Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2018

แม่คือครู ครูคือแม่: ฮาวทูจัดการเรียนรู้เด็กพิการแบบพึ่งตัวเอง
อ่านความรู้จากบ้านอื่นEveryone can be an Educator
29 June 2018

แม่คือครู ครูคือแม่: ฮาวทูจัดการเรียนรู้เด็กพิการแบบพึ่งตัวเอง

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • เมื่อมีลูกพิการซ้ำซ้อนและไม่มีที่ไหนรับเข้าเรียน แม้แต่คุณหมอก็ช่วยไม่ได้ แม่เพลินลุกขึ้นมาจัดการเรียนรู้ให้ลูกเอง แล้วพบว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น นำไปสู่การตั้งศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการโดยครอบครัว
  • เธอรวบรวมความรู้ที่ได้จากการพาลูกไปฝึกแต่ละแห่ง เข้าคอร์สอบรมเพิ่มเติม อ่านหนังสือ กระทั่งเข้าเรียนปริญญาตรี วิชาเอกพัฒนาการเด็กและครอบครัว รวมทั้งฝึกวิชาไม่ให้ ‘ปรี๊ด’ แข่งกับลูกด้วย
  • การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่เรียนวิชาการจากนอกบ้าน ครูคนสำคัญ คือลูกของแม่เพลินเอง
  • องค์ความรู้ที่ได้จากทางการแพทย์เป็นข้อมูลที่ได้รับการรับรอง แต่องค์ความรู้จากหน่วยปฏิบัติงานอย่างพ่อแม่ ผู้ดูแลคนพิการ เป็นองค์ความรู้ที่ต้อง ‘ถูกถอดบทเรียน’ และทำให้ได้รับการยอมรับเทียบเท่ากับองค์ความรู้ทางการแพทย์ เพราะนี่คือการพัฒนาความรู้จากหน้างานจริง
ภาพ: พันธิชัย สร้อยสุวรรณ

หากคุณเป็นพ่อแม่ที่มีลูกพิการจะเป็นอย่างไร

จะต้องดูแลอย่างไร? จะให้เข้าโรงเรียนไหน? ลูกต้องเสริมพัฒนาการอย่างไรบ้าง?

อาจมีสารพัดคำถามประเดประดังกันเข้ามามากมายจนยากจะหาทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกของคุณเป็นเด็กพิการซ้ำซ้อนและไม่มีใครรับเข้าเรียน

The Potential ชวนฟังเรื่องราวของ แม่เพลิน-แสงเพลิน จารุสาร ผู้ประสานงานศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการโดยครอบครัว และเป็นคุณแม่ลูกสามที่มีลูกคนสุดท้องเป็นเด็กพิการ ที่ลุกขึ้นมาเป็นครู เพราะไม่อยากและไม่ยอมนั่งดูลูกนอนเป็นผักไปวันๆ

ที่ไหนคือที่ของลูก

“น้องเป็นออทิสติกและสมองเล็ก (พิการซ้ำซ้อน) มีการรับรู้น้อย สมองเล็กเหมือนเด็กสติปัญญาช้า พัฒนาการช้ากว่าเด็กปกติ ในเมื่อสมองน้อย การรับรู้ เรียนรู้ก็น้อยด้วย ปัญหาออทิสติกคือปัญหาการเรียนรู้ เข้าสังคม ต่อต้านสูง ฝึกอะไรก็จะต่อต้านไว้ก่อน บกพร่องเรื่องการสื่อสาร ไม่พูด หรือพูดภาษาตัวเอง เข้าสังคมก็จะเอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่”

ฟังดูแล้วคงเป็นภาระหนักหนาไม่ใช่น้อย แต่แม่เพลินก็ไม่เคยยอมแพ้ พาไปพบแพทย์ ไปสถาบันเฉพาะทาง ไปศูนย์ฝึกฟื้นฟูต่างๆ รวมถึงการไปหาโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีใครรับเข้าเรียน จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วที่ไหนคือที่ของลูกเรา

แม้แต่หมอซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่าไม่สามารถช่วยได้ แล้วใครล่ะจะช่วย?

“ครั้งแรกที่หมอบอกว่าสมองเล็กช่วยไม่ได้แล้ว เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่รักษาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่อธิบาย ไม่ส่งต่อ มีอะไรที่ดีขึ้นมั้ย มันทำให้เราช็อกว่าทำไมหมอช่วยไม่ได้ ถ้าช่วยไม่ได้แล้วมีอย่างอื่นช่วยได้มั้ย แต่เราไม่ได้ยอมแพ้ เราก็กลับไปหาหมออีกว่าเมื่อเป็นแบบนี้จะทำยังไง เขาบอกว่า ‘ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ เดี๋ยวเราส่งน้องไปตรวจสมอง’ แต่ใครจะสบายใจถ้าลูกมีอาการแบบนี้และได้คำตอบจากหมอแบบนี้”

นอกจากนี้ศูนย์ฝึกเด็กพิการต่างๆ และโรงเรียนเองก็มีข้อจำกัดอย่างมาก เช่น เจ้าหน้าที่มีน้อย บางโรงเรียนครูการศึกษาพิเศษไม่มี เด็กในชั้นเรียนมีมากเกินไปจนดูแลไม่ทั่วถึง ประเด็นสำคัญคือการฝึกที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น มีเวลาฝึกเด็กพิการเพียงหนึ่งครั้งในสามเดือน ความถี่เท่านี้ทำให้เด็กลืมการฝึก เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ต้องเริ่มฝึกใหม่ทุกครั้ง

“เราก็ไม่ได้ต่อว่าเจ้าหน้าที่เพราะรู้ข้อจำกัด เพียงแต่การบริการฝึกที่ไม่เพียงพอ เราก็รอไม่ได้เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน การจะมาโทษว่าเป็นความผิดของใครเป็นเรื่องเสียเวลา เราพยายามทำเพื่อให้ความพิการของลูกอยู่กับที่ ไม่เพิ่มขึ้น หรือทำให้เขาเจ็บป่วยน้อยลง”

“ถ้าเรายอมแพ้ คิดว่าหมอคือพระเจ้า เราก็อุ้มเขากลับไปตั้งไว้ เด็กก็พิการก็มีแต่จะเจ็บป่วยมากขึ้น เพราะคำว่า ‘หมอช่วยไม่ได้’ คำนี้เป็นสิ่งที่เราหดหู่ใจเมื่อได้ยิน แต่เราไม่ยอมแพ้ แต่ถ้าคนอื่นยอมจำนนล่ะ?” แม่เพลินตั้งคำถาม

หมอไม่ช่วย แม่ช่วยเอง

“ ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ ใครจะยอมนั่งดูลูกไปวันๆ ให้ลูกนอนเป็นผัก คงยอมไม่ได้”

เมื่อการไปฝึกในที่ต่างๆ ไม่เพียงพอ แม่เพลินตัดสินใจลุกขึ้นจัดการฝึกลูกเอง อาศัยความรู้ที่ได้จากการพาลูกไปฝึกแต่ละแห่ง เข้ารับการอบรมความรู้ที่เกี่ยวกับเด็กพิเศษ หาหนังสือมาอ่าน แม้กระทั่งการเข้าเรียนต่อปริญญาตรี เอกพัฒนาการเด็กและครอบครัว หลักสูตร 4 ปี นอกจากนี้ยังต้องฝึกการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ ‘ปรี๊ด’ แข่งกับลูก

“ออทิสติกคือ (การฝึก) ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี การสื่อสาร การควบคุมอารมณ์ เด็กพวกนี้จะปรี๊ดง่ายอยู่แล้ว เราจะเริ่มฝึกที่ใคร ก็ต้องฝึกที่เราก่อน ฝึกควบคุมอารมณ์ตัวเอง การหาความรู้เกี่ยวกับความพิการของเขา ถ้าเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น เราก็เลือกที่จะให้อภัยแทนการโมโห ไม่ใช่เขาปรี๊ดมาเราปรี๊ดตอบ ถ้าเขาปรี๊ดกลับมาอีกรอบมันแรงกว่าเราเยอะ เพราะเขายับยั้งชั่งใจไม่เป็น ก่อนจะหยุดเขาเราต้องจัดการอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนด้วยการใช้น้ำเสียงสม่ำเสมอ ฟังแล้วสบายใจ ไม่เป็นสิ่งเร้าให้อารมณ์เขาขึ้นง่าย เมื่อฝึกตัวเองได้ ก็สามารถควบคุมเขาได้”

แม่เพลินสารภาพว่าแต่ก่อนเป็นคนใจร้อนมาก ถ้าไม่พอใจ เดือดทันที แต่เมื่อต้องมาฝึกลูกก็ต้องทำใจเย็นลงให้ได้

“น้องกันต์ก็สอนเรา ฝึกเราให้มีความอดทนอดกลั้น ยับยั้งชั่งใจ เขาเป็นคนสอนให้เราเข้าถึงความเป็นคน”

นอกจากนี้ยังมีการฝึกกระตุ้นประสาทสัมผัส การสื่อสาร การรับรู้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น น้องกันต์เส้นประสาทตาฝ่อ มีโอกาสมองไม่เห็น ดังนั้นจะต้องกระตุ้นเส้นประสาทตาให้แข็งแรง แม่เพลินจึงตัดสินใจกลับมากระตุ้นสายตาทุกทาง

“โมบายติดเต็มบ้าน เสียงเพลง เสียงไฟกะพริบ ให้มันใช้งานได้ จนกระทั่งเราพบว่าเขาเห็น เพราะเราเห็นเขาหยิบบางอย่างเล็กเท่าเส้นไม้กวาดเขาก็หยิบ แต่เขาบอกไม่ได้ว่าเขาเห็นแบบไหนเพราะเขาสื่อสารกับเราไม่ได้ แต่เขาเห็นแน่นอน เขาเดินไม่ชนของ ตรวจอีกทีหมอบอกไม่ฝ่อมากไปกว่านั้น อยู่เท่าเดิม”

หรือแม้แต่การกินข้าว ที่เด็กปกติอาจตักกินได้ง่ายๆ แต่สำหรับเด็กพิการซ้ำซ้อนแล้ว การใช้เวลาฝึกให้กินข้าวได้ ย่อมนานกว่าปกติ

“แม้กระทั่งการให้เขาจับช้อนตักข้าวเข้าปาก เราใช้ช้อนชนิดพิเศษที่ดัดเข้าหาตัว ต้องหักช้อนเข้าปากพอดี ก็หาวิธีด้วยการหาที่หุ้มช้อนนุ่มๆ ที่เขาจับแล้วไม่เจ็บ ต้องนั่งด้านหลังจับมือเขาให้จับช้อนทุกคำ ตัก ยกขึ้น เข้าปาก ดึงออก วางลง พูดทุกสเต็ป ต้องใช้วิธีซ้ำๆ ประมาณเกือบปีถึงจะปล่อยมือได้”

ไม่นับการที่เด็กอาจต้องพบเจอประสบการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เข็ดขยาดการกินข้าว เช่นน้องกันต์ที่มีเหตุต้องผ่าฟัน ทำฟันแล้วรู้สึกกลัว จึงไม่ยอมให้เอาช้อนเข้าปาก “จะมาฝึกเขาใหม่ก็ยากมาก พอเข็ดแล้วจำ เขาก็ไม่เอาแล้ว”

ผลของการฝึกน้องกันต์ทำให้แม่เพลินทราบว่าการกระตุ้นประสาทสัมผัสอย่างสม่ำเสมอทำให้การรับรู้ดีขึ้น

“เหมือนคุยกับเขา เขาจำไว้ก่อนเป็นวันสองวันถึงจะกลับมาพูด ต่อมาก็ถอยระดับความยาวลง จากที่เคยฝึกเป็นวัน กลับมาเป็นจำช่วงเช้าแล้วพูดช่วงเย็น ตอนนี้ตอบโต้ทันทีและตรงสถานการณ์ได้ พูดถึงบุคคลที่สามได้”

แม้จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่แม่เพลินก็บอกว่า พัฒนาการของน้องกันต์จะขึ้นๆ ลงๆ จนบัดนี้ยังต้องฝึกอยู่ และต้องฝึกตลอดชีวิตเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องสมองเล็ก

“ต้องทำใจยอมรับสภาพว่าศักยภาพของเขามาได้เท่านี้จริงๆ เคยฝึกเดินขึ้นบันไดได้ ตอนนี้ทำไม่ได้”

ต้องฝึกลูกมากขนาดนี้ แม่เพลินท้อไหม?

“ท้อ แต่ยังสู้ต่อ ถามว่ายอมแพ้ไหมก็ไม่รู้ว่าจะยอมแพ้ไปทำไม”

แล้วอะไรทำให้แม่เพลินยังทำต่อได้จนถึงตอนนี้?

“คิดว่าเป็นความรักที่มีให้เขา ได้เห็นพัฒนาการของเขา แม้จะก็ขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ทำให้ชื่นใจ ตอบโต้ได้ เถียงเป็น เรียกร้องได้ ทำให้เรารู้สึกดีนะ ไม่เป็นภาระมากขึ้น รู้สึกว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นบางทีจะเป็นเรื่องอารมณ์ด้านลบ แต่ก็เป็นพัฒนาการของเขา

“หลักๆ อยากให้ลูกอยู่อย่างมีความสุข แล้วเราก็ไม่ได้คาดหวัง ถ้าเราคาดหวังเมื่อไหร่เราก็จะเครียด ไม่ว่าจะเป็นลูกที่พิการหรือคนรอบข้างก็จะไม่คาดหวังใครเลย เพียงแต่ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุและผลในแบบที่ควรจะเป็น”

การเรียนรู้เพื่อฝึกการใช้ชีวิต

จากการฝึกลูกเองที่บ้านทำให้แม่เพลินพบว่า บ้านเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเด็กได้จริงๆ

“พอเราทำได้ หันกลับมามองเพื่อน ลูกเพื่อน เขาเจอปัญหาเดียวกัน แม่เพลินจึงชวนแม่ๆ มาทำโรงเรียนให้ลูก เรานั่งคุยกันแค่เจ็ดครอบครัวชวนกันตั้งชมรมทำบ้านเป็นศูนย์เรียนรู้ให้ลูก เริ่มจากชวนเด็กละแวกบ้านสามสี่คนมาทำกิจกรรมกัน เอาความรู้ที่ไปเก็บจากคุณครู แม่ๆ พาลูกไปฝึกที่อื่นก็มาแบ่งปัน เมื่อเจอปัญหาช่วยกันแก้ก็เกิดพลัง เรามีทางออกไม่ต้องเก็บไปนั่งเครียดคนเดียว”

จนปัจจุบัน ‘ศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการโดยครอบครัว’ ที่แม่เพลินตั้งขึ้นมีอยู่ 13 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยจะนัดมาทำกิจกรรมต่างๆ กันตามวันที่แต่ละพื้นที่ร่วมกันกำหนดขึ้น

“ลูกเราเรียน ก ข ไม่ได้ ดังนั้นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการต้องเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวัน”

แม่เพลินขยายความและยกตัวอย่างกิจกรรม เช่น การให้เด็กได้กระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ ผ่านการทำขนมทับทิมกรอบ

“ก็จะดูส่วนประกอบ มีแห้ว แป้ง สีผสมอาหาร กะทิ เขาก็เอาแบบที่ยังไม่ทำอะไรเลย ลองจับดูซิมันดำๆ เด็กบางคนไม่กล้าจับ ปอกออกมาเป็นสีขาวหั่นเป็นลูกเต๋า จับดู ชิมดู ไม่เหมือนที่เราเคยกินเพราะนั่นสุกแล้ว แล้วก็ขยำแป้ง ร่อนแป้งใช้มือสัมผัส นำแห้วที่หั่นใส่กล่องใสๆ แล้วก็เอาแป้งที่ร่อนแล้วใส่ลงไปคลุกๆ เขย่าๆ เอาสีผสมอาหารหยอดลงไป มันก็เปลี่ยน เกิดการเปลี่ยนแปลงจากแป้งขาวเป็นสีชมพู เขียว ตามสีผสมอาหารเด็กก็ตื่นตาตื่นใจ เอาไปลวกในน้ำร้อน ลวกให้เห็น พอลอยก็ช้อนขึ้นเอาน้ำกะทิ น้ำหวานใส่ คือสนุกกับการหาวิธีให้เขาเรียนรู้ เด็กตื่นเต้นได้กินขนมฝีมือตัวเอง”

ยังมีกิจกรรมทำงานศิลปะที่ให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วม หากทำไม่ได้ก็มีพ่อแม่คอยจับมือช่วยทำอย่างใกล้ชิด แต่หากเด็กทำได้ก็จะปล่อยเต็มที่

“ทำของเล่น พับกระดาษ ไม่ใช่ว่ามีกิจกรรมแล้วจะฝึกให้เด็กทำ แม้จะไม่รับรู้ทำไม่ได้ แต่เราก็เน้นการช่วยเหลือ Active Support ช่วยให้น้อยที่สุด ช่วยเท่าที่จำเป็น อย่างเด็กแขนเกร็งพับไม่ได้ ก็อาจจับมือเขาพับ จับมือเขารูด แตะกาวมาแปะ เด็กสติปัญญาช้า ถ้าให้เมล็ดทานตะวันแตะเรียงทีละเม็ดก็ได้ หรือจับมือแล้วโรยลงไปก็แล้วแต่สเต็ปของเด็ก มันจะไม่สวยแต่เน้นเด็กมีส่วนร่วม”

หรือกิจกรรมที่ช่วยสร้างประสบการณ์แก่เด็กๆ เช่น งานเทศกาลสงกรานต์ที่จัดกันเองที่ศูนย์ฯ

“มีรำวง รดน้ำดำหัว เด็กที่ได้ไปเขาไปเจอสถานการณ์จริงก็จะรู้ว่านี่คือสงกรานต์ พ่อแม่ก็สนุกไปตามประสาเหมือนสังคมเล็กๆ ของครอบครัวเรา”

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมช่วยผ่อนคลายให้พ่อแม่ ชวนออกมาเต้น ยกแข้งยกขาอย่างสนุกสนานอีกด้วย แม่เพลินบอกว่าการที่พ่อแม่ออกมาทำกิจกรรมด้วยจะช่วยเสริมความภาคภูมิใจให้เด็กๆ และเกิดความมั่นใจมากขึ้นในการทำกิจกรรม

แม่เพลินเล่าว่าเมื่อพ่อแม่พาลูกๆ มาฝึกที่ศูนย์อย่างสม่ำเสมอก็พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เด็กพิการหลายคนเจ็บป่วยน้อยลง มีความสุขมากขึ้น เป็นการลดภาระทั้งพ่อแม่และทั้งภาครัฐที่จะไม่ต้องเสียทรัพยากรในการรักษาพยาบาล ที่สำคัญผู้ปกครองมีเพื่อน ความตึงเครียดจึงได้ผ่อนคลาย

ลุกขึ้นทำเอง ไม่ต้องรอใครนำ

การเปิดศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการของแม่เพลินส่งแรงกระเพื่อมมากกว่าที่คิด เริ่มมีพ่อแม่แกนนำที่สามารถนำทำกิจกรรมในศูนย์ มีพ่อแม่ที่มีความรู้ความชำนาญในการดูแลเด็กพิการมากขึ้น นอกจากนี้แม่เพลินกำลังทำ Respite care “การดูแลทดแทนชั่วคราว” คือมีอาสาสมัครมาดูแลเด็กพิการในระหว่างที่พ่อแม่ไม่อยู่ไปทำธุระ หรือเพื่อให้พ่อแม่ได้พักหายใจจากการดูแลลูกบ้าง โดยเริ่มจากทดลองทำในศูนย์เองก่อน ในปีนี้จะเริ่มรับคนนอกเข้ามาร่วมด้วยมากขึ้น และอีกหลายโครงการที่กำลังขยับขยายในไม่ช้า

แม่เพลินบอกว่านี่คือการสร้างวัฒนธรรมเพื่อนช่วยเพื่อน คือพึ่งตนเองให้มากที่สุดโดยไม่ต้องรอรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่ทำได้เองและทำได้จริงคือการสร้างวัฒนธรรมนี้และส่งต่อไปยังรุ่นอื่นๆ ต่อไป

“สิ่งที่เราคุยกันเสมอคือยืนหยัดความเป็นตัวตนของเรา อย่าเห็นแก่เงินแก่งบ การทำงานตามงบเดี๋ยวงบก็หมด แต่สิ่งที่เราทำเราทำด้วยใจ ยังไงมันก็แน่น ตอนนี้พื้นฐานครอบครัวเราแน่น มีรุ่นต่อรุ่น”

“เราสร้างวัฒนธรรม อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ของเรา ทุกคนก็ต้องตระหนักสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็บอกแม่ๆ เสมอว่าอย่าไปพึ่งครูหรือพึ่งหมอ เขาจะเปลี่ยนอาชีพเมื่อไรก็ได้ แต่ความเป็นพ่อเป็นแม่ลาออกไม่ได้ ถ้าไม่เรียนรู้แต่เนิ่นๆ จะทำให้เสียเวลาเสียโอกาส การทำงานถ้าทำตามงบ ขอได้เมื่อไหร่ค่อยจัดกิจกรรม ต้องคิดว่าลูกเราไม่ได้พิการตามงบ แต่พิการตลอดเวลา และมากขึ้นตามอายุเขา ไม่ว่าจะมีโอกาสไปพูดที่ไหนก็จะพูดแบบนี้”

เมื่อพ่อแม่จัดการเรียนรู้แก่ลูกพิการ

เมื่อพ่อแม่มีลูกพิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิการซ้ำซ้อน หลายคนไม่รู้จะจัดการกับลูกอย่างไรดี จะให้เรียนโรงเรียนไหน ตายไปแล้วใครจะดูแล ปัญหาหนักอกหนักใจมีมากมายถึงขั้นมีพ่อแม่หลายคนเป็นโรคซึมเศร้า ในจุดนี้แม่เพลินให้คำแนะนำว่า พ่อแม่ควรปรับวิธีคิด ลุกขึ้นมาช่วยฝึกลูก ด้วยการเรียนรู้สิ่งที่ลูกเป็น จัดสรรเวลาและหาวิธีต่างๆ ในการฝึกลูก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข

พ่อแม่จะบทบาทช่วยเหลือจัดการเรียนรู้ให้แก่ลูกพิการได้อย่างไร? แม่เพลินสรุปมาได้ 3 ข้อดังนี้

  • เข้าใจสิ่งที่ลูกเป็น
  • การสื่อสารกับลูก
  • การเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์

เข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็น

แม่เพลินบอกว่าในขั้นแรกสุด ควรจะเข้าใจว่าลูกของเราเป็นอะไร มีอาการอย่างไรบ้าง เช่น เป็นเด็กออทิสติกคือจะเดินได้ แต่พูดคุยไม่รู้เรื่อง อยู่ในโลกส่วนตัวของตนเอง วิธีการฝึกก็จะต่างกับเด็ก CP (สมองพิการ) ที่มีอาการร่างกายบิดเกร็งเนื่องจากสมองส่วนการควบคุมกล้ามเนื้อเสียไป แต่สมองส่วนการเรียนรู้ดี เขาพูดไม่ได้แต่เขารู้เรื่อง เราก็ต้องหาวิธีสื่อสารกัน

“ถามว่าเอามั้ยอันนี้ กินมั้ย แต่นี่เล่นไม่ถามเลย ไม่พูดก็นึกว่าไม่รู้เรื่อง บางทีพ่อแม่ก็ไม่คิดว่าตัวจะไม่ละเมิดลูกหรอก แต่ไม่รู้ว่าลูกรู้ ดังนั้นต้องดึงศักยภาพเด็กให้เขาเห็น เขานั่งได้นะแต่เราต้องฝึก การจับลุกขึ้นมาคุยให้รู้เรื่องมันก็ต้องฟื้นฟูร่างกายเขาก่อน ให้เขาผ่อนคลาย เช่น นวด กายภาพ ทำท่าบางท่า จับลุกขึ้นนั่ง คุยกับเขา”

สื่อสารกับลูก

การสื่อสารเป็นเรื่องที่จำเป็นและเป็นสิ่งพื้นฐานในการใช้ชีวิต เมื่อเด็กพูดไม่ได้ พ่อแม่บางคนก็ไม่คิดว่าจะหาวิธีสื่อสารกับลูกอย่างไร แม่เพลินยกตัวอย่างว่า

“อย่างเด็กที่เป็น CP เขาก็พยายามพูดแต่มันเกร็ง มันฟังไม่รู้เรื่อง ก็ใช้วิธีเดาเอาบ้าง พ่อแม่ในศูนย์จะเดาเก่ง แปลเก่ง เราต้องหัดฟังและแปลลูก กิจกรรมช่วงสุดท้ายมีเวทีให้เด็กแจ้งข่าวที่ตัวเองอยากบอกเพื่อน ก็มาเล่าว่าไปเที่ยวเจออะไรมาให้เพื่อนฟัง ดังนั้นพ่อแม่ต้องเป็นนักแปล บางทีลูกตอบแอ๊ะสองสามแอ๊ะ ก็เล่ายาวเลย ลูกก็ภาคภูมิใจมีคนพูดให้ พ่อแม่ก็รู้ว่าเขาอยากบอกอะไรเพราะไปมาด้วยกันใกล้ชิดกัน เด็กก็ภาคภูมิใจมีความสุข เขามีตัวตน มีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนฟังได้”

แม่เพลินขยายความเพิ่มเติมว่า การสื่อสารไม่ใช่แค่สื่อสารกับลูก แต่ต้องสื่อสารกับคนในครอบครัวด้วย

“บางทีเขาไม่เห็นความสำคัญในการฝึกลูก พอลูกร้องหน่อยก็โกรธแล้ว ตายายก็ทนไม่ได้แล้ว ให้ใช้วิธีพูดคงไม่ฟัง อาจใช้วิธีพูดผ่านลูก เช่น วันนี้นะเราไปฝึก ไปศูนย์เนาะไทด์เนาะ ไทด์ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เก่งมากเลย คนฟังข้างหลังจะเปลี่ยนวิธีคิด คุณภาพชีวิตเด็กก็ดีขึ้น”

เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์

แม่เพลินบอกว่าคนมักจะมองข้ามเรื่องนี้ แม้กระทั่งเด็กปกติพ่อแม่ก็คิดแทนทำแทน ไม่ได้สนใจรายละเอียดหรือความรู้สึกของลูก

“ถ้าเด็กปกติอาจไประบายที่อื่นได้ ไปเล่านู่นนี่ได้ แต่เด็กพิการไม่สามารถไปได้ ความคับข้องที่ขุ่นมัวในใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเด็กที่ไม่เคยมีความสุขเลย หงุดหงิดตลอดเวลา เด็ก CP บิดเกร็งเยอะมาก แต่เด็กพวกนี้ฉลาด รับรู้อะไรได้ดี เพียงแต่สื่อสารไม่ได้ด้วยภาวะที่เกร็งมาก เด็กพวกนี้ถ้าไม่ถูกฝึกก็จะใช้วิธีร้องเพราะไม่มีใครตอบสนองความต้องการได้”

“พอเราได้ฝึกพ่อแม่ ให้พ่อแม่ได้เรียนรู้การช่วยลูกผ่านกิจกรรม เข้าใจในสภาพที่ลูกเป็น และเคารพสิทธิลูก เราก็ให้พ่อแม่ลองคิดดูว่าถ้าเราไปไหนไม่ได้ มีคนดูแลเราเขาอยากอาบน้ำเราตั้งแต่ตีห้า ก็ลากเราออกจากที่นอนไปเรารู้สึกยังไง กินอาหารเขาซื้อแต่โจ๊กให้แต่เราไม่อยากกิน อยากกินอย่างอื่น หรือไม่ชอบเสื้อสีแดง คนเลี้ยงใส่ให้เราตลอดเลย เราก็พยายามบอกเขาว่ารู้สึกยังไง เมื่อเขาคิดตามก็เออเนอะ ลูกเราก็คงจะเป็นอย่างนั้น อ้าว แต่มันไม่พูด ก็ใช้วิธีให้เลือก อันไหน เสื้อแขนยาวแขนสั้น สีขาวหรือสีแดง ถ้าเขาพูดเอาหรือพยักหน้าไม่ได้ก็แค่มอง ถ้ามองสีแดงก็แกล้งลองสลับดู หันไปยังมองสีแดง แสดงว่าอยากได้จริงๆ หรือมื้อนี้จะกินอะไร เอาเมนูมาขยายความให้หน่อย หรือราดหน้าที่ไม่เคยกิน เอามาให้ดูรูปร่างหน้าตา เขาก็จะมีความสุข ได้กินอย่างที่ตัวเองอยากกิน”

“ถ้าจะพาไปอาบน้ำ พ่อแม่กลับมาเหนื่อยๆ อยากรีบอาบน้ำนอนก็รีบเลย พาไปอาบน้ำทั้งๆ ที่ลูกนอนดูการ์ตูนอย่างสนุกสนาน พอหงุดหงิดร้องไห้ก็หาว่าเขางี่เง่า แต่ถ้าเป็นเราเราอาจอาละวาดมากกว่านี้ก็ได้ ทีนี้การจะย้ายเขาไปที่ไหนก็ต้องถามก่อนว่าอยากไปไหม เด็กพวกนี้ก็ฉลาด บอกไม่อาบๆ ถ้าให้มีสิทธิเลือกเขาก็ต่อรอง อันนี้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือเขา อ๊ะ ยังไม่อาบเหรอ แต่ใกล้หกโมงแล้ว อีกสิบนาทีหนูดูเวลา ถ้าเข็มยาวชี้เลขนี้ก็ไปอาบนะ ถ้าไม่ตกลงก็ให้เลือกหนึ่งที ก็ต้องมีข้อตกลงตรงกลาง จะได้อยู่กันอย่างสงบสุข” แม่เพลินเผยเคล็ดลับ เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้ “ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นด้วยหัวใจ” เลยทีเดียว

ฟังดูแล้วบทบาทของพ่อแม่ต่อการฝึกฝนลูกพิการนั้นต้องใช้ความรู้และความอดทนอย่างมาก แต่แม่เพลินทิ้งท้ายว่า สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องทำเพื่อให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามศักยภาพที่เขามี

“อยากให้พ่อแม่ได้ตระหนักว่าเด็กพิการคนหนึ่งก็เป็นลูกเรา ดังนั้นเราก็ต้องให้สิทธิกับเขา และช่วยเขามากกว่าเด็กปกติ ต้องให้ความสำคัญมาก แบ่งเวลาให้เขา”

“เช่นจะเอาลูกมาฝึกวันพุธที่ศูนย์บางแคแต่กลับมีเรื่องอื่นเข้ามาแล้วทิ้งเลย ทั้งๆ ที่มีวันเดียวที่พาเขามาฝึกได้ วันเดียวให้เขาไม่ได้จะช่วยได้ยังไง ถ้าเขาอายุมากขึ้นพิการมากขึ้นเราแก่แล้วจะช่วยยังไง มันลำบากกว่านะ กับพูดกันไม่รู้เรื่องตลอดเวลา ถ้าฝึกให้พูดรู้เรื่องก็ไม่ต้องตีกันจนแก่จนเฒ่า

“อยากให้ตระหนักว่าคุณสร้างเขามาแล้วก็ต้องช่วยให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ถ้าเราแก่เฒ่าตายไป ถึงเขาจะลุกขึ้นมาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แต่เขาสามารถตักข้าวเข้าปากเองได้ ไม่ต้องรอให้คนป้อนทุกมื้อ คนอื่นเขาก็มีภาระของเขาอาจได้กินวันละมื้อก็ได้ แต่ถ้าตักข้าวเข้าปากเองได้ เพียงมีคนหามาวางเขาก็กินได้ทุกมื้อ ให้คิดได้แบบนี้ เราก็ตายสบายใจเพราะเราทำเต็มที่แล้ว”

ติดต่อศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการโดยครอบครัว (บางแค) ได้ที่
Fb page: ศูนย์เรียนรู้ฟื้นฟูเด็กพิการโดยครอบครัว-บางแค
โทรศัพท์: 086-906-5223

Tags:

คนพิการพ่อแม่

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

วิจารณ์ พานิช: ต้อง ‘เรียนรู้’ แบบไหน และ อีกแค่ไหน จึง ‘เปลี่ยนแปลง’
Transformative learning
28 June 2018

วิจารณ์ พานิช: ต้อง ‘เรียนรู้’ แบบไหน และ อีกแค่ไหน จึง ‘เปลี่ยนแปลง’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ไม่ใช่แค่พ่อแม่และครูที่ ‘อิน’ กับการศึกษา แต่รวมหมดตั้งแต่ลุงป้าน้าอาและคนที่ไม่มีลูก ทั้งหมดนี้สะท้อนอะไร หรือการศึกษาไทยถึงทางตัน?
  • ‘Transformative Learning’ หรือ ‘การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง’ เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนการเรียนรู้ ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างครูในฐานะ ‘คุณอำนวย’ (facilitator) กับผู้รับ และวิธีการเรียนที่ไม่ใช่ถ่ายโอนความรู้เป็นก้อนๆ แต่ต้องมาจากการลงมือทำ ประสบการณ์จริง และได้ใคร่ครวญคิดไตร่ตรอง
  • ยาแก้อาการเรียนแบบสั่งสอน เม็ดที่หนึ่งคือการคืน ‘ศักดิ์ศรีครู’
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

The Potential ไม่ใช่พื้นที่งานสื่อสารเดียวที่ทำงานด้านการศึกษา นอกจากสื่อมวลชนหลายสำนัก คนในอาชีพอื่นทั้ง พ่อแม่ ครูอาจารย์ ลุงป้าน้าอา คนในชุมชน เพื่อนข้างบ้าน ส่วนเสี้ยวใดหนึ่ง ล้วนเป็นหนึ่งในนักการศึกษาแทบทั้งสิ้น

อ้างอิงเฉพาะฟีดแบ็คที่ได้รับตลอดมาตั้งแต่เปิดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 แทบทุกบทความที่โยนสู่พื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่แค่ได้เสียงตอบรับที่ดี แต่เราได้คำถาม บทสนทนา การชวนคุย แลกเปลี่ยนความทุกข์สุขร่วมอันเกิดจาก ‘ระบบการศึกษา’

ทำไมคนจึง ‘อิน’ กับประเด็นการศึกษามากขนาดนี้ และไม่ใช่แค่พ่อแม่ ครู และนักเรียน แต่กับคนที่ไม่มีลูก ก็ยังร่วมแสดงความเห็นอย่างน่าสนใจที่มาจากประสบการณ์ร่วม

ประเด็นสำคัญคือ ทุกคนอยากหา ‘ทางออก’

เครื่องมือการศึกษาหนึ่งในชื่อ ‘Transformative Learning’ หรือ ‘การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง’ คือ เครื่องมือการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก, ประสบการณ์, ตัวตนข้างในของผู้เรียน ผ่านเครื่องมือสำคัญคือ ‘reflection’ การคิดใคร่ครวญไตร่ตรอง ทั้งที่มาจากการครุ่นคิดภายในตัวเอง และการถูกกระตุ้นให้คิดโดยคนรอบข้าง พ่อแม่ ครู เพื่อน ลุงป้าน้าอา ด้วย ‘การฟังอย่างลึกซึ้ง’ และ ‘การตั้งคำถาม’ ที่ช่วยตรวจทานความรู้สึกข้างใน

The Potential ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล นายแพทย์ผู้สนใจประเด็นการศึกษา เจ้าของผลงานหนังสือเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้หลากหลายเล่ม ตั้งแต่ เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่, วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21, สนุกกับการเรียนในศตวรรษที่ 21 ฯลฯ

โดยเฉพาะเล่ม ‘การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง: Transformative Learning’ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ตีความจากหนังสือ ‘Transformative Learning in Practice: Insights from Community, Workplace and Higher Education’ โดย Jack Mezirow, Edward W. Taylor และคณะ เป็นการตีความทีละบทและนำมาแลกเปลี่ยนในบล็อกของศ.นพ.วิจารณ์เอง

เพื่อต้องการหาความหมาย อะไรจะเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาอย่างแท้จริง ศ.นพ.วิจารณ์ เริ่มต้นโดยให้ความรู้และอธิบายความหมายของทฤษฎีนี้ พร้อมชี้แนะด้วยประสบการณ์ว่าการศึกษาไทยควรเปลี่ยนแปลงในลักษณะไหน ทำอย่างไรให้องค์ความรู้นี้ถูกผลักสู่การเรียนในห้องได้จริงๆ

ประเด็นการศึกษาขณะนี้ ไม่ใช่แค่นักการศึกษา แต่พ่อแม่ทุกวันนี้ตื่นตัวกับประเด็นการศึกษามาก กล่าวได้หรือไม่ว่าเป็นความอึดอัดคับข้องร่วม ที่ทุกคนเห็นว่ารอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต้องเร่งแก้ไข

ตามความเข้าใจของผม ระบบการศึกษาโลกยึดแนวทางที่เรียกว่าการถ่ายทอดความรู้ สิ่งที่เรียกว่าความรู้นั้นเป็นก้อนๆ อยู่ในตำรา อยู่ในผู้รู้ หลังๆ อยู่ในอินเทอร์เน็ต ฉะนั้นการศึกษาจึงเป็นการเอาความรู้ส่วนนั้นถ่ายไปใส่ตัวบุคคล เด็กก็รับความรู้มาเป็นก้อนๆ ใส่เข้าไว้ในสมองตัวเอง

ความรู้บางเรื่องเป็นทักษะที่ต้องฝึก เช่น การขี่จักรยาน อย่างพวกผมเรียนหมอ ความรู้หลายอย่างเป็นทักษะ เช่น จะไปตรวจโรค ต้องฝึกคลำ คลำตับยังไง คลำม้ามยังไง ฟังเสียงหัวใจยังไง ฟังเสียงปอดยังไง พวกนี้เป็นทักษะจึงต้องฝึก แต่ความรู้หลายเรื่องเป็นเรื่องทางจิตใจ จิตวิญญาณ ต้องหาทางให้ซึมลึกเข้าไปข้างใน ทั้งหมดนี้ถือเป็นการถ่ายทอด นั่นคือวิธีคิดเก่าเรื่อยมาจนถึงประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีให้หลังมานี้ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กระทั่งประเทศก้าวหน้า ประเทศที่มีเรตติ้งทางการศึกษาสูง เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว ประเทศเรานี่ยังไม่เปลี่ยน อเมริกาหรืออังกฤษก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยน มีแต่บางโรงเรียนที่เปลี่ยน บ้านเราก็มีหลายร้อยโรงที่เปลี่ยน แต่อีกกว่าสามหมื่นโรงนี้ไม่เปลี่ยน รวมทั้งการบริหารงานของกระทรวงศึกษาก็ยังไม่เปลี่ยน

เปลี่ยนอย่างไร?

เปลี่ยนจากคอนเซ็ปท์ “ความรู้เป็นก้อนๆ แล้วถ่ายมาให้คนเรียน” หมายความว่าความรู้นี้เป็นนามธรรม ที่อยู่ในตัวคนเรียน ก่อเกิดขึ้นภายในตัว และจึงขยายตัว เชื่อมโยง ลึกและชัดเจนขึ้นภายในตัว อันนี้เรียกว่า constructivism (การสร้างความรู้โดยผู้เรียน)

การเรียนจึงไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้ เป็นการสร้างบรรยากาศ สร้างพื้นที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรม แล้วเกิดการไตร่ตรองสะท้อนคิด (reflect) ว่าความรู้คืออะไร โยงกับสิ่งที่มีคนอธิบายไว้แล้วซึ่งก็คือทฤษฎีอย่างไร

สรุปแล้วคนเรียนเป็นผู้สร้างทฤษฎีด้วยตัวเอง แล้วค่อยเอาไปเทียบกับทฤษฎีที่มีคนคิดไว้ก่อนแล้ว แบบนั้นก็จะรู้ว่าทฤษฎีก่อนหน้านี้ไม่ดีเท่าไร อย่างน้อยๆ ก็ในบริบทที่ตัวเจอ เท่ากับว่าคนเรียนกล้าที่จะสร้างทฤษฎีขึ้นมาด้วย

การเรียนแบบเก่า มีปัญหาอย่างไร

เปรียบเทียบกับการเรียนแบบเก่าที่เป็นเรื่องภายในของแต่ละคน เป็นวิธีคิด เป็นทฤษฎี เพราะฉะนั้นห้องเรียนต้องเงียบๆ เด็กๆ ต้องคิดอยู่กับตัวเอง ซึ่งมีทั้งถูกและผิดนะครับ แต่การเรียนสมัยใหม่ที่ว่าเปลี่ยนหรือดีกว่า คือการเรียนเป็นกลุ่ม เรียนโดยการฟังคนอื่นด้วย ฟังข้อคิดเห็นที่เราเองไม่ได้คิดเหมือนกัน คือเรียนความแตกต่าง เรียนให้รู้ว่าไปเจอประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ทำกิจกรรมร่วมกัน เราตีความอย่างนี้ แต่เพื่อนตีความต่างกัน บางทีตรงกันข้าม บางทีคล้ายๆ กันแต่มีบางมุมที่ไม่เหมือน พอเรียนแบบนี้เข้า เด็กหรือผู้เรียนรวมทั้งเราด้วย ก็จะเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่วิธีเดียว มันมีหลายมิติ มิติความลึก มิติความเชื่อมโยง

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความรู้ความเข้าใจแล้ว แต่คือความเคารพคนอื่น ฟังคนอื่นเป็น อันนี้เป็นการเรียนอีกอย่างซึ่งไม่เกิดขึ้นในห้องเรียนเงียบๆ และฟังครูสอน แต่คือคอนเซ็ปท์ที่เรียกว่า 21st century skills (ทักษะในศตวรรษที่ 21)  ซึ่งมีทักษะหลากหลาย ทักษะที่หลากหลายนี้สอนไม่ได้ แต่สร้างพื้นที่ สร้างกิจกรรมให้เด็กได้ทำแล้วก็เรียนรู้ได้ด้วยตัวอย่างที่ว่าไป การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ฟังเพื่อนเป็น แต่โดยธรรมชาติ ถ้าไม่ระวัง เราจะฟังแต่สิ่งที่เราอยากฟัง เพราะมันตรงใจเรา อันไหนไม่ตรงใจเราจะไม่ได้ยิน ไม่ได้แกล้งด้วย แต่ไม่ได้ยินจริงๆ

แต่การเรียนสมัยใหม่ทำให้คนใจกว้าง เพราะถ้าเรียนแบบ ‘รับ’ และ ‘ถ่ายทอดความรู้’ เราจะใจแคบ แต่เมื่อไรที่ได้เรียนแบบสมัยใหม่ เรียนด้วยหลักปฏิบัติ ได้คุยไตร่ตรองสะท้อนคิดร่วมกัน ด้วยการฟังคนอื่นด้วย เราจะได้ความรู้มิติอื่นๆ

ไม่ใช่แค่นักการศึกษา แต่พ่อแม่ทุกวันนี้ตื่นตัวกับประเด็นการศึกษามาก?

อย่างที่บอกไป เราถูกกำกับโดยประสบการณ์ตรงของเราให้เชื่อว่าการศึกษาคือการรับและถ่ายทอดความรู้ ฉะนั้น ทุกคนในบ้านเมืองสมัยนี้ต้องเข้าใจว่า คอนเซ็ปท์เรื่องการศึกษาได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง พูดอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าการถ่ายทอดความรู้เป็นสิ่งที่ไม่พึงทำนะ เพียงแต่มันไม่พอและมีจุดอ่อนในตัวเอง มันไม่ได้ขีดความสามารถ (competency) อย่างที่คนสมัยใหม่ต้องการ competency ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการอยู่กับการเปลี่ยนแปลง อยู่กับสิ่งที่ไม่ชัดเจน อยู่กับสิ่งที่มองได้หลายมุม

สมัยผมเด็กๆ อยู่บ้านนอก ในใจเราคิดว่ารอบตัวเรา กี่ปีกี่ชาติก็ยังแบบนี้ หลังบ้านคือท้องนา เลยไปหน่อยคือคลอง ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ปี 2500 เราก็คิดว่ากรุงเทพฯ มีเท่านี้ ข้างถนนเป็นคลองคูน้ำเน่า เราคิดว่ามันจะอยู่แบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่เคยคิดเลยว่ากรุงเทพฯ จะเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ เห็นมั้ย? โลกมันเปลี่ยนแปลง การศึกษาสมัยเก่าเป็นการศึกษาเพื่อโลกที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือหลัก

ปัจจัยอะไรที่ทำให้เด็กกล้ายกมือถาม ยินยอมรับฟังความเห็นต่างจากเพื่อนในห้อง

ต้องกังวลฝั่งครู เพราะครูโตมากับวิธีเรียนแบบเดิม ที่ร้ายคือว่า ครูของครู ฝึกเขามาแบบนี้ จริงๆ แล้วในประเทศที่การศึกษาดี โรงเรียนฝึกหัดครูเขาเปลี่ยนหลักสูตรเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

ขณะนี้สกิลครูไม่ใช่ didactic หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่เป็น dialogic สานเสวนา หัวใจสำคัญที่สุดในทักษะครู คือมองให้ทะลุเข้าไปในหัวเด็ก นี่คือทักษะที่สำคัญ พ่อแม่ด้วย

ทีนี้จะมองทะลุเข้าไปในหัวของเด็ก จริงๆ ไม่ใช่การมอง แต่คือเข้าใจ จะเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในหัวเด็ก ก็ต้องคุยกับเขา ต้องฟัง ต้องถามในภาษาของเขา และต้องเลิกเชื่อทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (ฌอง เพียเจต์ นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์) ที่บอกว่าเด็กคิดไม่เป็น ไม่มี abstraction หรือคิดเป็นนามธรรมไม่ได้  เด็กไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่เพราะเพียเจต์ยิ่งใหญ่มาก คนเลยเชื่อถือทฤษฎีของเขาอยู่ถึงทุกวันนี้ แนวคิดของเขาหลายเรื่องใช้ได้ แต่ต้องให้รู้ว่าอันนี้ใช้ไม่ได้ เป็นการผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

ส่วนพ่อแม่ ก็ต้องคุยกับลูก ฟังลูก ตั้งคำถามบางอย่างเพื่อให้เด็กตอบ แล้วเราก็ตีความว่าในสมองเขากำลังคิดอะไร เขากำลังคิดอะไร ทำความเข้าใจเรื่องอะไร แล้วก็อย่าไปบอกว่าอันนี้ผิด แต่หาทางให้เขาเจออะไรบางอย่างแล้วก็ตีความไปเรื่อยๆ นั่นคือ Transformative Learning คือการเรียนจากประสบการณ์ตรง ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิดอย่างจริงจัง การไตร่ตรองจะเกิดขึ้นไม่ยากถ้ามีคนช่วยตั้งคำถาม และฟังด้วย ฟังและตั้งคำถามต่อ เด็กจะค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นแบบนี้

เริ่มอย่างไรดี

เช่น เริ่มจากเวลาที่เด็กตีความผิด ผู้ใหญ่ตั้งคำถาม ชวนคุยไปเรื่อย หรือบางทีก็ต้องหยุดและพอผ่านกิจกรรมบางเรื่องไปแล้วค่อยย้อนกลับมาตั้งคำถามอีก ในที่สุดเด็กจะรู้ว่า อ๋อ… ที่เคยเข้าใจแบบนี้ ต้องเข้าใจอีกแบบ

เครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคืออะไร

คอนเซ็ปท์ของ Transformative Learning ที่จริงแล้ว จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ง่าย ที่ว่าง่ายคือเป็นการเรียนจากเรื่องราวจริง ที่กระทบใจตัวเอง ที่ตัวเองเอาจริงเอาจัง ตัวเองมีความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ว่า “เอ… มันไม่เหมือนที่เราเจอจริงๆ ไม่เหมือนที่เราคิด” ต้องเริ่มตรงนั้น คือเริ่มจากเรื่องจริง เรื่องที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหมดนั้นคือ data หรือ information ถูกเก็บไว้ นำมาใคร่ครวญ คือ critical reflection ซึ่งการใคร่ครวญนี้ ลงรายละเอียดจะมีเยอะ เพราะทำคนเดียวก็แบบหนึ่ง ทำร่วมกันเป็นกลุ่มก็แบบหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องมีกัลยาณมิตรและทำร่วมกัน

จะเกิดการใคร่ครวญ บรรยากาศของกลุ่มก็ต้องมี เป็นพื้นที่ปลอดภัย พูดแล้วมีการรับฟัง มีการสนองตอบด้วยแววตา ด้วยคำถามบางอย่าง ทำไมทำอย่างนั้น คิดยังไงถึงทำอย่างนั้น ตั้งคำถามที่กระตุ้น แสดง appreciation เราก็จะสะท้อนออกมาได้ลึกและจริงใจ

หลักการจะว่าง่ายก็ง่าย แต่เวลาปฏิบัติก็ไม่ง่าย แต่ถ้าทำเป็นนี่ง่ายเลย ประสบการณ์ของผมหลายๆ ครั้งพบว่า คนมีการศึกษา ทำค่อนข้างยาก เพราะมันมีตัวตน กลัวว่าพูดแบบนี้แล้วมันไม่ถูกหลักการ ไม่ฉลาด หรือไม่เข้าหูเพื่อน พวกนี้ต้องเป็นสกิลอย่างหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าสกิลเฉยๆ ไม่พอ แต่อยู่ที่การสร้างพื้นที่ปลอดภัย และมี facilitator ที่จะมาช่วยกระตุ้นและตั้งคำถาม เพราะฉะนั้น มันกลับมาสู่ว่า ห้องเรียนที่ดีต้องเป็นแบบไหน เริ่มตั้งแต่ชั้นก่อนอนุบาลเลย

มาถึงตรงนี้ก็โยงไปสู่วิธีเรียนรู้ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครู พ่อแม่กับลูก ความรู้ไม่ได้เป็นก้อนๆ ไม่ได้ถ่ายทอดมาจากคนอื่น ตักตำรามาให้เด็ก แต่เด็กสร้างขึ้นเองจากที่เขาไปสัมผัส จากเรื่องราวที่เขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ฉะนั้นเท่ากับว่า การศึกษาต้องเน้นให้เด็กได้สัมผัส ได้ทำ และมาคิดร่วมกัน มาสะท้อนร่วมกัน

ครูมีหน้าที่กระตุ้น ครูเปลี่ยนหน้าที่โดยสิ้นเชิง ครูจะทำหน้าที่ได้ดี ต้องเห็นกระบวนการในหัวสมองเด็ก ว่าตอนนี้เด็กกำลังคิดอะไร คิดแบบไหน นี่คือทักษะครู ซึ่งครูปัจจุบันนี้ไม่มี ครูที่จบปริญญามานี้ไม่มีทักษะ เพราะวงการศึกษาเรายังยึดการถ่ายทอดการศึกษา มองความรู้เป็นก้อนๆ พูดแบบนี้ มันไม่ใช่ทุกส่วนเป็นแบบนี้ หลายส่วนอาจเปลี่ยนแล้ว

คีย์เวิร์ดหนึ่งของคำว่า ‘เปลี่ยนแปลง’ คือการเปลี่ยนอย่างทั้งเนื้อทั้งตัว หรือคำว่า holistic มันคืออะไร?

อันนี้ไม่มีวันอธิบายได้ (หัวเราะ) แต่จริงๆ คือการเปลี่ยน mind set วิธีคิด กรอบความคิด หรือ paradigm shift ผมเข้าใจว่าผมอาจมองไม่เหมือนคนอื่น แต่เข้าใจว่าคนเราเปลี่ยนกรอบคิดอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ

ผมเองก็เติบโตได้ดิบได้ดีมาใน mind set การศึกษาแบบเดิม เป็นเด็กดี นั่งนิ่ง ครูก็ชม ไม่คุยกับเพื่อน ตาจ้องครูแป๋ว ครูก็จะไปบอกพ่อว่าเด็กคนนี้ดีจริงๆ แต่ความคิดไม่มี แต่ถ้าครูถามจะตอบได้หมด เพราะครูก็จะถามตามที่ครูสอน ความคิดแตกฉานไม่มี ไม่กล้า ไม่มีความคิดแหวกแนว เพราะเราถูกฝึกมาแบบนี้

แต่พอมาเจอหลายอย่าง เจอการอ่าน เจอเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่างเราก็เปลี่ยนได้ แต่ทีนี้ประเด็นคือ แบบนี้มันอาจจะได้ 1 ใน 100 หรือ 5 ใน 500 แต่สังคมเราต้องการ 100 ทั้ง 100 และไม่ใช่ได้อย่างนี้เฉพาะเด็กไอคิว 50 ขึ้นเท่านั้น แต่ไอคิวเท่าไรก็ต้องเปลี่ยนได้ นั่นแปลว่ารูปแบบการเรียนรู้ ก่อนเข้าโรงเรียน โรงเรียน และสังคมต้องเปลี่ยน

กล่าวโดยสรุปคือเปลี่ยนสองอย่าง หนึ่ง เข้าใจความรู้และการเรียนรู้ สอง ความเข้าใจบทบาทของครู วิธีแสดงบทบาทของครู จริงๆ ก็คือตัวช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ พูดง่ายๆ คือไม่ใช่การสั่งสอน การถ่ายทอดความรู้ แต่หาทางทำให้เด็กได้ exercise ความรู้หรือความคิดตลอดเวลา ให้ครูเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไร

เด็กระดับนี้เข้าใจระดับนี้ไม่เป็นอะไร แต่ต่อไปภายภาคหน้าจะมีเหตุการณ์อย่างอื่นที่เข้ามากระทบ เด็กก็จะ อ๋อ… เข้าใจแล้ว เดิมเคยเข้าใจว่าแบบนี้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้เอง นี่คือ transformation เล็กๆ

ทำอย่างไร ไม่ให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ 1 ใน 100 แต่ให้การเรียนรู้แบบนี้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย นำองค์ความรู้พวกนี้เข้าห้องเรียนจริง

อันนี้เป็นความเห็นที่คนอื่นไม่จำเป็นต้องเห็นพ้อง ถ้าพูดแรงที่สุด คือเปลี่ยนที่กระทรวงศึกษา กระทรวงศึกษาในปัจจุบันล้าสมัย ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรทำหมดเลย คือการทำงานแบบสั่งการ หรือ top down จะมีหลักสูตรมาตรฐาน ซึ่งที่จริงเขาก็บอกนะว่าหลักสูตรมาตรฐานไม่ได้มีไว้ทำตาม แต่มีไว้เป็นไกด์ เขาพูดเองนะ แต่ยังไงก็แล้วแต่ สิ่งที่ครูทำก็มักจะต้องดูหลักสูตรมาตรฐานและทำตามให้ได้

สิ่งที่กระทรวงศึกษาควรทำคือ การกำหนดว่าเด็กชั้นไหน จะต้องมี ASK หรือ Attitude Skill Knowledge อย่างไรบ้าง คือกำหนดเป้าหมาย มีคำแนะนำ แต่วิธีการปฏิบัติมีได้หลากหลาย ทั้งหมดไม่ได้อยู่บนฐานของการถ่ายทอดความรู้ แต่อยู่บนฐานของ active learning เรียนโดยการปฏิบัติ และตามด้วยการ reflect และหาทางทำความเข้าใจ

แค่คอยเช็คว่ามันมีการปฏิบัติแบบไหน เป็นแบบเดิมคือการถ่ายทอดความรู้ หรือที่ให้เด็กสร้างความรู้เองมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งบอกให้สังคมรู้ด้วยว่าโรงเรียนไหนบ้างที่เป็นตัวอย่างที่ดี พอเป็นอย่างนี้เข้า ภายใน 5 ปี โรงเรียนจะเปลี่ยน

แต่ขณะนี้ไม่ เพราะยังเป็นการสั่งจากข้างบน ตรงตามรูปแบบตายตัว เวลาที่บอกว่าการศึกษาต้องการทดลองอันนี้ ให้ครูรับไปทำ ครูก็ไม่รู้ว่าต้องตามคำสั่งโครงการ กี่สิบโครงการ ครูก็ทิ้งเด็กหมดเลย สิ่งที่จะทดลองกับเด็ก ควรจะเป็นครูเอง ควรเป็นของครูเอง

เอาใหม่นะ พูดใหม่… ถามว่าทางที่ควรเป็นคืออะไร? คือการ empower ครู สร้างศักดิ์ศรีครู คือสภาพปัจจุบัน เป็นสภาพที่ทางการไม่เชื่อมั่นครู จึงเอาอะไรไปสั่งเขาเยอะแยะเต็มไปหมด ประเทศที่การศึกษาดีเขาไม่ทำ เขาเชื่อมั่นครู ทีนี้อาจมีคำถามอีกว่า ก็ครูเป็นแบบเดิม จะไปเชื่อเขาได้ยังไง คำตอบคือ ก็ครูที่แข็งแรงมันมี ทำไมไม่ยกให้เขา เราแค่ดูนิดเดียวว่าลูกศิษย์คุณได้แบบนี้จริงมั้ย เรียนทันมั้ย ส่วนที่เหลือก็ต้องหาทางช่วยเขา ให้เขาเปลี่ยน

ผมเชื่อว่าอีกห้าปีเปลี่ยนได้ มนุษย์เปลี่ยนได้ ผมเชื่ออย่างนั้น คนเป็นครู คุยกับเขาดีๆ เพราะมนุษย์เราจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่า empathy เห็นอกเห็นใจคนอื่น แต่ในบรรยากาศบางบรรยากาศ การเลี้ยงดู การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบางอัน บางคน บางกลุ่มจะตรงกันข้ามกับคำนี้ เราก็ต้องหาทางให้เกิด

Transformative Learning ไม่สามารถเกิดได้ภายใต้นโยบายการศึกษาแบบเดิมใช่มั้ย

Transformative Learning เกิดขึ้นไม่ได้ในบรรยากาศที่ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยจากอำนาจทั้งหลาย กลัวผิด กลัวศึกษานิเทศก์มาแล้วจะโดนจับผิด กลัวว่าประเมินแล้วจะไม่ผ่าน พวกนี้เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย

ถูกผิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญว่าคิดยังไง ที่เห็นผลออกมาจะๆ จะอธิบายได้ยังไง นั่นคือการเรียนรู้

Tags:

21st Century skillsศ.นพ.วิจารณ์ พานิชtransformative learning

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Learning Theory
    Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ
Transformative learning
27 June 2018

HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

โดยดอนนา วิลสัน นักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสมองที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษา

“เด็กที่ไม่เคยถูกสอนให้ฟัง แต่จริงๆ พวกเขาจะฟังเป็น ถ้าถูกฝึก” ประเด็นสำคัญของดอนนา

  • Halt: ให้เด็กหยุดทุกกิจกรรม หยุดความคิดวุ่นวายในหัว เปิดใจกว้าง ไม่ต้องสนใจอะไรแล้วพุ่งสมาธิไปที่คนพูดตรงหน้า
  • Engage:  สนใจที่คนพูด  ให้เด็กๆ ปรับร่างกายหันเข้าหาผู้พูด อาจแนะนำว่าให้เอียงหน้าเล็กน้อยให้หูด้านขวาของเด็กหันไปทางคนพูด จะทำให้ได้ยินชัดขึ้น ทำให้คนพูดรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกว่าถูกรับฟัง
  • Anticipate: ชวนเด็กๆ ให้ลองเดาว่าคนพูดรู้สึกอะไร และกำลังจะเล่าอะไรต่อ วิธีนี้ช่วยให้เด็กๆ เกาะติดและจดจ่อกับเรื่องตรงหน้า
  • Replay: จากนั้นจึงให้เด็กเอาสิ่งที่ฟัง ถอดเป็นข้อมูลออกมา แล้วนำไปถกเถียงหารือกับคนพูดหรือเพื่อนร่วมห้อง วิธีนี้จะเป็นการทบทวนสิ่งที่ได้ฟังมาไปโดยปริยาย

Tags:

โคชเทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การฟังและตั้งคำถามtransformative learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต
Adolescent Brain
25 June 2018

พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

แม้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการแยกผู้อพยพเด็กออกจากครอบครัวในศูนย์ผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายไปแล้ว แต่มาตรการ ‘ความอดทนเป็นศูนย์’ (Zero Tolerance Policy) ต่อการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายก็ยังเดินหน้าต่อ และรัฐบาลก็ยังไม่มีแผนจะนำเด็กที่ถูกพรากแล้วกลับคืนสู่ครอบครัว

เจ้าหน้าที่หลายคนยืนยันว่า เด็กกลุ่มนี้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของรัฐบาลกลางระหว่างรอกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง

บาดแผลในจิตใจของเด็กๆ กว่า 2,300 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ไปแล้วจึงยิ่งเหวอะหวะลึกลงไปทุกที

การถูกพรากจากพ่อแม่เป็นประสบการณ์ที่ทิ้งบาดแผลทางจิตใจให้กับเด็กๆ อย่างมาก และจากผลงานวิจัยของสมาคมจิตแพทย์โลก (World Psychiatric Association) ชี้ให้เห็นว่า บาดแผลนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจไปอย่างถาวร

คอลลีน คราฟต์ (Colleen Kraft) ผู้อำนวยการสมาคมกุมารแพทย์ (American Academy of Pediatrics) ได้กล่าวว่า บาดแผลทางใจนี้สามารถส่งผลกระทบต่อสมองเด็กๆ เหล่านี้ และส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาวของพวกเขาด้วย

ความเครียดเป็นพิษ

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คราฟต์ และเพื่อนร่วมงานบางคนได้รับอนุญาตให้เข้าไปในค่ายกักกันเด็กๆ ผู้อพยพที่กำกับดูแลโดยสำนักผู้ลี้ภัยและตั้งถิ่นฐานใหม่แห่งอเมริกา (U.S. Office of Refugee Resettlement)

เธออธิบายสิ่งที่เห็นว่า เป็นห้องที่เต็มไปด้วยเด็กทารกที่ “เงียบสนิท” ยกเว้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลัง “ร้องไห้สะอึกสะอื้น กรีดร้องคร่ำครวญ และทุบกำปั้นลงบนเสื่อ”

เจ้าหน้าที่พยายามใช้หนังสือกับของเล่นทำให้เธอสงบลง แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานในศูนย์แห่งนี้ถูกสั่งว่าไม่ให้อุ้มหรือสัมผัสเด็ก

“เด็กหญิงคนนี้คงหยุดร้องไห้หากแม่เธออยู่ตรงนั้น แต่เราไม่สามารถพาแม่มาหาเธอได้” คราฟต์ บอก

เธออธิบายว่า บาดแผลนี้สามารถส่งผลกระทบต่อสมองของเด็กในอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมันเกิดขึ้นในช่วงแรกของวัยเด็ก การแยกจากพ่อแม่จะยิ่งเร่งให้สมองหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมามากขึ้น ปกติแล้วพ่อแม่สามารถช่วยให้เด็กๆ ผ่านพ้นความเครียดนี้ไปได้ – แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นกับลูกๆ ของพวกเขาเอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามองว่า การแยกเด็กๆ ออกจากพ่อแม่สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ ขึ้น เช่นเดียวกับการรับประสบการณ์เลวร้ายรุนแรงหรือมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังเป็นเวลานาน หัวใจของเด็กๆ จะเต้นเร็วขึ้นและร่างกายจะปล่อยคอร์ติซอล (ฮอร์โมนกลุ่ม steroid ที่ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียด) และอะดรีนาลีนออกมาในระดับที่สูงกว่าปกติ ซึ่งทั้งสองตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่ใช้รับมือกับความเครียด และความเครียดที่เป็นพิษจะทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้อยู่ได้นานขึ้น

สภาวิทยาศาสตร์ด้านพัฒนาการเด็กแห่งชาติ (National Scientific Council on the Developing Child) ระบุว่า ยิ่งฮอร์โมนชนิดนี้อยู่นานก็ยิ่งสามารถหยุดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและเปลี่ยนโครงสร้างการพัฒนาสมอง ทำลายสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้และสร้างความทรงจำได้

บาดแผลวัยเด็ก ฝากรอยไปถึงวัยผู้ใหญ่

สมองจะพัฒนาอย่างรวดเร็วก่อนอายุ 3 ขวบ ระบบประสาทบางอย่างสามารถเชื่อมต่อได้อย่างแข็งแรงและบางอย่างก็ถูกกำจัดออกไป โดยปกติแล้ว ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเรียนรู้ การเล่น และการเข้าสังคมของเด็กๆ จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในวัยทารก

แต่ คราฟต์ อธิบายว่า ในเด็กๆ ที่ความเครียดเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ระบบประสาทที่แข็งแกร่งที่สุดจะไปอยู่ที่ความกลัว ความก้าวร้าว และความวิตกกังวลไม่จบสิ้น

คราฟต์ บอกว่า เด็กจำนวนมากในกลุ่มนี้ “ไม่พัฒนาทักษะการพูด ทักษะการเรียนรู้และการเข้าสังคม ไม่พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ตามที่ควรจะเป็น กลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้ามากๆ ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ระบบประสาท และแน่นอน สภาพจิตใจด้วย”

รูปแบบที่ถูกหล่อหลอมในวัยเด็กนั้นจะคงอยู่ไปจนคุณเป็นผู้ใหญ่ และเปลี่ยนไปได้ยาก เพราะบาดแผลเหล่านี้ยังคงทิ้งเชื้อไว้ให้ลุกลามอยู่ในพื้นที่ร่างกายและจิตใจ เมื่อเด็กๆ ใช้ชีวิตภายใต้ความเครียด พวกเขาก็จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพแย่กว่าคนอื่น

ต่อให้เด็กๆ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัว แต่ก็ไม่อาจช่วยเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการถูกพรากออกไปได้แล้ว

เจมส์ กอร์ดอน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหารของศูนย์เวชศาสตร์ทางกายและจิต (The Center for Mind-Body Medicine) บอกว่า “เพราะการถูกพรากออกไปทำให้เด็กๆ รับรู้ว่าตัวเองอ่อนแออย่างมากเมื่ออยู่ในสถานการณ์นอกเหนือการควบคุม ทั้งของตัวเองและพ่อแม่ และระดับของความอ่อนแอที่พวกเขารับรู้ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา”

ความวิตกกังวลในการแยกจากในวัยเด็กจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามวัย พวกเขาอาจผูกตัวติดอยู่กับพ่อแม่อย่างหนัก เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่รับมือกับการแยกจากและความเครียดไม่ได้เลย – กอร์ดอน บอก

“คำตอบไม่ได้อยู่จิตแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเป็นการทำความเข้าใจว่านี่เป็นปัญหาของชุมชน ไม่ว่าจะเด็กหรือพ่อแม่ที่ต้องได้รับการเยียวยาอย่างดีที่สุด”

ที่มา:
Separating Kids From Their Families Can Permanently Damage Their Brains
How the Stress of Family Separation May Permanently Damage Migrant Children

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)พัฒนาการทางอารมณ์Adverse Childhood Experiences(ACE)

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

OH, MY LITTLE PRINCE : เจ้าหญิงของพ่อ เจ้าชายของแม่
Family Psychology
24 June 2018

OH, MY LITTLE PRINCE : เจ้าหญิงของพ่อ เจ้าชายของแม่

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

พ่อแม่อย่างคุณเคยทำอย่างนี้บ้างหรือไม่

  • เข้าไปอยู่หน้าห้องลูก ตอนสัมภาษณ์งาน
  • โทรหาครู/อาจารย์ เมื่อผลการเรียนลูกออกมาไม่ดี
  • ไปรับ-ส่งทุกการเดินทาง
  • งานบ้านทุกสิ่งอย่างจัดการให้ เช่น ทำกับข้าว เย็บผ้า ซักผ้า ฯลฯ

ขอแสดงความยินดีด้วย คุณเข้าข่าย ‘พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์’  ที่จะบินวนอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา เตรียมพร้อมเสมอที่จะโฉบไปจัดการกับปัญหาให้ลูกทุกครั้งที่เห็นสัญญาณ-แค่เห็นและตีความว่าลูกมีปัญหา ก็กดปุ่มลงจอดฉุกเฉินแลนดิ้งไปช่วยทันที

การล้อมโลกให้ลูกอยู่แต่ในโลกที่ปลอดภัยและทำอะไรไม่เป็น สุดท้ายเราจะได้พลเมืองที่ขี้โวยวาย ลนลาน ไม่มีสมาธิ และคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล

สุดท้ายแล้วไข่ในหินอย่างพวกเขา อาจจะรอแค่วันแตกแต่ไม่มีวันโต

Tags:

overprotective parentพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    “โอบกอดบุตรหลาน ฟังเสียงเขา ลดเสียงเรา ประสบการณ์เก่าใช้ไม่ได้กับอนาคต” ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

GAMING DISORDER: ข้อควรรู้สำหรับพ่อแม่ ป้องกันลูกเป็น ‘โรคติดเกม’
Education trend
21 June 2018

GAMING DISORDER: ข้อควรรู้สำหรับพ่อแม่ ป้องกันลูกเป็น ‘โรคติดเกม’

เรื่อง The Potential

  • WHO บรรจุให้โรคติดเกมเป็นอาการใหม่ทางจิตในคู่มือวินิจฉัยและจัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ (The International Classification of Diseases) ฉบับปรับปรุงใหม่ในปี 2018
  • ผู้ที่จะเข้าข่ายถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเกมนั้นจะต้องเป็นปัญหาและสร้างผลกระทบเชิงลบให้กับตัวเองและคนรอบข้างอย่างรุนแรง
  • ไม่จำเป็นต้องเลิกเล่น แค่จำกัดเวลาเล่นเกมอย่างเหมาะสม และเป็นเหตุเป็นผลกับตัวเองให้มากที่สุด

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา WHO ได้ประกาศให้ ‘โรคติดเกม (Gaming Disorder)’ บรรจุลงคู่มือวินิจฉัยและจัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ (The International Classification of Diseases: ICD) หรือที่รู้จักกันว่า ICD-11 ฉบับปรับปรุงใหม่ปี 2018

โดยผู้ที่เข้าข่ายมีอาการดังกล่าว WHO ระบุว่าจะต้องมี 3 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ต่อเนื่องซ้ำเป็นเวลา 12 เดือนขึ้นไปจนส่งผลกระทบต่อตัวเองไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต สุขภาพร่างกาย การเรียน หน้าที่การงานและต่อเนื่องไปยังคนใกล้ตัว

  1. ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้เล่นเกมได้
  2. ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมเหนือกิจกรรมใดๆ รวมไปถึงกิจกรรมหลักในแต่ละวัน
  3. ยืนยันที่จะเล่นเกมอย่างต่อเนื่องแม้จะได้รับผลกระทบในเชิงลบแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ WHO ยังอธิบายถึงสาเหตุที่บรรจุให้โรคติดเกมเป็นอาการทางจิตชนิดใหม่ผ่านหน้าเว็บไซต์ทางการว่า ข้อสรุปดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทบทวนหลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบของอาการดังกล่าว รวมถึงการรวบรวมผลสรุปของผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ ภูมิภาค ทั้งยังพบว่ามีความเป็นไปได้ว่าโรคดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการในการบำบัดและแนวทางป้องกันที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี WHO พบว่า สัดส่วนผู้ที่มีอาการดังกล่าวนั้นมีเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบจากผู้ที่เข้าร่วมเล่นเกมดิจิตอลและเกมวิดีโอในระหว่างการศึกษาของ WHO อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เล่นเกมทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าข่ายเป็นโรคดังกล่าว พร้อมเน้นย้ำให้ทุกคนที่เล่นเกมคำนึงถึงการบริหารเวลาในการเล่นเกมอย่างเหมาะสมซึ่งเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

“หากลูกของคุณมีอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อพวกเขาถูกห้ามเล่นเกม เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่าผู้ปกครองจะต้องจำกัดเวลาการเล่นเกมของพวกเขา” ดอกเตอร์จีนา โพสเนอร์ (Gina Posner) จาก MemorialCare Orange Coast Medical Center ในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าว

โดยโพสเนอร์เน้นว่าผู้ปกครองจำเป็นต้องจำกัดเวลาการใช้งานหน้าจอ (screen time) ในแต่ละวันอย่างเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม สมาร์ทโฟน แทบเล็ตหรือดูทีวี ไม่ให้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันและน้อยกว่านั้นได้ยิ่งดี ทั้งไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือนลงไปสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าว

“ผู้ปกครองสามารถจำกัดและกำหนดเวลาการใช้งานหน้าจอได้อย่างง่ายๆ เช่น ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะเล่นเกมได้หรือดูทีวีได้ โดยช่วงเวลาที่อนุญาตให้พวกเขาใช้งานหน้าจอจะต้องกำหนดชัดเจนว่าได้เท่าไหน”

ส่วนแนวทางในการบำบัดอาการเสพติดเกมนั้นโดยพื้นฐานขึ้นอยู่กับการบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy) ดร.ไซมอน เรโก (Simon Rego) นักจิตวิทยาและผู้อำนวยการ Montefiore Medical Center/Albert Einstein College of Medicine อธิบายว่าสามารถทำได้ 2 ขั้นตอน ได้แก่ การกระตุ้นให้ผู้ป่วยตระหนักว่าการเล่นเกมของพวกเขาขณะนี้คือปัญหาและมองหาตัวเร้าที่ส่งผลให้นิสัย/พฤติกรรมการเล่นเกมของพวกเขาดีขึ้นหรือแย่ลง โดยผู้เชี่ยวชาญอาจจะเสนอให้พวกเขาเล่นเกมต่อไปหรือสั่งให้เลิกเล่นเกมไปเลย ซึ่งวิธีการดังกล่าวเรโกอธิบายว่ามีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาค้นหาและสามารถจัดการด้วยตัวเองเพื่อนำไปสู่ ‘หนทางที่เป็นเหตุเป็นผล’ ของพวกเขา

เรโกเสนอว่า สำหรับผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคติดเกม พวกเขาไม่จำเป็นต้องเลิกเล่นเกมอย่างเด็ดขาดในระหว่างการรักษาหรือห้ามเด็กๆ ไม่ให้เล่นเกมเพื่อป้องกันการเป็นโรคดังกล่าว สิ่งที่จำเป็นและควรทำคือการจัดสรรเวลาและบริหารเวลาให้เหมาะสม ไม่กระทบต่อตนเองและผู้อื่น

“พวกเขาไม่จำเป็นต้องเลิกเล่นเกมโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาจำเป็นจะต้องหาวิธีที่ดีที่สุดในการบริหารจัดการกับตัวแปรนั้น เช่น เล่นเกมเฉพาะตอนอยู่กับเพื่อนเท่านั้นในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ หรือจะเล่นเกมเฉพาะตอนอยู่คนเดียวในห้อง”

ที่มา:
Gaming disorder
What every parent needs to know about ‘gaming disorder’

Tags:

เกมโซเชียลมีเดียพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘ครูหยกฟ้า’ ไพลิน ลิ้มวัฒนชัย: ครูแนะแนวมีอยู่จริง จริงๆ
Unique Teacher
21 June 2018

‘ครูหยกฟ้า’ ไพลิน ลิ้มวัฒนชัย: ครูแนะแนวมีอยู่จริง จริงๆ

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • วิชาแนะแนวของ ‘ครูหยกฟ้า’ ขอเรียกว่า จิตวิทยาเพื่อการดำรงชีวิต
  • นักเรียนทั้ง 216 ชีวิต ต้องได้เจอและพูดคุยกับครูอย่างน้อยคนละ 1 ชั่วโมง, ไม่รวมคาบจริงจังอีกสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง, พูดคุยเจาะลึกแบบกลุ่มเล็ก 4-6 คนนอกเวลาเรียน แสดงว่าทุกระดับชั้น เด็กๆ จะได้เจอและคุยกับครูแนะแนวแบบตัวต่อตัว
  • ไม่ได้ทำงานแค่เฉพาะกับเด็ก แต่ถ้าเด็กๆ มีปัญหากับผู้ปกครอง ครูแนะแนวหยกฟ้าพร้อมต่อสายตรง
  • หน้าที่แนะแนวการศึกษาต่อมหาวิทยาก็สำคัญ นักเรียนต้องเตรียมจัดอันดับคณะไล่ตาม อันดับ 1, อันดับรอง และ อันดับปลอดภัย “เขาจะต้องเลือกสิ่งที่รู้สึกอยากได้มากเป็นความฝัน กับสิ่งที่มันพอดีกับความสามารถศักยภาพของเขา กับสิ่งที่ safe ปลอดภัยจริงๆ”

“ครูคะ หนูไม่รู้จะเรียนอะไรค่ะ” เป็นคำถามที่ คุณครูไพลิน ลิ้มวัฒนชัย หรือ ‘ครูหยกฟ้า’ คุณครูวิชาแนะแนวเพียงคนเดียวในโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ต้องตอบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 นับตั้งแต่ทำงานมา 2 ปีหลังจากจบปริญญาโทด้านจิตวิทยาการปรึกษาโดยตรง  

โรงเรียนอื่นอาจเรียกว่าวิชาแนะแนว แต่โดยชื่อวิชาจริงๆ ครูหยกฟ้าเรียกว่า Psychology in Everyday Life หรือ จิตวิทยาเพื่อการดำรงชีวิต   

“เราไม่ได้เน้นให้ข้อมูลเรื่องการเรียนต่อหรือความถนัดทางอาชีพอย่างเดียว เราสอน Life Skill เช่น Stress Management, Time Management หรือ Teenager in Love ฯลฯ เพราะเราอยากให้วิชาแนะแนวปรับไปใช้ได้ในชีวิตจริงๆ เลยชื่อวิชานี้ค่ะ”

เด็กนักเรียนกว่า 200 คน ต่อ คุณครูแนะแนวเพียง 1 คน อาจจะดูเป็นไปไม่ได้ในการทำงานจริง แต่สำหรับครูหยกฟ้า ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดนิ่มๆ ว่า “ทำได้ค่ะ”

ทำได้ในความหมายของคุณครูคือ นักเรียนทั้ง 216 ชีวิต ต้องได้เจอและพูดคุยกับครูอย่างน้อยคนละ 1 ชั่วโมง ไม่รวมคาบจริงจังอีกสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง และการพูดคุยเจาะลึกแบบกลุ่มเล็ก 4-6 คนนอกเวลาเรียน แสดงว่าทุกระดับชั้นเด็กๆ จะได้เจอและคุยกับครูแนะแนวแบบตัวต่อตัว

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบคำถามเด็กๆ ให้ได้ว่า “หนูจะเรียนอะไร” และจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี  

ย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ วิชาแนะแนวที่ครูหยกฟ้าเคยเรียนมาเป็นอย่างไร

จำได้ว่าเอาการบ้านขึ้นมาทำ เราจะปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไม่ได้ (ยิ้ม) เลยรู้สึกว่าคาบนี้เป็นวิชาที่เบาสบายค่ะ รู้สึกว่าไม่ใช่วิชา แต่เป็นหลักสูตรที่โรงเรียนจัดขึ้นมาตามโครงสร้างของกระทรวงศึกษาฯ แต่การลงมือทำจริง ไม่มีการตรวจว่านักเรียนได้อะไรจากวิชานี้จริงๆ และไม่มีการวัดผล

จำได้ว่าครูให้กระดาษมาแล้วเราก็มาติ๊กๆๆ ทำแบบสอบถาม เช่น กินไอศกรีมแบบนี้ อ่านหนังสือแบบนี้ จะเป็นคนยังไง รู้แล้วก็จบ หรือไม่คุณครูก็มาเล่านิทานให้ฟัง จำได้แค่นั้นจริงๆ ถ้ามีเนื้อหาหน่อย ครูก็จะบอกว่าเป็นหมอ เป็นตำรวจ ต้องทำงานแบบไหน ให้ข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละอาชีพ

แล้วบางทีคุณครูก็จะชอบเล่าเรื่องผี มีความทรงจำหลายๆ ครั้งที่คุณครูใช้คำพูดที่รุนแรงด้วยซ้ำเวลาที่เราไม่ทำตาม เราเลยมองว่าคุณครูแนะแนว ไม่น่าจะให้คำปรึกษาหรือให้ความรู้สึกอบอุ่นใจกับเราได้ พอตัวเองโตขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้น ก็คิดว่า ถ้าเราทำเอง เราจะไม่ทำแบบนั้น

แล้วตอนนั้นตั้งใจจะเป็นครูแนะแนวแบบไหนคะ

ถ้าเราได้เป็นครูแนะแนว เราก็อยากจะเป็นคนที่ให้นักเรียนรู้สึกว่า เขาได้ประโยชน์จากการมาเจอเรา ให้เขามีความสุขมากขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ทุกข์ไปมากขึ้นจากการมาเจอเรา  

พอได้มาเป็นครูแนะแนวจริงๆ คุณครูหยกฟ้าสอนวิชานี้อย่างไร

เราสอนเป็นวิชาแบบจริงจังเลยนะคะ มีเกรดให้ด้วย (โรงเรียนกำเนิดวิทย์เปิดสอนเฉพาะ ม.4-ม.6)

เริ่มที่ ม.4 ครูจะต้องเข้าหานักเรียน ครูจะพยายามร่วมกิจกรรมก่อนที่เจอนักเรียนให้มากที่สุด มีช่วงหนึ่งที่เรียกว่า presetional นักเรียนจะเริ่มเข้ามาเตรียมพร้อมก่อนจะเรียน ม.4 ช่วงเวลานี้ครูจะเข้าไปปะปนพูดคุยแล้วก็ทำกิจกรรมค่ะ เราจะสร้างกิจกรรมที่ชื่อว่าการอบรมจิตวิทยาเพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน ช่วงเวลานั้นประมาณ 2-3 วัน ครูฟ้าก็จะได้อยู่กับนักเรียน สังเกตนักเรียน พอเขาเริ่มเข้ามาปุ๊บ จะมีการคุยกันตัวต่อตัว ครูก็จะมาแบบ เป็นไงบ้าง มีเพื่อนรึยัง อาหารโรงเรียนอร่อยไหม

ม.5 เทอม 1 มีคาบแนะแนว 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นคาบวิชา Psychology in Everyday Life จริงจัง เราสอนให้นักเรียนรู้จักจิตวิทยาที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการรู้จักตัวเอง การจัดการความเครียด จัดการเวลา การปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น และการเท่าทันสื่อออนไลน์ นอกจากครูจะสอนแล้ว นักเรียนทุกคนในห้องคือนักจิตวิทยาเหมือนกัน มีการแลกเปลี่ยนกันในห้องเรียน การเรียนรู้เกิดขึ้น 

พอ ม.5 เทอม 2 นักเรียนไม่ได้เรียนกับเราเป็นวิชาแล้วเนี่ย เราก็จะคุยเป็นกรุ๊ปเล็กๆ 4-6 คน นักเรียน ม.5 จะเริ่มคิดเรื่องเรียนต่อ แต่ครูจะยังไม่เข้าหานักเรียนเรื่องเรียนต่อนะคะ เราจะคุยเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเขาว่าเขาคิดยังไงกับชีวิตในอนาคตมากกว่า ดูว่าบุคลิก ความสนใจ ความถนัดของเขาคืออะไร ซึ่งเราไม่สามารถดูได้แค่การสัมภาษณ์ แต่ต้องคุยไปถึงคุณครูที่สอนวิชาของเขาด้วย เช่น เด็กคนนี้บอกว่าชอบศิลปะ เขาจะไปเรียนต่อด้านศิลปะเลย คุณครูศิลปะคิดยังไง แล้วคุณครูศิลปะก็บอกว่า เด็กคนนี้จะทำงานภายใต้ความกดดันมากๆ ไม่ได้ แต่เขาชอบงานศิลปะลักษณะ hobby เราก็ได้ข้อมูลตรงนี้มาคุยกับนักเรียนอีกทีว่าตอนนี้ตกตะกอนรึยัง แล้วเราก็ค่อยๆ หาความหลากหลายทางอาชีพให้นักเรียนค่ะ

จนมาถึง ม.6 ครูก็ให้คำปรึกษารายบุคคลเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องเรียนต่อ เขาต้องดูข้อดี – ข้อเสียของตัวเองก่อน อะไรคือสิ่งที่เขาอยู่ด้วยแล้วอยู่ได้นาน ตลาดในอนาคตหรือว่ารายได้ที่เขาคิด ชีวิตที่เขาคิดในอนาคตเป็นยังไง ให้เขาเห็นกรอบกว้างๆ ของสิ่งที่เขาต้องการจะไปแล้วดูว่าเส้นทางที่เขาจะไปต้องใช้อะไรบ้าง

เจาะเฉพาะเรื่องเรียน เด็กๆ มาด้วยคำถามอะไรเป็นอันดับ 1 คะ

เด็กส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่า..หนูไม่รู้จะเรียนอะไร จริงๆ แล้วคำถามพวกนี้ ถ้าเราได้ให้เขาสงบแล้วรู้จักกับสิ่งที่เขามีในตัวเอง เขาก็จะกลับมามองมากขึ้นว่าเขาไปตรงไหน หรือทำอะไรได้มากกว่านั้น

อาชีพเดี๋ยวนี้มันไม่ได้มีตำรวจ พยาบาล หมอ ครูเหมือนกับที่เราเคยรู้จัก มันมีอาชีพแปลกๆ เกิดขึ้นมา นักนิติเวชวิทยา นักประดิษฐ์อาหารทางด้านเคมี อาชีพพวกนี้เราจะต้องค้นคว้าอยู่เสมอเพื่อให้นักเรียนรู้ว่ามันมี option อีกเยอะเลยในโลกนี้ ถ้านักเรียนชอบคณิตกับชอบดนตรี มันเอามา merge กัน ได้เป็น sound engineer

ในทางปฏิบัติ ครูหยกฟ้ามีวิธีช่วยนักเรียนอย่างไร

ขั้นแรกนะคะดูก่อนว่า หนูมีวิชาที่ชอบไหม ถ้าเขาบอกว่าเขาก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ก็ดูต่อว่าสิ่งที่หนูทำได้ดีคืออะไร พอเลือกได้แล้วดูว่าในหัวข้อที่หนูบอกว่าชอบนั่นน่ะ สมมุติว่าเขาชอบเคมี หัวข้อนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร ถ้าเขาบอกว่าสิ่งที่เขาเรียนแล้วมันสนุกมากน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องน้ำในวิชาเคมี น้ำเอาไปผสมกับอะไรแล้วมันออกมาเป็นอะไร เราก็ดูต่อว่าเรื่องนั้นมันต่อยอดหรือว่ามันมีอาชีพอะไรได้บ้างที่มันเกี่ยวกับเรื่องน้ำ

ต่อมาคือ ดูความฝันของเขาในอนาคต ว่าสิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตคืออะไร เช่น ชอบอยู่กลางแจ้ง ชอบทำงานเป็นทีม ชอบอยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสือ หรือว่าชอบรายได้แบบมั่นคงไม่ต้องท้าทายเกินไป ถามเขาว่าบุคลิกอาชีพนี้มันเป็นยังไง แล้วดูว่าสิ่งที่เขาชอบจริงๆ กับสิ่งที่เป็นอาชีพมันเจอกันได้ไหม

step ต่อไปคือต้องดูว่าหนูเกรดเท่าไหร่ ภาษาเป็นยังไง มหาวิทยาลัยที่หนูชอบเป็นแบบไหน พอเราดูแล้วว่าเขาคุณสมบัติราวๆ นี้ น่าจะไปได้ที่มหาวิทยาลัยประมาณนี้ ให้เขาเลือกก่อนว่า option นี้หนูคิดว่าดีไหม โอเคไหม แล้วเวลาแนะนำ

นักเรียนจะต้องเป็นตัวกำหนดมหา’ลัยเอง เราจะแนะนำว่ามันจะต้องมี อันดับ 1 อันดับรอง กับ อันดับปลอดภัย หมายความว่า เขาจะต้องเลือกสิ่งที่เขารู้สึกอยากได้มากเป็นความฝัน กับสิ่งที่มันพอดีกับความสามารถศักยภาพของเขา กับสิ่งที่ safe ปลอดภัยจริงๆ

หลายๆ ครั้ง เด็กเลือกได้แล้ว แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ครูจะเข้าไปช่วยหรือวางตัวอย่างไร

ถ้าเขาบอกว่าหนูไม่โอเคกับสิ่งที่คุยกับพ่อ-แม่ ถึงตรงนี้เราก็จะหาวิธีการที่ซอฟท์ที่สุดเพื่อเข้าไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ เบื้องต้นก็โทรศัพท์ก่อนค่ะ แต่ถ้ายังมี conflict กันยาวต่อเนื่องนะคะ ครูฟ้ากับนักเรียนก็จะคุยกันว่าเราจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจนักเรียนยังไง โดยนักเรียนจะต้องเป็นคนเริ่มต้นก่อน ไม่ใช่ให้พ่อกับแม่มาเข้าใจเราฝั่งเดียวแต่เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนี้พ่อแม่คิดยังไงกับเรา แล้วตัวนักเรียนเองจะสื่อสารกับพ่อ-แม่ยังไงให้เข้าใจ

ยกตัวอย่างนักเรียนคนหนึ่ง เราคุยกันจนรู้ว่าสิ่งที่เขาอยากเป็นคือ นักวิทยาศาสตร์เคมี แล้วไปบอกแม่ว่าอยากเรียนต่อด้านนี้ แม่โกรธมาก เขียนอีเมล โทรศัพท์มาต่อว่าครูว่าทำให้ลูกเขาเขวไป จริงๆ แม่อยากให้เขาเรียนหมอ เด็กก็ร้องให้เป็นเดือนๆ พูดเท่าไหร่แม่ก็ไม่ฟัง ครูฟ้าก็เลยคุยกับคุณแม่เขา น้ำเสียงคุณแม่เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าสิ่งที่ลูกต้องการ มันไม่ใช่การดื้อรั้นแต่ว่ามันเป็นตัวตนของนักเรียนคนนี้ที่คุณครูก็มองเห็นว่าเขาเหมาะกับอาชีพนี้

หลังจากนั้นก็ทราบมาว่าน้องเขาได้คุยกับแม่นะคะ โดยเราคุยกับนักเรียนก่อนว่าจะมีวิธีการคุยกับแม่ยังไงให้เข้าใจ ต้องพูดประมาณไหน  ต่อมาแม่เขาก็กลับมาคุยกับเราว่าลูกอยากเลือกอะไร ตามใจลูกเลย ไม่ห้ามอีกแล้ว แล้วก็ความคิดเรื่องที่จะให้ลูกเป็นหมอก็คือ 0 ไปเลยค่ะ แต่สุดท้ายเด็กไม่เรียนวิทย์เพื่อตัวเองเพราะว่ารู้สึกว่าแม่เข้าใจเขาก็เลยไปเลือกเรียนมหาวิทยาลัยที่ตรงกับความต้องการของแม่ด้วย และตัวเองก็คิดว่าไม่ฝืนใจเกินไปด้วย (ยิ้ม)

ถัดจากเรื่องเรียน เรื่องที่เด็กเข้ามาปรึกษาส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไรบ้าง

อันดับ 1 เรื่องเพื่อน เครียดในแง่ที่ว่าเขาอยากจะได้เพื่อนแบบที่เขาต้องการ กับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเพื่อนแล้วเกิดการเปรียบเทียบ ทั้งๆ ที่ในวงเพื่อนไม่มีใครเปรียบเทียบหรอก ตัวเขาเองนั่นแหละที่เปรียบเทียบตัวเอง ทั้งหมดเกิดจากเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าเพื่อนยอมรับเขาไม่มากพอเท่าที่เขาต้องการ

ครูฟ้าก็จะเป็นผู้รับฟังก่อน แล้วก็ให้เขามองว่าตอนนี้ที่เขายังรู้สึกดีๆ อยู่มีอะไรบ้าง บางครั้งเราต้องดูว่า สิ่งที่เขาต้องการจากเพื่อนมันเป็นความต้องการที่มากเกินไปสำหรับตัวเองและเพื่อนไหม ถ้าเขาอยากให้เข้าใจกับเพื่อน จะมีวิธีมาเจอกันครึ่งทางได้มั้ย อย่างไร

อันดับ 2 คิดต่างจากครอบครัว อย่างที่ได้เล่าไป เรื่องนี้จะทำให้นักเรียน suffer มาก จนไม่มีกำลังใจจะเรียน หรือ อยากพัฒนาผลการเรียนให้ดีขึ้น

เรื่องอาชีพ เป็นเรื่องที่เด็กและพ่อแม่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ครูแนะแนวไม่ควรไปบอกนักเรียนว่าอาชีพนี้เหมาะ เพราะอนาคตของเขา เขาจะต้องอยู่กับพ่อแม่ บางครั้งอาชีพมีผลต่อครอบครัวด้วย ถ้านักเรียนได้ตัดสินใจบนข้อมูลที่เขามี ไม่ว่าอนาคตจะถูกผิดยังไง เขาจะยอมรับได้

กับอีกเรื่องอยากให้พ่อแม่เข้าใจ นี่เป็นสาเหตุทำให้วัยรุ่นติดเพื่อน เพราะเขารู้สึกว่าคุยกับพ่อแม่แล้วพ่อแม่ต้องการจะสอน บอกให้ทำอะไรที่คิดว่าดี แต่ไม่ใช่ ‘ดี’ สำหรับตัวเขา

อันดับ 3 ความรัก นักเรียนชอบบอกว่า แฟนไม่เข้าใจ เขารู้สึกอยากผูกพันกับคนที่เขารักมากกว่านี้

มีนักเรียนคนหนึ่งมาถามว่าเขาจะทำยังไงดี  เขาก็อยากเป็นแฟนกับคนนี้นะ แต่เขาทำตัวไม่ถูก อย่างแรกเลยครูจะบอกให้เขารู้ก่อนเลยว่าเราดีใจด้วยนะที่มีความรัก เพราะว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี ครูชวนคุยต่อว่า ตั้งแต่หนูมีความรักมา มีอะไรดีๆ บ้าง เขาก็จะบอกว่า อ๋อ เขาตั้งใจเรียนมากขึ้น แล้วแฟนเขาก็ช่วยติวให้เขาเวลาที่ไม่เข้าใจ

เนี่ยดีจังเลย แสดงว่าแฟนหนูกับหนูช่วยกันพาไปในทางที่ดีเนอะ ทีนี้ก็เหลือแค่ว่า จะทำยังไงให้ทุกคนรักกัน รักกันแล้วมันดีขึ้น อะไรบ้างที่หนูคิดว่าทำแล้วหนูหรือคุณพ่อคุณแม่จะไม่เสียใจทีหลัง เขาก็จะคิดว่า ถ้าเราทำอะไรที่มันเกินเลยไป พ่อแม่เสียใจ เขาก็จะระวังมากขึ้น

ดูเหมือนเด็กๆ จะต้องการครูแนะแนวให้คำปรึกษาปัญหาที่มากกว่าเรื่องเรียน?

อืม… เวลานักเรียนต้องการปรึกษาใครสักคนเขาต้องการปรึกษาเพื่อน นักเรียนต้องการครูที่เป็นเพื่อนไม่ใช่ครูที่ทำตัวเป็นครู เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้เขาปรึกษาเรา เราต้องรู้สึกว่าเราอยากเป็นเพื่อนกับเขาก่อน มันจะต้องเริ่มจากใจเราที่รู้สึกว่าอยากเป็นเพื่อนกับนักเรียน ทำอย่างไรจะได้เป็นเพื่อนกับนักเรียน

มีนักเรียนอยู่คนหนึ่งที่ทางโรงเรียนเป็นห่วงมาก ม.6 แล้วและมีสิทธิ์จะเรียนไม่จบ เขาติดอะไรหลายอย่าง ครูก็คิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดีให้เขาจบให้ได้ อันดับแรกคือ ครูต้องพังทลายความคิดที่คนอื่นคิดไม่ดีกับเขาออกทั้งหมด อะไรที่ได้ฟังมา เอาออกให้หมดแล้วก็เข้าไปหาเขา

มีอยู่ครั้งหนึ่งพอเราสังเกตเขามากๆ หรือว่าได้ใช้เวลากับเขาเนี่ย ครูเห็นเขาวาดรูปวงกลม แต่เป็นวงกลมที่เป๊ะมาก ซึ่งครูรู้มาว่าคนที่วาดรูปวงกลมได้เป๊ะมากๆ จะมีความสามารถทางศิลปะ ก็เลยทักเขาว่า เฮ้ย หนูชอบวาดรูปรึเปล่า หนูวาดอย่างอื่นด้วยไหม เขาบอกว่าครูรู้ได้ไงอะ เขาเป็นคนที่วาดรูปนกได้ละเอียดมากถึงขั้น anatomy นกเลยนะ แล้วเขาก็เอาสิ่งที่เขาทำมาโชว์ให้ดู

หลังจากนั้นมา เราคุยกันยาว แล้วทำให้ได้รู้เรื่องที่ส่งผลกับเรื่องเรียนของเขา เช่น เรื่องยังค้างคาใจ หรือปัญหาที่บ้าน ทำให้เราได้รู้เรื่องอื่นๆ ด้วย ตรงนี้มันมาจากการที่เราเปิดใจอยากเป็นเพื่อนกับเขามากกว่าเลยทำให้ช่วยพัฒนาศักยภาพเขาได้

แสดงว่า เด็กก็ไม่ได้ต้องการข้อมูลมากเท่ากับคำปรึกษา?

จะพูดอย่างนั้นก็…(นิ่งคิด) ได้ค่ะ เพราะว่านักเรียนมีโอกาสที่จะเข้าถึงข้อมูลได้พอๆ กับเรา ดีไม่ดีนักเรียนเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเรา เขาหาได้เยอะกว่าเราด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือรู้ให้ชัดว่าสิ่งที่เขาจะไปเนี่ยเส้นทางเป็นอย่างไร ยกตัวอย่าง เด็กต้องการคำอธิบายเปรียบเทียบกันระหว่างหมอกับวิศวะว่าเส้นทางต่อจากนั้นเป็นยังไง เช่น ปริญญาโท ปริญญาเอก ขั้นเงินเดือนหรือว่าสังคมที่อยู่ ลักษณะงานที่ทำ สิ่งที่ต้องเจอมีอะไรบ้าง ด้วยความที่เรามีประสบการณ์มากกว่าและเป็นคนที่ชอบคุยกับคนทุกอาชีพเพื่อที่จะมาบอกนักเรียน เลยทำให้เขาได้มองเห็นภาพคร่าวๆ เบื้องต้น อันนี้ต่างหากที่เขาจะเอามาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าเขาจะเลือกอะไรที่เหมาะกับเขามากที่สุด ส่วนข้อมูลว่าจะต้องไปสอบที่ไหน วันที่เท่าไหร่อะไรอย่างนี้จริงๆ ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้หมดเลยค่ะ

ระบบการศึกษาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีส่วนทำให้เด็กค้นหาตัวเองช้ามาก หรือ บางคนก็หาไม่เจอเลย ครูเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไรคะ

เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น แต่รูปแบบการศึกษาไทย เนื้อหาจะมีสังคม ภาษาไทย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นวิชาการทั้งหมด แเต่เนื้อหาทักษะชีวิต (life skill) ที่ช่วยเราหาเป้าหมายในอนาคตมันไม่มี ถ้ามีก็น้อยมาก

จากประสบการณ์ เราไม่เคยเรียนเลยว่าทำยังไงเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต อะไรคือเป้าหมายของชีวิต อย่างมากก็ซื้อหนังสือมาอ่าน หรือไม่ก็ไปศึกษาชีวิตของคนอื่น

ระบบการศึกษาไทย ยังเป็นการสอบคัดเลือก เราอาจจะมองความสำเร็จหรือให้คุณค่ากับคนที่ประสบความสำเร็จด้วยชื่อเสียง เงินเดือนสูง หรืออาชีพมีเกียรติ เช่น ต้องเป็นหมอ ถึงจะมีฐานะดีกว่าคนอื่น ซึ่งไม่จริงเลย เราไม่ได้ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเลือกเป็นสิ่งที่ตรงกับศักยภาพของเขา หรือเขาทำแล้วจะมีความสุข วันข้างหน้าเขาอาจจะเปลี่ยนใจจากวิศวกรไปเป็นคนสวน การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงก็มีความสำคัญ เพราะเราเองยังต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่เราไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับมันอย่างไร

ถ้าระบบการศึกษาไทยหันมามองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียน เขาก็น่าจะเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราน่าจะให้ความสำคัญกับศักยภาพของเด็กแต่ละคนมากกว่ามองที่ชื่อเสียงหรือเงินเดือน

สิ่งที่ครูแนะแนวจะช่วยเด็กได้คือ ช่วยให้เขามีความละเอียดกับชีวิตมากขึ้น ถ้าเกิดเขาพลาดหรือไม่ติด มันไม่ใช่เส้นชัยสุดท้ายของเขา มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่คะแนนสูงที่สุด เราต้องดูหลายๆ อย่าง นักเรียนอาจจะบอกว่าอยากอยู่ที่ๆ เขียวๆ รถไม่ติด นั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของเขา เพราะฉะนั้นคุณครูแนะแนวจะดูแค่คะแนน หรือดูแค่ว่านักเรียนเก่งด้านนี้น่าจะถนัดแล้วก็ทำได้ดี ไม่ได้ สิ่งที่ครูแนะแนวต้องทำคือ ทำให้นักเรียนรู้ว่าสิ่งที่เหมาะ สิ่งที่ดีไม่จำเป็นต้องดีในสายตาคนอื่นหรือสายตาของสังคม สองก็คือดูว่าอะไรที่จะทำให้นักเรียนมีความสุขแล้วก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว คุณภาพชีวิตที่ดีไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เขารู้ว่า เขาจะอยู่ในสังคมนั้นได้ดี

ที่ผ่านมา วิชาแนะแนวมีก็เหมือนไม่มี?

บางโรงเรียนอาจให้ความสำคัญกับคาบแนะแนวน้อยลง หรือมีครูแนะแนวที่ควบสอนวิชาอื่นไปด้วย ซึ่งการลดทอนวิชาแนะแนวทำให้นักเรียนขาดโอกาสเรียนรู้เรื่อง life skill เพราะครูประจำวิชาต้องเตรียมสอน ต้องทำให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของวิชานั้นๆ เวลาของการจะมาศึกษา สังเกตพฤติกรรม จึงน้อยลง

อย่างนั้นแล้วครูแนะแนวกับครูประจำชั้นหรือครูวิชาอื่นๆ ควรเป็นครูคนเดียวกันหรือเปล่าคะ

สำหรับครู ครูแนะแนวคือครูที่สามารถให้นักเรียนมีชีวิตที่มีความสุขแล้วก็ราบรื่น ถ้าคุณครูสามารถช่วยให้นักเรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้คุณครูก็เป็นครูแนะแนวได้ ความสุขที่ราบรื่นแบบในระยะยาว คุณครูจะต้องเรียนรู้ว่าเราจะแนะนำนักเรียนแบบไหน คุณครูคนอื่นก็เป็นครูแนะแนวได้ค่ะในความคิดของครูฟ้า แต่ว่ามันจะมีข้อมูลพื้นฐานวิธีการเบื้องต้นอยู่ว่า เวลาเราคุยกับนักเรียน นักเรียนบอกว่าผมอยากให้ที่บ้านเงียบสงบมากกว่านี้ มันแปลว่าอะไร หรือว่าอยากให้เพื่อนรู้ว่าบางทีเราก็หัวเราะเป็นนะ แบบนี้นักเรียนหมายความว่ายังไง

การอ่านหรือว่าการทำความเข้าใจ stage ของนักเรียน เป็นสิ่งที่คุณครูที่ให้คำปรึกษาเรียนรู้มาแล้วก็ฝึกฝนมาก่อน เก็บชั่วโมงมาก่อนเลยทำให้เรามีประสบการณ์มากกว่า ถ้าคุณครูวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สนใจที่จะเรียนรู้สิ่งพวกนี้คุณครูก็สามารถเป็นที่ปรึกษาแล้วก็เป็นเพื่อนให้กับนักเรียนในเวลาที่นักเรียนมีความทุกข์ใจได้เหมือนกันค่ะ

รับฟังเรื่องทุกข์หรือปัญหามามากๆ ครูมีวิธีเยียวยาตัวเองอย่างไรคะ

เราต้องถือว่าสิ่งที่นักเรียนเล่าเป็นของมีค่า เพราะฉะนั้นเราต้องเก็บของมีค่าให้มิดชิดและลับมากที่สุด อย่างแรกที่ครูต้องมีคือจรรยาบรรณ ไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดในที่สาธารณะ ฉะนั้นใจของครูจะต้องมีพื้นที่เก็บที่ใหญ่และกว้างมาก

เวลานักเรียนเล่ามา ครูจะมองก่อนว่าปัญหาเขาแก้ได้มั้ย ถ้าเรามองปัญหาทางออกร่วมกับนักเรียนแล้วเจอว่าเราจะแก้ได้ด้วยวิธีที่ 1 ถ้า 1 ไม่เวิร์ค เรามีแผน 2 แผน 3 ถ้าเราพบว่าแนวทางประมาณนี้คือที่สุดแล้วที่เราจะคิดออกได้ ครูก็จะวางไว้ตรงนั้นเพราะถือว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

มีเหมือนกันนะคะที่เครียด เอาไปฝันเลยก็มี แต่ครูเองก็ต้องมีเพื่อนที่สามารถเล่าหรือปรึกษาได้ มันเป็นวิธีการจัดการใจของตัวเองว่าทำยังไงให้เราสงบขึ้น จากการเรียนด้านจิตวิทยามา ทำให้เรารู้ว่าจะหาความสุขง่ายๆ รอบตัวได้อย่างไรบ้าง แล้วเราก็ทำเรื่องนั้นมากขึ้นในช่วงที่เราเครียด ใจเราก็จะสงบขึ้น

Tags:

ครูระบบการศึกษาจิตวิทยาครูแนะแนวไพลิน ลิ้มวัฒนชัย

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?
Social Issues
21 June 2018

ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

เรื่อง The Potential

ตั้งแต่ต้นปี 2018 และโดยเฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย TCAS จุดคำถามในบ้านเรามากว่า “ระบบสอบคัดเลือกเข้าอุดมศึกษาบ้านเรา กำลังคัดแบบไหน ด้วยวิธีอะไร และทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสเข้าศึกษาอย่างยุติธรรมจริงหรือเปล่า”

ความเครียดของนักเรียน (พ่อแม่ และครูด้วย) จากการสอบ คือสิ่งที่ The Potential สนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง พ่อแม่ ครู และ (ความกดดันจาก) สังคม ต่างทำหน้าที่ประคับประคอง ดูแลความเครียด ช่วยนักเรียนกร่อนร่อนสิ่งที่ตัวเองสนใจ แต่ผู้ที่ถูกวางให้เป็นผู้เล่นหลัก ช่วย ‘แนะแนว’ ทางเดินของพวกเขาอย่าง ‘ครูแนะแนว’ ดูจะหายไปจากการรับรู้ของคนทั่วไป

แต่เพราะแอดมินเป็นคนทำงานแล้ว (ยังไม่แก่นะ ><) ห่างไกลจากบรรยากาศห้องเรียนมาหลายปี เราไม่รู้เลยว่า -เฉพาะการเรียนแนะแนว- ท่ามกลางข้อมูลและบล็อกเกอร์แนะแนวท่วมท้นในอินเทอร์เน็ต ครูแนะแนวยังมีบทบาทในห้องเรียนหรือเปล่า ถ้ายังมี หน้าที่เขาคืออะไร สอนอะไร เด็กๆ มองเขาด้วยสายตาแบบไหน และครูแนะแนว แนะแนวแค่การสอบเข้าจริงหรือ

ระหว่างที่ฝุ่น (ในโซเชียล) กำลังตลบ ผู้คนออกมาตั้งคำถามกับระบบสอบ TCAS เราลงพื้นที่คุยกับนักเรียนจำนวนหนึ่ง ถามคำถามสั้นๆ 3 คำถาม ยังมีวิชาแนะแนวอยู่มั้ย, เรียนอะไร และครูแนะแนวการเรียนอย่างเดียว หรือแนะแนวทางชีวิตด้วย?

นี่เป็นแค่คำตอบส่วนหนึ่ง แต่เรายังอยากได้เสียงจากเด็กๆ อีก #ThePotential ชวนคุย ในห้องแนะแนว เด็กๆ เรียนอะไรบ้าง

วิชาแนะแนว เรียนอะไรบ้าง

ครูแนะแนวจะดูว่าเราชอบอะไร แนะแนวว่าควรเรียนต่อคณะไหน โดยการให้ทำแบบทดสอบว่าเราประเมินตัวเองยังไง เวลามีปัญหาก็ไปหาครูแนะแนวได้ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปหาครูแนะแนว เพราะมีสิ่งที่ตัวเองชอบ ประเมินตัวเองได้อยู่แล้ว

วิชาแนะแนวมีผลต่อการตัดสินใจเลือกคณะรึเปล่า

วิชาแนะแนวมีผลต่อการเลือกคณะ ถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร วิชาแนะแนวช่วยให้เรารู้ได้ว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไรในอนาคต

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

อาจารย์เชิญวิทยากรข้างนอกมาแนะแนวการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นภาคไทยหรืออินเตอร์ บอกข้อมูลเกี่ยวกับคะแนน ทำความเข้าใจเรื่องระบบสอบแบบใหม่ นักเรียนส่วนใหญ่อาจยังไม่เข้าใจว่าต้องสอบกี่รอบ ใช้เกณฑ์อะไร รอบนี้รับเด็กยังไง อาจารย์แนะแนวจะบอกเราเรื่องนี้

วิชาแนะแนวช่วยค้นหาตัวตนได้จริงมั้ย

ช่วยนะครับ เราไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ได้ มีข้อสงสัยอะไรก็ไปถามอาจารย์ได้ เขาจะบอกสิ่งที่เหมาะกับเรา

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

วิชาแนะแนวจะแนะนำทุนการศึกษา แนะนำคณะในมหาวิทยาลัย

วิชาแนะแนว ช่วยค้นหาตัวตนของเราได้จริงมั้ย

ผมคิดว่าการค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ ต้องค้นหาด้วยตัวเอง วิชาแนะแนวเป็นแค่ตัวช่วยให้เห็นว่ามีตัวเลือกนี้อยู่ และนอกจากแนะนำคณะ ครูแนะแนวควรแนะแนวหลายๆ เรื่อง ปัญหาชีวิต ความเครียด การใช้ชีวิตทางการเรียน

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

ดูว่าเราอยากเข้ามหาวิทยาลัยอะไร คณะอะไร เราชอบเพราะอะไร แล้วครูแนะแนวจะต่อยอดให้ ครูให้เขียนความคิดความฝัน เขียนตามความรู้สึกของตัวเองแล้วครูจะไปหาข้อมูลมาให้เราว่าเราควรเรียนอะไรดี สิ่งที่เราสนใจควรเป็นไปในทิศทางไหน

ครูแนะแนวอย่างเดียว กับครูแนะแนวที่สอนวิชาอื่นด้วย ชอบแบบไหน

เป็นครูประจำชั้นด้วย เพราะเขาจะรู้ว่าเราเป็นคนยังไง สนิท พูดได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าเป็นครูแนะแนวอย่างเดียว เราจะได้เรียนกับเขาแค่คาบแนะแนวอย่างเดียว บางเรื่องเราไม่กล้าไปถาม

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

สอนเกี่ยวกับการค้นหาตัวเองว่าควรจะไปด้านไหน เรียนในหนังสือเรียนแนะแนว ประมวลผลว่าคะแนนกลุ่มนี้เราได้กี่คะแนน

ครูแนะแนวอย่างเดียว กับครูแนะแนวที่สอนวิชาอื่นด้วย ชอบแบบไหน

เป็นครูแนะแนวโดยตรง เพราะเขาเรียนจิตวิทยาเด็กมาโดยตรง น่าจะมีเวลาทุ่มเทให้กับการแนะแนวมากกว่า

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

ค้นหาว่าเราอยากเป็นอะไร เพราะสิ่งที่เราคิดอยู่อาจจะไม่ใช่ เขาจะมีแบบสอบถามให้ว่าเราชอบอะไร ถ้าเรายังไม่มั่นใจ ครูให้คำปรึกษาว่าเราเหมาะกับอะไรได้ แต่ไม่เคยไปขอคำปรึกษาเป็นส่วนตัว เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบด้านภาษา รู้ว่าอยากเข้าคณะไหนตั้งแต่ ม.ต้น

หาข้อมูล TCAS จากไหน

ส่วนใหญ่จากอินเทอร์เน็ต คุยกับเพื่อน และถามกับครูประจำชั้น ซึ่งครูตอบได้และบอกว่าเราควรเตรียมตัวกับมันยังไง

วิชาแนะแนวทำอะไรบ้าง

ไม่เหมือนกันแล้วแต่ครู ตอน ม.4 ครูจะให้เขียนความฝันใส่กระดาษ พอ ม.5 ครูจะให้เราจัดตารางว่า ม.6 ควรเริ่มอ่านหนังสือยังไง เราควรเลือกคณะในระบบ TCAS รอบ 3 รอบ 4 ยังไง ควรวางคณะที่เราอยากได้ไว้ที่อันดับเท่าไร สอนการคำนวณ GPAX สอนการทำพอร์ต

หาความรู้ TCAS จากไหน

ครูแนะแนวก็มีบทบาท แต่ส่วนใหญ่หาจากในอินเทอร์เน็ตมากกว่าเพราะได้ความคิดเห็นและข้อมูลมากกว่า

ครูแนะแนวเป็นครูแนะแนวอย่างเดียว หรือสอนวิชาอื่นด้วย

สอนเฉพาะวิชาแนะแนวน่าจะดีกว่า เพราะจะได้ใส่ใจได้เต็มที่ และมีความรู้ด้านนี้โดยตรง

ทำอะไรบ้างในวิชาแนะแนว

ให้เด็กทำประเมิน เช่น ชอบคณิตศาสตร์มั้ย ชอบทำกิจกรรมนี้มั้ย มีแบบประเมินว่าเราอยู่กลุ่มไหน และเข้าคณะอะไรได้บ้าง ครูให้ข้อมูลทุกอย่างได้ครบถ้วน ทั้งข้อมูลคณะ ข้อมูลโควตา พาไป open house อำนวยความสะดวกทุกอย่าง

ผลที่ได้ ตรงกับที่เราต้องการมั้ย

บางทีเราเลือกคณะเพราะพ่อแม่ชอบ แต่จริงๆ เราอาจไม่ได้ชอบ แต่แบบประเมินนี้เราประเมินตามที่ใจเราชอบจริงๆ เห็นผลก็รู้เลยว่าตรงกับความต้องการของเรา แต่ทางบ้านอาจไม่ได้อยากให้เราเรียนคณะนี้เลยไปเลือกคณะอื่น

วิชาแนะแนว เรียนอะไรอีก

เด็กคนไหนมีปัญหากับทางบ้าน หรือเลือกคณะไม่ได้จริงๆ ครูแนะแนวก็เรียกมาคุยส่วนตัว บางทีมีคณะอะไรที่มีโควตา เขาก็จะเรียกเด็กที่ชอบสาขานี้หรือมีคุณสมบัติครบไปพูดคุย

ครูแนะแนว สอนแนะแนวอย่างเดียวหรือสอนอย่างอื่นด้วย

คิดว่าครูสอนแต่วิชาแนะแนว ครูจะได้โฟกัสเด็กถูกจุด เพราะถ้าเป็นครูแนะแนวด้วยสอนวิชาอื่นด้วย มันจะงงๆ มั้ย?

ครูควรแนะแนวอะไรบ้าง

ควรให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตด้วย เพราะเด็กแต่ละคนชีวิตไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า จะดีมากถ้าครูช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง และส่วนมากครูโฟกัสเด็กได้แค่ไม่กี่คน เด็กที่ครูไม่ได้คุยด้วยก็อาจมีปัญหา เลยอยากให้ครูเข้าถึง

รู้ข้อมูล TCAS จากไหน

จากครูแนะแนวด้วย จากเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้ข้อมูลด้วย หรือบล็อกเกอร์ เพราะเด็กบางคนก็ไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

วิชาแนะแนว ทำอะไรบ้าง

ครูช่วยเตรียมความพร้อมการสอบ จัดแจงว่าเราจะสอบอะไรบ้าง เวลาไหน และช่วยดูว่าเราถนัดด้านไหน ไม่ถนัดอะไร ดูปัจจัยของเราว่าเหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบไหน เพื่อจัดทางที่ถูกต้องให้เรา

ครูแนะแนว สอนแนะแนวอย่างเดียวหรือสอนวิชาอื่นด้วย

สำหรับ ม.ปลาย ควรเป็นครูประจำชั้นด้วย เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ครูประจำชั้นคลุกคลีกับเรา รู้นิสัย รู้ว่าตัวตนของเราเป็นยังไง ถนัดอะไรบ้าง

Tags:

ครูระบบการศึกษาจิตวิทยาการสอบTCASครูแนะแนว

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Dear Parents
    มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูหยกฟ้า’ ไพลิน ลิ้มวัฒนชัย: ครูแนะแนวมีอยู่จริง จริงๆ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

“เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา
Everyone can be an Educator
18 June 2018

“เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา คือหนึ่งในครูไม่กี่คนที่ ‘เอาอยู่’ ทั้งกิจกรรมในห้องและนอกห้องเรียน
  • หลักการทำงานกับเด็กๆ ของครูคือ ไม่หยุดชวนทำกิจกรรม ไม่หยุดกระตุ้นเด็กๆ ไม่หยุดเตือนเวลาเด็กทำอะไรไม่สมควร จนเด็กๆ ต้องเป็นฝ่ายเตือนครูว่า ครูพักบ้างเถอะ
  • วิธีคือไม่ห้าม ปล่อยให้เด็กๆ ลองทำ เกิดเรื่องยุ่งจะได้แก้ปัญหาเอง นี่คือทางลัดในการพัฒนาตัวเอง

‘ครู’ คือเฟืองสำคัญที่ช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็ก แต่เฟืองตัวใหญ่นี้กลับหมุนได้ไม่เต็มที่เพราะมีภาระอื่นๆ เข้ามาขัดขวาง เช่น เอกสาร การประเมิน ฯลฯ ที่แทบจะแย่งเวลานักเรียนไปทั้งหมด

แต่ภาวะที่ว่านี้ ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา อาจารย์ประจำวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี กลับ ‘เอาอยู่’ ทั้งงานสอนในชั้นเรียนและงานกิจกรรมนอกห้อง

จะเรียกจับปลาสองมือก็ได้ แต่ครูเรมีวิธีการจับให้อยู่หมัด แถมได้ปลาตัวใหญ่กลับบ้านทั้งสองตัวเลยด้วย

ครูต้องเป็นต้นแบบ

หน้าที่สำคัญของครูเรคือ พัฒนาผู้เรียนให้ทำกิจกรรมตามแนวทางของอาชีวะเกษตร ภายใต้ ‘องค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

โจทย์ต่อมาที่ครูเรจะต้องแก้ให้ได้คือ จะชวนเด็กๆ มาร่วมขบวนได้อย่างไร

“คงเริ่มจากครูก่อน ครูคิดว่าในการพัฒนาตัวเอง เด็กๆ ต้องทำเพื่อสังคมด้วย แล้วเราอยู่กับเด็กอาชีวะเกษตรที่เป็นเด็กประจำ เขาห่างพ่อแม่มาอยู่นี่ ทำอย่างไรให้เขามีแนวคิดดีเพื่อสร้างตัวเอง เหมือนครูเป็นไม้สองต่อจากพ่อแม่ และไม้สองอย่างเราต้องเป็นต้นแบบให้เด็กๆ เห็นก่อน

เด็กเข้ามาจะมองว่าครูทำอะไรหลายอย่างจัง ครูเหนื่อยไหม ครูเอาเวลาไหนพักผ่อน บางคนเราบอกปุ๊บก็มาทำเลย”

ชวนเด็กๆ เปิดโอกาสให้ตัวเอง

ขั้นตอนการชวนเด็กๆ ให้มาทำกิจกรรมด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็พุ่งเข้าชน แต่ครูเรต้องดูลาดเลาก่อนหลายอย่าง

อันดับแรกจะต้องดูสถานการณ์และภาระหน้าที่ของเด็กๆ ก่อน หน้าที่หลักของเขาคือการเรียน หากทำกิจกรรมด้วยแล้วไม่จัดสรรเวลาดีๆ จะมีแต่เสียกับเสีย

“ก่อนจะชวนมาทำ จะบอกเด็กๆ ว่าจะเป็นประโยชน์กับเขานะ แต่ช่วงจังหวะที่เราไปชวนเขาต้องว่างด้วย เราต้องคอยมองสถานการณ์ ว่าทำสิ่งที่หนึ่งแล้ว สิ่งที่สองจะตามมา เหมือนกับการไต่ขั้น เด็กต้องเรียนหนังสือ ต้องมองแล้วคอยถามเหมือนพ่อเแม่ว่าตอนนี้มีงานอะไรทำไหม ไม่ใช่มองว่าทำเพื่อสังคมแล้วความรับผิดชอบหลักเขาเสีย เสียแล้วผลจะมาถึงเรา”

บางครั้งก็ต้องอาศัยเซนส์ส่วนตัว ชวนเด็กบางคนที่ครูรู้สึกว่า เหมือนมีแรงดึงดูดเข้าหากัน

“แต่ก่อนชวนจะเหมือนมีเรดาร์จับ เมื่อชวนแล้วเขาไม่ค่อยปฏิเสธ แต่เด็กก็มีสองแบบคือยอมอยู่กับเรา กับมาแว้บๆ แล้วก็ไป เราเชื่อว่าถ้าเด็กมีพลังความดีและจูนเข้าหาเราได้ ก็จะยอมให้โอกาสตัวเองพัฒนา”

และแรงดึงดูดนี้สามารถส่งต่อจากเด็กหนึ่งคน ไปสู่เด็กอีกหลายๆ คนได้เช่นกัน

“จากที่รู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป เด็กคนแรกมาปุ๊บก็จะเชื่อมสายใยไปสู่เด็กคนที่สองเอง ถ้าคิดเหมือนกันก็เริ่มทำ แต่ก็มีเพื่อนที่ทำเป็นงานๆ เป็นช่วงๆ เพื่อนที่อยู่ข้างเขาก็มี เขาขอความช่วยเหลือก็จะมา” นอกจากเพื่อนแล้ว การที่รุ่นพี่ทำดีให้รุ่นน้องเห็นก็เป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูด

“เด็กโตน้อยคนจะเป็นผู้นำน้อง เขาจะมองว่าการเรียนก็เยอะแล้ว อยู่กับตัวเองดีกว่า ฉันต้องสร้างอนาคต มันก็จะมีคนคิดเพื่อสังคมน้อย ส่วนใหญ่ที่มาทำจะเป็น ปวส. 2 กับ ปวส. 1 แต่จะไม่เยอะ แล้วน้อง ปวช. เข้ามาเห็นพี่เป็นไอดอล ก็จะมีพี่เป็นต้นแบบ มีพลังดึงดูดเข้ามา”

ไม่ใช่ว่าครูเรจะชวนสำเร็จหมดทุกคน มีไม่น้อยที่ชวนแล้วไม่มา เพราะเขาไม่สนใจจริงๆ

“เด็กบางคนทำสีหน้าเราก็ต้องวาง เออ…เขาคงยังไม่พร้อมเดินไปกับเรา”

“แต่ต้องไม่หยุดชวน” ครูเรบอก

ลบมาแค่ไหน ต้องเปลี่ยนให้เป็นบวก

โครงการที่ทำน้ำหมักจากน้ำเน่าเสียจากคอกหมูและเศษอาหารเสียจากโรงอาหารในวิทยาลัย คือหนึ่งในตัวอย่างที่ครูเรชวนเด็กๆ มาทำสำเร็จ

“ให้เด็กช่วยกันมองรอบตัวเขาว่ามีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับวิชาที่เขาเรียน ที่โครงการนี้เป็นจุลินทรีย์เพราะแป้ง (ศิริพร บุญมาก – หนึ่งในสมาชิกที่ทำโครงการ) มีเพื่อนเรียนสัตวศาสตร์ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนเห็นว่ามีขี้หมู ก็เชื่อมโยงของเขาไป”

เมื่อมีการเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนกับกิจกรรมโดยเน้นสิ่งที่เด็กๆ เรียนรู้เป็นสำคัญ สิ่งที่ตามมาคือ เด็กๆ เห็นว่าสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้การสื่อสารกับเด็กก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน หากมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขในโครงงานนั้น

“คำพูดกับเด็กเหล่านี้ต้องพูดในเชิงบวกแม้จะเป็นสิ่งลบ ต้องปลุกพลังเขาด้วย ปลุกพลังตัวครูด้วย แม้วันที่ครูเหนื่อย ครูก็ต้องแกล้งทำเป็นแอคทีฟตลอด เหมือนเป็นต้นแบบ”

นอกจากเป็นต้นแบบแล้ว ครูเรบอกว่ายังต้องเป็นเพื่อนร่วมทางกับเด็กๆ ด้วย

“เด็กบางคนเห็นเราตั้งแต่อายุน้อยๆ บรรจุตั้งแต่ 27-28 บอกอาจารย์เลิกได้แล้ว ไปทำงานวิชาการดีกว่า อยู่ตรงกิจกรรมเหนื่อย แต่เรามองว่ามีความสุข … ถ้ามีงานอะไรต้องอยู่ดึก บางทีเราไม่ไหวก็นอนอยู่กับเขา เราไม่ทิ้งกันเป็นเพื่อนร่วมทาง เด็กก็จะมองว่าครูไปเหอะ”

ในชีวิตปกติของเด็กๆ หากมีอะไรไม่สมควร ในฐานะครูเองก็ต้องเตือนเช่นเดียวกัน โดยใช้วิธีการเดียวกันคือไม่ดุ ไม่บังคับ ค่อยๆ พูด เช่น เมื่อเด็กๆ โพสต์สิ่งไม่เหมาะสมลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค

“อย่างโพสต์เฟซบุ๊ค เป็นผู้นำโพสต์ในเชิงไม่ดี รู้สึกอะไรโพสต์ไป เราก็ต้องค่อยๆ พูดกับเขา ไม่ดุ เราก็ต้องเข้าใจวัยรุ่นว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ช่วยลบได้ไหม ครูว่ามันไม่ดีกับเรา อย่างเด็ก (โครงการ) Active ก็บอกว่าเธอกำลังจะเป็นพลเมืองนะ ฟังไม่ฟังไม่รู้ แต่เราเชื่อว่าเขาต้องฟังและต้องทำ เราไม่เคยบังคับ ทุกครั้งที่ไปพูดเขาก็ทำ ถ้าเกิดอารมณ์อีกก็ทำอีก เราต้องบอก”

ประเด็นสำคัญคือ “ครูต้องไม่หยุดกระตุ้นและเตือนเขา”

ปล่อยเด็กให้เติบโตเองบ้าง

ในบางสถานการณ์ของการทำกิจกรรมกับเด็ก ครูเรก็จำเป็นต้องปล่อย แม้ข้างในอึดอัดอยากจะเตือนหรืออยากจะบอกมากๆ ก็ตาม เพื่อให้โอกาสเด็กๆ ได้ฝึกเรียนรู้และแก้ปัญหาเอง

“บางเรื่องเราก็ปล่อย ให้จัดการเองได้ หลายครั้งที่เข้าร่วมโครงการ Active citizen ครูจะไปทำอย่างอื่นได้เยอะ หมายถึงให้เขาทำไป ติดต่อชาวบ้านไป บางทีถ้าปล่อยเขาบ้างจะแก้ปัญหาได้เยอะขึ้น เขาอยากได้อะไรก็จะบอก แรกๆ ไม่มีทักษะประสานกับชาวบ้านก็จะมาพึ่งเรา แต่ก่อนมาพึ่งเขาก็หาข้อมูลมาแล้ว เราก็อยู่นิ่งๆ เป็นข้อดีว่าปล่อยเขาบ้างเขาจะโตไวขึ้น”

“โครงการต้องการให้เด็กคิดได้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เขาทำ กลับมาก็ทำได้เฉยเลย… ศักยภาพของเด็ก ถ้าเขาให้โอกาสตัวเองและลงมือทำเองจะเปลี่ยนแปลงได้มาก”

โลกกว้างขึ้นจากกิจกรรมนอกห้องเรียน

เชียร์และชวนการทำกิจกรรมขนาดนี้ แต่ครูเรก็บอกว่าการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนก็มีผลสะท้อนกลับไปยังการเรียนในชั้นเรียน และทั้งสองสิ่งนี้ยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญในการพัฒนาตนเองของเด็กอีกด้วย

“เด็กทำกิจกรรมไปพร้อมๆ กับการจัดการตัวเองในชั้นเรียนจะประสบความสำเร็จได้เร็ว ความคิดจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เหมือนยอมก้าวออกจากชั้นเรียนแล้วไปเห็นสิ่งใหม่ แต่การไปหาสิ่งใหม่ต้องเห็นคุณค่าสิ่งนั้นแล้วนำกลับมาใช้พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ”

อีคิวจะเป็นตัวเชื่อมกิจกรรมในห้องเรียนและนอกห้องเรียนให้ไปด้วยกันได้ดี

“เขาจะตื่นตัวตลอดเวลาเมื่อเข้าชั้นเรียน ศักยภาพและบุคลิกของเด็กในชั้นกับนอกชั้นเรียนจะแตกต่างกัน นอกชั้นเรียนเขามีความอิสระในความคิดของเขา โครงการแอคทีฟซิตีเซนที่เขาเข้ามาทำ มีโจทย์ขั้นตอนเรื่อยๆ ซ้ำๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ แต่ในชั้นเรียนมันกระโดดกระเด้ง ถูกตีกรอบ ครูสั่งเด็กทำ เด็กก็จะมีความคิดว่าต้องทำแบบนั้น ครูเลยอยากให้มองให้รอบด้านว่านอกชั้นเรียนเกิดประโยชน์อะไร”

นอกจากนี้การทำกิจกรรมนอกชั้นเรียนทำให้เห็นโลกภายนอก คิดการณ์ไกล มองเห็นเส้นทางในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น อย่าง แป้ง-ศิริพร บุญมาก ที่ออกไปทำกิจกรรมกับชาวบ้าน ศิษย์เก่า เจอผู้คนที่มีวัยแตกต่างกัน ก็จะได้มุมคิดใหม่ๆ มาด้วย

“เวลาเขาคุยกับคนโตแล้วถอดบทเรียน ทำให้หันมองตัวเองว่าเขาต้องอายุมากขึ้นแล้วจะดูแลตัวเองให้สุขภาพดีได้อย่างไร แล้วมองกลับไปหาพ่อแม่เขา พ่อแม่เขาอายุเท่านี้แล้ว อย่างแป้งพ่ออายุเยอะแล้วมีน้องเล็ก พ่อยังเหนื่อยอยู่แล้วเราจะช่วยต่อยอดยังไง โชคดีที่ปี 3 แป้งได้ฝึกเป็นผู้ประกอบการ ทำโครงการธุรกิจเพื่อสังคม ที่มูลนิธิสยามกัมมาจลสนับสนุน แป้งชอบทำอยู่แล้ว เหมือนมีใจห่วงใยพ่อแม่ รักท้องถิ่นมากขึ้น”

หลังจบการศึกษา แป้งจึงตัดสินใจไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วยแล้วทำงานที่บ้านไปด้วย ซึ่งเป็นเส้นทางที่อาจจะแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยากจะเรียนจบมหาวิทยาลัย 4 ปีมากกว่า

“หลักสูตรบางทีไม่ได้ช่วยอะไร อีกสองปีต้องไปทำแบบเดิมซึ่งเราอิ่มตรงนี้แล้ว เขาน่าจะถูกฝึกมาเรื่องคิดอย่างอิสระ วางแผนเอง เหมือนได้เครื่องมือเยอะ โลกโซเชียลแชร์ให้เห็นตัวอย่างหลากหลายของคนที่ไม่ได้จบการศึกษาปริญญาตรี แต่พ่อแม่ก็อยากให้จบตรงนี้ ครูเลยแนะว่าให้ลองหามหาวิทยาลัยเปิด แล้วเขาก็จัดการได้ว่าไม่ทิ้งแน่ๆ ทั้งเรื่องบ้านและการเรียน เขายังเชื่อมั่นและหาความรู้ตลอดเวลา” ครูเรเสริม

สำหรับครูเร คุณค่า ความรู้และการนำไปใช้ สำคัญกว่าคะแนน

“เหมือนเวลาครูสอนภาษาอังกฤษ บอกกับเด็กเสมอว่าครูให้เธอมีความรู้ไม่ใช่ให้เกรด มีเกรดแต่ไม่มีความรู้ก็ไม่รู้เอาไปทำอะไร เด็กบางคนไม่ได้เข้าชั้นเรียนแต่มีความรู้ในการวัดผลได้ครูก็ให้”

การรับภาระสอนทั้งในชั้นเรียนและยังช่วยเด็กๆ ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนอาจเป็นภาระที่หนัก แต่ครูเรบอกว่าการทำสองสิ่งพร้อมกันนี้ก็พัฒนาตัวคุณครูเองด้วย ที่สำคัญ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เด็กๆ นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าชื่นใจกว่าอะไรทั้งหมด

“ถ้าเราทำอะไรให้พวกเขาได้ ตัวเราเองก็พัฒนา ดังนั้นพลังก็จะไม่ถอย มีพลังมากขึ้นต่อเชื้อให้เด็กรุ่นต่อรุ่น สร้างความภูมิใจของคนที่เป็นครูจริงๆ”

Tags:

ครูวัยรุ่นactive citizenproject based learningโคชคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

ในโลกแห่งความจริง เราต่างเคย BULLY ซึ่งกันและกัน
Social Issues
15 June 2018

ในโลกแห่งความจริง เราต่างเคย BULLY ซึ่งกันและกัน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ บัว คำดี

  • การกลั่นแกล้ง คือ พฤติกรรมก้าวร้าวผ่านคำพูด ร่างกาย สังคม หรือจิตใจ ของคนหรือกลุ่มคนที่มีต่อคนหรือกลุ่มที่มีอำนาจน้อยกว่า ก่อให้เกิดอันตราย ความทุกข์ หรือความหวาดกลัว
  • การกลั่นแกล้งในโรงเรียน คือรูปแบบการกลั่นแกล้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่โรงเรียน ทั้งการกลั่นแกล้งเพื่อนกับเพื่อน การกลั่นแกล้งเด็กเล็กกว่าของเด็กกว่าเด็กโตกว่า หรือการกลั่นแกล้งที่ครูเป็นเหยื่อ และเป็นผู้กระทำ
  • เกือบหนึ่งในสามของนักเรียนทั้งหมดที่มีอายุ 12-18 ปี เคยถูกกลั่นแกล้ง และบางคนถูกแกล้งทุกวัน

เดินๆ อยู่ แล้วมีเพื่อนมาผลัก เพื่อนเอาหมากฝรั่งมาป้ายผม เพื่อนล้อว่าเป็นตุ๊ด เพื่อนตั้งฉายาให้เยอะแยะ ทั้ง อ้วน ดำ หน้าสิว เตี้ย ขาโต๊ะสนุ้ก พอชื่อเหล่านี้ถูกเรียกขึ้นมาเมื่อไหร่ ทั้งคนพูด และคนได้ยินก็ขำกระจาย แล้วคนโดนล้อล่ะ! ได้แต่ทำหน้ายิ้มๆ แล้วเดินจากไป หารู้ไม่ว่าในใจเจ็บปวด และอายแค่ไหน

ในฐานะคนแกล้ง อาจจะรู้สึกว่า ที่ทำไป ก็แค่ขำๆ ไม่ได้อะไร จะคิดมากทำไม แต่ในฐานะคนโดนแกล้ง มันไม่ตลก บางทีอาจจะทำเป็นขำ เพื่อให้ผ่านๆ ไป แต่ในใจต้องข่มความเจ็บปวดแล้วยิ้มให้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บทความนี้จะทำให้ผู้อ่านได้รู้จัก กับ Bullying หรือการกลั่นแกล้ง เพื่อย้อนกลับไปถามตัวเองว่าเราเคยทำอะไรที่ถือว่าแกล้งคนอื่นหรือเปล่า หรือเราอาจจะเป็นคนที่ถูกแกล้ง แต่กลับไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็เจ็บปวดไปทั้งกายและใจ….

‘การกลั่นแกล้ง’ คืออะไร

การกลั่นแกล้ง คือ พฤติกรรมก้าวร้าวผ่านคำพูด ร่างกาย สังคม หรือจิตใจ ของคนหรือกลุ่มคนที่มีต่อคนหรือกลุ่มที่มีอำนาจน้อยกว่า ก่อให้เกิดอันตราย ความทุกข์ หรือความหวาดกลัว พฤติกรรมการกลั่นแกล้ง มีลักษณะเฉพาะสามารถจำแนกได้ดังนี้

  • การล่วงละเมิดผ่านภาษาพูดหรือภาษาเขียน เช่น เรียกชื่อ ล้อเลียน แสดงข้อความที่ไม่เหมาะสม
  • การใช้ความรุนแรง – รวมถึงภัยคุกคามของความรุนแรง
  • การล่วงละเมิดทางเพศ
  • โฮโมโฟเบีย (ความรู้สึกเกลียดกลัวคนหลากหลายทางเพศอย่างไม่มีเหตุผล) หรือไม่เป็นมิตรกับเพื่อนด้วยเหตุผลเรื่องเพศสภาวะและเพศสภาพ
  • การแบ่งแยก รวมไปถึงการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ การเลือกปฏิบัติกับคนที่มีอัตลักษณ์แตกต่าง

การกลั่นแกล้งทางโลกไซเบอร์ ทั้งออนไลน์ หรือผ่านทางโทรศัพท์ การกลั่นแกล้งสามารถเกิดขึ้นทุกพื้นที่ ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเป็นได้ทุกเพศทุกวัย แต่ถ้ามองการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เราจะเห็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก ‘สำนักงานสถิติแห่งชาติ’ ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปี 2550 เกือบหนึ่งในสามของนักเรียนทั้งหมดที่มีอายุ 12-18 ปี เคยถูกกลั่นแกล้ง และบางคนถูกแกล้งทุกวัน

การกลั่นแกล้งในโรงเรียน คือรูปแบบการกลั่นแกล้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่โรงเรียน ทั้งที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างเด็กเล็กกว่ากับเด็กโตกว่า หรือการกลั่นแกล้งโดยที่มีครูเป็นทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ

การกลั่นแกล้งในโรงเรียนแบ่งออกเป็น แกล้งเป็นกลุ่ม กับ แกล้งเดี่ยว

  • การถูกกลั่นแกล้งโดยกลุ่ม ปี 2552 รายงานของ Wesley Mission (องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของสัญชาติออสเตรเลีย ที่มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้คนทุกเพศทุกวัย และทุกๆด้านของปัญหา เช่น ปัญาหาเด็กและครอบครัว ปัญหาผู้สูงอายุ เป็นต้น) ศึกษากลุ่มที่ถูกรังแกในประเทศออสเตรเลีย พบว่าการกลั่นแกล้งโดยกลุ่ม มักพบในเด็กช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย และยาวนานกว่าการกลั่นแกล้งโดยบุคคล การกลั่นแกล้งโดยกลุ่มอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบทางร่างกาย หรือจิตใจ ที่กระทำโดยคน หรือทางไซเบอร์ ถ้าทำโดยกลุ่มคนจะพบการกลั่นแกล้งได้ในบริเวณสนามของโรงเรียน สนามกีฬา โรงยิม ห้องเรียน และบนรถบัสโรงเรียน
  • การกลั่นแกล้งแบบตัวต่อตัว สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในพื้นที่จริง และพื้นที่ออนไลน์ การแกล้งสามารถส่งผลต่อร่างกาย และจิตใจผู้ถูกแกล้ง จากงานศึกษาของ Wesley พบว่า การกลั่นแกล้งชนิดนี้พบมากในเด็กชั้นประถมศึกษา ส่วนสถานที่ที่เกิดการกลั่นแกล้งจะพบเหมือนกับการแกล้งเป็นกลุ่ม และยังรวมไปถึงสถานที่คับแคบที่กลุ่มไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น ห้องน้ำ

การกลั่นแกล้งโดยแบ่งตามผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำ คือ แกล้งทางร่างกาย และ แกล้งทางจิตใจ

  • การกลั่นแกล้งทางร่างกาย เป็นการแกล้งที่ล่วงละเมิดทางกายภาพ เช่น การผลัก การตี การต่อสู้ ถ่มน้ำลาย ทำให้สะดุด เป็นการปฏิบัติต่อร่างกาย และตั้งใจบังคับให้ผู้ถูกกระทำทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ
  • การกลั่นแกล้งทางอารมณ์ เป็นการกลั่นแกล้งที่รวมปัจจัยที่นอกเหนือการปฏิสัมพันธ์ทางร่างกาย เช่น การด่า การดูหมิ่นดูถูก การเรียกชื่อ และการล้อเลียน และรวมถึงการทำให้เหยื่อขวัญเสีย เช่น การเพิกเฉย หรือไม่สนใจ หรือที่เรียกว่าการกลั่นแกล้งทางสังคม การแกล้งทางอารมณ์ยังรวมถึงการทำให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งสามารถกระทำโดยตัวต่อตัวหรือผ่านทางไซเบอร์

รูปแบบของการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน แบ่งเป็น การแกล้งต่อหน้า (ผู้ที่มีความกล้าและไม่อาย) และ แกล้งบนโลกไซเบอร์ (นักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลายแหล่)

  • การกลั่นแกล้งต่อหน้า เป็นการแกล้งที่นักเรียนต้องเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายกระทำและถูกกระทำ
  • การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ เป็นการแกล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ออนไลน์ เช่น อีเมล ห้องสนทนา (chat room) สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ การส่งข้อความ การโพสต์ในเว็บไซต์ หรือ บล็อก การแกล้งทางไซเบอร์ผู้แกล้งอาจไม่แสดงตัวตนให้เหยื่อรับรู้ เนื้อหาของการกลั่นแกล้งชนิดนี้ ประกอบด้วยเนื้อหาทุกประเภทที่กล่าวถึงในการกลั่นแกล้งทางอารมณ์ รวมทั้งโพสต์ความคิดเห็นที่ดูถูกและดูหมิ่นเกี่ยวกับใครบางคน รวมถึงการโพสต์เนื้อหาที่ละเอียดอ่อน หรือเป็นส่วนตัว เพื่อให้บุคคลอื่นเสียหาย

กลุ่มเป้าหมายที่ถูกแกล้งบ่อยๆ มีใครบ้าง…

  • การกลั่นแกล้งคนที่เจาะจง การข่มขู่กลั่นแกล้งเป็นบางครั้งเพราะมีประชากรกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ
  • นักเรียนที่มีลักษณะพิการ ก็จะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะถูกกลั่นแกล้ง
  • เชื้อชาติ เป็นกลุ่มเป้าหมายอันดับสามที่จะถูกกลั่นแกล้ง กลุ่มนี้จะมีเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมที่เฉพาะ
  • ศาสนา กลุ่มเป้าหมายจะเป็นพวกที่มีความเชื่อทางศาสนาที่เฉพาะ

จากการศึกษาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนของ The NCES (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) รายงานว่า

  • พบการกลั่นแกล้งในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น (ประถม 6 มัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2) มากกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย
  • การกลั่นแกล้งทางอารมณ์เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ส่วนการกลั่นแกล้งโดยร่างกายเช่น ผลัก / ทำให้สะดุด / ทำให้ลื่น จะรองลงมา
  • การกลั่นแกล้งภายในโรงเรียนจะเกิดขึ้นภายในอาคารโรงเรียนบ่อยที่สุด รองลงมาคือบริเวณนอกอาคารเรียน และบนรถบัสโรงเรียนตามลำดับ และการกลั่นแกล้งนอกพื้นที่โรงเรียนจะพบน้อยที่สุด
  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มักจะถูกรังแกบนรถโรงเรียน
  • นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีแนวโน้มได้รับบาดเจ็บจากการถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นจะถูกกลั่นแกล้งมากกว่านักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเปอร์เซ็นต์การถูกกลั่นแกล้งจะลดลงเรื่อยๆ จากชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
  • เหยื่อหรือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งจะมีลักษณะการตอบสนองหลายรูปแบบ แม้ว่าจะเป็นการตอบสนองในอีกหลายปีต่อมา เช่น มั่นใจในตัวเองน้อยลง ไม่เชื่อใจคนอื่น ขาดความแน่วแน่ ก้าวร้าว ควบคุมอารมณ์โกรธยาก แปลกแยก
ที่มา:
What is bullying?

Facts About School Bullies and Bullying Behaviors

Tags:

ซึมเศร้ากลั่นแกล้ง(bully)โซเชียลมีเดีย

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Social IssuesBook
    IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel