Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2024

Hannah Gadsby: Nanette คอมเมเดี้ยนเกย์ที่(เคย)เกลียดตัวเองและอยู่อย่างไม่มีตัวตน
Movie
27 June 2024

Hannah Gadsby: Nanette คอมเมเดี้ยนเกย์ที่(เคย)เกลียดตัวเองและอยู่อย่างไม่มีตัวตน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ‘แฮนนาห์ แกดส์บี’ คือคอมเมเดียนชาวออสเตรเลีย ที่มักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพศสภาพ ตัวตนของเธอบนโลก และล้อเลียนวงการศิลปะด้วยความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะที่เธอเรียนมา ซึ่งใน Stand up commedy เธอใช้ชื่อโชว์ว่า ‘เนเนตต์ (Nanette)’ ที่เปิดเผยตัวตนในแบบลึกซึ้งและน่าสนใจ
  • ในฐานะคอมเมเดียน เธอรู้สึกไม่สบายใจที่จะติเตียนตัวตนของตัวเองอีกแล้ว เธอบอกว่าเธอจะเลิกทำสิ่งนี้ เพราะเธอคิดว่าการติเตียนตัวเองที่มาจากใครสักคนในกลุ่มที่เป็นส่วนน้อยอยู่แล้วนั้น “ไม่ใช่การอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เป็นการอัปยศอดสู”
  • แฮนนาห์ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องตัวเอง เธอพูดเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เชื่อมโยงทุกเรื่องเข้าด้วยกันจนทำให้เราได้สะท้อนความคิด ตกตะกอน เธอเป็นตัวแทนของคนผู้มีเพศสภาพที่เป็นหญิง ผู้ที่เป็นเพศหลากหลาย คนที่เจ็บปวดเหนื่อยล้า และคนที่เคยเกลียดตัวเอง 

‘แฮนนาห์ แกดส์บี’ คือคอมเมเดียนชาวออสเตรเลียที่มักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพศสภาพ ตัวตนของเธอบนโลก แวะจิกกัดสังคมชายแท้ผิวขาว และล้อเลียนวงการศิลปะด้วยความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะที่เธอเรียนมา ซึ่งฉลาดและสนุกมากสำหรับเรา 

เรื่องที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้เป็นส่วนนึงจาก stand up commedy ของแฮนนาห์ที่มีชื่อโชว์ว่า ‘เนเนตต์ (Nanette)’ ซึ่งเธอได้มาเปิดเผยตัวตนของเธออีกครั้งหนึ่งในแบบลึกซึ้งและน่าสนใจมาก

แฮนนาห์เล่าว่าเธอเกิดในเมืองเล็กๆ ในรัฐแทสเมเนียซึ่งความรักของผู้ที่รักเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 1989 จนถึงปี 1997 และเป็นช่วงเวลาที่แฮนนาห์กำลังเป็นวัยรุ่น แฮนนาห์ต้องออกจากบ้านเกิดมาอยู่ที่เมืองหลวงเมื่อตอนที่เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยน 

เธอเล่าว่าเธอใช้เวลาอย่างมากในการทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น เพราะสมัยนั้นสื่อมักจะพูดถึงความรักของผู้ที่รักเพศเดียวกัน ว่าเป็นเรื่องของชายรักชาย มองพวกเขาเป็นตัวปัญหา เป็นผู้ที่นำพาโรคเอดส์  ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเพศหลากหลายอื่นๆ อย่างเลสเบี้ยนซักเท่าไหร่

อีกเหตุผลหนึ่งคือ ‘เทศกาลมาร์ดิกราส์’ ที่จัดทุกปีสำหรับกลุ่มเพศหลากหลายที่เธอเข้าใจว่ามันควรเป็นกลุ่มของเธอ (My people) ก็มีความปาร์ตี้ พลังล้นเหลือ เสียงดัง ชอบเต้น จนเธอสงสัยว่า พวกเกย์เงียบๆ เรียบร้อยเขาไปอยู่ที่ไหนกัน

ซึ่งแฮนนาห์ก็ออกตัวว่าไม่ได้มีปัญหากับความน่าตื่นตาตื่นใจของงานพาเหรด เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ฟิตอิน เธอเป็นพวกรักความสงบ ไม่ได้รู้สึกถูกดึงดูดท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่รื่นรมย์สำหรับแฮนนาห์คือเสียงของแก้วน้ำชาที่กระทบกับจานรองของมันก็แค่นั้น 

แฮนนาห์เล่าถึงช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีก่อนที่เธอเริ่มมาเป็นคอมเมเดียนแรกๆ ตอนนั้นเธอได้หยิบเอาเรื่องการเปิดเผยตัวตนการเป็นเกย์ของตัวเองมาเล่าโดยเลือกที่จะใช้มุกตลกแบบติเตียนตัวเองมาโดยตลอด รวมไปถึงการเล่นมุกจิกกัดพวกเกลียดชังคนที่รักเพศเดียวกัน ซึ่งเธอมองว่าสุดท้ายมันก็ไม่ช่วยทำให้เรื่องราวอะไรดีขึ้น

เมื่อเธอได้ทบทวนตัวเองในฐานะคอมเมเดียน เธอรู้สึกไม่สบายใจที่จะติเตียนตัวตนของตัวเองอีกแล้ว เธอบอกว่าเธอจะเลิกทำสิ่งนี้ เพราะเธอคิดว่าการติเตียนตัวเองที่มาจากใครสักคนในกลุ่มที่เป็นส่วนน้อยอยู่แล้วนั้น ‘ไม่ใช่การอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เป็นการอัปยศอดสู’ (It’s not humility, It’s humiliation.)

เธอไม่อยากพูดแบบนั้นกับตัวเองหรือใครก็ตามที่เหมือนกันกับเธออีกแล้ว

แฮนนาห์เรียนรู้ว่าเธอจะต้องเล่าเรื่องตัวเองให้ดี (I need to tell my story properly.) 

มู้ดการพูดในช่วงหลังของโชว์ค่อนข้างเข้มข้นและค่อนไปทางตึงๆ ซึ่งเป็นอีกช่วงนึงที่น่าสนใจมากสำหรับสแตนอัพคอมเมดี้ เพราะแสดงให้เห็นถึงความโกรธที่เธอต้องเก็บกดไว้ข้างในมาตลอด

เธอเล่าว่าเธอไม่ได้เปิดเผยตัวตนกับคุณยายทั้งที่มีโอกาสบอก เพราะเธอรู้สึกละอายใจในตัวตนของตัวเอง ซึ่งความรู้สึกนี้มันเริ่มเกิดขึ้นในตอนที่เธอเป็นวัยรุ่น 

รัฐแทสเมเนียเป็นศูนย์กลางของชาติเพื่ออภิปรายหารือกันว่าจะให้ความรักของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศควรหรือไม่ควรเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เพราะเมืองที่เธออาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่เคร่งศาสนา

70% ของผู้คนที่เธออาศัยอยู่ด้วยมีความเชื่อว่าความรักของผู้ที่รักเพศเดียวกันควรเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และ 70% ของคนที่รักและเลี้ยงเธอ คนที่เธอไว้ใจก็เชื่อว่าความรักของผู้ที่รักเพศเดียวกัน นั้นเป็นบาป คนที่รักเพศเดียวกัน คือคนที่ชั่วร้าย เป็นปีศาจที่มีเพศสัมพันธ์กับเด็ก

ในช่วงเวลาที่เธอเปิดเผยตัวตนตอนนั้นเธอก็ได้กลืนเอาความคิดเกลียดกลุ่มรักเพศเดียวกันเข้าไปในตัวเอง ดังนั้นเธอจึงเรียนรู้ที่จะปกปิดตัวตนของตัวเองไว้ในพื้นที่ลับๆ อยู่เป็นสิบปี ซึ่งพื้นที่นั้นไม่ได้ช่วยทำให้ความละอายใจหายไปและทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองอยู่ลึกๆ เกลียดเข้าไปถึงกระดูกดำ เธอบอกว่า

“เวลาที่คุณทำให้เด็กคนนึงรู้สึกละอายใจในตัวเอง คุณปลูกฝังการเกลียดชังแบบนั้นให้กับเด็ก พวกเขาไม่สามารถพัฒนาเส้นทางระบบประสาทที่จะบรรจุความคิดต่างๆ ในการเห็นคุณค่าในตัวเอง พวกเขาไม่สามารถทำมันได้  มันกลายเป็นวัชพืชที่ฝังรากลึกและเติบโตไปอย่างรวดเร็วโดยที่เด็กคนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนมันกลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลก”

สิ่งเดียวที่แฮนนาห์ทำหลังจากนั้นคือการเกลียดตัวเองและอยู่อย่างไม่มีตัวตน เธอใช้เวลากว่าสิบปีถึงจะเข้าใจว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะยืนบนโลกใบนี้แต่เธอก็ยังคงปกปิดมันด้วยมุกตลกติเตียนตัวเองเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ช่วงหลังเธอเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการดูถูกตัวตนทางเพศของตัวเองออกมาเป็นมุกตลกอีก เธอเคยโดนฟีดแบคจากตัวแทนชาวเลสเบียนด้วยกันว่าเธอเล่าเรื่องเลสเบียนในโชว์ไม่มากพอ แต่แฮนนาห์ก็พูดว่า “แค่ฉันยืนอยู่บนเวทีตลอดทั้งโชว์มันยังไม่เลสเบียนมากพออีกหรอ”

เหมือนเป็นการบอกว่าถึงเธอจะไม่พูดถึงเรื่องเดิมๆ ที่เคยพูดแต่เธอก็ยังคงเป็นตัวแทนของชาวเลสเบียนอยู่ดี

สุดท้ายเธอก็มองว่านิยามคำว่าเลสเบียนก็อาจจะไม่เหมาะสำหรับเธอก็ได้ ต่อมาเธอจึงนิยามตัวเองว่าเป็นแค่คนที่เหนื่อยล้า (Tired) ซึ่งเราไปแอบดูในอินสตราแกรมส่วนตัวของแฮนนาห์ก็ยังคงเขียนระบุนิยามตัวเองว่าเป็นคนที่เหนื่อยล้าอยู่เหมือนเดิม

เรารู้สึกว่าสิ่งที่แฮนนาห์เจอในช่วงที่กำลังสร้างตัวตนเป็นอะไรที่โหดร้ายมาก เพราะไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่บอกว่า การรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดบาป แต่สังคมก็มีกฎหมายออกมาด้วยซ้ำว่านี่คือเรื่องผิดกฎหมาย ทุกคนต่างเชื่อว่านี่คือเรื่องที่ผิด และเลวร้าย

แค่สังคมบอกแบบนั้นมันก็ไม่ยากแล้วที่จะเก็บเอาความเกลียดตัวเองนี้มาเฆี่ยนตีตัวเอง เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นคือสิ่งที่ผิด ทุกข์ทรมานกับตัวตนที่ตัวเองเป็น แต่นี่คือครอบครัวก็เชื่อแบบเดียวกันอีก ไม่แปลกเลยที่ชาวเพศหลากหลายจะอยากปิดบังตัวตนของตัวเองเพราะมันไม่มีพื้นที่ให้กับพวกเขาเลย

ส่วนตัวเราเองก็อินในพาร์ทนี้ที่ได้หยิบมาเล่ามากเพราะก็เคยถูกปลูกฝังความเกลียดตัวเองเอาไว้ในตัวเช่นเดียวกัน เราเคยถูกบอกว่าไม่มีใครรักเราตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันทำให้เราโหยหาการยอมรับการถูกรักจากคนภายนอกตลอดเวลา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคนที่ควรจะรัก ควรจะยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเราก็คือตัวเอง แต่เราก็ยังไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ 

โชว์ในครั้งนี้ยิ่งใหญ่และน่าสนใจมากในมุมมองของเรา เพราะเรารู้สึกว่าแฮนนาห์ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องตัวเอง เธอพูดเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เชื่อมโยงทุกเรื่องเข้าด้วยกันจนทำให้เราได้สะท้อนความคิด ตกตะกอน เธอเป็นตัวแทนของคนผู้มีเพศสภาพที่เป็นหญิง ผู้ที่เป็นเพศหลากหลาย คนที่เจ็บปวดเหนื่อยล้า และคนที่เคยเกลียดตัวเอง 

แฮนนาห์กล้ายอมรับตัวตนของตัวเองว่าในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นเธอได้เจอกับอะไรมาบ้าง เธอทำให้เราได้เห็นว่ายังมีคนที่เจ็บปวดแบบเดียวกันอยู่และเขากล้าที่จะโอบกอดทุกชิ้นส่วนทั้งดีและร้ายของตัวเอง เขาสามารถเริ่มรักและยอมรับตัวเองได้แล้ว และเราก็จะทำได้เช่นกัน 

Tags:

เพศสภาพแฮนนาห์ แกดส์บีstand up commedyLGBTQA+

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง
Education trend
27 June 2024

ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • ‘ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุด’ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยก็คือ การให้ความสำคัญกับตัวเนื้อหาความรู้มากกว่าการเรียนรู้กระบวนการวิทยาศาสตร์
  • เราควรเปลี่ยนการเรียนรู้แบบท่องจำเป็นการฝึกสังเกตและตั้งคำถาม เพื่อให้เด็กมีนิสัยแสวงหาความรู้หรือความจริงด้วย ‘กระบวนการวิทยาศาสตร์’
  • การฝึก ‘จริต’ การเรียนรู้ของนักเรียนทั้งประเทศใหม่ จะช่วยให้เราสามารถ ‘ลด’ เนื้อหาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างมากมายมหาศาล 

เราอาจมีวิธีการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ผิดพลาดมาหลายสิบปีไม่เปลี่ยนแปลง และนี่อาจเป็นผลทำให้ผลสอบ PISA ของไทยตกต่ำลงเรื่อยมาในหลายปีหลังก็เป็นได้นะครับ 

ความผิดพลาดที่ว่าคืออะไร?

เราอาจแบ่งเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ได้แบบหยาบๆ เป็น ‘กระบวนการวิทยาศาสตร์’ (scientific method) กับ ‘ความรู้ที่ได้จากกระบวนการวิทยาศาสตร์’ (scientific knowledge) สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เพราะอาศัยกระบวนการวิทยาศาสตร์นี่เอง จึงทำให้เราได้ความรู้วิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้โลกพัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนั่นเอง

ผมตั้ง ‘สมมุติฐาน’ ว่าเป็นไปได้ว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยก็คือ การให้ความสำคัญกับตัวเนื้อหาความรู้ ‘มากจนเกินไป’ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับให้ความสำคัญกับการเรียนรู้กระบวนการวิทยาศาสตร์ ‘น้อยจนเกินไป’ ทั้งสองอย่างสำคัญนะครับ แต่การให้ความสำคัญผิดจุด ทำให้เราได้นักจดจำเต็มไปหมด แต่แทบไม่ได้นักคิดเลย 

เรื่องนี้อาจส่งผลลัพธ์ร้ายแรงดังที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ก็คือ อย่างแรกสุด นักเรียนไม่รู้สึกสนุกหรือ ‘อิน’ กับการเรียนวิทยาศาสตร์ เพราะจำเป็นต้องท่องจำมากจนเกินไป เมื่อสอบเสร็จไปแล้วก็กลับจดจำได้น้อยมาก เพราะสิ่งที่ท่องจำกันอยู่นั้น เป็นจุดเล็กจุดน้อยที่ไม่ใช่ ‘แก่น’ หรือใจความสำคัญ อีกทั้งเป็นส่วนที่ลืมง่ายมาก เพราะจุกจิกยุบยิบยากจดจำ  

ผลเสียที่อาจจะแย่กว่าที่กล่าวไปแล้วคือ การเรียนผิดวิธีอาจทำให้พาลรู้สึกว่าอะไรทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ดูยากไปหมด จนนึกเกลียดอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต พอจับแก่นของเรื่องไม่ได้ ก็เชื่อมโยงเรื่องที่เรียนกับเรื่องต่างๆ รอบตัวไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาตามมาในที่สุดว่า กลายเป็นเรากำลังผลิตกำลังคนที่ไม่มีความสามารถในการเฉลียวใจ (เอ๊ะ) กับเรื่องต่างๆ เพราะขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีพอ จึงเชื่ออะไรง่ายและโดนหลอกง่าย 

ข้อมูลผิดๆ ที่แชร์กันในกลุ่มไลน์ยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะแม้แต่ในกลุ่มไลน์คนที่เรียนจบวิทยาศาสตร์ ก็ยังมีสัดส่วนคนที่แชร์เรื่องที่ไม่มีมูลและไม่น่าเชื่อถือทางด้านวิทยาศาสตร์มากพอกับกลุ่มไลน์ทั่วไปนั่นเอง

จะแก้ไขเรื่องพวกนี้กันอย่างไร? 

เราอาจต้อง ‘เปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนในห้องเรียนวิทยาศาสตร์แบบกลับหัวกลับหางกับที่ทำกันอยู่ตอนนี้’ นั่นก็คือแทนที่เริ่มการสอนว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบอะไร เราต้องทำให้การเรียนมีลักษณะเป็นไป ‘ตามธรรมชาติ’ มากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการทดลองมากขึ้น ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจน หากทำในนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 

ต้นชั่วโมงหากเป็นไปได้ ควรเริ่มด้วยการทดลองก่อน เพื่อฝึกการสังเกต ตามด้วยการเปิดโอกาสนักเรียนให้ตั้งคำถามอย่างกว้างขวางและอภิปรายกันอย่างหลากหลาย ให้คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเท่าที่จะนึกออก หากทำซ้ำกระบวนการแบบนี้ทุกครั้ง นักเรียนก็จะคุ้นเคยกับการสังเกตและตั้งคำถามจนเกิดเป็นนิสัย และยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ให้อยู่ติดตัวไปใช้ในอนาคตโดยต่อไปด้วย 

เมื่อทดลองแล้ว ให้คิดถึงความเป็นไปได้เพื่อหาคำตอบแล้ว อาจมีการทดลองเพิ่มอีกเพื่อตอบข้อสงสัยตามแต่ความเหมาะสมของเวลา สุดท้ายจึงให้นักเรียนช่วยกันสรุปสิ่งที่เรียนมาทั้งหมด เพื่อตกผลึกความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งอาจมีประโยชน์สำหรับใช้ต่อยอดความคิดในเรื่องอื่นต่อไปในอนาคต  

ถ้าทำแบบนี้ได้ เด็กๆ ก็จะนิสัยการแสวงหาความรู้หรือความจริงด้วย ‘กระบวนการวิทยาศาสตร์’ เข้าใจกระบวนการหาคำตอบอย่างเป็นขั้นตอน และกลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นและวิธีหาคำตอบในที่สุด  แม้ในอนาคตจะไม่ได้ทำงานในสาขาวิชาที่ใช้วิทยาศาสตร์เยอะๆ ก็ยังจะมีประโยชน์กับตัวเองอยู่ดี

การเรียนรู้จากการลงมือทำ (learning by doing) แบบนี้มีประโยชน์มากนะครับ ในวงการศึกษารู้กันดีว่าหากนักเรียนเรียนรู้ผ่านการฟัง อ่าน หรือดูเฉยๆ จะสามารถจดจำได้แค่ราว 5-20% เท่านั้น แต่หากมีการแสดงให้ดูและมีการตั้งกลุ่มอภิปรายกัน นักเรียนจะจดจำได้มากขึ้นมาเป็น 30-50% แต่หากนักเรียนได้ลงมือทำหรือฝึกฝนเอง ตัวเลขจะกระโดดขึ้นมาเป็น 75% เลยทีเดียว 

วิธีนี้จะเป็นรองแค่การให้นักเรียนกลับไปทบทวน ทำความเข้าใจ และเตรียมตัวมาเพื่อสอนเพื่อนนักเรียนคนอื่นในเรื่องนั้นๆ วิธีสุดท้ายนี้ช่วยให้จดจำได้มากถึง 90% ทีเดียว [1]   

แม้แต่การทดลองในประเทศกำลังพัฒนาอย่างโซมาเลียในทวีปแอฟริกาในปี 2018 ก็ยืนยันความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างดีว่า วิธีการเรียนแบบได้ลงมือทำนี้ได้ผลจริง โดยนักเรียนมากกว่าครึ่งหนึ่งระบุว่า ตัวเองมองเห็นว่าวิธีการเรียนแบบนี้มีประโยชน์มาก ทำให้รู้สึกกระตือรือร้นอยากเรียนมากขึ้น มีอยู่ 56% (จากทั้งหมด 52 คน) ยังระบุด้วยว่า อยากนำสิ่งที่ได้เรียนรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์อื่นต่อไปอีกด้วย [2]

น่าเสียดายว่าแม้ในปัจจุบันโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนที่เน้นการทดลอง ‘ก่อน’ การสรุปผลต่างๆ มากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอาจจะไม่แพร่หลายมากเท่าที่ควร และยังมีโรงเรียนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังทำ ‘แล็บแห้ง’ กันเป็นกิจวัตร คือบอกผลการทดลองเลย โดยไม่ต้องทดลอง ทำให้เด็กๆ เสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้และเกิดนิสัย ‘คิดแบบวิทยาศาสตร์’ ติดตัวไปชั่วชีวิต 

การเรียนการสอนยังเน้นไปที่แข่งกันท่องจำเรื่องต่างๆ มากมายที่ไม่ใช่ ‘แก่น’ ของเรื่อง ยิ่งจำได้มากก็ยิ่งได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น ‘เด็กเก่ง’ ขณะที่เด็กที่ ‘สงสัยเก่ง’ กลับดูเป็นตัวประหลาดหรือน่ารำคาญ!

การเรียนรู้แบบท่องจำเป็นหลักมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับการเรียนแบบไสยศาสตร์หรือการท่องจำเนื้อหาในพระคัมภีร์ศาสนาต่างๆ ซึ่งถือเป็นคำสอนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีทางผิดพลาด และแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ขัดแย้งกับ ‘หัวใจ’ ที่เป็นหลักการสำคัญทางวิทยาศาสตร์คือ การพยายามเข้าใจธรรมชาติรอบตัวและจักรวาล ผ่านการสังเกต ทดลอง สรุปผลการทดลอง และเมื่อสงสัยอะไรใหม่ ก็ทำวงจรนี้ซ้ำอีก  เพื่อตรวจสอบยืนยัน ค่อยๆ สะสมความรู้ 

ความรู้ใหม่ในทางวิทยาศาสตร์จึงสอดคล้องกับความรู้เก่าที่รู้อยู่แล้วเสมอ หากไม่สอดคล้องกัน ก็ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งผิดอย่างแน่นอนและต้องแก้ไขให้ถูกต้อง วิทยาศาสตร์จึงแก้ไขตัวเอง (self-correcting) อยู่ตลอดเวลา จุดแข็งแบบนี้ไม่พบในระบบหรือระบอบใด ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ลัทธิ ศาสนา หรือการเมือง ฯลฯ    

การฝึก ‘จริต’ การเรียนรู้ของนักเรียนทั้งประเทศใหม่ จะช่วยให้เราสามารถ ‘ลด’ เนื้อหาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างมากมายมหาศาล (ตอนนี้มีแต่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา) ให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพราะมีแต่คนที่จะทำงานในสายงานด้านวิทยาศาสตร์โดยตรงเท่านั้น (นักวิทยาศาสตร์, วิศวกร, เภสัชกร, แพทย์ ฯลฯ) ที่จำเป็นต้องเรียนอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งการไปเรียนแบบนั้นในระดับมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป หากมี ‘ความรู้พื้นฐาน’ ในระดับมัธยมศึกษาที่แน่นมากพอ  

การเรียนแบบท่องจำเนื้อหามากเกินความจำเป็น มีแต่จะสร้างความทุกข์กาย ทุกข์ใจ หนักๆ เข้าก็ทำให้เด็กๆ เกลียดการเรียนวิทยาศาสตร์ เพราะมองว่ายากและมีเรื่องจดจำมาก จึงท่องจำแค่พอไปสอบให้ผ่าน เพื่อที่จะลืมหมดในทันทีที่สอบเสร็จ หาก ‘ปฏิวัติการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์’ ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาใหม่ ให้เหลือแต่เนื้อหาที่เป็นแก่น นักเรียนสนุกและมีความสุขกับการทดลองและจดจำเนื้อหาได้ดี แม้ผ่านเวลาไปนานแล้ว อันที่จริงบางคนอาจจดจำบางเรื่องได้จนถึงวันตายด้วยซ้ำไป  

แน่นอนว่าแนวคิดแบบนี้คงไม่ได้ใหม่เอี่ยม ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน แต่การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้นได้ น่าจะไม่ง่ายเลย จำเป็นต้องฝึกครูอาจารย์ในรูปแบบใหม่ มีตำราเรียนที่สนับสนุนแนวทางนี้ มีเงินที่อนุมัติมาใช้ทำกิจกรรมแล็บ (อาจตัดจากกิจกรรมที่ไม่จำเป็นที่ลดลงได้ เช่น … ตรงนี้ให้คุณครูช่วยกันเติมคำในช่องว่างนะครับ …) 

นอกจากนี้แล้ว ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ควรต้องเป็นแบบใหม่ที่เน้นวิธีคิดและประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อตอบ ไม่แน่ว่าอาจจำเป็นต้องมีโรงเรียนพิเศษสำหรับ ‘เด็กเก่ง’ ที่ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนที่ต่างออกไป เน้นทั้งกระบวนการคิดและจดจำ เพื่อป้อนคนเก่งพิเศษเข้าวงการวิทยาศาสตร์ในอนาคตต่อไป แต่สำหรับเด็กส่วนใหญ่แล้ว เราควรทำแบบการสอนกีฬาในโรงเรียนคือ ‘สอนแค่เพื่อให้ได้เรียนรู้’ ไม่ใช่สอนแบบตั้งความหวังว่า เด็กทุกคนจะกลายไปเป็นนักกีฬาโอลิมปิกส์กันหมด!  

แต่ที่ยากที่สุดอาจจะได้แก่ การเปลี่ยนกรอบความคิด (mindset) ของคนในวงการศึกษาและวงการเมืองให้เห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ซึ่งอาจต้องใช้เวลานาน โดยอาจจะเห็นผลหลังสิบปี ไปแล้ว จนยอมสนับสนุนให้เกิดขึ้น เพราะความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ จะไม่ได้เกิดผลในยุคของตัวเองและนำไปหาเสียงต่อไม่ได้ เพราะไม่ใช่การเปลี่ยนแบบปุบปับสำเร็จรูปที่มักเห็นกันทั่วไปอย่างการอนุมัติโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ ใช้เงินเยอะๆ ดังที่เห็นกันทั่วไป

แต่นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลง ‘อุปนิสัย’ ของคนทั้งประเทศและเปลี่ยนทิศทางของประเทศ  ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว อันอาจก่อให้เกิดความสุขของพลเมืองและไม่แน่ว่า อาจจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงมากจากความคิดสร้างสรรค์ในตัวพลเมืองจนยากประเมินค่าได้ทีเดียว  

เอกสารอ้างอิง

[1] Zhang, X.S. and Xie, H. (2012) Physics Procedia 24, 2231–2236

[2] Fikru Debebe Mekonnen (2020) African Educational Research Journal, Vol. 8(1), pp. 13-19, January 2020

Tags:

โรงเรียนวิทยาศาสตร์การศึกษาการเรียนรู้เด็กนักเรียนครู

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา
Education trend
25 June 2024

สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

เรื่อง The Potential

  • ประเทศไทยจะเป็นสังคมแห่ง ‘คำถาม’ ได้ คนไทยต้องถามเป็น โดยเริ่มจากความสงสัยที่อยู่ในใจ กลายเป็นคำถาม นำไปค้นคว้า หรือถามจากคนที่มีประสบการณ์ แล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือ ‘เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง’ ไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติ
  • ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ชวนคนไทยตั้งคำถาม 5 ข้อ เพื่อหาคำตอบที่อาจเป็นแนวทางนำพาประเทศหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดทางด้านการศึกษา และก้าวสู่สังคมการเรียนรู้
  • “เมื่อประเทศไทยเป็นสังคมเรียนรู้ โรงเรียนและครูจะมีอิสระและความรับผิดชอบที่จะหนุนให้เด็กสร้างสมรรถนะใส่ตัว กระทรวงศึกษาธิการจะ Transform เป็น Empowerment Mechanism สังคมจะเป็นสังคมแห่งคำถาม มีวงจรเรียนรู้จากประสบการณ์การเรียนรู้ในทุกหย่อมหญ้า มีการเรียนรู้เชิงระบบ”

การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่อยู่เฉพาะแค่โรงเรียน แต่ต้องอยู่ในทุกอณูของสังคมไทย และหากถามว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างสังคมเรียนรู้ คำตอบคือ ‘คำถาม’ 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาครูและโรงเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กล่าวในเวที TEP Forum 2024 ในหัวข้อ ‘สร้างประเทศไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้’ ว่า ประเทศไทยจะเป็นสังคมแห่ง ‘คำถาม’ ได้ คนไทยต้องถามเป็น โดยเริ่มจากความสงสัยที่อยู่ในใจ จากข้อสงสัยกลายเป็นคำถาม นำไปค้นคว้า หรือถามจากคนที่มีประสบการณ์ แล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือ ‘เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง’ ไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติ 

ทั้งนี้ในการทดลองต้องทำเป็นกลุ่ม ไม่ใช่ทำคนเดียว ต้องสังเกตว่าสิ่งที่ทดลองอยู่นั้นเห็นอะไร พบอะไร จากนั้นต้องสะท้อนคิดไปสู่หลักการใหม่ หรือหลักการเดิมที่เข้าใจในบริบทใหม่ แล้ววนกลับไปสู่การเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง วนเป็นวงจรเล็กแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันหลักการใหม่ก็อาจจะนำไปสู่ข้อสงสัยใหม่ และกลายเป็นวงจรใหญ่ขึ้นมาอีก ดังนั้น สังคมเรียนรู้ คือ วงจรทั้ง 2 วงจรของการตั้งคำถามและตอบคำถามจากการปฏิบัติ 

ทั้งนี้ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ชวนคนไทยตั้งคำถาม 5 ข้อ เพื่อหาคำตอบที่อาจเป็นแนวทางนำพาประเทศหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดทางด้านการศึกษา และก้าวสู่สังคมการเรียนรู้

ปุจฉาข้อที่ 1 การศึกษาหรือการเรียนรู้นั้นคือการรับถ่ายทอดความรู้?

ที่ผ่านมาโรงเรียนส่วนใหญ่ยังสอนแบบบอก หรือถ่ายทอดความรู้ รวมทั้งเน้นการสอบแบบความจำหรือความเข้าใจ สิ่งนี้คือความเข้าใจผิดที่เราต้องเอาชนะให้ได้ 

เพราะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือการสร้างสมรรถนะและอีกหลายๆ อย่างใส่ตัวเอง ผู้เรียนต้องเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นใส่ตัวเอง ไม่ใช่มีใครสร้างให้ ครูและพ่อแม่มีส่วนช่วยได้เยอะ แต่ลึกๆ แล้ว แต่ละคนต้องเป็นผู้สร้างใส่ตัวเอง 

ปุจฉาข้อที่ 2 การศึกษาเน้นสอนความรู้?

นอกจากเปลี่ยนการสอนมาเป็นผู้เรียนสร้างใส่ตัวเองแล้ว ยังต้องเปลี่ยนจากการเน้นความรู้ไปสู่การสร้างสมรรถนะ ฉะนั้นการเรียนในสมัยใหม่ต้องเป็นแบบ Active Learning หรือ เรียนรู้เชิงรุก เพราะว่าผู้เรียนซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือผู้ใหญ่ต้องเป็นคนปฏิบัติตามวงจรการตั้งคำถาม ต้องมีการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกเป็นนักพัฒนาตนเอง หมายความว่า ในการออกแบบกิจกรรม ผู้เรียนต้องร่วมออกแบบ และฝึกประเมินให้เป็น เพื่อเรียนรู้ในการปรับตัวและฝึกเป็นนักพัฒนาตนเอง เป็นการเรียนรู้สมัยใหม่ ซึ่งผู้เรียนจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า Transformative Learning เป็นการเปลี่ยนตัวเองทั้งเรื่องเล็กๆ เช่น ความไม่รู้หรือความเข้าใจผิดบางเรื่อง ไปจนถึงการเปลี่ยนใจในภาพใหญ่คือความผิดชอบชั่วดี ซึ่งการเรียนรู้สมัยใหม่ทุกคนต้องมีทักษะในการ Transformative Learning ตนเอง รวมถึงช่วยผู้ใกล้ชิด เพื่อนร่วมชั้นเรียน รวมถึงครูที่ต้องช่วยให้ลูกศิษย์ Transform ตัวเองเป็น 

ศ.นพ.วิจารณ์ เล่าว่า ความจริงแล้วเป้าหมายของการเรียนรู้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ความรู้มาตั้งแต่ 30 ปีก่อนที่จะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โดย P21 Partnership for 21st century learning ออกมาชี้ให้เห็นว่าการเรียนไม่มุ่งเน้นแค่เนื้อหา แต่ต้องมีทักษะ Life and Career skill, Learning and innovation skill และ Information media and Technology skill และ 10 กว่าปีให้หลังมานี้ World Academic Forum บอกว่า 21st-Century Learning ต้องมี 3 สาย คือ สายวิชาการ สายสมรรถนะ และสายคุณลักษณะ นอกจากนี้ OECD ก็เสนอเป้าหมายการศึกษาของปี 2030 ว่า ต้องพัฒนาสมรรถนะ ซึ่งมีส่วนประกอบ 4 ด้าน คือ ค่านิยม (Value) เจตคติ (Attitude) ทักษะ (Skill) และความรู้ (Knowledge) ซึ่งต้องเรียนแบบผสมกลมกลืนกัน ขณะที่ประเทศไทยมีการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ เพียงแต่ยังไม่ได้นำมาใช้ 

“ดังนั้นจะเห็นว่าทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ การศึกษาต้องช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการเป็นผู้กำกับการเรียนรู้ของตนเอง หรือ self-directed learner และการเรียนรู้นั้นต้องพัฒนาครบด้าน และตระหนักว่าต้องพัฒนาตนเองต่อเนื่องตลอดชีวิต เพราะว่าเรื่องราว สภาพแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดังเช่นตอนนี้จะเห็นว่าเทคโนโลยีเอไอเป็นสิ่งใหม่ที่กำลังท้าทายมาก” 

ปุจฉาข้อที่ 3 การศึกษาเป็นหน้าที่ของโรงเรียน พ่อแม่ไม่เกี่ยว?

การศึกษาเป็นเรื่องของโรงเรียนอย่างเดียวเป็นความเข้าใจผิด สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องเป็นกำลังร่วมกับโรงเรียนในการช่วยหนุนเด็กให้เป็น independent learner เป็น self-directed learner ได้เอง เด็กต้องมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ สามารถสะท้อนคิดเป็น และช่วยเพื่อนได้ สิ่งนี้คือหัวใจของการศึกษา เพราะฉะนั้นนโยบาย PLC ของกระทรวงศึกษาธิการเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดพลังให้ได้ ต้องสร้าง PLC ทั้งในโรงเรียนและระหว่างโรงเรียน ต้องช่วยกันว่าทำอย่างไรถึงจะสร้าง positive engagement กับผู้ปกครองให้เข้ามาช่วยเป็นพลังหนุนโรงเรียนให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก 

ปุจฉาข้อที่ 4 การศึกษาเน้นเรียนเพื่อสอบ สอบความจำและเข้าใจ?

ศ.นพ.วิจารณ์ ตั้งคำถามว่า การเรียนเพื่อสอบ และสอบในเรื่องความจำและความเข้าใจเท่านั้น คือสภาพปัจจุบันของการศึกษาไทยใช่หรือไม่ 

“สิ่งที่ผมมองหรือตั้งคำถามอาจจะไม่ถูก แต่อยากนำเสนอ เพราะเป็นความท้ายต่อสภาพปัจจุบัน ผมอยากให้ข้อสอบมีการวัดผลที่ครอบคลุมตาม Bloom’s Taxonomy of Learning ซึ่งมีทั้งในเรื่องของความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การประเมินผล และการสร้างสรรค์” 

“อยากย้ำเรื่องทักษะการตั้งคำถาม เพราะไม่ใช่ทักษะแค่ตัวครูหรือนักเรียนเท่านั้น ต้องรวมถึงหน่วยออกข้อสอบตรงกลางด้วยว่าท่านถามอะไร ผมอยากให้ข้อสอบกระจายให้ทั่วตาม Bloom’s Taxonomy of Learning ผมสงสัยว่าข้อสอบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีแค่ในเรื่องความจำและความเข้าใจหรือเปล่า อยากให้มีการวิจัยว่าการสอบวัดผลทุกวันนี้มันกระจายการถามรวมคลอบคลุม Bloom’s Taxonomy หรือไม่”

ปุจฉาข้อที่ 5 ครูทำงานคนเดียวในฐานะ ‘ผู้รู้’?

แต่ก่อนคนส่วนใหญ่อาจมองว่าครูเป็นคนที่มีความรู้และมีคำตอบให้นักเรียนได้หมด ถามอะไรมาตอบได้หมด แต่ในยุคนี้ไม่ใช่ ยุคนี้ครูต้องทำงานเป็นทีม และไม่ใช่แค่ทีมในโรงเรียน แต่ต้องออกไปนอกโรงเรียนด้วย หมายความว่า ครูต้องเป็นนักออกแบบการเรียนรู้ และทดลองว่าสิ่งที่ออกแบบนั้นได้ผลดีหรือไม่ ครูต้องเปลี่ยนจากผู้รู้มาเป็นผู้เรียนรู้ และเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิด ทุกวันนี้ครูต้องเป็น ‘Reflective Professional หรือนักวิชาการด้านการสะท้อนคิด’ 

ศ.นพ.วิจารณ์ เล่าว่า หัวใจสำคัญของ Lesson Study คือ ครูต้องร่วมกันออกแบบการทดลองว่าจะแก้ปัญหาอะไร โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ ต้องดูว่าประเทศต้องการอะไร เขตพื้นที่ต้องการอะไร ชุมชนเราอยู่ในพื้นที่แบบไหน แล้วนักเรียนของเราหย่อนตรงไหน นำปัญหามา Lesson Study มาร่วมกันออกแบบและทดลองสอน ตอนออกแบบทำร่วมกัน ทดลองสอนคนเดียว ที่เหลือสังเกตการณ์ อาจจะไปชวนอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือว่าครูโรงเรียนอื่นมาช่วยสังเกตการณ์ก็ได้ แล้วนำผลมาสะท้อนคิดร่วมกันเพื่อหาทางขยับปรับเปลี่ยน ที่สำคัญครูและโรงเรียนต้องเรียนรู้ตลอดเวลา นี่คือหัวใจของการศึกษาสมัยใหม่ 

ร่วมสร้างประเทศไทยเป็นสังคมเรียนรู้ 

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวสรุปในภาพรวมว่า ประเทศไทยจะเป็นสังคมเรียนรู้ได้ต้องวางรากฐานตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์และในวัยเด็กเล็ก โรงเรียนต้องทำงานเป็นทีม ขณะที่เป้าหมายการเรียนรู้ต้องพัฒนาครบทุกมิติ ทั้งมิติภายนอกและภายในโรงเรียน สำหรับวิธีการเรียนรู้ต้องมุ่งเน้นการเรียนรู้เชิงรุกและเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ครูในโรงเรียนมีการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่อเนื่อง รวมทั้งมีความร่วมมือกับกับโรงเรียนอื่นทั้งภาคีภายนอกและในพื้นที่ และที่สำคัญคือต้นสังกัดต้องหนุนนำไม่ใช่สั่งการ

“สุดท้ายเมื่อประเทศไทยเป็นสังคมเรียนรู้ โรงเรียนและครูจะมีอิสระและความรับผิดชอบที่จะหนุนให้เด็กสร้างสมรรถนะใส่ตัว กระทรวงศึกษาธิการจะ Transform เป็น Empowerment Mechanism สังคมจะเป็นสังคมแห่งคำถาม มีวงจรเรียนรู้จากประสบการณ์การเรียนรู้ในทุกหย่อมหญ้า มีการเรียนรู้เชิงระบบ และสุดท้ายคือต้องรู้จักปรับตัว การศึกษาไทยต้องใช้ AI เป็น ฉลาดใช้ในการหนุนเสริม ไม่ใช่ถูกบ่อนทำลาย” 

Tags:

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการศึกษาไทยActive LearningSelf-Directed Learner การเป็นนักเรียนรู้สังคมแห่งการเรียนรู้

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • Book
    ครบรอบ 20 ปี หนังสือ ‘ไชลด์เซ็นเตอร์ สำนวนซ้ำซากของการศึกษาไทย’ กับคำถามที่ว่า การศึกษายังคงเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendSocial Issues
    ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ชวนเด็ก ‘รัก’ และ ‘รักษ์’ สิ่งแวดล้อม เปิดประตูสู่การศึกษาเพื่อความยั่งยืน

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningLearning Theory
    เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

Inside Out 2: เมื่อไม่อาจหลีกหนีความวิตกกังวล สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ
Movie
23 June 2024

Inside Out 2: เมื่อไม่อาจหลีกหนีความวิตกกังวล สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Inside Out 2 เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันภาคต่อในชื่อเดียวกันของค่ายดิสนีย์และพิกซาร์ บอกเล่าเรื่องราวของไรลีย์ เด็กหญิงวัย 13 ปีที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่น ซึ่งนอกจากการเปลี่ยนแปลงภายนอกแล้ว อารมณ์ความรู้สึกภายในของเธอก็มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
  • ลั้ลลา เศร้าซึม ฉุนเฉียว หยะแหยง และกลั๊วกลัว หรืออารมณ์หลักทั้ง 5 ของไรลีย์ยังอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแก๊งอารมณ์น้องใหม่ นำโดยว้าวุ่นที่ถูกส่งมายังศูนย์สั่งการ ก่อนช่วยกันยึดผังควบคุมไปจากลั๊ลลาจนเกิดเป็นเรื่องราวความชุลมุนวุ่นวายต่างๆ ที่ล้วนแต่ผลักดันให้ไรลีย์ได้ลิ้มลองรสชาติของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“ฉันไม่รู้จะหยุดว้าวุ่นได้ยังไง เราอาจจะหยุดมันไม่ได้ บางทีการเติบโตก็คงเป็นแบบนี้ รู้สึกสุขน้อยลง” 

คำพูดของ ‘ลั๊ลลา’ ตัวแทนอารมณ์ความสุขของ ‘ไรลีย์’ ตัวละครหลักจากภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Inside Out 2 น่าจะสะท้อนความรู้สึกของใครหลายคนที่รู้สึกว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ช่างแตกต่างจากภาพฝันในวัยเด็ก

หลังจาก Inside Out ประสบความสำเร็จในการคว้ารางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์เมื่อปี 2016 ตอนนี้ดิสนีย์และพิกซาร์ได้นำเสนอภาคต่อโดยเนื้อหายังคงบอกเล่าเรื่องราวของไรลีย์ในวัย 13 ปี (เพิ่มขึ้นสองปีจากภาคแรก) และกำลังเตรียมตัวเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย 

ไฮไลท์ของ Inside Out 2 คือการเปิดตัวอารมณ์น้องใหม่อย่าง ว้าวุ่น อิจฉา เขิ๊นเขินอ๊ายอาย และ เฉยชิล ที่เข้ามาแย่งคอนโซลควบคุมไปจากกลุ่มอารมณ์เดิมในภาคที่แล้วอย่าง ลั้ลลา เศร้าซึม ฉุนเฉียว หยะแหยง และกลั๊วกลัว ทำให้ไรลีย์ต้องต่อสู้กับความสับสนปั่นป่วนในอารมณ์ ขณะที่เธอจะเปลี่ยนผ่านจากคำว่า ‘เด็ก’ ไปสู่ ‘วัยรุ่น’

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์]

ไรลีย์ ถือเป็นภาพตัวแทนของเด็กที่ก้าวสู่การเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะด้านกายภาพและด้านจิตใจ ซึ่งอย่างหลังดูจะเป็นสิ่งที่วัยรุ่นหรือคนเคยเป็นวัยรุ่นคงตระหนักดีว่าช่วงชีวิตดังกล่าวเต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ที่สวิงไปสวิงมาจนยากจะรับมือ

แม้พล็อตของภาพยนตร์จะพูดถึงสถานการณ์แค่ช่วงสั้นๆ ที่ไรลีย์ถูกเชิญให้ไปคัดตัวในทีมฮ็อกกี้ม.ปลายชื่อดังเป็นเวลา 3 วัน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอลิ้มรสของการเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หลังจากที่อารมณ์ภายในถูก ‘ว้าวุ่น’ หรืออารมณ์ของความวิตกกังวลเข้าครอบงำ 

ในช่วงแรก ว้าวุ่นคืออารมณ์ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องไรลีย์จากความผิดพลาดและช่วยให้เธอบรรลุเป้าหมายในการคัดตัว ผ่านการวางแผนการมากมาย แต่ไม่นาน ว้าวุ่นก็เริ่มประเมินเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต ในแง่ลบและเกินจริงมากขึ้น นำมาสู่การจินตนาการทำร้ายตัวเองว่าจะคัดตัวไม่ติดด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ จนในที่สุดไรลีย์ก็เริ่มแสดงพฤติกรรมที่ขัดกับความเชื่อและตัวตนของเธอในอดีต  

มากกว่านั้น พอไรลีย์ปล่อยใจตัวเองไหลไปกับแผนการของว้าวุ่น นอกจากความสัมพันธ์กับผู้คนที่เปลี่ยนไป ผลกระทบหลักที่ชัดเจนคือไรลีย์กลายเป็นคนที่เครียดง่ายขึ้น นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังมองโลกในแง่ร้าย ทำให้เธอค่อยๆ สูญเสียตัวตนที่เคยเป็น 

แน่นอนว่าในภายหลัง ดิสนีย์ก็ยังคงเป็นค่ายที่เน้นฉากจบที่มีความสุขและคลี่คลายปัญหาให้ตัวละคร แต่สำคัญกว่านั้นคือการที่ภาพยนตร์ได้แนะนำให้เราหันกลับมาสำรวจอารมณ์ในจิตใจตัวเอง โดยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เคลซี่ย์ แมนน์ ให้สัมภาษณ์ผ่าน The Korea Herald ว่าภาพยนตร์จะพูดเกี่ยวกับอารมณ์ที่เราทุกคนต้องเผชิญ ซึ่งผู้คนจำนวนมากได้ให้การตอบรับตัวละครต่างๆ และสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนเดียวที่ต้องจัดการกับตัวละครนี้ แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่

“ผู้คนมักเปรียบเทียบตัวเองและไม่เห็นอะไรเลยนอกจากข้อบกพร่อง ผมต้องการให้ผู้ชมมองในกระจกขณะที่พวกเขาเดินออกจากโรงภาพยนตร์ และรักในสิ่งที่พวกเขาเห็น” 

ด้าน ลิซ่า ดามูร์ นักจิตวิทยาคลินิกชื่อดังชาวอเมริกันที่เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของ Inside Out 2 กล่าวผ่าน vox.com ว่าเมื่อมนุษย์อายุได้ 13-14 ปี พวกเขาต่างมีความสามารถในการวาดภาพตัวเองจากภายนอก เพื่อจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากการพัฒนาของสมอง เช่น ความสามารถในการเขินอายและจินตนาการว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับคุณ หรือมีความอิจฉา อยากได้บางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมี และอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่มีมัน 

“แน่นอนว่าความวิตกกังวล(ว้าวุ่น) เป็นส่วนสำคัญในหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ความวิตกกังวลต้องการคือความสามารถในการจินตนาการและการคาดการณ์ 

ความกลัวคือการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่ความวิตกกังวลเป็นการจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความวิตกกังวลถูกควบคุม ถือเป็นปัญหาที่แท้จริงและท้าทายอย่างยิ่ง เราเห็นสิ่งนี้ในทุกเพศ แต่เมื่อเราดูข้อมูล เราจะเห็นสิ่งนี้ในเด็กผู้หญิงมากกว่าเล็กน้อย 

หลายอย่างเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะเข้าสังคมและเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวพวกเขาพอใจ ซึ่งมันสามารถส่งผลย้อนกลับได้ในแง่ของการทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณค่าของพวกเขาอยู่ที่การไม่ทำข้อผิดพลาด ดังนั้นหากพวกเขาคิดเช่นนั้น วิธีเดียวที่จะบรรลุสิ่งนี้ได้คือการไม่ทำผิดพลาด มันจึงเป็นสูตรสำหรับความวิตกกังวลและความรู้สึกไม่สบาย

ความวิตกกังวลเป็นส่วนสำคัญของชีวิตอย่างแน่นอน มันปกป้องเรา มันช่วยให้เราจินตนาการและคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจผิดพลาด มันช่วยให้เราแก้ไขและตัดสินใจได้ดีขึ้น มันอาจทำให้ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นความวิตกกังวลในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีคุณค่าอย่างมากที่จะต้องควบคุมทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี”

หลังอ่านบทสัมภาษณ์ของทั้งคู่ ผมอดไม่ได้ที่จะนึกกลับไปยังช่วง End Credit ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ได้แฝงข้อความขึ้นมาสั้นๆ ถึงผู้ชมว่า “this film is dedicated to our kids, we love you just the way you are.” (ภาพยนตร์เรื่องนี้อุทิศแก่เด็กๆ และลูกๆ ของเรา , พวกเรารักเธอในแบบที่เธอเป็นนะ) ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าต่อให้อารมณ์ข้างในหรือใครจะคาดหวังกำหนดให้เราทำอะไร สุดท้ายแล้วการเป็นตัวเองและเห็นคุณค่าในตัวเองนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด

Inside Out 2 อาจมอบบทสรุปที่ว่าแม้อารมณ์ทุกชนิดจะไม่ใช่วายร้ายและมีไว้เพื่อการดำรงอยู่รอดของมนุษย์ แต่หากปล่อยให้มีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมากเกินจนครอบงำจิตใจโดยปราศจากการรู้เท่าทัน สุดท้ายอารมณ์นั้นจะย้อนกลับมาทำลายตัวตนของเราในภายหลัง 

Tags:

วัยรุ่นการเติบโตเด็กครอบครัวอารมณ์แอนิเมชันInside Out 2

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    Sunny กับเด็กที่อยู่กับการขาดหาย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ
Creative learning
20 June 2024

พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนทางเลือกที่จัดการศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Learning) มีการออกแบบการเรียนรู้สำหรับเด็กอนุบาลผ่าน ‘งานสวน’ ซึ่งเป็นการบูรณาการกับกิจวัตรประจำวัน ทำให้เด็กเปิดใจเรียนรู้จากการเริ่มทำสิ่งใกล้ตัว
  • ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ คุณครูอนุบาล ถ่ายทอดว่า จุดมุ่งหมายหลักของการออกแบบการเรียนการสอนแบบนี้คือ ต้องการพัฒนา 4 สมรรถนะหลักให้เกิดแก่เด็กระดับชั้นอนุบาล คือ การกำกับตัวเอง, การอยู่ร่วมกัน , การคิดการอ่าน และการแก้ไขปัญหา
  • บทบาทของครูในกระบวนการเรียนรู้นี้คือเป็น ‘ผู้สังเกตการณ์’ ว่าเด็กกำลังเริ่มรู้อะไร เริ่มสงสัยอะไร คอยเป็นผู้ตั้งคำถาม เพื่อให้เด็กเกิดการพัฒนาในทุกๆ ด้าน

“สิ่งที่เด็กจะรู้ สิ่งที่เด็กจะทำได้ จะอยู่ภายใต้สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้ใครสักคนนึงได้ tranformation ได้เกิดการเปลี่ยนผ่านในชีวิตเขา จากคนนึงเป็นอีกคนนึง ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นในแบบที่เป็นรายบุคคล ฉะนั้นคนที่ผ่านกระบวนการคล้ายๆ กันจะได้ผลที่ไม่เหมือนกัน เพราะเราเชื่อว่าเด็กแต่ละคนไม่มีทางทำให้เขาได้เหมือนกันค่ะ แต่เราจะออกแบบการเรียนรู้ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ไปในแบบของแต่ละคน”

นี่คือหลักคิดเบื้องต้นในการจัดการเรียนรู้ระดับชั้นอนุบาลของโรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนทางเลือกที่จัดการศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Learning) พัฒนาเด็กและเยาวชนทั้งกาย ใจ สติปัญญา และสังคม โดยบูรณาการการเรียนรู้สู่ชีวิต ด้วยกระบวนการเรียนรู้บนกิจวัตรประจำวัน บ่มเพาะลักษณะนิสัยที่ดีในวิถีของการรู้อยู่ รู้กิน และรู้ประมาณตนอย่างพอเหมาะ พอดี 

ในระดับชั้นอนุบาลนั้นเป็นการเรียนรู้ผ่าน ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ ซึ่งในบทความนี้ The Potential ขอหยิบยกตัวอย่างในการออกแบบการเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ ของ ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ คุณครูผู้สอนระดับชั้นอนุบาลของที่นี่ โดยครูกิมเกริ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า “งานสวน เป็นการทำงานร่วมกันและเด็กๆ จะเกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน” 

4 สมรรถนะสำคัญของเด็กวัยอนุบาล 

“ด้วยโรงเรียนรุ่งอรุณเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ เราใช้หลักพุทธธรรมในการฝึกทั้งคุณครู และนำมาใช้กับเด็กๆ ทุกอย่างเด็กจะได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็หายไป อันนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ 

อีกอย่างนึงก็คือในการออกแบบการเรียนรู้ เราไม่สนใจผลลัพธ์ แต่ว่าเราสร้างเหตุที่ทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ คุณครูใช้มายเซ็ตนี้เหมือนกันเลยค่ะ เราออกแบบด้วยวิธีการอะไรก็ได้ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นั้น แต่เราจะไม่โฟกัสที่ผลลัพธ์ว่ามันจะต้องได้เหมือนกัน เด็กแต่ละคนเลยเรียนรู้ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่เหมือนกัน จะเป็นเฉพาะคนไป แต่คุณครูก็จะโฟกัสที่กระบวนการการเรียนรู้ สิ่งที่จะทำให้เขาเกิดสมรรถนะต่างๆ”

ครูกิมอธิบายถึงการตั้งเป้าหมายหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ครูผู้สอนคาดหวังจากการออกแบบการเรียนรู้ โดยนอกจากทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตเด็กคนหนึ่ง เช่น การจัดการตัวเอง เติมความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น และสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือ จิตใจ การเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ 

ดังนั้น สิ่งที่เด็กวัยนี้ควรจะต้องเรียนรู้จะประกอบไปด้วย 4 สมรรถนะหลัก คือ การกำกับตัวเอง (self-regulation and well being), การอยู่ร่วมกัน (Collaborative), การคิดการอ่าน (Literacy) และการแก้ไขปัญหา (Problem Solving)

“ก่อนที่คุณครูจะออกแบบการเรียนการสอนในแต่ละเทอมเราใช้ 4 สมรรถนะหลักของเด็กวัยอนุบาลค่ะ อันแรกคือ การกำกับตัวเอง (self-regulation and well being) การกำกับตัวเองแล้วก็สุขอนามัยค่ะ การดูแลตัวเอง อันที่ 2 สิ่งที่ดีเด็กๆ จะได้ในวัยอนุบาลคือ การอยู่ร่วมกัน (Collaborative) ทักษะทางสังคม อันที่ 3 เป็น Literacy การคิดการอ่านค่ะ การคิดการอ่าน รวมถึงคณิตศาสตร์ ภาษา การคิดอย่างเป็นระบบ สุดท้ายคือ Problem Solving การแก้ไขปัญหา ซึ่งวิทยาศาสตร์จะอยู่ในนี้ ก็คือการคิดแบบมีทั้งเหตุและผล สิ่งนี้เกิดสิ่งนั้นจึงเกิด แล้วก็ฝึกแก้ปัญหาทั้งของตัวเอง แล้วก็ไปที่ข้างนอก” 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ใน 4 สมรรถนะที่เด็กจะได้นี้ แต่ละคนจะได้ในระดับที่มากน้อยต่างกัน ครูกิมยกตัวอย่างเช่นในเทอมสองเป็นการเรียนรู้ผ่านงานสวน ครูจะตั้งธงไว้ในใจว่า 2 สมรรถนะที่เด็กจะได้ คือ การอยู่ร่วมกันและการแก้ไขปัญหา เนื่องจากมองว่าเด็กๆ มีความสัมพันธ์กันมาในเทอม 1 แล้ว จึงสามารถปรับตัวได้บ้างแล้ว จึงยกระดับความสัมพันธ์ในแบบที่ทำให้พวกเขาและเธอได้มาทำงานร่วมกัน โดยงานที่ยากและท้าทายอย่างงานสวนนั่นเอง

“พอเด็กได้ทำงานยากพร้อมกัน เขาจะเกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน”

‘งานสวน’ กับการทำงานร่วมกันและการยอมรับซึ่งกันและกัน

ครูกิมขยายความถึงการออกแบบการเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ โดยในแผนการเรียนรู้นั้นในหนึ่งเทอมจะแบ่ง 13 สัปดาห์ และเป็น 3 ช่วงตอน ตอนแรกคือสัปดาห์ที่ 1 ถึงประมาณสัปดาห์ที่ 3 หรืออาจจะเลยมาถึงสัปดาห์ที่ 4 โดยจะมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง เนื่องด้วยเป็นการทำงานกับเด็กเล็กๆ 

“ช่วงแรกก็จะเป็น inspiration ค่ะ สร้างแรงบันดาลใจให้เขารับรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้พืชต่างๆ เติบโต สร้างแรงบันดาลใจในการปลูกพืชผัก โดยพาเขาออกไปนอกห้องเยอะๆ ไปดูธรรมชาติค่ะ แล้วก็เริ่มให้เขาสังเกต บวกกับนิทานด้วยนะคะ นิทานเกี่ยวกับเมล็ด”

“เราพาเขาไปหาเมล็ดข้างนอก บางครั้งเมล็ดตกลงมามันจะเริ่มงอกค่ะ เขาจะเริ่มรู้ได้เองว่ามีเมล็ด มีดิน มีงอก แล้วเราก็พาเขาไปในบ่อยๆ นอกจากนี้ก็มีพาไปชิมพืชผักในสวน ให้รู้ว่าแต่ละชนิดมันแตกต่างกัน ให้เขาเห็นว่ามันมีแสงแดด มีลม มีต้นไม้ที่บางต้นสูงบางต้นต่ำ แล้วเราก็จะพูดคุยเรื่องของเมล็ด มีการแลกเปลี่ยนกัน ให้เขาเอาเมล็ดจากที่บ้านมา ลองเพาะเมล็ดเล็กๆ กัน 

ซึ่งงานสวนห้องครูกิมหลังจากที่พาเขาไปสำรวจแปลง แล้วพอเขาได้ชิม แล้วก็เอาบางส่วนจากพืชผักในสวนมาทำกับข้าว ครูเองก็รู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่ามันจะไม่พอ แต่พอเด็กๆ ได้รู้ว่าเขาปลูกได้ เราก็จะเริ่มตั้งโจทย์ที่เป็นโจทย์ใหญ่แทรกเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา เพราะเขากำลังจะทำอาหาร เพื่อให้เพียงพอกับคนทั้งหมดในห้อง โจทย์ของเราก็คือ ผักเรามีไม่พอ เราจะทำยังไงดี ให้เรามีผักเพียงพอกินตลอด”

จากโจทย์ข้างต้นครูกิมบอกว่านี่แหละคือแรงบันดาลใจ ซึ่งมาจากการพาเด็กๆ ออกไปสำรวจโลกนอกห้องเรียน และสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ก็คือการระดมความคิด ซึ่งจะมีแรงขับเคลื่อนเล็กๆ ของเด็กๆ ที่อยากจะทำให้ได้ว่า “ทำยังไงเราถึงจะมีผักทานได้พอกับคนทั้งห้อง” 

“ตอนแรกเราปลูกในกระถางกันก่อน มีตายบ้าง งอกบ้าง สุดท้ายก็กินไม่พอ แล้วพอไม่พอก็มีพี่เขาสังเกตว่าตรงระเบียงนั้นไม่มีแดดเลย ผักมันตาย เพราะว่ามันไม่มีแดดเลย เราต้องเอาไปปลูกในแปลง เพราะเขามีชุดความรู้ที่มันมากพอจากการที่เราพาเขาออกไปข้างนอกว่าพืชต้องการพื้นที่ ต้องการอากาศ 

ในระหว่างทางนั้นคุณครูเอง จะต้องมีบทบาทของการเป็นเหมือน ‘ผู้สังเกตการณ์’ ว่าเขากำลังเริ่มรู้อะไร เริ่มสงสัยอะไร เป็นผู้ตั้งคำถาม เพื่อให้เขารู้ว่าเขากำลังรู้อะไร

อย่างเช่น วันนี้อยากให้รู้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้พืชเติบโต อยากเช็คดูหน่อยว่าเขารู้ไหม ก็จะถามเขาค่ะว่า วันนี้เด็กๆ  ออกไปข้างนอกสังเกตเห็นอะไร เขาก็จะตอบดิน ตอบต้นไม้ ตอบแมลง แล้วก็อาจจะถามได้นิดหน่อยค่ะว่า คิดว่าทำไมพืชถึงเติบโตเหรอ ก็เพราะว่ามีดิน คำของเขามันก็จะมา เด็กอ.3 ที่มีประสบการณ์มากกว่า ก็จะพูดได้มากกว่า อ.2 อ.1 พยายามฟังพอฟังบ่อยๆ ชุดความรู้นี้จะเป็นความรู้มือหนึ่งของเขาเอง พอเขาออกไปข้างนอกแล้วเขาก็สรุปความรู้บางอย่าง 

จากนั้นคุณครูก็จะบอกว่าเขารู้อะไรผ่านการถ่ายภาพ ในสิ่งที่เขาสรุปได้ค่ะ เพื่อให้เขารู้ว่าเขากำลังเรียนรู้เรื่องนี้อยู่นะ แล้วสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาไปทำอะไรบ้าง ก็จะติดให้เขารู้ ทีนี้เขาก็จะมีทั้งชุดความรู้ แล้วสกิลก็จะมาหลังจากนั้น หลังจากที่เขาได้เริ่มปลูกได้เริ่มดูแล” 

ครูกิมอธิบายเพิ่มเติมว่า อนุบาลที่นี่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบคละอายุ หรือ ชั้นคละ คือในแต่ละห้องเรียนมีเด็กอนุบาล 1 อนุบาล 2 และอนุบาล 3 (อายุ 3 – 6 ขวบ) คละกันไป ในห้องเรียนจะเป็นเสมือนบ้านนี้มีทั้งพี่ใหญ่ พี่กลาง และน้องเล็ก แต่ละคนจะได้เรียนรู้บทบาทการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ได้พึ่งพิงซึ่งกันและกัน 

กลับมาที่โจทย์ใหญ่ว่า “เขาต้องปลูกผักให้คนทั้งห้อง” ครูกิมเล่าว่าเด็กๆ ลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้ง มีทั้งเอามาปลูกในกระถาง แต่สุดท้ายแล้วไม่งอก จึงเปลี่ยนไปในปลูกในแปลง ซึ่งในการปลูกในแปลงมีขั้นตอนที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและสมองในการคิดแก้ปัญหา

“ในช่วงที่เด็กๆ ได้ลงมือปลูก ปลูกแล้วไม่ขึ้นก็จะได้การแก้ไขปัญหาอยู่ในนั้นหมดเลยค่ะ ก็เริ่มปลูกตั้งแต่การขนดินมาเพื่อทำแปลงปลูก ซึ่งดินก็จะต้องไปเอามาจากที่ที่ไกล แต่อยู่ในโรงเรียนนี่แหละค่ะ ฉะนั้นเด็กๆ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตรงนั้นเลย เอาอิฐมาเรียงเป็นแปลงแล้วก็ใส่ดินลงไป แล้วก็พรวนดิน เขาจะได้ทำเองทั้งหมดค่ะ 

จะมีถ้าที่ครูกิมเห็นว่า เออ ความสัมพันธ์ของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ก็คือ ระหว่างที่เขาไปเอาดิน ตอนแรกตั้งต้นไปที่พี่อนุบาล 3 ก่อน เพราะเขามีประสบการณ์มาก่อน ก็ให้เขาเริ่มขึ้นแปลงก่อน เขาก็เอาอิฐมาวาง เสร็จปุ๊บต่อไปก็คือเตรียมดิน พอเขาไปเตรียม เขาก็ตักดินเอาใส่ถังมา เอามาเทเสร็จปุ๊ป เข้าใจว่าที่เอามาก็เยอะแล้วใช่ไหมคะ แต่พอเอามาวางจริงๆ มันก็คือน้อยมากเลย ทำให้เริ่มยอมรับแล้วว่างานสวนเขาทำเองไม่ได้ จากนั้นเขาก็ไปบอกน้องให้มาช่วย”

ครูกิมยกตัวอย่างพี่อนุบาล 3 คนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ได้ไม่นาน และค่อนข้างมีความมั่นใจในตัวเองสูง เขาแสดงความเห็นว่า “เราจะขอน้องทำได้ยังไงขนาดพี่ยังทำไม่ไหวเลย” พี่อนุบาล 3 อีกคนจึงเสนอว่า “ถ้างั้นก็ให้น้องเอากระบอกเล็กๆ ตักดินมาสิ” และหลังจากนั้นก็จะเป็นภาพของเด็กๆ ที่ช่วยกันลำเลียงดินมาจึงพื้นที่ที่จะปลูกผัก 

“พอได้ดินมาเสร็จหญ้าขึ้นเต็มไปหมดเลย ก็ต้องถอนหญ้า แล้วก็ปลูกผักใหม่ เด็กๆ ก็จะได้ทำ คุณครูก็จะเป็นผู้อำนวยการให้เขา แล้วก็สรุปประเด็นของเขา ตอนนี้เราทำถึงไหนแล้ว เป็นจุดเชื่อมการเรียนรู้ให้เขาเห็นว่า ทำอันนี้แล้ว จะทำอะไรต่อ เป็นผู้ตั้งคำถามให้กับเด็กๆ แล้วก็สังเกตเขาว่าใครยังขาดอะไร ใครต้องการคำถามกระตุ้นแบบไหน หลังจากปลูกเสร็จ ก็เป็นดูแลรดน้ำ พอช่วงสุดท้ายก็คือเก็บเกี่ยว ก็เอามากินกัน แล้วพอกินกันพอจริงๆ แล้ว เพราะเราปลูกในปริมาณที่เยอะ แล้วมันก็งอกได้อีกเรื่อยๆ แล้วก็ปลูกช่วงเวลาไม่เท่ากัน เราก็เลยกินได้ทั้งเทอม กินเหลือก็เอาไปแจกจ่ายให้กับห้องอื่นๆ”

“ในระหว่างการทำงานสวนนั้น ก็มีสอดแทรกวิชาการเข้าไปด้วย ทั้งคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ เช่น การขนดิน ก็เป็นเรื่องการกะประมาณ ภาชนะที่จะใช้ว่าถือไหวไหม กะประมาณน้ำหนักในการขน ถ้าวันไหนจะเอาวิทยาศาสตร์ เราก็จะใช้คำถามให้เขาคิดว่าอะไรบ้างที่ทำให้พืชเติบโตอย่างนี้ค่ะ แล้วมีอะไรที่รบกวนพืชบ้าง มีแมลง มีน้ำที่มากไป” 

เตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจ สู่การคิด อ่าน เขียน 

นอกจากการเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการ 4 ด้าน (ร่างกาย, ความคิดและสติปัญญา, อารมณ์ และสังคม) ในเด็กปฐมวัยแล้ว ในการปูพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ในวัยนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ครูกิมบอกว่านอกจากเรียนรู้ผ่านงานต่างๆ แล้ว ยังมีช่วงของการปูพื้นฐานด้านภาษาด้วย

“ในอ.3 เราจะมีช่วง คิด อ่าน เขียน ค่ะ อ.3 เนี่ยเขาจะไม่ต้องนอนตอนกลางวัน จะเป็นช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสองที่คุณครูจะพาคิดอ่านเขียน เป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมสู่ป.1 ซึ่งเราจะเตรียมกันหลายด้าน ทั้งด้านร่างกาย การนั่งบนเก้าอี้ การรู้จักเส้น แล้วก็พยัญชนะ เขียนชื่อตัวเองค่ะ แต่เราก็จะไม่ได้มาจับมือสอนเขียนนะคะ แต่ว่าเป็นการสร้างความคุ้นเคย จำรูป จำเสียง รู้ว่าคำมันประกอบไปด้วยด้วยเส้น จนเกิดมาเป็นพยัญชนะ แล้วอาจจะมีสระ แตะๆ นิดหน่อย แล้วมันก็เกิดคำ แล้วมันมีเสียงที่มันไม่เหมือนกัน แล้วก็จะรู้จักพยัญชนะ อักษรกลาง มาเล่นกันแบบสนุกค่ะ แล้วก็จะมีหนังสือ อ่าน อาน อ๊าน ที่จะมีคำศัพท์มีภาพให้ฝึกอ่านภาพฝึกตีความ ฝึกเล่าเรื่องจากภาพ”

“จริงๆ เราเชื่อว่า เมื่อเด็กๆ เขาพร้อม เขาจะเรียนรู้ได้ สิ่งที่ทำก็คือทำยังไงให้เขาเปิดใจ เปิดการเรียนรู้ และมีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้

เราเลยเริ่มจากงานบ้าน งานครัว งานสวน ก่อน เพราะอย่างแรกเลย เด็กเขาจะใช้ร่างกายมากๆ เมื่อร่างกายเขาพร้อม เขาไม่ต้องพยายามที่จะจับดินสอ แต่เขาจะสามารถควบคุมมันได้ในวันที่ร่างกายเขาพร้อม ในด้านจิตใจเมื่อเขารู้ว่าเขาทำอะไรได้ เขาจะมีความอยากทำแล้วก็ความมุมานะของตัวเอง

แล้วเขาจะไม่ได้สำเร็จตลอดแน่นอน เพราะตั้งแต่ อ.1 2 3 มา เขามีเรื่องเฟลเต็มไปหมด วันนึงที่เขาอ่านไม่ได้ ยังเขียนไม่ได้มันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในชีวิตเขา จนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ แต่เขาจะลองอีกครั้ง เหมือนปลูกต้นไม้อย่างเดียวกันค่ะ เขาจะลองอีกครั้งๆ จนกว่าจะทำได้ แล้วเขาก็จะยอมรับว่าวันนี้เขาทำไม่ได้ แล้วเขาก็จะหาทางที่เขาจะไปต่อได้ สิ่งนี้คือเราสิ่งที่เราค่อนข้างที่จะโฟกัส” 

หล่อเลี้ยงคาแรกเตอร์ความช่างสงสัยใคร่รู้ในเด็กไว้ ด้วยคำถามที่ดีและการสังเกตของครู

จากการจัดการเรียนรู้ผ่านงานสวนของครูกิม จะเห็นว่า เด็กๆ มีคาแรกเตอร์ที่กล้าถาม กล้าตอบ มีความช่างสงสัยใคร่รู้ที่ชัดเจน ซึ่งครูกิมบอกว่า โจทย์สำคัญในการเติมเต็มให้เด็กๆ ได้ในส่วนนี้ก็คือ การใช้คำถามที่ดี และ การสังเกตการณ์ 

“เริ่มถามคำถามจากสิ่งที่เขาสนใจ เช่น ถ้าพาเขาออกไปข้างนอก เด็กชอบข้างนอกอยู่แล้ว เวลากลับมาก็ถามจากสิ่งที่เขาสนใจ จะทำให้เราไม่ต้องทำงานหนักมากในการที่จะเรียกให้ใครตอบ เพราะเรารู้ว่าเขาตอบได้อยู่แล้วและเขาสนใจอยากจะพูดสิ่งนั้นอยู่แล้วค่ะ เหมือนเราโชคดีที่เป็นชั้นคละด้วย พอพี่เขาตอบ น้องเขาก็อยากจะตอบ แล้วตอบถูกไม่ถูกไม่เป็นไรเลย แล้วคุณครูก็จะทวนในสิ่งที่เขารู้ ที่เขาเข้าใจ 

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบงานสวนนะคะ เขาก็ไม่ได้สนใจทุกคน แต่เขาจะต้องเรียนรู้อยู่ในเทอมงานสวนทุกคน เราจะทำยังไง คือเขาไม่ได้ชอบทุกคน แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบทุกอย่าง บางคนไม่ชอบขนดินแต่ชอบรดน้ำ มันเป็นประเด็นที่เราคุยกันบ่อยๆ พาเขาเรียนรู้บ่อยๆ เดี๋ยวเขาจะค่อยๆ เข้าใจ แล้วค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในตัวเขาเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ยังไงเชื่อว่างานบ้าน งานครัว งานสวน จะมีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้เขาน่าจะสนใจอยู่แล้ว”

“อีกอย่างพอเขาเห็นเพื่อนทำเขาก็ทำ เราไม่ทำก็ดูเพื่อนก่อน พอคุณครูถามเพื่อนตอบไม่ได้แต่เขาเห็นนี่ เขาอาจจะไม่ได้ทำแต่เขาตอบได้ มันก็จะสร้างสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ให้กับเขา แล้วพอท้ายเทอมเขาก็อาจจะยังไม่ชอบงานสวนเหมือนเดิม แต่ถามว่าเขารู้ไหมว่าทำยังไง เขาก็จะรู้แล้วก็พอจะทำได้ค่ะ แล้วก็มีความเข้าใจว่าพืชมันไม่ได้โตมาเฉยๆ นะ แล้วเขาทำเองไม่ได้นะ มันต้องใช้อะไรที่ทำให้เติบโต มันต้องใช้เวลา ต้องใช้การดูแล แล้วบางครั้งมันตายได้นะ อันนี้ก็จะเป็นธรรมะเล็กๆ ที่เขาต้องเรียนรู้เหมือนกัน มันงอกใช่ไหม เราดูแลสักพักแต่สุดท้ายมันตาย แต่ว่ามันตายแต่เราก็ต้องไปต่อนะ เราจะทำยังไงกับมันต่อ บางคนปลูกใหม่ บางคนย้ายที่ปลูก ก็จะเป็นการเรียนรู้”

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนจากการจัดการเรียนรู้ผ่านงานสวน

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเด็กในวัยอนุบาล ครูกิมมองว่าส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกที่มากขึ้น แสดงออกได้ดีขึ้น เช่น จากเด็กที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่พอได้เรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆ ได้ทำงานสวน ก็เริ่มที่จะพูดมากขึ้น และพูดได้ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้เด็กๆ ยังมีพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจที่ดีด้วย 

“จริงๆ เด็กพอมาโรงเรียนนะคะ เขาจะค่อนข้างเติบโตได้เร็ว จากเด็กที่ไม่ทานอาหาร กินยากมาก พอมาโรงเรียนพอเขาได้ทำอาหารทานเอง พอเขาได้ปลูก แล้วเขาเห็นคุณค่า เปลี่ยนไปเลยเป็นคนที่กินได้ง่าย อยู่ง่าย มาแรกๆ พาไปงานสวนนี่คือไม่เหยียบดินเลยก็มีนะคะ ไม่ชอบร้อน ไม่เหยียบดิน พอไปช่วงท้ายๆ เทอม เขาก็รู้ว่าเลอะก็ล้างได้ พอเขารู้แล้วไม่ว่าเขาจะออกไปทำอะไรเขามั่นใจมากขึ้นว่าเขาจัดการตัวเขาได้ 

เรื่องจากที่มันเคยใหญ่ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กของเขาไปเลย จากนั้นเขาเริ่มมั่นใจข้างในว่าเขาทำอะไรได้ ก็การได้ลงมือทำจริงๆ ได้ลองผิดหวังจริงๆ ได้ลองเริ่มใหม่จริงๆ”  

นอกจากนี้ ครูกิมเองก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กๆ ในหลายๆ เรื่องด้วย ครูกิมบอกว่า “จริงๆ แล้วเปลี่ยนไปมากนะคะ ตอนแรกครูกิมเป็นใครสักคนที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ อยู่ เพราะว่าเราดูที่ผลลัพธ์ คนนั้นทำได้แบบนี้ดีจัง เขาพาเด็กๆ เรียนรู้ได้ดีจัง จนวันนึงเราทำงานนี้ไปมากๆ เราพบว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเด็กๆ จะพัฒนาได้จากการที่เราทำอะไร บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งแค่เล็กๆ เอง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะไปแคร็กตรงไหน แล้วเขาก็เปลี่ยนแปลง 

สิ่งเดียวที่คุณครูทุกคนทำได้ก็คือ สร้างเหตุที่จะทำให้เขาเกิดการพัฒนา การที่จะทำให้เด็กสักคนมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เราไม่รู้หรอกว่าเราจะต้องทำงานบ้าน งานครัว หรืองานสวน หรือพาเดินตอไม้ หรือว่าออกกำลังกาย แต่เราก็ต้องทำทั้งหมดนั่นแหละค่ะ แล้วก็เปิดสายตาให้กว้างพอที่จะเห็น พอเห็นเด็กๆ เปลี่ยนแบบนี้บ่อยๆ มันทำให้ครูกิมไม่ไปยึดติดกับผลลัพธ์เยอะ การที่เราจะเปรียบเทียบอะไรกับใครมันก็จะน้อยลงค่ะ แต่จะดูว่าอะไรคือสิ่งที่อยากเป็น แล้วเราค่อยๆ ดูว่าเหตุอะไรล่ะ ที่จะทำให้มันไปถึงตรงนั้นได้ แล้วเราค่อยๆ ทำมัน 

พอเราไม่โฟกัสที่ผล เดี๋ยวมันมาเองจริงๆ นะ ก็เลยรู้สึกว่า สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ โฟกัสที่เหตุ ปัจจัยที่จะทำให้มันเกิดผล ฟังดูเป็นพุทธมากๆ แล้วระหว่างทางก็ดูว่าเราจะทำอะไรให้มันเกิดสิ่งนั้นขึ้นโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้ทำสักที ใช่ไหมคะ มันยากๆ 

ที่นี่สอนให้เรารู้ว่าให้ทำงานตรงหน้า ทำมันไปก่อน แล้วเดี๋ยววันนึงเด็กก็เปลี่ยน เราเองก็เปลี่ยน” 

Tags:

พัฒนาการครูโรงเรียนปฐมวัยโรงเรียนรุ่งอรุณโรงเรียนทางเลือกสมรรถนะ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

AI Literacy (1): ทักษะจำเป็นในยุคที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธปัญญาประดิษฐ์
21st Century skills
17 June 2024

AI Literacy (1): ทักษะจำเป็นในยุคที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธปัญญาประดิษฐ์

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เอไอเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราในแง่มุมต่างๆ แต่เรากลับอาจไม่รู้เลยว่าเอไอคืออะไรและใช้งานอย่างไร หรือบางคนอาจใช้งานได้แต่ก็ไม่ได้ทราบถึงข้อจำกัดหรือขอบเขตในการใช้งาน จนอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
  • ‘AI Literacy’ หรือ ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’ จึงเป็นทักษะที่จำเป็นและสำคัญสำหรับคนในยุคของเอไอ
  • ในการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางเอไอ อันดับแรกจำเป็นต้องรู้และเข้าใจฟังก์ชันการทำงานพื้นฐานของเอไอ จากนั้นนำไปประยุกต์ใช้ และก็ต้องมีการประเมินการทำงานของเอไอ ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ ที่สำคัญคือ จริยธรรมเอไอ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น

“ยุคของเอไอได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” —Bill Gates (2023)

คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย เพราะ ‘เอไอ’ (AI) หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราทั้งการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต

บางคนอาจปฏิเสธว่าตัวเองไม่เคยใช้เอไออย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Perplexity แต่จริงๆ แล้วการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติของเราก็มีเอไอเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เช่น การเสิร์ช Google, การสแกนใบหน้า หรือแม้แต่กระทั่งการเล่นโซเชียลมีเดีย กิจกรรมทั่วไปเหล่านี้ล้วนมีเอไอทำงานอยู่เบื้องหลัง จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราไม่เคยใช้เอไอเลย

ในปัจจุบันเทคโนโลยีเอไอกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เอไอเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราในแง่มุมต่างๆ แต่เรากลับอาจไม่รู้เลยว่าเอไอคืออะไรและใช้งานอย่างไร หรือบางคนอาจใช้งานได้แต่ก็ไม่ได้ทราบถึงข้อจำกัดหรือขอบเขตในการใช้งาน จนอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ฯลฯ

ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เองทักษะที่จำเป็นและสำคัญสำหรับคนในยุคของเอไอคือ ‘AI Literacy’ หรือ ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’

‘AI Literacy’ หรือ ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’ คืออะไร? 

AI Literacy ประกอบขึ้นมาจากคำว่า AI และ Literacy โดยคำว่า ‘AI’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence) ตามการนิยามของ Bill Gates (2023) คือ โมเดลที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหรือให้บริการเฉพาะ เช่น ChatGPT คือปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้สนทนาได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถเรียนรู้งานอื่นได้ กลับกันถ้าโมเดลนั้นสามารถเรียนรู้งานหรือหัวข้อใดๆ ก็ได้ นั่นจะเรียกว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป’ (Artificial General Intelligence) หรือ ‘AGI’ ซึ่งเป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้นยังไม่สามารถสร้างขึ้นได้จริง

ส่วน Literacy เดิมทีหมายถึงความสามารถในการเขียนและอ่าน กล่าวคือ การรู้หนังสือ การอ่านออกเขียนได้ ปัจจุบันเป็นคำที่นำมาประกอบกับสิ่งต่างๆ เพื่อใช้หมายถึงการมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ เช่น Digital Literacy ความฉลาดรู้ทางดิจิทัล หรือ AI Literacy ความฉลาดรู้ทางเอไอ

ดังนั้นแล้ว AI Literacy จึงหมายถึง ความสามารถที่ช่วยให้บุคคลสามารถใช้เทคโนโลยีเอไออย่างมีวิจารณญาณ สื่อสารและทำงานร่วมกับเอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เอไอเป็นอุปกรณ์ออนไลน์อย่างหนึ่งในที่บ้านและที่ทำงาน

AI Literacy เป็นทักษะที่ต้องใช้ความฉลาดรู้ในด้านอื่นๆ เป็นพื้นด้วย เช่น Digital Literacy เพราะการจะเข้าใจและใช้เอไอได้เราก็ต้องรู้วิธีใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วย อย่างไรก็ตาม การขาดทักษะดิจิทัลนี้อาจเป็นเหตุที่ทำให้คนไทยยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเอไอที่มากพอ เพราะจากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) พบว่า คนไทย 74.1% มีทักษะดิจิทัลต่ำกว่าเกณฑ์ หมายความว่าบุคคลเหล่านี้ขาดทักษะการใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในเบื้องต้น และขาดความเข้าใจในเรื่องของข้อมูล (Data)

การขาดทักษะดิจิทัลอาจทำให้บุคคลก้าวไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ยิ่งในยุคของเอไอที่ต้องมีทักษะดิจิทัลเป็นพื้นแล้ว การขาดทักษะดิจิทัลและความไม่เข้าใจในเอไออาจทำให้ถูกแย่งงานจากคนที่มีทักษะดังกล่าว ทำให้เสียโอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีขึ้นและการยกระดับรายได้

“เอไอจะไม่เข้ามาแทนที่งานของคุณ แต่เพื่อนร่วมงานของคุณที่ใช้เอไอจะเข้ามาแทนที่คุณ” —Parmida Beigi (2024) หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอไออาวุโสของ Amazon AGI

4 แง่มุมสำคัญในการเสริมสร้าง AI Literacy

Ng และคณะ (2021) ได้รวบรวมงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI Literacy และได้สรุปออกมาว่าการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางเอไอเกี่ยวข้องกับ 4 แง่มุมต่อไปนี้

1. รู้และเข้าใจเอไอ (Know & Understand AI)

อันดับแรกเราต้องทำความเข้าใจว่าเอไอทำงานอย่างไร ซึ่งหมายถึงการรู้และเข้าใจฟังก์ชันการทำงานพื้นฐานของเอไอ เข้าใจเทคนิคและแนวคิดพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังเอไอ ระดับนี้จะเกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการทำความเข้าใจเอไอ 

(เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวเพิ่มเติมในบทความถัดไป)

2. ใช้และประยุกต์ใช้เอไอ (Use & Apply AI)

เมื่อมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นแล้วก็สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและบริบทต่างๆ โดยคาดหวังว่าความรู้ที่มีจะทำให้เราสามารถใช้งานเอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การใช้งานนี้ก็ต้องคำนึงถึงจริยธรรมเอไอด้วย เพื่อไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น (จริยธรรมเอไอจะกล่าวถึงในข้อ 4)

ในปัจจุบันมีการนำเอไอไปประยุกต์ใช้ในหลายๆ วงการแล้ว รวมไปถึงวงการการศึกษาด้วย ซึ่งจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

นอกจากนี้ ‘Computational Thinking’ หรือ ‘การคิดเชิงคำนวณ’ ก็สำคัญในการประยุกต์ใช้เอไอ เพราะจะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบและใช้งานเอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี 4 องค์ประกอบต่อไปนี้ (ไม่จำเป็นต้องใช้ครบทุกอย่างในการแก้ปัญหา)

  1. การย่อยปัญหา (Decomposition) – แยกปัญหาออกมาเป็นส่วนเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ ตัวอย่างเช่น การทำความสะอาดบ้านเราต้องลิสต์ออกมาว่าเราจะทำอะไรบ้าง เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน
  2. การระบุรูปแบบ (Pattern Recognition) – มองหารูปแบบ/แพตเทิร์นที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ในการเรียนภาษาถ้าเราหาแพตเทิร์นในการสร้างประโยคเจอก็จะทำให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น เช่น ประโยคบอกเล่าต้องเรียงว่า ประธาน-กริยา-กรรม
  3. การกำหนดสาระสำคัญ (Abstraction) – เน้นไปที่รายละเอียดที่สำคัญและไม่ต้องสนใจข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ในการหาเส้นทางไปยังจุดหมายให้สนใจเฉพาะทางที่จะพาเราไปได้เท่านั้น
  4. การออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) – คิดวิธีแก้ปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน หรือทำตามกฎบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา เช่น การวางแผนการเดินทาง หรือการทำตามขั้นตอนในสูตรอาหาร

เห็นได้ว่า Computational Thinking ไม่ได้จำกัดแค่ในการใช้เอไอเท่านั้น เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานในบริบทอื่นๆ ได้ เพราะการคิดในลักษณะนี้ทำให้เรามีทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ประเมินเอไอ (Evaluate AI)

เมื่อเข้าใจและประยุกต์ใช้เอไอได้แล้วก็ต้องมีการประเมินการทำงานของเอไอ เช่น ‘ข้อมูลที่ได้จากเอไอมีความถูกต้องหรือไม่’ โดยหนึ่งในทักษะที่ควรมีในการประเมินเอไอคือ Data Literacy (ความฉลาดรู้ทางข้อมูล) กล่าวง่ายๆ คือการประเมินว่าข้อมูลที่นำมาใช้ฝึกฝนหรือเทรน (Train) เอไอมีที่มาอย่างไร เพราะเอไอเรียนรู้จากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป ถ้าเอไอได้รับข้อมูลที่ผิด เอไอก็จะแสดงผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลเท็จได้

เช่น ChatGPT เวอร์ชัน GPT-3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ใช้งานได้ฟรี ใช้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่อัปเดตถึงเดือนมกราคม 2022 หมายความว่าข้อมูลที่แสดงผลออกมาจาก GPT-3.5 อาจล้าสมัยและไม่มีข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้องหรือไม่

การตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจากเอไอเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าเอไอจะให้ข้อมูลด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป เช่น ในการใช้ ChatGPT ครั้งหนึ่งผมเคยถามว่าจะหาข้อมูลนี้ได้จากที่ไหน ซึ่ง ChatGPT ก็ให้ชื่องานวิจัยมาอันหนึ่ง แต่ปรากฏว่างานวิจัยนั้น ChatGPT เป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เพราะไม่สามารถสืบค้นได้ว่าชื่อวิจัยและคนเขียนวิจัยนั้นมีอยู่จริง

4. จริยธรรมเอไอ (AI ethics)

เมื่อใช้งานเอไอเราควรคำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Considerations) กล่าวง่ายๆ คือไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น 

การจะบรรลุเป้าหมายนั้นเอไอควรมีความโปร่งใส (Transparency) และสามารถอธิบายได้ (Explainability) เช่น ผู้ใช้ควรรู้ว่าเอไอตัวนี้ทำงานอย่างไร ตัดสินใจอย่างไร ข้อมูลที่ใช้เทรนเอไอมีที่มาอย่างไร

การพิจารณาข้อมูลที่ใช้เทรนเอไอเป็นเรื่องสำคัญ เพราะข้อมูลบางอย่างอาจมีลิขสิทธิ์หรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา การนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งข้อมูลบางอย่างอาจมีอคติ (Bias) และขาดความหลากหลาย เมื่อนำมาใช้เทรนเอไออาจทำให้เอไอมีอคติ เลือกเข้าข้างหรือกีดกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และให้ข้อมูลเท็จต่อผู้ใช้ได้

นอกจากนี้ ผู้ใช้และผู้พัฒนาเอไอมีภาระรับผิดชอบ (Accountability) ที่ต้องปฏิบัติ กล่าวคือ ผู้ใช้ควรทำความเข้าใจฟังก์ชันการทำงานและข้อจำกัดของเอไอ ใช้งานเอไออย่างเหมาะสม เช่น ไม่นำไปใช้ในการทุจริตหรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่สร้างความเข้าใจผิด อีกทั้งผู้ใช้ควรคอยสังเกตด้วยว่าเอไอทำงานถูกต้องตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดจะได้แจ้งให้ผู้พัฒนาทราบและแก้ไขได้ทันที

ส่วนผู้พัฒนาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอไอของตนได้รับการออกแบบและเทรนมาอย่างมีจริยธรรม เช่น ใช้ข้อมูลที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อมูลที่มีความหลากหลายปราศจากอคติ อีกทั้งต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับเอไอ

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นทางจริยธรรมบางส่วนที่เป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบันว่าควรปฏิบัติอย่างไร เช่น เนื้อหาที่สร้างขึ้นจากเอไอถือเป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์หรือไม่? การนำผลงานที่มีลิขสิทธิ์ไปใช้เทรนเอไอถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่? 

เนื่องจากเอไอยังเป็นเรื่องที่ใหม่ ประเด็นทางจริยธรรมบางอย่างจึงยังไม่ผ่านการถกเถียงที่มากพอจนนำไปสู่ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันได้ สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอเวลาใช้เอไอคือ การใช้งานของเราต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

อ้างอิง

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา [กสศ.]. (2567). ทิศทางพัฒนาทักษะพื้นฐานชีวิต เพื่ออนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนของประเทศ.

กองบรรณาธิการ The Active. (2567). วิกฤตทักษะคนไทย ‘การอ่าน-ดิจิทัล-อารมณ์’ ต่ำกว่าเกณฑ์.

พงษ์ประภัสสร์ แสงสุริยง. (2566). แย่งงานศิลปิน-ละเมิดลิขสิทธิ์? ว่าด้วยเรื่อง ‘ศิลปะกับ AI’ นักวาดมีความเห็นอย่างไรบ้าง.

Bill Gates. (2023). The Age of AI has begun.

Emerge Digital. (2024). AI Accountability: Who’s Responsible When AI Goes Wrong?

Lance Whitney. (2023). ChatGPT is no longer as clueless about recent events.

Long, D., & Magerko, B. (2020). What is AI Literacy? Competencies and Design Considerations. Proceedings of the 2020 CHI Conference on Human Factors in Computing Systems.

Ng, D.T.K, Leung, J.K.L., Chu, S.K.W., & Qiao, M.S. (2021). Conceptualizing AI literacy: An exploratory review. Computers and Education: Artificial Intelligence, 2(2021), Article 100041.

Parmida Beigi. (2024). AI Literacy In Today’s World | Parmida Beigi | TEDxSFU.The Bowers Institute. (2024). TECH TIP: Computational Thinking.

Tags:

จริยธรรมเอไอAIการคิดวิเคราะห์ความฉลาดรู้ทางเอไอ (AI Literacy)ทักษะการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Cover
    Book
    The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • 21st Century skills
    AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issue
    ‘4 เรื่องต้องลงทุน’ กับ ‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ: ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen21st Century skills
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา
Book
14 June 2024

Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Normal People หรือ ‘ปกติคือไม่รัก’ เป็นนิยายรักผลงานของ แซลลี รูนีย์ (Sally Rooney) นักเขียนชาวไอร์แลนด์ แปลไทยโดย ณัฐชานันท์ กล้าหาญ
  • นิยายเล่าถึงความสัมพันธ์อันแสนหวานแต่หม่นมัว ของ ‘แมรีแอนน์’ และ ‘คอนเนลล์’ ที่ให้บทเรียนเราว่า ในเรื่องความสัมพันธ์ เราควรเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด
  • ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา ที่ต้องการความรักและการยอมรับจากคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด คาดหวังจะให้คนอื่นมองเห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะได้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง

หลายวันก่อน ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบไป เป็นนิยายเล่มเล็กๆ แต่สร้างความประทับใจได้ใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ

หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า Normal People ผลงานของ แซลลี รูนีย์ (Sally Rooney) นักเขียนชาวไอร์แลนด์ ซึ่งในฉบับแปลไทยโดย ณัฐชานันท์ กล้าหาญ ใช้ชื่อว่า ‘ปกติคือไม่รัก’

ใช่แล้วครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรัก แถมยังเป็นรักที่ดูน้ำเน่าเหมือนในละครอีกด้วย

ตัวเอกฝ่ายหญิงของเรื่อง คือ ‘แมรีแอนน์’ เป็นคุณหนูบ้านรวย แต่ที่โรงเรียน เธอคือคนที่ไม่มีใครคบ ด้วยนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับท่าทีที่เฉยชาต่อสังคม ทำให้เธอกลายเป็นคนแปลกๆ ซึ่งในหนังสือใช้คำว่า “แมรีแอนน์มีค่าเท่ากับก้อนที่น่ารังเกียจในสายตาของคนอื่นในโรงเรียน”

แน่นอน แมรีแอนน์รู้เรื่องนี้ดี แต่แล้วไงล่ะ เธอไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว เธอกินข้าวคนเดียว นั่งเรียนลำพังคนเดียว ซึ่งจะเรียนก็ต่อเมื่อสนใจอยากจะเรียน เพราะเธอรู้ดีว่า ตัวเองฉลาดกว่าเพื่อนๆ ทุกคนในโรงเรียน (รวมทั้งครูบางคนด้วย)

อาจจะไม่ทุกคนหรอก แมรีแอนน์รู้ดีว่า ความฉลาดของเธอ อาจต้องยอมยกเว้นให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ ‘คอนเนลล์’

คอนเนลล์ ตัวเอกฝ่ายชายของเรื่อง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของแมรีแอนน์ เขาคือชายหนุ่มสุดป๊อปในโรงเรียน หน้าตาดี นิสัยดี เป็นที่รักของทุกคน และคอนเนลล์เอง ก็มีความรักและน้ำใจเผื่อแผ่ให้เพื่อนๆ ทุกคน

ยกเว้นแต่เด็กสาวที่ชื่อ แมรีแอนน์ ซึ่งก็แน่ล่ะ เด็กสาวแปลกประหลาด หรือก้อนที่น่ารังเกียจในสายตาของทุกคนในโรงเรียน จะให้เขาไปยุ่งด้วยก็คงแปลก ดีไม่ดี เพื่อนๆ จะหาว่าเขาเป็นตัวประหลาดเหมือนกับแมรีแอนน์ไปด้วย

ครอบครัวของคอนเนลล์ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แม่ของคอนเนลล์ ทำงานเป็นแม่บ้านที่บ้าน-ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า คฤหาสน์ของแมรีแอนน์ ทำให้คอนเนลล์ ซึ่งคอยขับรถรับส่งแม่ ได้มีโอกาสพบเจอกับแมรีแอนน์อยู่บ่อยๆ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ค่อยๆ พัฒนาจากความเงียบกลายเป็นการทักทาย จากการพูดคุยกลายเป็นความสนิทสนม กระทั่งหลอมรวมทั้งคำว่าเพื่อนสนิทกับคนรักเข้าด้วยกัน

แต่ความสัมพันธ์ของแมรีแอนน์และคอนเนลล์ รวมถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ไม่เคยเป็นเรื่องที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอยู่แล้ว หากแต่ซับซ้อน สับสน และบางครั้งก็ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง

แมรีแอนน์และคอนเนลล์ ต่างมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน อย่างที่ไม่เคยมีให้กับคนอื่น แต่นอกจากทั้งคู่แล้ว ไม่มีใครได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คอนเนลล์ ไม่กล้าให้คนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนๆ ในโรงเรียน รับรู้เรื่องที่เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแมรีแอนน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินคำว่าเพื่อนสนิทเลย

จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนในช่วงวัยรุ่น ล้วนแต่ยกให้เพื่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง ทุกคำพูด ทุกความคิดเห็นของเพื่อน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการกระทำและความคิดของเรา

อาจเป็นเพราะในช่วงวัยรุ่น เรายังไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เรายังต้องการการยอมรับจากคนอื่น เรายังหวาดกลัวการถูกปฏิเสธไม่ให้ร่วมเป็นสมาชิกของฝูง

บางที อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของการเป็นสัตว์สังคม สิ่งที่เราหวาดกลัวที่สุด การถูกขับออกจากกลุ่ม หรือ การต้องยืนหยัดเพียงลำพังคนเดียว

แต่แมรีแอนน์ ไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเธอไม่ใช่สัตว์สังคม แต่เธอคือสัตว์ป่าสันโดษ

แมรีแอนน์ ไม่คิดที่จะบอกให้ใครได้รับรู้ว่า เธอกำลังคบหาอยู่กับคอนเนลล์ เพราะเธอไม่มีใครให้บอก ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวในโรงเรียน ส่วนคนในบ้านก็ไม่ต่างกัน ทั้งแม่และพี่ชาย ไม่เคยเป็นเซฟโซน ตรงกันข้าม ทั้งคู่ปฏิบัติต่อเธอเลวร้ายยิ่งกว่าที่คนในโรงเรียนทำเสียอีก

หรือต่อให้แมรีแอนน์มีเพื่อนมากมาย เธอก็ไม่คิดจะบอกให้เพื่อนรับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยนิสัยที่เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง แมรีแอนน์ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับ เห็นดีเห็นงาม หรืออนุญาต ในการจะคบใครสักคน

เหตุผลอีกข้อหนึ่ง อาจจะเป็นเหตุผลแรกด้วยซ้ำ ก็คือ แมรีแอนน์รู้ดีว่า คอนเนลล์แคร์สายตา แคร์เสียงซุบซิบนินทาของเพื่อนๆ ในโรงเรียน ซึ่งหากเธอเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นรับรู้ คอนเนลล์อาจจะอับอายจนเลิกคบกับเธอ

ในเรื่องความสัมพันธ์ คนที่เราควรแคร์มากที่สุด คือ ตัวของเราเอง และอีกคนที่เรารัก แต่หากใครคนใดคนหนึ่งในความสัมพันธ์ของสองคน กลับแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเองและคนที่เรารัก ความสัมพันธ์นั้นก็ยากที่จะดำเนินไปอย่างราบรื่น

ด้วยความกลัวว่าเพื่อนๆ ในโรงเรียนจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เขามีต่อแมรีแอนน์ คอนเนลล์ตัดสินใจชวนหญิงสาวคนอื่นไปงานเต้นรำในช่วงปีสุดท้ายของโรงเรียน แน่นอนว่า แมรีแอนน์ หัวใจแตกสลาย แต่เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เธอทำสิ่งที่ ‘เจ๋ง’ กว่านั้น คือ ห้ามคอนเนลล์เหยียบเข้าไปในบ้านเธออีก พร้อมกันนั้น แมรีแอนน์ ลาออกจากโรงเรียน ใช้เวลาอยู่กับบ้านเรียนด้วยตัวเองเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัย

ความสัมพันธ์ที่แสนหวานแต่หม่นมัว ปิดฉากลงพร้อมกับช่วงสุดท้ายของวัยนักเรียน แล้วทั้งคู่ก็ก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ด้วยการเป็นนักศึกษาวิทยาลัย

แม้แมรีแอนน์จะจากไป แต่สิ่งหนึ่งที่เธอทิ้งไว้ให้กับคอนเนลล์ คือ การเรียนรู้ที่จะไล่ตามความฝัน เธอเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้คอนเนลล์ ผู้รักในการเขียน และการอ่าน เลือกเรียนด้านภาษาที่วิทยาลัยทรินิตี้ แทนที่จะเลือกเรียนด้านอื่นที่อาจจะง่ายต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพมากกว่า

ชีวิตมักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ หนุ่มคอนเนลล์ ผู้เคยเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในโรงเรียน กลับกลายเป็นชายหนุ่มบ้านนอก ซื่อๆ ติ๋มๆ ที่ดูจะเข้ากับเพื่อนๆ ชาวกรุงไม่ค่อยได้ และที่วิทยาลัยทรินิตี้ คอนเนลล์ก็ได้พบกับแมรีแอนน์อีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ แมรีแอนน์ อดีตก้อนที่น่ารังเกียจ กลับกลายเป็นสาวเปี่ยมเสน่ห์ที่ชายหนุ่มหลงใหล และเป็นที่รักของเพื่อนหญิงมากมาย

กาลเวลาอาจจะเปลี่ยน แต่ความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่ไม่เคยเปลี่ยน อาจเพราะทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกัน ซึ่งความเป็นเพื่อน นับเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะตัดขาดอยู่แล้ว

ความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่ กลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อคอนเนลล์ เอ่ยปากขอโทษที่เขาไม่ได้ชวนเธอไปเต้นรำ เพียงเพราะกลัวเพื่อนๆ จะรู้และล้อ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว คอนเนลล์ ได้มารู้ทีหลังว่า ทุกคนในโรงเรียน ต่างรู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ของเขากับแมรีแอนน์อยู่แล้ว และไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร หรือควรจะหยิบมาล้อเลียนด้วย

ผมอ่านถึงตอนนี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่า บางครั้ง เรามักกลัวคำพูดของคนอื่น จนไม่กล้าทำในสิ่งที่ใจอยากทำ ก่อนจะมาเสียใจในภายหลัง เมื่อได้รับรู้ว่า ที่จริงแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเราจะทำอะไร ตราบเท่าที่เรื่องนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเสียหายให้แก่พวกเขา

ความรักของแมรีแอนน์และคอนเนลล์ ไม่ได้เป็นเทพนิยายที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งในตอนนั้น ทั้งคู่มีเรื่องให้เข้าใจผิด จนต้องเลิกรากันไปอีก แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนต่อกันเสมอ จนกระทั่งในช่วงท้ายของเรื่อง เมื่อทั้งคู่ ต่างสะสางปมที่ติดค้างอยู่ในใจลงได้ และกลับมาคบกันอย่างจริงจังในที่สุด

สรุปเรื่องย่อแบบนี้ อาจทำให้หลายคนคิดว่า หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ต่างจากนิยายโรแมนซ์ทั่วไป เดี๋ยวรักกันเดี๋ยวเลิกกัน สุดท้ายก็กลับมารักกัน แต่ไม่ใช่เลยครับ แซลลี รูนีย์ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นนักเขียนที่มีความโดดเด่นในเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน ทำให้นิยายที่มีพล็อตน้ำเน่า กลายเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ ที่มีแง่มุมทางจิตวิทยาอย่างน่าสนใจ

ทั้งแมรีแอนน์และคอนเนลล์ ต่างก็เป็นตัวละครที่มีปัญหาในเรื่อง self-esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน 

ในส่วนของคอนเนลล์ แม้ว่าเขาจะมีจิตใจดี สติปัญญาดี เป็นที่รักของเพื่อนๆ แต่ลึกๆแล้ว คอนเนลล์ยังคิดว่าตัวเองมีฐานะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับแมรีแอนน์ ไม่คู่ควรที่จะคบกับเธอ ทำให้เขาตัดสินใจเลิกกับเธออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น จิตใจของคอนเนลล์ยิ่งตกต่ำลง จนป่วยด้วยโรคซึมเศร้าขั้นร้ายแรง

ขณะที่แมรีแอนน์ มีปมเรื่องการถูกทำร้ายโดยคนในครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก จนเธอฝังใจว่า ตัวเองไม่มีค่า และสมควรที่จะถูกกระทำด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ชายที่กำลังคบกับเธอ และนั่นทำให้แมรีแอนน์ ที่เคยเป็นสาวฮอทในวิทยาลัย ต้องกลายเป็นผู้หญิงฉาวโฉ่ที่มีพฤติกรรมมาโซคิสต์

นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า การเห็นคุณค่าในตัวเอง ส่งผลอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของคน คนที่มี self-esteem หรือมองเห็นคุณค่าในตัวเอง จะมีความเชื่อมั่น มีทัศนคติในเชิงบวก ซึ่งช่วยให้สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆในชีวิตได้

คอนเนลล์ เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง เมื่อเขาตัดสินใจส่งเรื่องสั้นผลงานตัวเองไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา และได้รับการตีพิมพ์ แน่นอนว่า การที่เขาตัดสินใจมาเรียนด้านภาษา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแมรีแอนน์ แต่การตัดสินใจมุ่งสู่เส้นทางนักเขียนอย่างจริงจัง คือ การตัดสินใจของเขาล้วนๆ และเขาก็ได้รับการตอบรับที่ดีด้วย

ตอนเรียนอยู่ที่วิทยาลัยทรินิตี้ คอนเนลล์อาจรู้สึกเงอะๆ งะๆ เพราะคิดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา ไม่มีใครรักและยอมรับเขาเหมือนตอนอยู่โรงเรียนในเมืองเล็กๆ แต่การได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากผู้คนในแวดวงนักเขียน ทำให้คอนเนลล์ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างแท้จริง

สำหรับแมรีแอนน์ อาจจะยากกว่านั้น เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนอย่างคอนเนลล์ เธอไม่ใส่ใจว่าจะมีใครยอมรับในผลงานที่เธอทำหรือไม่ สิ่งที่เธอต้องการมีแค่คนที่ยอมรับและรักเธอในแบบที่เธอเป็นจริงๆ

แมรีแอนน์ อาจเป็นสัตว์ป่าโดดเดี่ยว แต่เมื่อเธอได้รับความรักจากคอนเนลล์อย่างสม่ำเสมอ เธอจึงรู้ว่า ไม่มีใครโดดเดี่ยวตัดขาดจากคนอื่นโดยสมบูรณ์ได้หรอก เธอยอมปล่อยให้ตัวเองต้องพึ่งพาคอนเนลล์ เหมือนที่เขาต้องพึ่งพาเธอ แล้วเธอก็ยอมรับว่า ตัวตนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ผมเพิ่งจะคิดได้ว่า ทำไมแซลลี รูนีย์ ถึงตั้งชื่อนิยายเรื่องนี้ว่า Normal People 

เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นลูกคุณหนูบ้านรวย เด็กหนุ่มสุดป๊อป หญิงสาวที่มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ หรือผู้ชายจิตตก ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา ที่ต้องการความรักและการยอมรับจากคนอื่น โหยหาอ้อมกอดและคำชื่นชมจากคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด คาดหวังจะให้คนอื่นมองเห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะได้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง

และนี่คือ เรื่องราวของผู้คนธรรมดา

Tags:

นิยายNormal Peopleการรักตัวเองการมองเห็นคุณค่าในตัวเองวัยรุ่นหนังสือความสัมพันธ์ความรัก

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย
Movie
14 June 2024

Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Stand By Me เป็นภาพยนตร์แนว Coming Of Age สัญชาติอเมริกันที่ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง The Body ของสตีเวน คิง ราชาแห่งนวนิยายแนวสยองขวัญ
  • ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของแก๊งเด็กชายวัย 12 ปีที่ชวนกันออกเดินทางเพื่อค้นหาศพของเด็กที่ถูกรถไฟชน โดยหวังว่าการค้นพบนี้จะทำให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่และได้รับเหรียญกล้าหาญ
  • สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจใครหลายๆ คน คือการที่ตัวละครหลักต่างมีแผลใจที่เกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ แต่การมีเพื่อนที่รักและความเอาใจใส่ก็ช่วยให้วัยเด็กของพวกเขาไม่โหดร้ายจนเกินไป

หนึ่งในสิ่งที่ผมรู้สึกเสียดายและเสียใจที่สุดตอนเป็นเด็กคือการที่ผมถูกผู้ใหญ่หลายคนบังคับให้ผมต้องเป็น ‘เด็กดี’ ในแบบที่พวกเขาต้องการ 

แต่ ‘เด็กดี’ กลับไม่ได้แปลว่าเด็กต้องมีนิสัยดีหรือมีน้ำใจโอบอ้อมอารี แต่เป็นเด็กที่เรียนเก่งในวิชาหลักอย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เพื่อโอกาสในการต่อยอดไปยังอาชีพยอดฮิตอย่างพวกหมอ วิศวะ หรือแม้แต่เจ้าของกิจการในอนาคต 

อันที่จริง การเรียนเก่งในวิชาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แถมอาชีพที่ผมกล่าวมาต่างก็ยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่สิ่งที่ผมชื่นชอบและถนัดกลับไปขัดแย้งกับค่านิยมของพ่อแม่ เป็นเหตุให้ผมถูกกดดัน เหน็บแนม และบังคับให้เดินตามรอยของพี่ชายที่ดันโชคดีและชอบในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการมาตลอดชีวิต

แม้จะไม่เหมือนกันนัก แต่ ‘กอร์ดี้’ เด็กอายุ 12 ปี จากภาพยนตร์ปี 1986 เรื่อง Stand By Me ก็ชวนให้ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายโอกาสต่างๆ ในวัยเด็กตั้งมากมาย พร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า หากวันนั้นพ่อแม่ไม่บังคับผม แถมยังช่วยสนับสนุนให้ผมได้เติบโตไปในเส้นทางของตัวเอง วันนี้ผมจะมีความสุขหรือทุกข์ใจกับวัยเด็กน้อยกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ เพราะกว่าผมจะสามารถยืนยันความฝันเพื่อกลับมาเป็นและทำในสิ่งที่ผมถนัดได้ อายุของผมก็ล่วงเลยเข้าสู่เลข 3 ไปแล้ว

กอร์ดี้เป็นลูกชายคนเล็กที่พ่อแม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญแถมถูกเลี้ยงแบบมองข้ามตั้งแต่เด็ก เพราะเดนนิสพี่ชายของเขาเป็นนักอเมริกันฟุตบอลดาวรุ่งชื่อดังที่บรรดาแมวมองทีมดังต่างหมายตัวเขาไปร่วมทีม ดังนั้นไม่ว่ากอร์ดี้จะพูดหรือทำอะไรก็ดูเหมือนจะไร้ตัวตนในสายตาของพ่อแม่เสมอ ซึ่งภาพยนตร์ก็จำลองภาพดังกล่าวผ่านฉากบนโต๊ะกินข้าวที่พ่อแม่เอาแต่คุยกันเรื่องพี่ชายโดยไม่สนใจกอร์ดี้ที่พยายามขอให้พ่อแม่ช่วยส่งจานมันฝรั่งมาให้ หรือตอนที่กอร์ดี้ถามแม่เรื่องกล่องอาหาร แม่กลับไม่คิดจะตอบอะไรเขาสักคำ

 “ฤดูร้อนนั้น ผมกลายเป็นเด็กล่องหน ในเดือนเมษายน พี่ชายผม เดนนิสตายในอุบัติเหตุรถชน เวลาผ่านไปสี่เดือน ทว่าพ่อแม่ผมยังไม่สามารถทำใจได้”

แม้การสูญเสียมักสอนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของคนที่ยังมีชีวิต แต่พ่อแม่ของกอร์ดี้กลับยังคงเฉยชากับเขาเหมือนเดิม โดยพ่อมักคิดว่ากอร์ดี้เป็นเด็กไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่เขียนนิยายแต่งเรื่องที่พ่อเองก็ไม่รู้ว่ามันดียังไง แถมยังไปคบกับ ‘คริส’ เด็กที่ถูกชาวเมืองตราหน้าว่าเป็นหัวขโมย

ตอนที่กอร์ดี้กับเพื่อนๆ ชวนกันไปตามหาศพของเด็กชายในป่า เพื่อหวังจะเป็นฮีโร่ที่คนยกย่อง กอร์ดี้กลับดูเป็นคนที่เงียบๆ ไม่ค่อยร่าเริงเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ของเขา แถมยังดูมีท่าทีของคนที่แบกความหนักอึ้งบางอย่างไว้ในใจ ซึ่งภาพยนตร์ก็ค่อยๆ อธิบายถึงความรู้สึกภายในของเขาผ่านฉากต่างๆ เช่น ตอนนอนค้างคืนในป่า…กอร์ดี้ฝันว่าอยู่ในงานศพของพี่ชายโดยพ่อหันมามองเขาและบอกว่าควรจะเป็นเขาต่างหากที่ต้องตาย หรือฉากพบศพเด็กตายตอนท้ายเรื่อง…กอร์ดี้กลับนั่งร้องไห้รำพึงถึงพี่ชายที่จากไป ซึ่งทั้งสองฉากนี้ทำให้ผมเดาได้ว่าสภาพจิตใจของกอร์ดี้นั้นแย่มากๆ แถมยังจมอยู่กับความรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่รักและที่ต้องการของพ่อ

“ทำไมเดนนิสต้องตาย ทำไม มันน่าจะเป็นฉัน ฉันมันไม่มีอะไรดี พ่อพูดอย่างนั้น (ร้องไห้) ฉันมันไม่ดี เขาเกลียดฉัน พ่อฉันเกลียดฉัน เขาเกลียดฉัน โอ้…ให้ตายเถอะพระเจ้า”

สำหรับผม กอร์ดี้เปรียบได้กับตัวแทนของเด็กที่ถูกมองข้าม แม้พี่ชายของเขาจะตายไปแล้วแต่พ่อแม่ก็ไม่เห็นความสำคัญของเขา โดยเฉพาะการที่พ่อแม่ไม่เคยสนใจที่จะรู้สักนิดว่าเขามีทักษะด้านการเขียนที่มากกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน เพราะในหัวของพ่อแม่…การมีลูกเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคือเรื่องน่ายินดี ส่วนการเขียนอาจเป็นแค่เรื่องเล่นๆ สนุกๆ ของพวกเด็กๆ

สิ่งที่ผมเห็นใจกอร์ดี้มากๆ คือการที่เขาขาดการนับถือในตัวเอง เขาไม่รู้สึกภาคภูมิใจในพรสวรรค์ของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะฝัน แถมยังมักอ้ำๆ อึ้งๆ เวลาถูกถามว่าถนัดทำอะไร 

ซึ่งผมเชื่อว่าปัจจัยหลักที่ทำให้กอร์ดี้ไม่รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองคือวิธีแสดงออกของพ่อแม่ที่ไม่กระตือรือร้นหรือยินดียินร้ายอะไรกับความสามารถของเขา

ไม่นับรวมกับการที่พ่อแม่ต่างก็สนใจแต่เรื่องพี่ชาย รวมถึงการเปรียบเทียบไลฟ์สไตล์ของลูกสองคน (เช่น การคบเพื่อน) ล้วนแต่บั่นทอนความนับถือตนเองของกอร์ดี้ให้ลดลง เหมือนตอนที่คริสชื่นชมความสามารถของกอร์ดี้ในฐานะนักเขียน แต่กอร์ดี้กลับตอบว่า “ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากเป็นนักเขียน มันเป็นอะไรที่งี่เง่าและเสียเวลาเปล่าๆ!” ซึ่งผมเชื่อว่ากอร์ดี้มองตัวเองแบบนี้เพราะพ่อของเขาไม่ยอมรับพรสวรรค์ของเขา

นอกจากความโหดร้ายที่กอร์ดี้ต้องเผชิญ จุดที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดีต่อใจคงเป็นการที่ตัวละครเด็กต่างมีบาดแผลทางใจแต่พวกเขาก็ช่วยเยียวยาความรู้สึกของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นกอร์ดี้ที่เชียร์ให้คริสตัดสินใจเรียนต่อโรงเรียนมัธยม หรือการที่คริสให้กำลังใจกอร์ดี้และเตือนให้เขาตระหนักถึงพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา

“นายจะเป็นนักเขียนที่ดีในวันหนึ่งกอร์ดี้…ฉันรู้พ่อนายรู้สึกยังไงต่อนาย เขาไม่สนใจนายเลย เขาสนแต่เดนนิสและไม่ต้องพยายามบอกฉันเป็นอย่างอื่น นายยังเด็กกอร์ดี้ ฉันอยากเป็นพ่อนายจริงๆ นายจะไม่ได้พูดไปทั่วว่าจะลงเรียนวิชาช่าง ถ้าฉันเป็นพ่อนาย 

มันเหมือนพระเจ้าประทานอะไรให้นาย เรื่องต่างๆ ที่นายแต่งขึ้น และท่านกล่าวว่า “นี่สำหรับลูก จงพยายามอย่าสูญเสียมันไป” แต่เด็กๆ สูญเสียทุกอย่าง เว้นแต่จะมีใครคอยดูแลพวกเขา และถ้าพ่อแม่นายไม่เอาไหนในหน้าที่นั้น บางทีฉันก็ควรจะทำให้”

นี่เป็นประโยคที่ผมชอบมากที่สุดในภาพยนตร์ อาจเพราะพ่อแม่ของผมไม่เคยยอมรับและเปิดใจให้กับความสามารถของผม แถมยังชอบวิจารณ์ผมในลักษณะที่ทำให้หมดกำลังใจจนผมกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ แต่โชคดีที่ผมยังมีพี่ชายที่แม้จะเป็นลูกในอุดมคติของพ่อแม่ทุกอย่าง แต่พี่กลับเข้าใจสิ่งที่ผมเป็น ทั้งยังคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ผมได้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้ผมรู้สึกมีพลังใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่ยอมให้คำพูดลบๆ ของใครในอดีตมาฉุดรั้งไม่ให้ผมได้ทำในสิ่งที่หัวใจของผมปรารถนา 

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ามีคนมากมายที่เจอเรื่องราวคล้ายกับกอร์ดี้ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กที่เจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ และอาจไม่ได้โชคดีหรือเข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดในความฝันของตัวเอง เพียงเพราะถูกพ่อแม่บังคับให้เป็นลูกในอุดมคติของตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งอุดมคตินั้นได้กลายเป็นมายาคติที่ปิดกั้นทำลายความสามารถของเด็กไม่ให้เปล่งประกาย จนทำให้พรสวรรค์ที่มีนั้นสูญเปล่าและดับสลายไปในวัยเยาว์ 

Tags:

เด็กบาดแผลทางจิตใจStand by meภาพยนตร์การเติบโต

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)
Healing the trauma
13 June 2024

เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เมื่อเรามองอีกมุมหนึ่ง ‘บาดแผล’ อาจไม่ใช่เพียงรอยแผลที่น่าเกลียด แต่คือแหล่งพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่หล่อหลอมชีวิตเราให้แข็งแกร่งและงดงามที่จะเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นพลังให้เราเติบโตและค้นพบความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของชีวิต
  • การเติบโตงอกงามจากปัญหาต้องไม่ได้เกิดจากการที่ถูกยัดเยียด และการให้เวลากับความโศกเศร้าเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป โดยเฉพาะการเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย
  • การเยียวยาไม่ใช่การลืมเลือน แต่คือการยอมรับ และเติบโตไปพร้อมกับความเจ็บปวดนั้น

“ในความมืดมิดที่สุด มักมีแสงสว่างรำไร”

ประโยคนี้คงเป็นเพียงถ้อยคำปลอบโยนที่เลื่อนลอยไร้ความหมาย หากคุณกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์ของความทุกข์จากเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความคิดที่ว่าจะเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวดอาจดูห่างไกลความเป็นจริงราวกับเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ หรืออาจรู้สึกเหมือนมีคนมาบอกให้ “สู้ๆ” ทั้งที่กำลังรู้สึกว่า “จะสู้กับอะไร แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว” 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับบางคนบาดแผลทางจิตใจจะยังคงอยู่ แต่ผมอยากชวนมองอีกมุมหนึ่ง มุมที่บาดแผลไม่ใช่เพียงรอยแผลที่น่าเกลียด แต่คือแหล่งพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่หล่อหลอมชีวิตเราให้แข็งแกร่งและงดงามที่จะเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นพลังให้เราเติบโตและค้นพบความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของชีวิต

การเติบโตงอกงามจากบาดแผล (Post-traumatic Growth) คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลสามารถปรับตัวและเติบโตขึ้นหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง การเติบโตไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เลวร้ายโดยตรง แต่เกิดจากการต่อสู้ดิ้นรนกับความเจ็บปวด การตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ว่า

“ทำไมต้องเป็นเรา?” 

“เราจะผ่านมันไปได้อย่างไร?” 

กระบวนการเหล่านี้คือสิ่งที่หล่อหลอมเราให้เติบโต เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ต้องเผชิญกับพายุ หากพายุไม่รุนแรงพอ ต้นไม้อาจไม่จำเป็นต้องปรับตัว แต่เมื่อต้องเผชิญกับพายุที่โหมกระหน่ำ ต้นไม้จะถูกบังคับให้หยั่งรากลึกลงดิน เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาออกไป เพื่อให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้

เช่นเดียวกับมนุษย์ ระหว่างที่คุณกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดำดิ่ง แล้วคุณพยายามดิ้นรนต่อสู้กับมันนั่นแหละที่ทำให้คุณเติบโต นั่นหมายความว่า ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นแล้วเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร หรือปัญหาไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะสั่นสะเทือนหรือทำให้เครียดในระดับที่สูงก็จะไม่ได้ทำให้เราเติบโต เพราะเราก็อาจจะคิดว่าวิธีคิดในการใช้ชีวิตแบบเดิมดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไร  

มนุษย์ทุกคนเติบโตมาพร้อมกับความเชื่อบนโลกนี้ที่ต่างกันออกไป ตามสถานการณ์ที่เคยเจอและการรับรู้ตีความของตัวเอง 

บางคนอาจโตมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า หากเราไม่ยอมเสียสละความต้องการตัวเองเพื่อให้คนอื่นมีความสุข เราก็จะไม่ถูกรัก เขาก็จะพัฒนาบุคลิกภาพที่ยอมคนอื่น ไม่มีจุดยืนในตัวเองที่ชัดเจน จุดแข็งที่มีของบุคลิกภาพแบบนี้คือการเป็นคนที่ดูอ่อนโยน ใจดี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเสี่ยงที่จะโดนเอาเปรียบ หรือโดนมองข้ามหัวจนสะสมเป็นความรู้สึกโกรธคนอื่นอยู่ลึกๆ วันหนึ่งเขาเจอเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนความเชื่อเขาว่า ‘เขาจะเป็นที่รักหากยอมตามคนอื่น’ เขาเจอว่าคนที่เขารักและยอมตามมากที่สุด นินทาว่าร้ายเขา แน่นอนว่าเขาก็คงจะล้มทั้งยืน ความเชื่อนั้นของเขาก็คงแตกสลาย มุมหนึ่งเหตุการณ์นี้โหดร้ายมากเพราะมันคือการทำลายตัวตนของเขา แต่อีกมุมหนึ่งเหตุการณ์นี้ก็จะทำให้เขาได้กลับมาตั้งคำถามกับวิธีคิดในการใช้ชีวิตของเขาว่า ‘มันจริงไหมกับการที่เราไม่เป็นตัวเองยอมตามคนอื่นแล้วคนอื่นจะรักเรา’ ซึ่งมันอาจเปลี่ยนชีวิตเขาให้ไปอีกทางเลยก็ได้ และหากเขาไม่เจอเหตุการณ์ที่รุนแรงมากพอ เขาก็อาจจะไม่ได้กลับมาทบทวนมุมมองต่อชีวิตอย่างจริงจัง แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เขาเจ็บปวดเพราะมันคือการสูญเสียตัวตนและสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา 

การเติบโตงอกงามจากบาดแผลทางจิตใจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุการณ์ เช่น เจ็บป่วยเป็นโรคร้าย สูญเสียความสัมพันธ์ทั้งคนรัก ครอบครัว เพื่อน การโดนทารุณกรรมทั้งทางเพศ ทำร้ายร่างกาย หรือถูกเพิกเฉย การเติบโตงอกงามของแต่ละคนล้วนต่างกัน ซึ่งสามารถส่งผลต่อชีวิตในแง่มุมต่างๆ ได้ดังนี้ 

1) การรู้สึกขอบคุณชีวิต หมายถึง การเห็นคุณค่าของของชีวิตแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ ที่อาจจะเคยมองข้าม ขอบคุณการมีอยู่ของชีวิต เห็นว่าแค่การได้ตื่นมาและได้ใช้ชีวิตทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองต้องการก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากๆ แล้ว

2) การเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ จากที่จะมองว่าการไปกินข้าวกับที่บ้านเป็นเรื่องธรรมดาก็จะเห็นความหมายที่ลึกซึ้งว่ามันคือการเติบเต็มความสัมพันธ์ทั้งตัวเองและครอบครัว เพราะรู้ดีว่าความสัมพันธ์มันสำคัญต่อชีวิตมากแค่ไหน เพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้าย และตระหนักได้ว่าสิ่งที่น่าเสียดายมากที่สุดคือการที่เราไม่ได้ใช้เวลาดูแลคนที่เรารักแม้จะเคยมีโอกาสมากเพียงใดก็ตาม 

3) การเห็นจุดแข็งของตัวเอง เมื่อผ่านจุดที่ยากลำบากคุณจะพัฒนาความเชื่อว่าตัวเองก็มีความเข้มแข็งและมีความสามารถที่จะก้าวข้าวปัญหาได้อารมณ์เหมือน ‘ยากกว่านี้ก็เจอมากแล้ว’ และการที่คุณเข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถเปราะบางได้ กลับกันเลย การที่คุณสามารถเผชิญหน้ากับความเปราะบางขนาดนั้นได้นั้นคือความเข้มแข็งที่แท้จริง 

4) การเห็นความเป็นไปได้ใหม่ในชีวิต จากที่เคยใช้ชีวิตแบบเดิม หรือไม่กล้าออกไปทำอะไร คุณอาจจะเจอตัวเองในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบความชอบ เส้นทางอาชีพ หรือความเชื่อใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการพยายามรับมือกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย

5) การเปลี่ยนแปลงในด้านจิตวิญญาณ คุณอาจจะค้นพบความหมายทางจิตวิญญาณ หรือทำให้เกิดความเข้าใจและความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง หรือหากคุณไม่ได้นับถือศาสนาคุณก็อาจจะค้นพบหรือเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่ทำร้ายเราไม่ได้ทำให้เราเติบโตขึ้นเสมอไป บางครั้งมันทำให้เราแย่กว่าเดิมซะด้วยซ้ำ หัวใจสำคัญของการที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเติบโตงอกงามจากบาดแผลทางจิตใจ มีดังนี้ 

1) การใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ เนื่องจากความเชื่อเดิมหรือวิธีการมองโลกแบบเดิมอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์แล้ว คุณอาจต้องพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ คิดวนไปมาว่าทำไมถึงเกิดขึ้นเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อคุณอย่างไร กระบวนการนี้อาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือปี  

2) การได้แบ่งปันเรื่องราวความรู้สึกให้คนรอบข้างฟัง โดยเฉพาะคนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกัน หรือคนที่มีความเข้าอกเข้าใจ เพราะมันจะทำให้คนเล่ารู้สึกว่าความรู้สึกหรือบาดแผลทางจิตใจที่เป็นส่วนลึกได้ถูกเยียวยาและทำความเข้าใจ

3) วิธีการรับมือปัญหา (coping strategies) การพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ในเชิงบวก ยกตัวอย่าง การปรับมุมมองที่มีต่อสถานการณ์ การตีความหมายสถานการณ์ในเชิงบวก เช่น ก่อนหน้านี้คุณตีความการที่คุณถูกเลี้ยงดูอย่างเพิกเฉยว่าพ่อแม่ไม่รัก คุณก็อาจจะทำความเข้าใจใหม่ว่าการที่พ่อแม่ทำแบบนั้นเป็นเพราะเขาต้องเอาเวลาไปทำงาน ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักหรือคุณไม่ดีพอให้เขารัก

การเติบโตงอกงามจากปัญหาต้องไม่ได้เกิดจากการที่ถูกยัดเยียด เช่น ให้มองโลกในแง่บวก หาความหมายหรือเหตุผลของปัญหา ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้พร้อม มันเหมือนการที่เรายัดเยียดให้คนขาหักต้องเดินสองขาทั้งที่เขาเดินไม่ไหว นั่นยิ่งจะทำร้ายเขามากกว่าเดิม การให้เวลากับความโศกเศร้าเสียใจจึงไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปโดยเฉพาะการเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย 

และที่สำคัญการเติบโตงอกงามเกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่าสิ่งเลวร้ายหรือความรู้สึกแย่จะหายเสมอไป แต่เราจะเข้าใจธรรมชาติของปัญหา และมีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้น 

ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ผมทำ self-analysis ผมเผชิญหน้ากับปัญหาที่เป็นบาดแผลทางจิตใจในหลากหลายมิติ  เรียกได้ว่ามันคือประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต เจ็บปวดชนิดที่ว่าถ้ารู้ว่าการเป็นนักจิตวิทยาเจ็บขนาดนี้คงไม่เลือกที่จะเริ่มต้น แต่เชื่อไหมครับ มองจากตอนนี้ที่ผมผ่านมาแล้ว (แม้จะต้องอยู่ต่อก็ตาม) นี่คือประสบการณ์ที่มีความหมายที่สุดในชีวิตผมเช่นกัน ผมเรียนรู้ว่าในการเป็นนักจิตวิทยา บาดแผลทางจิตใจอาจเลือนลางจางไป แต่จะไม่มีวันหายไปไหน มันยังคงอยู่ แต่ไม่ใช่ในฐานะบาดแผลที่เจ็บปวด แต่เป็นบาดแผลที่งดงาม 

ผมเรียนรู้ว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตจะส่งเรื่องที่ท้าทายความเชื่อเรามาเสมอเพื่อย้ำเตือนและบอกเราว่า ชีวิตจะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ เราจะเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจเสมอ เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจ ชีวิตจะส่งด่านที่ยากขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อทำให้เราได้เรียนรู้จักความจริง 

ชีวิตเต็มไปด้วยความท้าทาย ผิดหวัง แต่ในความมืดมิดนั้นก็ยังมีมิตรภาพ ความหวัง ความรัก ความห่วงใย เหนือสิ่งอื่นใด ผมได้เรียนรู้ว่าการเยียวยาไม่ใช่การลืมเลือน แต่คือการยอมรับ และเติบโตไปพร้อมกับความเจ็บปวดนั้น


อ้างอิง 

Henson, C., Truchot, D., & Canevello, A. (2021). What promotes post traumatic growth? A systematic review. European Journal of Trauma & Dissociation, 5(4), 100195.

Tedeschi, R. G., & Calhoun, L. G. (2004). ” Posttraumatic growth: conceptual foundations and empirical evidence”. Psychological inquiry, 15(1), 1-18.

[หมายเหตุ: self-analysis คือ กระบวนการทำจิตบำบัดให้นักจิตวิทยาโดยนักจิตบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้นักจิตวิทยาเข้าใจตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่าหากนักจิตวิทยาไม่เข้าใจตัวเองก็คงจะไม่สามารถช่วยเหลือหรือเข้าใจผู้ใช้บริการได้]

Tags:

การเติบโตความเจ็บปวดบาดแผลทางจิตใจชีวิตการเยียวยาจิตใจPost-traumatic Growthสุขภาพจิต

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Healing the trauma
    จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์
Relationship
11 June 2024

‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความหึงเป็นหนึ่งในปัญหาหลักๆ ที่ทำให้คู่รักทะเลาะกันมานักต่อนัก บางคนเป็นคนดูมีเหตุผล เยือกเย็น แต่พอหึงเมื่อไรกลายเป็นคนไม่ฟังเหตุผล ใช้แต่อารมณ์ ทำไมความหึงจึงเป็นอารมณ์ที่รุนแรงที่ส่งผลต่อคนเราได้ขนาดนี้
  • หลายคนจะมองว่า “หึงก็เพราะรัก หวงก็เพราะเป็นห่วง” ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าอารมณ์นี้อาจสร้างความรู้สึกอึดอัดให้อีกฝ่าย เพราะการหึงหวงจนเกินไปแสดงถึงความไม่เชื่อใจ และทำลายความสัมพันธ์ได้
  • ในด้านของความหวง พ่อแม่เองแม้ว่าจะเป็นหรือเคยเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับลูก แต่สุดท้ายแล้วหน้าที่หนึ่งคือการให้อิสระแก่ลูก ปล่อยให้เขาไปสนิท ไปใกล้ชิดคนอื่นๆ ไปสร้างสังคมใหม่ รวมถึงการสร้างครอบครัวใหม่ของของเอง

ชีวิตคู่เป็นหนึ่งในสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่ความรักมันไม่ได้จบแค่ใจตรงกันและคบกัน การมีชีวิตคู่นั้นก็มีทั้งความสุขและบางครั้งมันก็นำความทุกข์ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหนึ่งในนั้นก็คืออารมณ์ ‘หึง’ 

ความหึงเป็นหนึ่งในปัญหาหลักๆ ที่ทำให้คู่รักทะเลาะกันมานักต่อนัก หากเราดูละครไทย (มาตรฐาน) เราก็จะพบตัวอิจฉาที่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดเพราะหึงพระเอกได้บ่อยๆ นอกจากนี้ในชีวิตจริงที่เราคงได้ข่าวเกี่ยวกับความหึงในแง่มุมที่ไม่ดีเช่นกัน บางคนหึงจนทำร้ายร่างกาย และบางคนถึงขั้นฆ่าฟันกันเลยก็มี ไม่มีใครชอบความหึงครับ ทั้งคนที่เป็นฝ่ายหึงที่ต้องมาโกรธ หงุดหงิด กระวนกระวาย และคนที่ถูกหึงก็อึดอัด รำคาญ เหนื่อยหน่าย แต่ปัญหานี้หากไม่เจอกับตัว ก็ยากจะเข้าใจว่าทำไมถึงมีความรู้สึกหึง บางคนเป็นคนดูมีเหตุผล เยือกเย็น ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี แต่พอหึงเมื่อไรแล้วกลายเป็นคนไม่ฟังเหตุผล ใช้แต่อารมณ์ ไม่สนหลักฐาน ระแวงเกินเหตุ ทำไมความหึงจึงเป็นอารมณ์ที่รุนแรงที่ส่งผลต่อคนเราได้ขนาดนี้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักธรรมชาติของความหึงหวงกัน

‘หึง’ เป็นอาการไม่พอใจเมื่อคู่รักของตนไปแสดงว่ามีใจให้เพศตรงข้าม หรือมีเพศตรงข้ามมาแสดงว่ามีใจกับคู่รักของตน จะชายหรือหญิงก็หึงเป็นทั้งนั้น คนเรา ‘ขี้หึง’ ในระดับแตกต่างกัน (ในทางจิตวิทยาเรียกความแตกต่างของการตอบสนองสิ่งต่างๆ ที่คงทนว่า ‘บุคลิกภาพ’ ที่คนเราแตกต่างกันก็เพราะการเรียนรู้สิ่งใดๆ มา หรือด้วยพันธุกรรม หรือทั้งสองอย่างผสมกันก็ได้) บางคนก็แค่แสดงออกว่าไม่พอใจ แต่บางคนโกรธจนไปทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ หลายๆ คู่คงพบกับปัญหาว่า ตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่จะไปนอกใจอีกฝ่าย บางทีแค่คุยกับหญิงหรือชายอื่นแค่สองสามคำแค่นั้น แต่แฟนตัวเองกลับหึงไปใหญ่โต เพราะความหึงนั้นเป็นการรับรู้และตีความของฝ่ายที่หึงเองว่าอีกฝ่ายกำลังปันใจให้คนอื่น เป็นการรับรู้ความเป็นไปได้ ดังนั้นไม่ต้องมีหลักฐานรองรับก็ได้ ฝ่ายที่ถูกหึงไม่ต้องทำจริงๆ ก็ได้ ดังนั้นอย่าแปลกใจที่บางคนหึงได้โดยเหมือนไม่มีเหตุผล ว่าแต่ทำไมความหึงหวงคู่รักถึงได้รุนแรงขนาดนี้

อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์เรานั้นมีเหตุผลทางวิวัฒนาการว่ามีไว้ทำไมครับ มนุษย์สืบทอดลักษณะที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ และความหึงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลายๆ ท่านอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าหึงไปจะได้อะไร ทำไมต้องกลัวอีกฝ่ายนอกใจ หาใหม่ก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อ แต่การจะศึกษาวิวัฒนาการนั้นเราต้องย้อนดูอดีตดึกดำบรรพ์อย่างน้อยๆ ก็หลายหมื่นปีก่อน (ซึ่งยีนหรือรหัสพันธุกรรมของเราต่างจากสมัยนั้นน้อยมาก) มนุษย์ไม่มีกฎหมายแต่งงาน ไม่มีทะเบียนสมรส ดังนั้นการเป็นคู่รักในสมัยนั้นก็คือการตัดสินใจว่าจะมีลูกกับคนนั้นแน่ๆ 

แต่การมีลูกในอดีตนั้นคือเรื่องใหญ่มาก บรรพบุรุษของเราเกิดในสภาพแวดล้อมที่อันตรายจากผู้ล่าและอาหารไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนปัจจุบันเพราะยังไม่มีเกษตรกรรม ตอนท้องผู้หญิงก็ออกไปหาอาหารลำบาก และยังต้องเสี่ยงอันตรายจากนักล่า และตอนหลังคลอด เนื่องจากทารกนั้นทำอะไรแทบไม่ได้เลย ผู้หญิงจึงต้องตัวติดกับลูกตลอด ดังนั้นผู้ชายจึงต้องคอยปกป้องอันตรายและหาอาหารมาให้แม่และเด็ก ในสมัยนั้นหากผู้ชายทิ้งผู้หญิงไป โอกาสที่แม่และลูกจะไม่รอดทั้งคู่จึงสูงมาก วิวัฒนาการของมนุษย์จึงออกมาเป็นแบบ ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ (monogamy) มีพ่อแม่ช่วยกันเลี้ยงลูกให้รอดสืบเผ่าพันธุ์ไป แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายหมื่นปีจนเริ่มมีสังคมขนาดใหญ่ ในบางวัฒนธรรมอาจจะยอมรับการมีภรรยาหลายคนหรือแม้แต่สามีหลายคนแต่ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมส่วนน้อย หรืออาจจะไม่ได้นำไปใช้กับทุกชนชั้น (มีแค่คนสถานะสูงในสังคมที่มีสามีหรือภรรยามากกว่าคนเดียวได้โดยไม่ผิด) และมักจะมีเหตุผลทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เอื้อให้ทำแบบนั้น

คำถามที่ตามมาคือ แล้วผู้ชายจะทิ้งคนรักทำไม ในเมื่อผู้ชายก็อยากมีลูกสืบทอดเผ่าพันธุ์เหมือนกัน สิ่งที่ทำให้ความหึงเกิดขึ้น ก็คือพฤติกรรมอีกอย่างที่วิวัฒนาการมาเช่นกันคือ ‘ความเจ้าชู้’ ผู้ชายอาจจะทำผู้หญิงคนหนึ่งท้องแล้วไปมีลูกกับผู้หญิงอีกคน ผู้ชายหว่านเสน่ห์และไปมีลูกไปทั่วแล้วดูแลแค่คนเดียวก็ยังได้เพราะผู้ชายไม่ต้องตั้งท้อง การมีลูกกับผู้หญิงหลายคนอาจจะช่วยให้มีลูกของตัวเองรอดมากกว่าในภาพรวม คือเน้นปริมาณเข้าไว้ แต่กับผู้หญิงที่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกของตัวเองคนเดียวนั้นจะมีโอกาสรอดน้อยลงมาก ดังนั้นผู้หญิงจึงวิวัฒนาการเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของไม่ให้ผู้ชายทำแบบนั้นได้ 

ผู้หญิงเองก็วิวัฒนาการความเจ้าชู้มาเช่นกัน คือการแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ดูแข็งแรงแล้วตั้งท้องเพื่อให้ได้ลูกร่างกายแข็งแรง แล้วไปให้ผู้ชายอีกคนที่ดูแล้วมีความสามารถในการเลี้ยงดูมากกว่าเป็นพ่อเด็กแทน เช่น คนที่เข้าถึงอาหารได้ดีกว่า ดังนั้นลูกของตัวเองจะได้ทั้งยีนที่ดีและการเลี้ยงดูที่ดี ผู้หญิงได้เปรียบตรงที่ไม่ว่าอย่างไรลูกในท้องก็เป็นลูกของตัวเองแน่ๆ แต่ผู้ชายในสมัยโบราณไม่อาจรู้เลยว่าเด็กในท้องของผู้หญิงที่ตัวเองเลี้ยงดูคือลูกใคร ผู้ชายจึงต้องคอยหึงไม่ให้ผู้หญิงไปแอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ความเจ้าชู้และความหึงช่วยเพิ่มอัตราการสืบเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ดังนั้นความหึงและความเจ้าชู้เลยวิวัฒนาการต่อสู้ขับเขี้ยวกันมา

อารมณ์ของมนุษย์ที่มาจากวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดเหล่านี้จะฝังอยู่ในยีนของเรา และติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความหึงเองก็เหมือนความหิวและความโมโห คือไม่ต้องมีใครสอนก็หึงได้ และอารมณ์พื้นฐานเหล่านี้จะรุนแรงเป็นพิเศษด้วย เพราะเนื่องจากมันวิวัฒนาการมาเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ไวและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยอัตโนมัติ สมองของเราที่รับผิดชอบในส่วนนี้บางทีจึงถูกอารมณ์หึงครอบงำได้ง่าย ดังนั้นอย่าแปลกใจที่พอหึงแล้วจะเหตุผลอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ถ้าให้เปรียบก็เหมือนโมโหหิว ดังที่โบราณมีเรื่องเล่า ‘กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่’ อารมณ์มันนำหน้าสติไปแล้ว

ไหนๆ เราก็คุยเรื่องความหึงไปแล้ว เรามาดูอารมณ์ที่เหมือนจะคล้าย ๆ กันคือ ‘ความหวง’ กันดีกว่าครับ กับคนที่ไม่ใช่คนรัก หากเราไปแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ สังคมจะไม่ใช้คำว่า ‘หึง’ แต่ใช้คำว่า ‘หวง’  แทน พ่อแม่บางคนก็หวงลูกตัวเองมาก หรือพี่น้องบางคนก็หวงพี่หรือน้องตัวเอง เพื่อนก็อาจหวงเพื่อนสนิทคนตัวเองได้ บางคนถึงขั้นหวงมาก อยากให้คนที่หวงอยู่แต่กับตัวเอง ไม่อยากให้ไปสนิทกับใคร ไม่อยากให้เขามีคนรัก ปกติแล้วหวงจะไม่ทำให้หน้ามืด ลืมตัว คุมตัวเองไม่อยู่เหมือนหึง เพราะกลไกตามธรรมชาติแตกต่างกัน แล้วกลไกของความหวงนี้มันมาจากไหน

ในกรณีของพ่อแม่หวงลูกนั้น เราก็มีกลไกทางธรรมชาติที่คล้ายกับความรักที่เรียกว่า ‘ความผูกพัน’ ที่เป็นพันธะที่ดึงดูดกันไว้โดยธรรมชาติ เพราะโลกยุคโบราณการอยู่ห่างจากลูกเป็นสิ่งที่อันตรายกับลูกมากๆ  เพราะอย่างที่บอกว่าเด็กทารกทำอะไรไม่ได้ จะทั้งกินทั้งป้องกันตัวจากผู้ล่าก็ต้องอาศัยพ่อแม่ทั้งนั้น ดังนั้นพ่อแม่จึงพัฒนาอารมณ์ที่ต้องการให้ตนเองอยู่ใกล้ๆ ลูกเข้าไว้ และรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากหากลูกต้องจากตัวเอง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา) และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่พัฒนาเป็นความหวงได้ แต่เช่นเดียวกับความหึง ระดับความหวงที่มาจากธรรมชาตินี้แตกต่างกันไปตามบุคคล หากลูกโตแล้วส่วนใหญ่พ่อแม่ก็จะพ้นจากความรู้สึกที่จะผูกมัดลูกไว้กับตัวเองคนเดียว เพราะตามธรรมชาติพอลูกดูแลตัวเองได้ ความจำเป็นที่ต้องตัวติดกับพ่อแม่ก็หายไป แต่บางคนก็อาจยึดติดเรื่องนี้อยู่ ยังหวงเหมือนลูกยังเด็กๆ นอกจากนี้การหวงลูกจนเกินเหตุยังมาจากปัจจัยทางสังคมก็ได้ ในบางสังคมที่คาดหวังให้แม่ต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดอย่างมากถึงขั้นห้ามคลาดสายตา หรือในบางกรณีพ่อแม่บางคนมีแผลใจจากการแยกจากลูก เช่น ตอนตัวเองละสายตาแล้วลูกไปเจออุบัติเหตุ ถูกทำร้าย หรือลักพาตัว ซึ่งทำให้ฝังใจว่าไม่ควรให้ลูกห่างตัวเด็ดขาด ทั้งสองประเด็นอาจกลายเป็นความเคยชินที่ฝังลึก พอลูกโตไปแม่ก็ยังปรับตัวให้ห่างจากลูกไม่ได้

ความผูกพันนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องการอยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกปลอดภัย สบายใจ ซึ่งคนที่อยู่ด้วยนั้นทางศัพท์วิชาการเรียกว่า ‘ฐานที่มั่นคง’ ซึ่งฐานนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามวัยได้

ตอนยังเด็ก เด็กมักจะผูกพันกับพ่อแม่ที่สุด แต่พออายุมากขึ้นก็อาจไปผูกพันกับคนที่อยู่วัยใกล้กันมากกว่าเช่น พี่น้องและเพื่อน และมักจะย้ายที่ไปหาคนรัก แต่ตามธรรมชาติแล้วความผูกพันในพี่น้องกับเพื่อนมีกลไกทางอารมณ์ที่ไม่รุนแรงเท่ากับระหว่างพ่อแม่และลูก หรือระหว่างคู่รัก ซึ่งสังเกตว่าทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกับการสืบเผ่าพันธุ์โดยตรง (เรื่องการมีลูก) ดังนั้นความหวงที่เกิดจากความผูกพันจึงรุนแรงน้อยกว่า นอกจากนี้ความหวงในพี่น้องอาจเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับพ่อแม่โดยเฉพาะในพี่น้องที่ขาดพ่อแม่ไป ไม่ว่าอาจจะเสียชีวิตหรือต้องอยู่ห่างกัน หรือบางครอบครัวที่ใหญ่พ่อแม่มีงานยุ่ง พี่คนโตต้องมีหน้าที่ประหนึ่งพ่อแม่ในการดูแลน้องเล็กๆ พี่ก็เลยต้องคอยดูแลน้องและเกิดความผูกพันเดียวกับในพ่อแม่ พี่ก็อาจสร้างความหวงจากความผูกพันได้แบบเดียวกับพ่อแม่

ส่วนความหวงของเพื่อนนอกจากความผูกพันแล้ว มักจะเกิดขึ้นในฐานะเครื่องมือรักษาความสัมพันธ์ของคนสนิท คนเรานั้นเป็นสัตว์สังคม การมีคนสนิทด้วยเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนต้องการเป็นธรรมชาติ เช่นเคยครับ ความต้องการนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนจะรู้สึกต้องการบุคคลสนิทนี้มากเป็นพิเศษจนหวง ไม่อยากให้คนที่ตัวเองสนิทไปสนิทกับคนอื่นเลย เพราะเป็นธรรมชาติที่การไปสนิทกับคนอื่นก็คือการที่ต้องห่างจากตนเอง พี่น้องที่อายุใกล้ๆ กันและสนิทกันเหมือนเพื่อนก็อาจจะหวงในรูปแบบนี้ได้เช่นกัน 

ลักษณะของการมองตัวเองและโลกภายนอกของแต่ละคนนั้นส่งผลต่อความหึงและความหวงอย่างมากครับ 

คนเห็นคุณค่าของตัวเองน้อย หรือไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะมีค่าเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสนิทชิดใกล้ได้นาน ทั้งความ ‘หึง’ และความ ‘หวง’ ก็จะยิ่งรุนแรง เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจไปสนิทกับคนอื่นแทน 

นอกจากนี้ความหวงอาจเกิดขึ้นได้มากในคนที่ไม่เชื่อใจคนอื่นๆ รอบตัว มองสังคมในแง่ร้าย ไม่คิดว่าใครจะมาเป็นคนสนิทกับคนที่หวงได้ดีเท่าตัวเอง จึงต้องการเก็บคนสนิทไว้กับตน แทนที่จะปล่อยเขาไปสนิทกับคนอื่นๆ ด้วย

ความหึงและความหวงนั้นเป็นกลไกธรรมชาติ แต่ก็อย่างที่รู้กันครับ มันไม่ใช่อารมณ์ที่ไม่ทำให้ฝ่ายใดรู้สึกดี ผู้ที่รู้สึกว่าตัวว่าหึงหวงมากเกินไปก็ควรมีสติ เมื่อรู้ว่าความหึงหวงเป็นอารมณ์ที่มาจากวิวัฒนาการมันจึงรุนแรงเกินกว่าเหตุไปในบางครั้ง อาจจะต้องพยายามควบคุมตัวเองให้หึงและหวงในระดับพอดีจะดีต่อความสัมพันธ์มากกว่า การปรับมุมมองของตัวเองอาจจะช่วยได้บ้าง 

แม้หลายๆ คนจะมองว่า “หึงก็เพราะรัก หวงก็เพราะเป็นห่วง” ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าอารมณ์นี้อาจสร้างความรู้สึกอึดอัดให้อีกฝ่าย เพราะการหึงหวงจนเกินไปแสดงถึงความไม่เชื่อใจ นอกจากนี้ การแสดงอารมณ์โกรธบ่อยๆ ย่อมบ่อนทำลายความสัมพันธ์ได้เป็นปกติ ใครถึงขั้นอยากอาละวาดไปจนถึงทำร้ายร่างกายนั่นก็อาจจะต้องหาทางแก้ไข อาจจะเริ่มต้นจากการปรึกษาคนรอบตัวก่อนก็ได้ เพราะตัวคนหึงเองมักจะมองเหตุการณ์ไม่ชัดเพราะอารมณ์ครอบงำ แต่หากกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่เริ่มรุนแรง แก้ไขไม่ได้เสียที หรือไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี การไปปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อารมณ์เหล่านี้เป็นหนึ่งในขอบเขตที่พวกเขาช่วยเหลือได้ และเรื่องหึงหวงนี่ก็อาจทำลายสุขภาพจิตของตัวเราเองและคนรอบตัว จึงไม่ควรปล่อยไว้

นอกจากนี้ฝ่ายที่ถูกหึงก็ควรเข้าใจธรรมชาติของความหึงหวงด้วย การมีคู่รักนั้นตามมาด้วยความรับผิดชอบครับ มีทั้งสิ่งที่ทำได้และที่ทำไม่ได้เหมือนตอนโสด การไปใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามแม้ว่าจะบริสุทธิ์ใจเพียงใด ก็เลี่ยงที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่หึงได้ยาก และยิ่งถ้าเรารู้ดีว่าคนรักของเราขี้หึงแล้วด้วย ต่อให้บริสุทธิ์ใจแค่ไหน อย่างที่เราคุยกันว่าจะเจตนาหรือเหตุผลมันต้านความหึงที่ฝังสมองของคนเราตามธรรมชาติได้ยาก

ในด้านของความหวงนั้น พ่อแม่เองแม้ว่าจะเป็นหรือเคยเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับลูกมากเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วหน้าที่หนึ่งของพ่อและแม่คือการต้องให้อิสระแก่ลูก และหนึ่งในนั้นคือการปล่อยให้เขาไปสนิท ไปใกล้ชิดคนอื่นๆ ไปสร้างสังคมใหม่ รวมถึงการสร้างครอบครัวใหม่ของของเอง ตามทฤษฎีแล้วความผูกพันที่แข็งแรง คือพ่อแม่ผูกพันเพื่อดูแลไม่ให้เด็กเจออันตราย และเมื่อเขาปลอดภัยและแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว หน้าที่ต่อมาคือส่งเสริมให้เขาเรียนรู้โลกกว้าง และเป็นฐานให้เขากลับมายามเขารู้สึกไม่มั่นคง 

ส่วนการหวงพี่หรือน้องหรือหวงเพื่อนสนิทนั้น ก็ต้องมีขีดจำกัดเช่นกัน ความสัมพันธ์แต่และแบบมีธรรมชาติของมัน และความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่คู่รักไม่ใช่สิ่งที่ยึดว่าต้องมีแค่สองคน คนที่เรารักอาจจะมีคนที่สนิทใกล้ชิดอีกมากมาย ซึ่งแม้จะทำให้เวลาอยู่กับเราลดลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนคนหนึ่งต้องการมีสังคมและมีคนสนิทมากกว่าหนึ่งคน และแน่นอนว่าเขาอาจจะต้องการมีคู่รัก อย่างไรก็ตาม การไปสนิทคนอื่นเพิ่ม ให้เวลากับเราน้อยลง ไม่จำเป็นต้องทำให้สนิทกับเราน้อยลงเสมอไป โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเรานั้นแตกต่างกันไป เพราะคนเราเองก็ต่างกัน ไม่มีใครแทนที่ใครได้กันอย่างสมบูรณ์ แม้เขาอาจจะไปสนิทกับอีกคนหนึ่ง แต่ก็อาจจะไม่เหมือนที่เราสนิทกับเขา 

ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน หากทั้งสอง ‘คลิก’ หรือเข้ากันได้ ความสนิทก็จะยืนนานไปเอง แต่ถ้ามันเป็นความพยายามจากฝ่ายเดียว ต่อให้หึงให้หวงไป ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด

บางทีหึงและหวงเองก็อาจเป็นสีสันให้ชีวิตรักและความสัมพันธ์ได้บ้าง บางทีคู่รักพอเห็นอีกฝ่ายหึงก็เป็นการยืนยันว่าเขารักเราจริงๆ พอเห็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนหวง ก็ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นห่วง เขาใส่ใจ แต่ก็เช่นเคยครับ ความพอดีคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่จุดที่ยากที่สุดคือแต่ละคู่ก็มีความพอดีที่แตกต่างกันไป ถ้าคิดจะคงความสัมพันธ์ไว้ ก็ต้องปรับตัวไม่ให้หึงหวงกันเกินไป ส่วนคนที่รู้ตัวว่าเจ้าชู้ ก็ลดให้ได้มากที่สุดเถอะครับ เพราะอารมณ์หึงนั้นถ้ามันล้นจนครองสติคนรักของท่านเมื่อไร ท่านอาจจะรักษาทั้งความสัมพันธ์ ความสงบสุข หรือแม้แต่สวัสดิภาพในชีวิตไม่ได้ด้วยซ้ำ มีตัวอย่างมีให้เห็นมามากมายแล้วจริงไหมครับ

เอกสารอ้างอิง

ดิแลน อีวานส์. (2559). จิตวิทยาวิวัฒนาการ (พงศ์มนัส บุศยประทีป, แปล). กรุงเทพฯ, มูลนิธิเด็ก.

Fraley, R. C., Brumbaugh, C. C., & Marks, J. J. (2005) The evolution and function of adult attachment: A comparative and phylogenetic analysis. Journal of Personality and Social Psychology, 89, 731-746.

Krems, J. A., Williams, K. E., Aktipis, A., & Kenrick, D. T. (2021). Friendship jealousy: One tool for maintaining friendships in the face of third-party threats?. Journal of Personality and Social Psychology, 120(4), 977.

Shumaker, D. M., Miller, C., Ortiz, C., & Deutsch, R. (2011). The forgotten bonds: The assessment and contemplation of sibling attachment in divorce and parental separation. Family Court Review, 49(1), 46-58.

Ungar, M. (2009). Overprotective parenting: Helping parents provide children the right amount of risk and responsibility. The American Journal of Family Therapy, 37(3), 258-271.

Voulgaridou, I., & Kokkinos, C. M. (2020). The mediating role of friendship jealousy and anxiety in the association between parental attachment and adolescents’ relational aggression: A short-term longitudinal cross-lagged analysis. Child Abuse & Neglect, 109, 104717.

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)ความสัมพันธ์ความรักความเชื่อใจความหึงหวงการควบคุมอารมณ์ตัวเอง

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    รักดีๆ อยู่ที่ไหน : ฟ้าลิขิตหรือความพยายาม?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhoodFamily Psychology
    พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel