Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2018

ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน
Early childhoodBook
24 October 2018

ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • หนังสือนิทานที่ดีนอกจากต้องน่ารัก อบอุ่นแล้ว ยังต้องมีการตั้งคำถามเพื่อให้เด็กได้คิด
  • นิทานที่เล่าเรื่องแบบเป็นเงื่อนไข และเชื่อมโยงเงื่อนไขจะทำให้เด็กได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นไปในตัว
  • หนังสือภาพจะเปิดโอกาสให้พ่อแม่ หรือแม้แต่เด็ก ได้ใช้จินตนาการในการเล่าเรื่องผ่านถ้อยคำและประสบการณ์ของตัวเอง

จากบทสัมภาษณ์ของครูชีวันเรื่อง ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’ ที่เล่าถึงวิธีการทำหนังสือ และแนวคิด ‘ต้องไม่สอน’ ของการทำนิทาน เชื่อว่าหลายคนคงเห็นด้วย แต่อาจนึกภาพไม่ออกว่า เล่มไหนสอนและเล่มไหนที่ไม่สอน

The Potential จึงชวนครูชีวันมาแนะนำนิทาน 5 เล่มน่าอ่าน ดีต่อใจ และไม่สอน

ช่วยเช็ดให้นะ พระจันทร์ฝันดี วันนี้วันดี บ้านบนต้นไม้ และ บาบา คือ 5 เล่มที่ครูชีวันเป็นบรรณาธิการ ทุกเล่มจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มูลนิธิ SCG

แต่ละเล่ม ‘น่ารัก’ มาก และที่สำคัญราคาไม่ถึงร้อย!

1.ช่วยเช็ดให้นะ

เล่มนี้เขียนโดยนักเขียนนิทานชาวญี่ปุ่น Akiko Hayashi (อาคิโกะ ฮายาชิ) และแปลโดย มารินา โคบายาชิ

ครูชีวันบอกว่า “เล่มนี้ดีมากๆ เพราะลึกซึ้ง ฉลาดที่จะนำเสนอ ทั้งเรื่องที่เป็นความจริง และเป็นจินตนาการของเด็กเอง

ชื่อเดิมจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น คือ  ‘คิ้ว คิ้ว คิ้ว’  ที่นำมาจากเสียงเวลาเช็ดถู เหมือน ปื้ด ปื้ด ปื้ด ของไทย แต่ฟังแล้วไม่น่ารักเท่า เลยเปลี่ยนชื่อนิทานมาเป็น ‘ช่วยเช็ดให้นะ’

เนื้อเรื่องของเรื่องเกี่ยวกับ มี(ตุ๊กตา)สัตว์สามตัว กำลังกินข้าวกับเด็ก แต่ละตัวขยันกันกินหกเลอะเทอ เด็กเลยช่วยเช็ดให้

“ถ้าดูจากหน้าปกแล้ว นิทานเล่มนี้น่ารักมาก แต่นอกเหนือจากความน่ารักแล้ว พ่อแม่อาจจะงงเล็กน้อยว่านิทานเรื่องนี้ต้องการบอกอะไร เรารู้สึกแค่ว่ามันน่ารัก ทั้งเรื่อง ทั้งคำ ทั้งภาพ สำหรับครูชีวันแล้วนี่คือหนังสือที่ดี มีการตั้งคำถาม น่ารัก อบอุ่น”

เนื้อเรื่องละเอียดจะเป็นอย่างไร ครูชีวันไม่เล่าต่อ ขอให้ไปอ่านกันเอาเอง

2.พระจันทร์ฝันดี

พระจันทร์ฝันดี แปลมาจาก Goodnight moon เขียนโดย มาร์กาเร็ต ไวส์ บราวน์ และแปลโดย รพินทร ณ ถลาง

ครูชีวันเล่าว่า “ต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษจะคล้ายๆ บทกวีสำหรับเด็ก เป็นคำคล้องจอง ซึ่งแปลยากมาก แต่ผู้แปลก็ทำได้ดีมาก หนังสือเล่มนี้เหมาะแก่การอ่านก่อนนอน เพราะสีแต่ละหน้าจะค่อยๆ มืดลง ตามระดับความง่วงที่ค่อยๆ มากขึ้นของเด็ก

เรื่องราวเล่มนี้จะชี้ชวนให้ดูสิ่งต่างๆ ในห้องสีเขียวสดใสสว่างตา ด้วยลีลาถ้อยคำคล้องจอง ให้ดูให้มอง ตั้งแต่โทรศัพท์ ลูกโป่งสีแดง ภาพวัวกระโดด ภาพลูกหมีสามตัว ถุงมือ ถุงเท้า กองไฟ ลูกแมว ลูกหนูตัวจิ๋ว”

ไม่ใช่แค่การฝึกสังเกตที่มาพร้อมความสนุก แต่ความช่างคิดตั้งแต่การใช้สี เล่าเรื่อง และรายละเอียดจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด ทำให้เล่มพระจันทร์ฝันดีอ่านสนุกได้ทุกคืน

3.วันนี้วันดี

วันนี้วันดี เป็นนิทานพื้นบ้านอาร์เมเนีย เขียนโดย Nonny Hogrogian (น็อนนี่ ฮ็อกโกรเกียน) และแปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ

เล่มนี้มีลีลาการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยง เป็นการเล่านิทานแบบสะสมถ้อยคำนิทาน เรื่องนี้เป็นเรื่องของหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งที่ไปกินนมในถังของหญิงชรา จนถูกหญิงชราจับตัดหาง หมาจิ้งจอกต้องหาทางให้ได้หางของตนคืนมา ด้วยการทำตามเงื่อนไขต่างๆ ของหญิงชรา พล็อตเหมือนกับเรื่อง ‘ยายกับตา’ ที่ว่า

“ยายกับตาปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้า อีกกามากินถั่วกินงา ยายมายายด่า ตามาตาตี หลานก็ไปขอให้นายพรานยิงอีกา ในพรานก็บอกว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า ก็ขอให้หนูไปกัดสายธนูนายพราน ขอให้แมวไปกัดหนู ขอให้หมาไปกัดแมว”

ซึ่งแต่ละเงื่อนไขจะเป็นเหตุเป็นผลกันว่า ว่าทำเช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ เด็กๆ จะเริ่มรู้จักเหตุรู้จักผล นิทานชนิดนี้มีอยู่ทั่วโลก ถ้าอ่านให้เด็กฟังจะเป็นการเพิ่มคำศัพท์ให้เด็กได้เยอะมากขึ้น

4.บ้านบนต้นไม้

ผลงานวาดรูปร่วมกันของสองพ่อลูก มาไรย์ โทลมัน,โรนัลด์ โทลมัน

“เล่มนี้ภาพสวย ดูสบาย ข้างในเล่มเป็นรูปภาพหมด ไม่มีตัวหนังสือ ซึ่งเป็นการสื่อสารเรื่องราวที่คนดูต้องอ่านภาพ เล่าเรื่องด้วยภาษาของตัวเอง ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง” ครูชีวันเล่า

เรื่องนี้เปิดโอกาสให้เด็กใช้ภาษาที่มีอยู่ ถ้าเด็กคนไหนที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังมากๆ ภาษา ถ้อยคำ ในตัวเขาก็จะเยอะพอที่จะเลือกใช้คำที่สละสลวยได้ เป็นเล่มที่เล่าตั้งแต่หน้าปกมาถึงข้างใน และเล่าได้หลายๆ รอบ  เนื้อเรื่องแต่งใหม่อย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องซ้ำกัน

ถ้าพ่อแม่จะเอาไปอ่านก็แล้วแต่จินตนาการ หรือบางทีพ่อแม่ไม่ต้องเล่าให้ฟัง ให้ลูกดูภาพเอาก็ได้ หนังสืออย่างนี้เด็กเล็กๆ จะชอบเพราะไม่มีตัวหนังสือ

“หนังสือที่มีตัวหนังสือสำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออก ตัวหนังสือคืออุปสรรค พ่อแม่ต้องอ่านให้ฟัง แต่เล่มนี้เปิดอิสระ” คำนิยมจากครูชีวัน

5.บาบา

เล่มนี้เป็นผลงานของ 2 นักเขียนไทย ชิราวรรณ ทับเสือ และกฤษณะ กาญจนาภา

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นในแทบจะทันทีทันใด เล่าเรื่องมิตรภาพของเพื่อนๆ ทั้งสี่ แต่จู่ๆ สมาชิกสามตัว คือ เสือดาว หมี ฮิปโป ถูก ‘บาบา’ สัตว์ยักษ์ปริศนาจับไป แล้วจะโดนบาบาจับกินไหม  ทำให้สมาชิกที่รอดเหลืออยู่หนึ่ง คือ ช้างตัวน้อย ต้องหาทางช่วยเพื่อนให้ได้

ครูชีวันบอกว่า “หนังสือที่ดี ต้องมีแง่มุมของคำถาม นิทานเล่มนี้เปิดเรื่องด้วยการตั้งคำถามแล้วว่า ‘บาบา’ คือตัวอะไร และการเล่าเรื่องของเล่มนี้จะไม่มีคำพูดที่กำหนดว่าใครเป็นคนพูด แต่เด็กจะแทนตัวเองเป็นตัวละครในเรื่อง เพราะถ้าไปกำหนดว่าตัวไหนพูดอะไร จะเป็นการปิดโอกาสให้เด็กได้จินตนาการต่อ

คำไม่ต้องเยอะ แต่เราอ่านภาพ อ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รับรู้อารมณ์ ความรู้สึก และการคลี่คลายด้วยภาพก็เข้าใจแล้ว ไม่ได้สอน แต่ให้เรียนรู้ แล้วเด็กก็คิดเองได้ สรุปเอาเองจากเหตุการณ์ทั้งหลาย จากภาพที่เห็น” ครูชีวันทิ้งท้าย

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยนิทานชีวัน วิสาสะ

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ
EF (executive function)
22 October 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

นิพนธ์ต้นฉบับนี้เขียนต่อไปว่า Play is not frivolous; it is brain building. แปลว่าการเล่นเป็นการสร้างสมอง ขยายความต่อไปว่าการเล่นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง

การเล่นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมองทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับโมเลกุล ระดับเซลล์ และระดับพฤติกรรม

ระดับโมเลกุล อธิบายด้วยเรื่องอภิพันธุกรรม

ระดับเซลล์ อธิบายด้วยการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท

ระดับพฤติกรรม อธิบายด้วยเรื่องพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม รวมทั้ง EF (executive function)

คุยกันเรื่องระดับโมเลกุลและอภิพันธุกรรมก่อน

เริ่มด้วยงานวิจัยในหนู ซึ่งมีคำเตือนว่ามิได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดกับลูกหนูจะใช้อธิบายลูกคนได้ทั้งหมด

หนูเป็นสัตว์ที่ชอบเล่นปล้ำกันมากที่สุด และส่งเสียงที่อาจจะเทียบเคียงได้ว่าเป็นเสียงหัวเราะของหนู

การเล่นในหนูทำให้เกิดสารที่เรียกว่า BDNF (brain-derived neurotrophic factor) ซึ่งมีบทบาทในการดูแลรักษาเซลล์ประสาทที่มีชีวิตอยู่ สร้างเซลล์ประสาทใหม่และจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ มีบทบาทต่อความจำระยะยาวและการเรียนรู้สังคม

การเล่นทำให้เกิดการสร้างแฟคเตอร์นี้มากขึ้นใน RNA ของสมองหนู 4 ส่วนคือ amygdala, dorsolateral frontal cortex, hippocampus และ pons อธิบายเพิ่มเติมว่า RNA คือสารพันธุกรรม พบว่าการเล่นนาน 30 นาทีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับยีนที่ประมาณ 1 ใน 3 จากจำนวนทั้งหมด 1,200 ยีน

ในทางตรงข้าม หนูที่ถูกห้ามเล่น อารมณ์เศร้า และความตึงเครียด ทำให้เกิดกระบวนการเติมเมธิลกรุ๊ปและลดการทำงานของยีนที่รับผิดชอบ BDNF นี้ที่บริเวณสมองส่วนพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์ (methylation & down regulation)

อธิบาย-แปลกแต่จริงที่พบว่าการเล่นส่งผลที่ระดับยีน กล่าวคือทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นทำให้สารพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงด้วย จากนั้นส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการสร้างเซลล์ประสาท การประคับประคองเซลล์ประสาท รวมทั้งการสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ เราเรียกการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อพันธุกรรมว่า อภิพันธุกรรม (epigenetics)

ดังที่ผู้นิพนธ์เขียนเตือนไว้ว่าข้อค้นพบนี้เป็นของลูกหนู มิใช่ลูกคน ดังนั้นเด็กเล็กที่เครียดจากการเรียน ถูกห้ามเล่นในห้องเรียน ไปจนถึงมีอารมณ์เศร้าบ่อยครั้งจากการถูกดุ ตำหนิ หรือตีที่โรงเรียน กลับบ้านแทนที่จะได้เล่นกลับต้องคร่ำเคร่งทำการบ้าน เหล่านี้อาจจะไม่มีผลกระทบที่ระดับกรรมพันธุ์ก็ได้

ต่อไป ไปที่ระดับเซลล์

การเล่นตุ๊กตา 2 ชั่วโมงต่อวันของลูกหนูส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสมองและพฤติกรรม พบว่าลูกหนูที่ถูกขังและไม่ให้เล่นตุ๊กตาจะมีทักษะการแก้ปัญหาลดลง และสมองส่วน medial prefrontal cortex ไม่พัฒนา การไม่ได้เล่นมีผลกระทบต่อการสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทและการตัดตอน (synaptogenesis & pruning)

ลูกหนูที่ถูกกักไม่ให้เล่นในวัยที่ชอบเล่นมากที่สุดคือช่วงอายุ 4-5 สัปดาห์ พบว่ามีความบกพร่องในการเรียนรู้สังคมเมื่อเติบโตขึ้น

อีกครั้งหนึ่ง เด็กเล็กลูกคนที่ไม่ได้เล่นตุ๊กตาอาจจะไม่ได้แย่เหมือนลูกหนูก็ได้นะ รวมทั้งเด็กเล็กที่ถูกจำกัดเวลาไม่ให้เล่นในวัยที่เขาควรได้เล่นมากที่สุด (คืออายุเท่าไร?) ก็อาจจะมิได้มีการเรียนรู้สังคมเสียหายเหมือนลูกหนูก็ได้

เพิ่มเติม-อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่าแม้แต่ในลูกคน การเล่นตุ๊กตาต่างหากที่สร้างการเรียนรู้สังคม การผลักเข้าสู่สังคมเร็วเกินไปต่างหากที่อาจจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ตรงข้าม

งานวิจัยชิ้นถัดไปโหดหน่อย ลูกหนูที่สมองส่วนพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์ถูกทำลายแล้วเลี้ยงท่ามกลางหนูตัวอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับลูกหนูที่ไม่ถูกทำลายสมองส่วนพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์แต่เลี้ยงโดยกักไว้มิให้เล่น พบว่าผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกัน กล่าวคือกลายเป็นหนูที่ไม่มีทักษะการแก้ปัญหา กล่าวคือปล่อยไว้ในเขาวงกตแล้วออกไม่ได้เท่าๆ กัน

การเปลี่ยนแปลงของสมองเพราะการเล่นเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลูกหนูที่ได้เล่นตุ๊กตาพบว่าสมองมีขนาดโตกว่า สมองส่วนพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์มีขนาดใหญ่กว่า ทบทวนความจำว่านี่คือสมองส่วนที่รับผิดชอบ EF (executive function) หนูเหล่านี้แก้ปัญหาเขาวงกตได้เร็วกว่า

การเล่นเพิ่มระดับโดปามีน (dopamine) ช่วยให้ระบบการวางเงื่อนไข (reward system) ทำงานได้ดี การเล่นลดระดับคอร์ติซอล (cortisol) ทำให้ความเครียดลดลง การเล่นเพิ่มระดับนอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) ทำให้การทำงานของจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทดีขึ้น ส่งผลต่อระดับความยืดหยุ่นของเซลล์ประสาท (plasticity)

อีกครั้งหนึ่ง ที่เขียนมาวันนี้เป็นเรื่องของลูกหนู มิใช่ลูกคน

อย่างไรก็ตาม เราปิดท้ายตอนนี้ด้วยงานทดลองในเด็กอายุ 3-4 ขวบที่เกิดความเครียดจากการไปโรงเรียน พบว่า

เมื่อเพิ่มเวลาเล่น 15 นาทีต่อวัน เปรียบเทียบกับการนั่งฟังครูอ่านหนังสือ 15 นาทีต่อวัน เด็กที่ได้เล่นมีระดับความเครียดลดลงสองเท่า

และในอีกการทดลองหนึ่ง เด็กเกเรที่ได้เวลาส่วนตัวเล่นกับครูมากขึ้น มีระดับคอร์ติซอลในน้ำลายอันเป็นตัวบ่งชี้ความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้
21st Century skills
22 October 2018

4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ในกรอบการเรียนรู้ทักษะจำเป็นเพื่อศตวรรษที่ 21 หัวข้อสำคัญที่ภาคการศึกษาทั่วโลกกำลังให้ความสนใจคือ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) สะท้อนให้เห็นจากความพยายามคิดค้นหลักสูตร นโยบายให้ชั้นเรียนมีรูปแบบการสอนที่ปลุกกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนมากขึ้น (Self-Learning)

โดยเปลี่ยนโฟกัสจากครูเป็นผู้ให้ข้อมูลความรู้ มาเป็นเด็กเป็นผู้ค้นหาข้อมูล คิดและเรียนรู้เองจากประสบการณ์ลงมือปฏิบัติจริง จากกรอบการเรียนรู้ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สิ่งที่โรงเรียนควรสอนควบคู่ไปกับความรู้เชิงวิชาการคือ 4 ทักษะที่จำเป็นอย่าง การคิดสร้างสรรค์ มีวิจารณญาณ การทำงานร่วมกันและการสื่อสาร ที่เรียกว่า 4Cs

4Cs หรือทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ประกอบด้วย

C ที่ 1: Creativity and Innovation คิดนอกกรอบและต่อยอดเป็น
C ที่ 2: Critical Thinking and Problem Solving คิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหาเองได้
C ที่ 3: Communication สื่อสารได้ถูกต้องเหมาะสม
C ที่ 4: Collaboration การทำงานร่วมกับผู้อื่น

ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นรูปแบบการสอนที่จะปลุกกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นทักษะสำคัญให้พวกเข้ามีชีวิตรอดในศตวรรษที่ 21

เพราะความคิดสร้างสรรค์จะทวีความสำคัญมากขึ้นจนกลายเป็น 1 ใน 3 ทักษะที่สำคัญที่สุด และไม่เพียงเท่านั้น การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา การสื่อสาร ถือเป็นทักษะอันดับต้นๆ ที่โลกใหม่กำลังมองหาฉะนั้นทักษะ 4Cs จะเป็นสะพานเชื่อมเด็กในวันนี้กับโลกการใช้ชีวิตจริงในอนาคต

อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่: 4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์

Tags:

พัฒนาการครูระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)4Cs

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’
Everyone can be an Educator
20 October 2018

ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ชีวัน วิสาสะ นักวาดภาพประกอบ นักเขียน และนักเล่านิทานผู้ให้กำเนิดอีเล้งเค้งโค้งบอกว่า จะเขียนนิทานหนึ่งเล่ม ไม่ใช่แค่เขียนหนังสือและวาดรูปได้เท่านั้น
  • นิทานต้องไม่สอน แต่ต้องให้เด็กเรียนรู้ และมีส่วนร่วม เพราะจะทำให้เด็กได้คิด พอเด็กคิดแล้วตรงกับสิ่งที่เขียนในนิทาน เด็กจะเกิดความภูมิใจ และสนุกสนาน
  • นอกจากเนื้อเรื่องที่ต้องคิดอย่างสลับซับซ้อนแล้ว การวาดนิทานและการลงสีก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา
  • นักเขียนหนังสือเด็กต้องยืมปากพ่อแม่ ยืมปากคุณครูเพื่อที่จะอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ผู้เขียนจึงต้องคัดสรรคำให้พอดี มีจังหวะ มีพลังของถ้อยคำของภาษา เพื่อให้ผู้ใหญ่มีอิสระในการเล่าเรื่อง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่สอน’

อาจจะเป็นคำนิยามสั้นๆ ของนิทานครูชีวัน วิสาสะ นักวาดภาพประกอบ นักเขียน นักเล่านิทาน และผู้ให้กำเนิดนิทาน ‘อิเล้งเค้งโค้ง’ มาหลายสิบปี

“เวลาเล่านิทานให้เด็กฟัง เด็กต้องไม่รู้สึกว่าถูกสอน เพราะการสอนคือชี้แนะ บอก ให้ทำแบบนั้น แบบนี้ นี่คือผู้สอนเป็นหลัก แต่การเล่านิทานคือการให้เด็กเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วม เขาจะเกิดความคิด ตรรกะ และเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลได้ด้วยตัวเอง”

นิทานทุกเล่มของครูชีวัน เน้นให้คนธรรมดาหรือพ่อแม่ที่คิดว่าตัวเองเล่านิทานไม่ได้ “เล่าให้สนุกจนได้” ด้วยภาษา ภาพ สี และวิธีการออกแบบที่ละเอียดแบบเก็บทุกเม็ด ถึงขนาดบางเล่มเขียนและคิดค้างกว่าหลายปีก็ยังไม่จบ

ตลอดการสนทนาครูชีวันเล่าขั้นตอนการทำแต่ละเล่มด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่พอฟังครบจบทุกหน้าแล้ว…

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้สอนให้รู้ว่า ‘คนธรรมดา’ ทำ (นิทานเด็ก) ไม่ได้แน่นอน 🙁

เขียนนิทานสักเล่ม ยากแค่ไหน

หนังสือสำหรับเด็ก รูปลักษณ์มันไม่มีอะไรซับซ้อน คนมองผิวเผินก็จะรู้สึกว่ามันไม่ยาก ไม่ได้มีกลไลอะไร คำก็น้อย แต่จริงๆ รูปแบบที่มันง่าย มันผ่านขั้นตอนกระบวนการคิด วิเคราะห์ของเรา ซึ่งตอนอยู่ในหัวไม่มีใครเห็น แต่ต้องมีเป้าหมาย วิธีคิด ทฤษฎี ประสบการณ์มารองรับ นำไปทดลองใช้ กว่าจะออกมาเป็นหนังสือแต่ละเล่ม นี่คือความยากที่คนจะไม่เห็นในหนังสือภาพ

บางคนอาจจะเข้าใจแค่ว่า หนังสือก็มีแค่นี้ วาดรูปได้ เขียนเรื่องได้ ก็มีคนที่พยายามทำให้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ทำได้ง่ายๆ มันไม่ผิดนะ แต่ถามว่าอะไรที่ทำได้ง่ายๆ คิดแล้วไม่ซับซ้อน มันต้องการบอกอะไรเด็ก บอกผิวเผิน บอกให้ลึกซึ้ง หรือต้องการให้เด็กเกิดความคิด

เวลาเราทำงาน จะมีถ้อยคำที่เราจะต้องเอามาขบให้แตกว่า งานของเราสื่อไปกับเด็ก เราต้องการให้เด็กเชื่อ หรือต้องการให้เด็กคิด เพราะหนังสือคือสื่อ อะไรที่เราทำเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมา จับต้องได้ สัมผัสได้ ก็คือสื่อ แต่สื่อเพื่ออะไร สื่อเพื่อให้เชื่อหรือสื่อเพื่อให้คิด ฉะนั้นกระบวนการคิดก็จะลึกมากกว่าแค่ทำหนังสือที่มีเรื่อง มีภาพ

กว่าจะได้นิทานหนึ่งเล่ม ต้องเริ่มจากอะไรก่อน

นักเขียนต้องผ่านการสั่งสม เราต้องอ่าน เราต้องเปิดประสาทสัมผัสเพื่อรับประสบการณ์ทั้งหลาย ณ ขณะนั้นที่เราเป็นอยู่ เรามีวัยวุฒิ คุณวุฒิแค่ไหน จากนั้นก็คิดถึงวัยเด็ก คิดถึงความเป็นเด็กว่าในวัยเด็กเราสนใจอะไร เด็กในปัจจุบันสนใจอะไร แล้วความสนใจนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เราดึงออกมาเพื่อที่สร้างเป็นประเด็น เป็นเนื้อหา แล้วนำมาออกแบบเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก

ฉะนั้นมันคือการสั่งสม บางคนอาจบอกว่าที่มาหนังสือเกิดขึ้นแบบฉับพลัน หรือบอกว่าปิ๊งขึ้นมา วาบขึ้นมาเมื่อเราสังเกตหรือเห็นอะไรบางอย่าง ก็เชื่อได้ว่ามันต้องมาจากการสั่งสมด้วย ถ้าเราไม่มีพื้นฐานอะไรเลย แล้วไปเห็นสิ่งที่อยู่แวดล้อมก็ไม่มีทางคิดออก เพราะมันไม่มีตัวเชื่อม ไม่มีตัวสปาร์ค เพราะอะไรที่ผ่านเข้ามา บางทีก็ต้องมาสปาร์คกับทุนเดิมของเรา หรืออาจมาจากประเด็นในปัจจุบัน ข่าว ประเด็นทางสังคม อะไรที่น่าสนใจ ฉะนั้นที่มามาได้ไม่จำกัด

เมื่อที่มาไม่จำกัด แล้วจะจัดการต่ออย่างไร

ชีวัน วิสาสะ กับหนังสือ ตัวเลขทำอะไร

พอที่มาไม่จำกัด สิ่งที่ทำให้เราสร้างประเด็นขึ้นมาได้คือประสบการณ์ที่เราสั่งสม เราจะต้องอ่าน ดู ฟัง สังเกต ให้หลากหลาย แล้วถ้าเราสนใจเรื่องใดโดยเฉพาะ ก็เจาะลึกเรื่องนั้นไป ยกตัวอย่างนิทานเรื่อง ‘ตัวเลขทำอะไร’

ตัวเลขทำอะไร เกิดจากการอ่านบทความ ประมาณปี 2539 พิมพ์เดือนเมษายน คาดว่าอ่านบทความตอนเดือนมกราคมในหนังสือพิมพ์ พูดถึงเรื่องการเรียนรู้แบบองค์รวม หรือการบูรณาการ

เด็กเมื่อสัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันไม่ใช่การรับรู้เชิงเดี่ยว ทั้งในเรื่องภาษา ศิลปะ คณิตศาสตร์ เวลาเราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันไม่ได้มีแค่มิติเดียว อย่างเวลาเราเห็นแก้ว เราเห็นเครื่องใช้ ถ้าเราบอกว่าเป็น ภาชนะ เราจะนึกเรื่องการกิน ของในครัว ถ้าแบ่งเป็นวิชาก็เป็นเรื่องคหกรรม

แต่ถ้าเราดูจริงๆ แก้วมีรูปทรงกลม มีมิติแบบนี้เรียกว่าแก้ว มีภาษาออกมา ที่เราบอกว่ามีรูปร่างรูปทรงต่างๆ คือคณิตศาสตร์ ถ้าแก้วมันมีลวดลายก็เชื่อมไปถึงศิลปะ อันนี้คือการบูรณาการ แต่บางครั้งเราไม่ได้วิเคราะห์ว่ามันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มันก็ทำให้เกิดความคิดท้าทาย ถ้าเราสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเด็ก ให้มีครบทั้งคณิตศาสตร์ ทั้งศิลปะ ทั้งภาษา แล้วก็มีจินตนาการด้วย เราจะทำได้ไหม ก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา

ตัวเลข คือสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ทำตัวเลขให้มันมีชีวิตชีวา พอเหนือจริง เหนือธรรมชาติ เด็กก็ต้องใช้จินตนาการ มีชีวิตชีวา ออกแบบด้วยการใส่ศิลปะเข้าไป ศิลปะก็เริ่มเข้ามาเชื่อมกับสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์

แล้วภาษาล่ะ ครูชีวันก็คิดว่า ถ้าจะให้เด็กจดจำได้ง่าย ก็จะต้องเป็นคำคล้องจอง และครูคิดไปมากกว่านั้นคือหนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อไปยังเด็กที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกแต่สามารถอ่านภาพได้ เลยท้าทายตัวเองว่า ออกแบบสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ให้มีชีวิตชีวา ทำตัวเลขให้มีชีวิตชีวา แล้วให้เด็กอ่านภาพ แล้วคิดตรงกับตัวหนังสือที่เราคิดเอาไว้

หนึ่ง ขี่มด เด็กอ่านหนังสือไม่ออก แต่ 99 เปอร์เซ็นต์ อ่านภาพออก

สอง รดน้ำต้นไม้ ส่วนใหญ่เด็กจะอ่านถูกเป๊ะๆ เมื่อเฉลยจะถูกต้องมากกว่าผู้ใหญ่อ่าน เพราะคลังคำศัพท์ของเด็กมีจำกัด เราจึงสร้างคำดักเอาไว้กับภาพ โดยธรรมชาติเด็ก เมื่อภาษาในตัวเขาพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้ว เด็กจะพูดประโยคสมบูรณ์ มีประธาน มีกริยา กรรม ชัดเจน ไม่มีคำฟุ่มเฟือย เห็นอะไรก็จะพูดอย่างนั้น เด็กจะไม่พูดว่ารดน้ำ เพราะไม่รู้ว่ารดน้ำอะไร ต้องมีกรรมมารองรับ

สาม หวีผม ถ้าเป็นผู้ใหญ่มากๆ อาจไม่คิดว่าแค่หวีผม แต่กำลังเสริมสวยอยู่หรือเปล่า เพราะว่ามีคำว่าเสริมสวย แต่เด็กก็จะอ่านตรงๆ ว่า สาม หวีผม

สี่ ดมดอกไม้ พอถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงอ่านเป็นดมดอกไม้ บางทีเราก็ไม่รู้สึกตัว มันเป็นคำแรกที่แวบขึ้นมา เพราะสมองเราทำงานเร็ว แต่ถ้าเราลองมองย้อนกลับไป แล้วดูว่าเรามองจากอะไร เราก็จะวิเคราะห์ได้ถึงการออกแบบของคนทำงานว่ามันมีที่มาที่ไป

สี่ ดมดอกไม้

เรามองรู้ว่าเลขสี่ดมดอกไม้ เพราะมีการขับเน้นตรงจมูก เห็นอากัปกิริยาว่าเวลาดม เวลาหอม คงไม่มีใคร หอมจังเลย แล้วทำตาโต มันต้องทำตาพริ้ม นี่คือท่าทางทางอารมณ์ที่ชัดเจน แต่ถ้าทำตาโตปุ๊บ ตามันจะถูกตีความอีกต่างหาก อาจเป็นการมองก็ได้ ถ้าเลขสี่ไม่หลับตา อาจเป็นเลขสี่ดูดอกไม้ ทุกอย่างต้องไปเสริมที่จมูกอย่างเดียว เพื่อให้มันมาตรงกับคำที่เราออกแบบเอาไว้

ห้า ขับเครื่องบิน แต่เดิม เลขห้าไม่ได้ขับเครื่องบิน เวลาทำหนังสือต้องมีการทดลอง เมื่อทำออกมาเป็นเล่มม็อคอัพก็นำไปทดลอง ตอนที่ครูออกแบบ ครูก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่ต้องอย่าเพิ่งฟันธง ต้องผ่านกระบวนการทดสอบ เรียกว่าบรรณาธิการกิจด้วยคนอื่น และบรรณาธิการกิจด้วยตัวเราเอง

เลขห้าของเดิมเป็น ห้า ขุดดิน อยากให้อ่านว่า เลขห้า ขุดดิน พอเด็กอ่าน กลับอ่านเป็น เลขห้าปลูกต้นไม้ เลขห้าเล่นทราย มันอ่านได้ด้วยประสบการณ์ของเด็ก พอเอาไปทดลองกับเด็ก เสียงแตกมาก ไม่ได้ไปในทางเดียวกัน ก็เลยคิดใหม่ แล้วก็ต้องไปสัมผัสกับเสียง เลขหก กินข้าว เลขห้า ต้องไปสัมผัสกับกินที่รอไว้แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอะไรที่เสียง อิน เลยเปลี่ยนเป็นเครื่องบินไปเลย

ส่วนชื่อหนังสือทำอะไร เดิมหนังสือใช้ชื่อว่า ‘ทำอะไร’ มันห้วนเกินไป มันเป็นคำถาม แล้วพอจะทำจริงแล้วจึงรู้ว่ามันไม่พอ ต้องมีคำว่าตัวเลข ให้รู้ชัดๆ เลยว่านี่คือตัวเลข

อย่างที่บอกตอนแรกว่ามาจากบทความ แล้วมาทำก็ตอบโจทย์การเรียนรู้แบบองค์รวมไหม แบบบูรณาการไหม ก็ได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นการสอน เราอาจมองว่าหนังสือนี้สอนก็ได้ แต่สำหรับครูไม่ใช่การสอน หากเป็นการเสริม เป็นการตั้งคำถาม

หนังสือของครูชีวันหลายเล่มเป็นแบบนี้ ไม่ได้บอกให้เชื่อ เราอยากให้เด็กเชื่อก็จริง แต่ถ้าเชื่อโดยที่ไม่คิด เหมือนกับยอมรับโดยดุษณี ความคิดเป็นสิ่งสำคัญ พอเด็กคิดแล้วตอบมาแล้วตรงกับที่เราเขียนไว้ ก็จะเกิดความภูมิใจ สนุกสนาน

ทำไมนิทานครูต้องไม่สอน

มันมีแง่มุมของการสอนอยู่ แต่ไม่ได้สอนแบบให้เชื่อ วิธีการสอนมีหลายอย่าง เราไม่ได้สอนตรงๆ แต่ให้เด็กเรียนรู้ คำว่าเรียนรู้ จริงๆ มันคู่กับคำว่าสอน แต่คนละมิติ เพราะการสอนคือชี้แนะ บอก ให้ทำแบบนั้น แบบนี้ นี่คือผู้สอนเป็นหลัก แต่การเล่านิทานคือการให้เด็กเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วม เขาจะเกิดความคิด ตรรกะ และเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลได้ด้วยตัวเอง

ตรรกะในที่นี้คือความคิดเชื่อมโยง เป็นเหตุเป็นผล เพราะตรรกะทางคณิตศาสตร์สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะตัวเลขหรือวิธีการทางคณิตศาสตร์ ตรรกะความคิดพื้นฐานที่เด็กควรมี คือเรื่องศิลปะ หนังสือภาพมันตอบโจทย์ ลำดับต่อไปคือภาษา พอใช้ศิลปะปุ๊บ เริ่มมีพัฒนาการทางภาษาที่พ่อแม่สอน พอมาเห็นหนังสือก็มีการโต้ตอบกับในหนังสือที่เป็นภาพศิลปะ เด็กอ่านหนังสือไม่ออกไม่เป็นไร แต่โต้ตอบจากภาพ เชื่อมโยงประสบการณ์ของเขา แล้วก็มีตรรกะทางคณิตศาสตร์

ตรรกะทางคณิตศาสตร์สำคัญ ที่ไม่ใช่เฉพาะตัวเลขอย่างเดียว เพราะมันทำให้เด็กเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผล ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเด็กก็คือคณิตศาสตร์ ถามว่าเราละเลยวิทยาศาสตร์หรือเปล่า ไม่ ถ้าเราลองคิดดีๆ ศิลปะมันคือการทดลอง การเล่นสี การสังเกต สิ่งที่มันเปลี่ยนไป แต่ศิลปะมันทดลองแล้วก็เป็นผลขึ้นมา แต่ผลบางอย่างมันอาจไม่แน่นอน คาดเดาไม่ได้ เพราะว่าสาร สี มันมีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่พอเป็นคณิตศาสตร์แล้วตรรกะค่อนข้างแน่นอน อย่างเช่นเด็กสูงขึ้นไปก็จะรู้เรื่องของจำนวน บวก ลบ หนึ่งเพิ่มอีกหนึ่งก็กลายเป็นสอง มันเชิงประจักษ์ เห็นชัดเจน

เมื่อได้เรื่อง ได้ประเด็นแล้ว ขั้นตอนหลังจากนั้น ทำอะไรต่อ

พอได้เรื่องแล้ว เมื่อเริ่มวาดลงสี ก็ต้องกินเวลาอีก ก็ต้องมานึกถึงเทคนิคว่าต้องใช้เทคนิคไหน ใช้สีอะไร ประเภทของสี จะเป็นโมโนโทนหรือจะเป็นอะไรก็ต้องมาคิดต่อ ซึ่งจะต้องเข้ากันกับเรื่อง

สีอะไร บนกระดาษของอะไร จะตอบโจทย์ความรู้สึกของเราได้ไหม สิ่งที่เราออกแบบ ลึกๆ แล้วมันส่งผล มันไม่ได้เป็นแค่สีสันสดใส สีลูกกวาดเท่านั้นที่จะเหมาะกับเด็ก

ขาวดำก็ได้ โมโนโทนก็ได้ สดใสก็ได้ มันต้องตอบโจทย์และสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เพราะสีคือความรู้สึกอย่างหนึ่ง อย่างเล่ม ‘นิ่ง’ ต้องใช้สีอะคริลิค เพื่อทำให้ภาพหนักแน่น มีมวล ให้มีน้ำหนัก และให้มีบรรยากาศ สร้างความรู้สึกที่นิ่งจริงๆ

นิทานเรื่อง ‘นิ่ง’

ทำอย่างไรให้อ่านนิทานซ้ำๆ ได้โดยไม่เบื่อ

เล่าตามเดิม ถึงแม้ว่าเด็กรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กก็อยากที่จะดูซ้ำๆ เพราะว่าเขารู้แล้ว เขารู้ทัน มันก็คือความประทับใจ ไม่ใช่รู้แล้ว ไม่ฟังแล้ว แต่มันจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่เมื่อเด็กโตขึ้น ป.1 ขึ้นไป เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ รู้ทัน ไม่ฟังแล้ว ส่วนเด็กเล็กก็จะยังมีจินตนาการอยู่

แต่เด็กโต ป.1-3 ไม่ใช่ว่าจินตนาการเขาหายไป  ยังมีแต่วิธีการสื่อสารหรือรูปแบบนิทานก็จะซับซ้อนขึ้น

กระบวนการการคิด เวลาทำหนังสือให้เด็กแต่ละช่วงอายุต่างกันอย่างไร

ต่างกันตรงความซับซ้อนของเนื้อหาและภาษา เด็กที่โตขึ้นอาจจะต้องการภาษามากขึ้น

ภาษาน้อย ตัวหนังสือน้อยก็ยากแบบหนึ่ง ภาษามากก็ยากอีกแบบหนึ่ง ตรงที่ทำอย่างไรให้เป็นภาษาวรรณกรรม ในเมื่อขอบข่ายยังเป็นหนังสือเด็กอยู่ ภาษาที่ใช้ ถ้ามันจะมากขึ้นกว่าที่ใช้ในหนังสือเด็กเล็กก็ต้องเป็นภาษาที่ออกแบบมาอย่างดี ออกแบบด้วยการที่มี pattern มีฉันทลักษณ์หรือไม่มีฉันทลักษณ์

การใช้ภาษาที่เราเรียกว่าร้อยแก้วคือที่ไม่มีฉันทลักษณ์ หรือว่าร้อยกรองมีฉันทลักษณ์ ซึ่งแต่ละอย่างก็ยากคนละแบบยาก ไม่มีฉันทลักษณ์แต่ทำอย่างไรให้รู้สึกได้ว่าพิเศษ อย่างเช่นนิทานเรื่อง ‘คุณตาหนวดยาว’ ตัวหนังสือจะมากขึ้น เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาษา

‘มีคุณตาคนหนึ่ง อยู่คนเดียว เริ่มแก่ หนวดก็เริ่มยาว
คุณตาแก่ลง ทุกวัน ทุกวัน
หนวดของคุณตาก็ยาวขึ้น ยาวขึ้น ทุกวัน’

อันนี้ก็คือภาษาที่เราออกแบบ มีจังหวะของมัน แต่ไม่ใช่คำคล้องจอง แต่จะออกแบบอย่างไร มีวิธีคิดอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนทำหนังสือยึดถือแนวคิดประเภทไหน

คุณตาหนวดยาว

ถ้าอย่างครูชีวัน ยึดหลักทางภาษา ‘อ่านเพื่อฟัง’ ในฐานะที่คนทำหนังสือ คือการใช้คำ เลือกภาษาที่ใช้สำหรับอ่านให้เด็กฟัง มันต่างจากการใช้ภาษาในหนังสือทั่วๆ ไป

นิทานที่ ‘อ่านเพื่อฟัง’ ต้องเขียนอย่างไร

เช่นเรื่องสั้นหรือนวนิยาย เป็นภาษาที่ไม่ได้อ่านเพื่อฟัง ผู้ใหญ่อ่านเอง อ่านในใจ จะเว้นวรรค ออกเสียง อ่านผิดถูกไม่เป็นไร แต่ภาษาที่อ่านเพื่อฟังเราต้องนึกถึงคนที่ยืมปากเขา นักเขียนหนังสือเด็กต้องยืมปากพ่อแม่ ยืมปากคุณครูเพื่อที่จะอ่านหนังสือให้เด็กฟัง

การใช้ภาษาเพื่อฟัง การเลือกใช้ถ้อยคำ คำง่าย คำยาก เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวได้รู้เรื่อง แต่วรรคตอนมีไว้เพื่อให้ผู้ใหญ่อ่าน เพราะเด็กไม่ได้อ่าน เราต้องมีวรรคตอน มีความยาว เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้อ่าน

นักเขียนจะวรรคตอนตามใจเราไม่ได้ เพราะจะผิดหลักภาษาเขียน เช่น

‘มีคุณตาคนหนึ่งอยู่คนเดียว’ จริงๆ อยากจะวรรคว่า ‘มีคุณตาคนหนึ่ง อยู่คนเดียว’ ถ้าเวลาเราอ่าน แบบนี้ไม่ผิด รูปประโยคไม่ได้วรรค แต่เราอ่านแล้วหยุดนิดหนึ่งได้ ‘มีคุณตาคนหนึ่ง อยู่คนเดียว’ เน้นที่ ‘อยู่คนเดียว’ แต่เราจะพิมพ์ว่า ‘อยู่ คน เดียว’ แบบนี้ไม่ได้ เพราะจะผิดหลักการเขียน แต่อ่านไม่ผิด เพราะเราต้องการเน้นคำว่า ‘คุณตาอยู่คนเดียว’ มันคืออรรถรสในการอ่าน

คนอ่านคือพ่อแม่ พ่อแม่ต้องเล่าอย่างไร

พอหนังสือไปถึงพ่อแม่ก็อิสระ อ่านอย่างไรก็ได้ แต่ละคนที่ออกแบบ ที่เขียน ควรจะออกแบบเพื่อสำหรับการอ่านที่ปกติที่สุด คืออ่านแบบธรรมดาก็ได้อรรถรส ให้คนที่คิดว่าเล่าไม่เป็นก็สามารถเล่าได้ เราต้องคัดสรรให้พอดี มีจังหวะ มีพลังของถ้อยคำของภาษา

เช่น ‘แม่ไก่ชอบอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ‘แม่ไก่อ่านดัง กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก’ พ่อแม่ทั่วไปอ่านแบบนี้ เรียบๆ ง่ายๆ

พออ่านต่อไปอีก ‘พ่อเป็ด ชอบอ่านหนังสือให้ลูกฟัง พ่อเป็ดอ่านดัง ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ’ ไม่ต้องมีลีลาอะไรมาก เด็กก็จะรับสารอะไรบางอย่าง เขาจะรู้สึกว่ามันต้องมีเสียงพวกนี้โผล่มาตอนท้าย โดยประสบการณ์เด็กก็จะเดาได้

ชีวัน วิสาสะ

‘แม่แมว’ เด็กก็เตรียมแล้ว มันต้องเมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว แน่เลย อันนี้ไม่ใช้เทคนิค ไม่ต้องอ่านดัดเสียง ภาษามันเรียบง่าย และมีพลังด้วยตัวของมันเอง เหมือนเป็นการเอาใจช่วยพ่อแม่แบบพื้นฐานที่สุด ไม่ต้องทำท่าทาง ไม่ต้องรู้สึกว่า อ่านอย่างไร เล่านิทานไม่เป็น เราจึงต้องออกแบบภาษาแบบนี้เอาไว้

เวลาทำหนังสือจึงต้องคิดทุกเม็ด คิดก่อนทำ ระหว่างทำก็ต้องคิด ทำเสร็จก็ต้องมาทบทวนอีก

Tags:

ปฐมวัยนิทานชีวัน วิสาสะพ่อแม่

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Early childhoodBook
    ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์
21st Century skills
19 October 2018

4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 4Cs ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 4 ด้านเป็นรูปแบบการสอนที่ปลุกกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ซึ่งจะเป็นทักษะสำคัญของคนในศตวรรษที่ 21
  • ภายในปี 2020 ความคิดสร้างสรรค์จะทวีความสำคัญมากขึ้นจนกลายเป็น 1 ใน 3 ทักษะที่สำคัญที่สุด และไม่เพียงเท่านั้น การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา การสื่อสาร ถือเป็นทักษะอันดับต้นๆ ที่โลกใหม่กำลังมองหา
  • ความรู้เชิงวิชาการมีความจำเป็นเพื่อเป็นฐานไปสู่ความเชี่ยวชาญเชิงลึก แต่ทักษะเชิงความคิด(สร้างสรรค์ วิเคราะห์) และการเข้าสังคมกับผู้อื่น(ทำงาน สื่อสารกับผู้อื่น) หรือ ทักษะ4Cs คือสะพานเชื่อมพวกเขากับโลกการใช้ชีวิตจริง
  • การปลูกฝังทักษะ 4Cs ต้องเสริมสร้างทั้งจากครอบครัวและโรงเรียน ต้องอาศัยเวลา แรงกายใจสนับสนุน

สังคมกำลังตื่นตัวกับปัญหาการตามไม่ทันของระบบการศึกษา สร้างบุคลากรให้ออกมารับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก – ช้าเกินไป

คนว่างงานอาจจะเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีงาน แต่งานต่างหากที่ไม่ต้องการคน

‘การศึกษา’ คือกลไกสำคัญที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ ฟังดูย้อนแย้ง แต่ปัญหาระบบการศึกษาต้องแก้ไขด้วยการศึกษาจริงๆ

เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรจากทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจ การศึกษา มูลนิธิ และองค์กรไม่แสวงผลกำไร ภายใต้ชื่อ P21 หรือ ภาคีความร่วมมือเพื่อการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (The Partnership for 21st Century Learning) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2002 ที่สหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดมาตรฐานการศึกษาที่เน้นสร้างทักษะความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักเรียน ทั้งในด้านการทำงานและการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นไปดังกล่าว

ภาคี P21 อาศัยแนวทางจากครูผู้สอน นักการศึกษา และนักพัฒนาองค์กรธุรกิจต่างๆ มากำหนดกรอบการพัฒนาการศึกษาขึ้นเรียกว่า กรอบการเรียนรู้ทักษะจำเป็นเพื่อศตวรรษที่ 21 (Framework for 21st Century Learning) โดยกรอบการเรียนรู้นี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสถานศึกษาที่สหรัฐอเมริกาเองและอีกหลายประเทศ

ในกรอบการเรียนรู้ทักษะจำเป็นเพื่อศตวรรษที่ 21 หัวข้อสำคัญที่ภาคการศึกษาทั่วโลกกำลังให้ความสนใจคือ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) โดยสะท้อนให้เห็นจากความพยายามคิดค้นหลักสูตร นโยบายให้ชั้นเรียนมีรูปแบบการสอนที่ปลุกกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนมากขึ้น (Self-Learning)

โดยเปลี่ยนโฟกัสจากครูเป็นผู้ให้ข้อมูลความรู้ มาเป็นเด็กเป็นผู้ค้นหาข้อมูล คิดและเรียนรู้เองจากประสบการณ์ลงมือปฏิบัติจริง จากกรอบการเรียนรู้ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สิ่งที่โรงเรียนควรสอนควบคู่ไปกับความรู้เชิงวิชาการคือ ทักษะที่จำเป็นอย่าง การคิดสร้างสรรค์ มีวิจารณญาณ การทำงานร่วมกันและการสื่อสาร อันเป็นพื้นฐานสากล ที่ภาคี P21 ชี้ว่าจำเป็นในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21

4Cs หรือทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 4 ด้าน มีดังนี้

1. Creativity and Innovation

  • คิดนอกกรอบและต่อยอดเป็น
  • มีกระบวนคิดเปิดกว้าง เป็นตัวของตัวเองไม่ซ้ำใคร (Originality) สามารถมองหาโอกาสและประเมินความเป็นไปได้
  • ถ่ายทอดความคิดให้ผู้อื่นเข้าใจได้และยอมรับมุมมองผู้อื่นอย่างใจกว้าง
  • สามารถต่อยอดไอเดียความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น

2. Critical Thinking and Problem Solving

  • คิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหาเองได้
  • ช่างสังเกต มองเห็นปัญหา ตั้งคำถาม
  • อธิบายเหตุและผลตามสถานการณ์และมุมมองที่หลากหลายได้ มองภาพรวมเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ปลายทางจากระบบที่ซับซ้อนออก
  • ประเมินและตัดสินใจจากการสังเกต หารือหลากหลายมุมมอง หาข้อมูล หลักฐานข้อพิสูจน์ได้
  • ถอดบทเรียนความรู้ ข้อเสนอแนะหรือสิ่งที่ควรปรับปรุงจากประสบการณ์
  • แก้ไขปัญหาด้วยวิธีที่ต่างไปจากเดิมหรือรู้จักประยุกต์หนทางแก้ปัญหามาใช้กับเรื่องใหม่ได้

3. Communication

  • สื่อสารได้ถูกต้องเหมาะสม
  • มีทักษะการพูด เขียน และสื่อภาษากายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ (เช่น เพื่อแจ้งข่าว สอน โน้มน้าว หรือปลุกกระตุ้น)
  • รับข้อมูลและตีความหมายได้ถูกต้อง รวมถึงนำเสนอต่อผู้อื่นได้ชัดเจน
  • ปรับใช้สื่อและเทคโนโลยีให้เหมาะกับจุดประสงค์ และสามารถประเมินประสิทธิภาพของแต่ละสื่อได้
  • สื่อสารได้ในทุกบริบทที่แตกต่างหลากหลาย (รวมถึง ใช้ภาษาได้มากกว่า 1 ภาษา)

4. Collaboration

  • การทำงานร่วมกับผู้อื่น
  • ทำงานเป็นทีม ยืดหยุ่น ปรับตัวให้ทำงานในสถานการณ์หรือทีมที่แตกต่างกันได้ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
  • ยอมรับความสามารถและความแตกต่างของปัจเจกบุคคลควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

ทักษะ 4Cs สำคัญอย่างไร

ทักษะ 4Cs ไม่ใช่แนวทางสู่ความสำเร็จในบริบทการทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังจำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออกด้วย วารสารและบทความทางการศึกษาในช่วงหลังล้วนมีเนื้อหาปลุกกระตุ้นความสำคัญเพื่อจุดประกายการเปลี่ยนแปลงในแวดวงการศึกษาให้เกิดขึ้น

อเล็กซ์ เกรย์ (Alex Gray) นักเขียนจากแวดวงวารสารซึ่งกำลังสนใจกับประเด็นการจ้างงานของตลาดโลกเศรษฐกิจสังคมใหม่นี้ หยิบยกรายงาน The Future of Jobs ซึ่ง World Economic Forum จัดทำขึ้นเมื่อปี 2016ได้สำรวจฝ่ายทรัพยากรบุคคลในองค์กรชั้นนำต่างๆ ที่ เพื่อดูแนวโน้มทักษะที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานปี 2020 มากล่าวถึงในบทความ ‘The 10 skills you need to thrive in the Fourth Industrial Revolution’ ของเธอว่า

ผลจากความรุดหน้าทางเทคโนโลยี ความต้องการของมนุษย์ที่อยากได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้ชีวิตและการทำงานสะดวกสบายขึ้น ภายในปี 2020 ความคิดสร้างสรรค์จะทวีความสำคัญมากขึ้นจนกลายเป็น 1 ใน 3 ทักษะที่สำคัญที่สุด และไม่เพียงเท่านั้น การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา การสื่อสาร ถือเป็นทักษะอันดับต้นๆที่โลกใหม่กำลังมองหาเช่นกัน

มีเรียม ชุนนิง(Mirjam Schöning), Head of Learning through Play in Early Childhood programme, และ คริสตินา พิทโคมบ์ (Christina Witcomb), Senior Communication Manager แห่งสถาบัน The Lego Foundation ซึ่งคลุกคลีกับชั้นเรียนพัฒนาทักษะเด็กเล็กจากกิจกรรมการเล่น ก็นำรายงานการสำรวจชิ้นนี้มาอ้างถึงในบทความ ‘This is the one skill your child needs for the jobs of the future’ เช่นเดียวกัน

แนวการสอนแบบให้เด็ก ‘เล่นมากกว่าเรียน’ ขององค์กร The Lego Foundation เป็นตัวอย่างการสอนสมัยใหม่ ซึ่งตรงกันข้ามกับการสอนแบบเก่าที่ครูเขียนกระดานหน้าชั้นเรียนแล้วให้เด็กอ่าน ตามที่ The Lego Foundation เด็กจะเชื่อมโยงทักษะของตนที่ถูกพัฒนาจากการเล่นหรือทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เข้ากับโลกภายนอก

งานวิจัยที่จัดทำขึ้นในนิวซีแลนด์เรื่อง ‘Children learning to read later catch up to children reading earlier’ โดย เซบาสเตียน เอลิซาเบธ และ อีเลน (Sebastian P.Suggate, Elizabeth A.Schaughency และ Elaine Reese) ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Early Child hood Research Vol. 28 ของ Science Direct สนับสนุนการสอนสไตล์นี้

งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทดลองเปรียบเทียบระหว่างเด็กที่เริ่มอ่านเขียนเมื่ออายุ 5 ขวบกับเด็กที่เริ่มเมื่ออายุ 7 ขวบ พบว่า เมื่ออายุครบ 11 ปี เด็กที่เริ่มเรียนช้ากว่ามีทักษะอ่านเขียนเท่าๆ กับเด็กที่เริ่มเรียนก่อน แถมยังมีความเข้าใจในสาระความรู้ได้ดีกว่า

มีเรียมและคริสตินามองว่าสำหรับนักเรียน องค์ความรู้เชิงวิชาการยังมีความจำเป็นอยู่เพื่อเป็นฐานไปสู่ความเชี่ยวชาญเชิงลึก แต่ทักษะเชิงความคิด(สร้างสรรค์ วิเคราะห์) และการเข้าสังคมกับผู้อื่น(ทำงาน สื่อสารกับผู้อื่น) หรือ ทักษะ4Cs คือสะพานเชื่อมพวกเขากับโลกการใช้ชีวิตจริงนั่นเอง

เมื่อมองถึงผลกระทบที่โลกอนาคตมีต่อแนวอาชีพ ผลรายงานจากกระทรวงแรงงานแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ทักษะความสามารถที่ตลาดแรงงานปัจจุบันต้องการเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

นักเรียนจำนวน 65 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน จะประกอบอาชีพใหม่ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งงานเหล่านั้นต้องอาศัยทั้งการติดต่อสื่อสารและการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหารูปแบบใหม่ๆ

ลำพังเพียงทักษะอ่านเขียนกับวิชาสามัญไม่เพียงพออีกต่อไป ทักษะ 4Cs กลายมาเป็นทักษะบังคับที่ต้องมีและจะมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะนี่คือยุคสมัยที่คนทำงานต้องคิดสร้างสรรค์เป็น แก้ปัญหาเองได้ สื่อสารและร่วมงานกับคนอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

4Cs สอนได้ ไม่ใช่พรสวรรค์

Creativity and Innovation มักถูกเชื่อว่าเป็นพรสวรรค์ที่บางคนเท่านั้นที่มี แต่จริงๆ เป็นเรื่องที่สร้างกันได้ จากการฝึกให้แก้ปัญหา คิดเป็นระบบ หรือแค่ได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องประกอบอาชีพด้านออกแบบ หรือสร้างนวัตกรรมยิ่งใหญ่เสมอไป เรากำลังพูดถึงทักษะการคิดที่สามารถเห็นปัญหาได้หลากหลายมิติ โดยเฉพาะมิติที่ยังไม่เคยได้รับความสนใจมาก่อน

นักเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมองเห็นสิ่งที่เชื่อมต่อจากการวางแผนภาพใหญ่มาสู่รายละเอียดเล็กน้อยได้ ฝึกคิดและมองจากหลายมุมจนเคยชิน ยังก่อเกิดไอเดียที่มีทางเลือกหลากหลายและมีคุณภาพมากขึ้น ท้ายที่สุดทักษะนี้จะส่งต่อไปถึงผู้อื่นได้ โดยอาจเป็นแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกันและใช้ประโยชน์จากความคิดเหล่านั้น

ที่สำคัญ ความผิดพลาดล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ และทุกครั้งที่เกิดขึ้นหมายถึง การแก้ไขให้ดีขึ้น พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Critical thinking ให้โอกาสเด็กแก้ปัญหาด้วยตนเอง อาจเป็นแค่เกมแก้ปริศนา หรือจับผิดรูปภาพอย่างง่ายๆ

สำหรับศตวรรษที่ 21 ข้อมูลต่างๆ ทั้งข่าวสาร หรือโฆษณาเสิร์ฟถึงมือเราเพียงแค่เลื่อนหน้าจอ ทักษะการคิดวิเคราะห์หรือวิจารณญาณจึงสำคัญมาก ต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องสนับสนุนไม่ใช่การบอก แต่ต้องให้เขาเข้าถึงข้อมูลเองแล้วเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความเห็น สร้างบรรยากาศให้บ้านและโรงเรียนเป็นพื้นที่ให้เขากล้าถกเถียงโต้แย้งสิ่งที่คิดกับผู้อื่นบนพื้นฐานของเหตุและผล กระตุ้นด้วยคำถามว่า “เพราะอะไร” เพื่อให้เขาอธิบาย

Collaboration คือ การทำงานเป็นทีมเวิร์ค เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ทักษะนี้จึงจำเป็น กิจกรรมที่จะปลูกฝังให้มีทักษะนี้ได้คือการทำงานเป็นทีม ภายใต้เป้าหมายบางอย่างร่วมกัน แต่สิ่งที่ควรนำมาใส่ใจคือ ทำอย่างไรให้เคารพความคิดต่างของผู้อื่น ในขณะที่ยังรักษาจุดยืนของตนเองเอาไว้ได้แม้ยังไม่มีใครเห็นด้วย ทำอย่างไรให้พวกเขามองเห็นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของทีม ชั้นเรียน ครอบครัว ชุมชน และ สังคม ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น จึงต้องควบคู่ไปกับการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นด้วย

Communication คือ การถ่ายทอดความคิดเห็นของตนให้ชัดเจนและรวดเร็ว แต่ละวันที่การสื่อสารเกินกว่าครึ่งในชีวิตประจำวัน อาศัยตัวหนังสือผ่านแอพพลิเคชั่น ข้อความ หรืออีเมล

ความหมายที่สื่อออกไปโดยขาดโทนเสียงกำกับอาจส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกผู้รับผิดเพี้ยนไป เช่นเดียวกับการพูดคุยต่อหน้าหรือผ่านโทรศัพท์ น้ำเสียงและกิริยาท่าทางเป็นองค์ประกอบที่มีผลต่อสารที่จะส่งไปยังผู้รับเช่นกัน เจตนาคืออะไร ผู้รับคือใคร ก็มีผลในการสื่อสาร คุณครูอาจให้นักเรียนทำแคมเปญโฆษณาสินค้า จัดกลุ่มอภิปรายในชั้นเรียนหัวข้อที่พวกเขาสนใจ โต้วาที หรือเปิดพื้นที่ให้ได้แสดงความสามารถบ่อยๆ

ก้าวข้ามอุปสรรคในระบบการศึกษา

แม้ทักษะการเรียนรู้ข้างต้นเป็นเรื่องที่เราได้ยินมาโดยตลอด แต่ความเป็นจริงคือ ตราบใดที่ระบบการศึกษายังยึดเอาเกรดเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัดความสามารถทางวิชาการอย่างเหนียวแน่น บุคลากรปลายทางของเราก็คงเป็น ‘นักท่องจำ’ ที่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น กลัวกับปัญหา และบ้าการแข่งขัน

อีริค พี. เอ็ม. เวอร์มูเลน (Erik P.M. Vermeulen) อาจารย์และนักบริหารธุรกิจผู้เขียนบทความ ‘Education is the Key to a Better Future, But “We Must TEACH Them How to LEARN!’ และ ‘Does Education ‘Kill’ Creativity?’ ซึ่งเผยแพร่บนเวปไซต์แลกเปลี่ยนความรู้และทัศนะในแวดวงต่างๆ ชื่อ Hackernoon.com ชี้ข้อบกพร่องของการศึกษายุคปัจจุบันและ 4 อุปสรรคใหญ่ที่ต้องเจอในการปฏิรูปการศึกษาอย่างตรงไปตรงมาว่า

ปัจจัยที่นักเรียนละเลยการเข้าถึงความรู้ด้วยตนเอง (Self-Learning) โดยไม่รู้ตัว มาจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม นักเรียนถูกป้อนชุดความรู้เพียงเพื่อนำไปสอบวัดประเมินศักยภาพ(ความจำ)เป็นเกรดเฉลี่ยเท่านั้น ความรู้เหล่านั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตจริงและหลังสอบเสร็จเด็กๆ ก็ลืม

นอกจากไม่กระตุ้นให้คิดสร้างสรรค์หรือใฝ่หาความรู้นอกห้องเรียน ยิ่งไปกว่านั้นแพทเทิร์นที่ปฏิบัติต่อกันมาคือ ยกย่อง เชิดชูเฉพาะนักเรียนคะแนนดี คนที่คิดต่างจากตำราและตั้งคำถามยังถูกมองเป็นตัวตลก ด้านภาครัฐผู้กำหนดนโยบาย ก็ยังคงยึดลำดับขั้นและถือการวัดประเมินแบบเดิมเป็นบรรทัดฐาน ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ยากจะแก้ไข และทำให้ครูผู้สอนหมดแรงจูงใจไปปรับปรุงพัฒนาชั้นเรียน ครั้นจะริเริ่มแนวทางใหม่ๆ ก็อาจไปขัดแนวทางการประเมินหรือคำสั่งต้นสังกัด

ปัญหาสุดท้ายอยู่ที่สถานศึกษาส่วนใหญ่มักมองการสอนที่เน้นพัฒนาการเรียนรู้ด้านการคิดสร้างสรรค์ เป็นแค่ ‘ภาพลักษณ์เด็กฉลาดยุคใหม่’ ที่เอาไว้โฆษณาเพียงเท่านั้น แต่กลับใช้หลักสูตรเดิม ที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้อย่างแท้จริง

โดยสรุป การปลูกฝังทักษะ 4Cs ไม่มีรูปแบบขั้นตอน 1-2-3-4 และบรรทัดฐานตายตัว ในกระบวนการเสริมสร้าง ครอบครัวและโรงเรียน ต้องอาศัยเวลา แรงกายใจสนับสนุน เมื่อการปฏิรูปการศึกษายังเป็นเรื่องยาก อาจเริ่มจากทำอย่างไรจึงจะบูรณาการทักษะ 4Cs เข้าในการสอนเนื้อหาหลักด้านวิชาการได้บ้าง

สิ่งสำคัญอันดับแรกคือพ่อแม่ คุณครูต้องมีใจที่เปิดกว้าง รวมถึง บ้าน สังคมแวดล้อม โรงเรียนต้องมีบรรยากาศให้เด็กเห็นคุณค่าและเคารพความคิดทั้งของตนเองและผู้อื่น เปิดโอกาสให้แสดงความเห็น และกล้าลองทำสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆ ฝึกให้คุ้นเคยกับการพึ่งพาตนเอง ตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ด้วยตนเอง โดยไม่เอาความล้มเหลวผิดพลาดเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ รวมทั้งให้คำแนะนำและแรงสนับสนุนเมื่อพวกเขาต้องการ ให้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมกับผู้อื่น เช่น กิจกรรมกีฬา ค่ายพัฒนา อาสาสมัคร น่าจะเป็นหนทางให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะดังกล่าว จากการสำรวจความสัมพันธ์และผลกระทบระหว่างตนเอง คนรอบข้าง และเหตุผลจากแง่มุมต่างๆ ที่มีต่อสถานการณ์ ติดตัวต่อไปในอนาคต

อ้างอิง:
Battelle for Kids
What Are the 4 C’s of 21st Century Skills?
The Four C’s to prepare our students for the 21st-century workplace and beyond
Hacker Noon

Tags:

ปฐมวัย21st Century skills4Csพ่อแม่

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’
Character building
18 October 2018

รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

เรื่อง

  • การทำงานป็นกุศโลบายเพื่อการเรียนรู้หลากหลายมิติของเด็ก รวมทั้งเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองดี มีการเรียนรู้เป็นเป้าหมายหลัก ผลงานเป็นเป้าหมายรอง
  • เอ็ม-กิตติศักดิ์ นรดี เยาวชนจากบ้านแสนแก้ว เมื่อได้ทำโครงการ ลงมือทำจริง ทำให้เอ็มเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น ได้พัฒนาทักษะ เปลี่ยนแปลงนิสัย และเกิดจิตสำนึกอยากทำเพื่อคนอื่นๆ ในบ้านเกิด
  • หลังจากทำโครงการเพาะพันธุ์ปลา เอ็มกลายเป็นคนที่รอบคอบ คำนึงถึงเหตุผลมากขึ้นก่อนจะลงมือทำ พร้อมกับบริหารจัดการทีมในฐานะผู้นำ มีความรับผิดชอบต่อทุกๆ หน้าที่ ทั้งการเรียน และการเป็นเยาวชนในโครงการ
เรื่อง: สุวิภา ตรีสุนทรรัตน์

สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริงด้วยการ ‘ลงมือทำ’

คำพูดนี้พิสูจน์ผลได้จากเรื่องราวของ เอ็ม-กิตติศักดิ์ นรดี เด็กหนุ่มจากบ้านแสนแก้ว ตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ

เพราะฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวทำให้เอ็มต้องตกขบวนของการศึกษาในระบบ หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เอ็มต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำเกษตรกรรมที่บ้าน และไปรับจ้างทำงานที่โรงงาน แต่ยังแอบหวังในใจว่าเมื่อเก็บเงินได้มากพอ เขาจะกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง เพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีกินดีขึ้น

แต่ระหว่างที่ชีวิตของเอ็มกำลังเริ่มก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน เขาก็ได้รับโอกาส ‘การเรียนรู้’ ซึ่งทำให้เด็กนอกระบบอย่างเขาได้ฝึกฝนทักษะชีวิตและเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่การเป็นคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นความหวังหนึ่งของชุมชน

2 ปีที่แล้ว ขณะที่เอ็มเพิ่งยุติชีวิตการศึกษา เขาและน้องๆ ในชุมชนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ ‘โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ’ ที่เปิดโอกาสให้เด็กเยาวชนในจังหวัดศรีสะเกษได้ทำโครงการ เพื่อฟื้นฟู พัฒนาต่อยอด หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้น

สำหรับเอ็มและทีม พวกเขาเลือกทำโครงการเด็กแสนร่วมใจ สร้างรายได้ เสริมชีวิต ที่มีเป้าหมายคือการฝึกฝนอาชีพการเลี้ยงปลาดุกและการทำขนมพื้นบ้าน เพื่อพัฒนาเป็นอาชีพให้สมาชิกในทีมและขยายผลสู่เพื่อนๆ ในชุมชน เพราะนอกจากเอ็มแล้วในชุมชนยังมีเด็กๆ อีกหลายคนที่ต้องออกจากระบบการศึกษาด้วยเหตุผลจากฐานะครอบครัว และบางคนไม่ได้โชคดีเหมือนเอ็มที่มีเป้าหมายอยากทำงาน เก็บเงิน แล้วกลับไปเรียนต่อ

เด็กๆ หลายคนกลายเป็น ‘ผู้ก่อความรำคาญ’ ประจำหมู่บ้าน ทั้งแว้นเสียงดัง ดื่มสุรา ทะเลาะวิวาท เอ็มจึงมองว่า หากเพื่อนๆ มีอาชีพ มีรายได้ ก็จะใช้เวลากับการสร้างเนื้อสร้างตัวมากกว่ามาก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น

ระหว่างทำโครงการ การต้องลงไปสืบค้นต้นทุนที่มีในชุมชน ทำให้เอ็มมีโอกาสพูดคุยกับผู้ใหญ่ในชุมชนมากขึ้น และรู้จักชุมชนของตัวเองดีขึ้นอย่างที่ไม่รู้มาก่อน แม้เขาจะเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ แต่เมื่อก่อนชีวิตก็วนเวียนอยู่ระหว่างโรงเรียนกับบ้านเท่านั้น ยิ่งเมื่อได้รับการสนับสนุนและได้ความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและผู้รู้ในชุมชนทั้งเรื่องความรู้ สถานที่ และคำปรึกษาเรื่องต่างๆ ยิ่งทำให้เอ็มมีความมุ่งมั่นที่จะทำโครงการจนสำเร็จ

จากการทำโครงการในปีแรกได้สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่างให้เอ็ม เช่น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก มีความรับผิดชอบ กลายเป็นคนใจเย็นมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือทำให้ ‘เห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน’ ไม่ว่าชุมชนมีกิจกรรมอะไรเอ็มอาสาเข้าไปมีส่วนร่วมทันที เพราะอยากแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ด้วยมองว่าเขาคือกำลังคนคนหนึ่งในบ้านเกิด

ปลาดุกหาย ทำไงดี

ขณะที่ปลาดุกที่เอ็มและทีมเลี้ยงไว้กำลังเติบโตและใกล้จะจับจำหน่ายได้ ปลาจำนวนมากกลับถูกขโมยหายไปจากบ่ออย่างไร้ร่องรอย ทำให้เอ็มและเพื่อนๆ เสียใจ พร้อมๆ กันนั้นโครงการก็กำลังจะก้าวขึ้นสู่การทำงานต่อเนื่องในปีที่ 2 พวกเขาจึงต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป เอ็มเล่าความสับสนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นว่า

“ตอนปลาหาย ผมรู้สึกท้อมาก อุตส่าห์ตั้งใจเลี้ยงมาอย่างดี กลับหายวับไปในคืนเดียว ตอนแรกคิดว่าคงไม่ทำโครงการต่อแล้ว น้องๆ ก็เหนื่อย เพราะเขาเรียนสูงขึ้น งานที่โรงเรียนก็เยอะขึ้นด้วย”

แต่พอเห็นความเดือดร้อนของคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากลุ่มเยาวชนที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับ ไม่มีงานทำ ทำให้เอ็มมีแรงฮึดมาทำโครงการอีกครั้ง เพราะอยากมีส่วนในการรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากวัยรุ่นอย่างพวกเขา

เอ็มจึงโน้มน้าวน้องๆ ในทีมให้กลับมาช่วยกันทำงาน ชวนกันคุยให้เห็นว่าปัญหาที่ปลาหายมีสาเหตุจากสมาชิกในทีมเองที่เลือกสถานที่เลี้ยงปลาไม่รอบคอบ ไกลชุมชนเกินไป จึงน่าจะลองแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการทำโครงการต่อ เพื่อให้โครงการเดินไปถึงเป้าหมายที่เคยตั้งใจกันไว้ ซึ่งน้องๆ ทุกคนก็ตัดสินใจทำต่อ

เมื่อตัดสินใจว่าจะทำโครงการต่อ เอ็มและสมาชิกในทีมมองว่าน่าจะต่อยอดความรู้เดิมเรื่องการเลี้ยงปลาดุกมาสู่การเพาะพันธุ์ปลาดุกด้วย เพราะคิดว่าหากเลี้ยงเป็นและเพาะพันธุ์ได้จะสร้างเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ พวกเขาเริ่มต้นแก้ปัญหาปลาหาย โดยเปลี่ยนสถานที่เลี้ยงมาเป็นบ่อน้ำบริเวณหน้าบ้านที่ปรึกษาโครงการ แล้วเริ่มประชุมกับผู้ใหญ่ในชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นว่า พวกเขากำลังจะทำอะไร

ต่อมาคือไปเรียนรู้การเพาะพันธุ์ปลาจากผู้รู้ จากนั้นเชิญผู้รู้ไปให้ความรู้แก่คนในหมู่บ้าน ชาวบ้านจากหมู่บ้านข้างเคียง และเพื่อนกลุ่มอื่นๆ ในโครงการพัฒนาเยาวชนฯ ที่อยู่ในโซนเดียวกัน แล้วจึงลงมือเพาะพันธุ์ปลา ซึ่งระหว่างที่กิจกรรมกำลังดำเนินไปด้วยดี เอ็มก็พบปัญหาที่ทำให้การทำงานต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อน้องๆ ภายในทีมต่าง ‘ถอดใจ’

“การทำกิจกรรมในโครงการจะมีทั้งการประชุมวางแผน เตรียมการ ประสานงานชาวบ้าน และวันลงมือทำ น้องๆ ต้องมาทำกิจกรรมจนเขาเริ่มรู้สึกว่าเยอะเกินไป ไหนจะต้องจัดการงานที่บ้าน งานที่โรงเรียนอีก พอเกิดปัญหา ผมก็ชวนน้องมาคุยทบทวนความตั้งใจกันว่า เราต่างมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาชุมชน ที่ต้องชวนมาทำกิจกรรมด้วยกันบ่อยๆ เพราะอยากไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราทำโครงการมาเกินครึ่งทางแล้ว จะทิ้งไปหรือ ผมตั้งคำถามกลับไปให้เขาคิด และบอกให้พี่ที่สนิทกับน้องไปช่วยคุยด้วย จนสุดท้ายเขาก็กลับมาทำกิจกรรมเหมือนเดิม”

นอกจากเจออาการถอดใจจากน้องๆ แล้ว เอ็มเองก็เจอปัญหาจากทางครอบครัวที่พยายามห้ามปรามไม่ให้มาทำโครงการด้วยความเป็นห่วง เพราะปีนี้เอ็มกลับเข้ามาเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกับบ้านเกิด เอ็มจึงต้องเดินทางไปมาระหว่าง 2 จังหวัดในทุกวันหยุด เพื่อทำกิจกรรมและติดตามความคืบหน้าของโครงการ

“หลายครั้งเวลามีประชุม ผมต้องมาจากอุบลฯ เพื่อประชุม แล้วกลับอุบลฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น พ่อแม่จึงไม่ค่อยอยากให้มาทำ เขากลัวเราเหนื่อย แต่ผมก็ยืนยันว่าทำได้ ทำไหว ผมพยายามแบ่งเวลาให้ดี เพราะการทำโครงการทำให้ผมเห็นหลายอย่างดีขึ้น ทั้งในชุมชน และตัวเราเอง”

New เอ็ม 

ณ วันนี้ เอ็มเป็นคนที่รอบคอบ คำนึงถึงเหตุผลมากขึ้นก่อนจะลงมือทำ รู้จักบริหารจัดการเวลาว่าจะทำอะไรก่อน-หลัง พร้อมกับบริหารจัดการทีมในฐานะผู้นำของน้องๆ เพื่อให้โครงการเดินไปตลอดรอดฝั่ง ทั้งยังมีความรับผิดชอบต่อทุกๆ หน้าที่ทั้งการเรียน และการเป็นเยาวชนในโครงการ โดยไม่ทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะเอ็มตั้งใจว่าการเรียนต่อเป็นอนาคตของเขา ขณะเดียวกันการทำโครงการก็เป็นอนาคตของเพื่อน ของน้องในชุมชนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนเช่นกัน หากเขาเหล่านั้นสามารถเพาะพันธุ์ปลาดุกและส่งขายได้ก็จะดูแลตัวเองได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนและไม่เป็นภาระของชุมชน

หลังทำโครงการเสร็จสิ้น เอ็มและทีมมีความรู้เรื่องการเพาะพันธุ์ปลาอย่างที่ตั้งใจ ได้ปลาไปจำหน่ายในชุมชน จนเริ่มมีรายได้ก้อนเล็กๆ เก็บเข้าเป็นกองทุนของเยาวชนประจำหมู่บ้าน แม้ยังไม่มีเยาวชนที่ลุกขึ้นมาปลุกปั้นบ่อปลาเป็นจริงเป็นจัง แต่เด็กๆ บางคนก็บอกว่าเขารู้แล้วว่าการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ปลาดุกต้องทำอย่างไร ที่เหลือจากนี้คงต้องรอเวลาให้พวกเขาได้ตั้งหลัก พร้อมคาดหวังว่า การมีโอกาสได้ ‘ลงมือทำกิจกรรมสร้างสรรค์’ จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่พวกเขาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเอ็มมาแล้ว

จากหนังสือ เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ในหัวข้อชวนเด็กทำงานสร้างสรรค์และงานรับใช้ผู้อื่น กล่าวว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดได้จากการทำกิจกรรมหรือเรียนโดยการทำงาน โดยแบ่งหน้าที่ให้เด็กทำงานร่วมกันเป็นทีม ทำให้การเรียนรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง (Authentic Learning)

เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรง ได้ฝึกรับผิดชอบ ฝึกทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้ฝึกความอดทน มานะบากบั่น มีประสบการณ์กับความล้มเหลว หรือการเผชิญความยากลำบาก รู้จักปรับปรุง เปลี่ยนแปลงวิธีทำงาน

การทำงานจึงเป็นกุศโลบายเพื่อการเรียนรู้หลากหลายมิติของเด็ก รวมทั้งเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองดี มีการเรียนรู้เป็นเป้าหมายหลัก ผลงานเป็นเป้าหมายรอง เช่นเดียวกับเอ็มที่ได้พัฒนาทักษะ เปลี่ยนแปลงนิสัย และเกิดจิตสำนึกอยากทำเพื่อคนอื่นๆ ในบ้านเกิดของเขา

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเลี้ยงลูกยิ่งใหญ่

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)ศรีสะเกษ

Author:

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Creative learning
    ‘เจ้านาย’ ผู้หันหลังให้ร้านเกมแล้วเดินเข้าสวนมะพร้าว

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต
21st Century skills
18 October 2018

3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ‘ความสร้างสรรค์’ เป็นที่ต้องการอย่างสูงในทุกวงการ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษาเรื่อยไปจนถึงระดับนักธุรกิจต่างก็อยากได้เวทมนต์ของความสร้างสรรค์มาไว้กับตัวทั้งนั้น
  • ที่สำคัญ ความคิดสร้างสรรค์สอนกันได้ แต่ไม่ใช่แค่นั่งอยู่ในห้องเรียนหรือทำแบบทดสอบตามมาตรฐานทั่วไป
  • นี่คือ 3 วิธีที่สามารถจุดประกายความสร้างสรรค์ให้ผู้คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

แวดวงอาชีพไหนต้องใช้ความสร้างสรรค์บ้าง? ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ … ผิดถนัด เพราะตอนนี้ ‘ความสร้างสรรค์’ เป็นที่ต้องการอย่างสูงในทุกวงการ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษาเรื่อยไปจนถึงระดับนักธุรกิจต่างก็อยากได้เวทมนต์ของความสร้างสรรค์มาไว้กับตัวทั้งนั้น

หลายคนมักคิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นบ็อกซ์เซ็ทของพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่แรกและไม่อาจสอนให้กันได้ แต่แม้การสอนวิธีคิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์จะเป็นเรื่องยาก ข่าวดีคือเรายังสามารถปลูกฝังปัจจัยพื้นฐาน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความสร้างสรรค์ให้เติบโตตามแบบฉบับของแต่ละคน

ถามว่าความคิดสร้างสรรค์สอนกันได้ไหม – สอนได้ แต่ไม่ใช่แค่นั่งอยู่ในห้องเรียนหรือทำแบบทดสอบตามมาตรฐานทั่วไปหรอก

วิชาจุดประกายความสร้างสรรค์

การคิดนอกกรอบกลายเป็นคำจำกัดความที่ได้ยินกันบ่อยที่สุดหากถามหาความคิดสร้างสรรค์ แต่พื้นที่และวิธีของความสร้างสรรค์นั้นหลากหลายกว่านั้นมาก อย่างเช่น 3 วิธีนี้ที่สามารถจุดประกายความสร้างสรรค์ให้ผู้คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

1. โมเดลของ ออสบอร์น-พาร์นส (The Osborne-Parnes model) ได้รับความนิยมในการศึกษาและธุรกิจ แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนคือ 1.ระบุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ 2.รวบรวมข้อมูล 3.แจกแจงปัญหา 4.สร้างไอเดียต่างๆ ขึ้น 5.ประเมินไอเดียเหล่านั้นอย่างละเอียด และ 6.สร้างแผนงานที่ทำให้ไอเดียเหล่านั้นเป็นรูปธรรม

2. ความคิดแบบอเนกนัยและเอกนัย (Diverge and converge) เป็นส่วนผสมอย่างลงตัวของจินตนาการและความรู้ที่เริ่มต้นด้วยการแตกแยกย่อยไอเดียก่อนจะขมวดไปสู่การแก้ปัญหาในตอนท้าย

3. สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งเสริม ข้อนี้เหมาะกับโรงเรียนอย่างมาก เพราะความคิดสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในแนวทางของการทำงานร่วมกันกับคนอื่น การหนุนความสร้างสรรค์ด้วยสถานที่จะทำให้ไอเดียของนักเรียนผุดขึ้นมาเป็นว่าเล่น

Diverge and Converge คิดแบบสมองสองซีก

Diverge and Converge

“ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่พบวิธีที่ไม่ได้ผล 10,000 วิธีเท่านั้น”

คำพูดสุดฮิตของ โธมัส อัลวา เอดิสัน ที่ถูกพูดถึงจนทุกวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานกันระหว่างความคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) และความคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) ที่ถูกหยิบมาพูดถึงบ่อยๆ ในตอนนี้ โดยผลการวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยว่า นักแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์มักมีทักษะการคิดทั้งสองแบบควบคู่ไปพร้อมกัน

Divergent Thinking : คิดถึงสิ่งใหม่ๆ และมองหาความน่าจะเป็น

‘ความคิดแบบอเนกนัย’ ชื่อไทยของ Divergent Thinking เป็นทักษะในการแตกแยกย่อยไอเดียโดยการสำรวจทางออกที่เป็นไปได้หลายๆ ทางเพื่อหาหนึ่งทางที่แก้ปัญหาได้ การคิดแบบนี้มีอยู่ 4 มิติ คือ

originality

1.ความคิดริเริ่ม (Originality) มองเห็นความคิดใหม่ๆ และทางแก้ที่โดดเด่นเฉพาะตัว

Flexibility

2.ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) มองปัญหาจากหลากหลายมุมมองได้ในเวลาเดียวกัน

fluency

3.ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) มีไอเดียมหาศาลและไม่ซ้ำกันเลย

elaboration

4.ความคิดประณีต (Elaboration) ขยายความคิดอย่างละเอียดเป็นขั้นตอน อธิบายให้เห็นภาพชัดเจน

Convergent Thinking : ขมวดทุกความคิดพุ่งตรงไปแก้ปัญหา

‘ความคิดแบบเอกนัย’ หรือ Convergent Thinking เป็นทักษะในการคิดหาวิธีทำให้ไอเดียมากมายรวบยอดตรงไปสู่ทิศทางเดียวกัน กลายเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง – ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องอาศัยส่วนผสมอีก 4 อย่าง

Subject-knowledge and Expertise

1.ความรู้และเชี่ยวชาญ (Subject-knowledge and Expertise) ยิ่งข้อมูลแน่นก็ยิ่งสร้างสรรค์ได้มาก

logic and reasoning

2.ตรรกะและการใช้เหตุผล (Logic and Reasoning) เหตุผลชัดเจนมั่นคง ช่วยให้การแก้ปัญหาเดินหน้าได้ดีขึ้น

focus and concentration

3.มีสมาธิ (Focus and Concentration) ไม่ไขว้เขวไปจากความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

Intelligence

4.สติปัญญา (Intelligence) หนุนหลังทุกอย่างทั้งความมีเหตุผล การวางแผน การแก้ปัญหา การเรียนรู้ได้เร็ว เข้าใจแนวคิดซับซ้อน และเรียนรู้จากประสบการณ์

วิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 101

โมเดลของ ออสบอร์น-พาร์นส ได้สรุปว่า การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving) เริ่มต้นได้จากสองอย่างคือ ทุกคนมีความสร้างสรรค์ในทางใดทางหนึ่ง และทักษะความสร้างสรรค์สามารถเรียนรู้และพัฒนาขึ้นได้ ซึ่งหลักการของเขามีอยู่ว่า

  • สร้างสมดุลให้กับจินตนาการ (ความคิดแบบอเนกนัย) และความรู้ (ความคิดแบบเอกนัย)
  • มองปัญหาเป็นคำถาม เพราะเมื่อมองเป็นคำถามเราจะพยายามหาคำตอบ แต่ถ้ามองว่าปัญหายังไงก็คือปัญหา มันก็จะกลายเป็นความลำบากที่ทำให้เราเหนื่อยจะเผชิญหน้า
  • ไม่ตัดสิน เพราะการจ้องจะตัดสินกันทำให้ไอเดียต่างๆ หดหายไปหมด การตัดสินควรเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไอเดียต่างๆ มาบรรจบเป็นทิศทางเดียวกันในตอนท้ายเท่านั้น
  • สนใจแค่ ‘ใช่’ กับ ‘แล้วไงต่อ’ มากกว่า ‘ไม่’ กับ ‘แต่’ เพราะยิ่ง ‘ไม่’ ก็ยิ่งตัดโอกาสจินตนาการมากขึ้นเท่านั้น
อ้างอิง:
What improves one’s creative abilities? Brief description of Divergent and Convergent thinking
Can creativity be taught?
What improves one’s creative abilities? Brief description of Divergent and Convergent thinking

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)21st Century skills4Csวิทยาศาสตร์สมอง

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    จง เถียง กับ ลูก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง
21st Century skills
17 October 2018

ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดีย เสรีนิยม ทุนนิยม และสุขนิยมทั้งหลาย ‘ความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม’ จะเป็นเชื้อไฟที่ต่อยอดไอเดียเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสังคม
  • การศึกษาที่สามารถสร้างพลเมืองตื่นรู้ ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและซับซ้อนได้จะต้องมี Growth Mindset หรือความคิดที่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่และยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหา
  • สิ่งที่เราต้องมีให้สังคมตอนนี้หรือในอนาคตคือ ‘ทักษะ ไหวพริบ จริยธรรม’ ที่ต้องมาด้วยกันเสมอ

ไม่ใช่ว่าประเทศไทยกำลังต่อสู้กับระบบการศึกษาล้าหลังอยู่เพียงลำพัง หลายประเทศทางยุโรปก็กำลังเผชิญปัญหาระบบการศึกษาที่ผลิตนักเรียน นักศึกษาให้มีทักษะที่สังคมกำลังตามหาไม่ทันด้วยเช่นกัน

ถ้าสังคมต้องการเชื้อเพลิงชั้นดีมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและเป็นเครื่องมือหาทางแก้ปัญหาที่เปลี่ยนไปตามบริบทของยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดีย เสรีนิยม ทุนนิยม และสุขนิยมทั้งหลาย ความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม (Creative and Innovation Thinking) ที่ต่อยอดไอเดียเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสังคมก็คือเชื้อไฟที่ว่า

แต่ที่ผ่านมา หลักสูตรในระบบการศึกษาที่ผลิตบุคลากรป้อนสู่สังคม ไม่ได้มีพื้นที่ให้เด็กแสดงความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการคิดนอกกรอบ หรือปลดปล่อยความหลงใหล (passion) กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และไม่ไกด์ให้เด็กรู้จักผสานเอาทักษะความสามารถ พลังความสร้างสรรค์ ความกล้า และ passion อันเปี่ยมล้นแห่งวัยเยาว์รวมเข้ากับความคิดเชิงธุรกิจอีกด้วย

เมื่อโซเชียลมีเดียครองโลก ก่อให้เกิดช่องทางอาชีพแปลกใหม่มากขึ้น ผู้คนสร้างรายได้จากเกม รีวิวสินค้า เป็น Youtuber หรือสร้างเพจในเฟสบุ๊ก เพียงคลิกเดียวเราสามารถเข้าถึงความหลากหลายสุดโต่งของวัฒนธรรม แฟชั่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ ฯลฯ ภาพไอดอลความสำเร็จที่เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่ วิศวกร แพทย์ สถาปนิก ได้เปลี่ยนไปแล้ว เราโตมาในยุคเชิดชู อายุน้อยร้อยล้าน คนเก่ง คนกล้าที่ไม่จำเป็นต้องเรียนจบสูง แค่ ‘มองเห็นโอกาส’ และ ‘ต่อยอดเป็น’ ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมมือ

ระบบการศึกษาต้องพัฒนาทักษะและศักยภาพให้เหมาะสมกับสภาวะความเป็นไปในปัจจุบันเสียที

รีเบคกา เวท (Rebecca Weicht) ผู้ก่อตั้งสถาบัน Bantani Education ซึ่งทำงานร่วมกับองค์กรกำหนดนโยบาย, NGOs, และสถาบันการศึกษาต่างๆ ในยุโรป เพื่อขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ(Entrepreneurial Education) ให้เป็นหลักสูตรภาคบังคับเพื่อผลิตทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของสังคมปัจจุบัน

เวท กล่าวไว้ในบทความด้านการศึกษาซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ของ World Economic Forum ว่าการศึกษาที่สามารถสร้างพลเมืองตื่นรู้ (Active citizen) ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและซับซ้อนได้จะต้องมีกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) หรือความคิดที่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด และยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหา ดังนั้นการปรับให้ระบบการศึกษาในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก

ความคิดสร้างสรรค์คือจุดกำเนิดความเปลี่ยนแปลง

ความคิดสร้างสรรค์เปรียบเหมือนเชื้อเพลิงตั้งต้นที่หากจุดติดแล้วลุกโชนเป็นเปลวไฟแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีองค์ประกอบเหมาะสมเพียงพอให้เชื้อเพลิงกองนี้ติดไฟได้ขึ้นมา เวทเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดของการเปลี่ยนแปลง

หากเราต้องการให้สังคมเปลี่ยน ต้องกลับไปเริ่มที่การกระตุ้นให้ทรัพยากรบุคคลใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็น และกระบวนการนี้ควรเกิดขึ้นในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง เพราะผลวิจัยทางสมองชี้ว่าเซลล์สมองต้องใช้เวลา4-6 เดือนต่อเนื่องกันเป็นอย่างต่ำในการพัฒนาให้รู้จักคิดสร้างสรรค์เป็น

กิจกรรมเดี่ยวๆ อย่าง การระดมความคิด (Brainstorm) หรือแผนภาพความคิด (mind-mapping) ที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ช่วงสั้นๆ ไม่มีประสิทธิภาพให้เซลล์สมองพัฒนาทักษะนี้ได้

สถาบันของเธอพยายามสร้างเครือข่ายกับหลายภาคส่วนในยุโรป และร่วมกับหน่วยงานการศึกษาใน 38 ประเทศในยุโรป ร่างกรอบทักษะความสามารถผู้ประกอบการแห่งยุโรป (EntreComp – The European Entrepreneurship Competence Framework) ขึ้น โดยตั้งเป้าผลักดันให้ระบบการศึกษาภาคบังคับหันมาเน้นพัฒนาทักษะภายใต้กรอบนี้

EntreComp ประกอบไปด้วยทักษะ 3 ส่วน

1. หาไอเดีย และ โอกาส

  • มองเห็นโอกาส
  • คิดสร้างสรรค์ให้ต่างจากเดิม
  • สร้างวิสัยทัศน์
  • ต่อยอดไอเดียให้มีมูลค่า
  • มีจริยธรรมและการคิดอย่างยั่งยืน

2. ทรัพยากรการเงินและบุคลากร

  • หา/เปลี่ยนแหล่งเงินทุน
  • หา/เปลี่ยนภาคี
  • ความสามารถในการบริหารการเงินและดูทิศทางเศรษฐกิจ
  • รู้จักตัวเอง และ ขีดความสามารถของตัวเอง
  • สร้างจุดมุ่งหมาย และมุมานะ มุ่งมั่นให้ถึงเป้าหมายนั้น

3. ปฏิบัติ

  • จัดการกับความไม่ชัดเจน และความเสี่ยง
  • เริ่มลงมือปฏิบัติ
  • วางแผนและบริหารงานเป็น
  • ทำงานร่วมกับผู้อื่น/ภาคส่วนอื่น
  • เรียนรู้จากการถอดบทเรียน

แก่นการเรียนรู้คือทักษะการใช้ชีวิตที่ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมออกไปสู่โลกธุรกิจในภายหน้า เด็กต้องตอบสนองโอกาสและไอเดียแปลกใหม่ของตนเองแล้วแปลงเป็นผลงานที่สร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นทั้งทางพาณิชย์ วัฒนธรรม หรือสังคมได้

เวทชี้ว่าระบบการศึกษาภาคบังคับควรปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักความหมายของการเป็นผู้ประกอบการที่แท้จริงตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างโครงการ CRADLE ที่เธอทำงานด้วยทุนจาก EU ใช้การสอนรูปแบบนี้ตั้งแต่ชั้นประถมและพยายามหนุนให้โรงเรียนอื่นๆ นำแนวทางแบบเดียวกันนี้ไปใช้ กล่าวคือ ให้มองภาพการริเริ่มธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เด็กจะหมดความเชื่อมั่นในตนเองด้วยคำถามว่า “จะทำได้เหรอ” “จะสู้เขาได้เหรอ”

เด็กควรมีเข็มทิศทางทักษะและจริยธรรมอยู่ในมือและพิจารณาว่า แนวคิด (mindset) ใดที่ผู้ประกอบการที่ดีพึงมี ทำอย่างไรจึงจะรักษาแรงขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นต่อเนื่องและยั่งยืน ควรรับมือกับปัญหาอย่างไร และทำอย่างไรให้วิสัยทัศน์ของตนเป็นที่รู้จักและยอมรับ

เมื่อความคิดสร้างสรรค์ถูกปลูกฝังและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เด็กๆ จะเติบโตมาแบบนี้

  1. เมื่อเด็กถูกฝึกให้คิดสร้างสรรค์จนเป็นนิสัย สมองจะเชื่อมต่อรูปแบบใหม่ตามธรรมชาติเอง จนมีทักษะความคิดสร้างสรรค์อัตโนมัติ
  2. เมื่อปลูกฝังให้เด็กตอบสนองโอกาสทางธุรกิจที่ตนเองมองเห็น และสร้างเสริมให้มีทักษะ พวกเขาจะสามารถนำแผนธุรกิจที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับปัญหาใหม่ๆ หรือคิดแผนธุรกิจที่ให้สินค้าหรือบริการใหม่ๆขึ้นมาได้
  3. เมื่อการศึกษามองความเหลื่อมล้ำทางทักษะของนักเรียนในชั้นเรียนเป็นความหลากหลาย อัตรานักเรียนที่เลิกเรียนกลางคันอาจลดลงและและมีทรัพยากรบุคคลวัยหนุ่มสาวตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น
  4. เมื่อเด็กมีทักษะความเป็นผู้ประกอบการ คือสามารถมองเห็นโอกาสจากไอเดีย มีจริยธรรม และการคิดอย่างยั่งยืน อย่างที่ระบุใน EntreComp ชุมชนจะเกิดธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น คนหนุ่มสาวมีทักษะผู้ประกอบการและความคิดนวัตกรรมตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น

ด้านการเติบโตของการศึกษาเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Education) นั้น เวทเล่าว่าตั้งแต่ปี 2016 ที่ยังเป็นแค่ก้าวแรกในยุโรป ปัจจุบันการขับเคลื่อนการศึกษา เศรษฐกิจและนโยบายการทำงานของยุโรปล้วนเกื้อหนุนให้แนวทางนี้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งจากที่คณะกรรมาธิการยุโรปกำหนดให้ทักษะผู้ประกอบการเป็นวาระแห่งชาติ และกรอบความสามารถที่จำเป็นต้องมี

โครงการร่วมมือข้ามภาคส่วนที่ออกกรอบ EntreComp มา ก็เป็นแม่บทให้โรงเรียนทุกระดับชั้นในยุโรปค่อยๆ หันมาพัฒนาทักษะผู้ประกอบการเป็นภาษาเดียวกันและมองเห็นประโยชน์ของแนวทางนี้ โดยมีคู่มือใช้อ้างอิงในการปฏิบัติตามได้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

เห็นความมุ่งมั่นของพลังความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ แล้วก็คาดว่า คงไม่เกินจริงนักที่จะบอกว่าก้าวย่างการศึกษาของยุโรปรุดหน้าไปไกล แม้อีกด้านหนึ่งผลการสำรวจพบว่า ยุโรปยังมีช่องว่างระหว่างการพัฒนาแนวทางนี้อยู่บ้าง และข้อเท็จจริงคือที่โรงเรียนต่างๆ พยายามปรับตัวเป็นโรงเรียนส่งเสริมทักษะผู้ประกอบการมากขึ้นเพราะจะได้มีภาษีในการขอทุนสนับสนุนมากกว่าโรงเรียนทั่วไป ก็ถือเป็นเรื่องดี โดยการร่วมมือของทุกองคาพยพ ในการผลักดันการศึกษาให้ตอบรับกับความเป็นไปของเศรษฐกิจและสังคมอย่างจริงจังได้ส่งผลให้เห็นแนวโน้มชัดเจนว่าการศึกษาในภูมิภาคยุโรปกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การจะผลิตพลเมือง ‘ตื่นรู้’ ออกสู่สังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม คงไม่ใช่แค่ระบบการศึกษาเท่านั้นที่จะสามารถสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในระหว่างการเรียนรู้ของเด็กได้

การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ตลอดจนสังคม และองค์กรทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงองค์กรขับเคลื่อนเศษฐกิจและสังคม ต้องทำงานสอดประสานกันเป็นโครงสร้างที่เกื้อหนุนแนวทางการเรียนรู้ที่ให้คุณค่ากับไอเดียความคิดควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตของเด็ก

ทำอย่างไรจึงโรงเรียนจะปรับลดกฎระเบียบหรือกรอบต่างๆ ในการเรียนการสอนที่จำกัดการคิดสร้างสรรค์และปลูกฝังให้เด็กคุ้นชินกับการทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียวได้ อีกประการหนึ่งคือต้องให้พื้นที่เด็กได้แสดงความสามารถ ไอเดีย หรือทำกิจกรรมอย่างเสรีตามใจฝัน

ครอบครัว โรงเรียนต้องไม่ตีกรอบไอเดีย ตั้งคำถามหลายๆ มิติดูก่อนว่า เด็กมีมุมมองอย่างไร แล้วพ่อแม่ ครู ต้องการเห็นเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ในมุมของสังคม ตลาดกำลังต้องการทรัพยากรแบบใด

เป็นเรื่องปกติที่ความต้องการของแต่ละมุมมักไม่ลงรอยกัน แต่เรื่องคุณค่าและจิตใจคือสิ่งสำคัญ  เพราะสังคมตอนนี้และในอนาคตคือ ‘ทักษะ ไหวพริบ จริยธรรม’ ต้องมาด้วยกันเสมอ

อ้างอิง:
Education systems can stifle creative thought. Here’s how to do things differently

Tags:

การฟังและตั้งคำถามความคิดสร้างสรรค์(Creativity)พ่อแม่ระบบการศึกษา4Cs

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้
21st Century skillsEducation trend
15 October 2018

โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ผลสำรวจตลาดงานในอนาคต โดยสถาบัน McKinsey Global Institute บอกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ ใน 750 สายอาชีพ มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น
  • การเอาตัวรอด-ความคิดสร้างสรรค์-ทักษะเรื่องดิจิทัล-ความสามัคคี ล้วนเป็นสิ่งที่โลกต้องการ แต่กลับไม่ได้ถูกสอนในโรงเรียน
  • วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือ Computer Science ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดเท่านั้น แต่จะต้องฝึกคิดคำนวณ การออกแบบระบบอินเตอร์เฟส (เชื่อม2อุปกรณ์เข้าด้วยกัน) ฝึกวิเคราะห์ผลข้อมูล เรียนรู้เรื่องเครื่องจักร ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และหุ่นยนต์

หุ่นยนต์ หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่เราเรียกกันว่า (AI) ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันในโลกนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป มีข้อยืนยันมากมายที่แสดงให้ว่าความต้องการในตลาดแรงงานเปลี่ยนและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญกับทิศทางของการทำงานในอนาคตที่อาจเปลี่ยนไปเพราะเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าจริงแล้วๆ โลกของการศึกษายังไม่ได้ตื่นตัวและให้ความสำคัญกับในเรื่องนี้มากเท่าไหร่

จากการวิเคราะห์ตลาดงานในอนาคต โดยสถาบัน McKinsey Global Institute พบว่า 51 เปอร์เซ็นต์ ใน 750 สายอาชีพ มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติ โดยดูจากวิธีการปรับตัวใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จุดสำคัญคือเทคโนโลยีนั้นจะช่วยขยับขยายอาชีพในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงเพิ่มทักษะและเรตของค่าจ้างได้หรือไม่

การสำรวจเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้เกิดการเลิกจ้าง แต่จะนำพาไปสู่การคัดเลือกอาชีพรวมถึงการเกิดทักษะใหม่ๆ ขึ้นแทน

เตรียมรับมือกับคนรุ่นในอนาคตได้อย่างไร

เด็กวัยประถมที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัยในช่วงปี 2030 พวกเขาจะทำงานถึงปี 2060 หรือมากกว่านั้น โดยไม่รู้ว่าความต้องการของตลาดแรงงาน จะเปลี่ยนตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยอีกหรือไม่ ?

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ากลับเข้าไปดูการเรียนการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่ จะพบว่าเนื้อหายังล้าหลัง การสอนเด็กแบบเดิมๆ ให้อ่าน-เขียน-เรียนคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์-ประวัติศาสตร์และภาษาต่างประเทศ ซึ่งไม่ต่างจากที่สอนในปี 1918 

แม้จะให้ศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียน หันมานำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในห้องเรียนมากขึ้น แต่ยังคงไม่มีการพูดถึง ‘เนื้อหา’ ที่ใช้สอนสักเท่าไร ทั้งๆ ที่ควรจะถูกให้ความสำคัญแลปรับแก้ไปพร้อมๆ กัน

การเอาตัวรอด-ความคิดสร้างสรรค์-ทักษะเรื่องดิจิทัล-ความสามัคคี ล้วนเป็นสิ่งที่โลกต้องการ แต่กลับไม่ได้ถูกสอนในโรงเรียน แม้จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสร้างสื่อนำเสนอต่างๆ – แต่ไม่ใช่สร้างทักษะดิจิทัลอย่างแท้จริง

สิ่งที่สอนในวันนี้ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในยุค 2030  

การเขียนด้วยลายมือจะหมดไป ไม่ต้องคำนวณโจทย์เลขที่ซับซ้อนด้วยการเขียนอีกแล้ว และไม่ต้องจำข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ด้วยตัวเองอีกต่อไป เพราะมีตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมอย่างระบบอินเทอร์เน็ต

ในอนาคตเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็กทุก โรงเรียนจะต้องผลัก ‘วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือ Computer Science’ เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการสอนให้ได้ ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดเท่านั้น แต่จะต้องฝึกคิดคำนวณ การออกแบบระบบอินเตอร์เฟส (เชื่อม2อุปกรณ์เข้าด้วยกัน) ฝึกวิเคราะห์ผลข้อมูล เรียนรู้เรื่องเครื่องจักร ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และหุ่นยนต์ด้วย

ประโยชน์ของวิทยาการคอมพิวเตอร์ นอกจากจะช่วยเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาได้แล้ว ยังส่งผลต่อการประกอบอาชีพเชิงเทคนิค ในทุกอาชีพและทุกระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงแค่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น

นักเรียนจะชอบหรือไม่ชอบ ?

การสำรวจพบว่า วิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นวิชาอันดับสองที่เด็กชอบมากที่สุด รองจากวิชาศิลปะ

ดังนั้นผู้นำด้านการศึกษาหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง น่าจะเริ่มพูดคุยกันได้แล้วว่า เราควรจะโละเนื้อหาที่ล้าหลัง เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับหลักสูตรใหม่ๆ ได้หรือยัง?

‘วิทยาการคอมพิวเตอร์’ ไม่ควรถูกอยู่แค่ในชมรมหลังเลิกเรียน ที่มีไว้ในใช้แข่งขันหุ่นยนต์หรือให้กลุ่มพวกแฮ็คคาธอน (Hackathon) แต่ควรจะยกให้อยู่การเรียนหลัก และนักเรียนสามารถเข้าถึงได้ทุกคน

สิ่งที่โรงเรียนควรสอนคือความรู้ในอนาคตไม่ใช่อดีต

หลายประเทศเริ่มยอมรับวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ในหลักสูตรระดับชาติแล้ว  อย่างใน 44 รัฐ ทั่วสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนนโยบายให้วิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของแกนหลักทางวิชาการ รวมถึง 25 ประเทศทั่วโลก ที่ตื่นตัวกับเรื่องนี้ จนออกประกาศให้เพิ่มการสอนนี้ลงในหลักสูตรด้วย ไม่ว่าจะเป็น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาร์เจนตินา เอกวาดอร์ อิตาลี มาเลเซีย สวีเดน และไทย

แม้การสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนอาจฟังดูน่ากลัว แต่ก็สร้างความหวังครั้งใหม่ขึ้น เนื่องจากได้เพิ่มแรงบันดาลใจให้ครูและนักเรียน แม้ว่าส่วนใหญ่ครูจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ และหลายโรงเรียนก็ขาดแคลนคอมพิวเตอร์ ปัญหาเหล่านี้จึงถูกมองเห็นและได้รับการแก้ไขมากขึ้น เหมือนกับที่ประเทศบราซิล ชิลี และไนจีเรีย กำลังเริ่มทำ

อนาคตของการทำงานอาจไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ วิทยาการคอมพิวเตอร์จะมีความต้องการสูงขึ้น

ซึ่งนักเรียนทุกคนควรได้เรียนรู้มันในฐานะวิชาพื้นฐาน

อ้างอิง:
Why schools should teach the curriculum of the future, not the past

Tags:

AI4Csครูระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

ไม่ผิดหรอกหากพ่อแม่จะกอดตัวเองบ้าง
Family Psychology
15 October 2018

ไม่ผิดหรอกหากพ่อแม่จะกอดตัวเองบ้าง

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ไม่มีใครทำถูกไปทุกเรื่อง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เช่นกัน
  • แต่เมื่อถีงวันแย่ๆ เช่น รถติด ลูกสอบตก ผิดสัญญากับลูก เผลอเสียงดังหรือกระทั่งระเบิดความโกรธใส่ลูก… ก็คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่แหละที่กลับไปโบยตีตัวเองทุกครั้งเพราะความเป็น ‘มนุษย์’ ของตัวเอง
  • รู้จักที่จะเห็นอกเห็นใจตัวเองบ้าง – ไม่เพียงดีต่อพ่อแม่ แต่จิตใจของลูกๆ จะแข็งแกร่งและอบอุ่น

“ต่อให้ทำดีแค่ไหน ฉันก็เป็นพ่อแม่ที่แย่สุดๆ อยู่ดี” – ครั้งสุดท้ายที่โบยตีตัวเองด้วยความรู้สึกล้มเหลวแบบนี้คือเมื่อไหร่

อาจเป็นตอนคุณเจอวันแย่ๆ ที่ทำงาน รถติด ลูกสอบตก ผิดสัญญากับลูก เผลอเสียงดังหรือกระทั่งระเบิดความโกรธใส่ลูก แล้วแอบไปโมโหร้องไห้เกรี้ยวกราดใส่ตัวเองซ้ำๆ

บ่อยครั้งที่เราต่างพยายามเป็นพ่อแม่สุดเพอร์เฟ็คต์ให้ลูกเห็น แต่ท้ายสุดแล้ว ตัวอย่างที่ ‘จริง’ ที่สุดต่างหากคือสิ่งที่เราจะมอบให้ลูกได้ และอาการเครียดจัดไม่เคยช่วยให้ใครหรืออะไรดีขึ้น

เด็กๆ จับอารมณ์ได้

“เด็กๆ จะอ่อนไหวเป็นพิเศษกับอารมณ์ของพ่อแม่” สเตฟานี สมิธ (Stephanie Smith) นักจิตวิทยาคลินิก กล่าว “ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ไม่ควรแสดงอารมณ์ออกมา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองให้เด็กๆ เห็น”

ความเครียดที่ไม่ได้รับการผ่อนคลายจะส่งผลต่อวิธีปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ และความรู้สึกของพวกเขา ทั้งยังสร้างนิสัยไม่ดีในครอบครัวได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะคุณหมดเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นทำอาหาร

ทีมนักวิจัยพบว่า เด็กที่พ่อแม่รู้สึกเครียดจะกินอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อย ออกกำลังกายน้อยลง และมีโอกาสอ้วนมากขึ้น

สถานการณ์จะดีขึ้นทันทีเมื่อคุณพยายามสงบจิตใจตัวเองลง เด็กๆ เองก็จะเรียนรู้วิธีรับมือความเครียดด้วยการเฝ้าดูพ่อแม่ หากคุณคลายเครียดด้วยการใช้อาหาร จอทีวี หรือพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ คุณกำลังสื่อสารกับลูกว่านี่คือวิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุด และเขาก็จะเลียนแบบคุณทันที

ยิ่งเห็นใจตัวเอง ยิ่งเลี้ยงลูกดีขึ้น

คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์ด้านวัฒนธรรมและการพัฒนามนุษย์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ผู้หยิบเรื่อง การเมตตาตนเอง (Self-Compassion) ขึ้นมาพูดเป็นครั้งแรก บอกว่า

“ความเห็นอกเห็นใจตนเองจะมอบดินแดนแสนสงบ เป็นที่หลบภัยจากทะเลที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของการตัดสินใจไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบก็ตาม”

ผลการศึกษาหนึ่งพบว่า ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านพัฒนาการ พ่อแม่ที่มีความเห็นใจตัวเองจะมีแนวโน้มระดับความเครียดและอาการซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มที่พ่อแม่เข้มงวดและลงโทษตัวเองเสมอ ผลการศึกษาพ่อแม่ของเด็กที่มีภาวะออทิสติกในปี 2015 ระบุว่า ความเห็นใจตนเองเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ ความหวัง และการเอาชนะเป้าหมายในชีวิตได้อีกครั้ง ส่วนผลการศึกษาอีกชิ้นพบว่า การเห็นอกเห็นใจตัวเองสามารถเป็นโล่ป้องกันตัวเองจากความรู้สึกแง่ลบของคนอื่นต่อการเลี้ยงดูเด็กๆ ที่มีภาวะออทิสติก

ผลการศึกษาใหม่จาก เอมี มิทเชลล์ (Amy E. Mitchell) เกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจตัวเองของแม่และผลต่อทารก พบว่า แม่ที่คุ้นเคยกับความคิดว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยวและมีน้ำใจให้ตัวเองอยู่เสมอ จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวเองมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแม่ที่ไม่เคยได้ลองทำ และพวกเธอต่างรู้สึกเครียดน้อยลง มีความสุขกับการให้นมลูกมากกว่าด้วย

5 วิธีใจดีกับตัวเองได้ทุกวัน

ผลการศึกษาหลายชิ้นเห็นตรงกันว่า การเมตตาตัวเองเป็นขุมพลังป้องกันแรงกระแทกจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน โดยทำได้ภายใน 3 ขั้นตอน คือ ชื่นชมตัวเองให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ฝึกส่งความปรารถนาดีให้คนรอบข้าง และนึกภาพคนสำคัญของคุณเมื่อต้องการแรงหนุน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือแม้แต่เพื่อนรักของคุณเอง

นอกจากนี้ เรายังมีอีก 5 วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ทั้งวัน ลองดูนะ

• พักยืดเส้นยืดสาย เผลอๆ ลูกคุณอาจร่วมวงแล้วค้นท่ายืดตัวแบบใหม่ให้คุณลองด้วยก็ได้
• ทาโลชั่น พูดขอบคุณร่างกายในระหว่างทา ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้กับการดูแลตัวเองได้ทุกแบบแม้กระทั่งการแปรงฟัน อาศัยจังหวะนี้บอกลูกด้วยก็ได้ว่าคุณกำลังใจดีกับร่างกายด้วยการดูแลมันอย่างดี
• ดื่มน้ำสะอาด ร่างกายที่ตึงเครียดต้องการน้ำไปปลอบประโลม – อันนี้คุณก็รู้อยู่แล้วนี่นา
• แหงนหน้ามองฟ้า แล้วหายใจลึกๆ เด็กๆ จะรับรู้ว่าธรรมชาติช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบลง
• เขียนไดอารีหรือวาดรูปเล่น วิธีนี้คุณยังชวนลูกๆ มาเขียนหรือวาดอยู่ข้างกันได้ด้วย

อย่าลืมว่า เด็กๆ กำลังเฝ้ามองคุณอยู่ ไม่ใช่เรื่องแย่หากจะบอกให้ลูกรู้ว่าคุณต้องการเวลาอยู่คนเดียวเพื่ออ่านหนังสือหรือออกไปวิ่งเพื่อผ่อนคลายตัวเอง

“เพราะนั่นคือการแสดงให้ลูกเห็นว่า ทุกคนต่างต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายและมันก็จะดีขึ้น” เจมี โฮวาร์ด นักจิตวิทยาคลินิก จากสถาบัน Child Mind Institute บอก

อ้างอิง:
How Your Stress Affects Your Kids
Greater Good Magazine

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาการจัดการอารมณ์

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ปลาบู่ทอง: การรับมือกับความสูญเสียคนที่รักและผูกพัน และหนทางเยียวยาตนเอง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel