Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: September 2023

Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด
Movie
29 September 2023

Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Monster เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ ผู้กำกับระดับปรมาจารย์ที่คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด
  • ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวของมินาโตะ นักเรียนชั้นป.5 ที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย ทั้งยังมีท่าทางที่เศร้าผิดปกติ แม่จึงบุกไปที่โรงเรียนเพื่อสืบหาความจริง แต่เมื่อเรื่องราวถูกตีแผ่ผ่านมุมมองของแม่ ครู และมินาโตะ ความจริงก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
  • สำหรับแฟนๆ ของโคเรเอดะ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีที่เขากลับมาทำภาพยนตร์ที่ไม่ได้เขียนบทเอง โดยได้ยูจิ ซากาโมโตะ นักเขียนบทระดับตำนานที่เขาชื่นชอบมารับหน้าที่นี้

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์]

ไม่กี่วันก่อน ผมมีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง Monster 

ของฮิโรคาสุ โคเรเอดะ ผู้กำกับระดับปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่น (Like Father Like Son , Shoplifters) 

Monster บอกเล่าเรื่องราวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สังเกตเห็นความผิดปกติของ ‘มินาโตะ’ ลูกชายที่ดูไม่ร่าเริงแจ่มใส แถมยังมีร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย เธอจึงสอบถามลูกและพบว่าครูประจำชั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เธอตัดสินใจไปที่โรงเรียนเพื่อสืบหาความจริง ซึ่งเสน่ห์อย่างหนึ่งของ Monster คือการเล่าเรื่องเดียวกันให้กลายเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’ ผ่านมุมมองของแม่ ครูประจำชั้น และมินาโตะ เพื่อให้ผู้ชมตัดสินว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่เป็นสัตว์ประหลาด 

ตอนแรก ผมคิดว่าอาจไม่เขียนถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะผมมองว่า Monster เป็นเพียงภาพยนตร์LGBTQ+ ที่มุ่งเสนอความสับสนภายในจิตใจของเด็กป.5 อย่างมินาโตะ ที่สร้างเรื่องโกหกเพื่อปิดบังเพศวิถีของตัวเอง ดังนั้นถ้ามินาโตะพูดความจริงตั้งแต่แรกก็คงไม่มีปัญหาอื่นตามมา

แต่เมื่อผมตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา พร้อมกับทบทวนเรื่องราวในภาพยนตร์อีกครั้ง ผมกลับนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ในวันที่ผมมีปัญหาชกต่อยกับเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวัยประถมของผม เพียงเพราะเขาเป็นเด็กเนิร์ดที่มักถูกเพื่อนๆ รุมแกล้ง และด้วยความขี้ขลาดของผม แทนที่จะออกตัวปกป้อง ผมกลับทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งวันหนึ่งที่ใครสักคนในกลุ่มนั้นรู้ว่าผมสนิทกับเพื่อนคนนี้ ผมจึงถูกบังคับให้แกล้งเพื่อนไปด้วย และแม้เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นตอนผมอายุ 9 ขวบ แต่จนถึงวันนี้ความรู้สึกผิดก็ไม่เคยหายไปไหน แม้ว่าผมจะมีโอกาสขอโทษเพื่อนคนนี้แล้วก็ตาม 

และเมื่อย้อนทบทวนภาพยนตร์นี้อีกครั้งในสายตาของเด็ก มันทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มินาโตะในวัย 11 ปีจะสามารถยืนยันความเป็นตัวเองต่อหน้าคนอื่นๆ รวมถึงหากมินาโตะพูดความจริงออกไปก็เชื่อเหลือเกินว่าแม่กับเพื่อนคงจะผิดหวังและอาจไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

สิ่งแรกที่ผมอยากพูดถึงคือเรื่องราวระหว่างมินาโตะกับแม่เลี้ยงเดี่ยวของเขา มินาโตะรู้ดีว่าแม่ทุ่มเทเพื่อเขามากแค่ไหน ทำให้เขารักและประทับใจในตัวแม่มากถึงขั้นเขียนเรียงความเรื่องความฝันสมัยป.1 ว่าความฝันในอนาคตคือการได้เป็น ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’ ที่ดีเหมือนกับแม่ของเขา ซึ่งแม้จะฟังดูแปลกๆ สำหรับเพื่อนๆ ในห้อง แต่มันก็สร้างความประทับใจให้กับแม่และครูที่โรงเรียนเป็นอย่างมาก

นอกจากความรักความทุ่มเท แม่ยังเล่าให้มินาโตะฟังว่าเธอเคยให้สัญญากับพ่อว่าจะดูแลมินาโตะกว่ามินาโตะจะแต่งงานมีครอบครัว 

ด้วยเหตุนี้ มินาโตะจึงรู้สึกผิดต่อแม่ที่เขาไม่อาจสานฝันของเธอให้เป็นจริง เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาไม่กล้าบอกความจริงกับแม่เพราะกลัวว่าแม่จะผิดหวังและไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น หรือต่อให้มินาโตะกล้ายอมรับว่าเขาชอบเพื่อนที่เป็นเด็กผู้ชาย ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าแม่ของเขาจะรับได้ ดังนั้นในฉากสำคัญของเรื่อง มินาโตะจึงต้องโกหกเอาตัวรอดโดยไม่คาดการณ์ถึงผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นจากการโกหกนั้น

ประเด็นถัดมาคือเรื่องน่าหนักใจของมินาโตะยามต้องไปโรงเรียน ซึ่งเขาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรในเวลาที่ ‘โยริ’ เพื่อนร่วมห้องถูกแก๊งเพื่อนจอมเกเรรังแก เพราะหากมินาโตะแสดงออกว่าตัวเขานั้นมีใจชอบพอกับโยริหรือออกตัวปกป้อง เขาก็กังวลและกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ และอาจติดร่างแหไปด้วย ทำให้ในใจของมินาโตะสับสนและยากจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือมินาโตะมักต้องจำใจเป็นส่วนหนึ่งของการทำร้ายโยริเพื่อให้เพื่อนๆ พอใจ

สำหรับประเด็นนี้ บางคนอาจมองเป็นเพียงเรื่องเล็กมากๆ ในสายตาผู้ใหญ่ แต่ในความคิดของเด็กอายุไม่ถึง 12 ปี ผมมองว่านี่คือปัญหาใหญ่มากที่มินาโตะต้องเผชิญ เพราะมินาโตะกับโยริรักกันมาก แต่ต่างฝ่ายต่างต้องทำตัวราวกับคนไม่รู้จักกันเพียงเพราะค่านิยมของสังคม และค่อนข้างเห็นใจมินาโตะที่ต้องฝืนใจทำร้ายโยริ เพราะแม้โยริจะเข้าใจและไม่ถือสา แต่สายตาของผู้กระทำอย่างมินาโตะกลับเต็มไปด้วยความแหลกสลาย

มาถึงตรงนี้ คำถามที่ผู้อ่านหลายท่านหรือแม้แต่ตัวผมเองอาจอยากต้องการคำตอบคือ แล้ววิธีแก้ปัญหาควรเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าต้องเริ่มต้นที่ครอบครัว 

เพราะหากความสัมพันธ์ในครอบครัวดี ผมเชื่อว่าเด็กมีแนวโน้มที่จะเล่าถึงปัญหาของตัวเองให้กับผู้ปกครองฟัง กลับกันหากผู้ปกครองตั้งความหวังอย่างใดอย่างหนึ่งกับเด็กมากเกินไป แล้วเด็กไม่อาจตอบสนองความต้องการหรือแบกรับความหวังอันยิ่งใหญ่นั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่เด็กจะเครียดและกังวลจนไม่กล้าเล่าปัญหาให้ผู้ปกครองฟัง 

หรือหากถูกจี้ถาม คำตอบที่ได้รับจากเด็กก็มีแนวโน้มว่าจะได้คำโกหกที่สมจริงมากกว่าความจริงอันโหดร้าย 

ผมเคยอ่านงานวิจัยของวารสาร Basic and Applied Psycology ฉบับหนึ่งที่บอกว่าหากตัวตนในอุดมคติของเด็กวัยรุ่นขัดแย้งกับค่านิยมของสังคม การโกหกจะถูกนำมาใช้เป็นกลไกในการปกป้องภาพลักษณ์นั้น

“เราพบว่าทันทีที่ผู้คนรู้สึกว่าความภาคภูมิใจในตนเองถูกคุกคาม พวกเขาก็จะเริ่มโกหกในระดับที่สูงขึ้นทันที” นักจิตวิทยาคนหนึ่งกล่าว

อาจสรุปได้ว่าในกรณีของมินาโตะที่พูดความจริงไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอยากโกหก แต่เพราะมินาโตะต้องการความรักและการยอมรับจากคนรอบข้าง ดังนั้นถ้าพูดความจริงไปแล้ว แม่รับไม่ได้ ส่วนเพื่อนก็มารุมบูลลี่แบบเดียวกับที่โยริเผชิญ สำหรับเด็กคนหนึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า ผลสุดท้ายมินาโตะจึงเลือกที่จะแคร์สายตาของสังคมมากว่าความรู้สึกของตัวเอง

Tags:

LGBTQA+แม่เลี้ยงเดี่ยวmonsterChild abuseภาพยนตร์ครอบครัวลูก

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Playground
    หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน
How to enjoy life
27 September 2023

เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • อย่าฟังแต่คำ ‘เขาว่า’ และอย่าด่วนตันสินใจเชื่อถ้ายังไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสพบเจอเรื่องนั้นด้วยตนเอง ตรงกับคอนเซ็ปต์หนึ่งจากญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘เก็นจิ เก็นบุตซึ’  ที่น่านำมาปรับใช้ในชีวิต
  • เก็นจิ เก็นบุตซึ ช่วยให้เราหยุดฉุกคิด ‘ไม่ด่วนตัดสิน’ สิ่งที่เห็นตรงหน้า มีความ ‘สงสัยใคร่รู้’ เป็นภูมิคุ้มกันตัว เผื่อเวลาและเผื่อใจอนุญาตให้ตัวเองได้ไปพิสูจน์ความจริงถึงหน้างาน ช่วยเพิ่มสกิล Empathy ที่ไม่ใช่เข้าใจ แต่ถึงขั้น ‘รู้สึก’ ถึงเหตุการณ์เรื่องนั้นๆ
  • เรื่องนี้อาจเซนซิทีฟกว่าที่คิด ในโลกโซเชียล บางครั้งเราเผลอ ‘ปล่อยไก่’ ด้วยข้อมูลผิดๆ ที่เรารับมาและด่วนตัดสิน ด่วนแสดงออกแบบที่คิดบริสุทธิ์จากใจไปว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นคือความจริง จนโดนทัวร์ลง และทำให้เจ้าตัวสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปเลย

เคยไหม? บ่อยครั้งที่เราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเหตุการณ์เรื่องๆ หนึ่ง เป็นการฟัง ‘เขาว่า’ มาอีกที…ซึ่งเขาในที่นี่ก็ไม่รู้ว่าใคร แต่พอเรามีโอกาสไปสัมผัสพบเจอเรื่องนั้นด้วยตัวเอง ความจริงกลับตาลปัตร 

  • จากตอนแรกที่ฟังดูแย่…เจอเข้ากับตัว อ้าว ก็ไม่เห็นแย่ขนาดนั้นนี่
  • ดูผ่านหน้าจอมือถือมาตลอด…พอไปสัมผัสของจริงความรู้สึกคนละเรื่อง
  • ก่อนหน้านี้รับรู้มาว่าไม่มีปัญหา…พอไปดูหน้างานกลับพบว่าเป็นระเบิดเวลาที่เวลาเหลือน้อยลงทุกที

พวกเราหลายคนน่าจะเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้กับตัวเราเองมาบ้างไม่มากก็น้อยจากประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายเรื่อง ซึ่งก็ทำให้นึกถึงคอนเซ็ปต์หนึ่งจากญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘เก็นจิ เก็นบุตซึ’  (Genchi Genbutsu) ที่วันนี้อยากมาแชร์ให้ทุกคนอ่านกัน

เก็นจิ เก็นบุตซึ: ตามหาความจริงที่ต้นทาง

เก็นจิ เก็นบุตซึ 【現地現物】เป็นคำจากภาษาญี่ปุ่น แปลแบบตรงตัวได้ว่า ‘สถานที่แห่งความจริง’ 

คำนี้มีที่มาจากแนวปฏิบัติในการบริหารโรงงานของผู้บริหารชาวญี่ปุ่นยุคก่อน แต่ปัจจุบันถูกตีความในมุมที่กว้างขึ้นมากเมื่อนำไปใช้จริง ไม่ว่าจะ…

  • การไปเยือนถึงต้นกำเนิดเพื่อหาความจริง
  • การเดินทางไปเห็นปัญหาถึงหน้างาน
  • การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง ชนิดลงไปคลุกฝุ่น

จุดร่วมที่เหมือนกันคือเป็นการรักษาความสงสัยใคร่รู้ที่อยู่ในใจ ไม่ด่วนสรุปตัดสินจากข้อมูลที่ได้รับมาจากแหล่งโน้นแหล่งนี้ แต่เผื่อพื้นที่ให้ตัวเองได้ไปพิสูจน์ความจริงถึงต้นทาง 

ไปให้ถึงหน้างานเพื่อเข้าใจปัญหา

ใครที่ทำงานคลุกคลีกับการตระเวนตรวจโรงงานบ่อยๆ อาจจะพอคุ้นหูมาบ้าง เพราะเดิมที เก็นจิ เก็นบุตซึ เป็นแนวคิดที่มีที่มาจากโรงงานผลิตในบริษัท Toyota หนึ่งในผู้บุกเบิกแนวคิดนี้ที่เรียบง่ายแต่เวิร์ก คือ คุณโอโนะ ไทอิจิ (Ohno Taiichi) วิศวกรแถวหน้าของบริษัท และเป็นหนึ่งในผู้คิดค้นระบบ Toyota Production System (TPS) อันโด่งดังที่เน้นการผลิตโดยคำนวณให้มีสินค้าคงเหลือน้อยสูญเปล่าที่สุด

คุณโอโนะ จะเริ่มต้นด้วยการพาวิศวกรน้องใหม่ไปเยือนถึงโรงงาน ให้อยู่สำรวจสังเกตทั้งวัน ดูขั้นตอนการทำงานและสภาพความเป็นอยู่ของพนักงานทั้งหมด เมื่อใกล้หมดวัน ตัวเขาจะทำหน้าที่จี้ถามรายละเอียดข้อมูลแบบเจาะลึกเพื่อเช็คว่าได้ช่างสังเกตสิ่งต่างๆ เพียงพอแล้วหรือไม่ สาเหตุที่การเยือนหน้างานต้องเกิดขึ้นที่โรงงาน เพราะเขามองว่าบริษัทอยู่ในภาคการผลิต ความสำคัญที่สุดจึงอยู่ที่ตัวโรงงาน ไม่ใช่ห้องแอร์ในตึกระฟ้าใจกลางเมือง

หลังจากนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกขับเคลื่อนด้วยภาคโรงงานอุตสาหกรรมโดยมี Toyota เป็นหนึ่งในผู้นำ เกิดคลื่นกลุ่มชนชั้นกลางมหาศาล ซึ่งมาพร้อมกลุ่มผู้บริหาร แต่ระยะทางที่ไกลระหว่างออฟฟิศในเมืองและโรงงานนอกเมือง ย่อมทำให้ผู้บริหารบางคนไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง อีกทั้งการสื่อสารแบบเรียลไทม์ที่น่าเชื่อถือก็ไม่ครอบคลุมนัก ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลย่อมเกิดขึ้น 

ในเวลาต่อมา เก็นจิ เก็ตบุตซึ จึงถูกนำมาใช้และกลายมาเป็นมาตรฐานปฏิบัติสำหรับผู้บริหารญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางไปตรวจโรงงานอยู่เป็นประจำเพื่อหาต้นตอของปัญหาหรือช่องว่างที่ปรับปรุงพัฒนาได้ 

เมื่อกงจักรแห่งเวลาเดินหน้าต่อไป แนวคิด เก็นจิ เก็นบุตซึ ไม่ได้จำกัดแค่ภาคโรงงานผลิตอีกต่อไปแล้ว แต่ถูกตีความกว้างขึ้นและนำมาใช้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตคนเราด้วย เพราะไม่ต่างจากชีวิตคนเรา ของบางอย่างเราต้องออกไปเห็นกับตาถึงจะเชื่อ เจอกับตัวถึงจะตาสว่าง ประสบพบเจอมันโดยตรงถึงจะประทับอยู่ในความทรงจำ

ฉุกคิดสักนิดก่อนตัดสินจากข้อมูลส่งต่อ

ยังจำ ‘เกมกระซิบส่งสาร’ สมัยเด็กตอนเรียนในคลาสกันได้ไหม? ที่คุณครูจะพูดประโยคสารตั้งต้นแก่นักเรียนคนแรก ก่อนจะให้หันหลังพูดส่งต่อประโยคเดิมไปเรื่อยๆ ทั่วห้อง ผลลัพธ์คือเมื่อถึงคนสุดท้าย ประโยคนั้นมักถูกบิดเบือนไปจากเดิมไม่ได้ถูกต้องสมบูรณ์ 100% บางครั้งประโยคผิดเพี้ยนจนกลายเป็นคนละเรื่องเลยก็มี!

จะว่าไปแล้ว การทำงานและชีวิตของคนเราก็ไม่ต่างกันนัก เมื่อข้อมูลถูกส่งต่อเป็นทอดๆ วนไปในองค์กร จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ มีโอกาสสูงมากที่ข้อมูลจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทั้งความผิดพลาดหรืออคติความลำเอียงของตัวผู้ส่งสารเอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ 

เก็นจิ เก็นบุตซึ จึงมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเราจะไม่ได้เอาแต่รับสาร แต่บุกย้อนกลับไปต้นทางเพื่อหาข้อมูลสารตั้งต้น มันช่วยให้เราหยุดฉุกคิด ‘ไม่ด่วนตัดสิน’ สิ่งที่เห็นตรงหน้า มีความ ‘สงสัยใคร่รู้’ เป็นภูมิคุ้มกันตัว เผื่อเวลาและเผื่อใจอนุญาตให้ตัวเองได้ไปพิสูจน์ความจริงถึงหน้างาน

และเพราะปลายทางมักมาในรูปแบบรายงานตัวเลขสถิติหรือบทสรุปที่ถูกย่อยให้เข้าใจง่ายมาแล้ว จึงอาจสะท้อนความเป็นจริงได้แค่บางส่วน ส่วนที่ขาดหายไปอาจเป็นอารมณ์และความรู้สึกก็ได้? 

เก็นจิ เก็นบุตซึ จึงช่วยเพิ่มสกิล Empathy ความเข้าอกเข้าใจในตัวเราเองด้วย ไม่ใช่เข้าใจ (Understand) แต่ถึงขั้น ‘รู้สึก’ (Feel) ถึงเหตุการณ์เรื่องนั้นๆ รู้สึกถึงความยากลำบากของคนที่อยู่กับปัญหาหน้างาน 

ประณีตกับการขบคิด ชีวิตแบบเก็นจิ เก็นบุตซึ

ถึงตรงนี้เราจะสังเกตว่า เก็นจิ เก็นบุตซึมีความสงสัยใคร่รู้เป็นตอม่อเสาเข็ม ไม่ด่วนสรุปตัดบทจบ ไม่หัวอ่อนเชื่อใครง่ายๆ ขบคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนให้ดีก่อน มีวิจารณญาณให้มากเข้าไว้ มันหล่อหลอมเจียระไนเราให้มีความเป็นนักเรียน…นักเรียนรู้ตลอดชีวิตนั่นเอง

ถ้าลองคิดดูดีๆ มันช่างแมตช์กับยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลเยอะเท่าไร ยิ่งต้องคอมโบทักษะการแยกแยะคิดวิเคราะห์ให้สูงขึ้นตามเท่านั้น เอ๊ะ! ให้บ่อย สงสัยตั้งคำถามเข้าไว้ ก่อนไปเฟ้นหาความจริงด้วยตัวเอง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม การไปถึงต้นกำเนิดเพื่อค้นหาความจริงเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงที่มีความหมายและน่าจดจำ

เรื่องนี้อาจเซนซิทีฟกว่าที่คิด ดังที่เราเห็นกันในโลกโซเชียล บางครั้งเราเผลอ ‘ปล่อยไก่’ ด้วยข้อมูลผิดๆ ที่เรารับมาและด่วนตัดสิน ด่วนแสดงออกแบบที่คิดบริสุทธิ์จากใจไปว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นคือความจริง จนโดนทัวร์ลงชนิดเต็มลานจอด และทำให้เจ้าตัวสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปเลย

กล่าวได้ว่าเมื่อมี เก็นจิ เก็นบุตซึ เราจะใช้ชีวิตแบบมีสติมากขึ้น ประณีตกับการขบคิดวิเคราะห์ พิถีพิถันกับการส่งต่อ ละเมียดละไมกับการนำเสนอ รู้สึกไม่เสียเวลาแต่เอนจอยกับการ ‘ออกเดินทางทางความคิด’ เพื่อค้นหาความจริงที่หน้างานโดยไม่รู้เหมือนกันว่าแกะกล่องออกมาแล้วมันจะเป็นอะไรกันแน่…ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นศิลปะการใช้ชีวิตได้เลยนะเนี่ย?

อ้างอิง

https://www.process.st/genchi-genbutsu/

https://mag.toyota.co.uk/genchi-genbutsu/

https://kanbanzone.com/resources/lean/toyota-production-system/genchi-genbutsu/

https://simplicable.com/new/genchi-genbutsu

Tags:

ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)ความจริงการใช้ชีวิตเก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu)การคิดวิเคราะห์ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    Why Does Philosophy Matter? ‘เพราะปรัชญาสอนให้รู้จักตั้งคำถามในคำถาม’ คุยกับ ผศ.ดร.ปิยฤดี ไชยพร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy lifeRelationship
    รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodLearning Theory
    เด็กจะเล่นอย่างไรให้สนุกเเละคลายความเศร้าในใจได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย
Book
22 September 2023

มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน หรือ The Midnight Library ผลงานเขียนของแมตต์ เฮก (Matt Haig) ผู้เข้าถึงจิตใจของผู้คนที่ล้มเหลวกับชีวิต จากประสบการณ์ตรงของตนเอง
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของ ‘นอรา’ ที่เชื่อว่า ชีวิตของเธอคือความล้มเหลว จึงตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง และตื่นขึ้นมาในห้องสมุดเที่ยงคืนที่เธอสามารถเลือก ‘ชีวิตของฉัน’ ในจักรวาลแห่งความเป็นไปได้
  • บนทางแยกแห่งความเป็นไปได้นับหมื่นแสนล้าน ที่นำเราไปสู่พหุจักรวาลที่แตกต่างจากเดิม ล้วนไม่มีความหมายใดๆ หากเรา ‘ไม่ลงมือกระทำ’ ด้วยการก้าวเดินไปบนทางแยกนั้น

(บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ*การฆ่าตัวตาย และตอนจบของหนังสือ)

คนเราเกิดมาทำไม? ชีวิตนี้มีอยู่เพื่ออะไร? หรืออะไรคือความหมายของชีวิต

ผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคน ล้วนเคยมีสักครั้งในชีวิต ที่ฉุกคิดถึงคำถามข้างบน ไม่ว่าจะเป็นการขบคิดในเชิงปรัชญานามธรรม หรือแค่แวบขึ้นมาพร้อมความขุ่นข้องหมองใจ ในห้วงยามที่ชีวิตไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

และผมเชื่อว่า การขบคิดถึงคำถามเรื่องความหมายของชีวิต อาจเป็นคุณสมบัติหนึ่งเดียว ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ

นับตั้งแต่เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว มนุษย์ในหลากหลายอารยธรรมความเชื่อ เริ่มขบคิดเพื่อหาคำตอบของคำถามเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เชื่อว่า เป้าหมายของชีวิตคือการดับทุกข์ หรือ เอพิคิวรัส นักปรัชญาชาวกรีก ผู้เชื่อว่า เป้าหมายของชีวิตคือ การเสาะแสวงหาความสุข (แต่สุขในแบบของเอพิคิวรัส ไม่ใช่สุขสำราญสำมะเลเทเมาอย่างที่เราคิดหรอกครับ) หรือ อัลแบร์ กามู นักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้ประกาศว่า ชีวิตมิใช่อื่นใด แต่คือความไร้แก่นสารโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้จะมีคำตอบที่แสนชาญฉลาดจากนักคิดผู้เปี่ยมด้วยปรีชาญาน แต่หลายคนยังไม่หายขุ่นข้องใจ มนุษย์จำนวนมากยิ่งกว่ามากในทุกวันนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากความหมกมุ่นอยู่กับคำถามเรื่องความหมายของชีวิต

ยิ่งในโลกปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีทำให้โลกหมุนเร็วกว่าเดิมและแคบลงกว่าเดิม เรามองเห็นชีวิตที่สวยงาม ชีวิตที่น่าอภิรมย์ของคนอื่นๆ ไม่จะเป็นรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนข้อความ ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียที่ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา นั่นทำให้ชีวิตกลายเป็นการเปรียบเทียบ กลายเป็นการแข่งขัน ที่มียอดไลก์และจำนวนผู้ติดตามเป็นรางวัลล่อใจ

บ้างก็มองว่า ชีวิตคือศัตรูคู่อริ จึงพยายามต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ถูกชีวิตสู้กลับจนพ่ายยับกลับมา

นอรา ซีด เชื่อว่า ชีวิตของเธอคือความล้มเหลว ไม่มีใครรักเธอ ไม่มีใครต้องการเธอ โลกนี้น่าจะดีขึ้นถ้าไม่มีเธออยู่ สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่นอราทำก็คือ กินยาฆ่าตัวตาย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหนังสือที่มีชื่อว่า มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน

มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน หรือ The Midnight Library เป็นผลงานเขียนของแมตต์ เฮก (Matt Haig) นักเขียนชาวอังกฤษ ผู้มีผลงานหนังสือขายดีหลายล้านเล่ม ทั้งนิยายและสารคดี ผลงานของเขาได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักอ่านและนักวิจารณ์ว่า เป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจ และปลอบประโลมใจให้กับผู้คนที่รู้สึกว่า ตัวเองกำลังปราชัยในชีวิต

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนังสือของแมตต์ จะเข้าถึงจิตใจของผู้คนที่ล้มเหลวกับชีวิต เพราะตัวเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น ในฐานะผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วในช่วงชีวิตวัยหนุ่ม ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยเปิดเผยว่าอะไรช่วยให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นมาได้ แต่เชื่อว่า หนังสือเรื่อง มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน น่าจะบอกอะไรกับเราได้

แมตต์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เชื่อในพระเจ้า สิ่งที่เขาศรัทธาคือหนังสือ และห้องสมุดก็คือศาสนสถานสำหรับเขา

อาจกล่าวได้ว่า เรื่องราวของนอรา ซีด ในหนังสือเรื่อง มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน ก็คือ เรื่องราวของแมตต์ เฮก ในอีกห้วงจักรวาล ซึ่งเป็นแค่หนึ่งจักรวาล จากพหุจักรวาลแห่งความเป็นได้นับหมื่นแสนล้าน

นอรา เชื่อว่า ชีวิตของเธอคือความล้มเหลว เธอเคยเป็นนักว่ายน้ำอนาคตไกล ภายใต้การสนับสนุนและผลักดันจากพ่อ แต่เธอตัดสินใจทิ้งการว่ายน้ำ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การแตกหักกับพ่อ นอรา ร่วมก่อตั้งวงดนตรีกับโจ พี่ชายของเธอ แต่สุดท้าย เธอก็เลิกล้มความฝันในการเป็นนักดนตรี และทำให้เธอมีปัญหาบาดหมางกับพี่ชาย

เท่านั้นยังไม่พอ นอรา เพิ่งจะบอกเลิกแฟนหนุ่มก่อนหน้างานแต่งงานเพียงไม่กี่วัน เพียงเพราะเธอไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง หลังจากนั้น ชีวิตเธอก็ดิ่งลงเรื่อยๆ นอรา ถูกเลิกจ้าง ทั้งจากงานประจำที่เป็นพนักงานในร้ายขายเครื่องดนตรี และงานพาร์ตไทม์ที่เป็นครูสอนเปียโนให้เด็กชายคนหนึ่ง

ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นอรา ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง คือ ความตายของแมวชื่อ วอลแตร์ ซึ่งเธอเชื่อว่า เป็นความผิดของเธอที่เลี้ยงดูมันไม่ดีพอ

นอรา ผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตาย เพื่อจบชีวิตที่แสนห่วยแตก (ในความคิดของเธอ) แต่ทุกอย่างไม่จบง่ายดายอย่างที่เธอคิด นอราตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่เรียกว่า ห้องสมุดเที่ยงคืน ที่มีบรรณารักษ์ผู้ดูแลห้องสมุด ชื่อ มิสซิสเอล์ม

ในโลกความเป็นจริง หรือที่ในหนังสือใช้คำว่า ‘ชีวิตรากเหง้า’ (ซึ่งเราอาจเรียกมันว่า จักรวาลที่ 1) มิสซิสเอล์ม เป็นบรรณารักษ์ใจดีของห้องสมุดประจำโรงเรียน และเป็นคนคอยปลอบใจนอรา ในวันที่เธอได้รับข่าวร้ายว่าพ่อของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

มิสซิสเอล์มในโลกหลังความตาย บอกกับนอราว่า ห้องสมุดเที่ยงคืน คือ สถานที่ที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ณ ขณะนี้ นอรายังไม่ก้าวเข้าสู่ความตายอย่างแท้จริง เธอได้รับโอกาสให้เลือกใช้ชีวิตใหม่ในแบบที่เธออยากจะเป็น ด้วยการเลือกหนังสือ ‘ชีวิตของฉัน’ ที่มีอยู่นับหมื่นแสนล้านเล่มในห้องสมุด ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1 หากยังไม่พอใจชีวิตใหม่ที่เลือก เธอจะถูก ‘วาร์ป’ กลับมาที่ห้องสมุดเที่ยงคืนอีกครั้ง 2 หากเธอตายในจักรวาลใดจักรวาลหนึ่ง ชีวิตเธอจะสิ้นสุดลงจริงๆ และสุดท้าย หากนอรายังไม่สามารถเลือกชีวิตที่พึงพอใจได้ เธอจะได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความตายดังที่ใจปรารถนา

‘ชีวิตของฉัน’ แต่ละเล่ม คือ ชีวิตของนอรา ในแต่ละจักรวาลแห่งความเป็นไปได้ที่มีจำนวนเหลือคณานับ ในชีวิตหนึ่ง นอรา เป็นอาจารย์สอนปรัชญา ในอีกชีวิตหนึ่ง เธอเป็นนักกีฬาว่ายน้ำระดับเหรียญทองโอลิมปิก และในอีกชีวิตหนึ่ง เธอเป็นร็อคสตาร์ชื่อเสียงโด่งดัง ที่มีแฟนคลับและฟอลโลเวอร์นับล้าน

“เธอมีชีวิตได้มากมายหลายชีวิต…พอๆ กับความเป็นไปได้ที่เธอมี เป็นชีวิตที่เธอตัดสินใจเลือกใหม่ และสิ่งที่เธอเลือกจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป ถ้าเธอทำสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมแค่สิ่งเดียว เธอจะมีเรื่องราวชีวิตที่ต่างออกไป” 

อ่านถึงตรงนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้เรื่องราวหรือทฤษฎีพหุจักรวาล เอกภพคู่ขนาน มิติคู่ขนาน หรือพหุภพ (multiverse) จะมีการเขียนถึงตั้งแต่ยุคปรัชญากรีกเมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทฤษฎีเกี่ยวกับพหุจักรวาล ถูกนำมาอ้างถึงอย่างมาก ทั้งในนิยายไซไฟและสื่อภาพยนตร์ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาการในสาขาฟิสิกส์ควอนตัน ที่มีการยอมรับถึงความเป็นไปได้ของพหุจักรวาล

แต่อีกส่วนหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะผู้คนในโลกปัจจุบัน ซึ่งถูกท่วมทับด้วยภาพชีวิตที่สวยงามของคนอื่น ไม่พอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ และโหยหาตัวตนที่ดีกว่าเดิม สุขกว่าเดิม และต่างไปจากเดิม

นอรา ได้มีโอกาสเลือกเป็นตัวเองในรูปแบบต่างๆ ในจักรวาลหนึ่ง เธอได้แต่งงานกับแฟนหนุ่ม ได้เปิดผับที่เมืองชนบทในอังกฤษ และในอีกจักรวาล เธอทำงานในสถานรับเลี้ยงสุนัข และได้พบรักกับหนุ่มรุ่นน้องที่โรงเรียน ขณะที่ในอีกจักรวาล นอราได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ (เธอบอกว่าเธอไม่ชอบชีวิตนี้เอามากๆ)

และในจักรวาลหนึ่ง นอราเป็นนักวิจัยด้านธารน้ำแข็งที่ขั้วโลก ที่นั่น เธอเกือบถูกหมีขั้วโลกกิน ทำให้ตัวเองได้ตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้ว เธอไม่ได้อยากตายอย่างที่คิดไว้เลย

แท้ที่จริงแล้ว นอรา ซีด (รวมถึงแมตต์ เฮก และมนุษย์ทุกคน) ไม่ได้อยากตาย เธอยังอยากมีชีวิตอยู่ ภายใต้วงเล็บว่า ชีวิตที่สวยสดงดงามกว่าชีวิตนี้

หลังจากลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้าย นอรา จึงค้นพบชีวิตที่เธออยากจะเป็นจริงๆ (ซึ่งเราจะยังไม่พูดถึงมันในตอนนี้) แต่ในโลกความเป็นจริงล่ะ เรามีโอกาสเลือกชีวิตที่แตกต่างหลากหลายเหมือนนอราหรือเปล่า

ถึงแม้โลกความเป็นจริง (ซึ่งในหนังสือเรียกมันว่า ชีวิตรากเหง้า หรือคุณอาจเรียกมันว่า จักรวาลที่ 1 หรืออะไรก็ตามแต่) จะไม่มีห้องสมุดเที่ยงคืน แต่เราทุกคนสามารถเลือกชีวิตที่ดีกว่าเดิม สวยงามกว่าเดิม และแตกต่างจากเดิม ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘การกระทำ’ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘การใช้ชีวิต’

บนทางแยกแห่งความเป็นไปได้นับหมื่นแสนล้าน ที่นำเราไปสู่พหุจักรวาลที่แตกต่างจากเดิม ล้วนไม่มีความหมายใดๆ หากเราไม่ลงมือกระทำ ด้วยการก้าวเดินไปบนทางแยกนั้น

นอรา ที่เคยเป็นพนักงานในร้านขายเครื่องดนตรี สามารถเป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยการเลือกหนังสือเล่มใหม่ในห้องสมุดเที่ยงคืน แต่คุณเอง ก็สามารถเป็นคุณอีกคน ในเวอร์ชั่นสุดยอดนักกีฬา ด้วยการฝึกซ้อมให้หนักกว่าเดิม หรืออาจเป็นคุณอีกคน ในเวอร์ชั่นที่มีความสุขกว่าเดิม เพียงแค่คุณเลือกที่จะปล่อยวางคำพูดนินทาว่าร้ายของเพื่อน

ทุกการกระทำที่ต่างไปจากเดิม ล้วนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม -คงจำกันได้นะครับว่า มิสซิสเอล์ม บรรณารักษ์ห้องสมุดเที่ยงคืน ได้กล่าวไว้

กลับมาที่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ ผมเชื่อว่า หลายคนน่าจะเดาออกไม่ยากว่า สุดท้าย นอราเลือกกลับไปสู่ชีวิตรากเหง้า ชีวิตดั้งเดิมที่ล้มเหลวเฟลทุกอย่างนั่นแหละ เพราะเธอค้นพบแล้วว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ‘การเลือก’ แต่เป็น ‘การกระทำ’ มากกว่า

ชีวิตรากเหง้าของนอรา อาจเต็มไปด้วยปัญหา แต่ชีวิตในจักรวาลอื่นๆของเธอก็เช่นกัน ทุกชีวิตล้วนมีปัญหาในแบบฉบับของมัน แต่เธอสามารถ ‘กระทำ’ เพื่อทำให้มันดีกว่าเดิมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเลือกก้าวเดินไปบนทางแยกใหม่

นอรา ยังค้นพบว่า อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ ‘การกระทำ’ ก็คือ ‘การเห็น’

เฮนรี่ เดวิด ธอโร นักเขียนและนักปรัชญาชาวอเมริกัน กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่เธอมองไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่เธอเห็นต่างหากที่สำคัญ” และคำพูดนั้น ช่วยให้นอราได้ ‘เห็น’ สิ่งดีๆ ในชีวิต ที่เธอไม่เคย ‘เห็น’ มาก่อน

สิ่งดีๆ ที่นอราเห็น ซึ่งถือเป็นคีย์เวิร์ดของหนังสือเล่มนี้ ก็คือ ความใจดีมีเมตตา ที่เธอเคยมอบให้แก่คนอื่น ล้วนส่งผลอย่างยิ่งต่อผู้รับอย่างที่เธอเองก็คาดไม่ถึง

ความช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่นอราเคยให้กับชายชราคนหนึ่ง ทำให้ชีวิตเขาแตกต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับความใส่ใจและเอื้ออาทรที่เธอเคยมีให้กับเด็กชายคนหนึ่ง ก็ทำให้เขาไม่โตไปเป็นอันธพาลขี้คุก

และความใจดีมีเมตตาของมิสซิสเอล์ม บรรณารักษ์ที่นอรา เคยรู้จักในช่วงวัยเด็ก ช่วยให้นอรารอดพ้นจากความตาย และได้ตระหนักว่า  ชีวิตคือสิ่งสวยงาม ต่อให้เราไม่เข้าใจความหมายของมันก็เถอะ

ผมปิดหนังสือเล่มนี้ลง พร้อมกับคิดถึงข้อความของอัลแบร์ กามู ที่ถูกหยิบมาอ้างถึงในหนังสือเล่มนี้ ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “คุณจะไม่มีวันมีชีวิต ถ้าคุณมัวแต่มองหาความหมายของชีวิต”

ใช่ครับ ชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อค้นหาความหมายเพียงอย่างเดียว หากแต่มีไว้ใช้ด้วย จงใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ใช้อย่างใจดีมีเมตตา ทั้งกับผู้อื่นและตัวคุณเอง

Tags:

หนังสือชีวิตการใช้ชีวิตมหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืนThe Midnight Library

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
Adolescent Brain
18 September 2023

เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม วัยรุ่นจึงมีความเปราะบางกับโรคซึมเศร้ามากที่สุด โดยมีเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 3 สิ่ง เรียกว่า ‘สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’
  • สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาคือ ‘ช่วงเวลาแห่งความเสี่ยง’ เมื่อวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงมากก็ก่อให้เกิดความเปราะบางได้เช่นกัน หากมีเรื่องเข้ามากระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการได้
  • แต่หากเราผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้และได้วางรากฐานที่แข็งแรง เราก็จะได้ผู้ใหญ่ที่เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นแล้วสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงเป็น ‘ช่วงเวลาแห่งโอกาส’ ด้วยเช่นกัน

“เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ซึมเศร้า เสียใจก็ซึมเศร้า อกหักก็ซึมเศร้า เครียดก็ซึมเศร้า”

คำกล่าวในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นกับคนที่เบื่อหน่ายการกล่าวถึงโรคซึมเศร้าและคิดว่าเป็นเพียงแค่กระแสสังคม เพราะเมื่อก่อนไม่เห็นมีใครพูดถึง แต่ปัจจุบันกลับมีคนพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คืออุปาทานหมู่หรืออย่างไรกัน

จากการศึกษาการเพิ่มขึ้นของโรคซึมเศร้าทั่วโลกระหว่างปี 1990-2017 พบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นจาก 172 ล้านเคสในปี 1990 พุ่งขึ้นไปถึง 258 ล้านเคสในปี 2017 (เพิ่มขึ้นถึง 49.86%)

อีกทั้งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ามีประชากรทั่วโลกประสบกับโรคซึมเศร้ามากถึง 280 ล้านคนในปี 2023 และมีมากกว่า 700,000 คนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้าในทุกๆ ปี

ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่า โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก การทำความเข้าใจต้นตอของโรคซึมเศร้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไรกันแน่? 

Dr. Roselinde Kaiser นักจิตวิทยาคลินิกและนักประสาทวิทยาศาสตร์ และเป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิจัยที่มุ่งศึกษาความผิดปกติทางอารมณ์ ชี้ว่าโรคซึมเศร้าไม่สามารถวินิจฉัยได้ทางกายภาพ เช่น ไม่สามารถเจาะน้ำไขสันหลัง เอกซเรย์ หรือตรวจดูพันธุกรรมเพื่อวินิจฉัยและคาดการณ์การเป็นโรคซึมเศร้าได้ 

ดังนั้นแล้ว จึงเชื่อว่าการจะเข้าใจโรคซึมเศร้าต้องไปดูว่าโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในชีวิตช่วงไหน และมีเหตุปัจจัยใดที่เกิดในช่วงเวลานั้นและมีความเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า

Dr. Kaiser กล่าวว่าช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม วัยรุ่นจึงมีความเปราะบางกับโรคซึมเศร้ามากที่สุด โดยมีเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 3 สิ่ง เรียกว่า ‘สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’ (Bermuda Triangle) ประกอบไปด้วย การเปลี่ยนแปลงทางสมอง การพัฒนาฟังก์ชันการรู้คิดขั้นสูง และ การเปลี่ยนผ่านทางสังคม

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในช่วงวัยรุ่น

ในช่วงวัยรุ่นเกิด ‘การเปลี่ยนแปลงทางสมอง’ หลายประการ หนึ่งในนั้นคือ ‘การแตกเนื้อหนุ่มสาว’ (Puberty) ซึ่งหมายถึงการหลั่งไหลของฮอร์โมนต่างๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การทำงาน และการสื่อสารของสมอง

โดยปกติแล้วสมองของเราจะทำงานเป็นส่วนๆ ไม่ได้ทำงานพร้อมกันทั้งก้อน สมองแต่ละส่วนจึงจำเป็นต้องสื่อสารระหว่างกันในการทำงาน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น สมองแต่ละส่วนเริ่มสื่อสารกับสมองส่วนอื่นๆ มากขึ้นกว่าในวัยเด็ก และสื่อสารกับส่วนที่ไกลออกไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง 

สมองแต่ละส่วนพัฒนามาให้เป็นเลิศในการทำงานด้านใดด้านหนึ่งอยู่แล้ว และเมื่อมีการเชื่อมต่อกันของสมองหลายๆ ส่วน ก็จะยิ่งเอื้อให้เราพัฒนาการรู้คิดที่ซับซ้อนขึ้นได้ เช่น การจัดการอารมณ์ การปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในอนาคต

เมื่อสมองแต่ละส่วนเชื่อมต่อกันได้ดีจะทำให้วัยรุ่นสามารถ ‘พัฒนาฟังก์ชันการรู้คิดขั้นสูง’ (Higher-Order Cognitive Functions) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการคิดขั้นสูงเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน โดย Dr. Kaiser มุ่งไปที่ความสามารถใน ‘การกำกับควบคุมตัวเอง’ (Self-regulation)

วัยรุ่นต้องพบเจอกับเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เครียดเป็นปกติ ในตอนแรกเขาอาจไม่สามารถจัดการกับมันได้ดีพอ ยังกำกับควบคุมอารมณ์และแรงกระตุ้นภายในตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้วัยรุ่นเครียดคือ ‘การเปลี่ยนผ่านทางสังคม’ วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านและต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น เขาต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา เข้าไปในสังคมใหม่ เจอกับประสบการณ์ใหม่ รักครั้งแรก ทุกอย่างครั้งแรก ซึ่งการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเครียด และการจะผ่านไปได้ต้องใช้การกำกับควบคุมตัวเองที่ดีอย่างยิ่งยวด

ดังนั้นแล้ว เหตุปัจจัยทั้งสามเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงวัยรุ่น และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างตัดกันไม่ขาด

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาของ Dr. Kaiser

แล้วสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าอย่างไร?

Dr. Kaiser ชี้ว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาคือ ‘ช่วงเวลาแห่งความเสี่ยง’ (A Window of Risk) เมื่อวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงมากก็ก่อให้เกิดความเปราะบางได้เช่นกัน หากมีเรื่องเข้ามากระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการได้ แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะสามารถผ่านไปได้อย่างสบายๆ ในผู้ใหญ่ก็ตาม

เปรียบเทียบกับการสร้างบ้าน ในตอนเริ่มวางโครงสร้างซึ่งก็คือช่วงวัยรุ่น บ้านของเราจะเปราะบางมากที่สุด อะไรเข้ามากระทบหนึ่งเดียวก็อาจทำให้บ้านพังได้ แต่หากเราผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้และสามารถวางโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง เราก็จะได้บ้านที่แข็งแกร่งมั่นคงมากเลยทีเดียว

ดังนั้นแล้ว สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นได้ทั้ง ‘ช่วงเวลาแห่งความเสี่ยง’ และ ‘ช่วงเวลาแห่งโอกาส’ โอกาสที่เราจะวางรากฐานที่แข็งแรง เพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

อย่างไรก็ดี หากผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นไปแล้ว เราก็ยังพอมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดังที่ Dr. Kaiser เปรียบเทียบกับเรื่องบ้านไว้ว่า “บ้านทุกหลังสามารถปรับเปลี่ยนใหม่ได้แม้จะสร้างมาหลายทศวรรษแล้วก็ตาม” ผู้ใหญ่เองก็เช่น สมองของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

เราจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคซึมเศร้าได้อย่างไร?

1. ดูแลตัวเอง – Dr. Kaiser แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารอย่างเหมาะสม ออกกำลังกาย อยู่กับคนไม่ท็อกซิก แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดูเหมือนง่ายและคงไม่ส่งผลอะไร แต่กลับเป็นสิ่งที่หลายคนละเลย การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นพื้นฐานของการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์

2. ฝึกซ้อมรับมือกับความเครียด – ความเครียดไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป มันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างทักษะการรับมือ (Coping Skills) และการล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ (Resilience) การฝึกซ้อมรับมือกับความเครียดคือการฝึกเผชิญหน้ากับประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดและดึงวิธีที่เราจะใช้รับมือออกมา

เช่น เราอาจไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ โดยที่ก็ต้องตระหนักว่าเราอาจจะถูกปฏิเสธก็ได้ เมื่อถูกปฏิเสธเราก็หาวิธีฮีลใจให้ตัวเองผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ เช่น ไปอยู่กับครอบครัว ไปเดินเขา ไปเล่นกับหมา เป็นต้น

เมื่อเรามีทักษะการรับมือและการล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ หากเจอกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดโดยที่เราไม่ได้เลือก เราก็จะมีเครื่องมือที่ใช้ในการรับมือกับกับความเครียดนั้นได้อย่างเหมาะสม

3. ขจัดมุมมองด้านลบ – หลายๆ ครั้งการพูดถึงความเจ็บป่วยทางจิตมักถูกมองว่าเป็นบ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำให้ปัญหายิ่งไม่ได้รับการแก้ไขเพราะไม่มีใครกล้าพูดถึง ต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ว่าจิตกับกายล้วนส่งผลซึ่งกันและกัน หรือที่กล่าวกันว่า ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’

โรคซึมเศร้าซึ่งเป็นความเจ็บป่วยทางจิต ก็เป็นความเจ็บป่วยทางกายด้วยเช่นกัน โดยแสดงออกผ่านทางสมอง 

โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้ตราบใดที่สังคมเปิดโอกาสให้พูดถึงได้ไม่ต่างอะไรจากความเจ็บป่วยทางกาย พูดถึงได้โดยไม่ถูกตัดสิน และทุกคนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น

แม้เราจะกล่าวได้ว่าโรคซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยทางสมองอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมองของเราพังหรือมีความผิดปกติ สมองของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เหมือนกับบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนสร้างใหม่ได้ตลอดแม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน

อย่าหยุดที่จะเติบโต เพราะสมองของเรากำลังเติบโตอยู่ตลอดเวลา

อ้างอิง

Liu, Q., He, H., Yang, J., Feng, X., Zhao, F., & Lyu, J. (2020). Changes in the global burden of depression from 1990 to 2017: Findings from the Global Burden of Disease study. Journal of Psychiatric Research, 126, 134-140.

TED. (2019). Teen Brains Are Not Broken | Roselinde Kaiser, Ph.D. | TEDxBoulder.

World Health Organization. (2023). Depressive disorder (depression).

Tags:

สุขภาพจิตวัยรุ่นAdolescent Brainโรคซึมเศร้าสังคมสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาการเปลี่ยนแปลงทางสมองการพัฒนาฟังก์ชันการรู้คิดขั้นสูง

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Dear Evan Hansen : เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

    เรื่อง The Potential

ความย้อนแย้งและสัญญาณว่าคุณกำลังหมกมุ่นเรื่องความสมบูรณ์แบบมากเกินไป
How to enjoy life
14 September 2023

ความย้อนแย้งและสัญญาณว่าคุณกำลังหมกมุ่นเรื่องความสมบูรณ์แบบมากเกินไป

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คนที่รักความเพอร์เฟกต์มีแนวโน้มที่จะทำตัวไม่ยืดหยุ่นและตั้งค่ามาตรฐานกับสิ่งต่างๆ อย่างล้นเกิน จนแม้แต่ตัวเองก็มักทำได้ไม่ถึง นอกจากนี้ยังมักพกนิสัยชอบวิพากษ์วิจารณ์ติดตัว และมองโลกแบบแบ่งแยกเด็ดขาด คือหากไม่เพอร์เฟกต์ก็ใช้ไม่ได้!
  • ความย้อนแย้งก็คือ เขาหรือเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องแบบนั้นมันยาก จึงมองหาสาเหตุที่ใช้อธิบายความล้มเหลวให้กับตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็หยุดตั้งเป้าหมายแบบสมบูรณ์แบบอีกไม่ได้ เกิดเป็นวัฏจักร ตั้งเป้า-ล้มเหลว-แก้ตัว-ตั้งเป้า วนเวียนเช่นนี้ไปไม่รู้จบ
  • มีสัญญาณอยู่ 5 แบบที่กำลังแสดงตัวให้เห็นว่า คุณกำลังหมกมุ่นกับเรื่องความสมบูรณ์แบบมากจนเกินไปแล้ว จนควรกลับมาตั้งสติใหม่ก่อนจะสายเกินแก้

ในวงจรชีวิตของเรา ทั้งการเรียนและการทำงาน และในบางวงการ เช่น กีฬาหรือดนตรี การเรียกร้องหา ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ดูจะเป็นเรื่องยอมรับกันได้หรือแม้แต่ต้องเชิดชูและไปให้ถึงกันเลยทีเดียว

แต่เราสมควรใช้เรื่องความสมบูรณ์แบบเป็นเป้าหมายในชีวิตจริงหรือ?

มีเรื่องชวนขันเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการสมัครงานที่พวกฝรั่งบางคนชอบเล่าสู่กันฟัง นั่นก็คือเมื่อถามผู้สมัครถึงจุดแข็งของเขาหรือเธอแล้ว คณะกรรมการก็อาจจะถามถึงจุดอ่อน และคำตอบที่ได้ก็อาจเป็นว่า 

“เอ่อ ผม (ดิฉัน) ก็คงต้องยอมรับว่า บางทีจุดอ่อนของตัวเองก็คือ ความต้องการทำอะไรให้มันได้สมบูรณ์แบบ ซึ่งก็ทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้น” 

ฟังคำถ่อมตัวแบบโม้ๆ ทำนองนี้แล้วอยากรีบรับเข้าทำงานเลยไหมครับ?

ความต้องการเป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) นี่ เคยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนะครับ และอันที่จริงก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน มีงานวิจัยที่สรุปว่าความอยากสมบูรณ์แบบมีประโยชน์ต่อที่ทำงาน เพราะทำให้คนนั้นมีความกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าคนทั่วไป สามารถทำงานได้อย่างยาวนานกว่าคนทั่วไป และเอาใจใส่กับงานมากกว่าด้วย [1] 

งานวิจัยนี้ใช้หลักทางสถิติวิเคราะห์งานวิจัยอื่นก่อนหน้ารวม 95 งาน ไล่เรียงเวลาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ถึงปัจจุบัน ครอบคลุมจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองมากเกือบ 25,000 คนทีเดียว 

ถ้างั้นก็ดีสิ! 

เราก็ควรจะสนับสนุนให้ทุกคนเป็นคนที่มุ่งแสวงหาความสมบูรณ์แบบสิ แต่ความเป็นจริงอาจมีความสลับซับซ้อนมากกว่านั้นครับ หากดูที่ตัว ‘ผลงาน’ แล้ว คนที่มองหาความสมบูรณ์แบบก็ไม่ได้ทำผลงานได้ดีกว่าพวกที่ไม่ได้มีมุมมองแบบนี้เลยอย่างมีนัยสำคัญเลย (แม้ว่าจะไม่ได้แย่กว่าก็ตาม)  

คนที่รักความเพอร์เฟกต์มีแนวโน้มที่จะทำตัวไม่ยืดหยุ่นและตั้งค่ามาตรฐานกับสิ่งต่างๆ อย่างล้นเกิน จนแม้แต่ตัวเองก็มักทำได้ไม่ถึง นอกจากนี้ยังมักพกพาอุปนิสัยชอบวิพากษ์วิจารณ์ติดตัว และที่แย่สุดๆ ก็คือ การมองโลกแบบแบ่งแยกเด็ดขาด คือหากไม่เพอร์เฟกต์ (ซึ่งก็คือส่วนใหญ่) ก็ใช้ไม่ได้!

งานวิจัยนี้ยังชี้อีกด้วยว่า พวกรักความสมบูรณ์แบบมักจะมีระดับความเครียดและความกังวลใจสูง และหมดเรี่ยวแรงพลังหรือหมดไฟได้ง่าย

ฉะนั้น โดยรวมแล้วคนพวกนี้จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองและคนรอบข้างมากกว่าจะเป็นผลดี 

เรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ ‘ราก’ ของความคิดหรือความต้องการไม่ให้สิ่งต่างๆ ผิดพลาดนั้น จำนวนมากเลยเกิดจาก ‘บาดแผล’ ในใจสมัยตอนเป็นเด็ก [2] เช่น เขาหรือเธออาจเติบโตมาในครอบครัวที่หย่าร้าง และโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุหรือทำได้ไม่ดีพอ จึงทำให้พ่อกับแม่ต้องแยกทางกัน 

ดังนั้น ถ้าทำตัวสมบูรณ์แบบได้ ก็อาจแก้ไขเรื่องนั้นได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ ทำนองนั้นขึ้นอีก ยังมีแรงขับอีกหลายแบบ อาทิ การเป็นเด็กที่ต้องวางแผนรับมือพ่อหรือแม่ที่ติดแอลกอฮอล์หรือติดยา และชอบลงมือทำร้ายคนในครอบครัว แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นสาเหตุได้ชัดเจนขนาดนี้ บางคนอาจจะจำฝังใจในเรื่องที่ไม่รุนแรงและชัดเจนเท่า 

ความย้อนแย้งสำคัญของการใฝ่หาความสมบูรณ์แบบก็คือ เขาหรือเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องแบบนั้นมันยากหรือแม้แต่จะทำไม่ได้ในชีวิตจริง จึงมองหาสาเหตุที่ใช้อธิบายความล้มเหลวให้กับตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็หยุดตั้งเป้าหมายแบบสมบูรณ์แบบต่อไปอีกไม่ได้ เกิดเป็นวัฏจักร ตั้งเป้า-ล้มเหลว-แก้ตัว-ตั้งเป้า วนเวียนเช่นนี้ไปไม่รู้จบ 

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาเด็กนักเรียนในอังกฤษ แคนาดา และสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1989-2016 เกือบ 40,000 คน ทำให้รู้ว่ามีเด็กนักเรียนและวัยรุ่นราว 40% ที่ประสบผลเสียของเรื่องการทำตัวเพื่อให้สมบูรณ์แบบ [2, 3] โดยเป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งนักวิจัยอธิบายว่าน่าจะเป็นผลจากระบบการเรียนการสอบวัดผลที่เน้นการแข่งขันเพิ่มขึ้น แถมยังเริ่มต้นในตอนที่เด็กอายุน้อยลงอีกต่างหาก เด็กจำนวนมากต้องไปโรงเรียนกวดวิชาหรือไม่ก็ต้องมีครูพิเศษมาติวที่บ้านเพื่อให้ชนะการแข่งขัน

อีกปัจจัยหนึ่งคือการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียที่ทำให้เด็กๆ เห็นเพื่อนโชว์ผลสำเร็จต่างๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

นักวิจัยแบ่งอาการใฝ่หาความสมบูรณ์แบบออกเป็น 3 แบบคือ แบบที่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง แบบใช้คนอื่นเป็นศูนย์กลาง และสุดท้ายคือ แบบใช้สังคมโดยรวมเป็นศูนย์กลางในการตัดสิน

พวกที่เอานิสัยแบบนี้มาจับกับเรื่องงานก็มีแนวโน้มจะเกิดความเครียดและความซึมเศร้า จนบางครั้งสำหรับในรายที่อาการหนัก อาจถึงกับทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ดังที่เราเคยได้ยินกรณีเด็กนักเรียนฆ่าตัวตาย เพราะคะแนนตกลงมากหรือไม่ได้อันดับดีๆ อย่างที่เคยได้

หากนำเอาแนวคิดเรื่องคุณค่าแบบนี้มาใช้กับทีม ในระยะสั้นอาจผลักดันจนเกิดความสำเร็จได้ แต่ในระยะยาวแล้วแทบจะหนีไม่พ้นว่า ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นเป็นอย่างมากจะทำให้กลุ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ 

มีตัวอย่างศิลปินดังที่เป็นโรคคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบคือ คลอส โมเนต์ (Claude Monet) ในเดือนพฤษภาคม 1908 ซึ่งเขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแล้ว และกำลังจะจัดงานแสดงภาพในกรุงปารีส ภาพของเขาได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีเป็นอย่างมากถึงความโดดเด่นของสไตล์

แต่ในวันก่อนเปิดนิทรรศการ เมื่อเขาเดินดูความเรียบร้อยของงานตัวเอง เขาก็พบ ‘ความไม่สมบูรณ์แบบ’ เต็มไปหมดในภาพวาดแต่ละรูป จนเขาทนไม่ได้และต้องใช้มีดกรีดงานเหล่านั้น!

มีสัญญาณอยู่ 5 แบบที่กำลังแสดงตัวให้เห็นว่า คุณกำลังหมกมุ่นกับเรื่องความสมบูรณ์แบบมากจนเกินไปแล้ว จนควรกลับมาตั้งสติใหม่ก่อนจะสายเกินแก้ 

สัญญาณแรกคือ ‘ความรู้สึกผิด’ คุณจะรู้สึกผิดอย่างซ้ำซาก และรู้สึกว่าไม่อาจทำอะไรได้เพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีพอ จนทำให้ตัวเองผิดหวังและรู้สึกห่อเหี่ยว 

สัญญาณต่อไปคือ จู่ๆ คุณอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ดูสมบูรณ์แบบตรงหน้า กลับกลายเป็นว่ามีความไม่สมบูรณ์แบบขึ้นมา จนทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ไอ้นู่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ได้ สัญญาณถัดไปคือ คุณบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า คุณไม่พร้อมจะเริ่มต้นทำเสียที คุณจะบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า “ฉันจะเริ่มเมื่อทุกอย่างพร้อมเท่านั้น” การผัดวันประกันพรุ่งเป็นความยุ่งยากสำคัญที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ 

ปัญหาใหญ่สุดของพวกผู้ใฝ่หาความสมบูรณ์แบบก็คือ ‘ความกลัวล้มเหลว’

อีกสัญญาณที่ควรสังเกตคือ บางคนก็ต้องการกำลังใจอยู่ตลอดเวลา จึงเฝ้าถามคนอื่นว่า ฉันดี ฉันแจ๋ว ฉันสมบูรณ์แบบหรือยัง คนที่ทำแบบนี้จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ลอยขึ้นลงไปมาตามคำชมเชยหรือคำติเตียนของคนอื่น ยากจะหาความสุขได้อย่างแน่นอน 

สัญญาณข้อสุดท้ายคือ สำหรับบางคนจะเบี่ยงเบนคำวิจารณ์เรื่องความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองไปใส่คนอื่น เฝ้าแต่มองหาจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในงานของเพื่อนร่วมงาน จนบางทีกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้อาจส่งผลเสียหายกับงานได้มากทีเดียว

การแก้ปัญหาอย่างตรงจุดที่สุดคือ การเปลี่ยนวิธีมองโลก [2, 3]  คุณต้องบอกกับตัวเอง หรือหากเป็นหัวหน้าก็ต้องบอกกับลูกน้อง ครูก็ต้องบอกกับนักเรียนเสมอว่า ยากจะหาอะไรที่สมบูรณ์แบบได้จริงๆ ไม่ว่าตัวเราเองหรือคนอื่น ต่างก็ผิดพลาดได้เสมอ ทำอะไรไม่สมบูรณ์แบบได้เสมอ 

ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ สำหรับทุกคน 

การตั้งเป้าหมายการทำงานหรือเป้าหมายชีวิตให้สมบูรณ์แบบจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและรังแต่จะเป็นปัญหา ความไม่สมบูรณ์แบบไม่เท่ากับความล้มเหลว และแม้แต่ความล้มเหลวเองก็ไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ   

เมื่อมีการบ้านหรืองานที่ต้องทำ ก็แค่ทำให้ดีที่สุด แต่ไม่ไปคาดหวังว่าจะได้คะแนนเต็มหรืองานไม่มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นเลย ลองนึกถึงประสบการณ์รวมไปถึงความสำเร็จต่างๆ ในอดีตของตัวเองดูบ้าง  

การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ มีความอดทนต่อความผิดพลาดและคำวิจารณ์ เป็นวิถีชีวิตปกติธรรมสามัญที่สุดที่คนทั่วไปทุกคนต้องเผชิญ 

ไม่ต้องจริงจัง เคร่งเครียด หรือซึมเศร้าไปกับเรื่องเหล่านี้เลย

เอกสารอ้างอิง

[1] https://hbr.org/2018/12/the-pros-and-cons-of-perfectionism-according-to-research

[2] Edoardo Albert (2022) The Dark Heart of Perfection. Psychology Now, vol. 3, pp. 28-31

[3] https://hbr.org/2018/01/perfectionism-is-increasing-and-thats-not-good-news

Tags:

ความยืดหยุ่น(resilience)การตั้งเป้าหมายPerfectionismความสมบูรณ์แบบความล้มเหลว

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร”

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ฮุกกะ (Hygge): สุขแบบไม่หิวแสง จริตชีวิตในแบบฉบับคนเดนมาร์ก

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    ‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน
Social Issues
12 September 2023

ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • โรงเรียนบางแห่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ก็ถูกกล่าวโทษว่าเพราะมีครูที่ไม่เก่งหรือไม่ขยันพอ ทำให้นักเรียนย้ายหนีไปโรงเรียนอื่น ในทางกลับกันก็พร้อมยกย่องครูที่ทำงานเสียสละอย่างหนักเพื่อโรงเรียน
  • มุมมองการแก้ปัญหาจึงวนเวียนอยู่ที่ครูเป็นหลัก มากกว่าจะตั้งคำถามว่า รากปัญหาที่แท้จริงคืออะไร การศึกษาควรเป็นอย่างไร และระบบที่เป็นอยู่กำลังจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรมหรือไม่
  • มองปัญหาการศึกษาที่ตกอยู่เพียงแค่ “อะไรอะไรก็โทษครูไว้ก่อน” ผ่านหนังสือ Bad Teacher! How Blaming Teachers Distorts the Bigger Picture หรือ ครูไร้คุณภาพ! การกล่าวโทษครูนำไปสู่การบิดเบือนปัญหาที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร โดย Kevin K. Kumashiro

ปัญหาการศึกษาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวาระหลักของสังคมไทย ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น คำพูดที่เรามักจะได้ยินเป็นปกติก็คือ สังคมไทยต้องมีการปฏิรูปการศึกษา กว่าสองทศวรรษที่สังคมถกเถียงถึงรายละเอียดของปัญหาการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็น ความเหลื่อมล้ำทางภาระงานครู หลักสูตรที่ล้าหลัง ไปจนถึงคุณภาพครู สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นความคาดหวังที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลในทุกครั้งที่มีตัวแทนใหม่เข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ แต่จนแล้วจนรอด การศึกษาไทยก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด

ในครั้งนี้จึงอยากเขียนเล่าถึงหนังสืออย่าง Bad Teacher! How Blaming Teachers Distorts the Bigger Picture หรือแปลเป็นไทยตรงๆ เลยก็คือ ครูไร้คุณภาพ! การกล่าวโทษครูนำไปสู่การบิดเบือนปัญหาที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร เขียนโดยอาจารย์ Kevin K. Kumashiro ซึ่งเป็นอดีตคณบดี School of Education at the University of San Francisco และทำงานขับเคลื่อนด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education) แม้หนังสือจะมีอายุเกิน 10 ปีแล้ว (เขียนในปี 2555) และถูกเขียนขึ้นในบริบทสังคมอเมริกัน แต่บางส่วนของหนังสือนั้นน่าสนใจพอให้หยิบมาเทียบเคียงและเป็นประเด็นนำไปสู่การถกเถียงได้ไม่มากก็น้อย ในขณะเดียวกันยังเป็นอีกทางเลือกที่คอยย้ำเตือนเราให้ทำความเข้าใจปัญหาที่ไม่อาจมองแยกเป็นส่วนๆ ได้ หรือมองทุกปัญหาตกอยู่เพียงแค่ “อะไรอะไรก็โทษครูไว้ก่อน” แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมองให้เห็นไปทั้งระบบว่าวิธีคิดการศึกษาแบบแข่งขัน หลักสูตรอิงผลลัพธ์ การประเมินครู ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน และแนวนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ มันทำงานสอดประสานกันอย่างไร

ประเด็นหนึ่งที่ Kumashiro ต้องการจะชี้ให้เรามองเห็น คือปัญหาของวิธีคิดที่กล่าวโทษครูว่าเป็นต้นตอแห่งความย่ำแย่ของการศึกษา (ในอเมริกา) และมีการเสนอทางออกง่ายๆ ด้วยการลงโทษหรือกำจัดครูที่ไม่ดีออกจากระบบไป พร้อมกับให้รางวัลกับครูที่ดีให้ดำเนินงานต่างๆ ต่อไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งอาจทำให้เราหลงลืมว่าระบบโครงสร้างที่เป็นอยู่นั้น แท้จริงได้กระทำต่อครูและนักเรียนอย่างไร

สำหรับระบบการศึกษาอเมริกันที่เป็นอยู่นั้นคือระบบแบบแข่งขัน แพ้คัดออก ที่สร้างผู้แพ้และผู้ชนะในเวลาเดียวกัน ระบบที่ให้มุ่งเน้นคะแนน การสอบ และผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสการปฏิรูปการศึกษาของอเมริกานับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยมีการกล่าวอ้างว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจนั้นมาจากความล้มเหลวทางด้านการศึกษา จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้มีมาตรฐานและตรวจสอบคุณภาพได้ให้แข่งขันทางเศรษฐกิจได้

แนวนโยบายดังกล่าว ยังได้ดำเนินการบนฐานคิดแบบเสรีนิยมใหม่บนความเชื่อที่ว่า ความสำเร็จและความมั่นคงในชีวิตนั้นมาจากความขยันขันแข็งและการพึ่งพาตนเอง ในระดับมหภาคจึงเกิดการดำเนินนโยบายที่เคร่งครัดทางการคลัง ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ปฏิเสธสวัสดิการที่จะเป็นตาข่ายรองรับให้กับผู้คน สวนทางกับงบประมาณด้านความมั่นคงที่มากขึ้น ด้วยการอ้างว่าเพื่อใช้ในการต่อต้านการก่อการร้าย

การศึกษาจึงถูกทำให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันของความพยายามที่ถูกทำให้เชื่อว่าได้เปิดโอกาสให้แต่ละคนแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม เพื่อเป็นผู้ชนะในที่สุด หากอยากมีชีวิตที่มั่นคง อยากมีชีวิตที่ดี ก็ต้องแข่งขันบนกติกานี้ให้ชนะเพื่อไปสู่จุดสูงสุด หลักสูตรที่อิงมาตรฐานผลลัพธ์จึงถูกนำมาใช้เป็นทั้งเป้าหมาย มาตรวัด และระบบคัดกรองคุณภาพ เสมือนเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต หากนักเรียนคนใดเรียนได้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานที่วางไว้ เขาหรือเธอก็จะมีโอกาสประสบผลสำเร็จได้มากกว่า การแข่งขันได้ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ที่มากขึ้น

ดังนั้น บทบาทของครูจึงต้องทำหน้าที่สร้างผู้ชนะเหล่านี้อย่างแข็งขัน เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเป็นที่น่าพอใจ และลดช่องว่างของคะแนนระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้ให้ได้มากที่สุด 

ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งการหาค้นหาวิธีประเมินความสำเร็จหรือการทำงานต่างๆ นานาของครู และบีบรัดการทำงานของครูให้ได้ผลลัพธ์มากที่สุด เช่น ต้องการวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนของนักเรียน ผลทำให้ครูมักไปโฟกัสอยู่ที่การเตรียมเอกสารใบงานประกอบการเรียนต่างๆ ให้นักเรียนได้ทำ เพื่อให้ผู้ประเมินได้เห็น หรือจับเอาคะแนนสอบของนักเรียนเทียบเข้ากับกระบวนการเตรียมครู พูดง่ายๆ โปรแกรมการผลิตครูที่ไหนผลิตครูให้ไปสร้างนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเยอะ ก็จะได้รับเงินอุดหนุนที่มากกว่าที่อื่น 

นี่คือแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่เชื่อว่าการแข่งขันจะนำมาซึ่งการพัฒนาคุณภาพให้สูงขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนแข่งขันกันเรียน ผ่านแนวคิดอย่าง Race to the top ครูแข่งขันกันสอนเพื่อรับการประเมิน โปรแกรมผลิตครูแข่งกันผลิตนักศึกษาครูให้เก่งด้านการสร้างผลสัมฤทธิ์ เป็นนักเทคนิคมากกว่าจะเรียนรู้ทำความเข้าใจนักเรียน อีกทั้งเกิดการแข่งขันของธุรกิจต่างๆ ในการออกคู่มือและแบบฝึกหัดที่เป็นตัวช่วยให้ครูและผู้ปกครอง ได้การันตีการเพิ่มขึ้นของผลสัมฤทธิ์

มากไปกว่านั้น ระบบการศึกษาเสรีนิยมใหม่ยังเปิดให้โรงเรียนได้แข่งขันระหว่างกันเอง และมีความเชื่อว่าการแข่งขันจะทำให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งยังมองว่าการแข่งขันเป็นเสรีภาพในการเลือกที่ผู้ปกครองจะตัดสินใจเองได้ว่าโรงเรียนใดเหมาะสมที่สุดในการส่งลูกหลานตัวเองไปเรียน ในอีกทางหนึ่ง โรงเรียนที่มีนักเรียนในฐานะ ‘ลูกค้า’ สมัครเข้าเรียนมากขึ้น นั่นหมายถึงงบประมาณในฐานะรางวัลที่มากขึ้นที่ตามมาด้วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารและครูจะต้องพยายามให้โรงเรียนแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆ ได้

ท้ายที่สุด ทั้งหมดนี้ล้วนผลักให้ ‘ครู’ เป็นตัวแสดงสำคัญที่ชี้ขาดว่าจะทำให้โรงเรียนนั้นประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว โรงเรียนบางแห่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ก็ถูกกล่าวโทษว่าเพราะมีครูที่ไม่เก่งหรือไม่ขยันพอ ทำให้นักเรียนต่างย้ายหนีไปอยู่ที่โรงเรียนอื่นๆ ในทางกลับกันก็พร้อมยกย่องครูที่ทำงานเสียสละอย่างหนักเพื่อโรงเรียน มุมมองการแก้ปัญหาจึงวนเวียนอยู่ที่ครูเป็นหลัก มากกว่าจะตั้งคำถามว่า รากปัญหาที่แท้จริงคืออะไร การศึกษาควรเป็นอย่างไร และระบบที่เป็นอยู่กำลังจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรมหรือไม่ ทำให้ผลสุดท้ายจบลงด้วยการอุดรอยรั่วเฉพาะหน้า ด้วยการส่งเสริมหลักสูตรครูแบบเร่งรัด อย่างเช่น Teach for America เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่ประสบปัญหา ทั้งที่จริงคือความเหลื่อมล้ำ ดังที่ Kumashiro ตั้งข้อสังเกต ครูจากหลักสูตรหลักมักจะมีโนวโน้มเข้าไปสอนในเขตชานเมืองและชนชั้นสูง ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้เพียบพร้อมไปด้วยสื่อการสอนที่ทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ชั้นเรียนขนาดเล็ก และได้รับค่าตอบแทนที่ดี (ประธานธิบดีในเวลานั้น บารัค โอบามา ก็ส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนชั้นนำเหล่านี้) ในทางตรงกันข้ามครูจากหลักสูตรเร่งรัดก็จะสอนในโรงเรียนที่กำลังประสบปัญหาที่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นคนในระดับล่างของสังคม

แล้วระบบการศึกษาของไทย กำลังเป็นเช่นนี้อยู่หรือไม่?

Tags:

หนังสือ Bad Teacher! How Blaming Teachers Distorts the Bigger Pictureโปรแกรมผลิตครูแนวคิด Race to the topครูระบบการศึกษาโรงเรียนนักเรียนการแข่งขัน

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    คลี่ม่าน ‘มายาคติทางการศึกษา’ เปิดพื้นที่เรียนรู้บนความแตกต่างหลากหลายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างทาง: ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

A Beautiful Day in the Neighborhood: เมื่อความแหลกสลายในอดีตมาครอบงำจิตใจ จงปลดปล่อยตัวเองจากความโกรธ
Movie
8 September 2023

A Beautiful Day in the Neighborhood: เมื่อความแหลกสลายในอดีตมาครอบงำจิตใจ จงปลดปล่อยตัวเองจากความโกรธ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • A Beautiful Day in the Neighborhood เป็นภาพยนตร์ในปี 2019 บอกเล่าเรื่องราวของลอยด์ โวเกล นักเขียนนิตยสาร Esquire ที่ต้องไปสัมภาษณ์ มิสเตอร์โรเจอร์ส พิธีกรขวัญใจเด็กๆ อเมริกัน ผู้ได้รับฉายาว่าเป็นนักบุญที่ยังมีชีวิต
  • แม้การสัมภาษณ์ควรแล้วเสร็จตั้งแต่ครั้งแรก แต่การสัมภาษณ์มิสเตอร์โรเจอร์สกลับแตกต่างออกไป เพราะทุกครั้งมิสเตอร์โรเจอร์มักกลายเป็นคนสัมภาษณ์ลอยด์เสียเอง โดยเฉพาะประเด็นความไม่ลงรอยระหว่างเขากับพ่อ รวมถึงวิธีที่จะช่วยให้ลอยด์ก้าวพ้นจากบาดแผลและความแหลกสลายในวัยเด็กที่กัดกินความสุขของเขามาทั้งชีวิต
  • ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากบทสัมภาษณ์มิสเตอร์โรเจอร์ส(1998) ของทอม จูโนด์ แห่งนิตยสาร Esquire หรือลอยด์ โวเกล ในฉบับภาพยนตร์

“จะทำเช่นไรกับความโกรธในหัวใจ เมื่อเธอโกรธใครสักคนจนแทบคลั่ง เมื่อทุกอย่างในโลกไม่เป็นดั่งหวัง และทุกเรื่องที่ทำไม่เข้าที่เข้าทาง จะทำเช่นใด ชกกระสอบหรือไม่ ทุบก้อนดินหรือแป้งทำขนมไหม จะลองชวนเพื่อนมาเล่นไล่จับกันหรือประชันกันว่าวิ่งเร็วเท่าไหร่…” 

เลดี้แอเบอร์ลินร้องเพลงปลอบใจเสือน้อยแดเนียล (หุ่นมือ) ในวันที่เจ้าเสือรู้สึกโกรธที่ถูกสกั๊งค์พ่นกลิ่นเหม็นใส่

แม้คำแนะนำของเลดี้แอเบอร์ลินอาจดูเรียบง่ายไม่หวือหวาอะไร แต่ต้องบอกว่าฉากการแสดงหุ่นมือจากภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Day in the Neighborhood ช่างอบอุ่น มีพลัง และฮีลใจผู้ชมอย่างผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะที่ผ่านมาผมมักเห็นตัวละครในการ์ตูนหรือละครมักระบายความโกรธด้วยการทุบกำแพงหรือกระจกจนเลือดไหล ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ทำให้ความเจ็บใจหายไป มันยังทำให้เจ็บตัวเพิ่มขึ้นไปอีก และอาจกลายเป็นภาพจำที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่านี่คือการแสดงออกที่ดูเท่ของพวกพระเอก

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ ‘มิสเตอร์โรเจอร์ส’ พิธีกรขวัญใจเด็กที่เปิดโอกาสให้ ‘ลอยด์ โวเกล’ นักเขียนจอมแฉแห่งนิตยสาร Esquire เข้ามาสัมภาษณ์พิเศษ ซึ่งความพิเศษของเนื้อเรื่องกลับไม่ใช่การพูดคุยซักประวัติมิสเตอร์โรเจอร์สแบบถึงลูกถึงคน แต่กลับเป็นมิสเตอร์โรเจอร์สที่สังเกตเห็นความทุกข์ระทมภายใต้รอยยิ้มอันแสนจืดชืดของลอยด์ เขาจึงเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกถามมาเป็นผู้ตั้งคำถาม ก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจ 

นอกจากความเข้าอกเข้าใจที่มิสเตอร์โรเจอร์สมีให้ลอยด์ตลอดทั้งเรื่องแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็น ‘แบบเรียนทางจิตวิทยา’ ที่ช่วยให้ผู้ชมอย่างผมได้เรียนรู้มุมมองการใช้ชีวิตของชายที่คนอเมริกันเรียกว่า ‘นักบุญที่ยังมีชีวิต’ ไปพร้อมๆ กับการก้าวข้ามบาดแผลในอดีตของลอยด์ที่มีต่อพ่อของเขา

คนเราหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราจัดการกับความรู้สึกได้โดยไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น

สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ไปพร้อมกับลอยด์คือเรื่อง ‘การควบคุมอารมณ์’ เพราะลอยด์มักควบคุมอารมณ์และเก็บสีหน้าไม่ได้ยามเผชิญหน้ากับพ่อ เนื่องจากตอนที่ลอยด์ยังเด็ก พ่อของเขาทิ้งแม่ไปในตอนที่แม่ป่วยหนัก แถมยังปล่อยให้เขากับน้องจัดการเรื่องเอกสาร รวมถึงงานศพของแม่ตามลำพัง ทำให้ลอยด์โกรธแค้นพ่อจนฝังใจ และนำมาสู่ฉากปัจจุบันที่ลอยด์ชกหน้าของพ่อเข้าไปหนึ่งหมัดโทษฐานที่กล้าดูหมิ่นแม่

แน่นอนว่าลอยด์ไม่ได้รู้สึกผิดในตอนแรก แต่พอได้มาเจอมิสเตอร์โรเจอร์สครั้งแรกและได้ดูละครหุ่นเชิดของเสือน้อยแดเนียลที่แอบสอดแทรกวิธีการจัดการกับความโกรธด้วยการทุบดินเหนียวในวันนั้น เขาที่ตั้งใจจะแฉพิธีกรดังก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าชายที่เขาสัมภาษณ์เป็นนักบุญอย่างที่คนร่ำลือหรือเป็นเพียงจอมลวงโลกที่หลอกเด็กไปวันๆ เขาจึงนำความสงสัยนี้ไปถามภรรยาของมิสเตอร์โรเจอร์สในวันหนึ่ง

“ถ้าเขาเป็นพ่อพระก็แปลว่าคนอื่นเป็นอย่างเขาไม่ได้ เขาเองก็ต้องเพียรฝึกตนอยู่เสมอ เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ เขาโกรธเป็น แต่เขารู้จักเลือกวิธีรับมือความโกรธ เขาทำหลายอย่างเพื่อควบคุมตัวเองทุกวัน อ่านพระคัมภีร์ ว่ายน้ำอย่างจริงจัง สวดภาวนาเป็นชื่อใครต่อใคร เขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับ เขาทำอยู่แล้วตั้งแต่เรารู้จักกัน” คุณนายโรเจอร์สกล่าว 

ในมุมมองของผม คำพูดนี้มีคีย์ที่น่าสนใจคือคำว่า ‘สม่ำเสมอ’ เพราะผมเชื่อว่าการที่คนๆ หนึ่งจะสามารถรับมือหรือควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการฝึกฝนจิตใจอย่างสม่ำเสมอและใจดีกับตัวเองให้เป็น

ด้านมิสเตอร์โรเจอร์สเองตอนที่ถูกถามคำถามในลักษณะนี้ เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็มีความโกรธความอึดอัด เพียงแต่เขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มามีอำนาจเหนือสมองของเขา

“ชีวิตคนเราย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ มีหลายวิธีจัดการกับความรู้สึกโดยไม่ต้องทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น เช่น ทุบดินเหนียว ว่ายน้ำให้เร็วสุดกำลัง หรือกระแทกคีย์เปียโนต่ำๆ พร้อมกัน”

ผมมองว่าคนส่วนมากถูกทำให้เชื่อว่าเป็นคนดีต้องไม่โกรธ ดังนั้นเมื่อโกรธต้องกดมัน แต่บทสนทนาของคนสองคนที่มีวิธีคิดต่างกันทำให้ผมรู้ว่าคนทุกคนล้วนมีรักโลภโกรธหลงเป็นธรรมดา แต่อยู่ที่ใครจะควบคุมจัดการความรู้สึกได้ดีกว่า 

การเยียวยาบาดแผลในใจไม่ใช่การกดความรู้สึกให้จม แต่เป็นการค่อยๆ ทำความเข้าใจตัวเอง

ในหลายๆ ฉากที่ลอยด์ต้องเจอกับพ่อของเขา ผมสังเกตว่าสีหน้าแววตาของเขาจะดูตึงเครียดและเคร่งขรึมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น แม้การปรากฏตัวของพ่อจะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขอโทษและปรับความเข้าใจกับลอยด์ก็ตาม

บางคนอาจมองว่าลอยด์ยึดติดกับเรื่องในอดีตเกินไป แต่ผมเข้าใจความรู้สึกของลอยด์ที่ไม่สามารถแยกเรื่องราวในอดีตกับความจริงในปัจจุบัน เพราะบางทีสิ่งที่หลงเหลืออยู่อาจไม่ใช่เหตุการณ์แต่เป็นความรู้สึกรวดร้าวที่ถูกกระทำซ้ำจนกลายเป็นแผลในใจ 

มิสเตอร์โรเจอร์สเองก็ทราบดีว่าลอยด์มีบาดแผลในวัยเด็กที่หยั่งลึก เขาจึงอธิบายว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีวันที่เข้มแข็งและวันที่อ่อนแอ ถ้าหากวันไหนที่เข้มแข็งเราก็ควรช่วยเหลือผู้อื่น แต่หากวันใดที่รู้สึกอ่อนแอ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น พร้อมแนะนำให้ลอยด์ระบายความรู้สึกในใจออกมาให้หมด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความทุกข์ ความเศร้า ความโกรธ เพราะการเยียวยาบาดแผลในใจไม่ใช่การกดความรู้สึกให้มันจม แต่เป็นการค่อยๆ ทำความเข้าใจตัวเองผ่านการพูดกับใครสักคนที่พร้อมรับฟังอย่างไม่ตัดสิน ซึ่งผมเรียนรู้ทำความเข้าใจผ่านบทสนทนาของมิสเตอร์โรเจอร์สกับลอยด์ 

“ทุกสิ่งที่เป็นมนุษย์นั้นเราพูดถึงได้ และสิ่งที่เราพูดถึงได้เราก็จะรับได้”

ประเด็นสุดท้ายที่ผมเรียนรู้ไปพร้อมกับลอยด์คือ ความโกรธที่ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงระหว่างเขากับพ่อนั้นเกิดจากการที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยมองโลกจากมุมของอีกคน จนไม่อาจเข้าอกเข้าใจกันได้

ซ้ำร้ายคือเมื่อเวลาผ่านไปเรามักหลงลืมว่าตัวเองเคยเกลียดคนประเภทไหน  แถมยังกลายเป็นคนในแบบที่ตัวเองเกลียดได้อย่างไม่เคอะเขิน

เช่นเดียวกับลอยด์ที่ในวัยเด็กเขาโกรธพ่อเพราะพ่อไม่ยอมมาดูแล แต่พอเขากลายเป็นพ่อคน เขากลับทำตัวเหมือนพ่อที่เขาเกลียดคือการทิ้งลูกให้ภรรยาเป็นคนเลี้ยง ซึ่งสะท้อนได้จากคำพูดของภรรยาของลอยด์ที่ตัดพ้อว่าลอยด์ไม่เคยลางานเลยตั้งแต่แกวิน(ลูกชาย)เกิด อย่างไรก็ตามลอยด์กลับสามารถ ‘สรรหาสารพัดเหตุผล’ ในเรื่องงานเพื่อหลีกเลี่ยงภาระของการเป็นพ่อ ซึ่งประเด็นนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่ามนุษย์มักมีเหตุผลในการปกป้องตัวเองจากความผิดเสมอ 

กระทั่งคืนหนึ่ง ลอยด์ได้เปิดดูบทสัมภาษณ์ย้อนหลังเรื่องการเป็นพ่อแม่ของมิสเตอร์โรเจอร์สที่บอกว่าการเป็นพ่อแม่คือโอกาสที่เราจะได้เติบโตอีกครั้งและพ่อแม่ควรนึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ จะได้รู้ว่าลูกรู้สึกยังไง ซึ่งประโยคนี้ทำให้ลอยด์กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง และเริ่มกลับมาตระหนักถึงหน้าที่ที่เขาละเลยมาเป็นเวลานาน

พอเข้าใจว่าการเป็นพ่อไม่ใช่เรื่องง่าย ลอยด์ก็เริ่มเข้าใจพ่อของเขามากขึ้น และเมื่อเขาเปิดใจมากขึ้น มิสเตอร์โรเจอร์สจึงชวนลอยด์ทำกิจกรรมที่มีชื่อว่า ‘หนึ่งนาทีแห่งความเงียบงัน’

“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนยึดมั่น คุณรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อมีส่วนช่วยให้คุณเป็นแบบนี้ เขาช่วยให้คุณเป็นคุณคนนี้ ทำอะไรเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ เป็นการฝึกตนที่ผมชอบทำ แค่ใช้เวลาครู่เดียว คิดถึงทุกคนที่รักเราและทำให้เราเป็นเรา…พวกเขาจะมาหาคุณเอง แค่สงบนิ่งสักครู่”

ผมสงบนิ่งไปพร้อมกับตัวละครทั้งสองและจู่ๆ ผมกลับเห็นผู้คนที่ผมรักเดินทางมาหาผมทีละคน คนแล้วคนเล่าทั้งพ่อแม่ที่ไม่ถูกใจนักแต่ก็รักเรากว่าใคร อากงที่ตายไปแล้ว พี่น้องที่เป็นเบาะนุ่มๆ ยามเราล้ม และเพื่อนแท้ทางจิตวิญญาณที่คอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ นาทีนั้นผมรู้สึกถึงความตื้นตันใจบางอย่างที่เอ่อล้น กระทั่งตอนที่มิสเตอร์โรเจอร์สกล่าวขอบคุณ หัวใจของผมกับลอยด์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

พอลดกำแพงแห่งความโกรธ หัวใจของลอยด์ก็เปิดกว้างขึ้น ดังนั้นเมื่อลอยด์กลับไปพบพ่อของเขาอีกครั้ง เขาก็พบว่าพ่อของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ 

“ลอยด์ ฉันขอโทษที่ทิ้งแกกับน้อง ฉันมันทั้งเห็นแก่ตัวและใจร้าย มองหน้าพ่อสิ พ่อขอโทษนะลูก มันไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย นี่พ่อเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองควรใช้ชีวิตยังไง พ่อรักแกมาตลอด”

แม้ว่าชีวิตจริงมันไม่ง่ายที่จะวางความโกรธที่อยู่กับตัวเองมาครึ่งค่อนชีวิตลง และยิ่งเป็นการยากที่จะได้รับคำขอโทษจากคนที่สร้างบาดแผลในใจให้เรา แต่ถึงตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า…จะไม่ให้ความแหลกสลายในอดีตมาครอบงำจิตใจ ปลดปล่อยตัวเองออกจากความโกรธ และอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขอีกครั้ง

Tags:

การเยียวยาความโกรธบาดแผลในจิตใจA Beautifulday in the Neighborhoodภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    ลบมายาคติ ‘เด็กดี’ โอบรับความใจดีของ ‘เด็กดื้อ’: That Christmas

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory
Relationship
5 September 2023

ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หากเรามีทัศนคติทางบวกกับใคร เราจะอยากให้คนนั้นมีทัศนคติเหมือนกันกับเรา อย่างเพื่อน ครอบครัว หรือแฟน ซึ่งรวมถึงเรื่องการเมืองด้วยเช่นกัน
  • เมื่อคนที่เราชอบ ชอบสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนเรา หรือคนที่เราเกลียดกลับมาชอบมาเกลียดอะไรเหมือนเรา เราจะพบกับภาวะไม่สมดุล และจะทำให้เราอึดอัด ลำบากใจ
  • เราสามารถปรับให้มีความสมดุลได้โดยการมองอย่างยุติธรรม และประเมินเป้าหมายด้วยข้อเท็จจริง และพยายามลดความสำคัญจากเป้าหมาย

ตอนนี้หัวข้อร้อนแรงที่สุดไม่แพ้วงการบันเทิงก็คือแวดวงการเมือง การเติบโตของโซเชียลเน็ตเวิร์กที่สร้างทั้งพื้นที่อัปเดตข่าวสารความเป็นไปอย่างรวดเร็วจากแหล่งต่างๆ ทั้งวงในวงนอก และยังสร้างพื้นที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองทั้งการโพสต์ การคอมเมนต์ รวมถึงการสร้างสื่อต่าง ๆ เราจะพบว่าตอนนี้ไม่ว่าคนเพศไหนวัยไหนต่างก็สนใจการเมือง มองไปทางไหนก็มีแต่คนคุยเรื่องการเมือง แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องดีครับ เพราะการเมืองคือเรื่องสำคัญของประชาชน ประเทศจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี จะมีนโยบายส่งเสริมสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญหรือไม่นั้นล้วนแต่เกิดจากระบบการปกครองของประเทศ 

หากคนที่เราชอบ เขาชอบหรือเกลียดอะไรเหมือนเรา และคนที่เราเกลียด เขาชอบหรือเกลียดอะไรแตกต่างจากเรา เราจะพบกับภาวะสมดุลที่ทำให้สบายใจ แต่ถ้าไม่ คือ คนที่เราชอบ เขาชอบสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนเรา หรือคนที่เราเกลียดกลับมาชอบมาเกลียดอะไรเหมือนเรา เราจะพบกับภาวะไม่สมดุล และจะทำให้เราอึดอัด ลำบากใจ

แต่การเมืองนั้นมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ ‘การแบ่งขั้ว’ เราอาจจะแบ่งได้หลักๆ เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับฝ่ายเสรีนิยม หรือถ้าแบ่งแบบที่ง่ายกว่านั้นก็คือใครชอบพรรคการเมืองไหน และแน่นอนว่าแต่ละพรรคนั้นมีแนวคิดที่แตกต่างกัน คนที่ชื่นชอบคนละพรรคคนละขั้วเวลาคุยเรื่องการเมืองเลยมีโอกาสที่จะเถียงกันว่า ฝั่งไหนที่ถูกฝ่ายไหนผิด หรือฝ่ายไหนหรือดีกว่า และผมเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเจอด้วยตัวเองหรือเห็นจากคนรอบตัวที่ทะเลาะกันใหญ่โตและเลิกคบกันเพราะเรื่องการเมืองมาแล้ว 

มีคำพูดโบราณที่ยังคงใช้ได้เสมอคือ “อย่างเถียงกันเรื่องการเมือง และศาสนา” เพราะมันไม่มีวันจบสิ้น แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้น วันนี้เราจะมาดูหัวข้อเกี่ยวกับความรักในอีกรูปแบบ นั่นคือ ‘การรักในจุดยืนการเมือง’ ของตัวเอง ทำไมคนเรานั้นเวลาถกเถียงกันเรื่องการเมืองถึงเอาเป็นเอาตาย ทำไมเราถึงรู้สึกอึดอัด คันปากอยากเถียงเหลือเกินเวลาคนรอบตัวของเรานั้นมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากเรา ขนาดเถียงกับคนรัก เพื่อนฝูง คนในครอบครัวยังต้องเถียงให้ชนะให้ได้ ทำไมบางคนปกป้องพรรคฝั่งที่ตนเองชอบยิ่งเสียกว่าปกป้องแฟนเสียอีก เรามาดูจิตวิทยาเบื้องหลังสิ่งนี้กันครับ

จิตวิทยานั้นเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเหตุผลของความคิดและการกระทำของมนุษย์ มีหนึ่งในทฤษฎีคลาสสิกที่สำคัญของจิตวิทยามีชื่อว่า Balance theory (ทฤษฎีความสมดุล) ที่บอกว่า คนเราคิดและทำบางสิ่งเพื่อรักษาความสมดุลของทัศนคติระหว่างตัวเรากับสิ่งรอบตัวเอาไว้ 

‘ทัศนคติ’ หรือ ‘เจตคติ’ ที่ว่าก็คือการตีค่าเป้าหมายหนึ่งๆ ว่าเป็นในทางบวกหรือลบ ชอบหรือเกลียด ดีหรือชั่ว เก่งหรือไม่เก่ง ฯลฯ ส่วนที่ว่า ‘สมดุล’ นั้นหมายถึง หากเรามีทัศนคติทางบวกกับใคร (ประเมินในแง่ดีหรือชอบ) เราจะอยากให้คนนั้นมีทัศนคติเหมือนกันกับเรา อย่างเพื่อน ครอบครัว หรือแฟนนั้น เราก็อยากให้คนเหล่านั้นชอบอาหารแบบเดียวกับเรา ชอบดูหนังแนวเดียวกับเรา และแน่นอนว่าอยากให้เขามีขั้วทางการเมืองเหมือนเราด้วย และสิ่งที่เราไม่ชอบที่เรามีทัศนคติทางลบต่อสิ่งนั้น เราก็ไม่อยากให้คนที่เราชอบไปชอบสิ่งนั้นด้วย ในทางกลับกัน เราไม่อยากให้คนที่เรามีทัศนคติทางลบ (ประเมินในแง่ร้ายหรือเกลียด) มีทัศนคติตรงกับเรา เราจะรู้สึกไม่ดีที่คนนั้นมาชอบอะไรแบบที่เราชอบ เกลียดสิ่งที่เราเกลียด

เพื่อให้เห็นภาพเวลาอธิบายทฤษฎีนี้เรานิยมแสดงเป็นแผนภาพรูปสามเหลี่ยม ซึ่งแสดงถึงคนสองคน (ในตัวอย่างใช้ไอคอนใบหน้าสีฟ้ากับสีส้ม) ว่าทั้งคู่มีทัศนคติต่อกันอย่างไร  และทั้งคู่มีทัศนคติต่ออีกสิ่งอย่างไรต่อเป้าหมาย (เครื่องหมาย + และ – คือทัศนคติว่าเป็นไปในทางบวกหรือลบ) เนื่องจากวันนี้เราจะพูดถึงการชอบขั้วหรือพรรคการเมือง เราเลยจะใช้ ‘พรรค’ เป็นเป้าหมาย เรามาดูความสัมพันธ์ทุกรูปแบบกันว่ามีแบบไหนที่สมดุลและไม่สมดุลบ้าง

แบบที่สมดุล ทำให้สบายใจ
ฉันชอบเธอ 
ฉันชอบพรรค ก 
เธอก็ชอบพรรค ก
ฉันชอบเธอ 
ฉันไม่ชอบพรรค ก 
เธอก็ไม่ชอบพรรค ก
ฉันเกลียดเธอ 
ฉันชอบพรรค ก 
เธอไม่ชอบพรรค ก
ฉันเกลียดเธอ 
ฉันไม่ชอบพรรค ก 
เธอชอบพรรค ก
แบบที่ไม่สมดุล หรือทำให้อึดอัด ลำบากใจ
ฉันชอบเธอ 
ฉันไม่ชอบพรรค ก 
แต่เธอชอบพรรค ก
ฉันชอบเธอ 
ฉันชอบพรรค ก 
แต่เธอไม่ชอบพรรค ก
ฉันเกลียดเธอ 
ฉันชอบพรรค ก 
แต่เธอก็ชอบพรรค ก
ฉันเกลียดเธอ 
ฉันไม่ชอบพรรค ก 
แต่เธอก็ไม่ชอบพรรค ก

เมื่อเกิดภาวะไม่สมดุลจะรู้สึกอึดอัดและอยู่ในภาวะที่ต้องเปลี่ยนไปอยู่ในภาวะที่สมดุลให้ได้ เหมือนอย่างถ้าเรามีแฟน และแฟนไปชอบพรรคการเมืองที่เราเกลียด เราจะรู้สึกอึดอัดและต้องการเปลี่ยนให้สมดุล เช่น ทำให้แฟนมาเกลียดพรรคที่เราเกลียด ชอบพรรคที่เราชอบให้ได้ เบื้องหลังของความสบายใจและความอึดอัดนั้นเพราะมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์ที่คิดว่าตนมีเหตุผล เวลาเรามีทัศนคติต่ออะไร เราจะมองหาเหตุผลที่อธิบายทัศนคติของเราเอง การที่เราชอบใครสักคนก็เหมือนกันครับ 

– ฉันชอบเธอ เพราะเธอมีความคิดเหมือนฉัน เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ จึงสมดุลและสบายใจ

– ฉันไม่ชอบเธอ เพราะเธอมีความคิดแตกต่างฉัน เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ จึงสมดุลและสบายใจ

– ฉันชอบเธอ แต่เรามีความคิดต่างกัน ถ้าแบบนั้นเธอหรือฉันเป็นคนหนึ่งที่คิดผิด ความไม่สมดุลเกิดขึ้น แบบนี้ไม่สบายใจ

– ฉันไม่ชอบเธอ แต่เรามีความคิดเหมือนกัน ถ้าแบบนั้นเราเกลียดกันทำไม ความไม่สมดุลเกิดขึ้น แบบนี้ไม่สบายใจ

หากชอบไม่เหมือนกัน แสดงว่าฉันหรือเธอที่มองบางอย่างผิด และมนุษย์นั้นโดยธรรมชาติ ไม่อยากเป็นคนผิด หรือไม่อยากเป็น ‘คนโง่’ ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่เราเกลียด และคิดต่างจากเรา เราจะสบายใจที่จะคิดว่าเราคิดถูก คนนั้นแหละผิด คนนั้นแหละโง่ แต่พอเป็นคนที่เราชอบ เราเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายผิดหรือโง่ และนั่นเลยทำให้เกิดความไม่สมดุล

แล้วถ้าความไม่สมดุลเกิดขึ้น คนเราจะทำอย่างไรต่อ จากตัวอย่างในกรณีที่ฉันเกลียดพรรค ก แต่คนที่ฉันชอบไปชอบพรรค ก สถานการณ์แบบนี้จะปรับให้สมดุลอย่างไร โดยถ้าต้องการปรับที่ทิศทางของทัศนคติ เราจะปรับได้ 3 ทาง

1) ฉันจะเปลี่ยนไปชอบ พรรค ก เหมือนเธอ 
2) ฉันจะพยายามเปลี่ยนเธอให้ชอบ พรรค ก 
3) ฉันไม่ชอบเธอแล้ว เพราะเธอมีมุมมองการเมืองแตกต่างจากฉัน

ฟังดูอาจจะง่าย แต่ในความเป็นจริงเราจะพบว่ามันไม่ได้แก้ง่าย ๆ ข้อ 1) กับ ข้อ 2) นั้นยากพอกัน เพราะไม่มีใครอยากเปลี่ยนความทัศนคติตัวเอง เพราะเมื่อไรที่เปลี่ยนแปลว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด กับบางเรื่องคนอาจจะรับไหว เช่น อาหารร้านนั้นไม่อร่อยจริง ๆ หรือ ลองไปกินอีกรอบไหม ลองเปลี่ยนเมนู อาจจะพอเปลี่ยนใจกันได้ ไม่ต้องคิดมาก แต่กับเรื่องการเมืองนั้นคงเปลี่ยนได้ไม่ได้ง่ายๆ เพราะคนเราจะมีขั้วการเมืองแบบไหน มักจะรวมถึงแนวคิดหลายอย่าง ตั้งแต่การตีความทางจริยธรรมถึงความถูกผิด การทำดีหรือทำชั่ว สิ่งนี้คนเรามักจะมีหลักยึดในใจที่ค่อนข้างมั่นคง ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเปลี่ยนกันง่ายๆ และยังรวมถึงการตีความด้านความสามารถว่าใครเก่งกว่า ดีกว่า เหมาะกว่า 

และที่สำคัญคือสิ่งที่คนนั้นให้คุณค่า เช่น มองว่าผลประโยชน์ หรืออุดมการณ์มาก่อน หากจะเปลี่ยนสิ่งนี้ก็จะไปกระทบว่า “ฉันวิเคราะห์ผิด” หรือ “ฉันโง่ที่ดูผิด” มนุษย์ไม่ชอบความรู้สึกนี้ครับ นี่คือเหตุผลที่การเถียงในหัวข้อการเมืองมันถึงเคร่งเครียดและเถียงกันไม่จบ เพราะต่างฝ่ายต่างพยายามปรับมุมมองของฝั่งตรงข้ามให้มาเป็นเหมือนตน ตนเองจะได้ไม่ผิด ซึ่งมันก็ไม่มีใครอยากเปลี่ยนเพราะไม่อยากเป็นฝ่ายคิดผิด ดังนั้นไปๆ มาๆ เมื่อทะเลาะกันหนักข้อเข้าจะลงเอยเป็นข้อ 3) คือในเมื่อคุยให้มันคิดตรงกันไม่ได้ ก็เลิกชอบ เลิกสนิทกันไปเลยดีกว่าเราอาจจะเคยพบว่าเวลาใครชอบสิ่งไหนมากๆ ‘ยามรักน้ำต้มผักก็หวาน’ ถ้าชอบใครชอบพรรคไหนแล้ว เขาทำอะไรก็ดีไปหมด เรื่องนี้ก็อธิบายได้ด้วย Balance theory เช่นกัน บางครั้งเวลาเถียงเรื่องการเมืองกัน จะพบว่าฝ่ายหนึ่งพยายามปกป้องพรรคที่ตนชอบเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าเขาทำผิดอยู่ ยกตัวอย่างเช่น นายสีฟ้าชอบพรรค ก แต่ในข่าวพรรค ก กลับทำทุจริตคอร์รัปชันและแถมบอกว่าสิ่งนั้นไม่ผิด และนั่นจะสร้างภาวะที่ไม่สมดุลดังแผนภาพสามเหลี่ยมด้านล่าง คือ พรรคที่เราชอบกลับทำสิ่งที่เราไม่ชอบ 

ภาวะนี้เปลี่ยนให้สมดุลได้ดังนี้

1) ฉันรับได้กับเรื่องคอร์รัปชัน
2) พรรค ก ต้องรับคอร์รับชันไม่ได้ 
3) ฉันจะไม่ชอบพรรค ก แล้ว

ข้อ 1) นั้นทำได้ยาก เพราะการเปลี่ยนความเชื่อทางจริยธรรมจากขาวเป็นดำนั้นมันเหมือนบอกว่าวิธีตัดสินของตนเองมันผิดมาทั้งชีวิต ข้อ 2) ก็ยาก เพราะมันจะไปแย้งกับข้อเท็จจริงที่เห็นกันอยู่ในข่าว ส่วนส่วนข้อ 3) ก็ยากเช่นกัน เพราะถ้าเปลี่ยนก็เหมือนตัวเองไปหลงชอบพรรคผิดมาตลอด ทำให้ดูเหมือนตัวเองโง่ แต่พอเปลี่ยนไม่ได้สักทาง คนเราก็ต้องหาทางอื่นที่ทำให้สมดุล และสมองของคนเรายอมทำได้ถึงขั้นบิดเบือนความจริงในระดับที่ตัวเองรับได้ มองใหม่ว่า สิ่งที่พรรค ก ทำ ไม่เรียกว่าคอร์รัปชัน อาจจะพยายามมองแบบเทาๆ หาเหตุผลมาแก้ต่างว่า นั่นคือวิธีทางการเมืองที่ใครๆ ก็ทำกัน หรือนั่นคือการทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเหตุผลอื่นๆ เพื่อให้ความไม่สมดุลนี้หายไปให้ได้ พอทำแบบนี้ก็กลับมาสมดุลและสบายใจได้เหมือนเดิม ชอบพรรค ก ต่อได้สบายใจ ได้เหมือนเดิม แต่คนที่ฟังที่ไม่ได้ชอบพรรค ก ที่กำลังเถียงด้วยอยู่ก็คงไม่เห็นด้วยแน่ๆ ล่ะครับ และนั่นทำให้ทะเลาะกันไม่จบเสียที

แต่ตอนที่เราเถียงกับใครเรื่องการเมือง ก่อนที่จะไปจับผิดคนรอบตัวว่าใครบ้างที่บิดเบือนความจริง ผมอยากเตือนว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีกลไกในการป้องกันความสมดุลในรูปแบบนี้ และหลายๆ ครั้งมนุษย์เราทำลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว หากมองจากสายตาคนอื่น อาจจะมองว่าคนนี้มีระบบตรรกะการให้เหตุผลที่พังไปแล้ว มองจากขาวเป็นดำ พูดบิดเบือนความจริง แต่เจ้าตัวจะไม่รู้สึกแบบนั้นเลยก็ไม่แปลก เพราะเขาไม่รู้ตัว แถมพอเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เรามักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเรากำลังบิดเบือนอยู่ด้วย ดังนั้นอย่าเพิ่งฟันธงว่าคนที่เราเถียงด้วยนั้นเป็นฝ่ายที่บิดเบือน และการไปบอกอีกฝ่ายว่าเขาบิดเบือนนั้น ก็ไม่น่าจะทำให้การทะเลาะกันยุติ แต่จะยิ่งทะเลาะกันหนักกว่าเก่า เพราะคงยากที่ฝ่ายไหนจะยอมรับ ถึงแม้ว่าฝ่ายที่บิดเบือนอาจจะคิดได้ แต่บางทีคนเราก็ไม่อยากเสียหน้า หรือแสดงออกว่าตนเองผิดหรือแพ้ เขาก็จะไม่ยอมรับกับคนที่กำลังเถียงด้วย

นอกจากนี้ แม้หนทางในอดุมคติของการแก้ความไม่สมดุลคือ ให้ทั้งสองคนมองอย่างยุติธรรม และประเมินเป้าหมายด้วยข้อเท็จจริง แต่ในสถานการณ์อย่างการเมืองจะไม่เรียบง่ายขนาดนั้น มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้การประเมินผิดถูกนั้นคลุมเครือและทำได้ยาก อย่างเช่นหัวข้อการทำผิดกฎหมายที่บางครั้งตีความได้หลายๆ ทาง หรือพฤติกรรมบางอย่างที่อาจจะผิดแต่ให้คุณมากกว่าโทษ ซึ่งคุณและโทษก็ขึ้นอยู่กับสายตาผู้ประเมินอีก และคนส่วนใหญ่ก็เสพการเมืองด้วยการชมจากสื่อ ไม่ได้ทำงานในแวดวงนี้ ไม่เคยเจอไม่เคยคุยกับนักการเมืองตัวจริง บางทีเราเถียงกันด้วยข้อมูลที่เราคาดเดาไปเอง เวลามีเรื่องถกเถียงกัน ทั้งสองฝ่ายก็มักจะไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจน ต่อให้อยากหาก็คงไม่รู้จะไปหาจากไหน สุดท้ายคนเลยเลือกข้อมูลที่ทำให้ตัวเองสมดุลไว้ และเลยเถียงกันไม่จบเสียที

Balance theory นั้นไม่ได้อธิบายได้แต่เรื่องการชอบพรรคการเมืองหรือการนิยมขั้วการเมืองนะครับ แต่เราใช้กับสิ่งอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เราคงอึดอัดถ้าแฟนเกลียดผลไม้ที่เราชอบ ถ้าหนังที่เราชอบถูกเพื่อนสนิทวิจารณ์เละเทะ ถ้าครอบครัวเราชอบลัทธิงมงายที่เราเกลียดแสนเกลียด 

ยิ่งคนเหล่านั้นมีความสำคัญกับเราหรือเราชอบมากเท่าไร เมื่อเกิดความไม่สมดุลก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดมากเท่านั้น และในทางตรงกันข้ามเราจะไม่รู้สึกอะไรกับคนที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ 

เช่น เราอยากให้เพื่อนสนิทชอบหรือไม่ชอบอะไรเหมือนเราแต่เราคงไม่ค่อยสนใจเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้สนิทว่าจะมาชอบอะไรเหมือนเราไหม นอกจากนี้ถ้าเป้าหมายของทัศนคติมีความสำคัญกับเรามากเท่าไร เมื่อเกิดความไม่สมดุลก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น เช่น รสนิยมในการเลือกยี่ห้อกระดาษชำระของแฟนจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่ได้ทำให้เราอึดอัดเหมือนเรื่องแนวคิดทางศาสนา

Balance theory อธิบายความสัมพันธ์ของมนุษย์กับทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ในรูปแบบไม่ซับซ้อน แต่ในชีวิตจริง มนุษย์เรามีความเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และมีทัศนคติต่อเป้าหมายนับไม่ถ้วน ไม่ได้มีแค่ 3 สิ่งเป็นสามเหลี่ยมเรียบง่ายแบบนี้ เช่น เรามีทัศนคติในความสัมพันธ์กับแฟน เพื่อน คนอื่นๆ ในครอบครัว และบุคคลเหล่านี้ต่างก็มีทัศนคติกับคนอื่นๆ และต่อสิ่งต่างๆ จำนวนมหาศาล ในความเป็นจริงเราต้องพบกับความสัมพันธ์ที่มากกว่าสามทางหรือมีความเกี่ยวโยงกันซับซ้อน ภายหลังจึงมีคนคิดขึ้นทฤษฎีเครือข่ายทางสังคมที่ (Social network analysis) ที่มีแสดงเป็นเครือข่ายซับซ้อนกว่า Balance theory เราอาจจะจินตนาการว่าความสัมพันธ์ของเราตอนอยู่ในสังคมนั้นโยงใยกับบุคคลจำนวนมากเหมือนใยแมงมุม และการกระทำของคนหนึ่งก็ส่งผลต่อคนรอบๆ ตัวต่อกันไปเป็นทอดๆ อย่างไรก็ตามในการเรียนรู้จิตวิทยาเบื้องต้น เราอาจจะพบว่าตำราหลายๆ เล่ม ยังคงกล่าวถึง Balance theory อยู่เพราะเห็นภาพและเข้าใจง่าย

หลายๆ คนพออ่านถึงตรงนี้อาจจะมีคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรหากเราพบกับความไม่สมดุลซึ่งเกิดจากการที่เราและคนที่เรารักมีทัศนคติแตกต่างกัน เรื่องนี้คงเกิดได้ในชีวิตประจำวัน เพราะน้อยคนที่จะชอบหรือเกลียดอะไรเหมือนกันทุกอย่าง และการที่จะเปลี่ยนตัวเราหรือเปลี่ยนอีกฝ่ายนั้นก็เป็นเรื่องยาก 

ผมเสนอว่าหากเกิดการถกเถียงกันเมื่อไรผมคิดว่าเราคงต้องเริ่มจัดการจากตัวเราก่อน ทำความเข้าใจอีกฝ่ายว่ามีทัศนคติต่อเป้าหมายแตกต่างจากมุมมองของเรา อีกฝ่ายเลยอาจพูดในสิ่งที่เราคิดว่าไม่มีเหตุผลหรือไม่เข้าท่า หรือแม้แต่เราเองอาจจะกำลังพูดแบบนั้นอยู่ก็ได้ นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการปกป้องตนเองไม่ให้เป็นฝ่ายผิด หรือฝ่ายโง่ แต่หากคุยกันแล้วไม่รู้เรื่องเสียที ต่างฝ่ายต่างยังคงมองด้วยมุมมองเดิม ๆ ก็อาจจะเปล่าประโยชน์ที่จะเถียงกัน ถ้ายังต้องการรักษาความสัมพันธ์ไว้ การเลี่ยงไม่พูดอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อีกทางหนึ่งที่ลดความไม่สมดุลได้คือ การพยายามลดความสำคัญจากเป้าหมายแทน อย่างที่เราคุยกันว่าถ้าเป้าหมายไม่สำคัญ เราก็จะรู้สึกอึดอัดน้อยลง แต่การจะบอกว่าการเมืองไม่สำคัญ ก็อาจจะลำบากหน่อย เพราะอย่างที่ผมกล่าวไปว่าการเมืองนั้นต่างส่งผลต่อชีวิตประจำวันและอนาคตของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราอาจจะต้องพยายามหาสิ่งอื่นที่สำคัญกว่ามาเพื่อสร้างความสมดุลชุดใหม่ให้เรากับคนที่เรารักแทน นั่นก็คือเราทั้งคู่ต่างเห็นด้วยว่าเราคิดแตกต่างกันได้ จริงอยู่ว่าอาจจะอึดอัดใจที่สามเหลี่ยมของการเมืองมันยังไม่สมดุล แต่หากสามเหลี่ยมที่เกิดจากเป้าหมายใหม่ที่ยึดมั่นถึงการยอมรับการคิดต่างนี้เป็นสิ่งที่ทั้งคู่ให้ความสำคัญ ผมคิดว่านั่นจะทำให้ไม่ต้องลงเอยที่จะเปลี่ยนให้สมดุลโดยการเลิกการเป็นคนรักไปแทน 

และท้ายสุดคือทัศนคติของเราต่อสิ่งใดๆ ก็ตาม แม้ว่าจะบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงยาก แต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ วันดีคืนดีสถานการณ์เปลี่ยนไป หรือเราได้รู้มุมมองใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเรา เราก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไป คนรอบตัวเราก็เช่นกัน แล้ววันหนึ่งความสัมพันธ์ของเราอาจจะสมดุลขึ้นมาเองในอนาคตที่ไม่เคยแน่นอนก็ได้ 

รายการอ้างอิง

Franzoi, S. L. (2009). Social Psychology (5th edition). McGraw-Hill

Galupo, M. P. (2007). Friendship patterns of sexual minority individuals in adulthood. Journal of social and personal relationships, 24(1), 139-151.

Heider, F. (1946). Attitudes and cognitive organization. The Journal of psychology, 21(1), 107-112.

Otte, E., & Rousseau, R. (2002). Social network analysis: a powerful strategy, also for the information sciences. Journal of information Science, 28(6), 441-453.

Rambaran, J. A., Dijkstra, J. K., Munniksma, A., & Cillessen, A. H. (2015). The development of adolescents’ friendships and antipathies: A longitudinal multivariate network test of balance theory. Social Networks, 43, 162-176.

https://time.com/5896607/dating-political-ideology

Tags:

ความสัมพันธ์ความรักการเมืองชีวิตคู่มุมมองการปรับตัว

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Weaponized-Incompetence-1
    Relationship
    Weaponized Incompetence: ทำไมการ ‘แกล้งทำไม่เป็น’ เพื่อโยนงานให้คนอื่น ถึงเป็นเรื่องท็อกซิกในความสัมพันธ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • MovieDear Parents
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์
How to enjoy life
4 September 2023

นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • ‘นิกเซน’ (Niksen) แนวคิดหนึ่งของชาวดัตช์ ที่มีความหมายแปลตรงตัวว่า ‘การไม่ทำอะไร’ และปลดระวางภาระอันหนักอึ้งที่ผูกติดตัว
  • นิกเซนช่วยให้เรามองเห็นความงดงามของการอยู่เฉยๆ ได้ทบทวนตัวเอง โอบกอดชีวิตที่มีข้อจำกัด เยียวยาจิตใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
  • มนุษย์มักมีแนวโน้มที่จะต้อง ‘ทำอะไรบางอย่าง’ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหา เพื่อป้องกัน เพื่อการมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่าบางทีการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยต่างหากคือทางออกที่ดีที่สุดของปัญหาบางเรื่อง

คุณเป็นอีกคนรึเปล่า? ที่เมื่อถึงเวลาว่างเมื่อไร เป็นต้อง ‘หาอะไรทำ’ อยู่ตลอด ว่างเป็นไม่ได้ รู้สึกแปลก รู้สึกผิด เหมือนเสียดายเวลา อยู่เฉยไม่ได้ สมองสั่งการให้ร่างกายต้องออกไปหาอะไรทำโดยอัตโนมัติ

แต่สิ่งนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วท่ามกลางโลกที่เร่งรีบ ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยอัตราเร่งที่นับวันมีแต่จะเร็วขึ้น พร้อมความคาดหวังของสังคมที่ตะโกนบอกให้เราควรหาอะไรทำอยู่ตลอด ต้องไปที่นั่น ต้องไปที่นี่ ต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้

ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันก็มาพร้อมความเครียด ความกดดัน ความเหนื่อยล้า และหลายครั้งที่หลังจากทำอะไรเยอะๆ เสร็จแล้ว…กลับรู้สึกมีความสุขน้อยลงอย่างแปลกประหลาด

วันนี้จึงอยากมาแชร์แนวคิดหนึ่งของชาวดัตช์ (เนเธอร์แลนด์) ที่เรียกว่า ‘นิกเซน’ (Niksen) มันเป็นแนวคิดที่ตอนแรกอาจฟังดูสวนกระแสไปบ้าง แต่เมื่อพิจารณาดีๆ บางทีนิกเซนอาจเป็นสิ่งที่พวกเราหลายคนกำลังต้องการในตอนนี้เลยก็ได้นะ

นิกเซน ศิลปะของการไม่ทำอะไร

นิกเซน เป็นแนวคิดการใช้ชีวิตที่มาจากชาวดัตช์ มีความหมายแปลตรงตัวว่า ‘การไม่ทำอะไร’ (Doing nothing) เรียกว่าเป็นขั้วตรงข้ามของสเปกตรัมในการมองหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลาเลยก็ได้ เป็นแนวคิดที่ละทิ้งผลลัพธ์ความคาดหวัง และอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า โฟกัสความเป็นไปตรงหน้า และแค่เอนจอยซาบซึ้งไปกับมัน…แค่นั้นเลย

นิกเซนเป็นแนวคิดที่อยู่คู่กับสังคมชาวดัตช์มานานแล้ว จึงเป็นประเทศที่ผู้คนมีระดับความสุขที่สูง มีบาลานซ์ระหว่างเรื่องงานและการพักผ่อนในชีวิตส่วนตัว แต่นิกเซนเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าสู่กระแสหลักในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผู้คนทั่วโลกถูกล็อกดาวน์ต้องอยู่กับบ้าน เป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับการไม่ทำอะไร เพราะถูกจำกัดกิจกรรมและออกไปไหนไม่ได้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนได้กลับมา ‘อยู่กับตัวเอง’ เคลียร์สมองให้โล่ง ดีท็อกซ์จิตใจให้แจ่มใส

แนวคิดนิกเซนจึงเริ่มผลิบานอย่างแท้จริง เพราะมันช่วยให้เรามองเห็นความงดงามของการอยู่เฉยๆ ได้ทบทวนตัวเอง โอบกอดชีวิตที่มีข้อจำกัด เยียวยาจิตใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอน พอเป็นแบบนี้ กลายเป็นว่านิกเซนสามารถเอาไว้สู้กับความเหนื่อยล้า การทำงานหนักจนเกินไป การโฟกัสที่ปัจจุบันและไม่ยึดติดกับอนาคตที่ไม่แนนอน

แต่ขออธิบายก่อนว่า การไม่ทำอะไรในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการนอนติดเตียงหรือการนั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ เสมอไป แม้ว่าเราจะสามารถทำแบบนั้นได้แบบสะดวกใจก็ตาม แต่นิกเซนเป็นการปลดระวางภาระอันหนักอึ้งที่ผูกติดตัวเราอยู่ที่คาดหวังให้มนุษย์เราควรหางานหากิจกรรมทำอยู่ตลอด

  • มันคือการกระซิบบอกว่า วันหยุดยาวช่วงเทศกาล ไม่ต้องออกไปเบียดเสียดคนในห้างเพื่อกินร้านอาหารดีๆ มื้อพิเศษๆ ก็ได้…แต่เป็นการกินข้าวที่บ้านกับครอบครัวเงียบๆ ในมื้ออาหารปกติทั่วไปก็ยอดเยี่ยมแล้ว
  • มันคือการบอกว่า วันหยุดเสาร์อาทิตย์เราไม่ต้อง ‘ใช้ให้คุ้ม’ ด้วยการทำโน่นทำนี่ให้ได้มากที่สุดในเวลาอันจำกัด
  • มันคือการบอกว่า เมื่อย่างเท้าเดินเข้าขบวนรถไฟบีทีเอส เราไม่จำเป็นต้องหยิบมือถือขึ้นมาคุยงานเสมอไป หรือหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ขึ้นมาอ่าน หรือรีบกดฟังพอตแคสท์เพื่อเป็นการ ‘ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด’ ระหว่างเดินทาง แต่มันอาจเป็นแค่การเอนหลังพิงผนังและเสพวิวทิวทัศน์ของเมืองจากมุมสูงตามทางที่รถไฟแล่นผ่านไป…แค่นี้ก็เอนจอยชีวิตได้แล้ว 

เพราะไม่ทำอะไร…จึงได้อะไร

ในเชิงการทำงานของสมอง ศิลปะการอยู่เฉยๆ แบบนิกเซน สมองยังคงประมวลผลทำงานอยู่ แต่ประสิทธิภาพการ ‘โฟกัส’ (Focus) จะเพิ่มขึ้นมาก เพราะสมองมนุษย์ทำงานดีที่สุดเมื่อคนเราทำทีละอย่าง นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานหลังจากนั้นที่ดีขึ้น 

สุดท้ายแล้วถ้าทำอะไรมากเกินไป ประสิทธิภาพจะเสื่อมลงตาม การได้มีเวลาอยู่เฉยๆ สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ นิกเซนยังช่วยเพิ่ม ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ได้อย่างน่าอัศจรรย์จากการปล่อยกายปล่อยใจให้ล่องลอย ที่สำคัญ ความคิดสร้างสรรค์มักเกิดขึ้นในช่วงจังหวะเวลาที่เราได้พักผ่อนอย่างแท้จริงนี้เองเสมือนว่าเรารับข้อมูลใหม่ๆ เข้ามามากพอถึงจุดหนึ่ง นิกเซนทำหน้าที่ให้เราหยุดคิดและตกผลึกขบคิดถึงเรื่องราวที่เข้ามา

อีกเหตุผลความเป็นไปได้ที่นิกเซนทำให้หลายคนมีความสุข (Happiness) คือ พอเราทำอะไรน้อยลง ปริมาณข้อมูลที่ได้รับก็น้อยลงตาม ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณข้อมูลที่สมองมนุษย์คุ้นเคยมาตั้งแต่อดีต เพราะมนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาให้ทำอะไรเยอะแยะมากมายเหมือนปัจจุบันขนาดนี้ สังคมโบราณแบบชนเผ่าหาของป่าที่มนุษย์วิวัฒนาการมามักเป็นไปอย่างเรียบง่าย กิจกรรมไม่เยอะ จึงมีเวลาว่างเยอะ พอว่างก็แค่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร 

โอบกอดนิกเซนเข้าสู่ชีวิต

เราสามารถสอดแทรกนิกเซนให้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราได้ ลองฝึกตัวเองให้พักผ่อนแบบพักผ่อนอยู่เฉยๆ จริงๆ เป็นการใช้เวลาว่างอย่างเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง พร้อมกับระงับความฟุ้งซ่านที่ว่าเราต้องคอย ‘หาอะไรทำ’ ไปเรื่อยอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เคยฉุกคิดว่าทำไปเพื่ออะไรด้วยซ้ำ

บางทีคนเราเป็นทุกข์เพราะคาดหวังสูงลิบเกินไป แต่พอเราไม่ทำอะไร จึงเกิดความสบายตัวสบายใจจากการไม่ต้อง ‘คาดหวังผลลัพธ์’ ใดๆ เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรแต่แรกอยู่แล้ว 

ในสภาพสังคมที่วุ่นวาย ทำงานหนักไม่มีหยุด งานเก่าจบ งานใหม่มารอต่อคิวแล้ว บางทีทางออกของสังคมชีวิตแบบนี้อาจเป็นการไม่ต้องทำอะไรไปเลยต่างหาก ลองหาเวลาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง ในสภาพแวดล้อมที่ดี ในบรรยากาศที่เงียบ ฮีลใจให้เบิกบาน 

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน บางสถานการณ์นิกเซนอาจช่วยให้เราไม่ติดกับดัก Action bias กล่าวคือ มนุษย์มักมีแนวโน้มที่จะต้อง ‘ทำอะไรบางอย่าง’ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหา เพื่อป้องกัน เพื่อการมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่าบางทีการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยต่างหากคือทางออกที่ดีที่สุดของปัญหาบางเรื่อง

จะว่าไปแล้ว พวกเราหลายคนเคยประสบนิกเซนมาแล้วโดยไม่รู้ตัว ผ่านการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด ขึ้นป่าเขาหรือลงใต้สู่ทะเล ในสถานที่ที่ปลีกวิเวก มีความเป็นส่วนตัว มีความสงบ ได้อยู่กับธรรมชาติ…ได้อยู่กับตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่เรามักจะ ‘เผลอไม่ทำอะไร’ บอกลารูทีนในชีวิตประจำวัน ทิ้งภาระงานออกไปก่อน และแค่เพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมตรงหน้า ช่วงเวลาแห่งนิกเซนนี้คือช่วงที่เรามักพูดแบบเต็มปากว่า ได้ ‘ชาร์จพลัง’ ตัวเองเต็มที่แบบสุดๆ

แน่นอนว่าเราไม่สามารถทำนิกเซนได้ตลอดเวลา เราไม่สามารถอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งวันได้ ยังไงชีวิตต้องมีกิจกรรม มีการเคลื่อนไหว เกิดการลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่การระลึกถึงนิกเซนและสอดแทรกมันลงไปในลมหายใจของแต่ละวัน ก็น่าจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างบาลานซ์และมีความสุขมากขึ้นได้นั่นเอง

อ้างอิง

https://time.com/5622094/what-is-niksen/

https://www.bluezones.com/2019/11/niksen-the-dutch-art-of-purposefully-doing-nothing/

https://www.bbc.com/travel/article/20230522-the-dutch-solution-to-busyness-that-captivated-the-world

https://www.vogue.com.au/culture/lifestyle/niksen-is-the-dutch-art-of-doing-nothing/news-story/51572787bb79315a35412886576fc792

Tags:

สุขภาพจิตการปล่อยวางการใช้ชีวิตนิกเซนปรัชญาชีวิต

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Life classroomHow to enjoy life
    เปลี่ยนที่ทำงานเป็นพื้นที่ฮีลใจ ‘โศรยา ทองดี’ ฮีลเลอร์แห่งโบว์เบเกอรี่เฮ้าส์

    เรื่อง The Potential

  • How to enjoy life
    เมื่อคำว่า ‘แพ้’ รุนแรงต่อชีวิต ความพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และผู้แพ้ไม่ควรถูกละเลย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    สโตอิก (Stoicism): ปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แล้วโบยบินในแบบของตัวเอง ศิลปะการใช้ชีวิตแบบชาวกรีกโบราณ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel