Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2018

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้
อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
12 September 2018

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ‘บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน’ เป็นฮาวทูฉบับปฏิบัติที่จะมาช่วยแม่ๆ หาวิธีรับมือกับลูกน้อยแบบสร้างสรรค์และถนอมหัวใจ
  • เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน วิธีการเลี้ยงลูกก็ต้องต่างกัน บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน จะช่วยให้เข้าใจลูกและส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การอ่านนิทานถือเป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้ลูกเริ่มใช้ตรรกะ ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ในนิทานอาจจะเปลี่ยนโลกของลูกน้อยเลยก็ได้

การจะเป็นแม่ยุค 2018 คงไม่ใช่เรื่องง่าย เราไม่สามารถเลี้ยงลูกแบบที่รุ่นปู่ย่าสอนมา เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากเลี้ยงแล้ว ยังต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกอยู่ได้ในอนาคตอย่างแข็งแรงด้วย

คุณแม่จำนวนไม่น้อยแน่นปึ้กทั้งวิชาและหลักการ แต่พอปฏิบัติจริงกลับสับสนหยิบจับมาใช้ไม่ถูกสถานการณ์ เพราะลูกแต่ละคนไม่มีทางเหมือนกัน

หนังสือบันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน จะเป็นฮาวทูฉบับฏิบัติที่จะมาช่วยแม่ๆ หาวิธีรับมือกับลูกน้อยอย่างสร้างสรรค์และถนอมใจ

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องโดย แม่โบ-ธิดา พานิช (แม่โบ นิทานหัวเตียง) คุณแม่ลูกสอง ที่เล่าเรื่องราวของ น้องวาวา ลูกสาวคนโต กับ น้องดิน ลูกชายคนเล็ก

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ประสบการณ์ตรงจากผู้เขียนหรือแม่โบ แม้อาจจะไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบแม่โบเป๊ะๆ แต่ก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้หลายสถานการณ์ หรืออย่างน้อยก็มีหนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนยามท้อเมื่อต้องเจอกับความปวดหัวและวุ่นวายกับเจ้าตัวเล็ก

“โบยอมรับว่าไม่ใช่คนเก่งกาจหรือเชี่ยวชาญอะไร แค่เป็นแม่ที่รักลูก รักที่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง และรักการเขียน จึงอยากจะขอใช้พื้นที่ในหนังสือเล่มนี้ รวบรวมบทความที่แม่โบเคยบอกเล่าใน ‘เพจนิทานหัวเตียง’ ด้วยหวังว่าจะเกิดประโยชน์แก่พ่อแม่ท่านอื่นบ้าง หรืออย่างน้อยๆ แค่ผู้อ่านได้รู้สึกว่าฉันไม่ใช่พ่อแม่ที่โดดเดี่ยว แต่ยังมีแม่โบเป็นเพื่อนที่เข้าใจ เท่านี้โบก็มีความสุขแล้วค่ะ”

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 4 บทใหญ่

1. จักรวาลของแม่

เล่าเรื่องการเลี้ยงลูกของแม่โบ เช่น ต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเมื่อมีลูก รวมถึงจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างไรเพื่อที่จะดูแลลูกให้ดีที่สุด และที่สำคัญคือวิธีรับมือกับลูกเวลาทำตัวไม่น่ารัก

เชื่อว่าบทนี้คุณแม่มือใหม่จะต้องได้วิธีการสร้างสรรค์ไปรับมือกับลูกน้อย เช่นปัญหาคลาสสิกอย่าง ลูกไม่ยอมนอน ที่แม่โบเจอเหมือนกับทุกคน

แม่โบให้ tips ง่ายๆ หรือที่แม่โบเรียกว่า ‘กลยุทธ์ปราบศึกบนเตียง’ คือ นอนที่เดิม เวลาเดิม นอนกับคนเดิม เข้านอนด้วยขั้นตอนเดิม และสิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจปราบหนูน้อยไม่ยอมนอนคือ ความสม่ำเสมอ อย่างที่แม่โบพูดไว้

2. โลกใบเล็กของหนูและน้อง

เคลื่อนจากจักวาลของแม่มาเป็นโลกของลูก บทนี้จะพูดถึงพัฒนาการต่างๆ ของลูกที่จะมาพร้อมกับวิธีการปฏิบัติที่ต่างกัน

เช่น คุณแม่มือใหม่หลายท่านที่กังวลว่าทำไมลูกถึงไม่ค่อยพูด พูดได้ช้า แม่โบเขียนไว้ในเรื่อง ‘ทำอย่างไรให้ลูกพูดเร็ว’ ว่า ถ้าอยากให้ลูกพูดเก่ง พ่อแม่ต้องขยันพูดกับเขาตลอด แถมด้วยฮาวทูเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณแม่ไปลองทำกัน

  • อย่าปล่อยลูกไว้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • พาลูกไปเล่นกับเด็กวัยใกล้ๆ กัน
  • อ่านนิทานให้ลูกฟัง
  • เล่นกับลูก
  • สอนลูกด้วยของจริง

3. เปลี่ยนเด็กดื้อเป็นเด็กน่ารัก

เมื่อลูกๆ เริ่มโตขึ้น เข้าสู่ช่วงเจ้าหนูจำไม บางรายอาจเริ่มเถียงผู้ใหญ่ แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก และชวนปวดหัวมากๆ

บทนี้แม่โบเล่าผ่านความดื้อของน้องวาวา แต่ที่น่าสนใจกว่า คือ วิธีการเวิร์คๆ ที่แม่โบหยิบมาแนะนำ เช่น ตอนที่น้องวาวางอแง เพราะเห็นแม่โบกำลังป้อนข้าวน้องดิน แม่โบเกือบจะหันไปดุแล้วแต่ก็ดึงสติตัวเองไว้ได้

“เวลาที่โบอารมณ์เริ่มปะทุจากอาการงอแงของลูก โบใช้วิธีด้วยการถาม “หนูว่า….ยิ้มแย้มหรืองอแงจะน่ารักกว่ากันคะ” เป็นการเตือนให้ลูกรู้ตัวแทนการดุลูกค่ะ แถมยังเป็นการเตือนตัวเองไม่ให้ด่วนใช้อารมณ์กับลูกด้วยค่ะ”

4. โลกของนิทาน

หัวใจสำคัญของบทนี้อยู่ที่นิทานมากมาย เช่น อีเล้งเค้งโค้ง งานแรกของมี้จัง ดินสอสีของจี๊ดจ๊าด หมีใหญ่จอมกอด เป็นต้น แต่แม่โบไม่ได้มาเล่าว่าแต่ละเรื่องมีเนื้อหาอย่างไร สิ่งที่ได้จากนิทานต่างหากที่แม่โบอยากจะบอก

มีงานวิจัยและบทความมากมายที่บอกถึงประโยชน์ของนิทาน เพราะนิทานคือคลังภาษาที่จะช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา ช่วยพัฒนาสมอง ช่วยสร้างความไว้วางใจตนเอง (มองโลกในแง่ดี) เพิ่มพูนประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างสุนทรียะ สร้างสมาธิ ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว

อย่างเช่นหนังสือนิทานชุดหนูนิด หนูนิดเป็นตัวแทนของเด็กดื้อ ทั้งไม่อยากกินผัก ไม่อยากมีน้อง ไม่อยากแปรงฟัง แต่สุดท้ายแล้วหนูนิดก็จะเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หนูนิดเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น แม่โบก็เอาเรื่องราวของหนูนิดมาเล่าให้วาวาฟัง เพื่อเป็นแบบอย่างแล้วให้จินตนาการตาม

เมื่อเด็กได้เห็นตัวอย่าง ก็จะเริ่มคิดตาม – แม่โบว่าไว้

บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทานเล่มนี้ อาจไม่ใช่ฮาวทูสรุปการเลี้ยงลูกที่ถูกที่สุด แต่อย่างน้อยก็ผ่านการลองผิดลองถูกและพิสูจน์ว่าเวิร์คจากแม่โบ น้องวาวา และน้องดิน ที่สำคัญหนังสือเล่มนี้อยากแชร์ให้คุณแม่ๆ (และคุณพ่อ) รู้สึกว่ายังมี ‘เพื่อน’ คอยตบบ่าหรือนั่งอยู่ข้างๆ กัน

เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว

Tags:

ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)หนังสือนิทานพ่อแม่

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
EF (executive function)
11 September 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกฉบับหนึ่ง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

เฉพาะชื่อบทความแปลว่า พลังของการเล่น: บทบาทของกุมารแพทย์ต่อการเสริมสร้างพัฒนาการในเด็กเล็ก

การเล่นสำคัญต่อพัฒนาการ EF และความสำเร็จในอนาคต

การเรียนหนังสือมากเกินไปในช่วงปฐมวัยมีข้อเสียสำคัญคือ เสียเวลาเล่นและผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่า

ความเก่งด้านคณิตศาสตร์ตอนปฐมวัยไม่ได้บ่งชี้ความเก่งที่ชั้นประถมแต่อย่างใด (Watts TW, Duncan GJ, Clements DH, Sarama J. What is the long-run impact of learning mathematics during preschool? Child Dev. 2018;89(2):539–555)

การเล่นคืออะไร การเล่นคือกิจกรรมที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous) จากภายใน (intrinsic) มีส่วนร่วม (engage) และมีความสนุก (joyful) การเล่นเป็นพื้นฐานของการทำตามกติกาและเชื่อฟัง ผิดกับความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าการเข้าห้องเรียนแล้วสั่งให้ทำตามเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า

การเล่นสร้าง EF และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โรงเรียน แต่นั่นหมายถึงโรงเรียนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องการทักษะการแก้ปัญหา (problem solving) การร่วมมือกันทำงาน (collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การเล่นมิใช่แค่สนุก และที่จริงแล้วความสนุกนั้นเกิดจากความเสี่ยง การทดลอง และการทดสอบขอบเขต (taking risk, experiments, testing boundaries)

การเล่นพบในลูกสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่มีความสำคัญเป็นพิเศษในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การเล่นของลูกสัตว์เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากล้ามเนื้อทุกมัด ทดสอบสัตว์ตัวอื่น และช่วยให้ลูกสัตว์เรียนรู้ขอบเขตว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าอะไรคือเหยื่อและอะไรคือผู้ล่า

สำหรับลูกคน Lev Vygotsky บรรยายการเล่นได้ดีที่สุดจากข้อสังเกตสำคัญของเขาที่ว่าการเล่นเป็นเหมือนห้างร้านแห่งพัฒนาการ เด็กได้พัฒนาทักษะหลากหลายจากง่ายไปหายาก ทั้งเรื่องกล้ามเนื้อและทักษะสังคม กล่าวคือเด็กพัฒนาได้ด้วยตัวคนเดียวแต่เมื่อถึงขีดหนึ่งจะถึงอุปสรรค และเมื่อถึงตอนนั้นเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ความช่วยเหลือนี้จะมากับการเล่นได้อย่างกลมกลืนมากที่สุด เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำอธิบายเรื่อง Zone of Proximal Development (ZPD) (Vygotsky LS. Play and its role in the mental development of the child. In: Bruner J, Jolly A, Sylva K, eds. Play. New York, NY: Basic Books; 1976:609–618)

การเล่น แบ่งง่ายๆ เป็น

Object Play การเล่นวัตถุ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการสำรวจ พัฒนาประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ ไปจนถึงการพัฒนาการให้สัญลักษณ์และบทบาทสมมุติ (symbolization และ role play) เช่น การใช้กล้วยต่างโทรศัพท์ เป็นต้น

Rough and Tumble Play การวิ่งเล่น วิ่งไล่จับ ไปจนถึงกอดรัดฟัดเหวี่ยง เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากล้ามเนื้อ และที่มากกว่าคือกลไกทางสังคม เด็กๆ ต้องเรียนรู้การเล่นที่ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บ มากเกินไป หรือทำให้ตัวเองเจ็บ มากเกินไป แต่มิใช่ไม่ยอมให้เจ็บเลย ดังที่ว่าความเสี่ยงคือการพัฒนา

Outdoor Play เล่นกลางแจ้ง การเล่นชนิดนี้เหมือนเอาการเล่นวัตถุและการวิ่งเล่นมารวมกัน เด็กได้วิ่งเล่นกลางแดด สายฝน หิมะ กอดรัดฟัดเหวี่ยงบนพื้นดิน พื้นทราย พื้นน้ำ เหล่านี้ส่งเสริมพัฒนาการของประสาทสัมผัสและการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากในห้องเรียนหรือบริเวณโรงเรียนที่คับแคบ

เด็กๆ เปิดโลกทรรศน์และได้เรียนรู้ระบบสามมิติของสภาพภูมิศาสตร์อันจะเป็นรากฐานของการคิดวิเคราะห์ในอนาคต

Role Play การเล่นบทบาทสมมุติ เป็นการละเล่นที่พัฒนาความสามารถทุกด้านของเด็กๆ พร้อมๆ กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาและทักษะสังคม แน่นอนว่าเด็กเล่นบทบาทสมมุติกับพ่อแม่เป็นจุดเริ่มต้น แต่การเล่นนี้จะขยายไปที่พี่น้อง ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ในสนามเด็กเล่น และที่โรงเรียนในที่สุด การเล่นบทบาทสมมุติทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กติกาการอยู่ร่วมกันในโลกของผู้ใหญ่ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และด้วยสถานการณ์ที่เป็นอิสระ เด็กๆ จะพัฒนาภาษาพูดเพื่อสื่อความต้องการในใจตนเองได้ดีและเร็วกว่า

บอร์ดเกมมักถูกจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มนี้ คือเป็นการเล่นบทบาทสมมุติที่มีกฎ กติกา ความซับซ้อนและต้องการยุทธวิธีคล้ายคลึงชีวิตจริง ที่รู้จักกันดีเช่น เกมเศรษฐี Monopoly แต่ปัจจุบันมีบอร์ดเกมมากมายให้เลือก

จุดสูงสุดของการเล่นบทบาทสมมุติคือการเล่นละครเต็มรูปแบบ มีเครื่องแต่งกายตามจริงและบทพูดตามที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนอนุบาลที่ใส่ใจทุกแห่งจะจัดให้มี

การเล่นพัฒนามาอย่างไร?

การเล่นพัฒนามาจากการยิ้มในทารก คือ social smile จากการยิ้มให้มีการยิ้มรับ การเล่นคือการแลกเปลี่ยน มีให้และมีรับ นำไปสู่เสียงอ้อแอ้เพื่อพูดกับพ่อแม่ เสียงที่ไร้ความหมายไปสู่เสียงที่มีความหมาย และการเล่นจ๊ะเอ๋ “จ๊ะเอ๋!” ให้เสียงหัวเราะระเบิดออกมา หัวเราะไป หัวเราะกลับมา แล้วการเล่นจึงทวีความซับซ้อนมากขึ้นทุกขณะ

การเล่นเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างลูกกับแม่ เพื่อพัฒนาจากจุดที่ตนเองต้องพึ่งพิงแม่ทุกเวลา เวลากินและเวลานอน จนถึงวันที่ตนเองเป็นอิสระจากแม่คือไม่กินและไม่นอน แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเด็กจำเป็นต้องแลกมาด้วยความสามารถในการกำกับตัวเอง self regulation คือ EF นั่นคือกินและนอนให้เป็นเวลา แต่ด้วยความสามารถของตัวเอง

การกำกับตัวเองอย่างแรกเป็นเรื่องการรับและการให้ ยิ้มมายิ้มตอบ หัวเราะไปหัวเราะมา เล่นมาเล่นไป กลไกเหล่านี้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของชีวิต

อย่าลืมว่าอีกกลไกหนึ่งของ EF คือการควบคุมยับยั้งเกิดขึ้นเร็วกว่านี้อีก เมื่อทารกกำลังเหม่อมองดูโมไบล์แล้วแม่เดินเข้ามา ทารกจะพัฒนาความสามารถหยุดมองสิ่งหนึ่งเพื่อมองอีกสิ่งหนึ่ง

และอย่าลืมข้อสังเกตที่มีชื่อเสียงของ Jean Piaget ที่อายุ 8 เดือน ทารกจะมองหาของเล่นที่หายไปบนผ้าผืนหนึ่งก่อนที่จะยับยั้งตนเองให้หยุดมอง แล้วเริ่มต้นมองหาของเล่นที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า นี่คือ ยับยั้งแล้วเปลี่ยน (response inhibition และ shifting)

การเล่นจ๊ะเอ๋ เมื่ออายุ 9 เดือน เป็นบทแรกๆ ของการเล่นที่ช่วยให้เด็กรู้จักการให้และการรับ เราทำอะไรออกไปจะได้อะไรคืนมา รวมทั้งการทำนายอนาคตอีกสักประเดี๋ยวแม่ต้อง “จ๊ะเอ๋!” ออกมาอีกแน่ๆ พื้นฐานการทำนายอนาคตผนวกกับการให้และการรับนี้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการจากความงอแงเอาแต่ร้องไห้เมื่ออายุ 12 เดือนไปเป็นความสามารถที่จะรับรู้ความต้องการของตัวเอง แล้วสื่อสารออกมาด้วยคำพูดเมื่อ 3 ขวบ โดยทำนายได้ว่าทำอะไรจะได้อะไร ถึงขั้นตอนนี้จะกล่าวว่าเด็กงอแงมากเพราะเล่นจ๊ะเอ๋น้อยเกินไปก็คงจะใช่

ที่อายุ 12 เดือน เด็กเตาะแตะไปจากแม่ด้วยมือเปล่าคือนาทีสำคัญของชีวิต เป็นความทรงจำของพ่อแม่ทุกคนและจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากสำหรับพ่อแม่ที่มิได้เห็นโมเมนต์นี้ ถึงเวลานั้นเด็กพร้อมแล้วที่จะให้และรับ ทำนายอนาคต รับความเสี่ยง ทดสอบขอบเขต โดยมีแม่นั่งดูอยู่ข้างหลังเป็นป้อมปราการที่เขาพร้อมจะวิ่งหนีกลับมาเมื่อไรก็ได้ นั่นคือเขามีมือที่ประสาทสัมผัสดีพอจะสำรวจ มีเท้าที่ไปได้แล้วกลับได้ มีการประสานมือและสายตาระดับหนึ่ง สามารถให้สัญลักษณ์และเล่นบทบาทสมมุติได้บ้างแล้ว ดังนั้นเขาสามารถดูดกลืนสรรพสิ่งหรือแปรรูปหรือใช้ประโยชน์แล้วแต่สถานการณ์ที่เขาเผชิญ และเมื่อเขาพบสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น ลูกหมา หรือลูกคน เขารู้ว่าการให้และการรับคืออะไรแม้ว่าจะต้องทดสอบกันอีกหลายยกก็ตาม ย่อหน้าทั้งหมดนี้เราไม่ต้องทำอะไรนอกจากเปิดโอกาสให้เขา ‘เล่น’

แม้ว่าการเล่นจะช่วยเรื่องทักษะสังคมแน่ๆ อย่างไรก็ตามควรมีคำเตือนสำหรับพ่อแม่บ้านเราที่ดูเหมือนจะกังวลกับทักษะสังคมมาก และข้ออ้างที่ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็วข้อหนึ่งคือเพื่อให้ไปมีสังคม แท้จริงแล้วทักษะสังคมมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนแต่เป็นเรื่องที่ต้องการเวลาพัฒนาการนานมากคือตั้งแต่ 2-3 ขวบไปจนถึงประมาณ 6-7 ขวบอันเป็นเวลาที่การเห็นตนเองเป็นศูนย์กลางลดลงมากพอแล้ว เมื่อนั้นทักษะสังคมจึงจะทวีความเร็วของพัฒนาการมากขึ้นได้โดยธรรมชาติ

อ่านมาตั้งนาน หากจะไม่ได้อะไรเลย รู้จักคำเดียวก็พอ ‘เล่น’

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่น

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ภูเขาน้ำแข็งในใจเด็ก พ่อแม่คือคนก่อ
Dear Parents
10 September 2018

ภูเขาน้ำแข็งในใจเด็ก พ่อแม่คือคนก่อ

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร อ่านบทความประกอบที่นี่ ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)ซาเทียร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
Learning TheoryEarly childhood
7 September 2018

EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • “เรากำลังเลี้ยงดูเด็กแบบไหน” ชวนคิดผ่าน ‘The Twelve Senses’ ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ เป็น sensory ในระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’ (จิตวิญญาณ) เพื่อประกอบเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง
  • ฐานใจในวัย 8-14 ปี พัฒนาการที่เกี่ยวกับการรับรู้โลกภายนอก (เพื่อกลับมาภายใน) ตั้งแต่ smell, taste, sight และ temperature ซึ่งทั้งหมดหมายถึงการก่อสร้าง วิจารณญาณ สร้างรสนิยมหรือบุคลิก การมองเห็นเพื่อตีความและกำหนดลงไปในความทรงจำของสมอง
  • The Twelve Senses ไม่ใช่แค่การสร้างลูก ยังคือการใช้ชีวิตของ ‘แม่’ ในนิยามของผู้เลี้ยงดู และเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจพบการเป็นแม่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการอยู่กับลูกอย่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘มนุษย์’

ต่อกันที่ชิ้นที่ 2 (ใครที่เพิ่งเปิดมาเจอชิ้นนี้ คลิกที่นี่ เพื่อกลับไปอ่าน The Twelve Senses ฐานที่ 1 นะคะ)

ถ้าฐานแรก ฐานกาย (senses of touch, of life, of movement, of balance) ว่ากันถึงการพัฒนาฐานกายของเด็ก ในช่วง 0-7 ปีแรก ตั้งแต่การรับสัมผัส, การรู้จักกับความรัก, การพัฒนาเรื่องการเคลื่อนไหว และการสร้างสมดุล ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีความหมายตรงตัวแค่เฉพาะทางพัฒนาการ แต่ ‘ฐานกาย’ ทั้งสี่ยังส่งผลต่อความเต็มพร้อมภายในที่เกี่ยวกับสำนึกเรื่องอิสรภาพ ความสัมพันธ์ เจตจำนงในชีวิต และการตระหนักถึงสมดุลแห่งชีวิต

ฐานที่ 2 ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ นักการศึกษา กระบวนกร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รัก (โรงเรียนพ่อแม่ลูก) นิยามว่าคือ ฐาน ‘ใจ’

ฐานนี้จะมีการพัฒนาที่เข้มข้นในเด็กวัย 8-14 ปี เป็นพัฒนาการที่เกี่ยวกับการรับรู้โลกภายนอก (ที่สุดท้ายก็ชวนให้กลับมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน) ตั้งแต่ smell, taste, sight และ temperature ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลับไปกำหนด วิจารณญาณ สร้างรสนิยมหรือบุคลิก การมองเห็นเพื่อตีความและกำหนดลงไปในความทรงจำของสมอง

แม้ทั้งหมดจะเป็นศาสตร์ของการพัฒนาการรับสัมผัส แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ฐานใจต้องการไปให้ถึง ก็คือการบอกกับคุณพ่อคุณแม่ หรือทุกคนที่ดูแลเด็กว่า…

คุณคือหนึ่งคนที่เป็นคนช่วยเก็บความทรงจำและช่วยเด็กตีความความรู้สึกที่เขาเพิ่งค้นพบเป็นครั้งแรกๆ ของชีวิต อย่ารีบบอกปัดหรือปฏิเสธอารมณ์ของเด็กๆ (เช่น พอลูกหกล้มก็บอกไม่เจ็บ ลูกร้องไห้บอกว่าห้ามร้อง) เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจเป็นคนที่ไม่เข้าใจแม้ความรู้สึกของตัวเอง หรือไม่กล้าแม้จะแสดงความรู้สึกอีกเลย

Sense 5: Sense of Smell

รู้จัก ‘วิจารณญาณ’ ผ่านศาสตร์การรับกลิ่นที่ทำให้ต้องกลับมาอยู่ (ข้าง) ในตัวเอง

ถ้าเด็กได้ใช้ชีวิตบนฐานกายอย่างมีเสรีภาพ ได้รับประสบการณ์มากมาย ได้อยู่กับผู้คน ได้ผ่านการทะเลาะกับผู้คน กระทั่งได้รับกลิ่นของผู้คนรวมถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งในที่นี้คือ sense of smell การที่เขาได้ดีลกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งเหล่านี้ ทำให้เขาเกิด ‘วิจารณญาณ’ ของชีวิต

วิจารณญาณเป็นปัญญาญาณที่ลึกซึ้งมากที่เราไม่สามารถบอกเด็กได้ว่าเธอควรต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ทำแบบนี้ แต่มันผ่านเข้ามาในสิ่งที่ถูกเก็บเกี่ยวไว้ในระดับเซลล์ ความทรงจำ ในระดับเซลล์แบบนี้แหละที่ทำให้เขากำหนดบางอย่างของชีวิตได้ ไม่ใช่การที่พ่อแม่บอกว่า “ลูกต้องเข้าใจ เขาเป็นครู ต้องเข้าใจเขา” เด็กไม่เข้าใจหรอก ทั้งหมดถูกตัดสินอยู่ภายใต้ระดับที่ลึกมาก

วิจารณญาณ กับ การได้รับกลิ่น เกี่ยวข้องกันอย่างไร

เวลาที่รับประสบการณ์ ก็จะมีการรับกลิ่นเข้ามาผ่านต่อมรับกลิ่นในจมูกด้วย ถ้าใน spiritual จะบอกว่าต่อมรับกลิ่นนี้อยู่ใกล้ตาที่ 3 การรับกลิ่นผ่านประสบการณ์ตั้งแต่เด็กกระทั่งถึงวันหนึ่งที่เขามีข้อมูลบางอย่างมากพอ จนกลิ่นนี้กลายเป็น ‘วิจารณญาณ’ ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เช่น เวลาที่เด็กเข้าไปอยู่ในสถานการณ์หนึ่ง อยู่ในประสบการณ์หนึ่ง พลังงานทั้งหลายที่ผ่านรูจมูกเข้ามาทางการหายใจจะถูกนำไปประมวลผลทันทีและทำให้เกิดความรู้สึกที่บางคนเรียกว่า ‘ปิ๊งแวบ’ เหมือนกับเราเข้ามาในห้องหนึ่งแล้วรู้สึก ‘กึ๊ก’ กับอะไรบางอย่าง และการ ‘กึ๊ก’ แบบนี้มันคือ

พลังงานที่เข้ามาผ่านลมหายใจ ผ่านการรับกลิ่นที่เราอาจเข้าใจความหมายบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่มันจะ ‘รู้สึก’ ได้ทันที

ทันทีที่ได้กลิ่นกำยานตอนไปวัด ทำให้เราต้องเดินช้าๆ ค่อยๆ เดินอย่างอัตโนมัติ เราจะไม่เข้าไปในที่แบบนั้นแล้วตะโกนลั่น แต่เด็กที่ขาดการรับรู้เขาก็จะเข้าไปสู่สถานการณ์นี้อย่างไม่มีวิจารณญาณ เพราะเด็กไม่เคยอยู่ในประสบการณ์วัยเด็กที่ทำให้เขากลับมาอยู่กับตัวเอง

‘ประสบการณ์รับกลิ่น’ กับ ‘การกลับมาอยู่กับตัวเอง’ ของเด็ก เป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปที่ฐานกายในช่วง 0-7 ปีแรก (4 senses แรก) ขณะที่เด็กวิ่งเล่น หรือไม่ว่าเด็กจะทำอะไรสักอย่าง เขาก็ต้องควบคุมตัวเองจากข้างใน เพื่อรู้ว่าตัวเองจะวิ่งได้แค่ไหนและเสียงดังได้อย่างไร

แล้วมันมีผลอะไรต่อ Sense of Smell?

ก็เพราะว่าเวลาที่เขาเข้าไปที่ไหน กลิ่นทำให้เขากลับเข้ามาที่ตัวเองแล้วดูว่า เขาควรเป็นอย่างไรกับที่นั่น

เปรียบเทียบกับการรับกลิ่น ถ้าเข้ามาในห้องหนึ่งซึ่งกินปลาร้ากันอยู่ คุณก็จะได้กลิ่นทันที แต่ถ้าอยู่ไปสักห้านาที ไม่มีกลิ่นใหม่เข้ามาในต่อมรับกลิ่น ต่อมรับกลิ่นก็จะหยุดทำงาน เราเริ่มชิน ไม่ได้กลิ่นแล้ว ตอนนั้น ปิ๊งแวบก็หยุดทำงานเช่นกัน แต่ถ้าเราอยากรับกลิ่นใหม่ก็ต้องออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามาใหม่

เหมือน ‘ปิ๊งแวบ’ เพราะ ‘ปิ๊ง’ แล้วก็ ‘แวบ’ หายไป เขาต้องเร็วมากที่จะจับความรู้สึกข้างในให้ได้ เช่น เขาเจอใครบางคนที่เขาไม่โอเค แล้วรู้สึกได้ว่าผู้ใหญ่คนนี้ไม่โอเค ก็เพราะเด็กคนนั้นได้กลับมาสู่ตัวเองและรับรู้ความรู้สึกบางอย่างได้ วิจารณญาณของมนุษย์ก็ทำงานในระยะสั้น ถ้ามันส่งสัญญาณแล้วเรารับไม่ได้ ก็แปลว่าเราไม่สามารถเข้าถึงวิจารณญาณของตัวเองได้ ฉะนั้นเด็กที่กลับมาที่ฐานกายบ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจสัญญาณบางอย่างในทางธรรมชาติที่บอกกับตัวเองว่า คนนี้ ที่นี่ ตรงนี้ โอเคกับเขามั้ย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

ถ้าจมูกไม่ถูกฝึกให้รับกลิ่นซึ่งกินความหมายของการกลับมาพิจารณาตัวเองภายใน จะเป็นอย่างไร

เด็กที่ขาดการได้อยู่กับตัวเองก็จะไม่มีวิจารณญาณ อยู่ในวัดก็อยากวิ่งอยากตะโกน ทั้งที่บรรยากาศไม่ได้ส่งให้เขาเป็นแบบนั้น แต่เด็กที่สงบ ต่อให้เป็นเด็กเล็กแค่สี่ห้าขวบ อยู่ที่วัดเขาก็จะนิ่งๆ แต่เด็กที่ถูกห้ามตลอด ถูกจัดการชีวิตตลอด เด็กพวกนี้ยิ่งห้ามยิ่งดุด่า ก็ยิ่งควบคุมตัวเองยาก

หรือกระทั่ง movement เด็กที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหนึ่ง มันต้องอยู่กับภาพตัวเองภายใน จัดการตัวเองข้างในถูกมั้ย แต่พอมันถูก interrupt หรือขัดจังหวะมากเข้า เด็กกลุ่มนี้ก็จะไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับมาข้างใน เขาจะขาดการเข้าใจตนเอง แล้วก็จะมีผลไปสู่ความสมดุลอื่นๆ อีก

มีวันหนึ่งลูกเราบอกว่าเขาอยากทำเรือใบเหมือนในการ์ตูนโดราเอมอน เราก็ช่วยเขาหาของมาทำจนครบ การที่เขานั่งอยู่กับมันแล้วเห็นเขาหายไปกับโลกใบนี้ ไปขลุกอยู่กับสิ่งตรงหน้า และทำให้เรือใบเกิดขึ้นได้จริง คือการที่เขากลับมาข้างในไม่สนใจโลกภายนอกเลย แต่สนใจอยู่ที่มือและงานของเขา

ความจริงมนุษย์เราก็พบตัวเราเองจากการกลับมาข้างใน เราจะรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำแล้วเวลาหายไป โลกใบนี้หายไป เราควรรู้จักข้างในตัวเราเองก่อน ก่อนที่จะมารู้จักความรู้และความคิดข้างนอกตัว การศึกษาและการเลี้ยงดูจึงกลับข้างกับการเติบโตของมนุษย์ เราอยากให้เด็กเก่งเร็วเกินไป ยัดอะไรให้เขารู้โลกภายนอกเร็วเกินไป มากกว่าการรู้จักข้างในตนเอง

Sense 6: Sense of Taste

รู้จัก ‘รสนิยม’ และ ‘บุคลิกภาพ’ ผ่านรสชาติและพลังงานในอาหาร

เราคงเคยได้ยินคำว่า ‘you are what you eat’ แต่เราไม่เคยเข้าใจ ใน sense of taste ทุกสิ่งที่เรากินเข้าไป มันนำพาพลังงานเข้าไปในตัวเราผ่านรสชาติอาหาร ไปสู่การเป็นเซลล์หนึ่งของร่างกาย คือพลังงานเพิ่มเข้าไปในเซลล์นั้น มันจึงมีความหมายมากตอนที่เขากินอาหาร ในบ้านที่ทะเลาะกัน บ้านที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง บ้านที่เต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่โอเค คุณก็ทำอาหารด้วยพลังงานที่ไม่โอเคให้ลูกกิน แล้วคุณจะคาดหวังให้ลูกจะมีพลังงานและมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร

sense of taste ยังบอกถึงรสนิยมของเด็ก รสนิยมในการใช้ชีวิต รสนิยมที่จะแต่งตัวแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ อยู่กับผู้คนแบบนี้ เขาอยากได้บ้านแบบนี้ อยากอยู่ในที่แบบนี้ ห้องนอนเขาควรเป็นแบบนี้ นี่คือ taste ผ่านรสนิยม

เรามักนึกถึงอาหารในแง่โภชนาการ เรื่องพลังงาน หรือกำลังแรงกาย แต่อาหารนำไปสู่รสนิยมการใช้ชีวิตยังไง

จริงๆ คาแรคเตอร์ของคน ก็คือ energy ของคน เวลาที่เราเห็นคนคนหนึ่งมีคาแรคเตอร์ที่อ่อนโยน ก็เพราะเขามี energy ที่อ่อนโยน

Taste ไม่ได้ใช่แค่ ‘รสชาติอาหาร’ แต่หมายถึงอารมณ์ในการกิน สิ่งที่แม่ทำ พลังงานที่แม่ป้อนให้?

เวลาที่กินอาหาร เขาก็จะรู้จักกับรสชาติของมันว่ามันสร้างความรู้สึก สร้างการรับรู้บางอย่างที่จะกลายเป็นตัวเขาต่อไป เช่น บางทีเรามักคิดว่า ของหวานเป็นสิ่งที่ไม่โอเคกับเด็ก เราเลย ‘แอบ’ ขนมไว้ ไม่ให้เขากิน แต่รสชาติหวานๆ มันบอกถึงความ luxury บอกถึงความสบาย เหมือนตอนที่กินขนมเค้กยามบ่าย ฉะนั้นทุกคนต้องติด เด็กก็ต้องติดอยู่แล้ว แต่การติดด้วย energy ที่ดี คือการที่เด็กได้รู้ว่าชีวิตชั้นช่างดีจัง ไม่ใช่การถูกห้ามที่จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากไปแอบกินขนมทีหลัง

เคยเห็นเด็กแอบกินขนมมั้ย? มันก็ยิ่งสวาปาม แต่การที่เราอนุญาตให้เขามีความรุ่มรวยของชีวิตที่แบบว่า… อยู่ต่อหน้าเราแล้วกินอะไรก็อร่อยไปด้วยกัน เด็กแบบนี้ไม่ติดหรอก (เน้นเสียง) แต่เด็กที่ติดส่วนใหญ่คือเด็กที่ถูกห้าม เด็กที่มาค่ายเรา เราจะรู้เลยว่าที่บ้านห้ามเขากินของพวกนี้มากแค่ไหน ถ้ามาถึงแล้วเขากินอย่าง ‘โหย’ นั่นแสดงว่าที่บ้านห้าม เด็กพวกนี้มักไม่ค่อยมีบุคลิกภาพที่ดีเท่าไหร่นัก

การเสพติดอาหารเหมือนการโหยหาความรัก บำบัดความเครียด หรือบอกอะไรได้บางอย่าง

การปฏิเสธอาหารก็บอกว่าเราติดอยู่กับอารมณ์บางอย่างได้ด้วยนะ ทุกอย่างเหมือนเป็นโดมิโนที่ส่งต่อกัน สังเกตว่าบ้านที่มีความสุข เขาไม่ทะเลาะกันเวลาอาหาร

พี่เคยผ่านช่วงที่ตัดสินลูก วิพากษ์วิจารณ์ พยายามที่จะเลี้ยงเขาให้ออกมาเพอร์เฟ็คท์ แต่ตอนนั้นชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ อย่างตอนกินอาหาร เขาต้องกินของที่มีประโยชน์ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเวลาที่พ่อเอาขนมมาให้ เราก็จะทะเลาะกับพ่อ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ไม่ดีเลย

วันที่พี่รู้ว่าองค์ความรู้นี้คืออะไร พี่ทบทวนตัวเองช่วงที่อยู่บนโต๊ะอาหาร พบว่าตัวเองจัดการผิดหมดเลย เขากินข้าวด้วยความทุกข์ พี่จึงตั้งใจว่าต่อไปนี้จะกินข้าวด้วยความสุข จะกินข้าวด้วย energy ที่ดี

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

มีงานวิจัยที่เผยแพร่ทาง BBC ว่า เด็กจำนวนไม่น้อยเลย ตอนเกิดมามีต่อมรับรสขมอยู่จำนวนมาก และต่อมรับรสขมนั้น ตามสัญชาตญาณดิบแล้วมันตีความหมายว่าเป็นพิษ เด็กกลุ่มนั้นจะปฏิเสธการกินผักในช่วงแรกของชีวิต เมื่อต่อมนั้นฝ่อไปเด็กจึงกินรสขมได้อย่างสบายใจ หากเราบีบบังคับเด็กกลุ่มนี้ให้กินผัก ไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา บางทีเราอาจทำให้เขาปฏิเสธการกินผักไปตลอดชีวิตก็เป็นได้

รสขมนั้นกระตุ้นเจตจำนงของชีวิต เด็กที่กินรสขมได้ เราจะรู้สึกได้ว่าเขามีพลังงานที่ดูก็รู้ว่าเขารู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับเด็ก แต่ทางเข้าที่จะทำให้เขากินผักได้จึงสำคัญมากๆ

หลังจากที่พี่เข้าใจแล้วว่าถ้าพ่อแม่กินข้าวให้อร่อย กินผักให้อร่อย ท้ายที่สุดลูกจะมองดูเรากินผัก แล้วพบว่าผักกินได้นะ ไม่ตายหรอก ไม่เป็นพิษ ก็ดูอร่อยนะ แล้วเขาก็เริ่มชิมมัน ชิมตอนแรกเขาอาจรู้สึกไม่อร่อย เพราะต่อมรับรสขมเขายังทำงานอยู่ แน่นอนว่าเราต้องให้โอกาสเขา ที่เหลือคือเราก็กินให้อร่อยจนวันหนึ่งเขาอยากลองอีก วันนั้นรสขมที่เข้าไปในชีวิตในทางบวกมันจะไปกระตุ้นความฮึกเหิม ความเชื่อมั่นของเขาได้เอง

แต่ถ้าเราบังคับเขากิน จัดการจนกระทั่งเขาเกลียดผัก ต่อให้ต่อมรับรสขมหายไปเขาก็เกลียดมัน มันเป็นความทรงจำที่ผูกโยงว่ามันคือความทุกข์ทรมาน คือความคลื่นไส้ ความสะอิดสะเอียนที่มากไปกว่าธรรมชาติ คือการทำให้ลูกปรุงแต่งรสกับความรู้สึก ท้ายที่สุดเด็กยิ่งไม่กิน แม้แต่ต้นหอมซอยในข้าวผัดก็กินไม่ได้ และนั่นแหละยิ่งยากกว่าอีก

แค่เรื่องการรับรสอย่างเดียว เหมือนว่าจะมีผลต่อบุคลิกของเราหลายประการเลย

เพราะ sense of taste ให้รสชาติบางอย่างกับชีวิตเพื่อขัดเกลาบุคลิกภาพและความเป็นตัวเขา รสนิยมในชีวิตของเขา เราจะเห็นเลยว่าถ้าเราเรียนรู้โลกไปสักระยะ เรารู้ว่ารสเปรี้ยวมันเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดพลังงานหวือหวา กระปรี้กระเปร่า เราก็จะรับรู้ได้ด้วยว่าคนที่มีบุคลิกแบบนี้ ก็มักจะกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือคนที่กินอาหารไม่มีรสชาติ ก็จะรู้สึกถึงบุคลิกของเขาอีกแบบหนึ่ง

Sense 7: Sense of Sight

รู้จัก ‘การรับรู้’: การมองเห็นที่เชื่อมกับประสบการณ์เก่า และ ฟังให้ดี อย่าปฏิเสธอารมณ์ของลูก

จมูกปิดไม่ได้ ปากเลือกเปิดหรือปิดได้ แต่ตา น่ากลัวมากเพราะ ปิดตาแต่ก็ดันมองเห็น เนื่องด้วยการรับรู้ทางตามี illusion หรือการตีความสิ่งเร้าที่ลวงตา เราไม่ได้เห็นสิ่งที่ตาเห็น เพราะตารับภาพเข้าไปอยู่ในหน่วยความทรงจำและเชื่อมต่ออะไรเยอะมาก โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับภาพความทรงจำในอดีต

ฉะนั้นเวลาที่เราเห็นใครสักคน คิ้วเขา ตาเขา อาจไปเชื่อมโยงกับบางอย่างในอดีตได้ เราจึงตีความภาพข้างหน้าพร้อมกับใส่ความรู้สึกตามความทรงจำในอดีต สมองทำงานอย่างรวดเร็วเสมอ แม้ยามเราหลับตา สมองยังส่งภาพบางอย่างมาปรากฏให้เราเห็นได้อีกเช่นกัน

Sense of Sight ในที่นี้จึงไม่ได้มีความหมายแค่ ‘ตา’ แต่คือการพิจารณาเชื่อมกับการตัดสิน?

เห็นตามประสบการณ์เก่า ซึ่งมันเกี่ยวกับว่าตอนเด็กๆ เขาเก็บความทรงจำเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยความหมายแบบไหน เช่น ถ้าเขาเคยเจอกับเด็กที่ไม่โอเค พอเขาเจอคนอื่นที่มีพลังงานคล้ายคนในความทรงจำนั้น เขาก็ตัดสินทันทีเลยว่า “คนนี้ไม่โอเค” เคยมั้ยที่เจอใครบางคนครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า หน้าตาเขาผิดระเบียบ หรือคนนี้ไม่ถูกจริตเรา?

เวลาที่พ่อแม่ เก็บหน่วยความจำให้กับเด็ก เราทำให้เด็กรู้สึกกับหน้าตาของคนที่ไม่ถูกจริตพ่อแม่เต็มไปหมด เราวิพากษ์วิจารณ์ผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เขาก็ซึมซับ จะพบว่าเด็กคนนั้นกลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีความสุขกับใครเลย ไอ้นั่นก็ไม่ชอบ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ ไอ้นั่นก็ไม่โอเค เพราะเราไม่ได้เห็นอย่างที่เราเห็น เราเห็นตามประสบการณ์เก่า ตีความตามประสบการณ์เก่า ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สัจจะ คนห้าคนเข้ามาดูหนัง เข้ามาทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง เขาก็กลับไปเล่าให้คนอื่นฟังไม่เหมือนกัน

เช่นกัน พี่น้องสองคนเข้าสู่ประสบการณ์เดียวกัน เจอพ่อแม่เดียวกัน เขาจดจำไม่เหมือนกัน เพราะการมองเห็นของเขามันถูกเชื่อมโยงกับประสบการณ์เก่า และเขาตีความไปตามนั้น

เราจึงจำเป็นต้องฟังเด็กมากๆ เพราะ sense of sight ที่เด็กมองเห็น มันจะระบุเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ ตรงนี้แหละ สิ่งสำคัญที่เราควรได้ยินว่า เขาไม่ชอบเพราะอะไร

ในช่วง 4 senses นี้มันเป็นความรู้สึกล้วนๆ เขาชอบกินอะไร อยู่ห้องนี้เพราะชอบ เพราะรู้สึกดี อันนี้โอเคหรือไม่โอเค มันคือการกลับมาที่ความรู้สึกล้วนๆ แต่เรามักปฏิเสธความรู้สึกเด็ก พอเด็กบอกว่าไม่ชอบครูคนนี้ เราก็ “ไม่ได้ลูก เขาเป็นครู” พอเด็กบอกหนาว “ไม่หนาวลูก อดทน” แต่พอหน้าหนาว ลูกไม่ใส่เสื้อกันหนาวเพราะเขาร้อน บอกลูกว่า “ต้องใส่ลูก ไม่หนาวไม่ได้ ต้องหนาว”

การถูกปฏิเสธแบบนี้ ส่งผลในระยะยาวต่อเด็กอย่างไร

เวลาที่คนเราอายุเยอะๆ แล้วไปปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เพื่อเท่าทันอารมณ์ถูกมั้ย? เพราะว่าตอนเราเป็นเด็กนั้น เราควรได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ รู้จักกับอารมณ์ เข้าใจแล้วจึงเท่าทันอารมณ์ แต่เด็กๆ กลับถูกปฏิเสธอารมณ์มาตลอดชีวิตเลย แล้วพอตอนแก่เลยต้องกลับมาตามหาการเท่าทันอารมณ์

ถ้าเขาบอกว่า “ไม่ชอบ” แล้วเราถามเขาว่า “ไม่ชอบเพราะอะไรลูก มันเป็นยังไงเหรอ” เขาจะกลับมาที่ตัวเองทันที การที่เด็กได้ทบทวนความชอบหรือไม่ สมองของเขาเกิดการทำงานเยอะมากเพื่อทบทวนและทำความเข้าใจชีวิต แค่การปฏิเสธอารมณ์นี่ก็เล่าได้อีกเป็นเล่มเลยนะ (หัวเราะ)

ยกตัวอย่างเบสิค เด็กหกล้ม เลือดไหล พ่อแม่พูดว่า “ไม่เจ็บลูก ไม่ร้องไห้” เด็กไม่มีข้อมูลอะไรมาก่อนเลย วันหนึ่งเห็นเลือด แล้วเขาก็เคยรู้สึกว่าปกติผิวเขาเป็นแบบหนึ่ง วันนี้เป็นอีกแบบนี้ มันต้องผิดปกติอะไรสักอย่าง แต่เราไม่ให้ความหมายกับเขาและกลับบอกว่า “ไม่เป็นไรลูก” พอเขาร้องไห้ เราบอก “ไม่เจ็บลูก” เอ๊ะ… มันคืออะไรนะ?

แม่เองก็มาด้วยพลังงานที่ panic หรือเต็มไปด้วยความกังวล ถึงตอนจะใส่ยาก็บอกลูกว่า “ไม่แสบ ไม่มีอะไร” พอใส่เข้าไปแล้วเป็นไง? เขาไม่เชื่อความรู้สึกของเขา เขาไม่เชื่อคำพูดของแม่ เพราะว่าเขาเคว้งในอวกาศว่ามันคืออะไร มีใครนิยามความรู้สึกนี้ให้ทีได้มั้ย

เวลาที่เด็กเท่าทันอารมณ์หมายความว่า สมองซีกขวารู้สึกแบบนี้ ถูกเชื่อมโยงกับสมองซีกซ้ายเพื่อตีความว่า แบบนี้เรียกว่า ‘เจ็บ’ ‘เสียใจ’ แต่พอมันไม่ถูกตีความ ข้างในมีแต่ความรู้สึกล้วนๆ ตีความไม่ได้ พอตีความไม่ได้วันหนึ่งเมื่อโตขึ้น พอเข้าสู่ประสบการณ์บางอย่างที่คล้ายเดิม อารมณ์มันก็กลับมาไฮแจ็คเราได้ตลอดเวลา ชีวิตคนที่ถูกปฏิเสธอารมณ์บ่อยๆ จึงถูกไฮแจ็คให้ใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ เพราะเขาไม่เข้าใจมันนั่นเอง

เหมือนเราไม่ได้ถูกตีความจากความรู้สึกที่เป็นจริง แต่ถูก interrupt จากความรู้สึกของแม่? จากความกลัวของแม่

จากการปฏิเสธว่า “ไม่มีอะไร” “เป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้” เขาก็ไม่ได้กลับมาทำความเข้าใจว่า อันนี้เขารู้สึกเสียใจ เพราะอะไรเขาถึงเสียใจ อันนี้เขาเรียกว่าเจ็บ ฉันทำอะไรเหรอถึงสร้างความเจ็บให้ตัวเอง คือมันไม่สอดคล้องกับความเจ็บที่เกิดขึ้น เพราะทุกอย่างถูกปฏิเสธหมด

ไม่ชอบเรียนเลข/ต้องชอบ ภาษาอังกฤษยาก/ไม่ยากหรอกลูก ทำโจทย์เลขไม่ได้/ง่ายนิดเดียว ทั้งที่จริงๆ ตอนที่เราเป็นเด็ก มันง่ายหรือยาก? นี่คือความสับสนของเด็กเต็มไปหมด สุดท้ายเขาไม่เคยกลับมาดูความรู้สึก เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อเขารู้สึกว่าเขากำลังรู้สึก ทุกคนจะบอกว่ามันเป็นอีกสิ่ง ท้ายที่สุดคนที่ถูกปฏิเสธบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นคนที่ ‘เลิกแสดงความรู้สึก’ บอกความรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังเป็นอะไร เลยเป็นไปตามอารมณ์

เพราะอธิบายออกไปไม่ได้?

ใช่ และก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบาย จะบอกแม่ว่ามันรู้สึกแย่ แม่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร” พอเขาเริ่มเป็นวัยรุ่น เขาไม่รู้จะเริ่มพูดกับใคร เขาก็เลิกพูดกับเรา เพราะว่าเราไม่เคยเข้าใจความรู้สึกเขาเลย แล้วเราก็งงว่าทำไมเขาเลิกสื่อสารกับฉัน ก็เพราะ ‘ฉัน’ ไม่เคยเข้าใจความรู้สึก ‘เขา’ เลย

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

เหมือนเป็นวงจร เพราะแม่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง เพราะกลัวว่าลูกร้องแล้วฉันจะตื่นตระหนก ถ้าลูกบอกว่าไม่ชอบเลข แล้วแม่จะทำยังไงต่อ

อยู่กับความรู้สึกของเขาจริงๆ เพื่อให้เขากลับมาดูความรู้สึก เท่าทันความรู้สึก และเขาจะเท่าทันตัวเองง่ายมาก เพราะความรู้สึก เมื่อเห็น มันจะดับเร็ว แต่เวลาที่เราไม่เห็นมัน มันจะมีพลังมากขึ้นๆ

เหมือนว่าพูดปัดๆ ไป แต่สุดท้ายก็มีผลกระทบอยู่ดี

ใช่ เพราะเราไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง ถึงบอกว่าเวลาที่อยู่กับลูกก็มีน้อย แล้วเรายังไม่อยู่กับความเป็นจริงของชีวิต แล้วลูกจะเรียนจากอะไร? ตรงนี้แหละคือเรื่องของการเท่าทันอารมณ์ เวลาคุณจะพูดอะไร ลองถามตัวเองก่อนว่ามันจะเกิดอะไรกันแน่ แล้วมันจะทำให้เราช้าลงในการทำบางอย่างเพื่อปฏิเสธอารมณ์เขา

กล่าวได้ไหมว่า Sense of Sight คือการตีความสิ่งที่มองเห็นจากประสบการณ์เก่า ซึ่งอยู่ที่ว่าเราเก็บบันทึกที่ผ่านการตีความในอดีตไว้อย่างไร ซึ่งการตีความความทรงจำก็เกี่ยวพันกับการเท่าทันอารมณ์ด้วย

และการเท่าทันอารมณ์ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อให้รู้จักตัวเอง รู้ว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร เพราะทุกสิ่งที่เห็นก็คือการประเมินความชอบและไม่ชอบของชีวิต ถ้าเราทำให้เขาเท่าทัน จากความไม่ชอบกลายเป็นความเข้าใจ มันก็จะทำให้สิ่งที่เป็น illusion ของชีวิตมันน้อยลง

Sense 8: Sense of Warmth

รู้จัก ‘ความอบอุ่น’: พื้นที่พิเศษ ผลลัพธ์ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก

คนจะเรียกเซนส์นี้ว่า sense of temperature มนุษย์เรามักเลือกอยู่ในที่ที่อุณหภูมิพอดิบพอดีกับชีวิต

มันจึงไม่แปลกว่า ถ้าบ้านไหนที่เย็นชามากเกินไป ลูกกลัวความเย็นชาก็ขังตัวเองในห้อง บ้านไหนร้อนมากไป ลูกก็ไปอยู่นอกบ้าน และมันไม่ได้มาจากความคิด แต่คือร่างกายที่ขับเคลื่อนพาตัวเองไปสู่อุณหภูมิที่พอจะมีชีวิตอยู่ได้

อย่างที่เคยบอกไปว่า ชีวิตพี่มันคือการทดลองเนอะ ถ้าเราคุยกันเรื่องนี้เมื่อสิบปีก่อนพี่อาจพูดไม่ชัด แต่วันนี้มันผ่านมาถึงวันที่ลูกอายุ 18 กับ 14 ปี เรายังกอดคอกันเดินแม่ลูก แต่มันก็ไม่ใช่ความวุ่นวายแบบ “คุยไรกันเยอะแยะ” บางทีเป็นแค่เราสามคนเดินกอดคอกันเงียบๆ แต่มันเป็นอุณหภูมิที่โอเค

คนเป็นแม่รู้สึกยังไง

มันแค่ยืนยันว่าเราเป็นแม่ที่โอเค เขาถึงกล้าอยู่ใกล้ จริงๆ sense of temperature มันเหมือนกับการเผยผลลัพธ์ให้เห็นว่า อุณหภูมิที่อยู่กันมา ผลลัพธ์มันเป็นยังไงและมันไม่ได้เป็นเรื่องทางกายภาพนะ เราอยู่กับลูกด้วยอุณหภูมิ

วันหนึ่ง ตอนลูกคนโตอยู่ในช่วงปิดเทอมกำลังจะขึ้น ม.5 ระหว่างที่นอนเล่นอยู่บ้านเขาก็ถามว่า ถ้าเขาไปเที่ยว 4 วันโดยไม่มีผู้ใหญ่เลยจะได้มั้ย? จำไม่ได้แล้วว่าพี่นอนเล่นอยู่หรือทำอะไร แต่จำได้ว่าหันไปบอกเขาว่า “เออ ก็ไปดิ” เขาตอบกลับว่า “นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ลูกบอกเพื่อนไปว่า ‘คอยดูนะว่าแม่จะตอบว่า เออ ก็ไปดิ’ โดยไม่ถามอะไรเลย” เราก็งงแล้วถามลูกกลับไปว่า “แล้วจริงๆ มันต้องถามอะไรเหรอ” (หัวเราะ) เขาบอกว่า แม่ของเพื่อนลูกคนหนึ่งไปเช่าโรงแรมอยู่ใกล้ๆ แล้วเราก็แบบ “เฮ้ย ลูกเราเรียนที่โรงเรียนนี้ อยู่หอพักกันเองมาเป็นปีโดยไม่มีแม่คุม แล้วการจะไปอยู่หัวหิน 4 วัน ต้องมีแม่คุมด้วยเหรอ?” เขาก็หัวเราะ

ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์

คือมันเป็นอุณหภูมิของคนที่อยู่ด้วยกันอะ ไม่ต้องมากลัวกันว่าต้องโกหกหรือต้องอะไร แล้วเขาก็โอเคที่จะอยู่กับเรา แต่คำว่า ‘อยู่กับเรา’ ในเด็กวัยรุ่น เขาไม่ได้อยู่กับเราทางกายภาพนะ แม้ตัวเขาก็เร่ร่อนไปใช้ชีวิตของเขาเอง เรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อน แต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน เขาอยู่กับเรา มันมีความสุข กินอะไรกันอร่อย คุยกันสนุก จบแล้ว

วันๆ สิ่งที่ยากคือ “วันนี้กินไรดี” คือนี่ยากแล้ว (เสียงหนัก) ครูท่านหนึ่งเคยบอกว่า ไม่รู้ว่าจะสร้างความทุกข์กันไปทำไม เพราะความทุกข์แค่ แก่ เจ็บ ตาย หรือ เจอหายนะ ภัยพิบัติ แค่นี้มนุษย์ก็ต้องทุกข์มากพอแล้ว แค่จะทำให้ไม่เจ็บป่วย เจอภัยพิบัติแล้วไม่เป็นไร แก่และตาย พวกนี้คือความทุกข์อยู่แล้ว เรายังจะสร้างความทุกข์กันมากขึ้นไปกว่านี้อีกเพื่ออะไร เราสร้างความทุกข์ต่อกันจนกระทั่งอุณหภูมิในบ้านมันไม่โอเค ไปเพื่ออะไรเหรอ?

สรุปได้ไหมว่า Sense of Warmth หรือ Sense of Temperature ก็คือความรู้สึกปลอดภัย ความสบายที่จะอยู่ด้วยกัน

การที่ลูกรู้สึกว่าบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นที่ที่ลูกรู้สึกมีพลัง มีตัวเชื่อมระหว่างเรากับเขา จนแม้ว่ายามที่เขาอยู่ไกลแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกปลอดภัย มันมีบางอย่างที่เขารู้สึกว่าเราอยู่กับเขาตลอดเวลานั้น มันพิเศษมาก อยากให้พ่อแม่ลองใคร่ครวญดูว่า เด็กที่รู้สึกชีวิตปลอดภัยจะมีพลังชีวิตที่จะเรียนรู้หรือใช้ชีวิตดีๆ ได้แค่ไหน

อ่านเซนส์ที่ 1-4 ได้ที่ EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’
เซนส์ที่ 9-12 ได้ที่ EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์พ่อแม่

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ
How to get along with teenager
7 September 2018

โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Design Thinking ออกแบบชีวิตที่มีมากกว่าหนึ่งทางเลือกได้ด้วยการเข้าใจตัวเอง ฟุ้งเยอะๆ แล้วก็หาวิธีทดลอง
  • Design Thinking เป็นหนึ่งวิธีที่จะทำให้วัยรุ่นรู้จักตัวเอง แล้วจะค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองชอบ และอยากเป็นคืออะไร
  • ทางเลือกชีวิตมีให้เลือกเยอะ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องทำอาชีพเดียวไปตลอดชีวิต Design Thinking จะทำให้เรามองเห็นทางเดินใหม่ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้
ภาพ: สำนักพิมพ์ Bookscape

เด็กๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไร? คุณครูมักจะมาพร้อมคำถามนี้ สปีดในการยกมือ (และแย่ง) ตอบก็จะลดลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หลายคนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังหาคำตอบข้อนี้ให้ตัวเองไม่ได้

เราต้องการอะไร หรือ เราอยากทำอะไร … ถามง่ายแต่ตอบยากเสมอๆ

คำถามดังกล่าว คือ หัวใจสำคัญของงาน Book Talk ‘ออกแบบชีวิตและธุรกิจด้วย Design Thinking’ จัดโดยสำนักพิมพ์ Bookscape ร่วมกับอุทยานการเรียนรู้ TK Park ร่วมพูดคุยโดย รวิศ หาญอุตสาหะ CEO บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจ Mission To The Moon, เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล CEO บริษัท ลูกคิด (Lukkid) จำกัด ผู้แปลหนังสือ Designing Your Life (Designing Your Life: How to Build a Well-Lived, Joyful Life) และ นรินทร์ จิตต์ปราณีชัย ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม a-chieve แนะแนว ‘อาชีพที่ใช่ ชีวิตที่ชอบ’ สำหรับเด็กไทย

สปอยล์ไว้ตั้งแต่บรรทัดนี้เลยว่า ประสบการณ์ของทั้งสามคนจะทำให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้มีเพียงทางเลือกเดียว ด้วยสามวิธีง่ายๆ คือ 1.เข้าใจตัวเอง 2.ฟุ้งเยอะๆ และ 3.หาวิธีทดลอง แล้วก็จะรู้ว่าชีวิตเราเป็นอะไรได้อีกมากมาย

Design Thinking คืออะไร

เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล อธิบายว่า นานมาแล้ว Design Thinking อยู่ในหมวดวิชาของสถาปนิก เรื่องของการออกแบบสินค้าใหม่ๆ มหาวิทยาลัย Stanford ตั้งโรงเรียนหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Stanford d.school (d ย่อมาจาก design) เน้นการนำกระบวนการนี้มาคิดผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการใหม่ๆ ให้กับองค์กรต่างๆ

“หลักการคือถ้าเราจะคิดอะไรใหม่ๆ ให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการ จะเริ่มจากคิดเองในบ้านไม่ได้ เพราะบางอย่างเราคิดเองว่าลูกค้าอยากได้ แต่จริงๆ ลูกค้าอาจไม่ได้อยากได้แบบนั้น หลักการของมันคือ ลูกค้าอยากได้อะไร ตื่นนอนมาเขาฝันถึงอะไร ฝันร้ายของเขาคืออะไร แล้วเก็บข้อมูลเหล่านี้ว่าจริงๆ มันเป็นผลิตภัณฑ์ หรือบริการอะไรที่จะตอบโจทย์ให้เขาได้บ้าง”

บิลล์ เบอร์เนตต์ กับ เดฟ อีวานส์ อาจารย์ของเมษ์และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีความคิดว่า แทนที่จะทำความเข้าใจลูกค้า แต่เราได้ลองทำความเข้าใจตัวเอง เราอาจเข้าใจมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร

ฮาวทู ออกแบบความคิด

Design Thinking มีสามขั้นตอนสำคัญ

ขั้นแรกคือ รู้จักตัวเอง การแก้ไขปัญหาอะไรก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาโลกแตกอย่าง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี, อยากเป็นอะไร, ฉันเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองชอบจริงหรือเปล่า หรือ ฉันจะเกษียณแล้วจะทำอะไรต่อ

“ให้ทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าจริงๆ แล้วความสุขของชีวิตเราคืออะไร แต่ละวันเราหมดพลังไปกับอะไร อะไรคือสิ่งที่ทำไปแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไป เราเอนจอยกับมันมาก ถ้าเราตระหนักรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นั่นคือรู้จักตัวเอง” เมษ์อธิบาย

สอง ฟุ้งให้สุด เมื่อเรารู้ตัวเอง มันก็ดึงเราไปต่อว่า เราฟุ้ง เราคิดอะไรได้บ้างว่าสิ่งที่เป็นทางเลือกให้เราคืออะไรบ้าง คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขกับชีวิตเพราะคิดว่าชีวิตเรามีทางเลือกเดียว

“ฉันโตมาต้องเป็นหมออย่างเดียวถึงจะแฮปปี้ หรือฉันต้องทำบริษัทนี้เท่านั้นถึงจะมีความสุข เพราะเราไปฟิกซ์เองว่ามันเป็นทางเลือกเดียว

นรินทร์ จิตต์ปราณีชัย, รวิศ หาญอุตสาหะ และ เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล 

Design Thinking ให้เราฟุ้งให้เต็มที่ได้เลยว่าถ้าไม่มีขอบเขต ข้อจำกัดมันเป็นอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเราไม่มีข้อจำกัดในการคิด option ให้กับชีวิต มันอาจจะเป็นได้เยอะแยะที่เหมาะกับชีวิตเราเหมือนกัน” วิธีฟุ้งจากเมษ์

รวิศ หาญอุตสาหะ เสริมว่า เวลาหาไอเดียใหม่ ให้ลองเอา ‘ปริมาณ’ มาก่อน ‘คุณภาพ’ ดูบ้าง

“แต่ก่อนเราจะได้ยินคำว่า quality (คุณภาพ) ก่อนเสมอเวลาเราจะเลือกไอเดียที่ดี อันนี้เหมือนจะจำกัดความคิด อยากให้เอา quantity หรือปริมาณมาก่อนบ้าง เพราะว่าไอเดียที่ฟังดูบ้าๆ บอๆ จะถูกตัดทิ้งตั้งแต่มันยังไม่ถูกเขียนในโพสต์อิทด้วยซ้ำ ถ้าเราคิดแบบเกิน คิดอะไรได้ก็แปะไว้ก่อนพรุ่งนี้บางทีมันอาจจะเวิร์ค”

และสาม ลงมือทำ เมื่อฟุ้งเสร็จมันไม่ได้อยู่แค่นั้น เราซึ่งก็คือคนฟุ้งเอง ทำอะไรมากกว่านี้ได้ไหม

“ทั้งหมดเพื่อที่จะรู้ว่าที่เราคิด ที่เราทำมันมาถูกทางหรือเปล่า อยากเป็นเชฟมิชลิน ลองเข้าครัวก่อนไหมว่าอยากเป็นจริงๆ หรือเปล่า อยากเป็นหมอ ลองไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เห็นเลือดแล้วเป็นลม ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ต้องมีการทดลองเล็กๆ เพื่อที่จะรู้ว่าใช่หรือเปล่า”

เมษ์สรุปสั้นๆ ว่า Design Thinking คือเข้าใจ ฟุ้งเยอะๆ จากนั้นหาวิธีทดลอง แล้วดูว่ามันใช่วิธีที่เราต้องการหรือเปล่า

Design Thinking กับการค้นหาตัวตนของวัยรุ่น

หลายคนเรียนมาจนสุดเพดานการศึกษา แต่พบว่ายังไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิต

แล้ว Design Thinking จะเข้ามาช่วยได้อย่างไร?

ในฐานะที่คลุกคลีและทำงานกับเด็กมาตลอด นรินทร์จาก a-chieve บอกว่า เด็กมีหลายระดับ ตั้งแต่ เด็กที่ไม่มีทางเลือกเลย เด็กที่มีทางเลือกมากแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร หรือเด็กที่เขามั่นใจว่าอยากทำอะไรแต่ว่ยังไม่ได้ลอง

“เวลาแนะนำเด็ก ต้องพยายามให้เขาวิเคราะห์ตัวเองรอบด้าน ไม่ใช่แค่เรารู้ตัวเองแต่ควรรู้ในสิ่งที่เรากำลังจะเลือกด้วย คล้ายกับ Design Thinking บอกว่าเวลาที่เรามีทางเลือก การที่จะรู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่

หนึ่งคือต้องไปหาข้อมูล สองคือต้องไปลองทำเป็นประสบการณ์เอา input นั้นมาลองกับตัวเอง

หลักๆ ของ a-chieve คือพยายามให้เด็กมีกระบวนการวิเคราะห์ตัวเองก่อนในเรื่องให้เขามีเป้าหมาย เขาให้คุณค่าหรือเขาชอบอะไร เขามีความถนัดหรือไม่ถนัดอะไร แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เด็กไม่ค่อยคิดแต่ว่ามันสำคัญมากก็คือ สภาพแวดล้อมของครอบครัว หรือสังคม มันมีผลอะไรต่อตัวเรา นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามให้เด็กได้ลองวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ใช้ตัดสินในชีวิตประจำวันมันมีอะไรที่เชื่อมโยงกับเขาอยู่บ้าง”

สามคือ ลงมือทำ เมื่อเด็กมีกระบวนการคิดการวิเคราะห์ตัวเองได้แล้ว ที่เหลือคือลองทำจริง ไปลองค้นหา ไปอ่านหนังสือในสิ่งที่เขาบอกว่าอยากจะเป็นให้ได้มากที่สุด ไปเรียนรู้อาชีพในที่ทำงานจริง หรือมีรุ่นพี่มาถ่ายทอดประสบการณ์และตอบทุกคำถามที่น้องๆ อยากรู้

“ทางเลือกมีอยู่มีเยอะมาก เขาสามารถเข้าไปอ่าน เข้าไปดู เข้าไปเจอ ก็ดูได้ว่าอันไหนที่ตรงกับเขามากที่สุด a-chieve พยายามผลักดันให้เด็กไม่ได้มีแค่อาชีพเดียว เพราะสุดท้ายแล้วเราสามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้มากกว่าแค่ 1 อาชีพ”

พ่อ-แม่-ลูก คุยกันเพื่อออกแบบ

กองหลังสำคัญอย่างพ่อแม่ ก็มาพร้อมปัญหาสำคัญเช่นกันคือ ไม่รู้จะคุยกับลูกอย่างไร

นรินทร์ยกตัวอย่างกรณีลูกวัยรุ่น สิ่งที่เจอบ่อยคือ พ่อแม่ไม่ได้คุยกับลูกตั้งแต่แรก หมายถึงประถมไล่ไปจนถึงมัธยม ส่วนใหญ่จะส่งให้ลูกเข้าโรงเรียนแล้วให้โรงเรียนเป็นฝ่ายจัดการ ขาดการอัพเดทความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

“ผมเห็น success case ของเด็กที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยมีครอบครัวสนับสนุน สิ่งที่เราเห็นคือครอบครัวกับเด็กจะใกล้ชิดกันมาก เขาสามารถอัพเดท สามารถบอกสิ่งที่เป็นตัวของเขาเอง และผู้ปกครองก็จะบอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร

อยากฝากผู้ปกครองว่าให้คุย ให้ฟังเยอะๆ สร้างพื้นที่ปลอดภัย ทำให้เด็กกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาชอบอะไร เขามีความฝันอะไร เขาอยากเป็นอะไร โดยที่เราไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด ถ้าทลายอันนี้ได้ เราก็จะเข้าใจลูกมากขึ้นว่าเขาอยากทำอะไรกันแน่”

จากนั้นพ่อแม่ค่อยสนับสนุนข้อมูล เช่น พาไปพบ ไปคุยกับคนในสายงานที่ลูกสนใจ หรือไม่ก็พาไปดูการทำงานเลย

“โดยที่ไม่ได้ไปบอกนะว่ามันดีหรือไม่ดี ให้ลูกไปลองฟัง ไปคุย แล้วก็บอกกันเหมือนเพื่อน พ่อแม่อย่าไปตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี แค่ให้ข้อมูลว่าเป็นอย่างไร”

พ่อแม่ดื้อกว่าลูก?

หลายบ้าน คนที่หัวแข็งจริงๆ กลับไม่ใช่ลูก

“ส่วนใหญ่น้องๆ ที่เจอปัญหานี้ คือไม่สามารถไปบอกกับครอบครัวได้ว่าฉันอยากเป็นอันนี้ เชื่อฉันสิ ส่วนใหญ่เด็กที่เข้าไปคุยกับผู้ปกครองแบบไม่ค่อยมีข้อมูล หรือเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เขาอยากจะเป็นมันคืออะไรกันแน่ เขาไม่สามารถบอกได้ด้วยข้อมูลที่เขามี

ฉะนั้นเวลาไปต่อรองกับที่บ้าน ต้องรู้ตัวเองก่อน แล้วค่อยอธิบายในสิ่งที่เราอยากเป็น เช่น ต้องเรียนอะไร จบไปแล้วทำอาชีพอะไร มีรายได้เท่าไหร่ เรารู้สึกว่าบางทีมันต้องมีกลยุทธ์หน่อยเวลาไปคุยกับที่บ้าน”

นรินทร์ย้ำว่า เด็กต้องรู้ให้ดีที่สุดก่อนไปบอกผู้ปกครอง เพราะถ้าไปพร้อมความไม่รู้ ผลลัพธ์คือช่องว่างที่ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถต่อรองได้ กลายเป็นพ่อแม่หัวแข็งยิ่งขึ้นไปอีกเพราะเหตุผลของอีกฝ่ายซึ่งก็คือลูก-ไม่มีน้ำหนักพอ

“ถ้าเด็กมีข้อมูลพร้อมแล้ว สิ่งที่เขาต้องลองทำคือ คุยกันตรงๆ ว่าอยากจะเป็น อยากทำ หรืออยากเรียนสิ่งนี้ เพราะอะไร  พ่อแม่บางส่วนก็พร้อมจะฟัง ถ้าเขายังไม่ฟังก็อาจจะลองหาครูที่ปรึกษาเข้าไปช่วยคุย” นรินทร์ทิ้งท้าย

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)หนังสืองานเสวนาdesign thinkingBookscapeพ่อแม่

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี
Creative learning
7 September 2018

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

เรื่อง The Potential

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนดนตรีโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างการเล่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง
Character building
6 September 2018

ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การสอนให้เด็กมีภาวะผู้นำที่มีคุณธรรมและเคารพในความแตกต่างตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้พวกเขารับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะเมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นได้
  • leadership ไม่ใช่ภาวะการเป็นผู้นำเดี่ยว ที่ใช้อำนาจได้เป็น มีความแข็งแกร่ง ควบคุม สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่หมายถึงภาวะการนำตนเองได้ในความแตกต่างหลากหลายอย่างมีมนุษยธรรม
  • เด็กๆ อาจจะบอกว่า “ก็ไม่ได้อยากเป็นผู้นำ จำเป็นต้องมีภาวะผู้นำด้วยเหรอ?” บทความนี้มีคำตอบ

“I have a dream today… I have a dream that my four little children will one day live in a nation where they will not be judged by the color of their skin but by the content of their character…”. Martin Luther King Jr.

“วันนี้ข้าพเจ้ามีความฝัน…ข้าพเจ้าฝันว่าสักวันหนึ่งลูกเล็กๆ ทั้งสี่คนจะเติบโตขึ้นมาในประเทศที่พวกเขาจะไม่ถูกตัดสินคุณค่าด้วยสีผิว แต่ด้วยคุณลักษณะที่พวกเขาเป็น…” มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ศาสนาจารย์ และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนผิวสีชาวอเมริกัน กล่าวไว้เมื่อ 55 ปีก่อน

ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยใด มนุษย์อาศัยอยู่ท่ามกลางสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่าง หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จาก 55 ปีที่แล้วย้อนกลับมาถึงวันนี้ เรายังคงต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความต่าง ทั้งสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ความต่าง กลายเป็นความพิเศษและมีคุณค่า จนสามารถฉายความโดดเด่นในเชิงบวกออกมา และสร้างการยอมรับได้ คือ ‘คุณลักษณะ’ หรือ ‘character’ ที่จะทำให้เรามีตัวตนและช่วยเปิดพื้นที่ให้แสดงออกและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะตัดสินเราด้วยรูปลักษณ์หรือลักษณะภายนอกของเราอย่างไร

ในความแตกต่างหลากหลายนี้เอง ภาวะผู้นำ หรือ leadership จึงเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ขาดไม่ได้

leadership ไม่ได้หมายถึงภาวะการเป็นผู้นำเดี่ยว ที่ใช้อำนาจได้เป็น มีความแข็งแกร่ง ควบคุม สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่หมายถึงภาวะการนำตนเองได้ในความแตกต่างหลากหลายอย่างมีมนุษยธรรม

เพราะมนุษย์จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน สังคมปัจจุบันจึงต้องการคุณลักษณะของการนำร่วม ในการกำหนดทิศทางชีวิตของทุกคนในสังคมด้วยการพึ่งพาอาศัยกันอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในรูปแบบที่ต้องการได้ ภายใต้ความแตกต่างหลากหลาย และหากผู้คนในสังคมยิ่งมีภาวะการนำร่วม สังคมก็ยิ่งจะก้าวข้ามกับดักของความเป็นปัจเจกและเห็นแก่ตัว นำไปสู่สังคมที่พึ่งพาอาศัยกันได้ในที่สุด

บทความเรื่อง การสร้างคุณลักษณะ: แก่นแท้ภาวะผู้นำ หรือ Building Character: A leadership Essential โดย เจมส์ ซี. ซาร์รอส (James C. Sarros), ไบรอัน คูเปอร์ (Brian Cooper) ผู้เชี่ยวชาญด้านสาขาการจัดการ มหาวิทยาลัยโมนาช ออสเตรเลีย (Monash University) และ โจเซฟ ซี. ซานโทรา (Joseph C. Santora) กรรมการผู้จัดการจาก TST Inc ที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา นำเสนอ ‘คุณลักษณะที่แสดงออกถึงภาวะผู้นำ’ จากการสำรวจผู้บริหารกว่า 200 คนจากภาครัฐ บริษัทเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในออสเตรเลีย 17 ข้อ อันสะท้อนถึงคุณลักษณะอันจำเป็นของผู้คนในสังคมปัจจุบัน ได้แก่

ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) : คุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมจริยธรรมและมาตรฐานในการทำงาน และการใช้ชีวิต ผลการสำรวจ พบว่า คนที่มีความซื่อสัตย์จะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ

ความร่วมมือ (Cooperativeness) : ความเต็มใจและตั้งใจทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้บรรลุภารกิจและวัตถุประสงค์ในการทำงานร่วมกัน

ความเป็นธรรม (Fairness) : การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

การมีวินัยในตนเอง (Self-discipline) : การตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย

มีความจริงใจ (Honesty) : เปิดเผย ไม่ปิดบังความจริงต่อผู้อื่น

ความเคารพนับถือ (Spiritual Respect) : การให้คุณค่าและเคารพความหลากหลายและความแตกต่างของผู้คน ทั้งในแง่ของภูมิหลัง วัฒนธรรมและความเชื่อ

การให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Respectfulness) : แสดงออกถึงความมั่นใจ การตอบแทน และความชื่นชมต่อผู้อื่น

ความจงรักภักดีในฐานะคนทำงาน (Employee Loyalty) : มีความทุ่มเทให้กับงานและเพื่อนร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง

การมีอารมณ์ขัน (Humor) : ความสามารถในการสร้างเสียงหัวเราะและเห็นแง่มุมที่ขบขันในสถานการณ์ที่เลวร้าย

พลังคลั่งไคล้ (Passion) : การมีพลังและความกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายหรือความตั้งใจ

ความสามารถ (Competency) : การมีความสามารถในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความจงรักภักดีต่อองค์กร (Organisation Loyalty) : การมีความทุ่มเทให้กับองค์กรที่ทำงาน

ความกล้าหาญ (Courage) : การมองเห็นเป้าหมายในระยะยาว แล้วลงมือทำโดยไม่ให้ความกลัวเข้ามาขัดขวาง

ความเมตตา (Compassion) : ความห่วงใยในทุกข์สุขของคนอื่น และช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ

ความไม่เห็นแก่ตัว (Selflessness) : ความเสียสละที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อผู้อื่น

ปัญญา (Wisdom) : ความสามารถในการนำประสบการณ์และความรู้มาประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างเต็มศักยภาพและเกิดประโยชน์

ความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humility) : ความรู้จักประมาณตัว ไม่โอ้อวด และไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ก็ไม่ได้อยากเป็นผู้นำ จำเป็นต้องมีภาวะผู้นำด้วยเหรอ?

แน่นอนว่าในภาคปฏิบัติของการทำงาน ‘ผู้นำ’ ที่มี ‘ภาวะผู้นำ’ เป็นกลไกสำคัญที่พาองค์กรไปสู่เป้าหมาย ผู้นำที่ดีทำให้การทำงานเป็นทีมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เกิดความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ภาวะผู้นำ ไม่ได้หมายถึง ความเป็นผู้นำในองค์กรหรือสถานที่ทำงานอย่างเดียวเท่านั้น บทความเรื่อง ภาวะผู้นำและเด็ก (Leadership and Children) เผยแพร่ทางเว็บไซต์ PennState Extension โดยมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตท (Pennsylvania State University) กล่าวว่า ภาวะผู้นำ เกี่ยวข้องกับคำสำคัญเหล่านี้ – ความมั่นใจในตัวเอง (self-confidence) การทำเพื่อสังคม (pro-social) การแก้ปัญหา (problem solving) และ การตัดสินใจและเลือกอย่างอิสระ (makes independent decision and choices) เห็นได้ว่าคำสำคัญที่กล่าวมาทั้งหมด มีความเกี่ยวข้องทั้งกับตัวเอง บุคคลอื่น องค์กร และสังคม

หากพ่อแม่ช่วยสร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก จะช่วยให้พวกเขาควบคุมตนเองได้ หนุนเสริมความสามารถให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เป็นส่วนผสมที่ค่อยๆ สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล และสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาตนเองด้านความรับผิดชอบ ต่อตัวเอง องค์กรและสังคมไปในเวลาเดียวกัน

พ่อแม่จะทำอย่างไรได้บ้างในการสร้างลักษณะนิสัยให้ลูกมีภาวะผู้นำ?

ทราวิส แบรดเบอร์รี (Travis Bradberry) เจ้าของหนังสือติดอันดับขายดี Emotional Intelligence 2.0 และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ TalentSmart บริการให้คำปรึกษาบริษัทกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 500 ลำดับแรกจากนิตยสารธุรกิจชื่อดัง Fortune ของสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการด้านการทดสอบและฝึกอบรมความฉลาดทางอารมณ์ เขียนถึง 8 วิธีอันทรงพลังที่จะช่วยพ่อแม่ปั้นลูกๆ ให้มีภาวะผู้นำ ไว้อย่างชัดเจน พร้อมย้ำว่า งานปั้นนี้เป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

1. มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence: EQ)

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นแรงขับสำคัญของความสำเร็จในผู้นำ แม้เป็นอะไรที่ดูเหมือนสัมผัสและเข้าถึงได้ยาก แต่ส่งผลโดยตรงต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมและการตัดสินใจในเชิงบวก เด็กเรียนรู้และซึมซับ EQ จากพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ปกครองในชีวิตประจำวัน รวมทั้งอารมณ์และพฤติกรรมที่สื่อสารโดยตรงกับพวกเขาทุกวันตั้งแต่แรกเกิด

TalentSmart ได้ทำการทดสอบผู้คนกว่าล้านคน พบว่า EQ มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของหัวหน้างานถึง 58 เปอร์เซ็นต์ โดย 90 เปอร์เซ็นต์ ของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการบริหารงานเป็นคนที่มี EQ อยู่ในระดับสูง

ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นต้นแบบให้ลูกได้ ด้วยการสื่อสารและแสดงอารมณ์ในเชิงบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่อาจทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ยิ่งพ่อแม่แสดงให้เห็นศักยภาพในการรับมือกับปัญหาและอารมณ์เชิงลบได้ดีเท่าไร ลูกจะยิ่งเรียนรู้วิธีในการควบคุมจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีเท่านั้น

2. ไม่ติดกับดักความสำเร็จ (Don’t obsess about achievement)

พ่อแม่ไม่ควรกดดันลูก ด้วยการเข้าไปกำหนดกะเกณฑ์เส้นทางชีวิต โดยเฉพาะการใส่ไอเดียความสำเร็จในชีวิตของลูกบนพื้นฐานความต้องการของพ่อแม่ การเลี้ยงลูกให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและผู้คนที่สร้างให้เกิดการเรียนรู้ต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

3. ชมได้แต่ต้องไม่มากเกินไป (Don’t praise too much)

คำชื่นชมจากผู้ใหญ่แสดงถึงการยอมรับ ทำให้เด็กและเยาวชนมีความนับถือในตัวเอง แต่ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใหญ่ต้องแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความมุ่งมั่นและความพยายามของเด็กไม่เกินเลยจากความเป็นจริง ให้คำแนะนำปรึกษาถึงสิ่งที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก

4. ให้พวกเขาได้เผชิญกับความล้มเหลวและความเสี่ยงบ้าง (Allow them to experience risk and failure)

ความสำเร็จในธุรกิจและในชีวิตขับเคลื่อนโดยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยง’ หากผู้ใหญ่เลี้ยงดูเด็กเหมือนไข่ในหิน ไม่ปล่อยให้เผชิญหน้ากับความล้มเหลว เด็กก็จะไม่เข้าใจว่าความเสี่ยงคืออะไร และไม่มีความอดทน เราจะสัมผัสรสชาติอันหอมหวานของความสำเร็จได้อย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อเคยลิ้มรสชาติความขมจากความล้มเหลวมาก่อน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ แรงสนับสนุนจากพ่อแม่เมื่อเด็กทำผิดพลาดหรือล้มลง แรงส่งเสริมให้ลุกแล้วเดินหน้าต่อจากผู้ปกครองช่วยสร้างให้เด็กมีความมั่นใจ อย่างน้อยพวกเขาจะรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างพวกเขาเพื่อฝ่าฟันปัญหาต่างๆ เสมอ

5. ไม่ตามใจ (Say No)

เด็กต้องเรียนรู้และฝึกตัวเองให้มีความอดทน และรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การที่ผู้ปกครองปฏิเสธไม่ทำตามที่พวกเขาต้องการ อาจทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ถูกตามใจจนเสียคน และขาดความอดทนต่อแรงรุมเร้าจากปัจจัยภายนอก รวมทั้งความกระวนกระวายใจภายใน

6. ให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง (Let children solve their own problems)

ผู้นำต้องพึ่งพาตนเองได้ การปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นการฝึกให้พวกเขายืนหยัดและมีความแข็งแกร่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ได้อย่างใจ หากผู้ปกครองไม่ปล่อยให้เด็กได้คิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เด็กจะนิ่งเฉยและรอคอยให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอยู่เสมอ ในทางกลับกันผู้นำจะคิด แล้วลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง

7. พูดคุยกัน (Walk your talk)

ผู้นำที่แท้จริงต้องมีความโปร่งใสและมีความพร้อมอยู่เสมอ สิ่งนี้ช่วยสร้างการยอมรับนับถือจากคนรอบตัว ผู้ปกครองต้องแสดงออกให้เห็นเป็นตัวอย่าง เมื่อลูกโตขึ้นในวัยที่เข้าใจเหตุผล การสื่อสารและแสดงออกด้วยความซื่อตรงและตรงไปตรงมาของผู้ปกครองจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเดินรอยตามได้

8. แสดงให้เห็นว่า เราทุกคนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไม่ต่างกัน (Show you’re human)

ไม่ว่าลูกจะก้าวร้าวและดื้อขนาดไหน พ่อแม่คือฮีโร่และเป็นตัวอย่างของพวกเขาเสมอ ได้ยินแบบนี้อาจทำให้พ่อแม่ขยาดเพราะคิดว่าตัวเองทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด แต่ความเป็นจริงนั้นกลับกัน

เมื่อเกิดข้อผิดพลาด การแสดงให้ลูกเห็นวิธีการรับมือกับความผิดพลาดอย่างมีสติและกล้าหาญต่างหากที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะพวกเขาเองจะได้เรียนรู้บทเรียนจากข้อผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน

หรือแม้แต่การชวนลูกออกไปทำกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อชุมชน แสดงให้เห็นถึงความเสียสละ นอกจากนี้การทำประโยชน์ให้ผู้อื่น จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเอง

ไม่จำเป็นเสมอไปว่า…ทุกคนต้องเติบโตไปเป็นผู้นำ การสอนให้เด็กและเยาวชนมีคุณลักษณะนี้ติดตัวไป เป็นการเตรียมความพร้อมคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ

ความหวังของเรา คือ การปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้มีภาวะผู้นำที่ไม่ได้มีแค่ความเก่งอย่างเดียว แต่มีคุณธรรมจริยธรรม และเคารพในความแตกต่าง การสอนให้เด็กมีภาวะผู้นำตั้งแต่เล็กจะช่วยให้พวกเขารับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะเมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นได้

พ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียนจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะครอบครัวและสถาบันการศึกษาเป็นฐานที่จะช่วยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณลักษณะเชิงบวก พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตนเองและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ความงามของการสร้างเด็กๆ ให้มีภาวะผู้นำ คือ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ปกครองสอนให้พวกเขาเข้าใจ แล้วปฏิบัติจนกลายเป็นคุณลักษณะร่วมที่มีอยู่ในทุกคนได้ในที่สุด

อ้างอิง:
15 Tips for Instilling Leadership Skills in Children
10 Simple Ways to Develop Leadership Skills in Your Children
Leaders are made, they are not born.

8 Powerful Ways To Mold Your Children Into Leaders
Leadership and children

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ภาวะผู้นำ(leadership)พัฒนาการพ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย
Unique Teacher
5 September 2018

ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ครูสอญอ ครูอินดี้โรงเรียนเทศบาลชุมชนขยายโอกาส หนึ่งในครูรุ่นใหม่ที่นักการศึกษาหันกลับไปถอดบทเรียนวิธีการออกแบบการศึกษาของเขา
  • ครูรุ่นใหม่ที่ทำให้เห็นว่า การศึกษาที่มีมาตรฐานและตอบโจทย์ชุมชนเกิดได้จริงโดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่คนทำงานเห็นร่วมกันว่า การศึกษาจะพัฒนาเกิดจากความสัมพันธ์ที่ดี
  • “อยากทำให้เขาไปอยู่ที่ไหนก็ได้แต่มั่นคง” คือ motto ของครูสอญอ

– ออกแบบวิธีเรียนร่วมกับนักเรียน
– วิชาการก็สอน แต่เน้นให้เด็กค้นหาตัวตนมากกว่า
– โฮมรูมตอนเช้าใช้ชื่อ ‘โฮมรูม โฮมใจ’ นั่งล้อมวงแบ่งปันสารทุกข์สุกดิบประจำวัน
– 25:1 คือสัดส่วนนักเรียนต่อครูประจำชั้น
– ใช้ ‘ระบบตาม’ เมื่อนักเรียนเลื่อนชั้น ครูประจำชั้นตามไปด้วย

และวิธีการสอนอื่นๆ ที่ฟังดูแล้วใกล้เคียงกับคำว่า ‘อิสระ’ ไม่ถูกแช่แข็งเหมือนภาพจำการศึกษาไทย และอาจให้ภาพโรงเรียนเอกชนหัวก้าวหน้าที่เปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนเพื่อขับเน้นศักยภาพและความเต็มพร้อมของผู้เรียน

แต่หากบอกว่าวิธีการเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนเทศบาล ซ้ำเป็นโรงเรียนขยายโอกาสที่ครั้งหนึ่งค่าเฉลี่ยการเรียนของเด็กเคยอยู่ระดับท้ายๆ ของโรงเรียนในเขตเทศบาลเดียวกัน พูดแบบนี้เราจะพอมีหวังต่อระบบการศึกษาไทยได้ไหม?

แน่นอนว่าการพูดแบบนั้นเป็นการเหมารวมและออกจะ ‘เกินไป’ สักนิด เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่าเรามีครูรุ่นใหม่ เลือดใหม่ ผลัดขึ้นมาเขย่าวงการศึกษาแทบทุกหัวระแหง และหนึ่งในนั้นคือ ครูสัญญา มัครินทร์ หรือที่รู้จักในนาม ครูสอญอ แห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย จังหวัดขอนแก่น แต่ก่อนจะว่ากันเรื่องครูพันธุ์ใหม่ (แต่จิตพิสัยไม่เดือด) ขอกลับไปถึงการปรับวิธีการสอนและดำเนินงานของโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยกันก่อน

หมุดหมายการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เทศบาลนครขอนแก่นได้ปรับนโยบายมาเน้นเรื่องการพัฒนาการศึกษา และโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วย เป็นเวลาเดียวกับที่ครูสัญญา ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ สาขาศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีสุดท้ายและเข้าไปฝึกงานที่โรงเรียนแห่งนี้พอดี เมื่อเห็นว่าคณะทำงานเอาจริงกับการปฏิรูประบบการศึกษา โดยการเริ่มดูงานกับสถานศึกษาหลายที่ บรรยากาศของคณะทำงานและครูก็เปิดโอกาสให้ทดลอง รื้อสร้าง และออกแบบการเรียนรู้แบบใหม่ได้

เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โรงเรียนบ้านโนนชัยพร้อมแล้วที่จะสร้างชั้นเรียนใหม่คือ ม.1-ม.3 ภายใต้นิยามทางการศึกษาว่า ‘โรงเรียนขยายโอกาส’ ครูสัญญาที่ขณะนั้นเริ่มทำงานสอนครั้งแรกที่โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก ในตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น จึงกลับมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมออกแบบการเรียนการสอนร่วมกับครูรุ่นแรกอีก 5 คน

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 11 ปี ไม่เพียงแต่โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัยจะเป็นโรงเรียนที่ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองในพื้นที่ และผลการศึกษาของนักเรียนขึ้นมาอยู่ที่ระดับกลางของเทศบาล ครูสัญญา หรือครูสอญอคนนี้ยังเป็นที่รู้จักและพูดถึงในวงกว้าง ว่าเป็นครูรุ่นใหม่ที่ช่างเข้าอกเข้าใจ มีวิธีการสอนที่สุดแสนจะวัยรุ่น เน้นดึงและคลี่ขยายตัวตนของเด็กให้เต็มพร้อม ที่สำคัญ เขายังเน้นสร้างสำนึกด้านการเท่าทันอารมณ์ จิตใจ และความต้องการของเด็กมากกว่าจะปฏิเสธและบอกว่าธงของการเรียนคือความสำเร็จทางวิชาการอย่างเดียว

อย่างที่เขาย้ำตลอดบทสนทนาว่า สิ่งเดียวที่หวังอยากเห็นจากเด็ก คือเมื่อเขาเห็นคุณค่าของตัวเอง และ

“อยากทำให้เขาไปอยู่ที่ไหนก็ได้แต่มั่นคง” ครูสอญอกล่าว

วิธีคิดตอนออกแบบหลักสูตรเพื่อโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย คืออะไร

เราอยากทดลองวิธีการสอนที่ไม่ใช่การ talk and chalk (สอนบนกระดานดำ ครูอธิบายปากเปล่า) แต่ออกแบบว่าจะให้เด็กมีส่วนร่วมยังไง เชื่อมโยงเนื้อหาระหว่างตัวเขากับเนื้อหายังไง ความตั้งใจคืออยากทำโรงเรียนที่ตอบโจทย์ชุมชนและก็ตอบโจทย์เด็กในยุคปัจจุบันได้ด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นเรามีเพื่อนครูก่อการหรือครูร่วมรุ่นที่ออกแบบหลักสูตรร่วมกันประมาณ 5 คน ก็ต้องเป็นความฝันร่วมกันด้วยว่าเราอยากเห็นเด็กเป็นแบบไหน อยากให้โรงเรียนเป็นแบบไหน วิธีที่จะไปถึงฝัน มันต้องมีวิธีการยังไงดี ระหว่างที่ออกแบบนี้เราก็ตระเวนไปเรียนรู้กับคนนั้นคนนี้ เช่น อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู, อาจารย์ประภาภัทร นิยม, อาจารย์ประชา หุตานุวัตร กระทั่งครูบาอาจารย์สายวัด อย่างวัดป่าสุคะโตและวัดป่าโสมพนัส เราก็ไป

‘โจทย์ชุมชน’ และ ‘โจทย์ของเด็กปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร?

ในคำขวัญของโรงเรียนพูดเรื่อง ‘โรงเรียนวิถีชุมชน’ อยู่แล้ว หัวใจของมันก็คือทำการศึกษาให้มีมาตรฐาน และให้เขามีสำนึกรักชุมชนและท้องถิ่น แต่พอบอกว่า ‘รักท้องถิ่น’ มันก็เป็นวาทกรรม มันเหมือนที่เขาบอกให้เด็กมีวินัย 12 ประการ พูดง่ายมาก แต่… ทำยังไงนะ? (หัวเราะ) มันสอนกันไม่ได้ แต่เราต้องสร้างประสบการณ์บางอย่างให้เด็กไปถึงคุณค่าตรงนั้นโดยไม่บอกไม่สอน ให้เขาพบด้วยตัวเอง ทีนี้วิธีการหรือ ‘how to’ ที่จะทำให้ไปถึงตรงนั้น มันก็ต้องออกแบบให้เขาได้เกี่ยวข้อง หรือมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน

หรือในแง่การร่วมกันออกแบบโจทย์ร่วมกับผู้ปกครอง อธิบายก่อนว่าโรงเรียนเราใช้ ‘ระบบตาม’ คือครูประจำชั้นจะตามนักเรียนตั้งแต่ ม.1 ไปจนจบ ม.3 เพราะเราเชื่อว่าถ้าความสัมพันธ์ดีจะทำเรื่องการศึกษาได้ดี เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ ม.1 เราก็คุยกับผู้ปกครองให้ชัดเลยว่าเราจะทำอะไร เราบอกกับเขาเลยว่า “ลูกๆ ของคุณจะออกไปเรียนนอกห้องเรียนเหมือนไปเล่นมากเลยนะครับ” (หัวเราะ) คุยให้รู้ไปเลยแล้วมาคาดหวังร่วมกัน

สุดท้ายพอเห็นภาพร่วมกัน ผู้ปกครองก็เสนอว่า “เฮ้ย ถ้าจะติดตามการเรียนรู้ ต้องมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนนะ” ทีนี้เข้าทางเราเลย (ดีดนิ้ว) ตอน ม.1 เราประชุมกันทุกเดือน ถี่มาก แต่พอ ม.2 ม.3 เขาเริ่มไว้ใจเราละ

ส่วนโจทย์ของเด็กปัจจุบัน ก็มาคุยกันว่าเขาอยากเรียนอะไร ไหนลองออกแบบซิ แต่ด้วยความที่นักเรียนมันเยอะ ก็ต้องมาดูว่ามีจุดไหนที่เหมือนกันและเรียนร่วมกันได้ ขณะเดียวกันคุณก็ยังได้เรียนในสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ ได้อยู่ และคุณก็ต้องเรียนในสิ่งที่มันจำเป็นด้วยแม้ว่าตอนนี้คุณอาจยังไม่เห็นความจำเป็นก็ตาม

แต่ก็ยังไม่ใช่แค่นี้ เราต้องชวนผู้ปกครองคุยด้วยว่าคุณคาดหวังอะไรกับลูก คาดหวังอะไรกับครู และคาดหวังอะไรกับตัวผู้ปกครองด้วยกันเอง นักเรียนก็เหมือนกัน นักเรียนคาดหวังอะไรจากครู ผู้ปกครอง หรือจากเพื่อนด้วยกันเอง ให้แต่ละคนต่างไปคิดสามข้อนี้มาแล้วมาดูกันว่ามีจุดร่วมตรงไหนและจะขยับไปด้วยกันได้และอย่างไร

เรามักได้ยินว่าแม้ครูจะตั้งใจดี แต่ก็มักถูกดูดจากระบบหรือโครงสร้างแข็งทื่อตายตัว หลายครั้งที่เจตนาดีอยากเปลี่ยนการศึกษา แต่ก็ทำไม่ได้?

ด้วยโครงสร้างโรงเรียนมันเอื้อให้ครูออกแบบวิธีการเรียนได้พอสมควร เพราะเราเห็นร่วมกันว่าถ้าจะทำการศึกษาแบบนี้ ต้องให้พื้นที่ครูและให้อำนาจกับเด็กสร้างพื้นที่ โอเคว่ามันทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เนอะ แต่การเรียนรู้ในห้องเรียนจำนวน 30 ชั่วโมง/สัปดาห์เนี่ย อย่างน้อยมันจะมีประมาณ 11 ชั่วโมง/สัปดาห์เลยนะที่เราจะทำแบบนี้ได้ โดยเฉพาะคาบโฮมรูมช่วงเช้าที่เราเรียกว่า ‘โฮมรูม โฮมใจ’ ชวนเขาจัดกระบวนการเรียนรู้ให้มาฟังกัน มาแลกเปลี่ยน มาสร้างบทสนทนาต่อกัน (dialogue) และเรามีวิชาบูรณาการที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าตัวข้อมูลหรือเนื้อหาโดยมีครูสอนร่วมกันเป็นทีม 6 ชั่วโมง/สัปดาห์ ส่วนอีก 19 ชั่วโมง/สัปดาห์ เราก็ยังเรียนตามหลักสูตรได้

ในหน้าเพจของครูสัญญา จะเห็นวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเน้นให้เด็กค้นหาตัวตนของตัวเอง ต้นกำเนิดของโครงการแบบนี้คืออะไร

ยกตัวอย่างโปรเจ็คท์ ‘ค้นพบตัวเองค้นพบอาชีพ’ ของนักเรียนชั้น ม.3 ปีนี้ดำเนินมาเป็นปีที่ 2 แล้ว แต่ว่ารายละเอียดแต่ละปีจะต่างกันแล้วแต่เด็กๆ แต่วิธีคิดคือ เรามองว่าก่อนที่เขาจะพบตัวเองหรือพบอาชีพที่อยากทำ เขาต้องรู้จักตัวเองก่อน ปกติแล้วเราก็จะมีเครื่องมือช่วยเขาหาด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การชวนคนในอาชีพนั้นๆ เข้ามาพูดคุยและสร้างแรงบันดาลใจกับนักเรียน แต่มันก็ได้ระดับหนึ่งและอาจไม่ตรงกับความสนใจเขาจริงๆ และเราเองก็สรรหาอาชีพเหล่านั้นมาได้ไม่ครบ

ทีนี้เด็กๆ เขาสะท้อนว่า “ขอพื้นที่ให้พวกเขาได้ออกไปฝึกประสบการณ์มากขึ้นกว่านี้ได้มั้ยครู?” เราก็มาคิดร่วมกันระหว่างเด็กและทีมครูว่ามันควรเป็นประมาณไหนดี เด็กๆ เขาก็เสนอรูปแบบการเข้าค่าย ให้เด็กได้ไปลองฝึกประสบการณ์ในอาชีพนั้นๆ

แต่โครงการนี้เราทำกับนักเรียน ม.3 จำนวน 2 ห้อง มีนักเรียน 45 คน จัดกลุ่มอาชีพที่เด็กๆ อยากเป็นได้ประมาณ 20 อาชีพ ด้วยความที่เด็กค่อนข้างเยอะ ก็มีการคุยกันว่าก่อนจะถึงวันเข้าค่ายจริงคือวันที่ 6-8 กันยายน เขาจะจัดการอย่างไรกันดี เด็กๆ เขาเลยเสนอว่า “มันต้องมีคนไปลองฝึกก่อนนะครู” ก็เลยมีอาสา 10 คนไปทดลองฝึกประสบการณ์ก่อนวันเข้าค่ายจริง เช่น มีเด็กคนหนึ่งอยากเป็นครูสอนสังคม เราก็ส่งเขาประกบครูสังคมคนอื่นก่อนเลย คือถึงแม้ว่าเราจะเป็นครูสังคมอยู่แล้ว แต่เขาอาจจะอยู่กับเราจนชินและมองว่าวิธีการสอนของเราเป็นเรื่องปกติก็ได้ เราก็ให้เขาเอาคาบบูรณาการไปอยู่กับครูคนนั้นเลย เราก็ไปคุยกับเพื่อนครูว่าขอสลับเวลากันได้มั้ย ประมาณนี้

หรือมีเด็กที่อยากเป็นเชฟ ก็นี่เลย… ขอให้ผู้ปกครองช่วย (หัวเราะ) และมีคนที่อยากเป็นหมอลำ อยากเป็นนักดนตรี เป็นนักร้อง เราก็พาไปเลย ไปฟังหมอลำ ไปฟังดนตรี

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับ ‘ตัวตน’ หรือ ‘อาชีพ’ ของเด็กๆ ถึงขนาดทำค่ายอย่างจริงจัง

หลักๆ อยากให้เด็กมีประสบการณ์ตรง และให้เขาค้นพบตัวเองให้ชัดว่า เมื่อฝึกจบ เมื่อไปเจอหน้างานจริง เขาอาจจะชอบหรือไม่ก็ได้ แต่ก็ไม่เป็นอะไรนะเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วแหละ ที่สำคัญจริงๆ คือมันมีผลต่อการเลือกเรียนต่อ จะไปสายสามัญ สายอาชีพ หรือบางทีก็มุ่งไปที่อาชีพนั้นตรงๆ เลย

อย่างรุ่นที่แล้วมีคนหนึ่งสนใจนวดแผนไทย เขาก็ไปเรียนนวดโดยตรงแล้วเรียน กศน. เอา ตอนนี้มีประเทศในเครือข่าย (คนทำงานในวงการนวดแผนไทย) จีบไปแล้ว ถ้าเขาอายุครบ 18 ปี ก็เตรียมตัวไปเกาหลีเลยเพราะเขานวดดีมากและมีรายได้ด้วย ขณะที่กลับมาโรงเรียนก็เล่าให้เพื่อนฟังอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันโอเคมากและก็ศรัทธากับอาชีพนี้ เลี้ยงพ่อแม่ได้ด้วย” เราว่ามันเป็นทางเลือกที่ใกล้ตัวและตอบโจทย์เขา

เพราะครูสอนนักเรียนมาแล้วกว่า 11 ปี และเป็นครูที่เน้นให้นักเรียนรู้จักและค้นพบตัวเอง ถ้าให้ลองวิเคราะห์ ครูคิดว่าเด็กรุ่นใหม่มีคาแรคเตอร์แบบไหน

เอาจริงๆ แล้วคาแรคเตอร์ของคนรุ่นเรา เด็กรุ่นที่เราเพิ่งสอนใหม่ๆ กับเด็กรุ่นนี้ก็ไม่ต่างกันมากนะ ยังมีความเป็นเด็กอยู่ มีความก๋ากั่น แต่อาจจะซ่าคนละอย่าง (หัวเราะ) คาแรคเตอร์ที่เราเห็นว่าเป็นมุมดี คือเด็กรุ่นนี้จะรู้เรื่องสิทธิเยอะ เข้าถึงข้อมูลเก่ง บางเรื่องเขารู้กว่าเรามาก อีกมุมหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นมุมลบหน่อย คือไม่ค่อยอดทน แล้วก็ติดสมาร์ทโฟนมาก (ลากเสียง)

ในกลุ่มคาแรคเตอร์บวกๆ อาจเพราะเราเปิดพื้นที่ให้เขาได้ถกเถียง

เราว่ามันมีส่วนมากๆ เราเคยไปเวิร์คช็อปกับโรงเรียนอื่น ไปทำกระบวนการแบบนี้กับเด็กห้องเรียนในโรงเรียนท็อปๆ ด้วยนะ แต่เรากลับพบว่าวิธีแลกเปลี่ยนของเขามันยังกล้าๆ กลัวๆ และไม่สนุก คือมันจะมีเซนส์แบบ ‘เราผิดรึเปล่าวะ’

แล้วถ้าเป็นคาแรคเตอร์ที่ครูคิดว่าไม่ค่อยดีในสายตาผู้ใหญ่ จะดูแลอย่างไรดี

อย่างความไม่อดทน เรารู้สึกว่าส่วนหนึ่งเด็กๆ ถูกดึงจากเทคโนโลยีนะ สิ่งที่ครูต้องทำคือ ครูต้องอดทนมากขึ้น (หัวเราะ) คือถ้าเป็นยุคเรา แค่ครูกระแอม “เอ้ย… เงียบหน่อย” เราก็จะชะงักแล้วใช่ปะ แต่ยุคนี้เงียบได้แป๊บนึงนะ เขาก็อยู่กับเราแค่ท่าทีแต่ใจไม่ได้อยู่กับเรา ดังนั้นเราต้องเอาสิ่งที่เขาสนใจนี่แหละ ดึงขึ้นมาแล้วพลิกให้เขามองอีกมุมว่า มันมีบทเรียนหรือมันมีคุณค่าบางอย่างอยู่ในนั้นนะ

ด้วยวิธีไหน

อย่างกลุ่มติดเกม เราก็จัดเลย “เอางี้มั้ย มาทำ e-sport ให้จริงจังในโรงเรียนไปเลย แต่ครูไม่มีความรู้เลยนะว้อย เอ็งเอาป่าววะ” เด็กตอบผมว่า “แต่ก่อนที่ครูจะชวนพวกผมทำ ครูต้องเล่นเป็นก่อน” ซึ่งเราก็ลองเล่นนะ แต่ไม่อินเลยอะ (หัวเราะ) แต่ก็รู้ว่า “อ๋อ มันยังงี้ใช่มั้ย” แต่จริงๆ ไม่อิน (ย้ำ) แต่พอเล่นเสร็จก็ “มา… มาทำกลุ่ม ROV กัน”

พอทำกลุ่มมันก็ต้องมีการจัดการ “เอ็งจะแบ่งงานกันยังไง จะจัดระบบยังไง เดี๋ยวต้องมีคนมาจัดโต๊ะ เตรียมของนะ” คืออย่างน้อยเขาก็หลุดมาจากเกมแล้ว เพราะต้องมาเตรียมงาน ต้องเตรียมประกาศ ทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ ชวนคนนั้นคนนี้มาเล่น เราเห็นเขาคุยกัน เห็นเขาหาวิธี และจากที่เขาเคยแข่งกันเองก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะต้องมาสอนน้องเล่น สุดท้ายเด็กแซวผมว่า “สรุปครูไม่ได้สนอง need ผมนี่หว่า” (หัวเราะ)

พอจบงาน เราก็เสนอให้ e-sport เป็นกีฬาของโรงเรียนเลย มีถ้วยรางวัล คืออย่างน้อยเด็กได้ถือถ้วย มันเกิดความภูมิใจแล้วนะ เห็นตัวลีบๆ ไม่ได้เตะบอลหรือไปแข่งอะไรกับเขา แต่ในใจรู้สึกมีคุณค่าแล้ว เป็นคนจัดงานอีก เขาอาจเกิดความภาคภูมิใจและอยากทำอะไรให้คนอื่นต่อบ้างก็ได้

นี่คือการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส อยากถามถึงเรื่องที่เราคิดว่าเป็นปัญหามาพลิกให้เขาเห็นคุณค่า แต่เราจะตามแก้ปัญหาในเด็กทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกันได้อย่างไร

อูย (ลากเสียง) เราแก้ไม่หมด แก้ไม่ได้แน่ๆ แต่อย่างน้อยเรามีพื้นที่ปลอดภัยซึ่งก็คือวงคุย ‘โฮมรูม โฮมใจ’ ทุกเช้านี่แหละ วงคุยแบบนี้เราจะรู้ว่าคนไหนควรทำงานต่อแบบจริงใจแล้วค่อยชวนเขาคุยนอกรอบอีกที แต่ในตัววงเองมันจะเยียวยากันอยู่แล้ว หรือกระทั่งตัวครูเอง เวลาเครียดๆ ก็ใช้วงนี้เช็คอินและเล่าให้เขาฟัง เมื่อแลกเปลี่ยน ถูกรับฟัง และเห็นว่าปัญหามันคลี่คลายระดับหนึ่งแล้ว เราก็ค่อย “แล้วเราจะให้กำลังใจเพื่อนยังไงดี?”

ด้วยความที่มันมีกระบวนการแบบนี้ เราเลยรู้สึก ถึงเราจะแก้ปัญหาไม่หมด แต่มันปลอดภัยและถูกเยียวยา ปัญหาจะไม่เลวร้ายขนาดที่เราตามแก้ไม่ทัน

ซึ่งเอาจริงๆ เราตั้งธงชัดด้วยว่าครูไม่ใช่นักแก้ปัญหา “ปัญหาของเอ็ง เอ็งต้องดีลเอง” แต่ครูจะรับฟังและจะช่วยชี้ว่ามันมีหลายทางนะ หรือชวนดูว่ามันมีทางอื่นอีกมั้ย ส่วนจะเลือกอะไรก็แล้วแต่เอ็งเลย เราให้คุณค่ากับการตัดสินใจของเขา ‘เอ็งเป็นเอ็ง เราเป็นเรา’

แต่ความ ‘เราเป็นเรา’ นี่แหละที่ต้องทำให้เห็นว่าเราจะซัพพอร์ตตัวเองยังไงให้รอดได้ และความเป็นเรามันจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยังไง จะสร้างสรรค์อย่างไรได้ต่อ

มีปัญหาไหนมั้ยที่คิดว่าหนักหน่วงในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ แก้ได้ด้วยความรู้สึก ‘มั่นคง’

อย่างปัญหาเด็ก drop out หรือออกไปกลางคัน เราก็บอกเลยว่า “จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้นะ เพราะบางทีระบบมันรกรุงรังสำหรับเอ็งใช่มั้ย แต่มันมีวิธีการแบบนี้นะ เอ็งเลือกได้” ท้ายที่สุดเด็กออกกลางคันไปก็เยอะ เพราะปัญหาครอบครัว มันก็เป็นปัญหาที่เปราะบางเนอะ เด็กในโรงเรียนมีหลากหลาย ทั้งที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ สิ่งแวดล้อมโรงเรียนอยู่ใกล้ชุมชนแออัด มีทั้งปัญหายาเสพติด ค่านิยมของคนในโซนนั้น การไม่เรียนหนังสือมันไม่เป็นไร เพราะเขาให้คุณค่ากับการทำงานและการใช้ชีวิต

สำคัญคือ เด็กที่ drop out ไม่ได้รังเกียจโรงเรียน ก่อนจะออกเราทำให้ชัดว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่เขาเลือก “เอ็งไปไหนก็ยังเป็นเอ็ง และครูยังเป็นครู เรายังเป็นเพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าหลบตา” ที่น่าสนใจคือวันไหว้ครู เด็กกลุ่มนี้ก็ยังมาหา ยังมารวมรุ่น ยังไปมาหาสู่กัน

ซึ่งอันที่จริงแล้วต้องบอกว่าโรงเรียนให้คุณค่ากับความเท่าเทียม ไม่ว่าเด็กจะมาจากไหน ไม่ว่าจะเลือกเรียนต่อ อาชีวะ เลือกที่จะไม่เรียน หรือกระทั่งเด็กที่อยู่ในสลัมก็เจ๋งและมีคุณค่า แต่การจะสร้างความคิดให้ “คนเคารพคน” ครูต้องเชื่อแบบนั้นนะ เราเชื่อว่าพลังงานแบบนี้จะถูกถ่ายเทไปสู่นักเรียน เด็กๆ จะถูกบ่มเพาะเรื่องนี้ เขาสะท้อนตัวครูก็ได้ แนะนำครูก็ได้

เรามีวัฒนธรรมตักเตือน ถ้าใครทำไม่ดีไม่ชอบเราเตือนกันได้ และถ้าอะไรที่ดีเราต้องชื่นชมและขอบคุณกันและกัน สร้างวัฒนธรรมแบบนี้

ทำทั้งหมดนี้ อยากให้เด็กเห็นอะไรในตัวเอง

อยากให้เขารู้จักตัวเอง เห็นว่าเขาเป็นใคร เท่าทันตัวเอง เท่าทันโลก โลกที่เปลี่ยนไปมันจะมีมุมมองอีกเยอะมาก แล้วเราจะดีลกับมันยังไง แต่มากกว่าอยู่รอดคือให้อยู่ร่วมกันได้ เพราะเขาไม่ใช่แค่ตัวคนเดียว แต่ชีวิตเขาเกี่ยวข้องกับครอบครัวและเพื่อน อยากให้เขาเข้าใจความแตกต่างของคนอื่นและเคารพซึ่งกัน และก็อยากให้เขาอยู่อย่างมีความหมายและสร้างสรรค์ด้วย

11 ปีที่ผ่านมา ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ในตอนออกแบบโรงเรียนมั้ย?

ตอบโจทย์ไม่หมดเนอะเพราะชุมชนเองก็เปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ชุมชนเขาเห็นว่าลูกหลานของเขาไว้ใจโรงเรียน เห็นว่าลูกเขามีความสุข อยากมาโรงเรียน ด้วยความที่เด็กมันน้อยเราก็เห็นปัญหาและตามทัน ในภาพรวมเรารู้สึกว่าเราเอาอยู่ ชุมชนเองเขาก็เห็นการเติบโตและเห็นการเคลื่อนไหวของเด็กๆ อยู่เสมอ

ทุกสิ้นเทอมเราจะมีวงให้เขาเล่าว่าเขาได้เรียนรู้อะไร เขาเห็นอะไร ซึ่งเขาก็สะท้อนว่า ลูกเขาเติบโตแบบนี้นะ ลูกเขาคิดแบบนี้นะ มีวงให้ผู้ปกครองมาบ่น เรามีพื้นที่แบบนี้ให้ผู้ปกครองด้วยเหมือนกัน หมายความว่า โรงเรียนไม่ได้ผูกขาดตัวเองออกจากชุมชน แต่โรงเรียนเป็นพื้นที่สาธารณะให้ได้มาปฏิสัมพันธ์กัน ขับเคลื่อนอะไรบางอย่างร่วมกันให้มันดีขึ้น ไม่มีใครโดดเดี่ยวออกจากกัน

เราเห็นความเคลื่อนไหวในวงการศึกษา เห็นครูรุ่นใหม่ไม่ยอมแพ้และลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับการเรียนการสอนมากขึ้น กระทั่งเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง ในแง่นี้ เรามีความหวังกับการศึกษา กับครูพันธุ์ใหม่ใช่มั้ย

การจะเป็นครูที่ดีต้องเป็นนักเรียนอยู่เสมอ เราจะเอาความสำเร็จในอดีตมาใช้ไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งกับบางเรื่องที่เราเคยคิดว่าเอาอยู่ แต่พอเจอเด็กกลุ่มใหม่ในปัญหาเดิม เราเอาไม่อยู่นะ ต้อง unlearn และ relearn ใหม่เหมือนกันเนอะ

แต่เรามีความหวังกับครูรุ่นใหม่นะ มีการจัดวงคุยและเวิร์คช็อปการสอนแบบใหม่เยอะมาก เราเองก็ไปลักจำจากคนอื่นเหมือนกัน ที่ยังเป็นปัญหาคือ ครูรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในระบบแล้วจะฟีบเพราะเขารับใช้ระบบไปหน่อย ตัวระบบเหมือนจะดูใหญ่ แต่เอาเข้าจริงมันก็คือคนนี่แหละ ถ้าเราดีลกับคนได้ มีวิธีการประนีประนอมกับระบบ มันทำได้นะ

อย่างงานประเมินที่หลายคนมีปัญหา สำหรับเรามันคือของเล่น เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่ควรจะจริงจังและให้น้ำหนักกับมันมากหน่อย คือหน้างานกับเด็ก นี่ของจริง พยายามกลับไปถามตัวเองว่าตอนที่เราอยากเป็นครู เป้าหมายของเราคืออะไร ทำตามใจนายเพื่อให้ได้ขั้น หรือความสนุกกับนักเรียนและทำให้จิตวิญญาณการเป็นครูเติบโตขึ้นรึเปล่า เราว่าฝั่งหลังมันน้อยมาก

11 ปีกับการเป็นครู ถ้าให้ประเมินตัวเอง ประเมินอย่างไรดี

เราทำกราฟการทำงานนะ สามสี่ปีแรก เราเป็นนักแสดง เราเล่นกับบทครู เขาสั่งให้เราทำอะไรเราก็ทำไป เล่นไป แต่พอสักพักเราเป็นผู้กำกับนี่หว่า (หัวเราะ) ได้กำกับนักเรียน ตัวเอง เพื่อน แต่ตอนนี้เราเป็นผู้อำนวยการสร้างแล้ว รู้สึกว่าบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่จะอำนวยยังไงให้เพื่อนทำงาน ให้นักเรียนทำงาน หรืออำนวยยังไงให้บางจังหวะเราเป็นนักแสดง หรือบางจังหวะเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำ

สุดท้ายนี้ ทิ้งท้ายคำคมงามๆ นิดหนึ่งนะคะ ^^

เราว่าถ้าไม่ได้มองว่าครูเป็นอาชีพ ทุกคนเป็นครูอยู่แล้ว เป็นครูให้ตัวเอง อย่างในร้านกาแฟเราเห็นคนคุยกันเสียงดัง นี่ก็โคตรเป็นครูเลยนะ “กูจะไม่เป็นแบบนี้อะ” หรือเราอาจจะเอาไปคุยกับนักเรียน “เอ็งรู้แล้วนะว่ามันรบกวนคนอื่นยังไง” คือทุกแรงย่างก้าวหรือทุกแรงกระเพื่อมก็เป็นครูได้

อีกเรื่องคือ เราเชื่อว่าคนเป็นครู โคตรโชคดี เป็นคนที่เตรียมอนาคตของสังคมเลยนะ เรามองว่าคือโอกาส ซึ่งถ้าเราทำแบบ “พอๆ แล้วๆ” แสดงว่าเรากำลังสนับสนุนให้คนในอนาคตเป็นแบบ “พอๆ แล้วๆ” ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตยก็ต้องสร้างในห้องนี่แหละ แล้วเขาจะจำแพทเทิร์น วิธีการออกไปใช้จริงข้างนอก และถ้าครูเชื่อ เขาก็จะทำอะไรที่มันสนุกจริงๆ

Tags:

ครูระบบการศึกษาproject based learningคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนสัญญา มัครินทร์ก่อการครู

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

SEE THINGS IN ENGLISH: เปลี่ยนมุมมองภาษาอังกฤษกับครูนุ่น ENGLISH AFTERNOONZ
Everyone can be an Educator
4 September 2018

SEE THINGS IN ENGLISH: เปลี่ยนมุมมองภาษาอังกฤษกับครูนุ่น ENGLISH AFTERNOONZ

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • เด็กไทยไม่ได้ไม่เก่งภาษาอังกฤษแต่ด้วยบริบทหรือทัศนคติทางสังคมปิดกั้น ไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงออกหรือโชว์ศักยภาพด้านนั้นออกมา
  • วิธีสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ดึงดูดให้เด็กสนใจเป็นส่วนหนึ่งทำให้เด็กปิดประตูใส่ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม แต่วิชาการไม่จำเป็นต้องทำให้ไกลตัว แต่ทำให้สนุกและเป็นเรื่องใกล้ตัวได้เพียงเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการสอน
  • อย่าทำลายความฝัน ความพยายามหรือความตั้งใจของเด็กๆ ที่อยากเก่งภาษาอังกฤษด้วยการตำหนิหรือชี้ว่า ‘ผิด’ แต่ส่งเสริมให้เขากล้าพูด มีความมั่นใจในตัวเอง จากนั้นจึงแนะนำให้เขาเห็นว่าควรปรับปรุงตรงจุดไหนแทน

‘ภาษาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง’ คือประโยคที่คนชอบพูดกัน (ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร) ปฏิเสธไม่ได้ ซ้ำยังได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นสิบทีว่าจริงแสนจริง เมื่อโลกทุกวันนี้หมุนเปลี่ยนรวดเร็ว เหวี่ยงแรงเสียจนหากเกาะไม่ดีอาจหลุดจากขบวนแน่

อย่าว่าแต่ภาษาที่สองหรือสาม แต่การเรียนภาษาของเด็กๆ ทุกวันนี้ไกลไปถึงภาษาที่สี่หรือห้า อย่างไรก็ดี หากมองรอบๆ ตัวแล้ว พื้นที่สำหรับการเรียนรู้ แสดงศักยภาพทางภาษา หรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมและเกื้อหนุนให้ได้ใช้ภาษาของเรามีมากแค่ไหน? น่าเศร้ากว่านั้น กำแพงหรืออุปสรรคขวางกั้นยังมีเต็มไปหมด โดยเฉพาะทัศนคติทางสังคมบางอย่างที่กดทับให้พวกเขา (ผู้ที่อยากพัฒนาภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่) ไม่กล้าแสดงออกมา

“เราควรเลือกเองว่าจะให้อะไรดังอยู่ในหัวเรามากกว่ากัน ระหว่างเป้าหมายของเรากับเสียงของคนอื่น ถ้าเราต้องเสียความมั่นใจเพราะคำพูดคนอื่น เราก็อาจไม่ต้องฟังเสียงนั้น เพราะถ้าเสียงความฝันเรามันดังกว่า เดี๋ยวเสียงคนรอบข้างก็หายไปเอง”

คือคำตอบของ นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์ พิธีกรและดีเจมากความสามารถ หรือที่หลายๆ คนรู้จักใน English AfterNoonz เจ้าของเพจเฟซบุ๊คและแอคเคาท์ทวิตเตอร์สอนภาษาอังกฤษที่มีจำนวนผู้ติดตามมากถึงหนึ่งล้านคน

The Potential ชวนคุณนุ่นพูดถึงปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้ ทำไมเด็กไทยหลายคนขี้เขิน ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ หรือเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนตั้งหลายปีแต่ก็ยังพูดอย่างฉะฉานไม่ได้ คำตอบของเธอสวนทางกับคำถามตั้งต้นนั้น เพราะเธอเห็นว่า ‘ไม่ใช่ว่าเด็กไทยไม่พูดภาษาอังกฤษ เพียงแต่พวกเขาแค่ไม่กล้า’ ทั้งเธอยังปลุกเร้าให้ทุกคนรู้สึกกล้าที่จะพูดด้วยสโลแกน

‘ผิดก่อน ความถูกต้องจะตามมาเอง’

“เราอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่าก่อนจะเก่งได้ ก็ต้องผิดพลาดมาก่อนทั้งนั้น นุ่นอยากให้ทุกคนกล้าออกมาทำ ต่อให้ผิด เราก็จะได้สิ่งนั้นเป็นบทเรียนแทน จำก็จำจริงๆ อายก็อายจริงๆ แล้วจะไม่เป็นอีก”

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

แต่ก่อนจะไปว่ากันเรื่อง ‘เปลี่ยนมุมในการมองภาษาอังกฤษ’ กับครูนุ่น เธอสรุปเคล็ดลับง่ายๆ ในการเรียนให้ฟังก่อนดังนี้

เคล็ดลับภาษาอังกฤษง่ายๆ กับครูนุ่น

  1. ‘See things in English’ มองทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ ปรับวิธีคิดหรือมุมมองต่างๆ ให้เป็นภาษาอังกฤษ เช่น คิดแคปชั่นรูปในอินสตาแกรมเป็นภาษาอังกฤษหรือบ่นว่ารถติดเป็นภาษาอังกฤษในทวิตเตอร์ ไม่ต้องกลัวว่าไร้สาระหากสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพัฒนาตัวเองได้
  2. ‘Repeat after me’ ฝึกออกเสียงซ้ำอย่างต่ำสองครั้ง เคล็บลับสำเนียงสวยๆ ของนุ่นคือ เวลาดูหนัง ฟังเพลงหรือได้ยินประโยคภาษาอังกฤษอะไรให้ขยับปากพูดตามเหมือน copy paste ขยับปากให้เหมือน ไม่ต้องกลัวเรื่องแกรมม่าเพราะเดี๋ยวมันจะค่อยๆ เข้ามาเอง
  3. ‘Don’t be hard on yourself’ ไม่สนุกอย่าฝืน รู้จักตัวเองก่อนเริ่มเรียนรู้ เพราะถ้ารู้สึกว่าไม่สนุกหรือไม่ชอบ ไม่ว่าจะเรียนหนักแค่ไหนร่างกายก็ไม่จำ

ตั้งต้นจากวัยเด็ก รู้สึกอย่างไรกับภาษาอังกฤษ

เท่าที่จำได้ ตอนอนุบาล จำได้แม่นเลยว่าอายมาก (ลากเสียงยาว) ครูให้เราท่องศัพท์คำว่า ‘orange’ ซึ่งเราท่องไม่ได้ ครูก็ทำโทษให้เรายืนบนเก้าอี้แล้วกางแขน ตอนนั้นคืออายแบบอายมาก เกลียดภาษาอังกฤษเลย ไม่ชอบ แต่เป็นการไม่ชอบแค่ช่วงเดียว พอขึ้นชั้นประถม โรงเรียนก็เริ่มมีครูฝรั่งมาสอนวิชาภาษาอังกฤษสัปดาห์ละครั้ง เราก็ได้เรียนกับเพื่อนที่เป็นฝรั่ง ผมทอง ตาฟ้า ซึ่งเป็นลูกอาจารย์ เราเกิดความสงสัยว่าทำไมเขาไม่เหมือนเรา พูดไทยไม่ชัด เรารู้สึกว่าแปลก แบบ… โลกนี้ไม่ได้มีแค่เรา แต่มีคนที่พูดไม่เหมือนกับเราด้วย

ความอายในครั้งนั้นหายไปตอนไหน?

ยังรู้สึกอายบ้างแต่ไม่ใช่ความรู้สึกเชิงลบ เป็นความรู้สึกแปลกแบบสงสัยมากกว่า จริงๆ ต้องยกเครดิตความสามารถทางภาษาอังกฤษของเราให้พ่อ (นาวาโทไชยนันต์ พีระณรงค์) นะ เพราะพ่อเราทำงานกับ UN จะมีเพื่อนฝรั่งเยอะ แล้วเพื่อนพ่อแต่ละคนก็มีลูกอายุไล่เลี่ยกัน

วิธีการสอนภาษาอังกฤษของพ่อเราคือไม่สอน คือไม่สอนจริงๆ ทิ้งให้เราไปอยู่กับลูกๆ ของเพื่อนพ่อทั้งวัน กลายเป็นว่าเราต้องเอาตัวรอดด้วยคลังคำศัพท์เท่าที่เด็ก ป.1 มี ‘I have a dog’ ‘Do you have a pencil?’ แค่นี้ แต่ได้พูดทั้งวันทำให้เราเป็นเด็กกล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ทำคือถูกต้องทั้งหมดนะคะ

ตอนนั้นด้วยความที่ยังเด็กยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ก็ใช้วิธีเอาตัวรอดคือ เอากระดาษมาวาดรูป หรือไม่ก็ชี้ๆ ตอนนั้นความรู้สึกของเราคือ ภาษาอังกฤษคือสกิลเอาตัวรอด อาจเป็นความโชคดีในก้าวแรกที่ไม่ได้ถูกสอนให้กลัวฝรั่ง ที่เหลือคือผิดเอง เรียนรู้เองหมดเลย

จุดที่ทำให้หันมาสนใจภาษาอังกฤษอีกครั้งคืออะไร

ประมาณ ป.1-2 ตอนนั้นหนังเรื่องไททานิคเข้า จำได้ว่าไปดู 7 รอบ เพราะชอบมาก ตอนนั้นเราสงสัยว่าทำไมฝรั่งถึงออกเสียงคำว่า ‘I love you’ ไม่เห็นเหมือนที่ครูสอนเราเลย กลายเป็นจุดเริ่มต้นว่าที่ผ่านมาเราพูดไม่เหมือนฝรั่งหรือเจ้าของภาษาเพราะเรายังคิดแบบไทย เรียนแบบไทย อ่านออกเสียงโดยเอาพยัญชนะไทยมาใส่ ไม่ได้คิดแบบฝรั่ง หลังจากนั้นคือเปลี่ยนเลย

จากประสบการณ์นั้นทำให้เราสนใจเรียนภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนแทน เรียนในห้องก็ยังเรียนอยู่ แต่เรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย อย่างเวลาดูหนังหรือฟังเพลง เราจะกดหยุด (pause) แล้วขยับปากพูดตามเขา แล้วเรื่องไวยากรณ์มันจะค่อยๆ เข้ามาเอง

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

วิธีเรียนภาษาอังกฤษของคุณนุ่นเป็นแบบไหน

สำหรับนุ่น เราไม่สามารถเรียนได้ทุกอย่างในวันเดียว จะเอา listening, speaking, reading หรือ writing วันเดียวไม่น่าได้ เราจะเรียนสกิลละวันแทน ตัวอย่างเช่น วันนี้อยากฝึกพูด ก็พูดเลย ไม่ต้องสนแกรมม่า ไม่ต้องใสใจ พูดไว้ก่อน อย่างวันนี้ขึ้นลิฟต์ได้ยินว่า ‘sorry to keep you waiting’ ก็พูดตาม (ออกเสียงพูดตาม) ออกเสียงจนกว่าจะเหมือนเขา

วันพรุ่งนี้เรียนแกรมม่า เมื่อวานได้ยินว่าอะไรนะ ‘sorry to keep’ อ๋อ keep ตามด้วย verb + ing จะมา sorry to keep you wait ไม่ได้ แล้วเอาที่ได้ยิน ได้รู้กลับมาใช้ให้ตรงกับบริบทที่เพิ่งเกิดขึ้นของตัวเอง สำหรับเรา ไม่มีประโยคภาษาอังกฤษไหนถูกใจเท่าเราได้พูดเองหรอก แล้วเราก็จะจำ

คุณไม่เคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศเลย แต่ทำอย่างไรให้สำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนขนาดนี้

ตอนแรกก็สำเนียงไทยนี่ล่ะ ก็เราเรียนที่ไทย โตที่ไทยเนอะ หลังๆ ความอยากพูดได้ก็ทำให้เราเริ่มฝึกจนสำเนียงไปฝั่งอเมริกัน จนใกล้จะเรียนจบขึ้นปี 3 มาฝึกงานที่ช่องสาม สายข่าวต่างประเทศ ได้ยินช่อง BBC เราก็ชอบเลย อยากพูดได้ สำเนียงสวยจัง ตอนนั้นก็เริ่มเลย copy paste เขาพูดว่าอะไรเราพูดสองรอบ อย่าง ‘Can I have a bottle of water? (สำเนียงอเมริกัน)’ ไม่ๆ เอาใหม่ๆ ‘Can I have a bottle of water? (สำเนียงอังกฤษ)’ เหมือนคนบ้าเลยตอนนั้น (หัวเราะ) จนมารู้สึกตัวอีกทีคือมีฝรั่งพูดกับเราว่า ‘Your sound so British’

ความอยากได้มันแรงกว่าแพชชั่นนะคะ อยากพูดสำเนียงแบบนี้ได้ ฝึกทุกวันจนพัฒนามาเป็นตอนนี้ พูดตรงๆ ก็คิดว่าเรายังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก เพราะเราเองก็เป็นคนไทย มันจะมีบางอย่างหลุดๆ ออกมา ซึ่งไม่ได้กังวลนะเพราะสำเนียงภาษาอังกฤษแต่ละชาติก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแตกต่างกันออกไป

ไม่ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ เสียเปรียบคนที่ไปเรียนกับเจ้าของภาษาไหม?

มองว่าเป็นความท้าทายแทน สนุกดีนะ ทำอย่างไรให้เราได้เท่ากับคนที่มีโอกาสไป สำหรับนุ่นคือ ใจที่อยากพูดภาษาอังกฤษต่างหาก แล้วทุกอย่างจะมาเอง เพราะสิ่งรอบตัวไม่ใช่ข้อจำกัดในการพัฒนาตัวเอง ถ้ามีโอกาสไปเรียนเมืองนอก ไปแลกเปลี่ยนก็สนับสนุนไปเถอะแต่สมมุติใครที่ไม่มีโอกาสขนาดนั้นอย่าไปคิดว่าคือข้อจำกัด ถ้าคิดว่าเราจะเก่งภาษาอังกฤษแล้วต้องไปเรียนเมืองนอกอย่างเดียว เราว่าไม่จริง ทุกอย่างอยู่รอบตัว แค่ตื่นเช้ามากดปิดนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์คือคำว่า ‘snooze’ (งีบหลับ) ถามว่าแปลว่าอะไร? แปลว่าของีบแป๊บนึงใช่ไหม? หลายคนยังไม่รู้เลยว่าคำนี้จริงๆ แปลว่าอะไร แต่รู้ว่าคืออะไร

สโลแกนของนุ่นเลยคือ ‘See things in English’ อย่างเล่นเฟซบุ๊คจะลงรูปคิดแคปชั่นว่าไรดี เราก็เห็นละ ‘What’s on your mind?’ แล้วมันแปลว่าอะไร ไม่ต้องรู้เป๊ะๆ ก็ได้แต่เราเข้าใจใช่ไหมก็เอาไปใช้เลย ถามฝรั่งได้เลย ‘Hey, what’s on your mind?’

มองให้เห็น มองให้ละเอียด บางอย่างมันอยู่ใกล้จนตัวเราไม่สนใจ เริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัว ตั้งคำถามจากสิ่งไกลตัว เช่น รถติดอยากบ่นเป็นภาษาอังกฤษ ต้องใช้คำว่าอะไร ถึงคนอื่นจะมองว่าไร้สาระแต่ว่าถ้ามันทำให้เราพัฒนาได้ก็นับหมดนะ

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

เด็กๆ หลายคนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษเพราะกลัวออกเสียงผิด หรือกลัวว่าพูดชัดแล้วจะหาว่าดัดจริต หรือกลัวว่าพูดไปจะผิดแกรมม่า ทั้งหมดนี้เป็นความกลัวของคนส่วนใหญ่ ทำให้เด็กๆ ไม่ได้พัฒนาภาษาอังกฤษเท่าที่ควร คิดอย่างไรกับประเด็นนี้?

เราคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยยากสุด ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ภาษาเราแต่การพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเรากลับกล้าจะใส่เต็ม หรือต่อให้พูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาเราก็กล้าใส่เต็ม แต่พอเป็นคนไทยกลายเป็นว่ากลัวกันเอง แต่ถ้าถามว่ามีคอมเมนท์อะไรไหม ก็ขอตอบว่าโนคอมเมนท์ เพราะเราเปลี่ยนความคิดเขาไม่ไม่ได้ แต่เปลี่ยนตัวเองได้ คือไม่ต้องสนใจใครจะว่าอะไรเลยมากกว่า แต่เอาจริงๆ แล้ว เราไม่ควรสนใจคนที่คิดแบบนั้นกับเราต่างหาก มันบ่อนทำลายมากเลยนะ

เราเคยเจอเด็กเล่าให้ฟังในทวิตเตอร์ว่าครูสอนภาษาอังกฤษว่าเขา ว่า ‘ต้องพูดเว่อร์ขนาดนี้เลยเหรอ’ กลายเป็นว่าทำลายความฝันของเขาไปเลย ดังนั้น ถ้าให้เลือกระหว่างความกล้ากับความถูกต้อง นุ่นจะเลือกให้เด็กกล้าทำก่อน

กล้าไว้ก่อน ถ้าผิดเดี๋ยวก็ถูกเอง แต่ถ้ามัวแต่กลัวว่าจะทำผิด คนที่เขากล้าทำ เขาทำไปสิบอย่างแล้ว เพราะงั้นลองก่อน ผิดถูกเดี๋ยวรู้กัน

เคยโดนแซวเรื่องสำเนียงไหม เช่น ‘เยอะ’ หรือ ‘ดัดจริต’?

ถ้าถามว่านุ่นเคยเจอไหม อาจเคยเจอนะ แต่เราไม่ได้ยิน เพราะเราคิดว่าฉันยังพูดไม่เหมือนเจ้าของภาษา ออกเสียงไม่เหมือนเขา ทุกวันนี้อาจมีคนไม่ชอบก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่เราควรเลือกเองว่าจะให้อะไรดังอยู่ในหัวเรามากกว่ากัน ระหว่างเป้าหมายของเรากับเสียงของคนอื่น ถ้าเสียความมั่นใจเพราะคนอื่นก็อาจไม่ต้องฟัง เพราะถ้าเสียงความฝันเรามันดังกว่า เดี๋ยวเสียงคนรอบข้างก็หายไปเอง เหมือนที่เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran ศิลปินชาวอังกฤษ) บอกว่า แก้แค้นกันด้วยความสำเร็จ ‘Success is the best revenge’ ไม่ว่าจะทักษะไหน

แสดงว่าบุคลิกภาพที่มั่นใจในตัวเอง ส่งผลต่อการเรียนและพัฒนาภาษาอังกฤษ?

เราคิดว่ามันเชื่อมกับทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษแต่ทุกสาขา ทุกทักษะ ทุกวิชา ถ้าความมั่นใจในที่นี้คือ มั่นใจว่าเราจะไปถึงเป้าหมายบางอย่างที่เราตั้งเอาไว้

ดังนั้นเวลานักเรียนเราพูดผิด เราจะไม่บอกว่าเขาพูดผิด เราจะบอกว่า ‘ให้พูดใหม่สิ’ หรือ ‘ดีมากแต่เพิ่มตรงนี้หน่อย’ เหมือนเป็นการให้กำลังใจ เราคิดว่าคนไทยต้องการพลังงานที่ดี เวลาเราไปสอนที่ไหนก็ตาม ส่วนใหญ่เราจะเอาความผิดพลาดของตัวเองมาสอน อย่างเคยเจอฝรั่งถามถึงพี่สาวเราว่า ‘What year?’ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาหมายถึงว่าอยู่มหาวิทยาลัยปีไหน แต่เราตอบไปว่า ’22 years old’ อะไรแบบนี้ จริงๆ ก็เจ็บมาเยอะ ปล่อยไก่เยอะ อดีตเคยพัง ปัจจุบันก็ยังมีพังบ้าง (ยิ้ม)

เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่า ก่อนจะเก่งได้ก็ต้องผิดพลาดมาก่อนทั้งนั้น นุ่นอยากให้ทุกคนกล้าออกมาทำ ต่อให้ผิด เราก็จะได้สิ่งนั้นเป็นบทเรียนแทน จำก็จำจริงๆ อายก็อายจริงๆ แล้วจะไม่เป็นอีก

หลังจากมาเป็นครูแล้ว มองระบบการศึกษาโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษอย่างไร

จริงๆ คำว่า ‘ครู’ เป็นคำที่เพิ่งได้มา เราไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นครู ตอนแรกสุดเราไม่ได้เป็นครูแต่ใครถามอะไรแล้วเราบอกเขา ตอบได้ อาจไม่ได้รู้ทุกเรื่องแต่ช่วยหาคำตอบให้ และอาจเพราะทำเพจเฟซบุ๊คมาประมาณสามจะสี่ปี จึงทำให้เขาเรียกว่าครู เหมือนเป็นคำที่เป็นคนอื่นเรียก เหมือนเขาให้เกียรติเรา เพราะเราไม่ได้จบตรงสายครุศาสตร์เลย

นุ่น-ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

ส่วนเหตุผลที่คนไทยหรือเด็กไทยไม่ได้รู้สึกชื่นชอบภาษาอังกฤษมากขนาดนั้น เรามองว่าเพราะบริบทการเรียนบางอย่างมันไม่ได้ใกล้ตัวเขา ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ตาม กลายเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเรียนกันนานมากแต่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่นับวิธีการสอนหรืออื่นๆ ที่เราสามารถทำให้ใกล้ตัวเด็กได้ แต่กลับทำให้เด็กปิดประตูตั้งแต่เริ่ม อีกอย่างคือมันใช้ไม่ได้จริง เรามองว่าอย่าไปโทษวิชาการว่ายากเลย แต่เราทำให้วิชาการสนุกขึ้นได้ โดยการเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการสอนได้

พอมาเป็นครูจริงๆ เราเลยได้รู้ว่าวิธีการสอนสำคัญ เปลี่ยนนิดเดียว เปลี่ยนความสนใจเขาได้เลย

สุดท้าย ช่วยให้คำแนะนำกับใครก็ตามที่กำลังจะเรียน เรียนอยู่ หรือท้อกับภาษาอังกฤษในตอนนี้

สำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่หรือเริ่มเรียนเราจะบอกนักเรียนทุกคนเลยว่าให้เริ่มต้นจาก ‘ความอยากทำ’ ‘อยากได้’ ก่อน อย่างเราคืออยากพูดภาษาอังกฤษได้คล่องๆ เหมือนเจ้าของภาษา จนถึงตอนนี้เราก็ยังรู้ว่ายังไม่เท่าที่ตั้งเอาไว้ เพราะเราอยากดีมากกว่านี้ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดได้แบบนี้แล้วเดี๋ยวเส้นทางมันก็จะตามมาเอง ต่อมาคือเรียนรู้จากความสนใจและความผิดพลาดเพราะว่าถ้าเรียนรู้จากสิ่งที่สนใจแต่ไม่ได้ลองใช้เลยก็ไม่มีประโยชน์ เช่น เด็กผู้ชายชอบบอล ชอบเกม ROV ก็ดูจากในนั้น ท้าเลย ภาษาอังกฤษในเกมพวกนี้สวยมาก แกรมม่าก็มาเต็มมาก หรือชอบร้องเพลง โอ้ย สบายมาก ชอบดูหนัง โห ย่อยได้อีกเยอะว่าอยากได้ศัพท์แนวไหนหรือสไตล์ไหน

แต่ที่สำคัญคือ อย่าฝืนตัวเองถ้ามันไม่สนุกอย่าฝืน จริงๆ ก่อนจะเรียนทุกทักษะต้องรู้ทันตัวเองก่อน รู้ว่าตัวเองไม่จำ ไม่ชอบหรือไม่สนุกแน่ถ้าทำอย่างนี้ เพราะถ้าร่างกายไม่ไปแล้ว วินาทีต่อจากนั้นมันก็ไม่จำแล้ว เอาเท่าที่ใจอยาก แล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่ ไม่ต้องตะบี้ตะบัน ยัดเยียดตัวเอง เน้นทำน้อยๆ เท่าที่อยากจะทำ แต่ทำทุกวันแล้วกัน อยากฝึกเท่านี้ ฝึกแค่นี้พอ

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

‘เจ้าหนูจำไม’ ความสงสัยนำไปสู่การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด
Character building
3 September 2018

‘เจ้าหนูจำไม’ ความสงสัยนำไปสู่การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

“อันนั้นคืออะไรคะ” “ทำไมอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ครับ” คำถามซ้ำๆ หลายๆ รอบของลูก พ่อแม่อาจมองว่าน่ารำคาญแต่ถ้าเข้าใจลูกสักนิด ก็จะรู้ว่าเด็กๆ กำลังเรียนรู้

‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ CQ ย่อมาจาก Curiosity Quotient เป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้

ทำไม CQ จึงสำคัญพอๆ กับ IQ – ความฉลาดทางปัญญา และ EQ – ความฉลาดทางอารมณ์

โทมัส ชาโมร์โร-พรีมูซิค (Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจ University College London และ Columbia University รวมทั้งเป็นคณะทำงาน Harvard’s Entrepreneurial Finance Lab เขียนบทความเรื่อง ‘Curiosity is as Important as Intelligence’ บอกว่า คนที่มีซีคิวสูงเป็นคนชอบถามคำถาม ชอบพูดคุยเพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้คน ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ เห็นความแปลกใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เลยเบื่อง่ายหากต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจ ทำให้ชอบคิด มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ แตกต่างจากไอคิวที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเรียนรู้ การทำความเข้าใจองค์ความรู้และหลักการต่างๆ แต่ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

และพ่อแม่สามารถสนับสนุนให้ลูกมี CQ ได้ ด้วยการตอบคำถามเขา แต่ไม่ได้ตอบอย่างเบ็ดเสร็จ ควรตอบเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ต่อ

ตอบอย่างไร คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Character building
    ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์เลวร้าย ‘ความยืดหยุ่น’ สิ่งที่ต้องมีในโมงยามนี้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel