Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: October 2018

ปวิตร มหาสารินันทน์: ทำไมโรงเรียนต้องสอนวิชา ‘เสพงานศิลป์’ ให้กับเด็กๆ
Everyone can be an Educator
31 October 2018

ปวิตร มหาสารินันทน์: ทำไมโรงเรียนต้องสอนวิชา ‘เสพงานศิลป์’ ให้กับเด็กๆ

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • สำหรับ ครูป้อม-ปวิตร มหาสารินันทน์ ผู้อำนวยการหอศิลป์ กทม. ‘ศิลปะ’ ไม่ควรถูกแยกตามสายหรือจัดหมวด เพราะศิลปะเชื่อมโยงกับทุกเรื่องของชีวิต
  • วิชาเสพงานศิลป์ จึงสำคัญมากต่อความคิดเชิงสร้างสรรค์และเชิงวิพากษ์ของเด็กๆ เพราะมันมีพลังส่งเสริมให้เขาใช้ชีวิตสนุกสนานและรู้จักพลิกแพลงองค์ความรู้ต่างๆ
  • ที่งานศิลปะดูไม่แมสและยากที่จะเข้าถึง เพราะระบบการศึกษาให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์มากกว่า
  • แต่ในฐานะ ผอ.หอศิลป์ ครูป้อมบอกว่า การทำให้ศิลปะแมสคือหน้าที่ เพราะนี่คือภาษีประชาชน

ถ้าเราลองจินตนาการตัวเองนั่งอยู่ในคาบศิลปะของโรงเรียน เราอาจจะมีภาพมือจับพู่กันหรือดินสอวาดรูป หรือถ้าอยู่ในคาบนาฏศิลป์ ใครที่รำไทยได้ถูกต้องตามแบบแผน อ่อนช้อยสวยงามตามตำราก็มีแนวโน้มว่าจะได้คะแนนที่ดีไป คาบภาษาไทยก็แน่นอนว่าภาพแรกไม่ใช่การไปเดินดูการศึกษาตัวอักษรโบราณในพิพิธภัณฑ์

กลับกันถ้าเราเรียนวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ก็มักเต็มไปด้วยสูตรและการพิสูจน์เหตุผล ทุกวิชาดูแยกขาดจากกัน น่าแปลกที่เราแทบจะนึกภาพไม่ค่อยชัดเลยว่าเราสามารถเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้ศิลปะเข้ามาช่วยได้อย่างไรบ้าง

วิชาสังคม + อาร์ต = ความสนุก

หรือเรียนศิลปะ = เรียนรู้อิสระทางความคิด x แรงบันดาลใจ = ?

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปวิตร มหาสารินันทน์ หรืออาจารย์ป้อม ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) อดีตอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของวิชาปริทัศน์ศิลปการละครยกตัวอย่างคำตอบนั้นด้วยนิทรรศการภาพวาดพฤกษศาสตร์ ‘สานพฤกษพรรณผ่านงานพฤกษศิลป์’ ที่จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งใช้ศิลปะเข้ามาศึกษารายละเอียดของพันธุ์ไม้หายาก และเริ่มไล่เรียงความสำคัญของการ ‘เสพศิลป์ไปวันๆ’ ว่ามันช่วยสร้างตัวตนและความสนุกสนานให้เด็กและทุกคนได้

Art Appreciation หรือศิลปวิจักษ์ สำคัญมากต่อความคิดเชิงสร้างสรรค์และเชิงวิพากษ์ของเด็กๆ เพราะมันมีพลังส่งเสริมให้เขามีชีวิตที่สนุกสนานและรู้จักพลิกแพลงองค์ความรู้ต่างๆ ในชีวิต

และที่สำคัญ ต้องเริ่มตั้งแต่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเลยด้วย

เพราะโลกของเด็กทุกคนกว้างกว่าก้อนดินน้ำมัน เขาอาจจะอยากวาดฝันที่ไม่ได้อยู่บนกระดานก็ได้

วิชาการเสพศิลป์ไปวันๆ สำคัญตั้งแต่ที่โรงเรียน

อยากให้อาจารย์นิยามคำว่า Art Appreciation

ถ้าอธิบายเป็นศัพท์บัญญัติเลยเขาจะใช้คำว่าศิลปวิจักษ์ ซึ่งก็ยังเป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ แต่มันก็คือการทำความเข้าใจศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหนก็ตาม บางทีคนใช้คำว่า art แล้วอาจจะนึกถึงทัศนศิลป์ (visual arts) อย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วมันคลุมไปหมดเหมือนกับวิชาวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยความที่ระบบการศึกษาของเราสอนวิชาด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าศิลปะ เพราะฉะนั้นคนก็จะเข้าใจวิทยาศาสตร์มากกว่า

แต่ผมมองว่าชีวิตคนเราต้องเข้าใจทั้งสองอย่างถึงแม้ว่าจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ในประเทศกำลังพัฒนาเรากำลังขาดตรงนี้ไปเพราะว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า

เราให้ความสำคัญกับเด็กที่คิดเลขเป็น คิดเลขเร็ว ถ้าเป็นศิลปะคนมักจะนึกไปถึงว่าจะต้องปั้นอะไร วาดรูป หรือเล่นละคร แต่จริงๆ แล้วการเข้าใจศิลปะกับการสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นคนละเรื่องกัน

คนที่ทำงานศิลปะได้กับคนที่เข้าใจงานศิลปะสามารถที่จะเชื่อมโยงได้กับชีวิตประจำวันมันไม่เหมือนกัน

ระบบการศึกษามีผลกระทบที่ทำให้เด็กไม่เข้าใจการเสพศิลปะอย่างแท้จริงมากแค่ไหน เด็กจำเป็นต้องรู้ไหมว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Art Appreciation อยู่

แค่ตอนเช้าๆ เราตื่นขึ้นมาแล้วตัดสินใจว่าจะใส่ชุดอะไรไปทำงาน หรือมีอะไรต้องทำ เรารู้ว่าเราชอบสีนี้แต่เราจะแต่งตัวยังไงในพื้นที่ที่อุณหภูมิแบบนี้มันก็มีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว นี่คือศิลปะร่วมกับวิทยาศาสตร์ เพียงแต่เราไม่ได้คิดถึงมันเท่านั้นเอง

ในระบบการศึกษา ผมว่าเรื่อง Art Appreciation ควรจะถูกบรรจุอยู่ในเนื้อหาของวิชาศิลปะทุกแขนง ตอนนี้เราจะสอนให้เด็กวาดรูปและมีมาตรฐานให้ว่านี่คือสวย นี่คือดีงาม หรือว่าเราสอนนาฏศิลป์ไทย เราจะบอกเด็กว่าต้องยกแขนสูงเท่านี้ งอมือขนาดนี้ อันนั้นคือการฝึกทักษะของการสร้างสรรค์ศิลปะ แต่บางทีการที่เราเน้นการฝึกทักษะด้านนี้มากไปทำให้เราไม่มีโอกาสสอนให้เด็กถอยห่างออกมาแล้วมองว่านี่คือความงาม ความดี หรือในขณะที่เราสอนวาดรูปในโรงเรียน ผมว่าน้อยโรงเรียนมากที่จะพาเด็กไปดูงานตามพิพิธภัณฑ์หรือหอศิลป์เพื่อให้เขาเห็นว่านอกจากสิ่งที่ครูบอกว่านี่คือการวาดภาพที่สวยแล้วมันยังมีการวาดภาพในรูปแบบอื่นๆ อีก และนี่คือความงามเช่นกัน

การศึกษาในปัจจุบันสามารถสร้างตัวเลือกให้เด็กได้มากขึ้นไหมถ้าใส่องค์ความรู้ด้าน Art Appreciation เข้าไป

การเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ ในขณะที่โลกปัจจุบันเป็น convergence (การหลอมรวมของสื่อดิจิทัล) แต่ว่าระบบการศึกษาปัจจุบันในประเทศไทยคือจบ ม.3 มาก็ต้องแยกสายวิทย์ สายศิลป์ แล้ว แต่เดิมในมหาวิทยาลัยเขายังให้เข้าไปก่อนแล้วเลือกเองตอนจบปี 1 หรือปี 2 แนวโน้มใหม่คือให้เลือกตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำซึ่งมันยากมากนะครับ แล้วส่วนใหญ่ก็จะไม่อนุญาตให้ย้ายเอกในคณะ

ไม่ใช่เด็กอายุ 18 ทุกคนที่จะรู้ว่าชีวิตนี้จะทำอะไรที่เฉพาะเจาะจงขนาดนั้นได้?

ผมว่านักเรียนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนศิลปะหรือว่าเรียนน้อยจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะเข้าใจ Art Appreciation ได้ ถ้าครูหรือระบบการศึกษาทำให้เขาเห็นว่าวิชาศิลปะเชื่อมโยงกับวิชาอื่นๆ เหมือนวิทยาศาสตร์ เหมือนที่เราเข้าใจว่าถ้านิ้วเราเปียก ไม่ควรเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟ

มันไปถึงขั้นนั้นได้เลยใช่ไหม

มันเชื่อมได้ถ้าเราคิดจะเชื่อม เพียงแต่ว่าเด็กๆ เขาก็เชื่อมเองไม่เป็นหรอกครับ ในต่างประเทศผมเห็นว่าครูที่พาเด็กไปพิพิธภัณฑ์หรือไปดูละครเวที ฟังดนตรี แรกๆ ครูสอนศิลปะจะพาเด็กไปดู แต่พอเข้าช่วงมัธยมต้น ครูวิชาอื่นจะพาไปแล้ว

ผมว่าหลายๆ คนก็ได้คุณพ่อคุณแม่พาไปดูหนังเรื่องแรก แต่ตอนหลังเราก็ไปกับเพื่อนหรือไปเองได้ ผมว่าต้องมีใครสักคนที่เป็นคนแนะนำ เช่น ถ้ามีโขนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และวรรณคดีไทย ครูที่พานักเรียนไปดูโขนไม่จำเป็นจะต้องเป็นครูที่สอนนาฏศิลป์ไทยแต่เป็นครูสอนภาษาไทย หรือครูสอนสังคมก็ได้ กลับมาก็สามารถพาเด็กวิเคราะห์ได้ว่าทำไมพระเอกของเรื่องต้องชื่อราม หรือประวัติศาสตร์ต่างๆ

ทุกอย่างมันมีเหตุผลและความหมาย แม้แต่สิ่งที่เรามองว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยก็มีความประเด็นและประโยชน์มากกว่าวัฒนธรรมที่เราต้องอนุรักษ์

ในเชิงศิลปะมันอาจจะสอนได้ยากกว่าหรือเปล่า เพราะถ้าเรามองวิชาวิทยาศาสตร์ มันมีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้แต่ศิลปะมันกว้างไปหมด

ถ้าครูหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยมองว่าศิลปะไม่ได้มีแต่เรื่องงานฝีมือหรือความสวยงาม แต่มีเนื้อหาในงานศิลปะที่สามารถสกัดออกมาแล้วทำให้นักเรียนเข้าใจได้ก็จะปรับใช้ในหลายวิชาได้มากขึ้นเยอะ

ผมเคยขึ้นไปที่ชั้น 8 ของ BACC ซึ่งมีงาน ‘ฉันคือเธอ’ ของคุณวสันต์ สิทธิเขตต์ จัดแสดงอยู่ แล้วเจออดีตนิสิตในที่ปรึกษาที่จุฬาลงกรณ์ฯ มาเรียนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศสในงาน กรณีนี้คือครูฝรั่งเศสเขาก็ไม่ได้เป็นศิลปิน แต่เขาคงคิดว่านั่งอยู่ในห้องมันก็คงได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าพามางานนิทรรศการศิลปะคงจะคุยได้หลายอย่างมาก

แล้วนิทรรศการของคุณวสันต์มีศัพท์อะไรใหม่ๆ หลายคำแน่เลยที่นักศึกษาคงจะไม่เคยทราบมาก่อน มีเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งเวลาเรียนภาษาฝรั่งเศส เราไม่ได้เรียนแต่ภาษาแต่เรียนวัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย ฉะนั้นผมเชื่อว่าครูไม่ได้พามาเพื่อบอกว่าภาพนี้สวยหรือเขียนเมื่อไหร่ ผมว่าเขามองโจทย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการสอนแบบนี้เรามาเริ่มในมหาวิทยาลัยก็สายไปแล้ว

อาจารย์พอจะยกตัวอย่างงานที่ผสานการเรียนรู้เชิงศิลปะของศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกันได้ไหม

ตอนที่ผมอยู่จุฬาฯ มีละครเวทีที่มีคนเขียนบทของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมาก เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยโอซาก้า รองอธิการบดีซึ่งเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาชวนให้อาจารย์คนนี้ไปทำงานกับอาจารย์ที่เป็นคนประดิษฐ์หุ่นยนต์ เขาเลยทำละครที่หุ่นยนต์เล่นขึ้นมา พอมาแสดงที่เมืองไทยเด็กคณะวิศวฯ ก็ตื่นเต้นมากเพราะว่าอาจารย์ที่ประดิษฐ์หุ่นยนต์ดังระดับโลกเลย

งานแบบนี้ทำให้นิสิตคณะวิศวฯ มาดูละครเวที แล้วปรากฏว่าละครเรื่องนี้เป็นแนววรรณคดีจ๋ามาก ซึ่งเด็กวิศวฯ ไม่มีแนวโน้มจะสนใจเลย แต่เขาสนใจหุ่นยนต์ แล้วผมก็เห็นว่าหลังจากนั้นเขาก็มาดูละครเรื่องอื่นๆ อีกแม้ว่าจะไม่มีหุ่นยนต์ก็ตาม เพราะฉะนั้นผมมองว่าปัจจุบันจะมีงานแบบนี้เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เราควรจะทดลองว่าถ้าเราลองไปร่วมงานกับคนที่อยู่นอกสาขาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือคนดู

คนที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการศึกษาและศิลปะจะต้องทำงานร่วมกันให้มากขึ้นเพื่อที่จะสร้างกลุ่มคนดูของอนาคต ไม่ใช่ศิลปินนะครับแต่เป็นคนดูที่เห็นว่าศิลปะเชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆ ได้

การที่เด็กๆ เรียนรู้ Art Appreciation มันสามารถสร้างคาแรคเตอร์ หรือทำให้เขาเกิดความคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) เพื่อเหลาตัวตนของเขาได้ไหม

ศิลปะร่วมสมัยเปิดโอกาสให้คนดูตีความได้เยอะมาก และมีความเชื่อมโยงกับสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอีกหลายอย่าง ไม่ได้มาจากงานศิลปะแบบประเพณีที่มีกฎเกณฑ์ตายตัวที่เราจะต้องตามไปเสียทุกอย่างโดยที่ไม่สามารถตั้งคำถามอะไรได้เลย เพราะคนที่ตั้งกฎเขาตายไปแล้ว

ศิลปะร่วมสมัยไม่ได้เป็นแค่ art for art’s sake (ศิลปะเพื่อศิลปะ) อย่างเดียวแล้ว เพราะฉะนั้นการที่มันเปิดโอกาสให้คนตีความได้หลากหลายก็คือลักษณะอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย การที่เราเข้าใจว่าการสร้างงานชิ้นนี้ศิลปินต้องการอะไร อาจจะด้วยสิ่งที่เขาเขียนหรือสิ่งที่เราวิเคราะห์ตีความเอง แล้วเราก็คิดว่าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขาบรรลุจุดประสงค์ของเขาหรือเปล่าก็คือการคิดวิเคราะห์แล้วก็รวมไปถึงการวิจารณ์ด้วย

คนที่เป็นครูก็ต้องเปิดรับการตีความของนักเรียน เมื่อเขารู้สึกว่าความเห็นของเขาได้รับการยอมรับ เขาก็จะกล้าคิดและมีความคิดสร้างสรรค์ และมองเห็นว่าความคิดเห็นของคนเราก็แตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกับครูเสมอไป

สอนให้เด็กคิดในสิ่งที่โลกไม่เคยมีมาก่อน

ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยที่รับเด็กมาจากการศึกษาหลายรูปแบบ อาจารย์มีวิธีสอนนิสิตอย่างไร

ตอนที่ผมสอนวิชา Theater and Film Appreciation ซึ่งผมไม่ได้สอนนิสิตที่เรียนเมเจอร์ด้านละครหรือภาพยนตร์ แต่เขาจะเรียนพวกวิชาด้านวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) หรือภาษาต่างๆ นิสิตเลยจะได้เห็นว่าเวลาเขาเรียนภาษา เขาต้องเรียนวัฒนธรรมไปด้วย แล้วการดูภาพยนตร์ก็คือการศึกษาวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ผมสอนให้เด็กเห็นว่ามีภาพยนตร์อีกหลายประเภทที่เขายังไม่เคยได้ดูหรือคุ้นเคย และอยากให้คนรุ่นใหม่ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เพราะเขาสามารถที่จะดูภาพยนตร์จากที่ไหนก็ได้แล้ว

เราทำให้เขาเห็นว่าศิลปะมันเชื่อมกับอย่างอื่นตลอดเวลา การที่คุณดูงานศิลปะมันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรักศิลปะเหมือนกับที่คุณบวกเลขได้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรักเลข แล้วการที่คุณรักศิลปะหรือดูภาพยนตร์เยอะๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องอยากเป็นคนทำภาพยนตร์

คุณอาจจะเป็นนักธุรกิจหรือพนักงานขายประกันที่รักและอยากดูภาพยนตร์เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ สร้างแรงบันดาลใจหรือหาบทเรียนอื่นๆ ของชีวิตที่คุณไม่ได้จากชีวิตประจำวันก็เป็นไปได้ ผมว่ามันเป็นการเปิดช่องทางให้เขามากกว่า

สิ่งที่พื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับ Art Appreciation ที่อาจารย์ใช้สอนนิสิตคืออะไร

ในส่วนที่เป็นการวิจารณ์ละครเวที นิสิตส่วนใหญ่ที่เรียนกับผมในตอนนั้นไม่เคยดูละครเวที ทุกเทอมผมจะให้เขาไปดูละครเวทีซึ่งมีงบประมาณจากคณะมาช่วยเหลือทั้งที่ทางคณะฯ จัดเอง ไปร่วมกับองค์กรอื่นหรือมีละครเวทีจากต่างประเทศมาแสดง ซึ่งก็จะมีความแตกต่างหลากหลาย

หลังจากนั้นเราก็จะมาคุยกันในห้องแล้วผมจะให้เขาเขียนบทวิจารณ์มา ซึ่งผมจะให้กรอบที่ไม่ได้เป็นบทวิจารณ์วิชาการ แต่เราทำให้เขาเห็นว่าเวลาเราดูงานศิลปะ เราจะสามารถดูอะไรได้บ้าง ก่อนหน้านั้นเราจะเรียนว่าการแสดงที่ดีคืออะไร ฉากทำหน้าที่อะไร ดนตรีในละครทำหน้าที่อะไร แล้วเขาจะเอาความรู้พวกนี้มาประยุกต์กับการไปดูละครเวทีของเขา เราจะคุยกันว่ามันไม่ได้เป็นแค่ศิลปะการละครอย่างเดียว แต่มันจะเชื่อมโยงกับสหวิชาอื่นๆ บางทีนิสิตจะถามผมว่าเขียนเป็นกลอนได้ไหมเพราะเขาชอบเขียนกลอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ตัวอย่างของนิสิตที่นำ Art Appreciation ไปใช้แล้วรู้สึกว้าว

เวลาผมสอนวิชาวรรณกรรมการละคร เนื่องจากว่าเป็นชั้นเรียนที่เล็ก มีคนเรียนไม่เกิน 10 คน ผมจะให้เขาทำโปรเจ็คต์มาส่ง สมมุติว่าเราเรียนเรื่อง Hamlet (บทละครของเช็คสเปียร์) ผมจะให้โจทย์ว่าทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับเรื่อง Hamlet แต่ต้องแน่ใจว่าในโลกนี้ยังไม่มีใครเคยทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน (หัวเราะ)

แล้วปรากฏว่าก็มีอะไรสนุกๆ เกิดขึ้น เช่น บางคนทำน้ำสมุนไพรที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครใน Hamlet ซึ่งผมมั่นใจว่ายังไม่มีใครทำ หรือบางคนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตสเขาก็ออกแบบสายการบินที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ ซึ่งไอเดียเหล่านี้เกิดจากอะไร อย่างแรกคุณก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ก่อน ไม่ใช่แค่ส่งความเข้าใจนั้นกลับมาที่อาจารย์แต่ต้องบวกกับสิ่งที่คุณรักในชีวิตประจำวันหรือสิ่งที่คุณอยากเป็นในอนาคตอันใกล้จนกลายเป็นงานชิ้นใหม่ออกมาด้วย

นิสิตเห็น passion ที่ชัดเจนของตัวเองจากการเรียนศิลปะได้มากแค่ไหน

ผมเคยยกตัวอย่างนิสิตคนนี้แล้วทุกคนก็เหวอไป คือเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมีนิสิตเอกภาษาไทย โทละครมาเรียนวิชาวรรณกรรมการละคร เรื่อง Hamlet นี่แหละ เขาเป็นคนที่ชอบดูลิเกมาก ชอบขนาดที่ว่าเอาตัวเองไปฝึกกับคณะลิเกแล้วก็เขียนการ์ตูนวิธีการดูลิเกและพิมพ์ออกขายจริงจัง เขาก็เลยแปลงบทละครเวที Hamlet ที่มันสลับซับซ้อนเป็นปรัชญามากให้เป็นบทลิเก ผมว่าถ้าเราเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ เขาจะมีความสุขกับศิลปะแบบที่เขาอยากจะให้มันเป็น

ศิลปะต้องแมสไหม?

ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งคือพื้นที่ศิลปะไม่มากพอ หรือมีมากพอแต่เข้าไม่ถึงหรือเปล่า

ในแง่ของศิลปินอาจจะมองว่าพื้นที่ทางศิลปะไม่มากพอเพราะยังมีศิลปินอีกหลายคนที่ยังไม่มีพื้นที่ในการแสดงงาน แต่อีกแง่หนึ่งคือหอศิลป์หรือพิพิธภัณฑ์ในเมืองไทยก็มีคนเดินไม่เยอะ ไม่ได้แน่นเหมือนกับรถไฟฟ้าบ้านเรา ฉะนั้นเราก็ยังเถียงกันได้ว่ามีมากพอหรือเปล่า แต่ผมว่าสำคัญตรงที่ว่าความพอหรือไม่พอมันขึ้นอยู่กับว่างานที่มีอยู่ทำให้คนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่การแสดงงานเพื่อจะบอกว่านี่คือศิลปะ แล้วทุกเมืองจะต้องมีพื้นที่แสดงศิลปะแล้วคนจะต้องมาดูงานศิลปะเท่านั้น

ในส่วนของคนที่ทำงานหอศิลป์หรือพิพิธภัณฑ์ เราได้ทำงานมากพอหรือยังที่จะทำให้ผู้ชมศิลปะซึ่งเป็นคนทั่วๆ ไปรู้สึกว่าเขาเข้าไปดูงานเหล่านี้ได้ด้วยเหตุผลและผลลัพธ์ต่างๆ กัน ผมว่าคนที่บริหารจัดการศิลปวัฒนธรรมมีหน้าที่จะต้องเชื่อมโยงระหว่างตัวศิลปินกับตัวผู้ชมงานซึ่งจะเป็นงานหลักของเรา

ถ้าเรายังเข้าใจว่ากลุ่มคนดูคือคนที่ชอบดูงานศิลปะไม่ใช่คนดูทั่วไป เราจะทำยังไงให้คนดูทั่วไปเป็นคนดูงานศิลปะให้ได้

ย้อนกลับไปที่เราคุยกันที่ตอนเด็กๆ เราไม่มีความคุ้นเคยกับเรื่องนี้ เราต้องแก้ตั้งแต่ตอนนั้น

ครูควรจะพาเด็กมาพิพิธภัณฑ์หรือหอศิลป์ แล้วไม่ใช่ว่ามาแล้วกลับโรงเรียนไปนั่งวาดรูปหรือปั้นดินน้ำมันกันเฉยๆ แต่ว่าไม่ได้เชื่อมโยงกับวิชาอื่นๆ ที่เด็กสนใจ ถ้าระบบการศึกษาไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนั้น เมื่อเด็กโตขึ้นมา เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา

ในหลายๆ ประเทศนะครับ คนที่ดูละครหรือดนตรีมันมากเท่ากับคนที่ดูภาพยนตร์ พ่อแม่พาเราไปดูสองสามครั้งเราก็ดูเป็นแล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้เทคนิคหรือทฤษฎีอะไรในการดู แล้วคนส่วนใหญ่ที่ดูหนังก็ไม่ได้ทำหนังเป็น คนที่ชอบฟังดนตรีบางทีก็ไม่ได้เล่นดนตรีเป็น แต่พอมาเป็นงานทัศนศิลป์หรือละครเวที คนดูกลับน้อยไป อาจจะเป็นเพราะคนตรงกลางอย่างเราหรือเปล่าที่ไม่ได้ตีโจทย์ตรงนี้ให้คนเห็น

บางคนอาจจะมองว่าศิลปะเป็นเรื่องของชนชั้นกลางหรือยากต่อการเข้าถึง

เราก็ต้องตีโจทย์ตรงนี้ เช่น ผมพยายามคุยกับทีมงานว่าชื่อนิทรรศการต้องมีภาษาไทยนะไม่ว่าภาษาอังกฤษจะเก๋ขนาดไหนก็ตาม แต่ภาษาไทยบางคำก็ยากมากอีก เช่นตอนนั้นเคยมีนิทรรศการภาพถ่ายชั้น 7 ชื่อภาษาอังกฤษคือ Multiple Planes ภาษาไทยคือ ‘ระนาบมากกว่าหนึ่ง’ (หัวเราะ) ผมตายไปเลย คือมันดีนะครับ มันสวยงามมาก แต่ในบางมุมเราต้องสื่อให้คนทั่วไปเข้าใจด้วย

เราต้องคิดว่าเราต้องทำให้คนที่เขาจบการศึกษาภาคบังคับเข้าใจ เพราะเขาเป็นพลเมืองชาวไทยที่จ่ายภาษีโดยสมบูรณ์ เขาก็มีสิทธิที่จะดูงานและเข้าใจ และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับงานเหล่านี้

แต่ถ้าคำอธิบายศิลปะมันยากมันก็จบตั้งแต่ด่านแรกแล้วเพราะบางคนอาจจะคิดว่าเขาไม่ได้เรียนมาทางนี้หรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่

เท่าที่พูดคุยมาเราอาจจะต้องมองประโยชน์ของ Art Appreciation เป็นผลในระยะยาวหรือเปล่า

บางอย่างเราสามารถเห็นผลในระยะสั้นได้ เช่น ตอนที่เรามีนิทรรศการภาพถ่ายสิ่งแวดล้อม จะมีภาพถุงพลาสติกของคุณนัท สุมนเตมีย์ และมีปลาที่ว่ายอยู่ข้างใน ช่วงนั้นก็มีข่าวว่ามลภาวะเรื่องพลาสติกของประเทศเป็นอันดับที่ 5 ของโลก วันที่เราเปิดนิทรรศการนี้เราก็ทำนโยบายว่าร้านค้าจะไม่แจกถุงพลาสติกจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครขอแล้ว นี่เห็นผลชัดเจนเลย แล้วเราก็เอาป้ายนี้ไปตั้งไว้ที่นิทรรศการด้วย แต่มันก็ไม่ใช่ทุกนิทรรศการที่ทำแบบนี้ได้

ผมว่ามันขึ้นอยู่กับตัวงานศิลปะและคนที่ตีโจทย์ของคนบริหารจัดการงานศิลปะด้วย เราไม่สามารถอัดฉีดเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อจ้างโค้ช หรืออุปกรณ์ที่ดีเพื่อทีมฟุตบอลทีมนี้ มันคงไม่ใช่เหตุผลแบบนั้น มันเป็นผลระยะยาวของคนรุ่นหน้าด้วยซ้ำ

แต่ก็เป็นเรื่องที่อธิบายยากกับผู้บริหารของเมืองเพราะเขาอยู่ในยุคสมัยที่ไม่มีหอศิลป์หรือพิพิธภัณฑ์เยอะแบบนี้ หรือไม่มีครูที่พามาเชื่อมโยงให้เขาเห็น อย่างดีก็ไปดูละครที่โรงละครแห่งชาติแล้วก็จบ หรือถ้ามีภาพยนตร์ที่รัฐบาลบอกให้ดู ครูก็พาไปดูแล้วก็จบ ที่เหลือก็เรียนวาดรูปสีน้ำ ดนตรีไทยไป นั่นคือศิลปะสำหรับคนรุ่นหนึ่ง ดังนั้นเขาจะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเขา

ถ้าอย่างนั้นศิลปะต้องเข้าถึงง่ายไหม

ผมว่าศิลปินแต่ละคนก็มีกลุ่มเป้าหมายไม่หมือนกัน งานศิลปะแต่ละชิ้นศิลปินก็ตั้งใจให้แมสไม่เท่ากัน ด้วยความที่ว่าเราเน้นการนำเสนอศิลปะร่วมสมัย เพราะมันมีพื้นที่ศิลปินเหลือไว้ให้คนตีความ ผมจึงคิดว่าศิลปินทุกคนยอมรับความคิดเห็นแตกต่างของคนที่มาดูงาน

ศิลปะร่วมสมัยเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย เพราะเราสามารถใช้รูปแบบที่หลากหลายของมันเป็นสื่อที่ใช้รณรงค์ในหลายๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สังคม หรือการเมืองเองก็ตาม อย่างที่ BACC คนอาจจะมองว่าที่ตรงนี้มี NGO เข้ามาเยอะแล้วเขาอาจะรู้สึกว่ามันจะไม่เรียบร้อยหรือเปล่า แต่ผมมองว่ามันคือพื้นที่ที่ให้คนแสดงออกทางความคิดในความเป็นประชาธิปไตย เช่น ศิลปินเล่นดนตรีประท้วงเรื่องเสือดำ บางคนก็มาฟังเพราะเพลงเพราะเฉยๆ เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ก็ได้

ถ้าถามผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ในสถานที่แห่งนี้ ทำงานด้วยเงินภาษีประชาชน ผมต้องทำให้ศิลปะแมส เพราะมันคือภาษีของเขาน่ะครับ ถ้าเขารู้สึกว่าศิลปะเป็นของชนชั้นกลางหรือคนที่มีการศึกษาดีๆ เท่านั้นก็เท่ากับว่าผมยังไม่ประสบความสำเร็จ

อาจารย์คิดว่าความสำคัญของการเสพศิลป์ยังไปไม่ถึงสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนเพราะอะไร

การเรียนการสอนในรูปแบบที่เป็นอยู่ ยังเน้นการฝึกทักษะในการผลิตศิลปะมากกว่าที่จะรวมศิลปะเข้ากับศาสตร์อื่นๆ

ผมมองว่ามันเป็นความผิดของผมเองด้วยเพราะผมเป็นคนที่อยู่ตรงกลางคอยจัดการศิลปวัฒนธรรม ผมน่าที่จะจัดแพ็คเกจตรงนี้แล้วยื่นเสนอให้โรงเรียน เช่นว่าตอนนี้เราอยู่ในยุคของ AEC แล้วถ้าคุณอยากจะให้เด็กๆ รู้เรื่องราวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านทางภาพถ่ายร่วมสมัย ลองมาดูนิทรรศการนี้

ผมเชื่อว่าเด็กๆ น่าจะสนุกเพราะจะมีบางรูปที่หาจากในหนังสือหรือเว็บไซต์ไม่ได้ เป็นบทเรียนของผมด้วยว่าเราจะรอให้ครูไทยทุกคนเป็นอย่างอาจารย์ฝรั่งเศสคนนั้นก็คงไม่ได้ เราต้องทำให้เขาเห็นว่าการมาหอศิลป์คือไม่ใช่แค่มาเพื่อเรียนศิลปะอย่างเดียว แต่เมื่อเขามาแล้วเขาก็ต้องเห็นว่าเขาทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง เขาพักผ่อนในนี้ได้ไหมหรือเชื่อมโยงสิ่งที่เขาเรียนกับศิลปะได้หรือเปล่า

ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยคือถ้าเราจะออกข้อสอบว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนมีกี่ประเทศ มีคำตอบที่ถูกต้องแค่คำตอบเดียว แต่ถ้าถามว่าภาพถ่ายของศิลปินอาเซียนคนนี้สวยหรือไม่ คุณชอบหรือไม่เพราะอะไร คำตอบก็ต้องมีหลากหลาย ทำยังไงให้เด็กเข้าใจว่าไม่ต้องเรียนศิลปะก็เข้าใจศิลปะและใช้ศิลปะเติมเต็มชีวิตได้

Tags:

พิพิธภัณฑ์ศิลปะความคิดสร้างสรรค์(Creativity)ปวิตร มหาสารินันทน์ศิลปิน

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Everyone can be an EducatorLife classroom
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

    เรื่องและภาพ PHAR

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน
Unique Teacher
31 October 2018

พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

เรื่อง The Potential

เมื่อวันหนึ่งครูพบว่าเด็กเกินครึ่งห้องอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเบื่อห้องเรียน แต่วันหนึ่งอีกเช่นกัน ที่ครูพบว่าตัวเองเปลี่ยนแปลง และเด็กทั้งห้องก็เริ่มเปลี่ยนตาม เมื่อครูค้นพบเครื่องมือที่ทำให้เด็กๆ สนุกกับการอ่าน และมีความสุขในห้องเรียน

The Potential ชวนไปดูห้องเรียนของเด็ก ป.2 ห้องครูน้ำนิ่ง โรงเรียนบ้านโชคเหนือ อ.ลำดวน จ.สุรินทร์ ครูสอนอย่างไร เด็กเรียนแบบไหน และอะไรที่เราเรียกว่าความรู้คู่ความสุข

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

Tags:

ความบกพร่องทางการเรียนรู้(Learning Disabilities)พัฒนาการครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอนครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย
Everyone can be an Educator
30 October 2018

‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

เรื่องและภาพ The Potential

  • กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง (Authentic Learning) ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น และยังได้ฝึกความอดทน มีประสบการณ์กับความล้มเหลว จนต้องปรับปรุงวิธีทำงาน เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • ครูแอ๊ด-สิบเอกวินัย โพธิสาร ตัวตั้งตัวตีชักชวนเด็กเยาวชนในชุมชนบ้านแต้พัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ อาสาไปช่วยงานบุญประเพณีของชุมชนเพื่อสืบสานพิธีกรรมและวัฒนธรรมของชาวกวยให้สืบทอดสู่ลูกหลาน
  • หน้าที่หลักของครูแอ๊ดคือนอกจากสังเกตพฤติกรรมความชอบแล้ว การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้คนในทีมส่งพลังบวกให้กันในกลุ่ม

ถ้าทุกชุมชนทุกแห่งในประเทศไทยมี ‘ผู้ใหญ่’ ที่สนใจและให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาเด็กเยาวชนแบบนี้คงดีไม่น้อย…

ด้วยวัยที่ไม่ห่างจากเด็กมากนัก ครูแอ๊ด-สิบเอกวินัย โพธิสาร จึงเป็นตัวตั้งตัวตีชักชวนเด็กเยาวชนในชุมชนบ้านแต้พัฒนา ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ อาสาไปช่วยงานบุญประเพณีของชุมชนอยู่เสมอ บ้านครูแอ๊ดจึงกลายเป็นแหล่งรวมเด็กไปโดยปริยาย

“ต้องรวมเด็กให้มาทำกิจกรรม ทั้งเลี้ยงไหม ทอผ้า ทำบายศรี ฝึกจับผ้าประดับ เรียนรำ ทำการบ้าน เล่นเกม เพราะเชื่อว่าการทำกิจกรรม จะสร้างประสบการณ์ให้เขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทำวันละนิดวันละหน่อยก็ตาม”

แม้จะรวมเด็กมาทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ครูแอ๊ดก็ยังเห็นปัญหาว่า นับวันวิถีชาวกวยที่คนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย สั่งสมมาเริ่มเลือกหายไป โดยเฉพาะการแต่งกาย เยาวชนคนรุ่นใหม่นิยมแต่งตัวตามสมัยนิยม ไม่สนใจเรียนรู้สืบทอดอาชีพเลี้ยงไหม ทอผ้า ที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวกวยอีกต่อไป ครูแอ๊ดจึงอยากหาทางแก้ไข

กระทั่งครูแอ๊ดเข้าร่วม ‘โครงการพลังเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ’ และได้ทำ ‘โครงการดักแด้แตกใหม่ทอรักทอไหมสายใย(โซดละเว)’ ครูแอ๊ดอาสาเป็นหัวหน้าทีม พาเด็กในชุมชนเรียนรู้ภูมิปัญญาการทอผ้าไหมโซดละเวเพื่อพลิกฟื้นวิถีชาวกวยให้กลับคืนมา

เหตุผลที่ครูแอ๊ดเลือกทำโครงการเกี่ยวกับผ้าเพราะทุกช่วงชีวิตของคนกวยผูกโยงกับการใช้ผ้า หากเด็กเยาวชนในชุมชนได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ เขาก็จะเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์กวยไปพร้อมกัน

ผ้าไหมร้อยเด็กสู่ชุมชน

“กระบวนการเรียนรู้เริ่มต้นจากการศึกษาประวัติความเป็นมาผ้าไหมโซดละเว และภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์การทอผ้าไหม ตั้งแต่ลายผ้า การย้อม การทอ วิธีการใช้ผ้าไหม ทุกกิจกรรมครูแอ๊ดจะออกแบบให้เยาวชนทุกช่วงวัยได้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น น้องชั้นอนุบาลเริ่มจากการแกว่งไหม พี่โตขึ้นมาหน่อยก็ทอผ้า ใครทอลายไหนเป็นก็แบ่งกันทำ บางครั้งก็กระตุ้นเรื่องวิธีคิด เช่น บอกว่าไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด เพื่อให้เขาต้องคิดต่อว่า เขาต้องทำให้ได้ และเขาต้องลงมือทำจึงจะทำเป็น ต้องลองทำก่อนจึงจะรู้”

พอเด็กได้สืบค้นข้อมูล ได้ลงมือทำ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกรักและภูมิใจในชาติพันธุ์กวยของตนเองแล้ว ยังได้ทักษะหลากหลายด้าน อาทิ การสืบค้นข้อมูล การทำงานเป็นทีม การคิด การพูด การนำเสนอ เป็นต้น

เมื่อเห็นว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเกิดจากการลงมือทำ หรือเรียนรู้จากการทำงาน ที่มีการแบ่งหน้าที่ให้เด็กทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือกันในหมู่เพื่อนแล้ว ยังเอื้อเฟื้อออกไปสู่ชุมชน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง (Authentic Learning) ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น และยังได้ฝึกความอดทน มานะบากบั่น มีประสบการณ์กับความล้มเหลวหรือการเผชิญความยากลำบาก จนต้องปรับปรุงวิธีทำงาน เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

เริ่มต้นจากสิ่งที่ชอบ พัฒนาต่อในสิ่งที่รัก

ปีที่ 2 ครูแอ๊ดผันตัวมาเป็นพี่เลี้ยงโครงการ ‘เปิดโอกาส’ ให้เด็กคนอื่นลุกขึ้นมาเป็นผู้นำแทน แต่ครั้งนี้ขยายวงการเรียนรู้ออกไปคือ สานต่องานเดิมเรื่องผ้าไหมโซดละเวให้เข้มข้นยิ่งขึ้น และชวนเด็กในโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์และน้องๆ ที่เคยเข้ามาช่วยงานของชุมชนเข้ามาทำ ‘โครงการสืบสานสะเนงสะเองกวย’

“การสืบค้นข้อมูลจากผู้รู้ทำให้เด็กๆ พบข้อมูลสำคัญว่า ผู้สืบทอดพิธีกรรมสะเนงสะเอง เป็นคนรุ่นปู่ย่าตายายเริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน ปัจจุบันมีปราชญ์ผู้รู้เพียง 4 คนเท่านั้นที่มีความรู้เรื่องนี้ได้แก่ คุณตาพรมมา โพธิ์กระสังข์ ปราชญ์ชาวบ้านด้านการเป่าปี่แม่มด คุณยายกัณหา จันทะสน แม่ครูสะเองและแม่ครูรำ คุณตาทิพย์ ทองละมุล ผู้รู้ด้านเครื่องดนตรีและการบรรเลงดนตรีประเภทตี และ อดิเรก โพธิสาร ผู้รู้ด้านการประกอบพิธีกรรม”

เมื่อเห็นว่าพิธีกรรมที่อยู่คู่ชุมชนเริ่มหายไป กลุ่มเยาวชนจึงลงพื้นที่สืบค้นข้อมูลทั้งด้านพิธีกรรม ความเชื่อของพิธีกรรมสะเนงสะเองอีกครั้ง และนำมาเรียบเรียงเป็นชุดข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร

ทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ ครูแอ๊ดจะออกแบบให้เยาวชนทุกวัยเข้ามามีส่วนร่วม หากเป็นเด็กเล็กจะให้ทำสิ่งง่ายๆ ที่เป็นพื้นฐานตามความสนใจ แล้วค่อยๆ เพิ่มความยากเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเด็กสนใจเล่นดนตรีชิ้นไหนก็ปล่อยให้เขาลองเล่นดนตรีชิ้นนั้นไปก่อน หากไม่ชอบค่อยปรับเปลี่ยนตามความถนัด เมื่อเด็กรู้ว่าตัวเองถนัดอะไรก็ให้ฝึกฝนต่อจนคล่อง

นอกจากคอยสังเกตพฤติกรรมความชอบแล้ว ครูแอ๊ดบอกว่า การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ฉะนั้นนอกจากครูแอ๊ดจะต้องให้กำลังใจเด็กๆ แล้ว ยังต้องทำให้คนในทีมส่งพลังบวกให้กันเพื่อ Cheer Up ในกลุ่มด้วย

ฝึกฝนให้เข้าใจ และทำจนชำนาญ

“ในปีแรกนอกจากจะเข้าไปศึกษา เรียนรู้ และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวพิธีกรรมในด้านต่างๆ จากปราชญ์แล้ว ยังกำหนดให้เด็กต้องเรียนรู้พิธีกรรมสะเนงสะเองจากการปฏิบัติด้วย เรื่องปี่คุณตาเขาอยากหาคนสืบทอดอยู่แล้ว เพราะเด็กแถวบ้านแกไม่มีใครอยากเรียน เด็กๆ เขาไปเรียนทุกเสาร์อาทิตย์ ผมก็ไปส่งบ้าง บางทีก็นั่งฟังบ้าง ก็พบว่าเขาทำได้ ขนาดเราโตมาขนาดนี้เรายังไม่เป็นเลย เด็กเรียนประมาณ 3 อาทิตย์ก็ทำได้แล้ว”

การฝึกฝนอย่างไม่ขาดตอนทำให้น้องๆ แต่ละคนจะค้นหาความชอบของตัวเองจนเจอ เช่น ฟลุ๊ค-วสิษฐ์พล โพธิ์กระสังข์ ที่ชื่นชอบการเป็นนางอ้อและสามารถประกอบพิธีกรรมได้ เดิมทีฟลุ๊คตีฆ้องได้ แต่เมื่อแม่ครูที่เป็นนางอ้อมาสอนรำให้กับเพื่อน ฟลุ๊คมักเข้ามาดู จนสามารถจดจำท่ารำ รวมทั้งกระบวนการและขั้นตอนพิธีกรรมสะเองได้

เช่นเดียวกับ แม็ค-ฐิติวัฒน์ โพธิสารที่เลือกเล่นปี่แม่มดซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ยากเพราะต้องใช้พลังและลม ประกอบกับการเล่นในพิธีกรรมที่ยาวนานนับชั่วโมง ทำให้หลายคนท้อจึงเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นแทน แต่แม็คกลับตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ จนกระทั่งตาพรมมายกให้แม็คเป็นศิษย์เอกสำหรับการสอนบรรเลงปี่แม่มด

ถอดบทเรียน: จากตั้งคำถามสู่การเรียนรู้

สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ หลังทำกิจกรรมเสร็จทุกครั้ง ครูแอ๊ดชวนเด็กๆ ทำ Reflection หรือถอดบทเรียนเพื่อให้น้องแต่ละคนรู้ว่ากิจกรรมนี้ทำแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง มีความผิดพลาดอะไรที่ต้องแก้ไข อะไรที่ดีแล้วจะทำให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ลึกยิ่งขึ้น โดยครูแอ๊ดทำหน้าที่เป็น ‘คุณอำนวย’ (Facilitator) ช่วยตั้งคำถามที่เหมาะสม

“การถอดบทเรียนจะทำให้เด็กๆ รู้จักตัวเองผ่านมุมมองและการสะท้อนของเพื่อนร่วมทีม เด็กจะมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองและแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น”

ปีที่ 3 ครูแอ๊ดยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเด็กในชุมชนต่อ ทั้งสร้างแบรนด์ผ้าไหมโซดละเวให้เป็นรู้จัก และสานต่อพิธีกรรมสะเนงสะเองนำมาเป็นกิจกรรมหนึ่งในช่วงลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ในโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ครูแอ๊ดพาเด็กในชุมชนเรียนรู้จนเกิดทักษะชีวิตที่นำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนและการใช้ชีวิตได้แล้ว ยังทำให้คนในชุมชนเห็นถึงคุณค่าความสำคัญ ‘พลังคนรุ่นใหม่’ ที่จะเข้ามาสืบสานวัฒนธรรมประเพณีชาวกวยให้คงอยู่ต่อไป

Tags:

ศรีสะเกษวินัย โพธิสารศิลปหัตถกรรมชาติพันธุ์active citizenproject based learningโคชคาแรกเตอร์(character building)

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Character buildingCreative learning
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character buildingCreative learning
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC
Voice of New Gen
30 October 2018

หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Wizes หนังสือเรียนสรุปวิชาสังคมศึกษา ม.ปลาย ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบเนื้อหาเป็น Infographic ทั้งเล่ม รวมถึงใช้เทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality มาช่วยให้เกิดภาพสมจริง
  • นนท์และปันปัน ผู้ปลุกปั้นหนังสือ Wizes ใช้กระบวน Design Thinking เข้ามาร่วมออกแบบในการผลิตหนังสือ 
  • เพราะความเข้าใจคือสิ่งวิเศษ – จึงมุ่งเน้นผลิตหนังสือเรียนที่มีเนื้อหาทำให้เด็กเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำไปสอบ

นนท์-ฐิติวุฒิ นันทิภาคย์หิรัญ และ ปันปัน-คมจรัส แก้วชัยเจริญกิจ อดีตนักเรียนสายออกแบบและครุศิลป์ สองในสามผู้ปลุกปั้นหนังสือเรียนสรุปวิชาสังคมศึกษา ม.ปลาย ภายใต้ชื่อ Wizes (วิเศษ) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบเนื้อหาเป็น Infographic ทั้งเล่ม แถมยังใช้เทคโนโลยี Augmented Reality หรือ (AR) เข้ามาช่วยทำให้ภาพสมจริงมากขึ้น จนได้รับรางวัลออกแบบยอดเยี่ยมในฐานะหนังสือเรียนเล่มแรกของไทย

วันนี้ The Potential จึงชวนเขาและเธอ คุยถึงหนังสือเล่มนี้ กว่าจะมาเป็น ‘Wizes’ จะต้องผ่านกระบวนการใดเป็นพิเศษบ้าง แล้ว ‘Wizes’ มันวิเศษกว่าหนังสือเล่มอื่นอย่างไร  

บทเริ่มต้นของ Wizes : เปลี่ยน ‘ท่องจำ’ เป็น ‘เข้าใจ’

นนท์: ผมเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามตัวเองตลอดเวลา และคิดว่าเราจะสามารถเข้าไปแก้ได้โดยใช้สิ่งที่เราถนัดได้อย่างไร หัวใจของการออกแบบ คือ การจับปัญหาแล้วมาพลิกซ้ายขวาหาวิธีแก้ไข บวกกับตอนนั้นได้เจอกับคุณปันปันที่จบด้านครุฯ อาร์ตมา เล่าให้ฟังว่าเคยทำหนังสือเกี่ยวกับเด็กมาก่อน จากนั้นเราก็ได้แชร์กันว่า ช่วงตอนเด็กๆ ที่ยังเรียนหนังสือ เวลาเจอเนื้อหายากหรือกดดันมากๆ ทำให้เรียนแล้วรู้สึกท้อแท้ เราจึงอยากจะทำอะไรที่ช่วย Inspire และ Motivate ให้เด็กไม่รู้สึกแบบเดียวกับเรา

ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองเรียนมัธยม เคยมีปัญหาเรื่องการเรียนมาก่อน ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนเกเร แต่การปรับตัวจากม.ต้น สู่ ม.ปลาย ต้องเจอเนื้อหาเยอะมากๆ จนตามไม่ทัน เลยกลับมาถามตัวเองว่า จริงๆ แล้ว การที่เราเคยสอบตกหรือได้คะแนนน้อย เป็นเพราะเรามีวิธีเรียนที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า หรือเราไม่มีความสามารถจริงๆ และเมื่อไปถามเพื่อนที่เก่งๆ ไปดูว่าเขามีวิธีการคิดหรือวิธีการเรียนอย่างไร เพื่อนบอกว่าเวลาอ่านหนังสือจะแปลงเนื้อหาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งต่างจากเราที่มีเนื้อหากี่ข้อๆ ก็พยายามท่องจำและยัดข้อมูลทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็จำไม่ได้ 

จึงกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า จริงๆ แล้วปัญหาการเรียนต่างๆ ต้นตอมันอาจจะไม่ได้เกิดเพราะเรา แต่เป็นเพราะวิธีการเรียนที่ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจหรือไม่

เราเลยพุ่งตรงไปที่พฤติกรรมเด็ก และตั้งคำถามในลักษณะของการดีไซน์ ดูว่าผู้เรียนมีปัญหาอะไร ชอบเรียนแบบไหน หนังสือที่มีภาพประกอบเยอะ มีสีสัน ทำให้อ่านง่าย จึงเลือกใช้ทฤษฎีการทำ Infographic แปลงข้อมูลเหล่านั้นออกมาเป็นภาพ ทำให้สมองประมวลผลเนื้อหาที่ยาวเป็นพรืดได้ง่ายขึ้น ผ่านการเลือกชูข้อมูลอะไรบางอย่างให้โดดเด่นในขั้นตอนกระบวนออกแบบ รวมถึงการเน้น จัดลำดับ หรือลดทอน Infographic จะช่วยให้เด็กเกิดความเข้าใจไม่ต้องท่องจำ

จึงอยากจะโฟกัสไปที่การผลิตสื่อการเรียนการสอน สุดท้ายแล้วถ้าพูดถึงการ communication มันก็จะมีอยู่ 2 ฝั่ง ผู้รับ-ผู้ส่ง นั่นคือ นักเรียน-อาจารย์ ปัญหาหลักที่เราเข้าไปจับ คือกระบวนการหรือสื่อกลางในการถ่ายทอด ถามว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ไม่เข้าใจบทเรียนเหรอ เด็กไม่ตั้งใจเรียนเหรอ ก็อาจจะไม่ใช่ แต่การจะสื่อสารอย่างไรให้ผู้รับ-ผู้ส่ง เข้าใจกันได้ นี่คือปัญหา

ส่วนผสมของทั้งคู่คืออะไร

ปันปัน: เราจบครุศิลป์มา เรียนทั้งศิลปะและการเป็นครู ได้เรียนทั้งการวาดรูป ปั้น และเขียนต่างๆ รวมถึงเรียนด้านจิตวิทยาเด็ก เลยเอาความรู้ทั้งสองอย่างที่เราชอบ มาปรับใช้ในการทำหนังสือเล่มนี้ น่าจะมีความเข้าใจเด็กมากกว่า รวมถึงเราเข้าใจในมุมของของอาจารย์ด้วย

นนท์: ผมจะเน้นกระบวนการผลิตหนังสือเป็นส่วนใหญ่ เริ่มตั้งแต่การตีโจทย์ รวมถึงขั้นตอนการออกแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งในทีมจะช่วยดูเรื่องการบริหารและการตลาดของบริษัท จะไม่ได้เข้ามาดูเรื่องกระบวนการตรงนี้สักเท่าไร

นนท์ – ฐิติวุฒิ นันทิภาคย์หิรัญ

วิธีคัดเลือกเนื้อหาแบบวิเศษ ทำอย่างไร

นนท์: เราเริ่มจากการกางหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงฯ มาก่อน ดูว่าเขาเน้นเรื่องอะไรบ้าง รวมถึงดูหนังสือตามท้องตลาดว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรเป็นหลัก แล้วเราจับประเด็นตรงนั้นมา Cross กัน ดูว่าตรงไหนตรง-ไม่ตรงกันบ้าง จากนั้นตีเป็นภาพใหญ่ออกมา สรุปเนื้อหาทั้งหมดที่เด็กต้องเรียน แล้วค่อยรวมเนื้อหาเข้าด้วยกัน แต่ต่อให้รวบรวมอย่างไร ก็อาจจะพบปัญหาได้บ้าง เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยที่มีช่วงของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่าหนังสือเรียนปัจจุบันที่เราใช้อ้างอิงยังขาดข้อมูลบางจุดอยู่ เวลาอธิบายภาพรวมก็จะทำให้เด็กไม่เข้าใจ 

ส่วนเรื่องเนื้อหาในหนังสือ ว่าเราจะเลือกหยิบตรงไหนมาพูดหรือลดทอนข้อมูลตรงไหน จะใช้วิธีดูแก่นหัวใจหลักของวิชา ผมมองว่าข้อมูลใหญ่ มันก็เหมือนชุด Data set ซึ่งในนั้นก็จะมี Point ความสำคัญต่างๆ ที่อยากจะพูดถึง เราก็แค่ทำหน้าที่โยง Point นั้นให้มันมีความสัมพันธ์กัน เพื่อจะเล่าเรื่องหลักให้มันเข้าใจ

ขั้นตอนการค้นคว้าและนำเสนอข้อมูล มีอะไรยาก หรือผิดไปจากแผนบ้าง

นนท์: วิชาสังคมค่อนข้างมีสาระรอบตัวมาก ฉะนั้นเมื่อเราจับสาระสำคัญต่างๆ มา จึงพบว่าสิ่งที่เราใช้อ้างอิงมันไม่ตรงกัน ผมก็งงว่ามันไม่ตรงกันได้อย่างไร ในเมื่อทุกข้อมูลมันควรจะเป็นชุดเดียวกันที่ถูกต้อง  แต่ก็ต้องแก้ไขโดยการดูว่าแกนกลางในหลักสูตรของเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แล้วสิ่งนั้นเป็นชุดข้อมูลเดียวกันหรือไม่

ข้อมูลอาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องในแค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่ ณ ปัจจุบันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องอีกต่อไปแล้ว เมื่อพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งทางประวัติศาสตร์ แต่เมื่อตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเหตุการณ์นี้มันถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง งานยากก็จะตกมาที่เรา เราจะเลือกสื่อสารอย่างไรดี ? อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วเด็กที่อ่านหนังสือก็ต้องการข้อมูลเพื่อเอาไปสอบ ดังนั้นความถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ในบางเรื่องเราอาจจะแก้ไขโดยการพูดถึงทั้ง 2 ลักษณะที่เกิดขึ้น ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร และอดีตเชื่อกันว่าเกิดอะไรขึ้น  

และสิ่งที่พบอีกอย่าง คือเรื่องหนังสือที่เราใช้อ้างอิงจากกระทรวงยังคงเป็นหนังสือในปี 2550 เนื้อหาที่ยังไม่ up to date เด็กยังต้องเรียนรู้เครื่องย่อ-ขยายแผนที่ ซึ่งเครื่องมือนี้อาจจะไม่มีแล้วในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือที่เป็นเวกเตอร์เป็นระบบ 3 มิติหรือมีเทคโนโลยีอะไรหลายอย่างที่ช่วยให้เขาดูแผนที่ได้แล้ว

เห็นอะไรบ้างจากหลักสูตรแกนกลาง

นนท์: สมมติถ้าเนื้อหาที่พูดถึงการปกครอง ก็จะมีเรื่องรัฐธรรมนูญเข้ามาเกี่ยวข้อง เราในฐานะคนที่รวบรวมข้อมูล จะต้องปรึกษาคนที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น คนที่ทำงานรัฐศาสตร์โดยตรง ยิ่งเรื่องของศาสนาที่มีความอ่อนไหว วลีที่ใช้ในประโยคต้องถูกต้อง เวลาเราเขียนบางครั้งเราก็อยากจะแปรข้อมูลให้มีความเฟรนด์ลี่ขึ้น อ่านง่าย แต่จริงๆ แล้ว เรื่องของภาษาต่อให้มันมีความ synonym กันอยู่ แต่มันก็แทนกันไม่ได้  

เนื้อหาของข้อกฎหมายแม้จะดูยุ่งยาก แต่เราไม่สามารถเขียนในภาษาง่ายๆ ได้ มันมีเหตุผลทางวิชาการอยู่ ต้องรักษาสำนวนขึงขังไว้ เพราะในทางกฎหมายใช้กันสำนวนตามนี้จริงๆ บางศาสนา บางนิกาย มีการความละเอียดอ่อน เราจึงต้องไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก่อน รวมถึงเนื้อหาในหมวดพระพุทธศาสนาที่เจอปัญหาเรื่องการใช้คำระหว่าง ‘จิต’ กับ ‘วิญญาณ’ จนต้องเดินเข้าวัดไปปรึกษากับพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องศาสนาโดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด เช่นเดียวกับเรื่องอัตราโทษค่าปรับ ค่า GDP หรือรัฐธรรมนูญ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไรก็จะอัพเดตลงในเนื้อหาเพิ่มลงไปในการพิมพ์ครั้งหน้า  

ทำไมเลือกทำหนังสือวิชาสังคม

นนท์: สังคมเป็นวิชาที่ต้องใช้การท่องจำ  ถ้าไปดูเกณฑ์คะแนนแอดมิชชั่นจะเห็นได้ว่าเด็กส่วนใหญ่ทำได้ไม่ค่อยดี เพราะเด็กเลือกอ่านเป็นวิชาสุดท้าย เพราะเนื้อหากว้างมาก 

พอมาเข้าสู่กระบวนการออกแบบที่มีโจทย์ว่า ต้องเปลี่ยนการจดจำเป็นความเข้าใจ จึงเลือกเริ่มต้นที่วิชาสังคมก่อน เวลาคนเห็นว่าการเรียนรู้แบบนี้ มันเปลี่ยนทัศนคติที่ต้องอ่าน ต้องจำได้ ก็จะเห็นอิมแพคขึ้น

วิชาสังคมศึกษาในความทรงจำของทั้งคู่เป็นอย่างไร

ปันปัน: หนังสือส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาแน่น เยอะ ทำให้จำไม่ได้ อย่างเราเป็นผู้หญิง ก็จะชอบป้ายไฮไลต์ตรงส่วนที่สำคัญ แต่สุดท้ายก็สับสนทุกอย่างตีกันในหัว เพราะตรงนู้นก็สำคัญ ตรงนี้ก็สำคัญ ไฮไลต์ไว้เยอะมาก จำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าได้อ่านเล่มนี้จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ เพราะมีการแบ่งสีตามบท ให้เด็กง่ายต่อการจำเป็นภาพได้ว่าตอนนี้เรากำลังเรียนอยู่บทนี้ เรากำลังอ่านเนื้อหาในหมวดสีนำเงินอยู่นะ

นนท์: ผมตั้งคำถามกับตัวเองมาตั้งแต่เริ่ม ทำไมเราต้องเรียนสังคม ไม่ไปเรียนเลข ฟิสิกส์ มันเห็นผลในการแก้ปัญหา แต่สังคมมันเรียนเรื่องบางเรื่องที่ไม่ได้เอาไปใช้ แต่พอได้ลงมือทำหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง เรารู้ว่าเนื้อหาทั้งหมด มันคือสาระรอบตัวเรา ไม่ว่าคุณจะเรียนการเงินหรือเรียนหมอ สุดท้ายแล้วสังคมก็อยู่ในสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตของเราอยู่ดี

และจำได้แม่นเลยว่า เคยสอบข้อเขียนวิชาสังคมที่มีกระดาษคำตอบเป็นช่องว่างให้เราเชื่อมโยงลำดับต่างๆ แล้วทำไม่ได้เลย เพราะเราไม่เคยฝึกแปรข้อมูลเป็นภาพและมองให้เชื่อมโยงกันมาก่อน เราอ่านแต่เนื้อหาที่เป็นตัวอักษรยาวเป็นพรืดมาตลอด

วิชาสังคมจึงเป็นปัญหาฝังใจมาก อ่านมาก็เยอะ เก็บรายละเอียดมหาศาล แต่ไม่เข้าใจและทำข้อสอบไม่ได้

อ่านเล่มนี้ เอาไปสอบได้เลยไหม

นนท์: ถ้ามองถึงแก่นมัน เชื่อว่าครบถ้วน แต่พูดถึงการสอบที่ชอบเอาข้อมูลในซอกหลืบมาออก แล้วเราจะต้องเก็บเนื้อหาเล็กๆ เหล่านั้นมากเกินไป ก็จะเสียคอนเซปท์ในการอธิบายของเราไป ยิ่งเติมเข้าไปมันก็จะเสียภาพรวมของหนังสือ เพราะฉะนั้นเราจะรักษาเพียงสาระสำคัญของแก่นเนื้อหาไว้เท่านั้น

นอกจากย่อยเนื้อหาเป็น Infographic แล้วยังใช้เทคโนโลยี AR ร่วมด้วย?

นนท์: เมื่อเราทำสื่อการเรียนการสอนแล้ว คนก็จะถามว่าทำไมถึงยังไม่เป็น E-book แต่สุดท้ายเราก็หาคำตอบกับตัวเองว่า แล้วคนที่ได้ใช้จะมีสักกี่คน ? แต่ถ้าเราใช้ระบบ AR หรือที่ย่อมาจาก Augmented Reality ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทีประมวลผลจากภาพให้เกิดวัตถุ 3 มิติ มาประยุกต์กับหนังสือ นอกจากจะช่วยดึงความสนใจได้แล้ว มันทำให้เห็นของจริงด้วย  

จะแปลงข้อมูลเป็น Infographic มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

นนท์: เริ่มจากการที่เอาข้อมูลมาหาความสัมพันธ์ของกันและกันก่อน ว่ามีเนื้อหาอะไรที่จะต้องเล่าบ้าง จากนั้นก็แบ่งลำดับความสำคัญ เนื้อหาหลักที่ใช้ตั้งต้นคืออะไร เนื้อหารองคืออะไร และก็ดูว่าในเนื้อหานั้นๆ เขาพูดถึงอะไรเป็นพิเศษ เช่น ประวัติศาสตร์จะมีความชัดเจนว่าพูดถึงช่วงเวลาตามยุคสมัย เพราะฉะนั้นหลักการออกแบบ Infographic ก็จะเริ่มจากการแบ่งเส้นไทม์ไลน์ขึ้นมา แล้วค่อยหยอดเนื้อหาทีละช่วงลงไป หรือส่วนวิชาอื่นๆ อย่างภูมิศาสตร์ ที่เน้นหนักไปในการอธิบายเยอะๆ ดังนั้นเราจะใช้วิธียกภาพตัวอย่างขึ้นมาประกอบการอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

หนังสือ Infographic อ่านยากจริงไหม

นนท์: ส่วนใหญ่คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขารู้สึกเปิดใจให้หนังสือเล่มนี้มากขึ้น จากเดิมวิชาสังคมที่รู้สึกน่าเบื่อ ต้องท่องจำ และยากเกินไปสำหรับเขา พอเห็นเล่มนี้ทำให้รู้สึกมีกำลังใจที่จะเรียนมากขึ้น เนื้อหามันง่ายขึ้น เราพยายามผลักให้ไปอยู่ในการเรียนในห้องเรียนหลัก ผมเชื่อว่าหนังสือที่เป็น Text book ก็มีข้อดีที่เนื้อหาละเอียด แต่อาจจะขาดการดึงความสนใจ และทำให้เด็กไม่เปิดใจหยิบขึ้นมาอ่าน  

ปันปัน-คมจรัส แก้วชัยเจริญกิจ

ปันปัน: คนที่สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ เป็นคุณครูเยอะมาก บางโรงเรียนก็มาซื้อไปหลายร้อยเล่ม เลยไม่แน่ใจว่ามันจะใช่ยากสำหรับผู้ใหญ่จริงไหม และแม้จุดประสงค์ที่เนื้อหาเล่มนี้ มีไว้สำหรับเเด็ก ม.ปลาย แต่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อมีทั้ง ม.ต้น หรือ เด็กประถม ก็มีเยอะ คุณพ่อแม่ที่ซื้อไปให้ลูกอ่านต่างบอกว่า น้องชอบมาก อ่านสนุก เข้าใจง่าย ถึงจะไม่ได้เอาความรู้ไปใช้สอบแต่ก็เหมือนได้เรียนล้ำหน้าไปก่อนเพื่อน สะสมเป็นความรู้รอบตัวได้

นนท์: แม้เรายังไม่เคยเข้าไปสำรวจผลตอบรับจากครูในโรงเรียนจริงๆ แต่ครูหรือพ่อแม่ที่เขามาซื้อหนังสือกับเราเขาบอกว่า มันไม่ได้ใช้ยากเกินไปสำหรับเขา ทำให้อธิบายเนื้อหาให้กับเด็กฟังง่ายขึ้นด้วยซ้ำ

การออกแบบเช่นนี้ นำไปใช้กับวิชาอื่นได้ไหม

ปันปัน: เราตั้งใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าไม่ได้มีแค่สังคมวิชาเดียว เราแพลนว่าจะทำให้ครบทุกวิชาพื้นฐาน เช่น อังกฤษ เลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ

นนท์: เชื่อว่าเนื้อหาทุกอย่าง สามารถแปลงข้อมูลให้เป็นภาพได้หมด วิชาภาษาอังกฤษเอง ก็มีโครงสร้างของมันอยู่ ซึ่งเราก็สามารถแปรมันออกมาให้เป็นภาพหรือ Infographic ได้ หรือวิชาเลขที่อาจจะมีความยุ่งยากของเรื่องลำดับและความต่อเนื่องในเรื่องของการแก้สมการ บางทีเทคโนโลยีก็อาจจะอธิบายวิชาเลขได้ดีด้วยภาพเคลื่อนไหว เราต้องไม่จำกัดตัวเองว่าเป็นสื่อนิ่งๆ 2 มิติ

Art Direction ของตำราเรียน Wizes ถูกออกแบบไว้อย่างไร

นนท์:  หนังสือเล่มนี้ทำขึ้นเพื่อนนักเรียน ม.ปลาย ดังนั้น mood & tone ของหนังสือต้องสอดคล้องไปกับภาพที่พวกเขาจิตนาการถึงตัวเอง พวกเขาคือเด็กที่กำลังจะโต อาจจะต้องใช้การออกแบบที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ลดความเฟรนด์ลี่ ลดความเป็นเด็กลง และจับสิ่งที่เขาสนใจเข้ามาร่วมด้วย เด็กวัยรุ่นก็อาจจะสนใจพวกโซเชียลมีเดียต่างๆ จึงพยายามเชื่อมให้เข้ากันด้วยไปอยู่ในโทนที่พวกเขาคุ้นเคย

‘Wizes’ วิเศษ อย่างไร

นนท์: วิเศษมาจาก Wise ที่แปลว่าฉลาด เล่นคำเป็น Wiz (คำไม่ทางการ) ที่แปลว่ามีความสามารถอย่างมหัศจรรย์ ซึ่งเป็นความวิเศษที่เราต้องการนำเสนอ อยากให้เด็กเกิดช่วงเวลาว้าวเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ ได้เห็นสื่อต่างๆ แล้วอยากจะเข้าหาและเข้าไปจับ นอกจากจะรู้สึกเป็นมิตรและทำให้เด็กอยากมาสัมผัสแล้ว สิ่งที่เด็กควรจะได้กลับไปคือการออกแบบที่ตอบโจทย์กับพัฒนาการ

Concept ของหนังสือเล่มนี้ คือ เพราะความเข้าใจคือสิ่งวิเศษ

ปันปัน: เรามองว่าความเข้าใจนี้แบ่งเป็น 2 ด้าน เข้าใจทั้งนักเรียน เข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้ของเขาที่อาจจะสอบอ่านข้อมูลที่เป็นภาพมากขึ้น รวมถึงเขาก็เข้าใจในการสอนมากขึ้น

นนท์: และเรายังใช้ Design Thinking ร่วมในการออกแบบอีกด้วย โดยการศึกษาพฤติกรรมเด็ก แล้วกลับไปพัฒนาหนังสือ ทำการทดลอง เพื่อให้เข้าใจพวกเขามากที่สุด เมื่อเราเข้าใจเด็ก เด็กก็จะเข้าใจในเนื้อหา ซึ่งความเข้าใจเป็นหัวใจพื้นฐานของการเรียนรู้

ใช้กระบวนการ Design Thinking อย่างไรบ้าง

นนท์: อย่างที่บอกไปว่าเราลงลึกไปถึงพฤติกรรม ไม่ได้มองแค่ผิวเผิน แค่เรียนไปสอบ แต่ต้องมองไปถึงว่าเด็กมีความสบายใจกับอะไร เขาใช้เครื่องมืออะไรในการเรียนอยู่ และจะแนวโน้มเป็นอย่างไร จากนั้นก็หาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่ผลิตหนังสือออกมาก็จบ แต่ต้องคิดว่าผลิตออกมาในรูปแบบไหนถึงจะตอบโจทย์เด็ก ซึ่งต่อไปวิเศษอาจจะไม่ใช่หนังสือเลยก็ได้ อาจจะเป็นสื่ออื่น เป็นแอพริเคชั่น หรืออะไรก็ตามที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ได้อีก และในอนาคตเราจะขยายผลไปถึงการสำรวจตัวอาจารย์เองด้วยว่าเขามี Insight อย่างไร มีพฤติกรรมการสอนไปในทางไหน เวลาสอนพบปัญหาอะไรบ้าง เด็กมักจะติดขัดกับการสอนแบบใด เราจะได้มาตีโจทย์ครั้งต่อไป เพื่อให้เข้าใจกันทั้งผู้เรียนและผู้สอน

จากนักเรียนออกแบบสู่การผลิตสื่อการเรียน เห็นอะไรในระบบการศึกษาบ้าง

นนท์: คำถามนี้เป็นคำถามที่ค่อนข้างยาก หลายคนบ่นมาตลอดว่าระบบการศึกษาของไทยมันเป็นปัญหาใหญ่ แต่น้อยคนจะคิดกลับมาแก้ไข ตัวผมเองเมื่อได้เข้ามาทำงานตรงนี้แล้ว พบว่าปัญหาเดิมที่เคยเจอตอนม.ปลาย เมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว มันก็ยังอยู่  แต่อย่างน้อยการที่เราทำให้เด็กรู้สึกอยากจะเรียน อยากจะอ่าน ก็ช่วยอะไรบางอย่างแล้ว 

จึงอยากจะเก็บตรงนี้ไว้เพื่อสร้างเป้าหมายในครั้งต่อไป เราอาจจะเข้าไปแนะนำ ช่วยวางแผนในการเรียน และสร้างโอกาสดีๆ บางอย่างให้เขา ก่อนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รวมถึงคลี่คลายปัญหาการศึกษาที่ยัังปิดกั้นเด็กอยู่ เช่น บังคับให้เรียนหมอหรือวิศวะ ซึ่งจริงๆ แล้วโลกมันไม่ได้มีแค่สองอาชีพนี้

การเรียน-การเรียนรู้-ทักษะ ในสายตา Wizes เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

นนท์: สำหรับผมการเรียนมันค่อนข้างกว้าง อาจจะพูดลงไปถึงการสร้าง mindset ให้กับบุคคลหนึ่ง ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็กเล็กอยู่ด้วยซ้ำ ถ้าถามว่าการที่ลงไปจับ ม.ปลาย มันอาจจะแก้ได้ไหม ก็ได้ แต่ไม่ได้ลงไปถึงจุดเริ่มต้น เด็กจะโตขึ้นมาทำได้หรือไม่ได้ มันก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ เป็นจุดเป็นตัวที่สร้างคาแรกเตอร์ของเด็กขึ้นมา

ในมุม Wizes เราพยายามมองในรูปแบบของการเรียนที่ไม่ใช่จุดประสงค์ไปสอบ แต่มองเรื่องของความรู้รอบตัว อาจจะไม่ต้องเกิดเป็นทักษะอะไรขึ้นมาทันที แต่ได้เปิดโลกทัศน์ของเขา พาให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลก 

สุดท้ายแล้วทักษะและองค์ความรู้ มันเชื่อมถึงกันหมด?

นนท์: ใช่ครับ องค์ความรู้มันเชื่อมกัน คนที่เรียนหมอสุดท้ายก็หนีวิชาสังคมไม่ได้ เรื่องของกฎหมายก็เป็นหนึ่งในเรื่องวิชาสังคมที่หมอต้องรู้ หรือคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์ก็หนีความรู้ในเชิงสุขภาพไปไม่ได้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดูแลตัวเอง ทุกอย่างมันเชื่อมกันหมด ไม่อยากให้แบ่งเด็กตั้งเป้าอยู่กับวิชาใดวิชาหนึ่งในการสอบเข้า เพราะในอนาคตมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้เพิ่มอยู่ตลอดชีพ

พูดได้ไหมว่าหนังสือ Wizes วิเศษกว่าหนังสือเล่มอื่น

นนท์: หนังสือแต่ละประเภทก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป อย่างหนังสือ Infographic ข้อดีที่เด่นชัดคือ การอธิบายข้อมูลให้เข้าใจได้ง่าย เห็นภาพ อ่านสนุก ทำให้ผู้อ่านเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ในอีกมุมหนึ่งหนังสือ Textbook ก็เก็บรายละเอียดปลีกย่อยได้เยอะ แต่ถ้ายื่นให้เด็กอ่าน น้อยคนที่จะเปิดอ่าน ดังนั้นอย่างน้อยการที่เราออกแบบให้พวกเขาเปิดใจอยากจะอ่านและสร้างพื้นฐานความเข้าใจที่ดีในสิ่งที่ศึกษา ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กพร้อมจะเข้าใจเนื้อหาในวิชานั้นได้มากขึ้นผ่านการออกแบบของเรา เมื่อเด็กมีโครงสร้างความรู้ความเข้าใจที่ดี  เขาก็จะสามารถเรียนรู้เพิ่มเติม และเอามาประกอบกับโครงสร้างความรู้ของตัวเองเพื่อต่อยอดไปได้ง่ายขึ้น 

บทสุดท้ายและก้าวต่อไปของวิเศษ คืออะไร

นนท์: จริงๆ เราตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าสุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้เพื่อให้เด็กใช้อ่านสอบ เพราะจุดประสงค์ของเด็กม.ปลาย คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าไม่ผลิตเพื่อสอบ เด็กก็จะไม่เลือกมาหยิบหนังสือเราอยู่ดี แต่ลึกๆ เราพยายามสอดแทรกความเข้าใจ เพื่อให้ความรู้ได้ติดตัวเขาไป

ปันปัน: และอย่างที่บอกไป วิเศษไม่อยากหยุดแค่การผลิตหนังสืออย่างเดียว อยากช่วยเสริมในส่วนของครู อยากจะสอนการผลิตสื่อการสอนให้กับครูหรือจัดเวิร์กช็อป การใช้ Infographic ประกอบการสอนต่างๆ ที่จะทำให้กระบวนการเรียนรู้มันครบถ้วนยิ่งขึ้น

Tags:

ครูระบบการศึกษาหนังสือเทคนิคการสอนdesign thinking

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Book
    กล้าที่จะสอน: ตัวตน ซื่อตรง เสมอภาค และหัวใจที่ไม่หวั่นกลัวของคนเป็นครู

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’
Early childhood21st Century skills
30 October 2018

โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • การทำให้เรื่องเล่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสามารถสร้าง ‘ความสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และแข็งแรงด้วยทักษะของศตวรรษที่ 21’
  • การเล่นเป็นหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ และสังคม รวมถึงลดความเครียดของพวกเขาลง
  • สิ่งที่ทำลายความสร้างสรรค์ของเด็กคือ การขาดแคลนเวลาพักผ่อน สนามเด็กเล่น และของเล่นปลายเปิดที่ให้เขาต่อยอดจินตนาการไปได้เรื่อยๆ

การเล่นมีเวทมนตร์ และความสร้างสรรค์ของเด็กเกิดจากเวทมนตร์นั้น

โลกที่ให้ความสำคัญกับเดดไลน์และปริมาณผลผลิต จึงยากเหลือเกินที่ผู้ใหญ่มากมายจะโอบกอดความสร้างสรรค์ของเด็กๆ ไว้ได้โดยไม่มองว่าเป็นเรื่อง ‘ไร้สาระ’ หรือ ‘เสียเวลา’

รายงานฉบับล่าสุดจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics – AAP) ได้ย้ำให้แพทย์เขียน ‘ใบสั่งยาสำหรับการเล่น’ (prescription for play) โดยรายงานดังกล่าวพัฒนาจากรายงานเมื่อปี 2007 ที่อธิบายถึงการเล่นอย่างมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รวมถึงบทบาทการเสริมทักษะทางสังคม ภาษา และการควบคุมตนเอง เช่นเดียวกันกับความสามารถในการช่วยจัดการความเครียดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กๆ กับผู้ปกครอง

รายงานฉบับนี้ยังแนะนำว่า การทำให้เรื่องเล่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสามารถสร้าง ‘ความสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และแข็งแรงด้วยทักษะของศตวรรษที่ 21’

อย่างไรก็ตาม มีเด็กอีกเพียบที่ยังไม่เคยแม้แต่จะได้ลองเล่นแบบที่เป็นประโยชน์ (beneficial play)

มาเล่นกันเถอะ

ในปี 2012 สถาบันเอเอพีได้เก็บข้อมูลจากเด็กปฐมวัยและพ่อแม่เกือบ 9,000 คน ระบุว่ามีเด็กเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ออกไปเดินหรือเล่นข้างนอกกับพ่อแม่วันละครั้ง

นอกจากห่วงความปลอดภัย ขาดแคลนสวนสาธารณะ และสภาพแวดล้อมไม่เอื้อแล้ว รายงานของสถาบันฯ ยังค้นพบแรงกดดันด้านวิชาการที่เพิ่มขึ้นและเวลาหยุดพักผ่อนในโรงเรียนที่น้อยลง จนทำให้เกิดการถกเถียงกันระดับชาติ เคียงคู่ไปกับร่างกฎหมายที่พยายามจะพิสูจน์ให้เห็นคุณค่าของเวลาเล่น

“หลายโรงเรียนตัดช่วงเวลาพักผ่อน วิชาพละ ศิลปะ และดนตรี เพื่อไปเน้นเตรียมสอบให้เด็กๆ” รายงานระบุ

“ความขาดแคลนและไม่ปลอดภัยของสนามเด็กเล่นและบริเวณในชุมชนจะทำให้เด็กๆ เกิดภาวะขาดธรรมชาติ (nature deficit disorder)” ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกำลังมองว่ากำลังจะเป็นโรคประจำของเด็กยุคนี้ โดยจะส่งผลต่อการเข้าสังคมในอนาคตของพวกเขาได้

“การเล่นเพิ่มสายสัมพันธ์ที่ดีให้ครอบครัวได้” ดร.ไมเคิล ยอกมัน (Michael Yogman) กุมารแพทย์และหัวหน้าทีมผู้เขียนรายงานเกี่ยวกับความสำคัญของเวลาเล่นของเอเอพี กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีและสื่ออาจช่วยเพิ่มความใฝ่รู้ให้เด็กๆ ได้ แต่ยังไม่เป็นผลดีต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

“แม้การมีส่วนร่วมกับสื่อตามวัยอาจทำให้เกิดผลประโยชน์ได้บ้าง แต่การมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงยังคงมีประโยชน์มากกว่าสื่อดิจิทัล”

“หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำให้ลูกได้คือการเล่น เพราะจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ และสังคม รวมถึงลดความเครียดของพวกเขาลงด้วย”

เล่นอย่างไรให้มีประโยชน์

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่น ครูศิลปะ และผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยที่พิพิธภัณฑ์เด็กได้บอกเคล็ดลับการเล่นให้ ที่แม้แต่พ่อแม่ผู้สุดแสนจะมีเวลาจำกัดจำเขี่ยก็สามารถกระตุ้นให้เด็กๆ สังเกต สำรวจ และจินตนาการได้ง่ายๆ

• เล่นไร้รูปแบบ

ดร.ปีเตอร์ เกรย์ ศาสตราจารย์นักวิจัยด้านจิตวิทยาจากวิทยาลัยบอสตันบันทึกว่า สิ่งที่ดึงเด็กออกจากด้านความสร้างสรรค์ของพวกเขาคือ การขาดแคลนเวลาพักผ่อน สนามเด็กเล่น และของเล่นปลายเปิดที่ให้เขาต่อยอดจินตนาการไปได้เรื่อยๆ เช่น ดินน้ำมัน หรือการผสมสี

แคสซี สตีเฟนส์ (Cassie Stephens) ครูผู้สอนศิลปะชั้นประถมศึกษามา 20 ปี กระตุ้นให้พ่อแม่ไม่บิดเบือนเรื่องง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่เห็นจนชินตา เพราะมันน่าสนใจและสำคัญสำหรับเด็กมาก

“เมื่อสองสีรวมกันได้เป็นสีส้ม และเด็กวัย 5 ขวบตื่นเต้นที่ได้ผสมสองสีจนเกิดสีใหม่ขึ้นมา เราเองก็ควรตื่นเต้นไปกับเขาด้วย ไม่ใช่พูดว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ’ หรือ ‘เคยสอนแล้วไง’”

• เก็บพื้นที่ความเป็นเด็กเอาไว้

ราเชล จีอานนินี (Rachel Giannini) ผู้เชี่ยวใหญ่ด้านเด็กและอดีตครู บอกว่า คนส่วนใหญ่ไม่หล่อเลี้ยงความสร้างสรรค์เหมือนเด็กๆ ส่วนพ่อแม่ก็มักเลือกของเล่นให้และทึกทักจุดประสงค์เอาเอง

“เด็กอาจมองของเล่นเป็นเครื่องบิน เรือดำน้ำ ถ้าคุณบอกว่า ‘นั่นมันรถ นี่เป็นล้อรถ และมันวิ่งบนถนน’ คุณกำลังทำลายจิตวิญญาณความเป็นเด็กของเขา”

‘เวทมนตร์อยู่ในสิ่งเล็กๆ’ – ผู้ใหญ่หลายคนลืมข้อนี้ไป หรือไม่สังเกตโลกรอบๆ ตัว ระวังให้ดีและอย่าปล่อยให้ตัวคุณจำกัดจินตนาการของเด็กๆ ไปด้วย

• ใช้อะไรก็ได้ง่ายๆ รอบตัว

ไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นแพงๆ เพื่อสร้างความสร้างสรรค์ในบ้าน เพราะเด็กๆ จะได้ประโยชน์จากของเล่นที่ไม่ปิดกั้นความคิดสารพัด เช่น ดินน้ำมัน

สตีเฟนส์ แนะนำว่า พ่อแม่ควรเลือกเล่นในกิจกรรมที่เด็กๆ สนุกกับมันอยู่แล้ว พ่อแม่อาจรู้สึกเพี้ยนเวลาเล่นด้วย แต่เด็กๆ จะไม่เอาแต่จ้องหน้าจอและพวกเขาก็จะตื่นเต้นมาก”

• ให้เด็กทำพลาดบ้าง

ไม่ต้องช่วยแก้ปัญหาเล็กน้อยให้พวกเขา ไม่ต้องปกป้องหรือวิ่งเข้าหาเขาทุกครั้งที่เขามีปัญหากับคนอื่น เพราะการปล่อยให้เด็กๆ ทำพลาดระหว่างเล่นหรือทดลองทำอะไรบางอย่าง จะกระตุ้นให้เขาลุกขึ้นท้าทายตัวเองต่อไป

“สร้างพื้นที่ให้เขาล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย ในแบบที่เขาสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง” เกรย์บอก “ถ้ายังไม่ได้ผลจริงๆ ก็แค่ลองหาเวลาพูดคุยเล่นกับลูก เพื่อหาว่าเหตุใดจึงไม่ได้ผลเสียที”

อ้างอิง:
How To Raise A Creative Kid
How To Raise ‘Creative, Curious, Healthier’ Kids, According To The AAP

Tags:

21st Century skillsการเล่นพ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ซูเปอร์แมว : โคชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์
Everyone can be an Educator
29 October 2018

ซูเปอร์แมว : โคชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์

เรื่องและภาพ The Potential

  • ซูเปอร์แมว : โค้ชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์
  • วิธีทำงานกับเยาวชนของพี่แมวคือใช้วิธีชวนคุยถอดบทเรียน และทำหน้าที่เป็นโค้ชสนับสนุนการทำงาน ให้อิสระแก่เด็กๆ ได้ลงมือทำงานเองภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงในระดับหนึ่ง
  • วิธีเรียนรู้แบบ Activity-Based Learning ที่เรียนโดยการลงมือทำเป็นทีม ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิด จะช่วยพัฒนา EF

‘วัยรุ่น’ เป็นวัยที่มีพลังงานล้นเหลือทั้งร่างกายและอารมณ์ หุนหันพลันแล่นและมีความคิดเป็นของตัวเอง เป็นวัยที่ชวนปวดหัว ยากจะรับมือมากที่สุด

ในทางกลับกัน หากพลังงานของวัยรุ่นนำไปใช้อย่างสร้างสรรค์และถูกที่ถูกทางก็จะสร้างประโยชน์ได้มหาศาล ยกตัวอย่าง กลุ่มเยาวชน P.N.D. ในพื้นที่ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่รวมตัวกันทำกิจกรรม อย่างโครงการเรียนรู้ชุมชนปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิด ภายใต้โครงการ Active Citizen สนับสนุนโดยศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม สสส. และมูลนิธิสยามกัมมาจล โดยมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุนอย่างเต็มกำลังอย่าง ‘พี่แมว’ หรือน้าแมวของเด็กๆ นั่นเอง

พี่แมว-นิภา บัวจันทร์ นักวิจัยท้องถิ่นแห่งแพรกหนามแดง ผู้ผ่านการทำงานพี่เลี้ยงชุมชนร่วมกับเยาวชนกลุ่ม P.N.D. จะมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อต้องทำงานร่วมกับวัยรุ่นในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น ‘ดีล’ กันอย่างไรบ้าง

พี่แมวเริ่มทำงานกับชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 และเข้ามาทำงานเยาวชนในปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ได้ผ่านการทำงานวิจัยท้องถิ่นในประเด็นเด็กและเยาวชน รับทราบปัญหาเด็กและเยาวชนในพื้นที่แพรกหนามแดงว่ามีเด็กกลุ่มเสี่ยง เกเร มั่วสุม คนในชุมชนไม่ไว้วางใจ มองว่าเป็นเด็กที่ไม่เอาไหน

งานวิจัยที่พี่แมวทำจึงเน้นการกู้ศักยภาพของเยาวชนเหล่านี้ด้วยการดึงเข้ามาทำกิจกรรมลงพื้นที่เรียนรู้ร่วมกับชุมชน

“เหนื่อยมาก” คือความรู้สึกของพี่แมวในการทำงานวิจัยช่วงแรกๆ

“ก็มีหลายคนที่อยากมาช่วยงานเรา แต่พอเจอจริงเขากลับหนี อย่างใส่เสื้อกล้าม รอยสักเต็มตัว ตัวซกมกเดินเป๋มา พูดจาไม่เพราะ ก็ถอยไปเหลือพี่คนเดียว … ตอนนั้นอยากร้องไห้ ไม่มีใครเลย พี่เลี้ยงใหญ่ก็ไม่ดู พี่เลี้ยงพื้นที่ก็บอกปิดเหอะ เด็กพวกนี้ไม่รับผิดชอบ เดี๋ยวตรวจฉี่ม่วง ตำรวจจับ หัวร้างข้างแตก ตอนทะเลาะกันเมาๆ เราก็ต้องเรียกไป”

แม้จะถูกตีตราจากสังคมว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน แต่ก็มีวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาหาพี่แมวเพื่อขอโอกาสกลับตัวใหม่ ด้วยความที่คุ้นเคยกับพี่แมวจึงทำให้กล้าเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือ เพราะ ‘ไปทางไหนผู้ปกครองก็ไม่ให้เข้าบ้าน ไปปั๊มตำรวจก็มาไล่ เป็นเด็กที่มีปัญหากับสังคม’

นอกจากเด็กกลุ่มเสี่ยงยังมีเด็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นเด็กเก็บตัว โลกส่วนตัวสูง พี่แมวก็ดึงตัวเข้ามาทำงานวิจัยในชุมชนด้วย

ระยะแรกการทำงานเป็นงานวิจัยที่ ‘วิชาการ’ มากเกินไป ต่อมาเมื่อมีโครงการ Active Citizen ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องพาเด็กไปเรียนรู้ทรัพยากรและเรื่องราวต่างๆ ในแพรกหนามแดง ก็มีการจัดกิจกรรมที่สนุกสนานและน่าสนใจมากขึ้น เหล่าวัยรุ่นก็ได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเองจากโครงการนี้

“พอมากลางงานวิจัย มีโครงการ Active Citizen มาช่วย ก็จะทำให้เด็กปรับ สันทนาการเป็น ทำกิจกรรมกับน้องๆ ได้ เด็กที่เคยปาระเบิดขวดก็มาอุ้มเด็กสองสามขวบ ชวนเล่นเกมด้วยกันได้ตรงนี้ เป็นภาพที่เราไม่เคยเห็น” พี่แมวกล่าว

Step 1: เข้าหาเด็ก

ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือ การชี้แจงและเปิดเผยต่อชุมชน เพื่อให้สบายใจกันทุกฝ่าย

“แรกๆ ตำรวจกลัวเด็กรวมกลุ่มจึงเป็นที่เพ่งเล็ง ก็ทำความเข้าใจกับเขา จะพาเด็กพวกนี้ไปทำดี ทำงานกับเด็กพวกนี้ต้องที่โล่ง คนทำงานต้องประสานงานทั้งชุมชนทั้งตำรวจ”

การทำกิจกรรมเป็นโอกาสให้วัยรุ่นได้พิสูจน์ตัวเองว่าจากเด็กไม่เอาไหนก็เปลี่ยนแปลงเป็นผู้ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนได้ และยังก่อให้เกิดการทำกิจกรรมต่อเนื่องในชุมชนโดยเด็กรุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย

“เราดึงเข้ามา ให้โอกาสเขา ทำให้เขาออกจากโลกมืดหม่นของเขาได้ รับงานได้ ผลิตงานสื่อได้ คือกลับตัวแล้วทำเพื่อคนอื่น ส่วนหนึ่งก็ประกอบอาชีพ มีโอกาสก็กลับมาช่วยในชุมชน รุ่นสองต่อมาก็สานงานต่อในชุมชน”

Step 2: ทำกิจกรรม

“พอมีกิจกรรมก็เรียกเด็กในชุมชน พอจัดก็ใช้พื้นที่ชุมชนเป็นหลัก ให้เขามานั่งดู มานั่งเล่นอยู่ในที่โล่งๆ ไปเยี่ยมบ้านนู้นบ้านนี้ รู้จักผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กหลายช่วงวัย ตั้งแต่ยี่สิบกว่าจนถึงเด็กอนุบาล (ตอนนี้อยู่ ป.2) เรียกว่าให้เด็กเชื่อมชุมชน ก็ตั้งโจทย์ให้เด็กๆ ตั้งคำถามไปสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว”

เคล็ดลับของการทำงานกับเด็กๆ และเชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชนของพี่แมวคือ “เน้นเล่นเกม ให้ของขวัญ กินให้อิ่ม”

ในการทำงานกับเด็ก ภายใต้เกมสนุกต้องมีข้อคิดแฝงไว้ด้วย แล้วมาถอดบทเรียนว่าเล่นแบบนี้รู้สึกอย่างไร ได้อะไรบ้าง

“ตั้งคำถามถามยังไงให้เค้าคิดได้ ตั้งคำถามเยอะๆ การเล่นเกมจะเล่นอย่างไรให้ครอบครัว ชุมชนมีส่วนร่วม ทำอย่างไรให้เข้าร่วมโดยไม่เขิน สุดท้ายพี่ให้รางวัลเป็นของขวัญแต่ต้องสร้างการมีส่วนร่วม เช่น ที่ 1 ได้จิกซอว์ตัวใหญ่ๆ เพื่อให้คนอื่นช่วยต่อ หรือเล่นเกมดูชนิดต้นไม้รอบโครงการบ้านเอื้ออาทร ถ้าไม่รู้จักให้ไปถามพ่อแม่ ถ่ายรูปมาว่าไปกับพ่อกับแม่ กับยาย แล้วยายบอกอะไร”

“ผู้ปกครองบางคนมานั่งเฝ้า เขาก็แปลกใจ เดี๋ยวนี้ทำไมเรียกเด็ก 8 โมง เด็กมา 7 ครึ่ง สามสี่โมงไม่กลับบ้าน แม่ต้องมานั่งดูว่าเล่นอะไรกัน กลายเป็นดึงพ่อแม่มาเล่นกับเด็ก ดูความเปลี่ยนแปลงของลูกได้ จากเด็กก็ขยายมาเป็นผู้ปกครอง ”พี่แมวเล่าให้ฟัง

วิธีรับมือวัยรุ่นของพี่แมว

1. พูดคุยถอดบทเรียน

พี่แมวจะพูดคุยหลังการทำกิจกรรมว่าทำกิจกรรมแล้วรู้สึกอย่างไร ได้อะไรบ้าง กระบวนการนี้จะทำให้เด็กๆ ได้ทบทวนในสิ่งที่ตัวเองทำ ผลพลอยได้คือประสบการณ์จากการลงมือทำกิจกรรมและเกิดความภูมิใจ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นจากการได้ลงมือทำ

หากมีใครทำผิดพี่แมวไม่ลงโทษ แต่จะใช้วิธีถอดบทเรียน ถามความรู้สึก ให้ทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้น การใช้เหตุผลต่างๆ หากรู้ว่าผิดระเบียบ

พี่แมวเชื่อว่าทุกคนผิดได้ แต่อยู่ที่ว่าผิดแล้วฟังเหตุผลหรือไม่ กระบวนการนี้เองทำให้เด็กได้ย้อนคิดด้วยตัวเองว่า เมื่อทำอะไรไม่สมควรลงไปแล้วจะต้องปรับปรุงโดยไม่ต้องลงโทษกันให้เหนื่อยแรง

นอกจากชวนถอดบทเรียนแล้ว พี่แมวยังใช้วิธีบอกและเตือนเรื่องต่างๆ เช่น การใช้เหตุผล มารยาททางสังคม ฯลฯ โดยไม่ใช้ท่าทีสั่งสอนอบรมตรงๆ แต่จะเติมเข้าไปในระหว่างการทำงานร่วมกัน

“สมมุติว่าถ้าเราลงไปเจอตายายผู้เฒ่าจะทำยังไง ต้องไหว้ไหม เอ้า ไหว้สวัสดี หลังจากนั้นเวลาเด็กๆ เจอเราหรือเจอคนแก่ๆ ก็จะสวัสดีเป็น ถ้าไม่ทำก็ไม่ดุ แค่เตือนเขาว่าลืมอะไรป่าว”

หรือการเข้าไปหาวัยรุ่นที่มีโลกส่วนตัวสูงหรือวัยรุ่นที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค พี่แมวก็จะมีวิธีพูดคุยที่แตกต่างออกไปคือใช้วิธีพิมพ์แชทบอกหรือเตือน เพราะโดยธรรมชาติวัยรุ่นแต่ละคนแตกต่างกัน

“อย่างเด็กเงียบๆ พูดไปก็นั่งมอง เหมือนเขาปิดกั้นตัวเอง แต่การที่เราคุยทางข้อความก็จะคุยกันได้ยาว เมื่อไรเราเข้าถึง เขาก็จะส่งมาเป็นข้อความ พูดได้ก็พูด พูดไม่ได้ก็มาปรึกษากัน”

กับเด็กกลุ่มนี้ พี่แมวตามไปแอดเป็นเพื่อน

“เราก็จะตามเป็นเพื่อนทั้งไลน์ทั้งเฟซบุ๊ค สอนผ่านในนั้นเลย มีปัญหาอะไรก็จะแชทมา ใช้วิธีสอนสองช่องทาง”

“เวลาทำอะไรเราจะนึกถึงตัวเองสมัยเด็กว่าเราไม่อยากให้ใครบังคับหรือต่อว่า ก็คุยกันดีๆ จะมองย้อนถึงตัวเองในเวลานั้น ทุกคนมีช่วงเวลาหนึ่งเหมือนกันหมดคืออยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ถ้ามีกรอบบังคับมากมันจะหัก”

2. เป็นโค้ชสนับสนุนการทำงานของเด็กๆ

“ให้เวลาเท่านี้ๆ โยนงานให้ แล้วทวง จะใช้ไม้นี้ตลอด”

เมื่อมีโครงการหรือกิจกรรมเข้ามา การให้เด็กลงมือคิดและทำกิจกรรมเองโดยที่พี่แมวไม่สั่ง แต่ปล่อยให้เด็กลงมือทำเอง คอยทำหน้าที่เป็นโค้ชสนับสนุนอยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ เด็กๆ จะเรียนรู้วิธีการทำงานจากพี่แมว เช่น เวลาประสานงานหรือคุยกับคนอื่นเราทำอย่างไร

จะทำให้เด็กๆ มีอิสระในการทำงานพอสมควรภายใต้กรอบเงื่อนไขต่างที่วางไว้ นอกจากนี้พี่แมวยังคอยเป็นคนประสานงานในกลุ่มเด็กๆ ด้วยการเป็นผู้รับฟังและคอยทำความเข้าใจกันในทีม

“พี่ไปคุย ไปทำตัวเหมือนเขาเป็นลูกหลานเรา มีปัญหาอะไร กินข้าวหรือยัง ไม่ทำงานเหรอ ไม่ไปไหนเหรอ ถ้าเด็กมีปัญหาอะไรกันก็มาเล่า เราจะฟังทีละคนแล้วเป็นคนประสาน เอาเหตุผลคนนี้มาพูดให้อีกคน ให้คิดเองว่าควรทำตัวยังไง

แต่เด็กมีหลายช่วงวัย เรื่องเยอะหน่อยจะเป็นเด็กโต วัย 17-20 ที่มักทำงานแล้วขัดใจกันเอง

“เราต้องพยายามจูน เอาปัจจัยที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปบอกเด็ก พยายามทำความเข้าใจให้เขารู้สึกว่าเป็นทีม ยอมรับกันและกัน และให้เข้าใจคนอื่นด้วย ก็ถามปัญหาที่เขาเจอ ที่ทำให้เป็นแบบนี้ ทำให้รู้ว่าเขาก็อยากมีที่ยืน อยากให้คนยอมรับ และเมื่อคนเข้าใจเขา ก็ทำให้เขาดีขึ้นได้ ถ้าดึงมาถูก เขาจะเอาตัวอย่างที่เขาเจอมาไปถ่ายทอดบอกว่าอย่าเลียนแบบเขา อย่าทำแบบเขา”

Activity-Based Learning สร้าง EF และเปลี่ยนแปลงตัวเอง

วิธีการของพี่แมวอาจเรียกได้ว่าเป็นวิธีเรียนรู้แบบ Activity-Based Learning ที่เรียนโดยการลงมือทำเป็นทีม ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิด จะช่วยพัฒนา EF ไปโดยอัตโนมัติ ครูที่มีความสามารถในการทำหน้าที่โค้ชของกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้เด็กพัฒนา EF ได้ดี

Executive Function & Self Regulation เป็นความสามารถของสมองในการควบคุมพฤติกรรมของคนให้อยู่ในวิถีชีวิตดีงาม ไม่ถูกชักจูงโดยสิ่งยั่วยวนภายนอกหรือแรงกระตุ้นเชิงกิเลสตัณหาอารมณ์ภายในตนให้เกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นไร้สติยั้งคิด ให้รู้จักอดทนรอเวลาหรือจังหวะที่เหมาะสมเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า

ด้วยกระบวนการเหล่านี้เองจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงจากเยาวชนกลุ่มเสี่ยงกลายเป็นเยาวชนที่ทำประโยชน์ต่อชุมชนบ้านเกิด ซึ่งพี่แมวเล่ากรณีอดีตหัวโจกประจำตำบลให้ฟังว่าจากที่เคยเป็น ‘ตัวเปิด’ (ตัวนำในการทะเลาะวิวาท) เปลี่ยนมาเป็นแกนนำ Active Citizen จากไม่เอาอะไรเลยก็เปลี่ยนแปลงอยากจะประกอบอาชีพ และได้เป็นแพทย์อาสา ได้รับการยอมรับจากชุมชน

“พี่ดีใจที่ทำให้เด็กพวกนี้เปลี่ยนอนาคตของเขาได้ มีอนาคตที่ดีขึ้น ถ้าไม่มีคนช่วยก็อาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาอาจจะไม่มีโลกใบใหม่ของเขา เนี่ยแม่ (เขาเรียกเราว่าแม่) แต่งทหารติดชุดกาชาดมา ทำให้เราภูมิใจ จากเด็กที่นั่งประชุมแล้วตำรวจเรียกว่าจะไปไหน”

“เขาเชื่อว่าทำดีก็ทำได้ ก็เลยให้ความรู้สึกดีๆ กับคนผ่านไปผ่านมา เขาเชื่อใจเด็กพวกนี้มากขึ้น”

เหนือสิ่งอื่นใด พี่แมวเชื่อในศักยภาพและพลังล้นเหลือของวัยรุ่นและเชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงว่าเด็กสามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้

“เด็กพวกนี้ ถ้าปล่อยไปจะเป็นปัญหาสังคม ถ้าดึงมาเปลี่ยนก็เปลี่ยนไป 2-3 คน ค่อยๆ ดึง พอเป็นรุ่นต่อไปเข้ากระบวนการเรื่อยๆ ก็จะรู้จักคิด มีคนยอมรับเขา ก็จะรู้สึกว่าเด็กโตขึ้นมีทักษะการใช้ชีวิต ไม่ใช่หลงอยู่กับมือถือ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นช่วงหยุดจัดกิจกรรม เด็กก็จะทักมาแล้วว่าเมื่อไหร่จะได้ทำกิจกรรมอีก พอเราบอกปุ๊บว่าไปเกี่ยวข้าวกันไหม เขาก็ไป”

“มันสนุกตอนเห็นเด็กเปลี่ยน จากแก่นแก้วเกเรก็ดีขึ้น มีคนชมแทนที่จะมีคนด่าก็เป็นความภูมิใจของเรา พี่อยากเปลี่ยนเด็กกลุ่มนี้ อยากให้มีที่ยืน คนยอมรับ”

“เราเชื่อว่าทุกคนเปลี่ยนได้ หาวิธี กระบวนการทำให้เขาเปลี่ยน แล้วหาให้เจอ บางคนบังคับได้ บางคนไม่ได้ บางคนทำตามเราจริงแต่ใจขัดขืน แต่เมื่อไรใจไปกับเรา เขาทำยิ่งกว่าเราอีก” พี่แมวทิ้งท้าย

Tags:

active citizenproject based learningโคชสมุทรสงคราม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก
21st Century skills
29 October 2018

คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

การคิดอย่างสร้างสรรค์ เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของจินตนาการและความรู้ คือการเริ่มต้นด้วยการแตกแยกย่อยไอเดียจากจินตนาการ ก่อนจะขมวดไปสู่การแก้ปัญหาในตอนท้ายด้วยความรู้

จินตนาการ

Divergent Thinking : คิดถึงสิ่งใหม่ๆ แตกแยกย่อยไอเดียโดยการสำรวจทางออกที่เป็นไปได้หลายๆ ทางเพื่อหาหนึ่งทางที่แก้ปัญหาได้ มีการคิด 4 มิติ

1.คิดริเริ่ม (Originality) มองเห็นความคิดใหม่ๆ และทางแก้ที่โดดเด่นเฉพาะตัว

2.คิดยืดหยุ่น (Flexibility) มองปัญหาจากหลากหลายมุมมองได้ในเวลาเดียวกัน

3.คิดคล่องแคล่ว (Fluency) ผุดไอเดียได้หลากหลายและรวดเร็ว รวมถึงจัดการไอเดียมหาศาล แยกแยะและนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม

4.คิดประณีต (Elaboration) ขยายความคิดอย่างละเอียดเป็นขั้นตอน อธิบายให้เห็นภาพชัดเจน

ความรู้

Convergent Thinking : ขมวดทุกความคิดพุ่งตรงไปแก้ปัญหา ทำให้ไอเดียมากมายรวบยอดตรงไปสู่ทิศทางเดียวกัน กลายเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมและแก้ปัญหาได้จริง มีส่วนผสม 4 อย่าง

1.ความรู้และเชี่ยวชาญ (Subject-knowledge and Expertise) ยิ่งข้อมูลแน่นก็ยิ่งสร้างสรรค์ได้มาก

2.ตรรกะและการใช้เหตุผล (Logic and Reasoning) เหตุผลชัดเจนมั่นคง ช่วยให้การแก้ปัญหาเดินหน้าได้ดีขึ้น

3.มีสมาธิ (Focus and Concentration) ไม่ไขว้เขวไปจากความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

4.สติปัญญา (Intelligence) หนุนหลังทุกอย่างทั้งความมีเหตุผล การวางแผน การแก้ปัญหา การเรียนรู้ได้เร็ว เข้าใจแนวคิดซับซ้อน และเรียนรู้จากประสบการณ์

อ่านรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ 3 สูตร(ไม่)สำเร็จของความคิดสร้างสรรค์ ทักษะสำคัญของปัจจุบันและอนาคต

Tags:

4Csความคิดสร้างสรรค์(Creativity)พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)Growth mindset

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้
BookRelationship
26 October 2018

I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • การเคารพซึ่งกันและกันโดยมองข้ามเรื่องเจนเนอเรชั่น ทำให้การทำงานราบรื่น ง่ายขึ้น และมีความสุขในการทำงานกับผู้อื่น
  • สิ่งสำคัญในการทำงานร่วมกันคือ เด็กรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าก็ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่
  • ทุกปัญหามีทางออกเมื่อเรามีสติ เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้กระจอก เราถูกสร้างมาเพื่อให้ผ่านมันไปได้

“การทำงานร่วมกับผู้อื่น” หนึ่งในทักษะที่ทุกคนพึงมีใน ไม่มีทางที่เราจะอยู่คนเดียวในโลกหรือไม่ปฏิสัมพันธ์กับใคร ในโลกแห่งความจริง เราต้องเชื่อมโยงกับใครมากมายทั้งในระดับครอบครัว เพื่อน โรงเรียน ที่ทำงาน ซึ่งแต่ละสถานการณ์เราต่างต้องปรับตัวในลักษณะที่ไม่เหมือนกันเลย

หนังสือ  ‘I hate my job อย่าปล่อยให้งานเป็นมารร้าย’  โดย ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ เจ้าของหนังสือหลายเล่ม อาทิ วัยว้าวุ่นรุ่น 30th มนุษย์สุดมโน ปัจจุบันเขาทำงานด้าน content management ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่พูดถึงปัญหาในที่ทำงาน  จัดงานเปิดตัวไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมวงคุยชื่อเดียวกับหนังสือ ร่วมแลกเปลี่ยนอย่างสนุกสนานกับ บี อภิชาติ ขันธวิธิ จากเพจ HR The Next Gen

หัวใจสำคัญของวงสนทนาครั้งนี้ ชีวิตการทำงานที่เรียกร้องการปรับตัวของคนหลายเจเนอเรชั่น  การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทักษะที่จะทำให้เราอยู่รอดและผ่านปัญหาไปได้

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การเห็นคุณค่าของตัวเองและเห็นคุณค่าของงานที่ทำ เพราะเมื่อไหร่ที่เราตอบตัวเองได้ว่า “เราทำงานไปเพื่ออะไร” ได้ เมื่อนั้นเราจะมีความสุขกับการทำงาน

I hate my job มาจากอะไร

ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

ท้อฟฟี่: ทุกๆ วัน พอเราเปิดเฟซบุ๊ค นอกจากไลน์ที่เราเห็น สวัสดีวันจันทร์แล้ว เราจะเห็นคนโพสต์ว่า วันจันทร์อีกแล้ว แล้วคนรอบตัวจะเล่าให้ผมฟังเยอะว่าเบื่องานจังเลย แม้กระทั่งผม บางโมเมนต์ก็มีความรู้สึกเบื่องาน ผลสุดท้ายก็พบว่า เฮ้ย คนเรามีปัญหาเรื่องงานกันหมดเลยนี่หว่า

ตอนนั้นผมเลยตั้งคอลัมน์ใน The Standard ขึ้นมาชื่อ Game on, Bitch  ให้คนส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานเข้ามาแล้วผมจะเป็นตอบ ซึ่งคำตอบที่ผมให้กลับไปมาจากการหล่อหลอมของเราที่ได้รับคำสอนจากรุ่นพี่ จากประสบการณ์ของรุ่นน้อง ตอนที่เราเป็นหัวหน้าเองกับตอนที่เราเป็นรุ่นน้องด้วย ทุกอย่างสั่งสมมาในตัวเราพอสมควร

ปัญหาระหว่าง GEN

อภิชาติ: จริงๆ เรื่องของเจเนอเรชั่นนั้นมีอยู่ ถ้าเรามองเรื่องเจเนอเรชั่น มันจะกลายเป็นปัญหาทันที 10-15 ปีที่แล้ว ทุกๆ บริษัทแม้แต่ตัวของเราเองก็โฟกัสเรื่องเจเนอเรชั่นค่อนข้างเยอะ แต่วันนี้เจเนอเรชั่นสำหรับผม ไม่ได้เป็นปัญหาหลัก เพราะไม่ว่าอย่างไรเราทุกคนต้องปรับตัวเข้าหากัน

ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเอาคำว่าเจเนอเรชั่นมาวางไว้ ปัญหาจะเกิดทันที เพราะจะเป็นการแบ่งแยก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามองว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องปรับตัวเข้าหากันไม่ว่าเขาจะเป็นคนเจเนอเรชั่นไหนก็ตาม หรืออายุเท่าไหร่ก็ตาม หลายๆ ครั้ง หรือในอดีต เรามักโฟกัสว่าคนที่อยู่มาก่อนต้องปรับตัวเข้าหาเด็ก ต้องสปอยเด็ก ก็เด็กมันเป็นอย่างนี้เราต้องทำตามมันสิ จนกระทั่งตัวเด็กเองเหลิง

เหลิงในความรู้สึกว่า ก็ผมเป็นของผมแบบนี้ พวกพี่ต้องปรับหาผมนะ แต่ในปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ตัวเด็กเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติคนเจเนอเรชั่นบนๆ ด้วยเหมือนกัน

วิธีการที่ทำให้ทุกเจนอยู่ร่วมกันได้ คือให้เกียรติซึ่งกันและกัน เด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เองก็ต้องรู้ว่าเด็กมีความเก่งบางอย่างที่เราไม่เก่งด้วยเหมือนกัน การเคารพซึ่งกันและกันโดยมองข้ามเรื่องเจเนอเรชั่น เรื่องอายุ จะทำให้การทำงานมันราบรื่น ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่เจนก็ตาม คุณจะมีความสุขในการทำงานกับผู้อื่น

บี อภิชาติ ขันธวิธิ

ท้อฟฟี่: เจเนอเรชั่นที่ต่างกันในที่ทำงานมันเป็นเรื่องเดียวกับที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะเวลาเราอยู่ในสังคม เราไม่ได้อยู่แค่กับคนรุ่นเดียวกันตลอด เราเจอคนที่หลากหลาย

ผมมองว่าทุกคนมีประโยชน์ต่อองค์กรหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานมานาน คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หรือกลางๆ ถ้าจะให้ดีในแต่ละองค์กรควรมีคนต่างกันสักสามเจเนอเรชั่นเพราะจะได้เห็นความหลากหลายของคน

ถ้าองค์กรมีแต่คนแก่อย่างเดียว เขาก็จะได้อย่างหนึ่ง ถ้าเด็กไปเลยก็จะได้อีกแบบหนึ่ง ไม่ได้ตอบว่าแบบไหนดีหรือไม่ดี แต่เหมือนกับการวิ่ง 100 เมตร ถ้าให้คนแก่วิ่ง 100 เมตร เขาก็จะถึงนะ แต่อาจจะใช้วิธีการอย่างหนึ่ง แต่เด็กเขาอาจมีวิธีการอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราต้องมองให้เห็นว่าทุกคนมีศักยภาพและมีคุณค่า

คนรุ่นเก่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ ผ่านอะไรมามากมาย แล้วผมก็บอกเด็กรุ่นใหม่ว่า เพราะเรามีคนเหล่านี้ บริษัทถึงยังอยู่นะ อยู่ให้น้องเหยียบย่ำด้วยซ้ำ น้องต้องมองให้เห็นว่า เขาเหล่านี้มีคุณค่าต่อองค์กร เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องเป็นไปตามสเต็ปนั้นเหมือนกัน

คนรุ่นเก่าก็ต้องมองเห็นว่าเราเองก็มีศักยภาพ หลายครั้งคนรุ่นเก่าจะคิดว่าตัวเองตกรุ่นแล้ว ตอนนี้เป็นยุคดิจิตอลที่อะไรไ ก็เปลี่ยนได้ จริงๆ ต้องมองเห็นความสามารถในตัวเองจากการผ่านอะไรมาเยอะแยะ มันไม่ต่างจากตอนที่ยังเป็นจูเนียร์ แค่ตอนนี้ต้องเพิ่มเติมและเรียนรู้มากว่าเดิมเท่านั้น

เด็กรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ก็ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่

รุ่นไหนสร้างปัญหาในที่ทำงานมากกว่ากัน

ท้อฟฟี่: จริงๆ มันก็ปนๆ กัน จะบอกว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากรุ่นไหน แต่เกิดจากใครทำอะไรมากกว่า ถ้าเราตัดสินแค่เพียงเพราะว่าเขาอยู่เจเนอเรชั่นไหน เราจะตัดสินคนได้ตื้นเขินมาก เราจะเห็นเขาได้เพียงแค่เปลือกเท่านั้น เด็กรุ่นใหม่บางคนรู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก กร่างมาก จริงๆ มันแค่เสี้ยวเดียว ความเก่งของคุณมันน้อย ความเหลิงของคุณมันใหญ่มาก ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กหรือเขาเป็นผู้ใหญ่ แต่มันเป็นพฤติกรรมจริงๆ ของเขา คนแก่แต่กร่างก็มีเยอะแยะ ฉะนั้นอย่ามองแค่เจเนอเรชั่นแล้วตัดสิน

เราทำงานไปเพื่ออะไร

ท้อฟฟี่: คำถามที่ว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร มันอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว ทุกวันนี้เราตื่นไปเพื่ออะไร เมื่อไหร่จะถึงวันที่ 25 สักที หรือเมื่อไหร่จะถึง 5 โมงเย็น แล้วเราก็ไม่มีความสุขกับงานเลย เราต้องถามตัวเองว่าเราทำงานเพื่ออะไร

ก่อนหน้านี้มีโอกาสทำโปรเจคท์หนึ่งในที่ทำงานเก่า ได้ไปคุยกับคนที่ทำงานว่า คุณทำงานไปเพื่ออะไร แล้วผมก็ไปรวบรวมคำตอบเหล่านี้มา

ผมพบว่าหลายคนไม่มีคำตอบกับเรื่องนี้ เพราะไม่เคยคิดว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร มันเป็นเหมือนสเต็ปหนึ่งในชีวิตว่าจบมาแล้วก็ต้องทำงาน จนผมไปคุยกับพี่คนหนึ่ง เป็นพี่รปภ. ชื่อพี่บุญรอด ผมก็ถามเขาเหมือนกับที่ถามทุกคน “พี่ทำงานไปเพื่ออะไรครับ” สิ่งที่พี่บุญรอดตอบคือ

“ผมเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ผมดูแลความปลอดภัยของทุกคนในออฟฟิศ ถ้าทุกคนมาทำงานด้วยความปลอดภัย เขาจะกลับบ้านไปอย่างมีความสุข แล้วระหว่างที่ทำงาน จะทำอย่างมีความสุข เพราะว่าผมไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยแล้ว ผมจะกลับเป็นคนสุดท้ายของวัน และผมจะมาเป็นคนแรกเพื่อดูความเรียบร้อย เพื่อให้ทุกคนทำงานอย่างปลอดภัย”

จากเคสพี่บุญรอดทำให้ผมถามตัวเองตลอดว่าผมทำงานไปเพื่ออะไร ผมรู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

คุณค่าของงาน คือคุณค่าของตัวเอง

ท้อฟฟี่: หลังจากได้คำตอบของพี่บุญรอด ผมกลับมาถามตัวเองว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร ผมก็มาเจอคำตอบว่า ทุกงานมีความหมาย และผมอยากทำงานที่ทำให้คนอื่นเก่งกว่าตัวผม ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมคือหนึ่งในคนที่มีปัญหาเหมือนกับทุกคนที่เขียนปัญหาเข้ามา ผมเป็นเหมือนเพื่อนนั่งฟังเขา ผมแค่ให้กำลังใจเขา

มีคนอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเขามีกำลังใจ เปลี่ยนจาก I hate my job เป็น I love my job แล้วเขาทำงานได้ดีขึ้น นั่นคือเขาเก่งกว่าผม

จริงๆ แล้วทุกงานมันไปช่วยคนอื่นๆ อยู่นะ เช่น เราเป็นช่างแต่งหน้า มันไปช่วยให้เขาสวยขึ้น ทำให้คนๆหนึ่งมีความมั่นใจมากขึ้น นี่เรากำลังช่วยคนอื่นอยู่ ถ้าเรากลับไปมองที่งานของเราเอง ถามว่างานเหล่านี้กำลังช่วยอะไรในตัวเอง และกำลังช่วยคนอื่นอย่างไร ทุกๆ วันเราจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า “เรากำลังไปช่วยใคร”

บี อภิชาติ: ทุกงานมันทำให้เราเก่งขึ้น ทำให้เราเรียนรู้  ตอนนี้ที่เราเจอปัญหาอยู่ เราจะรู้สึกว่ามันใหญ่มาก มันต้องฆ่าเราตายแน่นอน แต่เมื่อเราผ่านมันไปแล้วปัญหามันจะเล็กมากเลย แม้ว่าระหว่างทางมันจะสาหัสมาก แต่เมื่อเราผ่านมันไปแล้ว ไม่มีอะไรฆ่าเราได้

เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่าเราทำได้ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ทุกปัญหามีทางออกหมดเมื่อเรามีสติ เวลาที่เรามีปัญหา เราจะรู้สึกกลัว เราจะคิดว่าปัญหานี้ใหญ่จังเลย ไม่มีสติ แต่เมื่อไหร่ที่เราตั้งสติได้ ทุกคนมันแก้ปัญหาได้หมด เราต้องเชื่อแบบนี้ก่อน…

…เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้กระจอก เราถูกสร้างมาเพื่อให้ผ่านมันไปได้

Tags:

หนังสือชีวิตการทำงานburn out

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Photographer:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out(1) ชวนดูโลกภายในคนที่ทำงานจนหมดไฟ/เสี่ยงหมดไฟ ลึกลงไปมีอะไรซ่อนอยู่?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • BookHow to enjoy life
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘กล่อง’ ใบนี้ ห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่รัก
How to enjoy life
25 October 2018

‘กล่อง’ ใบนี้ ห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่รัก

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่ทำตามเสียงเรียกของหัวใจ เพราะเราติดกับดักอยู่ใน ‘กล่อง’ ที่เป็นเหมือนกรอบกำหนดวิธีคิดที่สร้างขึ้นจากความต้องการและความคาดหวังของผู้อื่น
  • ชีวิตของคนเรามีทางเลือกแค่ 2 ทาง คือ เดินตามเสียงหัวใจตัวเอง กับ ฟังคำค่อนขอด และทำตามที่คนอื่นบอก
  • ไม่มีใครการันตีได้ถึงความยากง่ายจากการเลือกเดินตามความฝัน สิ่งที่บอกได้คือ…วันนี้ต้องตัดสินใจแล้วเริ่มลงมือทำ!

“If you hear a voice within you say ‘you cannot paint,’ then by all means paint,
and that voice will be silenced.” Vincent van Gogh

“หากคุณได้ยินเสียงจากภายในบอกว่าคุณวาดรูปไม่ได้หรอก แท้จริงแล้วเสียงนั้นกำลังบอกให้คุณลงมือวาด แล้วเมื่อคุณลงมือวาดเสียงนั้นจะเงียบหายไปในที่สุด” วินเซนต์ แวนโก๊ะ

ทำไมการตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ ทำในสิ่งที่เติมเต็มความฝัน หรือทำในสิ่งที่เป็นความหลงใหลของตัวเอง มันถึงทำได้ยากนัก?

กิล อาลอน (Gil Alon) ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งเซน (Zen Master) ผู้เป็นครูและโค้ชด้านการพัฒนาตัวเองให้กับองค์กรและหน่วยงานทั่วโลก กล่าวไว้อย่างน่าสนใจถึงอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนเราไม่สามารถทำตามเสียงเรียกของหัวใจได้ นั่นเพราะเราติดกับดักอยู่ใน ‘กล่อง’ ที่เป็นเหมือนกรอบกำหนดวิธีคิด ไม่ว่าจะเป็นกรอบทางสังคม ศาสนา ครอบครัว การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การเมือง รวมทั้งกรอบที่สร้างขึ้นจากความต้องการและความคาดหวังของผู้อื่น

บ่อยครั้งเราต้องจำใจทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ เพียงเพื่อให้คนอื่นพึงพอใจและยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงานและการใช้ชีวิต

กิล ยกตัวอย่างว่า สมมุติมีใครสักคนหนึ่งมีความฝันและความหลงใหลอยากเป็นนักเต้น เขาลงมือทำในสิ่งที่รัก ทำตามฝัน เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงเสียดทานจากคำพูดและการกระทำของคนรอบตัวที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเลือก

“ทำงานแบบนี้จะมีอะไรกิน”

“ทำไปแล้วจะมีใครนับหน้าถือตา”

“ทำไมไม่ไปเป็นทนาย ไม่เป็นครู ทำไมไม่เรียนทำธุรกิจมาช่วยกิจการของครอบครัว”

“เธอเป็นนักเต้นเหรอ มันเป็นอาชีพของผู้หญิงนะ ผู้ชายเค้าไม่ทำกันหรอก”

แล้วจะทำอย่างไร…หากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้?

กิล บอกว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยเจอคำดูถูกและการกล่าวทัดทานแบบนี้เสมอ ทั้งจากครอบครัวและสังคมรอบข้าง แน่นอนว่าเมื่อได้ยินบ่อยก็บั่นทอนจิตใจ แต่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิต คำพูดของแวนโก๊ะ เป็นเหมือนมนตราที่ทำให้เขายืนหยัดและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) ศิลปินที่มีชื่อเสียงชาวดัตช์ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า แวนโก๊ะเคยเป็นศิลปินที่ไม่ได้รับการยอมรับมาก่อน ผลงานของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงชีวิตการทำงานขณะที่เขามีชีวิตอยู่ แวนโก๊ะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แร้นแค้น ไม่สามารถขายผลงานของตัวเองได้เลยสักชิ้น ยกเว้นชิ้นที่ขายให้กับน้องชายของตัวเอง สุดท้ายเขาก็จบชีวิตตัวเองลงอย่างคนยากไร้

แม้ในยุคนั้นไม่มีใครเห็นความงามในงานของเขา แต่ขณะมีชีวิตแวนโก๊ะไม่เคยหยุดสร้างผลงาน เขาลงมือทำในสิ่งที่รักและหลงใหลอย่างมุ่งมั่น จนกระทั่งวันหนึ่งผลงานที่เคยไร้มูลค่ากลับกลายมาเป็นภาพวาดที่มีราคาแพงมากเกินกว่าที่เศรษฐีทั่วไปจะหาซื้อมาครอบครองได้ เพราะคุณค่าของผลงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นยังคงอยู่

วันนี้เราทุกคนจึงควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า กำลังใช้ชีวิตตอบสนองความต้องการของคนอื่นจนลืมสร้างสรรค์สิ่งที่ตัวเองต้องการและทอดทิ้งความสุขของตัวเองหรือเปล่า?

ค่านิยมในสังคมทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวทันทีเมื่อเอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้ง สิ่งนี้หล่อหลอมวิธีคิดให้เราเชื่อว่า การทำเพื่อคนอื่น ทำให้คนอื่นมีความสุขจะทำให้เราไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่การดำรงชีวิตด้วยการเอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้งต่างหากที่ช่วยลดทอนความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตใจได้

แทนที่จะทำในสิ่งที่เติมเต็มหัวใจตัวเอง เรายอมทำในสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง ยอมทำตามคนอื่นเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่

ฟังเสียงหัวใจตัวเอง หรือ ทำความต้องการของคนอื่น

กิลได้เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเขามีทางเลือกแค่ 2 ทาง คือ หนึ่ง เลือกทำตามคนอื่นไม่เดินตามเสียงหัวใจตัวเอง และสอง เมินเฉยต่อคำค่อนขอด แล้วเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง

เส้นทางชีวิตบนทางเลือกเส้นที่หนึ่ง หากเขาปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองต้องการ แล้วเลือกเดินตามความคาดหวังของครอบครัว วันหนึ่งกลายเป็นทนายความที่มีชื่อเสียง มีลูกค้ามากมาย นำมาซึ่งรายได้มหาศาลให้ซื้อบ้านหลังใหญ่ และรถราคาแพงได้

ความสำเร็จที่ว่านี้ทำให้คนในครอบครัวภูมิใจ แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาจะกลายเป็นทนายความที่ไม่มีความสุขกับชีวิตและไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำเลย เพราะความฝันที่อยากเป็นนักเต้นนักแสดงยังคงคุกรุ่นภายในจิตใจ หากต้องเป็นแบบนั้นเขาคงต้องข่มและแอบซ่อนความฝันเอาไว้เหมือนกับว่าความฝันนั้นไม่มีอยู่จริง

“ผมคงกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขหลงเหลือไปแบ่งปันให้ใคร กลายคนเป็นคนที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เพราะมัวแต่จมอยู่กับตัวเอง และต้องพยายามข่มความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นเองที่ผมจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดเพราะผมจะไม่สนใจใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง”

ในทางกลับกัน หากเลือกเดินบนทางเลือกที่สอง ได้ลงมือทำในสิ่งอยากทำ กล้าเผชิญหน้ากับคนในครอบครัวที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัดสินใจ บางคนอาจหันหลังกลับไม่ยอมพูดคุยด้วย แต่ทางเลือกนั้นได้สร้างให้คนๆ หนึ่งกลายเป็น นักเต้นที่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ เขากลายเป็นตัวของตัวเองที่หลุดพ้นจากความต้องการของคนอื่น

กิล กล่าวถึง เจ. กฤษณมูรติ (J. Krishnamurti) นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงชาวอินเดีย ที่พูดถึงคำว่า Individual หรือ ปัจเจก ไว้แตกต่างจากภาพจำของคนทั่วไปที่มักเข้าใจถึงปัจเจกในภาพของบุคคลที่ขาดความสัมพันธ์กับผู้อื่นว่า จริงๆ แล้วคำนี้มีที่มาจากคำว่า in division หรือแปลว่า ไม่แยกออกจากกัน (not divided) ต่างหาก

“การมีโอกาสได้ทำตามฝัน ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ทำให้ผมมีความสุขเหลือเฟือแบ่งปันให้คนอื่น ทำให้ผมส่งต่อความรู้ให้คนที่อยากรู้ได้ ทำให้ผมได้มีโอกาสทำการแสดงที่ช่วยให้ผู้ชมสะท้อนความเป็นตัวตนของตัวเอง ได้มองเห็นตัวเองในมิติต่างๆ หรือธรรมดาที่สุด ทำให้เขารู้สึกสนุกกับสิ่งที่ได้รับชม…

ผมมีโอกาสสอนเด็กๆ หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ผมกลายเป็นแบบอย่างให้คนที่อาจกำลังสับสน กำลังตัดสินใจ ได้มองเห็นผลลัพธ์จากการเลือกทำตามความฝันของตัวเองว่า ถ้าผมทำได้ ใคร ๆ ก็ทำได้

เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป เพราะผมได้แชร์ความรักและพลังแห่งความหลงใหลที่เต็มไปด้วยความสุขในตัวผมให้ผู้อื่น ทำให้ผมไม่ถูกแบ่งแยกออกจากผู้อื่น แต่กลับเชื่อมโยงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกคน”

สำเร็จหรือล้มเหลว…ไม่สำคัญอีกต่อไป

เมื่อใครสักคนหนึ่งกล้าเดินออกมาทำสิ่งที่ตัวเองรักด้วยความกล้าหาญ เมื่อนั้นจะมีกรอบที่เป็นความท้าทายใหม่แวะมาเยี่ยมเยือน นั่นคือ ‘ความสำเร็จ’ กับ ‘ความล้มเหลว’

กรอบความคิดนี้มีที่มาไม่ต่างจากวิธีคิดเดิมที่ทำให้เราไม่กล้าออกมาทำในสิ่งที่หัวใจปรารถนา เพราะอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของผู้อื่นและกระแสสังคม

แต่อะไรกันแน่ที่เรียกว่า ความสำเร็จ และความล้มเหลว?

กิล บอกว่า ความสำเร็จ และความล้มเหลว เป็นบรรทัดฐานที่สังคมสร้างและกำหนดขึ้น ปลูกฝังให้ปัจเจกหรือบุคคลต้องคิดถึงสิ่งนี้ แล้วเราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็ซับซึบวิธีคิดแบบนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ไม่พอเรายังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของผู้อื่น กดดันตัวเอง วิจารณ์ตัวเอง (self-criticism) ในเชิงลบ

“เธอทำไม่ได้หรอก”

“เธอบ้าไปแล้วแน่ ๆ จะทำจริง ๆ เหรอ”

การผลักดันตัวเองไปสู่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความคาดหวังของคนอื่น ทำให้ตัวเราสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจของตัวเองด้วยคำพูดต่างๆ นานาที่กล่อมให้เชื่อว่า ‘มันไม่มีทางเป็นไปได้’ จนหลงลืมความสามารถและศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วกลายเป็นคนล้มเหลวในที่สุด

ทางออก คือ เลิกฟังเสียงเหล่านั้นซะ แล้วลงมือทำในสิ่งที่รักอย่างมุ่งมั่น!

ทุกคนสามารถพาตัวเองให้หลุดออกจากวัฎจักรที่เลวร้ายของกล่องมายาคติแห่งความสำเร็จและความล้มเหลวที่สังคมโลกสร้างขึ้นได้จากการออกแบบชีวิตด้วยความสร้างสรรค์และความสุข

Think Outside The Box

“เราสร้างกรอบหรือกล่องขึ้นมาครอบตัวเอง ฉะนั้นตัวเราเองนี่แหละที่สามารถพาตัวเองให้หลุดออกจากกล่องนั้นได้ เพราะเมื่อเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา นั่นหมายความว่ามันยืดหยุ่นพอที่เราจะเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยตัวเอง

ลองจินตนาการถึงชีวิตที่เราออกแบบได้ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ สลัดที่เราจะทำกินมื้อต่อไป เฟอร์นิเจอร์ที่เราจะเลือกซื้อเข้ามาในบ้าน ความสัมพันธ์ที่เราจะสร้างขึ้น งานที่เราจะเปลี่ยน เราทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างหรือออกแบบชีวิตได้ จากจุดเล็กๆ อย่างไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ”

ไม่มีใครการันตีได้ถึงความยากง่ายจากการเลือกเดินตามความฝันและเสียงหัวใจของตัวเอง สิ่งที่บอกได้คือ…วันนี้คุณต้องตัดสินใจแล้วเริ่มลงมือทำ!

“ลบความคิดเกี่ยวความความสำเร็จหรือล้มเหลวที่เป็นกล่องครอบงำเราออกไป ลบความคิดที่จะพยายามให้เป็นที่หนึ่งหรือดีที่สุดด้วยการแข่งขันกับคนอื่น แต่เป็นตัวเองให้ดีที่สุด ดังนั้นหากมีความฝัน ขอให้สร้างเวทีของตัวเองขึ้นมา แล้วลงมือทำ ถ้าไม่รู้จะเริ่มจากที่ไหนแต่ที่บ้านคุณมีโรงรถก็แสดงในโรงรถนั่นแหละ ถ้าคนดูมีแค่เพื่อนสองคนกับย่าหรือยายที่จะดูคุณแสดงก็แสดงให้พวกเขาดูนั่นแหละ แล้วถ้าเกิดคุณจะได้รางวัลออสการ์จากสิ่งที่คุณพยายามทำ ผมเป็นใคร จะไปว่าอะไรคุณได้…” กิล ทิ้งท้าย

กิล อาลอน (Gil Alon) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งเซน (Zen Master) และเป็นศิลปินที่มีความสามารถทั้งด้านการร้องเพลง การแสดง และผู้กำกับละครเวที นอกจากนี้กิลยังรับบทบาทเป็นทั้งครูและโคชให้กับผู้คน หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย เยอรมันนี อินเดีย อิสราเอล ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย เขาเคยทำงานร่วมกับบีอีซีเทโร ไทยทีวีสีช่อง 3, กลุ่มละครเวทีมะขามป้อม, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ภัทราวดีเทียร์เตอร์ และสถาบันการแสดงอื่น ๆ อีกมากมาย
อ้างอิง
Creativity — Deleting Success and Failure from our Vocabulary: Gil Alon at TEDxThapaeGate 2012

Tags:

จิตวิทยาGrowth mindset4Csความคิดสร้างสรรค์(Creativity)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Character building
    9 วิธีพ่อแม่ช่วยลูกพิชิตฝัน ดันไปให้สุดทาง

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Voice of New Gen
    TALK LIKE TED: พูดแบบนี้ถึงจะมีคนฟัง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • 21st Century skills
    5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์
21st Century skills
24 October 2018

CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ความคิดสร้างสรรค์เป็น ‘กระบวนการ’ (process) ที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้อย่างมีลำดับขั้นตอน
  • กระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Creative Process) เป็นการทำงานของสมอง มีขั้นตอน และฟันเฟืองสำคัญคือ เป้าหมาย ความฝัน  เพื่อนำมาเป็นแรงกระตุ้นให้กระบวนการคิดได้เดินเครื่อง
  • ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการใช้จินตนาการกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ที่ดีกว่าเดิม เกิดผลิตภัณฑ์หรืองานบริการที่แตกต่างหลากหลาย
  • นี่คือ 7 นิสัยหรือความคุ้นชินในการใช้ชีวิต ที่อาจเข้ามาทำลายความคิดสร้างสรรค์โดยไม่รู้ตัว

ราได้ยินคำว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ (Creativity) อยู่บ่อยครั้งในแทบทุกสาขาอาชีพ แลtมักมาพร้อมคำว่า ‘คิดนอกกรอบ’ ถ้าเป็นเมื่อก่อนภาพจำของความคิดสร้างสรรค์ถูกจำกัดวงแคบอยู่ในแวดวงงานวาดงานเขียน ซึ่งสังคมมองว่าเป็น ‘ศิลปะ’ แขนงต่างๆ รวมทั้งไว้ใช้เวลาพูดถึงศิลปินที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธสำคัญในการคิด ยกตัวอย่างเช่น นักวาด นักปั้น นักเขียนและกวี เป็นต้น

แต่ในโลกยุคปัจจุบันความคิดสร้างสรรค์ได้รับการประกอบร่างใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นแค่คำเฉพาะในแวดวงศิลปะอีกต่อไป แต่อยู่ในทุกวันของทุกคน

ลืมคำพูดที่ใช้อธิบายตัวเองว่า “เป็นคนไม่มีความคิดสร้างสรรค์” ไปได้เลย เพราะความคิดสร้างสรรค์เป็น ‘กระบวนการ’ (process) ที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้อย่างมีลำดับขั้นตอน

ก่อนจะไปสู่ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Creative Process) เรามาดูกันก่อนว่า จริงๆ แล้วเรารู้จักหรือสนิทกับความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหน

ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการใช้จินตนาการ (เชื่อว่าจินตนาการเป็นทักษะอย่างหนึ่ง) กระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ที่ดีกว่าเดิม เกิดผลิตภัณฑ์หรืองานบริการที่แตกต่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังเป็นทัศนคติ (Attitude) หรือภาวะทางจิตใจ (State of Mind) ที่มีความเชื่อมโยงกับเปลี่ยนแปลง (Change) ความท้าทาย (Challenges) รวมไปถึงความเสี่ยงต่าง ๆ (Risks)

จึงไม่น่าแปลกใจที่คนมีความคิดสร้างสรรค์มักเป็นคนชอบเสี่ยงและทำอะไรแผลงๆ ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า หรือทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีคนทำ เห็นได้จากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก อิลอน มัสก์ (Elon Musk) นักธุรกิจ นักลงทุนและวิศกร ผู้ร่วมก่อตั้งเทสลาร์อิงค์ (Tesla Inc.) สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางบกและการขนส่งทางอวกาศ หรือแม้แต่ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Brandson) นักธุรกิจชาวอังกฤษ เจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท ภายใต้ชื่อการค้า “เวอร์จิ้น” (Virgin)

ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่น่าสนใจและอยากชี้ให้เห็นก่อนคือ สมองคนเราชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ แล้วอยากทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ธรรมชาติการทำงานของสมองส่งผลต่อพฤติกรรมจนกลายเป็นนิสัยเฉพาะตัวของแต่ละคน ลองนึกเล่นๆ ว่า หากเราไม่เคยหรือไม่ช่วยกระตุ้นให้สมองคิดอย่างสร้างสรรค์ทุกวัน ๆ แต่กลับทำในสิ่งตรงข้ามที่น่าเบื่อหน่าย คงไม่ต้องเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ผลลัพธ์คือ สมองจะตื้อตัน คิดอะไรไม่ออก…?! นานวันเข้าประสิทธิภาพในการคิดก็ยิ่งลดลง

ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สมองตีบตัน จนความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถแทรกซึมออกมาได้ ทุกคนควรเฝ้าระวัง 7 นิสัยหรือความคุ้นชินในการใช้ชีวิต ที่อาจเข้ามาทำลายความคิดสร้างสรรค์โดยไม่รู้ตัว

1. เป็นคนมีเหตุผลมากไปหรือเปล่า

ความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่ระบบคิดเต็มไปเหตุผล (Logic) และการใช้เหตุผล (Rationality)

ทั้ง 2 อย่างเป็นประตูปิดกั้นความสร้างสรรค์ อีกทั้งยังไม่ช่วยให้เข้าใจสิ่งรอบตัวอย่างลึกซึ้ง ความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถวัดหรือคำนวณได้ด้วยสูตรวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ในขณะที่ใช้เหตุผลเพื่อคิดวางแผนหรือตัดสินบางอย่าง เราควรปล่อยให้จินตนาการได้ออกมาทำงานบ้าง

2.ทางออกแรกดีแล้วจริง ๆ หรือ?

เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา การเลือกแก้ปัญหาจากทางออกแรกทางออกเดียว โดยไม่มีแพลนบีหรือวิธีสำรอง อาจทำให้กระบวนการแก้ปัญหายืดเยื้อ เพราะไม่มีแนวทางพลิกแพลงเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างกรอบความคิดหรือการทำงานให้จำกัดขอบเขตอยู่ในพื้นที่ที่เป็นตัวเลือกเดียว จนสมองไม่ต่อยอดการคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการอื่น

3.เชื่อว่าคำตอบที่ถูกต้องมีแค่คำตอบเดียว

คำตอบเดียวทำให้ชีวิตไม่มีทางออก การเดินทางไปถึงที่หมายใดสักที่หนึ่ง ไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียวเสมอไป

ในความเป็นจริงการทำงานและการใช้ชีวิตเพื่อไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ สามารถเดินทางไปได้หลากหลายเส้นทาง ทางที่เร็วและใกล้อาจจะไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด ทางที่ไกลอาจน่าเบื่อ แต่ทำให้ได้ซึมซับบรรยากาศระหว่างทางซึ่งเป็นประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้มากกว่าก็เป็นได้ แต่เพราะความคุ้นชินที่สร้างขึ้นทำให้สมองของเรามักเลือกเดินไปบนเส้นทางเดิมที่เป็นเพียงคำตอบเดียว

4.ขาดความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ

หากเราต้องเริ่มทำสิ่งใหม่สักอย่างหนึ่ง เช่น การเริ่มบทเรียนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนและไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น การลงมือทำสิ่งที่ไม่เคยทำและไม่รู้พื้นฐาน หากไม่มีครูหรือผู้ที่มีความชำนาญมาช่วยอธิบาย ความเครียดจะเกิดขึ้น ความเครียดนี้จะปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ทุกช่องทาง

5.มีความรู้ที่เชี่ยวชาญมากเกินไป

อีกมุมหนึ่งก็เป็นปัญหา การคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง รู้ไปหมด จนเกิดความทะนงตนและมั่นใจตัวเองมากเกินไป หรือที่มักเรียกว่า ‘อีโก้’ อาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ที่เปิดพื้นที่ให้ได้เรียนรู้และเติบโต

6.ชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อมูล

หยุดใช้ชีวิตที่ห้อมล้อมไปด้วยข้อมูลมากเกินไป จนไม่มีพื้นที่เหลือพอให้ความคิดสร้างสรรค์ได้ออกมาโลดแล่น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงานหรือการใช้ชีวิต

เลือกใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่จำเป็น แบ่งพื้นที่เผื่อไว้ให้ตัวเองได้แสดงความคิดเห็น ได้คิด และได้ใช้จินตนาการประกอบข้อมูลเหล่านั้น

7.คิดว่าตัวเองไม่สร้างสรรค์…นี่แหละตัวปัญหาสำคัญ!!

การที่เราไม่สนใจกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วมองข้ามมันไป เป็นคนละเรื่องกับการไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนมีศักยภาพในการคิดอย่างสร้างสรรค์ แต่หลายครั้งที่เกิดความกลัวทำให้ตัดสินเอาเองว่าความคิดนั้นไม่ดีพอ หรืออาจมีหลายครั้งที่เคยคิดไม่ออก เราดันบอกตัวเองว่านั่นเป็นเพราะตัวเราไม่มีความคิดสร้างสรรค์ แล้วเชื่อแบบนั้นอย่างสนิทใจ

ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณลักษณะที่สร้างได้ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Creative Process) เป็นการทำงานของสมองที่มีขั้นตอนในการคิด ฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการนี้คือ เป้าหมาย ความฝัน หรือสิ่งที่อยากทำให้เกิดขึ้น เพื่อนำสิ่งนั้นมาเป็นโจทย์และแรงกระตุ้นให้กระบวนการคิดได้เดินเครื่องเมื่อเครื่องติดก็เหมือนสมองได้ฝึกคิดอย่างถูกวิธี เป้าหมายปลายทางที่วางไว้เป็นแรงดึงดูดให้คิดต่อและพยายามทำให้ได้จนสำเร็จ

ได้ยินแบบนี้หลายคนที่เคยถอดใจกับความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองน่าจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง บทความนี้เราได้ทำความรู้จักกับความคิดสร้างสรรค์และความคุ้นชินในการใช้ชีวิตที่เป็นตัวขโมยความคิดสร้างสรรค์กันไปแล้ว ครั้งหน้าเราจะชวนมาเรียนรู้ต่อว่าขั้นตอนการเพาะบ่มความคิดสร้างสรรค์ให้งอกงามทำได้อย่างไร พร้อมตัวอย่างที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คิดแล้วกล้าลงมือทำ…

อ้างอิง
How to Manage the Creative Process Efficiently
5 Stages of the Creative Process – James Taylor

Tags:

ความคิดสร้างสรรค์(Creativity)พ่อแม่ระบบการศึกษาGrowth mindset4Cs

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy life
    ‘กล่อง’ ใบนี้ ห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่รัก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel