Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: October 2024

‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ
Character building
28 October 2024

‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทักษะการฟังเพื่อจับใจความ ฟังเพื่อจับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อสื่อสารหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เป็นทักษะหายาก เพราะคนให้ความสำคัญกับการพูดมากเสียจนอาจจะมากเกินไป สวนทางกับการรับฟังที่ได้รับความสำคัญน้อย
  • ประโยชน์ของ ‘การฟังเป็น’ ช่วยทำให้สัมพันธภาพกับคนอื่นดีมากขึ้นและยังช่วยให้เรารับรู้และชื่นชมโลกรอบตัวมากขึ้น จนทำให้สุขภาพกายสุขภาพใจของเราดีขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย 
  • ความเข้าใจผิดสำคัญเรื่องหนึ่งของการรับฟังคนอื่นก็คือ คนจำนวนมากคิดหรือเชื่อว่าเราควรตั้งใจฟังเพื่อ ‘ให้คำแนะนำ’ แต่จริงๆ แล้วแค่เราเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เป็นคนคอยรับฟังก็เป็นดั่งผนังคอยให้พิงหลังในยามเหนื่อยล้าได้แล้ว

เราอยู่ในยุคสมัยที่ทุกคนโดนบังคับให้ต้อง ‘เปิดเผยตัว’ เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ต่างๆ กลายเป็นคนมีตัวตนทั้งทางแบบกายเนื้อในโลกจริงและอวตารบนโลกโซเชียลมีเดีย บางคนรู้สึกว่าโดนบีบให้กลายเป็นคนเปิดตัว (extrovert) ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเก็บตัว (introvert) หลายคนชอบฟังมากกว่า แต่ก็โดนบังคับให้ต้องพูดให้มากเข้าไว้กับโลกภายนอก ขายตัวเอง ขายความคิด ขายของต่างๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดมีคอร์สสอนการพูดและการนำเสนอตัวเองอย่างมืออาชีพในราคาแพงๆ อยู่มากมาย ไม่สมดุลกับจำนวนคอร์สสอนฟังที่มีอยู่น้อยมาก จนกล่าวได้ว่าน้อยจนเกินไป  

ทักษะการฟังเพื่อจับใจความ ฟังเพื่อจับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อสื่อสารหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นจึงเป็นทักษะที่ถือได้ว่าหายากทีเดียว เพราะคนให้ความสำคัญกับการพูดมากเสียจนอาจจะมากเกินไป สวนทางกับการรับฟังที่ได้รับความสำคัญน้อย จนอาจถือได้ว่าน้อยจนเกินไปอย่างสวนทางกัน  

เราอยากเป็นคนพูด คนสั่ง อยากเป็นหัวหน้าที่เก่ง แต่กลับไม่อยากรับฟัง อยากเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดีหรือมีความสุข ผ่านการรับฟังกันให้มากเข้าไว้!

‘การฟังเป็น’ มีประโยชน์มากนะครับ เพราะช่วยทำให้สัมพันธภาพกับคนอื่นดีมากขึ้นและยังช่วยให้เรารับรู้และชื่นชมโลกรอบตัวมากขึ้น จนทำให้สุขภาพกายสุขภาพใจของเราดีขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย 

มีการศึกษาของนักวิจัยชาวเยอรมันที่ตีพิมพ์ในปี 2022 ที่ชี้ว่า การฟังเสียงธรรมชาติอย่างเสียงนกร้องแค่เพียง 6 นาทีก็สามารถช่วยลดความกระวนกระวายใจและปรับอารมณ์ของเราได้แล้ว [1] 

ในการทดลองดังกล่าว อาสาสมัคร 295 คนได้ฟังเสียงที่แตกต่างกันนาน 6 นาที มีทั้งเสียงเบาหรือดังของการจราจรหรือเสียงนก โดยที่ต้องทำแบบทดสอบความซึมเศร้า ความกระวนกระวายใจ และความหวาดระแวงก่อนและหลังฟังเสียงเหล่านี้ ผลก็คือเสียงการจราจรมีผลเพิ่มอารมณ์ซึมเศร้า ยิ่งเสียงดังก็ยิ่งส่งผลมาก สวนทางกับการฟังเสียงนกร้องที่ช่วยลดได้ทั้งความกระวนกระวายใจและความหวาดระแวงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความซึมเศร้านั้นก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน แต่ได้ผลน้อยกว่า 

นักวิจัยเชื่อว่าการปรับเสียงของสิ่งแวดล้อมในสถานที่ต่างๆ เช่น วอร์ดผู้ป่วยโรคจิต น่าจะมีประโยชน์ช่วยผู้ป่วยได้

เรื่องนี้ก็สอดคล้องดีกับอีกการศึกษาหนึ่งที่พบว่า ‘การอาบป่า’ หรือการเข้าไปเดินอยู่ในธรรมชาติท่ามกลางต้นไม้และใบไม้สีเขียว การได้เห็นได้ฟังเสียงธรรมชาติในป่าต่างๆ ที่สุ่มมา 24 แห่งในญี่ปุ่นช่วยลดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ได้ [2] 

มีผู้เห็นประโยชน์และเสนอว่าแพทย์น่าจะสามารถสั่งผู้ป่วยบางคนที่มีอาการเครียดให้ไปรับการ ‘อาบป่า’ แทนการรับยาที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ได้

ประโยชน์ของการฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจยังมีอีกหลายข้อ เช่น การช่วยปรับความคิดจิตใจ ทำให้เราเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นได้ ช่วยให้เราตอบสนองกับคนตรงหน้าที่อาจเป็นเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไปจนถึงคนแปลกหน้าที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้ 

แต่ความเข้าใจผิดสำคัญเรื่องหนึ่งของการรับฟังคนอื่นก็คือ คนจำนวนมากคิดหรือเชื่อว่าเราควรตั้งใจฟังเพื่อ ‘ให้คำแนะนำ’ เพราะความจริงก็คือบ่อยครั้งทีเดียวที่คนที่ต้องการให้เรานั่งฟังอยู่ด้วยนั้น ‘ไม่ได้ต้องการคำแนะนำ’ แต่อย่างใดเลย 

อันที่จริงแล้วเขาหรือเธอแค่ต้องการ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ และคนที่มารับฟังการระบายถึงความยากลำบากที่เขาหรือเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ต่างหาก แค่รับฟังก็เป็นดั่งผนังคอยให้พิงหลังในยามเหนื่อยล้าสุดทานทนแล้วครับ

อีกความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่พบได้บ่อยคือ มีบางคนที่เกิดมาเพื่อเป็น ‘นักฟัง’ ที่ดีมากกว่าคนอื่น อันที่จริงการฟังเป็นทักษะที่พอจะฝึกกันได้ และมีข้อดีดังที่ท่านทะไลลามะเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ในยามที่คุณพูดคุย คุณแค่พูดสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วออกมาซ้ำๆ แต่เมื่อคุณฟัง คุณก็อาจได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ” 

การฟังเพื่อทำความเข้าใจจึงสามารถทำให้เรา ‘เติบโต’ ทางจิตใจ ทำให้รู้สึกขอบคุณหรือเป็นหนี้ต่อความรู้ ความเข้าใจใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่ว่าใครก็ล้วนรับรู้ถึงได้ความใจดีและความเสียสละ (เวลาและความพยายามรับฟัง) ที่คุณมอบให้

ปัจจัยที่พบบ่อยว่ามีส่วนทำให้การรับฟังอย่างลึกซึ้งเป็นเรื่องยากสำหรับคนส่วนใหญ่มีอยู่ 5 ข้อ นั่นก็คือ ปัจจัยแรกคุณมักรู้สึกว่าตัวเองยุ่งเกินกว่าจะเสียเวลานั่งฟัง ยุคนี้คนจำนวนมากหมกมุ่นกับเรื่องราวมากมายที่ต้องทำในแต่ละวัน จนคร้านที่จะรับฟังความทุกข์ยากลำบากหรือไม่สบายใจของคนอื่น

คุณอาจต้องเรียนรู้วิธีทำตัวให้ช้าลงและนิ่งมากขึ้น การเรียนเรื่องการทำสมาธิหรือการฝึกทำโยคะช่วยหลายคนในเรื่องนี้ เมื่อคุณกล่อมเกลาร่างกายและจิตใจให้นุ่มนวลเยือกเย็นมากขึ้นแล้ว การตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องราวของคนอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป   

ความไม่พร้อมทางกายก็อาจเป็นปัจจัยลำดับต่อมา บางคนอาจเกิดความผิดปกติในการรับฟังหรือมีอาการหูตึงจนทำให้ไม่สามารถรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพได้ การศึกษาวิจัยในอังกฤษทำให้ทราบว่า มีคนอายุระหว่าง 45-70 ปีกว่า 1 ใน 3 (36%) ที่มีปัญหาการฟังในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง [3] 

ถัดมาอีกเป็นปัจจัยเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกได้แก่ การที่ตัวเราเองกำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจหรือความเศร้าซึมบางอย่างอยู่ มันก็จะครอบงำความคิดจนทำอะไรไม่ถูก ในสภาวะเช่นนี้ยังยากจะเอาตัวเองรอด จึงไม่พร้อมจะช่วยเหลือรับฟังอะไรใครได้ 

หากคุณตกอยู่ในภาวะอารมณ์แบบนี้ก็น่าจะบอกไปตรงๆ ว่า คุณไม่พร้อมจะช่วยเหลือรับฟัง เพราะการจะ ‘ให้กำลังใจ’ คนอื่นได้นั้น ตัวเองก็คงต้องมีกำลังใจเป็นทุนรอนอยู่ในตัวมากพอ หากพบว่าตัวเองเริ่มจมอยู่กับอารมณ์ลบแบบนี้นานเกินไป เช่น สองสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ก็ควรไปพบแพทย์

ปฏิกิริยาของผู้ฟังก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรับฟังนั้นสำเร็จหรือล้มเหลวเช่นกัน การที่ไม่มีใครฟังเราย่อมทำให้เราไม่พอใจ การถูกมองข้ามหรือไม่ยอมฟังความคิดเห็นของเราบ่อยครั้งก็อาจส่งผลให้เราเองไม่อยากรับฟังคนผู้นั้นหรือคนอื่นตามไปด้วย เรียกว่า ‘พลังงานพร่อง’ ก็คงพอได้ 

ปัจจัยสุดท้ายคือการมีอคติหรือมี ‘ภาพจำ’ บางอย่างของบางคนในใจก็มีส่วนขัดขวางการสื่อสารด้วยการฟังเช่นกัน หลายคนคงเคยเจอเพื่อนหรือญาติบางคนที่ช่างพูดมาก เราก็จะรู้สึกไปก่อนแล้วว่า ไอ้หมอนี่หรือนางคนนี้ช่างจ้อไร้สาระเหลือเกิน ความตั้งใจฟังก็จะลดลงแทบจะเป็นอัตโนมัติตั้งแต่ก่อนหน้าจะได้ยินได้ฟังอะไร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องฟังก็จะเกิดอาการคล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง คือรู้สึกเหมือนมีจุดติดขัดไม่สามารถรับฟังได้อย่างราบรื่นเท่าที่ควร

ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ คุณพ่อหรือคุณแม่ป้ายแดงก็มักจะพูดวนเวียนอยู่กับเรื่องลูกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสำหรับบางคนแล้วที่ไม่อินด้วยก็อาจจะรู้สึกว่ามากไปหน่อยจนเกิดความรำคาญใจได้ บางคนก็มีธรรมชาติการมองโลกในแง่ร้ายอยู่เป็นนิจ เวลาคุยกันก็เหมือนกับทำตัว ‘ท็อกซิก’ กับคนรอบข้าง จนคนรอบตัวระอาเกินกว่าจะอยากคุยด้วย ผมเองเจอกรณีเช่นนี้อยู่ 2-3 รายบนเฟซบุ๊กจนต้องอันเฟรนด์ไป 

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีของคนผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ บางคนอาจจะเพิ่งหย่าร้าง ตกงาน หรือเจ็บป่วยจากโรคบางอย่าง คนรอบข้างคนรอบตัวก็อาจจะต้องรับฟังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่ทุกครั้ง การมีจิตใจเมตตากรุณาต่อคนเหล่านี้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดเสียว่าเป็นธรรมดาที่ยากหลีกเลี่ยงสำหรับคนทั่วไป ก็จะช่วยให้เราตั้งใจรับฟังได้อย่างเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างความดีกับคนใกล้ตัวได้อย่างมาก 

หากหมั่นฝึกฝนและตระหนักอยู่เสมอเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องทำนองนี้ ก็น่าจะทำให้กลายเป็นคนที่เปิดใจรับฟังคนอื่น ได้ยินเสียงใครต่อใครลึกลงไปถึงหัวใจของเราเองได้ไม่ยาก   

เอกสารอ้างอิง

[1] Stobbe E. et al. (2022) Birdsongs alleviate anxiety and paranoia in healthy participants. Scientific Reports, 12:16414. doi.org/10.1038/s41598-022-20841-0

[2] https://www.bbc.com/news/science-environment-33368691

[3] Debra Waters (2024) Hear This. Psychology Now, Vol. 8, 90-92. 

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)พื้นที่ปลอดภัยการรับฟังทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep2 Anxious: ความวิตกกังวลที่หายขาดได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • RelationshipHow to enjoy life
    รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง
Book
26 October 2024

The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘The Wild Robot’ หรือ ‘หุ่นยนต์ผจญภัยในโลกกว้าง’ เขียนโดย ปีเตอร์ บราวน์  เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวของ ‘รอซ’ หุ่นยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุจนมาเกยตื้นบนเกาะร้าง ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดและปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ป่า และการรับบทบาทเป็น ‘แม่’ของลูกห่านกำพร้า
  • รอซ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง แม้จะถูกจำกัดด้วยโปรแกรมที่ตั้งไว้ แต่ด้วยระบบเอไอที่มีอยู่ในตัว ทำให้เธอก็สามารถข้ามขีดจำกัดและสร้างความสัมพันธ์ รวมถึงเรียนรู้ที่จะมี ‘ความรัก’
  • ไม่ว่าคุณจะเกิดมาเป็นอะไร หรือคุณถูกวางกรอบให้ดำเนินชีวิตแบบไหน แต่คุณก็มีสิทธิที่จะลิขิตชีวิตของตัวเอง มีสิทธิที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเอง

เมื่อพูดถึงหุ่นยนต์ คุณนึกถึงอะไร?

หากดูตามนิยามแล้ว ‘หุ่นยนต์’ หมายถึงเครื่องจักรกลที่มีโครงสร้างและรูปแบบหลากหลาย มีทั้งแบบที่ติดตั้งอยู่กับที่ และแบบที่สามารถเคลื่อนไหวได้ รูปลักษณ์ภายนอกของหุ่นยนต์อาจคล้ายมนุษย์ สัตว์ หรือมีลักษณะเป็นจักรกลอย่างชัดเจน สามารถทำงานได้หลายชนิด โดยที่มนุษย์เป็นผู้สั่งการ ผ่านทางการควบคุมโดยตรง หรือการเขียนโปรแกรมคำสั่งล่วงหน้าในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI : Artificial Intelligence) ทำให้หุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง สามารถจัดลำดับ ปรับเปลี่ยนแผนการทำงานได้ แต่ถึงกระนั้น หุ่นยนต์ก็ยังถูกควบคุมโดยมนุษย์ ผ่านทางโปรแกรมคำสั่งที่เขียนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างหุ่นยนต์ตัวนั้น

ตามรากศัพท์ดั้งเดิม หุ่นยนต์ หรือ robot เป็นภาษาเช็ก แปลว่า ทาส หรือผู้ถูกบังคับใช้แรงงาน โดยผู้ที่นำคำศัพท์นี้มาใช้ในความหมายใหม่ คือ คาเรล คาเปก (Karel Capek) นักเขียนชาวเช็ก ผู้ประพันธ์ละครเวทีเรื่อง R.U.R. Rossum’s Universal Robots ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยการสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นทาสของมนุษย์ แต่สุดท้าย หุ่นยนต์ได้วิวัฒนาการจนมีความฉลาดขึ้น และได้ลุกขึ้นสู้เพื่อปลดแอกความเป็นทาสจากมนุษย์

กลับไปที่คำถามข้างบน เมื่อพูดถึงหุ่นยนต์ คุณนึกถึงอะไร? สำหรับผมแล้ว ผมนึกถึงคนที่ถูกตีกรอบ (ไม่ว่าจะโดยคนอื่นหรือโดยตัวเอง) ให้ต้องทำตามกฎกติกา คำสั่ง ค่านิยม หรือธรรมเนียมปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตจะเกิดความสับสนจนไม่อาจทำงานได้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์

ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ที่จะเกิดความสับสนจนถึงขั้นทำงานไม่ได้ หากคิดออกนอกลู่นอกทาง นอกเหนือจากโปรแกรมคำสั่งที่เขียนไว้

แต่มีหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง คิดนอกเหนือจากโปรแกรมคำสั่งที่มัน (หรือเธอ) ถูกตั้งไว้ หุ่นยนต์ตัวนั้น ชื่อ ‘รอซซัม’ หมายเลข 7134 หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘รอซ’ (ซึ่งก็คือ ชื่อเดียวกับหุ่นยนต์ในงานวรรณกรรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ชิ้นแรกของคาเปกนั่นเอง)

และนี่คือ เรื่องราวของรอซ ในงานวรรณกรรมเด็กชื่อ The Wild Robot หรือชื่อไทยว่า หุ่นยนต์ผจญภัยในโลกกว้าง เขียนโดย ปีเตอร์ บราวน์ (Peter Brown) ขณะที่ฉบับภาษาไทย แปลโดย วัรวิชญ์ ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก รวมทั้งกวาดรางวัลมากมาย ไม่ว่า หนังสือเด็กดีเด่นของวอชิงตันโพสต์ หนังสือเด็กดีเด่นแห่งปี โดยการเลือกสรรของ Amazon

ล่าสุด หนังสือเล่มนี้ กลายเป็นอะนิเมชั่นผลงานของ DreamWorks Animation ซึ่งว่ากันว่า เป็นหนึ่งในตัวเก็งอะนิเมชั่นรางวัลออสการ์ ในปีหน้า

ต้องบอกตรงๆ ว่า ตอนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากชั้นวางในร้านหนังสือ ผมไม่รู้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ได้รับคำชื่นชมมากแค่ไหน รู้แค่ว่า หน้าปกสวยดี ซึ่งก็เป็นผลงานการวาดภาพประกอบโดยปีเตอร์ บราวน์ ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้

จนเมื่ออ่านจบ ผมถึงรู้ว่า นี่คือหนึ่งในหนังสือที่ไม่ควรพลาด และเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเด็กที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่าน

รอซซัม หมายเลข 7134 (Rossum Unit 7134) พร้อมผองเพื่อนหุ่นยนต์หลายร้อยตัว ที่ถูกผลิตจากโรงงานเดียวกัน เพื่อทำหน้าที่บางอย่างที่คาดกันว่า เป็นการทำงานในฟาร์ม ถูกลำเลียงขึ้นเรือสินค้าเพื่อส่งไปถึงมือลูกค้าที่ต้องการใช้งานหุ่นยนต์ดังกล่าว

ทว่า พายุเฮอริเคน แสดงให้เห็นว่า ถึงที่สุดแล้ว ธรรมชาติ มีฤทธานุภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ เรือสินค้าลำดังกล่าวถูกพายุพัดจนอับปางลง พร้อมลังไม้บรรจุหุ่นยนต์หลายร้อยใบ เหลือเพียง 5 ใบ ที่เกยตื้นบนชายฝั่งของเกาะร้างแห่งหนึ่ง

ลัง 5 ใบ ที่เกยตื้นชายฝั่งเกาะร้าง ถูกคลื่นซัดกระแทกกับโขดหิน จนหุ่นยนต์ข้างในพังเสียหายหมด เหลือเพียงหุ่นยนต์ตัวเดียวที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และชีวิตของหุ่นยนต์ตัวนั้นก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อนากทะเล ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เกิดเล่นซุกซนจนไปกดปุ่มสตาร์ทของหุ่นยนต์

“สวัสดี ฉันคือรอซซัม หมายเลข 7134 แต่เธอเรียกฉันว่ารอซก็ได้… เพียงแค่สั่งงาน ฉันก็จะทำให้เสร็จเรียบร้อย เมื่อเวลาผ่านไป ฉันจะหาวิธีทำงานให้สำเร็จดีกว่าเดิม… ขอบคุณที่ฟัง ฉันพร้อมทำงานแล้ว”

คำพูดแรกของรอซ ทำให้เรารู้ว่า เธอเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานตามคำสั่ง และสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นด้วย

ทว่า บนเกาะแห่งนี้ ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ มีเพียงสัตว์ชนิดต่างๆ ตั้งแต่นากทะเล หมี สุนัขจิ้งจอก กวาง กระรอก ไปจนถึงห่านป่า แล้วรอซ จะทำงานตามคำสั่งของใคร?

ด้วยระบบเอไอที่มีอยู่ในตัว ทำให้รอซ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่เธอไม่เคยถูกโปรแกรมให้รู้ เธอเรียนรู้ที่จะอยู่รอดจากภัยธรรมชาติ หลบหลีกการทำร้ายของสัตว์ป่า และในที่สุด รอซเรียนรู้ที่จะพูดภาษาสัตว์ เพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนเกาะนั้น และจะได้ช่วยสัตว์เหล่านั้นทำงานให้ดีที่สุด ตามเป้าหมายสูงสุดของหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ช่วยมนุษย์ทำงาน

แน่นอนว่า ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกแยกจากสัตว์ทุกชนิด ทำให้สัตว์ทุกตัวบนเกาะ หวาดกลัว ไม่ไว้ใจ และถึงขั้นเรียกรอซว่า ‘อสุรกาย’ ไม่มีใครอยากให้เธอช่วยเหลือ ไม่มีอยากให้เธอเข้าใกล้ด้วยซ้ำ

หมาจิ้งจอกชื่อ ‘สอดรู้’ เป็นสัตว์ตัวแรกที่ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับรอซ เพราะกำลังตกที่นั่งลำบาก ถูกขนเม่นตำทั้งที่หน้าและอุ้งเท้า จนต้องร้องขอให้รอซช่วยดึงขนเม่นออก ซึ่งรอซก็เต็มใจช่วย และทำอย่างเต็มที่

หลังจากนั้น รอซเกิดอุบัติเหตุร่วงหล่นจากหน้าผาลงมาทับรังของห่านป่า ส่งผลให้ห่านป่าตายยกรัง เหลือเพียงไข่ฟองเดียว ซึ่งรอซรู้ว่า ถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่าง ลูกห่านในไข่จะต้องตายตามพ่อแม่และพี่น้องของมันอย่างแน่นอน

ด้วยความช่วยเหลือให้คำแนะนำจากสัตว์หลายชนิด รวมถึงห่านป่าอาวุโส ที่ค่อยๆ ลดความหวาดกลัวต่อ ‘อสุรกายโลหะ’ ทำให้รอซ ค่อยๆ ฟูมฟักจนลูกห่านออกจากไข่ได้ในที่สุด และตั้งชื่อเขาว่า ‘จะงอยแจ๊ด’

รอซ กลายเป็นคุณแม่ ที่มุ่งมั่นจะเลี้ยงลูกห่านให้เติบโตอย่างดีที่สุด แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมไว้ตั้งแต่แรก แต่คือสิ่งที่เธอค่อยๆ เรียนรู้จากการอยู่ร่วมกับสัตว์และความเป็นธรรมชาติบนเกาะนั้น

หรืออาจกล่าวอีกอย่างว่า ธรรมชาติ ค่อยๆ สอนให้รอซ เรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือโปรแกรม นั่นคือ ‘ความรัก’

ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า วรรณกรรมเด็กหลายเล่มที่ลึกซึ้งตราตรึงใจผู้อ่าน มักจะสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับการพลัดพราก โดยเฉพาะความตาย อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางกลับดาวของเจ้าชายน้อยในวรรณกรรมเรื่องเจ้าชายน้อย การตายของชาร์ล็อตในหนังสือเรื่องแมงมุมเพื่อนรัก หรือการสละชีพของดัมเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนฮอกวอต์ในหนังสือชุดแฮร์รี พอตเตอร์

บางที อาจเป็นเพราะความตาย โดยเฉพาะความตายของคนที่เรารัก คือ ความทุกข์ที่แสนสาหัสที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในชีวิตคนเรา ดังนั้น เด็กๆ ทุกคน จึงควรได้เรียนรู้เรื่องนี้ผ่านทางวรรณกรรมเด็ก ที่สอนให้พวกเขารู้ว่า แม้ในโลกที่เยาว์วัยใสซื่อแสนบริสุทธิ์ ก็ไม่อาจหลีกพ้นจากเรื่องราวของความตายและการพลัดพรากไปได้

ความตายในหนังสือเรื่อง The Wild Robot ถูกถ่ายทอดผ่านทางการตายของสัตว์หลายๆ ตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกพ้นได้ แต่จะงอยแจ๊ด ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วแม่ของเขาที่เป็นหุ่นยนต์ล่ะ จะต้องพบกับความตายในสักวันหนึ่งด้วยหรือเปล่า

ตอนที่จะงอยแจ๊ดไปพบซากหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ที่อีกด้านหนึ่งของเกาะ ลูกห่านจึงได้เรียนรู้ว่า สำหรับหุ่นยนต์ ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต การอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะเพราะชิ้นส่วนร่างกายพังเสียหาย หรือกระทั่งเพราะถูกกดปุ่มหยุดการทำงาน ก็เท่ากับตายไปแล้วเช่นกัน

อ่านถึงตอนนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่า ปีเตอร์ บราวน์ ผู้แต่งเรื่องนี้ ตั้งใจสอดแทรกสิ่งที่เชื่อว่า จะเป็นปัญหาทางจริยธรรมในอนาคตอันใกล้ นั่นคือ หุ่นยนต์ที่มีความใกล้เคียงมนุษย์อย่างที่สุด ถึงขนาดมีความรู้สึกนึกคิด จะถูกนับเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ และหากหุ่นยนต์ตัวนั้น ถูกทำให้หมดสภาพที่จะใช้งานได้ จะถือว่าเป็นการฆาตกรรมหุ่นยนต์หรือเปล่า

แน่นอนว่า หนังสือเรื่อง The Wild Robot ถูกวางให้เป็นวรรณกรรมเด็ก ไม่ใช่วรรณกรรมเชิงปรัชญา หัวข้อนี้ จึงไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง ซึ่งก็สุดแต่ว่า นักอ่านคนไหน อยากจะหยิบเอาประเด็นนี้ไปตีความ หรือขบคิดต่อ

สำหรับผมแล้ว ประเด็นสำคัญ ที่ถือเป็นหัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้ คือ ไม่ว่าคุณจะเกิดมาเป็นอะไร หรือคุณถูกวางกรอบให้ดำเนินชีวิตแบบไหน แต่คุณก็มีสิทธิที่จะลิขิตชีวิตของตัวเอง มีสิทธิที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเอง

แม้ว่ารอซ จะว่ายน้ำไม่เป็น เธอไม่กล้าลงน้ำ เพราะรู้ว่าน้ำจะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกายเกิดความเสียหายได้ รอซ ไม่สามารถบินได้ เพราะเธอไม่ได้ถูกสร้างมาพร้อมเครื่องยนต์กลไกที่สามารถยกตัวเองหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงได้ แต่สิ่งที่เธอเรียนรู้ คือ จะทำอย่างไรที่จะให้จะงอยแจ๊ด ได้เติบโตเป็นห่านป่าที่มีความสุข ห่านป่าที่ว่ายน้ำไปกับฝูงห่านได้ และห่านป่าที่พร้อมจะบินอพยพไปกับฝูงในช่วงหน้าหนาว

หรือพูดอีกอย่างว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่รอซได้เรียนรู้ ก็คือ ทำอย่างไรเธอจะเป็นแม่ที่ดีได้

นับจากวันที่รอซ ตั้งใจเก็บไข่ห่านมาฟูมฟัก คือวันที่เธอสามารถกำหนดภารกิจและเส้นทางชีวิตให้กับตัวเองได้ นั่นคือ ภารกิจของความเป็นแม่

ในช่วงวัยเด็ก จะงอยแจ๊ดเคยถูกเพื่อนๆ ห่านล้อว่า เป็นอสุรกาย เพราะมีแม่เป็นอสุรกาย แน่นอน ลูกห่านรู้ว่า ตัวเขาไม่ใช่อสุรกาย แต่คือห่านป่าเหมือนเพื่อนๆ ในฝูง และแม่ของเขา ก็ไม่ใช่อสุรกาย แต่เป็นหุ่นยนต์ ซึ่งแตกต่างจากห่านป่าโดยสิ้นเชิง

“แม่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของผมใช่มั้ย”

“แม่มีหลายประเภท” หุ่นยนต์พูด “แม่บางรายดูแลลูกไปตลอดชีวิต บ้างวางไข่แล้วก็ทิ้งไปเลย บ้างเลี้ยงลูกของแม่อื่น แม่พยายามแสดงเป็นแม่ แต่ไม่ใช่หรอก แม่ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดของลูก”

จากนั้น รอซได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกห่านฟัง เรื่องราวในคืนที่เธอเกิดอุบัติเหตุตกลงมาทับรังห่าน ทำให้พ่อแม่ที่แท้จริงของจะงอยแจ๊ดต้องจากโลกนี้ เหลือเพียงไข่ห่านใบเดียว ซึ่งก็คือจะงอยแจ๊ด

“ผมควรเลิกเรียกแม่ว่าแม่ไหม” ลูกห่านถาม

“แม่จะยังแสดงเป็นแม่ ไม่ว่าลูกจะเรียกแม่ว่าอย่างไร” หุ่นยนต์บอก

“ผมคิดว่าจะยังเรียกแม่ว่าแม่ต่อไปนะฮะ” 

“แม่ก็คิดว่าจะยังเรียกลูกว่าลูกเหมือนกัน”

ในตอนท้ายของเล่ม โรงงานผู้ผลิตรอซ ส่งหุ่นยนต์หลายตัวมาตามเก็บชิ้นส่วนหุ่นยนต์ที่สูญหายระหว่างการลำเลียง เพื่อนำกลับไปซ่อมแซมอีกครั้ง รอซ ซึ่งแหกขนบของความเป็นหุ่นยนต์ใช้งาน จึงถูกตีความว่า เป็นหุ่นยนต์ที่ชำรุดเสียหาย จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปซ่อม

ลูกห่าน และผองเพื่อนสัตว์ป่าบนเกาะ ช่วยกันขัดขวางอย่างเต็มที่ไม่ให้รอซถูกนำตัวกลับไป แต่สุดท้ายแล้ว แม้จะทำลายหุ่นยนต์ที่ทางโรงงานส่งมาได้ แต่รอซก็ได้รับความเสียหาย จนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ หรือถ้าเป็นคนก็พิการทุพพลภาพ 

รอซ ประมวลผลจนได้ข้อสรุปว่า เธอต้องสมัครใจกลับเข้าไปโรงงานอีกครั้ง เพื่อให้ได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้ ยังช่วยป้องกันไม่ให้ทางโรงงานส่งหุ่นยนต์มาที่เกาะอีกด้วย

ไม่มีใครบอกได้ว่า เมื่อได้รับการซ่อมแซมต่อเติมชิ้นส่วนใหม่แล้ว เธอจะยังเป็นหุ่นยนต์ตัวเดิม หรือจะกลายเป็นรอซซัม หมายเลขใหม่ แต่ตัวรอซเอง เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า  ไม่ว่าอย่างไร เธอก็จะยังเป็นแม่ของจะงอยแจ๊ดเหมือนเดิม

เรื่องราวของรอซจะเป็นเช่นไร คงต้องตามอ่านกันในเล่มต่อของซีรีส์ชุดนี้ แต่สำหรับผมแล้ว รอซ จะต้องหาทางกลับมาที่เกาะแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะที่นี่คือบ้านของเธอ ที่มีลูกชายของเธอรออยู่

และที่สำคัญที่สุด รอซ ได้แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความมุ่งมั่น มีจิตใจที่เปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นเช่นไร ถูกตีกรอบให้เป็นแบบไหน ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงเส้นทางชีวิตที่ถูกกำหนดไว้ ก็ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 

เพื่อให้ได้เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เป็น

Tags:

หนังสือAIความสัมพันธ์มนุษย์The Wild Robotหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ: เมื่อโจทย์ของชีวิต ซับซ้อนกว่าปัญหาคณิตศาสตร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • lonely-cover (1)
    Book
    คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อใคร: ถึงฉันจะโดดเดี่ยว แต่ก็ยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ดี

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020

    เรื่อง The Potential

Didi: แค่ใครสักคนที่เข้าใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พร้อมรับฟัง
Movie
24 October 2024

Didi: แค่ใครสักคนที่เข้าใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พร้อมรับฟัง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Didi เป็นภาพยนตร์ที่พาเราเข้าไปสัมผัสกับ ‘ความว้าวุ่นของชีวิตวัยรุ่น’ ที่ใครหลายคนอาจเคยรู้สึกมาก่อน ผ่านเรื่องราวของ ‘คริส หวัง’ เด็กหนุ่มอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ที่พยายามตามหาตัวตนของตัวเอง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมรอบตัว
  • ความไม่เป็นตัวของตัวเอง และความไม่มั่นใจของคริส ทำให้เขาต้องพบปัญหามากมาย ซึ่งกลายเป็นว่าความพยายามที่จะเป็นที่ยอมรับของคนอื่น กลับยิ่งทำให้เขาหลงทางและไม่รู้จักตัวเองมากขึ้นไปอีก
  • บางครั้งเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหา ต้นตอมันอาจไม่ใช่เพราะเป็นเด็กนิสัยไม่ดี แต่เขาอาจแค่ไม่รู้วิธีที่จะจัดการอารมณ์ตัวเอง ไม่รู้ว่ามีวิธีระบายออกมา หรือเขาอาจจะไม่มีคนที่คอยพร้อมจะรับฟังปัญหา

หนังเรื่อง Didi เล่าถึงชีวิตของ ‘คริส หวัง’ เด็กผู้ชายวัยรุ่นเชื้อสายไต้หวันที่เติบโตขึ้นในแคลิฟอร์เนียกับครอบครัวเล็กๆ ของเขา คริสได้พาเราไปพบกับความว้าวุ่นของชีวิตวัยรุ่นตอนต้นซึ่งเราคิดว่าใครหลายคนอาจรู้สึกร่วมได้ไม่ยาก ช่วงเวลาในหนังคือช่วงปิดเทอมสุดท้ายปี 2008 ก่อนที่คริสจะเข้าสู่ชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย

ในหนังเราจะได้เห็นบรรยากาศการเข้ามาของโซเชียลมีเดียในยุคแรกๆ ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือมายสเปซ (ส่วนตัวเราจะคุ้นเคยกับ ไฮไฟว์มากกว่า) มีเพลงของวงดนตรีร็อกที่ฮิตในยุคนั้นเปิดคลอเป็นเพลงประกอบ มีการส่งข้อความสั้นๆ ผ่านมือถือแบบพับได้ วิธีการแต่งห้องของวัยรุ่นในตอนนั้นที่ต้องแปะโปสเตอร์วงดนตรีหรือสิ่งที่ชอบไว้บนกำแพงเต็มไปหมด ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราเองรู้สึกร่วมอย่างมากเพราะก็มีช่วงเวลาที่เป็นวัยรุ่นอยู่ในยุคเดียวกัน

คริสเป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน (ซึ่งแม่ชอบเรียกเขาว่า Didi แปลว่า ‘น้องชาย’) คริสมีพี่สาวหนึ่งคนที่กำลังจะเตรียมตัวเข้ามหาลัย เขาและพี่สาวมักจะด่าว่ากันด้วยคำหยาบหรือเล่นกันแรงๆ เสมอ ซึ่งเราคิดว่ามันแสดงให้เห็นถึงการเติบโตมาด้วยกันและสนิทสนมกันมาก มากจนบางครั้งก็จะเผลอลืมแสดงความรักต่อกันไปบ้าง

ส่วนแม่ของคริส เธอเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลบ้านและลูกๆ เธอเคยมีความฝันอยากเป็นศิลปินวาดภาพซึ่งตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นเพียงงานอดิเรก พ่อของคริสทำงานอยู่ที่ไต้หวันและคอยส่งเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวแต่เขาไม่เคยปรากฏตัวในหนังเลย มีเพียงแต่อาม่า (ย่าของคริส) ที่มักจะเอ่ยถึงลูกชายตัวเองอยู่บ่อยๆ ประมาณว่า “อยากให้ลูกชายของฉันอยู่ที่นี่ อะไรๆ ก็คงจะดีกว่านี้” ทั้งที่แม่ของคริสคือคนที่อยู่ที่บ้านและคอยดูแลทุกคน

หนังเรื่องนี้ทำให้เราสามารถรีเลทด้วยในหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่เล่ามาก่อนหน้านี้ หรือสิ่งที่ปฏิบัติกันในครอบครัว อย่างเรื่องที่แม่สามีมักจะชอบบ่นลูกสะใภ้ อาม่าที่เผลอพูดถึงหลานชายมากกว่าหลานสาวเพราะหลานชายคือคนที่จะสืบทอดตระกูล แม่ที่มักจะแสดงความรักกับลูกด้วยการแค่ถามว่า “กินอะไรหรือยัง” มากกว่าที่จะบอกรักลูกตรงๆ 

แต่ประเด็นสำคัญที่เรารู้สึกประทับใจและรู้สึกถึงความละเอียดอ่อนของหนังคือการตามหาตัวตนของคริสผู้เป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่อยากเจอคนหรือสถานที่ที่เป็นของตัวเอง

เขาต้องเผชิญกับความรู้สึกของการเป็นคนนอกกลุ่มอยู่หลายครั้ง และความรู้สึกหลายอย่างที่เขาเจอก็เป็นความรู้สึกที่เราล้วนเราเคยสัมผัสมาในตอนเป็นวัยรุ่นและบางอย่างก็ยังคงอยู่ในใจเราเสมอ เลยทำให้เรารู้สึกอินและเข้าใจคริสมากๆ

คริสแสดงให้เห็นถึงการพยายามต่อสู้ดิ้นรนที่จะเป็นที่รักของใครสักคนอยู่ตลอด เริ่มจากตอนแรกที่เขาลองจีบสาวโดยการไปสำรวจหน้าเพจของสาวคนนั้นว่าเขาชอบเพลงอะไร ชอบดูหนังอะไรแล้วทำเป็นเออออชอบตาม ถึงกับขนาดไปขโมยเสื้อวงดนตรีของพี่สาวตัวเองมาใส่แล้วบอกกับสาวคนนั้นว่า “ฉันชอบนักร้องวงนี้” ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เคยฟัง 

แต่ก็เพราะความไม่เป็นตัวของตัวเองบวกกับความไม่มั่นใจของเขา รักครั้งนี้เลยไม่ได้ไปต่อ 

หลังจากนั้นคริสเลยเลือกที่จะเบนความสนใจของตัวเองไปสู่กลุ่มเพื่อนแก๊งใหม่ที่สนใจการเล่นสเกตบอร์ดเหมือนกันกับเขา เรารู้สึกว่าในครั้งนี้คริสเริ่มกล้าเป็นตัวเองมากขึ้น แต่เขาก็ยังเลือกที่จะโกหกบางเรื่องอยู่ดี จนสุดท้ายเขาก็ทำพลาดอีกครั้ง

ในตอนที่เราดู เรารู้สึกลุ้นไปกับคริสตลอด อยากให้เขาได้เจอคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและสามารถเป็นตัวของเขาเองได้

แต่ในแทบทุกครั้งเรื่องราวจะจบลงด้วยความประดักประเดิด เพราะความกังวลและความไม่มั่นใจในตัวตนของตัวเขาเองเสมอ

และด้วยความเป็นเด็กวันรุ่นที่อารมณ์พลุ่งพล่าน ยังไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจวิธีการเข้าสังคมของเขานี่แหละ มันก็สะสมเป็นความผิดหวังในตัวเองเก็บกดอยู่ข้างในตลอดจนวันนึงแน่นอนว่ามันก็ระเบิดตู้ม!

ในตอนสุดท้ายคริสทำร้ายเพื่อนคนหนึ่งที่ดันพูดจาไม่ดีไปจี้จุดในใจของเขา อารมณ์ที่สะสมไว้และไม่เคยได้ระบายมันก็ระเบิดออกมา พอแม่มาช่วยเขา เขาก็ต่อว่าทำร้ายจิตใจแม่ต่อ เพราะแม่พยายามจะสอนเขาในตอนที่ความโกรธในใจเขายังคุกรุ่น คริสวิ่งหนีไปหลับในสนามเด็กเล่นทั้งคืน แต่เช้าวันต่อมาคริสก็กลับมาที่บ้านแล้วเข้าไปคุยกับแม่ด้วยใจที่เย็นลง และโชคดีมากที่แม่ของเขาพอจะรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาในใจ เลยรับฟังและพูดคุยกับเขาด้วยความใจเย็นเช่นกัน หลังจากนั้นเราคิดว่าคริสจึงเริ่มเข้าใจว่าตัวเองยังมีครอบครัวอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะพยายามวิ่งหนีไปแค่ไหน 

สิ่งนี้มันทำให้เราเห็นเลยว่าความจริงแล้วเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหา ต้นตอมันอาจไม่ใช่ว่าเขาเป็นเด็กนิสัยไม่ดี แต่เขาอาจแค่ไม่รู้วิธีที่จะจัดการอารมณ์ตัวเอง หรือไม่รู้ว่ามันมีวิธีอื่นที่จะช่วยให้ระบายมันออกนอกจากการทำร้ายคนอื่น หรือแม้แต่เขาอาจจะไม่มีคนที่พร้อมรับฟังปัญหา

หรือในกรณีของคริส เขาอาจไม่กล้าปรึกษาใครเพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่แน่ใจว่ามีใครรักเขามากพอที่จะรับฟังเรื่องราวต่างๆ ของเขาได้ 

มีตอนนึงที่คริสพิมพ์ข้อความไปหาแชทบอท (ปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ตอบกลับแบบอัตโนมัติ) เพราะรู้สึกเศร้าและไม่รู้จะคุยกับใคร มันแสดงให้เห็นเลยว่าเขาต้องการเชื่อมต่อกับใครสักคน แต่มันไม่มีพื้นที่ปลอดภัยตรงนั้นที่จะรับฟัง และตัวเขาเองก็ไม่รู้วิธีที่จะสื่อสารความรู้สึกนั้น

เราคิดว่าหลายๆ คนอาจเคยรู้สึกเช่นเดียวกับคริส ทั้งความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเกิดคำถามว่า “ทำไมเราทำอะไรก็พลาดไปหมดจนไม่มีเพื่อนคบสักคน” หรือแม้กระทั่งกลายเป็นตัวตลกของคนในกลุ่ม แต่เมื่อในตอนท้ายที่คริสกล้าเปิดตัวเองเพื่อคุยกับแม่ของเขา ก็ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรักที่เขามีอยู่กับตัวเองเสมอ

หนังเรื่องนี้มันทำให้เราเห็นการเรียนรู้ชีวิตของคนคนหนึ่งและค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิดจากประสบการณ์ที่อาจจะดีบ้าง แย่มากบ้าง ได้เห็นถึงความสำคัญของการมีครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เข้าใจเรา

เราอยากให้พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะมันอาจทำให้ได้กลับมาระลึกถึงว่าทุกคนต่างเคยเป็นวัยรุ่นและมีปัญหาในใจกันทั้งนั้น เรื่องที่ในตอนนี้เราอาจคิดว่ามันเล็กมาก มันอาจเคยเป็นเรื่องใหญ่สุดๆ ในตอนที่เราเป็นเด็กวัยรุ่นซึ่งเราอาจเผลอลืมมันไป อยากให้พ่อแม่ลองฟังอย่างไม่ตัดสินเพราะทุกปัญหามีสาเหตุที่ควรค่าแก่การรับฟังเสมอ

นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังเป็นเหมือนบันทึกชีวิตวัยรุ่นในยุคที่เริ่มมีการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตซึ่งในแง่นึงก็ช่วยให้เชื่ิอมต่อกับผู้คนได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกแง่มุมก็สร้างความเหงาและโดดเดี่ยวได้เช่นกัน ซึ่งหลายๆ อย่างนี้ทำให้เราคิดว่า Didi เป็นหนึ่งในหนัง coming of age ที่ทั้งเจ็บปวดและสวยงามอีกเรื่องที่ได้ดูในปีนี้เลย

Tags:

โรงเรียนวัยรุ่นการเติบโตหนังComing ageDidi

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Social Issues
    Growing up with HIV: ชีวิตไม่แพ้ของ ‘เพลงพิณ’ มายเซ็ตที่เปลี่ยนการตีตราเป็นความเติบโต

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Dear Parents
    เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เหยียดอายุ (Ageism): มายาคติ ‘สูงวัย = ไร้ค่า’ ในสังคมที่ร้องหาความเท่าเทียม
Social IssuesMyth/Life/Crisis
22 October 2024

เหยียดอายุ (Ageism): มายาคติ ‘สูงวัย = ไร้ค่า’ ในสังคมที่ร้องหาความเท่าเทียม

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Ageism หรือ การเหยียดอายุ คือ การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยเหตุผลเรื่องอายุ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเกณฑ์ที่สังคมกำหนดไว้ แต่ด้วยค่านิยมสังคมปัจจุบันที่เชิดชูความหนุ่มสาว นั่นทำให้ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า ซึ่งการเหยียดอายุสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับองค์กร
  • ‘การเหยียดอายุ’ ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของผู้ถูกกระทำ ทำให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า และลดความสามารถในการทำงาน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เนื่องจากทำให้สังคมสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า
  • แม้จะอายุมากขึ้นแต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะกลายเป็นคนไร้ค่า เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่อาจจะมีมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรอบคอบในการทำงาน และประสบการณ์

หนึ่งในปัญหาของสังคมยุคใหม่ที่มีการอยู่รวมกันของผู้คนหลากหลายกลุ่ม ก็คือ ‘การเลือกปฏิบัติ’ ทั้งในที่ทำงาน ในโรงเรียน หรือแม้กระทั่งในระดับประเทศ ซึ่งสาเหตุของการเลือกปฏิบัติ มักจะมาจากอคติ หรือการเหมารวม ที่นำไปสู่การเหยียดในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่การเหยียดเชื้อชาติ-สีผิว (Racism) และการเหยียดเพศ (Sexism)

แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสการรณรงค์ต่อต้านการเหยียดที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ การเหยียดเชื้อชาติ-สีผิว และการเหยียดเพศ แต่การเหยียดชนิดใหม่ ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ว่า ‘ความสูงวัยคือความเสื่อมถอย’ คือ  การเหยียดอายุ ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า Ageism หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า Age Bias กลับเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึงค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มีค่านิยมเรื่องระบบอาวุโส

หลายคนอาจมองว่าด้วยค่านิยมดังกล่าว ทำให้ผู้สูงวัยไทยเผชิญกับ Age Bias น้อยกว่า แต่แท้จริงแล้วอีกด้านหนึ่งมันคือการตอกย้ำความชอบธรรมในการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่ง ‘วัย’ ซึ่งไม่เพียงเป็นอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนต่างเจเนอเรชัน ยังส่งผลให้สังคมไม่อาจดึงศักยภาพของคนเหล่านี้มาใช้ได้อย่างเต็มที่

Ageism คืออะไร

หลายคนอาจคิดว่า ปัญหาดังกล่าว เป็นแค่ช่องว่างระหว่างวัย ที่นำไปสู่ความไม่เข้าใจกันระหว่างคนสองช่วงวัย ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วยการปรับตัวเข้าหากัน แต่จริงๆ แล้ว Ageism เป็นปัญหาที่รุนแรงกว่านั้น และแก้ยากกว่านั้น

ปัญหาการเหยียดอายุ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิด เพราะคำศัพท์ที่ใช้เรียกปัญหานี้ ถูกบัญญัติขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 1972 หรือ 52 ปีที่แล้ว โดยโรเบิร์ท นีล บัทเลอร์ (Robert Neil Butler) แพทย์ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรแพทย์ เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Ageism ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า ‘วยาคติ’ หมายถึงการเหมารวม หรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ใดผู้หนึ่ง โดยมีเหตุมาจากปัจจัยเรื่องอายุ 

ผู้สูงอายุ ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่เป็นผู้ถูกกระทำในลักษณะของการเหยียดอายุ (Ageism) เพราะผู้เยาว์ก็อาจถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลด้านอายุเช่นกัน อย่างไรก็ดี เนื่องจากค่านิยมในสังคมปัจจุบันที่เชิดชูความอ่อนเยาว์ หรือความหนุ่มสาว นั่นทำให้ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า

เช่นเดียวกับปัญหาการเหยียดอื่นๆ Ageism หรือการเหยียดอายุ สามารถแบ่งย่อยได้หลายประเภท ตั้งแต่ การเหยียดระหว่างบุคคล การเหยียดที่เกิดขึ้นโดยตัวเอง และการเหยียดในระดับองค์กร ที่มีความเป็นระบบ หรือเป็นทางการ

1. การเหยียดระหว่างบุคคล (Interpersonal Ageism) เป็นการเหยียดที่เกิดขึ้นโดยคนๆ หนึ่ง กระทำต่ออีกคนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในที่ทำงาน และในที่อื่นๆ หรือแม้แต่ในครอบครัว ตัวอย่างเช่น หัวหน้างานของคน ปฏิเสธที่จะมอบหมายงานใหม่ให้แก่ลูกน้อง เพราะเห็นว่าเขามีอายุมากเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การมีอายุมาก ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานชิ้นนั้นเลย 

หรือแม้แต่การพูดจาทีเล่นทีจริงในกลุ่มเพื่อน หรือในครอบครัว เช่น “พี่ (หรือพ่อ หรือแม่ หรือลุงป้าน้าอา) แก่แล้ว เล่นเกมนี้กับเราไม่ได้หรอก ถึงเล่นได้ก็ตามไม่ทันหรอก” ซึ่งการพูดกึ่งหยอกเย้าเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ถูกกล่าวถึง รู้สึกขุ่นเคืองใจ หรือรู้สึกถูกด้อยค่า อันจะนำไปสู่การเหยียดที่เกิดขึ้นโดยตัวเองได้

2. การเหยียดที่เกิดขึ้นโดยตัวเอง (Self-directed Ageism) คือการที่ตัวเองเกิดทัศนคติในแง่ลบต่อตัวเอง ด้วยเหตุผลเรื่องอายุ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย อันจะนำไปสู่การรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง หรือกระทั่งการมีความภูมิใจในตัวเองในระดับต่ำ

พฤติกรรมหลงๆ ลืมๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นในทุกช่วงอายุ อาจทำให้ผู้สูงอายุหลายคน เริ่มคิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่นในครอบครัว และยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกเหยียดตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็ทำให้คนช่วงวัยอื่น มองผู้สูงอายุในภาพแบบเหมารวมเพิ่มมากขึ้นด้วย

3. การเหยียดในระดับองค์กร (Institutional Ageism) คือ การเหยียดที่เกิดขึ้นเมื่อสังคมมีค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือกฎระเบียบที่ชัดเจน ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้อยู่ในช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นผู้สูงอายุ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในหัวข้อดังกล่าว คือ การที่หลายๆ บริษัทตั้งกฎให้พนักงานต้องสมัครใจลาออก เมื่อถึงเกณฑ์อายุที่กำหนดไว้ หรือในบางกรณีที่การเหยียดนั้นฝังตัวอยู่ลึกจนสังเกตได้ยาก เช่น การที่ผู้สูงอายุ ไม่ค่อยได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ

ผลกระทบจาก Ageism

หลายคนอาจเข้าใจว่า Ageism หรือ การเหยียดอายุ แค่ทำให้เสียความรู้สึก ขุ่นเคืองใจ หรืออย่างมากก็แค่อับอาย แต่ในความจริงแล้ว เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตใจ รวมถึงสถานะทางการเงิน ทำให้ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองลดน้อยลง กระทบกระเทือนต่อชีวิตสังคม และที่ร้ายแรงที่สุด ทำให้ช่วงอายุขัยของคนๆ นั้นสั้นลง

ในการประชุมขององค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization) เมื่อเดือนมีนาคม 2021 ระบุว่า ปัญหา Ageism ถือเป็นปัญหาท้าทายในระดับโลก ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

พร้อมกันนั้น องค์การอนามัยโลก อ้างถึงรายงานการสำรวจเมื่อปี 2020 ระบุว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าทั่วโลกราว 6 ล้านคน ที่อาจมีสาเหตุมาจากการถูกเหยียด เหมารวม หรือเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลเรื่องอายุ

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่า การมีทัศนคติแง่ลบต่อตัวเอง อันเป็นผลมาจากความรู้สึกเหยียดตัวเองของผู้สูงอายุหลายๆ คน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายในระยะสั้น รวมไปถึงลดสมรรถภาพการฟื้นตัวจากอาการป่วยของผู้สูงอายุด้วย นั่นทำให้ช่วงอายุขัยของผู้สูงอายุกลุ่มดังกล่าว สั้นกว่าช่วงอายุขัยของผู้สูงอายุ ที่มีสุขภาพจิตดี และมีทัศนคติในแง่บวกต่อตัวเอง

นอกจากนี้ การเหยียดอายุยังส่งผลกระทบทางอ้อมในด้านสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้สูงอายุมักจะไม่ถูกเลือกให้อยู่ในกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย หรือการทดลองเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพใหม่ๆ ส่งผลให้การจ่ายยาดังกล่าว หรือการนำเอาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพใหม่ๆ เข้ามาใช้กับกลุ่มผู้สูงอายุ อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ขณะเดียวกัน ผลกระทบต่อต่อจิตใจ เป็นเรื่องที่น่าวิตกไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแค่คำพูดล้อเลียนเรื่องอายุจากคนใกล้ตัวในครอบครัว หรือการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงานด้วยเหตุผลเรื่องอายุ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อจิตใจ จนนำไปสู่ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าน้อยลงได้

การถูกเหมารวมด้วยเหตุผลเรื่องอายุ จะส่งผลทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การคุกคามจากภาพในความคิด (Stereotype Threat) ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลหนึ่ง เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กลุ่มของตน ถูกมองเป็นภาพในแง่ลบ จนส่งผลให้บุคคลนั้นแสดงออกได้ต่ำกว่าศักยภาพของตัวเอง

ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุคนหนึ่ง ถูกเหยียดด้วยเหตุผลเรื่องอายุ จนเกิดภาพจำในหัวว่า คนสูงอายุมักจะขี้หลงขี้ลืม และทำงานไม่คล่อง จนท้ายที่สุด ภาพจำในหัวนั้น ทำให้ผู้ถูกเหยียด กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม และทำงานเงอะๆงะๆ ขึ้นมาจริงๆ

Ageism ยังนำไปสู่พฤติกรรมแยกตัวจากสังคม และกลายเป็นคนเก็บตัว จากการถูกเหยียดเรื่องอายุบ่อยๆ ทำให้ผู้ถูกเหยียดขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง จนถึงขั้นค่อยๆ ถอยห่างจากกิจกรรมทางสังคม รวมไปถึงการเดินทางออกนอกบ้าน และสิ่งที่ตามมาก็คือ ความเครียดที่เพิ่มขึ้น คุณภาพการนอนลดน้อยลง ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเสื่อมถอย ความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

Ageism ในที่ทำงาน

ที่ทำงาน เป็นสถานที่แรกๆ ที่เราเริ่มพบเจอปัญหาการเหยียดอายุ ผู้สูงอายุจำนวนมากถูกปิดกั้นโอกาสในการเติบโตด้านการทำงาน ด้วยเหตุผลเรื่องอายุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับบริษัท (ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้)

ยิ่งไปกว่านั้น สังคมเองก็ดูจะมีค่านิยมผิดๆ จนกลายเป็นมายาคติว่า ผู้สูงอายุ มีค่าเท่ากับพนักงานที่ทำงานด้อยประสิทธิภาพกว่า หากเทียบกับคนรุ่นหนุ่มสาว

ดร. ไมเคิล นอร์ธ (Michael North) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการบริหารจัดการและองค์กร มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า ผู้สูงอายุถูกคาดหวังว่า จะต้องลาออกจากงาน เพี่อเปิดทางให้แก่คนรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้าสมัยแล้ว

“ผมเคยพูดหลายครั้งว่า แนวคิดที่ผู้สูงอายุจะต้องหลีกทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานแทน เป็นอะไรที่ล้าสมัยมาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ทำให้คนเรามีอายุยืนยาวขึ้น สัดส่วนผู้สูงอายุจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วย” 

อย่างไรก็ดี ดร.นอร์ธ กล่าวว่า อคติ หรือการเลือกปฏิบัติ ไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุเพียงกลุ่มเดียว กลุ่มคนที่มีอายุน้อย ก็ตกเป็นเป้าหมายของปัญหา Ageism ในที่ทำงานได้เช่นกัน เนื่องจากคนรุ่นหนุ่มสาว จะถูกมองแบบเหมารวมว่า ยังเด็กเกินไป และขาดประสบการณ์ในการทำงาน

การมีอคติทั้งต่อกลุ่มคนหนุ่มสาวและกลุ่มผู้สูงอายุ จึงทำให้กลุ่มวัยกลางคนในที่ทำงาน กลายเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากปัญหา Ageism

แต่ถึงกระนั้น ดร.นอร์ธ ชี้ว่า ในที่สุดแล้ว กลุ่มวัยกลางคน ก็จะมีอายุมากขึ้นและกลายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ตกเป็นเป้าการเลือกปฏิบัติในอนาคต

การรับมือกับปัญหา Ageism

ก่อนที่จะกล่าวถึงแนวทางการรับมือปัญหา Ageism เราต้องมองเห็นปัญหาเสียก่อน ซึ่งในบางครั้ง การเหยียดอายุ ถูกแสดงออกอย่างชัดเจนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก แต่ก็มีหลายกรณีที่ตัวผู้ถูกกระทำเอง ก็ไม่แน่ใจว่า เขาหรือเธอ กำลังตกเป็นเป้าการเหยียดอายุ

สัญญานเตือนถึงการเหยียดอายุที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การล้อเลียนเรื่องอายุ โดยเฉพาะจากเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างาน ตามมาด้วยการถูกกีดกันออกจากกลุ่ม และการไม่ได้รับเชิญให้ร่วมประชุมในที่ทำงาน 

นอกจากนี้ คุณอาจสังเกตเห็นว่า นโยบายของหลายๆ บริษัท มีแนวโน้มจะรับพนักงานใหม่ที่อายุน้อย รวมไปถึงการเลื่อนตำแหน่งให้แต่เฉพาะพนักงานที่อายุไม่มาก ขณะที่พนักงานที่สูงวัย จะถูกโน้มน้าวให้สมัครใจลาออก เพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาแทนที่

สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรับมือกับปัญหา Ageism คุณจะต้องยอมรับความจริงก่อนว่า คุณอายุมากขึ้นจริง และนั่นมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ร่างกายคุณไม่กระฉับกระเฉงเท่าคนหนุ่มสาว สายตาเริ่มยาว หูได้ยินไม่ชัด แต่นั่นไม่ได้แปลว่า คุณจะกลายเป็นคนไร้ค่า เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณอาจมีมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรอบคอบในการทำงาน และประสบการณ์

ประสบการณ์ที่คุณมี อาจสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานให้กับคุณ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ปรึกษา โค้ช หรือพี่เลี้ยง ที่คอยถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นต่อมา ขณะเดียวกัน ในครอบครัว ผู้สูงอายุ ก็สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้กับลูกๆ หลานๆ หรือบอกเล่าเรื่องราวที่คนรุ่นใหม่ไม่มีโอกาสได้พบเจอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยังช่วยสร้างความสนิทแนบแน่นระหว่างกลุ่มคนจากหลากหลายช่วงอายุอีกด้วย

สิ่งที่สำคัญที่สุด จงอย่ายอมรับมายาคติ หรือภาพแบบเหมารวมของผู้สูงอายุว่า จะต้องเป็นคนเชื่องช้า ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือขี้หลงขี้ลืม คุณจะต้องทำลายภาพมายาคติเหล่านั้น ด้วยการทำตัวกระฉับกระเฉง พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมทั้งหมั่นลับสมองให้เฉียบคมและจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี ไม่ว่าจะด้วยการเล่นเกม หรือการคิดเลข แทนที่จะใช้เครื่องคิดเลข

ดร.เบคคา เลวี (Becca Levy) ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่มุ่งมั่นจะแก้ปัญหา Ageism ยอมรับว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่แก้ได้ยาก เนื่องจากสังคมมีภาพจำที่ฝังลึกมานานว่า ความสูงวัยคือความเสื่อมถอย ความหนุ่มสาวคือความรุ่งเรือง

อย่างไรก็ดี ดร.เลวี ยังมองในแง่บวกถึงความพยายามแก้ปัญหา Ageism โดยกล่าวว่า

“เรากำลังอยู่บนจุดเริ่มต้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่มุ่งไปสู่สังคมที่ให้คุณค่าคนอย่างเท่าเทียม” ดร.เลวี กล่าว “ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหนุ่มสาว หรือเป็นผู้สูงวัย”

อ้างอิง

Ageism and Age Discrimination : https://www.helpguide.org/aging/healthy-aging/ageism-and-age-discrimination

Ageism is a global challenge : https://www.who.int/news/item/18-03-2021-ageism-is-a-global-challenge-un

Stereotype Threat – การคุกคามจากภาพในความคิด : https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/stereotype-threat-2/

Workplace Age Bias Hurts Early- and Late-Career Workers : https://www.forbes.com/sites/sheilacallaham/2022/02/25/workplace-age-bias-hurts-earlyand-late-career-workers/

Ageism is one of the last acceptable prejudices : https://www.apa.org/monitor/2023/03/cover-new-concept-of-aging

Tags:

ความเท่าเทียมสังคมผู้สูงอายุAgeism

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Pachinko (2022): อ่านผู้หญิงเกาหลีในนาม ‘ซุนจา’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • May i Quit Being Mom__cover
    Movie
    May I quit being a mom? ความพยายามดูแลแม่ญี่ปุ่นของรัฐบาล

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    แบดบอยผู้น่ารัก ‘ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่
Movie
18 October 2024

Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Time Still Turns The Pages เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของ นิค เฉ็ก ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัลผู้กำกับหน้าใหม่จากเวทีม้าทองคำ เอเชียนฟิล์มอวอร์ดส์ และฮ่องกงฟิล์มอวอร์ดส์
  • นิค เฉ็ก เขียนบทภาพยนตร์ขึ้นหลังจากที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาฆ่าตัวตาย เขาจึงพยายามทำความเข้าใจการตัดสินใจนั้น และพบว่าหนึ่งในสาเหตุของการฆ่าตัวตายคือการที่คนๆ นั้นไม่มีโอกาสพูดหรือระบายอย่างจริงจังกับใครสักคนที่พร้อมรับฟัง
  • ภาพยนตร์บอกเล่าถึงเบื้องหลังการฆ่าตัวตายของเด็กชายคนหนึ่งผ่านไดอารี่ที่เขาบันทึกความเจ็บปวดจากการที่ครอบครัวปฏิบัติต่อเขาด้วยความรุนแรงเป็นประจำเพียงเพราะเขาเรียนไม่เก่งอย่างที่พ่อแม่ต้องการ

ตอนที่ผมรู้ว่าจะต้องไปดูภาพยนตร์ฮ่องกงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของเด็กประถม ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับมือกับมวลความรู้สึกได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการที่เด็กคนหนึ่งจะตัดสินใจทำลายชีวิตตัวเองได้ สาเหตุหลักย่อมหนีไม่พ้นเรื่องครอบครัวและโรงเรียน ซึ่งถือเป็นโลกทั้งใบสำหรับหัวใจดวงน้อย

Trigger warning! ในชิ้นงานมีเนื้อหาที่พูดถึงการฆ่าตัวตายและการทำร้ายร่างกาย 

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์]

“ฉันไม่ได้มีค่าสำหรับใครเลย”

คือประโยคที่ถูกเขียนไว้ในจดหมายลาตายของเด็กคนหนึ่งในภาพยนตร์ ‘Time Still Turns the Pages บันทึกใจสลายจากชายตัวน้อย’ และคงเป็นประโยคที่อยู่ในใจใครอีกหลายคนทั้งที่เลือกจากไป หรือมีชีวิตอยู่ต่อเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น

ภาพยนตร์เล่าเรื่องของ Eli เด็กชายวัย 10 ปีที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาและมีจิตใจดี แต่เขากลับถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความคาดหวังอันสูงลิ่ว และการเปรียบเทียบอย่างไม่ยุติธรรม

Eli พยายามอย่างมากที่จะเป็นที่รักของพ่อแม่ หรืออย่างน้อยก็ถูกมองเห็นสักครั้ง แต่ความเป็นเขากลับดูไร้ค่า เพียงเพราะเขาเรียนไม่เก่งเท่ากับน้องชาย เล่นเปียโนไม่ดีเท่ากับน้องชาย แต่เขาก็ยังบอกตัวเองว่าเขาจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้ได้ เหมือนกับประโยคสำคัญจากหนังสือการ์ตูนเล่มโปรด 

“สักวันหนึ่งเธอจะเติบโตขึ้น และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เธออยากเป็น อย่ายอมแพ้ไปก่อนนะ!” 

วันหนึ่ง เด็กชายบังเอิญได้ยินครูใหญ่พูดว่าการเขียนไดอารี่จะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาและช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกดีขึ้น เขาจึงรีบตรงไปซื้อสมุดบันทึกและเริ่มบันทึกเรื่องราวที่พบในแต่ละวัน

จากนั้นภาพยนตร์ได้ทยอยหยิบยกประสบการณ์ความเจ็บปวดของเด็กและผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเด็กมาบดขยี้ชนิดที่ตัวผมเองถึงกับนอนไม่หลับในคืนนั้น โดยเฉพาะภาพซ้ำๆ ที่ฉายให้เห็นว่าเด็กชายพยายามทำแบบฝึกหัดจนไม่ยอมกินข้าว และอ่านหนังสือเรียนคนเดียวจนดึกดื่น แต่พอเขาสอบตก พ่อกลับไม่เห็นคุณค่าในความพยายาม ทั้งยังด่าทอและตีเขาไม่ยั้งราวกับคนขาดสติจนเนื้อตัวเด็กชายเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลที่ค่อยๆ ส่งผลกระทบไปยังหัวใจอันเปราะบาง

สิ่งที่ผมสงสารเด็กชายคนนี้มากๆ คือการที่เขาถูกพ่อกรอกหูบ่อยๆ ว่า “แกมันก็แค่เศษขยะ” เพราะสำหรับเด็กคนหนึ่งไม่มีคำพูดไหนที่น่าเชื่อถือไปมากกว่าคำพูดของพ่อแม่อีกแล้ว

นอกจากนี้แม่ของเขาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกลับไม่เพียงไม่ปกป้อง แต่ยังแสดงท่าทีผิดหวังในตัวเขาเต็มทนผ่านสีหน้าสุดเอือมระอาและคำพูดที่ว่า “แกมันดีแต่ขยันก่อเรื่อง” ส่วนน้องชายก็เหมือนจะดูถูกเขาและไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือเขาเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าทุกคนปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นเด็กไร้ค่า

นอกจากความมานะพยายามเพื่อผลการเรียนที่ดีขึ้น เด็กชายยังมีมุมที่น่าชื่นชม เช่น ตอนที่เขากับน้องชายแอบไปซื้อเกมกดมาเล่น แล้วพ่อตีเขาไม่ยั้ง เขากลับขอรับผิดคนเดียวโดยไม่อ้างถึงน้องชายสักนิด หรือการตั้งเป้าหมายว่าสักวันหนึ่งเขาจะเติบโตเป็นคุณครูที่ใจดี รับฟังเด็ก ไม่ตัดสินเด็ก และทำให้เด็กรู้สึกมีกำลังใจเหมือนกับครูสอนเปียโนของเขาที่ไม่เคยเปรียบเทียบเขากับน้องชาย ทั้งยังให้คุณค่าต่อความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ 

“ผมจะเป็นครูที่ดีในอนาคต แม้ว่านักเรียนจะส่งการบ้านช้า หรือเล่นเปียโนได้แย่มากๆ ผมจะไม่ลงโทษเขา และถามเขาว่า “เธอมีอะไรที่ไม่สบายใจรึเปล่า หรือมีอะไรกวนใจทำให้เธอไม่ได้ทำการบ้าน””

อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กคนหนึ่งเผชิญหน้ากับการด่าทอ การทุบตี และการเพิกเฉยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เขาค่อยๆ สูญเสียความมั่นใจและมองเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลงไปเรื่อยๆ หลายครั้ง Eli จะแอบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกสูง และตะโกนด่าตัวเองว่าเป็น ‘ขยะไร้ค่า’ เขาเริ่มนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และรู้สึกหมดแรงอย่างไม่มีสาเหตุ แต่เมื่อขอให้แม่พาไปพบจิตแพทย์ แม่กลับโมโหและต่อว่าเขาอย่างฉุนเฉียว

“แกไม่ได้เหนื่อยหรอก แกแค่เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ครูของแกบอกว่าแกเป็นคนไม่มีสมาธิกับการเรียน แกบอกฉันว่าเหนื่อยแล้วอยากไปพบจิตแพทย์? ลูก…นั่นไม่ใช่หน้าที่ของจิตแพทย์หรอก จิตแพทย์มีไว้รักษาคนที่มีปัญหาทางจิต และคนที่เป็นบ้าเท่านั้น! แล้วแกล่ะเป็นคนบ้ารึเปล่า?”

เมื่อเรียนซ้ำชั้นและป่วยจนไม่ได้สอบ พ่อที่เอือมระอาเขาเต็มทนจึงเลือกที่จะไม่สนใจ Eli อีกต่อไป ซึ่งผมมองว่าการเพิกเฉยนั้นรุนแรงกว่าการใช้ความรุนแรง แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ Eli ถูกปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว ขณะที่คนอื่นในครอบครัวบินไปพักผ่อนที่อเมริกา

“การที่เกรดไม่ดีไม่ใช่เรื่องแย่ แต่แกมีพรสวรรค์อะไรบ้างไหม? ไม่มีเลยล่ะสิ เอาเป็นว่าตอนนี้แกก็ดูน่ารักดี ชื่อของแกคือ Eli แปลว่าสูงหรือยกระดับ แต่ถ้าฉันรู้แบบนี้ แกควรจะชื่อ Alan (มีค่า) และให้น้องของแกชื่อ Eli แทน

แล้วตอนนี้แกจะเอายังไงต่อ แกอยากจบมาทำงานที่แมคโดนัลด์ หรือ 7-11 ใช่ไหม? หรืออยากจะพึ่งพาพ่อแม่ไปตลอดชีวิต? ฉันไม่ได้คาดหวังให้แกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่แกกำลังจะกลายเป็นคนที่ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

มีหลายวิธีในการเลี้ยงลูก หนึ่งในนั้นคือการลงโทษด้วยการตี ส่วนวิธีอื่นๆ มันไม่ค่อยได้ผล แกต้องผ่านความทุกข์ยากและความอดทนถึงจะประสบความสำเร็จ นี่คือเหตุผลที่ฉันหาเงินได้มากกว่าแม่ของแก ถ้าแกอยากจะเป็นคนไม่มีคุณค่า ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ขอโทษด้วย ฉันเองก็ไม่ใช่นักการศึกษาที่จะสอนอะไรแกได้มากนัก แต่ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ตีแกอีกแล้ว มันเสียเวลาเปล่าๆ” พ่อบอกกับ Eli และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาคุยกับลูกคนโต

หลังจากภาพยนตร์จบ ผมยังคงรู้สึกหดหู่และมูฟออนไม่ได้ เพราะผมเองก็เผชิญกับสิ่งที่ Eli เผชิญเกือบทั้งหมด และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วในใจของผมนั้นบอบช้ำและแหลกสลายแค่ไหน โดยระหว่างนี้ คำถามต่างๆ มากมายก็เกิดขึ้นวนๆ ซ้ำๆ ในหัวของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ค่านิยมที่ยกย่องว่าเด็กดีคือเด็กที่เรียนเก่ง? 

เกรดควรเป็นหลักเกณฑ์เพียงอย่างเดียวที่ใช้ประเมินค่าของเด็กจริงหรือ? 

เมื่อไหร่ความเชื่อผิดๆ ที่ว่ารักลูกให้ตีจะหมดไปเสียที? 

ทำไมพ่อแม่โหดๆ มักสำนึกผิดและคิดได้ว่าความรุนแรงที่กระทำต่อลูกเป็นเรื่องผิดในยามที่ตัวเองใกล้ตาย? ฯลฯ 

ปัจจุบันเด็กไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายเฉลี่ยวันละ 2 คน อีกทั้งเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความรุนแรงจากครอบครัวหรือโรงเรียนแล้วจัดการกับบาดแผลในอดีตไม่ได้ ก็มีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย มีชีวิตต่อไปอย่างแหลกสลาย หรืออาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่นำภาพจำของความรุนแรงมาผลิตซ้ำและส่งต่อความรุนแรงนั้นจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ขนาดใหญ่ที่เน่าเฟะและกัดกินสังคมต่อไปอย่างไม่รู้จบ

Tags:

ความเจ็บปวดการเลี้ยงดูTime Still Turns The Pagesครูภาพยนตร์ครอบครัว

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Ghostlight: การสูญเสียจะตามหลอกหลอนจนกว่าจะถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Michael Apple ในช่วงเวลาที่เราต้องคำถามว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ?
Transformative learning
16 October 2024

Michael Apple ในช่วงเวลาที่เราต้องคำถามว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ?

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Michael Apple นักการศึกษาสายวิพากษ์ เชื่อมั่นว่า การศึกษาสามารถจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ครูและนักการศึกษา มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะสร้างความแตกต่างในชีวิตของเด็กๆ เขาเชื่อว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่สำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตของเด็กไม่ว่าทางใด  
  • การศึกษาเป็นใจกลางสำคัญที่เราจะใช้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เขาไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ที่บอกว่าต้องเปลี่ยนเศรษฐกิจก่อนถึงจะเปลี่ยนการศึกษาและสังคมได้ นั่นก็เพราะว่า แท้จริงการศึกษาไม่ได้อยู่แยกขาด แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม
  • บทบาทครูจึงสำคัญมาก การสอนสามารถช่วยให้นักเรียนเห็นโลกความเป็นจริงที่ต่างออกไปจากเดิมได้ ด้วยการเชื่อมโยงสู่ความเป็นจริงในชีวิตของผู้คนที่กำลังดิ้นรนภายใต้การถูกกดขี่ ขูดรีด และครอบงำ

การศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ?

เป็นทั้งหัวข้อและคำถามสำคัญที่ Michael Apple นักการศึกษาสายวิพากษ์ แนวนีโอมาร์กซิสต์ (neo-Marxist) ได้นำเสนอมุมมองและชวนแลกเปลี่ยนในการบรรยายพิเศษของเขา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2024 ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University) ในหัวข้อ Can education change society? ซึ่งมีฐานความคิดมาจากหนังสือของเขาในชื่อเดียวกันที่ออกมาในช่วงปี 2012 หรือราว 12 ปีที่แล้ว  

หากใครมีโอกาสได้ติดตามงานเขียนสำคัญๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น Official Knowledge Democratic Education in a Conservative Age หรือ Ideology and Curriculum จะเห็นว่าทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นถึงความพยายามวิเคราะห์และวิพากษ์การเมืองของความรู้ในหลักสูตร ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมเอาไว้ มากไปกว่านั้น Apple ยังเสนอให้เราทำความเข้าใจพลังของเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) และอนุรักษ์นิยม (neoconservatism) ที่ส่งผลต่อการศึกษาร่วมสมัยในหลากหลายมิติ จุดยืนและวิธีคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงวิชาการทั้งสังคมวิทยาการศึกษา (sociology of education) หลักสูตรศึกษา (curriculum studies) ไปจนถึงขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม

เมื่อเราตั้งคำถามว่า การศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ? อาจจะฟังดูเป็นคำถามที่ตอบยาก แต่สำหรับ Apple นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราไม่ควรปฏิเสธที่จะถามและตอบมัน ส่วนหนึ่งของคำถามนี้มาจากประสบการณ์ในช่วงหนึ่งที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่สโลวีเนีย ที่ซึ่งผู้คนจำนวนมากหลบหนีลี้ภัยจากการเข่นฆ่าสังหาร และอพยพเข้ามายังสโลวีเนียในช่วงสงครามยูโกสลาเวีย สภาพค่ายผู้ลี้ภัยมีสภาพทรุดโทรม และมีความเป็นอยู่ไม่ดีนัก แต่ก็พอจะเป็นบ้านหลังเดียวที่พวกเขาได้พักพิง หลังจากเข้าอยู่ในค่ายได้ไม่นานเหล่าผู้ลี้ภัยต้องรีบจัดการแจกจ่ายอาหารและสร้างโรงเรียนขึ้นมาเพื่อลูกหลานของพวกเขาเอง ณ จุดนี้ที่ Apple เริ่มตระหนักได้ว่า สังคมที่เคารพซึ่งกันและกันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีการศึกษาเป็นส่วนช่วยหนุนนำ

คำตอบของ Apple สำหรับคำถามข้างต้น เขาเชื่อมั่นว่า การศึกษาสามารถจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และพวกเราในฐานะครูและนักการศึกษา มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะสร้างความแตกต่าง (make a difference) ในชีวิตของเด็กๆ เขาเชื่อว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่สำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตของเด็กไม่ว่าทางใด  

ดังนั้น การสอนจึงไม่ใช่สิ่งกระทำได้โดยง่ายเพียงเดินตามหลักสูตรที่ถูกวางไว้โดยไร้ซึ่งคำถามใดๆ แต่เราจำเป็นต้องคิดให้หนักและถี่ถ้วนถึงอำนาจของการศึกษาที่จะส่งผลต่อตัวเด็กและสังคมไปพร้อมกันด้วย

เขาเสนอว่าเมื่อเราต้องคิดพิจารณาถึงการศึกษา มีสองสิ่งเป็นอย่างน้อยที่ต้องทำควบคู่กันไป อย่างแรก คือ ‘การวิเคราะห์ความสัมพันธ์’ (relational analysis) เราจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องของคนคนนั้นแบบปัจเจกเพียงลำพัง แต่ล้วนเกาะเกี่ยวสัมพันธ์กับส่วนต่างๆ ในสังคมที่ส่งผลต่อคนคนหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น ในอเมริกา การที่เด็กได้เรียนอยู่ในโรงเรียนที่แตกต่างกัน ระหว่าง charter/private school และ public school เราควรต้องตั้งคำถามว่าความแตกต่างนี้มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และที่สำคัญคือมันทำงานและส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคมในมิติชนชั้น เพศ และเชื้อชาติ อย่างไร   

อย่างที่สอง ‘การเปลี่ยนตำแหน่งในการมอง’ (repositioning) Apple เปรียบเปรยข้อนี้ง่ายๆ เหมือนกับการที่เราสวมแว่นตาแต่ละแบบ ย่อมทำให้เรามองเห็นโลกที่ต่างกัน เขาวิพากษ์ว่าบ่อยครั้งเรามักจะสวมแว่นของกลุ่มผู้ที่ครอบงำ (dominant group) จนกลายเป็นการผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียมทางสังคมเอาไว้ ซึ่งนั่นคือความผิดพลาด Apple จึงเสนอให้เราเปลี่ยนตำแหน่งในการมอง ด้วยการสวมแว่นเชิงวิพากษ์ลงไป ด้วยการตั้งคำถามถึงการเมืองของความรู้ในหลักสูตร เช่น ความรู้ที่ปรากฏในหลักสูตรเป็นของคนกลุ่มไหน ทำไมมันจึงกลายเป็น ‘ความรู้ทางการ’ (official knowledge) ขึ้นมาได้ มันถูกสอนอย่างไร ใครได้ประโยชน์จากความรู้ที่ถูกทำให้เป็นทางการ และสุดท้ายคือเราจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร การเปลี่ยนตำแหน่งในการมองสำหรับ Apple จึงเป็นไปเพื่อวิพากษ์และตอบโต้ความหมายที่ถูกครอบงำด้วย 

ด้วยกรอบการมองเช่นนี้ ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘การศึกษาคือเวทีทางการเมือง’ ที่ไม่ได้มีความเป็นกลางแต่อย่างใด ดังที่ Apple ได้ชี้ให้เห็นผ่านงานของเขาว่า ในช่วงเวลานี้การศึกษาตกอยู่ภายใต้อำนาจนำ (hegemony) ของเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) อนุรักษ์นิยม (neoconservatism) ประชานิยมอำนาจนิยม (authoritarian populism) และลัทธิการจัดการแบบใหม่ (New Managerialism) ดังที่เราสามารถมองเห็นและตรวจสอบมันได้ผ่าน หลักสูตร การสอน การสอบทดสอบต่างๆ รวมถึงระเบียบกฎเกณฑ์ที่กำกับโรงเรียนและการทำงานของครูอยู่

โดยเฉพาะวาระของลัทธิเสรีนิยมใหม่ในระบบทุนนิยมที่ Apple เน้นย้ำเป็นพิเศษ เนื่องจากมันได้ทำให้ทุกภาคส่วนของสังคมรวมถึงการศึกษาตกอยู่ภายใต้ตรรกะของตลาด ที่ซึ่งทุกอย่างสามารถแปรรูปเป็นสินค้าและการแข่งขันกันได้ โดยมีฐานคิดที่ว่าเมื่อโรงเรียนแข่งขันกันย่อมกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค เหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงโรงเรียนที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมา ไม่แปลกที่เราจะเห็นภาพของตลาดการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนทางเลือก โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชน ฯลฯ เกิดขึ้นมาในระยะหลังจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมาพร้อมกับช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ไม่ถ่างกว้างขึ้น และเด็กจำนวนมากก็ยังคงถูกทิ้งให้อยู่กับโรงเรียนรัฐที่มีทรัพยากรอันน้อยนิด Apple วิจารณ์ตรรกะของเสรีนิยมใหม่ที่เหมือนจะอวดอ้างว่านำมาซึ่งความยุติธรรมในสังคม แต่จริงแล้วกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสรีนิยมใหม่ในการศึกษาไทยได้ที่ มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’)   

ดังนั้น เพื่อที่จะท้าทายพลังอำนาจที่ครอบงำสังคมอยู่ เราจึงไม่อาจที่ยืนดูอยู่บนระเบียง เป็นผู้ชมที่แสนดี และไม่กระทำการเปลี่ยนแปลงได้ Apple เห็นด้วยกับ Antonio Gramsci นักทฤษฎีการเมืองฝ่ายซ้าย ที่เสนอว่า เราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางความคิด (war of position) ด้วยการสร้างเรื่องเล่าทางเลือกขึ้นมา (alternative narratives) ให้เห็นว่าเรามีสังคมที่ต่างออกไปได้ ไม่ใช่การยอมรับคำตอบที่ชนชั้นนำที่ครอบงำเราอยู่มอบให้ ด้วยเหตุนี้ Apple ได้จัดวางการศึกษาเป็นใจกลางสำคัญที่เราจะใช้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เขาไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ที่บอกว่าต้องเปลี่ยนเศรษฐกิจก่อนถึงจะเปลี่ยนการศึกษาและสังคมได้ นั่นก็เพราะว่า แท้จริงการศึกษาไม่ได้อยู่แยกขาด แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม มันเป็นสถาบันหนึ่งเช่นเดียวกันสถานบันอื่นๆ มีความสัมพันธ์ทางสังคมเกิดขึ้นระหว่างคนกลุ่มต่างๆ มีกลไกลทางวัฒนธรรมในการกำหนดว่าอะไรคือ ‘ความรู้ที่ถูกต้อง’ ในสังคม ที่ผู้คนจำเป็นต้องรู้ ผลิตซ้ำอย่างเป็นระบบจนเกิดเป็นสามัญสำนึก (common sense) ขึ้นมาว่าเราควรมองเห็นโลกใบนี้อย่างไร และทำให้คนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากมัน 

ในสายตาของ Apple บทบาทครูจึงสำคัญมาก การสอนสามารถช่วยให้นักเรียนเห็นโลกความเป็นจริงที่ต่างออกไปจากเดิมได้ ด้วยการเชื่อมโยงสู่ความเป็นจริงในชีวิตของผู้คนที่กำลังดิ้นรนภายใต้การถูกกดขี่ ขูดรีด และครอบงำ ไม่เพียงเท่านั้น ครูและนักการศึกษา จำเป็นต้องร่วมกันการสร้างพันธมิตรและการเคลื่อนไหวในการลงมือกระทำการเพื่อหยุดอำนาจนำที่ครอบงำสังคมอย่างที่เป็นอยู่  

Tags:

การศึกษาสังคมวิทยาการศึกษา (Sociology of Education)Michael Apple

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    Border pedagogy การศึกษาที่ชายขอบเป็นศูนย์กลาง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ‘เปิดเทอมที่ไม่ได้เรียนต่อ’ ทางออกอยู่ที่ไหน เมื่อเด็กตกอยู่ในการวนซ้ำของการหลุดจากระบบการศึกษา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Learning Theory
    ทุนที่สังคมต้องร่วมกันสร้าง หากอยากได้การศึกษาที่เป็นธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    The Boy Who Harnessed the Wind เมื่อ ‘หนังสือเล่มหนึ่ง’ นำไปสู่ชัยชนะของเด็กชายต่อสายลม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)
Creative learning
15 October 2024

‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • “เด็กเล็กๆ จริตของเขา เขาชอบเล่น อยากรู้ อยากลอง เด็กวัยนี้มีพลังมาก …เขากำลังเรียนรู้โลกผ่านเซนส์ทั้งหมด ไม่ว่าจะภาษา ท่าทางหรือจะสัมผัส กอดแบบนี้ จับแบบนี้ มันหมายความว่ายังไง นี่คือการอ่าน จริงๆ แล้วเด็กอ่านโลก แต่เราไปบังคับให้เขาอ่านตัวหนังสือ เพื่อจะไปอ่านโลกอีกที จริงๆ เซนส์การอ่านโลกมาก่อน”
  • คุยกับ ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง ถึงเรื่องการจัดการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัย ผ่านกระบวนการเล่น ดนตรี และศิลปะ ที่เชื่อมโยงไปสู่ทักษะด้านภาษา การอ่านออกเขียนได้อย่างแตกฉานในวัยที่โตขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทักษะที่เด็กไทยขาด
  • ‘นิทาน’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ครูก้ามองว่าความสำคัญและได้ผลดีในการสร้างการเรียนรู้ในเด็กวัยนี้ โดยเน้นให้เด็กได้อ่านแล้วเชื่อมโยงกับตัวเอง สร้างแรงบันดาลใจในการอยากเขียน พร้อมกับมีคำถามปลายเปิดแทรกเข้าไปด้วย

“ต้องทำให้เด็กรักที่จะอ่านก่อนที่จะอ่านได้ รักที่จะเขียนก่อนที่จะเขียนได้” 

คำพูดของหม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ปรมาจารย์ด้านปฐมวัยของประเทศไทย ที่ ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และคุณครูผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) ยึดมั่นเป็นฐานในการสร้างรากที่แข็งแรงด้านการอ่าน เขียนของเด็กไทย 

“หลักของเรื่องการอ่านการเขียน จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่อ่านเขียนแต่กับทุกเรื่อง ให้เด็กเขารักที่จะอ่านก่อนที่จะอ่านได้ รักที่จะเขียนก่อนที่จะเขียนได้ นั่นหมายความว่าให้เขาอ่านด้วยตัวเองแล้วเขาก็รู้สึกว่าเขาอ่านได้ แล้วมันสนุกที่จะอ่าน”

ในบทความนี้ The Potential ชวน ‘ครูก้า’ พูดคุยถึงเรื่องการจัดการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัย ผ่านกระบวนการเล่น ดนตรี และศิลปะ ที่เชื่อมโยงไปสู่ทักษะด้านภาษา การอ่านออกเขียนได้อย่างแตกฉานในวัยที่โตขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทักษะที่เด็กไทยขาด 

หลักคิดการจัดการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัย ต้องสอดคล้องกับธรรมชาติและพัฒนาการเด็ก 

ในการจัดการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ครูก้าเล่าว่า ต้องเริ่มต้นจาก ‘การรู้เป้าหมาย’ เสียก่อน ว่าเราในฐานะครูจะใช้เวลาแห่งการเติบโตของเด็กๆ อย่างไรให้มีคุณค่าและมีความหมายกับชีวิตของเด็กคนหนึ่งมากที่สุด ที่สำคัญในการออกแบบการเรียนรู้นั้นต้องสอดคล้องกับธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กด้วย

“เราไม่ได้มีเป้าหมายว่าเอาแค่อ่านออกเขียนได้ หรือเข้าป.1 ที่ไหนได้ ซึ่งมันเป็นการใช้เวลาแห่งการเติบโตที่น่าเสียดายมากถ้าเราโฟกัสแค่ส่วนนี้

เพราะว่าเด็กโตขึ้นไปแล้วจะเป็นคนยังไงก็วัยนี้ ช่วงวัยนี้จึงเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต เป็นช่วงรากฐานเลย ถ้าทางสมองก็คือ EF จะเจริญงอกงามเติบโตได้ดีที่สุด ประมาณ 0-8 ปี นั่นหมายความว่า เกิดมาก็มีเป็นแสนล้านเซลล์แล้ว แต่แสนล้านเซลล์มันจะงอกงามไหม มันจะแข็งแรงไหม หรือมันจะฝ่อไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เด็กจะได้รับ” 

ครูก้าเล่าต่อว่า ที่โรงเรียนจิตตเมตต์มองว่า “เราต้องรับผิดชอบต่อการเติบโตของเด็ก ว่าเติบโตไปแล้วเขามีรากฐานที่แข็งแรงไหม ถ้าฐานแข็งแรงแล้วจะต่อยอดยังไงก็ได้ ฉะนั้นการออกแบบจึงต้องสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กด้วย ไม่ว่าจะธรรมชาติของสมอง ธรรมชาติของการเติบโต และวิถีแห่งการเรียนรู้อันเป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งเราก็อาจจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่าการเรียนรู้สำหรับเด็กวัยนี้ก็คือ ‘การเล่น’ เราเรียกว่าการเล่น แต่จริงๆ แล้วคือวิถีแห่งการเรียนรู้ของเด็ก” 

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการสร้างฐานรากที่แข็งแรงให้กับเด็กคนหนึ่ง ครูก้าอธิบายว่า ปัจจัยสำคัญมี 3 ด้านด้วยกันคือ Self (พัฒนาการตัวตน), ทักษะสมอง EF (Executive Functions) และพัฒนาการ 4 ด้าน  

“มันเริ่มตั้งแต่เซลฟ์ของเด็กที่จะก่อตัวขึ้นมาว่า เอ๊ะ…เขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นพัฒนาการด้านตัวตนสำคัญมาก ถ้าตัวตนเขาแข็งแรง เขารู้ว่าเขามีตัวตน มีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าโลกใบนี้มันปลอดภัยพอที่เขาจะเอาสิ่งที่มีติดตัวมาออกมาใช้ได้ ถ้าเขากลัว ไม่มั่นใจ รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย เขาก็จะไม่ใช้ พอไม่ใช้เซลล์สมองส่วนหน้าไม่ได้ถูกใช้ไปด้วย ทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าถาม ไม่กล้าทำ 

นั่นหมายความว่ากระบวนการคิด ทักษะในการทำงาน การแก้ปัญหา เขาไม่เคยใช้เลยมันก็จะค่อยๆ ฝ่อไป ซึ่งในกระบวนการทางระบบประสาทวิทยาเขาเรียกว่ากระบวนการ pruning ก็คือตัดแต่งกิ่ง กิ่งก้านสาขาของเซลล์ไหนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ตัดทิ้งไป ถามว่ามันจะใช้ยังไง ก็มีประสบการณ์บางอย่างเข้ามากระตุ้นมาออกกำลังคล้ายๆ กล้ามเนื้อของมนุษย์นั่นแหละถ้าได้ออกกำลังบ่อยๆ มันก็แข็งแรง เพราะฉะนั้นวัยเด็กรากฐานที่สำคัญแรกเซลฟ์ต้องแข็งแรง”

“อันที่สองต้องให้ทักษะสมอง EF เขามีโอกาสได้ใช้ แล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างหลากหลายกันไป ฉะนั้นถ้าเซลฟ์เขาดีเขาก็จะเอาความเป็นตัวตนเขาออกมาใช้งานในรูปแบบของเขา เช่นการทำงานศิลปะ งานทุกชิ้นทำไปด้วยกันด้วยเงื่อนไขเดียวกันแต่ออกมาไม่เหมือนกัน เพราะว่าเขากล้าที่จะเป็นตัวเอง เขาคิดอะไรเขาถ่ายทอดสื่อสารได้ออกมาเป็นงานศิลปะ” 

“นอกจากนี้ยังมีเรื่องของพัฒนาการ 4 ด้าน จริงๆ มันก็คือพัฒนาการโดยทั่วไปที่เรียกว่าพัฒนาการ 4 ด้าน มันจะถูกออกมาใช้เอง แต่ว่าเจ้าตัวสั่งการคือสมอง อย่างเช่นเขาจะวิ่งจะกระโดด เขาจะกะระยะแล้วกระโดด มันคือการใช้กายผสานกับใจแล้วตัวที่จะประเมินผลหรือสั่งการคือสมอง 

มนุษย์ต้องมองแบบองค์รวม อย่าไปมองเป้าหมายเป็นหย่อมๆ ตามความกังวลเป็นกระแสเป็นระยะๆ อย่างเช่น กังวลว่าเด็กจะอ่านไม่ออก กังวลว่าเด็กจะเขียนไม่ได้ กังวลว่าภาษาอังกฤษจะไม่ได้ พวกนี้จริงๆ แล้วถ้าใจพร้อมสมองพร้อมทำได้ทุกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้เกิดความพิการทางกายภาพ ไม่ว่าจะพิการทางสมอง พิการทางร่างกาย พิการทางร่างกายยังไม่ค่อยมีอุปสรรคถ้าคนใจสู้ เราจะเห็นว่าคนที่พิการหลายคนกลับลุกขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนไม่พิการด้วยซ้ำ เพราะสมองและหัวใจเขาแข็งแรงพอ”

ให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ เคลื่อนไหวไปกับเสียงดนตรี และขีดเขียนสิ่งที่คิดผ่านศิลปะ 

สำหรับกระบวนการเรียนรู้ที่ครูก้านำมาใช้กับเด็กๆ คือ การเล่น ดนตรี และศิลปะ อย่างสมวัย

“เด็กเล็กๆ จริตของเขา เขาชอบเล่น อยากรู้ อยากลอง เด็กวัยนี้มีพลังมาก เด็กเล็กๆ ที่เขายังไม่ได้เข้าโรงเรียน ยังพูดไม่ได้เลย แค่กำลังคลาน เขาก็กำลังเรียนรู้นะ เขาเรียนรู้หมดเลยเห็นหน้าแม่แบบนี้ วันนี้อ้อนไม่สำเร็จดูสีหน้าก็รู้ ไปหาพ่อหน้าพ่อมาแบบนี้ไปหายายดีกว่า เด็กเขากำลังเรียนรู้โลกผ่านเซนส์ทั้งหมด ไม่ว่าจะภาษา ท่าทางหรือจะสัมผัส กอดแบบนี้ จับแบบนี้ มันหมายความว่ายังไง นี่คือการอ่าน 

จริงๆ แล้วเด็กอ่านโลก แต่เราไปบังคับให้เขาอ่านตัวหนังสือ เพื่อจะไปอ่านโลกอีกที จริงๆ เซนส์การอ่านโลกมาก่อน” 

ครูก้ามองว่า ‘การเล่นอย่างอิสระ’ ของเด็กก็คือการที่ให้โอกาสเด็กได้สร้างโจทย์ให้ตัวเอง เป็นเจ้าของโปรเจกต์ตั้งแต่เล็กๆ 

“นึกถึงเราตอนเด็กๆ ออกไหม ถ้าวันเสาร์อาทิตย์แล้วไม่ต้องไปเรียนพิเศษเราจะตื่นเช้าเลย วันนี้จะเล่นอะไร จะทำอะไร จะเอาอะไรมาสมมติเป็นอะไร เราจะชวนใครมาเล่น วันนั้นเราเป็นเจ้าของโปรเจกต์ แต่ถ้าสมมติว่าตื่นเช้ามาแม่บอกวันนี้ไปเรียนบัลเล่ต์ เสร็จแล้วแม่พาไปกินข้าว แล้วเดี๋ยวไปต่อด้วยเรียนเปียโน นี่แม่ไม่ได้ให้เขาเรียนอะไรเคร่งเครียดเลยนะ แต่แม่กำลังแย่งโอกาสความสามารถในการบริหารจัดการตัวเองของเด็กไป เพราะเขาไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องคิดแค่ทำตาม พอโตขึ้นก็ไม่แปลกใจ ทำไมโตขึ้นแล้วแกไม่คิดอะไรเองบ้าง ก็ตอนเด็กๆ ไม่เคยได้คิด ไม่เคยได้ตัดสินใจ ไม่มีโอกาสได้เลือก เพราะฉะนั้นการเล่น ได้ทั้งโอกาสการเลือก การคิด การตัดสินใจ การแก้ปัญหา เรื่องการเล่นจึงสำคัญ”

ในส่วนของ ‘ดนตรี’ ในช่วงปฐมวัย ครูก้าบอกว่า ไม่ใช่การเรียนดนตรีที่ฝึกให้เด็กเป็นนักดนตรี แต่เป็นการใช้เสียงดนตรีในการเคลื่อนไหวและควบคุมร่างกายของตัวเอง ซึ่งมองว่ามันคือธรรมชาติของเด็ก 

“ที่นี่ใช้ดนตรีตามแนวคิดออร์ฟ แล้วครูก้าก็เป็นนายกสมาคมไทย ออร์ฟ ชูลแวร์ค (Thai ORFF Schulwerk Association) ด้วย ซึ่งเป็นการใช้ดนตรีเพื่อพัฒนามนุษย์ เรามองว่าเด็กเล็กๆ ยังพูดไม่ได้ ยังยืนด้วยตัวเองไม่ได้เราจับเขาไว้ พอเสียงเพลงมาเราจะเห็นการขยับตัว นี่คือธรรมชาติที่เขาตอบสนองผ่านเซนส์ที่เขาได้ยินเสียง มันเกิดการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะที่สอดคล้องกับดนตรี นี่คือความชอบอันเป็นธรรมชาติของเด็กอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่ชอบเสียงดนตรี เพียงแต่ว่าจะชอบแนวไหนก็ว่ากันอีกที มันคือภาษาที่กำลังสื่อสารกัน” 

“เราไม่ได้เรียนดนตรีแบบต้องเล่นอย่างนี้ๆ หรือต้องเต้นแบบนี้ๆ แต่เราเอามาเป็นโอกาสให้เขาดีไซน์ท่าของเขาเอง แต่ขณะเดียวกันเขาควบคุมตัวเองได้ด้วย เช่น เพลงหยุดปั๊บ หยุดนิ่งเลยนะ ฟรีซเลยนะ นี่ก็คือฝึกให้เด็กควบคุมตัวเอง ยับยั้งตัวเองให้ได้ ก็เข้าไปตอบสนองตัว EF ตัวนึงละ คือความสามารถในการหยุดยั้งคิดไตร่ตรองให้ดี แล้วท่าของเขาไม่มีผิดมีถูก แล้วคนยอมรับด้วย เซลฟ์เขาจะเติมเต็ม มีความมั่นใจ ซึ่งบางครั้งเราก็ผลัดให้เป็นผู้นำผู้ตาม เขาได้เป็นผู้นำบ้าง แล้วเพื่อนก็เต้นตามเขา แล้วพอเพื่อนนำเขาก็ยืดหยุ่นนะที่จะไม่ยึดตัวเองเป็นหลัก นี่ก็ EF อีก เพราะฉะนั้นกิจกรรมดนตรีและการเคลื่อนไหวแบบนี้มันเข้าไปเสริมทั้งเซลฟ์ ทั้ง EF”

มาที่ ‘ศิลปะ’ เช่นเดียวกันคือภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ครูก้าบอกว่า ที่นี่เรื่องการอ่านการเขียน เด็กๆ จะเขียนอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเขียนเพื่อบอกเล่าความรู้สึก เขียนเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่คิด โดยใช้กระบวนการศิลปะเป็นตัวนำทาง

“เราจะให้คำถามปลายเปิด สมมติว่าเด็กๆ มีความสุขที่จะทำอะไรบ้าง เด็กอาจจะตอบด้วยคำพูดก็ได้ หรือบางทีถ้าให้เขาไตร่ตรองอยู่กับตัวเขา เขานั่งวาดรูป เขาอาจจะวาดรูปไม่เหมือนเลย อย่างน้องเล็กอ.1 เขาวาดเป็นแค่วงๆ เส้นๆ แต่เขาเล่าได้ว่าเจ้าวงอันใหญ่เนี่ยคือพ่อเขา วงอันเล็กแล้วมีขาลงมานิดนึงอันนี้คุณแม่ แล้วตัวอันเล็กๆ อันนี้ตัวเขา เขามีความสุขที่อยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ เขาก็เล่าได้ เขาสามารถถ่ายทอดสื่อสารออกมาผ่านการเขียนที่ถนัดที่สุดคือวาดรูป เดี๋ยวพอมือเขาแข็งแรงขึ้นมากๆ แล้วพอเขาพร้อม เดี๋ยวเขาอยากจะเขียนตัวหนังสือเอง 

ที่นี่เราไม่เคยให้คัดตามรอยเส้นประ ไม่เคยสอนสะกดคำ แต่สิ่งแรกที่เขารู้จักความหมายคือชื่อเขาเอง พวกล็อกเกอร์ ที่วางรองเท้า เราติดชื่อเขาไปเลย ไม่ต้องติดรูปสัญลักษณ์อะไร เขาก็จะรู้ว่านี่คือชื่อเขามันมีความหมาย เขาวางรองเท้าถูกที่ เอาของเก็บล็อกเกอร์ถูกที่ อย่างงานศิลปะเขาก็จะเซ็นชื่อตัวเองลงไปด้วย อ่านออกอ่านไม่ออกไม่เป็นไร แต่เขากำลังพยายามเขียนชื่อตัวเองอยู่ นี่คือการเขียนที่มีความสุข แต่ถ้าคัดตามรอยเส้นประมันคือการเขียนที่ผ่านความเครียด เราจะเลือกอะไร ให้เขาเขียนผ่านความสุข หรือเขียนผ่านความเครียด ถ้าเริ่มต้นแบบนี้เด็กจะรักการเขียน”

ฝึกอ่านฝึกเขียน และเล่าเรื่องราวผ่านหนังสือนิทาน

อีกสิ่งหนึ่งที่ครูก้ามองว่าความสำคัญและได้ผลดีในการสร้างการเรียนรู้ในเด็กวัยนี้คือ ‘นิทาน’ โดยเน้นให้เด็กได้อ่านแล้วเชื่อมโยงกับตัวเอง พร้อมกับมีคำถามปลายเปิดแทรกเข้าไปด้วย  

“นิทานสำคัญมาก ครูอนุบาลจะใช้กับเด็กอยู่แล้ว แต่เราต้องรู้จักวิธีใช้ สิ่งแรกคือต้องเข้าใจ ภาษาอังกฤษเรียกนิทานว่า Picture Book เพราะเด็กอ่านภาพ เราเข้าใจว่าการอ่านคืออ่านตัวหนังสือ ตรงนั้นก็คืออ่านว่าใครเขียนมาให้เราเพื่อจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ซึ่งถามว่ามีความหมายไหม มีความหมายต่อตอนโตขึ้นไป เอาไว้เรียนรู้ค้นคว้าหาข้อมูล  

แต่การอ่านที่มีความหมายของเขาในวัยนี้คือ เขากำลังอ่านแล้วคาดเดาความน่าจะเป็น อ่านแล้วเชื่อมโยงกับตัวเอง 

แล้วเวลาเล่านิทานบางทีเราก็จะมีคำถามปลายเปิดกันอยู่เรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น นิทานเรื่อง ‘ฉันมีความสุข’ หรือ ‘ฉันรู้สึกโกรธ’ อ่านไปแล้ว เอ…เด็กๆ เคยโกรธไหม เพราะเรื่องพวกนี้คือธรรมชาติมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา การมีความสุขก็เป็นธรรมดา การมีความเศร้าก็ธรรมดา ฉะนั้นเราให้เขาเจอความจริงแล้วเราก็เปิดคำถาม 

เด็กๆ เคยโกรธไหมลูก ครูก็เคย อ้าวแล้วเด็กๆ โกรธเพราะอะไรบ้าง เขาก็จะรู้ว่า อ๋อ…แบบนี้เรียกอารมณ์โกรธ มีที่มาของความโกรธ แล้วใครมีวิธีที่ทำให้หายโกรธยังไง ถ้าเราถามแบบนี้เด็กก็จะได้คลังของวิธีเหมือนซ้อมหนีไฟ ความโกรธมันเหมือนไฟนะ เพื่อนมีวิธีนี้ เรามีวิธีนั้น คนนั้นมีวิธีนั้น มีวิธีเลือกให้จัดการกับอารมณ์โกรธตั้งเยอะแยะ” 

“เราต้องให้เด็กได้มีโอกาสอ่าน อ่านด้วยตัวเองด้วย ที่นี่เด็กๆ บางคนตัวเล็กๆ เนี่ย นั่งเปิดอ่านสารานุกรมเฉยเลย ก็เห็นรูปแล้วก็อยากรู้ แล้วนั่งคิดของเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเขาอยากรู้เขาจะมาหาครูเอง ครูอ่านให้หน่อยอันนี้มันอะไร เขาก็จะรู้ วันนึงเขาก็อยากอ่านเป็น นี่คือการทำให้เด็กอยากอ่าน” 

สำหรับตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างทักษะพื้นฐานอย่างการอ่าน การเขียนนั้น ครูก้ายกตัวอย่างกิจกรรมของพี่ๆ อ.3 ที่คุณครูพาทำกิจกรรมจากหนังสือนิทานเรื่อง ‘What’s inside มีอะไรอยู่ข้างใน’

“คุณครูก็ปล่อยโจทย์ว่า ถ้าเด็กๆ มีกระเป๋าสักใบ จะรูปร่างหน้าตายังไง แล้วเด็กๆ คิดว่าจะเอาอะไรใส่ในกระเป๋าบ้าง เขาก็คิดกันใหญ่เลย เดินทางไปต่างประเทศ ไปเดินป่า ไปสวนน้ำ เหตุผลในการเขียนเกิดจากการที่อยากบอกว่า ฉันเอามาใส่ในกระเป๋าเพื่ออะไร เช่น คนนี้จะไปต่างประเทศ เขารู้ด้วยว่าต้องมีพาสปอร์ต เขาก็วาดพาสปอร์ต เสร็จแล้วเขาก็บอกครูว่าเขาอยากเขียนคำว่าพาสปอร์ต ครูก็ถามว่าอยากเขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เราไม่ได้จำกัด ครูก็เขียนให้เขาดู แล้วเขาก็เขียนตาม นี่คือการเขียนในสิ่งที่มีความหมายกับเขา ที่เขาอยากบอก อยากสื่อสาร 

กิจกรรมนี้ 45 นาที แล้วถ้าเด็กทำไม่เสร็จ ฟังนิทาน ดีไซน์กระเป๋าคิดว่าของอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง แล้วก็มานั่งเขียน แล้วอยากวาดรูปเยอะมาก อยากเอาของไปเยอะๆ พอคุณครูบอกว่าเดี๋ยวเวลาจะหมดแล้ว เขานัดครูเลย บอกเดี๋ยวตอนเย็นเขามาเขียนได้ไหม นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็น เด็กกระตือรือร้นตามงานเอง”

ในการเขียนสำหรับวัยนี้ครูก้าจะเน้นให้เด็กเขียนในสิ่งที่อยากเขียน และเข้าใจในความหมายของคำๆ นั้น โดยไม่จำเป็นต้องมาเริ่มจากการนั่งท่องพยัญชนะให้ครบทั้ง 44 ตัว สระและวรรณยุกต์ 

“จริงๆ จะบอกก็ได้ แต่ว่าอย่าไปให้เด็กรู้สึกว่า โห…เขาอยากเขียนแล้วมันสะดุด ต้องมารู้จักก่อนนะ ว่านี่คือ ก.ไก่ นะลูก แล้วนี่คือไม้หันอากาศนะ อันนี้ น.หนู นะ เคยเจอเวลาทำเวิร์กชอป ครูคะทำไมลูกประหลาดหรือเปล่า ใครบอกว่าเด็กชอบอ่านนิทาน แต่เขาไม่ชอบฟังนิทานเลยค่ะ ก็เลยถามว่าคุณแม่เล่ายังไง ก็เล่าไปชี้ไปสะกดไป นึกออกไหมอรรถรสมันหายไปหมดแล้ว มันไม่เห็นสนุกเลย เด็กไม่ได้อยากรู้ว่านี่คือตัวอะไร แต่เขาอยากรู้ว่ารูปเป็นยังไง ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าธรรมชาติของเขา อะไรจะดึงดูดให้เขามีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือ กับการอยากหยิบเพิ่มเติม จากไปร้านหนังสือแล้วได้เลือก เขาอยากรู้จริงๆ เรื่องนี้ข้างในเป็นไง แล้วก็ชอบอยากไปอ่านซ้ำอีก”   

“ที่นี่เด็กแค่อ.1 อ่านชื่อเพื่อนได้ทั้งห้องแล้ว คือลักษณะการอ่านเราเข้าใจว่าต้องจากจุดเล็กๆ ต้องรู้จัก ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ถึงจะเอาไปผสมคำได้ โอ้โห…กว่าจะถึง อย่างคำว่า ‘แม่’ เนี่ย เขียนเหมือนกันนะ ทั้งอ่านทั้งเขียน อย่างเช่นวันที่เขาอยากทำการ์ดให้แม่ จะเขียนคำว่าแม่สักคำ ถ้าเป็นการสอนแบบ หลักสูตรปกติของเรา ยังลูก มาเขียน ก.ไก่ เขียนพยัญชนะก่อน ข.ไข่ กว่าจะถึงวันนั้นได้ ม.ม้า มาตัวเดียว ม.ม้า แล้วยังไม่ได้นะ หนูต้องไปให้ถึง ฮ.นกฮูก ก่อน แล้วถึงขึ้นสระอะ อา อึ อือ เอะ เอ แล้วก็ต้องไปวรรณยุกต์อีก เด็กหมดอารมณ์แล้ว ไม่อยากเขียน 

แต่ถ้าเขาอยากเขียนว่า ‘รักแม่’ เขียนเลยลูก ครูเขียนให้ดู เขาจำคำนั้นได้เลย เราต้องเชื่อว่าเด็กเป็นนักเรียนรู้ เขาจะพยายามถอดรหัส อย่างบางคนชื่อคล้ายๆ กัน อุ๊ย! คล้ายกันเลย ส่วนมากเขาก็จะรู้ตัวอักษรที่เป็นชื่อของเขา” 

“เด็กๆ อยากเขียนก็เอาพู่กันมาจุ่มน้ำแล้วเขียนถนนก็ได้ เขียนอะไรก็ได้ นี่คือในที่สุดเขารู้ทิศทางของเส้น การคอนโทรลมือ อ๋อ…มือเนี่ยใช้ความคิดและใช้หัวใจได้ อย่างอยากเขียนหัวใจก็พยายามบังคับจนกระทั่งทำได้บ่อยๆ จนคล่องไม่ต้องมีเส้นประ นี่คือเกิดจากพลังภายในทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นพลังจึงสำคัญแต่เราต้องเชื่อด้วย”

ห้องเรียนคละชั้น จำลองบทบาทการเป็นพี่คนโต พี่คนกลาง น้องคนเล็ก 

ที่โรงเรียนจิตตเมตต์ ในหนึ่งวันเด็กๆ เรียนอะไรบ้าง? ครูก้าอธิบายให้เห็นภาพว่า ตารางกิจกรรมในหนึ่งวันที่เด็กๆ ต้องทำนั้น เริ่มต้นจาก… 

“แค่จะเข้าโรงเรียนเขาจะผ่านฐานเล็กๆ ของ SI ก็คือ Sensory Integration ก็คือบูรณาการแต่ละสัมผัส เล่าแบบย่อว่าคือกระบวนการที่ให้เขาใช้ระบบประสาทสัมผัสหลายๆ อย่างรวมกัน รับรู้ แล้วมันจะส่งข้อมูลไปที่สมอง เพื่อให้จัดระเบียบร่างกาย  เพื่อให้ผ่านตรงนั้นไปได้ พอเข้าไปในบริเวณโรงเรียน ถ้าใครมาเช้าเขาก็จะเข้าไปเก็บข้าวแล้วก็ออกมาเล่นอิสระ พอถึงเวลาเขาได้ยินเสียงเขาจะมายืนตรงกลางลานเขียว มายืนล้อมเป็นวงกลม เราจะไม่ได้ให้เข้าแถว เพราะว่าครูก็นึกไม่ออกว่าเราจะมองคอคนข้างหน้าไปทำไม เช้าๆ เรามาทักทายยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน เพราะว่าเป้าหมายของกิจกรรมยามเช้าเราอยากให้เด็กเบิกบานยามเช้า” 

“จากนั้นเขาก็จะปีนป่าย เดิน เล่น อะไรต่ออะไรไป เพราะพื้นที่ข้างในตั้งใจให้เป็น Sensory Integration โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ก็คือพื้นมีผิวสัมผัสอะไรหลายๆ อย่างให้เขาได้สัมผัส มีการทรงตัว” 

ซึ่งครูก้าบอกว่า กิจวัตรเหล่านี้ต้องมั่นคง หลังจากนั้นก็มาอ่านปฏิทิน เพื่อเป็นการบอกนัยๆ ว่าวันนี้เด็กๆ จะได้ทำกิจกรรมสนุกๆ อะไรบ้าง 

“เราจะมีปฏิทินอันใหญ่ๆ เลย แล้วบอกว่าเช้าวันนี้เดี๋ยวหลังจากที่เราทานอาหารว่างเสร็จแล้ว เราจะไปห้องดนตรีกันนะ ไปห้องดนตรีเสร็จเราก็จะไปเล่นบ่อทรายกัน จากนั้นเราไปล้างมือล้างเท้า รับประทานอาหารกลางวัน”

“จริงๆ คุณครูก็มีวางอยู่แล้วว่าในหนึ่งวันเนี่ยจะต้องมีกิจกรรมอะไร แล้วแต่ครูเขาจะดีไซน์ แต่จะมีเล่นดนตรีอาทิตย์ละหน หมายถึงว่าเข้าห้องดนตรีแล้วเจอครูดนตรีนะ แต่จริงๆ แล้ว ดนตรีและการเคลื่อนไหวในห้องทำทุกวัน ศิลปะก็เหมือนกันอาทิตย์ละครั้งที่เข้าห้องศิลปะแล้วเจอครูศิลปะ แต่ในห้องก็มีมุมศิลปะทำได้ทุกวัน แล้วก็การอ่านนิทานจะมีทั้งช่วงเช้า หรือว่าช่วงก่อนเด็กนอน หรือบางทีพอตื่นจากนอนแล้วเรามารวมตัวกันฟังนิทาน

แต่ว่าที่นี่ก็จะมีครูที่ทำหน้าที่ไปเล่านิทานตามห้องต่างๆ คือทั้งหมดเนี่ยไม่ว่าจะครูดนตรี ครูศิลปะ หรือครูที่ทำหน้าที่เล่านิทาน จะเป็นหัวเชื่อมให้ครูในห้องเรียนรู้ไปด้วย อ๋อ…ศิลปะทำอย่างนี้ได้ เดี๋ยวเอาไปทำซ้ำในห้อง อ๋อ…ดนตรีทำอย่างนี้ได้ นิทานเล่าแบบนี้แล้วสนุก ถามแบบนี้ได้ด้วย เพราะฉะนั้นในหนึ่งอาทิตย์เราก็จะมีกิจกรรมพิเศษแทรกในทุกวัน”  

ห้องเรียนของที่นี่แบ่งเป็นบ้าน 6 หลัง และในแต่ละบ้านประกอบไปด้วยเด็ก 3 วัย ได้แก่ น้องเล็กอ.1 พี่กลางอ.2 และพี่โตอ.3 คละชั้นกัน ซึ่งครูก้ามองว่าข้อดีของห้องเรียนคละชั้้นจะทำให้เด็กได้ฝึกการอยู่ร่วมกันในหลายช่วงวัย ได้เป็นทั้งพี่คนโตของบ้านที่ต้องดูแลน้อง ได้เป็นพี่คนกลางที่ได้รับการดูแลจากพี่และดูแลน้องคนเล็กต่อ 

“เราจะเห็นว่าจุดดีก็คือนอกจากเด็กได้ทดลองอยู่ในบทบาทความเป็นน้อง ความเป็นพี่คนกลาง มีพี่ด้วยที่เป็นแรงบันดาลใจ อยากเป็นเก่งแบบพี่ อยากเป็นคนดูแลน้องด้วย เพราะฉะนั้นคนกลางเนี่ยกลับกลายเป็นเรื่องดี แต่จริงๆ ดีหมด คนพี่เขาก็จะรู้สึกว่าพราวมากเลย ฉันเป็นคนที่ศักยภาพเต็มเหนี่ยวกว่าน้องๆ นะ แถมบ่ายไม่ต้องนอน ได้เล่นเต็มที่ น้องเล็กก็มีแรงบันดาลใจ แล้วยังมีพี่ๆ ดูแล 

ซึ่งตั้งแต่คละอายุมามันพาให้เด็กไปถึงเป้าหมายเหล่านี้ เป้าหมายคือชื่อโรงเรียน อยากให้เป็นเด็กที่มีจิตใจที่เมตตา เห็นความอ่อนโยนมากขึ้น เห็นเมตตามากขึ้น แล้วจริงๆ มนุษย์ทุกคนมี เพียงแต่ว่ามีโอกาส มีประสบการณ์ให้เขาเอาออกมาใช้ไหม” 

สิ่งที่คาดหวังคือ เด็กรู้สึกดีต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น และเห็นคุณค่าของธรรมชาติ 

สำหรับเป้าหมายหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังจากการจัดการการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเล่น ดนตรี และศิลปะ ครูก้ามองว่า สิ่งสำคัญที่อยากให้เด็กๆ ได้รับ อย่างแรกคือ เด็กรู้สึกดีต่อตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง อย่างที่สองเด็กรู้สึกดีกับการอยู่กับผู้อื่น เห็นคุณค่าผู้อื่น เห็นความแตกต่างบนโลกเป็นเรื่องปกติธรรมดา และอย่างที่สามเห็นคุณค่าของธรรมชาติ

หลังจากที่ทำกิจกรรมต่างๆ แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้เด็กมีความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านพัฒนาการและจิตใจ 

“ยกตัวอย่างง่ายมากเลย ถ้ามองออกไปนอกห้องที่สนามหญ้าจะเห็นบาร์เหลืองที่เป็นบันไดโค้งๆ ขนาดแค่เล่นปีนเนี่ย ถ้าเราหวังดี อ่านเพจหมอประเสิรฐบอกว่าเด็กปีนมากแล้ว EF จะแข็งแรง เราก็ไปบังคับเด็ก ปีนเลยลูกๆ ไม่เห็นน่ากลัวเลย ใครๆ เขาก็ปีนได้ นั่นดูสิพี่เขาปีนไปถึงข้างบนแล้ว ปีนเลยไม่ต้องกลัว แต่เขายังไม่เคยปีน เขาต้องดูตาม้าตาเรือก่อน เขาต้องประเมินก่อน ไหวไม่ไหว ฉะนั้นถ้าเราให้เด็กเป็นคนจับจังหวะตัวเองไม่ต้องพูด แค่พาเขามาดู มีแรงบันดาลใจแน่นอน อยากปีนบ้าง ถ้าเขาจะปีนเมื่อไหร่รอให้เขาปีน แล้วไม่ต้องบอกด้วย ‘จับให้แน่น’ เพราะธรรมชาติเขาจะจับแน่น 

มนุษย์เราจริงๆ ฉลาดแต่เด็กแต่เล็กเลย เขาจะประเมินตัวเองได้ว่าไหวไม่ไหว แค่ไหนพอ วันนี้เขาตั้งเป้าไว้ 2 ขั้น แต่เขาจะไม่หยุดแค่ 2 ขั้นตลอดไป ไม่ต้องไปบอกเขาว่าไปตรงกลางเลยลูก ถ้าเราบอกว่าไม่เห็นยากเลยใครๆ ก็ทำได้ปั๊บ แล้วเราเป็นคนประหลาดหรอ เราไม่ใช่คนธรรมดาสิ เพราะเราทำไม่ได้ คนธรรมดาใครๆ ก็ทำได้ แล้วฉันทำไม่ได้ เซลฟ์เสียเลยจริงไหม ก็ใจมันยังสั่น ทักษะมันคือต้องได้สะสม ได้ทำบ่อย แล้วเดี๋ยวเด็กจะท้าทายตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุด” 

เพราะฉะนั้นบทบาทของครู โดยเฉพาะในวัยนี้คือการเป็น ‘ผู้เฝ้าสังเกตการณ์’ คอยดูแลความปลอดภัย และต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองที่จะไปชี้แนะเด็กว่าต้องทำอะไร 

“ครูต้องเชื่อว่าเขาประเมินตัวเองได้ แล้วถ้าเขามั่นใจเมื่อไหร่ เขาจะกล้าไปมากขึ้นด้วยตัวเอง และเมื่อนั้นมันคือบทเรียนกับชีวิตเขา เราจะเริ่มต้นอะไรตอนโตสักอย่าง เราจะกล้า อย่างน้อยๆ กล้าก้าวแรก แต่มีหลายคนไม่กล้าก้าว กลัวผิดหวัง กลัวล้มเหลว เพราะว่าไม่เคยมีประสบการณ์ที่บอกว่าผ่านได้”    

อย่างไรก็ตามในที่สุดเด็กๆ ที่นี่ก็ต้องโบยบินไปสู่โลกภายนอก เรียนต่อในระดับชั้นประถมศึกษา และเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอสังคมที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น แต่ครูก้าก็ไม่มีความกังวลในเรื่องนี้อยู่เลย  

“ลูกศิษย์ครูก้าทำให้ครูก้าไม่กังวล ผ่านมา 20 กว่าปี ไม่ต้องกังวลเลย คนที่กังวลส่วนมากเป็นพ่อแม่ เด็กเขาไม่ได้กังวลเลยถ้าพ่อแม่ไม่กังวล แต่ถ้าพ่อแม่กังวลแล้วกดดันเขาจะกังวล เด็กครูก้าออกไปเขาก็ไปโดดเด่นนะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คือหมายความว่า เขากล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ แล้วการบ้านนี่เป็นของวิเศษที่ที่นี่ไม่เคยให้เขาแต่เขาอยากได้ เพราะมีความรู้สึกว่าถึงเวลาโตแล้ว ยิ่งเห็นคนพี่ที่โตกว่าในบ้านเขานั่งทำการบ้าน อยากทำการบ้านแบบพี่บ้าง แต่เด็กที่ถูกเข้มงวดมาตั้งแรก ไม่อยากได้ แล้วพลังในการเรียนรู้ พลังการทำงานกลุ่ม พลังการที่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรยังอยู่ลึกมาก 

มันอาจจะมีช่วงนึงที่เขาอาจจะรู้สึกว่า ทำไมเพื่อนเขียนเร็ว เขายังเขียนช้า แต่ถ้าฐานใจเขาแน่น มันจะกลายเป็นเรื่องท้าทาย ที่เขาอยากจะเขียนให้ได้เร็ว เมื่อก่อนเปิดโรงเรียนใหม่ๆ ครูก้าบอกว่า 2-3 ปี รับรองว่าตามทัน ตอนนี้ครึ่งปีทั้งอ่านทั้งเขียนเร็วปื๊ดเลย แล้วลายมือสวยด้วย พ่อแม่ก็สะท้อนกลับมาว่า มันมหัศจรรย์มากอยู่ๆ ลูกลุกขึ้นมาอ่านได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ”

สุดท้ายครูก้าฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองรวมถึงคุณครูว่า พัฒนาการของเด็กเป็นลำดับขั้น ถ้าถามว่าจะซัพพอร์ตอย่างไร อยากให้สร้างบันไดที่พอเหมาะให้เขา 

“ถ้าเราสร้างบันไดแล้วบอกว่าเธอต้องมานี่ เด็กจะรู้สึกว่ามันยาก แล้วในที่สุดเด็กอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งเหมือนเพื่อน เพราะฉะนั้นทำยังไงที่ให้ลบรอยเชื่อมต่อ เป็นสะพานขึ้นแบบเนียนๆ ไปเรื่อยๆ ให้เขายังคงเชื่อมั่นในตัวเอง ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ ก็จะแซงปู๊ดขึ้นไปเลย 

แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ได้ มาถึงแล้วเธอต้องเขียนอ่านได้เลย เด็กก็จะสตันท์นิดนึง แต่ว่าถ้าพ่อแม่เป็นฐานใจที่ดี ให้กำลังใจ เดี๋ยวก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องคุยกับพ่อแม่ว่าให้เวลากับลูก ให้เวลากับเด็กด้วย”

และในฐานะครูปฐมวัยคนหนึ่ง ครูก้ามองว่า ครูปฐมวัยต้องเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจชีวิตของเด็ก และมีมายด์เซ็ตที่ให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ 

“จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือครู หน้าที่คือหล่อเลี้ยงพลังการอยากเรียนอยากรู้เอาไว้ เราเองอาจจะเคยเจอประสบการณ์ในสมัยเป็นนักเรียน บางวิชา ถ้าเราไม่ชอบครูเราก็อาจจะได้คะแนนต่ำ ถ้าเราชอบครูเราอาจจะได้เต็ม นั่นคือพลังของเรา 

คือเราได้เรียนรู้มาจากความเป็นธรรมชาติมนุษย์ว่าพลังนี้สำคัญมาก แล้วเด็กเล่นไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เอาเรี่ยวแรงจากไหนมาเล่นทั้งวันกลางแดดเปรี้ยงๆ เล่นน้ำทะเล แม่เรียกกว่าจะขึ้น กว่าจะมากินข้าวได้ กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวได้ไม่ง่ายนะ แล้วเราก็อยากให้เด็กมีพลังอยากเรียน อยากเล่นอย่างนี้”

Tags:

นิทานการอ่านการเขียนออกแบบการเรียนรู้เด็กอนุบาลพัฒนาการเด็กตัวตน (Self)โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)ครูก้า - กรองทอง บุญประคองEF

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

‘เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ’ นักฟุตบอลทีมชาติที่มีครอบครัวเป็นกองหลัง: วีระเทพ ป้อมพันธุ์
Life classroom
14 October 2024

‘เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ’ นักฟุตบอลทีมชาติที่มีครอบครัวเป็นกองหลัง: วีระเทพ ป้อมพันธุ์

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • สำรวจเส้นทางการไล่ล่าความฝันของ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กองกลางทีมชาติไทย ที่เริ่มต้นด้วยการเป็นดาวรุ่งฟุตซอลก่อนชีวิตจะพลิกผันเข้าสู่โลกของกีฬาฟุตบอล
  • เบื้องหลังความสำเร็จของวีระเทพ คือการมีครอบครัวเป็นแรงผลักดัน ไม่ใช่แรงกดดัน ทำให้เขาสามารถมุ่งมั่นกับความฝันได้อย่างเต็มที่ โดยเชื่อว่าไม่มีสิ่งไหนอยู่เหนือความพยายามและตั้งใจจริง
  • วีระเทพ ถือเป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และปรับตัว มีทักษะการจัดการตนเองและมีวินัย ให้ความสำคัญกับทีมเวิร์ก ทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

“คุณพ่อไม่เคยโหดครับ ไม่เคยด่า ไม่เคยตี และตามใจผมทุกอย่าง อยากทำอะไรพ่อก็จะพาไปหมด ตั้งแต่เด็กพ่อจะบอกตลอดว่า ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยพยายามใหม่ สิ่งนี้ทำให้ผมไม่เคยรู้สึกกดดันตัวเอง และสามารถโฟกัสกับเกมในสนามได้อย่างเต็มที่”

น้ำเสียงเปี่ยมสุขของ ‘จารย์เตอร์’ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ มิดฟิลด์ทีมชาติไทยจากสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ เพราะหลายครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวของนักกีฬาที่ผมชื่นชอบ เบื้องหลังมักเต็มไปด้วยแรงกดดันจากความคาดหวังของครอบครัวที่บีบคั้นให้เด็กคนหนึ่งต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไล่ตามเป้าหมายที่พ่อแม่วางไว้

ต่างกับดาวเตะจากนนทบุรีที่เล่าว่าพ่อแม่ไม่เคยบังคับหรือคาดหวังให้เขาต้องเป็นอะไร เขาจึงเติบโตขึ้นมาเหมือนเด็กทั่วไปที่ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างเต็มที่ ทั้งการเล่นน้ำในแม่น้ำ ตกปลา พายเรือ วิ่งเล่นในทุ่งนา เล่นว่าว รวมถึง ‘ฟุตซอล’ ที่เป็นกีฬายอดนิยมของเด็กผู้ชายหลายคน

“ผมเล่นฟุตซอลมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนั้นก็ยังเล่นตามประสาเด็กๆ  แต่ช่วงเย็นพวกผู้ใหญ่ในชุมชนจะมารวมตัวกันที่สนามบอลหมู่บ้านเพื่อเล่นบอล ส่วนผมที่ยังเด็กก็นั่งดูไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ซึมซับจนวันหนึ่งก็รู้ตัวว่าชอบไปโดยปริยาย”

ระหว่างที่เด็กชายวีระเทพเล่นฟุตซอลอย่างสนุกสนาน พ่อของเขาไม่เพียงเห็นถึงความสุข แต่ยังค้นพบศักยภาพบางอย่างของลูก จึงตัดสินใจพาเขาไปเรียนฟุตซอลที่อคาเดมี เพื่อสนับสนุนให้วีระเทพได้ใช้เวลาว่างไปกับสิ่งที่เขารักอย่างเต็มที่

“คุณพ่อไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ไม่เคยตี และตามใจผมทุกอย่าง อยากทำอะไรก็พ่อก็จะพาไปหมด ถ้าเป็นเรื่องฟุตซอล ตอนเด็กๆ พ่อจะส่งผมไปเรียนตามอคาเดมีแบบเสียเงิน และคอยตามไปดูตามไปเฝ้าตลอด ส่วนคุณแม่ก็คอยสนับสนุนและให้กำลังใจผมเหมือนกับคุณพ่อ 

ตั้งแต่เด็กๆ พ่อบอกเสมอว่าถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยพยายามใหม่ สิ่งนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกกดดันตัวเอง และสามารถโฟกัสกับเกมในสนามได้อย่างเต็มที่” 

ไม่นาน เด็กชายก็กลายเป็นวัยรุ่น และได้รับโอกาสเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนศรีบุณยานนท์ ซึ่งเปิดประตูให้เขาเข้าสู่โลกของฟุตซอลอย่างจริงจัง 

“ที่โรงเรียนจะมีชมรมฟุตซอล เขาก็ค้นหานักกีฬาฝีเท้าดีเพื่อส่งทีมไปแข่งกับโรงเรียนอื่น ผมได้ลงเล่นมาตลอด จนกระทั่งตอนม.3 ได้เล่นในรายการสพฐ.ฟุตซอลลีก ซึ่งพอผ่านเข้าไปเล่นในรอบระดับประเทศ เราก็เจอทีมฟุตซอลชั้นนำของโรงเรียนต่างๆ อย่างปทุมคงคา ราชวินิตบางเขน สุรศักดิ์มนตรี ฯลฯ ทำให้อาจารย์สมชาติ พิทักษ์วงศ์ โค้ชของปทุมคงคาเห็นฝีเท้าของผม และลองชักชวนให้ไปเรียนต่อมัธยมปลายที่นั่น ผมก็ปรึกษาคุณพ่อและอาจารย์ที่ศรีบุณยานนท์ ทุกคนก็บอกตรงกันว่า ‘ไปสิ’ ”

เมื่อย้ายมาอยู่ที่ปทุมคงคา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของวงการลูกหนังขาสั้น วีระเทพยังคงมุ่งมั่นกับฟุตซอลอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอบแทนความไว้วางใจด้วยการคว้าถ้วยรางวัลต่างๆ จนแมวมองของสโมสรฟุตซอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยอย่าง ‘ชลบุรี บลูเวฟ’ มองเห็นศักยภาพและพยายามดึงตัวเขาเข้าถิ่นฉลาม

“ตอนม.5 ทีมฟุตซอลของเราคว้าแชมป์ในการแข่งฟุตซอลนักเรียนแทบทุกรายการ ไม่นับฟุตซอลเดินสายที่ผมแอบไปแข่งกับพวกผู้ใหญ่ ซึ่งทางชลบุรี บลูเวฟ ก็คงเห็นฝีเท้าเลยติดต่อเข้ามา ตอนนั้นต้องบอกก่อนว่าผมแอบหนีทางโรงเรียนไปซ้อมกับทีมประมาณ 1-2 เดือน คือเรียนเสร็จก็รีบหนีออกไปซ้อมเลยครับ”

แม้จะตื่นเต้นดีใจกับโอกาสที่ได้รับจากชลบุรี บลูเวฟ แต่วีระเทพยังลังเลที่จะเซ็นสัญญา เพราะเขามีแผนที่จะเข้าศึกษาต่อที่จุฬาฯ ตามรอยรุ่นพี่ปทุมคงคาหลายคน ที่สุดแล้วนักฟุตซอลฉายา ‘ซ้ายผ่านตลอด’ จึงตัดสินใจเข้าไปปรึกษาคุณพ่อ เพื่อช่วยตัดสินใจเกี่ยวกับแผนอนาคตของตัวเอง

“คุณพ่อบอกว่าเงื่อนไขของจุฬาฯ คือถ้าเราอยากเข้าเรียน เราต้องไม่มีสโมสร เพราะเขากลัวว่าถ้าเราไปเล่นกับสโมสร เราจะไม่มีเวลามาเข้าเรียน รวมถึงฝึกซ้อมกับทีมของจุฬาฯ อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจทำให้เราเรียนไม่จบตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อปรึกษากับคุณพ่อ ผมก็ตัดสินใจว่าเราเลือกเรียนก่อนดีกว่า เพราะคุณพ่อมองว่าถ้าเราเรียนก่อน อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งเราเล่นฟุตซอลไม่ได้ เราก็ยังมีวุฒิจากจุฬาฯ ที่จะกลับไปใช้ทำอาชีพอื่นได้ ผมคิดว่าสิ่งที่พ่อพูดมันสมเหตุสมผล เพราะถ้าเรียนจบตอนอายุ 22 ผมก็ยังมีเวลาอีกมากมายในการกลับไปทำตามความฝันของตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่อดีตวันเดอร์คิดแห่งวงการฟุตซอลเลือกนั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่คุยกับพ่อ หลังจากปฏิเสธสัญญากับสโมสรดัง และสอบเข้าจุฬาฯ ด้วยโควตานักกีฬาฟุตซอล ทว่าในท้ายที่สุดเขากลับสอบไม่ติด ทั้งยังเป็นเหตุให้ประตูแห่งโลกฟุตซอลปิดลงอย่างถาวร

“ผมเรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนเลยครับ คะแนนของผมไม่ผ่านเกณฑ์โควตานักฟุตซอลของจุฬาฯ แต่ก็ยังมีโครงการฟุตบอลของจุฬาฯ ที่มาเสนอให้ผมลองสอบ หลังจากสอบได้ ผมก็เข้าร่วมโครงการฟุตบอลและได้เรียนในคณะครุศาสตร์ และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เล่นฟุตซอลอีกเลย เพราะว่าจุฬาฯ แยกโครงการฟุตบอลกับฟุตซอลออกจากกันอย่างชัดเจน ต่างจากตอนอยู่ที่โรงเรียนปทุมคงคา มีช่วงหนึ่งผมเคยถูกดึงตัวจากชมรมฟุตซอลไปช่วยทีมฟุตบอลปทุมคงคาในรายการ 7 สี (การแข่งขันฟุตบอลที่ใช้ผู้เล่น 7 คน และลดขนาดสนาม) ซึ่งก็ไม่ต่างจากฟุตซอลเท่าไหร่ แล้วพอผลงานดี ผมก็ได้โอกาสเล่นต่อในถ้วยก. ที่เป็นฟุตบอล 11 คนในสนามใหญ่ ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าฟุตบอลมันก็สนุกดีนะ

คุณพ่อดีใจครับ ท่านคอยแนะนำว่าฟุตบอลมันเปิดกว้างและเป็นที่นิยมมากกว่าฟุตซอล เพราะก่อนที่ผมจะเข้าจุฬาฯ ลีกฟุตซอลยังไม่มีตารางการแข่งขันที่แน่นอน บางปีแข่งได้ 4 เดือนแล้วหยุดไปเกือบปี ต่างจากลีกฟุตบอลที่มีการแข่งขันที่ต่อเนื่องและมีสัญญาอาชีพที่มั่นคงกว่า” 

ปรับตัว เรียนรู้ และอดทน เคล็ด(ไม่)ลับสู่นักกีฬาอาชีพ

แม้วีระเทพจะเป็นดาวรุ่งแห่งวงการฟุตซอลและเคยมีโอกาสชิมลางกีฬาฟุตบอลมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเข้ามาในรั้วจุฬาฯ เขาต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มรูปแบบ 

“ผมต้องปรับตัวเยอะมากครับ ช่วงแรกที่ลงเล่นฟุตบอล ผมยังติดในลักษณะที่เล่นฟุตซอลอยู่ แต่ผมก็พยายามเรียนรู้จากโค้ชและเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอด ทำให้ค่อยๆ ซึมซับวิธีการใหม่ๆ เริ่มจากขนาดสนามที่เราต้องมีการโยนยาว-ส่งไกล การจับบอลเพราะลูกฟุตบอลมีน้ำหนักและขนาดไม่เท่ากับลูกฟุตซอล พื้นสนามก็มีทั้งหญ้าเทียมและหญ้าจริงซึ่งทำให้จังหวะการเด้งและการควบคุมบอลต่างกันออกไป แต่ปีแรก ผมกลับเกิดอุบัติเหตุขาหักกระดูกร้าวข้างซ้ายระหว่างการแข่งขัน ทำให้เวลาที่เหลือตอนปี1 คือการพักรักษาตัว ตอนนั้นก็อดทนไม่ได้ท้อแท้ครับ แต่รู้สึกเสียดายเวลาและพยายามฟื้นฟูร่างกาย 

พอขึ้นปี 2 ผมกลับมาเล่นและมีชื่อในการแข่งขันไทยลีก3 ซึ่งเป็นลีกอาชีพกับจามจุรี ยูไนเต็ด(จุฬาฯ) ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยได้ลงเล่นเท่าไหร่ กระทั่งมีโอกาสลงไปโชว์ผลงานและทำได้ดี เมื่อถึงเทอม2 ผมก็ได้เล่นต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักของทีม”

นอกจากการปรับตัวด้านกีฬาแล้ว วีระเทพยังสะท้อนมุมมองการใช้ชีวิตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการเผชิญกับสิ่งเร้าต่างๆ นอกสนาม ซึ่งทักษะสำคัญที่ทำให้เขาสามารถรักษาความมุ่งมั่นในฟุตบอลได้คือ ‘การจัดการตนเอง’

“ผมเองก็เป็นคนกินคนเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ผมแค่จัดการกับตัวเองและบริหารเวลาได้ดี รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร

ถ้าเป็นวันหยุดหรือเข้าสังคมกับเพื่อน ผมก็สามารถดื่มได้อย่างรู้ลิมิต หรือถ้ารู้ว่าจะแข่งขันวันไหน ผมจะวางแผนล่วงหน้าว่าวันไหนควรทำอะไร เพราะผมสามารถจัดการกับตัวเองได้ ไม่ว่าจะเรื่องเวลา การใช้เงิน หรือการทำงาน ผมจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างได้อย่างชัดเจนเพื่อให้ชีวิตมีระเบียบ”

จากผลงานลงเล่น 64 นัด ยิง 3 ประตู และแอสซิสต์อีก 13 ครั้ง พร้อมกับลีลาในสนามที่นำเทคนิคฟุตซอลมาปรับใช้อย่างชาญฉลาด ทำให้สโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง ‘เมืองทอง ยูไนเต็ด’ ที่ส่งแมวมองมาซุ่มดูฟอร์มของเขาเป็นเวลานาน ตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในช่วงที่เขากำลังฝึกงานในฐานะครูฝึกสอน ซึ่งวีระเทพยอมรับว่ารู้สึกดีใจและเครียดในเวลาเดียวกัน

“ที่ครุศาสตร์ จุฬาฯ จะเรียน 4 ปี และฝึกสอนอีก 1 ปี ในช่วงแรกที่ไปเมืองทองค่อนข้างลำบากครับ เพราะตรงกับช่วงที่ผมต้องไปฝึกสอนที่โรงเรียน ผมเลยต้องคุยกับทางโรงเรียนว่าขอสอนเฉพาะช่วงเช้าได้ไหม เพราะบ่ายต้องเดินทางไปซ้อมกับทีมเมืองทอง 

ทุกเช้าผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ขับรถจากบางใหญ่ไปโรงเรียนหอวัง เพื่อเริ่มสอนตอน 8.30 พอถึงบ่าย 2 โมงก็ต้องรีบไปสนามเมืองทอง ซ้อมเสร็จกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่ม แล้วก็นั่งทำพาวเวอร์พอยต์และแผนการสอนต่างๆ เพื่อเอาไปสอนนักเรียน บางทีผมทำถึงตี 1 เลยครับ แล้วก็ตื่นตี 5 ทุกวัน รูทีนจะวนอยู่แค่นี้ครับ”

นอกจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายแล้ว วีระเทพยังยอมรับถึงความเครียดที่มาจากการเล่นฟุตบอล เนื่องจากช่วงนั้นเขายังไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก  

“ผมเครียดเรื่องการเล่นฟุตบอลที่ผมยังไม่มีโอกาสมากเท่าไหร่ เพราะเมืองทองในตอนนั้นมีแต่กองกลางทีมชาติและผู้เล่นต่างชาติ แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่ามันอาจจะเหนื่อยนะ แต่ถ้าเราอดทนผ่านปีนี้ไปให้ได้ เราก็จะสามารถโฟกัสกับฟุตบอลได้ 100%  และทำหน้าที่ในฐานะนักฟุตบอลได้ดีกว่าตอนนี้ 

ผมมองว่าโอกาสที่นักฟุตบอลจากไทยลีก3 จะสามารถก้าวขึ้นมาสู่ทีมใหญ่ในไทยลีกมันน้อยมาก และไม่อยากปล่อยโอกาสทิ้งไป ผมจะอดทนไม่ยอมแพ้แค่นี้ แม้จะเหนื่อย นอนน้อย หรือรู้สึกเพลียตอนซ้อมฟุตบอลบ้าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าอดทนอีกแค่ปีเดียว ผมจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อย่างเต็มที่และดีขึ้นแน่นอน

ส่วนเรื่องฝึกสอน ผมมองว่าการเป็นครูในปัจจุบัน มันไม่สามารถสอนแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ได้อีกแล้วครับ มีหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่สอนหรือเรื่องรอบตัว อย่างผมสอนวิชาสุขศึกษาที่มีความใกล้ชิดกับการใช้ชีวิตประจำวันของนักเรียน ดังนั้นนอกจากจะสอนในส่วนวิชา ผมจะพยายามเพิ่มความรู้ใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดของนักเรียนด้วย แต่ผมจะเป็นครูที่เหมือนโค้ชเหมือนพี่มากกว่าครับ เพราะผมเองก็พยายามเรียนรู้จากนักเรียนด้วย โดยรับฟัง Feedback จากนักเรียนว่าครูสอนเป็นยังไงบ้าง อยากให้ปรับแก้ไขตรงไหนก็สามารถพูดคุยกันได้ เพื่อพัฒนาการสอนในคาบต่อๆ ไป 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเคารพซึ่งกันและกันครับ ไม่ใช่แค่นักเรียนที่เคารพผม ผมเองก็ให้ความเคารพนักเรียนด้วยเช่นกัน” 

เล่นเพื่อทีม มีวินัย ใช้โอกาสที่ได้รับให้ดีที่สุด 

หลังจากผ่านช่วงเวลาฝึกสอน จารย์เตอร์ก็สามารถโฟกัสกับฟุตบอลได้เต็มที่ในฐานะกองกลางตัวรุก ก่อนสามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เพราะโค้ชมาริโอ ยูรอฟสกี ซึ่งย้ายมาคุมเมืองทอง ยูไนเต็ด ในช่วงปี 2020-2023 ตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งที่เขาเล่นมาตลอดอาชีพการค้าแข้งให้กลายเป็นกองกลางตัวรับประจำทีม  

“ผมชอบและถนัดการเล่นกลางรุก เพราะเกมรุกมันสนุกอยู่แล้ว แต่พอโค้ชดรอปผมมาเล่นกลางรับ ผมก็ได้มุมมองใหม่อีกแบบนึง คือผมอาจจะเลี้ยงกินตัวเหมือนกลางรุกได้ แต่มันก็อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ควรเสี่ยง ถ้าเราเสียบอลไป คู่แข่งก็จะเข้าไปถึงกองหลังทันทีซึ่งอันตรายมาก ผมจึงต้องปรับสไตล์ ต้องไม่เสียบอลง่ายและพยายามออกบอลให้เพื่อนเล่นง่าย ถ้ามีโอกาสผมก็จะแทงช่อง Killer Pass ให้เพื่อนหลุดไปทำประตู 

ผมมองว่านี่คือการทำเพื่อทีมมากกว่า แม้ผมจะชอบเล่นกลางรุกจริงๆ แต่ถ้าทีมขาดกลางรับ ผมจะรู้สึกว่าเรายอมมาเล่นกลางรับดีกว่าเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกับทีม เพราะทุกครั้งที่ผมเลือก ผมจะเลือกสิ่งที่มันสมเหตุสมผลมากกว่าแค่ความชอบส่วนตัว ถ้าผมทำแต่สิ่งที่ผมชอบและได้ประโยชน์อยู่คนเดียว แต่สุดท้ายมันส่งผลเสียกับทีม ผมก็จะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับคนอื่น เพราะว่าฟุตบอลมันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว มันต้องไปด้วยกันทั้ง 11 คน”

ปัจจุบัน วีระเทพได้ย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของ ‘ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด’ พร้อมพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพ 2023/24 เป็นครั้งแรก เขายังคงกระหายในการไล่ล่าความสำเร็จให้กับต้นสังกัดและทีมชาติไทย โดยเน้นย้ำว่าทุกวันนี้ยังคงฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง 

“ทุกครั้งที่ลงสนาม ผมจะบอกตัวเองว่า “วันนี้ผมจะทำให้ทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด” ผมจะพยายามรักษาฟอร์มของตัวเอง วิ่งช่วยทีมให้มากที่สุด เสียบอลให้น้อยที่สุด และพยายามทำให้ทีมชนะ สิ่งสำคัญคือผมกับเพื่อนจะเชื่อมั่นในกันและกันเสมอ เพราะฟุตบอลเล่นกัน 11 คน เราต้องเข้าใจว่าสไตล์ของเพื่อนร่วมทีมเป็นยังไง คอยบอกคอยฟังเพื่อนๆ ว่าควรขยับไปตรงไหน เพื่อช่วยทำให้เกมเดินต่อตามแทคติกที่โค้ชวางไว้

นักฟุตบอลเวลาลงสนามต่างก็อยากชนะ ไม่มีใครอยากแพ้ แต่บางทีอะไรก็เกิดขึ้นได้ในเกมฟุตบอล บางครั้งเราอาจเล่นดีสุดๆ แต่บางครั้งก็อาจเล่นไม่ดีทำให้ทีมเสียสมดุล ผมจึงฝึกซ้อมให้หนักกว่าเดิม พยายามเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ เรียนรู้จากชัยชนะ เรียนรู้จากทีมตัวเอง และเรียนรู้จากทุกทีมที่เราเจอ เพราะฟุตบอลสมัยนี้ทุกทีมมีแทคติกที่จะมาแก้ไขกัน ดังนั้นการลดข้อผิดพลาดจึงสำคัญ ถ้าใครผิดพลาดน้อยสุด ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะมากที่สุด ผมมองว่าถ้าเราไม่กลับมาแก้ไขและพัฒนาตัวเอง โค้ชก็อาจไปเลือกนักเตะที่พร้อมกว่า และเราก็อาจจะไม่มีโอกาสลงเล่นอีกเลยก็ได้

ทุกวันนี้ ผมพยายามเรียนรู้กับคนเก่งๆ เพราะผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมอยู่กับคนเก่งๆ มันจะกระตุ้นให้ผมอยากเก่งขึ้นเหมือนเขา แล้ววันนึงที่ผมเก่งเหมือนเขา ผมก็จะไปเรียนรู้กับคนที่เก่งกว่าเขา เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ”

เมื่อถูกถามถึงเสียงวิจารณ์ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทีมพ่ายแพ้ วีระเทพบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอล และพยายามนำคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์มาพัฒนาตัวเอง

“เวลาทีมแพ้ ผมรู้ว่าแฟนบอลหลายคนไม่พอใจในผลงานของเรา แต่ผมก็เป็นแฟนบอลท่านหนึ่งเหมือนกัน ผมก็มีทีมที่เชียร์คือ ‘ลิเวอร์พูล’ ซึ่งฟอร์มช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีนัก แต่ด้วยความที่ผมเป็นนักฟุตบอล ผมรู้ว่าผู้เล่นต้องการกำลังใจ ดังนั้นคำวิจารณ์ที่เป็นประโยชน์ผมจะนำมาแก้ไข แต่ถ้าบางเรื่องเป็นคำด่าที่มันเกินไป ผมก็แค่ปล่อยผ่าน และไม่เคยรู้สึกว่าเราจะต้องไปด่าตอบโต้แฟนบอล”

ช่วงเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผมได้คุยกับวีระเทพ ผมสัมผัสได้ถึงคาแรกเตอร์ที่มีส่วนหล่อหลอมให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น การมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และปรับตัว ความมุ่งมั่นที่มาพร้อมกับความพยายามและอดทน การบริหารจัดการเวลาและความรับผิดชอบต่อตัวเอง และที่สำคัญสำหรับการเป็นนักกีฬาคือ การเห็นความสำคัญของทีมเวิร์ก ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าเขาจะเลือกเส้นทางไหน เขาก็น่าจะไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้

ถึงวันนี้ ในวัย 28 ปี ที่หลายคนเรียกว่าเป็นจุดพีคของอาชีพ วีระเทพยังคงมุ่งมั่นเต็มร้อยกับเส้นทางลูกหนัง พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยข้อคิดสำหรับเยาวชนที่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

“สิ่งสำคัญที่นักฟุตบอลต้องมีคือเรื่องวินัย ตอนเด็กๆ เราอาจจะเล่นฟุตบอลเพื่อความสนุกหรือความชอบส่วนตัว แต่เมื่อโตขึ้นแล้วเข้าสู่ฟุตบอลอาชีพ มันไม่ใช่แค่ความสนุก ต้องมีวินัยและความอดทน โดยเฉพาะการอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกสนาม ก็จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและเติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ได้ทำในสิ่งที่รักพร้อมกับดูแลตัวเองและครอบครัวได้

มีหลายอย่างที่ผมชอบนอกจากการเล่นฟุตบอล แต่ใจจริงๆ คืออยากทำธุรกิจส่วนตัวในอนาคตครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากโฟกัสเรื่องอื่นๆ และขอเต็มร้อยกับอาชีพที่ผมใฝ่ฝัน ผมขอบคุณทุกคนที่คอยซัปพอร์ตผม คอยฉุดรั้งผมจากสิ่งเร้าทั้งหลาย รวมถึงให้กำลังใจผม ผมจะไม่มีวันลืมทุกคน แล้วก็จะไม่มีวันลืมฟุตบอลแน่นอนครับ”

Tags:

การจัดการตัวเอง (Self-Management)ครอบครัวชัยชนะความพ่ายแพ้นักกีฬาโอกาสการปรับตัววีระเทพ ป้อมพันธุ์ทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)การเรียนรู้

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to enjoy life
    ความหมายของชีวิต: เรียนรู้ และสร้างมันขึ้นมา

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Like Stars on Earth: ไม่มีเด็กคนไหนไร้ค่า ขอแค่แสงสว่างจากใครสักคนเพื่อเปล่งประกาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Losers EP.3 แบล็ค แจ็ค: พรสวรรค์ที่เกือบสูญเปล่า เพราะคำว่า ‘Low Self-Esteem’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Losers EP.2 เซอร์ยา โบนาลี: อย่าปล่อยให้เสียงของใครดังกว่าเสียงหัวใจตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life classroomMovie
    Losers EP.1 ไมเคิล เบนท์: น็อกเอาต์ไม่เท่ากับแพ้ ล้มเพื่อลุกขึ้นมามีความสุขกับชีวิตที่เลือกเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

วางจอมาจับกบ เล่น เลอะ เรียนรู้ที่ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’: คุยกับ วิน-สินธุประมา
Space
11 October 2024

วางจอมาจับกบ เล่น เลอะ เรียนรู้ที่ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’: คุยกับ วิน-สินธุประมา

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’ เป็นพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิม เช่น การทำนา ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากในเมืองใหญ่ ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้คุณค่าของธรรมชาติและวัฒนธรรมไทย
  • นอกจากความสนุกสนานแล้ว การมาเยือนป้าจิ๊บฟาร์มยังช่วยพัฒนาทักษะสำคัญต่างๆ ของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะชีวิต ทักษะการเข้าสังคม และทักษะการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลธรรมชาติ
  • ที่นี่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ ที่ต้องการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

ในยุคนี้ที่เด็กๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ห่างไกลจากธรรมชาติและวิถีชีวิตแบบไทยมากขึ้นทุกที ฟาร์มเล็กๆ ในจังหวัดนนทบุรี แนะนำตัวในฐานะพื้นที่เรียนรู้ที่มอบประสบการณ์นอกห้องเรียนที่จะทำให้เด็กๆ ได้รับทักษะชีวิตและสังคมติดตัวไป

The Potential คุยกับ วิน สินธุประมา เจ้าของปัจจุบันของ ‘ศูนย์การเรียนรู้วิถีไทยแบบธรรมชาติ’ หรือ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’ ที่ออกแบบกิจกรรมให้เด็กในเมืองได้สัมผัสกับธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิม เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเห็นถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิตของทุกคน 

“ปัจจุบันพอเทคโนโลยีเริ่มเข้ามาเยอะๆ พวกวิถีชีวิต หรือการเล่นดีๆ ที่เราเคยได้สัมผัสกันมาในอดีตก็เริ่มจางหายไป ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นว่า คงจะดีถ้าให้เด็กๆ ได้ลองทำกิจกรรมแบบไทยๆ อย่างที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้สัมผัสกันในสมัยก่อน เช่น การเล่นกับดิน เล่นกับน้ำ หรือการได้สัมผัสกับสัตว์” วินกล่าว

นอกจากความสนุกสนานแล้ว การมาเยือนป้าจิ๊บฟาร์มยังเป็นการพัฒนาทักษะต่างๆ ของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะชีวิต หรือทักษะการเข้าสังคม และที่สำคัญคือการได้เรียนรู้ที่จะรักและดูแลธรรมชาติอีกด้วย

ป้าจิ๊บฟาร์ม จึงเป็นพื้นที่ที่มอบโอกาสให้เด็กๆ ได้เติบโตอย่างรอบด้าน และเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไปในยุคดิจิทัล

จากหน้าจอสู่ท้องนา วิชาชีวิตที่เด็กออกแบบเอง

ความตั้งใจของวิน คืออยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตไทยอย่างใกล้ชิด โดยนำกิจกรรมที่คุ้นเคยในอดีตมาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกสนานและสาระความรู้ จึงออกแบบกิจกรรมเป็นฐานต่างๆ เช่น การปลูกข้าว ดำนา จับกบ จับปลา และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเกษตรกรรม เพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์จริงและเรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์

“เหตุผลหลักๆ ที่เราเลือกวิถีไทยเลยก็คือ เพราะเราเกิดในประเทศไทย ซึ่งพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายเราก็เคยเติบโตมาแบบนี้ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความเป็นไทยก็เริ่มเจือจางเลือนหายไป อย่างผมเองตอนเด็กๆ ก็มีเล่นแบบวิถีแบบไทยเช่นกัน ผมก็เลยอยากเอาส่วนนี้ไปเติมประสบการณ์ให้น้องๆ ได้สัมผัสกับสิ่งดีๆ ที่เราเองก็เคยได้รับ เลยอยากหยิบชีวิตในวิถีไทยมาปลูกฝังให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ครับ

ยิ่งในยุคนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แถมสมัยนี้เด็กๆ แทบจะไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอไอแพด หน้าจอโทรศัพท์กันเลย ซึ่งถึงแม้ว่าของพวกนี้จะมีข้อดีในหลายๆ ด้าน แต่การใช้เวลากับหน้าจอนานเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการต่างๆ ของเด็กได้เหมือนกัน  

เราก็เลยเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย และอยากเติมในส่วนที่ขาดหายไปให้กับเด็กๆ ให้เขาได้รับประสบการณ์ ให้เด็กๆ ได้ออกมาวิ่งเล่น เจอแดด เจอลม เจอธรรมชาติ 

เพราะกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติและมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ครับ” 

ทั้งนี้กิจกรรมของฟาร์มจะเน้นวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิม โดยให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์จริง ผ่านการเรียนรู้วิถีชีวิตไทยแบบครบวงจรในหนึ่งวัน

รับบท ‘เกษตรกรตัวจิ๋ว’ เรียนรู้จากประสบการณ์ในท้องทุ่ง

เมื่อก้าวเข้าสู่ฟาร์มแห่งนี้ เด็กๆ จะได้พบกับประสบการณ์อันน่าประทับใจมากมาย เริ่มต้นด้วยการให้อาหารควาย ขี่ควายตัวเป็นๆ และยังมีกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและความรู้ เช่น การส่องวิถีชีวิตของปูนา ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการดูแลสัตว์น้ำ กิจกรรมให้ลองสัมผัสลูกเจี๊ยบและอุ้มแม่ไก่ เรียนรู้วงจรชีวิตของสัตว์ปีก โดยเด็กๆ จะได้เรียนรู้ขั้นตอนการฟักไข่ เก็บไข่ และนำไข่ไปประกอบอาหาร รวมถึงลองทำไอติมหลอดทานเองเพื่อคลายร้อน  ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กๆ มีทักษะชีวิตพื้นฐานในการดูแลตัวเองเบื้องต้น

นอกจากการทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงและการทำอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมเก็บผักสวนครัว ฝึกร่อนปุ๋ยไส้เดือน เพ้นท์กระถาง และเรียนรู้การผสมดินและปลูกผักสลัด เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตร และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

และเด็กๆ ยังได้มีโอกาสดำนาปลูกข้าว ลองลุยโคลน จับปลา จับกบ ปิดท้ายด้วยการเล่นสไลเดอร์โคลน และปาร์ตี้โฟม ที่จะทำให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน ได้ปลดปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่

“เรามีการออกแบบกิจกรรมโดยการแกะจากวิถีชีวิตแบบไทยสมัยก่อนที่เขาทำกันเป็นปกติมา ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง แล้วก็อะไรที่เด็กเล่นแล้วจะชอบ สนุกแล้วก็ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไป รวมถึงได้ทักษะดีๆ กลับไปบ้านด้วย 

ซึ่งเด็กที่มาที่นี่มีทั้งเด็กโรงเรียนไทยและเด็กอินเตอร์ครับ บางครั้งก็มีเด็กฝรั่งมาด้วยบ้าง แต่ส่วนใหญ่เด็กที่มาจะเป็นเด็กไทย สำหรับเด็กไทยก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในการบรรยาย เพราะเขาฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นเด็กฝรั่งเนี่ยเราก็อาจจะมีการเน้นให้ลงมือทำมากขึ้นร่วมกับการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เขาเข้าใจมากขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเด็กไทยหรืออินเตอร์ ตอนทำกิจกรรมเด็กๆ เขาก็มีกลัวไม่กล้าเล่นอยู่บ้าง อย่างเช่น ฐานจับกบ แต่เราก็จะไม่บังคับ สามารถให้เขานั่งฟังบรรยายอย่างเดียวได้ แต่ส่วนใหญ่เด็กเขาก็จะเรียนรู้จากสังคม คือเห็นเพื่อนจับ เขาก็อาจจะมีความกล้าที่อยากลองจับบ้าง

โดยเวลาที่ทำกิจกรรม ผู้ปกครองจะสามารถเข้าประกบลูกที่เล็กๆ ได้ 1 คน แต่ถ้าเด็กสามารถดูแลตัวเองได้แล้วก็จะแค่คอยยืนสังเกตดูข้างๆ หรือไม่ก็เข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วยกันก็ได้ครับ”

ติดตั้งทักษะชีวิตและสังคมผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย

จากกิจกรรมที่เด็กเข้าร่วมในป้าจิ๊บฟาร์ม ทักษะอย่างแรกที่วินต้องการให้เด็กมีคือ ทักษะชีวิต (Life Skill) ผ่านการทำกิจกรรมบางฐาน เช่น การให้ทำอาหาร เพื่อที่เด็กเล็กจะได้เรียนรู้ในทักษะพื้นฐานในการดูแลตัวเอง

นอกจากทักษะชีวิตแล้ว ทักษะการรับรู้ด้านประสาท​สัมผัส (Sensory skill​) ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นทักษะที่สำคัญกับเด็กปฐมวัยมาก เพราะการที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างในการสำรวจธรรมชาติ จะช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีขึ้น และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม เพราะเด็กๆ ก็จะได้เคลื่อนไหวร่างกาย ฝึกกล้ามเนื้อ เรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกายของตนเอง

นอกจากนี้ การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติยังช่วยให้เด็กได้ผ่อนคลายจิตใจ ลดความเครียด และมีความสุข รวมถึงส่งเสริมให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปตลอดชีวิตอีกด้วย

สำหรับ ทักษะการเข้าสังคม (Social Skill) ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่วินคาดหวังว่าเด็กๆ จะได้รับไป เนื่องจากการมาทำกิจกรรมที่นี่ เด็กๆ จะได้พบเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตา หลากหลายช่วงวัยตั้งแต่อายุ 2-10 ขวบ ซึ่งการได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างราบรื่น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การแบ่งปัน การรอคอย การให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

สิ่งสุดท้ายที่วินอยากให้เด็กๆ มีคือ การรักสัตว์ เพราะวินมองว่าการที่เด็กๆ รู้จักรักสัตว์นั้นจะทำให้เขามีความอ่อนโยนมากขึ้น

“ผมว่าเป็นข้อดีมากๆ เลย เพราะถ้าเด็กรักสัตว์ เขาก็จะมีความอ่อนโยนในจิตใจเพิ่มขึ้น เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ส่วนตัวผมมองว่าการปลูกฝังในเรื่องนี้จะทําให้เขาเติบโตอย่างดีครับ” 

ประสบการณ์นอกห้องเรียนที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน

“จริงๆ ป้าจิ๊บฟาร์มไม่ได้จำกัดแค่เด็กๆ เท่านั้นนะครับ เรายินดีต้อนรับทุกช่วงวัย หากผู้ใหญ่ท่านไหน หรือกลุ่มไหนที่สนใจเรียนรู้วิถีชีวิตแบบไทยดั้งเดิม เราก็สามารถออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้ 

สำหรับเด็กๆ หากมาแบบ Private Group ก็ปรับกิจกรรมได้เหมือนกัน เพราะเรามีกิจกรรมที่หลากหลายตามวัย ถ้าเด็กเล็กมากเราก็จะเน้นประสาทสัมผัส สอนบรรยายไม่เยอะมาก แต่เน้นลงมือทํา ถ้าโตขึ้นมาหน่อย เราก็จะเน้นเพิ่มความรู้เข้าไปให้เขาในเชิงของทางวิชาการนิดๆ แต่ต้องมีความสนุก ไม่น่าเบื่อ

ซึ่งฟาร์มเรามีให้จองเข้ามาร่วมกิจกรรม 2 แบบ คือ รอบ Join และ รอบ Private Group  โดยรอบ Join จะจัดวันเสาร์อาทิตย์ ผ่านการสมัครเข้าร่วมมาในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งกลุ่มนี้เขาจะได้เพื่อนใหม่ที่เป็นเพื่อนต่างโรงเรียน หรือวัยใกล้กันค่อนข้างเยอะ เพราะเขามาเดี่ยวๆ เหมือนกัน ส่วนอีกรอบคือแบบ Private Group  ซึ่งเป็นการเปิดรอบกรุ๊ปแยก เด็กๆ จับกลุ่มมากันเอง โดย Private Group จะเป็นรอบวันธรรมดาครับ”

วินกล่าวเชิญชวนพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกมีประสบการณ์นอกห้องเรียนว่า “ผมก็อยากจะให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ลองพาลูกหลานเข้ามาที่ป้าจิ๊บฟาร์มดูครับ ผมมั่นใจว่าหลังจากที่มาจะได้รับทั้งทักษะ ความสนุก และรอยยิ้มกลับไปแน่นอนครับ”

ป้าจิ๊บฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ ถนนฉลองราชย์ ร.9 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมแบบ Join วันเสาร์-อาทิตย์ เป็น 2 รอบ โดยรอบเช้า เวลา 9.00 – 13.00 น. และ รอบบ่าย เวลา 14.00 – 18.00 น. ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.pajeepfarm.com

Tags:

ปฐมวัยเด็กธรรมชาติป้าจิ๊บฟาร์มศูนย์การเรียนรู้วิถีไทย

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Simone Blies Rising : นักกีฬาที่ยืนยันว่าความเจ็บปวดในจิตใจสำคัญไม่แพ้ความเจ็บปวดภายนอก
Movie
11 October 2024

Simone Blies Rising : นักกีฬาที่ยืนยันว่าความเจ็บปวดในจิตใจสำคัญไม่แพ้ความเจ็บปวดภายนอก

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • สารคดีของ ‘ซีโมน ไบลส์’ นักยิมนาสติกชื่อดัง เล่าเรื่องราวที่เธอต้องเผชิญกับความกดดันมหาศาลในการเป็นตัวแทนของประเทศและรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชนะเสมอมา ซึ่งความคาดหวังที่สูงส่งนี้กระทบต่อสุขภาพจิตของเธอ จนกระทั่งเธอตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันโอลิมปิกที่โตเกียว
  • เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซีโมนทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตในนักกีฬา ซึ่งการที่ซีโมนกล้าเปิดเผยปัญหาที่เธอเผชิญหน้า เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ กล้าที่จะพูดคุยและขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกไม่ดี
  • ครอบครัว เพื่อน และทีมงานของซีโมนต่างให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะแม่ของเธอที่คอยให้กำลังใจและเข้าใจถึงความรู้สึกของลูกสาว ทำให้ซีโมนสามารถข้ามผ่านอุปสรรคและกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

เรารู้จัก ‘ซีโมน ไบลส์’ ครั้งแรกจากการได้ดูไฮไลท์การแข่งขันยิมนาสติกหญิงที่งานโอลิมปิค ปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปีล่าสุดนี้เอง เป็นครั้งแรกที่เราสนใจโลกของกีฬามากขึ้นและเหตุผลที่เลือกกดดูคลิปยิมนาสติก เพราะรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งในกีฬาที่มนุษย์สามารถใช้ร่างกายได้อย่างมหัศจรรย์

และซีโมน ไบลส์ คือหนึ่งในความมหัศจรรย์นั้น ที่แม้แต่คนที่ไม่รู้จักเธอมาก่อน หรือไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับกีฬานี้อย่างเราดูแค่ครั้งเดียวก็รู้เลยว่าคนนี้นี่แหละคือตัวตึงเหรียญทองแน่นอน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เราเริ่มดูการแข่งขันยิมนาสติกมากขึ้น และแอบเอาใจช่วยเธอเป็นพิเศษ

ทุกครั้งที่ดูการแข่งขัน จะรู้สึกว่าคนคนหนึ่งสามารถดีดตัวขึ้นสูงจากพื้นและหมุนตีลังกาไม่รู้กี่ตลบก่อนจะแลนด์ดิ้งลงพื้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีได้ยังไง

แต่มันก็มีรอบนึงที่ซีโมนลื่นแล้วพลาดตกลงจากบาร์เล็กน้อย หลังจากนั้นเธอทำหน้าเหมือนผิดหวังสุดขีด แม้จะคว้าเหรียญทองจากการแข่งอื่นไปได้แล้วถึง 3 เหรียญแล้วก็ตาม การแสดงสีหน้าของเธอทำให้เราครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คนที่ได้เหรียญทองมากถึงขนาดนั้นถึงได้แสดงออกแบบนี้ ซึ่งต่อมาเราก็ได้มาเข้าใจมากขึ้นจากซีรีส์สารคดีกีฬาของเน็ตฟลิกซ์เกี่ยวกับ ซีโมน ไบลส์เรื่องนี้นี่แหละ

ก่อนหน้านี้ซีโมนเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิคที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นด้วยแต่ในวันที่เธอลงแข่งรายการแรกๆ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งทำให้เธอไม่สามารถควบคุมทิศทางของร่างกายได้เหมือนปกติ เหมือนสมองสั่งอย่างนึง แต่ร่างกายกลับตอบสนองอีกอย่าง ซึ่งนักกีฬายิมนาสติกหลายคนเคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน

และเมื่อซีโมนรู้แล้วว่าในการแข่งครั้งนี้เธอจะไม่สามารถทำได้ดีเยี่ยมเหมือนปกติที่เธอเคยทำได้ เธอจึงเลือกที่จะไม่ฝืนแข่งต่อและตัดสินใจขอออกจากการแข่งขันทันที ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนที่เฝ้ารอเชียร์อยู่ที่บ้านเกิดประเทศอเมริกาหลายคนรู้สึกผิดหวังและมีคนมากมายรวมถึงสื่อรุมด่าว่าเธอเป็น Quitter หรือ Loser จากการยอมแพ้ง่ายเกินไป

บางคนก็เปรียบเทียบเธอกับนักยิมนาสติก ปี 1996 ‘เคอร์รี สตรัก’ ที่แม้จะเจ็บเท้าก็ยังฝืนแข่งให้จบโดยไม่สนว่าร่างกายจะเป็นอย่างไร ซึ่งในตอนนั้นมีหลายคนชื่นชมที่เคอร์รีทำเพื่อประเทศได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้นักกีฬาหลายคนกลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ เพราะเมื่อเคอร์รีเล่นจบก็ยืนไม่ไหวและทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด

นักจิตวิทยาบอกว่า คนจะยอมรับและเห็นอกเห็นใจเมื่อเห็นว่านักกีฬาบาดเจ็บที่ภายนอก เช่น ขาหัก แขนหัก เพราะพวกเค้ามองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กับปัญหาในใจอย่างที่เกิดกับซีโมนซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนมองเห็น กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ซีโมนแบกความคาดหวังอันหนักอึ้งของคนทั้งประเทศที่ต้องการเห็นเธอคว้าเหรียญกลับมาให้ได้เยอะๆ เหมือนที่ผ่านมาที่เธอเคยทำได้ และนี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซีโมนแสดงสีหน้าผิดหวังเวลาที่เธอทำพลาด เพราะตัวเธอก็กดดันตัวเองมากๆ ว่าจะต้องทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ มีคนกล่าวว่า ในจุดที่เธอยืนอยู่มันอาจโดดเดี่ยวมากทีเดียว

ต่อมาในซีรีส์ก็เปิดเผยอีกว่าซีโมนเคยเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยหมอคนนึงที่ดูแลทีมนักกีฬายิมนาสติกหญิงซึ่งส่วนใหญ่มีแต่เด็กสาววัยรุ่น

ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เลยไม่ได้เข้ารับการรักษาทางจิตใจที่เหมาะสม แต่สุดท้ายผลกระทบมันก็แสดงออกมาในตอนที่เธอไปโตเกียวโอลิมปิค

นักจิตฯ บอกกับซีโมนในภายหลังว่า “ไม่ว่ายังไงสิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นซักวันในชีวิตของเธอ ถ้าไม่ใช่ตอนไปโตเกียวก็อาจจะเกิดขึ้นซักจุดในชีวิตอยู่ดี ร่างกายและจิตใจของคนเรามันไม่สามารถกดเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ตลอดไปได้”

ซึ่งหลังจากถอนตัว ซีโมนก็ได้แถลงกับสื่อว่า

“ฉันคิดว่าสุขภาพจิตต้องมาก่อน เพราะเมื่อคุณไม่มีความสุขกับการเล่นกีฬามันจะไปไม่ได้ไกล  ดังนั้นการถอนตัวจากการแข่งขันใหญ่และหันมาใส่ใจตัวเอง บางครั้งมันก็ไม่เป็นอะไร”

เราคิดว่าถ้าซีโมนฝืนทำมันต่อทั้งที่รู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้แล้ว จุดจบมันอาจจะไม่ใช่แค่ข้อเท้าหักก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับซีโมนเลยเป็นเรื่องที่ทำให้คนภายนอกตระหนักได้มากขึ้นว่า สำหรับนักกีฬาไม่ใช่แค่เรื่องร่างกายที่ต้องดูแลให้ดี แต่จิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน

และนักกีฬาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเหมือนทุกคน

แม่ของซีโมน (ที่ภายหลังในซีรีส์เล่าว่าแท้จริงคือคุณยายของซีโมนที่รับเธอกับน้องสาวมาเป็นลูกบุญธรรมเพราะแม่ผู้ให้กำเนิดติดยาและไม่สามารถเลี้ยงดูลูกๆ ได้) 

บอกกับซีโมนตอนที่เธอยกเลิกการแข่งขันว่า

“ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะลูกรัก เพื่อนในทีมจะทำเต็มที่ถึงจะไม่มีหนู แม่ไม่อยากให้หนูลงแข่งถ้าหนูไม่พร้อม อย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บเลย แบบนั้นไม่ดีแน่ หนูต้องดูแลตัวเอง หายใจเข้าลึกๆ และรู้ไว้ว่าพวกเราคอยอธิษฐานให้หนูนะ”

แน่นอนว่าเราประทับใจกับสิ่งที่แม่ของซีโมนพูด มันช่างเป็นประโยคธรรมดาที่แสนเรียบง่ายซึ่งคนในครอบครัวจะพูดให้กัน เรารู้สึกดีใจกับซีโมนที่เธอมีคนรอบตัวที่เข้าใจและไม่ใจร้าย ที่สำคัญคือพวกเขามองเห็นเธอเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่แบกความกดดันไว้มากพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องพูดจาดุด่าซ้ำเติมหรือแสดงความผิดหวังต่อกัน

เราคิดว่าสิ่งที่ซีโมนทำนั้นกล้าหาญมากเกินกว่าที่จะเรียกเธอว่าขี้แพ้ เธอยืนหยัดกับการตัดสินใจซึ่งแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่ง เธอเลือกที่จะเซฟตัวเองทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ต้องมีคนที่ไม่เข้าใจและผิดหวังในตัวเธอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 

เราคิดว่าพอคนเรารู้อยู่ข้างในลึกๆ ว่าคนรัก เพื่อนฝูงหรือครอบครัวเข้าใจเราและพร้อมที่จะสนับสนุนเราในทุกเรื่องมันมีความหมายมาก

มันเหมือนเรามีป้อมปราการที่แข็งแกร่งและปลอดภัยให้ได้เข้าไปพักเพื่อชาร์จพลังมาสู้ต่อไป ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซีโมนถึงสามารถยืนหยัดในตัวเองด้วยความมั่นใจแบบนั้นได้

การได้ดูซีรีส์สารคดีเรื่องนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าเบื้องหลังความสำเร็จของใครคนหนึ่งมันไม่ได้ง่ายดาย และมันประกอบไปด้วยผู้คนมากมาย นอกจากครอบครัวที่ส่งเสริม โค้ชที่เข้าใจ เพื่อนร่วมทีมที่ให้กำลังใจแล้ว อีกหนึ่งในตำแหน่งสำคัญเลยก็คือ นักจิตบำบัดที่คอยดูแลจิตใจของนักกีฬา ในซีรีส์นี้ทำให้เห็นเลยว่าพวกเขาแต่ละคนมีส่วนช่วยซีโมน ไบลส์ยังไงให้กลับมาก้าวต่อไปได้ ซึ่งเราคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นก็สมควรได้รับเหรียญทองเช่นเดียวกัน

Tags:

สุขภาพจิตกีฬาครอบครัวความกดดันSimone Bliesยิมนาสติกโอลิมปิค

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Pachinko (2022): อ่านผู้หญิงเกาหลีในนาม ‘ซุนจา’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel