Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: May 2022

รักดีๆ อยู่ที่ไหน : ฟ้าลิขิตหรือความพยายาม?
Relationship
31 May 2022

รักดีๆ อยู่ที่ไหน : ฟ้าลิขิตหรือความพยายาม?

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ความสามารถในการประสบความสำเร็จในชีวิตรัก คนที่เชื่อใน ‘ความพยายาม’ ก็คือ ตนเองมีความสามารถในการสร้างรักที่ดี ทุกอย่างมาจากความพยายามในการฝ่าฟันและการปรับตัว ส่วนคนที่เชื่อใน ‘คู่แท้’ ก็คือรักที่ดีจะเกิดก็ต่อเมื่อพบกับคนที่ใช่
  • มุมมองเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนเราพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ ผ่านการเรียนรู้โดยเฉพาะจากการสังเกตคนในครอบครัว เช่น ใครที่มีพ่อแม่มีเรื่องกันแล้วไม่เคยปรับความเข้าใจกันได้ดีๆ เสียที รอให้หายโกรธไปเอง อาจเชื่อในคู่แท้มากกว่า ส่วนใครที่พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย แต่ปรับความเข้าใจกันลงตัวผ่านการพูดคุยได้ ก็อาจจะเชื่อในความพยายามมากกว่า
  • ในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่คนที่เชื่อในความพยายามมักจะเป็นคู่รักที่ไปรอดมากกว่า แต่ก็กลับส่งผลเสียกับบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้แต่ก็ดันทุรังจะยังอยู่ในชีวิตรักที่ไม่มีความสุขต่อไป

ไม่ว่าโลกจะไฮเทคขึ้นแค่ไหน แต่เรื่องของความรักนั้นยังไงเรื่องของ ‘ความเชื่อ’ ก็ยังมีอิทธิพลกับทั้งสังคมไทยและต่างประเทศไม่น้อยเลยครับ คนไทยคงจะคุ้นเคยกับเรื่องของ ‘บุพเพสันนิวาส’ หรือคำพูดที่ว่า “คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน” ช่วงที่ผ่านมากระแสภาพยนตร์อินเดียกำลังมาแรงซึ่งในสังคมฮินดูนั้น ‘พรหมลิขิต’ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หรือแม้แต่ในประเทศตะวันตก คำว่า ‘ชะตา’ กับคำว่าความรักก็อยู่คู่กันในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง มีคนจำนวนมากเชื่อว่า เราจะคู่กับใครนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่เป็น ‘เนื้อคู่’ ต่อให้เจอกันก็ไม่รัก หรือรักแล้วก็ไปไม่รอด

อย่างไรก็ตามในสังคมสมัยใหม่ที่เน้นถึงพลังของคนแต่ละคน ‘ความพยายาม’ เป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญไม่แพ้กัน และความรักเองก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนเชื่อว่า 

รักที่ดีนั้นเกิดจากการพยายาม ไม่ว่าจะตั้งแต่การออกแสวงหาคนรัก การปรับตัวให้เขาชอบ การปรับตัวเข้าหากัน การจัดการปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคกับความรัก เหมือนดังคำพูด “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” เขาจะเกิดมาเป็นคู่กับเราไหมเราไม่อาจรู้ มันต้องพยายามถึงจะคู่กันแล้วรอด

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหัวข้อที่แวดวงจิตวิทยาสนใจครับ ธรรมชาติแล้วคนเรานั้นจะมีมุมมองในการมองโลกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน มุมมองที่ว่านั้นคือมุมมองในแง่ว่าการทำสิ่งใดให้สำเร็จหรือแก้ปัญหาสิ่งใดได้นั้นมันเกิดขึ้นจาก ‘ตำแหน่งไหน  โดยแบ่งเป็น เกิดขึ้นจากภายใน หรือเป็นเรื่องที่ตัวเราเองจัดการได้ สามารถเปลี่ยนแปลงตามความพยายาม หรือ เกิดขึ้นจากภายนอก หรือเป็นสิ่งที่ตัวเราทำอะไรไม่ได้ เพราะสังคม บุคคลอื่นหรือโชคชะตา ฯลฯ กำหนดไว้ มุมมองสองฝั่งแบบนี้มีอยู่ในหลากหลายด้านของชีวิต เช่น ในด้านการประสบความสำเร็จในการเรียน การงาน และความรักเองก็เช่นกัน 

โดยงานวิจัยทางจิตวิทยาเรื่องมุมมองของความสามารถในการประสบความสำเร็จในชีวิตรัก หากคนเชื่อว่า ‘เกิดจากภายใน’ นักจิตวิทยาตั้งชื่อว่าเป็นคนที่เชื่อใน ‘ความพยายาม’ ก็คือ ตนเองมีความสามารถในการสร้างรักที่ดี ทุกอย่างมาจากความพยายามในการฝ่าฟันและการปรับตัว แต่หากคนเชื่อว่า ‘เกิดจากภายนอก’ นักจิตวิทยาตั้งชื่อว่าเป็นคนที่เชื่อใน ‘คู่แท้’ ก็คือรักที่ดีจะเกิดก็ต่อเมื่อพบกับคนที่ใช่ คนที่เหมาะสม ไม่ว่าจะชะตาหรืออะไรลิขิตมาให้ หรือแค่บังเอิญเกิดมามีลักษณะที่เข้ากับเราได้พอดี ไม่ว่าจะมาจากความเชื่อทางศาสนาหรือทางอื่นๆ ก็แล้วแต่ ถ้าไปรักกับคนที่ไม่ใช่คู่แท้ พยายามไปก็ไร้ผล

ประเด็นที่นักจิตวิทยาศึกษาเรื่องนี้ เพราะอยากรู้ว่าแล้วมุมมองที่ต่างกันนี้ส่งผลอย่างไรกับชีวิตรัก แบบไหนจะทำให้แต่ละคนมีความสุข หรือประสบความสำเร็จในชีวิตรักมากกว่า เรามาดูผลการวิจัยกันครับ

ช่วงการหาคู่ จากการสำรวจพฤติกรรมในแอปหาคู่ พบว่าคนที่เชื่อในคู่แท้มักจะช่างเลือกมากกว่า เพราะเขาเชื่อว่าต้องมีคนที่เป็นคู่แท้อยู่ ดังนั้นคนที่ดูแล้วไม่ใช่หรือมีอะไรไม่ถูกใจแม้แต่นิดเดียวเขามักจะไม่คิดจะใส่ใจ เพราะคู่แท้น่าจะโดนใจกว่านี้ แต่คนที่เชื่อในความพยายามจะเปิดใจมากกว่า และลองพยายามสานสัมพันธ์กับคนที่อาจจะถูกใจพอสมควร แต่ไม่ได้ถูกใจในทุกเรื่อง เผื่อดูว่าอาจจะชอบคนนี้มากขึ้นในอนาคตก็ได้ 

ในขั้นคบหาดูใจ คนที่เชื่อในคู่แท้นั้นถ้าเกิดบังเอิญไปเจอปัญหาให้ผิดใจ หรืออุปสรรคก็มักจะถอนตัวทันที เพราะความไม่ราบรื่นเป็นสัญญาณว่าคนนี้ไม่ใช่คู่แท้ แต่คนที่เชื่อในความพยายามจะลองแก้ไขปัญหาที่เจอมากกว่า ว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นแก้ไขได้ไหม ถ้าแก้แล้วได้ผลบ้าง ก็จะพยายามต่อไป

ในขั้นที่ตัดสินใจคบหาหรือแต่งงานแล้วใหม่ๆ คนที่เชื่อในคู่แท้แรกๆ มักจะพอใจกับคนรักมากกว่า เพราะมองข้ามปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าถึงขั้นคบกันแล้วแปลว่าคนนี้แหละ น่าจะเป็นคู่แท้ เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตรักแน่นอน แต่คนที่เชื่อในความพยายามจะพยายามมองหาปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน พยายามดูว่ามีสิ่งที่ต้องปรับปรุง ต้องแก้ไขบ้าง เพราะเชื่อว่าการฝ่าฟันอุปสรรคเป็นเส้นทางสู่รักที่ยั่งยืน

และพอคบหรือแต่งงานกันไปนานๆ หากยังคงเจอปัญหาที่รุนแรงจนชีวิตรักนั้นแย่ คนที่เชื่อในคู่แท้จะเริ่มรู้สึกว่าคนนี้ไม่น่าจะเป็นคู่แท้ จะมองว่าตนเองในอดีตนั้นเลือกผิด มองว่าชีวิตรักที่ผ่านมาคือความผิดพลาด และตัดสินใจเลิกราได้ง่ายกว่า เพราะคนที่ไม่ใช่คู่แท้ อยู่กันไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น แต่คนเชื่อในความพยายาม จะพยายามแก้ไขปัญหานั้นให้ได้ แม้ว่าปัญหานั้นจะคาราคาซังพยายามแก้แล้วก็แก้ไขไม่ได้เสียที เพราะเชื่อว่าอุปสรรคต่างๆ ยังไงก็ต้องผ่านไปได้จากความพยายาม

แล้วจากความแตกต่างนี้ คนมองแบบไหนจะมีชีวิตรักที่ดีกว่า คำตอบคือมุมมองแต่ละแบบต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปครับ แต่ในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่คนที่เชื่อในความพยายามมักจะเป็นคู่รักที่ไปรอดมากกว่า มีโอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นมากกว่า เพราะชีวิตรักนั้นเป็นปกติที่ต้องเจอปัญหา เจออุปสรรค ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่เชื่อในความพยายามจะไม่มองปัญหาในแง่ลบ แต่จะมองเป็นความท้าทาย เป็นเรื่องปกติของความรักที่ต้องฝ่าฟัน 

แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเชื่อในความพยายามก็กลับส่งผลเสียกับบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้แต่ก็ดันทุรังจะยังอยู่ในชีวิตรักที่ไม่มีความสุขต่อไป 

รวมถึงพวกที่เจอกับปัญหาที่ไม่ควรทน อย่างเช่น การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งคนที่เชื่อในความพยายามก็มักจะพยายามหาทางทำให้ชีวิตรักกลับมาดี ทนตกเป็นเหยื่อในการถูกทำร้ายต่อไปมากกว่า ยังไงก็ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ที่ยังแก้ไม่ได้อาจจคิดว่าตนพยายามไม่พอ โดยไม่มองว่าปัญหาอาจจะเกินความสามารถแล้ว

ในทางตรงกันข้าม คนที่เชื่อในคู่แท้นั้นมักจะเปิดโอกาสให้ตัวเองน้อยกว่า เพราะพยายามเฟ้นหาคนที่ใช่จริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงมักจะหาได้ยากมาก และตอนที่คบหาดูใจก็มักจะไม่ทนกับปัญหา และจะไม่พอใจเมื่อเจอปัญหามากกว่า ในแต่ช่วงคบกันใหม่ๆ คนที่เชื่อในคู่แท้จะเครียดต่อความสัมพันธ์น้อยกว่า เพราะไม่ใส่ใจกับปัญหาจุกจิกยิบย่อย เพราะเชื่อในการตัดสินในของตนเอง แต่หากยังคงมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ โอกาสที่จะแก้ไขได้ก็มีน้อย เพราะมักจะมองข้ามปัญหาไปตั้งแต่แรก และพอรู้ตัวถึงปัญหา คนที่เชื่อในคู่แท้จะมองปัญหาในแง่ลบกว่ามาก มองเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิด และตัดสินใจใช้การเลิกราเป็นทางออก ดังนั้นคู่ที่อยู่กันยืดเลยมีน้อยกว่าคนที่เชื่อในความพยายาม อย่างไรก็ตามหากเลิกราไปแล้ว ก็มักจะไม่ได้ติดใจว่าปัญหาเป็นเพราะตนเอง และไม่ยึดติดในการเปิดโอกาสในชีวิตใหม่ๆ โดยเฉพาะถ้าเจอคนที่คิดว่าใช่อีกครั้ง

ความแตกต่างในมุมมองนั้น บางครั้งไม่ได้เห็นชัดเจน แต่เป็นรูปแบบความคิดอยู่ลึกๆ ในใจโดยที่ไม่รู้ตัว แต่มันจะส่งผลต่อการตัดสินใจและตีความสิ่งต่างๆ โดยมุมมองเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนเราพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ ผ่านการเรียนรู้โดยเฉพาะจากการสังเกตคนในครอบครัว เช่น ใครที่มีพ่อแม่มีเรื่องกันแล้วไม่เคยปรับความเข้าใจกันได้ดีๆ เสียที มีแต่รอให้หายโกรธไปเอง ปล่อยปัญหาไว้แบบนั้น ก็อาจจะเชื่อในคู่แท้มากกว่า ส่วนใครที่พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย แต่ก็มีปรับความเข้าใจกันลงตัวผ่านการพูดคุยได้ ก็อาจจะเชื่อในความพยายามมากกว่า นอกจากนี้ยังรวมถึงการสังเกตคู่รักคนอื่นๆ หรือแม้แต่การสั่งสอนจากคนรอบตัวและสื่อต่างๆ อีกด้วยว่าคนเรามีความสามารถในการแก้ไขชีวิตรักได้มากน้อยแค่ไหน

เนื่องจากมุมมองเหล่านี้สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก การเปลี่ยนแปลงเลยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไม่ได้เลยนะครับ โดยเฉพาะการไปเจอประสบการณ์ที่ตรงกันข้ามกับมุมมองของตนเองอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง เช่น คนที่เชื่อในความพยายาม แต่ไปเจอคนสนิทที่เลิกรากับคนรักโดยที่ตนรับรู้ว่าพวกเขาพยายามแล้ว ก็อาจจะเริ่มเชื่อในคู่แท้ขึ้นบ้าง หรือคนที่เชื่อในคู่แท้ ที่เลือกเฟ้นมาอย่างดี แต่ก็ต้องเลิกรากันหลายต่อหลายครั้ง ก็อาจจะเริ่มเชื่อในเรื่องคู่แท้น้อยลง

นอกจากนี้มุมมองในแต่ละคนก็มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป บางคนอาจจะอยู่กลางๆ ไม่ได้เชื่อทั้งความพยายามหรือคู่แท้มากนัก และงานวิจัยในยุคหลังๆ พบว่ามุมมองในด้านความสามารถในการประสบความสำเร็จในชีวิตรักนั้นแตกต่างจากมุมมองความสำเร็จด้านอื่นๆ เช่น การงานหรือการเรียนที่หากไม่เชื่อในปัจจัยภายในก็ต้องเชื่อภายนอกเท่านั้น แต่ในเรื่องความรักตรงที่คนอาจจะมีมุมมองที่เชื่อทั้งภายในและภายนอกหรือ ‘ความพยายาม’ กับ ‘คู่แท้’ ทั้งสองอย่างพร้อมกันก็ได้ คือเชื่อว่าต้องเจอทั้งคนที่ใช่และต้องพยายามด้วยรักถึงจะสำเร็จ 

ที่ผมยกประเด็นเรื่องมุมมองนี้มา สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่ามีมุมมองแบบใดหรอกนะครับ แต่คือการนำข้อดีของมุมมองแต่ละแบบไปปรับใช้ในชีวิตรักมากกว่า เพราะถ้าเรารู้ว่ามีมุมมองที่ส่งอิทธิพลต่อการมองชีวิตรักของเราแล้ว เราก็ปรับมุมมองไปในทิศทางที่น่าจะดีต่อชีวิตรักมากกว่าได้ 

ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญในแน่นอนกับชีวิตรักที่มีความสุข เริ่มตั้งแต่การหาคู่ แน่นอนครับว่าเลือกเป็นคนรักทั้งทีจะไม่ช่างเลือกเลยก็คงไม่ได้ แต่เราอาจจะต้องผ่อนปรนเกณฑ์ในอุดมคติบางข้อไปบ้าง เพราะมันยากเหลือเกินที่เราจะเจอคนที่ตรงใจไปเสียทุกอย่าง และนอกจากนี้พอคบกันแล้วอย่างไรก็ต้องอาศัยความพยายามด้วย นอกจากจะพยายามปรับตัวเข้าหากันแล้ว ในชีวิตรัก ไม่มีคู่ไหนหรอกครับที่จะไม่มีอุปสรรคใดๆ เข้ามาเลย การมองปัญหาว่าคือสิ่งท้าทายให้แก้ไขจะช่วยให้ปรับตัวกับความสัมพันธ์ได้ดีกว่าเดิม และพัฒนาให้ชีวิตรักดีขึ้น และคงดีมากๆ ที่ทั้งคุณและคู่รักมีความคิดว่ารักที่ดีนั้นเกิดจากการพยายาม และที่สำคัญคือพยายามร่วมกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามอยู่ฝ่ายเดียว

คู่แท้มีจริงไหมเราอาจจะไม่มีวันรู้ แต่เมื่อคู่รักของเราอยู่กันไปนานวัน ปรับตัวแค่ไหนก็ดูไม่มีทางเข้ากันได้ มีปัญหาที่แก้ไขกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจ 

คำว่า “อาจจะไม่ได้เกิดมาคู่กัน” ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฟังขึ้นหากพยายามที่สุดแล้ว เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เราแก้ปัญหาไม่ได้ทุกอย่างหรอกครับ บางอย่างมันก็สุดความสามารถจริงๆ คนอื่นมาช่วยก็ยังไม่รอด และหากบังเอิญว่าปัญหานั้นมันคือความรัก ก็อาจจะต้องทำใจจากลากันไปจะมีความสุขกว่า 

และยิ่งในกรณีที่ ‘คนรักกลายเป็นคนร้าย’ ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจกันบ่อยเกินไป หากพยายามแล้วเปลี่ยนไม่ได้ อย่าทนครับ

สรุปแล้วรักที่ดีนั้น งานวิจัยก็พบว่าต้องพยายามหากจะพัฒนาให้รักนั้นแข็งแรงและยั่งยืน แต่ความพยายามก็ไม่ใช่คำตอบของทุกคู่ ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนั้นก็ต้องก้าวต่อไป ความคิดที่ว่า “ไม่ได้เกิดมาคู่กัน” อาจจะทำให้สบายใจกว่าที่จะยึดติดกับความล้มเหลว ผมอยากฝากไว้ว่าแม้ชีวิตรักอาจจะล้มเหลว แต่ชีวิตเราไม่ได้ล้มเหลวตามไปด้วยแน่ๆ เพราะความรักนั้นสำคัญ แต่ความรักไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต และชีวิตรักนั้นเริ่มต้นใหม่ได้เสมอไม่ว่าจะอายุเท่าไร ต่อให้คุณเลิกสนใจความรักไปแล้ว แต่ถ้าบังเอิญ หรืออาจจะเรียกว่าชะตาพาคนที่ถูกใจเรามา เราอาจจะมีรักได้ทุกเมื่อแหละครับ

เอกสารอ้างอิง

Knee, C. R. (1998). Implicit theories of relationships: Assessment and prediction of romantic relationship initiation, coping, and longevity. Journal of Personality and Social Psychology, 74(2), 360.

Knee, C. R., Patrick, H., & Lonsbary, C. (2003). Implicit theories of relationships: Orientations toward evaluation and cultivation. Personality and Social Psychology Review, 7(1), 41-55.

Mattingly, B. A., McIntyre, K. P., Knee, C. R., & Loving, T. J. (2019). Implicit theories of relationships and self-expansion: Implications for relationship functioning. Journal of Social and Personal Relationships, 36(6), 1579-1599.

Stone, H. (2008). Implicit theories of relationships: prediction of dating strategies and relationship initiation.

Tags:

ความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)ความสัมพันธ์ความรักความพยายาม

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • platonic
    Relationship
    เพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงไหม? ทำความเข้าใจมิตรภาพในที่ทำงานผ่านแนวคิด Platonic Love

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • EF (executive function)Adolescent Brain
    ‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

แด่หนุ่มสาว…คำกล่าวของศาสดาผู้ปฏิเสธสาวก
Book
28 May 2022

แด่หนุ่มสาว…คำกล่าวของศาสดาผู้ปฏิเสธสาวก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • จิททุ กฤษณมูรติ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1895 ในตระกูลพราหมณ์ เขาได้รับการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อให้พร้อมสำหรับบทบาทคุรุแห่งโลก ทว่าในปี  1929 เขากลับปฏิเสธบทบาทศาสดา พร้อมกล่าวว่าไม่ต้องการสาวกหรือผู้ติดตาม “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าพเจ้าคือ การปลดปล่อยมนุษย์ทุกคนให้พบกับเสรีภาพ”
  • หนังสือ ‘แด่หนุ่มสาว’ อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่กฤษณมูรติต้องการบอกเล่า หัวใจสำคัญคือ การหลุดพ้นจากพันธนาการความกลัว ด้วยการตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบอย่างแท้จริงว่า พันธนาการที่เรายอมถูกผูกมัด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความมั่นคง มีอยู่จริงหรือ
  • เรื่องราวในชีวิตของกฤษณมูรติ กับคำสอนที่ถูกบันทึกลงในหนังสือ จริงๆ แล้ว คือเรื่องเดียวกัน กฤษณมูรติ บอกให้คนหนุ่มสาวเลือกค้นหาเส้นทางของตัวเอง แทนที่จะก้าวตามเส้นทางที่คนอื่นทำไว้ เพราะตัวเองเคยถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่คนอื่นขีดเขียนไว้มาก่อน

เคยสงสัยไหมครับว่า ศาสดากับนักปรัชญา ต่างกันอย่างไร

ศาสดา และนักปรัชญา ต่างก็เป็นผู้ค้นพบชุดความรู้ ที่เราอาจเรียกให้สวยหรูว่าสัจธรรม ซึ่งเชื่อกันว่า ชุดความรู้นี้ สามารถตอบข้อสงสัยของมวลมนุษยชาติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นจุดกำเนิดของชีวิต หรือความหมายของชีวิต 

แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน ก็คือ สัจธรรมหรือความรู้ที่ศาสดาค้นพบ มักถือเป็นคำตอบสมบูรณ์ ไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง ในขณะที่ความรู้ที่ผู้นำสำนักปรัชญาขบคิดได้ เป็นเพียงแค่แนวคิด ซึ่งบุคคลอื่น สามารถตั้งคำถาม โต้แย้ง ไปจนถึงหักล้างได้

โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า สิ่งที่ทำให้ศาสดาและนักปรัชญา มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ ขณะที่นักปรัชญาเป็นเพียงแค่ผู้ขบคิด ใคร่ครวญ จนได้คำตอบที่คลี่คลายข้อสงสัย แต่ทุกอย่างมักจะจบลงแค่นั้น การนำสิ่งที่คิดค้นได้ไปต่อยอด-แปรเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต จึงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะหัวใจของปรัชญาตามคำนิยาม ก็คือ การมีใจรักในความรู้ ดังนั้น การค้นหาคำตอบของปัญหา จึงเป็นไปเพื่อสนองความอยากรู้ ไม่ใช่เพื่อหวังจะประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ

แต่สำหรับศาสดาแล้ว สิ่งที่เขาค้นพบ หยั่งรู้ หรือตรัสรู้ จะถูกนำไปใช้เพื่อให้ชีวิตของเขาและเหล่าสาวกดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกหน้า เพราะจุดเริ่มต้นของเหล่าศาสดา ไม่ใช่เพื่อแสวงหาองค์ความรู้ แต่เป็นการทำให้ชีวิตของเขาและคนอื่นๆ พ้นจากความทุกข์ พ้นจากบาป หรือพูดง่ายๆ ว่า มีสภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง

เราอาจสรุปให้สั้นกว่านั้นว่า ศาสดา คือ ผู้ดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับชุดความเชื่อที่ตนเป็นคนเผยแพร่ ขณะที่นักปรัชญา ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะชุดความรู้ที่เขาค้นพบ อาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการดำเนินชีวิตเลยก็ได้

อีกจุดหนึ่งที่สามารถแยกศาสดาออกจากนักปรัชญาได้อย่างชัดเจน ก็คือ ความศรัทธา โดยศาสดาจะมีสาวกหรือผู้ติดตาม ที่มีความศรัทธาและปฏิบัติตามสัจธรรมคำสั่งสอน ขณะที่นักปรัชญาอาจจะมีสาวกหรือผู้ติดตาม ที่เชื่อหรือเห็นด้วยกับแนวทางปรัชญาของเขา แต่ก็เป็นแค่ความเชื่อ หรือความเคารพ ไม่ใช่ความศรัทธา

และศรัทธาของเหล่าสาวกนี่เอง ที่ยกให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นรูปเคารพอันศักดิ์สิทธิ์ และถูกเรียกขานกันในนามของ ‘ศาสดา’

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดา พระเยซูจึงเป็นศาสดา ขณะที่โสเครติส อริสโตเติล หรือไดโอจีนีส แม้ว่าจะมีสานุศิษย์ติดตามมากมาย แต่พวกเขายังขาด ‘ศรัทธา’ จากเหล่าผู้ติดตาม จึงเป็นเพียงผู้นำสำนักปรัชญา ไม่ใช่ศาสดาแต่สำหรับ จิททุ กฤษณมูรติ เราแทบจะไม่สามารถกำหนดนิยามเกี่ยวกับเขาได้เลยว่า เขาจะเป็นศาสดา นักปรัชญา คุรุ นักพูด นักเขียน หรือแค่ไลฟ์โค้ชธรรมดาๆ คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูด แต่กฤษณมูรติไม่ต้องการให้ใครเชือ อีกทั้งยังประกาศกับทุกคนว่า “จงอย่าเป็นสาวกของข้าพเจ้า”

Born to be, not wanna be

จิททุ กฤษณมูรติ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1895 ในตระกูลพราหมณ์ในเมืองมัทนปาลี ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เขากำพร้าเมื่อตอนอายุ 10 ปี ป่วยด้วยโรคมาลาเรีย ทำให้เขาดูเป็นเด็กขี้โรค อ่อนแอ และติดจะช่างเพ้อฝันอยู่สักหน่อย

เส้นทางชีวิตของกฤษณมูรติ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนที่เขาอายุ 14 ปี และได้พบกับ ชาร์ลส เวบสเตอร์ ลีดบีเทอร์ (Charles Webster Leadbeater) สมาชิกระดับสูงของสมาคมเทวญาณวิทยาที่พ่อของกฤษณมูรติทำงานอยู่ ลีดบีเทอร์เชื่อว่า หนุ่มน้อยกฤษณมูรติ คือ พาหะหรือยานของพระเมไตรย ที่จะมาจุติและเป็นศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ ต่อจากพระพุทธเจ้าและพระเยซู

กฤษณมูรติ ถูกรับอุปถัมภ์และนำไปขัดเกลา เจียระไน เพื่อให้พร้อมสำหรับบทบาทคุรุแห่งโลก เขาได้รับการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ได้รับการอบรมมรรยาทจนกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้สง่างาม มีการจัดตั้งองค์กรที่ชื่อว่า สมาคมดวงดาวแห่งตะวันออก เพื่อรองรับการเผยแผ่คำสอนของพระเมไตรย

เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางเข้าที่เข้าทาง กฤษณมูรติ ในวัย 27 ปี ก็ได้รับการอบรมแบบเข้มข้นที่เรียกว่า ‘ประสบการณ์เปลี่ยนชีวิต’ ซึ่งว่ากันว่า จะเป็นการปลุกวิญญาณของพระเมไตรยให้ตื่นขึ้น

ทว่า สิ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นหลังจากประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตในครั้งนั้น ไม่ใช่วิญญาณของพระเมไตรย แต่เป็นวิญญาณขบถในตัวกฤษณมูรติ

วันที่ 3 ส.ค. 1929 หรือ 7 ปี หลังจากการเข้ารับประสบการณ์เปลี่ยนชีวิต กฤษณมูรติ ประกาศยุบสมาคมดวงดาวแห่งตะวันออก พร้อมปฏิเสธบทบาทศาสดาที่เขาถูกขีดเส้นให้เป็น พร้อมกล่าวต่อหน้าเหล่าสาวกหลายพันคนว่า

“สัจธรรมที่แท้จริง คือดินแดนที่ไร้เส้นทางเข้าถึง ไม่มีทางที่คุณจะไปถึงสัจธรรม ด้วยการก้าวไปบนเส้นทางของใครคนใดคนหนึ่ง ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือนิกายใดนิกายหนึ่ง เพราะทันทีที่คุณก้าวเดินตามรอยเท้าผู้อื่น คุณจะพลาดการก้าวเดินตามหาสัจธรรม”

กฤษณมูรติ ยังย้ำอีกว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการสาวกหรือผู้ติดตาม สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าพเจ้าคือ การปลดปล่อยมนุษย์ทุกคนให้พบกับเสรีภาพ ปลดปล่อยพวกเขาจากกรงขัง และจากความกลัว”

หนุ่มสาวเอย-จงก้าวพ้นพันธนาการทั้งปวง

หากให้เลือกหนังสือเพียงเล่มเดียว ที่เป็นตัวแทนคำสอนของกฤษณมูรติ ผมขอยกให้ ‘แด่หนุ่มสาว’ ของสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง แปลและเรียบเรียงโดย พจนา จันทรสันติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่กฤษณมูรติต้องการบอกเล่า ล้วนมีอยู่ในหนังสือเล่มบางเล่มนี้

หัวใจสำคัญที่กฤษณมูรติ ย้ำอยู่บ่อยๆ คือ การหลุดพ้นจากพันธนาการ ซึ่งพื้นฐานของพันธนาการในทุกเรื่อง ก็ล้วนมาจากความกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวว่าพลัดพรากจากคนรัก กลัวว่าจะไม่มีงานทำ ไม่มีคนนับหน้าถือตา กลัวว่าจะไม่เหมือนเพื่อนพ้องในกลุ่ม หรือกลัวว่าจะไม่ได้เกิดใหม่ในภพชาติที่ดีกว่านี้

ด้วยความกลัวนี่เอง ทำให้เราคาดหวังที่จะพึ่งพาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู ลัทธิความเชื่อ กรอบจารีตประเพณี จนกระทั่ง กลายเป็นพันธนาการผูกมัดเราในที่สุด

“เราเคยชินต่อการพึ่งพาผู้อื่น ให้ผู้อื่นมาคอยชี้ทางและช่วยเหลือ และถ้าไม่มีใครช่วย เราจะรู้สึกสับสน หวาดหวั่น มิรู้ที่จะคิด มิรู้ที่จะทำประการใดในวินาทีแรกที่เราถูกปล่อยให้อยู่เดียวดาย เราจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวท้อแท้และไม่มั่นใจ จากสิ่งนี้เองที่ความกลัวได้เกิดขึ้น”

สำหรับกฤษณมูรติ สิ่งที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากพันธนาการความกลัวได้ ก็คือ การตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบอย่างแท้จริงว่า พันธนาการที่เรายอมถูกผูกมัด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความมั่นคง มีอยู่จริงหรือ

“เรารู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับพ่อแม่ รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้งานอาชีพมั่นคง… แต่เราได้มีความมั่นคงความปลอดภัยจริงๆ ละหรือ ธุรกิจการธนาคารของเธออาจจะล้มในวันพรุ่งนี้ก็ได้ พ่อแม่ของใครคนหนึ่งอาจจะตาย… เราชอบเชื่อว่ามีพระเจ้าที่คอยคุ้มครองดูแลตัวเรา หากเราเกิดมาใหม่ชาติหน้าคงจะร่ำรวยขึ้นกว่าชาตินี้ นั่นก็อาจเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องแสวงหาด้วยตัวเอง ถ้าเรามองไปทั้งภายในและภายนอกแล้ว เราก็จะได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่า ไม่มีความปลอดภัยใดๆ อยู่ในชีวิตนี้เลย”

ในหนังสือ ‘แด่หนุ่มสาว’ กฤษณมูรติ ได้เขียนถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในหลายๆ บท เพราะเขาเชื่อว่า การศึกษาคือสิ่งที่จะช่วยให้เด็กรู้จักตั้งคำถาม เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นพันธนาการแห่งความกลัว

“การศึกษาควรจะส่งเสริมให้เธอลอกเลียนแบบจากสังคมเก่าอันผุโทรม หรือควรจะให้เสรีภาพกันแน่ เสรีภาพอันสมบูรณ์ที่จะช่วยให้เธอเติบโตและสร้างสรรค์สังคมที่ผิดแผกออกไป สังคมใหม่ โลกใหม่ของมนุษย์ เราต้องการเสรีภาพเช่นนี้ ไม่ใช่ในอนาคต แต่ต้องได้มาเดี๋ยวนี้”

กฤษณมูรติเชื่อว่า เมื่อมีเสรีภาพอย่างแท้จริง จิตใจเราจะค้นพบความรัก ความรักที่ปราศจากพันธนาการแห่งความคาดหวัง หรือการครอบครอง เพราะความรักที่แท้จริงกับเสรีภาพ คือสิ่งเดียวกัน

“มีเพียงผู้ที่เข้าใจและปลดเปลื้องตัวเองออกจากความต้องการพึ่งพาทางใจเท่านั้น ที่จะรู้ว่าความรักคืออะไร และเมื่อนั้นอิสรภาพย่อมเกิดขึ้น และมีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้น จึงอาจสร้างสรรค์วัฒนธรรมขึ้นมาใหม่ สร้างโลกใหม่ขึ้นมา เป็นโลกที่แตกต่างจากโลกเก่าโดยสิ้นเชิง”

และนั่นคือโลกหรือชีวิตอันดีงาม ตามอุดมคติความเชื่อของกฤษณมูรติ

จงขบถ วันนี้ และเดี๋ยวนี้

สาส์นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่กฤษณมูรติ พยายามถ่ายทอดผ่านทางหนังสือเล่มนี้ รวมถึงในการกล่าวปราศรัยตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีในชีวิตของเขา ก็คือ การปฏิวัติ

การปฏิวัติที่กฤษณมูรติเรียกร้องจากคนหนุ่มสาว ไม่ใช่การปฏิวัติทางสังคม หรือการปฏิวัติทางการเมือง หากแต่เป็นการปฏิวัติในจิตใจ ซึ่งสามารถทำได้ทันที ณ เดี๋ยวนี้

เราอาจพูดอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิวัติในจิตใจก็คือ การปรับเปลี่ยนมุมมองความคิด เพื่อทำลายพันธนาการความกลัวที่โอบรัดเราอยู่ ซึ่งกฤษณมูรติเชื่อว่า ทันทีที่เราปลุกวิญญาณขบถขึ้น จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ได้

คงจำกันได้นะครับ จากที่ผมเขียนไว้ในช่วงประวัติชีวิตของกฤษณมูรติ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ปี 1929 กฤษณมูรติ ได้ประกาศปฏิวัติล้มล้างองค์กรทางศาสนาที่ตัวเองถูกครอบทับมาตั้งแต่วัยเด็ก ทำลายพันธนาการความหวาดกลัวทั้งปวง

ไม่ว่าจะเป็นความกลัวที่ยึดโยงกับเรื่องความมั่นคง ความรักจากคนรอบข้าง และคติความเชื่อทางศาสนา

นั่นคือการปฏิวัติทางจิตใจอย่างแท้จริง ของคนที่ถูกเลือกให้เป็นศาสดา แต่เจ้าตัวขอเลือกที่จะเป็นขบถแทน

เรื่องราวในชีวิตของกฤษณมูรติ กับคำสอนที่ถูกบันทึกลงในหนังสือ จริงๆ แล้ว คือเรื่องเดียวกัน กฤษณมูรติ บอกให้คนหนุ่มสาวเป็นขบถ ทำลายพันธนาการความหวาดกลัว เพราะตัวเองเคยผ่านประสบการณ์การถูกผูดมัดมาตั้งแต่เด็ก

กฤษณมูรติ บอกให้คนหนุ่มสาวเลือกค้นหาเส้นทางของตัวเอง แทนที่จะก้าวตามเส้นทางที่คนอื่นทำไว้ เพราะตัวเองเคยถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่คนอื่นขีดเขียนไว้มาก่อน

ท้ายที่สุด ผมเชื่อว่า หากจะมีสิ่งใดที่อยากบอกกับคนหนุ่มสาวอีก กฤษณมูรติอาจจะบอกว่า… 

“เธอไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่คู่มือที่พาเธอไปพบสัจธรรม หากเธออยากจะอ่านหนังสือแบบนั้น จงเขียนมันด้วยตัวเธอเอง”

…………………

หมายเหตุ – ตัวเอนในบทความชิ้นนี้ มาจากหนังสือ แด่หนุ่มสาว ของสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง เขียนโดย กฤษณมูรติ แปลโดยพจนา จันทรสันติ

Tags:

ศาสดานักปรัชญากฤษณมูรติแด่หนุ่มสาว

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ: คุยเรื่องจิตบำบัดในโรงเรียนกับ โดม-ธิติภัทร รวมทรัพย์
Education trend
23 May 2022

มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ: คุยเรื่องจิตบำบัดในโรงเรียนกับ โดม-ธิติภัทร รวมทรัพย์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เด็กตื่นมาร้องไห้ กินข้าวไม่ได้ ไม่อยากเจอใคร เบื่อกิจกรรมที่ชอบ เบื่อเรียน ไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากลุกจากเตียง หรืออยู่ดีๆ ก็ใจสั่น กังวล กลัว และควบคุมตัวเองไม่ได้ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ‘ความไม่ปกติ’ เหล่านี้เป็นสัญญาณความกังวลที่แสดงให้เห็นว่าเด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือ
  • ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิต หากเด็กไม่ได้รับการเยียวยา บาดแผลในใจอาจกลายเป็นแผลเรื้อรังตอนโตที่สร้างปัญหาต่อการใช้ชีวิตในอนาคต เช่น อาการทางจิตใจอย่าง โรคซึมเศร้า โรคแพนิก (โรควิตกกังวล) ฝันร้าย และเครียดง่าย เป็นต้น
  • เพราะสุขภาพจิตที่ดีของเด็กสำคัญต่อการเรียนรู้ ชวนคุยกับ โดม – ธิติภัทร รวมทรัพย์ เจ้าของเพจ ‘he, art, psychotherapy’ ในฐานะนักจิตวิทยา เขาอยากสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้คนในสังคมเกี่ยวกับการเข้ารับคำปรึกษาในเชิงจิตวิทยาว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ 

ในขณะที่ผู้ปกครอง ครู และคนทั่วไปยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอเกี่ยวกับสุขภาพจิต และส่วนหนึ่งยังมีมุมมองต่อเรื่องการเข้ารับการบำบัดในเชิงลบ เช่น มองว่าเป็นเรื่องของเด็กพิเศษ คนไม่ปกติหรือคนบ้า ทั้งที่สุขภาพจิตที่ดีของเด็กสำคัญต่อการเรียนรู้ โดม – ธิติภัทร รวมทรัพย์ ใช้พื้นที่เพจ ‘he, art, psychotherapy’ ของเขาในฐานะนักจิตวิทยา บอกเล่าเรื่องราวเพื่อสร้างการรับรู้อีกมุมหนึ่งให้แก่ผู้คนในสังคม ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าถึงบทบาทของนักจิตวิทยามากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้ารับคำปรึกษาในเชิงจิตวิทยาว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ 

ปัจจุบัน โดมปักหมุดศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในสาขาศิลปะบำบัด ณ สถาบันโกลด์สมิธส์ มหาวิทยาลัยลอนดอน และกำลังฝึกงานในบทบาท ‘นักศิลปะบำบัด’ ให้กับโรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเคยมีประสบการณ์เป็นนักจิตวิทยาโรงเรียนในประเทศไทย 

‘ความเปลี่ยนแปลง’ ‘ความไม่ปกติ’ มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ

“ผมมีประสบการณ์ทำงานกับเด็ก คิดว่าการทำงานกับเด็กเป็นพื้นฐานที่ดี ทฤษฏีต่างๆ ก็กล่าวไว้ว่าประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิต ดังนั้นการมาทำงานกับเด็กในโรงเรียนทำให้ผมต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับเด็กเยอะขึ้นและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์กับวัยอื่นๆ ได้”

“ใครๆ ก็เข้าหานักจิตบำบัดได้ การบำบัดไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือน่ากลัวอย่างที่คิด” โดม กล่าวย้ำ

โดยเฉพาะในวัยเด็กที่หลายคนต้องเผชิญหน้ากับความกดดันจากคนในครอบครัวและสภาพแวดล้อมรอบตัว โดมบอกว่า ปัญหาหรือสัญญาณบางอย่างที่เด็กส่งมาอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็น ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ‘ความไม่ปกติ’ ที่หากไม่สนใจและไม่ใส่ใจให้ดีแม้แต่คนใกล้ตัวเองก็อาจจะมองข้ามหรือไม่เห็น เช่น เด็กตื่นมาร้องไห้ กินข้าวไม่ได้ ไม่อยากเจอใคร เบื่อกิจกรรมที่ชอบ เบื่อเรียน เบื่องาน ไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากลุกจากเตียง ไม่มีแรง รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า หรืออยู่ดีๆ ก็ใจสั่น กังวล กลัว และควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณความกังวลที่แสดงให้เห็นว่าเด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือ

“สิ่งที่พ่อแม่และครูทำได้อย่างแรกคือ ต้องเริ่มสังเกตก่อนและดูการเปลี่ยนแปลงของเด็ก คำว่าการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างครอบคลุม เช่น ลูกอาบน้ำทุกวันแล้วอยู่ดีๆ ไม่อยากอาบน้ำ แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลง เด็กที่ร่าเริงมาก จู่ๆ วันหนึ่งกลับเงียบไป เด็กเคยอยู่กับเพื่อนแต่วันหนึ่งแยกตัวออกห่าง จากชอบยกมือตอบคำถามเริ่มไม่ตอบ จากเกรดดีเริ่มเกรดตก”

“ตอนทำงานในประเทศไทยผมทำงานโรงเรียนในเมือง เด็กมีความเครียดเรื่องการเรียน เช่น การบ้านเยอะ ต้องเรียนพิเศษ พ่อแม่กดดันว่าผลการเรียนต้องดีเลิศ ทำให้เด็กเหนื่อยจนเบื่อเรียน หรือบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ภายใต้คำว่าการเปลี่ยนแปลง แต่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปกติทั้งที่เป็นเรื่องผิดปกติ เช่น เด็กมาโรงเรียนด้วยเสื้อผ้าสกปรกแต่ไหนแต่ไร ใส่เสื้อผ้าซ้ำมาสามสี่วัน แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ดูแลความสะอาดเสื้อผ้าให้ลูก ซึ่งเป็นสัญญาณของการถูกปล่อยปละละเลยและทอดทิ้ง ถ้าเด็กมีสัญญานเหล่านี้แล้วไม่รีบแก้ไข แปลว่าเด็กคนนั้นต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าอาจจะแย่ไปเรื่อยๆ”  

สร้างการรับรู้ใหม่ ‘การบำบัด’ ไม่ใช่เรื่องของ ‘คนบ้า’ หรือ ‘ผิดปกติ’

จิตบำบัดหรือการรับคำปรึกษาเชิงจิตวิทยา โดมบอกว่าจริงๆ แล้วเป็นการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ สร้างการตระหนักรู้ในความคิดและความรู้สึกของตนเอง เพื่อให้รู้เท่าทันที่มาที่ไปของพฤติกรรมที่เป็นอยู่ 

เด็กที่ไม่ได้รับการเยียวยาจนเกิดเป็นบาดแผลในใจ อาจกลายเป็นแผลเรื้อรังตอนโตที่สร้างปัญหาต่อการใช้ชีวิตในอนาคต ยกตัวอย่าง อาการทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า โรคแพนิก (โรควิตกกังวล) ฝันร้าย และเครียดง่าย เป็นต้น ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่ต้องการบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจเข้ามารับบทบาทสำคัญในโรงเรียน ต้องอาศัยการให้ความรู้และทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง รวมทั้งตัวนักเรียนเอง 

“โรงเรียนในประเทศไทยที่ผมได้เข้าไปทำงานด้วย เงินเดือนที่โรงเรียนจ่ายให้ได้มาจากสมาคมผู้ปกครอง หมายความว่าครู ผู้ปกครองเห็นด้วย และนักเรียนรับรู้ ทำให้มีตำแหน่งนี้ขึ้นมาในโรงเรียน ดังนั้นนอกจากตัวบุคคลแล้วยังต้องการอำนาจในเชิงระบบหรือนโยบายมาช่วยในการปรับเปลี่ยนไปด้วยกัน”

“เราควรยอมรับว่าเรื่องสุขภาพจิตของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การมีนักจิตวิทยาโรงเรียนหรือจิตแพทย์ประจำทำงานในโรงเรียนหรือเข้าไปเป็นครั้งคราวช่วยเหลือเด็กได้ 

นักวิชาชีพที่ทำงานร่วมกับโรงเรียนเหล่านี้สามารถให้ความรู้ ให้ข้อมูล ช่วยสร้างบรรยากาศและสร้างการรับรู้ (set the tone) ต่อเรื่องสุขภาพจิตในเชิงบวก หรือแม้กระทั่งการจัดเวิร์กชอปอบรมให้ผู้ปกครอง ครูและนักเรียนเรื่องการสื่อสาร การจัดการความเครียด การออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการและช่วงวัยของเด็ก เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้ถ้ามีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอยู่ในโรงเรียน”

จากประสบการณ์ฝึกงานในฐานะนักศิลปะบำบัดในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ประเทศอังกฤษ โดมกล่าวว่าการสร้างการรับรู้เชิงบวกเกี่ยวกับการบำบัดเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองเห็นเป้าหมายและประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญมาก 

“เวลาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจะมีกลุ่มนักเรียนฝึกงานแต่ละคนมาแชร์ประสบการณ์กัน บางโรงเรียนก็ยังมีปัญหาเรื่องการสร้างการรับรู้อยู่บ้าง เช่น ครูไม่เข้าใจ ไม่อยากให้เด็กขาดเรียนไปเข้ารับการบำบัด หรือพ่อแม่ไม่อยากให้มาบำบัด ต่างจากโรงเรียนที่ผมฝึกงาน ผมทำงานราบรื่นมากเพราะพ่อแม่แฮปปี้และสนับสนุนให้ลูกได้เข้ารับบริการ เคสที่ผมดูแลพอโทรไปคุยทุกเคสพูดทำนองเดียวกันว่า เขาสบายใจที่ลูกจะได้มีพื้นที่พูดคุยถึงความรู้สึกของตัวเอง”

“การบำบัดที่ผมทำไม่เคยถูกขัดจังหวะระหว่างทาง อย่างถ้าตารางชนกันผมก็คุยกับครูประจำชั้นเพื่อหาทางออก ถึงเขาจะไม่อยากให้เด็กขาดวิชานี้เลย แต่ก็เข้าใจว่างานบำบัดสำคัญไม่แพ้กัน ครูบางคนขอตัวไปคิดวางแผนแล้วก็จัดเวลามาให้ เห็นได้ว่าถ้าผู้ปกครองและครูเข้าใจจะส่งผลมาที่ตัวเด็กด้วย เด็กจะไม่รู้สึกประหลาดหรือรู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร ทำไมถูกส่งมาบำบัด เพื่อนก็จะไม่มองว่าเป็นเรื่องแปลก แล้วเอามาบูลลี่กัน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย ปรับการรับรู้ว่าการบำบัดคืออะไร”

ศิลปะบำบัด เครื่องมือที่ใช้สื่อสารกับเด็กๆ ว่า ‘ยินดีรับฟังและช่วยเหลือ’

ความสนใจด้านจิตวิทยาของโดม เกิดจากความประทับใจหลังได้ลองทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่ให้ผู้ทดสอบวาดรูปบ้าน คนหรือต้นไม้แล้วนำรูปวาดนั้นมาวิเคราะห์บุคลิกเฉพาะบุคคล ซึ่งการวิเคราะห์ได้ผลลัพธ์ออกมาตรงอย่างน่าประหลาด ประสบการณ์ครั้งนั้นได้ค่อยๆ สานความสัมพันธ์ให้โดมมีความเชื่อใน ‘ศิลปะ’ ความเชื่อของเขาถูกกระตุ้นอีกครั้งหลังก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรี ในคาบเวิร์กชอปที่อาจารย์เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ด้านการบำบัดทางเลือกทุกแขนง ทั้งการเต้นและการเคลื่อนไหวบำบัด ดนตรีบำบัด ละครบำบัด และศิลปะบำบัด การเรียนรู้ครั้งนั้นได้ส่งแรงกระเพื่อมบางอย่างที่ทำให้โดมรู้สึกว่ากระบวนการบำบัดได้ทำงานบางอย่างกับตัวเขา

“พอได้ทำผมรู้สึกว่ามันเวิร์ก”

“ผมสนใจดนตรีบำบัดก่อนเพราะมีพื้นฐานการเล่นกลอง แต่ดนตรีบำบัดใช้ทักษะทางดนตรีสูงมาก ต้องเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น ต้องรู้ทฤษฎีดนตรีและการอิมโพรไวส์ จากนั้นผมก็ลองจินตนาการภาพตัวเองทางศิลปะบำบัดแล้วยังพอเห็นภาพ ว่าศิลปะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้คนสื่อสารได้ง่ายขึ้น ตอน ป.ตรี ผมได้เรียนจิตบำบัดด้วยการพูด (Talk therapy) เรารู้สึกว่าบางครั้งคุยออกไปแล้วบางอย่างอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ มันมีความยากลำบากในการใช้คำพูด เลยเชื่อว่าศิลปะเป็นการสื่อสารที่จะช่วยได้”

สำหรับโรงเรียนประถมที่โดมกำลังฝึกงานอยู่นั้น เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เปิดสอนระดับชั้น 1-6 ชั้นละแค่ 1 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน บรรยากาศภายในโรงเรียนอบอุ่นและไม่แออัด โดมเล่าว่าการที่เด็กคนหนึ่งจะเข้ามารับการบำบัดได้ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เริ่มจากการสังเกตนักเรียนโดยครูประจำชั้น การประเมิน (pre-assessment) โดยครูใหญ่และครูที่ดูแลด้านการศึกษาพิเศษ ก่อนส่งข้อมูลให้กับครูฝ่ายนักบำบัด หลังจากนั้นนักบำบัดจะเก็บข้อมูลของผู้เข้ารับการบำบัดจากการ

  • เข้าไปสังเกตการในชั้นเรียน เพื่อบันทึกพฤติกรรม
  • พูดคุยกับอาจารย์ประจำชั้น
  • พูดคุยกับผู้ปกครอง 

และเข้าสู่การทำศิลปะบำบัด ทุกสัปดาห์ ครั้งละ 45 นาที ไปจนจบภาคการศึกษา 

“การบำบัดเด็กแต่ละคนใช้วิธีการต่างกัน หลักที่ผมใช้ คือ การให้คำปรึกษา/ บำบัดแบบไม่นำทาง (Non-directive) เมื่อมาเจอกันผมแนะนำก่อนว่า ห้องนี้คือห้องศิลปะบำบัดนะ ศิลปะบำบัดคืออะไร ไม่เหมือนในห้องเรียน ไม่มีผิดไม่มีถูกและไม่มีการให้คะแนนด้วย อยากทำอะไรทำได้เลย และนี่คืออุปกรณ์ทั้งหมดลองจับลองเล่นดูได้ ถ้าอยากทำหรืออยากเล่นอะไรทำได้เลย แต่ถ้ารู้สึกเบื่อๆ อยากนั่งเฉยๆ ก็ทำได้ไม่เป็นไร เราจะนั่งอยู่ด้วยกันหรือมีเรื่องอะไรที่อยากคุยก็คุยได้ ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เรายินดีที่จะรับฟังและช่วยเหลือนะ จากนั้นก็ปล่อยเขาเลย และดูว่าเขาจะทำอะไรต่อไป” 

“ความท้าทายแรกคือ การไม่บอกให้เด็กทำงานศิลปะแต่จะทำยังไงให้เขาทำงานศิลปะ ให้เด็กนำและให้เขาทำ เราเพียงแค่ดูว่าในการบำบัดนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดูทุกกระบวนการว่าเมื่อเข้ามาเด็กดูตื่นเต้นไหม สบตาเราไหม เด็กคนนี้อยากทำอะไร บางคนพอเริ่มระบายสีหันมามองเราทุกครั้งเลยเหมือนต้องการการอนุญาตอยู่ตลอด หรือเด็กคนนี้กำแปรงพู่กันแน่นมาก ดูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเด็กว่ามีปฏิสัมพันธ์อย่างไร และปฏิสัมพันธ์ของเขากับงาน จากนั้นดูตัวผลงานว่า งานที่เด็กทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง มีเนื้อหาอย่างไร เราอาจจะชวนคุยให้เขาเล่าให้ฟัง ถ้าเด็กไม่รู้สึกปลอดภัย เขาจะไม่ให้ความร่วมมือเลย”

สร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่เด็กต้องถูกรับฟัง ถูกมองเห็น และถูกเข้าใจ

การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กเป็นสิ่งที่ถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่ในทางปฏิบัติทั้งพ่อแม่และคุณครูยังกุมขมับว่าจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้อย่างไร

โดมให้คำนิยาม ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ว่าคือพื้นที่ที่เด็กต้องถูกรับฟัง ถูกมองเห็นและถูกเข้าใจ

“กลไกการต่อสู้ (fight) และ การหลบหนี (flight) จะทำงานเมื่อคนเรารู้สึกไม่ปลอดภัยหรือถูกคุกคาม ซึ่งการจะปิดกลไกนี้ได้ต้องทำให้คนๆ นั้นรู้สึกปลอดภัย  ลองหาเวลามานั่ง Check in (พูดคุยทำความเข้าใจ) กับเด็ก ให้เขาได้พูดออกมาว่าเป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น 

การเป็นผู้ฟังที่ดีจะช่วยได้มาก ฟังแล้วให้เรารู้ว่าเด็กรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาให้ได้ มองให้เห็นถึงความรู้สึกเขา”

“เปรียบเทียบเช่นเด็กมาเล่าว่าโดนเพื่อนแกล้ง เราต้องเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนโดนเพื่อนแกล้งไม่เป็นไร แต่บางคนโดนเพื่อนแกล้งแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย เราจะบอกว่า…โดนเพื่อนแกล้งเป็นเรื่องธรรมดา!!…กับเด็กทุกคนไม่ได้ คำถามที่ควรถามต่อ คือ เพื่อนแกล้งแล้วรู้สึกอย่างไร โกรธเพื่อนไหม รู้สึกกลัวใช่ไหม ถ้าอยากจะสอนหรือเเนะนำอะไรก็สามารถทำได้ แต่ขั้นแรกที่อยากให้ยึดไว้ คือ ต้องฟังและเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวเขาให้ได้ก่อน”

อย่างไรก็ตาม โดมย้ำว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ การไม่โยนบาปให้กับเด็ก ปรากฎการณ์ที่เป็นปัญหาบางอย่างอาจเกิดขึ้นจากระบบที่ขาดการจัดการ หลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก หรือครูที่ไม่ได้ปรับตัวให้เท่าทันความเป็นไปของโลก ส่งผลให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างจนโรงเรียนไม่สามารถรับมือกับเด็กได้  

“การมองแบบนี้มาจากระบบ ค่านิยมและการประเมินที่ผิด การบำบัดไม่ใช่การลงโทษ ผมเลยอยากสร้างความรู้และให้ข้อมูลเท่าที่พอทำได้ กระบวนการตรงนี้ยังต้องการการจัดการเชิงระบบที่เปิดกว้างและพร้อมปรับตัวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง” โดม กล่าว

Tags:

การสื่อสารบาดแผลทางจิตใจการบำบัดแบบไม่นำทาง (Non-directive)สุขภาพจิตศิลปะบำบัดนักจิตวิทยาโรงเรียน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • IMG_3795
    Healing the trauma
    เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    เยียวยาโดยไม่ยึดติดกับบทบาท

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the trauma
    จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ให้รักเป็นบทกวีชั่วชีวิต : เมื่อมรดกครอบครัวคือการส่งต่อความเชื่อที่ฝังหัว
Book
21 May 2022

ให้รักเป็นบทกวีชั่วชีวิต : เมื่อมรดกครอบครัวคือการส่งต่อความเชื่อที่ฝังหัว

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • ให้รักเป็นบทกวีชั่วชีวิต เป็นหนังสือคอมิกของสำนักพิมพ์ไก่3 เขียนโดย สะอาด นักเขียนการ์ตูนอิสระที่เคยคว้ารางวัลเหรียญเงินจากการประกวดการ์ตูนระดับนานาชาติ  (International Manga Awards ครั้งที่ 5) ที่ประเทศญี่ปุ่น
  • แม้จะเป็นการ์ตูน แต่เนื้อหาและสไตล์การเล่าเรื่องของสะอาดกับให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งดูหนังสั้นดี ๆ สักเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวการเติบโตของตัวละครผ่านความอ่อนหวานขมปร่าของความรักและความทรงจำภายใต้บริบทของสังคมไทย

ให้รักเป็นบทกวีชั่วชีวิต เป็นหนังสือเล่มล่าสุดของ สะอาด ธนิสร์ วีระศักดิ์วงศ์ นักเขียนการ์ตูนชื่อดังวัย  31 ปี เจ้าของเพจ ‘Sa-ard สะอาด’ ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1.7 แสนคน และเคยคว้ารางวัลเหรียญเงินจากการประกวดการ์ตูนระดับนานาชาติ  (International Manga Awards ครั้งที่ 5) ที่ประเทศญี่ปุ่น

แม้ปกหลังของหนังสือเล่มนี้จะระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นหนังสือภาคต่อของ ‘บทกวีชั่วชีวิต’ ที่ขายดิบขายดีจนผมหาซื้อไม่ได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการอ่านใดๆ ทั้งสิ้น

สะอาดเปิดเรื่องด้วยเรื่องราวของสองแม่ลูกที่เดินทางมายังร้านขายของมือสองกึ่งคาเฟ่แห่งหนึ่งซึ่งมีคอนเซปต์แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาของมือสองที่แพงหูฉี่ หรือบริการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของสินค้ามือสองทุกชิ้นแก่ผู้ที่สนใจ

“ของมือสองทุกชิ้นในร้าน มองเผินๆ อาจจะรู้สึกว่าก๊องแก๊งไร้ค่า แต่จริงๆ มันบรรจุเรื่องราวเจ้าของเดิมเอาไว้ ทั้งเรื่องที่สนุกสนานตื่นเต้น ขมปี๋แสนหวาน หรือบันดาลใจ คุณเอาสิ่งใดๆ ในร้านมาหาผม ผมจะเล่าเรื่องราวของมันให้ฟัง นั่นแหละคือสิ่งที่ผมขาย” 

เมื่อกวาดสายตามองชั้นวางของภายในร้าน สังเกตว่าสิ่งของที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นแมวราคา 20 ล้านบาท / จอยสติ๊ก (อุปกรณ์บังคับสำหรับเล่มเกม) / เครื่องบันทึก VDO รวมไปถึง ‘กุญแจรถ’  ที่มองผิวเผินอาจดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วกุญแจดอกนี้ได้ไขความลับของตัวละครและไขความรู้สึกบางอย่างในใจของผมเช่นกัน

กุญแจรถเดิมทีเป็นของเถ้าแก่ร้านทองที่หาดใหญ่ เถ้าแก่มีลูกสี่คน ได้แก่ ลูกสาวคนโต ตามด้วยลูกชายอีกสามคน

เมื่อลูกสาวเติบใหญ่ขึ้น เธอจำต้องทำงานอย่างหนักเพื่อส่งน้องๆ เรียน ควบคู่ไปกับการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน กระทั่งน้องชายทุกคนเรียนจบ ต่างคนต่างมีครอบครัว

ลูกสาวคนโตก็เช่นกัน เธอได้พบรักกับชายคนหนึ่งซึ่งแม้ภายหลังจะเลิกรากัน แต่เธอก็ได้เป็นแม่ของเด็กสามคน และยังคงใช้ชีวิตอยู่ในร้านทองต่อไป กระทั่งวันที่เธอไม่คาดคิดมาถึง

วันนั้นเป็นวันที่เถ้าแก่ร้านทองเสียชีวิต เธอกลับพบว่าพ่อไม่ได้ให้มรดกเธอเลยสักนิด เพียงเพราะเธอเป็น ‘ลูกสาว’

ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนเช่นกัน อยากบอกว่าเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศของชาวจีนยุคก่อนเป็นปัญหาสุดคลาสสิกของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ เพราะคนจีนยุคก่อนเติบโตมากับชุดความคิดที่ว่า “ลูกชายคือคนใน ลูกสาวคือคนนอก” หรือแปลตรงๆ คือลูกสาวคือคนที่ต้องแต่งงานออกนอกตระกูล ดังนั้นวัฒนธรรมจีนจึงให้ความสำคัญกับ ‘ลูกชาย’ ที่เป็นผู้สืบทอดสกุลมากกว่า

หรือแม้แต่ตอนที่ปู่ของผมเสียชีวิต ผมก็เห็นการแบ่งศักดิ์แบ่งลำดับเกิดขึ้นในพิธีกงเต๊ก (การทำบุญงานศพของชาวจีน) โดยลูกสะใภ้จะถูกจัดลำดับให้ยืนอยู่ก่อนลูกสาวแท้ๆ ซึ่งสะท้อนมุมมองของคนจีนที่มีต่อลูกสาวได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นลูกสาวเถ้าแก่ร้านทองจึงเป็นเหยื่อของกับดักทางวัฒนธรรมไปโดยปริยาย และแน่นอนว่าพอเธอถามหาความยุติธรรม หรือขอความช่วยเหลือจากน้องๆ ปรากฏว่าทุกคนกลับมีข้ออ้างสารพัดโดยไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือหรือเป็นเดือดเป็นร้อนกับเธอสักคน

วันหนึ่งเธอจึงขโมยรถหรูของพ่อผู้ล่วงลับพร้อมหอบลูกทั้งสามหนีจากหาดใหญ่ไปอยู่นครสวรรค์ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น

เมื่อไม่ได้มีเงินกงสีแบบสมัยก่อน เธอจึงเข้มงวดกับลูกๆ ทั้งสาม ที่ประกอบด้วย ไก่ ก็อต และกร ตามลำดับ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีมุมมองและปมในใจที่ต่างกันออกไป โดยเฉพาะลูกชายคนกลางอย่างก็อตที่ถูกแม่ตัดขาดและกลายเป็นลูกชายที่แม่ไม่ยอมรับเพียงเพราะเขาเป็นเกย์
ผมรู้สึกสงสารก็อตมากและอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าในเมื่อแม่ไม่พอใจที่อากงแบ่งสมบัติให้เฉพาะลูกชายตาม ‘ความเชื่อ’ ของอากง แต่พอเธอมีลูกเป็นเกย์บ้าง เธอกลับเอา ‘ความเชื่อ’ เรื่องเพศสภาพของเธอมาตัดสินลูกว่าลูกมีปัญหาทางจิต จนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นตัดแม่ตัดลูก

ผมมองว่าแม้แม่จะเป็นคนที่เคยผ่านเรื่องราวความยากลำบากมามากมาย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่แม่นำเอาความเชื่อของตัวเองมาตัดสินลูกแบบนั้น เพราะสุดท้ายตัวละครแม่ในเรื่องก็ไม่ต่างอะไรกับอากงที่แบ่งสมบัติให้ลูกๆ ตามความเชื่อของตัวเองเช่นกัน

เวลาดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ แม่ตัดขาดลูกทั้งไก่และก็อต มีเพียงกรเท่านั้นที่อยู่เป็นลูกรักตราบจนแม่เสียชีวิต 

ในงานศพแม่ ลูกทั้งสามได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก่อนทำตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของแม่ นั่นคือการนำจดหมายสั่งเสียและรถที่แม่ขโมยอากงไปคืนญาติที่หาดใหญ่ 

ผมชื่นชอบการวางโครงเรื่องของสะอาดที่พี่น้องสามคนต้องมาเดินทางไปหาดใหญ่ ทำให้ทั้งหมดมีโอกาสเคลียร์ปมในใจหลายๆ อย่าง เช่นตอนที่ ‘ก็อต’ เหน็บแนมน้องคนเล็กอย่าง ‘กร’ ว่ากรเป็นลูกรักเลยไม่โดนแม่ต่อว่าหรือเข้มงวด กรจึงสวนกลับไปว่าเป็นเพราะเขาเกิดจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ต่างหาก (ซึ่งทุกคนในครอบครัวรู้ดี) ดังนั้นกรจึงต้องทำตัวอยู่ในกรอบที่แม่วางไว้ทุกอย่างเพื่ออยากชดเชยให้กับ ‘บาป’ ที่เขาดันเกิดมาเป็นภาระของทุกคน 

เมื่อสามพี่น้องเดินทางถึงบ้านหลังโตที่หาดใหญ่ ‘อาแปะ’ (น้าชาย) ได้ต้อนรับพวกเขาตามมารยาท แต่ก็ไม่วายกล่าวเหน็บแนมคนตายอย่างน่ารังเกียจ 

“มันก็คงเป็นกรรมแหละเนอะ ที่แม่พวกลื้อต้องมาเจอโรคร้ายไปก่อนไง คงเป็นกรรมที่เค้าอกตัญญู หนีตระกูลไปเมื่อหลายปีก่อนแน่ๆ”

นอกจากจะพูดจาไม่น่ารัก การกระทำของอาแปะตอนนำอั่งเปามาแจกหลานทั้งสามคนก็มีนัยยะสำคัญเช่นกัน เมื่อหลานสาวอย่าง ‘ไก่’ พบว่าตัวเองได้เงินน้อยกว่าน้องชายทั้งสอง

“เดี๋ยวๆ ฮะแปะ ทำไมได้น้อยกว่าก็อตเยอะเลยง่ะ”

“หืม? แล้วทำไมถึงต้องให้เท่ากันด้วยล่ะ?”

หลังอ่านบทสนทนานี้ ผมถอนหายใจเบาๆ ใจหนึ่งก็สงสารไก่ที่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจว่าอาแปะเองก็ถูกวัฒนธรรม ‘ชายเป็นใหญ่’ สปอยล์มาตั้งแต่เด็ก แถมการถูกสปอยล์นั้นก็ทำให้อาแปะได้มรดกและเงินทองมากมาย ดังนั้นเมื่อไม่เสียประโยชน์อะไร การที่อาแปะจะให้ค่าหลานสาวน้อยกว่าหลานชายจึงกลายเป็น ‘ความชอบธรรม’ ในสายตาของอาแปะ

อย่างไรก็ตาม ผมกลับรู้สึกดีใจที่ก็อตและกรแสดงปฏิกิริยาต่อต้านการกระทำของอาแปะทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงทั้งคู่จะเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการ ‘ด้อยค่า’ ผู้หญิงตามความเชื่อของคนจีนรุ่นก่อน  

นอกจากนี้ ในฉากสุดท้ายที่พูดถึงจดหมายสั่งเสียของแม่ นอกจากพูดถึงน้องๆ อย่างเจ็บแสบแล้ว แม่ยังฝากข้อความถึงลูกทั้งสามสั้นๆ ว่า 

“ถึงไก่ ก็อต และกร แม่ขอโทษ หากชาติหน้ามีจริง อยากไปเดินเล่นริมทะเลกับทุกคนอีกครั้ง รัก” 

ผมรู้สึกว่าเป็นการปิดเรื่องได้อย่างงดงาม เพราะไม่เพียงสะท้อนว่าแม่ได้ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนมักมองข้าม) แต่ในความผิดพลาดนั้นเธอยังคงรักลูกทุกคนและหวังว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสแก้ตัวในฐานะ ‘แม่ที่มีอยู่จริง’ ของลูกสักครั้ง

Tags:

ครอบครัวเป็นบทกวีชั่วชีวิตSa-ard สะอาด

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.3’ในวันที่โลกเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับเห็นอกเห็นใจกันน้อยลง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Pachinko (2022): อ่านผู้หญิงเกาหลีในนาม ‘ซุนจา’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Everyone can be an Educator
    มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • MovieLife classroom
    Losers EP.1 ไมเคิล เบนท์: น็อกเอาต์ไม่เท่ากับแพ้ ล้มเพื่อลุกขึ้นมามีความสุขกับชีวิตที่เลือกเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

กรุงเทพฯควรเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน: หนึ่งเสียงจาก First Time Voter พ้อย-พลอยวรินทร์ ชิวารักษ์
Voice of New Gen
19 May 2022

กรุงเทพฯควรเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน: หนึ่งเสียงจาก First Time Voter พ้อย-พลอยวรินทร์ ชิวารักษ์

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯครั้งที่ 11 หลังจากห่างหายไปเกือบ 10 ปี ซึ่งน่าสนใจว่าคนเจเนอเรชันใหม่จะมีความคาดหวังอย่างไรทั้งต่อการเลือกตั้งและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในอนาคตอันใกล้
  • ชวนคุยกับ‘พ้อย-พลอยวรินทร์’ ที่มาสะท้อนเสียงของ First Time Voter ซึ่งเธอบอกว่า “ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ อยู่วัยไหน เสียงของเรามีความหมายเท่ากัน”
  • ตอนนี้กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นที่ปลอดภัยและอยู่สบายสำหรับทุกคน ซึ่ง ‘พ้อย’ ก็คาดหวังว่ากรุงเทพฯ ควรจะเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ให้สมกับสโลแกน ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว’

“เราเห็นคำว่า ‘ประชาธิปไตยกับการเลือกตั้ง’ ในหนังสือเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ และในที่สุดวันนี้มันก็กำลังจะมาถึงแล้ว”

‘พ้อย-พลอยวรินทร์ ชิวารักษ์’ นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) พูดถึงความรู้สึกของตัวเองกับการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตของเธอ

การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯครั้งที่ 11 หลังจากห่างหายไปเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้หย่อนบัตรเป็นครั้งแรก (First Time Voter) กว่า 6 แสนคน ซึ่งน่าสนใจว่าคนเจเนอเรชันใหม่เหล่านี้ มีความคาดหวังอย่างไรทั้งต่อการเลือกตั้งและผู้ที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในอนาคตอันใกล้

The Potential ชวน ‘พ้อย-พลอยวรินทร์’ มาสะท้อนเสียงของ First Time Voter ซึ่งเธอบอกว่า…ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ อยู่วัยไหน เสียงของเรามีความหมายเท่ากัน

 “จริงๆ แล้วคนในทุกเจเนอเรชัน สามารถส่วนร่วมทางการเมืองได้ในทุกๆ วัน เพราะทุกย่างก้าวที่เราใช้ชีวิต ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมด” 

การเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต

‘พ้อย’ เล่าให้ฟังว่า เธอตื่นเต้นมากกับการเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งเธอก็หาข้อมูลของผู้สมัครและนโยบายจากแหล่งต่างๆ ทั้งตามสื่ออินเทอร์เน็ต และจากการสอบถามคนใกล้ตัว 

“เราถามพ่อแม่ว่าเราจะต้องเช็กชื่อ เช็กสิทธิ์การเลือกตั้งยังไงบ้าง เพราะเราก็ไม่เคยเลือกตั้งมาก่อน แล้วก็ไปดูว่าผู้สมัครแต่ละคนเขามีนโยบายอะไรบ้าง ที่เขาโปรโมตกันในป้ายหาเสียงและตามรายการ ซึ่งช่วงนี้เราก็ดูดีเบตของผู้สมัครแต่ละคนทั้งไลฟ์ยูทูปและรายการต่างๆ ว่าเขาตอบปัญหายังไง มีทัศนคติอย่างไรในแต่ละเรื่อง และมีแนวทางการแก้ไขปัญหายังไง”

“จริงๆ แล้วเราก็เห็นคำว่า ‘ประชาธิปไตยกับการเลือกตั้ง’ ในหนังสือเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ และในที่สุดวันนี้มันก็กำลังจะมาถึงแล้ว เราเลยตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะหาข้อมูลมากๆ”

คุณสมบัติของผู้ว่าฯ กทม. ที่ควรมี

“สำหรับพ้อย ข้อหนึ่งคือ ต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ถ้าผู้ว่าฯ พูดแค่ ผมรักกรุงเทพฯ ผมขยัน ใครๆ ก็พูดได้ พ้อยก็พูดได้ แต่ถ้าคุณรักกรุงเทพฯ จริง อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กรุงเทพฯ จริง ก็ต้องทำให้เราเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ 

การที่สามารถให้ประชาชนตรวจสอบได้ว่า ผู้ว่าฯ ทำอะไรมาบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเอางบประมาณ ทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรต่างๆ ไปใช้อะไรบ้าง ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันเป็นเชิงประจักษ์ที่สามารถเห็นได้เด่นชัด 

ข้อสองคือ ผู้ว่าฯ ควรจะเป็นคนที่มองเห็นปัญหา สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เช่น เมื่อเห็นว่าเรามีงบประมาณสำหรับซ่อมแซมทางเท้าทุกๆ ปี แต่ทำไมเราถึงยังประสบปัญหาทางเท้าที่พื้นไม่เรียบ และการที่ก็มีงบอยู่แล้วแต่ยังคงเกิดปัญหาวนซ้ำแบบนี้เพราะอะไรกันแน่

เราอยากได้ผู้ว่าฯ ที่มาแก้ปัญหาได้โดยที่มองลึกไปถึงต้นตอของปัญหาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแก้ไขปัญหาแบบผิวเผิน เพราะไม่ใช่ทุกปัญหาจะแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มงบประมาณ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะมาแก้ไขด้วย

ข้อสามคือ ผู้ว่าฯ ควรจะเห็นความสำคัญของประชาชนทุุกคน เพราะการเป็นผู้ว่าฯ หรือการเป็นนักการเมืองก็ควรที่จะเห็นคุณค่าเสียงของประชาชนทุกคน ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

เพราะประชาชนไม่ได้มีแค่วัยทำงานที่ทำงานจ่ายภาษี แต่ว่าประชาชนยังรวมถึงนักเรียน นิสิตนักศึกษา คนพิการ และคนชรา ซึ่งคนแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการของตัวเองที่แตกต่างกัน และต้องการสวัสดิการที่เหมาะสม”

ความคาดหวังต่อการเลือกตั้งครั้งนี้

“นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของเรา สิ่งที่คาดหวังเป็นอันดับแรกคือ ‘ความโปร่งใสในการเลือกตั้ง’ เพราะประชาชนทุกคนเขาอุตส่าห์ออกไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้ง เราก็คาดหวังว่าจะมีการนับคะแนนที่โปร่งใส และปัญหาเดิมๆ ที่เราเจอตั้งแต่สมัยเรายังอยู่มัธยมต้น แล้วยังคงพบเจอมันอยู่ตอนนี้ในวัยมหาลัยก็ควรจะถูกแก้ได้แล้วเสียที”

ในฐานะที่ ‘พ้อย’ เป็นหนึ่งในเด็กเจเนอเรชันใหม่ และเห็นปัญหาเดิมๆ ที่เธอพบมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เธอมองว่าปัญหาในกรุงเทพฯ ที่ยังไม่ถูกแก้นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เธอคาดหวังคือ ‘การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ในกรุงเทพฯ’ ให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อที่กรุงเทพฯ จะสามารถเป็นเมืองที่ปลอดภัยและเหมาะสำหรับทุกคน 

“ทุกครั้งที่เราเดินออกจากบ้าน เราก็ควรจะรู้สึกว่าเราจะไม่ได้รับอันตรายระหว่างทาง และ ‘ปลอดภัย’ ที่จะใช้ชีวิตข้างนอก สามารถสบายใจได้ว่า ถ้าเราเดินออกไปเราจะไม่เดินตกท่อ จะไม่เดินสะดุดทางเท้า หรือทางที่ทำไว้สำหรับคนพิการก็ไม่ฟังก์ชันมากพอ เพราะเขาจะใช้งานพื้นที่นั้นยังไง ในเมื่อเขาต้องอ้อมและลงถนนใหญ่มาอยู่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาแบบผักชีโรยหน้ามากๆ 

หรือเรื่องไฟตามทางเดิน ที่แม้กระทั่งใจกลางเมืองก็สว่างไม่เพียงพอ มันมืดจนสร้างความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยให้กับประชาชน กลายเป็นว่าแทนที่จะรู้สึกปลอดภัยที่จะเดินไป เพราะเราและหลายๆ คนก็คงไม่กล้าเดินในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ”

ผู้ว่าฯ กทม. ควรผลักดันหรือส่งเสริมเรื่องใดเป็นพิเศษ

“จริงๆ เรื่องที่ควรผลักดันอย่างแรกคือการทำให้คนรู้สึกได้ว่า ‘การมีประชาธิปไตยมันดี’ แต่ว่าจริงๆ หลายคนก็อาจจะรู้สึกได้บ้างแล้วจากการโหยหาการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ไม่มีมานาน 

ซึ่งเราก็เห็นนโยบายของผู้สมัครบางท่านที่บอกว่าจะจัดพื้นที่การชุมนุม ก็นับเป็นวิสัยทัศน์หนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นว่าเขาเห็นคุณค่าและความสำคัญของประชาธิปไตย เพราะเมื่อการเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยเกิดขึ้น หลายๆ อย่างก็จะตามมา เช่น ความโปร่งใสตรวจสอบได้ พอตรวจสอบได้เขาก็จะรู้สึกว่ามีคนจับจ้องการทำงานของเขาอยู่ ทำให้ต้องเดินไปในทางที่ถูกต้องเท่านั้น”

อีกหนึ่งเรื่องที่ ‘พ้อย’ มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ระดับโครงสร้างคือการที่กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองนายทุนแทบจะสมบูรณ์ ซึ่งเธอคาดหวังว่าผู้ว่าฯ คนใหม่จะสามารถผลักดันและส่งเสริมธุรกิจรายย่อยของพ่อค้าแม่ค้าในกรุงเทพฯ ให้อยู่รอดในเมืองหลวงแห่งนี้ได้

“เรามองไปทางไหนก็เป็นของนายทุนไปหมด แทบไม่มีพื้นที่หรือ space ให้คนมานั่งทำงานหรือพื้นที่ให้คนทำมาหากิน

อย่างปัญหาการไล่พ่อค้าแม่ค้าบนทางเท้า ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นการจัดระเบียบ แต่พอไล่แล้วเขาก็ไม่ได้มีพื้นที่อื่นรองรับให้พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นมีพื้นที่ทำกิน เขาไม่รู้ว่าจะไปขายของที่ไหน กลายเป็นว่าสุดท้ายก็ต้องดิ้นรนที่จะขายของในพื้นที่เดิม จนต้องติดสินบนเทศกิจ มีการไล่ที่ร้านค้า ร้านอาหาร ชุมชนต่างๆ ที่เขาอยู่ของเขากันมานานแล้ว จนร้านเหล่านั้นแทบจะหายไปเกือบหมด แล้วพ่อค้าแม่ค้า คนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมเขาจะอยู่ยังไง เพราะกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่คน Upper-Middle Class อย่างเดียวนะ มันยังมีคนอื่นที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ให้รอดด้วย แต่กลายเป็นว่าคุณกำลังบีบบังคับไม่ให้คนจนใช้ชีวิตที่นี่ แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน”

ข้อเสนอต่อผู้ว่าฯ คนใหม่ในมุมของนิสิต-นักศึกษา

“ในมุมมองของนิสิตแบบเรา เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาจากการที่กรุงเทพเป็นเมืองนายทุนคือ เรารู้สึกว่าในกรุงเทพฯ มี Space ดีๆ เดินทางสะดวก โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก จำนวน Co-working Space เมื่อเทียบกับจำนวนนิสิตนักศึกษาที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เหล่านี้ก็ไม่เพียงพอ เวลาเราจะนัดกันทำงานทีนึง ที่ๆ ไปก็คนแออัดมาก หรือบางครั้งก็เต็ม ไม่มีที่นั่ง” 

สิ่งเหล่านี้เกิดเป็นภาพชินตาที่เรามักจะเห็นนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่มาอ่านหนังสือ ทำงานกลุ่ม หรือนัดคุยงานกันตามร้านกาแฟในห้าง 

“ร้านกาแฟที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันก็มีแต่ร้านกาแฟในห้างอีก พวกเราต้องรับภาระค่าใช้จ่ายกาแฟแพงๆ เพื่อแลกพื้นที่ในการนั่งทำงานที่ควรจะมีฟรีๆ ด้วยซ้ำ

เราก็คิดว่าก็ควรมีพื้นที่ที่ส่งเสริมการทำงานของคนเหล่านี้มากขึ้น แต่สุดท้ายในความเป็นจริงแล้วก็แทบไม่มีเลย มันไม่ส่งเสริมหรือเอื้อให้กับเราเลย เราก็มานั่งคิดว่า แล้วงบประมาณจัดสรรในจุดนี้มันหายไปไหนหมด”

พ้อยได้แชร์มุมมองว่า หากกรุงเทพฯ ไม่มีการทุจริต นโยบายและแคมเปญต่างๆ คงเกิดขึ้นจริงทุกอย่างไปแล้ว รวมถึงปัญหาช่องว่างระหว่างสังคมก็คงจะลดน้อยลงด้วย

“กรุงเทพฯ มีไอเดีย มีแคมเปญเยอะมากที่บอกว่าจะรณรงค์ส่งเสริมนู่นนี่นั่น แต่พอจะทำจริงๆ ถามว่าทำได้ไหม สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ถ้าเราอยากรณรงค์ให้ประชาชนทำอะไร คุณก็ต้องเสิร์ฟสิ่งนั้นให้เขาสิ ต้องมีการเตรียมตัวเอื้ออำนวยเพื่อให้การรณรงค์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่รณรงค์แต่เพียงปากเปล่า”

“นโยบายที่ทำต้องเกิดได้จริง ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชุมชนต้องทำให้น้อยลง ดูจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาก็มีแต่คนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องดิ้นรน มีคนติดโควิดเสียชีวิตข้างถนน พ่อค้าแม่ค้าประสบปัญหาเศรษฐกิจจนถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี

ยังไงนายทุนเขาก็ไม่เจ๊ง เพราะเขาอยู่ในเมืองที่เอื้อเขามากๆ แม้เขาจะขาดทุนเขาก็ยังอยู่ได้ แต่พ่อค้าแม่ค้าที่หาเช้ากินค่ำทำแบบนั้นไม่ได้ โครงสร้างต่างๆ ที่มีในตอนนี้ทำให้เราต้องง้อนายทุน กลายเป็นว่านายทุนก็ยิ่งร่ำรวย ส่วนคนจนจริงๆ ก็ถูกกดลงมาเรื่อยๆ ไม่มีที่ให้เขาอยู่”

‘กรุงเทพ’ เมืองท่องเที่ยว ที่คนกรุงเทพฯ ไม่อยากออกไปเที่ยว?

“เราคิดว่าเสน่ห์ของกรุงเทพมันลดน้อยลงไป ตราบใดที่ห้างเข้ามาเรื่อยๆ และยังคงเจอร้านเครือนายทุนทุกๆ 5 นาที เหมือนตอนนี้เราไม่ได้เข้ากรุงเทพ แต่เราเข้าเมืองห้าง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เราเข้ามาในกรุงเทพฯ มันมีอะไรที่โดดเด่น อะไรที่มันกิมมิก เป็นชุมชน มีความเป็นวัฒนธรรมและเก่าแก่บ้าง ในเมื่อคุณทำลายมันไปหมดแล้ว และพยายามสร้างสิ่งจำลองขึ้นมา เป็น Fake Bangkok ที่ไม่สามารถทดแทนสิ่งหายไปได้ และไม่ได้สร้างความรู้สึกที่อยากจะมากรุงเทพฯ เพื่อมาเที่ยว

อีกทั้งภาพในกรุงเทพฯ โดยทั่วไปไม่น่าเดินเลย เวลาที่มองออกไป ไม่ใช่แค่เรื่องปัจจัยเรื่องสภาพอากาศนะ แต่มันคือมวลแวดล้อมโดยรวมที่ไม่น่าเดินอย่างเช่น ต้องมาเดินหลบเสาไฟ ทางเท้าขรุขระ หรือจะเดินทางก็ยากลำบาก

สำหรับเรา คิดว่า Facility มันแย่จนไม่อยากเดิน นอกจากนี้เรารู้สึกว่าเสน่ห์ของกรุงเทพฯ มันค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ เราเกิดคำถามว่า ‘อะไรคือเสน่ห์ของกรุงเทพฯ’ และการดึงเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ขึ้นมาจริงๆ ต้องทำยังไง 

เพราะการที่เราจะเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ที่ไม่ใช่แลนด์มาร์กในกรุงเทพฯ ซักทีก็เดินทางยาก เพราะการคมนาคมไม่เอื้ออำนวย ก็เหมือนแคมเปญรณรงค์นั่นแหละ  ที่เห็นว่าน่าทำนะ แต่พอทำจริงๆ แล้วมันก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ควรมาแก้ไขปัญหาในจุดนี้ด้วย”

พ้อยเสริมว่า อยากให้ผู้ว่าฯ ส่งเสริมเรื่องศิลปวัฒนธรรมและการสร้างอาชีพ เพราะจริงๆ ในประเทศไทย ความสวยงามส่วนหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 

“มีอาชีพน้อยมากที่อยู่ได้จริงๆ ในประเทศนี้ แม้แต่สายวิทยาศาสตร์เอง นักวิทยาศาสตร์ในไทยก็ไม่ได้รับการสนับสนุนมากพอ การวิจัยต่างๆ ก็เป็นไปได้ลำบาก ยิ่งสายศิลปะก็อยู่ยาก สายสื่ออย่างเราเองถ้าไม่ได้รับงบประมาณก็อยู่ลำบาก คุณจะคาดหวังให้อาชีพต่างๆ เติบโตได้ยังไงในเมื่อคุณไม่ได้สนับสนุนอะไรเลย”

“ตอนนี้กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นที่ปลอดภัยและอยู่สบายสำหรับทุกคน เราก็คาดหวังว่ากรุงเทพฯ ควรจะเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ให้สมกับสโลแกน ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว’ และเราก็คาดหวังว่าผู้ว่าฯ จะช่วยเอาชีวิตดีๆ นั้นมาให้เราซักที”

ข้อความจาก พ้อย-พลอยวรินทร์ ถึงผู้ว่าฯ กทม.ในอนาคต

“ยินดีด้วยนะคะที่ได้เป็นผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างโปร่งใส ก็หวังว่านโยบายที่หาเสียงในปีนี้ จะไม่ถูกพูดถึงอีกในวาระหน้า หวังว่าจะเป็นนโยบายที่ทำสำเร็จจริงๆ เราไม่ได้อยากฟังนโยบายซ้ำๆ ที่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวาระ ถ้าหากนโยบายเหล่านั้นสำเร็จจริงๆ ได้ก็คงจะดี

และอยากให้คุณเคารพประชาชน เพราะประชาชนเป็น ‘เจ้าของอำนาจ’ เพราะหน้าที่ของผู้ว่าฯ และข้าราชการคือ ‘การรับใช้ประชาชน’ ไม่ใช่การรับใช้ขั้วอำนาจหรืออำนาจเก่า”

ฝากถึงคนกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิในการเลือกตั้งครั้งนี้

“เราก็ไม่ได้เลือกตั้งกันมาราว 10 ปี ก็เป็นเวลาที่นานมากพอที่เด็กคนหนึ่งจะเกิดมาและเข้าโรงเรียนประถมได้เลย 

ดังนั้นก็อยากให้ทุกคนใช้สิทธิใช้เสียงของตัวเองอย่างเต็มที่ แสดงพลังให้เขารู้ว่าเสียงของประชาชนมีความหมาย เพราะการที่เราได้มีสิทธิเลือกผู้ว่าฯ ก็แปลว่าการทำงานของเขาต้องใส่ใจเสียงของเรา การใช้สิทธิของเราจะเป็นการทำให้เขารู้ว่าการที่เข้ามาด้วยเสียงของประชน เขาก็ต้องรับใช้ประชาชน ถึงแม้ว่าเราจะเดินออกจากบ้านด้วยความไม่ปลอดภัยและรถติด แต่เราก็จะไปถึงคูหาและเลือกตั้งให้ได้”พ้อยได้ทิ้งท้ายไว้ว่า จริงๆ แล้วคนในทุกเจเนอเรชัน สามารถส่วนร่วมทางการเมืองได้ในทุกๆ วันของชีวิต เพราะทุกย่างก้าวที่เราใช้ชีวิต ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมด

“ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ก็ควรจะมี Awareness กับเรื่องนี้ ควรจะรับรู้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่กับการเมือง ซึ่งเราจะมีส่วนร่วมการการเมืองยังไงได้บ้าง

ข้อแรกที่เราเรียนมาจากหนังสือหน้าที่พลเมือง ก็คือเราต้อง ‘เลือกตั้ง’ ตอนเด็กๆ ก็อาจจะเป็นการเริ่มต้นด้วยการเลือกตั้งหัวหน้าห้อง ประธานนักเรียน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของพลเมือง ที่เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบบ 

ข้อสองคือเราต้องสามารถ Voice out ได้ อย่างน้อยเราต้องสามารถ Report ได้ หากพบเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และส่งเสียงของเราออกมา เพราะเสียงของเราทุกคนมีความหมาย ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ อยู่วัยไหน แต่เสียงของเราก็มีความหมายเท่ากัน

อีกข้อคือการเข้าร่วมในการชุมนุม ซึ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะในเมื่อเรามีการชุมนุม ก็แปลว่าเรามีสิ่งที่เราอยากเรียกร้อง อย่าง ณ ตอนนี้เราก็เรียกร้องกันหลายประเด็นมากๆ มันหลากหลายและสามารถทำได้หลายทางมาก 

อย่างน้อยการมี Awareness และบอกเล่าให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ว่าตอนนั้นมีการต่อสู้แบบนี้เกิดขึ้นอยู่นะ มีปัญหานี้นะ เราว่ามันก็เป็นการช่วยได้ประมาณหนึ่ง และเราก็คิดว่าทุกคนล้วนมีความสามารถในการจะทำสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไป”

Tags:

เลือกตั้งกรุงเทพมหานครBangkokผู้ว่าฯFirst time Voter

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Dek-Hoo-Jak-Kuam_nologo
    Social IssuesTransformative learning
    ‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • somjukchana
    Life Long Learning
    ‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    ‘เปลี่ยนความพิเศษเป็นพลัง’ ลบคำว่า ‘สงเคราะห์’ ออกจากการศึกษาของเด็กพิเศษ: ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    Learning City พัฒนาเมืองสู่นิเวศแห่งการเรียนรู้ เปิดประตูสู่โอกาสที่ทุกคนเข้าถึงได้

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

ดีเกินไป ก็ใช่ว่าจะดี
How to enjoy life
17 May 2022

ดีเกินไป ก็ใช่ว่าจะดี

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • แน่นอนว่าการเชี่ยวชาญหรือรอบรู้ย่อมมีผลดีกับงาน สังคมมักจะบอกให้ ‘เรียนไปเถอะ’ ยิ่งรู้มากยิ่งดี แต่งานวิจัยกลับพบว่าการศึกษาให้รอบรู้เรื่องใดๆ จนเชี่ยวชาญมากเกินไปนั้นกลับมีผลเสียอยู่ด้วย
  • เช่นกันกับการมองโลกในแง่ดีจนเกินเหตุ มีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียกับงานได้ เพราะมักจะเตรียมตัวน้อยเกินไป คิดว่าทุกอย่างน่าจะลงเอยด้วยดีได้ และละเลยความเสี่ยงหรือผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นจนไม่ได้เตรียมแผนสำรองไว้
  • ทั้งนี้ การรู้ข้อเสียของการมีมากไปไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวหรือข้ออ้างที่จะไม่ปรับตัวเลย สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือความพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ซึ่งอาจจะหาจุดพอดีได้ยาก แต่ขอให้ตระหนักไว้ถึงเรื่องนี้ ก็น่าจะช่วยให้ตนเองอยู่ขอบเขตที่เหมาะสมได้พอสมควร

ตั้งแต่เด็กๆ เราได้รับการสั่งสอนอยู่เสมอให้เป็น ‘คนดีพร้อม’ ของสังคม เราถูกสอนว่านิสัยหรือบุคลิกบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น ขี้เกียจ มองโลกในแง่ร้าย เห็นแก่ตัว และอีกสารพัดอย่าง และให้หมั่นเป็นคนขยัน มองโลกในแง่ดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งหากทำได้แบบนี้ก็จะถือว่าเป็นคนในอุดมคติของสังคม นอกจากจะมีคนชื่นชมนับหน้าถือตาแล้ว ยังเชื่อได้เลยว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่สังคมสอนเรามาก็ไม่ผิดเสียทีเดียวครับ มีคุณลักษณะของ ‘คนดีพร้อม’ เพียงน้อยอย่างที่หากเราทำแล้วจะเกิดผลเสีย หลายคนก็เลยพยายามสุดๆ ในการปรับตัวให้เป็นคนดีพร้อมในทุกๆ ด้าน 

คำถามที่ตามมาคือ แล้วเราต้องขยันแค่ไหน เก่งแค่ไหน มีเมตตามากน้อยเพียงใด หากมองเผินๆ แล้วคำตอบก็คงไม่ยากนักก็คือ ของดีๆ แบบนี้ยิ่งมีเยอะสิยิ่งดี มีหรือที่มีบุคลิกหรือนิสัยดีๆ มากเกินไปแล้วจะมีข้อเสีย แต่สิ่งที่ดีนั้น มีเยอะไปก็ใช่ว่าจะดี ผมไปพบงานวิจัยของ Grant และ Schwartz นักจิตวิทยาชาวสหรัฐอเมริกาที่เขารวบรวมงานวิจัยจำนวนมากแล้วพบว่า ถึงจะเป็นนิสัย บุคลิก หรือลักษณะที่ดีก็ตาม แต่หากมีมากเกินไป มันกลับเกิดผลเสียต่อเจ้าตัวแทน

เป็นที่รู้กันดีในแวดวงจิตวิทยาว่า หลายๆ สิ่งหากมีแต่พอดีมันจะมีผลดีกับเรา แม้แต่สิ่งที่แย่ๆ อย่างความเครียด งานวิจัยพบว่าหากไม่มีความเครียดเลย คนเราจะทำงานได้ไม่ดี เพราะเหมือนกับไม่เอาจริงเอาจริงเท่าที่ควร พอไม่เครียดก็ไม่มีการบีบให้ตนเองขับศักยภาพที่แท้จริงมาใช้ แต่ในทางกลับกันถ้าหากเครียดมากจนเกินไป คนเราจะทำงานได้แย่ลง สมองจะตีบตันคิดอะไรไม่ออก กดดันจนทำอะไรไม่ถูก ลักษณะนี้เราเรียกกันว่า ‘ความสัมพันธ์แบบตัว U คว่ำ’ คือมีแต่พอดีจะที่สุด มีน้อยไปก็ไม่ดี มีมากไปก็ไม่ดีตามรูปด้านล่าง เรื่องนี้น่าจะคล้ายๆ กับที่ชาวพุทธรู้จักกันดีในชื่อ ‘หลักทางสายกลาง’ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป

แต่สิ่งดีๆ มีมากไปจะไม่ดีจริงหรือ เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่า นิสัย บุคลิกภาพ หรือคุณลักษณะที่ดีๆ เหล่านี้หากมีมากไปจะเกิดผลเสียได้ทั้งกับการงานและสุขภาพจิตอย่างไร

เก่งเกินไป เชี่ยวชาญเกินไป: แน่นอนว่าการเชี่ยวชาญหรือรอบรู้ย่อมมีผลดีกับงาน เหมือนที่เขาบอกว่า ‘มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน’ สังคมมักจะบอกให้ ‘เรียนไปเถอะ’ ยิ่งรู้มากยิ่งดี แต่งานวิจัยกลับพบว่าการศึกษาให้รอบรู้เรื่องใดๆ จนเชี่ยวชาญมากเกินไปนั้นกลับมีผลเสียอยู่ด้วย เพราะพอคนที่ศึกษาสิ่งใดจนเชี่ยวชาญมากๆ แล้ว มักจะมั่นใจมากเกินไปว่าตนสามารถนำความรู้ นำหลักการที่ที่มีไปใช้วิเคราะห์หรือทำนายผลได้ทุกอย่าง ให้ความสำคัญกับความรู้ตามตำราเกินควร ซึ่งผลเสียเพราะทำให้มองข้ามปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ระบุในตำรา มองข้ามสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ตนรู้จนตัดสินใจผิดพลาด เทียบกับคนที่รู้สึกว่าตนไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น ที่อาจจะสนใจเหตุผลที่เป็นไปได้อื่นๆ มากกว่า มีการมองหาจุดผิดพลาดมากกว่า

นอกจากนี้ การที่ตนเชี่ยวชาญสิ่งใดมากแล้ว ก็มักจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องพัฒนาทักษะหรือความรู้ของตนเองให้ดีขึ้นไปกว่านี้ แค่นี้ก็มากพอแล้ว ทำให้ไม่คอยติดตามความรู้วิทยาการใหม่ๆ ซึ่งทำให้กลายเป็นยึดแต่ความรู้ที่ล้าสมัยไปแล้ว

การเชี่ยวชาญเกินไปไม่เพียงแค่ส่งผลกับงานเท่านั้นนะครับ คนที่เก่งหรือเชี่ยวชาญมากๆ ก็มักจะมองหางานให้เหมาะกับความเชี่ยวชาญระดับสูงของตน จะให้ทำงานง่ายๆ แล้วเหมือนเสียดายสิ่งที่ตนเองรู้ แต่งานยิ่งระดับสูง ก็จะยิ่งยากเป็นปกติ และงานที่ยากมากๆ ถึงแม้จะทำได้หากเชี่ยวชาญ แต่มักจะสร้างความเครียดและความเหนื่อยล้าให้กับผู้ทำมากตามไปด้วย และอาจส่งผลให้คนกลุ่มนี้มีสุขภาพจิตที่แย่กว่าคนที่ไม่ได้ทำงานยากสุดๆ แบบนั้น

เป็นระเบียบเกินไป: ความเป็นระเบียบนั้นช่วยให้งานออกมาเรียบร้อยและไม่มีจุดผิดพลาด ต่อให้เก่งแต่งานไม่เรียบร้อยงานก็จะลดคุณค่าลงไป แต่หากเป็นระเบียบมากเกินไปนั้นจะส่งผลเสียกับการทำงานได้เหมือนกัน เพราะคนที่เป็นระเบียบมากเกินก็จะยึดติดกับ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ คือทุกกระเบียดนิ้วของงานนั้นต้องถูกต้อง แต่ในโลกความจริงแล้วมีงานเพียงน้อยอย่างที่เราทำให้มันถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่นิดเดียว หรืองานส่วนใหญ่นั้นต่อให้ผิดก็ค่อยแก้ไขทีหลัง หรือมีผลเสียไม่มาก พอจะยอมผิดได้บ้างเล็กน้อย การพยายามทำให้งานไม่มีจุดผิดเลยจะเสียเวลาเสียแรงกายแรงใจจนเกินไปไม่คุ้มค่ากับผลที่ได้รับ และงานก็ไม่เสร็จเสียที กลายเป็นทำงานหนักเกินไป เครียดเกินไป

งานหลายๆ อย่างนั้นนอกจากรายละเอียดที่ถูกต้องแล้ว ภาพรวมของงานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น ในด้านของธุรกิจสิ่งสำคัญคือภาพรวมของธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าย่อมมีจุดที่ขาดทุนจากบางส่วน เช่น จากการลองผิดลองถูก หรือส่วนที่ประเมินออกมาเป็นตัวเงินได้ยาก แต่หากคนที่ยึดกับระเบียบมากไป ก็จะพยายามอุดส่วนขาดทุนทุกๆ ที่จนลืมมองในภาพรวมว่าสุดท้ายได้ผลกำไรหรือไม่ ซึ่งทำให้เหมือนจับทิศจับทางหลักๆ ที่สำคัญไม่ได้ เพราะมัวแต่มองรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ไม่ดีของการทำธุรกิจ

มองโลกในแง่ดีเกินไป: เป็นที่รู้กันดีว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นมีผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมาก เพราะโลกเรานั้นมีด้านขาว ด้านดำ จะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเลือกมอง มองโลกในแง่ดีนั้นจะทำให้มีความหวังกว่า เครียดน้อยกว่า (อ่านเพิ่มเติมใน มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย: https://thepotential.org/life/personality-of-pessimism) แต่การมองโลกในแง่ดีจนเกินเหตุแม้จะมีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียกับงานได้ เพราะมักจะเตรียมตัวน้อยเกินไป เพราะคิดว่าทุกอย่างน่าจะลงเอยด้วยดีได้ และละเลยความเสี่ยงหรือผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นจนไม่ได้เตรียมแผนสำรองไว้ นอกจากนี้ยังอาจทำอะไรที่เสี่ยงต่อความเสียหายจนเกินไปด้วย เพราะเน้นแต่ด้านที่ประสบความสำเร็จ การลงทุนก็อาจจะเสี่ยงเกินตัวเพราะคิดว่าน่าจะกำไรแน่ๆ

นอกจากนี้คนที่มองโลกในแง่ดีเกินไป ก็มักจะไม่มองผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสุขภาพตัวเอง เช่น คิดว่าการดื่มเหล้า สูบบุหรี่คงไม่มีผลเสียที่จะเกิดกับตน โรคร้ายแรงก็ช่างมันปะไร ไม่ต้องคิดมาก ไม่ดูแลรักษาสุขภาพ และนั่นทำให้ปล่อยตัวเองจนมีสุขภาพกายแย่ลงจริงๆ ได้ และถ้าเจ็บป่วยร้ายแรงเมื่อไร ต่อให้มองโลกในแง่ดีขนาดไหนมันก็สุขใจยากจริงไหมครับ

ใจดีเกินไป: มีใครบ้างที่ไม่ชอบคนใจดี ผมคิดว่าไม่น่าจะมีนะ สังคมเองก็คอยสรรเสริญคนใจดีเสมอ แต่การใจดีมากไปนั้นก็ส่งผลเสียต่อตนเองได้ ในโลกการทำงานนั้นพบว่าคนที่ใจดีเกินไปมักจะต้องเสียแรงและเสียเวลาให้กับการไปช่วยงานของคนอื่นจนต้องเหนื่อยกับงานเกินเหตุ บางครั้งใครขออะไรก็ทำให้จนงานล้นมือ ทำงานตนเองไม่ทัน เกิดผลเสียกับงานตัวเองไปอีก ถึงคนที่เราช่วยจะชื่นชม แต่เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ หากงานตัวเองกลับไม่เสร็จ

นอกจากนี้การใจดีไป เป็นอุปสรรคในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ หากเป็นเจ้านายก็ไม่กล้าลงโทษลูกน้อง กลัวเขาจะทุกข์จะลำบากหากไปลงโทษ ใครมาร้องไห้ขอขมาอะไรก็ใจอ่อนให้อภัยหมด แบบนี้ที่ทำงานก็จะขาดระเบียบวินัย 

คนที่จิตใจอ่อนโยนเกินไป มักจะมีความทุกข์ใจมากกว่าคนอื่นๆ เพราะในโลกเรานั้นมีสิ่งที่ยากจะเรียกว่าดีอยู่เยอะ มีด้านมืดด้านชั่วร้ายของสังคมที่เราไม่อยากรู้ 

แต่มันก็ต้องรู้จนได้สักวันจากข่าวสารมากมาย เช่น การฆาตกรรม เหยื่อทารุณกรรม แก๊งมิจฉาชีพ จนถึงสงครามที่มีอยู่สม่ำเสมอ พอจิตใจอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากเกิน ไปรู้สึกเศร้าแทนคนที่เดือดร้อนเหล่านั้นทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องไม่ดีเหล่านี้ จนมีเรื่องมาให้เป็นทุกข์อยู่ทุกวัน

จงรักภักดีเกินไป: ในแวดวงการทำงานนั้น คนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายและบริษัทคงเป็นคนลำดับต้นๆ ที่ใครอยากได้เป็นลูกน้อง เพราะคนแบบนี้ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ คนที่ภักดีกับบริษัทนอกจากจะตั้งใจทำงานเต็มที่แล้ว ยังไม่ต้องห่วงเรื่องการฉ้อโกง หรือการโกหก แต่ความจงรักภักดีนั้นก็เหมือนความรักคือมันทำให้ ‘คนตาบอด’ ได้หากมีมากไป พอรู้สึกจงรักภักดีมาก ไม่ว่าบริษัทหรือหัวหน้าเป็นอย่างไร ก็ตีความว่าเป็นสิ่งที่ดีเสียหมด ไม่ก็ไม่รู้ไม่เห็นด้านแย่ๆ อยากจะมองแต่ด้านดีๆ ไว้ แต่ถ้าทำแบบนี้นานๆ บริษัทอาจจะไม่รอด เพราะกลายเป็นลูกน้องไปปิดบังจุดบกพร่องต่างๆ ของคนหรือของบริษัทไว้ และไม่ได้รับการแก้ไขเสียที 

คนที่จงรักภักดีมาก นายว่าอย่างไร ตนก็ว่าตามนั้น ไม่กล้าหือ ไม่กล้าเถียง ไม่อยากทะเลาะกันให้มีบรรยากาศระหองระแหง หากมีความคิดใหม่ๆ แต่มันไม่ตรงกับที่เจ้านายเสนอก็ไม่กล้าบอก เพราะไม่อยากขัดใจ กลัวจะผิดใจกัน แบบนี้มันทำให้บริษัทไม่มีไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ๆ จากพนักงานเลย รอแต่จะเห็นดีเห็นงามกับเบื้องบนอย่างเดียว แบบนี้การพัฒนาก็เกิดขึ้นยาก

หากลองพิจารณาดีๆ แล้ว เหตุผลหนึ่งที่มีสิ่งดีๆ เยอะไปแล้วเกิดข้อเสีย เพราะทุกๆ อย่างล้วนแต่มีขั้วตรงข้ามของมัน การมีด้านหนึ่งมากไป จะทำให้มีอีกด้านน้อยไป การมองโลกในแง่ดี อยู่ตรงกันข้ามกับการระแวดระวัง ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พอมองโลกในแง่ดีเยอะเกินไป ความระแวดระวังเลยน้อยเกินไป หรือความใจดี อยู่ตรงกันข้ามกับ ‘อุเบกขา’ คือปล่อยวาง ใจดีมากก็ปล่อยวางไม่เป็น ไม่ยอมรับเรื่องความทุกข์ใจของคนอื่นที่ล้วนแต่เกิดขึ้นได้ จนเป็นทุกข์ ความจงรักภักดีที่มากไป ก็ตรงกันข้ามกับความสงสัยที่น้อยไป ไม่จับผิด ไม่ต่อต้าน ไม่กล้าค้านแม้เจ้านายจะทำผิด

ที่ผมยกงานวิจัยนี้มาเล่า ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า “ไม่ต้องพัฒนาตนเองหรอก ไม่ว่าจะความเชี่ยวชาญ ความมีระเบียบ หรือมองโลกในแง่ดี ฯลฯ ที่ยกมา เพราะมันต่างมีข้อเสีย” ไม่ใช่ครับ สิ่งที่ยกมานั้นล้วนแต่มีข้อดี แถมถ้าเราขาดสิ่งเหล่านั้นมากๆ ย่อมส่งผลกระทบกับชีวิตเราแน่ๆ เผลอๆ จะแย่ยิ่งกว่ามีมากไปด้วยซ้ำ การรู้ข้อเสียของการมีมากไปไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวหรือข้ออ้างที่จะไม่ปรับตัวเลยนะครับ แต่งานวิจัยนี้ทำให้เล็งเห็นว่า ทุกอย่างมีความพอดีของมัน แม้แต่สิ่งดีๆ หากมีเยอะไปก็มีข้อเสีย 

การพัฒนาตนเองให้เป็น ‘คนดีพร้อม’ ของสังคมก็มีขอบเขตของมัน อย่าตะบี้ตะบันจนสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกับพ่อแม่ที่มักจะคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้ลูกตนเองดีกว่านี้ เก่งกว่านี้ เรียบร้อยกว่านี้ ซึ่งถ้าหากไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ก็อาจจะส่งเสริมลูกในด้านที่ดีอยู่แล้วจนดีเกินไปและกลายเป็นผลเสียแทน 

สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือความพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ซึ่งอาจจะหาจุดพอดีได้ยาก แต่ขอให้ตระหนักไว้ถึงเรื่องนี้ ก็น่าจะช่วยให้ตนเองอยู่ขอบเขตที่เหมาะสมได้พอสมควรแล้วครับ

เอกสารอ้างอิง

Grant, A. M., & Schwartz, B. (2011). Too much of a good thing: The challenge and opportunity of the inverted U. Perspectives on psychological science, 6(1), 61-76.

Tags:

ความเครียดการมองโลกในแง่ดีเกินไปสุขภาพกายใจความพอดี

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Dr.Yongyud-1
    How to enjoy life
    จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Patriarchal Dilemma: ในโลกที่ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเองก็ตกเป็นเหยื่อ
Life classroom
17 May 2022

The Patriarchal Dilemma: ในโลกที่ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเองก็ตกเป็นเหยื่อ

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อพูดถึง ‘ปิตาธิปไตย’ หลายคนอาจนึกถึงโลกที่ ‘ผู้ชายเป็นใหญ่’ และมีอำนาจมากเสียจนกดทับสิทธิเสียงของผู้หญิง กลุ่มคนที่มีเพศสภาพตรงข้ามซึ่งพ่วงมากับแนวคิดที่ว่ามีแต่ความอ่อนแอ อ่อนไหว และไร้พลัง แต่แน่ใจแล้วหรือว่ามีแค่ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของโลกปิตาธิปไตย
  • หากทำความเข้าใจให้ดี เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าทั้งชายและหญิงต่างก็ตกเป็นเหยื่อของสังคมปิตาธิปไตยที่เราอาศัยอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยกันทั้งหมด
  • บทความนี้กล่าวถึงเหยื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ตรงตามกรอบ ‘ลูกผู้ชาย’ และกำลังเจ็บปวดและดิ้นรนในโลกปิตาธิปไตยอยู่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อผู้อ่านอ่านบทความนี้จบ เราจะมีความเข้าใจกับกลลวงของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ตรงกันว่า ‘ในโลกที่ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเองก็ตกเป็นเหยื่อ’

“ทำตัวแมนๆ หน่อย” “ร้องทำไม เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า”

เราอาจเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้กันบ่อยๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ผู้คนยังไม่ตระหนักถึงความเท่าเทียมทางเพศเหมือนอย่างในปัจจุบัน ในเวลานั้น แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องเคยรู้สึกว่าการที่เห็นผู้ชายแสดงความอ่อนไหวทางอารมณ์ออกมาเป็นเรื่องที่ผิดแปลกอย่างมาก เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่ากลุ่มคนที่สามารถอ่อนแอได้มีแต่ผู้หญิงผู้เปราะบางเท่านั้น

แต่แท้จริงแล้ว ใครเป็นผู้กำหนดว่าผู้ชายต้องเข้มแข็ง?

คำตอบก็คือระบบปิตาธิปไตยที่เชิดชูผู้ชายให้ใฝ่หาความเป็นใหญ่และมีอำนาจเหนือกว่า ในขณะเดียวกันก็กดเพศตรงข้ามอย่างผู้หญิงลงต่ำ และยังกดกลุ่มผู้ชายด้วยกันที่ไม่ตรงตามลักษณะลูกผู้ชายลงด้วยเช่นเดียวกัน อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วผู้ชายกลุ่มไหนที่จะไร้อำนาจ และโดนกีดกัน เป็นอีกกลุ่มผู้เคราะห์ร้ายของสังคมชายเป็นใหญ่

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจลำดับชั้นของเหล่าคุณผู้ชายกันเสียก่อน นักวิชาด้านสังคมวิทยาชื่อ Robert Connell ได้จัดลำดับความยิ่งใหญ่ของผู้ชายออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ตามชาติพันธุ์ ผิวสี ชนชั้น โดบแบ่งได้ ดังนี้

  1. ‘กลุ่มมหาอำนาจ’ (hegemony) กลุ่มผู้ชายกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจเหนือกว่าผู้อื่น ส่วนมากมักจะเป็นบุคคลสาธารณะผู้ทรงอิทธิพล เช่น ดารานักแสดง นักกีฬา ไปจนถึงนักการเมือง นักธุรกิจอย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็เป็นเพียงกลุ่มประชากรขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับอัตราประชากรเพศชายทั้งหมด
  2. กลุ่มต่อมาคือกลุ่มที่มี ‘ความเป็นชายแบบรอง’ (subordination) คือเหล่าบรรดาผู้ชายที่ไม่ค่อยตรงกรอบคำว่าลูกผู้ชาย เขาอาจเป็นผู้ชายที่ไม่มีร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามตามนิยามคำว่า ‘แมน’ หรืออาจเป็นผู้ชายที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์มาก คนกลุ่มนี้มักโดนลดทอนคุณค่าด้วย ‘ความเป็นผู้หญิง’ เช่น การต่อว่าล้อเลียนว่าเหมือนเพศตรงข้าม
  3. ‘กลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิด’ (complicity) กลุ่มนี้มักเป็นประชากรชายส่วนมากที่เรามักพบเจอในสังคม โดยรูปแบบของผู้ชายในกลุ่มนี้คือ มีพฤติกรรมล้อเลียนกดขี่เพศตรงข้ามและอาจกีดกันเพศเดียวกันที่เป็นรองเพื่อให้ตนเองรู้สึกว่ามีอำนาจ นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวโน้มมากที่จะสนับสนุนการกระทำของผู้ชายที่มีอิทธิพลแม้ว่าจะไม่ถูกต้องด้วย 
  4. กลุ่มสุดท้ายคือ ‘กลุ่มชายขอบ’ (maginalization) คนกลุ่มนี้จะมีอำนาจต่างกันไปในแต่ละบริบท เช่น นักกีฬาผิวดำชื่อดังในสังคมที่ไม่ได้มีการเหยียดผิว เขาจะเป็นมหาอำนาจ แต่ในโลกเหยียดสีผิว

เขาจะกลายเป็นเพียงคนชายขอบที่ไม่สามารถมีสิทธิมีเสียงและไร้อำนาจ นอกจากนี้ ผู้ที่มีเพศสภาพเป็นผู้ชายในกลุ่ม LGBTQ+ เองก็จะถูกผลักให้เป็นคนชายขอบไปโดยปริยายเช่นเดียวกัน เพราะมีความเป็นผู้หญิงสูง

จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะมีอำนาจในโลกปิตาธิปไตย มีเพียงประชากรส่วนน้อยมากเท่านั้นที่จะได้รับการเชิดชูเกียรติในฐานะผู้ชายแมนๆ เลยเป็นความหนักใจให้เหล่าชายที่รองลงมาจำนวนมาก ที่จะต้องดิ้นรนทำตัวเป็นลูกผู้ชายตามขนบทางสังคม การอุปสมบทและการเกณฑ์ทหารจึงกลายเป็นภาระหน้าที่ที่ทำให้ผู้ชายได้แสดงความเป็นลูกผู้ชายไปอย่างเสียไม่ได้ เราจึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมปิตาธิปไตยนั้นยกย่องแต่ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มมหาอำนาจและไม่เหลียวแลกลุ่มคนอื่นอีก ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม

แต่แม้แต่กลุ่มมหาอำนาจที่ได้รับการเชิดชูก็อาจตกเป็นเหยื่อของปิตาธิปไตยได้เหมือนกัน ความมีอำนาจของผู้ชายกลายเป็นดาบสองคม ในแง่หนึ่ง ผู้ชายจะได้รับชื่อเสียง อำนาจ สิทธิพิเศษต่างๆ แต่อีกแง่หนึ่งอำนาจเหล่านั้นก็อาจทำให้ผู้ชายตกเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน

ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ คงต้องกล่าวถึงประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้อย่างคดีของ Johnny Depp และ Amber Heard 

Johnny Depp และยาพิษของปิตาธิปไตย

เมื่อแอมเบอร์ เฮิร์ด ออกมากล่าวหาจอห์นนี่ เดปป์ เรื่องการทำร้ายทางคำพูดและร่างกาย คนส่วนใหญ่เชื่อเธอแทบจะในทันที แม้ว่า Johnny Depp จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่อเขาก็ตาม คดีนี้ได้จุดชนวนความเป็น Feminist ขึ้นให้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง เนื่องจากเป็นช่วงต่อของกระแสที่ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีข่าวการกดขี่ผู้หญิงมากมายจนเกิดกระแส #Metoo ขึ้นมา ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความเท่าเทียมทางเพศ ทำให้ในที่สุดผู้หญิงและผู้ชายมากมายได้ออกมาสนับสนุนและเข้าข้างแอมเบอร์ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ขณะเดียวกันทางฝั่งเดปป์ก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก เขาถูกถอดออกจากภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยที่ไม่มีใครคิดจะสืบหาที่มาที่ไปและความจริงเบื้องหลังเลย

ทว่า เมื่อเดปป์ตัดสินใจลุกขึ้นสู้คดี เราก็ได้พบกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เมื่อหลักฐานทุกอย่างชี้ชัดว่าจริงๆ แล้วเหยื่อของความรุนแรงคือเดปป์ไม่ใช่แอมเบอร์ และเรายังได้พบเรื่องราวอีกมากบนสื่อสังคมออนไลน์ด้วยว่ามีผู้ชายอีกจำนวนไม่น้อยที่โดนทารุณกรรมและตกเป็นเหยื่อ

มีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเหยื่อเพศชายครึ่งหนึ่งไม่สามารถบอกใครได้ว่าพวกเขาตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรมในครอบครัว เพราะภาพลักษณ์ของความเป็นผู้ชาย นอกจากนี้ โอกาสที่ผู้ชายจะได้บอกเล่าความรุนแรงที่พวกเขาประสบก็น้อยกว่าเหยื่อที่เป็นผู้หญิงถึงสองเท่าครึ่ง

เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสังคมปิตาธิปไตย ที่ปลูกฝังให้ทุกคนมีความเชื่อว่าผู้ชายไม่ใช่เพศที่จะถูกล่วงละเมิดหรือโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจได้ เพราะผู้ชายเป็นเพศที่มีสรีระร่างกายแข็งแรงมากกว่า และมีความแข็งกร้าวมากกว่าในด้านอารมณ์ พวกเขาจึงไม่สามารถพูดเกี่ยวกับความรู้สึกอ่อนไหวของพวกเขาในที่สาธารณะได้ แต่ผู้ชายไม่ใช่กลุ่มคนที่มีความรุนแรงและแข็งแกร่งโดยธรรมชาติ และผู้หญิงเองก็ไม่ได้อ่อนแออ่อนไหวโดยเนื้อแท้

นี่คือตัวอย่างการทำงานที่สำคัญของสังคมชายเป็นใหญ่ ระบบร้ายกาจซึ่งถูกสร้างขึ้นในโครงสร้างทางสังคมของเรา

หลายครั้งที่ปิตาธิปไตยปกป้องผู้ชายจากการกระทำแย่ๆ ของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันมันก็กลายอำนาจอาบยาพิษย้อนมาทำร้ายผู้ชายได้เช่นกัน เหมือนในกรณีของจอห์นนี่ เดปป์

ในปัจจุบันที่การต่อสู้ทางกฎหมายอันขมขื่นระหว่างจอห์นนี่ เดปป์และแอมเบอร์ เฮิร์ดยังคงดำเนินต่อไป แฮชแท็ก #AbuseHasNoGender ก็ได้กลายเป็นไวรัลบนสื่อสังคมออนไลน์ และจุดชนวนให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับการทารุณกรรมในผู้ชาย คนส่วนมากเริ่มเข้าใจและตระหนักว่าแม้แต่ผู้ชายที่ดู ‘เข้มแข็ง’ หรือ ‘ก้าวร้าว’ ก็สามารถถูกรังแกและถูกเหยียดหยามได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ดี การที่แอมเบอร์ทำร้ายเดปป์ด้วยการยืมมือปิตาธิปไตยจะทำให้โลกเริ่มไม่ไว้ใจผู้หญิง และส่งผลเสียต่อผู้หญิงส่วนมาก แต่ก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่ต้องหยุดเชื่อผู้หญิง เพราะยังมีผู้หญิงอีกมากที่อาจจะไม่มีใครเชื่อและเข้ามาช่วยเหลือถ้าต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรง

ในโลกที่ชายเป็นใหญ่ เราทุกคนต่างเป็นเหยื่อ และทุกคนกำลังดิ้นรนในวิถีของตนเอง บ้างก็เล่นตามบทบาท บ้างก็ต่อสู้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความเข้าใจสำคัญที่สุด

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรมองว่าปิตาธิปไตยเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และเป็นเหตุผลที่เราทุกคนควรตระหนักถึงความเท่าเทียมทางเพศให้มากขึ้น

อ้างอิง

Amber Heard’s Case Is Actually a Perfect Example of How Patriarchy Works

How Patriarchy Hurts Men Too

Non-Hegemonic Masculinity against Gender Violence

Tags:

เหยื่อผู้ชายชายเป็นใหญ่ปิตาธิปไตย

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dek-Hoo-Jak-Kuam_nologo
    Social IssuesTransformative learning
    ‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • somjukchana
    Life Long Learning
    ‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
Transformative learningLearning Theory
16 May 2022

เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Loss หรือการเรียนรู้ถดถอย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติในห้องเรียนคุณภาพต่ำ ซึ่งเป็นห้องเรียนที่ครูไม่ได้คำนึงว่านักเรียนแตกต่างกันและไม่ได้หาทางช่วยนักเรียนที่มี Working Memory ต่ำ
  • สาเหตุสำคัญของการเรียนรู้ถดถอย เป็นเพราะวิธีการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันหลงอยู่กับการให้เด็กเรียนรู้แบบผิวเผิน ‘Superficial Learning’ ไปไม่ถึง ‘Transfer Learning’ การเรียนรู้ที่สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์
  • วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีครูจะต้องให้เด็กเรียนรู้จากผิวเผิน Superficial ไปสู่ลึก Deep Learning แล้วก็ไปสู่การเรียนรู้ที่สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ ที่เรียกว่า Transfer Learning

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสังคมในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษา เด็กๆ จำนวนมากเข้าสู่ภาวะการเรียนรู้ถดถอยชั่วคราว ซึ่งหากไม่หาทางรับมืออย่างเหมาะสม การเรียนรู้ถดถอยชั่วคราวนี้อาจกลายเป็นการเรียนรู้ถดถอยที่ถาวรได้ 

“สาเหตุสำคัญเป็นเพราะวิธีการจัดการเรียนรู้ของเราหลงอยู่กับการให้เด็กเรียนรู้แบบผิวเผิน หรือ Superficial Learning ไปไม่ถึง Transfer Learning การเรียนรู้ที่สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์” ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษากรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวในงานประชุมเชิงวิชาการ ‘รับมือเปิดเทอมใหม่ กับภารกิจ Learning Recovery’  

“โควิด-19 เพียงมาปลุกให้เรามองเห็นปัญหาเฉพาะหน้า แต่ว่าดีกว่านั้นคือปลุกให้เราร่วมกันเห็นด้วยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาเชิงระบบ ซึ่งเป็นปัญหาระยะยาวของการศึกษาที่ผ่านมาเป็นเวลามาหลายสิบปี เด็กในความเชื่อของผมคือเกินครึ่งมี Learning Loss (การเรียนรู้ถดถอย) มากบ้างน้อยบ้าง โดยเราไม่ตระหนักหรือเพิกเฉยต่อเรื่องนี้”

บทความนี้ถอดความจากการปาฐกถาหัวข้อ ‘2 ปี ผลกระทบโควิด-19 : จากวิกฤตการเรียนรู้ถดถอยสู่โอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน’ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ในเวทีการประชุมวิชาการ ‘นวัตกรรมและแนวทางฟื้นฟูการเรียนรู้ถดถอย เพื่อรับมือเปิดเทอมใหม่ กับภารกิจ Learning Recovery’ จัดโดย กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, องค์การ ยูนิเซฟ ประเทศไทย และเครือข่ายโรงเรียนเปลี่ยนใหม่ โดยโครงการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพตนเอง (TSQP) 

การเรียนรู้ถดถอย จะชั่วคราวหรือถาวรขึ้นอยู่กับวิธีการป้องกัน

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เน้นย้ำเรื่องการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) จากโควิด-19 ว่าควรจะต้องหาทางป้องกัน (Unintended Learning Loss) 

“จริงๆ ในระบบการศึกษาไทย ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเด็กที่เข้าสู่การศึกษามีการเรียนรู้ถดถอย เกือบจะเรียกว่าถ้วนหน้ากันเลย โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่ที่ด้อยโอกาส ในสภาพที่ด้อยโอกาส ทั้งเรื่องครอบครัว แล้วก็ในเรื่องของชีววิทยาของตัวเอง เพราะฉะนั้นนี่จะเป็นการเคลื่อนจากการป้องกันการเรียนรู้ถดถอยชั่วคราวก็คือเกิดจากโควิด ไปสู่การป้องกันแก้ไขการเรียนรู้ถดถอยเชิงระบบ ซึ่งก็หมายความว่าเกิดขึ้นในเด็กทุกคนหรือเกือบทุกคน” 

“สาเหตุสำคัญ เป็นเพราะวิธีการจัดการเรียนรู้ของเราหลงอยู่กับการให้เด็กได้เรียนรู้แบบผิวเผิน หรือ Superficial Learning ‘การเรียนรู้ผิวเผิน’ ไปไม่ถึง ‘Transfer Learning’ ซึ่งวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีครูจะต้องให้เด็กเรียนรู้จากผิวเผิน Superficial ไปสู่ลึก Deep Learning แล้วก็ไปสู่การเรียนรู้ที่สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ ที่เรียกว่า Transfer Learning”

โดยหลักการของการเรียนรู้ให้ไปถึงเป้าหมาย Transfer Learning หรือการเรียนรู้ในระดับการเชื่อมโยงอย่างที่ว่านั้น ก็คือการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องมีการฝึกซ้อมสมองส่วนที่เรียกว่า Working Memory หรือความจำใช้งาน ความจำปฏิบัติการ เพื่อจับข้อมูลไปบรรจุใน Long-Term Memory หรือความจำระยะยาว แล้วซ้อมดึงออกมาใช้

“หมายความว่าการมาเรียนต้องไม่หยุดอยู่แค่ Sensory Memory ก็คือเด็กได้เห็น ได้ฟัง ได้อ่าน แล้วนำมาสู่ Working Memory แล้วก็เข้าสู่ Long-Term Memory ถ้าเป็นแบบผิวๆ อย่างนั้นเด็กก็จะเรียนได้แค่ผิว ก็จำได้ สอบผ่านได้ แต่ว่าไม่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตเขาอย่างแท้จริง” 

การเรียนรู้ที่จะเกิดประโยชน์ต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง วงจรระหว่าง Working Memory กับ Long-Term Memory จะต้องเป็นวงจรที่กลับไปกลับมาหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากในการจัดการศึกษาสามารถหนุนเสริมได้ จะทำให้เด็กสามารถจดจำเรื่องราว จดจำวิธีการ หรือที่เรียกว่า VASK ได้ โดย V คือ Value หรือค่านิยม ซึ่งการศึกษาต้องสร้างค่านิยมให้เด็กด้วย เช่น การเป็นคนดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่ผู้อื่น, A คือ Attitude หรือเจตคติในทางที่ดี, S คือ Skills ทักษะในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางด้านร่างกาย ทักษะทางด้านการคิด ทักษะทางด้านวิชาชีพ หรือที่เราเรียกว่า ทักษะในศตวรรษที่ 21 และ Knowledge ความรู้ นั่นเอง

“เด็กต้องได้รับการพัฒนาทั้ง VASK ย้ำว่า Active Learning นั้น เป็นเรื่องของการฝึกสมองให้ฝึกเอาความรู้เข้าไปใส่ Long-Term Memory แล้วก็ดึงเอาออกมาใช้ใน Working Memory”

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ยกตัวอย่างจากหนังสือ Uncommon Sense Teaching: Practical Insights in Brain Science to Help Students Learn ของ Barbara Oakley, Beth Rogowsky และ Terrence J. Sejnowski ซึ่งในหนังสือเล่าถึง Working Memory ว่าเป็นตัวจับเอาความรู้ เพื่อจะถ่ายเข้าไปใน Long-Term Memory โดยเติบโตตามอายุ และจะโตเต็มที่เหมือนกับในผู้ใหญ่ตอนอายุประมาณ 14-15 ปี แต่ระหว่างการเติบโตนั้น Working Memory ของเด็ก 4 ขวบ กับ 14 ปี ต่างกันประมาณเท่าตัว 

https://lh5.googleusercontent.com/sRo2epybt9us4WaBN3yb3SIGDikears4mrsLrDn2s6kLhJ5cxRHBPsMDnfemJOpitlHO-FQcMclaUAPCIfDiDPwG_MLWnq6irtyvH3bPh5Gjym6eyKBsODz21-ZpU4LcrLpy-0rDZFJKGQyPsQ

“แต่การที่ Working Memory ต่ำนั้น ไม่ได้แปลว่าไม่ฉลาด แต่แปลว่าเรียนรู้ได้ช้า มีตัวอย่างของสองคนนี้ Santiago Ramon y Cajal ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ตอนเด็กเขาเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง แต่ว่าในที่สุดก็เป็นหมอแล้วก็ทำวิจัยทางด้านประสาทวิทยา ก็ได้ชื่อว่า ‘Father of the neuron’ หรือ ‘Father of modern neuroscience’ แล้วก็ได้…Nobel Prize อย่างไม่น่าเชื่อ” 

“ส่วนอีกคน Barbara Oakley ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วย เช่นเดียวกันตอนเด็กเธอเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง จบปริญญาตรีด้านวิศวะแล้ว ก็ยังต้องไปทำงานในลักษณะเป็นลูกน้องเขาอยู่นาน จนตอนหลังมาเรียนต่อจนเป็นอาจารย์ทางวิศวะ จะเห็นว่าไม่เก่งในตอนต้น หัวช้า แต่ว่าสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ นี่คือหัวใจ แต่ที่สำคัญก็คือว่า ต้องไม่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง สองคนนี้ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง นี่เป็นสิ่งที่คนที่เป็นครูน่าจะได้ตระหนักว่า ท่านสามารถที่จะช่วยชุบชีวิตเด็กได้เลย” 

เรียนรู้เชิงรุกเพื่อเชื่อมโยงใยประสาทให้แน่นแฟ้น 

การเรียนนั้นเป็นการกระตุ้นสมองให้เกิดเครือข่ายใยประสาท เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างเซลล์สมองแต่ละตัว 

https://lh3.googleusercontent.com/P47H5PK_lPM3iQ_EwCB3u7fL-x7hzRZjj5Skm-XLMSPyLNTIm0eiOWpsUJ9GvR4szrHEkj9LnR-gXT4Vu-cTRRrMRSJOp_uSjsCcLc5tWfBjFfdxQV_Y1VQ7SV318tvimdzPIvj-2F_JvVfJAg

“จากรูปแบบจำลองด้านบนรูปที่ 1 จะเห็นว่า เป็นการต่อเครือข่ายระหว่างเซลล์สมองแต่ละตัว ซึ่งมีหลายแขนมาต่อกัน จริงๆ แล้วแขนมีเป็นหมื่นแขนในความเป็นจริงในสมองเรา นี่เป็นการจำลองให้เห็นว่ามันต่อกันแบบนี้ รูปที่ 2 จำลองว่า ที่ต่อกันระหว่างเซลล์ประสาท กลมๆ แต่ละอันนั้นคือหนึ่งเซลล์ประสาท การเรียนรู้เป็นการต่อใยประสาทระหว่างเซลล์ประสาทในระบบ แล้วจะเห็นว่ามันจะต้องมีเส้นหนาในบางการเชื่อมโยง อย่างนี้ถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริง ถ้าเป็นเส้นบางหมดก็จะเป็นการเรียนรู้ที่ผิวเผิน เรียนไม่เท่าไรก็จำไม่ได้ ไม่สามารถเอามาใช้ได้”

“ในรูปที่ 3 ข้างล่างให้เห็นว่า สองล็อกซ้ายมือเขาใช้คำว่า Learn it ก็คือหมายความว่าเรียนแล้วก็รู้แบบผิวเผิน จะเห็นว่าเครือข่ายใยประสาทเกิดขึ้นน้อย ที่นี้ถ้า Link it ทำให้มีวงจรระหว่าง Long-Term Memory กับ Working Memory ซ้ำๆ ก็คือการทำ เอ็กเซอร์ไซส์ (Exercise) การทำโจทย์อะไรทั้งหลาย ก็จะเกิดเครือข่ายในสมองอย่างทางขวาสุด นั่นก็จะเรียกว่าเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง แล้วก็ความรู้นั้นจะดึงออกมาใช้ได้โดยไม่รู้ตัว”

หัวใจสำคัญของการเรียนรู้อย่างแท้จริงนั้นในที่สุดต้องสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม 

ห้องเรียนคุณภาพต่ำ แหล่งบ่มเพาะภาวะการเรียนรู้ถดถอย

ธรรมชาติของเด็กไม่เฉพาะเด็กไทย แต่หมายถึงเด็กทั่วโลก พวกเขามี Working Memory ที่แตกต่างกันออกไป หากครูผู้สอนมองไม่เห็นความแตกต่างของเด็ก จะทำให้เกิดห้องเรียนคุณภาพต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการเรียนรู้ถดถอย  

Learning Loss หรือการเรียนรู้ถดถอยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติในห้องเรียนคุณภาพต่ำ ซึ่งลักษณะของห้องเรียนคุณภาพต่ำที่สำคัญ อย่างแรกเป็นห้องเรียนที่ครูไม่ได้คำนึงถึงว่านักเรียนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ครูมักเหมารวมว่านักเรียนทุกคนเหมือนกันและไม่ได้หาทางช่วยนักเรียนที่มี Working Memory ต่ำ 

อย่างที่สอง ห้องเรียนคุณภาพต่ำ ไม่ได้ใช้วิธีจัดการเรียนรู้ 2 โหมด (mode) เสริมกัน เพื่อทำให้การเชื่อมโยงใยประสาทใน long-term memory แน่นแฟ้น และไม่ได้เข้าใจการเรียนรู้ลักษณะนี้ที่จะให้เกิด sensory (ประสาทสัมผัส) ซึ่ง Active Learning ก็คือการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ 2 โหมดนั่นเอง 

การเรียนรู้ 2 แบบ คือ Declarative Mode (แบบรู้ตัว รู้เร็ว ลืมง่าย ใช้งานได้ช้า เพราะต้องคิด) กับ Procedural Mode (แบบไม่รู้ตัว ทำได้ เรียนช้า ลืมยาก ใช้งานได้เร็ว เพราะไม่ต้องคิด)      

“ถ้าเราไม่ระวังครูก็จะสอนแบบ Declarative Mode อันนี้ก็แค่เรียนเพื่อรู้ จำไว้แล้วก็ตอบข้อสอบได้ ถ้าจะให้ได้แบบเรียนแล้วทำได้ แล้วก็ไปทำในสถานการณ์อื่นได้อีกที่เรียกว่า Transfer Learning ต้องมี Procedural Mode คือจะต้องมีการฝึกปฏิบัติ”  

“สมองของคนฝึกใหม่หรือมือใหม่ ความจำใช้งานที่จับเอาความรู้จากประสาทรับรู้ของเรา เวลาจะส่งข้อมูลเข้าไปยังความจำระยะยาวนั้น มันจะต้องผ่านตัวกลางที่เรียกว่า hippocampus ซึ่งมีสองอันอยู่ในสมองสองข้าง แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามฝึกจนกระทั่งดีแล้ว การรับความรู้ที่ความจำใช้งานเอาไปเก็บไว้ในความจำระยะยาวจะส่งตรงได้เลย แล้วเวลาขากลับเมื่อจะเอามาใช้ก็ไม่ต้องผ่านใคร เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ Active Learning หรือการเรียนรู้เชิงรุก ต้องทำให้สมองเกิดสภาพอย่างนี้ แล้วในที่สุดก็สามารถดึงความรู้มาใช้ได้อย่างอัตโนมัติ”

หากครูคอยให้นักเรียนได้ทบทวนความจำอยู่เรื่อยเรียกว่า Recall Retrieval Practice เครือข่ายใยสมองมันก็จะค่อยๆ แน่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง

นอกจากนี้ Long-Term Memory หรือความจำระยะยาว ยังเป็นตัวช่วยที่เสริมความเข้มแข็งของ Working Memory หรือความจำใช้งาน โดยการใช้ความรู้เดิม (Prior knowledge) จับความรู้ใหม่ หมายความว่าหากใครมีต้นทุน Long-Term Memory ในเรื่องนั้นๆ ดี ก็จะทำให้เรียนเรื่องนั้นๆ ต่อได้ง่ายและสนุกขึ้น

และสุดท้ายห้องเรียนคุณภาพต่ำ ไม่ได้เอาใจใส่การเรียนรู้ 3 สเต็ปของเด็ก “ไม่ได้คำนึงว่าจริงๆ แล้ว เด็กต้องเรียน 3 สเต็ป ก็คือ จากผิวเผิน ไปสู่ลึก แล้วก็ไปสู่เชื่อมโยง ซึ่งหมายความว่ากระบวนการเรียนรู้นั้นต้องเป็น Deep Learning ในสมองมนุษย์ ซึ่ง Deep Learning นี่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ว่าจริงๆ ในสมองมนุษย์ก็ต้องการ Deep Learning ด้วย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ Transfer Learning เรียนจนสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยนั่นเอง”

“หวังว่านี่จะนำไปสู่การสร้างห้องเรียนคุณภาพสูง แล้วก็สามารถที่จะทำให้นักเรียนที่มี Working Memory ต่ำ ประสบความสำเร็จในการเรียนและในชีวิต ทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้เหมือนกับเด็กที่มี Working Memory สูง” ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ทิ้งท้าย

Tags:

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการจัดการเรียนรู้ที่ดีActive Learningการเรียนรู้ถดถอยห้องเรียนคุณภาพต่ำ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • Competency cover
    Social Issues
    เรียนรู้อย่างมีความหมาย-ไร้รอยต่อ สร้างสมรรถนะเด็กไทยพร้อมรับความท้าทายแห่งอนาคต

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

Tuesdays with Morrie : แด่ครูผู้เป็นครูจวบจนวาระสุดท้าย
Book
15 May 2022

Tuesdays with Morrie : แด่ครูผู้เป็นครูจวบจนวาระสุดท้าย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • หนังสือวันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี (Tuesdays with Morrie) เขียนโดย มิตช์ อัลบอม แปลเป็นภาษาไทยโดย อมรรัตน์ โรเก้ (สำนักพิมพ์ฟีก้า) บอกเล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่เดินทางไปเยี่ยมครูคนโปรดของเขาทุกวันอังคาร หลังพบว่าครูของเขาป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ระยะสุดท้าย
  • แม้ร่างกายของครูมอร์รีจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ครูมอร์รีกลับตั้งหน้าตั้งตารอให้วันอังคารมาถึงโดยไว เพื่อจะได้ถ่ายทอด ‘วิชาความหมายแห่งชีวิต’ ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละสัปดาห์ให้กับลูกศิษย์คนโปรด
  • นอกจากจะเป็นหนังสือขายดีในสหรัฐอเมริกาแล้ว ‘วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี’ ยังถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศไม่น้อยกว่า 31 ภาษา และกลายเป็นหนึ่งในหนังสือทรงคุณค่าที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งนิยมใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาแก่เด็กและเยาวชน

สมัยเป็นนักศึกษาคุณเคยมีครูคนโปรดสักคนไหมครับ? 

ถ้าคำตอบคือมี คำถามต่อมาคือหลังเรียนจบ…คุณได้ติดต่อครูคนโปรดท่านนั้นบ่อยแค่ไหน?

สำหรับ มิตช์ อัลบอม เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เขาได้ให้สัญญากับ ‘ครูมอร์รี’ ในวันรับปริญญาว่าจะคอยติดต่อส่งข่าวหาครูเสมอ แต่สัญญานั้นกลับเป็นแค่ลมปาก เมื่อเขาไม่เคยติดต่อหาครูมอร์รีอีกเลย และคงยาวนานกว่านั้น หากเขาไม่บังเอิญเปิดทีวีแล้วเจอรายการ Nightline ที่พิธีกรดังอย่าง เท็ด คอปเปล บุกไปสัมภาษณ์ มอร์รี ชวอตซ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยแบรนไดส์ ที่กำลังจะเสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

หลังทราบข่าวร้ายของครูมอร์รีพร้อมกับชาวอเมริกันทั้งประเทศ มิตช์ได้เดินทางกว่า 700 ไมล์มาหาครูมอร์รีที่บ้านทุกวันอังคาร ก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงทำวิทยานิพนธ์เล่มสุดท้ายร่วมกัน เป็นวิทยานิพนธ์ที่ว่าด้วย ‘วิชาความหมายแห่งชีวิต’  ซึ่งถ่ายทอดจากประสบการณ์ตลอด 78 ปีของครูมอร์รี โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า วิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าว จะกลายเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีที่คนทั่วโลกนิยมมอบให้กับคนที่ตัวเองรัก

และนี่คือตัวอย่างวิชาความหมายแห่งชีวิตที่ครูมอร์รีฝากไว้กับโลกใบนี้ จากหนังสือ วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี (Tuesdays with Morrie) เขียนโดย มิตช์ อัลบอม แปลเป็นภาษาไทยโดย อมรรัตน์ โรเก้ (สำนักพิมพ์ฟีก้า)

ความชรา

ครั้งหนึ่งมิตช์ถามครูมอร์รีว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่มนุษย์อยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะวัยเด็กนั้นเป็นวัยที่มีความสุขมากที่สุด ทว่าครูมอร์รีกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความยากลำบากของชีวิต

“ฟังนะ ครูรู้ว่าตอนที่เราเป็นเด็กนั้นเรามีความทุกข์อะไรอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกครูเลยว่าการเป็นเด็กมันเลิศเลอขนาดไหน เด็กๆ ที่มาหาครูแต่ละคนล้วนแบกภาระการต่อสู้ดิ้นรน ปัญหาสารพัด ความรู้สึกขัดแย้ง ความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับอะไรอย่างเพียงพอ มองชีวิตอย่างคับแค้นใจ หดหู่จนอยากฆ่าตัวตายกันทั้งนั้น…”

ไม่เพียงแค่ความทุกข์จากสภาพสังคม ครูมอร์รียังชี้ให้เห็นว่าวัยเด็กเป็นวัยที่แทบไม่รู้จักชีวิตและมักสับสนวุ่นวายกับการลองถูกลองผิด ดังนั้นครูมอร์รีจึงหลงรักการแก่ชรา เพราะยิ่งแก่ตัวลงครูมอร์รีก็ยิ่งเข้าใจชีวิตมากขึ้น 

“ง่ายนิดเดียว ยิ่งเธออายุมากขึ้น เธอจะได้เรียนรู้มากขึ้น ถ้าเธอหยุดอายุไว้ที่วัยเพียงยี่สิบสองปี เธอก็จะมีสติปัญญาเท่ากับเด็กอายุยี่สิบสองปีเรื่อยไป อายุที่มากขึ้นไม่ได้หมายถึงความร่วงโรยที่มากขึ้นอย่างเดียวนี่ รู้ไหมมันยังหมายถึงความเจริญงอกงามอีกด้วย

ความแก่ชราไม่ได้มีความหมายในด้านลบว่าเธอกำลังจะตายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายในด้านบวกด้วยว่า เมื่อเธอเข้าใจดีว่าเธอกำลังจะตาย เธอก็จะใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม”

นอกจากนี้ ครูมอร์รีได้สอนมิตช์ให้ยอมรับการแก่ตัวลงและมีความสุขกับแต่ละช่วงวัย เพราะหากมนุษย์พยายามยื้อยุดกับวัยที่เพิ่มขึ้น ก็รังแต่จะสร้างความทุกข์ เพราะสุดท้ายทุกคนก็หนีความแก่ไม่พ้นอยู่ดี

“อันที่จริงสิ่งที่ประกอบกันเป็นตัวครูก็คือวัยต่างๆ กัน ครูอายุสามขวบ อายุห้าขวบ อายุสามสิบเจ็ดปี อายุห้าสิบปี ครูได้ผ่านวัยเหล่านั้นมาหมดแล้วและครูก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ครูชอบเป็นเด็กตอนที่อยู่ในวัยเด็กและครูก็ชอบเป็นคนแก่ที่มีปัญญาในวัยที่ควรจะเป็นคนแก่ที่มีปัญญา คิดดูสิว่าครูสามารถเป็นอะไรก็ได้ ครูเป็นได้ทุกวัยตามอายุของครูเอง เธอเข้าใจไหม”

เงินตรา

ครูมอร์รีบอกว่ามนุษย์มักปล่อยให้เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของชีวิต จึงไม่แปลกที่มนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่ามักถูกอำนาจของเงินและลัทธิพาณิชย์นิยมเข้าครอบงำจนหลายคนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอะไรคือสิ่งที่อยากได้ และอะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต

“คนในประเทศเราเหมือนกับถูกล้างสมอง รู้ไหม…เขาล้างสมองคนกันอย่างไร เพียงแค่พูดอะไรซ้ำไปซ้ำมาว่า มีไอ้นี่สิดี มีเงินเพิ่มอีกนิดสิดี มีสมบัติเพิ่มอีกหน่อยสิดี ทำอะไรให้เป็นธุรกิจการค้ามากขึ้นก็ยิ่งดี อะไรที่เพิ่มขึ้น…เพิ่มขึ้นนั้นดีไปหมด เราพูดกันอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และได้ยินคำพูดเหล่านี้ซ้ำๆ ซากๆ จนกระทั่งไม่มีใครจะคิดอะไรเป็นอย่างอื่นได้อีก คนทั่วไปถูกความคิดเหล่านี้ครอบงำจนไม่รู้ว่าสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิตนั้นคืออะไรกันแน่”

พอมนุษย์ไม่เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต หลายคนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อดิ้นรนตะเกียกตะกายกับการไขว่คว้าวัตถุต่างๆ เพื่อนำมาอวดกัน โดยหลงลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการดำรงชีวิตคือความรัก 

“รู้ไหมครูแปลความหมายในเรื่องแบบนี้ว่าอย่างไร ครูว่าคนพวกนี้กระหายความรักมากเสียจนยอมรับอะไรก็ตามแต่ที่จะมาทดแทนความรักนั้นได้ 

พวกเขาโอบกอดสมบัติพัสถานเหล่านั้นเอาไว้ และหวังว่าจะได้อ้อมกอดเช่นนั้นกลับคืนมาบ้าง แต่มันไม่เคยได้ผลหรอก จะให้วัตถุสิ่งของมาทดแทนความรัก ความอ่อนโยน ความนุ่มนวล หรือมิตรภาพนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย”

มิตช์พยายามถามครูมอร์รีว่าถ้าเงินไม่สามารถทำให้มนุษย์อิ่มเอิบใจได้ แล้วความสุขใจที่แท้จริงเกิดจากอะไร โดยหนึ่งในตัวอย่างที่ผมชอบคือเรื่องการอุทิศตนเพื่อสังคม

“ก็ให้สิ่งที่เธอมีกับคนอื่นสิ ครูไม่ได้หมายถึงเงินนะ ครูหมายถึงเวลา ความเอาใจใส่ การเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้คนอื่นฟังมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหนักหนา มีศูนย์คนชราเปิดอยู่ใกล้ๆ กับที่นี่ มีคนแก่หลายคนไปที่ศูนย์ฯ ทุกวัน ถ้าเธอเป็นคนหนุ่มคนสาวที่มีความสามารถพิเศษอะไรสักอย่าง เขาอาจขอให้เธอไปสอนที่นั่น อย่างเธอรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ เธอก็ไปที่ศูนย์ฯ เพื่อสอนคอมพิวเตอร์ เขาจะยินดีและรู้สึกขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก การให้ในสิ่งที่เธอมีก่อนย่อมทำให้เธอได้รับความเคารพนับถือตามมา”

ความตาย

ขึ้นชื่อว่าความตาย เรามักถูกผู้ใหญ่ปลูกฝังว่าอย่าเอาความตายมาพูดล้อเล่น หรือหลายคนอาจคิดไปว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่จริงความตายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 

“เราทุกคนรู้ว่าตัวเองจะต้องตาย แต่ไม่มีใครเชื่อเรื่องอย่างนั้นเลยสักคน ถ้าเราเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องตาย เราคงจะทำอะไรๆ ต่างไปจากที่ทำกันอยู่ เมื่อเธอรู้แล้วว่าเธอจะต้องตาย เธอก็ควรเตรียมให้พร้อมทุกขณะจิต ถ้าใช้วิธีนี้ เธอจะใส่ใจกับชีวิตมากขึ้นในขณะที่เธอยังไม่ตาย”

ครูมอร์รีบอกว่าเมื่อคนส่วนมากไม่คิดว่าตัวเองตาย พวกเขาจึงใช้ชีวิตเหมือนคนเดินละเมอที่กึ่งหลับกึ่งตื่นและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี โดยไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งเหล่านั้นจำเป็นกับชีวิตหรือไม่ 

“อันที่จริงไม่มีอะไรจะเป็นรากฐานหรือพื้นฐานอันมั่นคงให้คนเรายืนหยัดอยู่ได้ในทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่ครอบครัว ยิ่งตอนครูป่วย ครูยิ่งเห็นประเด็นนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าเธอไม่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือเกื้อกูล ให้ความรัก ความอาทร และความเอาใจใส่เสียแล้ว เธอก็คงไม่มีอะไรเหลือมากนักหรอก ความรักเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก อย่างที่ออเดน กวีผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘จงรักกันไว้ หรือไม่ก็ดับสูญ’ ”

ผมชอบวิธีคิดของครูมอร์รีที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัว ครูมอร์รียอมรับว่าตัวเองคงไม่อาจต่อสู้กับโรคร้ายด้วยทัศนคติที่ดีได้ หากปราศจากแรงใจจากครอบครัว เพราะสำหรับครูมอร์รี ‘เพื่อนฝูง’ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเยี่ยมเยียนเขา แต่นั่นก็ไม่เทียบไม่ได้เลยกับการมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างครูมอร์รีตลอดเวลา

“ครอบครัวก็เป็นอย่างนี้ละ มันไม่ใช่มีเพียงความรัก แต่การมีครอบครัวทำให้ใครๆ รู้ว่าเรามีใครสักคนที่เฝ้าห่วงใย เอื้ออาทร และคอยระแวดระวังดูอยู่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ครูโหยหาเหลือเกินเมื่อตอนที่แม่ของครูตาย ครูเรียกมันว่า ‘ความมั่นคงแห่งจิตวิญญาณ’ นั่นคือการที่เธอรู้ว่าเธอเองมีครอบครัวซึ่งคอยเฝ้าดูแลเธออยู่ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมอบความรู้สึกเช่นนี้กับเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือเกียรติยศชื่อเสียง”

ถึงปากจะบอกว่าครอบครัวสำคัญอย่างไรในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต หากครูมอร์รีกลับบอกให้ลูกชายที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ‘ตั้งใจทำงานต่อไป’ เพราะเขาไม่ต้องการให้โรคร้ายนี้ลามมาทำร้ายอนาคตของลูก แทนที่จะเป็นเขาคนเดียว

ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของชีวิต นอกจากการมีครอบครัวคอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจกันเสมอ ครูมอร์รียังได้นำแนวคิดของพุทธศาสนามาใช้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิฝึกลมหายใจ – เข้าออก, ‘การปล่อยวาง’ ที่ไม่ใช่การปิดรับความรู้สึก แต่เป็นการปล่อยให้จิตใจเผชิญหน้ากับความคิดลบๆ อย่างเต็มที่ 

ครูมอร์รียืนยันว่าการปล่อยวางนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากมนุษย์มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความเศร้า ความกลัว และความเจ็บปวด ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ครูมอร์รีรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก ครูมอร์รียอมรับว่าวินาทีนั้นตัวเองทั้งหวาดผวาและทุรนทุรายกับความทรมานทางกาย แต่พอเริ่มได้สติ ครูมอร์รีก็พยายามรู้เท่าทันอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมบอกตัวเองให้ถอยออกมาจากความกลัวนั้น  

“…เธอจะรู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร ความรักเป็นอย่างไร ความชอกช้ำหรือความโศกาอาดูรนั้นเป็นอย่างไร เธอจะต้องรู้ซึ้งเช่นนี้เสียก่อนเท่านั้น เธอถึงจะพูดได้ว่า ‘เอาละ ฉันได้เรียนรู้ความรู้สึกนั้นแล้ว ฉันรู้จักความรู้สึกนั้นดีแล้ว ฉันต้องละวางความรู้สึกเช่นนี้เสียที’ ”

อย่างไรก็ตาม วิธีการรับมือกับความตายที่ผมชอบที่สุดคือการที่ครูมอร์รีพูดคุยกับ ‘นกน้อย’ ที่มักบินมาเกาะไหล่ของเขาเป็นประจำ

“ทำอย่างที่ชาวพุทธเขาทำกันสิ ในทุกๆ วันจะมีนกตัวน้อยๆ เกาะอยู่บนบ่าและคอยถามเธอว่า ‘ใช่วันนี้หรือเปล่า ฉันพร้อมแล้วหรือยัง ฉันทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วหรือ ฉันเป็นคนอย่างที่ฉันอยากจะเป็นหรือยัง’ ”

ครูมอร์รีพยายามชี้ให้มิตช์เห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ แต่ความตายนั้นพรากได้แค่ชีวิต และไม่อาจพรากความสัมพันธ์ไปจากคนที่เรารัก

“ตราบใดที่เรามีความรักให้แก่กันและสามารถจดจำความรู้สึกดีๆ ในยามที่เรารักกันได้ เราจะตายจากไปโดยประหนึ่งว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ความรักที่เธอสร้างขึ้นรวมทั้งความทรงจำที่ดีเหล่านั้นจะคงอยู่ตลอดไป และเธอก็ยังอยู่ในหัวใจของคนทั้งหลายที่เธอรักและทะนุถนอมเมื่อครั้งที่เธอมีชีวิตอยู่”

หลังจากไปเยี่ยมครูมอร์รีทุกวันอังคารได้ประมาณสิบสี่ครั้ง ครูมอร์รีก็จากโลกนี้ไป ซึ่งภายหลังมิตช์ อัลบอม ได้เขียนในบทส่งท้ายเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ Tuesdays with Morrie ว่า “สิ่งที่เอื้อมถึงก็คือสิ่งที่ครูมอร์รีพูดมาตลอด ทุกๆ วันจงถามนกที่เกาะบนบ่าว่า ‘วันนี้คือวันตายของฉันใช่ไหม’ และคำตอบที่ดีที่สุดจากเจ้านกน้อยคือ ‘ใช่’ 

คำตอบนั้นสื่อว่า คุณได้เติมเต็มวันเวลาในชีวิตไปกับการให้ ให้เวลา ให้หัวใจ และให้ตัวตน นี่ต่างหากคือการมีชีวิตในหนึ่งวัน หรือมีชีวิตผ่านผู้อื่นอีกหลายชั่วอายุคน”

Tags:

วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รีครูTuesdays with Morrie

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

House of Leaves : บ้านแห่งคำลวง
Book
14 May 2022

House of Leaves : บ้านแห่งคำลวง

เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • House of Leaves คือนิยายอันเรียบง่ายที่อำพรางตัวมันเองด้วยชื่อเสียงของการเป็น ‘หนังสือที่อ่านยาก’ มีลูกเล่นแปลกประหลาดที่ความเรียงนี้พยายามแสดงให้ผู้อ่านเห็น นั่นคือคำลวง
  • หากเรื่องนี้ประกอบไปด้วย ‘คำลวง’ หลายต่อหลายชั้น สิ่งที่เราควรสงสัยก็ไม่ใช่วิธีที่คำโกหกเหล่านั้นหลอกเรา แต่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องพูดโกหกตั้งแต่แรก
  • นอกจาก House of Leaves จะเป็นนิยายสยองขวัญที่น่าสะพรึงแล้ว ในเวลาเดียวกันก็เป็นนิยายชีวิตของผู้คนที่แตกหักและหลงทาง ไม่ว่าเขาวงกตของพวกเขาจะกว้างขวางแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาวงกตก็ไม่อาจเป็นเขาวงกตได้หากไม่มีทางออก

‘Show, Don’t Tell’ คือวลีที่นักเขียนทุกคนต้องเคยได้ยินมาก่อนอย่างน้อยก็หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนมือใหม่ มือเก่า มือฉมัง หรือมืออะไรก็ตาม และบ่อยครั้งมันคือคำแนะนำแรกที่นักเขียนนิยายได้รับโดยปราศจากคำอธิบายอย่างครบถ้วน ปล่อยให้เหล่านักเขียนหน้าใหม่งุนงงว่าระหว่าง ‘โชว์’ และ ‘เทล’ จะต่างกันมากแค่ไหนในเมื่อท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงตัวอักษรบนหน้ากระดาษ

ผมเองก็ไม่มีคำอธิบายดีๆ ให้หรอก เพราะผมไม่ใช่นักเขียน แต่อย่างน้อยผมก็พอมีตัวอย่างให้ลองเปรียบเทียบดู

ชายคนนั้นรู้สึกหวาดผวาเมื่อได้เห็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังบานประตู คือการ ‘เทล’

เมื่อได้เห็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังบานประตู เหงื่อกาฬที่ไหลรินทำให้ชายคนนั้นเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง คือการ ‘โชว์’

แต่อย่างไร เหล่านักเขียนหน้าใหม่ก็คิดถูกแล้ว เราไม่ได้ ‘โชว์’ อะไรให้ผู้อ่านเห็นในความหมายที่ตรงตามตัวอักษร เพียงแค่หลอกให้พวกเขาคิดไปเองว่า ตัวเองถูกแสดงให้เห็นภาพอันแจ่มชัดที่สื่อผ่านตัวอักษร

อย่างน้อยมันก็เป็นเช่นนั้น สำหรับหนังสือเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่ผมเคยอ่านมาและ House of Leaves คืออีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่

ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อหาของมัน ผมอยากเล่าถึงเหล่าผู้เขียน (ผู้เขียนเป็นพหุพจน์ ต้องเติมตัวเอสต่อท้าย) เป็นอย่างแรก

ชายผู้ให้กำเนิดความเรียงขนาดห้าร้อยยี่สิบแปดหน้านี้ใช้ชื่อว่า ซัมปาโน (Zampano) ในตอนที่เขียนความเรียงเรื่องนี้ชีวิตของเขาก็เข้าสู่ช่วงวัยชราแล้ว ซัมปาโนใช้ชีวิตปลีกตัวจากสังคมและผู้คนส่วนใหญ่ จะพูดคุยก็แต่กับคนที่ช่วยเขาหาข้อมูลอ้างอิงหรือแปลบทกลอนซึ่งเขามักจะสอดแทรกเข้าไปในบทวิเคราะห์ของเขา จากคำบอกเล่าของคนรู้จัก ซัมปาโนมักจะออกมาเดินเล่นทุกวันในเวลาเดิมอย่างไม่ขาดไม่เกิน ระหว่างนั้นเหล่าแมวจรจัดในละแวกใกล้เคียง จะกรูเข้ามาถูไถกับขากางเกงของเขาและส่งเสียงออดอ้อน ทำไมแมวจรจัดที่ระแวงผู้คนถึงได้ติดชายชราที่ไม่พูดคุยกับใครถึงขนาดนั้น เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

เอาละ ผมควรจะเขียนถึงเนื้อหาจริงๆได้แล้ว

House of Leaves เป็นความเรียงที่พูดถึงภาพยนตร์สารคดีที่มีชื่อว่า The Navidson Record ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่คุณคงไม่เคยได้ยินมาก่อน ในเวลาเดียวกันก็เป็นภาพยนตร์ที่จุดประกายให้ผู้คนมากมาย ตั้งแต่เหล่านักวิจารณ์ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เขียนความเรียงและหนังสือวิจัยออกมาเป็นร้อยๆ เล่ม มันอาจจะเป็นภาพยนตร์สารคดีที่มีการพูดถึงมากที่สุดเลยก็ได้ สังเกตได้จากจำนวนของเชิงอรรถใน House of Leaves ที่มีจำนวนมากถึงสี่ร้อยห้าสิบ เกินกว่าครึ่งอ้างอิงถึงงานเขียนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ The Navidson Record

ส่วน The Navodson Record นั้นเป็นผลงานของช่างภาพและผู้กำกับสารคดีนาม วิล เนวิดสัน (Will Navidson) เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) ผู้ได้ชื่อว่าสามารถถ่ายภาพแก้วมัคสกปรกๆ เพื่อสื่อถึงอารมณ์เศร้าโศกที่ ‘ชวนให้นึกถึงการเดินทางของเหล่าผู้แสวงบุญ’ …หรืออย่างน้อยเหล่านักวิจารณ์ก็กล่าวไว้เช่นนั้น

เนวิดสันที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ตัดสินใจซื้อบ้านในแถบชนบทของรัฐเวอร์จิเนียและติดตั้งกล้องไว้ทุกมุมบ้านเพื่อถ่ายทำสารคดีแนวอบอุ่นหัวใจว่าด้วยการย้ายบ้านและพฤติกรรมการลงหลักปักฐานของครอบครัวของเขา ซึ่งประกอบด้วยตัวเขา ภรรยา ลูกเล็กสองคน และสัตว์เลี้ยงจำนวนหนึ่ง

“ผมแค่คิดว่ามันคงจะดีถ้าเราได้เห็นว่าผู้คนจะเปลี่ยนบ้านหลังหนึ่งให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขาได้อย่างไร ผมอยากเห็นขั้นตอนเหล่านั้น และถ้าโชคดีเราคงเข้าใจกันและกันมากกว่าเดิม (ตรงนี้เนวิดสันพูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรระหว่างตัวเขาและภรรยา) โดยส่วนตัวแล้วผมก็แค่อยากสร้างสถานที่อันอบอุ่นสำหรับครอบครัวของผม”

แน่นอนว่า ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเนวิดสันค้นพบว่าระหว่างห้องนอนของเขากับภรรยาและห้องนอนของลูกๆ มีห้องมืดว่างเปล่าที่อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ปริศนานั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อการตรวจสอบของเขาเปิดเผยว่าความกว้างของตัวบ้านที่วัดจากด้านนอกและด้านในกลับไม่ตรงกัน

ด้านในนั้นกลับกว้างกว่าด้านนอก ถึงจะแค่หนึ่งส่วนสี่ฟุตก็ตาม

และนั่นคือเหตุผลที่ปกของหนังสือเล่มนี้กว้างไม่เท่าหน้ากระดาษด้านใน มันคือการ ‘โชว์’ ในความหมายที่ตรงตามตัวอักษรที่สุด

คุณอาจแย้งว่ามันไม่ใช่การแสดงความหมายด้วยตัวอักษรแต่เป็นลูกเล่นของรูปเล่มหนังสือไม่ใช่หรือ? ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ผมยังมีตัวอย่างเหลืออยู่อีกเยอะ

ไม่ว่าจะเป็นเชิงอรรถที่รุกล้ำเข้าไปอยู่กลางหน้ากระดาษและยังเลยไปถึงกระดาษหน้าถัดๆ ไป ไม่ต่างกับบานประตูที่อยู่ผิดที่ผิดทางในบ้านพิศวงของเนวิดสันหรือกำแพงที่เคลื่อนตัวราวกับเขาวงกตที่มีชีวิต

หรือความสั้นยาวของย่อหน้าที่สะกดเป็นคำว่า SOS ในรหัสมอร์ส ซึ่งอยู่ในบทที่พูดถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ดังมาจากในกำแพงบ้าน หรือไม่ก็ย่อหน้าที่พูดถึงฉากปีนบันไดอันคับแคบซึ่งต้องอ่านจากล่างขึ้นบนถึงจะมีความหมาย

และคุณคงคุ้นเคยกับการที่หนังสือเล่มหนึ่งจะใช้พื้นที่ของหน้ากระดาษหน้าแรกๆ เพื่อป่าวประกาศว่าหนังสือเล่มนั้นอุทิศแด่ใครคนหนึ่ง อย่างเช่น แด่มารดาของข้าพเจ้า ในนิยายเรื่อง ‘คลาราและดวงอาทิตย์’ หรือ แด่คอลลิน ใน ‘Piranesi’

ขณะที่นิยายเรื่อง The Haunting of Hill House (ชื่อไทย บ้านหลังนี้มีคนตาย) พรรณนาในคำโปรยว่า “มันเป็นบ้านที่ปราศจากความเมตตา ไม่หมายให้ใครเข้าพักตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับมนุษย์ ความรัก หรือความหวัง… บ้านฮิลล์เฮาส์จะเป็นเช่นนั้นจนกว่าจะถูกทำลาย” House of Leaves กลับเลือกที่จะใช้พื้นที่สำหรับกล่าวคำอุทิศนั้นเขียนวลีสั้นๆว่า:This is not for you.

คงไม่ต้องให้พูดว่าผมชอบเล่มไหนมากกว่ากัน

House of Leaves ไม่ใช่งานเขียนชิ้นแรกที่เล่นกับการวางโครงร่างของหน้ากระดาษและใช้พื้นที่ทางกายภาพเพื่อ ‘โชว์’ สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ ชื่อเรียกของงานที่ใช้เทคนิคเหล่านี้คือ งานวรรณกรรมแบบเออร์กอดิก (Ergodic literature)

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องตลกร้ายที่ผู้เขียน House of Leaves เป็นชายตาบอดที่อยู่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงคนเดียว (ชรา ตาบอด อยู่คนเดียว คำสามคำที่ไม่ควรอยู่ด้วยกัน) ทั้งลูกเล่นแพรวพราวเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งตัวหนังสือธรรมดาๆ ในหน้าหนังสือทั่วๆ ไปเขาก็ไม่อาจมองเห็น

ยิ่งไปกว่านั้น House of Leaves ถูกรวบรวมและตีพิมพ์หลังจากที่ซัมปาโนเสียชีวิตในบ้านของเขาไปได้หลายปีแล้ว ผู้ที่ค้นพบงานเขียนซึ่งในตอนนั้นเป็นเพียงแค่กระดาษกองโต ณ มุมมืดของบ้านซอมซ่อนั้นคือ จอห์นนี ทรูแอนต์ (Johnny Truant) และคนที่เพิ่มลูกเล่นเหล่านี้ลงไปในหน้าหนังสือก็คือจอห์นนีคนนี้นี่แหละ

จากคำบอกเล่าของตัวเขาเอง ในตอนนั้นจอห์นนี่เป็นเพียงแค่ชายที่ทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านสักและเป็นมนุษย์ปาร์ตี้ผู้ชื่นชอบการปั้นแต่งเรื่องราวเหลือเชื่อเกี่ยวกับแผลเป็นที่แขนของเขาเพื่ออวดสาวๆ ตามคลับตามบาร์

เรื่องราวเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ถูกเขียนไว้ใน House of Leaves เหตุผลที่หนังสือเล่มนี้มีจำนวนเชิงอรรถมากถึงขนาดนี้ก็เพราะราวหนึ่งในสามของเชิงอรรถเป็นเรื่องราวชีวิตของจอห์นนีและความเห็นของเขาเกี่ยวกับ ซัมปาโน House of Leaves และแน่นอน The Navidson Record

ในแง่นี้การอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกับได้อ่านความเรียงเกี่ยวกับภาพยนต์สารคดีอันสลับซับซ้อน และในขณะเดียวกันก็เหมือนได้อ่านอัตชีวประวัติขนาดย่อของผู้ที่ค้นพบสิ่งที่กลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้

จอห์นนีจึงกลายมาเป็นนักเขียนคนที่สองที่มีชื่ออยู่บนหน้าปกของ House of Leaves

เรื่องราวของความบังเอิญนี้ ฟังดูเหมือนพล็อตเรื่องที่หลุดมาจากหนังหรือนิยาย แต่เรื่องราวที่จอห์นนีเล่าให้ผู้อ่านฟังภายใน House of Leaves นั้นฟังดูเหมือนนิยายมากกว่าเสียอีก และหากจะเป็นนิยายมันก็คงต้องเป็นนิยายสยองขวัญ

เพราะเหตุผลหลายประการที่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่เปิดเผย หลังจากที่บังเอิญไปเจอมรดกลี้ลับของซัมปาโน จอห์นนีก็ไม่อาจละสายตาไปจากเนื้อหาของ House of Leaves ได้ ความมืดของห้องโถงที่ยืดยาวกว่าที่ควรจะเป็นของบ้านเนวิดสันทำให้จอห์นนี่รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดที่ ณ จุดจุดหนึ่ง เขาเขียนถึงอาการตื่นตระหนกอย่างรุนแรงในตอนที่เขาย่างกรายเข้าไปในห้องเก็บของในร้านสักที่เขาทำงานอยู่ และเผอิญว่าหลอดไฟในห้องเก็บของดันหยุดทำงานไปดื้อๆ

หากลองคิดถึงวลี ‘Show, Don’t Tell’ คุณก็น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่า การเขียนนิยายแนวสยองขวัญนั้นเขียนยากกว่านิยายแนวไหนๆ ในเมื่อหากปราศจากการ ‘โชว์’ แล้ว เหล่าผีสางและมารร้ายก็ไม่อาจกระโจนออกมาจากหน้ากระดาษและกรีดร้องดังลั่นให้คุณฟังได้

เพียงแต่ว่า House of Leaves สามารถแสดงให้คุณเห็นได้ มันสามารถแสดงความมืดและมิติอันเป็นไปไม่ได้ของบ้านเนวิดสันให้คุณเห็นได้ด้วยการจัดวางตัวอักษรที่ทำให้คุณต้องหมุนหน้าหนังสือไปมา (หนังสือเล่มนี้ไม่ควรอ่านในที่สาธารณะ) ไม่ต่างจากเนวิดสันที่กำลังหาทางออกจากห้องโถงอันดำมืดนั้น

เหนือสิ่งอื่นใด House of Leaves ไม่จำเป็นต้องใช้มุกผีตุ้งแช่แบบนั้นเพื่อให้คุณกลัว 

หากต้องอธิบายด้วยถ้อยคำของตัวผมเอง ความน่าหวาดกลัวของบ้านเนวิดสันคือการที่คุณไม่กล้าแหงนหน้ามองขั้นบันไดในตอนกลางคืน

หรือเสียงในใจที่คอยพร่ำบอกคุณว่าอย่ามองเงาสะท้อนในกระจกห้องน้ำ

หรือรอยเปื้อนแปลกประหลาด ณ มุมมืดของห้องนอนที่คุณเองก็ไม่แน่ใจว่ามันมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

หรือการที่คุณไม่กล้าละสายตาไปจากตัวอักษรเหล่านี้เพราะมันอาจจะมีเงามืดอยู่ในที่ที่คุณไม่ทันสังเกตเห็นก็ได้?

House of Leaves พยายามจะบอกคุณว่า ความมืดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ในนั้น เพราะสัตว์ประหลาดนั้นไม่อาจดำรงอยู่ได้หากไม่มีจินตนาการของคุณ ในขณะที่ความมืดทำได้

มันสิงสถิตอยู่ทุกทุกที่ ทั้ง ณ บนสุดของขั้นบันได ทั้งในเงาสะท้อนของกระจกห้องน้ำ ทั้งที่มุมห้องของคุณ และมันก็อยู่ในที่ที่คุณไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ทั้งหมดนี้มันฟังดูเหนือจริงจนผมไม่อยากเรียก House of Leaves ว่าเป็นเพียงความเรียงเกี่ยวกับภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่ง ถึงขนาดที่จอห์นนีเองก็เคยเขียนไว้ว่า เขารู้สึกราวกับเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องราวที่ถูกสมมติขึ้นมา

จอห์นนีพูดถูก และพวกคุณหลายคนก็คงจะรู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่หากคุณไม่รู้สึกตัว นั่นก็ถือว่าการ ‘Show, Don’t Tell’ ของผมใช้ได้ผลอย่างที่หวังเอาไว้ เพราะผมเองก็ถูกนิยายเรื่องนี้หลอกไปหลายครั้ง จึงได้แต่พยายามหลอกคนอื่นต่อราวกับกำลังส่งจดหมายลูกโซ่อย่างไรอย่างนั้น

หลายๆ คนอาจจะกำลังรู้สึกกังขาว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Navidson Record นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ข่าวดีก็คือ มันไม่มีจริงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตัวละครที่ชื่อวิล เนวิดสันนั้นคือบุคคลสมมติที่มาแทนที่เควิน คาร์เตอร์ (Kevin Carter) ช่างภาพตัวจริงที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากภาพถ่ายรูปเด็กหญิงชาวซูดานที่กำลังอดตายต่อหน้านกแร้งที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของความตายซึ่งคุณคงเคยเห็นผ่านตามาสักครั้งในชีวิต (เกร็ดความรู้เล็กๆ: คาร์เตอร์ฆ่าตัวตายในปี 1994) ซัมปาโนเองก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง ผู้แต่งที่แท้จริงของนิยายเล่มนี้คือ มาร์ก ซี.แดเนียลลูสกี (Mark Z. Danielewski)

แน่นอนว่าเชิงอรรถที่อ้างอิงถึงงานเขียนอื่นๆ เกี่ยวกับบ้านเนวิดสันและสารคดีชิ้นนั้น ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น บางอันที่อ้างชื่อบุคคลจริงอย่างสตีเฟ่น คิง ก็เป็นแค่เรื่องมโน และเชิงอรรถของปลอมเหล่านั้นก็นับเป็นสัดส่วนเกินครึ่งของเชิงอรรถทั้งหมด

เดิมทีผมวางแผนไว้ว่าบทความจะจบลงแค่ตรงนี้ โดยเขียนย่อหน้าปิดสวยๆ ประมาณว่า ความน่าหวาดกลัวที่แท้จริงของ House of Leaves คือการที่คุณไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าอะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือเรื่องแต่ง แต่เมื่อผมอ่านนิยายเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องย้อนกลับมาแก้โครงร่างของบทความนี้หลายต่อหลายครั้ง

House of Leaves คือบ้านแห่งคำลวง

ผมหลงเชื่อว่าตัวเองเข้าใจลูกเล่นแปลกประหลาดที่ความเรียงนี้พยายามแสดงให้ผู้อ่านเห็น นั่นคือคำลวง 

หลงเชื่อว่าตัวเองเข้าใจความน่าสะพรึงที่บ้านเนวิดสันพยายามแสดงให้เห็น นั่นคือคำลวง 

หลงเชื่อว่าตัวเองเข้าใจคำโกหกที่ผู้แต่งใส่มาในรูปแบบของภาพยนตร์ที่ไม่มีอยู่จริง ช่างภาพที่ไม่มีอยู่จริง ชายตาบอดที่ไม่มีอยู่จริง และพนักงานร้านสักที่ไม่มีอยู่จริง นั่นก็เป็นคำลวงเช่นกัน

House of Leaves เป็นมากกว่านั้น

เพราะฉะนั้นผมจะขอแก้ตัวด้วยการเขียนถึง House of Leavesอีกครั้งโดยไม่มองมันเป็นความเรียงขนาดห้าร้อยยี่สิบแปดหน้าที่ซ่อนลูกเล่นไว้มากมาย แต่มองมันในฐานะนิยายความยาวขนาดเจ็ดร้อยเก้าหน้าที่เต็มไปด้วยตัวละครและเรื่องราวที่ซับซ้อนทว่าในขณะเดียวกันก็แสนจะเรียบง่าย

House of Leaves : คำลวงหรือคำใบ้?

การเขียนเรื่องเล่า (Narrative) นั้นมีส่วนประกอบสำคัญสองอย่าง นั่นคือ เรื่องที่จะเล่า และ วิธีที่จะเล่าเรื่อง ผู้เขียนมีอิสระที่จะทำให้ทั้งสององค์ประกอบนี้สลับซับซ้อนหรือเรียบง่ายแค่ไหนก็ได้ยกตัวอย่างเช่น หนูน้อยหมวกแดง เป็นเรื่องเล่าที่เรียบง่ายและเล่าด้วยวิธีที่เรียบง่ายเช่นกัน ในขณะที่นิยายสืบสวนหรือนิยายวิทยาศาสตร์อาจจะเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อนด้วยวิธีที่ซับซ้อนอีกทีหนึ่ง

House of Leaves คือนิยายอันเรียบง่ายที่อำพรางตัวมันเองด้วยชื่อเสียง (หรือชื่อเสีย) ของการเป็น ‘หนังสือที่อ่านยาก’

ก่อนหน้านี้ผมพูดถึงเทคนิคการเขียนและการที่ House of Leaves แสดงความน่ากลัวของบ้านเนวิดสันให้ผู้อ่านได้สัมผัสโดยตรง แน่นอนว่านั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีเอกลักษณ์อย่างที่มันมี แต่วิธีที่เล่าก็เป็นแค่ครึ่งหนึ่งของหนังสือเล่มหนึ่ง เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมอยากจะพูดถึงเรื่องที่ House of Leaves ต้องการจะเล่าจริงๆ

สรุปง่ายๆ เลย House of Leaves คือเรื่องราวของผู้คนที่สูญเสีย ผู้คนที่หลงลืม ผู้คนที่ตายจากไป และผู้คนที่ต้องการซ่อมแซมสิ่งที่แตกหัก

เมื่อลองมองหนังสือเล่มนี้เป็นนิยาย มองจอห์นนี่ ซัมปาโน และครอบครัวเนวิดสันเป็นตัวละครที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน และมองลูกเล่นหลอกตาเหล่านั้นเป็นคำใบ้ของปริศนา ผมก็รู้สึกอยากจะกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่หน้าแรก เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ทันได้ฉุกคิดว่าการเขียนแบบเออร์กอดิกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้แต่งใส่เข้ามาเพื่อให้นิยายเล่มนี้แตกต่างจากนิยายเล่มอื่นๆ แต่มันเป็นสิ่งที่จอห์นนี ซึ่งเป็นตัวละครสมมติ สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเหตุผลที่เขาไม่ยอมเปิดเผยต่อผู้อ่าน

เช่นนั้นผมจึงนึกสงสัยขึ้นมา ว่าทำไมจอห์นนีถึงได้หมกมุ่นกับ House of Leaves ถึงขนาดนี้ตั้งแต่แรก?

ทำไมกองบรรณาธิการถึงเขียนไว้ว่านิยายเล่มนี้เป็นฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกไม่มีอยู่จริง?

ทำไมคำว่า House ถึงถูกพิมพ์ด้วยหมึกสีฟ้าไม่ว่าจะเป็นในภาษาใดก็ตาม?

ทำไมเชิงอรรถบางอันถึงใช้เครื่องหมายแปลกประหลาดแทนที่จะใช้ตัวเลขตามปกติ?

ทำไมจอห์นนีถึงใส่เครื่องหมายติ๊กถูกไว้ที่มุมขวาล่างของหน้าที่เก้าสิบเจ็ดโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม?

และซัมปาโนได้อ้างอิงถึงแนวคิดของเขาวงกต (Labyrinth หรือ Maze) ทั้งในด้านวรรณกรรมและในปกรณัมต่างๆ ซึ่งอันที่โด่งดังที่สุดคงจะเป็นเขาวงกตบนเกาะคนอสซอสแห่งกรีซ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับขีดฆ่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวที่มีนามว่า มิโนทอร์ (Minotaur) ซ้ำยังพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีแดงสดอีกด้วย

หาก House of Leaves ประกอบไปด้วยคำลวงหลายต่อหลายชั้น สิ่งที่เราควรสงสัยก็ไม่ใช่วิธีที่คำโกหกเหล่านั้นหลอกเรา แต่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องพูดโกหกตั้งแต่แรกด้วย

ผมเริ่มเขียนบทความนี้ตอนที่อ่านนิยายเล่มนี้ไปได้ราวครึ่งเล่ม ในปัจจุบันผมอ่านไปจนจบแล้ว และสามารถยืนยันได้ว่าปมปริศนาส่วนใหญ่จะถูกคลี่คลายในท้ายที่สุด ทั้งเรื่องที่ว่าทำไมจอห์นนีถึงรู้สึกหวาดกลัวบ้านเนวิดสันถึงขนาดนั้น และเรื่องที่ว่าทำไมเขาต้องคอยสร้างเรื่องเกี่ยวกับแผลเป็นที่แขนของเขาขึ้นมา หรือแม้กระทั่งเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า House of Leaves

ผมเพิ่งมารู้สึกตัวเมื่ออ่านไปได้เกินครึ่งเล่มแล้วว่าผมตั้งตารออ่านบทสรุปของการเดินทางเร่ร่อนของจอห์นนี ความทรงจำเกี่ยวกับมารดาสติไม่สมประกอบของเขา และความสัมพันธ์อันร้าวฉานของครอบครัวเนวิดสันมากกว่าคำอธิบายของบ้านปริศนาหลังนั้น

ส่วนที่ผมชอบที่สุดของนิยายเล่มนี้ไม่ใช่เนื้อหาหลักแต่เป็นภาคผนวกที่รวบรวมบทกลอนและบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ของซัมปาโน ภาพถ่ายและภาพวาดของบ้านเนวิดสัน รวมถึงจดหมายนับสิบฉบับที่แม่ของจอห์นนีเขียนส่งให้เขาจากศูนย์บำบัดผู้ป่วยทางจิต

House of Leaves พยายามจะบอกคุณว่า ความมืดมิดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดใดๆ แต่กระนั้นเนวิดสันกลับรอดพ้นจากเงื้อมมือของความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดนั้นมาได้ด้วยแสงริบหรี่ของไม้ขีดไฟ และเรื่องราวที่ไม่มีจริงเหล่านั้นก็นำพาจอห์นนี่ไปยังสถานที่ในความทรงจำที่เขาเอาแต่เบือนหน้าหนีมาตลอด

สำหรับผม House of Leaves คือนิยายสยองขวัญที่น่าสะพรึง และในเวลาเดียวกันก็เป็นนิยายชีวิตของผู้คนที่แตกหักและหลงทาง ถึงอย่างไรไม่ว่าเขาวงกตของพวกเขาจะกว้างขวางแค่ไหน และไม่ว่ามิโนทอร์ในใจพวกเขาคืออะไร สุดท้ายแล้วเขาวงกตก็ไม่อาจเป็นเขาวงกตได้หากไม่มีทางออก

…และปัจฉิมลิขิตของบทความนี้ก็ควรจะเป็นถ้อยคำของซัมปาโน

บทกวีไร้ชื่อ โดยซัมปาโน

ไร้คำปลอบประโลม

แด่ผู้เศร้าหมอง

เมื่อจิตใจลอยเลื่อน

ดั่งกำแพงเคลื่อนไหว

โลกสีครามใบนี้พลันเปลี่ยน

เป็นดั่งบ้านใบไม้

Tags:

บ้านแแห่งคำลวงHouse of Leaves

Author:

illustrator

ฌานันท์ อุรุวาทิน

ถึงจะเป็นสาวกมูราคามิ แต่ก็อ่านหนังสือได้หลากหลายแนว ตั้งแต่ปรัชญาตะวันตก ฟิสิกส์ควอนตัม จนถึงมังงะเลือดสาด และไลท์ โนเวล กุ๊กกิ๊ก

Related Posts

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel