Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2019

‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก
Character building
21 October 2019

‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning How to Learn เป็นหนึ่งในคอร์สเรียนออนไลน์ (Massive Open Online Courseware: MOOC) ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก
  • ทำไมเราต้องเรียนรู้ ‘วิธีการเรียนรู้’? เพราะถ้าเราเข้าใจการทำงานและธรรมชาติของสมองก่อน เราจะรู้ว่าเวลาไหน เราควรเรียนรู้แบบใด
  • ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เวลาที่เราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแทบตาย กลับคิดไม่ออก แต่พอไม่คิด…กลับคิดออกซะอย่างนั้น

เราพูดถึงการเรียนรู้กันอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่บอกว่า การเรียนในห้องเรียนทุกวันนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยสร้างการเรียนรู้ที่ดีเท่าไรนัก เพราะเน้นการเรียนท่องจำจากตำรา ขาดการฝึกปฏิบัติที่กระตุ้นพัฒนาการทางสมอง

แต่เมื่อไม่มีทางเลือก เราจะหาการเรียนรู้ที่ใช่ ได้จากไหน? 

คำถามนี้ทำให้นึกถึงคำตอบของ ‘แปลน’ รามิล กังวานนวกุล เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เรียนโฮมสคูลมาทั้งชีวิต The Potential บุกไปสัมภาษณ์แปลนถึงโรงเล่น อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ที่ที่แปลนเติบโตและได้เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่ที่แปลนเสาะหาสิ่งที่สนใจและอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง

แปลนบอกว่า ‘การเล่น’ คือ การเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่งเพราะเมื่อได้เล่นก็เท่ากับได้ลอง ได้คิด และได้ลงมือทำ กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่นของแปลนตั้งแต่เด็กจนย่างเข้าสู่วัยรุ่น สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของระบบคิด การวิเคราะห์แยกแยะ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความคิดสร้างสรรค์

แปลนย้ำว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การเรียนรู้ที่ ‘เหมาะสม’ กับตัวเอง และต้องเป็นสิ่งที่ ‘ชอบและทำแล้วสนุก’

เมื่อถอดรหัสการเรียนรู้ของแปลน ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเรียนนอกระบบที่สร้างการเรียนรู้ในตัวผู้เรียนได้จริง กระบวนการเรียนรู้แบบแปลนสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ และการฝึกฝนการเรียนรู้ที่ทุกคนนำไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาตัวเองได้ทันที

เรียนแบบไหนถึงเรียนรู้ได้จริง

เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า การเรียนแบบไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา เราจะชอบ ไม่ชอบ สนุกหรือไม่สนุกกับการเรียนเรื่องอะไร จนกว่าจะได้ลอง ได้คิด และได้ลงมือทำด้วยตัวเองก่อน

เดวิด โคล์บ (David Kolb) นักทฤษฎีการศึกษาชาวอเมริกันได้เสนอทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ ที่เรียกว่า Experiential Learning Theory (ELT) ไว้ตั้งแต่ปี 1984 พูดถึง Learning Cycle หรือวงจรการเรียนรู้ 4 ขั้นตอนซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ได้แก่

หนึ่ง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง (Concrete Experience)

ขั้นแรกของการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการ ‘ลงมือทำ’ อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะทำคนเดียวหรือร่วมกันในกลุ่มเพื่อน หรือพ่อแม่ชวนลูกเล่น โคล์บ ย้ำชัดว่า การเรียนรู้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูหรืออ่านเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น การทำอาหาร เราคงไม่สามารถทำอาหารได้ดี หั่นผักเฉือนเนื้อได้คล่องจากการอ่านหนังสือคู่มือทำอาหารเท่านั้น

สอง การสะท้อนคิด (Reflective Observation)

คือ การให้เวลาอย่างเพียงพอกับการทบทวน ไตร่ตรอง หรือแลกเปลี่ยนถกเถียงเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำลงไปแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแห่งการตั้งคำถาม เพื่อให้ได้ย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำว่า ทำอะไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เช่น

เด็กๆ เข้าไปทัศนศึกษา พบเห็นอะไรบ้าง? ได้คุยกับใครบ้าง? คุยเรื่องอะไร?

เด็กๆ ได้ทำขนมอะไร ขนมมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?

เล่าขั้นตอนการทำให้ฟังหน่อย เริ่มจากทำอะไรก่อน-หลัง?

ระหว่างทำกิจกรรมรู้สึกชอบ/ไม่ชอบอะไร?

มีปัญหาอะไรบ้างไหม? แล้วแก้ปัญหายังไง?

ยกตัวอย่างกลับมาที่เรื่องการทำอาหาร ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการชิม ลองชิมฝีมือตัวเอง ลองให้คนอื่นชิม และเปิดรับฟีดแบ็ค แล้วนำไปสู่การสรุปอีกครั้งในขั้นตอนที่ 3

นอกจากการตั้งคำถามให้ตอบแล้ว ยังสามารถใช้วิธีการเขียนตอบคำถาม เขียนเล่าเรื่อง หรือให้สะท้อนความรู้สึกอย่างอิสระได้ด้วย วิธีการเขียนแบบนี้เป็นคนละเรื่องกับการให้ตอบคำถามประเมินกิจกรรม

สาม การสรุปผลด้วยตัวเอง (Abstract Conceptualization)

นอกจากสรุปผลสิ่งที่ได้ลงมือทำในขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเพื่อประมวลผล แล้วสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ (ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้) ด้วยผู้เรียนเอง ซึ่งองค์ความรู้ใหม่นี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจไม่ใช่การท่องจำ เพราะผู้เรียนได้ลงมือทำและคิดทบทวนด้วยตัวเองในสองขั้นตอนแรกมาแล้ว แน่นอนว่าบางคนสามารถสังเคราะห์สิ่งที่เรียนรู้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่า ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนว่าเชื่อมโยงกับสิ่งที่ทำมากแค่ไหน 

และสี่ การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติใหม่ (Active Experimentation)

ขั้นตอนนี้ คือ การทดลองทำซ้ำ แล้วพัฒนาต่อยอด ยกตัวอย่างเช่น การปรับอาหารสูตรเดิมให้อร่อยขึ้น หรือพลิกแพลงเกิดเป็นเมนูใหม่ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนอย่างที่เชฟชอบทำกัน

หรือกรณีของแปลน เขาสนใจเรื่องแมลงตั้งแต่อายุราว 4 ขวบ ทดลองเลี้ยงและสตัฟฟ์แมลงไว้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ด้วงกว่าง แมงป่อง ตัวบึ้งหรือแมงมุมทารันทูลาที่หลายคนบอกว่ามีนิสัยดุร้าย ย้อนไปตอนนั้น ใครๆ ก็มองว่าแปลนน่าจะเติบโตไปเป็นนักกีฏวิทยา…แต่ไม่ใช่

แปลน บอกว่า แมลงเป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงไปยังความสนใจเรื่องอื่น

กระบวนการเรียนรู้ของแปลนได้ผ่านขั้นตอนที่ 1, 2 และ 3 แล้วนำไปสู่ขั้นตอนที่ 4 เมื่อเขานำประสบการณ์และทักษะไปปรับใช้กับการทำสิ่งใหม่ๆ ที่สนใจอยู่เสมอ เช่น เปิดธุรกิจทำร้านออนไลน์จำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับจักรยาน ชื่อ ‘14bike’

การดัดแปลงใส่กลไกให้กับของเล่นพื้นบ้านที่หลายคนมองว่าเชย ให้มีลูกเล่น น่าเล่น และน่าสนใจมากขึ้น รวมถึงการผลิตสื่อโฮโลแกรม 3 มิติที่ช่วยให้การเรียนเนื้อหาสาระหนักๆ เข้าใจง่ายและน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเก่า เช่น โฮโลแกรมเกี่ยวกับฝิ่นและประวัติความเป็นมาของฝิ่น โฮโลแกรมส่งเสริมการอ่านไว้ใช้งานที่ห้องสมุด และโฮโลแกรมฉายภาพพระทองคำเชียงแสน เป็นต้น

และล่าสุด การเปิดเมคเกอร์ สเปซ (Maker Space) พื้นที่ที่อนุญาตให้เด็กและเยาวชนในชุมชนได้เข้ามาออกแรงความคิด และใช้อุปกรณ์งานช่างทดลองทำโปรเจ็คท์ต่างๆ 

วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ Experiential Learning Theory อย่างไม่รู้จบ

ฝึกฝนวิธีการเรียนรู้ (Learning How to Learn)

ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ เดวิด โคล์บ ฉายภาพรวมให้เห็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่เป็นแนวทางสำหรับผู้เรียนในภาพกว้าง เป็นแนวทางจัดการศึกษาที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลก เช่น บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับของนิวซีแลนด์และสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถฝึกฝนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเจาะลึก เพื่อเติมเต็มศักยภาพของแต่ละคนได้อีก ในยุคที่แหล่งการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด

Learning How to Learn เป็นหนึ่งในคอร์สเรียนออนไลน์ (Massive Open Online Courseware: MOOC) ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก (ยอดลงทะเบียน ณ วันที่ 23 กันยายน 2019 อยู่ที่ 1,797,793 คน) โดยคอร์สเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2014 ในเว็บไซต์ Coursera.org มีอาจารย์ผู้สอน 2 คน ได้แก่

บาร์บารา โอคลีย์ (Barbara Oakley) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอคแลนด์ มิชิแกน ที่มีส่วนร่วมวิจัยงานหลายแขนง ทั้งด้านการศึกษาด้วย STEM การศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ และ การฝึกฝนการเรียนรู้

และ เทอร์เรนซ์ เซนาวสกี (Terrence Sejnowski) ผู้บุกเบิกด้านประสาทวิทยาการคำนวณ ที่ได้รับการยอมรับทั้งด้านการแพทย์และวิศวกรรม ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ สถาบันวิจัยซอล์คเพื่อการศึกษาชีววิทยา (Salk Institute of Biological Studies) สถาบันที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลมาแล้วถึง 11 คน

เนื้อหาหลักสูตร Learning How to Learn อ้างอิงงานวิจัยด้านประสาทวิทยา (Neuroscience) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองมนุษย์ จึงเป็นบทเรียนที่เชื่อถือได้ทั้งในทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ก่อนผลิตหลักสูตรออนไลน์นี้ บาร์บาราบอกว่า เธอเคยท้าทายศักยภาพตัวเอง ฝึกฝนการเรียนรู้ด้วยวิธีการลักษณะนี้มาก่อน

บาร์บาราเกลียดวิชาคณิตศาสตร์แต่ชอบภาษาศาสตร์มาก เมื่อไม่มีเงินเรียนหนังสือ เธอจึงตัดสินใจเข้าทำงานกับกองทัพสหรัฐเพื่อโอกาสในการเรียน เธอได้เรียนภาษารัสเซียและออกไปปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งเมื่ออายุ 26 ปี เธอหันมาเรียนคณิศาสตร์อย่างจริงจัง จนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมในที่สุด

เมื่อคนที่เอาแต่สอบตกวิชาคณิตศาสตร์อย่างเธอ เรียนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ได้ คนอื่นก็ต้องทำได้ หากรู้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง

สลับโหมด เปลี่ยนสมอง

เคยไหม…คิดแทบตายกลับคิดไม่ออก แต่พอไม่คิด…กลับคิดออกซะอย่างนั้น!!

เกิดอะไรขึ้นในสมองของเรา?

การคิดออก/ได้คำตอบเวลา ‘ไม่ได้คิด’ หรือ ไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องนั้นแล้ว แสดงให้เห็นการทำงานของสมอง 

หลายครั้งที่คิด คิดจนเหนื่อย เลยต้องหยุดคิด แต่ขณะที่เราคิดว่าเราหยุด เบื้องหลังสมองก็ยังทำงานครุ่นคิดกับเรื่องนั้นอยู่อย่างไม่รู้ตัว ภาวะนี้เรียกว่าความคิดใน diffuse mode

บาร์บาราอธิบายว่า โดยปกติสมองมีรูปแบบการทำงานในกระบวนการเรียนรู้อยู่ 2 สภาวะ คือ diffuse mode และ focus mode (การครุ่นคิดอย่างตั้งใจ)

สมองมนุษย์ทำงานใน focus mode ได้ดีและรวดเร็วกับเรื่องที่คุ้นเคยหรือเคยทำมาก่อน ยกตัวอย่าง คณิตศาสตร์ เช่น การบวกลบเลขที่ไม่ซับซ้อน หรือการท่องสูตรคูณ ที่ท่องได้ติดปาก เป็นต้น

แต่เมื่อเจอโจทย์ยาก focus mode ก็จอด!

คราวนี้การสร้าง diffuse mode ช่วยได้ ที่บอกว่าต้องสร้าง เพราะความคิดทั้งสองโหมดนี้ไม่สามารถทำงานได้ในเวลาเดียวกัน

diffuse mode เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย การทำให้สมองอยู่ในภาวะพัก (neural resting stage) เช่น เดินเล่น วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย อาบน้ำ หรือนอนหลับ หากเปรียบเทียบ diffuse mode ก็เหมือนภาวะที่สมองมีพื้นที่อิสระในการคิดมากกว่า focus mode 

ทำให้ระบบคิดหลุดออกจากรูปแบบเดิมๆ ที่เคยคิดเคยทำ สมองจึงพยายามเชื่อมโยงข้อมูล และประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในกระบวนการคิด

ดังนั้น การเรียนรู้ที่ดีจะเกิดขึ้นหากผู้เรียนบาลานซ์ focus mode และ diffuse mode ให้เกิดขึ้นสลับไปสลับมาอย่างต่อเนื่องได้ ผู้เขียนขอเรียกว่า การเรียนรู้แบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือ ค่อยๆ ทำ ซึ่งจะพูดถึงอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป

เปลี่ยนจาก ‘เดี๋ยวค่อยทำ’ เป็น ‘ค่อยๆ ทำ’

‘เดี๋ยวค่อยทำ’ กับ ‘ค่อยๆ ทำ’ ออกเสียงเผินๆ ฟังดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ในทางปฏิบัติให้ผลลัพธ์ต่างกันมหาศาล จากการศึกษา พบว่า การเรียนรู้อะไรสักอย่าง อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามแผนหรือแบบมีเป้าหมาย จะสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกว่าการอัดเนื้อหาหรือตะบี้ตะบันทำในเวลาสั้นๆ (cramming) เพราะการค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ทำ ทำให้สมองจดจำสิ่งที่เรียนรู้นั้นได้ดีและถาวรกว่า วิธีการนี้ใช้ได้กับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การทำงานอดิเรก เช่น การฝึกเล่นเครื่องดนตรี ฝึกเต้น ฝึกร้องเพลง ฝึกทำอาหาร ฯลฯ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลงมืออ่านหนังสือให้จบ 20 รอบในหนึ่งวัน สมองไม่สามารถจดจำหรือทำงานได้ดีเท่าอ่านหนังสือวันละ 1 รอบเป็นเวลา 20 วัน จึงไม่น่าแปลกที่การหักโหมอ่านหนังสือแค่ 1 วันก่อนสอบ ทำให้ผลการสอบพังพับไม่เป็นท่า เพราะเมื่อหลับตื่นขึ้นมาแล้วอาจรู้สึกว่าจำอะไรไม่ได้เลย

วิธีการสร้างความจำระยะยาว (long term memory) ต้องใช้ spaced repetition หรือ spaced rehearsal ด้วยการค่อยๆ อ่านสะสม ก่อนสอบอ่านทบทวนซ้ำๆ วันละนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 7-14 วัน การศึกษา พบว่า ยิ่งอยู่กับเรื่องนั้นนานเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสจำได้มากขึ้นเท่านั้น

เทคนิคการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่อยากแนะนำ มาพร้อมชื่อเก๋ๆ Pomodoro Technique เป็นแนวทางฝึกปฏิบัติสำหรับผู้เรียนที่อยากพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของตัวเอง แบบค่อยๆ ทำแต่ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนสมาธิสั้น เพราะ Pomodoro Technique เป็นเทคนิคที่ใช้เวลาสั้นๆ สร้างการเรียนรู้ แล้วมีสมองของเรานี่แหละเป็นตัวช่วยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปะติดปะต่อกัน

เทคนิคการจัดการเวลานี้ คิดค้นโดย ฟรานเซสโก ซีริลโล (Francesco Cirillo) ในปี 1980s แล้วถูกนำมาพูดถึงจนเป็นที่รู้จักอีกครั้งในหลักสูตร Learning How to Learn ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย แค่…

หนึ่ง ปิดช่องทางหันเหความสนใจ เช่น เก็บมือถือให้ห่างจากโต๊ะ ปิดทีวี หรือบางคนอาจชอบอยู่ในที่เงียบๆ ก็สามารถหามุมสงบๆ ของตัวเองได้

สอง โฟกัสด้วยการตั้งใจจดจ่อกับการอ่านหรือสิ่งที่ทำให้ได้ 25 นาที (สร้าง focus mode)

สาม พักเบรกผ่อนคลาย เดินเล่น จิบกาแฟ ฯลฯ 5 นาที (สร้าง diffuse mode)

และ สี่ ควบคุมตัวเองให้ได้ กลับมาโฟกัสกับสิ่งที่ทำอีก 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ทำแบบนี้ไปจนครบ 4 รอบ รอบที่ 4 พักยาวได้ 30 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ diffuse mode อย่างแท้จริง

ระยะเวลาที่ใช้โฟกัสปรับได้ตามความเหมาะสม สำหรับคนสมาธิสั้นอาจมองว่า 25 นาทีนั้นนานและยาก ปรับเอาให้ถูกจริตตามสถานการณ์และตัวบุคคล อาจลดเหลือ 20 นาที หรือเพิ่มขึ้นหากทำได้

นอกจากนี้ การเปลี่ยนคำพูดบอกกับตัวเองก็ช่วยปรับภาวะของสมองได้ ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกว่า “ฉันจะทำการบ้านให้เสร็จภายใน 25 นาที” ฟังดูแล้วกดดันตัวเอง จนเวลาผ่านไป ทำเท่าไรก็ทำไม่เสร็จเพราะคิดไม่ออก ให้ตั้งเป้าบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะทำการบ้านอย่างตั้งใจสัก 25 นาที” แทน เพื่อให้ focus mode ที่เกิดขึ้นไม่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่มากเกินพอดี

ทบทวน ไม่เท่ากับ อ่านซ้ำ ฟังซ้ำ ทำซ้ำ ตรงที่เดิม

เมื่อเอ่ยถึงการทบทวนบทเรียน เรานึกถึงอะไร?

กลับไปอ่านหนังสือซ้ำอีกครั้ง? กลับไปอ่านตรงปากกาไฮไลท์เพื่อย่นเวลา? ฯลฯ

การทบทวนที่บาร์บาราบอกไว้คือการ recall หรือ นึกย้อนถึงสิ่งที่ได้เรียน ได้อ่าน ได้ฟังหรือได้ทำ โดยยังไม่ต้องกลับไปอ่าน ฟัง หรือทำซ้ำ ส่วนนี้สอดคล้องกับวงจรการเรียนรู้ 4 ขั้นตอนของโคล์บในข้อที่ 2 และ 3

 ยกตัวอย่างเช่น ลองตั้งคำถามเพื่อทบทวนว่า

  • อะไรเป็นใจความสำคัญ (main idea) คอนเซ็ปท์ หรือสิ่งที่โดดเด่นจากเรื่องที่อ่าน/ฟัง/ทำ?
  • ถ้าต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง จะเริ่มอธิบายจากส่วนไหน และอธิบายว่าอย่างไร?

ลองเรียบเรียงด้วยภาษาและความเข้าใจของตัวเอง อาจใช้การพูดหรือการเขียน แล้วแต่ถนัด วิธีการ

นี่เป็นการเรียกคืนข้อมูลกลับเข้าสู่กระบวนการคิดของสมอง ช่วยให้เราไม่ตกหลุมพรางและคิดไปเองว่า เข้าใจเรื่องนั้นดีแล้ว (Illusion of competence) ทั้งที่จริงๆ เกิดขึ้นเพราะสมองรู้สึกคุ้นชิน กับหนังสือเล่มเดิมที่เคยอ่านผ่านตา จากประโยคที่เคยไฮไลท์ไว้เป็นสีสัน และจากเสียงที่เคยฟังมาก่อน 

เราไม่ได้บอกว่าการอ่านทบทวน การขีดไฮไลท์ การฟังหรือการทำซ้ำ ไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว การสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่า คือ การทบทวนด้วยความเข้าใจของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจจริงๆ ว่าส่วนไหนจำได้ จำไม่ได้ ส่วนไหนเข้าใจจริงๆ หรือยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วค่อยกลับไปอ่าน/ฟัง/ทำ อีกครั้งในส่วนที่ขาดหายไป

นอกจากนี้ การทบทวนที่ดีควรทำในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อปรับสมองให้ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วในสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ช่วยลดความตื่นเต้น และทำให้สมองทำงานได้ดีเมื่อเข้าห้องสอบ

 “Wisdom is not a product of schooling but of the life-long attempt to acquire it”.

– Albert Einstein 

“ปัญญาไม่ใช่ผลผลิตของการศึกษา แต่มาจากความพยายามทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มันมา”

– อัลเบิร์ต ไอสไตน์

Fun Fact!

การนอนหลับอย่างเพียงพอ จะช่วยให้สมองจัดเก็บข้อมูลสำคัญที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันได้ดี และสำคัญมากในการรักษาความจำในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยคัดกรองการจำสิ่งที่ไม่จำเป็นออกได้ด้วย ดังนั้น การให้สมองได้พักด้วยการนอน หลังจากการเรียน อ่านหนังสือหรือจากการทำกิจกรรมฝึกฝนทักษะต่างๆ จะช่วยให้จำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี และสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องต่อไปได้งานวิจัยทางสมองมากมายเห็นตรงกันว่า ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตเด็ก คือช่วงที่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึง 5 ปีแรก เพราะช่วงแรกนี้สมองของเด็กจะสร้างการเชื่อมต่อของนิวรอนเกิน 1 ล้านครั้งต่อวินาที หมายความว่า เซลล์ประสาทสามารถสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง แต่เมื่อโตขึ้นเราควรหาทางกระตุ้นสมองด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเซลล์ในสมอง หากไม่ถูกใช้งานจะเสื่อมและตายลงเรื่อยๆ

การออกกำลังกาย มีประโยชน์กว่าอาหารเสริมหรือยาบำรุงใดๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงสมอง เพราะการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้เซลล์สมองใหม่ที่เติบโตขึ้นอยู่รอดและแข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และความจำ

หมายเหตุ:
MOOC คือหลักสูตร (course) ที่เรียนออนไลน์ (online) จากระบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี (open) และรองรับผู้เรียนจำนวนมาก (massive) ผู้เรียนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปดูวิดีโอการบรรยาย เข้าไปฝึกปฏิบัติ ทำแบบทดสอบแบบฝึกหัด หรือเข้าไปร่วมสนทนากับผู้เรียนอื่นๆ ได้

คอร์สเรียนออนไลน์ Learning How to Learn คลิก , MOOC ในประเทศไทย คลิก 

ติดตามทฤษฏีการเรียนรู้จากประสบการณ์ เดวิด โคล์บ เพิ่มเติม ได้ที่
อ้างอิง
David Kolb
The Ultimate Skill: Learning How to Learn
สรุปบทเรียน Learning How to Learn
barbaraoakley

Tags:

Experiential Learning Theory(ELT)การเล่นครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Education trend
    Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend21st Century skills
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง
Voice of New Gen
18 October 2019

กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • กล้าดี D.I.Y ผลงานกระถางสำเร็จรูปจากวัสดุธรรมชาติ สู่การสร้างจุดขายที่ให้ลูกค้ามีส่วนในการปั้นกระถางรักษ์โลกขึ้นมาด้วยตัวเอง 
  • ความท้าทายของโครงการอีกหนึ่งอย่างคือ กล้าดี D.I.Y ยังต้องน่าซื้อน่าใช้ พร้อมผลิตเป็นสินค้าขายในท้องตลาดได้จริง
  • เพราะไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่โตใหญ่มาตั้งแต่เกิด มนุษย์เองก็เช่นนั้น เด็กๆ เจ้าของไอเดียกระถาง กล้าดี D.I.Y ต้องเปิดรับความรู้ที่เหมาะสม และทดสอบความรู้ด้วยการทดลองทำจริง และเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับผลงานที่พัฒนา
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

กระถางพลาสติกสำหรับเพาะกล้าไม้โดยทั่วไปแม้จะแข็งแรง แต่ก็มักสร้างปัญหาเวลาที่ต้องย้ายกระถางเพื่อนำกล้าไม้ไปปลูกลงดิน เพราะต้องใช้วิธีกระแทกก้นกระถาง บ้างก็ต้องเขย่าจนรากขาดดินกระจาย กล้าไม้ที่ควรจะโตก็กลับไม่รอดไปอย่างน่าเสียดาย

กล้าดี D.I.Y จึงเกิดขึ้นจากความคิดและฝีมือของน้องๆ มัธยมต้นจาก โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี แทนที่จะต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาการย้ายกระถางกล้าไม้ลงดิน มันคงดีและน่าสนุกกว่า ถ้าเราสามารถปั้นกระถางจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เพื่อใช้เพาะกล้า เวลาย้ายลงดินก็ย้ายไปทั้งกระถาง สะดวกสบายกว่า และกล้าไม้ก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะตายระหว่างการเดินทางจากกระถางไปสู่ดินด้วย

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของต้นกล้าที่โตในกระถาง ทั้งต้นกล้าที่เป็นพันธุ์ไม้จริงๆ และต้นกล้าในความหมายเปรียบเปรยถึงน้องๆ ที่โตดีเพราะกระถางนั้นมีรู

เปลี่ยนแนวคิดโลกกรีน เป็นผลิตภัณฑ์น่าสนุก

จุดเริ่มต้นของ กล้าดี D.I.Y นั้นมาจากการทำโครงงาน ‘การศึกษาวัสดุธรรมชาติที่เหมาะสมกับการปลูกต้นกล้าเพื่อทดแทนถุงพลาสติกดำและกระถางพลาสติก’ ของ คิม-ชุติชัยกิจสุวรรณรัตน์, การ์ตูน-สุชานรี พรธานิศกุล และ มิ้นต์-ญภา วังกรานต์ ในโครงการ Smart Class ของโรงเรียนสงวนหญิง ซึ่งทั้งสามรับช่วงโครงงานต่อมาจากรุ่นพี่ที่ได้ริเริ่มโครงการไว้อีกทอดหนึ่ง

ก่อนจะเป็น กล้าดี D.I.Y ที่ให้ผู้ใช้ประดิษฐ์กระถางด้วยตัวเองสมชื่อนั้น กระถางในเวอร์ชั่นแรกนั้น ทีมนำถั่วลิสงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตขึ้นรูปกระถางแบบพร้อมใช้ ซึ่งผลงานผ่านเวทีการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ก่อนที่ทีมจะได้แรงสนับสนุนจากอาจารย์ที่ปรึกษาให้เข้าร่วมต่อยอดผลงานในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ซึ่งได้เปลี่ยนผลงานของทั้งสามให้มีจุดขายมากขึ้น

ส่วนกล้าดี D.I.Y เวอร์ชั่นล่าสุดเป็นชุด D.I.Y. ที่ประกอบด้วยเปลือกถั่วลิสง ตัวประสาน แม่พิมพ์ ไม้คน พร้อมคู่มือวิธีการ ลูกค้าที่ซื้อไปสามารถปั้นกระถางถั่วลิสงขึ้นมาเองได้ง่ายๆ และช่วยให้เวลาย้ายต้นกล้าลงดินสะดวกสบายขึ้น

“กระถางทำจากวัสดุธรรมชาติ มีถั่วลิสงเป็นธาตุอาหารให้พืชในตัวด้วย ปกติแล้วถ้าปลูกในถุงพลาสติกหรือกระถางดำ เราต้องย้ายต้นไม้จากกระถางไปปลูกลงดิน แต่ของเราไม่ต้องย้ายกระถาง ปลูกลงไปในดินได้เลย ลดปัญหาเรื่องรากขาด ดินแตก ต้นพืชตาย” มิ้นต์เสริมความ

อย่างไรก็ตาม กว่าที่ผลงานจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ คิม-การ์ตูน-มิ้นต์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ เพราะการเปลี่ยนรูปแบบผลงานหมายถึงงานหนักที่เพิ่มขึ้น จนทั้งสามต้องชวน นุ่น-พิชาพร ทรัพย์สวนแตง, ปัน-อธิปัญญ์ เทพทอง และ นันท์-นภัสนันท์ กลับสงวน เข้ามาเสริมทัพ

บน: การ์ตูน นุ่น มิ้นต์ นันท์ ล่าง: คิม ปัน

ทำวิจัยเชิงพาณิชย์ ของต้องดีและต้องขายได้!

กว่าจะได้กล้าดี D.I.Y เวอร์ชั่นแรกมานั้น ทีมเองก็ต้องทำวิจัยในรูปแบบของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในการหาสูตรของส่วนประกอบต่างๆ ที่ลงตัวให้สามารถขึ้นรูปเป็นกระถางถั่วลิสงได้ ซึ่งนั่นก็ถือว่ายากแล้ว

แต่ความยากของ D.I.Y เวอร์ชั่นล่าสุดคือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์เชิงพาณิชย์ กล่าวคือการวิจัยสัดส่วนและออกแบบผลิตภัณฑ์ของวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบในการทำกระถาง เพื่อให้ลูกค้าซื้อไปทำเองได้ ซึ่งเหมือนจะง่าย แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ง่าย ทั้งในแง่ของส่วนประกอบและดีไซน์ของผลิตภัณฑ์

“ตอนแรกที่ทำโครงงานเราจะขายแค่ตัวกระถาง แต่พอเปลี่ยนเป็นชุด D.I.Y. ให้ลูกค้าทำเอง ก็ต้องคำนึงถึงผู้ใช้มากขึ้นว่าเขาจะปั้นกระถางได้ไหม เขาจะขึ้นรูปยากไหม เราก็ต้องปรับให้เป็นวิธีปั้นกระถางให้ง่ายพอสำหรับคนที่ไม่เคยทำด้วย” นันท์เกริ่นถึงความกังวลใจของทีม

ขณะที่มิ้นต์ช่วยจะเสริมว่า “มันยากตรงที่เหมือนเอางานของเราไปให้ลูกค้าทำ เราต้องคำนึงถึงลูกค้า ต้องคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่อยากให้เขาหงุดหงิดจนไม่อยากทำ ต้องให้เขารู้สึกสนุกไปกับงานของเรา”

จากข้อกังวลข้างต้นนั้น ทีมก็เจอปัญหาจริงๆ ในตอนทดลองทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้ว

“ตอนแรกเราใส่ภาชนะตัวประสาน (กาว) แยกไว้ในถุงซิปล็อค แต่พอเอามาเทใส่แม่พิมพ์เพื่อผสมตัวประสานกับวัสดุธรรมชาติ ตัวประสานรีดออกมาจากถุงได้ไม่หมด อัตราส่วนจึงเพี้ยน ทำให้ขึ้นรูปไม่ได้ เราก็ต้องมาทดลองสูตรกันใหม่ ทำยังไงจะแก้ปัญหานี้ได้ โค้ชก็แนะนำให้เอาตัวประสานใส่ในแม่พิมพ์ไปเลย แล้วค่อยเอาวัสดุธรรมชาติมาใส่ผสมกันทีหลัง ซึ่งกว่าจะทำได้ตามสูตรก็ต้องทดลองกันหลายสิบครั้ง ทดลองไปเรื่อยๆ หาสาเหตุไปเรื่อยๆ ไม่กาวน้อยไป น้ำก็ยังไม่พอ ค่อยๆ ปรับสูตรทีละนิดจนลงตัว” มิ้นต์ยิ้มหลังเล่าจบ

หลังจากพัฒนาจนลงตัว ทีมก็นำผลิตภัณฑ์ไปให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้ ซึ่งกลุ่มผู้ใช้นั้นมีทั้งนักเรียนและคุณครูที่โรงเรียนสงวนหญิง รวมไปถึงผู้ปกครอง โดยนอกจากนำเสนอผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมยังมีการเก็บข้อมูลแบบสอบถามเพื่อประเมินความพอใจของผู้ใช้ ทั้งในด้านแพ็คเกจจิ้งและความสะดวกสบายในการใช้ ซึ่งส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับไปในทางดี

และกระบวนการนี้ก็ทำให้ทีมได้เรียนรู้ถึงการทำงานร่วมกับผู้ใช้ว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการพัฒนาผลงานไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

“งานอื่นเราให้แค่กลุ่มเล็กๆ ได้ทดลองใช้ เช่น กรรมการ แต่พอเราทำผลิตภัณฑ์ที่มีคนซื้อ เราต้องขยายกลุ่มทดลองให้หลากหลายมากขึ้น และเรียนรู้เรื่องการรับฟังเขา เข้าใจเขา ฟังมุมของเขาว่าต้องการอะไร เพราะเราเป็นคนทำเราทำได้ เขาอาจจะทำไม่ได้ เราต้องฟังเขาแล้วปรับให้สะดวกกับเขามากที่สุด” นันท์เล่าอย่างกระตือรือร้น

เป็นต้นไม้ในกระถางที่มีรู

คนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วนั้น ยากที่จะพัฒนาตนเองได้ เพราะต่อให้ใครป้อนความรู้ใหม่ๆ ให้ถึงที่ก็ล้นออกนอกแก้วเสียหมด แต่สำหรับทีมกล้าดี D.I.Y พวกเขาไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว และก็ไม่ใช่แค่น้ำไม่เต็มแก้วด้วย แต่เป็นเหมือนกล้าไม้ในกระถางที่มีรู

หากกล้าไม้จะเจริญเติบโตได้ด้วยการอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของดินที่หมาดนุ่ม ซึมซับน้ำใหม่ในปริมาณที่พอเหมาะ และปล่อยทิ้งน้ำเสียออกทางรูกระถางเพื่อเหลือที่ว่างให้อากาศฉันใด มนุษย์ก็พัฒนาตนเองได้จากการเปิดใจสร้างพื้นที่ให้พร้อมรับการเรียนรู้ เลือกซึมซับความรู้ที่จำเป็นและเหมาะสม และที่สำคัญคือ ปล่อยทิ้งความทะนงตนและความพลาดหวัง เพื่อเหลือที่ว่างให้จินตนาการและความฝันฉันนั้น

นั่นเองคือสิ่งที่ทีมกล้าดี D.I.Y ทำ

“เรารับฟังและแก้ตามคำแนะนำของโค้ชตลอด ซึ่งมันต้องแก้หลายครั้งมาก ก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกให้แก้ทีเดียวไปเลย (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องย้อนมองความเป็นจริงว่าผลงานเรามันยังไม่ดีพอจริงๆ พี่เขาช่วยเราพัฒนา เราก็ต้องยอมรับความคิดเห็นเขา เขาก็เปิดใจให้เราเสนอ ก็แชร์กัน ทำให้ผลงานออกมาดีที่สุด ซึ่งพี่โค้ชก็ทำให้ผลงานมันดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก เกินกว่าที่เราคาดหมายตั้งแต่แรก เป็นสิ่งที่สอนเราว่าทำอะไรก็แล้วแต่อย่าท้อ พยายามรับฟังความคิดเห็นคนอื่นแล้วมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างสวยงาม แม้ต้องเปลี่ยนสูตรบ่อย เหมือนที่โธมัส เอดิสัน ทำเป็นพันๆ ครั้ง มันไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่” นันท์กล่าวพร้อมยิ้มสดใส

“จากที่คิดแค่ว่านำเสนอคุณครูในชั้นก็จบ ไม่คิดว่าจะแข่งขันหรือพัฒนาต่อ การเข้าโครงการต่อกล้าฯ เหมือนเป็นกำไรของพวกเรา นอกจากพัฒนาผลงานได้เกินจากที่คิดไว้ ยังได้ความรู้เยอะมาก และเป็นความรู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียน ทั้งการตลาด UX-UI (User Experience ประสบการณ์ผู้ใช้/User Interface โครงสร้างหรือรูปร่างหน้าตาที่ช่วยให้การทำ UX สมบูรณ์และพร้อมใช้) การสร้างช่องทางสื่อสารกับลูกค้า ทำคิวอาร์โค้ด เปิดแฟนเพจตามที่พี่โค้ชแนะนำ ก็มีคนติดตามสนใจงานเรามากขึ้น และมีคนสั่งซื้อแล้วด้วย” มิ้นต์เสริมอย่างร่าเริง

เพราะไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่โตใหญ่มาตั้งแต่เกิด ทุกต้นล้วนต้องเคยผ่านการเป็นเมล็ดเล็กๆ ที่บอบบางมาก่อน มนุษย์เองก็เช่นนั้น เมื่อเปิดรับความรู้ที่เหมาะสม และทดสอบความรู้ด้วยการทดลองทำจริง ความเติบโตก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กับผลงานที่พัฒนาขึ้น

เหมือนเช่น กล้าดี D.I.Y จากผลงานกระถางสำเร็จรูปจากวัสดุธรรมชาติ สู่การสร้างจุดขายที่ให้ลูกค้ามีส่วนในการปั้นกระถางรักษ์โลกขึ้นมาด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือ งานนั้นขายได้จริงผ่านช่องทาง Facebook Fan Page: Kladee DIY และมีโอกาสที่จะเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก

นี่คือความเติบโตของกล้าดี D.I.Y และแน่นอนว่าคือการเติบโตของกล้าพันธุ์ดีทั้ง 6 ชีวิตด้วย

“จากกระถางที่ขายตามตลาดทั่วไป พอได้เข้าโครงการฯ ได้พัฒนามาเรื่อยๆ จากกระป๋องที่มีไม้ลุ่ยๆ ค่อยๆ พัฒนาให้มีถุง มีโลโก้ มันสวยขึ้นมาก ดีใจที่ผลงานมีคนที่สนใจและซื้อไปใช้” การ์ตูนกล่าวอย่างมีความสุข

“งานนี้มีความหมายสำหรับเราทุกคน เป็นผลงานที่มาจากมือเราเอง เราเริ่มต้นมันมาแล้วผลงานได้ไปอยู่ในมือคนอื่น คนอื่นได้ใช้ผลงานที่มาจากความคิดเรา รู้สึกภูมิใจที่เรามาไกลมาก จากผลงานที่ตั้งใจแค่นำเสนอครูให้จบๆ ไป กลายมาเป็นผลงานที่คนอื่นเอาไปใช้ ภูมิใจที่เขาได้ใช้ผลงานของเรา” มิ้นต์เผยความรู้สึก

“ผลงานของเราอาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่เราทำด้วยความใส่ใจ” นันท์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราทุกคนเริ่มจากศูนย์และตั้งใจทำให้ดีที่สุด หวังว่าคนที่นำผลงานไปใช้จะมีความสุข สนุก ใช้ได้จริง ที่ผ่านมาเราไม่ยอมแพ้ สู้ทำจนถึงที่สุด ไม่ปิดกั้นความคิดตัวเอง และอย่าปิดกั้นความคิดเห็นคนอื่น ถ้าเราทำอะไร ทุกคนทั่วโลกจะได้ใช้มัน นั่นคือความคิดที่เป็นบวกจะทำให้ผลงานออกมาดีและสร้างสรรค์ ถึงวันนี้ต้องบอกว่า กล้าดี D.I.Y เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ส่วนต่อกล้าฯ ได้ให้สิ่งที่จะอยู่ไปตลอดชีวิตค่ะ (ยิ้ม)

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมD.I.Y

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน
Life Long Learning
18 October 2019

การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

เรื่อง The Potential

ที่แม่กลอง ความรู้อยู่ที่ ‘ท้องร่อง’ ไม่ใช่ห้องเรียน

ทองคำ เจือไทย คุณป้านักวิจัยวัย 67 เชื่อว่าความรู้จริงๆ เกิดจากการลงมือทำ และพื้นที่เรียนรู้สำคัญคือ ชุมชน โดยเฉพาะถ้า… 

เริ่มจากความสงสัยว่าทำไมอาชีพจับปูแสมถึงหายไปจากชุมชน สู่การลงมือพาเด็กในโรงเรียนหาคำตอบแบบบ้านๆ ออกไปคุยกับคนจับปู ไปศึกษาชีวิตปู ไปดูว่าปูอยู่อย่างไร กินอะไร แล้วทำไมมันถึงหายไป

จากนั้นถอดบทเรียนจากข้อมูล วิเคราะห์ให้เห็นปัญหา นำพาไปสู่การรู้สาเหตุ ถอดรหัสเพื่อแก้ไข และในที่สุด…ปูแสมก็กลับบ้าน – แม่กลอง

ทั้งหมดทั้งมวลคือกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กๆ ผ่านการลงมือทำ และไปสัมผัสประสบการณ์จริง โดยไม่ต้องเปิดตำรา

แล้วป้าได้อะไร? ป้าบอกว่า “นี่คือชีวิตของฉัน” ที่จะไม่ยอมอยู่กับที่และดักดาน

และนี่คือการศึกษาที่ (ป้า) ออกแบบเอง

Tags:

Growth mindsetGritสิ่งแวดล้อมนักวิจัยทองคำ เจือไทยactive citizen

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต
Everyone can be an Educator
17 October 2019

ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • สวน แม่น้ำ ชุมชน คือวัตถุดิบสำคัญที่ ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการ Active Citizen ของสมุทรสงครามและราชบุรี นำมาใช้ในห้องเรียนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่แม่กลอง
  • ตั้งต้นจากเรื่องใกล้ตัวที่เขาสนใจ คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ผ่านการทำโครงการ หรือ Project Based Learning แบบไร้การบังคับให้เลือกหัวข้อ โค้ชหรือพี่เลี้ยงทำหน้าที่เพียงกระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ช่วยชี้แนะและพาให้เขาได้สัมผัสกับเรื่องราวในชุมชน
  • หัวข้อทั้งหมดล้วนใกล้ตัว อย่าง น้ำขึ้นน้ำลง พระจันทร์ขึ้น หรือดวงอาทิตย์ตก เพราะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุดนี่แหละคือชีวิตในอนาคตของพวกเขา
  • จากการได้ลงมือทำ ผลที่ตามมาคือ การเท่าทันปัญหาแบบมีเหตุมีผล คิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความซับซ้อนสูง

หากพูดถึง องค์กรพัฒนาเอกชน (Non Government Organization-NGO) ที่ทำงานประเด็นการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและจังหวัดข้างเคียง ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ หรือ ธเนศ ผู้บริหารโครงการ Active Citizen ของสมุทรสงครามและราชบุรี คือชื่อลำดับต้นๆ บนทำเนียบคนทำงาน ในฐานะนักออกแบบการเรียนรู้ด้วยวัตถุดิบในชุมชน ธเนศไม่ใช่แค่ ‘ครู’ นอกห้องเรียนของเด็กๆ แต่ในสายตาคนทำงาน เขาคือมือหนึ่งในการสร้างเครือข่ายคนทำงานในพื้นที่และรู้ว่าจะทำให้เครือข่ายเหนียวแน่นได้อย่างไร

ธเนศ – ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ

บ่ายวันอาทิตย์ริมแม่น้ำแม่กลอง The Potential ฉกตัวธเนศจากห้องเวิร์คช็อปเด็กๆ ในโครงการ Active Citizen ชวนคุยถึงวิธีคิดและการออกแบบโครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเองผ่านการทำโครงการ (Project Based Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้ได้มีประสบการณ์จริงจากเรื่องใกล้ตัวในชุมชน และไม่ได้ล้าหลังดั่งภาพจำเวลาพูดถึง ‘การทำงานชุมชน’ เขาเชื่อว่านี่คือพื้นที่การเรียนรู้ที่สร้างทักษะชีวิตจากประสบการณ์จริง เป็นพื้นที่ติดอาวุธ ‘การคิดเชิงระบบ’ (Thinking Systems Thinking) ในเยาวชนอย่างได้ผล

ก่อนจะว่ากันถึงตรงนั้น ธเนศเท้าความกลับไปราวปี 40 ท่ามกลางวิกฤติฟองสบู่ที่ทำให้เขาและคนจำนวนหนึ่งกลับบ้าน ธเนศคล้ายคนส่วนใหญ่ที่ออกจากแม่กลองเพื่อไปเรียนหนังสือในเมืองหลวง เมื่อกลับบ้านมาได้พบกับคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและด้านเยาวชน จับมือพาเขาทบทวนที่มาที่ไปในบ้านเกิดตัวเอง สิ่งที่เคยเป็นเรื่องธรรมดาอย่างรสชาติของน้ำที่แตกต่างตามช่วงเวลา (น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม) ไปจนถึงเหตุผลการล่มสลายของอาชีพชาวสวนในแม่กลอง ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า แม้มีความรู้ได้ใบปริญญา แต่ไม่เคยมีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับความรู้จากเรื่องใกล้ตัว

การได้กลับบ้าน การมีผู้ใหญ่ในแม่กลองพาทบทวนสถานการณ์ตรงหน้า มีคนมาบอกถึงวิกฤติที่เกิดแล้วและกำลังจะเกิดต่อไป ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองหนักๆ ว่า การศึกษาแบบไหนที่จะทำให้คนไม่เพิกเฉยกับองค์ความรู้ภูมิปัญญาชุมชน ทรัพยากรของแม่กลองทั้งธรรมชาติและคนจะเป็นอย่างไรหากไม่มีคนลุกขึ้นมาทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งที่เริ่มจากคนใน และอะไรคือตัวแปรที่จะทำให้สถานการณ์ที่ว่ามานี้ไม่เกิดหรือเกิดน้อยที่สุด

คำตอบคือ …คน ต้องมีสักคนที่ลุกขึ้นมาทำงานกับทรัพยากรบุคคล กับเยาวชน อย่างน้อยๆ เขาอยากเป็นคนนั้น

นั่นคือจุดตั้งต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาทำงานพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่แม่กลอง

สถานการณ์เยาวชนในแม่กลองช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ (ปี 2543) เป็นอย่างไร

ต้องเล่าย้อนถึงวิกฤติแม่กลองที่ทำให้คนแม่กลองจำนวนหนึ่งเข้ากรุงเทพฯ รวมถึงพี่เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตอน ม.3 คือวิกฤติน้ำเค็มรุกเข้าพื้นที่เมื่อปี 2525 ทำให้อาชีพสวนตาล สวนผลไม้ สวนมะพร้าว มันล่มสลาย หลายคนเปลี่ยนอาชีพหรือออกไปทำงานในเมือง แต่ว่าตอนนี้ระบบนิเวศน้ำกลับเป็นปกติ แต่ถามว่าเราเข้าใจถึงวิกฤติน้ำในครั้งนั้นไหม ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ

น้ำเค็มเกิดจากการสร้างเขื่อนที่กาญจนบุรี ประกอบกับเหตุการณ์ภัยแล้งในช่วงนั้น น้ำที่เคยไหลมาดันน้ำเค็มไม่ให้เกินที่อัมพวาจึงไหลมาไม่ได้ น้ำเค็มทะลักเข้าไปในสวนทำให้อาชีพเกษตรกรขณะนั้นล่มสลาย แต่มันเป็นการเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลานั้น หลังเขื่อนเก็บน้ำได้แล้วมันก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ระหว่างนั้นคนย้ายถิ่นฐาน คนเปลี่ยนวิธีคิดไปหมดแล้ว ตอนนั้นมันมีความคิดเกิดขึ้นกับชาวบ้านแล้วว่าต้องส่งลูกเรียนสูงๆ เพราะอาชีพเกษตรกรไปไม่รอด เลี้ยงตัวเองไม่ได้ อย่างบ้านพี่แม้จะพอมีฐานะและเลือกที่จะไม่ย้ายไปที่อื่น เราก็กลายเป็นคนที่มีหนี้สิน เสียที่ดินเพราะเราไม่เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงพวกนี้

ทีนี้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้ใหญ่ เมื่อพ่อแม่ไปทำงานกรุงเทพฯ ทำงานที่โรงงานต่างจังหวัด ทิ้งเด็กไว้กับปู่ย่าตายาย ซึ่งเด็กก็ถูกส่งให้ไปเรียนหนังสือท่ามกลางปัญหาสภาพเศรษฐกิจ ทุกคนไขว่คว้าอยากเรียนสูงๆ โดยละทิ้งภูมิปัญญา ละทิ้งเรื่องราวอาชีพเกษตรในท้องถิ่น พี่เองก็ถูกสอนเลยว่าต้องเรียนสูงๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาทำอาชีพแบบนี้ ฉะนั้นเด็กถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาตลอด รถตู้เข้ากรุงเทพฯ เต็มหมดในวันเสาร์-อาทิตย์เพราะเด็กถูกส่งไปเรียนพิเศษในเมือง วัยรุ่นหรือวัยกลางคนในแม่กลองจะหายไปเพราะย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่นหมดเลย ที่เหลืออยู่เป็นคนแก่หรือวัยรุ่นวัยกลางคนที่อาจมีคุณภาพน้อย เพราะคนเก่งๆ ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเมืองหมด เราเลยรู้สึกว่าเรื่องเด็กเยาวชน การดูแลฐานทรัพยากรเป็นเรื่องสำคัญมาก

นอกจากสถานการณ์ทรัพยากรคนรุ่นใหม่ในแม่กลองที่ส่อแววไม่สู้ดี มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่าที่สะกิดให้คุณให้ความสำคัญกับงานพัฒนาเยาวชน

ตอนนั้นมีโครงการหนึ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่’ โดย อาจารย์ขวัญสรวง อติโพธิ (อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรและนักเขียนบทความอิสระ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเมืองและพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม) ลงมาทำงานเรื่องชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่ แม่กลอง มีวีดิทัศน์เรื่องหนึ่งซึ่งสะท้อนชีวิตส่วนตัวของเรามาก คือพูดถึงการมองแม่กลอง พูดถึงอาชีพในแม่กลองว่าเป็นอาชีพที่เด็กไม่ได้สนใจแล้ว ทำให้เราตั้งคำถามว่า ที่เด็กไม่สนใจเพราะเขาไม่รู้รึเปล่า ไม่รู้เหมือนที่เราไม่รู้ตอนย้ายออกไปเรียนที่กรุงเทพฯ เราไม่รู้ว่าบ้านเรามีคุณค่าอะไร โครงการนี้ทำให้พี่รู้สึกว่า “ไม่รู้ล่ะ แต่ฉันต้องทำงานให้เยาวชนรู้เรื่องพวกนี้” ปลูกฝังให้เขารักบ้านเกิด ให้เข้าใจว่าบ้านเกิดมีดีอะไร

วิธีคิดที่อยากให้เด็กเข้าใจบริบทชุมชนและเห็นคุณค่า นำมาซึ่งการออกแบบกระบวนการเรียนรู้อย่างไร

สมัยยังทำโครงการเยาวชนรักแม่กลอง เราพาเด็กเรียนรู้เกี่ยวกับแม่น้ำและสร้างเครือข่ายของกลุ่มให้เข้มแข็ง แต่พอทำไปได้ระยะหนึ่งกลุ่มเยาวชนรักแม่กลองก็ซบเซา เพราะเป็นธรรมดาที่เมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องออกไปเรียนต่อในเมืองหรือไปทำงานข้างนอก เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าหากอยากให้กิจกรรมมันดำเนินอย่างต่อเนื่อง ถ้าอยากสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้มีจิตสำนึกทางสังคมติดตัวเขาไปตลอดไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนนั้นต้องทำยังไง จนมาเจอ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ในโครงการ Active Citizen ที่สนใจทำงานเยาวชนในประเด็นชุมชน เลยเป็นที่มาของการออกแบบโครงการทั้งหมด คือเป็นความสนใจส่วนตัวและของโครงการด้วย

วิธีการออกแบบคือ ให้เยาวชนเลือกเรื่องที่ตัวเองสนใจมาทำโครงการ ออกแบบให้เด็กเรียนรู้บ้านเกิดและท้องถิ่นตัวเอง การเรียนรู้คือการต้องลงไปสัมภาษณ์ ไปพูดคุย ทำกิจกรรมกับผู้ใหญ่ในชุมชน การเรียนรู้เรื่องราวในท้องถิ่นก็ต้องเป็นเรื่องที่เขาสนใจ ไม่บังคับว่าเขาต้องทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ นึกถึงตัวเราเอง เรื่องที่เราไม่สนใจเราก็ไม่ใส่ใจ แต่เรื่องที่เราสนใจก็จะมุ่งมั่นใส่ใจทำ เหน็ดเหนื่อยเท่าไรก็อยากจะทำ เขาใช้เวลา 3-4 เดือนทำโครงการ และจะมีทีมโค้ชเป็นพี่เลี้ยงให้

หน้าที่สำคัญของโค้ชคืออะไร ทำไมการเรียนรู้ลักษณะนี้ต้องมีโค้ช

การทำให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และทำงานในชุมชนจนสำเร็จและเกิดการเรียนรู้นั้น หัวใจสำคัญคือต้องมีคนคอยกระตุ้น ตั้งคำถาม ให้โอกาส และคอยแนะนำ ให้เขาได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนในชุมชน สำคัญคือการได้ลงมือทำ ได้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเองตามความสนใจของเขา

เนื่องจากเด็กๆ ส่วนใหญ่เติบโตมากับการอยู่ในห้องเรียนมากกว่าการได้สัมผัสเรื่องราวในชุมชน เขาอาจยังไม่มีมุมมองและยังไม่เล็งเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เหมือนเราเป็นคนทำหน้าที่กระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ช่วยชี้แนะและนำพาให้เขาได้สัมผัสกับเรื่องราวในชุมชน เราเรียกคนคนนี้ว่า ‘โค้ช’ หรือพี่เลี้ยง และโค้ชก็อาจมีได้ในหลายๆ ระดับด้วย

สามปีแรกออกแบบให้เด็กเรียนรู้จากการทำโครงการชุมชน โครงการปีนี้ ออกแบบการเรียนรู้ของเด็กอย่างไร

ในช่วงโครงการปีแรกๆ ที่เราใช้กระบวนการเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ เรียนรู้สรุปบทเรียนเป็นระยะๆ ถามว่าทั้งหมดนี้ใช้กระบวนการแบบวิจัยไหม จริงๆ มันก็เป็นกระบวนการวิจัยแบบหนึ่งแล้วนะ แต่อาจไม่ได้เน้นย้ำที่จุดเริ่มต้นการพัฒนาโจทย์วิจัยที่เน้นการกระตุ้นให้เด็กตั้งคำถาม แบบ… ให้มี ‘เอ๊ะ’ ก่อนในช่วงเริ่มต้น ที่ผ่านมาจะเป็นไปในลักษณะที่ …ถ้าเด็กอยากทำอะไรก็เปิดพื้นที่ให้เขาลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ ลงไปหาความจริง

แต่ภายใต้กระบวนการวิจัยในปีนี้ เราเริ่มที่การตั้งโจทย์ปัญหาก่อน กระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ให้โตขึ้น หลังจากนั้นเขาจะต้องค้นหาวิธีการเพื่อหาข้อมูลและต้องออกแบบกระบวนการวิจัย ออกแบบวิธีการลงไปเก็บข้อมูล ออกแบบวิธีการลงไปพูดคุย เอาข้อมูลไปวิเคราะห์เสียก่อนแล้วจึงค่อยบอกว่าจะแก้ปัญหาหรือหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง

ทำไมปีนี้จึงเน้นใช้เครื่องมือวิจัยให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

เพราะงานวิจัยเป็นเครื่องมือที่เห็นผล เท่าทันปัญหาแบบมีเหตุมีผล และในสังคมยุคใหม่ที่เราต้องการคนที่มีทักษะศตวรรษที่ 21 ที่ต้องคิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความซับซ้อนสูง ถ้าเขาไม่มีข้อมูลรอบด้าน ไม่มีวิธีคิดอย่างเป็นระบบหรือวิธีชั้นสูง เขาจะอยู่ยาก เพราะจะเห็นแค่ปรากฏการณ์แต่ขาดเหตุขาดผล เครื่องมือวิจัยไม่ได้ถูกใช้แค่นักศึกษาปริญญาตรี โท เอก แต่ใช้กับงานวิจัยในชาวบ้านและในเยาวชน ทำให้เป็นคนที่มีคุณภาพ มีเหตุมีผล คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีวิจารณญาณในการตัดสินใจทางเลือกทางออกในการใช้ชีวิตในสังคมที่มันซับซ้อนตรงนี้ได้

เวลาได้ยินคำว่าทำงานชุมชน หลายคนติดภาพการทำงานที่ล้าหลัง เด็กที่อยู่ในชุมชนต้องไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกแน่ๆ แต่ฟังกระบวนการแล้วตรงกับเรื่องการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และทักษะที่เด็กได้ในสมัยใหม่เลย

เราอาจเห็นว่าคนในชุมชนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พัฒนา ทำอะไรเหมือนเดิม แต่ลืมไปว่าเด็กรุ่นใหม่เขาเติบโตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง อยู่กับเทคโนโลยีที่ต้องเรียกว่าคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเอาจริงๆ เราเรียนรู้กับเรื่องภายนอก ละเลยการเรียนรู้เรื่องพื้นฐานที่เขาเองเดินผ่านไปมาทุกวัน น้ำขึ้นน้ำลง พระจันทร์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก งานวิจัยให้คนเข้าไปหาความจริงที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุดนี่แหละคือชีวิตในอนาคตของเขา

อยากให้ขยายภาพความเชื่อมโยงระหว่างการทำโครงการในชุมชน กับ ทักษะที่จะเกิดกับเด็กๆ

เวลาเด็กไปคุยกับชาวบ้าน ถ้าเด็กไม่มีทักษะตั้งคำถาม ไม่มีวิธีคิด ฟังไปก็ได้แค่รับรู้ ภายใต้โครงการ Active Citizen เราฝึกให้เด็กตั้งโจทย์ เด็กต้อง ‘เอ๊ะ’ ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เห็นแล้วลงไปหาคำตอบ ลงไปอยู่กับความจริงในพื้นที่

มากกว่านั้นคือเมื่อเด็กลงไปหาผู้ใหญ่ เขาจะได้ฝึกอยู่กับคนที่แตกต่างหลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ต่อธรรมชาติกับคน ความสัมพันธ์ต่อเทคโนโลยีที่เด็กจะเอาไปใช้ในการที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เขาจะไปเผชิญ เรากำลังพาเด็กไปเผชิญสิ่งที่เขาไม่เคยเจอในห้องเรียน นี่คือทักษะชีวิต ปัจจุบันเด็กไม่มีทักษะชีวิตเพราะมีคนวางเส้นทางให้เขาเดินหมดเลย เขาไม่เคยผ่านความท้าทาย ผ่านความยากลำบาก แต่โครงการ Active Citizen ที่เรากำลังทำผ่านงานวิจัยพาเขาผ่านความท้าทาย ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาเปิดโลกกว้างไม่ใช่อยู่ในตำราอย่างเดียว ทำให้เขา ‘เอ๊ะ’ และ ‘อ๋อ… มันเป็นแบบนี้นี่เอง’ ด้วยตัวเอง

ความท้าทายหนึ่งของโครงการคือการทำงานกับเด็กๆ ที่ไม่ได้มีแต้มต่อทางสังคม อยากให้ช่วยขยายภาพเด็กๆ ที่เข้ามาเรียนรู้ในโครงการ

ด้วยพ่อแม่ต้องออกไปทำมาหากิน ทำสวน ออกไปทำงานข้างนอก ค่าใช้จ่ายในชีวิตมันเยอะ ฉะนั้นเขาต้องปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ทำอาชีพเดียวไม่พอ นอกจากทำสวนก็ต้องออกไปทำงานข้างนอกด้วย ขณะเดียวกันเด็กในชุมชนก็ต่างคนต่างอยู่ อยู่กับทีวี คอมพิวเตอร์ เงิน เวลาเด็กอยู่ในชุมชน ภาพคือเช้าไปโรงเรียน เย็นกลับบ้าน บางทีไม่ได้เจอพ่อแม่เพราะออกไปทำงาน กลับถึงบ้านเด็กก็หลับไปแล้ว มิติความสัมพันธ์แบบนี้ในสมุทรสงครามมีปัญหาเยอะมาก ขณะเดียวกันเรายังมีปัญหาเรื่องครอบครัวแตกแยก หย่าร้าง เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายซึ่งมีความแตกต่างทางอายุอยู่ เด็กกับผู้ใหญ่อาจเรียนรู้คนละยุค เลยทำให้มันมีปัญหาในมิติพวกนี้

พอไปโรงเรียน การเรียนรู้ในปัจจุบัน เด็กอาจจะไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้มีทักษะที่เราว่ามา ครูเองก็ติดเงื่อนไขต้องสอนให้ครบตามเวลา สอนตามหลักสูตร มันก็ไม่มีคนฝึกทักษะชีวิตให้เด็ก ฉะนั้นการที่เด็กเข้ามาสู่กระบวนการที่เราทำ Active Citizen เลยทำให้เด็กกลุ่มหนึ่ง เรียกว่าสัก 50 เปอร์เซ็นในโครงการเลยก็ได้ที่มีคาแรคเตอร์ไม่กล้าคิดไม่กล้าแสดงออก มีภาวะของความกังวล กลัว สับสน หรือคนที่เป็นพี่เลี้ยงเองก็ยังไม่ได้ถูกฝึกให้เข้าใจบริบทสังคมใหม่ แรกๆ เด็กก็จะไม่อยากทำโครงการ ภาระเรื่องเรียนก็เยอะ บางคนมีปัญหาส่วนตัว เด็กที่โตหน่อยก็ต้องไปทำงานหารายได้พิเศษวันเสาร์อาทิตย์ คนดูแลโครงการจึงต้องทำมากกว่าการหาเด็ก

ด้วยกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน และทำงานกับเด็กที่อาจไม่พร้อมอย่างที่คุณอธิบาย พบการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

จากบทเรียน 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นเลยว่าถ้าเด็กผ่านกระบวนการที่เข้มข้นต่อเนื่องและมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจ มีพี่เลี้ยงที่เข้าใจ เขามีทักษะการคิดแก้ปัญหา ไม่อ่อนแอ สู้ การเรียนดีขึ้น รับผิดชอบ มีวินัย อะไรพวกนี้มาหมดเลย ขณะเดียวกันมันส่งผลต่อการเรียนด้วยนะ คุณครูตกใจมากบอกว่าที่ผ่านมาเด็กคนนี้ไม่ใส่ใจเรื่องการเรียน แต่พอผ่านโครงการกลับพบว่าเขาเรียนดีขึ้น มีวินัยมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ครูเบาใจขึ้น

เรียกได้ไหมว่าการทำงานในลักษณะนี้คือการสร้างโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) วิธีหนึ่ง อยากให้ช่วยขยายความคำว่า ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ และอธิบายว่าโครงการทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร

ปัจจุบันเด็กๆ ส่วนใหญ่ต้องเผชิญปัญหาที่มาพร้อมกับโลกยุคใหม่ สังคมเทคโนโลยี และระบบเศรษฐกิจที่บีบรัดครอบครัว ทำให้ครอบครัวต้องใช้เวลาเพื่อการหาเลี้ยงชีพ ชุมชนต่างคนต่างอยู่ ผิดกับสภาพการณ์จากอดีตที่ครอบครัวเป็นพื้นฐานในการสร้างและพัฒนาการให้เด็ก รวมถึงการที่คนในชุมชนก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลเด็ก จากเงื่อนไขนี้เองจึงต้องมีการผลักดันให้เกิดกลไกเข้ามาช่วยปกป้อง คุ้มครองเด็ก ซึ่งเราเรียกกลไกนี้ว่า ‘กลไกคุ้มครองทางสังคม’ หลายครั้งเรามองปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น พอไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเราก็ให้ทุน เด็กมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมเราก็เอาเขาไปเข้าค่าย ไปฝึกอบรม และเอาทุนให้เขา แต่ลืมไปว่ากลไกการปกป้องคุ้มครองทางสังคมมันต้องสร้างตั้งแต่ตอนที่เด็กเกิดมา ต้องมีกระบวนการปกป้องตั้งแต่ต้นทาง หมายถึงการทำให้คนในสังคมชุมชน พ่อแม่ คนในครอบครัว หน่วยงานต่างๆ ให้เขาเข้าใจว่าการปกป้องคุ้มครองเด็กมีกระบวนการอย่างไร

หลายครอบครัวดูแลเด็กโดยการให้วัตถุ ให้เงิน ให้ความรู้ในแง่การส่งไปเรียน แต่ไม่เคยให้ความสัมพันธ์ ความเอาใจใส่ดูแล ไม่เข้าใจว่าที่แท้เด็กต้องการอะไรกันแน่ จริงๆ วัตถุอาจไม่ใช่สิ่งที่เด็กต้องการ แต่เด็กอยากได้คนที่ดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นคนคอยให้คำแนะนำ แต่กลไกแบบนี้มันอยู่ตรงไหน? ถ้าครอบครัวทำได้ไม่ดีพอ มันจะมีกลไกอื่นไหม เช่น คนในชุมชน อบต. หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษาที่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ใช่ทำกันเป็นส่วนๆ แต่ต้องทำแบบเข้าใจร่วมกัน ฉะนั้นโครงการที่เราจะทำ เรากำลังจะหากลไกการปกป้องคุ้มครองทางสังคมไม่ใช่บอกว่านี่เป็นหน้าที่บ้านพักเด็ก นี่เป็นหน้าที่ อบต. ต้องทำสภาเด็ก ส่วนนี้คือหน้าที่ผู้ปกครอง นี่คือหน้าที่ครู และทั้งหมดทำแยกส่วนกัน ไม่ใช่

ทำไมงานพัฒนาเด็ก ไม่ได้พัฒนาเด็กอย่างเดียวแต่ต้องทำงานกับพี่เลี้ยง ครู คนในชุมชน อบต. ด้วย

โครงการมาแล้วก็ไป ประเด็นคือ ถ้าเราสร้างแกนนำชุมชน สร้างเจ้าหน้าที่ อบต. สร้างครู สร้างเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐที่เข้าใจเรื่องแบบนี้ร่วมกัน ทำยังไงให้เขาทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการก็ได้แต่ทำในชีวิตประจำวัน ต้องมีเวที มีการประชุม มีการมาพูดคุยกันถึงสถานการณ์แล้วออกแบบร่วมกัน ที่ผ่านมาคณะกรรมการคุ้มครองเด็กประชุมกันแค่เพื่อดูงบประมาณ แต่ไม่ได้คิดว่าขณะนี้สถานการณ์เด็กเป็นยังไงและจะมีกระบวนการเพื่อทำงานอย่างไร สิ่งที่เราทำคือ เราจะสร้างคนเหล่านี้เพื่อให้เขาเป็นทีมเพื่อทำเรื่องการปกป้องคุ้มครองเด็กจริงๆ

กระบวนการคือต้องเอาพี่เลี้ยงมาอยู่กับเด็ก เรียนรู้กับเด็ก พัฒนาเด็กไปพร้อมกัน เราทำคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ แต่ต้องสร้างปัจจัยเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เราทำต่อเนื่องปีสองปี พอโครงการจบ แล้วเด็กกลุ่มนี้ลุกขึ้นมาและเดินต่อ มันจะเกิดความยั่งยืน แต่ถ้าโครงการมาปีสองปีแล้วหยุดมันก็ไม่ต่อเนื่อง แต่ถ้าเราเซ็ตระบบแบบนี้ได้และทำอย่างต่อเนื่อง มันจะมีกลไกแบบนี้ทั้งในหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ในอนาคตพี่ว่ากลไกพวกนี้ต้องเกิดต่อเนื่อง เป็นตัวอย่างให้เขามาดูว่า กลไกปกป้องคุ้มครองเด็กที่เป็นระบบ มันต้องแบบนี้ แยกส่วนไม่ได้

จากความตั้งใจแค่อยากทำงานเยาวชนให้เห็นคุณค่าองค์ความรู้ใกล้ตัวที่บ้านเกิด ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ใช่อย่างที่ตั้งใจไว้ไหม เดินมาไกลเกินความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า

ไม่เกินความคาดหมายนะ เป้าหมายของพี่คือวันหนึ่งต้องมีคนรุ่นใหม่ที่ถึงจะไม่ได้อยู่กับเรา ไม่ได้ทำงานกับเรา แต่เขาก็ถูกติดตั้งความคิดนี้ในชีวิต วันหนึ่งที่เขาต้องเผชิญอะไรบางอย่าง เขาจะเผชิญมันได้อย่างมั่นใจ ขณะเดียวกัน ถ้าบ้านเมืองนี้มีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ คนเหล่านี้พร้อมจะมาช่วย มาดูแล เราอาจพัฒนาเด็กได้ปีหนึ่งแค่ร้อยคน แต่เราเชื่อว่าหนึ่งร้อยคนที่มาทำ จะสร้างคนต่อไปอีกเป็นพันๆ

Tags:

โคชชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำactive citizenproject based learning

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ซูเปอร์แมว : โคชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก
Healing the trauma
16 October 2019

ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • สภาวะที่สามนอกจาก ‘fight or flight’ สู้หรือหนี คือ freeze – ภาวะถูกแช่แข็ง ในระยะยาวสมองจะถูกตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองต่อความเครียดได้ง่าย มีเซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ ที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะกลุ่ม PTSD และมีผลทำให้เป็นคนชะงักงันทางอารมณ์ 
  • ภาวะถูกแช่แข็งมักเกิดกับเด็กได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่รู้จะหนีจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไร หนีไปไหน ไม่สามารถยินดียินร้ายหรือเข้าอกเข้าใจ (empathy) ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ นับเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและกลายเป็นเกลียดที่ตัวเองไม่มีความรู้สึกแบบนั้น

หลายคนคุ้นหูกับคำและสภาวะ ‘fight or flight’ จะสู้หรือจะหนี กลไกป้องกันตัวที่ถูกสั่งการจากสมองทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว (เช่นเดียวกับเวลาคนยกโอ่งน้ำหนีเวลาไฟไหม้ได้) แต่ภายใต้ความซับซ้อนและทรงพลังของสมอง ยังมีอีกหนึ่งกลไกป้องกันตัวยืนหนึ่งระหว่าง fight กับ flight อีก นั่นคือภาวะที่สาม… freeze

freeze – ภาวะ (สมอง) ถูกแช่แข็ง ไม่สู้ ไม่หนี คล้ายสำนึกคิดเข้าสู่สภาวะอัมพาตไปบางขณะ และให้เซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ มันเป็นภาวะที่รู้สึก (อย่างไม่ทันได้คิดเป็นกระบวนการ มันเกิดขึ้นเร็วมากและอย่างอัตโนมัติ) ว่าสู้ไม่ได้แน่นอนแต่ก็ไม่รู้จะหนีไปพึ่งใคร ไม่มีใครในโลกที่คุณจะวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือ ปลอบโยนบรรเทาให้รู้สึก ‘ปลอดภัย’ ได้อีกแล้ว และหากเราเข้าสู่โหมดนี้ตลอดเวลา สมองอยู่ในภาวะเครียดไม่เคยได้พัก คอลติซอลหรือฮอร์โมนแห่งความเครียดท่วมท้นในสมองอยู่ตลอด นั่นหมายถึงสมองถูกตั้งโปรแกรมให้อ่อนไหวต่อความเครียดได้ง่าย ตื่นตัวเร็ว และเลิกรากับมัน (หยุดเครียด) ได้ยาก

กล่าวโดยคร่าว freeze – เป็นภาวะที่ในระยะยาวจะทำให้สมองเราตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองต่อความเครียดได้ง่าย เกิดกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ มีเซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ ที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะกลุ่ม PTSD (สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง) และมีผลทำให้เป็นคนชะงักงันทางอารมณ์ 

การทำงานของสมอง ระหว่าง fight-สู้ กับ flight-หนี

ก่อนจะว่ากันถึงภาวะแช่แข็ง freeze ขออธิบายการทำงานของสมองระหว่าง fight กับ flight เสียก่อน

ในช่วงที่คุณถูกกดดัน คุกคาม หรือตกอยู่ในสถานการณ์เครียดขึ้งและต้องตั้งรับ – ในที่นี้ขอพูดถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างคนกับคน – หากคนตรงหน้าเป็นคนที่คุณรู้สึกว่าพอจะต่อสู้ได้ ไม่ว่าจะทางอำนาจหรือร่างกายก็ตามที่ทำให้หลุดพ้นจากสภาวะความกลัวบางอย่างในใจได้ คุณจะเข้าไปอยู่ในสภาวะ ‘สู้’ (fight mode) กรณีนี้ ระบบประสาทซิมพาเทติค (Sympathetic Nervous System-SNS) ส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติจะควบคุมการทำงานอวัยวะที่ ‘อยู่เหนืออำนาจจิตใจ’ (เรามักรู้จัก SNS แง่ที่คนยกโอ่งน้ำได้ในยามไฟไหม้) สั่งงานให้อะดรีนาลีนหลั่ง ทำให้คุณพร้อมต่อสู้และมีเซนส์แห่งความหวังว่าจะชนะ กรณีตรงข้าม คุณประเมินแล้วว่าคู่กรณีตรงหน้ามีอำนาจเหนือกว่า ร่างกายจะสั่งให้คุณ ‘หนี’ (flight mode) อวัยวะในร่างกายทำงานคล้ายกันในแง่จะเพิ่มพลังให้คุณหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็เต็มเปี่ยมด้วยหวังว่าจะหนีได้ 

แต่ในภาวะที่ ไม่รู้จะหนีไปไหนและสู้ไปก็แพ้ ทำให้เราเข้าสู่สภาวะที่สามนั่นคือ freeze การแช่แข็ง ตรงนี้เองที่สมองกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนความเครียด (คอลติซอล) นอกจากนี้ไฮโปธาลามัส (ศูนย์บัญชาการด้านอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ความดัน การเต้นของหัวใจ สมดุลร่างกายอย่าง หิว/อิ่ม/นอนหลับ) ยังสั่งการแกนตอบสนองความเครียด HPA (ไฮโปธาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต) ให้ตื่นตัวตลอดเวลาด้วย

อย่างไรก็ตาม เวลาที่เกิดความเครียด สมองเราจะมีระบบปฏิบัติการเพื่อคลี่คลายความเครียดได้เองและอัตโนมัติ ถ้าระบบประสาทซิมพาเทติค คือระบบที่สั่งการให้ร่างกายตั้งรับและทำให้เกิดความเครียด ระบบประสาทพาราซิมพาเทติค (Parasympathetic Nervous System-PN ทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจเช่นเดียวกับระบบประสาทซิมพาเทติค) ก็จะส่งสัญญาณลงมาปฏิบัติการให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติหรือภาวะผ่อนคลายได้ในเวลาต่อมา

แต่ตรงนี้เอง ผู้ที่ต้องตั้งรับและเข้าสู่สภาวะแช่แข็งตลอดเวลา เครียดตลอดเวลาและไม่ได้พัก อาจมีผลทำลายสมดุลความเครียดในร่างกายและเปลี่ยนโครงสร้างสมองได้

สู้ไม่ได้ หนีไม่ไหว: ความน่ากลัวของภาวะแช่แข็งในวัยเด็ก

ที่ต้องพูดถึงที่สุดคือ สภาวะนี้มักเกิดกับเด็กได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ลองคิดดูหากคุณอยู่กับพ่อที่ติดแอลกอฮอล์ แม่ที่เพิกเฉยไม่แสดงความรู้สึกต่อคุณ ไม่ว่าจะสนใจ/ไม่สนใจ พอใจ/ไม่พอใจ ไม่เคยแสดงความรักและมักดุด่าใส่อารมณ์กับคุณอยู่เสมอ (ไม่ว่าจะหวาดกลัวอำนาจของสามี หรือสัมภาระเก่าที่ถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เพิกเฉยต่อความรู้สึกเช่นกัน) เด็กที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่รู้จะหนีจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไร หนีไปไหน สถานการณ์แบบนี้ทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะ freeze ได้ง่าย …ง่าย กว่าผู้ใหญ่มาก

ประการต่อมา ผู้ที่อยู่ในภาวะ freeze – ในที่นี้ขอพูดถึงภาวะที่เกิดในเด็ก สิ่งที่ตกค้างคือเด็กคนนั้นจะกลายเป็นคนที่ชะงักทางอารมณ์ ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งรอบตัว

“ถ้าสมองส่วนหนึ่งบอกว่า ‘จงไปหาแม่’ แต่ก้านสมองบอกว่า ‘จงหนีไป’ มันเป็นความย้อนแย้งทางชีวภาพที่ไม่สามารถแก้ไขได้ (…) วงจรสมองถูกกระตุ้นด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เด็กไม่อาจทำทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน จิตใจของเด็กแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะวงจรทั้งสองพยายามทำหน้าที่ไปด้วยกันและผสานกัน แต่ไม่สามารถทำได้”

คือคำพูดของนายแพทย์ แดน ซีเกล จิตแพทย์เด็กเจ้าของหนังสือ ‘Brainstorm: The Power and Purpose of the Teenage Brain’ อ้างอิงในหนังสือ ‘Childhood Disrupted: How Your Biography Becomes Your Biology, and How You Can Heal’ โดย ดอนนา แจ็คสัน นากาซาวะ (หน้า 184) โดยในหนังสือเล่มนี้ยกกรณีตัวอย่างของผู้ที่วัยเด็กตกอยู่ในภาวะแช่แข็งและบอกว่า พวกเขาไม่สามารถยินดียินร้ายหรือเข้าอกเข้าใจ (empathy) ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและกลายเป็นเกลียดที่ตัวเองไม่มีความรู้สึกแบบนั้น 

แดน ซีเกล, หนังสือ ‘Brainstorm: The Power and Purpose of the Teenage Brain’

นอกจากนี้ภาวะ freeze ยังถูกพูดถึงว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า (ที่เป็นผลจากภาวะเซนซิทีฟต่อความเครียดได้ง่าย ตื่นตัวตลอดเวลา และท่วมท้นไปด้วยฮอร์โมนความเครียดอย่างคอลติซอลต่อเนื่อง) โดยเฉพาะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง

การเยียวยาและความเชื่อในพลังแห่งการมีตัวตน

ข้อมูลข้างต้นอาจฟังดูหดหู่และคล้ายถูกต้องคำสาป – เพียงเพราะเกิดมาอยู่กับครอบครัวที่มีปัญหาและขาดพร่อง และแม้ความรู้ชุดนี้จะบอกว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและสถาปัตยกรรมสมอง แต่ก็มีข้อเท็จจริงอีกประการเช่นเดียวกันว่าสมองเราปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาและทำได้อย่างทรงพลัง

ประการแรก – หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีบาดแผลทางใจในวัยเด็กและเข้าข่ายภาวะแช่แข็งอยู่บ่อยครั้ง การเข้ารับคำปรึกษาหรือช่วยเหลือจากมืออาชีพนับเป็นความจำเป็น นอกจากนักบำบัดมืออาชีพจะช่วยคลี่คลายสางสัมภาระเก่าของคุณ ปัจจุบันยังมีเครื่องมือหลากหลายตั้งแต่ศิลปะบำบัด วาดบำบัด เพลงบำบัด ให้เลือกและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน สำคัญที่สุด ปัจจุบันที่ความรู้เรื่องนี้ถึงพร้อม ไม่มีใครตีตราอีกแล้วว่าบาดแผลทางใจคือเรื่องผิดบาปและหรือคุณเป็นคนผิดปกติ – เพราะต้องไม่ลืมว่าเราต่างมีปมด้วยกันทั้งนั้น

งานวิจัยทางประสาทสมองปัจจุบันบอกว่า การขยับเขยื้อนร่างกายควบคู่ไปกับการหยุดพักและฝึกสมาธิ ทั้งในแง่การทำสมาธิจริงๆ การเล่นโยคะ ไทกงชี่กง หรือการทำงานกับร่างกายด้วยสมาธิอื่น ยืนยันว่าความสงบในช่วงการทำสมาธิช่วยลดภาวะเครียดในสมอง (ลดคอลติซอล) ได้จริง และการกลับมาโฟกัสที่ความรู้สึกยังทำให้เกิดการฟื้นฟูสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกทำงาน ทั้งหมดรวมกันมันช่วยลดภาวะอักเสบทางสมองได้ 

สอง – ในกรณีที่คุณเห็น อยู่ใกล้ หรือมีส่วนรับผิดชอบชีวิตของเด็กคนหนึ่ง หากพบเห็นเหตุการณ์ที่เข้าข่ายทารุณกรรมทางจิตใจและร่างกาย การแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเร็วที่สุดนับเป็นสิ่งที่ไม่ควรลังเล หรือ มันอาจจะเป็นคุณก็ได้ที่จะเป็นที่พึ่ง – แม้เพียงคนเดียวในโลกของเด็กคนหนึ่ง ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือที่ทรงพลังได้ เพราะในภาวะแช่แข็ง มันคือการไม่รู้ว่าจะสู้หรือหนีไปพึ่งใคร หากเด็กรู้ว่ามีใครอีกคนที่เขาจะหนีไปพึ่งพิงหรือรู้ว่าสู้แล้วจะมีคนคอยซัพพอร์ตและอยู่ข้างเขา เท่านี้โลกของเด็กคนหนึ่งก็เปลี่ยนได้ 

ย้ำอีกครั้ง – เพียงหนึ่งคนที่เห็นว่าเขามีตัวตน และเป็นที่พึ่งให้เรา ‘หนี’ มาหาคุณได้ เพียงเท่านั้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงและโอกาสที่ยิ่งใหญ่แล้ว

Tags:

ภาวะถูกแช่แข็ง (Freeze)พ่อแม่ซึมเศร้าปม(trauma)ความรุนแรงAdverse Childhood Experiences(ACE)ความกลัว (Fear)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • BookHealing the trauma
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!
Grit
16 October 2019

GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ที่ ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ และสมุนน้องหมาพันธุ์ทาง ยังสู้และง่วนอยู่กับการทำเพจไม่ยอมแพ้แม้มีอุปสรรคมากล้น เหตุผลหลักก็เพราะรัก หลงใหล ตั้งใจอย่างแรงกล้า เห็นเป้าหมายของตัวเองชัดและใช้เป้าหมายนั้นนำทาง ทั้งเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นมีคุณค่า อย่างน้อยก็มีคุณค่าต่อเขาเอง

เหตุผลของ ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ เริ่มต้นแค่เพราะรักในหมาพันธุ์ทาง เจ็บปวดและไม่อยากเห็นเจ้าหมาถูกทอดทิ้งอย่างง่ายดายอีกต่อไป นำไปสู่การลงมือทำที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ยืนกรานลงมือทำอย่างไม่ลดละ และเป็นการต่อสู้ที่ใช้เวลายาวนาน

ทั้งหมดนี้คือคอนเซปต์เดียวกันกับ GRIT ความเพียรพยายาม ความอดทนยืนกรานไม่ยอมแพ้ GRIT ไม่ใช่แค่ความอดทนกับโปรเจ็คท์ระยะสั้นราวเดือน สอง หรือสามเดือน แต่คือความอดทน ยืนกราน และไม่ยอมแพ้เพื่อทำตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยความหลงใหล และในระยะยาวสิ่งนั้นอาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปี

ใครจะไปรู้ วันหนึ่ง ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ ที่เริ่มต้นจากความรักในน้องหมาและไม่อยากเห็นใครทอดทิ้งพวกมันอีก ต่อไปในอนาคต เขาอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน และอาจทำให้น้องหมาหลายตัวไม่ถูกทิ้งขว้างก็ได้

 ชวนอ่านบทความเกี่ยวกับ GRIT: ได้ที่ 

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Character building
    Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • GritMovie
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง
Learning Theory
16 October 2019

สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

เรื่องและภาพ The Potential

หัวใจของการศึกษา คือ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

การจะเข้าถึงความรู้อย่างแท้จริง ครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าไปมีประสบการณ์โดยตรง มุ่งเน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง และสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้กับชีวิตและการทำงานจริง

ครูสามารถสร้างการเรียนรู้แบบนี้ได้ผ่าน ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) โดย ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) นักทฤษฎีการศึกษา

ผ่านวงจร 4 ขั้นตอนง่ายๆ ตามหลักการของ ELT  ภายใต้แนวคิดว่าคนเรามีรูปแบบการเรียนรู้อยู่ 4 โหมดซึ่งหมุนเป็นวงจร สลับสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ได้แก่

Experiencing – เรียนรู้ข้อมูลผ่านการมีประสบการณ์และการลงมือทำ เน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง

Reflecting – นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน ใคร่ครวญ เช่น จดบันทึก ประชุมกันในทีม

Thinking – คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ออกมาจากขั้นที่ 1 และ 2 สรุปออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติ

Acting – ลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรปรับปรุง

จากนั้นจะกลับเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง เป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

“เพราะโหมดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นซ้ำ จะขยายความเข้าใจของเด็กได้ เด็กจะค้นพบว่าในทางปฏิบัติ จะเจอปัญหาอะไร และพบการประยุกต์ความรู้ใหม่ที่ทำได้หลากหลาย โดยการนำสิ่งที่เคยเรียนรู้ในสถานการณ์หนึ่งมาใช้ในอีกสถานการณ์”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ EXPERIENTIAL LEARNING: 8 ข้อครูควรรู้ เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetExperiential Learning Theory(ELT)

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”
21st Century skills
14 October 2019

SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Social awareness คือการตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นทักษะทางอารมณ์และสังคมที่สำคัญในยุคศตวรรษที่ 21
  • ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น, การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย, ความเคารพในผู้อื่น, การเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา คือ คีย์เวิร์ดของทักษะนี้ 
  • เราจะช่วยให้เด็กๆ มีทักษะนี้เพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ โดยผ่านพฤติกรรม ‘การเข้าใจผู้อื่น’ ของพ่อแม่ และการพาเด็กตั้งคำถาม ‘ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง’

ทักษะตัวสุดท้ายของทักษะศตวรรษที่ 21 – Social and cultural awareness การตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม ทักษะสำคัญของมนุษย์ (ที่ต้องอยู่ร่วมกันในสังคม) ศตวรรษนี้

การตระหนักรู้ทางสังคมเป็นหนึ่งในทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning Skills: SEL) ที่ถูกระบุในวงการศึกษาว่า ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน จำเป็นต้องออกแบบการเรียนรู้ ให้เด็กๆ มีทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่จะจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ตรงหน้า รวมทั้งกระบวนการคิดเรื่องการจัดการกับความสัมพันธ์ในตัวเองและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้เป็นไปอย่างมีคุณธรรมและเอื้ออาทร

ทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) ประกอบไปด้วย

  • Self-Awareness: การตระหนักรู้ในตัวเอง
  • Self-Management : การบริหารจัดการตัวเอง
  • Responsible Decision-Making: ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก
  • Relationship Skills: ทักษะด้านความสัมพันธ์
  • Social Awareness: การตระหนักรู้ทางสังคม

Social awareness คืออะไร

เฉพาะ Social and cultural awareness การตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม ที่ถูกไฮไลต์ให้เป็น 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 และหนึ่งใน SEL หมายถึง…

ความสามารถในการมีทัศนคติแห่งความ ‘เข้าอกเข้าใจ’ (empathy) ต่อผู้อื่น ในแง่ของความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา สังคม วัฒนธรรม บรรทัดฐานแต่ละสังคม (norm) ผู้ที่มีความต้องการพิเศษหรือเฉพาะทาง โดยเฉพาะโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซับซ้อน ขนานใหญ่ที่ยิ่งจะเพิ่มเลเยอร์ของความหลากหลายให้ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น ความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มนิยามมากขึ้น หรือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ในยุคที่เส้นพรมแดนประเทศพร่ามากเลือนขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดที่กล่าวไปไม่ใช่เรื่องไกลตัวเด็กเลย จำลองสถานการณ์ลงมาให้ใกล้ตัวเด็กอย่างชุมชนที่อยู่อาศัย หรือสังคมในห้องเรียนที่เด็กๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวัน ไม่ว่าจะในชุมชนหรือในห้องเรียน เราต่างมาจาก ‘หลายพ่อพันแม่’ หลายศาสนา หลายความเชื่อ หลายเพศ ซูมลงไปให้เล็กในระดับความสัมพันธ์ ความเข้าอกเข้าใจยังหมายถึงการทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นผ่านสิ่งที่พวกเค้าไม่ได้พูด เช่น สีหน้า ท่าทาง บรรยากาศระหว่างกัน อวัจนภาษาเหล่านี้ก็นับเป็นหนึ่งในทักษะคนที่ ‘เข้าใจอกใจ’ จะมองเห็นได้ 

อ้างอิงจาก CASEL เว็บไซต์เรื่องแหล่งข้อมูลทางการศึกษาระบุคีย์เวิร์ดของการตระหนักรู้ทางสังคม ไว้ว่ามีคีย์เวิร์ดดังนี้

  • Perspective-taking: การเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยการรับรู้มุมมองความคิดความเชื่อที่แตกต่าง
  • Empathy: ความเข้าอกเข้าใจ, การเข้าไปนั่งในใจผู้อื่น
  • Appreciating diversity: การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
  • Respect for others: ความเคารพในผู้อื่น

รายการสารคดีจาก ThinkTV ร่วมกับ CASEL อธิบายความหมายของ Social awareness ว่านักออกแบบการเรียนรู้จะสร้างทักษะนี้ให้เด็กได้อย่างไร

Social awareness สร้างได้อย่างไรบ้าง

เมลิสสา ชลินเกอร์ (Melissa Schlinger) รองประธานกรรมการแห่ง CASEL และ เมญา ดอร์ซีย์ (Maya Dorsey) ผู้อำนวยการ Family Engagement and Community Partnerships แห่ง Learn to Earn Dayton อธิบายในสารคดีจาก ThinkTV ร่วมกับ CASEL ข้างต้นในทั้งความหมายและการออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ มีทักษะด้านความเข้าใจทางสังคมว่า…

สิ่งหนึ่งที่ครูออกแบบได้คือการใส่คำถามว่า “ถ้าหนูอยู่ในสถานการณ์นั้น หนูจะรู้สึกยังไงนะ และเราจะทำอย่างไรในสถานการณ์นั้นดี?” คำถามนี้ช่วยให้เด็กมีจินตนาการถึงสถานการณ์ของคนอื่น เริ่มใส่คำถามนี้ได้ตั้งแต่การลองคิดแทนเพื่อน หรือชี้ชวนตั้งคำถามถึงความรู้สึกของตัวละครในนิทาน, ในหนังสือที่เด็กๆ จะอ่านกัน, ออกแบบให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มบ่อยๆ และผลัดเปลี่ยนให้เด็กๆ ได้เวียนเป็นสมาชิกในกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกับคนอื่นที่เด็กๆ ไม่สนิทด้วย หรือจะวิธีอื่นๆ ก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ไอเดียสร้างสรรค์ของ ‘นักออกแบบการเรียนรู้’ ในห้องเรียนเลย

ผู้ปกครองช่วยเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่นกับเพื่อนที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างที่กล่าวไป รวมทั้งสร้างโอกาสให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนหลายๆ วัย เช่น ผู้สูงอายุ เพื่อนที่อายุมากหรือน้อยกว่า หรือแม้แต่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ แบบนี้ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้อยู่กับความแตกต่างหลากหลายเช่นกัน ขณะที่ดอร์ซีย์เน้นว่า การเรียนรู้ของเด็กๆ ไม่ได้มาจากการ ‘บอกให้เด็กยอมรับ’ แต่เด็กๆ เรียนรู้จากพฤติกรรมของพ่อแม่ พูดให้ง่ายกว่านั้น เค้าจะเป็นในสิ่งที่พ่อแม่เป็น – ถ้าอยากให้เด็กๆ โอบรับความแตกต่างหลากหลาย พ่อแม่ต้อง ‘เข้าอกเข้าใจ’ เป็นแบบอย่างเสียก่อน

ฟังดูแล้วการจำลองตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์คนอื่นเพื่อ ‘เข้าไปถึงใจ’ ใครอีกคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญจนหลายคนไม่เข้าใจว่านี่มันต้อง ‘ฝึก’ กันด้วยหรือ แต่ชลินเกอร์ปิดท้ายสารดคีสั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ หลายครั้งส่งผลยิ่งใหญ่มหาศาลในแง่การสร้างความไม่เข้าใจระหว่างกัน เรื่องเล็กน้อย เช่น บางครั้งที่คุณโกรธ – คุณต้องการพื้นที่เพื่อคลี่คลายอารมณ์ คุณต้องการให้คู่กรณีถอยไปก่อน, บางครั้งที่คุณเศร้า – คุณต้องการแค่อ้อมกอดอบอุ่นและคำปลอบโยนที่เงียบเชียบ, หรือบางครั้งที่ท้อ – คุณต้องการคำพูดเพื่อเชียร์อัพก้อนกำลังใจ ทั้งหมดนี้ต้องการการปฏิบัติอันมาจาก ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ ในรูปแบบที่ต่างกัน

ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ชลินเกอร์ชวนดูชิ้นข่าวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การกระทบกระทั่งรุนแรงซึ่งหลายเหตุการณ์ต้องสังเวยด้วยชีวิต ต่างมาจากความเกลียดชังอันเนื่องจากความเชื่อที่ต่างกัน

ในโลกปัจจุบันที่พรมแดนประเทศไร้ความหมาย ความหลากหลายกลายเป็นความปกติสามัญ ถ้าเด็กๆ ไม่มีพื้นที่ทดลองได้มีประสบการณ์ปรับตัวกับความหลากหลาย คงยากจะคาดเดาว่าเราจะมีคนรุ่นใหม่มีคาแรกเตอร์แบบไหนกัน 

อ้างอิง:
Core SEL Competencies
Introduction to Social Awareness

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความเข้าอกเข้าใจ(empathy)Social awareness

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่
Family Psychology
10 October 2019

ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Adverse Childhood Experiences (ACE) ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก ส่งผลต่อความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ เช่น มะเร็ง, โรคผิวหนังเรื้อรัง, โรคไขข้ออักเสบ, โรคกระดูก, การอักเสบทางสมอง โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ซึมเศร้า และโรคอื่นๆ
  • ACE หมายถึงสถานการณ์ที่เด็กคนหนึ่งหรือตัวเองในอดีต ต้องอยู่ในภาวะความเครียด กดดัน หาที่พึ่งหรือคนพักพิงไม่ได้ ก่อเกิดเป็นบาดแผลทางใจและฝังลึกเป็นรอยแผล
  • เยียวยาได้ไหม? เพียงเด็กรู้ว่ามีใครสักคนที่เค้าพึ่งพาได้ เป็นที่พึ่งทางใจได้ ไว้วางใจได้ และรู้สึกปลอดภัยหากมีคนผู้นี้อยู่ในชีวิต เพียง ‘พลังของผู้ใหญ่แค่คนเดียวที่พึ่งพาได้’ เท่านี้เด็กก็รอดแล้ว

เราต่างมีปมด้วยกันทั้งนั้น… นานๆ ครั้งมันก็ลุกขึ้นมาหลอกหลอนเราโดยไม่รู้ตัว

แต่มันมีเส้นบางคั่นกลางระหว่างปม (trauma) – เหตุการณ์ที่มีผลให้เราเป็นเราทุกวันนี้ ให้เจ็บปวดเปราะบางกับเหตุการณ์มากน้อยแตกต่างกันไป กับ Adverse Childhood Experiences (ACE) ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก ซึ่งไม่ได้แค่ส่งผลลัพธ์ตรงไปตรงมาอย่างพฤติกรรมเสี่ยงในวัยผู้ใหญ่ เช่น การใช้ยาและสารเสพติด, พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ, เสพติดการใช้ความรุนแรง และอื่นๆ แต่มีนัยสำคัญถึงความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ เช่น มะเร็ง, โรคผิวหนังเรื้อรัง, โรคไขข้ออักเสบ, โรคกระดูก, การอักเสบทางสมอง โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ซึมเศร้า และโรคอื่นๆ – ที่เราเคยคิดว่าโรคเหล่านี้เป็นผลจากพันธุกรรมหรือแค่ความโชคร้ายในชีวิต

แม้ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่อย่างไร แต่ปัจจุบัน ACE ถูกไฮไลต์โดยวงการแพทย์และคนทำงานด้านประชากร ยืนยันด้วยงานวิจัยหลายร้อยชิ้น ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นเร่งด่วนที่คนทำงานหลายวงการต้องเข้าใจเพื่อออกแบบแก้ปัญหาให้ถูกจุด – ทั้งปัญหาสุขภาพและความรุนแรงที่แม้ไม่มีบาดแผลในครอบครัว กลับส่งผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงตลอดช่วงชีวิตคน

Adverse Childhood Experiences (ACE) คืออะไร และ ส่งผลต่อโรคร้ายในวัยผู้ใหญ่อย่างไร

ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก – ซึ่งเป็นวัยสำคัญของพัฒนาการทางร่างกาย รวมถึงการฟอร์มและปรับเปลี่ยนกลไกทางสมองก็เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในช่วงเวลานี้ – หมายความตรงตัวถึงประสบการณ์ร้ายที่เราเจอในวัยเด็ก เช่น ถูกทอดทิ้งทางใจ, ต้องอยู่กับพ่อแม่ที่ใช้สารเสพติด, การถูกทำร้ายร่างกาย, การต้องเห็นพ่อแม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือตายไปต่อหน้าต่อตา และอื่นๆ ที่ทำให้จิตใจบอบช้ำและทิ้งรอยแผลเป็นที่กดลึก

ปัจจุบัน ACE ได้รับการพัฒนาและแบ่งประเภทผ่านประสบการณ์ที่เด็กๆ ได้รับบาดแผลจากใจและกายจากพ่อแม่หรือผู้ที่เลี้ยงดู ดังตารางต่อไปนี้

กลับมาที่ประเด็นว่าประสบการณ์ร้ายฝังใจในอดีตเกี่ยวกับความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างไร…ในตารางข้างต้นไม่ใช่แค่ ‘ประเภทประสบการณ์’ ที่เด็กคนหนึ่งจะพบเจอ แต่มันหมายถึงสถานการณ์ที่เด็กคนหนึ่ง (หรือเราในอดีต) ต้องอยู่ในภาวะความเครียด กดดัน หาที่พึ่งหรือคนพักพิงไม่ได้ และเอาเข้าจริงแล้ว เราต่างเคยมีประสบการณ์ที่สร้างบาดแผลทางใจและฝังลึกเป็นรอยแผลไม่มากก็น้อยและในข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งเราจะพูดกันต่อไปว่าการมี ACE เป็นเรื่องปกติและอันที่จริงมันก็เป็นประสบการณ์ที่สร้างความเข้มแข็งให้เรา(ต่าง)เป็นเราวันนี้ได้เช่นกัน แต่หลังอ่านบทความจบแล้ว อยากลองชวนเข้าไปทำแบบประเมิน ACE ที่ถูกพัฒนาให้เป็นปัจจุบันได้ที่นี่

คีย์เวิร์ดของ ACE คือสถานการณ์ที่เด็กอยู่ในภาวะเครียดตลอดเวลาและยาวนาน (ต่างกับการเกิดปมที่เหตุการณ์นั้นอาจเป็นสถานการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ อ่านเรื่องปมวัยเด็กได้ที่นี่) ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อคนเราเข้าสู่ภาวะเครียด จะเกิดการปรับตัวทางสมองครั้งใหญ่เพื่อต่อสู้และคลี่คลายกับความเครียดนั้นได้เอง*

แต่กับสถานการณ์ความรุนแรงทางใจและกายในบ้านที่ไม่เคยหยุดหย่อน ทำให้เกิดสมองมีภาวะตึงเครียดอย่างไม่เคยได้พัก ความเครียดที่ว่าจะส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงการทำงานสมอง เช่น…

การปรับลดเนื้อเยื่อสมองสีเทา: เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านวัยเด็กสู่วัยรุ่นเพื่อปรับลดเซลล์ประสาทโดยธรรมชาติอันจะทำให้วงจรประสาททำงานได้ว่องไวขึ้น รับส่งข้อมูลรวดเร็วขึ้น ดึงข้อมูลที่เก็บอยู่ในความจำมาใช้เพื่อคิดตัดสินใจก็จะทำได้เร็วขึ้น แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นในวัยเด็กทำให้ไมโครเกลีย (เป็นเซลล์ค้ำจุนชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในระบบประสาท) กัดกินเซลล์ประสาทและทำให้เกิดสภาวะอักเสบของเซลล์ประสาท กระตุ้นให้สมองกำหนดวิธีทำงานใหม่และยิ่งสร้างสภาพซึมเศร้าและวิตกกังวลให้เกิดขึ้น เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามากเพราะแต่เดิมเราเชื่อว่าการอักเสบของสมองจะเกิดขึ้นเมื่อสมองได้รับความกระทบกระเทือน เช่น อุบัติเหตุ แต่การอักเสบในระดับต่ำจากความเครียดเรื้อรังก็เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบของสมองได้เช่นกัน

เมื่อเซลล์ประสาทถูกทำลายมากเกินไป มันเชื่อมต่อกับกลไกสมองเรื่องความทรงจำ – การทำงานของฮิปโปแคมปัสเรื่องความทรงจำ และ คอร์ปัส-แคลลอสซัม และสมองส่วนหน้า – ทั้งหมดนี้มีผลต่อความสามารถในการคิด ตัดสินใจ สมาธิ และการควบคุมอารมณ์

หรือ แกนตอบสนองความเครียด HPA (ไฮโปธาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต) ถูกตั้งโปรแกรมให้เร่งผลิตฮอร์โมนความเครียดในชื่อคอลติซอลและไซโตไคน์ ภาวะนี้หมายถึงสมองถูกตั้งโปรแกรมให้เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งด้วยความเครียดได้ง่ายและคลี่คลายยาก นี่เป็นคำตอบว่าทำไมบางคนจึงหลุดจากภาวะเครียดหรือเอาตัวเองออกจากความคิดด้านลบได้ยากโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและจิตเภทบางประเภท นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสมัยใหม่บอกว่ามันส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

ACE กับปัญหาโรคร้ายแรงในวัยผู้ใหญ่

ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงภายในที่เกิดจากความเครียดต่อเนื่องและคาดเดาไม่ได้ในวัยเด็ก แต่สุดท้ายแล้วกลับส่งผลกระทบออกมาเป็นความป่วยไข้ทั้งภายในภายนอก และนี่คือกลุ่มอาการที่เป็นผลพวงจาก ACE – กลุ่มอาการที่ครั้งหนึ่งวงการแพทย์ไม่คิดว่ามันเชื่อมโยงกับประสบการณ์ร้ายวัยเด็ก แต่คิดว่าเป็น
ผลจากพันธุกรรม หรือการทำลายตัวเองด้วยพฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายด้วยตัวเอง เช่น ภาวะติดแอลกอฮอล์, ติดสารเสพติด, พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ, การส่งต่อความเครียดจากแม่สู่ลูกในครรภ์, ซึมเศร้า, มะเร็ง, โรคอ้วน และอื่นๆ ดังปรากฎในรูปด้านล่าง

หลักฐานว่า ACE เกิดขึ้นกับเราและคนรอบข้างในสัดส่วนที่มากจนน่าตกใจ

งานวิจัยที่อาจเรียกว่าเป็นวิจัยบุกเบิกชี้ชวนให้วงการแพทย์และคนทำงานด้านประชากรต้องหันมาสนใจประเด็นนี้คืองานวิจัยของ Vincent Felitti, Robert Anda และทีมงานในปี 1995 – 1997 และยังติดตามต่อเนื่องเป็นช่วงเวลาอีกอย่างน้อยถึงปี 2009 กับประชากรชาวอเมริกันชนชั้นกลางจำนวน 17,377 คน สิ่งที่อยากรู้คือ ACE มีผลต่อการป่วยไข้เรื้อรังและการตายในวัยผู้ใหญ่หรือไม่ งานวิจัยในภาพรวมพบว่าคนทั่วไปมีคะแนน ACE มากกว่า 1 คะแนนขึ้นไป (เต็ม 8) ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่มาก ตรงนี้ตีความได้ว่าเราต่างมีบาดแผลวัยเด็กด้วยกันทั้งนั้น – แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มี ACE ทุกคนจะเสี่ยงเป็นโรคร้าย เพียงแต่พบว่า ยิ่งมีคะแนน ACE มากเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงจะเป็นโรคร้ายเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่และชีวิตส่วนตัวก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากเท่านั้น

งานวิจัยพบอีกว่า ในกลุ่มที่ศึกษามี 1,539 คน เสียชีวิตระหว่างติดตามวิจัย โดยมีอายุเฉลี่ยที่ 77.5 ปี ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ผิวสี ไม่แต่งงาน จบการศึกษาไม่สูง และมักมีปัญหาเรื่องการเงิน ตัวเลขที่แสดงนัยยะคือผู้ที่มีคะแนน ACE มากกว่า 6 ขึ้นไปเสียชีวิตเร็วกว่า 20 ปี ของอายุเฉลี่ย

งานวิจัยใหม่ๆ ยืนยันผลลัพธ์ที่คล้ายกันกับงานวิจัยของ Felitti และคณะ แต่ให้รายละเอียดของโรคเรื้อรังที่หลากหลายขึ้น เช่น หากเข้าไปดูรายชื่องานวิจัยที่รวบรวมไว้ใน CDC จะเห็นความหลากหลายของโรค เช่น โรคซึมเศร้า, ระบบภูมิคุ้มกัน, โรคผิวหนัง, มะเร็งชนิดต่างๆ, ไมเกรนเรื้อรัง ที่น่าสนใจคือมันเกี่ยวพันกับการอักเสบในสมองชนิด Acquired brain injury (ABI) หรือการอักเสบที่ไม่ได้มาในทางพฤติกรรมหรือมีมาแต่กำเนิด ด้วยเหตุผลอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

ACE ในฐานะมรดกความสัมพันธ์ที่เลวร้าย

สิ่งที่ต้องไฮไลต์เวลาพูดถึง ACE คือ ‘มันเป็นมรดกความสัมพันธ์ที่เลวร้าย’ ตัวอย่างชีวิตของผู้คนในหนังสือ Childhood Disrupted How Your Biography Becomes Your Biology, and How You Can Heal โดย Donna Jackson Nakazawa บอกเล่าคล้ายกันว่า ยิ่งพวกเค้ามีคะแนน ACE มากเท่าไร เมื่อย้อนอดีตกลับไปก็ยิ่งพบว่า พ่อแม่ของพวกเค้าต่างถูกเลี้ยงดูจาก ปู่-ย่า-ตา-ยาย หรือคนใกล้ชิดด้วยวิธีที่คล้ายกับที่เลี้ยงดูพวกเค้ามา คืออาจใช้ความรุนแรง ถูกกระทำทางเพศ ถูกทอดทิ้งทางความรู้สึก (เพิกเฉย ละเลย ไม่สนใจ) อยู่ในครอบครัวที่ใช้สารเสพติดหรือยา พูดอีกแง่หนึ่งได้ว่า พ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบเดียวกับที่พวกเค้าเคยถูกเลี้ยงดู และถ้าเราไม่เห็นวงจรเหล่านี้ เราก็อาจส่งต่อมรดกแห่งบาดแผลทางใจต่อเนื่องไปยังลูกเราได้

นอกจากนี้มันอาจส่งผลกระทบกับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องความสัมพันธ์ เช่น ในหนังสือ Childhood Disrupted หลายคนอธิบายปัญหาความสัมพันธ์ทั้งในแง่เพื่อน คนรัก และกับคนในครอบครัวว่าพอถึงจุดหนึ่งพวกเค้าจะรู้สึกไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อมโยง หรือไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับใครไว้ได้ ลึกลงไปเป็นเพราะความหวาดกลัว ไม่เคยเห็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มั่นคงว่าเป็นอย่างไรและเพราะประสบการณ์เลวร้ายยังหลอกหลอนให้ไม่อาจยอมรับได้ว่าความสัมพันธ์ที่มั่นคง (healthy) จะเกิดได้จริง

เยียวยาบาดแผลเลวร้ายในวัยเด็กอย่างไร

แม้ ACE คล้ายฝันร้ายที่เหมือนจะแก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อพูดว่ามันกระทำการในทางสมองและภูมิคุ้มกันเราไปเรียบร้อย แต่ข้อดีของสมองที่ปรับเปลี่ยนอยู่เสมอและปรับตัวได้อย่างทรงพลังยืนยันกับเราว่า เราทำความเข้าใจกับมันได้ (สมองและจิตใจ)เยียวยาได้ และดูแลจัดการมันได้ และต้องไม่ลืมว่า หากเราไม่ได้มีคะแนน ACE มากเกินไป เรารู้ตัว จำเหตุการณ์เลวร้ายช่วงนั้นและทำความเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในอดีต บาดแผลในวัยเด็กก็จะเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันสร้างความเข้มแข็งและกล้าหาญต่อเราในวันนี้ก็ได้

อย่างที่ใครพูดกัน …แม้เรื่องเลวร้ายในวันนั้น ก็ทำให้เป็นชั้นในวันนี้ และเราจะเป็น ‘ต้นอ่อนลู่ลม’ ที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่รอบข้างเด็กที่เข้าข่ายได้รับการกระทำทางกายและใจ ไม่ว่าจะเป็นครู เพื่อนข้างบ้าน ลุงป้าน้าอา หรือใครก็ตาม หากเจอเหตุการณ์เข้าข่ายทำร้ายร่างกายหรือทารุณกรรมเด็ก – ให้แจ้งความก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กตามกระบวนการ**

ต่อมา มันเป็นข้อเท็จจริงว่าเพียงเด็กรู้ว่ามีใครสักคนที่เค้าพึ่งพาได้ เป็นที่พึ่งทางใจได้ ไว้วางใจได้ และรู้สึกปลอดภัยหากมีคนผู้นี้อยู่ในชีวิต เพียง ‘พลังของผู้ใหญ่แค่คนเดียวที่พึ่งพาได้’ เท่านี้เด็ก(หรือพวกเราเองนั่นแหละ) ก็รอดแล้ว

สเตปต่อมา หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีบาดแผลเลวร้ายในวัยเด็ก หรือเข้าไปทำทดลองได้ที่นี่ คุณสามารถเข้ารับการพูดคุยบำบัดจากมืออาชีพเพื่อช่วยชำระเรื่องราววัยเด็กได้ ปัจจุบันมีหลายศาสตร์ที่ทำงานกับเรื่องนี้และเรายอมรับกันแล้วว่าการพูดคุยบำบัดหรือรับคำปรึกษาเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณเข้าใจที่มาที่ไปและจัดการกับตัวเองได้ดีขึ้น

หรือให้ง่ายและสบายใจกว่านั้น (ย้ำอีกครั้ง – สมองของเรามีการปรับตัวอยู่เสมอแม้ในวัยผู้ใหญ่) มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สมองยืนยันว่าการเล่นโยคะ, ไทเก๊กและชี่กง, ออกกำลังกาย, ฝึกสมาธิ, เขียนหรือวาดบำบัด และวิธีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการได้หยุดพัก ทบทวน และให้เวลาเพื่อจดจ่อกับอะไรบางอย่าง เหล่านี้ช่วยปรับโครงสร้างสมองเพื่อทำให้อาการป่วยทางใจและช่วยสมานการเชื่อมโยงระหว่างสมองให้ดีขึ้นได้ (ความสงบจากสมาธิช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนเครียด การจดจ่อไปที่ ‘ความรู้สึก’ ทำให้สมองส่วนความรู้สึกฟื้นฟูขึ้นมาได้)

และหากคุณเคยได้ยินกรอบคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset – วิธีคิดที่เชื่อว่าเราจัดการปัญหาได้ แก้ไขได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า เชื่อไหมว่างานเขียนหลายชิ้นยืนยันเช่นเดียวกันว่า กรอบคิดเติบโตช่วยเราจัดการกับความคิดลบๆ ที่ถูกตั้งโปรแกรมในสมองและช่วยปรับโครงสร้างการทำงานมันได้เลยทีเดียว

เรารู้ทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำให้เรื่องที่เราเคยเพิกเฉย คิดว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือฝังอดีตเลวร้ายไปกับกาลเวลาโดยไม่พยายามทำความเข้าใจมัน เปลี่ยนมันกลับขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในสังคม หยุดวงจรการทำร้ายร่างกายและจิตใจวัยเด็ก และรู้ว่าผลกระทบของการเพิกเฉยส่งผลร้ายรุนแรงไม่ใช่แค่บาดแผลทางร่างกายที่ไม่นานก็จะหายไป ส่งข้อมูลชุดเดียวกันให้นักกำหนดนโยบาย นักการศึกษา ผู้ที่ทำงานเรื่องประชากรศาสตร์ และคนในเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้าใจและเข้าแก้ไขจัดการได้ทัน

สำคัญที่สุด ฟังสัญญาณร่างกายตัวเอง ถ้าคุณรู้สึกเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรังตลอดเวลา บางครั้งการย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์วัยเด็กเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์นั้นใหม่ คุณอาจพบคำตอบการแก้ปัญหาสุขภาพที่ไม่เคยคาดคิดก็ได้

Tags:

ซึมเศร้าAdverse Childhood Experiences(ACE)พ่อแม่

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • BookHealing the trauma
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Early childhood
    ‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน
Voice of New Gen
10 October 2019

WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เพราะเชื่อว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ WISHDOM วงไอดอลเด็กไทยจึงจับเอาประเด็นการศึกษาและการเป็นจิตอาสามาเป็นคอนเซปท์หลักของวง
  • ภารกิจหลักของ WISHDOM  ไม่ใช่เพียงแค่ทำเพลงร้องเต้นอย่างวงไอดอลทั่วไป แต่พยายามสอดแทรกเนื้อหาด้านวิชาการต่างๆ สื่อสารผ่านโพสต์ในสื่อโซเชียลมีเดียของสมาชิกในวง
  • วงไอดอล WISHDOM พยายามเชื่อมโลกสองใบระหว่าง ‘โลกการศึกษา’ และ ‘โลกบันเทิง’ เข้าด้วยกันและย้ำว่าโลกสองใบนี้มันไปด้วยกันได้

“ทำไมเรียนวิศวะแล้วมาเป็นไอดอล เรียนมาตั้งเยอะทำไมเลือกมาทำอะไรแบบนี้ แต่เรารู้สึกโชคดีมากกว่าเพราะได้เอาความฝันทั้งสองอย่างของเรามารวมกัน เอาความรู้ที่เรามีออกมาเผยแพร่  เราอยากจะสร้าง awareness ให้คนอื่นได้รู้เรื่องนาโนเทคโนโลยี”  ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์ หนึ่งในวิชเกิร์ล จบเกียรตินิยม จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

…

เกียรตินิยม ได้รับทุน ชนะเลิศ รับรางวัล เป็นจิตอาสา …

ถ้อยคำเหล่านี้ถูกโปรยลงในโปรไฟล์แนะนำตัวของเด็กสาวสมาชิกไอดอลวง WISHDOM

หากใครติดตามวงการไอดอลของเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าวงการไอดอลไทยมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ มีวงไอดอลน้องใหม่ที่ออกมาโชว์การร้อง เต้น และทักษะความสามารถอื่นๆ ตามที่ตัวเองถนัดละลานตา 

WISHDOM หนึ่งวงไอดอลน้องใหม่เปิดตัวได้ไม่นาน แตกต่างด้วยคอนเซปท์และแนวคิดที่แข็งแรง จับเอาประเด็นการศึกษาและการเป็นจิตอาสามาเป็นแก่นหลักของวง

WISHDOM มาจากคำว่า WISH ที่แปลว่า ‘ความปรารถนา’ และคำว่า WISDOM ที่แปลว่า ‘ปัญญา’ รวมความได้ว่า ‘ความปรารถนาแห่งปัญญา’ ส่วน ‘วิชเกิร์ล’ เป็นคำที่ใช้เรียก ‘trainee’ ของวง เป็นชื่อที่ผสมผสานมาจากคำว่า ‘วิชา’ และ ‘เกิร์ล’ ฉะนั้นความหมายของก็คือไอดอลที่เป็นตัวแทนด้านวิชาการต่างๆ

The Potential จึงชวน ณภัทร จารุเรืองศรี, ปาณัสม์ ครุฑธาซ, ศุภกร ไชยอเนกวุฒิ ผู้บริหารทั้งสามพูดคุยถึงที่มาที่ไป เหตุผลที่หยิบฉวยเอาประเด็นการเรียนรู้ขึ้นมาเป็น ‘หน้าร้าน’ หรือลึกๆ แล้วทั้งสามมีมุมมองต่อการศึกษาไปในทิศทางไหน แล้วทำไมจึงคิดว่าโลกการศึกษาและการเอนเตอร์เทนถึงไปด้วยกันได้ 

ณภัทร จารุเรืองศรี – ปาณัสม์ ครุฑธาซ – ศุภกร ไชยอเนกวุฒิ

จุดเริ่มต้นของวง WISHDOM

ปาณัสม์: ก่อนหน้าจะมารวมตัวกันเพื่อทำวงไอดอล ต่างคนก็เคยทำงานของตัวเองมาก่อน ส่วนตัวผมเคยทำงานด้านการเก็บข้อมูล วิเคราะห์สถิติของไอดอลวงอื่นมาก่อนและรับราชการด้วย

แม้เราจะอยู่ในแวดวงการทำงานกับไอดอลไทย แต่ลึกๆ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมองหาไอดอลที่เป็นไอดอลจริงๆ อยู่เสมอ หมายถึง เรายังไม่เจอไอดอลในแนวที่เราอยากจะได้ ก็เลยอยากจะลองทำวงเองขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นทำให้เราคิด เริ่มวางแผน แล้ววงไอดอลแบบไหนที่เราอยากได้?

ส่วนตัวผมรู้สึกว่าในปัจจุบันคนมักมองคำว่าไอดอลในเชิงการเป็นอาชีพ มองว่าไอดอลคือใบเบิกทางเข้าสู่วงการบันเทิง ไอดอลคืออาชีพทำเงิน แต่ในความรู้สึกผมยังเชื่อว่า ‘ไอดอล’ ยังเป็นคำที่ยังมีความหมาย มีพลัง และมีอิทธิพลมากกว่านั้น ไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับคนอื่นๆ ได้อยู่ เราจึงหยิบไอเดียตรงนี้ขึ้นมาสานต่อ และแน่นอนว่าสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุด มักหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษา มันน่าจะเป็นสิ่งที่มองเห็นชัดและแข็งแรงมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องการตีตลาดในยุคสมัยนี้ เราจำเป็นต้องมีจุดยืนที่แน่นอน 

wishdom
wishdom

ต่อยอดไอเดียอย่างไร และการศึกษาแบบไหนที่อยากจะชู

ปาณัสม์: จริงๆ แล้ว การศึกษาคือไอเดียแรกที่ผุดเข้ามา แต่แน่นอนว่าการศึกษามันมีหลายแบบ ไอเดียแรกที่เราตั้งเป้าไว้ คือเราต้องการน้องๆ ที่อยู่ในสายวิทย์-คณิตเพียงอย่างเดียว ความคิดเช่นนี้มาจากพวกเราในฐานะผู้ริเริ่ม เราเคยทำงานกับสถิติ อยู่กับตัวเลขและการคำนวณมาก่อน เราจึงอินและถนัดกับประเด็นนี้ 

แต่พอเราเริ่มสังเคราะห์ คิด และตกผลึกกับมัน ก็พบว่าการศึกษามันมีหลากหลายแขนง เด็กบางคนมีความสามารถในด้านที่เขาถนัด บางทีคำว่าการศึกษามันอาจจะไม่ใช่ด้านการเรียนอย่างเดียวเสมอไป มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลอยู่ก็ได้ เราไปจำกัดความว่ามันคือตัวเลขอย่างเดียวไม่ได้ 

ณภัทร: โจทย์หลักที่เราต้องการจากน้องๆ คือ น้องจะนำความสนใจของเขามาถ่ายทอดให้กับแฟนๆ หรือคนที่มาติดตามเขาได้อย่างไร เราคัดเลือกสมาชิกในวงผ่านพื้นที่ในเฟซบุ๊ค โดยโปรยว่า ถึงจะร้องไม่เป็น เต้นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แค่น้องมาพร้อมความสามารถเฉพาะด้าน และมีใจอยากจะเผยแพร่การศึกษาและความถนัดที่มีก็พอ 

‘การเผยแพร่ความรู้’ แบบไอดอลเป็นอย่างไร

ปาณัสม์: เรามักจะบอกกับน้องๆ เสมอว่า สิ่งไหนที่เขาถนัด ให้นำสิ่งนั้นมาสังเคราะห์และปรับให้เข้ากับชีวิตประจำวัน น้องแต่ละคนจะมีช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีแฟนเพจเป็นของตัวเอง นั่นเป็นพื้นที่จะแชร์ content ของตัวเอง ตามธรรมเนียมปกติไอดอลทั่วไปจะมีการโพสต์รูปหรือข้อความให้ผู้ติดตามได้ทราบว่าวันนี้ตัวเองทำอะไรมาบ้าง หรือใช้พื้นที่นี้พูดคุยกับแฟนคลับ แต่สำหรับ WISHDOM นอกเหนือจากการพูดคุยตามปกติ เราตั้งใจให้น้องๆ พยายามสอดแทรกเกร็ดความรู้ลงไปในโพสต์นั้นด้วย

เท่าที่ผ่านมา น้องๆ จะพยายามใส่ความรู้ลงในเนื้อหาแต่ละโพสต์ อาจจะไม่ได้จริงจังหรือหวือหวา แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น น้องสมาชิกคนหนึ่งในวงมีอาการท้องเสียถึงขึ้นเข้าโรงพยาบาล แต่แทนที่จะโพสต์ว่าตัวเองป่วยเฉยๆ น้องกลับเลือกถ่ายทอดเรื่องราว โดยการอธิบายให้เห็นถึงความอันตรายของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค รวมถึงแนะนำวิธีการป้องกัน ซึ่งเรายังไม่ค่อยเห็นการนำเสนอเนื้อหาแนวนี้ในวงการไอดอลไทยซักเท่าไร

ฟีดแบกจากแฟนคลับเป็นอย่างไรบ้าง

ปาณัสม์: ถ้านับจากวันที่ออดิชั่นถึงวันนี้ WISHDOM มีอายุประมาณ 3 เดือน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าเริ่มทำสำเร็จในฐานะผู้เผยแพร่ความรู้ คือมีเหตุการณ์ที่พวกเราไปออกงานพบปะแฟนคลับ แล้วแฟนคลับบางคนถือหนังสือเรียนมาถามน้องๆ สมาชิกว่า ‘ข้อนี้ทำยังไง’ ‘ช่วยอธิบายหน่อย’ มันเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นในวงการไอดอลมาก่อน หรือแฟนคลับบางคนเมื่อมาเจอกัน ก็มาปรึกษาด้านการเรียน ‘หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยนี้’ ‘อยากเรียนคณะนี้’ ‘อยากจะเรียนให้ได้เหมือนพี่ต้องทำอย่างไร’ แค่นี้เรารู้สึกว่ามัน success แล้วนะ 

แบบนี้จะไม่กลายเป็นว่า เราชูแต่เด็กที่เรียนเก่งหรือ?

ณภัทร:  ในวงเราไม่ได้มีแค่เด็กที่เรียนเก่งนะครับ อย่างที่บอกในตอนแรก เราคาดหวังให้มีแต่เด็กสายคำนวณ (วิทย์-คณิต) แต่เมื่อเราตีความกันใหม่ว่าการศึกษาคืออะไร มันจำกัดเพียงเกรดใช่หรือไม่ ข้อสรุปคือไม่ใช่ การศึกษามันคืออะไรก็ได้ตามความถนัดของเขา เขาจะเก่งด้านดนตรี วิชาการ สังคม แค่เขาเชี่ยวชาญและมีแพชชั่นในอะไรบางอย่างก็พอแล้ว 

ปาณัสม์: ใช่ครับ เรามาทบทวนกันว่าจริงๆ แล้วคำว่าการศึกษาคืออะไร วิชาการก็คือการศึกษา ดนตรีก็คือการศึกษา การใช้ชีวิตก็คือการศึกษา เราเคยตั้งเป้าว่าเรากำลังมุ่งหา ‘ไอดอลสายคำนวณ’ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว WISHDOM คือ ‘ไอดอลสายการศึกษา’ น้องบางคนไม่ได้มีผลการเรียนดีมาก แต่เขาเป็นนักให้กำลังใจ แค่เขาเก่งในสิ่งที่เขาทำและมีใจอยากเผยแพร่

เพราะมองเห็นปัญหาอะไรในการศึกษาไทย

ปาณัสม์: ผมคิดว่าการศึกษาจะต้องช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็ก ไม่ใช่แค่ผลการเรียนที่ดี แต่มันมีแง่มุมอื่นๆ ผมมองเด็กไทยสมัยนี้ในฐานะคนที่จบมาแล้ว เขาอาจจะไม่ได้มีแรงบันดาลใจในการเรียน ไม่มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจให้เขาเรียนมากพอ ถ้าเกิดมีไอดอลหรือ symbol อะไรบางอย่างที่เป็นต้นแบบในการศึกษาของพวกเขาได้จริงๆ มันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจหรือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ได้

ณภัทร: ตั้งแต่แรกเรามักบอกเสมอ เราบอกให้น้องๆ ทุกคนที่จะมาออดิชั่นให้มาลองดูก่อน ถ้าไม่ชอบและคิดว่าตัวเองไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร 

เพราะผมรู้สึกว่าการศึกษาเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ทดลองน้อยมาก เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบอกน้องๆ ว่า เรามีพื้นที่ให้คุณได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่นะ

มีจุดยืนเรื่องการศึกษาที่แข็งแรง แล้วเรื่องร้อง เรื่องเต้น จะออกมาในรูปแบบไหน

ณภัทร: ในตลาดเพลงของวงไอดอลทั่วไป แนวเพลงมักเป็นแนว J-pop (ญี่ปุ่น) แต่เราพยายามจะทำให้วงของเรามีแนวที่ต่างออกไปจากตลาด พยายามเอาหลายๆ แนวมาผสมผสานกัน โดยซิงเกิ้ลแรกจะเป็นแนวร็อคผสมอิเล็กทรอนิกส์  

ส่วนด้านเนื้อหาเพลง ในมุมมองของผม เพลงไอดอลในตลาดจะฟังกันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ถ้าคนทั่วไปฟังอาจจะรู้สึกไม่คุ้น ฟังแล้วจั๊กจี้ เราจึงพยายามทำเพลงให้คนที่ไม่รู้จัก WISHDOM ก็สามารถฟังได้ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ทิ้งเรื่องการศึกษา จะพยายามใส่กิมมิคเกร็ดความรู้ต่างๆ เข้าไปในเพลง

การชูประเด็นการศึกษาขึ้นมาในวงไอดอล ประโยชน์คืออะไร

ปาณัสม์: อย่างแรกเราเชื่อว่ามันมีผลต่อตัวแฟนคลับหรือคนที่ติดตาม เขาจะได้ชื่นชมศิลปินตามคาแรกเตอร์ที่เขาชอบ และได้เกร็ดความรู้ ได้สาระประโยชน์ จากเนื้อหาที่สมาชิกในวงมอบให้

ในระยะยาวกว่านี้ เราตั้งใจไว้ว่าเราอยากผลักดันให้ WISHDOM มีโอกาสทำงานร่วมกันกับองค์กรด้านการศึกษาต่างๆ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น นิทรรศการความรู้ต่างๆ เป็นตัวช่วยในการดึงความสนใจ เป็นแรงบันดาลใจเชิญชวนให้เด็กไทยเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เราอยากให้น้องๆ WISHDOM เป็นสื่อกลางเชื่อมต่อระหว่างวงการศึกษาและวงการบันเทิง

wishdom
wishdom

เห็นพลังอะไรในตัวน้องๆ ไอดอลบ้าง

ณภัทร: ตอนนี้เรามีเด็กในวงที่เป็นตัวจริงทั้งหมด 14 คน จากวันแรกจนถึงวันนี้ เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำได้ จากเด็กที่ร้องไม่เป็น เต้นไม่ได้ หลายคนพื้นฐานแทบเป็นศูนย์ เต้นไม่ได้ มือแข็ง ขาแข็ง ร้องเพลงไม่ตรงจังหวะ แต่ที่ผ่านมาเราเห็นความพยายาม เขาเริ่มเต้นได้ ร้องได้ ซึ่งเราเรียนรู้ว่ามันเกิดจากความตั้งใจของเขา ผมว่าไม่ต่างจากการเรียนหนังสือ ในเมื่อเด็กอยากทำ เขามีแพชชั่น เรามีหน้าที่ช่วยทำแพชชั่นนั้นให้สำเร็จ 

จากการทำงานร่วมกันมา WISHDOM เหมือนโรงเรียน เหมือนบ้านที่เรามาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราเปิดพื้นที่ เขาสามารถแสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ สมาชิกคือ first priority 

แม้โลกจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่หลายคนยังคงมีแนวคิดว่า เด็กเรียนเก่งมักจะไม่ทำกิจกรรมร้องเล่นเต้นรำ คุณเห็นด้วยมั้ย

ปาณัสม์: เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้นะครับ (หัวเราะ) ตอนที่เรารันโปรเจคท์นี้ก็ยังกังวลอยู่เลยว่าจะมีเด็กมาสมัครไหม แต่ปรากฏว่ามีเด็กสนใจเกือบ 200 คน ซึ่งไม่ได้มีแค่เด็กเรียนดีที่สมัครมาเท่านั้น ประวัติของทุกคนน่าสนใจเกือบหมด เราจึงต้องมีคณะกรรมการหลายคน พิจารณาหลายๆ ด้าน ทั้งบุคลิก ความสามารถร้องเต้นพื้นฐาน ทัศนคติ รวมถึงการพูดคุยสัมภาษณ์ 

ณภัทร: ผมว่าชีวิตเราทุกคนต้องการมีซีนนะ เราต้องการพื้นที่ out stand แต่ที่เราติดภาพจำว่าเด็กเนิร์ดจะไม่ทำกิจกรรม มัวแต่อ่านหนังสือ ผมว่าเด็กๆ เขาอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีพื้นที่ WISHDOM จึงเปรียบเสมือนพื้นที่ที่สร้างซีนให้เขามากกว่า ผลักสิ่งที่อยู่ในตัวเขาออกมา

ปาณัสม์: บางทีเด็กเนิร์ดที่มีซีน เขาอาจจะต้องเรียนเก่งมากๆ ซีนของเขาอยู่ในรูปแบบการสอบได้ที่หนึ่ง หรือเป็นตัวแทนการสอบระดับประเทศ ซีนของเขาคือการขึ้นไปรับรางวัลต่างๆ แต่สิ่งที่เรากำลังทำคือการให้พื้นที่ นำเอาคุณสมบัติที่ติดตัวเขามาฉายและ publish ต่อ

เลี้ยงสมดุลระหว่างโลกไอดอลกับโลกการเรียนของน้องๆ อย่างไร

ปาณัสม์: เรื่องนี้เราคุยกันตั้งแต่วันแรกๆ ที่เริ่มทำสัญญากัน เราให้ความสำคัญกับการศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง หากน้องมีภารกิจทางการศึกษาใดๆ ติดสอบ ติดอ่านหนังสือ ติดเรียน ติดรับปริญญา หรือไปเข้าค่าย สามารถลางานโดยไม่มีข้อแม้  เราจะไม่ปล่อยให้น้องๆ ต้องกังวลว่างานจะทำให้กระทบต่อการเรียน 

คาดหวังว่า WISHDOM จะจุดกระแสไอดอลไทยอย่างไรบ้าง

ปาณัสม์: ตลาดไอดอลในไทยมันค่อนข้างมีแนวโน้มโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเรายังจะสร้างกระแสได้ไม่มาก  แต่เราคาดหวังจะเสนอจุดยืนของเราให้ดีที่สุด จะเห็นได้ว่า content ที่เป็นข้อมูลทางการศึกษาต่างๆ ที่น้องได้โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ไม่จำเป็นต้องถูกกดไลค์ กดแชร์ เฉพาะแค่ในกลุ่มโอตะเสมอไป แต่มันเผยแพร่ไปถึงคนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้สนใจไอดอล หรือไม่ใช่ฐานแฟนคลับหลักของเรา 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น จีจี้ หนึ่งในสมาชิกในวง เคยโพสต์เรื่อง ‘อัลกอริธึม’ ของ แอปพลิเคชั่น Spotify ที่คำนวณตามพฤติกรรมฟังเพลงของ user โพสต์นี้มีคนเข้ามาแชร์และกดไลค์จำนวนมาก และนั่นคือ traffic ที่เราได้แลกเปลี่ยนโดยใช้ความรู้เป็นตัวเชื่อม

ในเมื่อ WISHDOM คือโรงเรียน ในฐานะผู้บริหารเราได้เรียนรู้อะไรจากโรงเรียนนี้บ้าง

ณภัทร: ผมค่อนข้างอยู่กับเอกสารอ้างอิงมาโดยตลอด เวลาน้องๆ อัพโหลดข้อความหรือ content ใดๆ ผมจะต้องรีเช็คความถูกต้อง โดยหารีเสิรช์ต่างๆ มายืนยัน มันก็ได้ฝึกตัวเองเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปาณัสม์: สำหรับตัวผม การอยู่ตำแหน่ง CEO มันต้องดูแลภาพรวมทั้งโครงสร้าง มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย มีการพูดคุยกับบริษัทแนวร่วม ถึงแม้ผมจะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจมาก่อน แต่ก็ได้คำแนะนำจากคนอื่นๆ อยู่เสมอ เช่น การทำตลาดออนไลน์ การหาสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่เราเข้าประชุมงานเหมือนกับได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน

ศุภกร: การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าคุณยังเรียนในโรงเรียนหรือจบมาแล้วทำงานก็ตาม เราทุกคนยังต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างที่บอกว่าวงเรามีคอนเซปท์ที่แตกต่าง ผมได้เรียนรู้ว่าการคิดนอกกรอบนี้ มันคือการผสมผสานที่ลงตัว ทำให้การศึกษาไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ  

คุยสั้นๆ กับ 3 เมมเบอร์ ‘อะไรทำให้เข้ามาเป็นไอดอลสายการศึกษา?’

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี, ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์, จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร

จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร:
นักเรียน ม.6 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ถนัดด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์

“ไอดอลเป็นแค่วิชาหนึ่งในชีวิต เป็นวิชาที่หนูเข้าไปเรียน วันหนึ่งมันจะต้องมีการวัดผล ซึ่งก่อนวัดผลก็แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”

จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร

หนูชอบเต้นชอบร้องมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ชอบวิทย์คณิตเหมือนกัน เราเป็นคนเรียนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่พื้นที่ให้เลือกทั้งเอนเตอร์เทนและวิทย์คณิตมันไม่ได้เยอะมาก หนูต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ WISHDOM ไม่จำเป็นต้องเลือกเลย มันมีทั้งสองอย่างที่เราชอบ หนูคิดว่าหนูมีความสามารถในเชิงวิชาการติดตัวมา และวงนี้มีคอนเซปท์ที่ตอบโจทย์ แต่พอเข้ามาแล้ว ถึงแม้หนูชอบเต้นโคฟเวอร์มากๆ แต่หนูไม่ได้เต้นเก่ง WISHDOM ช่วยให้หนูฝึกการเต้นให้ลึกขึ้น บางครั้งตอนที่เต้นไม่ได้ รู้สึกท้อมากๆ แต่เราก็พยายามทำมัน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการเรียน ถ้าทำไม่ได้-ก็อ่านหนังสือทวนอีกรอบ

แต่หนูเคยใช้ความพยายามผิดทาง เมื่อก่อนหนูพยายามจะเป็นใครก็ไม่รู้ อยากจะให้คนมารักมาชอบ แต่เมื่อหนูเปลี่ยนวิธีคิด ใช้ความพยายามนั้นกับตัวเอง บทบาทการเป็นไอดอลเป็นแค่วิชาหนึ่งในชีวิต เป็นวิชาที่หนูเข้าไปเรียน วันหนึ่งมันจะต้องมีการวัดผล ซึ่งก่อนวัดผลก็แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์:
จบการศึกาาคณะวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

“เรารู้สึกว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ ยิ่งถ้าได้ใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกมีค่าและเติมเต็มมากๆ”

ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์

ที่ตัดสินใจสมัครเข้ามาในวงนี้เพราะคิดว่าเรายังมีความสามารถอื่นๆ ที่เอามาใช้ได้อีก เราไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรเลย Why choose? when we can have both เราเป็นได้ทั้งสองอย่าง 1. เป็นไอดอล 2. เป็นผู้เผยแพร่ความรู้

ก่อนหน้านี้เรารู้ว่าไอดอลคืออาชีพหนึ่งที่ออกมาร้องมาเต้น ไอดอลแค่ต้องถ่ายรูปลงโซเชียล พูดคุยกับแฟนคลับ แต่พอมาทำจริงๆ เรารู้สึกว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ ยิ่งถ้าได้ใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกมีค่าและเติมเต็มมากๆ ซึ่งมันเป็นคอนเซปท์ของวง

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี:
นักเรียน ม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ชอบค่ายและงานจิตอาสา

“การเป็นไอดอลมันยากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่มันทำให้หนูได้ออกมาจาก comfort zone หลังจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องความกดดันมีอยู่บ้าง แต่หนูจะเอาข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนไม่ใช่บาดแผล มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามอีกครั้ง”

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี

หนูชื่นชมไอดอลวงหนึ่งอยู่แล้ว มีช่วงหนึ่งที่หนูรู้สึกแย่กับชีวิต หนูได้ไอดอลวงนี้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น – หนูจึงอยากเป็นคนหนึ่งที่ส่งต่อความรู้สึกดีๆ ส่งกำลังใจให้คนอื่นบ้าง จึงทำให้หนูสมัครเข้ามา อีกอย่างหนูชอบร้องเพลงอยู่แล้ว และคิดว่านี่คือก้าวแรกที่หนูจะได้ทำตามความฝันของตัวเอง ผ่านการทำสิ่งที่หนูรัก

ไอดอลคือสัญลักษณ์ของความพยายาม มอบความรู้ ความสุข ให้กำลังใจ

การเป็นไอดอลมันยากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่มันทำให้หนูได้ออกมาจาก comfort zone หลังจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องความกดดันมีอยู่บ้าง แต่หนูจะเอาข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนไม่ใช่บาดแผล มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามอีกครั้ง แม้ยอดไลค์หนูไม่เยอะ แต่ถ้าคอนเทนต์นั้นมันมีประโยชน์สำหรับใครสักคนที่เข้ามาอ่าน ก็พอใจแล้ว

หนูไม่รู้ว่าวงอื่นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่หนูรู้สึกได้จาก WISHDOM นอกจากการฝึกร้อง เต้น เราคือวงที่พูดคุยกับเรื่องความรู้ แชร์ข้อมูลกัน แบ่งปันในสิ่งที่แต่ละคนถนัด

Tags:

ศิลปินดนตรีปาณัสม์ ครุฑธาซศุภกร ไชยอเนกวุฒิณภัทร จารุเรืองศรีไอดอลระบบการศึกษา

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Everyone can be an Educator
    รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel