก​ ได้เล่น เขาก็จะ​กลายเป็นเด็กที่ตื่นเต้นกับสิ่งรอบๆ ที่เปลี่ยนตลอด​เวลา​ ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นสมาธิสั้น พอเรารู้ว่าเขามีพฤติกรรมแบบนี้ เราจะพาเขาร้องเพลง เล่นดนตรี​ แต่เรารู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้มันต้องถูกแก้ร่วมกันกับที่บ้าน เราคุยกับคุณแม่เขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวสามารถสร้างจังหวะชีวิตให้ลูกได้ ให้เขาลองมีตารางเวลาที่ชัดเจน​ ได้เล่น​ ได้พักผ่อนตามสมควร​ คุณแม่ก็ต้องนิ่ง หนักแน่น ปรับจังหวะให้เขา​

พอพ่อแม่ร่วมสร้างจังหวะให้เขาแล้ว ดนตรีจะเข้าไปช่วยพัฒนาอย่างไรต่อ

เรากำลังพูดถึงจังหวะชีวิต ในทางมนุษยปรัชญาจะแบ่งความเป็นเด็กเริ่มตั้งแต่อายุ 0-21 ปี โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ช่วงย่อยได้อีก คือช่วงอายุ 0-7 ปี, 7-14 ปี, 14-21 ปี ซึ่งถ้าเราดูพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด เด็กปฐมวัย (0-7 ปี)  เขาจะสามารถ คลาน นั่ง ยืน เดิน เป็นตามลำดับ ซึ่งพัฒนาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เด็กเล็กต้องคิด เขาสามารถทำได้ด้วยความมุ่งมั่น (willing) ของตัวเอง 

ซึ่งเสียงที่ดีที่สุดสำหรับลูกวัยช่วงนี้ไม่ใช่อะไรอื่นไกล เพราะมันคือ ‘เสียงของแม่’/ ‘เสียงของครู’ การที่แม่ร้องเพลงหรือกล่อมลูกด้วยเสียงเพลงที่พ่อแม่ร้องเองด้วยจังหวะแบบนุ่มนวลอ่อนหวาน จะทำให้ลูกเกิดความคุ้นเคยและรู้สึกอบอุ่นมาก เสียงเพลงที่เด็กๆ ได้รับนั้น ก่อให้เกิดการเรียนรู้ในแบบที่เหมาะสมกับวัยของตัวเอง

ช่วงเริ่มเข้าวัยรุ่น (7-14 ปี) เด็กช่วงนี้เขาจะเติบโตไปกับเรื่องของความรู้สึก (feeling) ซึ่งช่วงเวลาที่เด็กตื่นตัวเต็มที่คือช่วงอายุ 9 ขวบ เป็นช่วงที่ร่างกายผลิตโดพามีน (Dopamine) ออกมาตามธรรมชาติ​ ส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคลให้มีความตื่นตัว ทำให้เด็กวัยนี้มีความรู้สึก​ไวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวมาก

คุณเคยเจอเด็กๆ ในช่วงวัยนี้ที่ทำบางอย่างผิด​ จำนนต่อหลักฐาน​ แต่ใจ​ไม่​ยอมรับว่าผิดไหม นั่นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิด เขาจึงปฏิเสธ นี่เป็นลักษณะเฉพาะของเด็กในวัยนี้ การยกเหตุผลขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะพูดคุยกับเด็กวัยนี้ ถ้าเราจะดีลกับเขา แนะนำให้โยงไปเรื่องความรู้สึกให้หมด เช่น ประโยคที่ว่า “หนูทำผิด หนูทำแบบนี้ไม่ได้!” อาจไม่สำคัญเท่า “หนูทำแบบนี้แล้วแม่รู้สึกเสียใจนะ” เด็กวัยนี้เขาจะสัมผัส จะเข้าใจ จะมีเซนส์เรื่องความรู้สึกมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุผล​ที่โรงเรียนวอลดอร์ฟที่​เปิดสอนเด็กระหว่าง 7-14  ปี จึงเน้นเรื่องศิลปะเยอะมาก เพราะศิลปะช่วยหล่อเลี้ยงความรู้สึกของเขา ส่งผลให้มีความเข้าใจเรื่องต่างๆ​ ด้วยหัวใจจริงๆ​

ดังนั้นโรงเรียนที่ครูมัยสอนจะดูแลเด็กช่วงนี้ด้วยการให้เขาเริ่มเล่นเครื่องสาย เด็กๆ จะได้เริ่มเล่นไวโอลิน หรือ เชลโล ในช่วงแรกเครื่องสายสามารถทำให้เกิดความสมดุลได้ เด็กจะต้องนิ่ง​ฟัง​อย่างละเอียด​ และเล่นให้ได้เสียงที่แม่นยำจากการฟังนั้น

ช่วง 9-12 ปี เป็นการเริ่มเล่นดนตรีจริงจังในกลุ่มเครื่องสาย เช่น ไวโอลิน หรือเชลโล หลังจากนั้น​ เด็กๆ ​จะเริ่มเลือกเครื่องดนตรีที่อยากเล่นด้วยตัวเอง

ส่วนช่วงสุดท้าย (14-21 ปี) เป็นช่วงแห่งการคิด (thinking) ถ้าเด็กมีจังหวะชีวิตที่ดี และรู้จักการจัดการความรู้สึกของตัวเอง จะนำไปสู่การ ‘คิด’ ได้ด้วยตัวเอง สังเกตได้ว่าเด็กในช่วงอายุ 14-21 ปี จะเรียนในแบบการให้ฝึกคิดวิเคราะห์และมีเหตุผล 

หากต้องการจะใช้ดนตรีในการเลี้ยงลูก ต้องใช้ดนตรีประเภทไหนให้เหมาะกับลูกแต่ละวัย และดนตรีเหล่านั้นไปทำงานกับเซนส์ของลูกอย่างไร

อายุ 0-7 ปี: เด็กเล็ก ก่อน ป.1 สิ่งที่ดีที่สุดคือเสียงพ่อแม่เขา ถ้าพ่อแม่ร้องเพลงกับลูก​ นั่นคือดีที่สุด เพราะเขาไม่ได้ฟังแค่เสียง เขาไม่ได้สนใจว่าพ่อแม่ร้องเพลงเพี้ยนไหม แต่เสียงเหล่านั้นมันเป็นเสียงที่มีความรัก ความอบอุ่น เด็กจะรับสิ่งนั้นได้

พ่อแม่หลายคนบอกว่าอยากให้ลูกรักดนตรี แต่ไม่เคยร้องเพลงกับลูก​ อย่าหวังว่าลูกจะรักดนตรี ลูกจะรักดนตรีเมื่อพ่อแม่รักดนตรีและใช้ดนตรีและเสียงร้องเพลงเลี้ยงเขา โดยไม่จำเป็นต้องใช้เพลงเด็ก เพลงอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่จังหวะหนักๆ เพราะจังหวะที่เร้ามากเกินไปจะส่งผลให้เด็กตื่นก่อนวัย คาแรคเตอร์ของเด็กเล็กคือเขาจะอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน อ่อนหวาน เบลอๆ ไม่มีความฝันไหนที่มีลักษณะเป็นเสียงกลองหนักๆ ฉะนั้นเพลงที่เหมาะกับเด็กวัยนี้คือเพลงที่มีเสียงและจังหวะที่อ่อนโยน ดีที่สุดเมื่อพ่อแม่ร้องเพลงให้ลูกฟัง

อายุ 7-14 ปี: เด็กช่วงนี้มาพร้อมกับความรู้สึกเต็มเปี่ยม เขาจะชอบเพลงที่ตรงกับความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะช่วงหลังอายุ ​12​ เด็กๆ จะเริ่มเลือกฟังเพลงต่างๆ ด้วยตัวเอง​ พ่อแม่อาจแนะนำเพลงดีๆ ให้ลูกได้​ แต่เด็กก็จะชอบเพลงที่เขาเลือกฟังด้วยตัวเองมากกว่า​ ลูกจะชอบเพลงที่มีทำนองเพราะๆ​ ใช้ภาษาสวยๆ จังหวะดีๆ​ ​ไม่ว่าจะเป็น เพลงเกาหลี เพลงไทย ทุกอย่างจะเป็นไปตาม feeling ของเขา 

อายุ 14-21 ปี: เด็กช่วงนี้จะเลือกฟังดนตรีด้วยตัวเอง​ ในฐานะพ่อแม่เราสามารถเตรียมสิ่งที่คิดว่าดีไว้ให้เขาได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นเขาจะกลายเป็นผู้เลือกเอง พ่อแม่ควรเคารพการเลือกของเขา

ส่วนเด็กทารกที่อยู่ในท้อง ส่วนตัวครูมัยไม่เชื่อวิธีการเอา ear pod จ่อท้องให้ลูกฟัง แต่เราเชื่อว่าเขาจะฟังเพลงไปพร้อมแม่ ด้วยประสบการณ์​ส่วนตัว​ ตอนที่กำลังอุ้มท้อง​ ได้ไปชมการแสดงของวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ ช่วง​ที่วงบรรเลงจังหวะหนักแน่น​ ฮึกเหิม​ปรากฏว่าลูกดิ้นแรงทีเดียว พอเพลงหยุด ลูกก็หยุด​ไปด้วย​ พอดนตรีเริ่มอีกครั้ง​ ลูกก็เริ่มดิ้นอีกครั้ง​​ เด็กที่อยู่ในท้อง เขารับรู้ถึงเสียงได้แต่ไม่ถึงขั้นแยกแยะรายละเอียดออก ดังนั้นเสียงของแม่จึงสำคัญมากๆ เพราะอยู่ใกล้เขาที่สุด ลูกคุ้นเคยที่สุด  

สังเกตได้จากเด็กเล็กๆ เวลาเขาตื่นมาแล้วไม่เจอใคร ร้องไห้งอแง แค่แม่ตะโกนกลับมาว่า ‘แม่อยู่นี่ลูก’ โดยที่ลูกไม่ต้องเห็นหน้าพ่อแม่ แค่เสียงก็ทำให้เขาสงบลงได้

แล้วในกรณีเด็กพิเศษต่างๆ ดนตรีเข้าไปช่วยบำบัดอย่างไร

ครูจะตอบแบบใช้ประสบการณ์ตัวเอง เด็กออทิสติกหลายคนพูดไม่ได้แต่ร้องเพลงได้ ทำไมเขาส่งเสียงเป็นทำนองได้ เพราะเดิมทีการเป็นออทิสติกมันคือการบกพร่องเรื่องการสื่อสาร พวกเขาจึงไม่สามารถปั้นคำออกมาให้เป็นคำพูดได้ แต่อย่างที่บอกเขาพัฒนาได้แต่ช้าและต้องใช้เวลา ซึ่งเวลา 10 ปีที่สอนมา เราพบว่า การที่เราพูดนำ-เด็กเห็น-เด็กทำตาม เราพูดนำ-เด็กเห็น-เด็กทำตาม ไปเรื่อยๆ เป็นเวลานาน เช่น เราร้องเพลง เราอ่านนิทาน เราท่องกลอน เมื่อเราทำซ้ำๆ ให้เด็กดูก่อนจากนั้นให้เขาลองทำด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดจะทำให้เขาสื่อสารออกมาได้ ซึ่งธงของครูในการบำบัด ไม่ใช่แค่การสื่อสารได้ เรามองไปถึงเรื่องมูฟเมนท์ การเคลื่อนไหว การขยับ ทุกอย่างมันจะ devolope ขึ้นมาได้เรื่อยๆ ด้วยดนตรี

เด็กที่มีภาวะนี้ เขาจะอึดอัดในตัวเองอยู่แล้วที่เขาสื่อสารไม่ได้ แต่พอเขาได้ร้องเพลง ได้เอาพลังออก ปัญหาการกรีดร้องก็ลดลง ความโกรธในตัวเองก็ลดลง เริ่มฟังคนอื่นมากขึ้นเพราะเขาต้องฟังดนตรี ได้ฝึกการรอคอย ทุกอย่างมันจะค่อยๆ พัฒนาตามลำดับ

ไม่ต่างจากคนที่เป็นภาวะซึมเศร้า ดนตรีจะช่วยบำบัดให้เขาได้เอาบางอย่างออกมา เพราะภาวะซึมเศร้าคือการเก็บ การซ่อนอะไรบางอย่างในตัว การร้องเพลงจะช่วยให้เขาปล่อยมันออกมา

อยากให้ครูยกตัวอย่างในคลาส ใช้ดนตรีบำบัดอย่างไร

ครูมัยมีคลาสที่ดูแลออทิสซึมที่อยู่ในวัย 30 ปี ขออธิบายก่อนว่าภาวะนี้เขามีพัฒนาการนะ แต่แค่พัฒนาการช้า มีเคสหนึ่งที่เคยดูแล เขาพูดไม่ได้ เหม่อลอย เราใช้กิจกรรมตีกลอง เพื่อให้เขาเดินตามเสียงที่เราตี หรือบางครั้งเราก็ให้เขาตีแล้วเราเดินตามเสียงที่เขาตี แต่เมื่อเขาเหม่อลอย ไม่เดินตาม เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเอากลองไปไว้ตรงหน้าเขาสักพัก เขายกมือขึ้นตีกลอง เราก็ประหลาดใจ นี่คือสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่า เขารู้ว่าเมื่อเจอกลอง เขาต้องตี แสดงว่าทุกครั้งที่เราบำบัดกับเขา เขาเข้าใจนะ ถึงแม้อาจจะรับได้ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยมันทำให้เขาเริ่มรู้ตัว มันช่วยทำให้เขารู้จักมือของตัวเอง ให้รู้ว่าเขามีมือนะ มือทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ มือใช้ตีกลองได้นะ ไม่ใช่แค่หยิบอาหารเข้าปาก นี่คือสิ่งสำคัญมาก

เด็กที่คลุกคลีกับดนตรี กับเด็กที่ไม่ได้โตมาพร้อมดนตรี คาแรคเตอร์จะต่างกันอย่างไร

ครูมัยเองก็โตมาในครอบครัวที่พี่น้องเรียนสายวิทยาศาสตร์​ ในความเห็นครูมัยคิดว่าเด็กทุกคนรักดนตรี เด็กที่ห่างเหินจากดนตรีเราต้องมองและตั้งคำถามไปว่าเป็นเพราะอะไร เขาเรียนอย่างเดียวหรือเปล่า พ่อแม่ไม่ให้ทำอะไรอย่างอื่นเลยหรือเปล่า จริงๆ เขาอาจจะมีเพลงที่เขาชอบซ่อนอยู่ลึกๆ ก็ได้ แต่ว่าพ่อแม่เห็นหรือเปล่า หรือคนอื่นมองว่ามันสำคัญกับเขาหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ปัจจุบันศาสตร์ต่างๆ เพื่อใช้ในการบำบัดเยอะมาก ทั้งการเล่น ศิลปะ ซึ่งแต่ละศาสตร์ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง แล้วดนตรีบำบัดเป็นอย่างไร

จุดแข็งคือ มีมนุษย์น้อยคนที่จะเกลียดดนตรี มันเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเปิดใจได้ง่าย เพราะดนตรีส่งผลถึงความรู้สึกโดยตรง คนจะมีความรู้สึกกับดนตรีที่เกิดขึ้นกับเขาเสมอ ฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ดนตรีเปิดความรู้สึกคนได้ง่าย และเมื่อเขาเปิดใจแล้ว ในแง่ของการบำบัดรักษาก็จะง่ายขึ้น

ในทาง anthroposophy บอกว่ามีศิลปะอยู่ 7 แขนงที่ให้ผลต่อการเปลี่ยนแปลงและสามารถเยียวยามนุษย์ได้ โดยที่ไม่ได้เซ็ตว่าเป็นการบำบัด นั่นคือ architecture / molding / painting / music / speech and drama / eurythmy ดนตรีทำให้เราสบายใจ

สำหรับครูการบำบัดไม่ใช่การฟังดนตรีอย่างเดียว เพราะการฟังมันคือการนำเข้า ยิ่งถ้ารับมากไป มันจะไม่มีทางออก ทุกอย่างมันจะเต็มแน่นอยู่ในตัว มันก็ป่วยได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเขาคือการร้องเพลง จุดประสงค์ไม่ใช่การสำรวจว่าเขาร้องผิดคีย์ไหม เพี้ยนไหม แต่เพื่อให้เขาเอาออกมาบ้าง

ครูขอเล่าตัวอย่าง มีนักเรียนคนหนึ่งเป็นนักเรียนเปียโน เวลาเขาเล่นผิดเขาจะเริ่มใหม่ ผิดเริ่มใหม่ ผิดเริ่มใหม่ ผิดอยู่นั่นแหละ ที่เดิมซ้ำๆ จนเครียดสะสม ครูถามว่างานอดิเรกของเขาคืออะไร เขาชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลง มีแต่กิจกรรมรับเข้าทั้งนั้น ไม่มีการเอาออกเลย มันอัดเข้า อัดเข้า จนมันเต็มตัว ครูจึงแนะนำให้เขาไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำที่เอาพลังแข็งๆ ออกจากตัวบ้าง เช่น ตีเทนนิส กระโดดเต้น เมื่อสลัดให้หลุดแล้วเขาจะมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น

ถ้าเช่นนั้น การร้องคาราโอเกะก็ได้เหมือนกัน?

ก็ได้นะ แต่การร้องคาราโอเกะหมายถึงคุณร้องกับเครื่อง มันไม่มีชีวิต ซึ่งแนวทางดนตรีบำบัดจะไม่ใช้การบำบัดกับเครื่อง เพราะเราเชื่อว่าคนให้พลังมากกว่าอุปกรณ์ต่างๆ เพราะมนุษย์เรามีความสด ความไม่เป๊ะ ผิดก็ได้ มันคือพลังอย่างหนึ่ง เพราะพอยท์ของเราไม่ใช่การร้องเพลงอย่างถูกต้อง พอยท์ของเราคือการช่วยให้เขาได้เปล่งเสียงออกมา และในความเป็นการบำบัด เมื่อเสียงที่ถูกปล่อยออกไปมากพอ กระแสของมันจะม้วนกลับมาหาต้นทาง​ และพลังที่กลับมานี่เอง​ ที่มีคุณภาพในการเยียวยา

ที่ครูมัยบอกว่า “ดนตรีทำงานกับคน” มันดูนามธรรมมากๆ เราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่ามันทำงานได้จริงหรือเปล่า

ประเด็นนี้มันเป็นที่สงสัยอยู่แล้ว ​คนที่จะบอกได้ก็คือ​ คุณหมอ​ที่ตรวจคนไข้​ ดูผลเลือด​ หรือผลตรวจจากเครื่องตรวจต่างๆ​ แต่เท่าที่เห็นและเราทำงานกับมันมา มันได้ผลดีมาก มีบางคนที่มาบำบัดแล้วเขารู้สึกว่าทางนี้ไม่ตอบโจทย์ แม้เราตั้งใจมากๆ เพราะอยากช่วยเขา แต่ก็เข้าใจได้ แล้วแต่ destiny ระหว่างกัน​ (หัวเราะ) เพราะก็มีหลายๆ เคสที่ได้ผล เช่น ผู้หญิงที่เคยกระดูกคอคด ที่คุณหมอส่งมาร้องเพลงกับเรา ทำให้อาการเกร็ง ตึง จากความเครียดเริ่มดีขึ้น คุณหมอพอใจมาก

ภาพรวมของดนตรีบำบัดในประเทศไทยเป็นอย่างไร

ภาพรวมของดนตรีบำบัดดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดมีภาควิชาเปิดให้เรียนในมหาวิทยาลัยมหิดล เรียนเพื่อเป็นนักดนตรีบำบัดโดยเฉพาะ แต่ไม่แน่ใจเรื่องข้อมูล เพราะครูมัยโตมากับแนวทาง anthroposophy โดยเฉพาะ เรามองมนุษย์และดนตรีในแบบที่เรามอง เราดีไซน์เนื้อหาและครีเอทกิจกรรม วิธีการบำบัดกับคนไข้ให้เหมาะสมที่สุด เลยไม่แน่ใจพวกหลักสูตรกระแสหลักเท่าไร แต่สะท้อนว่าประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญกับศาสตร์นี้แล้ว

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาดนตรีการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Life classroom
    ลูกจะนิสัยเหมือนฉันไหม: บุคลิกภาพและการส่งต่อทางสายเลือด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhoodLearning Theory
    THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน
Growth & Fixed Mindset
18 November 2019

ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • สาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กท้อแท้กับการเรียน อาจไม่ใช่ความยาก ความซับซ้อนของการบ้านหรือโครงงาน อย่างที่ครูเข้าใจผิดจนมอบหมายงานที่ง่ายเกินไปให้
  • จากการวิจัย หนึ่งในสามของเด็ก ม.2 ในสหรัฐ บอกว่างานที่ได้รับมอบหมายนั้นง่ายเกินไป จนไม่ได้เรียนรู้อะไร
  • ประโยชน์ของงานยาก คือ เหลาความคิด เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้จิตใจ แต่ควรอยู่ในระดับ ‘ยากเพียงพอ’ 

ความยากลำบากในห้องเรียนที่มาในรูปของการบ้าน โครงงาน หรือเนื้อหาโจทย์ซับซ้อนมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กท้อแท้กับการเรียน บางครั้งคุณครูจึงรู้สึกว่านักเรียนน่าจะโอเคมากกว่าถ้าให้งานที่ไม่ยากเกินไปนัก เด็กจะได้ทำสำเร็จด้วยตนเอง

แต่เมื่อปี 2012 ทีมวิจัยแห่งสถาบัน Center for American Progress วัดผลการประเมินประสิทธิภาพด้านการศึกษาแห่งสหรัฐ กลับพบว่า กว่าหนึ่งในสามของนักเรียนในระดับเกรด 8 (ชั้น ม. 2 บ้านเรา) มีความเห็นว่าเนื้อหาการสอนและการบ้านที่พวกเขาได้รับมอบหมายนั้นง่ายเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรในการเรียนรู้

รายงานนี้บ่งบอกว่าการศึกษากำลังสวนทางกับนโยบายที่มุ่งเน้นให้พัฒนาทักษะการคิดด้วย Growth Mindset ที่ต้องการดึงพลังศักยภาพผู้เรียนผ่านการขับเคี่ยวฝึกฝนให้เขาทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำหรือไม่ใช่ความถนัดเพื่อสร้างและขยายทักษะที่มีให้หลากหลาย กับทั้งฝึกให้พวกเขาเข้าใจว่าความผิดหวัง และข้อผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในความยากลำบากที่ทุกคนต้องเจอะเจอก่อนประสบความสำเร็จ

แอนนี บร็อค (Annie Brock) และ ฮีเธอร์ ฮันด์ลีย์ (Heather Hundley) ผู้เขียน The Growth Mindset Coach ย้ำว่าหากเด็กไม่เคยเจอความลำบากก็ยากที่จะเติบโตทางปัญญา คนเราถ้าไม่เคยเสี่ยงก้าวไปข้างหน้าด้วยตนเอง ไม่เคยล้มแล้วลุกขึ้นเอง แล้วจะซาบซึ้งกับระยะทางที่ตนเองเดินมาได้อย่างไร

ส่วนผสมของสูตรสร้างเสริมการเติบโตทางปัญญาคือการหยิบยื่นงานยากๆ ท้าทายทักษะความสามารถของเด็กๆ เพื่อเหลาความคิดให้เฉียบคมและเสริมเกราะใจให้กล้าแกร่งกับอุปสรรคขวากหนามในชีวิตจริง มากกว่าให้เขาสมหวังเพียงแค่รู้สึกเก่งสมบูรณ์แบบในชั้นเรียน

นอกจากบรรยากาศในชั้นที่ควรเอื้อให้กล้าคิดกล้าตอบ แผนการสอน รวมถึงการบ้านที่มอบหมายให้เด็กๆ ในชั้นควรออกแบบให้ ‘ยากเพียงพอ’ รวมทั้งต้องคาดหวังว่านักเรียนแต่ละคนจะมีพัฒนาการและประสบความสำเร็จเอาไว้ให้สูง ใน the Growth Mindset Coach สรุปสูตรสร้างการเติบโต หรือ A Formula for Growth ไว้ง่ายๆ อย่างนี้ 

บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ + งานที่ท้าทาย + ความเชื่อว่าเด็กจะทำได้ = การเติบโต

สอนคุณค่าและความหมายของความยากลำบาก

ไม่มีเด็กคนไหนอยากทำงานยากๆ โดยไม่รู้ว่าเขาจะได้อะไรกลับไป คุณค่าและความหมายไม่อาจถูกจับต้องมองเห็นได้ หากครูไม่ได้สื่อสารเป้าหมายให้เขาประจักษ์ตั้งแต่แรก ลองตั้งคำถามตามด้านล่างระหว่างเตรียมการสอนเพื่อเช็คตนเองดูว่าเราได้สอดแทรกความยากลำบากที่ท้าทายศักยภาพผู้เรียนเพียงพอแล้วหรือยัง 

  • เราเป็นครูที่เชื่อว่าเด็กๆ เรียนรู้ และพัฒนาได้ใช่ไหม
  • เด็กๆ มีเป้าหมายการเรียนรู้อย่างไรบ้าง และฉันจะทำอย่างไรให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย
  • ฉันคาดหวังให้เด็กเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้ และจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเข้าใจมันดีแล้ว 
  • ฉันจะสนับสนุนหรือไกด์อย่างไรที่จะช่วยกระตุ้นพวกเขาให้ตั้งคำถาม กล้าคิด และกล้าลงมือ 
  • นักเรียนกล้าหรือกลัวกับความยากลำบาก และเราจะกระตุ้นหรือส่งเสริมให้พวกเขากล้าอย่างไร
  • เด็กๆ เข้าใจคุณค่าและความหมายจากกระบวนการเรียนรู้หรือไม่ 
  • ฉันจะปรับการบ้านและโจทย์ให้ยากง่ายเหมาะสมกับแต่ละคนได้อย่างไร 
  • ทำอย่างไรให้นักเรียนในชั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกันและกันอย่างเกื้อกูล
  • นักเรียนมีตัวช่วยหรือแหล่งข้อมูลเสริมอื่นใดบ้างที่สามารถพึ่งพาเมื่อเจออุปสรรคปัญหา ฉันควรแนะนำแค่ไหนจึงจะพอดี
  • ฉันแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันมีความคาดหวังในงานของพวกเขาแล้วหรือยัง 

คำถามเหล่านี้อาจช่วยร่างภาพของชั้นเรียนในหัวได้บ้างว่าจะวางทิศทางการสอนแบบใด โดยเฉพาะถ้าพิจารณาถึงระดับการเรียนรู้ของแต่ละคนซึ่งถนัดเร็วช้าหนักเบาไม่เท่ากัน ความยากง่ายของงานที่ให้แต่ละคนรวมทั้งความคาดหวังที่มีก็ควรต้องปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคนตามไปด้วย  

หากเอ่ยกันตามตรงแล้ว เด็กๆ ควรหลุดพ้นจากห้องเรียนที่คาดหวังให้เขามีทักษะการเรียนรู้ระดับเดียวกันเสียที เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตอบหรือมีวิธีทำความเข้าใจแบบฝึกหัดหรือโจทย์ปัญหาได้เหมือนกันทั้งห้อง ที่เป็นไปได้คือครูควรสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่ช่วยกระตุ้นศักยภาพที่ทุกคนมีต่างกันได้อย่างเป็นธรรมสมเหตุสมผลกับแต่ละคน (equity) โดยเคี่ยวเข็ญผลักดันทักษะจำเป็นที่แตกต่างในแต่ละคนแทนที่จะใช้วิธีเดียวกันเหมือนกันกับทุกคน (equality) แล้วคาดหวังให้พวกเขาพัฒนาอย่างทัดเทียม

สอน Equality vs Equity ในห้องเรียน

Interaction Institute for Social Change | Artist: Angus Maguire, ‘Illustrating Equality vs Equity’, Jan 13, 2016

ความเท่าเทียม (equality) คือ การได้รับโอกาสทุกอย่างเหมือนกัน (sameness)

ความยุติธรรม (equity) คือ การได้รับโอกาสตามที่ต้องการอย่างเป็นธรรมสมเหตุสมผล (fairness) 

ภาพข้างต้นนี้นิยามความแตกต่างระหว่างความเท่าเทียมและความยุติธรรมได้อย่างหมดจดที่สุดว่า การได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกันทั้งหมดไม่อาจแก้ปัญหามากน้อยที่แต่ละคนมีได้เท่ากับการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับ ‘ผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง’ 

ในชั้นเรียนก็เช่นกัน จุดอ่อนจุดแข็งของเด็กแต่ละคนควรถูกนำมาพิจารณาประกอบการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรมกับเด็กทุกคน เพราะความถนัดและทักษะความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน คงจะดีกว่าถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุนที่ตรงกับความต้องการอันหลากหลายและท้าทายมากพอจะให้ทักษะความสามารถของเขากระเตื้องขึ้นจากเดิม

วิธีที่จะรู้ว่าแต่ละคนต้องการการสนับสนุนด้านไหนนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการถามตรงๆ ดังนั้น การเปิดชั้นเรียนโดยสร้างความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมและความยุติธรรมจะช่วยให้พวกเขาเปิดใจมองเห็นความหลากหลายของทักษะและกระบวนการทำความเข้าใจระหว่างเพื่อนในชั้นและตนเอง ผลที่ตามมาคือเขาจะไม่อายที่จะยกมือบอกครูว่าต้องการความช่วยเหลือด้านไหนเพิ่มเติม 

เรามีตัวอย่างแผนการสอนเชิงปฏิบัติแบบง่ายๆ ให้เด็กๆ รู้จักแยกแยะความแตกต่างระหว่างความยุติธรรมและความเท่าเทียมในห้องเรียนซึ่งคัดมาจาก The Growth Mindset Coach ดังนี้

จุดประสงค์การเรียนรู้: นักเรียนเข้าใจความแตกต่างของความเท่าเทียมและความยุติธรรม

อุปกรณ์ที่ต้องใช้: ลูกอม ปากกา กระดาษ ภาพประกอบ Equality vs Equity

ขั้นตอน    

  1.  แจกลูกอมให้นักเรียนคนละเม็ดจนครบทุกคน หลังจากนั้นอธิบายว่า 

“วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันเรื่องความเท่าเทียมกับความยุติธรรมกัน เด็กๆ ได้รับลูกอมคนละหนึ่งเม็ดเหมือนกันหมด นี่เรียกว่าความเท่าเทียมกันจ้ะ ความเท่าเทียมหมายถึงทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกันทุกอย่าง เช่นในตอนนี้ที่ทุกคนได้รับลูกอม 1 เม็ดเท่ากัน ” 

  1. แบ่งนักเรียนเป็นสองกลุ่ม ให้กลุ่มแรกเขียนบนกระดาษถึงเหตุผลที่ไม่อยากได้ลูกอม เช่น ‘กลัวฟันผุ’ ‘ไม่ชอบกินลูกอม’ อีกกลุ่มเขียนเหตุผลที่อยากได้ลูกอม เช่น ‘ถ้าเป็นของกิน ได้หมด!’ ‘ที่บ้านไม่ให้กิน นี่เป็นโอกาสดีที่ได้กินฟรีที่โรงเรียน’ ปล่อยให้เขารู้สึกสนุกกับการคิดสร้างสรรค์เหตุผล
  2. รวบรวมกระดาษที่ทุกคนเขียนแล้วแจกให้นักเรียนแบบคละกันไป ไล่ถามนักเรียนโดยให้ตอบครูตามโน้ตในมือว่าอยากได้ลูกอมหรือไม่เพราะอะไร รับฟังคนที่ปฏิเสธลูกอมตามปกติ เมื่อถึงนักเรียนที่ถือโน้ตว่าอยากได้ลูกอมพร้อมกับบอกเหตุผล ให้ครูถามเพื่อนในห้องให้ช่วยกันตัดสินใจว่าควรให้ลูกอมเพื่อนคนนี้กี่เม็ดจึงจะเหมาะสม เช่น ‘ถ้าเป็นของกิน ได้หมด!’ ทั้งชั้นเห็นว่าควรให้เพิ่มอีกหนึ่งเม็ด ส่วนเหตุผลที่บอกว่าที่บ้านไม่อนุญาตให้กินลูกอม วันนี้ได้กินลูกอมเป็นเรื่องราวดีๆ สำหรับเขา เพื่อนๆ ตกลงให้ลูกอมเพิ่มหลายเม็ดหน่อย
  3. เมื่อครบทุกคนแล้ว อธิบายว่า 

“รู้ไหมคะว่าการหยิบยื่นโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการมันจริงๆ เหมือนที่เมื่อสักครู่บางคนบ้างก็อยากได้และบ้างก็ไม่อยากได้ลูกอม และพวกเราช่วยกันคิดว่าคนที่ต้องการควรได้ไปกี่เม็ดดีถึงจะเหมาะกับความต้องการของเขา นี่แหละจ้ะเรียกว่าความยุติธรรม ครูอยากให้ห้องเรียนของเรามีความยุติธรรมแบบนี้ คนไหนที่ต้องการให้ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมตรงไหนเป็นพิเศษหรือมีบางอย่างที่พวกหนูยังไม่เก่ง ครูก็จะหาทางให้พวกเธอพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

อย่างบางคนอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจแต่ดูคลิปในยูทูบแล้วเข้าใจมากกว่า บางคนอาจรู้สึกว่าแบบฝึกหัดในหนังสือง่ายไป ครูก็จะหาอะไรที่ท้าทายใหม่ๆ มาให้ลอง ทั้งหมดนี้ขอให้เข้าใจว่าเพื่อนทุกคนในห้องหลากหลายแตกต่างและมีจุดที่อยากให้ครูช่วยไม่เหมือนกัน ดูอย่างสามคนนี้ที่อยากดูการแข่งขัน (ชี้ไปที่รูปประกอบ) เห็นไหมว่าทั้งสามสูงไม่เท่ากัน สำหรับคนที่สูงอยู่แล้วกล่องอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเขาเลยถ้าเทียบกับคนที่ตัวเล็กกว่า ในห้องเรียนก็เช่นกัน อย่าลังเลที่จะบอกครูว่าพวกหนูต้องการกล่องหรือไม่ อยากให้ครูช่วยด้านไหนบอกกันได้เสมอ” 

ความต้องการที่แตกต่างและระดับความยากง่ายที่เหมาะกับแต่ละคน

ผู้เรียนแต่ละคนมีวิธีเรียนรู้กันคนละแบบ อีกทั้งระดับความเข้าใจก็ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ผู้สอนต้องยืดหยุ่นในการถ่ายทอดความรู้และใช้สื่อการสอนที่เข้ากับความต้องการของแต่ละคน โดยยึด 3 องค์ประกอบมาพิจารณาในการถ่ายทอดความรู้ คือ 

เนื้อหา (content): เด็กต้องเรียนรู้อะไร 

กระบวนวิธี (process): ทำอย่างไรให้เด็กเรียนรู้

ผลงาน (product): พวกเขาจะอธิบายความเข้าใจให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร 

เด็กบางคนทักษะเขาไปไกลกว่าเพื่อนร่วมชั้นจึงต้องการความท้าทายที่ยากไปจากเดิมอีกขั้น ไม่อย่างนั้นการนั่งในชั้นเรียนที่รู้ดีอยู่แล้วจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เราขอแนะนำวิธีที่สามารถนำมาใช้พัฒนาเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

ในอีกมุมหนึ่งของชั้นเรียน แน่นอนว่าเรายังมีเด็กที่ตามไม่ทันเพื่อนและเก็บงำความวิตกกังวลไว้กับตัวเงียบๆ รูปแบบการอธิบายที่ครูควรทำคือแบ่งเนื้อหาและความท้าทายออกเป็นช่วงๆ ให้สั้นกระชับขึ้น ด้านล่างนี้คือวิธีที่สามารถช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้

ถ้าได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ถึงยากก็อยากลอง

เซอร์เคน โรบินสัน (Sir Ken Robinson) นักวิจัยด้านการศึกษาได้กล่าวไว้เมื่อครั้งเป็นวิทยากรแห่ง TED Talk ปี 2006 ว่าจุดบอดของการศึกษาในปัจจุบันอยู่ที่การสอนแบบ ‘โรงงานอุตสาหกรรม’ ที่ผลิตทุกคนให้ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกัน แทนที่จะให้ “เยาวชนเป็นตัวของตัวเองอย่างสร้างสรรค์ และแสดงความสามารถที่เป็นตัวเองให้โลกเห็นอย่างเสรี”

เพราะเด็กต่างมีแนวทางการเรียนรู้ ความชอบ passion ที่แตกต่าง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่จะตอบโจทย์อิสระการเรียนรู้ที่มีในเด็กทุกคนได้จึงต้องสะท้อนจากเสียง และการเลือกที่จะเรียนรู้ของเด็กโดยตรงเป็นสำคัญ

นี่จึงเป็นที่มาของการเพิ่ม personalized learning และ student-led learning หรือการเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อสร้างแรงจูงใจเพิ่มเข้าไปในหลักสูตร โดยประเด็นนี้เคยถูกกล่าวถึงโดย เดเนียล พิงค์ (Daniel Pink) นักคิดและนักเขียนชื่อดังระหว่างการบรรยายเรื่อง ‘The Puzzle of Motivation’ ใน TED Talk ปี 2010 ว่าอิสรภาพที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ (autonomy) คือแรงขับที่นำไปสู่การเรียนรู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่และกล้าเผชิญกับความท้าทาย

แม้แต่ แครอล ดเวค (Carol Dweck) ผู้คิดค้นทฤษฎี Growth Mindset เองก็เห็นด้วยว่าแนวทางนี้เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เข้าท่าในแง่ที่เด็กๆ สามารถตระหนักถึงคุณค่าความหมายของความรู้ และกระตือรือร้นกับความท้าทายที่มาจากความต้องการของเขาเอง

ว่าแล้วโรงเรียนต่างๆ ก็เริ่มนำหลักการนี้มาผสมผสานในชั้นเรียนเป็นรูปแบบของวิธีการเหล่านี้

เรียนตามอัธยาศัย 20 เปอร์เซ็นต์ (20% time) สำหรับนักเรียนแล้ว 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่โรงเรียนให้เขาใช้มันเพื่อเรียนรู้ตามความชอบอย่างเสรี นอกจากช่วยเขาหลุดจากกรอบไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ยังต่อยอดให้การเรียนรู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนอกห้องเรียน 

โปรเจ็คท์ตามใจฉัน (passion project) เปิดโอกาสให้เด็กๆ ตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง โดยเริ่มจากสำรวจว่าตนเองรู้อะไรแล้วบ้าง และต้องการศึกษาเพิ่มเติมตรงไหนจากนั้นร่วมกันวางแผนค้นหาคำตอบ ตั้งแต่ลงมือกำหนดทิศทางโครงงานที่จะศึกษา ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ไปจนถึงทบทวนแลกเปลี่ยนอุปสรรคปัญหาที่เจอระหว่างกันเอง

ชั่วโมงสร้างอัจฉริยะ (genius hour) กันหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ให้เด็กๆ เอาไปเรียนรู้สิ่งที่ตนต้องการอย่างเสรี เช่น เลี้ยงลูกนกที่เก็บได้ หรือทำขนมที่ชอบ เมื่อจบเทอมก็มาแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ โดยออกมาเล่าเรื่องหรือทำคลิปวิดีโอเป็นเรื่องราว ครูมีหน้าที่แนะแนวหรือกระตุ้นตั้งคำถามให้เด็กสังเกตและค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม

การเรียนรู้แบบสืบเสาะ (inquiry-based learning) ทิศทางการเรียนรู้อยู่ในมือเด็กๆ โดยปราศจากการชี้นำใดๆ จากผู้สอนนอกจากกระตุ้นให้พวกเขาสงสัยใคร่รู้ ตั้งคำถามและหาคำตอบสิ่งที่อยากรู้นั้นด้วยตัวเอง ครูขานรับคำตอบที่ได้จากการเรียนรู้นั้นด้วยคำถามต่อไปอีก การเรียนรู้จะเกิดจากกระบวนการเชื่อมโยงจนตกผลึกเป็นคำตอบและความกระจ่างใจ

นอกจากวัตถุประสงค์ด้านแรงจูงใจ การเรียนรู้ตามอัธยาศัยยังช่วยขับเน้นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็กๆ ทั้งหลายให้ปรากฏชัดขึ้น อีกทั้งปลดล็อคมาตรฐานการสอนแบบเดิมที่ครูมักใช้บรรทัดฐานเดียวกันขีดเส้นวัดทักษะความสามารถที่ต่างกันของนักเรียน เด็กไม่รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะไม่เข้าพวกกับกลุ่มหัวกะทิแล้วเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง 

พลังความคาดหวังของครูผู้สอน

งานวิจัย Pygmalion Effect อันเลื่องชื่อของ โรเบิร์ต โรเซนธัล (Robert Rosenthal) อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยาแห่ง University of California, Riverside บอกไว้ว่า ความคาดหวังของครูยิ่งตั้งไว้สูงเท่าไหร่ นักเรียนยิ่งพัฒนาทักษะและทำคะแนนได้ดีเท่านั้น เนื่องจากครูที่มีความคาดหวังในตัวนักเรียนมีปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของนักเรียนอยู่ 4 ประการคือ 

  1. บรรยากาศการสอน (climate) อากัปกิริยาของครูที่มีต่อนักเรียนที่ตนคาดหวังจะอบอุ่น เป็นกันเองมากกว่า เช่น สบตา พยักหน้ารับ ยิ้ม ตบหลัง
  2. ความตั้งใจ (input) ครูจะทุ่มเทเวลาและตั้งใจสอนนักเรียนที่ตนคาดหวังอย่างเต็มที่
  3. เรียกให้ตอบ (output) ครูมักเรียกให้นักเรียนที่ตนคาดหวังตอบ โดยมั่นใจว่าเขาจะตอบได้
  4. ปฏิกิริยาตอบรับ (feedback) ครูมีปฏิกิริยาตอบรับนักเรียนที่ตนคาดหวังไว้ในทางที่ดี เช่น เอ่ยชมเชยมากกว่าแจกแจงจุดบกพร่อง 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้สอนอาจไม่รู้ตัวว่าอากัปกิริยาท่าทางที่ส่งผ่านไปยังเด็กแต่ละคนในชั้นเรียนบอกหมดว่ามีความคาดหวังในตัวนักเรียนเหล่านั้นหรือไม่ หรือไม่เคยมองเห็นแววในตัวพวกเขาเลย และการสื่อนัยยะอย่างหลังนี้เองที่บั่นทอนความพยายามและความกระตือรือร้นในชั้นเรียนให้หมดลง ดังนั้น การจะขับเคี่ยวให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน ครูต้องสร้างมวลพลังความคาดหวังให้สูงพอและส่งตรงไปให้นักเรียนทุกคนรับรู้อย่างทั่วถึง 

ลองนำวิธีกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยการตั้งความคาดหวังผ่านปัจจัยทั้ง 4 ข้อของอาจารย์โรเซนธัล ด้านล่างนี้ไปใช้ในห้องเรียนดู 

การปลูกฝัง Growth Mindset กำลังใจมีส่วนสำคัญ เด็กๆ ทุกคนย่อมอยากเป็นคนเก่งของพ่อแม่และเฝ้ารอให้ผู้ใหญ่มองเห็นเวลาเขาทำบางอย่างได้ดี การเอ่ยคำชื่นชมเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ควรต้องเน้นที่ความมานะพยายามมากกว่าใช้พร่ำเพรื่อมันทุกสถานการณ์จนเขาไม่รู้สึกพิเศษกับมันอีกต่อไป

ต้นกล้าจะเติบใหญ่ขึ้นได้ก็ด้วยส่วนผสมของบทเรียนที่ท้าทายความสามารถ บวกกับพลังความเชื่อมั่นคาดหวังอย่างแรงกล้า และเสียงสะท้อนจากครูที่จะช่วยชี้ให้พวกเขาเห็นว่ามีจุดบกพร่องตรงไหนสามารถสร้างเสริมเติมแก้ให้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง

เด็กทุกคนรอคอยโอกาสเปิดเผยอัจฉริยภาพที่ซ่อนอยู่ให้โลกรู้ ขอเพียงครูกล้าหยิบยื่นโอกาสให้เขาก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน ได้ลองฝึก ลองทำ ลองผิดพลั้ง ลองฮึดสู้ และไม่กลบฝังศักยภาพเขาด้วยความสำเร็จลวงตาที่ได้มาง่ายๆ ไปเสียก่อน

หมายเหตุ: เรียบเรียงจาก
Hundley, A. B. (2016). We Love a Challenge! In The Growth Mindset Coach (pp. 95-116). Berkeley,CA: Ulysses Press. 

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindset

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน
Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
15 November 2019

EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

เรื่อง The Potential

  • ความจำใช้งาน การเปลี่ยนหรือยืดหยุ่นความคิด และ การหยุดยับยั้ง เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานร่วมกัน จะกลายเป็นเสียงในหัว คอยบอก วิเคราะห์ ทบทวน ตัดสินใจด้วยตัวเอง นี่คือ EF
  • คีย์เวิร์ดของ Grit คือความอดทน ยืนกราน และไม่ยอมแพ้ที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ‘ความหลงใหล’ และ ‘ในระยะยาว’
  • ส่วน Growth Mindset “ทักษะที่ฝึกให้เกิดได้” เป็นความคิดที่เชื่อว่า ‘ปัญญา’ ของตัวเองพัฒนาได้ ยืดหยุ่น เพียงพอจะแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้เสมอ
ภาพประกอบ: นันท์ณิชา ศรีวุฒิ

EF, Grit และ Growth Mindset คือสามเรื่องสำคัญ ที่ไม่ใช่แค่คนใกล้ตัวเด็ก อย่าง พ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง ฯลฯ เท่านั้นที่ควรรู้ แต่เด็กเองถ้าได้รู้ถึงพลังอันแท้จริงของสมอง ก็น่าจะไม่ต่างอะไรกับการให้เครื่องมือการทำงานที่ถูกชิ้น ถูกที่และถูกทาง

จนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

EF: เราเป็นคนโง่ หรือคนที่กำลังรอการบ่มเพาะ?

“ทำอะไรไม่เคยเข้าที่เข้าทาง”
“จัดการตัวเองหน่อยได้ไหม ทำไมต้องคอยให้ฉันมาตามแก้ไขตลอดเลย”

ถ้าตอนเด็กๆ เมื่อถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำเช่นนี้ อย่างมากเราคงนอนร้องไห้ เก็บความทุกข์ไว้ในใจและโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่พออายุแตะเข้าเลข ‘วัยรุ่น’ จากที่เคยยอมก็กลายเป็นการปะทะและใช้อารมณ์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งมวลนี้มีคำอธิบาย และเป็นคำอธิบายที่ไม่ใช่การบอกว่า “เธอมันโง่และเลือดร้อน” หรือกล่าวหาว่า “เธอมันเป็นคนผิด” แต่คือคำอธิบายที่ว่า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดกับมนุษย์ทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและเป็นพัฒนาการทั่วไปของมนุษย์

ชวนพ่อแม่ ครู หรือวัยรุ่นทั้งหลาย หายใจเข้าลึกๆ และไปทำความเข้าใจกระบวนการเติบโต ทำความรู้จักกับสมองของเรา ไม่ว่าจะส่วน ความจำใช้งาน, การเปลี่ยนหรือยืดหยุ่นความคิด และ การหยุดยับยั้ง เพราะเมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานร่วมกันแล้วจะกลายเป็นเสียงในหัวเรา คอยบอก วิเคราะห์ ทบทวน ตัดสินใจ ‘ด้วยตัวเอง’ ฟังดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษาบอกว่านี่คือระบบปฏิบัติการทางสมองขั้นเทพ

คลิกอ่านและดาวน์โหลดบทความได้ที่นี่: EF

Grit: เส้นบางๆ ระหว่างความอดทนระยะสั้น กับ ความเพียรในระยะยาว

หลายครั้งเราสงสัยว่าทำไมคนที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งถึงทำมันได้อย่างง่ายดายราวกับมีคนหยิบมอบพรสวรรค์ให้ แต่ไม่ว่าคุณจะคิดว่า ‘พรสวรรค์’ คืออะไร ไม่ว่าคุณเป็นคนเรียนรู้ได้ง่ายและเร็วขนาดไหน อย่างไรก็ตามก็ต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้ และการทำแบบนี้ไม่เคยมีทางลัด

แต่คีย์เวิร์ดของ Grit ไม่ใช่ความอดทนกับโปรเจ็คต์ระยะสั้นราวเดือน สอง หรือสามเดือน แต่คือความอดทน ยืนกราน และไม่ยอมแพ้ที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ‘ความหลงใหล’ และ ‘ในระยะยาว’ สิ่งนั้นอาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปี พูดให้ชัดคือ Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ ไม่ใช่ทุกคนเกิดมาแล้วมีความมานะพยายามมาตั้งแต่เกิด แต่คือ ‘ทักษะ’ และ ‘คาแรคเตอร์’ ซึ่งพอพูดว่าเป็นทักษะ นั่นหมายถึงมันไม่ได้เกิดได้เพียงเพราะรู้จักว่ามันคืออะไร แค่คือการฝึกให้ปรากฏขึ้นในเนื้อตัวและหยิบใช้มันโดยอัตโนมัติ

ชวนพ่อแม่ ครู หรือวัยรุ่นกำลังจะยกธงขาวยอมแพ้ให้กับความล้มเหลวที่เจอ ลุกขึ้นทำความเข้าใจ Grit และพูดกับตัวเองว่า “ได้สิ ไม่เป็นไร ความล้มเหลวเป็นแค่หนึ่งในกระบวนการ”

คลิกอ่านและดาวน์โหลดบทความได้ที่นี่: Grit

Growth Mindset: รู้สึกไหม ว่าตัวเองโชคดี?

คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่รู้จะผ่านสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปยังไงไหม หากจังหวะนั้นมีใครสักคนเดินมาบอกคุณด้วยน้ำเสียงและสายตาเชื่อมั่นจริงๆ ว่า “เฮ้ย ไม่เอานะ เราเชื่อว่าแกทำได้” แม้ปัญหายังไม่คลี่คลาย แต่คุณก็รู้สึกแล้วใช่ไหมว่า มันต้องมีบางอย่างดีขึ้น อย่างน้อยก็คือความรู้สึกของคุณ…ซึ่งนี่คือพลังแห่งความเชื่อมั่น

การมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่าง ‘ผู้โชคดี’ คล้ายกับการสวมแว่นตาแห่งความคิดสร้างสรรค์ ช่างสังเกต และ ลงมือทำทันทีเมื่อโอกาสมาถึง หรือกล่าวได้ว่า คนเหล่านี้มักมีทัศนคติที่มักมองเรื่องต่างๆ ว่าเป็น ‘โชคดี’ คอยเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้เสมอ — การอยู่ใกล้คนแบบนี้มากๆ เราเองก็รู้สึกได้รับการแบ่งปันพลังงานบวกไว้ด้วย ต่างกับอยู่กับ ‘ผู้โชคร้าย’ ที่จะทำให้โลกของเราคล้ายเหี่ยวเฉา

ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ ‘ผู้โชคร้าย’ กับ ‘ผู้โชคดี’ มองต่างกัน การเลือกกระทำการเพื่อแก้ปัญหาต่อสถานการณ์ตรงหน้าต่างกัน ผลลัพธ์จึงต่าง สำคัญที่สุด ความรู้สึกภายในต่อทั้งตัวเองและต่อคนอื่น ก็หม่นหมองลงไปด้วยแต่หากใครที่เป็นคนมองโลกในแง่ลบ หรือเข้าข่าย Fixed Mindset อยู่เสมอ

ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อปูเข้าความหมายของ Growth Mindset หรือ กรอบคิดเติบโต Growth Mindset ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่คือ “ทักษะที่ฝึกให้เกิดได้” เป็นความคิดที่เชื่อว่า ‘ปัญญา’ ของตัวเองพัฒนาได้ ยืดหยุ่น เพียงพอจะแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้เสมอ

ดังนั้นจากที่เคยถามว่า หากเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แล้วมีสักคนที่เดินมาบอกกับเราว่า ‘ฉันทำได้’ ‘ฉันไปถึงจุดนั้นได้’ แค่นี้ก็ทำให้เราชนะไปครึ่งทางแล้ว

คลิกอ่านและดาวน์โหลดบทความได้ที่นี่: Growth Mindset

Tags:

เทคนิคการสอนGrowth mindsetGritEFครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน
Unique Teacher
14 November 2019

อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เป็นเวลา 3 ปี ที่ อานันท์ นาคคง ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีประจำปี 2562 เรียนรู้ดนตรีในพื้นที่แห่งความขัดแย้งเพราะอาศัยกับครอบครัวนักดนตรีเขมรอพยพกลับบ้านไม่ได้ ผู้อพยพชาติอื่นๆ เช่น ลาว เวียดนาม ก็ปะปนอยู่ด้วย
  • เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เขาอยากสอนวิชา World Music ให้กับเด็กๆ หรือเปิดพื้นที่ให้กับดนตรีชาติพันธุ์ และความสนุกสร้างสรรค์รายรอบดนตรีเพื่อเรียนรู้มนุษย์และสังคม 
  • ในคลาสของอาจารย์มีทั้งการศึกษาเรื่องกะเทยผ่านเพลงลูกทุ่ง ดนตรีชาตินิยมที่สร้างมายาคติเพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน ไปจนถึงการสำรวจเวทีลิเกในงานวัด
  • หนึ่งในการวัดผลนักศึกษาคือการเปิดคำตอบแล้วบอกให้นักศึกษาช่วยเขียนคำถามให้ได้เยอะที่สุด เพราะชีวิตนี้นักศึกษาตอบกันมาเยอะแล้ว

ชั้นเรียนที่มีครูพาเด็กนักเรียนออกนอกห้อง ไปเที่ยวงานวัด งานบุญ เวทีลิเก วันดีคืนดีก็เลคเชอร์เรื่องเพลงสาวดอยคอยปี้ และ พระรถเมรี ของ กระแต อาร์สยาม หรือจัดทอล์คโชว์จากปรากฏการณ์เพลงประเทศกูมี ชวนให้ตั้งคำถามว่าเจ้าของคาบคนนี้สอน ‘ดนตรี’ ในสไตล์ไหนกันแน่

อานันท์ นาคคง หรือ ครูหน่อง มีผลงานทางดนตรีหลากหลายรูปแบบทั้งในประเทศและระดับโลก เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สอนวิชามานุษยวิทยาดนตรีเบื้องต้น ดนตรีโลก ดนตรีอาเซียน การศึกษาภาคสนามทางมานุษยวิทยาดนตรี และดนตรีวิจารณ์ เขาเป็นศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีประจำปี 2562 เป็นกรรมการบริหารวงดุริยางค์อาเซียน-เกาหลี (ASIA Traditional Orchestra) เป็นผู้อำนวยการดนตรีของวง C Asean Consonant (วงดนตรีอาเซียนที่รวบรวมเยาวชนในภูมิภาคมาทดลองเล่นดนตรีเพื่อการอยู่ร่วมกันในอนาคต) ที่ปรึกษางานสร้างภาพยนตร์โหมโรง, From Bangkok to Mandalay และเป็นผู้ผลิตงานดนตรีสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่เพลงประกอบละครเวที ประกอบภาพยนตร์ งานวิจัยมานุษยวิทยาดนตรี งานนาฏกรรมร่วมสมัย สื่อผสมหรือศิลปะการจัดวางเสียง (sound installation)

ครูหน่อง-อานันท์ นาคคง

ยกตัวอย่างคร่าวๆ ว่างานศิลปะการจัดวางเสียงของเขาชื่อ ‘สินบนกรุงเทพ’ (Bangkok Bribe) เคยจัดแสดงที่หอศิลปฯ กรุงเทพมหานคร อานันท์นำเครื่องอัดเสียงไปวางที่มุมสี่มุมของพระพรหมเอราวัณแถบสี่แยกราชประสงค์ เพราะต้องการบันทึกว่าพระพรหมได้ยินเสียงอะไรบ้าง

“ข้างบนพระพรหมมีรถไฟฟ้าวิ่งฉิว ได้ยินเสียงจากเซ็นทรัลเวิลด์ ได้ยินเสียงของโรงพยาบาลตำรวจที่มีคนตายวิ่งผ่านไป จริงๆ แล้วหูของพระพรหมละเอียดมาก แต่ทำไมเลือกที่จะช่วยแต่พวกที่มาติดสินบน เราเลยตีความว่าพระพรหมคือเทพเจ้าแห่งคอร์รัปชัน สังคมติดสินบนไม่ได้อยู่แค่ในหน่วยงานราชการ อำนาจหน่วยงานในกรมกอง เพราะแม้แต่เทวดาก็ยังเป็นเลย แล้วคุณจะมาหวังอะไรกับสังคมจริงๆ”

หลังจากที่จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาดุริยางคศิลป์ไทยด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) เขาได้รับทุนการศึกษาปริญญาขั้นสูงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2535 เพื่อศึกษาต่อที่ School of Oriental and African Studies (SOAS) สำนักบูรพาคดีและแอฟริกันศึกษา มหาวิทยาลัยลอนดอน ด้านมานุษยวิทยาดนตรี (Ethnomusicology) เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เรียนและรู้จักดนตรีที่กว้างขวางออกไป โดยเฉพาะดนตรีที่ถูกผลกระทบจากสงคราม

เขาไปเป็นหนึ่งในสตาฟขององค์กรที่ดูแลผู้อพยพชาวเวียดนาม ลาว กัมพูชา พลัดถิ่น และพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของครูดนตรีกัมพูชาที่กลับแผ่นดินเกิดไม่ได้ เขาใช้ชีวิตคลุกคลีกับคนดำ คนจีน คนอินเดีย คนมุสลิม และพังค์ ตกตะกอนเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้อานันท์กลับมาเปิดวิชา ‘ดนตรีโลก’ World Music ขึ้นในสถาบันต่างๆ ที่เขาไปใช้ชีวิตครู เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้จักความแตกต่างของมนุษย์ด้วยดนตรี ทำกิจกรรมเปิดพื้นที่ให้เด็กได้สัมผัสความพิเศษของดนตรีชาติพันธุ์ ทำงานวิจัยและสร้างงานวิชาการดนตรีเพื่อเรียนรู้มนุษย์และสังคม

“กลับมาจากอังกฤษ แล้วเป็นครู ก็สามารถช่วยให้เราสื่อสารความรู้ทางมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นเรื่องแตกต่างไปจากวิชาการแสดงดนตรีหรือดนตรีศึกษา ช่วยทำหน้าที่บันทึกดนตรีชนเผ่า พูดเรื่องดนตรีอะไรบางอย่างที่มหาวิทยาลัยอาจมองข้าม ที่ผมทำกิจกรรมดนตรีชาติพันธุ์แบบจริงจัง ส่วนหนึ่งก็เป็นแรงขับมาจากการใช้ชีวิตอยู่กับผู้อพยพหลังสงคราม อยู่กับพวกชาติพันธุ์ที่เป็นคนแปลกแยกในสังคมอังกฤษ ผมเปิดห้องเรียนเถื่อนในเฟซบุ๊ค (ห้องเรียนเพลงดนตรีอาเซียน) ให้ความรู้แก่คนอ่านหน้าจอทุกวัน ผมจัดรายการวิทยุดนตรีโลก สร้างเวทีดนตรีออนไลน์ให้คนมาเสพบ่อยๆ มีพื้นที่ให้เสียงแคน เสียงฆ้อง ถึงคนจะไม่ฟังในทันที ไม่ติดหูในทันที แต่อย่างน้อยในบางขณะเขาอาจจะรับรู้คุณค่าบางอย่างจากมันได้”

แม้จะออกตัวว่าเขาอาจจะไม่ใช่ครูสอนดนตรีที่ดีด้วยซ้ำ เพราะทำงานดนตรีหลากหลายมากกว่าชีวิตครูในห้องเรียน ไม่เคยเรียนเกี่ยวกับการสอนดนตรีมาโดยตรง หรือไม่มีวุฒิครูตามระบบที่ควรจะเป็น แต่วิธีการมองโลกและการใช้ศาสตร์มานุษยวิทยาดนตรีเข้ามาสอนและสร้างสรรค์ดนตรีในรูปแบบที่ deconstruct นั้นน่าสนใจ นำไปสู่คำถามใหม่ว่าเราสอนดนตรีกันไปเพื่ออะไรกันแน่ มันสามารถไปไกลถึงการทำความเข้าใจมนุษย์และวิถีการอยู่ร่วมกันในสังคมได้หรือเปล่า

 เรียนดนตรีผ่านสิ่งที่ไม่ใช่ดนตรี

อาจารย์เติบโตมากับการเรียนดนตรีแบบไหน

ผมรู้จักดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เรียนดนตรีไทยในห้องเรียน กว่าจะอ่านโน้ตเป็นคือตอนเข้ามหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาคือเราเก็บความรู้ด้วยหู พ่อแม่เป็นครูช่าง มีลูกศิษย์มาตั้งวงเล่นเครื่องสายกัน ซึ่งไม่มีใครเล่นเก่งเลย เพี้ยนมาก แต่เรารู้สึกแฮปปี้ ผมมีครูที่เป็นช่างเหมือนกัน ชื่อครูวัน อ่อนจันทร์ เป็นช่างไม้ ช่างทำเครื่องดนตรี บ้านอยู่ในสวนบางขุนศรี ต้องเดินลุยท้องร่องไปหาครูที่บ้าน เป็นคนที่ทำให้ผมสัมผัสดนตรีที่ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ คือเราได้เล่นดนตรีจากงานช่าง เมื่อเช้านี้มันยังเป็นท่อนไม้อยู่เลย แล้วครูก็เอาไม้เข้าเครื่องกลึง แล้วฉับพลันก็เนรมิตรซอขึ้นมาได้ เหมือนเล่นกล ถึงครูเขาจะสอนดนตรีตามระบบไม่เป็น แต่สอนให้เรารู้จักสิ่งที่มันงดงามกว่านั้นคือ ซอคันนี้ จะเข้ตัวนี้ โทนใบนี้ทำมาจากต้นไม้ชื่ออะไร เติบโตที่ป่าแถวไหน ไม้อายุกี่ปี เราเห็นไม้โดนตัดมา โดนเลื่อย โดนขุด โดนกลึงจนกลายร่าง แล้วเราก็ได้ลองเสียงจากท่อนไม้ท่อนนี้ 

ครูผมไม่มียูนิฟอร์มเพราะเป็นช่าง ถอดเสื้อทำงาน แต่งตัวเขรอะๆ แล้วก็สีซอแบบกระโชกโฮกฮากอย่างที่เรียกว่าพูดภาษาชาวบ้าน ไม่ได้มีจริตเหมือนนักดนตรีราชสำนัก แต่เราสนุกกับการติดตามครูไปในสถานที่ต่างๆ ไปเล่นในวัด ในตลาด ในสวน ผมรู้จักความเป็นวงดนตรีที่อบอุ่นจากเพื่อนครู ลุง ป้า น้า อา ที่มาซ้อมกัน การเล่นดนตรี 5 นาที ก็คือ 5 นาทีที่ผู้ฟังกับผู้เล่นอยู่ด้วยกัน ดนตรีมีหลายๆ มือมาช่วยกันตีฉิ่ง ตีกลอง สีซอ ตีระนาด เล่นคนละลีลา แต่ทุกคนแคร์กัน แล้วมันเป็นครอบครัว อบอุ่นมาก

เราเรียนรู้ว่าดนตรีมันเป็นพื้นที่จำลองของสังคมสันติสุข ที่คนแตกต่างมาอยู่ด้วยกันได้ คนแก่หรือเด็กเล่นด้วยกันได้ มันเป็นสวรรค์เล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีคอนเสิร์ตฮอลล์ เราอยู่ในบ้านครูที่รกๆ มีขี้เลื่อยเต็มไปหมด แต่มันทำให้เราลืมทุกข์โศก ขจัดความกังวลต่างๆ ไปได้

จากนั้นมีการต่อยอดการเรียนรู้ดนตรีนอกห้องเรียนอย่างไร

หลังจากเรียนเครื่องสายกับครูวัน ช่วงมัธยมปลายผมไปเรียนปี่พาทย์กับครูเป๋ สมหมาย สุวรรณวัฒน์ บ้านอยู่ในสลัมหลังวัดกัลยาณมิตาวาส ครูสอนไปเรื่อยๆ ในวิถีทางของปี่พาทย์ เริ่มจากเพลงสาธุการไปเป็นโหมโรงเช้า โหมโรงเย็น ผมเดินเข้าไปในสลัมฯ ทุกเย็นหลังเลิกเรียน อยู่จนดึกแล้วก็กลับบ้าน เคยถูกรีดไถ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่เราจะเลิกเรียนปี่พาทย์ ผมกลับเห็นเสน่ห์อีกหลายอย่างที่เสียงดนตรีไทยอยู่ในชุมชนแบบนี้ ที่มันต่างจากคตินิยมว่าดนตรีจะต้องเป็นสมบัติของราชสำนักหรือคนชั้นสูง

ครูพาผมไปออกงานเยอะ ไปงานศพ งานบวช งานแห่นาค ทำขวัญนาค จนถึงไปช่วยเล่นดนตรีแก้บน ไปเล่นให้สำนักทรงเจ้า เห็นเจ้าร่ายรำกับเพลงปี่พาทย์ เห็นคนเมาคนบ้ามาร้องรำทำเพลงอย่างสนุก ได้เห็นความหลากหลายของคนที่มาสัมผัสโลกดนตรีที่ไม่ใช่แค่นั่งเรียบร้อยฟังกันในโรงคอนเสิร์ตเท่านั้น

ทุกคืน ผมกลับบ้าน ไม่ใช่ว่าจะหยุดเรียนรู้ดนตรี ผมเปิดวิทยุ ฟังรายการดนตรีไทยตอนดึกๆ ฟังสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยที่มีรายการบรรเลงสดจากวงดนตรีไทยสมัครเล่นมากมาย ผมคิดว่ามันคือการขยายโลกทัศน์ในการเรียนด้วยหูที่สำคัญมาก ไม่แพ้การเล่น การฝึกซ้อม หรือออกงานแสดง ทักษะการฟัง เป็นสิ่งที่ผมฝึกมากไม่แพ้การเล่นดนตรี

ต่อมาผมเดินทางไกลมากขึ้น ไปดูเขาเล่นเพลงพื้นบ้านต่างจังหวัดที่มี พี่เอนก นาวิกมูล ตั้งกลุ่มศึกษาเพลงพื้นบ้าน ผมก็เข้าไปร่วมด้วย ไปช่วยงานบันทึกเสียงเพลงพื้นบ้านในหลายจังหวัดมาก ได้ยินกลอนเพลงจากพ่อเพลงแม่เพลงชั้นยอดที่เป็นกวีชาวบ้านร้องโต้กันสดๆ 

การเรียนดนตรีในสมัยปัจจุบันดูเหมือนจะแตกต่างจากสิ่งที่เล่ามา?

ผมโตมาแบบนักดนตรีสมัครเล่น เล่นเพราะสนุกที่จะเล่น ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นมืออาชีพ ครูก็ให้อิสระ พ่อแม่ก็ไม่ได้บังคับ และไม่ได้เข้าไปเรียนดนตรีในหลักสูตรอะไร แต่ทุกวันนี้ ตามโรงเรียนเขามีหลักสูตรดนตรีจริงจัง มีห้องเรียนดนตรี มีเครื่องดนตรีดีๆ ซื้อมาตามงบประมาณ ต้องเรียนทุกอย่างเลยซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักเกินไปหรือเปล่า

ดนตรีก็มีทั้งสอนทางตรงกับสอนแบบแฝง ทางตรงคือต้องเข้าใจว่าเล่นดนตรียังไง ไม่ใช่แค่เอาดนตรีไปใส่ในหลักสูตรการศึกษาแล้วจะประสบผลสำเร็จ แต่พออยู่ในระบบการศึกษาแล้วก็ต้องมีนโยบายของชาติมากำกับมากมาย เช่น บังคับว่าเด็กนักเรียนต้องเล่นดนตรีไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันเป็นความวิบัติที่สุดแล้วเพราะดนตรีเป็นทางเลือกของมนุษย์ ไม่ได้ถูกสร้างให้มาเล่นแบบเกณฑ์ทหาร ให้ครบกองร้อยกองพัน ต้องนับจำนวนเพื่อทำยอดให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้สนใจว่าคุณภาพดนตรีมันจะสัมพันธ์กับปริมาณไหม แล้วดนตรีที่คุณเล่นมันไทยจริงหรือเปล่า หรือการเล่นดนตรีไทย 100 เปอร์เซ็นต์ มันพิสูจน์ความรักในดนตรีได้จริงแท้แค่ไหน

บริบทของสังคมมีผลต่อสถานะและบทบาทของดนตรีอย่างไร

สังคมเปลี่ยนแปลงไป ใครบางคนคิดมายากลใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อทำให้ดนตรีกลายเป็นสิ่งน่าเคารพ น่าเกรงขาม ต้องไปฟังดนตรีบริสุทธิ์ในคอนเสิร์ตฮอลล์เท่านั้นถึงจะเรียกว่ามีรสนิยมทางดนตรี การที่จะมีสิทธิในการเดินเข้าไปในพื้นที่นั้น คุณต้องยอมรับในจารีตอะไรบางอย่างก่อน เช่น ยอมรับในประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่พวกนักวิชาการสร้างขึ้น ต้องมีศรัทธาในบารมีของวงดนตรีวงนี้และจงรักภักดีต่อวาทยากรท่านนี้ ต้องมีกิริยามารยาทที่วางท่าเป็นผู้ดี ต้องแต่งตัวไปดูคอนเสิร์ตอย่างประณีต และมีค่าใช้จ่ายแพง ทำไปทำมา การศึกษาของคนกับเรื่องดนตรี กลายเป็นการปลูกฝังความฟุ้งเฟ้อ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับดนตรีเหล่านี้ และการคิดอยู่แต่เพียงดนตรีคลาสสิกเท่านั้น ก็คือการจำกัดให้ดนตรีอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน

ซึ่งนั่นคือการปลูกฝังที่แคบด้วย เพราะคนที่เรียนดนตรีส่วนใหญ่เขาไม่ออกมาเล่นที่ข้างถนนหรอก เขาก็จะเล่นในห้องที่ปิด มีรั้วรอบขอบชิด อาจมีที่เก็บเสียงด้วย เครื่องดนตรีที่เล่นก็ต้องมีราคาแพงเพราะว่าต้องเล่นให้ได้โน้ตที่ดีที่สุด และเล่นตามคำสั่ง โน้ตนี้ คีย์นี้ ไม่ต่างอะไรกับคนกินยา เพราะเขาต้องมีทักษะและความรู้ความเข้าใจดนตรีที่ค่อนข้างจะลึกซึ้งและโดดเด่นมากพอที่จะแยกระหว่างตัวเขากับคนอื่นที่ร้องได้ไม่เพราะเท่าเขา เพี้ยนกว่าเขา หรือจิ้มเครื่องดนตรีแล้วไม่จับใจเท่าเขา ต้องใช้ดนตรีทำมาหากินซึ่งคำว่าทำมาหากินเป็นคำที่โหดร้ายในโลกปัจจุบัน

ปัญหาของการสอนดนตรีไทยตามห้องเรียนคือมีครูคนเดียว แล้วนักเรียนต้องอยู่ในทิศทางเดียวกันเหมือนกับทหาร อยู่ในระเบียบ ต้องซ้อม ถ้าคนที่ทำงานศิลปะต้องอยู่ในกติกาแบบนี้ก็เหมือนกับการล้างความเป็นคนไปเรื่อยๆ

ถ้าอย่างนั้นการเรียนการสอนดนตรีควรจะเป็นแบบไหน

ไม่ต้องสอน (หัวเราะ) สอนมั่งไม่สอนมั่ง แต่อย่าบังคับให้เด็กเรียน เราต้องมาทบทวนกันก่อนว่าเรียนไปเพื่ออะไร เราเข้าใจว่าการเรียนดนตรีคือต้องเป็นครูดนตรีที่สอนๆๆ เท่านั้น 

แต่จริงๆ ครูพละก็สอนดนตรีได้จากการวิ่งที่มันมีสเต็ป หรือแค่การอ่านวรรณกรรมก็มีเสียงดนตรีอยู่ในตัวแล้ว ครูภาษาไทยก็สอนได้ แต่สิ่งที่คุณสอนในคาบเรียนดนตรี ให้ท่อง เพลงลาวดวงเดือนเนี่ย มันมีศิลปะและจินตนาการอยู่ในนั้นจริงๆ หรือเปล่า 

ถ้าวิธีการสอนดนตรีคือการโยนโน้ตให้ เราก็จะเล่นแค่โดเรมีไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ความหมายของพระจันทร์ ไม่รู้ว่าไอ้หนุ่มที่กล้ามาร้องเพลงจีบสาวตอนดึกนี่มันกล้ามากเลย มันต้องจินตนาการได้ แต่โน้ตเพลงมันไม่ได้บอกอย่างนั้น

และเราปลูกฝังให้ฟังน้อยมาก ลองเอาเครื่องดนตรีออกจากมือแล้วฟังทุกอย่างได้ไหม ฟังเสียงรอบๆ หรือเสียงสังคมภายนอก การฟังดนตรีมันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการฟังทุกอย่างในโลก สอนให้เราสัมผัสคุณค่าในโลกนี้อย่างละเอียดอ่อน ฟังสิ่งที่เป็นรายละเอียดที่ประดับอยู่ เหมือนกับที่เราฟังคนพูดแล้วเราก็สามารถใช้ข้อเท็จจริงหรือจินตนาการต่อยอดได้

การฟังเป็นประสาทขั้นละเอียด แต่สถาบันสอนเรื่องวิชาความรู้ทั้งหลายให้ความสำคัญกับการฟังน้อย หรือบังคับให้ฟังเฉพาะเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมันไม่ได้สอนให้ฟังความงดงามหรือความละเอียดลึกซึ้ง ดังนั้นผลผลิตที่ออกมาจากสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กที่มีทักษะการฟังต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเหมือนกัน

เพราะมันวัดผลได้สะดวกด้วยหรือเปล่า

อาจจะใช่ เราไม่มีกระบวนการสร้างความรู้สึกในสิ่งที่เรียน เรามีแต่ความรู้ที่จะรู้สึก ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกันแต่ว่ามันอยู่ภายในกันและกัน รู้สึกโดยที่ไม่รู้ก็เป็นอันตราย รู้โดยที่ไม่รู้สึกก็เป็นอันตราย เช่น การผสานการทำงานดนตรีเข้ากับงานละคร เราไม่ได้ทำงานกับแค่นักดนตรีกับผู้แสดง แต่ทำงานกับวรรณกรรม แสง คอสตูม เล่นเพลงที่คอสตูมเคลื่อนไหวไม่สะดวกแล้วจะเล่นทำไม หรือคอสตูมสวยๆ เล่นเพลงแป๊บเดียวจบแล้ว ให้เวลาเขาดูสิ่งที่มันอยู่บนเรือนร่างคน การกรายนิ้วมือหน่อยสิ มันจะมีคุณค่าต่อเมื่อเสียงดนตรีมันเลี้ยวไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราควรจะเรียนรู้สิ่งที่เป็นศาสตร์ร่วม แล้วเอาพลังมาใส่ในเด็กรุ่นใหม่

ตอนนี้ผมสอนวิชามานุษยวิทยาดนตรี ได้ไปเรียนรู้ดนตรีชาวบ้านตามป่าเขาลำเนาไพร จากนั้นก็เอาความรู้เหล่านี้มาส่งต่อให้เด็กในมหาวิทยาลัย หรือคนนอกที่ไม่ได้เข้าไปฟังเลคเชอร์ เราไม่เคยมีตำราสอนจริงจังแต่เน้นให้ในมิตินอกห้องเรียน เช่น สอนว่าทำไมต้องมีการแห่นางแมว มานั่งคุยกันแล้วไปดูกันหน่อยว่าฝนมันตกจริงหรือเปล่า เราไม่ได้ลงภาคสนามแบบไปเดินเล่น แต่สอนให้ใช้หู ใช้ตา ใช้วิธีการจด พูดคุยซักถาม สิ่งที่เราสามารถถ่ายทอดให้เขาได้ ก็มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าการสอนดนตรีตรงๆ แบบครูในสถาบันดนตรี

มานุษยวิทยาดนตรีเพื่อเมโลดี้แห่งความหลากหลาย

มานุษยวิทยาดนตรีคืออะไร

มานุษยวิทยาคือการทำความรู้จักมนุษย์ แต่เราใช้ประตูที่เป็นดนตรีเปิดเข้าไป แล้วไปเจอมนุษย์ที่เป็นเจ้าของดนตรีนั้น อาจจะเป็นคนที่เล่น ร้อง ปฏิบัติ หรือคนฟัง แล้วเราก็ทำความรู้จักกับเขาต่อว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน เช่น เรารู้จักกับมนุษย์ที่เป็นคนดำ เราอยากรู้ไหมว่าข้างในหัวใจเขาเต้นบีทส์เท่าไหร่ มีอะไรในหู ทำไมหูเขามีเพลงแจ๊ส เพลงบลูส์ ไม่มีเสียงแบบอื่นล่ะ มันมาจากบางส่วนของประวัติศาสตร์หรือความขมขื่นในชีวิตหรือเปล่า

มานุษยวิทยาดนตรี ethnomusicology เป็นกระบวนการศึกษาตอนประมาณศตวรรษที่ 20 ก่อนหน้านี้ดนตรีถูกมองเป็นดนตรีวิทยา musicology ที่ต้องมีประวัติศาสตร์ มีระบบ ตัวโน้ตให้วิเคราะห์เยอะแยะไปหมด แล้วมันก็อยู่ในกระดาษ แต่ชีวิตของคนที่อยู่กับดนตรีมาเรียนรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่โลกไร้พรมแดนขึ้นไปทุกทีๆ แล้วยุโรปไม่ใช่ศูนย์กลางของดนตรีอีกต่อไป

นอกจากการตระหนักในคน มานุษยวิทยาสอนให้เราคิดว่าประวัติศาสตร์มีหลายด้าน แล้วเราจะเรียนรู้จากปรากฏการณ์ดนตรีกับสังคมในแง่มุมเหล่านี้ได้ยังไง เช่น รัฐใช้ดนตรีอย่างไร ศาสนาใช้ดนตรีอย่างไร สถาบันกษัตริย์เอาดนตรีไปทำอะไร หรือในทางกลับกัน ดนตรีแบบไหนที่พึ่งพิงอำนาจกษัตริย์ อำนาจศาสนา อำนาจรัฐ ตกลงว่ามนุษย์ใช้ดนตรีเป็นดนตรีเพื่อบันเทิงหรือเพื่อเป็นเงื่อนไขในสิ่งอื่น มานุษยวิทยาดนตรีสนใจสิ่งที่มันอยู่รอบๆ ด้านของสังคม

การเรียนสิ่งที่อยู่รอบๆ ด้านของสังคมผ่านดนตรีน่าสนใจอย่างไร

มันสามารถสร้างการยอมรับในความเป็นมนุษย์ด้วยกันได้ เช่น เราอาจจะมีอคติบางอย่างต่อแขก มองว่าสกปรก อ้วน ดำ ขี้โกง แต่ดนตรีที่เขาเล่น มันมีความวิเศษ และดำรงอยู่มายาวนาน 5,000 ปีแล้ว เขาอ่านโน้ตไม่ออกหรอก แต่ดีดซีตาร์ (sitar) เล่นราก้ากันได้เป็น 2-3 ชั่วโมง โดยโน้ตไม่ซ้ำกันสักตัวหนึ่ง มันสืบต่อมาได้ยังไงโดยที่ไม่มีโรงเรียนดนตรี ไม่มีปริญญา

เราไม่ได้ทำงานดนตรีแต่กับคนที่มีทักษะสูงๆ ทักษะไม่ดีอย่างเด็กดาวน์ซินโดรมเราก็เคยสอนเขา เขามีความสุข หัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก เล่นโน้ตถูกหรือผิดไม่เป็นไร ในขณะที่เราพยายามจะบอกว่าดนตรีทำให้คนเป็นอัจฉริยะ ถ้าลองนับหนึ่งจากคนบกพร่องล่ะ คุณจะให้เขาเดินต่อไหม ถ้าเขาเกิดพูดไม่ชัด มองไม่เห็น หรือประสาทสัมผัสไม่ว่องไวเหมือนเรา แต่เขาคือคนเหมือนกัน คุณยอมที่จะอยู่กับเขาไหม

ใช้มานุษยวิทยาดนตรีสอนนักเรียนอย่างไร

เรามีวิชา fieldwork ที่พาเด็กไปอยู่ในงานวัด ชุมชนต่างๆ กว่าจะเดินไปถึงเวทีดนตรี เราเดินผ่านหมึกปิ้ง คนขายชุดชั้นใน หลวงพ่อที่กำลังเรียกเราให้ไปทำบุญ ฉะนั้นก่อนที่เขาจะไปถึงเวทีรำวง เขาได้เรียนรู้สังคม เสียง และรู้ว่าเวทีรำวงมันต้องอยู่กับงานวัดแบบไหน เรียนรู้สิ่งที่มันเป็นประวัติศาสตร์ร่วม วัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่หรือวัฒนธรรมที่จะทำให้เวทีรำวงมันเปลี่ยนไป 

ข้างๆ เป็นหนังจอใหญ่ซึ่งต้องการพาวเวอร์มาก ฉะนั้นเวทีรำวงก็รำแบบชนิดที่ลำบากใจมาก หรือเวทีลิเกยิ่งลำบากใจใหญ่ เพราะคนไปดูอย่างอื่นกันหมด เงินก็น้อย ระนาดที่ตีเก่งๆ ก็ต้องเล่นเพลงลูกทุ่งหรือเพลงป๊อปถึงจะอยู่ได้ พระเอกนางเอกลิเกพอรำได้สักพักก็ต้องถือขันขอเรี่ยไร ไม่มีคนไปให้พวงมาลัยติดแบงก์อย่างในอุดมคติอีกต่อไปแล้ว เราเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณสอนเด็กน่ะ คุณแยกโลกของดนตรีไทยออกไปจากโลกของลูกทุ่ง ป๊อปและความเป็นจริง ต้องลองไปดูหัวใจของคนตีระนาดในเวทีลิเก ลองไปเก็บข้อมูลว่าดนตรีอยู่กับสังคมหรือผู้คนยังไง

วิธีการที่จะไปสู่ความรู้ แค่เดินไปบอกให้เขาเล่นให้ฟังมันไม่พอ มันต้องรู้จักภาษาของเขา มีวิธีการปฏิบัติต่อเขา เราควรเรียนรู้และฝึกคนรุ่นต่อๆ ไปที่จะมาเป็นอะไรสักอย่างที่ขุดเจอคุณค่าของดนตรีตรงนั้นตรงนี้ แชร์กับชาวบ้านหรือทำความเข้าใจกับมัน คนที่จะตีความได้ต้องมีเซนส์ของความเข้าใจมนุษย์ ความหลากหลาย หรือสิ่งที่เป็นเบื้องหลังชุดความคิดของเขา

บรรยากาศในห้องเรียนเป็นแบบไหน

คุยกันยกใหญ่ แล้วก็คุยกันนอกห้องเรียนด้วย เช่น เราเลคเชอร์กันเรื่องวันชาติจีนฉลอง 70 ปี จับประเด็นเรื่อง carnival culture เขียนบอกล่วงหน้าในเฟซบุ๊คว่า state theatre หรือเวทีนาฏกรรมที่รัฐเป็นผู้จัดการเป็นยังไง เด็กจะเอาข้อมูลเหล่านี้มาถกเถียงกันในห้องเรียน แล้วต่อกันได้อย่างสนุกนอกห้องว่าเราดูปรากฏการณ์สังคมที่จีนมาเหนือมากเลยเพราะจัดละครใหญ่ให้คนทั้งโลกดู ทุกอย่างต้องเตรียม ต้องมีวินัยในการซ้อม ต้องเป๊ะ มุมกล้องที่เห็นนี่คือมุมกล้องละคร ทุกมุมเป็นภาพจำได้หมดเลย เราใช้การวิพากษ์เปรียบเทียบและเชื่อมโยงว่าตกลง เชื่อไหมว่าคอมมิวนิสต์มีจริง มันคืออะไรกันแน่ ฉากของทหารที่เดิน มีประชาชน และมณฑลต่างๆ มาเต้นร่วมกัน ชวนเด็กๆ ดูว่าเขาหยิบอะไรมาอยู่ในริ้วขบวนเหล่านั้น จีนใช้องค์ประกอบเหล่านี้เป็นโค้ด สัญญาณ และเป็นโชว์ด้วย

นักศึกษามีพัฒนาการอะไรที่น่าสนใจอะไรในการเรียน รู้ได้อย่างไรว่าเขาเรียนได้ดีแล้ว

ถ้าตามฟอร์แมตการศึกษาคือการวัดผล บางทีก็สอบโดยให้คำช่วยเขียนคำถามให้หน่อย ชีวิตนี้นักศึกษาตอบกันมาเยอะแล้ว

เราเลยลองเปิดมิวสิควิดีโอหนึ่งแล้วบอกเด็กว่านี่คือคำตอบ ให้คุณตั้งคำถามให้เยอะที่สุด ปรากฏว่ามีคำถามที่น่าสนใจจากเด็กเยอะมาก เขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ว่าเพลงนี้แปลว่าอะไร ที่ผ่านมาเขาต้องตอบตามสูตรสำเร็จ และเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาตั้งแต่อนุบาล ประถม พอมาอยู่มหาวิทยาลัยแล้วยังต้องเขียนคำตอบที่ถูกต้องอีกหรือ เราจะไม่มีการสอบแบบนี้อีกต่อไป

แต่ถ้าไม่ตามฟอร์แมตก็คือเราถกนอกรอบกับเด็กทุกเย็น เลยรู้ว่าบทสนทนาที่คุยกันมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดนตรีแบบใดแบบหนึ่ง แต่กว้างมาก อัพเดทกันได้ตลอดเวลา ไปค้นอะไรได้ก็มาแบ่งกัน ตั้งประเด็น แล้วเราก็เห็นเขาเป็นผู้ชมที่ดี นักศึกษาไปนั่งดูปี่พาทย์ประชันกันแต่เช้าในงานวัด แล้วคนคนเดียวกันวันรุ่งขึ้นเขาก็ไปอยู่ในเวทีดนตรีแจ๊ส เพราะเขาชื่นชมทั้งคู่ เขาอาจจะเป็นผู้ดูแลคุ้มครองดนตรีแบบไหนก็ได้ในอนาคต เมื่อก่อนนี้เราอาจจะต้องบังคับให้คนจงรักภักดีกับดนตรีบางประเภทเท่านั้น แต่เด็กพวกนี้ใจกว้างมากกว่าและมีเซนส์ในการสังเกตความเคลื่อนไหวของโลก

มีนักเรียนแบบอื่นไหมที่ต้องใช้การสอนที่แตกต่างออกไป

เคยไปเป็นพ่อแม่ให้เด็กในมูลนิธิเด็ก (Foundation for Children (FFC)) อยู่เป็นปีเลย เอาอังกะลุงใส่กระสอบเหมือนซานตาคลอสไปสอน เด็กพวกนี้คือเด็กที่ถูกทิ้งมาจากสลัมบ้าง โดนข่มขืนบ้าง เราเลยให้พวกเขาเล่นอังกะลุงกัน เพราะมันเล่นคนเดียวไม่ได้ เสน่ห์ของมันคือต้องรอกัน ให้เกียรติกัน แล้วก็ต้องมีสเปซ ผมเลือกอังกะลุงเพราะต้องการดึงเด็กที่เคยต่อยกัน จับกดน้ำกันมาก่อนมาเล่นดนตรีด้วยกัน พอเล่นซ้ำไปซ้ำมาจะเริ่มรู้แล้วว่าบทบาทหน้าที่ของตัวเองคืออะไร โน้ตกับเพลงชุดเดียวกัน พอไปอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่าง เราสัมผัสถึงหัวใจของคนอื่นได้ แลกบทบาทเป็นคนนำและตามได้ แต่เราไม่ได้สอนเขานะว่า ‘นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า….’ อะไร จากโน้ตกะพร่องกะแพร่ง มันจบลงด้วยเพลงที่ดีที่สุดที่เราเคยได้ยินมา แล้วเราคิดว่ามันคือรางวัลชีวิต เพลงที่เขาเล่นไม่ได้แสดงในคอนเสิร์ตที่เล่นให้ผู้ใหญ่ดู แต่เล่นหน้าแม่น้ำแควที่เคยจับกดน้ำกันมานี่แหละ

นอกจากงานสอน อาจารย์ยังทำวงดนตรีและงานคอนเสิร์ตด้วย?

โปรเจ็คต์ล่าสุดคือ ฟอร์มวงดนตรีเล็กๆ จาก 10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมาอยู่ด้วยกัน ชื่อวง C asean Consonant เกิดขึ้นมาได้จากประชาคมอาเซียน ที่เราวาดฝันว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง มันเป็นไปได้จริงหรือ เสาทางด้านสังคมวัฒนธรรมมันท่องด้วยปากอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีการเรียนรู้ที่ผู้ใหญ่ต้องเรียนกับเด็กด้วย ผมชวนเพื่อนที่เป็นครูดนตรีรุ่นเดียวกัน 10 ชาติจาก 10 ประเทศมาคุยกันว่าเราจะทำอย่างไรให้ดนตรีอาเซียนไปปรากฏอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้ มีเยาวชนจาก 10 ชาติ ทั้งชายหญิง มีต่างศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู มาอยู่ในวงเดียว การแสดงดนตรีมีความยืดหยุ่นมาก ไม่จำเป็นต้องโชว์ออฟความเป็นชาติอยู่ตลอดเวลา เราปรับเปลี่ยนเสียงเพลงไปเป็นหลากสไตล์ ตั้งแต่พื้นบ้าน ไปจนป๊อป ร็อค บลูส์ จนถึง contemporary music ก็ทดลองกันมากมาย 

โปรเจ็คต์ทดลองนี้นำไปสู่อะไร

โปรเจ็คต์นี้ผ่านมาแล้ว 3 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แต่เดิมมีครูเพลงเรียบเรียงดนตรีให้เด็กเล่น ปีนี้เราทดลองให้เขาเขียนเพลงกันเอง และรู้สึกว่าเขาโตพอที่จะสอนเราแล้ว เราเรียนจากการที่เด็กกัมพูชามีบทสนทนากับเด็กไทย เขายอมรับนับถือกันได้ไหม 

เราบอกเด็กๆ ว่าผมโตมาจากรุ่นที่สอนให้เกลียดเขมร เกลียดญวน โดยเฉพาะเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แล้วเราก็เรียนเรื่องพม่าเผากรุงศรีฯ เรียนเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งทั้งนั้นเลย เราลบประวัติศาสตร์เหล่านั้นไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะ deconstruct มันได้ แล้วใช้วงดนตรีของเราพิสูจน์ว่าเพลงของพม่า ไม่ใช่เพลงแห่งความโหดร้ายรุนแรง เพลงของกัมพูชาก็อาจจะมีซาวด์ที่งามกว่าดนตรีไทยอีก

เราใช้กระบวนการเยอะมากที่จะทำให้เด็กในวงเข้าอกเข้าใจกัน ไม่ใช่แค่เล่นดนตรี เราช่วยกันระหว่างการเดินทาง กิน เล่น คุย ไปดูงานศิลปะด้วยกัน สร้างครอบครัวใหม่ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีนักดนตรีที่มาจากภาษาที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าภาษาดนตรีมันคุยกันได้

เราใช้นักดนตรีเยาวชนเพราะจะไม่ค่อยมีม่านกั้นกัน ดีใจที่เห็นภาพคนดูรุ่นใหม่กับเด็กอาเซียนรุ่นใหม่เป็นเพื่อนกัน บางที่ที่ไปมี FC ซึ่งเราต้องสร้าง FC ไปพร้อมๆ กับการสร้างคุณภาพดนตรี และมีนิทรรศการทุกที่ที่ไป เครื่องดนตรีพวกนี้สามารถเล่าความเป็นประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และเปิดโอกาสให้ศิลปะหลายแขนงมามีส่วนร่วม บางที่เราก็แจกสีแจกกระดาษให้ผู้ชมให้มีส่วนร่วมทางสังคม (social engagement) งานพวกนี้จึงกลายเป็นงานสดที่มีความทรงจำของผู้คน ดนตรีสามารถเป็นสิ่งที่ดึงคนมาทำกิจกรรมร่วมกันได้ตั้งหลายแบบ แต่เรามักจะคิดว่าการเรียนดนตรี ดนตรีต้องเป็นใหญ่เท่านั้น

อาจารย์คลุกคลีกับดนตรีพื้นบ้านมานาน แล้วมีความคิดเห็นในด้านของดนตรีป๊อปอย่างไร

ผมแฮปปี้และชื่นชมมาก อย่างดนตรีป๊อปเกาหลีคือดนตรีที่มีคุณภาพของการทำงานสูง นักร้องต้องมีวินัยสูงและต้องเสียสละเรือนร่างเพื่อที่จะต้องสวย การศัลยกรรมเข้ามามีบทบาท มีการสร้างคุณค่าความงามในลักษณะใหม่ มีอะไรให้เราเรียนรู้จากดนตรีป๊อปเกาหลีได้เยอะ เราไม่เคยคิดว่ามันจะทำให้วัฒนธรรมไทยอันแสนจะแข็งแรงมีความเสื่อมทราม ถ้าเห็นข้อดีของเขา มันจะพัฒนาสังคมการเรียนรู้ดนตรี ขับร้องเต้นรำของเราได้อีกเยอะ

สอนดนตรีป๊อปให้เด็กบ้างไหม

เยอะมาก ไม่ใช่แค่ตัวดนตรีป็อป แต่เป็นปรากฏการณ์ เช่น ล่าสุดผมเพิ่งจะเลคเชอร์เรื่องเพลงเลิกคุยทั้งอําเภอเพื่อเธอคนเดียว ในประเด็นลูกทุ่งในโลกที่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้เขาพบรักกันที่เซเว่นอีเลฟเว่นแทนทุ่งนาแล้ว มีการใช้ดนตรี EDM เข้ามา นักร้องลูกทุ่งอย่างน้องกระแต อาร์สยาม ก็เป็นสาวชนบท และทำได้ดีไม่แพ้การเต้นเกาหลี เพลงของเขามีความประณีต สนุกมากและมีกราฟิกดี เมื่อวานนี้ผมพึ่งพูดถึงปรากฏการณ์ของเพลงสาวดอยคอยปี้ ซึ่งผมมองว่ามันคือดนตรีป๊อป แต่คนพยายามจะบอกว่ามันคือสิ่งที่ทำลายมาตรฐานเพลงลูกทุ่ง เพลงนี้เล่าเรื่องสาวเหนือที่แฟนจากไปไกล เมื่อไหร่จะกลับมาหาน้อง แต่พอคำว่าพี่ มันถูกร้องว่าปี้ โอ้โห วงการลูกทุ่งก็เดือดดาล

ผมจะมีตัวอย่างปรากฏการณ์ป๊อปคัลเจอร์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมมาคุยกัน เช่น จัดทอล์คเรื่องเพลงประเทศกูมี แล้วเชิญ Liberate P (หนึ่งในศิลปินจากวง Rap Against Dictatorship) ถนอม ชาภักดี ที่เป็นนักวิจารณ์ศิลปะ และนักกฎหมาย มาถกกันว่าเนื้อหาในเพลงนี้ผิดกฎหมายข้อไหน (หัวเราะ)

เราเอาประเด็นสังคมมาเป็นพื้นที่ในการเรียนรู้ เพลงประเทศกูมีเป็นป๊อปคัลเจอร์ ลูกทุ่งก็เป็นป๊อปคัลเจอร์ แล้วมันก็เกิดมาเพื่อที่จะเป็นป๊อปคัลเจอร์นานแล้ว เพียงแต่ว่าเราเอาเขาไปขังไว้ในมนต์รักลูกทุ่ง แล้วไม่ให้เขาหายใจหรือเติบโตต่อ ปรากฏการณ์ของเพลงหรือดนตรีทำให้เราเรียนรู้ศิลปะของการต่อต้าน ถ้ามันดี มันแฮปปี้ก็ไม่ต้องต่อต้าน แล้วมันไม่ได้ต่อต้านด้วยตัวดนตรีอย่างเดียว แต่ด้วยการสนับสนุนดนตรีด้วย คือพอมีคนบอกว่าเพลงนี้ต้องถูกกำจัด ก็กลายเป็นว่าคนกดไลค์และแชร์ไป 40 ล้านวิว แบบนี้มันมหัศจรรย์เพราะเป็นพลังบริสุทธิ์ของผู้คน

การใช้ดนตรีเพื่อสอนแง่มุมทางสังคมกับเด็กสามารถนำไปสู่การเป็นมนุษย์ที่อยากทำความเข้าใจมนุษย์ได้ดีขึ้นไหม

ต้องสอนให้เห็นว่าภาษาดนตรีมันล้างกำแพงของภาษาที่คนใช้สื่อสารกัน และดนตรีไม่ได้มีความหมายแบบเดียว มันไม่ใช่แค่ภาษาสากล แต่เป็นภาษาของประวัติศาสตร์ที่สื่อสารเรื่องอารมณ์ความรู้สึกได้ ใช้เป็นเสียงแสดงอำนาจก็ได้ 

เช่น ระฆังเป็นเสียงบอกพื้นที่ของศาสนจักร จึงต้องสร้างระฆังให้สูงเพื่อให้รัศมีของเสียงไปไกลที่สุด หรือ ถ้าเรารู้เรื่องของฉิ่งดีพอ เราจะรู้ว่ามันผ่านยุคสัมฤทธิ์มา บ่งบอกได้ว่าเป็นภาษาของมนุษย์เก่าแก่ที่มีอารยธรรมย้อนไปถึง 2500 ปีเป็นอย่างน้อย ภาษาของความงดงาม ของการรัก โลภ โกรธ หลง ก็บอกได้ด้วยโน้ตเหล่านี้ ตีฉิ่งฉับบอกว่า ‘ฉันรักเธอ’ นี่ตีด้วยความรักก็ได้ หรือตีด้วยความโกรธ เกลียดก็ได้เหมือนกัน แล้วก็เข้าใจกันได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำว่ารักหรือคำว่าโกรธออกมา

เมื่อดนตรียังมีหลายความหมาย เพราะฉะนั้นการเสพและการทำความรู้จักมันก็เปิดพื้นที่ให้กับความแตกต่างได้ด้วย เราสามารถหยิบจับอะไรขึ้นมาเป็นตัวอธิบายก็ได้ในโลกของมานุษยวิทยาดนตรี เช่น ในยุคปัจจุบัน ผมเลคเชอร์เรื่องงานเพลงของ ปอยฝ้าย มาลัยพร เพราะมันเท่มากที่เขาเรียกร้องความเป็นกะเทยของอีสานผ่านบทเพลง หรือนักร้องที่อยู่ในแก๊ง sexy stars เราก็พยายามไปศึกษาดูว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นเครื่องมือในโลกสมัยใหม่ เขาไม่ใช่แค่วัตถุทางเพศอย่างเดียวแต่มีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะ

ดนตรีที่คุยกันมาก็มีส่วนที่ยึดโยงกับคุณค่าของความเป็นดนตรี เราควรจะสอนเด็กให้เห็นคุณค่าของดนตรีไหม

เราควรให้ทางเลือกเยอะๆ ว่าเขาเข้าใจแบบไหน เข้าใจว่าครูในห้องเรียนอาจจะมีเวลาน้อยที่จะทำให้ 50-60 ชีวิตเข้าใจ เขาเลยต้องมีสรุป วัดผล และให้คะแนน แต่มันก็ช่วยให้คนทำมาหากินได้ ให้การเรียนการสอนดนตรีเป็นสิ่งที่เขาหมกมุ่นก็ดีเหมือนกันเพราะว่าใครจะมานั่งปั้นโน้ตให้ถูกต้องเป๊ะๆ ถ้าไม่ได้เรียนหรือทำวิจัย หรือคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของมันอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีเขา ตำนานต่างๆ ของวงการดนตรีคลาสสิก แจ๊ส ร็อค ก็ไม่มีคุณค่า

ต้องอย่าลืมว่าดนตรีหรือเพลงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เนี่ย (ตบมือ) มันเกิดขึ้นแล้วก็หายไป บอกได้ไหมว่าเมื่อกี้นี้โน้ตตัวอะไร แล้วเชื่อไหมว่าเมื่อกี้ผมเล่นดนตรี เห็นไหมว่ามันไม่มีหลักฐานเพราะมันหายไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้มันมีประวัติศาสตร์เกิดขึ้น ก็ต้องมีความพยายามทุกอย่างที่จะเล่าถึงมัน เช่น ได้ปรบมือเป็นบันไดเสียง C Major เมื่อปีนี้ วันนี้ สถานที่นี้ ทำให้การปรบมือมีคุณค่าขึ้นมา เหล่านี้ก็เป็นการสร้างคุณค่าหรือความทรงจำของสังคมผ่านการศึกษาค้นคว้าหรือการบันทึกถึง

ดนตรีจะสามารถสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายในสังคมได้อย่างไร

มันเป็นเสียงและพื้นที่ทางความคิดของความหลากหลาย แล้วก็มันอาจจะเป็นการทดลองว่าการส่งเสียงไม่ใช่แค่ชุดของภาษาปาก ชุดของตัวหนังสือมันยังมีความหมายอยู่ไหมในโลกสมัยใหม่ โลกในอดีต ตัวหนังสือมาทีหลังเสียง แล้วเราก็ไปคิดว่ามันคือสิ่งสำคัญจนกระทั่งคิดว่าประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์สร้างตัวอักษร แล้วก่อนหน้านั้นเราอยู่กันมายังไงล่ะ เสียงมันมาก่อน เราให้ความสำคัญกับชนชั้นที่มีรสนิยม บอกว่าคุณค่าของดนตรีคลาสสิกเป็นดนตรีที่งดงามบริสุทธิ์ เราเลือกเล่นดนตรีให้คนที่ใส่สูททักซิโด้ ซื้อตั๋วแพงๆ เท่านั้นหรือ เราจะเลือกปฏิบัติต่อมนุษย์บางจำพวกที่มีรสนิยมที่เราต้องการเท่านั้นหรือ

เบสิคของดนตรีคือมันอยู่ร่วมกันกับสังคมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่บางยุคที่เราพัฒนาไปสู่ความเป็นศิลปิน อัตตาพรั่งพรูขึ้น กลายเป็นว่านักดนตรีกลายเป็นพระเจ้าที่อยู่กลางเวที แล้วเราก็ลืมไปว่าดนตรีมันมีความหลากหลายเหมือนชาติพันธ์ุ ภาษา ผู้คน มานุษยวิทยาทำให้เราเห็นว่าความหลากหลายของดนตรีเหมือนความหลากหลายของผู้คน และสอนให้เรายอมรับความหลากหลายเหล่านั้น

 Fact Box

– อานันท์เป็นผู้ก่อตั้งและสมาชิกวงกอไผ่ วงดนตรีร่วมสมัยที่เล่นตั้งแต่ดนตรีแนวแบบแผนไปจนถึงดนตรีโฟลค์-ป๊อป, ฟิวชั่นแจ๊ส และดนตรีทดลอง เดินทางไปเล่นในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน กัมพูชา มาเลเซีย ฯลฯ และเป็นสมาชิกวงฟองน้ำเพื่อส่งต่อดนตรีร่วมสมัยในแบบของอาจารย์บรูซ แกสตัน

– เขาเป็นคนไทยคนเดียวที่เป็นสมาชิกกลุ่มศิลปะสร้างสรรค์ชื่อ I-Picnic ที่มีส่วนประกอบของนักแต่งเพลง ศิลปินวิดีโออาร์ตชาวญี่ปุ่น นักดนตรีด้นสด ผ่านการสนับสนุนจากมูลนิธิญี่ปุ่นให้ทัวร์สร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยทั่วเอเชียและยุโรป

– อานันท์บันทึกและเผยแพร่ดนตรีชาติพันธุ์ ดนตรีกะเหรี่ยง ดนตรีวณิพกทั่วไทย ช่างทำเครื่องดนตรี และวัฒนธรรมดนตรีที่น่าสนใจทั่วโลกผ่านหลายช่องทางทั้งการจัดรายการวิทยุ ห้องเรียนเพลงดนตรีอาเซียนในเฟซบุ๊ค หรือบทความวิจัยทางวิชาการด้านดนตรี เช่น บทความ The Central Region, The Tuning System of Folk Music in Thailand, Sonic Orders in ASEAN Musics (A Field and Laboratory Study of Musical Cultures and Systems in Southeast Asia) ที่สนับสนุนโดยทุนวิจัยอาเซียน ประเทศสิงคโปร์ อีกทั้งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย 14 โครงการที่หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โครงการอัครดุริยะศิลปินราชสดุดี 84 พรรษา

– ตำแหน่งอาจารย์ก่อนหน้านี้คืออาจารย์สอนวิชาดนตรีที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และยังคงเดินทางศึกษาดนตรีทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

Tags:

ประชาธิปไตยดนตรีศิลปะการแสดงอานันท์ นาคคงชาติพันธุ์นักมานุษยวิทยา

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Unique Teacher
    สุกัญญา สมไพบูลย์ ครูที่เติบโตมากับเสียงเพลงลูกทุ่งและคณะลิเก สู่ครูผู้เชื่อมความเพลิดเพลินกับบทเรียนด้านวาทวิทยาฯ

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    คุณวุฒิ บุญฤกษ์: เด็กชายผู้ล้มเหลวในวิชาวิทย์ สู่นักวิจัยสายสังคมศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel