- หนังสือ ‘หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ’ ผลงานเขียนของ ‘มิยาชิตะ นัตสึ’ เล่าเรื่องราวของ ‘โทมุระ’ ชายหนุ่มผู้ไร้จุดหมาย แต่ได้ค้นพบความฝันในการเป็นช่างจูนเปียโนหลังจากได้ยินเสียงเปียโนที่ผ่านการปรับจูน และเริ่มต้นเส้นทางการตามหาความฝันนั้นด้วยความพยายามของตนเอง
- แม้จะตั้งใจและพยายามอย่างหนัก แต่การเป็นช่างจูนเปียโนของโทมุระก็ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งความกดดันจากตัวเองและจากผู้อื่น รวมถึงคำถามที่ว่า เขาจะมีพรสวรรค์มากพอที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้หรือไม่
- ทุกคนต่างมีที่ทางของตัวเอง ทุกคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง และทุกคนต่างมีการเดินทางของตัวเอง บางคนอาจก้าวกระโดดเร็วด้วยพรสวรรค์ บางคนอาจเดินช้าๆ ทีละก้าว แต่สุดท้าย ทุกคนก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน
โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ ตำนานแห่งวงการเทนนิส ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในโลกกีฬา โดยเฉพาะท่าตีแบคแฮนด์มือเดียวที่แสนงดงามแต่ทรงพลังของเขา ที่ทำให้ทุกคนพูดกันว่า เขาคือนักเทนนิสที่มาพร้อมพรสวรรค์ (Gifted) จึงสามารถตีท่ายากได้แบบสบายๆ ราวกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย
เฟดเดอเรอร์พูดถึงเรื่องนี้ว่า พรสวรรค์ ไม่ใช่แค่การที่คุณสามารถทำสิ่งยากๆ ได้อย่างง่ายดายเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการมีวินัยในตัวเองอย่างเคร่งครัด การไปสนามซ้อมทุกวันก่อนคนอื่น และกลับบ้านหลังคนอื่น การมีทัศนคติที่ดี การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากคู่แข่ง การมีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือแม้กระทั่งการคุมโภชนาการอย่างจริงจัง
สิ่งที่เฟดเดอร์พูดไว้ คือความจริงที่หลายคนมักมองข้าม หรือมองไม่เห็น พรสวรรค์จริงๆ ไม่ใช่แค่ความสามารถพิเศษ แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่คนไทยเรียกว่า ‘พรแสวง’ ซึ่งจะช่วยให้พรสวรรค์นั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้น หรือกระทั่งช่วยให้คนที่ไม่มีพรสวรรค์ อาจพัฒนาความสามารถได้เทียบเท่าผู้ที่มีทักษะมาโดยธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีพรสวรรค์ หากละเลยองค์ประกอบของพรแสวง อาจทำให้พรสวรรค์ที่เคยเป็นพร กลับกลายเป็นคำสาป ที่ทำให้คนๆ นั้น ย่ำอยู่กับที่โดยไม่มีพัฒนาการ ที่จะพาตัวเองทะยานไปไกลกว่าเดิม
หนังสือที่มีชื่อเรื่องยาวแสนยาวว่า ‘หากวันคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ’ ผลงานเขียนของ มิยาชิตะ นัตสึ แปลเป็นภาษาไทยโดย พิมพ์พชร คุณโสภา เป็นนิยายฟีลกู้ด บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของชายหนุ่มชื่อ ‘โทมุระ’ ผู้ค้นพบความฝันของตัวเอง และพยายามเดินหน้าไล่ตามความฝันนั้น ทว่า ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ความฝันกลับดูยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
หรือนั่นจะเป็นเพราะ เขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้มาแต่แรก?
โทมุระ เป็นเพียงเด็กบ้านนอก เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาแสนหนาวเหน็บ เขาไม่เคยมีภาพชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ไม่มีความฝัน หรืออาจพูดอีกอย่างว่า โทมุระ ยังไม่ค้นพบความฝันของตัวเอง
จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงภาคเรียนชั้นมัธยม โทมุระ ได้พบกับช่างที่มาจูนเสียงเปียโนของโรงเรียน วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงที่ผ่านการปรับจูนแล้วของเปียโน โทมุระ เกิดความรู้สึกบางอย่าง ราวกับว่ากำลังได้กลิ่น หรือมองเห็นภาพผืนป่ากว้างใหญ่ปรากฎตรงหน้า ผืนป่าในฤดูใบไม้ร่วงบนภูเขา ผืนป่าที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก
และในวินาทีนั้นเอง โทมุระ ค้นพบความฝันของตัวเอง เขาตั้งใจว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นช่างจูนเสียงเปียโน เหมือนกับคุณอิทาโดริ ที่มาจูนเสียงเปียโนที่โรงเรียน
หนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของช่างจูนเสียงเปียโน เนื้อหาจึงอัดแน่นไปด้วยรายละเอียด รวมถึงศัพท์เฉพาะทางด้านดนตรี โดยเฉพาะเปียโน แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกเบื่อ ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกทึ่งกับสิ่งละอันพันละน้อยที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่เคาะสายในเปียโน มีชื่อเรียกว่า ค้อน ทำจากสักหลาดขนแกะ ซึ่งแกะที่กินหญ้าบนภูเขา ที่สภาพแวดล้อมดีและเป็นธรรมชาติ จะให้ขนแกะที่ก่อกำเนิดเสียงเปียโนที่นุ่มนวล หรือ เปียโนที่ตั้งอยู่ในห้องอาหาร ที่มีผ้าปูโต๊ะอยู่เป็นจำนวนมาก จะถูกดูดซับเสีย จนผิดเพี้ยนจากตอนแรกที่จูนเสียง
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ทำให้เรื่องราวชีวิตของโทมุระ ยิ่งมีความสมจริงและน่าติดตามมากขึ้น
หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย โทมุระ ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเฉพาะทาง ที่สอนเรื่องการจูนเสียงเปียโนโดยเฉพาะ จนกระทั่งจบการศึกษาแล้ว เขาจึงเข้าทำงานที่ร้านขายเครื่องดนตรีที่บ้านเกิด ซึ่งเป็นร้านที่อิทาโดริ ช่างจูนเสียงเปียโน ทำงานอยู่
ด้วยความที่อิทาโดริเป็นผู้จุดประกายและทำให้เขาค้นพบความฝัน โทมุระจึงหมายมั่นที่จะได้เรียนรู้เคล็ดลับการเป็นช่างจูนเสียงเปียโนจากอิทาโดริ แต่เพราะความที่เป็นช่างจูนเสียงฝีมือดีที่สุดคนหนึ่ง อิทาโดริจึงต้องออกไปจูนเสียงเปียโนให้ลูกค้าทุกวัน โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นนักเปียโนมืออาชีพ ทำให้ โทมุระ แทบไม่เคยได้พบหน้าอิทาโดริเลย
ครั้งหนึ่ง ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบหน้ากันในวันที่โทมุระกำลังรู้สึกท้อแท้ ที่ฝีมือการจูนเสียงเปียโนของตัวเอง ไม่มีพัฒนาการอย่างที่ตั้งใจไว้เลย
“อย่าใจร้อนนะครับ หมั่นเพียรนะครับ หมั่นเพียร”
นั่นคือข้อความเพียงสั้นๆ ที่อิทาโดริ บอกกับโทมุระ ก่อนจะรีบเดินทางออกจากร้าน เพื่อไปจูนเสียงเปียโนให้กับลูกค้า
ถึงแม้โทมุระ จะไม่ได้เรียนรู้อะไรมากจากอิทาโดริ แต่เขาก็ได้มีโอกาสร่วมงานและเรียนรู้จากช่างจูนเสียงเปียโน ที่ถือเป็นรุ่นพี่ในร้านอีก 2 คน คือ คุณยานางิ และคุณอากิโนะ ซึ่งทั้งสองต่างก็มีสไตล์การทำงาน และทัศนคติต่อชีวิต แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยานางิ เป็นคนสบายๆ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่เคยถือว่าตัวเองอาวุโสกว่า มีประสบการณ์มากกว่า หรือเก่งกว่า ตรงกันข้าม เขาคอยให้กำลังใจรุ่นน้องอย่างโทมุระอยู่เสมอๆ
ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่คุยเล่นกัน โทมุระ พูดชื่อต้นไม้และดอกไม้ที่อยู่สองข้างทางออกมา ยานางิ กล่าวชมว่า โทมุระ เท่มากที่รู้จักชื่อต้นไม้และดอกไม้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยให้ความสำคัญ ก่อนจะพูดต่อว่า การรู้จักรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ หรือการมีความรู้รอบตัวในหลายๆ ด้าน นอกจากจะช่วยสร้างหัวข้อในการสนทนากับลูกค้าแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าอีกด้วย
“ตอนที่ลูกค้าบอกว่าอยากได้เสียงนุ่มก็ต้องสงสัยไว้ก่อนเหมือนกัน เขาจินตนาการเสียงนุ่มไว้แบบไหน… ควรจับให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดว่า เขาต้องการเสียงแบบไหน”
นุ่มแบบไข่ต้มยางมะตูม หรือนุ่มแบบสายลมฤดูใบไม้ผลิ หรือนุ่มแบบปีกนกปีกลายสกอต
ตรงข้ามกับยานางิ อากิโนะ ซึ่งเป็นช่างจูนเสียงเปียโนฝีมือดีอีกคน ไม่เคยให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น เพราะเขาเชื่อว่า คำพูดไม่ใช่สิ่งจำเป็น เสียงที่ดีก็คือเสียงที่ดี และโดยส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าไม่สามารถบรรยายได้ชัดเจนจริงๆหรอกว่า เสียงที่ตัวเองต้องการเป็นอย่างไร มิสู้จูนเสียงให้ตรงที่สุด ให้เพราะที่สุดไปเลย จะทำให้จบงานได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า
“เราไปจูนเสียงที่บ้านคนทั่วไป เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น ทำไปก็ไม่มีความหมาย กลับกัน ยิ่งไปพิถีพิถันไม่เข้าท่าสิ… เขาจะยิ่งเล่นได้ไม่ดี”
หากเป็นคนอื่นพูด อาจฟังดูเหมือนการพูดส่งๆ แต่อากิโนะ คือ ช่างที่มีผลงานจูนเปียโนมากว่าสิบปี อีกทั้งยังเคยเป็นนักเปียโนมาก่อน โทมุระ อดสงสัยไม่ได้ว่า หรือเขาจะเห็นบางสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
การเดินทางไล่ตามความฝันของโทมุระ ไม่ใช่การเดินบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม เป็นเหมือนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและขวากหนาม จนเขาอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะตัวเอง ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาควรพยายามต่อไป หรือจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้
คิตากาวะ พนักงานคนหนึ่งของร้าน เห็นโทมุระแสดงท่าทางท้อแท้ จึงพูดปลอบใจว่า ถ้าอยากเก่งขึ้น ไม่ว่าจะในเรื่องการจูนเสียงเปียโน หรือเรื่องอื่นๆ ให้ทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างน้อยหนึ่งหมื่นชั่วโมง แล้วจะกลายเป็นคนเก่งที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นได้
เชื่อว่า หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวทำนองนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครตอบได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือแค่พูดเล่นๆ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าหากคุณตั้งใจฝึกซ้อมอะไรอย่างจริงจัง ถึงขนาดที่ทุ่มเทเวลาให้กับมันจนครบหนึ่งหมื่นชั่วโมง ต่อให้คุณไม่ได้กลายเป็นยอดฝีมือในเรื่องนั้น แต่อย่างน้อย คุณก็น่าจะเก่งขึ้นได้ในระดับหนึ่งล่ะ
คำพูดเรื่องการฝึกซ้อมหนึ่งหมื่นชั่วโมง ทำให้โทมุระมีไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เขาพยายามทำทุกอย่าง ทั้งฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองยิ่งขึ้น ใส่ใจในทุกรายละเอียดของลูกค้า รวมถึงเก็บเกี่ยวความรู้ทุกอย่างจากช่างจูนเสียงคนอื่นๆ
ทว่า โทมุระ ก็ยังถูกลูกค้าบอกยกเลิก หรือขอเปลี่ยนตัวช่างจูนเสียงเปียโน มิหนาซ้ำ อากิโนะ ช่างจูนเสียงเปียโน ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความปากร้าย ยังพูดโพล่งออกมาว่า ทฤษฎีหนึ่งหมื่นชั่วโมง เป็นแค่เรื่องพูดกันเล่นๆ ไม่มีใครเชื่อจริงจังหรอก เพราะคนที่ไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้ฝึกจนครบหนึ่งหมื่นชั่วโมง ก็ไม่มีทางเก่งขึ้นมาได้
โทมุระ จะเดินหน้าต่อไป หรือจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ หรือจริงๆ แล้ว เขากำลังหลงอยู่ในเส้นทางที่ไม่ใช่ของตัวเอง
เวลาที่เราหลงทาง สิ่งที่จะนำเรากลับสู่เส้นทางได้ ก็คือ แผนที่ ไม่ว่าจะแผนที่ที่เป็นแผ่นกระดาษ หรือแผนที่ในแอพพลิเคชั่น
แต่ถ้าเราหลงทางในทางความคิด หลงทางเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง สิ่งเดียวที่จะนำเรากลับสู่เส้นทางได้ ก็คือ หัวใจของเราเอง
ถ้าเราตั้งใจฟัง เสียงหัวใจจะดังให้ได้ยิน และบอกกับเราว่า ควรเดินไปทิศทางไหนเพื่อไปสู่เส้นทางที่ใช่
ฟังดูอาจเหมือนเป็นแค่คำพูดสวยๆ ของไลฟ์โค้ช ที่พบเจอได้เกลื่อนกลาดในโลกปัจจุบัน แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นเรื่องของตัวเราเอง คนที่รู้ดีที่สุด และให้คำแนะนำกับเราได้ดีที่สุด ก็คือ ตัวเราเอง
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ามีความมั่นใจในตัวเองแล้ว เราย่อมมองเห็นทิศทางที่ต้องการไปอย่างชัดเจน
โทมุระ ได้ยินเสียงของหัวใจตัวเอง เมื่อตอนไปจูนเสียงเปียโนให้ลูกค้าคนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มขี้อาย เก็บตัว ไม่พูดไม่จา ไม่กล้าสบตาใคร
เมื่อโทมุระบอกให้เด็กหนุ่มทดลองเล่นเปียโนดูว่า พอใจกับเสียงที่ปรับจูนใหม่แล้วหรือยัง วินาทีนั้น เด็กหนุ่มเปิดยิ้มกว้าง แล้วภาพของลูกหมาตัวโตก็ปรากฎในหัวของโทมุระ พร้อมกับเสียงเปียโนที่สดใสเปี่ยมด้วยความสุข
วินาทีนั้น โทมุระได้ยินเสียงหัวใจตัวเองบอกกับเขาว่า เปียโนแต่ละตัว ล้วนมีที่ทางของมัน เปียโนที่แสนสง่างาม ขับขานเสียงสุดไพเราะ อาจเหมาะกับฮอลล์ดนตรีแสนอลังการ เปียโนที่ดูธรรมดา ไม่หรูหราพิเศษใดๆ ก็เหมาะกับชายหนุ่มผู้เงียบขรึม ที่ไม่ได้ต้องการเล่นดนตรีให้คนอื่นฟัง ไม่ได้ต้องการเป็นนักเปียโนที่ชนะการแข่งขัน
เขาต้องการแค่เล่นดนตรีเพื่อให้ตัวเองมีความสุข ไม่จำเป็นว่าเปียโนตัวนั้นจะต้องให้เสียงที่ไพเราะที่สุด และไม่จำเป็นเลยว่า ตัวเขาจะต้องเปี่ยมพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมากที่สุด
ทุกคนต่างมีที่ทางของตัวเอง ทุกคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง และทุกคนต่างมีการเดินทางของตัวเอง บางคนอาจก้าวกระโดดเร็วด้วยพรสวรรค์ บางคนอาจเดินช้าๆ ทีละก้าว แต่สุดท้าย ทุกคนก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน
ขอเพียงแค่เส้นทางนั้น เป็นเส้นทางที่เราสามารถเดินไปอย่างมีความสุข
อากิโนะ ที่เคยพูดว่า ทฤษฏีการฝึกซ้อมหนึ่งหมื่นชั่วโมง เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ บอกกับโทมุระว่า ถึงไม่มีพรสวรรค์ ชีวิตก็ยังอยู่ได้ ถึงต่อให้ฝึกซ้อมหนึ่งหมื่นชั่วโมงแล้วยังไม่เก่งขึ้น ก็ลองฝึกซ้อมต่อไปถึงสองหมื่นชั่วโมงดูสิ
“แค่ลงมือทำก็พอ”
สุดท้าย ผมหวนกลับไปนึกถึงคำพูดของอิดาโทริ ที่เคยบอกกับโทมุระในช่วงแรกๆ ที่เข้าทำงานว่า “อย่าใจร้อนนะครับ หมั่นเพียรนะครับ หมั่นเพียร”
ใช่ครับ ความขยันหมั่นเพียร คืออีกสิ่งหนึ่งที่พึงนับเป็นพรสวรรค์ เหมือนเช่นที่โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ กล่าวไว้