Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2021

“เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)
Early childhood
18 June 2021

“เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ชั้นหนึ่ง (First Grade) สารคดีเล่าเรื่องการจัดการศึกษาปฐมวัยในบ้านเรา กำกับและเขียนบทโดย โสภาวรรณ บุญนิมิตร และ พีรชัย เกิดสินธุ์ คงทำให้ใครหลายคงตั้งคำถามขณะดูสารคดีเรื่องนี้ว่า ผู้ใหญ่กำลังพัฒนาตัวตนของเด็ก หรือกำลังทำลายมันด้วยการศึกษาแบบที่เป็นอยู่?
  • เด็กวัย 0 – 7 ปี ต้องการดูแลใกล้ชิด ความรัก การเสริมสร้างพัฒนาการโดยเฉพาะฐานกาย เด็กวัยนี้ไม่ควรต้องเจอกับการบังคับให้ท่องหนังสือ กับคำสั่ง ‘ห้าม’ หรือ ‘ไม่ได้’ ต่างๆ นานา กับการบังคับให้เรียนมากๆ เพื่อแข่งขันไปสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ที่น่าเศร้า คือ ถึงแม้พ่อแม่จะไม่ได้ทำสิ่งนี้กับลูก แต่สังคมรอบข้าง เช่น ลุงป้าน้าอาใกล้บ้าน หรือคุณครูที่โรงเรียน ก็อาจเป็นคนทำได้
  • แล้วการพัฒนาเด็กคนนึงแบบไหนถึงดีที่สุด? ก็อาจเป็นการเลี้ยงดูที่ยังคงความสดใสและหล่อเลี้ยงความมั่นใจให้มีติดตัวกับเด็กทุกคน ไม่ให้มันถูกทำลายไปตามการเติบโต

1. 

วันก่อน นั่งมองรุ่นพี่ที่ทำงานจูงลูกสาวที่ยังสูงไม่พ้น 100 เซนติเมตร อายุขวบนิดๆ เข้ามาที่ทำงาน ภาพตรงหน้ามันน่ารัก คุณแม่วุ่นวายจับจูงลูกให้อยู่นิ่งๆ หลอกล่อด้วยการ์ตูนในจอแท็บเล็ตเล็ก สลับกับภาพบรรดาเพื่อนที่ทำงานผลัดกันเข้าไปทักทายหยอกล้อ ‘หลานน้า’ กันสนุกสนาน บรรยากาศในที่ทำงานวันนั้นสดใสขึ้นมาจริงๆ 

แต่ในความสดใสมีความเศร้า ตัวคุณแม่เองก็รู้ว่าเวลาพาเด็กเล็กออกมาในพื้นที่ทำงานซึ่ง ‘ความสนใจของแม่’ จะถูกเปลี่ยนไปที่ ‘งาน’ และ ‘เพื่อนร่วมงาน’ ทำให้เด็กถูก distract แย่งความสนใจของแม่ไปที่อื่น เขาจึงวุ่นวายและพยายามเรียกร้องความสนใจกลับไปที่ตัวเอง 

เรื่องนี้คนเป็นแม่เองก็รู้ดี เด็กเล็กวัย 0 – 7 ปี หรือที่เรียกว่า ‘ปฐมวัย’ ต้องการดูแลแบบใกล้ชิด ต้องการความรัก ต้องการการเสริมสร้างพัฒนาการโดยเฉพาะฐานกาย กิจกรรมที่ทำให้เขาได้ทำเช่นนั้น ก็คือการได้ออกกำลัง 

ที่น่าเศร้าสำหรับฉัน คือการได้ยินว่า ‘คุณแม่’ หรือเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ต้องพาน้องไปฝากไว้กับศูนย์เลี้ยงเด็กที่ไว้ใจได้เพื่อช่วยดูแลน้องในวันทำงาน แม้จะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดกับหลายบ้านตามภาระที่ไม่เท่ากัน แต่ก็อดเศร้าไม่ได้ เด็กๆ กำลังถูกบังคับ ‘ให้เรียนรู้’ มากกว่าได้เล่นและอยู่กับคนที่จะให้ความรักเค้า 

ได้แต่คิดในใจว่า ขอให้น้องโชคดีได้อยู่กับศูนย์เด็กเล็กที่เข้าใจคอนเซปต์การไม่เร่งเรียนเขียนอ่านในวัยเด็กเล็ก ไม่เจอครูใจร้ายแบบที่เคยเป็นข่าวเมื่อกลางปีก่อนด้วยเถอะ 

แต่ต่อมาก็รู้สึกแย่ ที่ทำไมเรื่องแบบนี้…เราต้องภาวนา 

2. 

วันก่อน ฉันได้ดูสารคดีเรื่องการจัดการศึกษาของเด็กเล็ก ชื่อ ชั้นหนึ่ง (First Grade) กำกับและเขียนบทโดย โสภาวรรณ บุญนิมิตร และ พีรชัย เกิดสินธุ์ สารคดีเปิดเรื่องด้วยการยื่นเรื่อง ‘ร่างพ.ร.บ.ปฐมวัย’ เมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อกำหนดให้ชัดว่า ปฐมวัยคืออะไร เกณฑ์อายุเท่าไร ต้องจัดการศึกษาให้เด็กเล็กอย่างไร และระบุชัดว่าต้องไม่มีการสอบเข้าป.1 เพราะนี่จะเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่และส่งผลกระทบต่อเด็กเล็กอย่างรุนแรง (วันนี้เรามี พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2562 ออกมาแล้ว แต่เนื้อหาใน พ.ร.บ.ไกลจากร่างที่กลุ่มปฐมวัยเรียกร้องพอสมควร)  

จากนั้นมีเสียงของนักวิชาการด้านปฐมวัยผลัดกันมาเล่าว่า ที่ถูกแล้ววัยนี้ควรได้รับการศึกษาแบบไหน แล้วค่อยพาเราไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กชั้น ป.1 หลากหลายแนวทางการศึกษา หลายจังหวัด หลายชนชั้น ต่างศาสนา และต่างระบบการศึกษา 

ทั้งหมดทำให้เห็นทั้งกระดานจริงๆ ว่า การศึกษาชั้นปฐมวัยในบ้านเรา มันเป็นอย่างไร…และนี่เป็นแค่ช่วงชั้นเดียว 

แต่เอาเข้าจริงแล้วเราอึดอัด เพราะตัวอย่างหลายโรงเรียนที่ทีมผู้ผลิตหยิบมาเล่า…เราไม่เชื่อในการจัดการศึกษาแบบนั้น หรือในบางจังหวะ เราเห็นแววตาเศร้าในดวงตาของเด็ก แม้ไม่ได้อธิบายเป็นคำพูด แต่รับรู้ได้ว่า เด็กตัวน้อยคนนี้กำลังแบกความคาดหวังของผู้ใหญ่ไว้มหาศาล 

ที่ฉันเศร้ากว่าคือ…ทำไมผู้ใหญ่ที่อยู่กับเขาถึงมองไม่เห็น 

ผู้กำกับพาเราไปเจอกับการจัดการศึกษาของบ้านที่มีทางเลือก ขณะเดียวกัน ก็พาไปเจอกับการจัดการศึกษาของชุมชนชาติพันธุ์และของชุมชนคลองเตย – ซึ่งโรงเรียนนี้ฉันเคยไป เคยคุยกับครู เคยคุยกับนักเรียน เคยได้นั่งฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเขาภายใต้เงื่อนไขชีวิตที่เลือกไม่ได้และจัดการได้ยาก การดูเรื่องเล่าในพาร์ทนี้ของฉันจึงอดรู้สึกร่วมและทำใจไม่ก่นด่าระบบใหญ่ไม่ได้ 

และหากดูมาจนท้ายเรื่อง ได้เห็นการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยที่แท้จริงในประเทศ มันก็เห็นความจริงซึ่งหน้าเลยว่า การศึกษาที่มีอยู่จริงนี้สวนทางโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่นักวิชาการบอกมาตอนต้นเรื่อง และนี่คงทำให้เราได้ตั้งคำถามกันใหญ่หลวงแหละว่า

เราเดินมาสู่จุดที่การศึกษาล้มเหลวทั้งกระดานได้อย่างไร เรากำลังใส่อะไรให้กับเด็กตัวน้อยๆ ที่สดใสเหล่านี้กันนะ นี่มันเรื่องใหญ่จริงๆ 

3. 

วันก่อน ฉันนั่งมองคุณแม่คนเดิมโพสต์รูปพัฒนาการของเด็กน้อยคนเดิม เขาสดใสมาก และฉันรู้ว่าคุณแม่ท่านนี้กำลังต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อให้ความสดใสของลูกสาวยังอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะเข้าสู่วัยรุ่นแล้วต้องมีเรื่องเครียดกับชีวิตดั่งที่มันควรเป็น…เมื่อถึงเวลา 

เด็กวัยนี้ไม่ควรต้องเจอกับการบังคับให้ท่องหนังสือ กับคำสั่ง ‘ห้าม’ หรือ ‘ไม่ได้’ ต่างๆ นานา กับการบังคับให้เรียนมากๆ เพื่อแข่งขันไปสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน – คุณแม่ท่านนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอก แต่สังคมรอบข้าง ลุงป้าน้าอาใกล้บ้าน คุณครูที่โรงเรียน…จะเป็นคนทำ 

พลันประโยคหนึ่งของ ‘ครูก้า’ กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เจ้าของโรงเรียนจิตตเมตต์ และหนึ่งในบุคคลที่ต่อสู้เพื่อการจัดการศึกษาที่ถูกต้องของปฐมวัย กล่าวตอนนึงใน ชั้นหนึ่ง (First Grade) ว่า…

“ตกลงเรากำลังพัฒนาการศึกษา หรือทำลายสิ่งที่มีติดตัวเด็กกันแน่?” 

ฉันอยากให้แม่ของเด็กเล็กๆ ทุกคนในโลกได้ดูสารคดีชิ้นนี้ …บอกตามตรงว่ามันอาจไม่สนุกเหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่น มันวิชาการ มันไม่เอนเตอร์เทนจรรโลงใจ แต่…อยากให้คุณแม่ทุกคนได้ถูกถาม อย่างที่ครูก้าตั้งคำถามข้างบน 

เรากำลังพัฒนาตัวตนของเค้า หรือกำลังทำลายมันด้วยการศึกษาแบบที่เป็นอยู่กันแน่? 

4.

โอเค…ฉันอาจบอกว่าสารคดีชิ้นนี้ไม่สนุก แต่คุณูปการของมันไม่ใช่ความสนุกอยู่แล้ว มันคือการได้เห็น ‘ข้อเท็จจริง’ ของการศึกษาในไทย และชวนตั้งคำถามว่า การพัฒนาเด็กคนนึง แบบไหนถึงดีที่สุด ดีที่สุดก็คือ การคงความสดใสและหล่อเลี้ยงความมั่นใจ ความมั่นใจที่มีติดตัวกับเด็กทุกคนไม่ให้มันถูกทำลายไปตามการเติบโต

แต่ถ้าถามว่าจังหวะไหนที่ฉันชอบและทำงานที่สุด สำหรับฉันคือตอนสุดท้ายที่ ‘ครูก้า’ พูดถึงการปีนต้นไม้ของเด็กๆ (ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างคลาสสิกที่นักการศึกษาปฐมวัยแทบทุกคนพูดถึงเลย) 

ครูก้าบอกว่า มันไม่ใช่แค่การปีนต้นไม้ ไม่ใช่แค่การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่ แต่มันคือ ความมั่นใจในเจตจำนงของตัวเอง  ฉัน…จะพาตัวเองเคลื่อนผ่าน จากกิ่งไม้กิ่งหนึ่งไปสู่กิ่งไม้อีกกิ่ง และประสบการณ์เช่นนี้ ไม่ควรถูกห้ามเพียงเพราะความกลัวของผู้ใหญ่เอง  

“และมันคือความสามารถที่จะประเมินตัวเองนะว่าฉันทำได้หรือเปล่า เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ต้นหนึ่งไม่เคยเหมือนกัน และถ้าเราไม่เชื่อ เราจะมองไม่เห็น

“เด็กไม่ต้องการให้ใครไปพัฒนา เด็กต้องการพัฒนาตัวเอง” 

หมายเหตุ: จริงๆ ทีมงานตั้งใจจะเผยแพร่ภาพยนตร์สารคดีชุดนี้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ติดเรื่องการระบาดระลอก3 จึงทำให้ต้องเลื่อนการฉายออกไป ซึ่งทางทีมงานยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะจัดฉายในปีไหน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอฝากทุกท่านติดตาม เมื่อวันนั้นมาถึงนะคะ ☺

Tags:

พ่อแม่ระบบการศึกษาปฐมวัยการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

The Mitchells vs. The Machines : อย่าบอกให้ขอโทษเพียงเพราะเราเด็กกว่า
Movie
17 June 2021

The Mitchells vs. The Machines : อย่าบอกให้ขอโทษเพียงเพราะเราเด็กกว่า

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • The Mitchells vs. The Machines แอนิเมชันเล่าถึงการเดินทาง Road trip ของ ‘ครอบครัวมิทเชลล์’ ที่อยู่ๆ ก็ต้องมาร่วมมือกันกอบกู้โลกจากฝีมือของหุ่นยนต์ที่ต้องการกำจัดมนุษย์ที่แสนจะเรื่องเยอะ เป็นแอนิเมชันสุดป่วนที่พูดถึงเรื่องครอบครัวได้อย่างอบอุ่นใจ
  • ริคและเคที่เคยเป็นพ่อกับลูกที่สนิทกัน แต่พอเคที่เริ่มโตก็มีสิ่งที่เธอสนใจต่างออกไปจากพ่อ ทั้งคู่ไม่เคยได้พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายสนใจ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเค้าค่อยๆ ถูกถ่างจนห่างกันออกไป
  • หลังจากพ่อลูกหันหลังให้กัน ลิน (ภรรยาริค) คุยกับริคว่า ‘ริค คุณไม่คิดหรอว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณก็มีส่วนผิดนะ ทุกครั้งที่บ้านเรามีปัญหาอะไร คุณจะเป็นคนซ่อมหรือแก้ไขเสมอ และฉันชอบที่คุณเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเคที่กำลังจะพัง พรุ่งนี้เมื่อเคที่ย้ายออกไปแล้ว ลูกอาจจะไม่อยากกลับบ้านตลอดไปเลยก็ได้ แล้วถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นปัญหานี้ก็คงสายเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว’

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์การฟังและตั้งคำถามการ์ตูน

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    The Queen’s Gambit (2020) นิยาม ‘ครอบครัว’ ที่ไม่จำเป็นต้องสายเลือดเดียวกัน ขอแค่เป็นคนที่เราต้องการมากที่สุด

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Learning Theory
    6 คำถามสำหรับครู-โค้ช ชวนเด็กถอดบทเรียนหลังทำกิจกรรมเพื่อกดเซฟการเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    สิทธิเด็กอยู่ตรงไหน (ในการนินทา) ข่าวดาราเลิกกัน: จะเด็จ เชาวน์วิไล

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

“เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เข้าใจวัยรุ่นในวันที่ป่วยใจ
How to get along with teenager
16 June 2021

“เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เข้าใจวัยรุ่นในวันที่ป่วยใจ

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในตัวของเด็กคนหนึ่ง ทั้งฮอร์โมนที่มีมากขึ้น การต้องรับมือกับภาระที่มีมากมายจนเกือบจะเท่าผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะผ่านวัยเด็กมา และการต้องควบคุมตัวเองในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งกระตุ้นมากมาย
  • ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ได้มีมากพอ ภูมิคุ้มกันทางใจที่ยังไม่หนาแน่น ความทุกข์เหล่านั้นดูจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นหนักหนาสาหัสไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย ด้วยเหตุนี้ วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่เสี่ยงต่อการป่วยทางใจมากที่สุดวัยหนึ่ง พ่อแม่ คุณครู และผู้ใหญ่รอบตัวของเขาควรให้ความสำคัญและช่วยกันสอดส่องดูแล
  • นอกจากนี้ช่วงวัยรุ่น ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหา “อัตลักษณ์ของตัวเอง (Identity)” ผ่านการสำรวจความตัวตน ทั้งความรู้สึก ความต้องการ ความเชื่อ คุณค่าภายในตนเอง หากวัยรุ่นสามารถค้นพบตัวตนที่สอดคล้องกันระหว่างภายนอกและภายใน เขาจะสามารถเติบโตต่อไปโดยไม่รู้สึกติดค้างในช่วงวัยดังกล่าว
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

ธรรมชาติของวัยรุ่น

‘วัยรุ่น’ เปรียบเสมือนขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่

ขั้นบันไดนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากมายภายในร่างกายและจิตใจของมนุษย์ (วัยรุ่น) ที่เด่นชัด คือ การเปลี่ยนเเปลงทางสรีระวิทยา เช่น เสียงแตกหนุ่ม ตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนแขน ขนขา และอื่นๆ ขึ้นตามตัวในวัยรุ่นชาย การเป็นประจำเดือน หน้าอกขยายใหญ่ และอื่นๆ ในวัยรุ่นหญิง

ส่วนโครงสร้างภายนอกและการทำงานภายในของสมองของวัยรุ่นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เช่นกัน

จิตแพทย์ชาวอเมริกัน Jay Giedd (2015) ได้กล่าวถึง สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับสมองของวัยรุ่น ไว้ดังนี้…

  1. การเติบโตของสมองของวัยรุ่นหญิง – ชายมีความแตกต่างกัน

โดยเฉลี่ยแล้วเด็กหญิงจะเข้าสู่วัยแรกรุ่นเมื่ออายุ 10 – 14 ปี ส่วนเด็กชายจะเข้าสู่วัยแรกรุ่นเมื่ออายุ 12 – 16 ปี สาเหตุที่เด็กหญิงเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเด็กชาย ก็เพราะว่าสรีระของเพศหญิงเติบโตเร็วกว่าเพศชายเฉลี่ยแล้ว 2 ปี นั่นหมายความว่า เด็กหญิงจะเริ่มสูง และดูเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเด็กชาย ในที่นี้รวมไปถึงการเติบโตของสมองของเพศหญิงที่เร็วกว่าเพศชายด้วย นี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุว่า ทำไมเด็กหญิงจึงดูโตกว่าเด็กชาย

  1. การที่สมองเติบโตถึงขนาดที่ใหญ่ที่สุดของมัน ไม่ได้หมายความว่า สมองจะสิ้นสุดการเติบโตทางด้านวุฒิภาวะ

สำหรับวัยรุ่นชายหญิง ถึงแม้ว่าสมองเติบโตจนมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา แต่สมองของวัยรุ่นก็ยังไม่พัฒนาและเติบโตเต็มที่ จนกว่าจะถึงช่วงกลางถึงช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป

ส่วนหน้าของสมองที่เรียกว่า สมองกลีบหน้าผาก (The Prefrontal Cortex) เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนสุดท้ายที่จะเจริญเติบโต สมองส่วนนี้ดูแลรับผิดชอบในการวางแผน จัดเรียงลำดับความสำคัญ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้วัยรุ่นหญิงชายพัฒนาสมองส่วนนี้ขึ้นมา ต้องเริ่มตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรให้เด็กลงมือทำงานเพื่อพัฒนาสมองของพวกเขาเรื่อยมา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาในลำดับขั้นต่อไปในวัยรุ่น 

ดังนั้น แม้จะเป็นวัยรุ่นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า เด็กจะสามารถตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม เพราะนอกจากขนาดสมองที่ใหญ่แล้ว สมองยังต้องมีทักษะการเรียนรู้จากประสบการณ์อีกมาก เพื่อพัฒนาไปสู่สมองที่มีวุฒิภาวะ (Maturing brain) เฉกเช่นวัยผู้ใหญ่

  1. สมองของวัยรุ่นมหัศจรรย์มาก เพราะสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าสมองของวัยผู้ใหญ่

สำหรับวัยรุ่น แม้ตลอดวัยเด็กที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยมีมือถือ หรือคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองมาก่อน แต่เมื่อไรที่เขาได้เป็นเจ้าของ วัยรุ่นสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผู้ใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ

ดังนั้น หากเราไม่ได้มอบเวลาหน้าจอมากมายให้กับวัยรุ่นในวัยเด็กของเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าวัยรุ่นคนนี้จะมีทักษะทางเทคโนโลยีที่ต่ำกว่าเพื่อนวัยรุ่นที่ได้รับโอกาสสัมผัสหน้าจอมากกว่าเขา วัยรุ่นเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็จะตามเพื่อนของเขาทันอย่างง่ายดาย

แต่ความสามารถในการควบคุมตัวเองหรือการยับยั่งชั่งใจ การเรียงลำดับความสำคัญ และความคิดยืดหยุ่น ซึ่งเป็นแกนหลักของทักษะทางสมอง EF (Excutive function) ซึ่งเป็นความสามารถที่เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้าที่​ช่วยให้คนเราสามารถควบคุม ความคิด อารมณ์ พฤติกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ตนต้องการ​สำเร็จ 

ทักษะทางสมอง EF ไม่สามารถพัฒนามาได้อย่างรวดเร็ว ต้องพัฒนาตั้งแต่วัยเยาว์

  1. วัยรุ่นต้องการการนอนหลับมากกว่าวัยเด็กและผู้ใหญ่

แม้ว่ามันอาจดูเหมือนวัยรุ่นขี้เกียจ แต่หลักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าระดับเมลาโทนิน (ระดับฮอร์โมนการนอนหลับ) ในเลือดของวัยรุ่นเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติในเวลากลางคืน และลากยาวมาถึงตอนเช้ามากกว่าวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมวัยรุ่นจำนวนมากนอนดึกและมีความยากลำบากในการตื่นนอนในตอนเช้า วัยรุ่นควรนอนประมาณ 9 – 10 ชั่วโมงต่อคืน แต่วัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ได้นอนหลับเพียงพอ เนื่องจากตารางเวลาที่ขัดกับธรรมชาติของร่างกายวัยรุ่น

การนอนหลับไม่เพียงพอในวัยรุ่นสามารถส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า หรือการบกพร่องในการควบคุมอารมณ์ ซึ่งนานวันอาจจะส่งผลต่อการเป็นโรคทางจิตได้

ดังนั้น หากลูกวัยรุ่นของเรานอนดึกมาก แล้วตื่นสาย หรือตื่นเที่ยงในวันหยุดของพวกเขา โปรดเข้าใจสมองของวัยรุ่นด้วย อย่าเข้มงวดกับพวกเขานัก แค่วันจันทร์ถึงศุกร์ที่วัยรุ่นต้องไปโรงเรียนแต่เช้า โดยเฉพาะวัยรุ่นไทยที่ต้องฝ่ารถติดไปโรงเรียน ให้เขาได้นอนเต็มอิ่มในวันหยุดเสาร์อาทิตย์บ้าง

  1. ความผิดปกติทางจิตหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น

เนื่องจากเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในตัวของเด็กคนหนึ่ง ทั้งฮอร์โมนที่มีมากขึ้น การต้องรับมือกับภาระที่มีมากมายจนเกือบจะเท่าผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะผ่านวัยเด็กมา และการต้องควบคุมตัวเองในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งกระตุ้นมากมาย

หากเปรียบให้เห็นภาพ

ในวัยเด็กก็เคยผ่านช่วงที่อยากทดสอบข้อจำกัดของร่างกายที่ตัวเองมี คือ ในช่วงวัย 2 ปี ที่เรามักจะเรียกช่วงวัยนี้ว่าวัยทองของเด็ก 2 ชวบ (Terrible two) เพราะเด็กเพิ่งเรียนรู้ว่าตัวฉันมีอยู่จริง พ่อแม่มีอยู่จริง ทำให้ฉันอยากรู้ว่า ฉันสามารถทำอะไรกับร่างกายของฉันได้บ้าง และสิ่งที่ฉันทำมีผลอย่างไรกับพ่อแม่ของฉันบ้าง

ส่วนวัยรุ่น ร่างกายที่พลุ่งพล่านด้วยฮอร์โมน สมองที่คิดรับมือสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาตลอดเวลา ทั้งยังห่วงเรื่องร่างกายที่เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ยิ่งกังวลกับการไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น แต่ก่อนฉันไม่เคยต้องกังวลเรื่องกลิ่นตัว ความสูง และกลิ่นปาก เดี๋ยวนี้แค่คุยกับเพื่อนก็ต้องคอยระวัง หรือวัยรุ่นหญิงต้องคอยระวังในวันที่ประจำเดือนมา กระโปรงจะเลอะไหม สิวขึ้นเต็มหน้า กังวลเรื่องความอ้วน ฯลฯ

นอกจากนั้นแล้ว วัยรุ่นยังเป็นวัยที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่างๆ ที่คล้ายกับผู้ใหญ่ เข่น การขับขี่ยานพาหนะ ใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก การแต่งงาน การเปิดบัญชีธนาคารด้วยตัวเอง และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นก็ยังไม่มีประสบการณ์เทียบเท่าผู้ใหญ่ พวกเขาทำผิดพลาดได้บ่อยครั้ง แต่ด้วยภาระที่เข้ามาประเดประดัง ทำให้มีเรื่องที่วัยรุ่นต้องเจ็บปวดอีกมากกับการต้องตัดสินใจที่ขาดประสบการณ์ของเขา

ความเครียดมากมายที่ก่อตัวขึ้นมาในวัยรุ่น ส่งผลให้เกิดโรคจิตเวชตามมา เช่น โรคซึมเศร้า (Depression) โรคความผิดปกติในการกิน (Eating disorders) โรควิตกกังวล (Anxiety) และโรคจิตเภท (Schizophrenia) คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง

สมองวัยรุ่นมีความยืดหยุ่นและมีการฟื้นฟูตัวเองได้รวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น แม้ว่าวัยรุ่นจะเป็นวัยที่สมองอาจมีความเสี่ยงเกิดโรคทางจิตเวช แต่สมองของวัยรุ่นมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น หากเราให้ความช่วยเหลือวัยรุ่นตั้งแต่ระยะเเรกๆ โอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติสุขนั้นมีมากกว่าในระยะยาว

วัยรุ่นควรไปพบจิตแพทย์ หากกังวลว่า ตนเองมีความเสี่ยงจะเป็นโรคทางจิตเวช พ่อแม่และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดวัยรุ่นควรพาเขาไปพบจิตแพทย์ให้เร็วที่สุด อย่าทิ้งเอาไว้เนิ่นนาน

“การค้นหาตัวเอง” เป็นส่วนสำคัญของการเป็นวัยรุ่น

ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของ (Psychosocial Development) ของ อีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวไว้ว่า “ในช่วงวัยรุ่นการเปลี่ยนจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่มีความสำคัญที่สุด เด็กวัยนี้จะมีความเป็นอิสระมากขึ้นและเริ่มมองไปที่อนาคตทั้งในการเลือกอาชีพ การสร้างความสัมพันธ์กับใครสักคน การรับผิดชอบกับภาระหน้าที่ทางครอบครัว และอื่นๆ วัยรุ่นให้ความสำคัญกับการเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น เขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม”

ช่วงวัยรุ่น ซึ่งตรงกับช่วงวัย 12-18 ปี เป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหา “อัตลักษณ์ของตัวเอง (Identity)” ผ่านการสำรวจความตัวตน ทั้งความรู้สึก ความต้องการ ความเชื่อ คุณค่าภายในตนเอง หากวัยรุ่นสามารถค้นพบตัวตนที่สอดคล้องกันระหว่างภายนอกและภายใน เขาจะสามารถเติบโตต่อไปโดยไม่รู้สึกติดค้างในช่วงวัยดังกล่าว

ในทางกลับกันหากวัยรุ่นไม่สามารถรับรู้ความต้องการที่มีต่อตัวเอง หรือแม้จะค้นพบความต้องการนั้น แต่ไม่สามารถทำตามที่ใจต้องการได้ อาจจะเป็นเพราะ…

สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อ เช่น สังคมไม่ให้การยอมรับ ขัดกับค่านิยมของครอบครัว พ่อแม่ห้ามปรามไม่ให้เลือกในทางที่เป็นตัวเขา หรือเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่สามารถเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการได้

สิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลให้วัยรุ่นเกิดความกังวลและความคับข้องใจ ถ้าหากไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ปมที่ติดค้างจะนำไปสู่ “ความสับสนในบทบาทของตัวเอง (Role Confusion)” วัยรุ่นจึงพยายามสุดกำลังเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่อตัวเอง และคนที่เขารัก เมื่อพยายามเต็มที่แล้วทำไม่ได้ วัยรุ่นมีสองทางเลือก คือ การเปลี่ยนเส้นทาง หรือปล่อยวาง ในวัยรุ่นบางคนที่หาทางออกให้กับปัญหานี้ไม่ได้ สุขภาพจิตของเขาจะได้รับการบั่นทอนลง

“เป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด”

ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะมองว่าความทุกข์ของเด็กเป็นเรื่องเล็ก ความเปราะบางของวัยรุ่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ ภูมิคุ้มกันทางใจที่ยังไม่หนาแน่นพอ ความทุกข์เหล่านั้นดูจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาหนักหนาสาหัสไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย ด้วยเหตุนี้ วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่เสี่ยงต่อการป่วยทางใจมากที่สุดวัยหนึ่ง พ่อแม่ คุณครู และผู้ใหญ่รอบตัวของเขาควรให้ความสำคัญและช่วยกันสอดส่องดูแล

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกกำลังป่วยใจและต้องการความช่วยเหลือ

  1. การนอนที่ผิดปกติ นอนไม่หลับเลยหรือนอนมากเกินไป เป็นต่อเนื่องติดต่อกันนานเกินสองสัปดาห์ขึ้นไป จนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
  2. เก็บตัวอยู่คนเดียว และแยกตัวจากสังคม ไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ ไม่อยากออกไปใช้ชีวิตตามปกติ 
  3. ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง เช่น ไม่ล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน หรือแต่งตัว เกิดความรู้สึกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต
  4. มีอาการเจ็บป่วยทางกายแบบหาสาเหตุไม่ได้ เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ร่างกายซูบผอม อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หัวใจเต้นเร็วขึ้น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก เป็นต้น
  5. การกินผิดปกติ ได้แก่ เบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไรเลยจนน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ซูบผอม หรือกินมากเกินปกติแบบต่อเนื่องจนน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว และควบคุมพฤติกรรมการกินของตนเองไม่ได้
  6. ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำได้ตามปกติ ความสามารถในการคิดอ่านลดลง ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องธรรมดาๆ ที่เคยทำได้
  7. มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น มั่นใจในตัวเองมากเกินปกติ มีอารมณ์คึกครื้น ไม่อยากนอน มีพลังงานสูงมากเกินปกติ พูดเร็ว ทำเร็ว รวมถึงใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเงินแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
  8. มีอารมณ์ซึมเศร้า และคิดว่าตนเองไม่มีคุณค่า ร้องไห้บ่อย คิดว่าตนเองเป็นภาระ โทษตัวเองในเรื่องต่างๆ มองเห็นแต่ข้อผิดพลาดของตัวเอง รู้สึกสิ้นหวัง หรืออาจมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองไปจนถึงอยากตาย

เมื่อพ่อแม่และผู้ใหญ่พบสัญญาณเหล่านี้ในลูกวัยรุ่น เราควรให้ความช่วยเหลือกับวัยรุ่นทันที

แนวทางในการรับมือในวันที่ลูกป่วยใจ

ขั้นที่ 1 นั่งลงคุยกับลูก

หากที่ผ่านมาเราไม่เคยนั่งลงคุยกับเขาอย่างจริงจังมาก่อน การทำให้ตัวเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูกสำคัญเป็นอย่างมาก

(1) ให้การรับฟัง ฟังอย่างตั้งใจ และฟังไม่ใช่เพื่อจับผิดหรือตัดสินลูก

สิ่งที่เขากำลังจะบอกเราสำคัญมาก หากเราแทรกเขาเพื่อสั่งสอนหรือตำหนิเขา ลูกอาจจะไม่พูดสิ่งที่ต้องการจะบอกอีกเลย โอกาสที่ลูกจะบอกเราไม่ได้มีทุกครั้ง อย่าทำลายโอกาสแรกที่เขากำลังจะเปิดใจกับเรา 

(2) ให้การยอมรับในตัวเขา 

ไม่ว่าวันนี้ลูกจะเป็นอะไร เราให้การยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น เพื่อเคียงข้างและช่วยเขา

(3) ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ

ระหว่างกระบวนการเยียวยา อาจจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับวัยรุ่นที่ต้องเผชิญเพียงลำพัง แต่ถ้าพ่อแม่หรือคนที่เขารักอยู่เคียงข้าง และให้การสนับสนุนทางใจ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การรับฟัง คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาต้องการในช่วงเวลาเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ถ้าวันนี้ลูกไม่กล้าบอกอะไรเรา ไม่เป็นไร ให้ความมั่นใจกับลูกว่า “พ่อแม่พร้อมฟังเขาเสมอ”

ที่สำคัญให้คำแนะนำลูกในการไปหาคนกลางที่พร้อมจะรับฟังเขา เช่น การไปพบจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา

เพราะบางครั้ง ลูกกลัวว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะทำให้พ่อแม่มองเขาแปลกไป หรือ ไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้

ขั้นที่ 2 การพาลูกไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา

การที่ลูกส่งสัญญาณที่บ่งบอกว่า เขากำลังป่วยทางใจ พ่อแม่ควรยอมรับและพาเขาไปรับความช่วยเหลือจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาอย่างเร็วที่สุด เพราะบางครั้งลูกอาจจะมีเพียงอาการที่อยู่ในขั้นต้น ยังสามารถให้การป้องกันแทรกแซงก่อนที่จะกลายเป็นโรคจิตเวชอย่างสมบูรณ์

พ่อแม่ควรให้ความมั่นใจกับวัยรุ่นว่า “การที่เราป่วยใจไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ และการต้องไปพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ”

“เริ่มต้นนัดหมายจิตแพทย์อย่างไรดี”

(1) โรงพยาบาลที่มีแผนกจิตแพทย์ หรือ คลินิกจิตแพทย์  เพื่อนัดหมายกับจิตแพทย์ในเบื้องต้นก่อน

หมายเหตุ: รายชื่อโรงพยาบาลและคลินิคที่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย สามารถค้นหาได้ในเพจของ ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย

(2) ให้ลูกเข้ารับการประเมินทางสุขภาพจิต เพื่อให้จิตแพทย์ทำการวินิจฉัยโรคในเบื้องต้น จากนั้นทางจิตแพทย์จะพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการรักษา ได้แก่ การได้รับการจ่ายยา หรือ การบำบัดที่เหมาะสมกับคนไข้ต่อไป

(3) การนัดหมายเพื่อติดตามผล และการเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาต่อไป

ขั้นที่ 3 การเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา

ในปัจจุบันมีแนวทางการบำบัดหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของอาการและบุคลิกของคนไข้แต่ละคน

ยกตัวอย่างเช่น

Medication คือ การรักษาด้วยยา ในโรคจิตเวชหลายโรคมีสาเหตุมาจากสารเคมีในสมองที่หลั่งผิดปกติ ทำให้การกินยาจะเข้าไปช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมองดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ได้รับยาสามารถควบคุมร่างกายและความคิดของตนเองได้ดีขึ้น ทั้งนี้ผลข้างเคียงของยาแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันไป คนไข้ควรแจ้งจิตแพทย์ เรื่องโรคประจำตัว และกิจวัตรประจำวันที่สำคัญ เพื่อให้ทางจิตแพทย์ปรับและจ่ายยาอย่างเหมาะสม ข้อสำคัญคนไข้ไม่ควรลดยาหรือหยุดกินยาด้วยตนเอง เพราะอาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันกับสารเคมีในสมองได้

Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ซึ่งเป็นการทำจิตบำบัดรูปแบบหนึ่ง โดยเน้นเรื่องการจัดการกับอารมณ์ทางลบ เช่น ความเศร้า ความวิตกกังวล ความโกรธ เป็นต้น ผ่านการปรับเปลี่ยนความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แสดงออกมา

Talk Therapy เป็นการบำบัดผ่านการพูดคุย การรับฟัง การถาม-ตอบ และการสะท้อนกลับ เพื่อให้ผู้รับการบำบัดมองเห็นปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น

Play Therapy เป็นการเล่นเพื่อเยียวยา ผู้รับการบำบัดสามารถใช้ของเล่นและอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องเล่นบำบัด ถ่ายทอดความรู้สึก อารมณ์ และสิ่งต่างๆ ภายในใจออกมาในรูปแบบการเล่น โดยมีนักเล่นบำบัดเป็นผู้เคียงข้างสะท้อน และสรุปสิ่งสำคัญจากสิ่งที่เราแสดงออกมาให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน

Family Therapy วิธีนี้จะช่วยให้วัยรุ่นและสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ เข้าใจและสนับสนุนเขาได้ดีขึ้น

เป็นต้น

ระหว่างกระบวนการบำบัดรักษา “การสนับสนุนทางใจจากคนที่รัก” มีความสำคัญกับวัยรุ่นเป็นอย่างมาก พ่อแม่ควรให้ความเข้าใจและเคียงข้าง 

วัยรุ่นกับการพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา

ทุกวันนี้การพาลูกไปพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนเป็นกังวล เพราะการไปพาลูกไปพบจิตแพทย์ แปลว่า ลูกของเราผิดปกติทางจิต ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วการไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนที่เวลาลูกป่วยเป็นโรคทางกาย เราสามารถพาลูกไปหาหมอเพื่อรับการรักษาได้ ดังนั้นหากลูกเราป่วยใจ เราควรพาเขาไปพบคุณหมอหรือนักจิตวิทยาได้เช่นกัน

“ทุกคนป่วยได้ ความเจ็บป่วยไม่ได้เลือกอายุ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็สามารถเจ็บป่วยกันได้ทั้งนั้น ยิ่งรักษาเร็ว ความเจ็บป่วยจะไม่เรื้อรัง และโอกาสหายนั้นย่อมมีมากกว่า”

ที่สำคัญ การที่ลูกได้รับการวินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นโรคจิตเวช ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาต้องกลายเป็นคนวิกลจริต

โรคทางกายมีหลายโรคหลายอาการ โรคทางใจก็มีหลายโรค และหลายอาการเช่นเดียวกัน

ในบางคนเป็นโรคจิตเวช เพราะตัวโรคนั้นติดตัวเขามาโดยกำเนิด (กรรมพันธุ์) 

ในบางคนเป็นโรคจิตเวช เพราะสภาพแวดล้อมกระทำกับเขา

ในบางคนเป็นโรคจิตเวช เพราะทั้งตัวเขามีแนวโน้มจะเป็นอยู่แล้ว ผนวกกับสภาพแวดล้อมที่เข้าไปกระตุ้นพอดี

และในบางคนอาจจะยังไม่เป็นโรคจิตเวช มีเพียงแค่อาการทางใจ เพราะตัวเขาประสบกับเหตุการณ์ที่กระทบใจเขา

ด้วยเหตุนี้ ได้โปรดอย่าเหมารวมทุกคนที่มีโรคหรืออาการทางใจว่าเป็นคนวิกลจริต 

ที่สำคัญอย่าคิดว่าการที่ลูกต้องมาพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาแปลว่า เขาเป็นคนอ่อนแอ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า ลูกพยายามด้วยตัวเขาเองและเข้มแข็งมานานแค่ไหนแล้ว บางคนอดทนและเข้มแข็งแล้วสามารถผ่านพ้นจุดนั้นไปได้ แต่บางคนไม่สามารถ การมาพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ถือเป็นการเผชิญปัญหาที่ดี ไม่ใช่การหนีปัญหา

หากพ่อแม่เข้าใจตรงนี้ และให้การเคียงข้างและสนับสนุนทางกายใจกับลูกในวันที่ใจเขาป่วยใจและไม่พร้อมยืนหยัดด้วยตัวเขาเอง อย่างน้อยความกังวลและความเศร้าที่เกิดขึ้นกับลูกก็ได้รับการบรรเทาลงไปได้ เพราะพ่อแม่ทำให้เขารับรู้ว่า “เขายังเป็นที่รักและมีคุณค่าอยู่”

“เด็กอายุ 18 ปีสามารถไปพบจิตแพทย์ได้ด้วยตนเองได้”

เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี บางคน ประเมินตัวเองแล้วว่า มีอาการหรือสัญญาณของการป่วยเป็นโรคจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ และอื่นๆ แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่สามารถพาไปพบจิตแพทย์ได้ หรือไม่ให้ความช่วยเหลือในการพาเขาไปพบจิตแพทย์ได้ เขาสามารถมาพบจิตแพทย์ได้ด้วยตนเอง 

อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะกำหนดว่าการบำบัดรักษาจะต้องมีผู้ปกครองให้ความยินยอม แต่ในเรื่องของการให้คำปรึกษาให้คำแนะนำโดยที่ไม่ได้มีการรักษาหรือจ่ายยาก็สามารถทำได้ ซึ่งทางจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาก็จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเบื้องต้น และให้แนวทางและเอกสารในการกลับไปพูดคุยกับพ่อแม่ว่า จะต้องพูดคุยอย่างไรเพื่อที่พวกท่านจะยอมให้เรามารับการรักษา 

แต่หากเป็นกรณีที่ฉุกเฉิน เช่น มีการทำร้ายร่างกายตนเอง ทำร้ายร่างกายคนอื่น ไม่สามารถควบคุมอาการที่ทำให้เสี่ยงต่อชีวิตทั้งตัวเองและผู้อื่นได้แล้ว ตรงนี้จิตแพทย์สามารถทำการรักษาได้ และจะมีการติดตามต่อเนื่อง

ในกรณีที่เด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ทางกรมสุขภาพจิตและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่ในการดูแลเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยงทุกรูปแบบ หากมีการประเมินว่า เด็กมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต ก็สามารถรับรองในการเข้าถึงการรักษาได้ แต่หากยังมีผู้ปกครอง ทางนักสังคมสงเคราะห์เข้าไปพูดคุยเพื่อขอลายเซ็นในการอนุญาตในการรักษา

วัยรุ่นก็คือเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในร่างผู้ใหญ่ ร่างกายเขาเริ่มเติบโตเต็มที่แล้ว แต่จิตใจของเขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ เขาลองผิดลองถูก เขาพัฒนาตัวตน และเขาเรียนรู้ที่จะสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง

ในวันที่วัยรุ่นเจอปัญหาและเหนื่อยล้าเต็มที เขาจะกลับมาเติมพลังที่บ้านของเขา ดังนั้น พ่อแม่ผู้ใหญ่มีหน้าที่ทำบ้านให้น่าอยู่ แล้วเขาจะกลับมาพักใจกับเราเอง

คงไม่มีลูกวัยรุ่นคนไหนที่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวังและเลิกรักเขา

การป่วยใจ สำหรับวัยรุ่นบางคนเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับเขามาก

การที่มีใครสักคนที่เขารักเคียงข้าง และให้การยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น 

วัยรุ่นจะสามารถกลับมาเชื่อมั่นและข้ามผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้

อ้างอิง
Giedd, J. N. (2015). The amazing teen brain. Scientific American, 312(6), 32-37.
Widick, C, Parker, C A, & Knefelkamp, L (1978) Erik Erikson and psychosocial development New directions for student services, 1978(4), 1-17

Tags:

วัยรุ่นการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เข้าใจ(สมอง)วัยรุ่น ทำไมชอบเสี่ยง?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Creative learning
    มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • MovieEarly childhood
    THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

    เรื่อง

Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ
Learning Theory
15 June 2021

Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกที่ 1 ใน 3 บันทึกภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จของศิษย์ (achievement mindset) บันทึกนี้จะพูดถึงการฝึกให้นักเรียนตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ประสบความสำเร็จ
  • ครูเป็นบุคคลหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้นักเรียนฟันฝ่าจนประสบความสำเร็จ เป็นการฝึกทักษะชีวิต (life skills) และโอกาสในการเรียนรู้ทักษะที่สำคัญที่สุดต่อตนเองโดยที่เราไม่รู้ตัวตัว คือ ทักษะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (make the impossible possible) 
  • เริ่มต้นด้วยการเลิกตีตรา เพราะทักษะความสามารถเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ สร้างแรงจูงใจที่มองไม่เห็นให้กับนักเรียน

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ เป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ 1 ใน 3 บันทึกภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จของศิษย์ (achievement mindset) ตีความจากตอนต้นของ Part Two : Why the Achievement Mindset? และ Chapter 4 Set Gutsy Goals เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

สำหรับครูวาทกรรมของชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จ (achievement mindset) คือ ‘ฉันสามารถสร้างเจตคติ แรงบันดาลใจ และความมานะพยายามของนักเรียนสู่ความสำเร็จได้ ทักษะเหล่านี้ฝึกได้’ ผู้เขียนขอยํ้าว่าชุดความคิดนี้ใช้ได้กับนักเรียนทุกคน

ครูเป็นบุคคลหนึ่งที่สามารถช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จได้ และเมื่อนักเรียนประสบกับความล้มเหลว ครูไม่ควรปลอบโยนพวกเขาด้วยประโยค ‘เธอได้ทำดีที่สุดแล้ว’ ‘เธอมีจุดแข็งอย่างอื่น’ เพราะจะไปลดแรงจูงใจของนักเรียน ทำให้พวกเขามีความคาดหวังต่อตัวเองต่ำ และผลการเรียนตกตํ่า มีผลการวิจัยบอกว่าเมื่อนักเรียนมีแรงจูงใจ effect size ต่อความสำเร็จเท่ากับ 0.48

ข้อมูลหลักฐาน

มีผลวิจัยรายงานว่า ทัศนคติความคิดของครูมีผลต่อความสำเร็จของนักเรียนมากกว่าไอคิว สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม และความสามารถในการอ่านของนักเรียน ครูสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อนักเรียน โดยการเปลี่ยนวิธีจากให้การตอบสนองอย่างอ่อน เช่น การให้รางวัล การให้คำชม หรือการลงโทษ ไปเป็นวิธีการที่สร้างแรงจูงใจแบบมองไม่เห็น สร้างชุดความคิดเจริญงอกงาม และเลิกตีตรา

แรงจูงใจแบบมองไม่เห็น

แรงจูงใจแบบมองไม่เห็น (the invisible motivators) ช่วยสร้างพลัง แรงจูงใจ และความมานะพยายามให้กับนักเรียน สามารถสร้างได้ผ่านปัจจัย 5 อย่าง ได้แก่ 1.กำหนดความหมาย กรอบงาน และวิธีทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม 2.จัดการ ‘พูดกับตนเอง(self talk)’ ของครู และของนักเรียน 3.ช่วยฝึกทักษะย่อยที่ต้องการใช้ในการทำงาน 4.กำจัดความคิดแบบแผ่นเสียงตกร่อง และ 5.ตีกรอบความล้มเหลว ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น

สร้างชุดความคิดเจริญงอกงาม

หัวใจของชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จ (achievement mindset) คือ การเรียนรู้ฝึกฝนได้ ทั้งฝึกครูและฝึกศิษย์ มีงานวิจัยทำการทดสอบว่า ทัศนคติมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนหรือไม่ พวกเขาแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 โดยกลุ่มที่หนึ่งนักวิจัยบอกกับนักเรียนว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (สร้าง fixed mindset) ส่วนอีกกลุ่มนักวิจัยบอกนักเรียนว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่ฝึกได้ (สร้าง growth mindset) ผลการทดสอบพบว่า ผลการเรียนของนักเรียนกลุ่มหลังสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสองปีให้หลังเด็กกลุ่มหลังก็ยังมีคะแนนผลการเรียนสูงกว่า

เลิกตีตรา

การถูกตีตราว่าด้อย ส่งผลลบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เจนเซนแนะนำให้ครูเลิกการตีตรา (drop the labels) เช่น ว่าเป็นนักเรียนจากชนกลุ่มน้อย ว่าเป็นนักเรียนที่ผลการเรียนอ่อน ว่าเป็นนักเรียนเด็กด้อยโอกาสหรือพิการ

ผลของการตั้งความคาดหวังสูง

มีผลวิจัยรายงานว่า การประเมินตนเองของนักเรียน โดยให้นักเรียนตั้งความคาดหวังเกรดของตนเอง ให้ effect size ต่อผลการเรียน เท่ากับ 1.44 เกือบจะสูงที่สุดในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน

หลักการสำคัญของครู คือ ไม่อนุญาตให้นักเรียนตั้งความคาดหวังตํ่าต่อการเรียนของตน แม้ว่านักเรียนคนนั้นจะมีประวัติเรียนอ่อนก็ตาม การบรรลุผลการเรียนในระดับสูง นักเรียนต้องทำงานหนัก มีผลการวิจัยบอกว่า มีปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่กระตุ้นให้นักเรียนขยัน ได้แก่

  1. นักเรียนมีความเชื่อว่าตนสามารถบรรลุเป้านั้นได้
  2. นักเรียนมีความเชื่อว่าครูช่วยหนุนให้ตนบรรลุเป้าได้
  3. การประเมินตนเองของนักเรียน
  4. แนวความคิดเกี่ยวกับตนเองในภาพรวมของนักเรียน

ครูสามารถมีอิทธิพลต่อปัจจัยทั้ง 4 ประการนี้ ซึ่งหมายความว่า ครูมีลู่ทางช่วยให้นักเรียนทำงานหนักได้

สร้างเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อบรรลุผลการเรียนรู้ระดับเชี่ยวชาญ

การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในระดับที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เพื่อท้าทายความมานะพยายามของนักเรียน โดยมีครู (และคนในครอบครัว) ช่วยสนับสนุนให้พวกเขาฟันฝ่าจนประสบความสำเร็จ เป็นสุดยอดของการเรียนรู้ในชีวิต เป็นการฝึกทักษะชีวิต (life skills) ที่สุดยอด และโอกาสในการเรียนรู้ทักษะที่สำคัญที่สุดต่อตนเองโดยที่เราไม่รู้ตัวตัว คือ ทักษะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (make the impossible possible) โดยนัยนี้คนไทยส่วนใหญ่พลาดโอกาสนี้ ต้นเหตุคือระบบการศึกษาที่เดินผิดทาง

มีผลวิจัยรายงานว่า การตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ระดับ mastery ให้ effect size ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้เท่ากับ 0.96 โดยต้องตระหนักว่าเป้าหมายนี้ต้องการเวลาเรียนในห้องเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 – 50 ซึ่งถือว่าคุ้ม เมื่อเทียบกับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่นักเรียนได้รับ

การสร้างเป้าหมายการเรียนรู้มีสองส่วนที่สำคัญเท่าๆ กัน คือ 1.เป้าหมายภาพใหญ่ (big picture goal) และ 2.เป้าหมายปลายทาง (destination) ลักษณะของเป้าหมายที่ดีคือ revised SMART goal ซึ่งประกอบด้วย

  • มีความชัดเจนและเป็นยุทธศาสตร์
  • วัดได้
  • น่าพิศวง (แทนการบรรลุได้)
  • สอดคล้องกับตัวนักเรียน (แทนการมุ่งผลลัพธ์)
  • มีเงื่อนไขเวลา

ผู้เขียนขอยํ้าว่า เป้าหมายระดับ mastery ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรียนวิชา ส่วนที่สำคัญยิ่งกว่าคือการช่วยให้นักเรียนพัฒนาสมรรถนะที่จะมีไปตลอดชีวิต เช่น อิทธิบาท 4 (grit) ชุดความคิดเจริญงอกงาม (growth mindset) ทักษะทางสังคม และการมีพฤติกรรมที่เหมาะสมในชั้นเรียน

กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย

การเรียนรู้ในระบบการศึกษาในปัจจุบันมักบรรลุเป้าหมายในระดับการเรียนรู้ที่ผิวเผินคือ ตอบข้อสอบได้ สอบผ่าน แต่ไปไม่ถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับคล่องแคล่ว (proficiency) และยิ่งไม่ถึงระดับรู้จริง (mastery) ซึ่งนักเรียนต้องเรียนโดยเจาะลึกเข้าไปในสาระ ซึ่งต้องการความมานะพยายามอย่างต่อเนื่อง ใคร่ครวญสะท้อนคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ทำความชัดเจน วิเคราะห์ พัฒนาเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนและซับซ้อน

เพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ดังกล่าว การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ต้องมีอย่างน้อย 4 มิติต่อไปนี้ 1.สร้างสิ่งที่มีคุณค่าสูงกว่าผลต่อตนเอง 2.เป็นเป้าที่ก่อผลกระทบสูง 3.นักเรียนเชื่อว่าครูจะหนุนให้บรรลุได้ และ 4.มีเป้าหมายรายทาง (micro goals)

เจนเซนยกตัวอย่างครูคนหนึ่ง ผลการสอนของเขาในปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งของนักเรียนบรรลุความคล่องแคล่ว (proficiency) ในวิชาคณิตศาสตร์ ในปีการศึกษาใหม่นี้เขาจึงกำหนดเป้าหมายที่ท้าทายขึ้นมากว่า อย่างน้อยจะต้องมีนักเรียนจำนวนร้อยละ 80 คล่องแคล่วในวิชาคณิตศาสตร์ และร้อยละ 20 หรือกว่าบรรลุผลการเรียนรู้ระดับรู้จริง ผู้เขียนอยากบอกว่านี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ท้าทาย

เป้าหมายที่ท้าทายที่ผู้เขียนขอยกมาเป็นตัวอย่าง ‘นักเรียนชั้น ป.1 ของฉันจะอ่าน เขียน คิดเลข และมีพฤติกรรมที่แสดงว่าพร้อมขึ้นไปเรียนชั้น ป.3 ไม่ใช่ ป.2’ ซึ่งเป็นการวางเป้าให้นักเรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้เพิ่มเท่ากับ 2 ปีการศึกษาไม่ใช่เพียงปีการศึกษาเดียว มีผลวิจัยรายงานว่า ตัวอย่างครูชั้นยอดเยี่ยมที่จัดการเรียนรู้ให้นักเรียนยกระดับขึ้นเท่ากับ 3 ปีการศึกษาในการเรียนเพียงปีเดียว และการยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียนที่ขาดแคลนใน 1 ปี ให้เกิดการเรียนรู้เท่ากับ 1.5 – 3 ปี เป็นเรื่องปกติ เพราะนักเรียนเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นที่ตํ่า เมื่อได้รับกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องจึงเรียนรู้ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหัศจรรย์

เขายกตัวอย่างเป้าหมายที่ท้าทายในต่างระดับชั้นเรียน

ระดับประถมศึกษา ‚นักเรียนชั้น ป.๒ ของฉัน จะอ่าน เขียน คิดเลข และมีพฤติกรรม ที่บอกว่าพร้อมขึ้นไปเรียนชั้น ป.๔ ไม่ใช่ ป.๓‛

ระดับมัธยมศึกษา เป้าหมายเชิงกระบวนการของครูวิทยาศาสตร์ ‘ฉันจะสอนนักเรียนให้รู้วิธีการสร้างเมืองขึ้นใหม่หลังจากประสบภัยพิบัติ’ ครูวิชาภาษาไทยชั้น ม. ต้น อาจมอบงานให้นักเรียนร่วมกันเขียนเรียงความเรื่องเปลี่ยนโลก นำผลงานที่ปรับปรุงแล้วไปอ่านให้ผู้นำชุมชนฟัง คำแนะนำป้อนกลับที่ได้รับจะมีผลในระดับเปลี่ยนชีวิตของนักเรียน ครูวิชาคณิตศาสตร์อาจกำหนดเป้าหมายว่า ‘ในช่วงปลายปีการศึกษา นักเรียนจะช่วยกันเขียนหนังสือ ‘วิธีการเรียนที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์’ เป็นหนังสือคู่มือการเรียน’

เป้าหมายความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ‘ฉันจะรู้จักชื่อเล่นของนักเรียนทุกคนในชั้น’

ให้เหตุผลเพื่อให้เชื่อว่าบรรลุได้

ในหนังสือบอกว่า ครูใช้เวลาเพียง 20 วินาทีเท่านั้น ยืนยันให้ศิษย์เชื่อว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายร่วมกันได้ โดยครูจะคอยช่วยเหลือ โดยใช้คำพูดในทำนองนี้ ‘เป้าหมายที่เราช่วยกันกำหนดนี้สำคัญมากต่อชีวิตของพวกเธอ ครูเชื่อว่าพวกเธอทำได้ หากพยายามอย่างฉลาด ครูแคร์พวกเธอ แคร์ผลการเรียนของพวกเธอ ครูจะไม่ท้อถอย จะสอนพวกเธอคนใดคนหนึ่งซํ้าอีกกี่ครั้งก็ได้ จนทุกคนบรรลุเป้าหมาย เราต้องบรรลุเป้าหมายทุกคน หากใครคนใดคนหนึ่งล้มเหลว หมายความว่าพวกเราทุกคนล้มเหลว รวมทั้งครูด้วย’ หรือ ‘ครูแคร์พวกเธอ ครูชำนาญหน้าที่ครู ครูจะทำงานหนัก ต่อเนื่อง และเรียนจากการทำผิดพลาด ขอให้พวกเธอทำหน้าที่ส่วนของพวกเธอ ครูจะทำหน้าที่ส่วนของครู ครูจะไม่ให้พวกเธอล้มเหลวแม้แต่คนเดียว เราเริ่มต้นทำงานกันได้แล้ว’

ส่วนที่สำคัญที่สุดต่อการบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายคือ การสอนให้นักเรียนรู้วิธีจัดการความผิดพลาดล้มเหลว บอกนักเรียนว่า ความผิดพลาดหรือล้มเหลวเป็นสิ่งที่จะพบเสมอในชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญก้าวหน้า ความล้มเหลวเป็นบทเรียน ความล้มเหลวช่วยสอนเรา คนเราเป็นอย่างไรให้ดูที่การตอบสนองต่อความล้มเหลว

อย่างไรก็ตามการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายต้องการแรงเสริม หรือกำลังใจ เป็นระยะๆ และนั่นคือความสำคัญของการกำหนดเป้าหมายรายทาง

ใช้เป้าหมายรายทางเพื่อเชื่อมรอยต่อ

การกำหนดเป้าหมายสูงลิ่วสร้างความตื่นเต้นแก่นักเรียนแทบทุกคน แต่เป็นการยากที่จะทำให้นักเรียนดำรงความตื่นเต้นเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายดังกล่าวได้ในระยะยาว จึงต้องใช้กลยุทธกำหนดเป้าหมายรายทางที่สามารถบรรลุได้ภายในหนึ่งสัปดาห์หรือสั้นกว่านั้น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียน

  • มีความมั่นใจในขีดความสามารถจำเพาะเรื่องของพวกตน
  • ประจักษ์ด้วยตนเองว่ามีความคืบหน้าสู่เป้าหมาย วัดได้ชัดเจน
  • สร้างอารมณ์ร่วม และกำลังใจ จากการบรรลุความสำเร็จและการเฉลิมฉลอง

การใช้เป้าหมายรายทางเป็นเครื่องมือสร้างความสำเร็จในการเรียนรู้นี้ มี effect size สูงถึง 0.97

เมื่อนักเรียนตั้งคำถามที่ถูกต้อง หรือบรรลุเป้าหมายรายทาง ครูพึงจัดการเฉลิมฉลอง และจัดการพูดคุยเพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับที่สูงยิ่งขึ้น

Tags:

ครูเทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ย่อยของยาก ซอยเป้าหมายให้ง่าย ครูช่วยได้ด้วย SCAFFOLDING

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘แฟชั่น’ โลกภายนอกที่บอกว่าเรามี Self-esteem มากน้อยแค่ไหน คุยกับ ‘ดุจดาว วัฒนปกรณ์’ นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว
How to enjoy life
14 June 2021

‘แฟชั่น’ โลกภายนอกที่บอกว่าเรามี Self-esteem มากน้อยแค่ไหน คุยกับ ‘ดุจดาว วัฒนปกรณ์’ นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว

เรื่อง ศากุน บางกระ

  • แฟชั่นทำงานกับ “ข้างใน” ของเรา เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม self-esteem ได้ทางหนึ่ง นั่นคือ จากการที่เรารู้สึกเชื่อมโยง เป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ทันสมัย การที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกมีค่าขึ้นมาได้ แต่วิธีการเช่นนี้เป็นการใช้สิ่งภายนอก ที่ไม่ใช่ “ใจ” มาสร้างความเป็นตัวเรา ซึ่งอาจไม่คงทนและไม่ดีต่อสุขภาพใจของเรา
  • “เราชอบแบบไหน เราเป็นใคร เรามีวิถีชีวิตแบบไหน เสื้อผ้าแบบไหนเหมาะกับเรา เราจะเอาไปใช้งานอะไร กระบวนการแบบนี้ทำให้เรารู้จักตัวเอง แล้วคนที่รู้จักตัวเองเยอะๆ เขาจะมีแนวโน้มที่จะมองเห็นคุณค่าของตัวเองอยู่แล้ว”
  • ที่จริงแล้ว “เทรนด์” หรือ “แฟชั่น” ไม่ใช่ผู้ร้าย… การที่คนหรือสังคมหยิบเอาแฟชั่นไปใช้ตัดสินคนอื่นต่างหากที่เป็นผู้ร้ายตัวจริง

ภาพ : ปริสุทธิ์

“วันนี้จะใส่ชุดอะไร” คำถามธรรมดาๆ ที่อยู่ในหัวหลายคนก่อนจะออกไปไหน

ระหว่างที่จะตอบ… หากเราเริ่มกังวลว่า ใส่เสื้อตัวนี้แล้วจะสวยไหม หรือทำไมไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ (ทั้งที่มีอยู่เต็มตู้!) หรือแม้กระทั่งหยิบชุดขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเพราะเป็นคอลเลกชั่นล่าสุดของแบรนด์ดัง ขณะนั้นเราอาจไม่รู้ตัวว่า เสื้อผ้าและแฟชั่นกำลังทำงานบางอย่างกับ “self-esteem” ของเราเข้าแล้ว

self-esteem คือ การนับถือตัวเอง หรือการรับรู้คุณค่าของตนเอง เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงนี้ที่คนเป็น “โรคซึมเศร้า” กันมากขึ้น หรือกระทั่งอาการทางใจอื่นๆ ที่กระทบต่อการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน… ตามทฤษฎีแล้ว ผู้ที่มี self-esteem สูงจะมีทัศนคติที่เคารพตนเอง มีแนวโน้มที่จะจัดการกับอารมณ์หรือสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญได้ด้วยการไม่ลดทอนคุณค่าตนเอง ในทางกลับกันผู้ที่มี self-esteem ต่ำ มักจะมองตัวเองในด้านลบ และไม่เชื่อว่าตัวเองจะจัดการกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ดีรวมไปถึงขาดความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่างๆ ด้วย 

ดุจดาว วัฒนปกรณ์ นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว คือคนหนึ่งที่พูดเรื่อง self-esteem ผ่านพอดแคสต์ R U OK และสื่ออื่นๆ อยู่บ่อยๆ เธอเคยกล่าวไว้ในวงสนทนาที่จัดโดย Fashion Revolution Thailand อย่างน่าสนใจว่า 

มีบางคนใช้แฟชั่นเพื่อแก้ปัญหาความไม่มั่นคงในใจและเพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นควรจะถามตัวเองว่า การยอมรับที่เราอยากได้คือจากภายนอกหรือภายในกันแน่ 

The Potential จึงได้ชวนเธอมาคุยต่อในเรื่องนี้ โดยจะพาไปสำรวจมุมมองของเธอว่า แฟชั่นจะทำงานอย่างไรได้บ้างต่อ self-esteem และเราจะทำอย่างไรหากการทำงานนั้นไม่ได้เกิดผลดีต่อสุขภาพใจของเรา

เหรียญสองด้านของแฟชั่นต่อ self-esteem

“การที่คนเราจะมี self-esteem ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะรู้คุณค่า เคารพตัวเอง สิ่งเหล่านั้นบางคนก็อาจจะเกิดได้จากข้างใน เกิดจากการเลี้ยงดู แต่บางคนเขาก็เกิดการรับรู้เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก” ดุจดาวเกริ่นก่อนจะอธิบายไปถึงเรื่องแฟชั่นกับ self-esteem ในมุมมองของเธอ โดยโลกภายนอกที่เธอหมายถึงก็เช่นการได้รับคำสรรเสริญจากคนอื่น เสียงปรบมือ การเป็นที่รู้จักของคนอื่น การที่คนอื่นให้เกียรติ…

แน่นอนว่า แฟชั่นคือโลกภายนอก ด้วยการเสริมเติมแต่งเสื้อผ้าหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้สวยงาม แฟชั่นจึงเป็นเรื่องของสุนทรียะ เป็นศิลปะประเภทหนึ่ง และในความเป็นแฟชั่น ยังมีการหมุนเปลี่ยนแบบหรือเทรนด์ไปเรื่อยๆ ยิ่งในส่วนของ fast fashion ที่จะมาไวไปไวตามฤดูกาล แฟชั่นจึงเป็นเรื่องของกระแสด้วย คุณลักษณะเหล่านี้เองที่แฟชั่นได้ทำงานกับ “ข้างใน” ของเรา

อันดับแรก ดุจดาวเห็นว่า จริงๆ แล้วแฟชั่นคือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม self-esteem ได้ทางหนึ่ง 

“เมื่อมีเทรนด์ออกมา มันคือกระแสของสังคมที่ถูกให้ค่าว่า ถ้าใครไปในทิศทางแห่งกระแสนี้ คุณก็จะอยู่ในสปอตไลท์ด้วย คุณเป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่มันกำลังเกิดขึ้น การที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกมีค่าขึ้นมาได้ ในที่นี้ก็คือ จากการที่เรารู้สึกเชื่อมโยง เป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ทันสมัย มันทำให้เกิด self-esteem อยู่แล้ว”

แฟชั่นในที่นี้ ดุจดาวบอกด้วยว่า ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าหน้าผม แต่ยังหมายถึงไลฟ์สไตล์ของคน หรือยังรวมไปถึงการตามกระแสความคิดเห็นต่างๆ ได้ด้วย เช่น การตามเทรนด์ทวิตเตอร์ สิ่งเหล่านี้ได้เกี่ยวพันอยู่กับการแสดงออกและ self-esteem ของเรา ถ้าเราแสดงออกไปว่าเราตามทันอยู่ ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วย

อันดับที่สอง ในทางกลับกัน แฟชั่นก็อาจจะไม่ดีต่อ self-esteem ของเราได้เช่นกัน ถ้าเรา “พึ่งพา” แฟชั่นมากเกินไป

“มันจะมีข้อเสียก็ต่อเมื่อเราอินกับแฟชั่น สนุกกับแฟชั่นแล้วมันไปเบียดเบียนมิติอื่นๆ ในชีวิต เอาจริงๆ ดาวก็ไม่ได้คิดว่า การตามแฟชั่นมันผิดตรงไหน ถ้ามันเป็นความสุข กระเป๋าตังค์ก็เป็นของใครของมัน ถ้ามองในแง่ปัจเจกแทบจะเป็นสิทธิของแต่ละคนเลย แต่ถามว่าการที่เราจะต้องอยู่ในวงแฟชั่น ตามแฟชั่น เพื่อให้สิ่งนั้นมันสร้าง self-esteem ดาวคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น เพราะ self-esteem มันเกิดได้โดยที่ไม่ต้องตามกระแสแฟชั่นก็ได้”

ทั้งนี้ self-esteem ของเราได้ผูกร้อยอยู่กับ self-confidence (ความมั่นใจในตัวเอง) หรือแม้กระทั่ง self-image (ภาพลักษณ์ของตนเอง) สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อกันได้ เช่น หากเรามี self-esteem ต่ำ self-confidence เราอาจจะต่ำลงไปด้วย และก็มีผลต่อการแสดงออกภายนอกของเรา (แต่ก็ไม่ได้เป็นรูปแบบนี้เสมอไป)

“การรับรู้ตัวเองของเราบางทีไม่ได้ตรงอย่างที่เป็น เพราะว่าบางคนไม่เคยชอบอะไรในตัวเองเลย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีอะไรดีเลย มันก็เป็นแค่วิธีที่เขาเห็นตัวเอง วิธีที่เขาเลือกมองตัวเองทำให้เขาเป็นแบบนั้น มันเป็นงานทำงานส่วนตัว มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอที่ในตัวเราจะไม่มีอะไรดีเลย ซึ่งหลายคนเชื่อแบบนั้น เพราะฉะนั้นคนเขาก็จะไปหาอะไรที่ดี ที่คนเขาการันตีแล้วว่าดีมากมาใส่ให้รู้สึกว่า อ๊ะ ฉันไม่มีอะไรดีเลย แต่ว่าฉันใส่เสื้อตัวนี้ซึ่งตอนนี้เป็นสิ่งที่กำลังมาและใครๆ ก็บอกว่าแบรนด์นี้กำลังมา เวลาที่ฉันใส่ ฉันก็น่าจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง บางทีมันก็สามารถทำตามฟังก์ชั่นนี้ได้เหมือนกัน” ดุจดาวขยายความ

Self-esteem ที่ได้มาชั่วคราว

การเพิ่ม self-esteem ด้วยแฟชั่นดังที่ได้กล่าวไว้นั้นคือการใช้สิ่งภายนอก (ที่ไม่ใช่ “ใจ”) มาสร้างความเป็นตัวเรา ซึ่งจุดนี้เองที่ดุจดาวมองว่าเป็นวิธีการที่อาจจะไม่คงทนถาวรและไม่ดีต่อสุขภาพใจของเรา

“การที่เราได้รวบรวมสิ่งนั้นที่เราเห็นว่าเวิร์ค ว่าสวย ก็ทำงานกับใจข้างในได้เหมือนกัน มันสามารถ boost (เพิ่ม) ขึ้นมาได้ แต่การที่ boost ขึ้นมาจากข้างนอกแบบนั้น  self-esteem ที่ถูกผลักให้ฟูจะอยู่ชั่วคราวมากเลย เพราะมันพึ่งพา booster (ตัวเร่ง) ที่มาจากข้างนอก” 

ที่ชั่วคราวก็เพราะว่า self-esteem แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจาก “ข้างใน” ด้วยการรับรู้คุณค่าจากสิ่งที่เราเป็นจริงๆ

ดุจดาวยกตัวอย่างว่า การพึ่งพาสิ่งภายนอกเพื่อให้ตัวเราเองรู้สึกว่ามีคุณค่าก็เหมือนกับการที่เราไปแสดงโชว์บนเวทีแล้วมีคนปรบมือให้มากมาย ทำให้เรารู้สึกได้ ณ จุดนั้น แต่เมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือก็หายไป เวลานั้นความรู้สึกของเราก็จะไม่เท่าเดิมแล้ว

“ดาวรู้สึกกว่าการที่เอาเรื่องของเทรนด์มาใช้แบบนี้ เป็นมุมมองส่วนตัว มันโหดมากเลย มันทำงานกับ self-esteem ของคน คือดาวเจอประสบการณ์ตรง ตอนที่ดาวยังเป็นวัยรุ่น ทุกครั้งที่ดาวตัดผมแล้วดาวเปิดแมกกาซีน ดาวจะรู้สึกว่าทำไมเราดีไม่พอเลย ไอ้นี่ก็ยังไม่มี เสื้อผ้าแบบนี้เราก็ยังไม่มี ผมเราก็ไม่ได้ทรงแบบนี้ เล็บก็ไม่ได้สวยเท่าเขา ผิวก็ไม่ดีเท่าเขา โห… ทั้งเล่มเปิดมาทำให้เราคิดว่า เราต้องดีกว่านี้ แล้วที่เป็นอยู่ยังดีไม่พอ”

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ด้านหนึ่งแฟชั่นก็อาจจะเพิ่ม self-esteem ให้เราได้ ซึ่งในการทำงานรูปแบบเดียวกัน ดุจดาวเห็นว่า การที่คนคนหนึ่งวิ่งตาม fast fashion อยู่เสมอก็อาจจะช่วยเพิ่ม self-esteem ได้เหมือนกัน แต่สำหรับเธอ บางทีการที่ไม่ต้องตาม fast fashion แล้วก็เลือกเฉพาะสิ่งที่เราชอบจริงๆ น่าจะช่วยสะท้อนกลับให้เรารู้จักตัวเองได้ดีกว่า

“เราชอบแบบไหน เราเป็นใคร เรามีวิถีชีวิตแบบไหน เสื้อผ้าแบบไหนเหมาะกับเรา เราจะเอาไปใช้งานอะไร กระบวนการแบบนี้ทำให้เรารู้จักตัวเอง แล้วคนที่รู้จักตัวเองเยอะๆ เขาจะมีแนวโน้มที่จะมองเห็นคุณค่าของตัวเองอยู่แล้ว

บางทีคนเราอยู่ในจุดที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะว่าไปมองหาในคนอื่นว่าคนอื่นเห็นค่าเรามั้ย แต่สำหรับคนที่มี self-esteem สูงๆ หลายคนเขาสร้างจากการที่เขามองเข้าไปข้างในตัวเอง เพื่อที่จะมองหา self-esteem ตัวเองว่า ฉันเป็นใคร ฉันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ต้องการอะไร อะไรเหมาะกับฉัน คุณค่าฉันคืออะไร พอเขารู้อันนี้เสร็จปุ๊บ เขาก็จะแค่ทำในสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาเทรนด์หรือกระแสที่จะมาบอกว่าเขาต้องทำอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาแสดงออก สิ่งที่เขาสวมใส่หรือวิถีชีวิตที่เขาเลือกใช้ก็แสดงออกให้เห็นว่านี่คือเขา”

แฟชั่น การตัดสิน และ self-esteem

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในด้านหนึ่งมีคนสนุกกับแฟชั่นเพื่อสุนทรียะส่วนตัว แต่ในอีกด้านหนึ่งยังปรากฏว่า เสื้อผ้าหน้าผม รวมไปถึงความทันต่อกระแสกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นมาตรวัดในการตัดสินคนด้วย

“การตัดสิน” ที่หมายถึงการเอาความเห็นของตัวเราไปทาบวัดสิ่งที่คนอื่นแสดงออกมา

“เวลาเราพูดว่า ‘ตัดสิน’ คือการไปให้ความคิดเห็นต่อสิ่งที่คนอื่นเขาเลือกทำหรือว่าเลือกใช้ซึ่งทั้งหมดนี้มันไม่ได้ based (ขึ้นอยู่กับ) ตัวเขาเลย มัน based จากตัวเราที่เป็นความคิดเห็นของเราว่าแบบนั้นดี แบบนั้นไม่ดี แบบนั้นดูไม่แมนเลย ทำแบบนั้นทำไม” ดุจดาวขยายความและว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว…

“แบบที่เจอกันแล้วทักว่า ผมทรงอะไรของมึงวะเนี่ย  การทักกันแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติของคนบ้านเรามากเลยนะ เราได้ยินกันบ่อยมาก แต่จริงๆ มันโหดมาก มันกระแทกลงไปที่ตัวตนอีกคนหนึ่ง”

เพราะในชีวิตประจำวัน จะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามเราได้ยอมให้แฟชั่นของเสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ มาบ่งบอกถึงความทันสมัย รสนิยม สถานะทางสังคม ฐานะ เพศ ฯลฯ ของเราด้วย

“บางคนก็จะตัดสินที่คุณค่า บางคนก็จะมองว่าถ้าแต่งตัวตามแฟชั่น ก็แปลว่าเขาอิน เขาดูดี เขารู้ เขาเก่ง เขาน่าชื่นชมอะไรแบบนี้ เวลาที่เกิดอะไรขึ้นตามเทรนด์ เขาทันสมัย เขาได้รับการยกย่องสรรเสริญ ส่วนใครที่แต่งตัวไม่ได้ตรงกับเทรนด์หรืออาจจะ against (ต่อต้าน) ก็อาจจะทำให้ดูว่า ไม่ได้ใส่ใจในตัวเอง ไม่ได้รับความเชื่อถือ” ดุจดาวอธิบาย

ทั้งนี้เธอตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า 

ที่จริงแล้ว “เทรนด์” หรือ “แฟชั่น” ไม่ใช่ผู้ร้าย… การที่คนหรือสังคมหยิบเอาแฟชั่นไปใช้ตัดสินคนอื่นต่างหากที่เป็นผู้ร้ายตัวจริง 

ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์เสื้อผ้าหรือกระแสอื่นๆ การที่บอกว่าเราต้องอยู่ในกระแส เราควรจะต้องดูดีแบบนี้ คำต่างๆ ทำนองนี้จะมีผลต่อใจของบางคน ทำให้เขารู้สึกแย่ถ้าไม่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านั้น

“ตอนเขามีแคมเปญต่างๆ อย่าง #BlackLivesMatter ที่เป็นกระแส เรารู้สึกว่าถ้าเรายังตกขอบ เรายังเอาท์ (ไม่ทัน) อยู่ เราค่อนข้างแย่ ดาวเห็นด้วยว่าบางทีเทรนด์ทวิตเตอร์ หรือแฮชแท็กอะไรพวกนี้ บางทีคนก็ใช้สิ่งนี้มาตัดสินคนอื่นเหมือนกัน” เธอยกตัวอย่างรูปแบบอื่นๆ ของกระแสที่คนเอามาใช้ตัดสินและโจมตีกันทั้งที่บริบทของชีวิตแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน

ความนิยม ค่านิยม ความทันสมัย (และอื่นๆ) นี้ก็กำลังทำงานกับ self-esteem ของเรา ซึ่งผู้ที่จะไม่หวั่นไหวไปตามเสียงคนอื่นที่คอยใช้สิ่งเหล่านี้ตัดสินคนก็คือผู้ที่มีความนับถือตัวเองหรือมี self-esteem สูงนั่นเอง

“คนเขาจะพูดอะไรก็ได้แหละ คนเขาอยากพูด อยู่ที่คนรับสารเองด้วย คือเราต้องให้น้ำหนักกับเขามากแค่ไหน ที่จะให้เขามาบอกว่า เฮ้ย เราเอาท์… เฮ้ย เราดีไม่พอ… เราดีแล้วนะถ้าเรามีอันนี้ ดาวรู้สึกว่าเราให้อำนาจเขาเยอะไปหน่อยมั้ย ถ้าเราจะเชื่อเขาไปหมด หรือเราไปตื่นเต้นว่าเราต้องมีอย่างที่เขาว่า”

สำรวจตัวเองเพื่อเช็ค self-esteem 

เมื่อ self-esteem อยู่ที่การรับรู้ของเรา ฉะนั้นหากเรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเรามีคุณค่า เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งของหรือเสียงของคนอื่น แต่หากการซื้อเสื้อผ้าหรือการตามเทรนด์เป็นวิธีการคลายเครียดของบางคนแล้ว ตราบใดที่วิธีการพวกนี้ยังดีต่อใจของคนคนนั้น ดุจดาวก็เห็นว่าเป็นสิทธิของคนนั้นที่จะทำ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า แฟชั่นกำลังมีพลังด้านลบต่อ self-esteem ของเรา?

คำตอบจากดุจดาวก็คือ การสังเกตตัวเอง

“เราลองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เราซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เพราะอะไร เพราะว่ามันจำเป็น เพราะว่าเราอยากใส่ เราชอบแบบนี้ หรือจริงๆ ลึกๆ เราเห็นเพื่อนคนนั้นใส่แล้วรู้สึกว่าไม่มีไม่ได้ อยากจะมีบ้าง หรือแบบใครๆ เขาก็ใส่กัน คำว่าใครๆ เขาก็ใส่กัน ทำให้ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราไม่เจ๋งเลย เราก็เลยต้องมีบ้างหรือเปล่า” 

เธอยกตัวอย่างการสำรวจใจตัวเองเพิ่มเติมเพื่อให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่น เมื่อเราซื้อของ ลองดูว่าเมื่อเราอยากได้อะไรมา เราไตร่ตรองมากแค่ไหน เราควบคุมตัวเองได้หรือหยุดกดสั่งซื้อไม่ได้เลย หรือเมื่อเราเลือกเสื้อผ้าแล้วไม่มั่นใจว่าใส่แล้วจะเป็นอย่างไร ลองถามตัวเองเช่นว่า 

ทำไมเราถึงแคร์คนรอบข้างขนาดนั้น? ทำไมเราต้องอยากจะดูดีต่อหน้าทุกคน? แล้วถ้าเขาพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา แล้วมันมีผลต่อเรายังไง? เรากำลังขาด self-esteem หรือเราแค่กลัวเขาจะทำร้ายใจเรา?

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการสำรวจตัวเองก็อยู่ที่การเห็นว่าตัวเองมีความสุขกับเสื้อผ้า สิ่งของต่างๆ ที่ซื้อมาอยู่หรือไม่

“ถ้าตัวเองแฮปปี้ เป็นสุข ดาวก็ไม่มีสิทธิ หรือใครก็ไม่มีสิทธิจะมาบอกให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้” ดุจดาวบอก และเธอเน้นย้ำว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ลืมว่า คนที่ชื่นชอบแฟชั่นเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ได้หมายความว่า คนคนนั้นจะมี self-esteem ต่ำ เพราะหากเราคิดเช่นนั้น เราก็จะกลายเป็นอีกคนที่ใช้ “แฟชั่น” ไปตัดสินคน

และแน่นอน เมื่อเราจะเปิดตู้หาเสื้อผ้าสักชุด… สิ่งที่เธอสนับสนุนให้ทำก็คือ หยิบตัวที่เราอยากใส่! 

“อยากใส่อะไรวันนี้ แล้วใครจะพูดอะไรมั้ยก็ช่างเขา เวลาเราเริ่มกังวลว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงกับอันนี้ เราก็บอกตัวเองว่า เรื่องของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา ไม่เกี่ยวกับเรา เราก็จะใส่ในแบบที่เราใส่ ให้มั่นใจว่า เราใส่แล้วเราชอบแบบนี้”

Tags:

นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)แฟชั่นดุจดาว วัฒนปกรณ์

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Related Posts

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    ‘รักตัวเอง’ สุขจริงหรือแค่ปลอบใจ แล้วแค่ไหนถึงกลายเป็นหลงตัวเอง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

ทำอาหาร ปักสะดึง ร้อยดอกไม้ อัปสกิลกุลสตรีไทยที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)
Creative learning
14 June 2021

ทำอาหาร ปักสะดึง ร้อยดอกไม้ อัปสกิลกุลสตรีไทยที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • จากงานฝืมือสตรีชาววังสู่แหล่งความรู้ที่คนทั่วๆ ไปอย่างเราก็สามารถตักตวงได้ ต่อยอดเป็นอาชีพได้ หรือมาค้นหาความชอบของตัวเองได้
  • โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) เปิดสอนทั้งหมด 3 แผนก คือ อาหาร จัดดอกไม้ และปักสะดึง โดยรับเฉพาะนักเรียนหญิงอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เนื่องจากสถานที่เรียนเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ตามกฎเดิมห้ามผู้ชายเข้าออกเด็ดขาดและปัจจุบันยังคงธรรมเนียมนี้อยู่
  • ข้อดีคือ ผู้เรียนไม่ต้องเสียเงินเรียน เสียเฉพาะค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เรียน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน แต่ละแผนกจะเริ่มสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน อย่างแผนกอาหารจะสอนตั้งแต่การหั่น ซอย การรู้จักกับวัตถุดิบชนิดต่างๆ ซึ่งมีผลต่อการทำอาหาร โดยใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี เมื่อจบจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อรับรองว่าได้ผ่านการเรียนหลักสูตรที่นี่

เวลาดูละครพีเรียดไทย ตัวละครฝ่ายหญิงถ้าไม่ได้มีบุคลิกแก่นแก้ว หัวก้าวหน้า ไม่ยอมอยู่ในกรอบ ก็จะเป็นผู้หญิงที่ได้ 100 คะแนนเต็มด้านคุณสมบัติกุลสตรีไทยที่ต้องมีเสน่ห์ปลายจวักทำอาหารเก่ง เย็บปักถักร้อยประดิษฐ์ได้ทุกอย่าง รวมถึงบุคลิกเงียบสงบเย็นเป็นน้ำ ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ

และจุดร่วมของตัวละครประเภทหลัง คือ ต้องเป็นสาวชาววัง เพราะแน่นอนว่าในยุคนั้นคงไม่ได้มีโรงเรียนมาเปิดสอนกันหลากหลายเหมือนทุกวันนี้ ถ้าคุณอยากจะมีความรู้ มีคุณสมบัติของการเป็นกุลสตรีที่ดีก็ต้องเข้าวังไปอยู่รับใช้เจ้านาย 

แต่ไม่ใช่ว่าอยากเรียนแล้วเดินไปขอจะได้เรียนเลย เพราะครอบครัวต้องมีฐานะหรือมีคนรู้จักอยู่ในวังถึงจะสามารถส่งลูกหลานเข้าไปได้ แต่ ณ วันนี้เราอยากจะเรียนอะไรมีคอร์สเปิดสอนให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว หรือเปิด Google ค้นใน Youtube เรียนโดยไม่ต้องเสียเงินก็ยังได้ หรือถ้าอยากเรียนกับต้นฉบับโดยตรง เราก็สามารถเข้าไปเรียนรู้งานฝีมือแบบสาวชาววังได้สบายๆ ที่ โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)

บทความชิ้นนี้เราจะพาทุกคนไปซิทอินนั่งพับเพียบเข้าเรียนที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) ทั้ง 3 แผนก ทำอาหาร จัดดอกไม้ และปักสะดึง 

เสน่ห์ปลายจวัก

แน่นอนว่าแผนกแรกที่เราขอไปเรียน คือ อาหาร (กองทัพต้องเดินด้วยท้องถูกไหม?) ห้องเรียนของเราในวันนี้หน้าตาเป็นห้องสี่เหลี่ยมทั่วไปที่ภายในเต็มไปด้วยอุปกรณ์ครัววางเรียงรายอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง มีครูดรุณี – จักรพันธุ์ ครูสอนประจำแผนกมากว่า 30 ปี ยืนรอต้อนรับเรา

ภาพแรกที่เราเห็นในแผนกนี้ คือ นักเรียนทุกคนกำลังจดจอง่วนกับงานตรงหน้า บางก็จับกลุ่มนั่งกวนอะไรบางอย่างในกระทะทองเหลือง บางก็จับกลุ่มหั่นของบนโต๊ะ เมื่อถึงเวลาเรียนครูดรุณีเรียกทุกคนรวมตัวบริเวณโต๊ะตัวยาวกลางห้อง โดยบทโต๊ะวางวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ประเมินผ่านสายตาคร่าวๆ มีของที่เราพอรู้จักอยู่อย่างเนื้อหมู เกลือ น้ำมัน นมข้นหวาน น้ำปลา ไปจนถึงวัตถุดิบที่หน้าตาไม่คุ้นเคย น่าจะเป็นพวกเครื่องเทศ

“วันนี้เราจะเรียนทำสะเต๊ะลือ” เสียงจากครูดรุณีที่ช่วยไขข้อสงสัยเราว่าส่วนประกอบบนโต๊ะใช้ทำเมนูอะไร

ครูดรุณีเริ่มต้นการสอนด้วยการอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของเมนูจานนี้ว่า เริ่มจากพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ทรงมีรับสั่งว่าอยากเรียนทำอาหารชวา ให้คนช่วยจัดหาคนมาสอน ก็ได้พ่อครัวชาวชวามาสอนทำอาหารหลายชนิดให้กับพระวิมาดาเธอฯ และข้าหลวงคนอื่นๆ ในวัง สะเต๊ะลือก็เป็นหนึ่งในจานดังกล่าวและเป็นจานที่มีชื่อเสียง ซึ่งสูตรที่จะสอนวันนี้ได้รับการถ่ายทอดมาจากการจดบันทึกของหม่อมหลวงเนื่อง นิตรัตน์

เมื่อรู้ประวัติเรียบร้อย ครูดรุณีก็เริ่มขั้นตอนต่อไป คือ สอนทำสะเต๊ะลือ โดยเริ่มจากตำส่วนผสมที่ใช้หมักหมู ได้แก่ ลูกผักชี ยี่หร่า หอมแดง เสร็จแล้วนำไปหมักกับหมูพร้อมใส่เครื่องปรุงเกลือ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ผงขมิ้น เหล้า นมข้นหวาน และเนย (วัตถุดิบสองอย่างหลังบางคนคงสงสัยว่าในยุคนั้นมีแล้วเหรอ ครูดรุณีให้คำตอบว่าเป็นวัตถุดิบที่มีในไทยมานานแล้ว นำเข้ามาโดยชาวชวาในไทยที่บริโภคของเหล่านี้ ถ้าใครคุ้นเคยกับสำนวน ‘ขนมนมเนย’ ก็มาจากการใช้วัตถุดิบดังกล่าว)

ระหว่างที่นักเรียนกำลังเคล้าเนื้อหมูกับเครื่องปรุง ครูดรุณีก็อธิบายต่อว่า ถ้าตามสูตรดั้งเดิมเลยคนโบราณจะนิยมใช้เนื้อวัวในการทำสะเต๊ะลือ แต่ปัจจุบันคนกินเนื้อน้อยลง สะเต๊ะลือปรับเปลี่ยนมาใช้เนื้อไก่หรือหมูแทน

เมื่อหมูได้ที่แล้วก็ใช้เวลาหมักประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ก่อนนำไปเสียบกับไม้ทางมะพร้าวและย่างไฟให้สุก เป็นอันเสร็จส่วนประกอบพาร์ทแรก ส่วนประกอบพาร์ทถัดไปของเมนูนี้ คือ น้ำจิ้ม บางคนรวมถึงเราคงคิดว่าน้ำจิ้มจะเป็นแบบน้ำจิ้มถั่วที่เราใช้กินกับสะเต๊ะ แต่กลับไม่ใช่ เพราะมันเป็นน้ำจิ้มใสๆ ที่ใส่ผักต่างๆ คล้ายๆ กับอาจาด โดยน้ำจิ้มของสะเต๊ะลือมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ หอมแดง แครอท นำมาคลุกเคล้าให้เข้ากันเป็นอันเสร็จเมนูจานนี้

เมนู สะเต๊ะลือ จากครัวชาววัง

ระหว่างรอเรียนเมนูถัดไป เรามีโอกาสชวนครูดรุณีคุยต่อ ครูก็เล่าประวัติโรงเรียนให้เราฟังว่า เริ่มจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอยากถ่ายทอดความรู้งานฝีมือสตรีให้คนทั่วไปได้รู้ สามารถนำไปประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงตัวเอง ประกอบกับเป็นช่วงที่มีการบูรณะสถานที่ในวังบางส่วน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ขอใช้สถานที่บริเวณอาคารเรือนห้องเครื่องของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งอยู่ภายในเขตพระราชฐานชั้นใน ของพระบรมมหาราชวัง ก่อตั้งเป็นโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)* เมื่อปี 2529 

ที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) จะเปิดสอนทั้งหมด 3 แผนก คือ อาหาร จัดดอกไม้ และปักสะดึง โดยรับเฉพาะนักเรียนหญิงอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เนื่องจากสถานที่เรียนเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ตามกฎเดิมห้ามผู้ชายเข้าออกเด็ดขาดและปัจจุบันยังคงธรรมเนียมนี้อยู่ ซึ่งถ้าใครสนใจอยากเข้าเรียนสามารถติดต่อการเปิดรับสมัครได้ที่เพจของโรงเรียน 

ขั้นตอนสมัครไม่ยุ่งยาก ยื่นใบสมัครและรอเรียกสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละแผนกว่าอยากได้นักเรียนแบบไหน ส่วนใหญ่เน้นคนที่อยากเรียนจริงๆ มีความมุ่งมั่น ปีๆ หนึ่งแต่ละแผนกจะมีนักเรียนประมาณ 100 คน แต่ช่วงโควิดจำนวนนักเรียนลงลด การเรียนการสอนจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี เรียนจบหลักสูตรพร้อมรับใบประกาศนียบัตรเพื่อรับรองว่าได้ผ่านการเรียนหลักสูตรที่นี่

คำถามที่ทุกคนน่าจะมีเหมือนกัน คือ ต้องมีความรู้พื้นฐานก่อนไหมถึงจะเข้าเรียนได้ ครูดรุณีตอบว่า ไม่จำเป็น เพราะแต่ละแผนกจะเริ่มสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน อย่างที่แผนกอาหารจะสอนตั้งแต่การหั่น ซอย การรู้จักกับวัตถุดิบชนิดต่างๆ ซึ่งมีผลต่อการทำอาหาร

“บางคนก็แยกวัตถุดิบไม่ออกนะ อย่างเช่นใบกะเพรากับใบโหระพา ก่อนสอนทำอาหารเราต้องให้เขาศึกษาวัตถุดิบซะก่อน พอถึงเวลาเรียนปรุงอาหารเขาก็จะได้รู้ว่า อ้อ ถ้าจะทำแกงเลียงต้องใช้ใบแมงลักนะ หรือเครื่องแกงเราจะใส่ใบกะเพรา ใบโหระพานะ นักเรียนจะซื้อมาถูก”

แผนกอาหารการสอนจะแบ่งเป็น 3 ห้อง ห้องละ 45 คน สลับกันเรียนเมนูคาว หวาน และของว่าง รวมถึงมีฝึกงานทำของไปขายให้คนที่ทำงานในวัง ข้อดีอีกอย่างของการเรียนที่นี่ คือ ผู้เรียนไม่ต้องเสียเงินเรียน เสียเฉพาะค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เรียน

คุยกันไปสักพักก็ถึงเวลาไปเรียนเมนูต่อไป แน่นอนว่ากินคาวแล้วต้องตบท้ายด้วยของหวาน ฉะนั้น เมนูที่เรากำลังจะได้เรียนต่อไปนี้ คือ จ่ามงกุฏ ขนมที่เราคุ้นตากันดีและก็เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานว่าหน้าตาที่แท้จริงมันเป็นยังไง

“จ่ามงกุฏที่เราจะเรียนวันนี้ เป็นสูตรของคุณหญิงเจือ นครราชเสนี ท่านคิดและทำส่งประกวดในงานปีใหม่ จ่ามงกุฏต้นตำรับเป็นของรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงคิด โดยใช้แป้งถั่วเขียวกวนกับน้ำตาลทรายและกะทิ ใส่ถั่วลิสง ลักษณะขนมจะคล้ายๆ กับขนมกาละแม ส่วนสูตรของคุณหญิงเจือดัดแปลง จริงๆ มีชื่อว่าดาราทอง แต่ด้วยรูปร่างที่เหมือนมงกุฏทำให้เรียกผิดกันต่อๆ มา”

ขั้นตอนการทำแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก – ตัวฐาน ผสมแป้งสาลี ไข่แดง และน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน และนำไปคลึงเป็นแผ่นบาง ตัดให้พอดีชิ้น ใส่ถ้วยตะไลเพื่อขึ้นรูปและอบให้สุก ส่วนที่สอง – เมล็ดแตงโม ตั้งกระทะทองเหลือใช้ไฟอ่อนๆ ใส่เมล็ดแตงโมลงไป แล้วพรมด้วยน้ำเชื่อม ก่อนจะใช้มือกวาดน้ำเชื่อมและเมล็ดแตงโมไปเรื่อยๆ จนกว่าเมล็ดแตงโมจะมีเกล็ดน้ำตาลขึ้นโดยรอบ และส่วนสุดท้ายคือขนมทองเอก

นั่นเป็นคำอธิบายภาพที่เราเห็นเมื่อตอนต้นว่านักเรียนก้มน้ำก้มตากวนของในกระทะ เพื่อกวนเมล็ดแตงโมกับน้ำตาลให้ได้เป็นเกล็ดขาวๆ ลักษณะเหมือนมงกุฏ ถือเป็นขั้นตอนที่หินขั้นตอนหนึ่ง เพราะคนทำใช้มือกวนในกระทะร้อนๆ โดยตรง และต้องใช้เวลาค่อยๆ กวนเมล็ดแตงโมเข้ากับน้ำเชื่อม ไม่สามารถใส่น้ำเชื่อมเยอะๆ หรือเร่งไฟแรงๆ เพราะเกล็ดน้ำตาลจะไม่ขึ้น นักเรียนบางคนเล่าให้เราฟังว่า บางทีต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการทำเมล็ดแตงโม

ครูดรุณีเรียนจบคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยครู (หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏในปัจจุบัน) ก่อนจะมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ เธอเล่าให้ฟังว่าการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงในยุคนี้แตกต่างจากยุคที่เธอเรียนมาก เพราะสมัยก่อนการเรียนทำอาหาร ครูจะบอกเมนูและให้นักเรียนไปหาสูตรมาทำ และค่อยมาตัดสินว่าสูตรใครอร่อยกว่ากัน ความยากอยู่ที่ว่าสูตรทำอาหารสมัยก่อนจะไม่ค่อยบอกอัตราส่วนตรงๆ

“เขาจะเขียนบอกว่าใส่น้ำตาล 2 หยิบมือ เราก็ไม่รู้หรอกนะว่า 2 หยิบมือมันเท่าไร หรือเวลาอาจารย์ท่านสอน เขาก็จะหยิบของมากองๆ หยิบใส่ให้เราดูเลย ไม่ได้อธิบายเยอะ เราก็รู้สึกว่าถ้าสอนแบบนี้เด็กไม่เข้าใจแน่ๆ พออาจารย์หยิบปั๊บ เราก็รีบหยิบมาใส่ถ้วยตวงหรือช้อนชาเพื่อวัด แล้วค่อยเขียนเป็นสูตรออกมา ครูเห็นก็ชอบใจนะว่าถูกต้อง อันนี้คือการจดสูตรยุคแรกๆ ของโรงเรียนเลย

“แต่เราจะไม่เน้นว่านักเรียนต้องจำสูตรได้ เพราะอาหารจะอร่อยไม่อร่อยอยู่ที่รสมือคนทำ บางทีสูตรบอกว่าต้องใช้น้ำมะขาม 2 ช้อนโต๊ะ แต่เคยมีเด็กเขาเอามะขามจากเพชรบุรีมาใช้ ใส่เท่าไรก็ไม่เปรี้ยวซักทีมีแต่ความหวาน เราเลยจะบอกผู้เรียนเสมอว่า ต้องคอยสังเกตวัตถุดิบและก็เอามาดัดแปลงกับสูตรเอง หลักๆ จะบอกเขาว่าเมนูนี้รสชาติมันต้องเป็นยังไง เช่น แกงส้มที่สมัยนี้จะชอบออกรสเผ็ดอย่างเดียว แต่จริงๆ มันต้องออกรสเปรี้ยวหวานด้วย”

ครูดรุณีเล่าต่อว่า คนที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็หลากหลายตั้งแต่เด็กนักเรียนไปจนถึงผู้ใหญ่ มาเรียนเพื่อเอาความรู้ หรือเพื่อไปทำอาชีพอื่นๆ “บางคนเรียนจบแล้วก็มีไปทำงานตามโรงแรม ถ้าเขาฝีมือดีๆ เชฟฝรั่งเห็นก็ชวนไปทำงานต่างประเทศ มีหลายคนนะที่ไปแล้วมีชื่อเสียงลงหนังสือพิมพ์ ส่งข่าวกลับมาบอกเรา”

ร้อยดอกไม้แบบสาวชาววัง

และก็ถึงเวลาโบกมือลาแผนกอาหาร เพื่อไปเข้าเรียนแผนกต่อไปกับ ‘การจัดดอกไม้’ สถานที่เรียนก็เหมือนเช่นกับห้องเรียนแผนกอาหาร แต่ข้าวของในห้องเปลี่ยนจากเครื่องครัวเป็นอุปกรณ์จัดดอกไม้แทน กลางห้องมีโต๊ะยาวๆ วางเรียงประมาณ 4 – 5 ตัว แต่ละโต๊ะมีนักเรียนนั่งกระจายพร้อมกับกำลังจัดการดอกไม้ในมือ บางคนตัดแต่งกิ่งเตรียมจัดใส่แจกัน บางคนก็ร้อยเป็นพวงมาลัย เราตัดสินใจเดินตรงไปขอความรู้กับครูบุญเตือน ธงสันเธียะ ครูประจำแผนกแห่งนี้

ครูบุญเตือนเล่าว่า ที่แผนกจัดดอกไม้ของโรงเรียนในวังฯ จะสอนการจัดดอกไม้ตามแบบฉบับโบราณ มีทั้งเครื่องแขวงสด มาลัย จัดดอกไม้พานพุ่ม ดอกไม้ที่ใช้ในงานราชพิธีต่างๆ เช่น งานบวช งานแต่ง ฯลฯ การสอนก็จะเริ่มตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน เช่น การเลือกดอกไม้

“อย่างดอกรัก ต้องเลือกที่อยู่ในเปลือก เพราะเราต้องเอาเขามาแยกกลีบ แยกชิ้นส่วน และค่อยประกอบเข้าไปใหม่ร้อยเป็นพวงในรูปแบบต่างๆ หรือกล้วยไม้ก็ต้องเลือกที่ยังเป็นดอกๆ ค่อยเอามาแยกแล้วประดิษฐ์เข้าไปใหม่ นั่นคือลักษณะการจัดดอกไม้แบบโบราณ ต้องแยกและประดิษฐ์ใหม่

“คนที่มาเรียนส่วนใหญ่เขาก็เอาไปต่อยอดประกอบอาชีพ หรือเป็นความรู้ติดตัว แล้วแต่คน”

เล่าเรื่องผ่านการปักสะดึง

ห้องเรียนห้องสุดท้ายก่อนที่เราจะจบคอร์สกุลสตรีชาววัง ‘ปักสะดึง’ เป็นห้องเดียวที่เรารู้สึกถึงความเงียบสงบตั้งแต่ก่อนจะเข้าไป ภายในห้องนักเรียนทุกคนกำลังนั่งพับเพียบกระจัดกระจายตามมุมต่างๆ ตรงหน้าพวกเขาทุกคนมีเครื่องมือบางอย่าง ลักษณะคล้ายๆ โต๊ะไม้ขนาดเล็กที่ข้างบนขึงผ้าไว้ แต่ละคนกำลังใช้เข็มแทง-ขึ้นลงบนผ้าผืนนั้น

อาจิน ลายคำ ครูประจำแผนกดังกล่าวกำลังนั่งปักผ้าตรงหน้าเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ เราจึงเข้าไปขอความรู้ ครูอาจินอธิบายว่า เครื่องมือนั้นเรียกว่า ชุดแม่สะดึง ใช้สำหรับการปักสะดึง ประกอบด้วยขาตั้งและผ้ารอง

การปักสะดึง เป็นคำเรียกลักษณะการแทงเข็มขึ้นและลง ถือเป็นงานฝีมือที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ใช้ประดับข้าวของต่างๆ เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับยศ หมอน ตาลปัตร กลุ่มคนที่ใช้งานดังกล่าวจะเป็นเฉพาะเจ้านายในวัง คนในราชวงศ์

ปัจจุบันงานปักสะดึงไม่ได้ใช้แค่เฉพาะในวัง แต่เผยแพร่ไปสู่กลุ่มคนทั่วไป และก็กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก การปักหลากหลายจากลายดั้งเดิม มีพัฒนาปักเป็นลายการ์ตูน หรือแม้แต่หน้าคน แต่ที่โรงเรียนยังคงยึดการปักสะดึงตามแบบฉบับดั้งเดิม ซึ่งการสอนจะเริ่มตั้งแต่ความรู้พื้นฐานให้รู้จักกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานนี้ สอนทำแพนเทิร์น การปักสะดึงในรูปแบบต่างๆ เช่น การปักไหม การปักทึบ ไปจนถึงให้นักเรียนออกแบบลายด้วยตัวเอง

“ก่อนเปิดเรียนจะให้นักเรียนไปฝึกลอกลาย ลายอะไรก็ได้ เพื่อให้ข้อมือเขาคุ้นชิ้นกับลายต่างๆ หลังจากนั้นมาฝึกมือด้วยใช้เข็มปักในขั้นพื้นฐาน เช่น ปักไหม ปักทึบ ปักซอย ก่อนจะเขยิบไปลองปักแบบไล่สีจากอ่อนไปเข้ม แซมไหมแต่ละสีลงไปแต่ละช่อง ทำให้เกิดลายเหมือนเขียนสี คนมองไกลๆ จะนึกว่าเป็นภาพเขียน

“พอใกล้เรียนจบเราก็จะให้นักเรียนเขียนลายขึ้นมา 1 ชิ้น เป็นลายอะไรก็ได้ เพื่อเป็นการทดสอบความรู้เขา เป็นชิ้นงานจบ”

แม้ในปัจจุบันเราจะมีจักรเย็บผ้าที่ช่วยทุ่นแรงไม่ต้องลงทุนนั่งเย็บเอง แต่ครูอาจินอธิบายว่าความแตกต่างของการปักสะดึงกับการใช้เครื่องจักร คือ เครื่องจักรไม่สามารถใช้วัสดุแปลกๆ ได้ ครูอาจินหยิบของมาหนึ่งอย่างจากตะกร้าไม้ที่อยู่ตรงหน้า ลักษณะเหมือนปีกแมลงแข็งๆ สีเขียวเหลือบทอง ครูอาจินบอกว่านี่คือปีกของแมลงทับ

“วัสดุพวกนี้ไม่สามารถใช้จักรได้ ต้องใช้เข็มเย็บเท่านั้น ทำให้งานปักสะดึงมีจุดเด่น คือ จะใช้วัสดุหลากหลายมาก และผ่านหลายสเต็ปกว่าจะออกมาเป็น 1 ชิ้นงาน

“อย่างแมลงทับเป็นแมลงที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ความพิเศษของมันคือพอตายแล้วปีกจะแข็งและให้สีสันที่สวยงาม แต่ละตัวให้สีไม่เหมือนกัน คนนิยมเอามาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อย กำไล เสื้อผ้า วิธีการคือเขาจะรอจนแมลงตายแล้วค่อยเข้าไปเก็บ เพราะถ้าไม่ตายโดยธรรมชาติ ปีกจะไม่แข็ง เอามาทำงานไม่ได้ พอได้ปีกมาก็เอามาเจียดและตัดเป็นรูปทรงต่างๆ เวลาเอามาใช้ปักสะดึงเราจะใช้เข็มเจาะเป็นรูและร้อยด้ายเข้าไป”

คนที่มาเรียนในแผนกนี้ มีทั้งผู้ใหญ่ที่ต้องการหางานอดิเรกหรือพัฒนาความสามารถเพิ่มเติม เอาไปสร้างเป็นอาชีพ และเด็กๆ ที่อยู่ช่วงรอเรียนต่อ เช่น จบม.3 กำลังรอต่อม.4 หรือม.6 ที่กำลังรอเข้ามหาวิทยาลัย ที่มาเรียนถ้าไม่ใช่เพื่อใช้เวลาว่าง ก็เพื่อมาค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร

“เด็กจบม.3 ผู้ปกครองส่งมาลองเรียนที่นี่ เพราะบางคนอาจจะไม่ชอบงานวิชาการ ยังหาแนวทางความชอบตัวเองไม่เจอ ก็ลองมาทำอะไรที่เป็นงานเย็บปักถักร้อย การลองของเด็กกลุ่มนี้เหมือนใช้เวลา 1 ปี ระหว่างรอต่อม.4 ไปลอง ถ้าเขาชอบก็สามารถต่อยอดได้ ถ้าไม่ก็ไปลองอาชีวะหรืออะไรไป มีพื้นฐานตรงนี้เป็นหลัก”

จบคอร์ส 1 วันที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง ที่แน่นอนว่าเราคงไม่ได้เป็นกุลสตรีได้ทันที (ก็แหมเขาใช้เวลาเรียนตั้งปีหนึ่ง มาวันเดียวอย่างเราไม่มีทาง!) นอกจากความรู้และความสนุก สิ่งที่เราได้อีกอย่าง คือ ถ้าหากว่าประเทศเรามีสถานที่เรียนแบบนี้ ที่เข้าถึงง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายเยอะ คงจะเป็นอีกหนึ่งแรงซับพอร์ตที่ช่วยให้คนทั่วไปสามารถค้นหาตัวตนของตัวเองได้อีกทาง เพราะบางทีเราในอายุ 50 ปี อาจจะเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีฝีมือร้อยมาลัยก็ได้ 

นอกจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) ยังมีโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) ตั้งอยู่ที่อาคารหออุเทสทักสินา ริมถนนหน้าพระลาน เปิดสอนวิชางานเขียน งานแกะสลักงานลงรักปิดทอง งานลายรดน้ำ งานปั้นปูนสด งานเบญจรงค์ งานปักจักรอุตสาหกรรม และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) ทั้งสองที่คนทั่วไปสามารถเข้าเรียนได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น

สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่เพจ โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)

Tags:

ประวัติศาสตร์Creative Learningงานฝีมือโรงเรียนช่างฝีมือในวัง

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Creative learning
    ถักทอการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิต เชื่อมห้องเรียนกับชุมชนแบบไร้รอยต่อ: โรงเรียนบ้านขุนแปะ เชียงใหม่

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • หัวใจของการเรียนประวัติศาสตร์เพื่อฝึกทักษะคิดวิเคราะห์ : เข้าห้องเรียนอินเดียกับ ‘ลิลลี่ พัชรวิรัล เจริญพัชรพร’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน
Book
11 June 2021

ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • The Alchemist (ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน) วรรณกรรมเยาวชนเขียนโดย Paulo Coelho เล่าเรื่องราวของซานติเอโก เด็กหนุ่มที่เป็นคนเลี้ยงแกะชาวสเปนกับการออกเดินทางตามหาขุมทรัพย์ในความฝัน
  • เรื่องเล่าทุกเรื่อง ล้วนมีนัยยะซุกซ่อนอยู่ ไม่เฉพาะแต่ในวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตำนานพื้นบ้าน นิทานปรำปรา นิยายรักโรแมนติค นิยายผจญภัยสุดขอบฟ้า หรือวรรณกรรมเยาวชน ต่างก็มีสัญญะให้เราได้ค้นหาและตีความตามความเข้าใจของแต่ละคน
  • ขุมทรัพย์ – หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ชะตากรรม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ก็คือ ความฝันและเป้าหมายในชีวิตของเรานั่นเอง ซึ่งความฝันของซานติเอโก ก็คือ การเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์ และเพื่อทำเช่นนั้น เขาต้องละทิ้งชีวิตเด็กเลี้ยงแกะที่เขาคุ้นเคย
*บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ

ด้วยยอดขายกว่า 65 ล้านเล่มทั่วโลก ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 80 ภาษา (ได้รับการบันทึกในสถิติของกินเนสบุ๊ค ให้เป็นหนังสือที่มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุด นับเฉพาะหนังสือที่ผู้แต่งยังมีชีวิตอยู่) และเป็นหนังสือโปรดของศิลปินดังหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นมาดอนน่า, ฟาร์เรล วิลเลียมส์ และโอปราห์ วินฟรีย์ น่าจะเป็นเครื่องรับประกันได้ว่า หนังสือที่เรากำลังจะพูดถึงเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นหนังสือที่น่าอ่านในระดับหนึ่ง

แต่นั่นก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำไมใครต่อใครถึงหลงรักหนังสือเล่มนี้ จนกว่าคุณจะได้อ่านมันด้วยตัวเอง

The Alchemist ซึ่งเขียนโดย Paulo Coelho (เปาโล โคเอโย หรือบางคนออกเสียงว่า คูเอลญู) มักถูกมองว่า เป็นวรรณกรรมเยาวชน เพราะการเดินเรื่องที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน และมีองค์ประกอบของเทพนิยายเหนือจริงเข้ามาเกี่ยวข้อง

ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้น ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ฉบับแปลภาษาไทยในชื่อว่า ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน ซึ่งแปลโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เมื่อร่วมยี่สิบปีก่อน ซึ่งพออ่านจบผมก็จัดหนังสือเล่มนี้ให้อยู่ในหมวดหมู่วรรณกรรมเยาวชนที่แฝงแง่คิดลึกซึ้ง เช่นเดียวกับ เจ้าชายน้อย หรือวินนี่ เดอะ พูห์

หลายปีผ่านไป ผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านใหม่ จึงได้รับอรรถรสใหม่ๆ ตลอดจนเกิดข้อสงสัยใหม่ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติ รวมทั้งค้นพบว่า มีหลายคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า The Alchemist มีสไตล์การเล่าเรื่องคล้ายกับวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือ magical realism ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องแบบเน้นความสมจริง แต่ถักร้อยด้วยองค์ประกอบของเวทย์มนตร์คาถา และสิ่งเหนือธรรมชาติ

สิ่งเหนือจริงในโลกสมจริง

วรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) เป็นงานเขียนที่หลอมรวมเรื่องราวมหัศจรรย์เหนือจริง เข้ากับเรื่องราวที่อิงจากโลกความเป็นจริง (เช่น การอ้างอิงสถานที่จริง) โดยที่ตัวละครในเรื่องราว ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกจากความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ราวกับว่า เรื่องราวเหนือจริงนั้น คือ เหตุการณ์ปรกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้หนังสือประเภทนี้ แตกต่างจากงานเหนือจริงประเภทแฟนตาซี ที่เรื่องราวในหนังสือมักจะเกิดในโลกที่ถูกจินตนาการขึ้นใหม่ทั้งหมด

คำว่า magical realism ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปี 1925 โดย ฟรานซ์ โรห์ (Franz Roh) นักวิจารณ์งานศิลปะชาวเยอรมัน โดยใช้อธิบายสไตล์งานศิลปะที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น ที่มักสอดแทรกสิ่งเหนือจริง รวมถึงเวทย์มนตร์คาถา เข้าไว้ในภาพเหตุการณ์ที่สะท้อนจากโลกจริง

หลังจากนั้น สไตล์งานศิลปะแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ ถูกนำไปใช้แพร่หลายในหมู่นักเขียนชาวละตินอเมริกา และเมื่อวรรณกรรมแนวนี้ได้รับความนิยมในวงกว้าง ทำให้เมื่อพูดถึงสัจนิยมมหัศจรรย์  ทุกคนจะนึกถึงงานเขียนจากละตินอเมริกาไปโดยปริยาย

หนังสือเรื่อง One Hundred Years of Solitude หรือ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel Garcia Marquez) นักเขียนชาวโคลอมเบีย อาจเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่ทำให้ผลงานแนวสัจนิยมมหัศจรรย์เป็นที่รู้จักในระดับโลก แต่ถ้าในยุคปัจจุบันแล้ว คงต้องบอกว่า ผลงานหลายๆ เล่มของฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ถือเป็นการเบิกเนตรให้นักอ่านหนังสือรุ่นใหม่ๆ ได้รู้จักกับวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์

แต่ไม่ว่าจะเป็นสัจนิยมมหัศจรรย์จากภูมิภาคใดของโลก สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความเหนือจริงที่ซ้อนทับในโลกที่สมจริง ขณะที่ตัวละครในหนังสือ ไม่มีใครเอะใจกับความพิลึกพิลั่นเหนือธรรมชาติที่ถูกใส่เข้ามา ราวกับว่า มันเป็นเรื่องปรกติที่พบเห็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา

หรือว่าจริงๆ แล้ว ความมหัศจรรย์เหล่านั้น เป็นสิ่งปรกติที่ถูกแปลงรูปให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า นักเขียนอาศัยความมหัศจรรย์เหล่านั้น ซุกซ่อนนัยยะนามธรรมบางอย่าง เช่น ดาบวิเศษ อาจหมายถึงความยุติธรรมหรือความกล้าหาญ หรือคนมีปีกอาจหมายถึงผู้หลุดพ้นจากพันธะผูกพัน

…แล้วความมหัศจรรย์ใน The Alchemist มีนัยยะอะไรซุกซ่อนอยู่

ถอดรหัสค้นหาขุมทรัพย์

ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเล่าทุกเรื่อง ล้วนมีนัยยะซุกซ่อนอยู่ ไม่เฉพาะแต่ในวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตำนานพื้นบ้าน นิทานปรำปรา นิยายรักโรแมนติค นิยายผจญภัยสุดขอบฟ้า หรือวรรณกรรมเยาวชน ต่างก็มีสัญญะให้เราได้ค้นหาและตีความตามความเข้าใจของแต่ละคน

The Alchemist หรือขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน หรือขุมทรัพย์สุดปลายฝัน (ชื่อในการแปลใหม่ โดยกอบชลี และกันเกรา จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์) เป็นเรื่องราวการเดินทางของซานติเอโก เด็กหนุ่มที่เป็นคนเลี้ยงแกะชาวสเปน เขาฝันถึงขุมทรัพย์ที่ซุกซ่อนอยู่ที่พิระมิดในอียิปต์หลายครั้ง จนในที่สุดซานติเอโกตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อออกเดินทางตามหาขุมทรัพย์ในความฝัน

การเดินทางตามหาขุมทรัพย์ของซานติเอโก กลายเป็นการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว ขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดที่เขาค้นพบ ก็คือ ชะตากรรม (หรือตำนานชีวิตของตัวเอง ในฉบับแปลใหม่) ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘Personal Legends’

“มันคือสิ่งที่เจ้าอยากเป็น มนุษย์ทุกคน เมื่อพวกเขายังหนุ่มสาว จะรู้ว่าชะตากรรมของตัวเองคืออะไร

“ณ ห้วงเวลานั้น ทุกอย่างดูกระจ่างชัดและเป็นไปได้ พวกเขาไม่กลัวที่จะฝัน และแสวงหาสิ่งที่พวกเขาต้องการให้บังเกิดขึ้นในชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไป พลังลึกลับบางอย่างก็เริ่มทำให้พวกเขาเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นไปอย่างที่เคยฝัน” (ข้อความจากหนังสือ ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน แปลโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์)

#ขุมทรัพย์ – หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ชะตากรรม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือความฝันและเป้าหมายในชีวิตของเรานั่นเอง ซึ่งความฝันของซานติเอโกก็คือการเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์ และเพื่อทำเช่นนั้น เขาต้องละทิ้งชีวิตเด็กเลี้ยงแกะที่เขาคุ้นเคย

#แกะ – แกะในเรื่องนี้ น่าจะมีความหมายถึง ความเชื่อง ว่านอนสอนง่าย อยู่ในแบบแผนของสังคม และมั่นคงปลอดภัย ซึ่งซานติเอโก จำเป็นต้องเสียสละทุกอย่างที่กล่าวมา จำเป็นต้องทำตัวผิดแผกจากคนอื่นในสังคม เพื่อแลกกับการออกค้นหาความฝันในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

#ทะเลทราย – ทะเลทราย คือ สภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้ง เต็มไปด้วยอุปสรรคที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากที่สุด ซึ่งทะเลทรายในเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างจากชีวิตของคน ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ นานาให้ต้องฝ่าฟัน เพื่อไปให้ถึงความฝันที่วาดไว้

#การเล่นแร่แปรธาตุ – การเล่นแร่แปรธาตุ หรือความพยายามเปลี่ยนวัตถุโลหะ ให้กลายเป็นทองคำ ซึ่งการเล่นแร่แปรธาตุ รวมถึงนักแปรธาตุ ผู้เข้าถึงศาสตร์แห่งการแปรธาตุ นับเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง (ตามชื่อเรื่องในภาษาอังกฤษว่า The Alchemist หรือ นักแปรธาตุ) แต่ความหมายที่แท้จริงของการเล่นแร่แปรธาตุ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงตนเองให้กลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม หรือเป็นตัวเองในภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

อย่างไรก็ดี ความพยายามถอดรหัสต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ ก็คงไม่ต่างจากความพยายามหาทางเข้าถึงศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุในตำรา เหมือนเช่นที่ชายชาวอังกฤษในเรื่องพยายามทำ ขณะที่ซานติเอโก เข้าถึงศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ด้วยการหลอมรวมตัวเองเข้ากับธรรมชาติ หรือ “บรมจิตแห่งพิภพ” 

และนั่นอาจเป็นการบอกกับเราว่า อย่าพยายามตีกรอบจัดประเภทของ The Alchemist และไม่จำเป็นต้องหาทางถอดรหัสนัยยะในหนังสือเล่มนี้ เพียงแค่เปิดอ่าน ปล่อยตัวเองให้ลื่นไหลไปกับเรื่องราวในหนังสือ น่าจะเป็นการดื่มด่ำความดีงามของหนังสือได้ดีที่สุด

ขุมทรัพย์ที่เราหลงลืม

เปาโล โคเอโย ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ต่างจากซานติเอโก เขาทำสิ่งที่ถูกมองว่า “แหกขนบ” มาหลายต่อหลายครั้งในชีวิต เพื่อยืนยันเจตนารมย์การเดินตามหาความฝัน ไม่ว่าจะเป็นการออกจากโรงเรียนกฎหมาย หรือการทิ้งอาชีพนักแต่งเพลง เพื่อที่จะเป็นนักเขียนหนังสืออย่างจริงจังตามที่ฝันไว้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
นอกจากเรื่องการค้นหาความฝัน หรือชะตากรรมชีวิตแล้ว สิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวใน The Alchemist อยู่ในประโยคที่ชายชรากล่าวไว้กับซานติเอโก
“หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดอย่างแท้จริง จักรวาลทั้งปวงจะร่วมกันช่วยให้เจ้าบรรลุสิ่งที่เจ้าปรารถนา”  (ข้อความจากหนังสือ ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน แปลโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์)

โคเอโย เคยเล่าในการให้สัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ว่า ช่วงแรกที่ The Alchemist ออกวางจำหน่าย หนังสือขายไม่ได้เลย จนผู้จัดพิมพ์ตัดสินใจหยุดการจำหน่าย และนั่นอาจเป็นจุดจบอาชีพนักเขียนของโคเอโย
ทว่า โคเอโย เชื่อมั่นในความฝันของเขา และมั่นใจว่า หากเขาปรารถนาสิ่งใดอย่างแท้จริง จักรวาลทั้งปวงจะร่วมกันช่วยให้เขาบรรลุสิ่งที่ปรารถนา
เขาเดินหน้าหาผู้จัดพิมพ์หนังสือรายใหม่ที่บราซิล พร้อมกับบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า เขามีหนังสือที่ตีพิมพ์แล้วและขายไม่ออก แต่เขาเชื่อมั่นว่า มันเป็นหนังสือที่ดี ซึ่งผู้จัดพิมพ์หนังสือรายนั้น รับฟังและรับปากจะเป็นผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายให้กับโคเอโย
สามปีต่อมา หนังสือ The Alchemist ทำยอดขายกว่าครึ่งล้านเล่มในประเทศบราซิล ความฝันของโคเอโย กลายเป็นความจริง
เขาค้นพบชะตากรรมของตนเอง เช่นเดียวกับซานติเอโก ที่ค้นพบขุมทรัพย์ที่ปลายฝันของเขา

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)หนังสือการผญจภัย

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความสุขคืออะไร?  คำถามที่ทุกคนต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ‘รักตัวเอง’ สุขจริงหรือแค่ปลอบใจ แล้วแค่ไหนถึงกลายเป็นหลงตัวเอง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Character buildingBook
    ‘HOW TO RAISE YOUR SELF-ESTEEM’ เพียงแค่รักและไว้ใจตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่างในชีวิตนี้

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง
Myth/Life/Crisis
10 June 2021

โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ความฝัน นอกจากใช้เพื่อสัมผัสถึงลักษณะของตัวเองที่เราได้ละเลยไปแล้ว บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนการใช้ชีวิตของเรา
  • เช่น ชายคนหนึ่งที่มักรู้สึกไม่มั่นคงและเกิดอาการเวียนหัวเมื่อต้องขึ้นภูเขาสูง อีกทั้งยังฝันว่าได้กลับไปบ้านเกิดแต่ทุกคนกลับไม่รู้จักเขา หรืออีกฝันหนึ่งลืมเอกสารสำคัญทำให้ไปไม่ทันรถไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าความทะเยอทะยานที่พยายามถีบตัวเองกำลังส่งผลให้เขาเหนื่อยล้า และยิ่งเขาไม่หยุดพักผลกระทบก็ยิ่งหนักขึ้น
  • บทความชิ้นนี้ ภัทรารัตน์ ชวนเข้าใจความฝันและการทำงานกับความฝัน ผ่านตัวละครโกลด์มุนด์ จากเรื่อง นาร์ซิสซัสและโกลด์มุนด์

“คุณคอยสังเกตนะ ผมเหนือกว่าคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง คือผมตื่นแล้ว ส่วนคุณยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ หรือบางทีคุณอาจหลับสนิทเลยทีเดียว” – นาร์ซิสซัส กล่าวกับโกลด์มุนด์

ณ มาเรียบรอนน์ (Mariabronn) อารามยุคกลางแห่งหนึ่งในชนบทของเยอรมัน โกลด์มุนด์ (Goldmund) หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาผมสีบลอนด์ ผู้มีจิตวิญญาณแบบศิลปินนักฝัน อีกทั้งมีความเป็นกวีและนักรัก จำต้องมาเป็นนักเรียนในอารามเพื่อในอนาคตจักได้บวชเพื่อพระผู้เป็นเจ้าตามความประสงค์ของพ่อผู้เย็นชา เนื่องเพราะพ่อเห็นว่าแม่ของเด็กหนุ่มมีความผิดบาปซึ่งโกลด์มุนด์ต้องช่วยไถ่ให้ 

ทว่า โกลด์มุนด์แทบไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับแม่เลย เขารู้เพียงว่าตนสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพ่อของโกลด์มุนด์อับอายที่ภรรยาของตนหนีไป เขาจึงต้องกดความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาในตัวโกลด์มุนด์อย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้โกลด์มุนด์สืบสันดาน ‘ชั่วร้าย’ ของแม่ ลักษณะต่างๆ ของเธอจะไม่มีโอกาสเบ่งบานในตัวโกลด์มุนด์

ในอารามที่พ่อนำตัวโกลด์มุนด์มาฝากไว้นั้น มีบุคคลผู้น่าเลื่อมใสอยู่สองท่าน หนึ่งในนั้นคือนาร์ซิสซัส (Narcissus) ครูหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าโกลด์มุนด์เพียงนิดหน่อย นาร์ซิสซัสมีลักษณะของนักคิดผู้เปี่ยมปัญญาและสงวนท่าที อีกทั้งสามารถสัมผัสถึงบุคลิกภาพของคนอื่นได้ด้วยความหยั่งรู้ แม้นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์จะมีความแตกต่างกันมากมายเพียงไร แต่พวกเขาก็ได้สานสายใยมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อกัน

นาร์ซิสซัสมองเห็นว่าวิญญาณของโกลด์มุนด์ป่วยไข้มาเนิ่นนาน วันหนึ่งจึงบอกแก่โกลด์มุนด์ว่า “คุณลืมวัยเด็กของตัวเอง” เขารู้ว่าอดีตกำลังเพรียกหาโกลด์มุนด์จากเบื้องลึกแห่งวิญญาณและโกลด์มุนด์จะเป็นทุกข์จนกว่าจะหวนกลับไปดูอดีตซึ่งมีมารดาอยู่ในนั้น ถ้อยคำต่างๆ ของนาร์ซิสซัสทำให้โกลด์มุนด์เจ็บปวดมาก แต่กระนั้นก็รู้สึกว่า ‘ได้ปลดปล่อยตัวเองจากบางอย่าง’ ในส่วนลึก โกลด์มุนด์วิ่งหนีไปสลบอยู่ใต้หลังคาหินเชื่อมทางเดินกับสวนในอาราม

ในขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นจากโลกของความฝัน โกลด์มุนด์เห็นภาพแม่ของเขา สตรีใบหน้าเปล่งปลั่ง ร่างสูง เรือนผมส่องประกายจับตา ‘ผู้หญิงผู้เป็นที่รักเกินกว่าจะพร่ำพรรณนา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนงามสง่าดุจเนตรพระราชินีของเธอจ้องมองมาที่เขาอีกครั้ง’

นาร์ซิสซัสกระตุ้นให้โกลด์มุนด์ระลึกถึงมารดาที่เขาลืมเลือนไป และหลังจากเขาตื่นขึ้นจากการหมดสติ ก็ดูเหมือนว่าโกลด์มุนด์ได้รับการเยียวยาไปส่วนหนึ่งแล้ว เขาได้สัมผัสรสชาติของมารดาที่มีทั้งความสง่างาม อบอุ่นละมุนละไม ฯลฯ ที่มีความหมายมากกว่าเรื่องอื้อฉาวที่เคยได้ยินจากปากคนอื่น และเขายังได้สัมผัสกับคุณลักษณะต่างๆ มากมายของตัวเองอันเหมือนกับของมารดา ซึ่งถูกกดไว้ในจิตไร้สำนึกด้วย

ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ และต้นแบบของความเป็นแม่ (Mother Archetype) เผยตัวขึ้นในความฝันและฝันกลางวันอันกึ่งหลับกึ่งตื่นของโกลด์มุนด์ เขาได้เห็นคุณลักษณะต่างๆ ของตัวเองที่ไม่สอดคล้องกับการเป็นเพศบรรพชิต และตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตอิสระอันเปิดกว้างต่อความรักใคร่และผัสสาการที่น่าตื่นเต้นในโลก ซึ่งรวมเอาสองขั้วตรงข้ามของโลกไว้ รอยยิ้มแห่งสุข การปลอมประโลม ความน่ากลัว ความเย้ายวน ความมืดมิด ความตะกละตะกลาม มลทินมัวหมองและความโศกาอาดูร ฯลฯ โลกที่สรรพสิ่งได้ถือกำเนิดขึ้นและถูกพรากชีวิตให้ดับสูญไป

การสัมผัสกับคุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ค่อยๆ ขยายขอบเขตของโกลด์มุนด์ให้ไพศาลบริบูรณ์ขึ้นในแนวทางของตัวเขาเอง

บางด้านที่เราได้ทอดทิ้งไป  

ในครอบครัวและสังคมของพวกเราแต่ละคนก็เหมือนกับของโกลด์มุนด์ ที่ผู้ปกครองและผู้คนย่อมจะมีแนวคิดว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และอะไรเป็นคุณลักษณะที่อยากบ่มเพาะขัดเกลาให้เรามีและไม่มี อย่างในเนื้อเรื่องนี้พ่อของโกลด์มุนด์คิดว่าลักษณะแห่งกามสุขต่างๆ และความรุ่มรวยแบบศิลปิน นักรักนอกรีต ฯลฯ ของภรรยา เป็นความชั่วร้ายและน่าอาย เขาจึงฝังกลบลักษณะเหล่านั้นในตัวลูกไว้ร่วมกับความทรงจำของลูกเกี่ยวกับมารดา

แต่ไม่ว่าลักษณะไม่พึงประสงค์สำหรับครอบครัวและสังคมที่เราอยู่ จะเหมือนกับของโกลด์มุนด์หรือไม่ สิ่งที่ถูกปฏิเสธในตัวเราทุกคน โดยเฉพาะนับแต่วัยเด็กไม่ได้หายไป มันเพียงแต่ถูกกักไว้ในจิตไร้สำนึก หรือบางทีเราก็เติบโตมาโดยรู้สึกถึงมันอย่างครึ่งๆ กลางๆ ราวกับอยู่ในภวังค์ และบ้างก็ปฏิเสธมันอย่างรุนแรงเมื่อเริ่มรู้จักมันอีกครั้ง 

มันแค่รอวันแสดงตัวออกมาในกระแสสำนึก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็มักมีอานุภาพรุนแรงเกินจะควบคุม กระนั้น วิธีที่เราจะสามารถรับรู้มันอย่างเป็นมิตร (รับรู้ในจิตใจ ไม่ได้แปลว่าต้องทำพฤติกรรมตามสิ่งต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาทั้งหมด เพราะเรายังต้องอยู่ในสังคม) ก่อนให้มันมาควบคุมเรา ก็คือการทำงานกับภาพสัญลักษณ์ในตำนานและเรื่องราวต่างๆ อีกทั้งทำงานกับภาพที่ปรากฏในความฝัน ความกึ่งฝันกึ่งตื่น รวมไปถึงสัญญาณต่างๆ ที่รับรู้ได้ในยามตื่น เช่น ความป่วยไข้ ด้วย

ความฝัน กับความสัมพันธ์และบางด้านที่เราได้ทอดทิ้งไป  

มนุษย์สามารถใช้ความฝันช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตและเยียวยาอาการป่วยไข้มานับแต่อดีตกาล Sheila McNellis Asato อาจารย์ผู้ทำงานกับความฝัน ณ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา เล่าว่า ในโลกโบราณมีวิหารซึ่งอุทิศแด่เทพอัสเคลเพียส (Asclepius) อันเป็นเทวสถานที่ผู้คนเข้าไปเอนกายลงนอนบนม้านั่งยาว (ภาษากรีกเรียกว่าคลิเน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าคลินิก) เพื่อจะฝันและเยียวยา 

ความเป็นจริงในตอนตื่นมิได้จริงไปกว่าตอนที่หลับฝัน และความฝันสามารถนำพาเราก้าวข้ามรูปแบบจิตสำนึกในตอนตื่นที่เราติดเป็นนิสัย ออกไปสู่ความสำนึกรู้ที่ไพศาลกว่าเดิมได้ ในขนบการเยียวยาของคาร์ล ยุง (1875-1961) จิตแพทย์ชาวสวิส ซึ่งร่วมยุคกับ เฮอร์มาน เฮสเส (1877-1962) ผู้เขียนเรื่อง นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ Narcissus and Goldmund) ที่เล่ามานี้ ข้อมูลจากความฝันเป็นสิ่งสลักสำคัญมากพอจะใส่ใจ

ยกตัวอย่าง สตรีผู้หนึ่งฝันถึงดาบที่ประดับประดาอย่างวิจิตร และเมื่อยกขึ้นพูดคุยกับคาร์ล ยุง ก็พบว่า ดาบนี้สะท้อนลักษณะที่วู่วามแต่เด็ดเดี่ยวของพ่อ รวมถึงเป็นลักษณะดังกล่าวแบบพ่อในตัวเธอเองที่เธอลืมเลือนฝังกลบไปด้วย เธอได้ก้าวข้ามขอบของตัวเองหลังจากความตระหนักรู้นั้น เฉกเช่นเดียวกันกับการปลดปล่อยข้อมูลบางอย่างซึ่งถูกฝังกลบไว้ในจิตไร้สำนึกของโกลด์มุนด์ ข้อมูลนี้คือคุณลักษณะของแม่ของโกลด์มุนด์ และอันที่จริงก็เป็นลักษณะของโกลด์มุนด์เองด้วย  

ความฝัน กับสัญญาณเตือนสู่การเปลี่ยนผ่านแห่งชีวิต

นอกจากการทำงานกับความฝันเพื่อสัมผัสถึงลักษณะของตัวเองที่เราได้ละเลยไปแล้ว ก็ยังมีการทำงานกับความฝันในฐานะที่มันเป็นสัญญาณเตือนถึงการใช้ชีวิต เทนซิน วังเกล รินโปเช (Tenzin Wangyal Rinpoche) ภาวนาจารย์สายพุทธเพิน กล่าวว่า 

หากเรา ฝันเป็นแนวเรื่องซ้ำๆ มันแปลว่า เรามิได้เป็นผู้ฟังที่ดี ด้วยเพราะความฝันจะไม่ต้องเดินทางมาพร่ำบอกเราในเรื่องเดิมอย่างซ้ำซาก หากเราตั้งใจฟังและทำงานกับมันกระทั่งสารนั้นได้รับการคลี่คลาย ถ้าเราไม่ฟังความฝันบ้าง ก็อาจต้องเจอฝันร้ายในชีวิตตอนตื่น 

เช่น มีชายคนหนึ่งมาปรึกษาคาร์ล ยุง เรื่องที่ชายคนนั้นรู้สึกไม่มั่นคงและวิตกกังวล อีกทั้งยังรู้สึกคลื่นเหียนเวียนหัวคลับคล้ายความรู้สึกป่วยเมื่อเดินทางขึ้นภูเขาสูง ชายผู้นี้ผงาดขึ้นพ้นจากภูมิหลังอันยากจนและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยความทะยานอยาก แต่แล้วอาการทางประสาทก็มาสกัดเขาไว้เสียก่อน เขามาเล่าความฝันให้คาร์ล ยุง ฟัง โดยความฝันแรก เขากลับไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตนเองเกิดมา มีชาวนาที่ร่ำเรียนมากับเขายืนอยู่แต่เขาทำเป็นไม่รู้จัก ทว่าหนึ่งในคนเหล่านั้นชี้มาที่เขาแล้วบอกว่า เขาไม่ค่อยกลับมาที่หมู่บ้าน 

ส่วนอีกฝันหนึ่ง เขากำลังรีบจะเดินทาง แต่กลับลืมกระเป๋าเก็บเอกสารสำคัญทิ้งไว้จึงต้องกลับไปเอา ทว่าพอวกกลับไปที่สถานีรถไฟ รถไฟก็เพิ่งวิ่งออกไปเป็นรูปตัว S ซึ่งถ้าคนขับเร่งเครื่องตอนวิ่งตรงไป ตู้รถไฟจะตกราง แล้วรถไฟก็ถูกเหวี่ยงออกจากรางจริงๆ 

การถีบตัวอย่างอุตสาหะจากจุดต่ำเตี้ยขึ้นสู่สถานะการงานอันสูงส่งที่ผ่านมาทำให้ชายผู้นี้เหนื่อยล้า และเขาก็ได้รับสัญญาณเตือนเป็นอาการป่วยเหมือนคนปีนขึ้นที่สูงและความฝันอันสอดรับ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการไม่สามารถถีบตัวต่อไปได้อีก แต่ทว่าเขากลับไม่ฟังและไม่หยุดพักเสียบ้าง จนในที่สุดชีวิตตอนตื่นของเขาก็พังทลายดุจรถไฟในความฝัน เห็นได้ว่าความฝันสามารถปรากฏขึ้นอย่างสอดคล้องกับปัญหาในชีวิตที่ตื่นอยู่ มันชัดเจนสำหรับคนช่างสังเกตและสามารถสดับตรับฟัง 

ร่างฝัน

แล้วถ้าเราอยากทำงานกับความฝัน มีอะไรที่ควรสังเกตบ้าง?

ความฝันไม่เพียงสามารถปรากฏร่างเป็นอาการเจ็บป่วย บางกรณีร่างฝันก็แสดงตัวเป็นการเสพติดความสัมพันธ์ให้โทษที่ไม่เข้าท่า หรือเสพติดความรู้สึกว่าต้อง nice ตลอดเวลา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาบอกว่าเรามีตำหนิ แต่เป็นดังเสียงกระซิบซาบแห่งกระบวนการเติบโตเปลี่ยนผ่านทางจิตใจ มันคือเสียงเพรียกหา (Calling) คล้ายในไพ่ The Judgement ให้ต้องใคร่ครวญตัวเองเพื่อจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามี แนวเรื่องซ้ำรอยเดิมบางอย่าง อยู่ตลอดเส้นทางชีวิตของเรา และเรามีศักยภาพที่จะก้าวพ้นขอบไปจากร่องเดิมถ้ามันเริ่มเป็นโทษ แต่บางครั้ง เราไม่เปิดรับเสียงเพรียกนี้เพราะยังไม่พร้อมเสียสละบางอย่างที่ดูเหมือนปลอดภัยกว่า เฉกเช่นโกลด์มุนด์ในตอนแรกที่ไม่รับรู้คุณลักษณะรุ่มรวยหลายอย่างในตนเองเพราะติดกรอบของพ่อซึ่งต้องการให้เขามีชีวิตแบบนักบวช    

บางทีเราจึงหลับใหลเมื่อพยายามตอบสนองเสียงจากข้างนอก แต่กลับตื่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อใส่ใจความฝันแห่งโลกภายใน อีกทั้งข้อมูลในภาวะกึ่งหลับใหลและแม้แต่สัญญาณในยามตื่นด้วยเช่นกัน

อ้างอิง 
นาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์  (Narcissus and Goldmund) โดย เฮอร์มาน เฮสเส แปลเป็นภาษาไทยโดย สดใส ขันติวรพงศ์
Dreams โดย Carl Gustav Jung แปลจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษโดย R.F.C Hull หากสนใจ สามารถเทียบภาษาเยอรมันโดยหาจากชื่อ “Die praktische Verwendbarkeit der Traumananalyse” ใน in Wirklichkeit der Seele 
หากสนใจอ่านกระบวนการกลายเป็นปัจเจก (Individuation) อีกทั้งการสัมผัสกับภาพลักษณ์วิญญาณฝ่ายหญิง (Anima) และเรื่องเงามืด (Shadow) สามารถหาข้อมูลเบื้องต้นได้ใน Jung A very short Introduction โดย Anthony Stevens 
The Ultimate Illustrated Guide to Dreams, Signs & Symbols โดย Mark O’Connell, Raje Airey และ Richard Craze
Tibetan Yogas of Dream and Sleep โดย Tenzin Wangyal Rinpoche 

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)ความฝันนาร์ซิสสัสกับโกลด์มุนด์  (Narcissus and Goldmund)หนังสือ

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

ในวันที่ลูก (วัยรุ่น) คิดต่าง
How to get along with teenager
9 June 2021

ในวันที่ลูก (วัยรุ่น) คิดต่าง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘ถ้าวันนี้ลูกของเราคิดต่างจากเรา…พ่อแม่อย่างเราควรจะทำอย่างไร?’
  • สำหรับพ่อแม่ เราควรวางอำนาจในการเป็นพ่อแม่ลง แล้วรับฟังในสิ่งที่ลูกพูด เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับลูกอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะสิ่งที่เราต้องการ คือ ‘ความเข้าใจ’ ไม่ใช่ ‘การเอาชนะ’ โดยเฉพาะเอาชนะเขาด้วยการอ้างสิทธิ์การเป็นพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมากกว่า ผลลัพธ์ คือ ลูกจะถอยห่าง และสร้างกำแพงหนากับพ่อแม่
  • การยอมรับควรมาก่อนความเข้าใจเพราะถ้าหากเรายังยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นไม่ได้ เราจะพยายามมองหาจุดผิดพลาดของเขาตลอดเวลา และนั่นไม่สามารถนำไปสู่ความเข้าใจอย่างแท้จริงได้ 

“การยอมรับในความแตกต่าง” เริ่มต้นที่ครอบครัว

ปัจจุบันสังคมของเราแคบลง เนื่องด้วยคนทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสาร พูดคุยกับผู้อื่นที่อยู่อีกซีกโลกเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ในขณะที่โลกโดนย่อให้เล็กลง แต่ใจของคนเราแคบลงไปด้วยหรือไม่?

ความแตกต่างในสังคม คือ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความแตกต่างไม่ได้หมายถึงแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ภาษาที่ใช้สื่อสารเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความเชื่อ ทัศนคติ การให้คุณค่า วิถีชีวิต และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นผลมาจาก พันธุกรรมและสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

ในเมื่อพันธุกรรม คือ ปัจจัยทางชีวภาพที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่การเลี้ยงดู คือ ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้บางคนบอกว่า “ไม่จริงเสียหน่อย เพราะตอนที่เขาเป็นเด็กเขาเปลี่ยนพ่อแม่ของเขาไม่ได้” นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องเศร้าของใครหลายๆ คน แต่วันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่า เราย้อนเวลากลับไปแก้ที่พ่อแม่ของตนเองไม่ได้ เราควรยอมรับ และเดินหน้าต่อไป

ที่สำคัญสำหรับใครบางคน ที่วันนี้ได้มีโอกาสเป็นพ่อแม่ของเด็กคนหนึ่ง เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเราเพื่อเขาไหม?

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Diana Baumrind (1971) ได้แบ่งรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ออกเป็น 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบจะส่งผลต่อเด็กที่เติบโตมาแตกต่างกัน

  1. พ่อแม่ที่ชอบควบคุมและเรียกร้องจากลูก (Authoritarian parenting style) 

พ่อแม่รูปแบบนี้จะค่อนข้างเรียกร้องให้ลูกตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง พ่อแม่มักจะเข้มงวดมาก ไม่ค่อยอธิบายเหตุผลให้ลูกฟัง และต้องการควบคุมลูกอยู่เสมอ 

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่ชอบควบคุม เด็กอาจจะมีแนวโน้มเคารพกฎกติกาอย่างเข้มงวด ปราศจากความยืดหยุ่น หากมีใครที่แตกต่างจากตนหรือกลุ่ม เขาจะมองว่า ความแตกต่างที่คนๆ นั้นมีเป็นสิ่งที่ไม่ดี และยอมรับไม่ได้ เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเองก็ไม่ยอมรับตัวเขาเมื่อเขาเห็นต่างจากพ่อแม่นั่นเอง (และพ่อแม่ไม่ยอมรับเขาอย่างรุนแรงด้วย)

  1. พ่อแม่ที่เอาใจลูกและทำตามคำเรียกร้องของลูกแทบจะทุกอย่าง (Permissive parenting style) 

พ่อแม่รูปแบบนี้มักจะทำตามคำเรียกร้องจากลูกเสมอ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ตาม พ่อแม่กลุ่มนี้จะกลัวการขัดใจลูก เพราะกลัวว่าถ้าขัดใจลูกแล้วลูกร้องไห้ ลูกจะไม่รักตนเอง 

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่เอาใจ เด็กจะยึดตัวเป็นศูนย์กลาง (ของทุกสิ่ง) เมื่อเข้าสู่สังคม แม้จะเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวเองสูง แต่กลับไม่รู้สึกมั่นคง เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอ มักจะชอบการควบคุมบงการให้ผู้อื่นทำตามข้อเรียกร้องของตน

  1. พ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูก (Uninvolved parenting style) 

พ่อแม่รูปแบบนี้มักจะไม่เอาใจใส่ลูกหรือเอาใจใส่น้อยมาก เรียกได้ว่าแทบไม่สนใจหรือตอบสนองต่อลูกเลย 

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่ทอดทิ้งเขา เด็กจะรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า ไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ ไม่ไว้ใจโลกและไม่เชื่อใจใคร พวกเขาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดด้วยตนเอง ไม่ต้องการพึ่งพิงใคร แม้เขาต้องการความรัก แต่จะไม่กล้าเปิดใจให้ใครเข้ามาง่ายๆ เมื่อเขาสังคมมักจะต่อต้านการเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่น บางคนทำตัวสวนกระแสสังคมเพื่อสร้างจุดเด่นให้กับตนเอง

  1. พ่อแม่ที่เอาใจใส่ (Authoritative parenting style)

พ่อแม่รูปแบบนี้ค่อนข้างเอาใจใส่ลูก ตอบสนองลูกเมื่อลูกร้องขอและสิ่งนั้นเหมาะสม มีการสอนสั่งวินัย และอธิบายสิ่งต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช้อารมณ์ในการเลี้ยงลูก

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่เอาใจใส่ เด็กจะเห็นคุณค่าในตนเอง ในขณะเดียวกันก็เห็นคุณค่าในตัวผู้อื่นเช่นกัน เมื่อเข้าสู่สังคมเขาจะสามารถปรับตัวเข้าสู่กลุ่ม และยอมรับในกฏกติกาได้ เมื่อเพื่อนแตกต่างจากตน ยินดีที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจในความแตกต่างนั้น

แม้ว่าจะมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อคนๆ หนึ่ง แต่การเลี้ยงดูเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิผลอย่างมากต่อการเติบโตของเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่

ในสังคมที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง หากเราสามารถเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ยอมรับความแตกต่างอย่างเข้าใจ ไม่ดูถูกผู้อื่นว่าด้อยกว่าตน และในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อคุณค่าที่ตนเองเชื่อโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

การ ‘ยอมรับ’ จึงควรมาก่อน ‘ความเข้าใจ’ เพราะหากปราศจากซึ่งการยอมรับแล้ว เราจะพยายามหาข้อผิดพลาดในตัวของอีกฝ่าย จนไม่สามารถเปิดใจยอมรับได้ ในทางกลับกันหากเราพยายาม ‘ยอมรับ’ ก่อน แม้สิ่งนั้นไม่ได้ถูก (ใจ) ไปเสียทั้งหมด แต่นั่นจะนำไปสู่ความเข้าใจได้ เพราะเราจะตั้งใจฟังเขาได้ และยอมรับเขาอย่างแท้จริง

ดังนั้น วันนี้ที่เราย้อนกลับไปแก้ไขพ่อแม่ของเราไม่ได้ ให้เรามองไปข้างหน้า ยอมรับตัวเรา ถ้าสิ่งไหนดีให้รักษามันไว้ ถ้าสิ่งไหนไม่ดีก็เรียนรู้เป็นบทเรียน เพื่อวันหนึ่งเรามีเด็กน้อยที่ต้องดูแล เราจะได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ดีๆ ในใจเขา เพื่องอกงามเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต

ในวันที่ลูก (วัยรุ่น) เห็นต่างจากพ่อแม่ และพ่อแม่เห็นต่างกับลูก

วัยทองของเด็ก 2 ขวบ คือ ช่วงวัยที่พ่อแม่เริ่มหนักใจ เพียงเพราะลูกเริ่มปฏิเสธเป็น ต่อต้าน แต่ ณ วัยนั้น สิ่งที่ลูกทำอาจจะเป็นเพียง แค่บอกเราว่า ‘ไม่กิน’ ‘ไม่เอา’ ‘ไม่ทำ’ เราบอกให้ไปทางซ้าย ลูกจะเดินไปทางขวา เราบอกให้ลูกนอน ลูกก็จะวิ่ง แต่นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

วัยรุ่น คือ ช่วงวัยที่ (ต้อง) เป็นตัวของตัวเองอย่างที่แท้จริง เขาต้องการมีอัตลักษณ์ (มีตัวตน) ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะจากสังคมเพื่อน ความคิดที่เขามี เขาจะพยายามแสดงออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นเป็นหน้าที่ของวัยรุ่น

คำถาม ‘ถ้าวันนี้ลูกของเราคิดต่างจากเรา…พ่อแม่อย่างเราควรจะทำอย่างไร’

คำตอบนั้นเรียบง่าย นั่นคือ ‘รับฟัง’ แต่เป็นสิ่งที่ยากจะปฏิบัติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่ความคิดลูกช่างแตกต่าง และตรงข้ามกับเราเสียเหลือเกิน…

เมื่อความเห็นต่างระหว่างพ่อแม่กับลูก ค่อยๆ นำไปสู่ความขัดแย้งภายในครอบครัวที่ร้อนระอุขึ้นทุกวัน

จนทำให้ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไม่ติด หรือถึงขั้นทำร้ายกันเพียงเพราะเราไม่เห็นด้วยในความคิดของกันและกัน

สำหรับพ่อแม่ เราควรวางอำนาจในการเป็นพ่อแม่ลง แล้วรับฟังในสิ่งที่ลูกพูด เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับลูกอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะสิ่งที่เราต้องการ คือ ‘ความเข้าใจ’ ไม่ใช่ ‘การเอาชนะ’ โดยเฉพาะเอาชนะเขาด้วยการอ้างสิทธิ์การเป็นพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมากกว่า ผลลัพธ์ คือ ลูกจะถอยห่าง และสร้างกำแพงหนากับพ่อแม่

“คนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูก จะเปิดใจเข้าหากันได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความสบายใจว่า เราอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย”

ถ้าความคิดหรือการกระทำของลูกไม่เหมาะสม พ่อแม่สามารถให้คำชี้แนะได้ แต่วิธีการแนะนำต้องไม่ใช่ด้วยอารมณ์ทางลบซึ่งแสดงออกผ่านการใช้ถ้อยคำรุนแรง การประชดประชัน การทำให้อับอาย หรือ อื่นๆ ที่เป็นไปในทางลบ การพูดคุยควรดำเนินไปด้วยเหตุผล และรับฟังกันด้วยความเคารพ (ฝ่ายใดพูดอยู่ อีกฝ่ายจะไม่พูดแทรก จะฟังจนจบ ค่อยพูดในสิ่งที่ต้องการ และไม่จ้องจับผิดอีกฝ่าย)

ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เราควรตระหนักรู้ เพื่อช่วยลดอคติในใจ และเปิดใจเข้าหากันและกันมากขึ้น มีดังนี้

ข้อที่ 1 เห็นต่างไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายไม่เคารพเรา

พ่อแม่อาจจะมองว่าลูกที่เห็นต่างจากตน คือ ลูกที่ไม่เคารพพ่อแม่ ซึ่งความนี้ผิดมหันตร์ เพราะความเห็นที่แตกต่างไม่ได้แปลว่า เขาเคารพเราน้อยลง 

เด็กทุกคนที่เติบโต ตัวตนของเขาก็ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น เขาย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นธรรมดาที่เขาอยากแสดงความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้ ถ้าพ่อแม่มองว่าเป็นเรื่องดีที่ลูกกล้าแสดงออกทางความคิดในครอบครัว เราจะรู้สึกว่า ลูกมองว่าครอบครัวเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่เขาสามารถเป็นตัวเองได้

ที่สำคัญพ่อแม่ที่เห็นต่างจากลูก ก็ไม่ได้แปลว่า พ่อแม่จะเป็นพ่อแม่ที่แย่เสมอไป หากทั้งสองฝ่ายแยกการใช้ชีวิต ความเป็นพ่อแม่ลูก ออกจากความคิดเห็นของแต่ละคน เราจะสามารถมีความรักและเคารพกันและกันได้ แม้เราเห็นไม่ตรงกัน

แต่ถ้าเห็นต่าง แล้วไม่เคารพในความเห็นต่างของแต่ละคน ก็จะนำไปสู่การทำร้าย (ใจ) กันในครอบครัว

เช่น เมื่อลูกเห็นต่าง แล้วพ่อแม่เข้าไปกดดัน หรือทำร้ายเขาด้วยการพูดจาที่รุนแรงและด่าทอสิ่งที่ลูกเชื่อ นั่นคือการไม่เคารพในตัวลูก เช่นเดียวกันหากลูกที่มีพ่อแม่เห็นต่างจากตัวเอง แล้วพูดจาทำร้ายพ่อแม่ในแบบเดียวกัน ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“เห็นต่างได้ แต่อย่าลืมเคารพซึ่งกันและกันด้วย”

ข้อที่ 2 การยอมรับ ควรมาก่อนความเข้าใจ

เพราะถ้าหากเรายังยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นไม่ได้ เราจะพยายามมองหาจุดผิดพลาดของเขาตลอดเวลา และนั่นไม่สามารถนำไปสู่ความเข้าใจอย่างแท้จริงได้ แม้เราจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาคิดหรือพูดได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันด้วยเหตุผลเพียงเพราะ เราเห็นต่างกัน

“คนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูก จะเปิดใจเข้าหากันได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความสบายใจว่า เราอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย”

เมื่อเรายอมรับกันและกันได้มากพอ ‘การฟังกันและกันด้วยใจ จากใจจริง’ คือ สิ่งที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกได้รับการสานต่อขึ้นมาใหม่ ซึ่งการฟังที่ดีจะนำไปสู่บทสนทนาที่ไม่ทำร้าย (ใจ) กัน และทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น สิ่งสำคัญของการเข้าใจมากขึ้น ไม่ได้แปลว่า พ่อแม่กับเราต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง แต่หมายความว่า เราจะพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากถ้อยคำทำร้ายใจซึ่งกันและกันได้

บ่อยครั้งเราพบว่า บางทีพ่อแม่หรือลูกต้องการเพียงแค่ระบายเรื่องราวภายในใจออกมา พวกเขาต้องการ ‘ผู้ฟัง’ ไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือ หรือวิธีแก้ปัญหา

คำที่จะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างเรากับพ่อแม่ได้ เช่น “นั่นสินะ” เมื่อพ่อแม่มาคุย (บ่น) กับเราถึงเรื่องบางเรื่อง หากเราไม่มีความคิดเห็นใด บางครั้งการบอกไปว่า “นั่นสินะ” อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า ลูกรับฟังและยอมรับในสิ่งที่เขาพูดอยู่

ข้อที่ 3 พ่อ แม่ ลูก เราต่างเป็นคนละคนกัน ต่างก็มีชีวิต ความรู้สึกนึกคิด เป็นของตัวเอง

สิ่งสำคัญที่ลืมเสียไม่ได้ คือ พ่อ แม่ ลูก เราต่างเป็นคนละคนกัน เราจะมาคาดหวังให้แต่ละคนมาเข้าใจเราทุกๆ อย่างคงเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อเป็นคนละคน มุมมองก็คนละมุมมอง เนื่องจากบุคลิกอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน นำไปสู่กรอบการมองโลกที่แตกต่างกันออกไป

“เคารพและเข้าใจในความเป็นเขา และไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายต้องเชื่อ คิด และทำเหมือนเรา”

แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะยอมรับและเข้าใจในความเป็นเรา ให้เราเรียนรู้ที่จะทำความยอมรับและเข้าใจตัวเองก่อน เพราะคนที่จะเข้าใจตัวเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง

ถ้าหากเราไม่เริ่มต้นที่จะเรียนรู้ภายใน และทำความเข้าใจตนเองเสียก่อน คงยากที่ใครจะมาเข้าใจเรา การเข้าใจตนเองจะนำไปสู่ ‘การตระหนักรู้’ ทั้งเรื่องการกระทำ (พฤติกรรม) ที่มีทั้งเหมาะสม และไม่เหมาะสม ถ้าหากเราทำในสิ่งที่ผิดพลาดไป เราจะรู้ตัว และแก้ไขปรับเปลี่ยนได้ทัน ไม่ส่งต่อพฤติกรรมนั้นไปสู่ลูกหลานของเราต่อไป

นอกจากนี้ถ้าหากเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเอง และเลือกที่จะเป็นฝ่ายรักตัวเองก่อน เราจะเติมเต็มตัวเราเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความรักจากผู้อื่น เมื่อเรามีความรักให้ใคร ความรักนั้นจะเป็นความรักที่ไม่ได้มาพร้อมความคาดหวัง เราจะสามารถสร้างครอบครัวได้โดยไม่สร้างข้อผูกมัดที่เกิดจากความความต้องการของเราเอาไว้กับใคร โดยเฉพาะกับลูกของเราที่เกิดขึ้นมา

ข้อที่ 4 ท้ายที่สุดแล้วแม้อีกฝ่ายยังไม่ยอมรับในความคิดต่างของเรา ให้เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

ครอบครัวไหนที่สมาชิกในครอบครัวสามารถยอมรับและเข้าใจในกันและกันได้ แม้ว่าจะมีความคิดที่แตกต่างกันย่อมเป็นความโชคดีของทุกคนในครอบครัว

แต่ถ้าครอบครัวเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าเราจะพยายามแล้ว ความพยายามที่เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว ย่อมไม่เกิดผลดี เพราะคนที่พยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อเข้าหาและทำความเข้าใจอีกฝ่าย ย่อมเหนื่อยล้าทั้งกายใจ และหมดแรงในท้ายที่สุด

ในความเป็นจริง เมื่อเราพยายามเต็มที่แล้ว เราควรเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เราไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันเพื่อเอาชนะ หรือยอมรับทุกอย่างที่อีกฝ่ายบอกเรา สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ การรักเขาในแบบที่เขาเป็น ใช้ชีวิตร่วมกันตามปกติ และงดพูดคุยในหัวข้อที่อีกฝ่ายไม่สามารถยอมรับได้ในวงสนทนา

ทั้งนี้ การปล่อยวาง ไม่ได้แปลว่า เราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่ออีกฝ่าย เราสามารถเป็นเราเช่นเดิม แค่เพียงไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายในหัวข้อที่นำไปสู่ความขัดแย้งเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราทำหน้าที่ และทำตามสิ่งที่เราเชื่อ แล้วนำมาซึ่งความไม่พอใจของอีกฝ่าย เราสามารถอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง ด้วยถ้อยคำที่สงบได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับและเข้าใจไม่ได้ ให้เราทำใจ และปล่อยวาง ส่วนตัวเรายังคงมั่นคงในสิ่งที่เราเชื่อ และทำในสิ่งที่เราตั้งใจต่อไป ตราบใดที่สิ่งที่นั้นไม่ได้ทำให้ตัวเราหรือใครเดือดร้อน

“ต้องแยกแยะให้ดีระหว่างสิ่งที่ผิด กับสิ่งที่ไม่ถูกใจใครบางคน เพราะสิ่งที่ถูกไม่จำเป็นต้องถูกใจคนทุกคน”

“เมื่อเรามองข้ามความเห็นต่าง และมองให้เห็นถึงการทำหน้าที่ของแต่ละคนในครอบครัว หากเขาไม่ได้บกพร่องในการเป็นพ่อ แม่ หรือ ลูก ของเรา เราควรเปิดใจ และเคารพในความคิดและตัวตนของกันและกัน”

คำขอของลูก (วัยรุ่น) ‘เด็กทุกคนต้องการบ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ’

บ้านในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงสถานที่

หากแต่คือ ‘บุคคลที่เขาไว้วางใจได้’

พ่อแม่ที่ลูกไว้วางใจได้ คือ บ้านที่พักใจสำหรับลูก

แต่บ้านสำหรับเด็กบางคน อาจจะไม่ได้มีทั้งพ่อและแม่ แต่มีเพียงผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็สามารถเติมเต็มใจให้กับเขาได้เช่นกัน หากผู้ใหญ่คนนั้นสามารถเติมเต็มความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และปัจจัยทั้งสี่ให้กับเด็กน้อยได้

สำหรับเด็กเล็กๆ อาจจะต้องการบ้านที่เขาสามารถดูแลและตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน กินอิ่ม นอนหลับ สอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขาได้

แต่เมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาต้องการบ้านที่เขาสามารถวางหัวใจที่เหนื่อยล้าลงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ และกลับไปเผชิญโลกภายนอกต่อไป

พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถเป็น ‘บ้านที่ปลอดภัย’ ให้กับเด็กๆ ได้ โดยเริ่มจากสิ่งหล่านี้

  1. ให้การรับฟัง
  2. ให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น
  3. ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ
  4. ให้อภัยและการสอน
  5. ให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ

เราทุกคนสามารถเป็น ‘บ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ’ ให้กับใครสักคนได้

และถ้าวันใดเราได้มีโอกาสเป็นพ่อแม่ของลูก อย่าลืมที่จะมอบความรักให้กับเขา

เราในฐานะลูกสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ คือ ‘พ่อแม่เกิดคนละยุคกับเรา’ บางครั้งมันยากที่จะทำความเข้าใจอะไรที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ พ่อแม่เราต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมมากมาย

‘พ่อแม่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ’ จึงทำให้พวกเขาไม่ได้ทำถูกไปเสียทุกอย่าง พวกเขาทำผิดพลาดได้เช่นกัน

ดังนั้น การเป็นลูกจึงไม่ได้หมายความว่า เราควรต้องเก็บทุกความรู้สึกไม่ดีไว้เพียงลำพัง เพราะการทำเช่นนั้นเหมือนการที่เราสะสมสิ่งไม่ดีในใจไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ ‘ใจ’ ของเรารับไม่ไหวอีกต่อไป สิ่งเหล่านั้นก็ระเบิดออกมา 

ผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้น คือ การแตกหักระหว่างเรากับพ่อแม่นั่นเอง หรือที่แย่ไปกว่านั้น คือ การโทษตัวเองอย่างรุนแรงที่นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตที่ยากเกินกว่าจะแก้ไข

บางครั้งการพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา อาจจะทำให้พ่อแม่รู้ว่า ‘เรารู้สึกอย่างไรอยู่’ แล้วตัวเราเองอาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่การบอกออกไปต้องไม่เกิดขึ้นด้วยการใช้อารมณ์ทางลบ เพราะนั่นจะไม่นำไปสู่ความเข้าใจ หากแต่จะนำไปสู่การทะเลาะ การต่อล้อต่อเถียงกันไม่จบไม่สิ้น สิ่งที่เราควรทำ คือ การบอกความต้องการและความรู้สึกของเราให้ชัดเจน

สุดท้ายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ลูกคิดต่าง… อย่าผลักไสด้วยการปิดกั้นเขาจากความคิดต่าง บ้านควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งบ้านที่ปลอดภัยสร้างขึ้นได้ด้วยการเป็นพื้นที่แห่งการรับฟัง ทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่าง ไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร แต่ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ และจุดลงเอยของบทสนทนาไม่จำเป็นต้องจบลงที่ทุกคนเห็นตรงกัน แต่ทุกครั้งต้องจบด้วยความรักและเคารพในสิทธิ์ของกันและกัน ต้องตระหนักไว้เสมอว่า “เราต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง”

ไม่มีครอบครัวไหนที่สมาชิกทุกคนจะชอบอาหารชนิดเดียวกัน หนังเรื่องเดียวกัน เพลงเดียวกัน เราต่างก็มีความคิดของเราเอง จึงไม่ควรมีใครคนใดสมควรถูกมองว่าไม่ดี เพียงเพราะเขามีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นในครอบครัว

เมื่อผู้ใหญ่เคารพในความคิดต่างของกันและกันในครอบครัว เด็กจะเติบโตมาและเคารพในความแตกต่างของผู้อื่นเช่นกัน

อ้างอิง
Baumrind, D. (1971). Current patterns of parental authority. Developmental psychology, 4(1p2), 1.

Tags:

วัยรุ่นAdolescent Brainจิตวิทยาวัยรุ่น

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Adolescent Brain
    รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

‘เสรีภาพ’ และ ‘เซลฟ์’ คนรุ่นใหม่ : ทบทวนและตั้งหลักสู่ศตวรรษใหม่ในมุมการศึกษา กับ ครูปาด-ศีลวัต ศุษิลวรณ์
Unique Teacher
7 June 2021

‘เสรีภาพ’ และ ‘เซลฟ์’ คนรุ่นใหม่ : ทบทวนและตั้งหลักสู่ศตวรรษใหม่ในมุมการศึกษา กับ ครูปาด-ศีลวัต ศุษิลวรณ์

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • เสรีภาพไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในทางการศึกษา ข้อจำกัดที่เหมาะสม ประกอบกับโจทย์ปลายเปิด จะปลุกเสรีภาพแห่งการสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วภายในสมอง จิตใจและร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา
  • นักการศึกษาต้องสร้าง challenge ให้กับผู้เรียนในระดับที่เขารู้สึกว่ามันสู้ได้ หรืออีกมุมหนึ่งสร้างกำลังใจให้กับผู้เรียนว่า สู้ได้ๆ ดังนั้นสมองก็จะเริ่มตีความว่า “เฮ้ย สู้ได้ๆ” และโจทย์ที่ให้ก็ยากในระดับที่มันเห็นรำไรว่าสู้ได้ 
  • การสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสม เรื่องแรกเลยต้องสร้าง ‘เซลฟ์’ ที่ผูกพันกับสังคมจากครอบครัวไปถึงประเทศ ผูกพันกับสังคมวัฒนธรรมจากอดีตถึงปัจจุบันและอนาคต ซาบซึ้งในการถักทอสังคมจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม
  • ก่อนจะมีสมรรถนะของศตวรรษใหม่ เราต้องมีตัวตนของศตวรรษใหม่ก่อน ตัวตนที่ไม่ใช่เซลฟ์แบบ The I alone เราต้องสร้างทฤษฎีตัวตนที่เป็น We, Us ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทยเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

“เด็กคือทุกอย่างของประเทศชาติเลยใช่มั้ยครับ ถ้าเด็กของเราเติบโตมาด้วยเซลฟ์ที่ผิดธรรมชาติ เซลฟ์ที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย ไม่เหมาะกับความเป็นจริงของโลก เราก็สูญเสียหมดทุกอย่างทั้งครอบครัวและประเทศชาติ”

ประโยคที่ถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นของ ‘ครูปาด’ ศีลวัต ศุษิลวรณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเพลินพัฒนา และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ คือเหตุและผลของบทสัมภาษณ์ยาวเกือบ 2 ชั่วโมง ที่เริ่มจากคำถามถึงวลีที่ครูปาดได้เคยกล่าวไว้… “เสรีภาพอันเวิ้งว้าง”

ขณะที่คนส่วนใหญ่มองเสรีภาพเป็นความหอมหวานของการใช้ชีวิตในสังคม แต่สำหรับนักการศึกษาผู้มีแบ็คกราวด์ด้านมานุษยวิทยาท่านนี้ เสรีภาพเปรียบเสมือนดาบสองคม ถ้าไร้ขอบเขตก็จะกลายเป็นความเวิ้งว้าง แต่หากมีข้อจำกัดอย่างเหมาะสม ย่อมกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากธรรมชาติของสมองที่ชอบความท้าทาย

มากไปกว่านั้น ครูปาดยังชวนมองต่อไปถึง ‘เซลฟ์’ ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งสัมพันธ์กับเสรีภาพของปัจเจกภาพ โจทย์ยากที่คนในแวดวงการศึกษาต้องตีให้แตกและแก้ให้ตก

ก่อนอื่นอยากให้อาจารย์อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเสรีภาพกับการเรียนรู้ ว่ามีความสำคัญอย่างไร

เสรีภาพสำคัญเมื่อพลังชีวิตของเราง่อยเปลี้ย ห่อเหี่ยว หมดหวัง พูดง่ายๆ ว่าสภาพมันทรุดโทรม ความคิดเกี่ยวกับเสรีภาพมันเป็นกำลังใจ เป็นจินตนาการ แต่ถ้าในสภาพที่พลังชีวิตของเราปกติ บางทีไปยุ่งกับมันมากก็ไม่จำเป็นเพราะเรามีเสรีภาพอยู่แล้ว สมองและจิตใจของมนุษย์มีเสรีภาพอยู่แล้วไม่ว่าโลกภายนอกจะเป็นเช่นไร ทีนี้พอเราไปตั้งให้เป็นประเด็นขึ้นมา ในสภาพที่เราเป็นปกติ ที่เราแข็งแรงดี มันอาจจะเป็นปัญหาได้ อันนี้ประเด็นหนึ่ง เสรีภาพที่เวิ้งว้างก็อีกประเด็นหนึ่ง และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ เสรีภาพของปัจเจกทางการศึกษา ผมจะไล่ไปทีละเรื่อง

ขอเท้าความโดยเริ่มจากหลักการทำงานของสมอง ธรรมชาติของสมองชอบสิ่งท้าทายและทำงานได้ดีเมื่อถูกท้าทาย แต่ถ้าสิ่งท้าทายนั้นมันโหดร้ายเกินไป ธรรมชาติของสมองอีกเช่นกัน มันก็จะหาที่ปลอดภัย ฉะนั้นการท้าทายต้องไม่ไปถึงจุดที่สมองตีความว่าเป็นอันตราย ถ้าสมองตีความว่าเป็นอันตรายมันจะหนี แต่ถ้าตีความว่าเป็นจุดท้าทายมันจะสู้ ธรรมชาติของสมองทำงานกับสิ่งท้าทายเสมอ อันนี้เป็นข้อมูลทางวิชาการ

เสรีภาพที่เวิ้งว้างมันจึงไม่มีสิ่งท้าทาย ไม่มีข้อจำกัด เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีสิ่งท้าทาย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สมองจะเอาประสบการณ์เก่ามาทำงานแบบทื่อๆ ซ้ำๆ ซากๆ อันนี้เป็นธรรมชาติของมันเอง เพราะมันจะลดพลังงาน สมองก็เหมือนธรรมชาติทั้งหลายมันต้องประหยัดพลังงาน พอไม่มีอะไรที่ท้าทาย มันก็จะเอาประสบการณ์เดิมมาใช้ง่ายๆ

ยกตัวอย่างว่า ถ้าแจกกระดาษเปล่าให้เด็ก บอกว่าวาดอะไรก็ได้ สิ่งแรกที่เราจะพบคือเด็กจะวาดอะไรที่ชอบอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่เจอบ่อยมาก แต่ถ้าเริ่มตั้งเงื่อนไข เช่นเรา input ประสบการณ์ให้ สร้างความประทับใจให้ ตั้งเงื่อนไขของงาน สมองจะเกิดภาวะเสียเสถียรหรือ disequilibrium มันจะเกิดการต่อสู้กับเงื่อนไข แล้วก็สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เช่น เราอาจจะบังคับว่าให้ใช้สี 3 สี แต่ให้ได้ภาพที่มีสีมากที่สุด เด็กก็อาจจะเริ่มผสมสีเอง เพราะว่าสมองชอบความท้าทาย

ฉะนั้นเวลาที่นักปัจเจกนิยมเสรีนิยมพูดถึงการศึกษาแล้วมักมองว่าเสรีภาพคือปัจจัยที่ 1 บางทีอาจจะไม่ใช่ เสรีภาพอาจจะเป็นหนึ่งในหลายสิบปัจจัยที่จะต้องทำ แล้วก็ไม่ใช่เสรีภาพแบบลอยๆ ด้วย มันต้องควบคู่ไปกับข้อจำกัดหรือความท้าทายที่เหมาะสม ข้อจำกัดนี้แหละที่ทำให้สมองแสดงเสรีภาพภายในของมันโดยการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ออกมา

ในการออกแบบการเรียนรู้ เราจะเปลี่ยนเสรีภาพที่เวิ้งว้างให้เป็นความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร

มีตัวอย่างกิจกรรมเล็กๆ ที่ผมได้รับประสบการณ์จากท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ท่านเป็นผู้วางรากฐานของการปฏิรูปการศึกษาปฐมวัยในเมืองไทย แล้วอาจารย์ท่านเก่งมากในเรื่องการพัฒนา creativity โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก ผมเคยไปอบรมกับท่านเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ท่านยังแข็งแรง ตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่แล้ว กิจกรรมที่ผมจำได้มิรู้ลืมเลยคือ ท่านเปิดเพลงแล้วให้ผมลองเคลื่อนไหวร่างกายตอบสนองกับเสียงเพลงที่มา ผมก็ทำไปเรื่อย แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอากระดาษหนังสือพิมพ์มานะ วางที่พื้น แล้วให้เคลื่อนไหวร่างกายอย่าออกนอกกระดาษ 

ผมถูกจำกัดผมก็ต้องคิดท่วงท่าของผมไปเรื่อย อาจารย์ถามผมว่าเมื่อเทียบกับเมื่อกี้เป็นยังไง ผมบอกว่ารู้สึกว่าถูกจำกัดพื้นที่ แต่ในอีกด้านหนึ่งเราได้ใช้ร่างกายมากกว่าเดิม อาจารย์ก็บอกว่าถ้างั้นพับลงครึ่งหนึ่ง แล้วก็ให้ผมทำต่อ แล้วถามว่ารู้สึกยังไง ผมก็ตอบว่า ผมรู้สึกว่าต้องบังคับร่างกายมากกว่าเดิมอีก ผมต้องค้นหาวิธีใหม่ๆ เพราะการเคลื่อนไหวที่เมื่อสักครู่นี้ทำได้แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้ ผมต้องหาวิธีใหม่ แล้วอาจารย์ก็ให้ผมพับไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายกระดาษเหลือไม่ถึงฝ่ามือ ผมยืนเต็มเท้ายังไม่ได้เลย ผมต้องยืนเขย่งด้วยเท้าข้างเดียว แล้วโจทย์คือเคลื่อนไหวให้มากที่สุดเท่าที่ดนตรีมันพาไป กิจกรรมนี้ขับเคลื่อนด้วยข้อจำกัดที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เสรีภาพเดียวที่ผมได้รับจากอาจารย์ก็คือโจทย์นั้นเป็นโจทย์ปลายเปิด

แล้วผมก็ค้นพบว่า จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ ร่างกายของผมมันถูกบังคับให้ทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่รู้จักมาก่อน มันไม่ใช่จุดที่เราคุ้นเคย การยืนเขย่ง แล้วต้องให้ร่างกายใช้สเปซโดยรอบตัวให้มากที่สุด เราได้ค้นพบเลยว่า เราทำอะไรที่เราไม่เคยคิดว่าต้องทำหรือทำได้ ความคิด จิตใจและร่างกายของผมรวมพลังกันสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่คือพลังสร้างสรรค์ของเสรีภาพภายในที่งอกงามจากข้อจำกัดภายนอก ผมก็เลยถามอาจารย์ว่า อันนี้แปลว่าข้อจำกัดมันเป็นสิ่งที่สนับสนุน creativity ใช่มั้ยครับ อาจารย์บอกว่าแน่นอน ข้อจำกัดคือสิ่งที่สร้าง creativity ถ้าเราให้การเปิดกว้างที่เวิ้งว้าง creativity จะไม่เกิด แล้วตอนหลังผมก็มาศึกษาเรื่องการทำงานของสมอง ถึงเข้าใจว่า ถ้าสมองไม่ถูกท้าทาย หรือไม่ถูกทำให้ disequilibrium สมองมันจะเอาความรู้เดิมมาแก้ปัญหาแล้วก็จบตรงนั้น ไม่มีการเรียนรู้เพิ่ม สมองที่สุขภาพดีและฝึกมาดีจะตระหนักถึงพลังของเสรีภาพที่มีอยู่แล้ว มันจะสนใจกับข้อจำกัดภายในที่ท้าทายมากกว่าเสรีภาพภายนอก

การให้เสรีภาพภายนอกแบบไร้ข้อจำกัด ประโยชน์ด้านการสร้างสรรค์มันจึงน้อย มันมีประโยชน์เพื่อการพักผ่อนหรือฟื้นฟูสภาพอ่อนล้า ทรุดโทรม แต่การหาข้อจำกัดที่เหมาะสมนี่แหละที่จะก่อเกิด creativity ที่งอกงามขึ้นจากเสรีภาพภายใน ทีนี้ในวิชาการทางสมองและการเรียนรู้ เขาก็อธิบายเหมือนกันว่าสมองชอบความท้าทายก็จริง แต่ถ้าความท้าทายนั้น สมองถึงขั้นที่ตีความว่าเป็นอันตราย ธรรมชาติมันหนีนะ เพราะว่ามันมีหน้าที่ปกป้องชีวิตด้วย หากสมองตีความว่าอันตราย มันจะหนีเลย แต่ถ้าสมองตีความว่า “จัดการได้” มันจะสู้

ดังนั้นนักการศึกษาต้องเข้าใจจุดนี้ ต้องสร้าง challenge ให้กับผู้เรียนในระดับที่เขารู้สึกว่ามันสู้ได้ หรืออีกมุมหนึ่งสร้างกำลังใจให้กับผู้เรียนว่า สู้ได้ๆ ดังนั้นสมองก็จะเริ่มตีความว่า “เฮ้ย สู้ได้ๆ” และโจทย์ที่ให้ก็ยากในระดับที่มันเห็นรำไรว่าสู้ได้ 

ผมใช้คำว่า “เห็นรำไร” นะ เพราะถ้าเห็นชัดจะเรียนรู้น้อย ให้สมองได้เห็นรำไรว่าสู้ได้ แล้วฝึกให้เด็กมีกำลังใจชอบเล่นกับโจทย์ที่เห็นโอกาสรำไรเนี่ย ฝึกเป็นนิสัยเลย เห็นรำไรต้องเอาชนะให้ได้ สุดท้ายสมองจะพัฒนาความสามารถและความกล้าหาญออกไปเรื่อยๆ จนแม้แต่โจทย์ที่เห็นทางตันก็ยังอยากเล่น

ทีนี้ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดสภาพ “รำไร” ปัจจัยเหล่านั้นก็คือเงื่อนไข ข้อจำกัด อุปสรรค ผมเคยคุยกับอาจารย์เจือจันทร์ (ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่) อาจารย์บอกว่าห้องเรียนที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องรื่นเริงกันเสมอไป แต่เวลาเราพูดถึงห้องเรียนแบบมีความสุข ซึ่งมาจากเสรีภาพ เราก็มักจะมองว่าห้องเรียนนี้ต้องสนุก ต้องยิ้ม ต้องหัวเราะกันตลอดนะ ผมก็เลยแซวว่าแบบพี่เลี้ยงค่ายใช่ไหมครับ (หัวเราะ) พวกค่ายซัมเมอร์ที่ต้องไปจ่ายสตางค์ เพราะมันประเมินด้วยความสนุกของเด็ก พ่อแม่จะจ่าย อย่างนี้จริงๆ

คุณค่าแท้ของการเรียนรู้ คือการที่เด็กรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่ใช่คุณค่าเทียมที่เหมือนขนมหวาน 

คุณค่าแท้ก็คือว่า บนความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อย หรือไปจนถึงความทุกข์ มันทำให้เขาดีขึ้นได้ รู้สึกดีกับตัวเองที่สามารถทำได้ เป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุขของจิตใจที่มีสุขภาพสมบูรณ์

อีกเรื่องคือเสรีภาพของปัจเจกทางการศึกษาซึ่งอาจารย์เปิดประเด็นเอาไว้

ผมมองว่าปัญหาอีกเรื่องหนึ่งคือ เสรีภาพของปัจเจก หรือปัจเจกนิยมเสรีนิยม ที่เป็นอุดมคติในศตวรรษที่ 18-20 ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่คนยุโรปเรียกตัวเองว่าโมเดิร์นหรือสมัยใหม่* เสรีภาพของความเป็นปัจเจกภาพมากๆ มันทำให้สำนึกทางตัวตนของเรามีแต่ “ตัวฉัน” หรือ The I ถ้าการศึกษาที่เด็กเติบโตมาเน้นความเป็นปัจเจกภาพมากๆ แล้วให้เสรีภาพกับปัจเจกภาพมากๆ นี่ผมกาลังจะเริ่มพูดถ้อยคำที่เริ่มคุ้นๆ กันในปัจจุบันแล้วนะ แล้วก็พูดถึงสิทธิของปัจเจกภาพ อันนี้คือโลกตะวันตกที่นำโดยอเมริกาจะออกทางนี้เยอะ ปัจเจกภาพ สิทธิของปัจเจกภาพ เสรีภาพของปัจเจกภาพ เด็กที่โตมาในมุมนี้มันจะมีแต่ The I (ฉัน) เซลฟ์ของเขาจะไม่เป็น We เป็น Us มันจะเป็น I and Me ฉะนั้นสินค้าไอทีของอเมริกันจะขึ้นด้วย I หมด เพราะสนับสนุนการเป็นปัจเจกภาพไงครับ เหมือนกับว่า เครื่องมือสื่อสารพวกนี้สร้างอิสระให้กับปัจเจก ความจริงเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้สามารถสร้างสำนึกของ We และ Us ได้ดีด้วย แต่สังคมแบบตะวันตกมุ่งโฆษณาความเป็น I และ Me มากกว่า

(*คำว่าโมเดิร์นในบทสัมภาษณ์นี้ผู้ให้สัมภาษณ์หมายความรวมสมัย Enlightenment (ศ.18-19) กับสมัย Modern (ศ.19-20) เข้าด้วยกันเพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์สืบเนื่องกันอยู่มาก)

แต่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ในความเป็นจริงชีวิตของมนุษย์อยู่ในสังคม วิชาจิตวิทยาสังคม อธิบายว่าเซลฟ์หรือความรู้สึกว่าเป็นตัวฉันมันเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีคนอื่น ทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมอธิบายว่า ความรู้สึกเป็นเราเป็นฉัน หรือ The I เกิดขึ้นเพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น สมองเริ่มแยกว่าโน่นคนอื่น นี่ฉัน นั่นคนไกล นี่คนใกล้ พอเริ่มตั้งพิกัดพวกนี้ขึ้นมา มันมีปฏิสัมพันธ์กัน มันมีภาพสะท้อนของกันและกัน เกิดภาพสะท้อนขึ้นในสมองแล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นความรู้สึกว่าเป็นตัวฉัน ธรรมชาติดั้งเดิมของเซลฟ์มันเป็นสังคมแบบนี้ แต่เซลฟ์ที่ยึดมั่นใน The I จนเป็นปัจเจกแข็งตัวนั้นผิดธรรมชาติ มันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ถ้าเซลฟ์ของคนถูกสร้างขึ้นอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีสำนึกว่าตัวฉันมันถูกสร้างขึ้นจากความผูกพันกับคนอื่น กับสังคม ความรู้สึกเป็นของกันและกัน เชื่อมต่อกันได้ ซ้อนทับกันได้ เซลฟ์ของเรากับเซลฟ์ของคนอื่นซ้อนทับกันได้

เซลฟ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้พร้อมที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น พร้อมที่จะเดือดร้อนร่วมกับคนอื่น พร้อมที่จะแชร์กัน นักมานุษยวิทยารู้ดีว่าเซลฟ์ของคนในสังคมเผ่าดั้งเดิมนั้นเป็นแบบนี้

ยกตัวอย่าง คนที่จะแต่งงานกัน มันต้องยอมสูญเสียความเป็น The I เพื่อไป overlap กับอีกคนหนึ่ง เปลี่ยนจาก I เป็น We ถ้าเปลี่ยนไม่ได้การแต่งงานก็จะอยู่ไม่ได้ ในโลกตะวันตกซึ่งเด็กเติบโตมากับเสรีภาพของปัจเจกภาพ เซลฟ์ที่เกิดขึ้นผิดไปจากธรรมชาติก็จะมีลักษณะโดดเดี่ยวออกจากกันแต่ผูกพันกันด้วยเศรษฐกิจและกฎหมาย เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของคนในสังคมแบบนี้ ก็มีแต่เรื่องเศรษฐกิจ กฎหมาย เรื่องเงื่อนไขทางสังคมต่างๆ แต่ไม่มีเซลฟ์ที่มีลักษณะเป็น We หรือ เป็น Us เซลฟ์ที่โดดเดี่ยวแบบนี้มันไม่มั่นคง ดังเราจะเห็นความอ่อนแอและความล้มเหลวของการแต่งงานและชีวิตคู่ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับค่านิยมเรื่องเสรีภาพของปัจเจก

สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาเราจะเห็นเลยว่า ประเทศที่เน้นเสรีภาพของปัจเจกค่อนข้างขอความร่วมมือจากประชาชนยากมาก ประชาชนจะฟ้องรัฐด้วยว่าไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขา นี่คือเรื่องที่สองของเสรีภาพที่จะต้องเข้าใจมัน และใช้ให้ถูกที่ถูกทาง

ในมุมของนักการศึกษา แน่นอนว่าสังคมปัจจุบันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพของปัจเจกค่อนข้างมาก การศึกษาจะช่วยส่งเสริมให้คนใช้เสรีภาพอย่างสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงส่วนรวมหรือสังคมได้อย่างไร

ผมประเมินว่าเรื่องนี้คือปัญหาอันดับหนึ่งในมุมของนักการศึกษาเลย ต้องอธิบายอย่างนี้ก่อนครับว่า ทฤษฎีทางการศึกษาทั้งหลายมันงอกงามออกมาจากตัวรากแก้วคือ ทฤษฎีทางจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้ ซึ่งตัวรากแก้วหรือจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้นี้งอกออกมาจากเมล็ดพันธุ์คือ สมมติฐานเกี่ยวกับเซลฟ์ สมมติฐานเกี่ยวกับเซลฟ์เป็นเช่นไร ก็จะสร้างจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้ขึ้นรองรับในทิศทางนั้น จิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้ลักษณะใดก็จะก่อให้เกิดทฤษฎีการศึกษาอีกมากมายที่ต่อยอดขึ้นไปในทิศทางเดียวกันเหมือนต้นไม้ที่แตกแขนงออกไปมากมายเลย หลักคิดเรื่องเซลฟ์จึงเป็นจุดกำเนิดที่ควบคุมทฤษฎีทางการศึกษาทั้งหมดที่ติดตามมา

ฉะนั้นถ้าการศึกษามันวางอยู่บนเซลฟ์ที่เป็นปัจเจกภาพ เป็น The I ที่ไม่มี We ทฤษฎีของจิตวิทยาพัฒนาการ ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ก็จะรองรับเซลฟ์ตัวนี้ 

ทฤษฎีเรื่องการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนการสอน การสร้างหลักสูตร การประเมินผล การบริหารการศึกษามันจะงอกออกมาจากตรงนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ลักษณะของเซลฟ์ ไปจนถึงทฤษฎีและหลักปฏิบัติทางการศึกษาทั้งหลาย มันมาด้วยกันเป็นชุด มันมาทั้ง paradigm แล้วนี่คือสิ่งซึ่งโลกตะวันตกส่งต่อให้ประเทศอื่นดำเนินตาม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีอีกหลายประเทศที่รับวัฒนธรรมนี้มาแต่ก็ไม่ได้นำมาใช้โดยสิ้นเชิง เขายังรักษารากฐานของเขาไว้ได้อีกหลายอย่าง เช่น กรณีของญี่ปุ่น พื้นวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมีเซลฟ์เป็น We เป็น Us ไม่ใช่ I หลักฐานที่ชี้ชัดที่สุดเลย คือเขาเป็นประเทศที่อาบน้ำด้วยกัน ถ้าคนอื่นทำแบบนั้นจะลำบากใจมาก แต่คนญี่ปุ่นเขาเป็น We เป็น Us ฉะนั้นเวลาเขารับทฤษฎีตะวันตกมามันก็ไม่ได้ไปทำลายรากเขา

ยกตัวอย่าง นักการศึกษารัสเซียท่านหนึ่งซึ่งมีความสามารถมาก ชื่อ เลฟ วีก็อทสกี้ (Lev Vygotsky) หลายประเทศก็เคารพนับถือเขา แต่ว่าประเทศที่เอามาใช้อย่างจริงจังคือ ญี่ปุ่น เพราะว่าวีก็อทสกี้สร้างทฤษฎีการเรียนรู้บนความเป็น We เป็น Us ทฤษฎีการเรียนรู้ของวีก็อทสกี้ต้องมีคนอื่น มีสังคม มีวัฒนธรรม แล้วคนอื่นนั้นต้องมีทั้งคนอื่นที่เป็นครู และเป็นคนอื่นที่เป็นผู้เกี่ยวข้องหลากหลายอยู่ในโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม ทฤษฎีการเรียนรู้ของวีก็อทสกี้ไม่เป็นที่ปลื้มของค่ายทุนนิยมเสรีและปัจเจกนิยมนักแต่ญี่ปุ่นก็เลือกมา ขณะเดียวกันความคิดเสรีนิยมอะไรต่างๆ ที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงครามได้บังคับญี่ปุ่นให้ดำเนินตาม ญี่ปุ่นก็รับทฤษฎีเหล่านั้นมาแต่ไม่ได้ทำลายวัฒนธรรมเดิมลงถึงราก รากของเขาก็ยังเป็น We เป็น Us และเขาก็เลือกทฤษฎีการศึกษาตะวันตกเฉพาะที่เหมาะสมลงไปที่รากของเขา ส่วนพื้นผิวข้างบนเขาก็ต่อยอดกับอเมริกันได้ เขาก็จะรับวัฒนธรรมเสรีนิยมตะวันตกโดยที่ไม่กระเทือนลึกลงไปถึงข้างล่าง แต่ในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องทฤษฎีทางการศึกษา ญี่ปุ่นก็ถูกอเมริกาบังคับไม่ให้มีศาสนา ซึ่งเรื่องนี้เสียหายถึงรากของวัฒนธรรม แต่ยังไม่ขอพูดถึงในที่นี้

ผมจะตอบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเซลฟ์และการเรียนรู้ของเราขึ้นใหม่ เพราะการศึกษาในเมืองไทยเดินตามทฤษฎีของ The I ที่เป็น The I ล้วนๆ เป็นทฤษฎีแบบอเมริกัน ที่มีดิวอี้ มาสโลว์ อีริคสัน ฯลฯ เป็นบูรพาจารย์ผู้วางรากฐานที่รองรับความคิดเรื่องเสรีนิยมและปัจเจกนิยม อีกทั้งหลายปีมานี้ที่เรามองว่าเราต้องปฏิรูปการศึกษาเพื่อเผชิญกับศตวรรษใหม่ แล้วเราก็พยายามจะร่างสมรรถนะขึ้น ให้เด็กหรือคนรุ่นใหม่ต้องมีสมรรถนะในศตวรรษใหม่ โจทย์เรื่องสมรรถนะในศตวรรษใหม่นี้เป็นโจทย์ที่โลกตะวันตกตั้งขึ้นผ่าน OECD ให้โลกคิดตามเพื่อตีกรอบวิสัยทัศน์ของโลกให้วิ่งแข่งกันไปในทางที่เขากำหนดแล้วเราก็รับโจทย์ของเขามาคิดตามอย่างว่าง่าย 

โจทย์นี้ถูกครึ่งเดียวและเป็นครึ่งหลังด้วยไม่ใช่ครึ่งแรก ก่อนจะมีสมรรถนะของศตวรรษใหม่ เราต้องมีตัวตนของศตวรรษใหม่ก่อน ตัวตนที่ไม่ใช่เซลฟ์แบบ The I alone 

เราต้องสร้างทฤษฎีตัวตนที่เป็น We เป็น Us ซึ่งจริงๆ แล้ววัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทยก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เรารับกระแส วัฒนธรรม เศรษฐกิจ แนวทางการศึกษา และปรัชญาแบบอเมริกันเข้ามาตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน มันก็ไหลบ่าเข้ามาทำลายตัวตนที่เป็น We เป็น Us พร้อมกับวิถีชีวิตเดิมที่ถูกกวาดลงไป แต่ในชนบทยังพอมีบ้าง

เรื่องนี้ถ้าเทียบแล้วเราสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ญี่ปุ่นถูกการไหลบ่าของวัฒนธรรมอเมริกันเช่นเดียวกัน แต่ว่าเขามีวิธีที่ไม่ให้กระทบไปที่รากแก้ว แต่ของเรากระทบไปที่รากแก้ว ฉะนั้นผมมองว่าตอนนี้เป็นปัญหาอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะมองในมุมการศึกษา มองในมุมของคุณภาพมนุษย์ หรือมองในมุมความมั่นคงของชาติด้วยครับ

เด็กคือทุกอย่างของประเทศชาติเลยใช่มั้ยครับ ถ้าเด็กของเราเติบโตมาด้วยเซลฟ์ที่ผิดธรรมชาติ เซลฟ์ที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย ไม่เหมาะกับความเป็นจริงของโลก เราก็สูญเสียหมดทุกอย่างทั้งครอบครัวและประเทศชาติ

ฟังดูใกล้เคียงกับมุมมองเชิงมานุษยวิทยา ซึ่งอาจารย์ก็เรียนมาทางด้านนี้ด้วย?

อันนี้แหละสำคัญ ผมไม่แน่ใจว่า คำว่า anthropology โดยรากศัพท์แล้วเป็นพหูพจน์หรือเอกพจน์นะ แต่คำว่า “มานุษยวิทยา” ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นบาลีหรือสันสกฤต เป็นภาคพหูพจน์ บังเอิญว่าเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ผมไปทำบุญที่วัดบวรมงคล แถวฝั่งธน หลวงพ่อท่านเปรียญธรรมสูง วันหนึ่งพอถวายของเสร็จเรียบร้อย ผมก็ช่วยท่านถือย่ามไปส่งที่กุฏิ ท่านเมตตาชวนผมคุยว่าเรียนอะไรมา ผมก็บอกว่าเรียนมานุษยวิทยา ท่านถามผมว่าทำไมคำว่า “มานุษ” มีสระอาด้วยล่ะ ผมบอกว่าไม่ทราบเหมือนกันครับ มันแปลมาจาก anthropology ท่านบอกรู้มั้ยว่าสระอาในคำว่ามานุษเป็นภาคพหูพจน์ ไม่ใช่เป็นเอกพจน์ ดังนั้นวิชามานุษยวิทยา เป็นวิชาที่มองมนุษย์เป็นพหูพจน์เสมอ โอ้โห…หลวงพ่อลึกล้ำมาก เพราะมานุษยวิทยาไม่ได้มองมนุษย์โดดเดี่ยวเป็นปัจเจกที่แตกออกเป็นชิ้นๆ แต่มองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันภายในบริบทของสังคมวัฒนธรรมตลอดเวลา

แล้วเราจะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมนุษย์ที่เป็นเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ได้อย่างไร สำคัญคือจะทันต่อความแตกแยกในสังคมนี้หรือไม่

ต้องบอกแบบนี้ งานของนักการศึกษาเป็นงานระยะยาว ถามว่างานระยะกลาง ระยะสั้นต้องทำไหม ต้องทำ แต่ว่ามันไม่ใช่งานโดยตรงของนักการศึกษา งานโดยตรงของนักการศึกษาคืองานระยะยาว คืองานที่ต้องสร้างกระบวนการที่จะปลูกฝังบ่มเพาะจนงอกงาม งานระยะสั้นก็ต้องทำ เช่น ต้องให้การเรียนรู้ต่อสังคมอย่างรวดเร็ว เกี่ยวกับเรื่องปัญหา ณ ขณะนี้ ทำให้สังคมตื่นตัวขึ้นมาให้ได้ว่าจริงๆ แล้วเรามีปัญหาที่ลึกอยู่

ทีนี้ถามว่าเราควรจะสร้างการเรียนรู้แบบไหนที่เหมาะสม เรื่องแรกเลยต้องสร้างเซลฟ์ที่ผูกพันกับสังคมจากครอบครัวไปถึงประเทศ ผูกพันกับสังคมวัฒนธรรมจากอดีตถึงปัจจุบันและอนาคต ซาบซึ้งในการถักทอสังคมจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เราต้องทำให้เด็กรักครอบครัว รักพ่อรักแม่ ต้องทำให้เด็กเคารพด้วย ไม่ใช่รักเฉยๆ ทุกวันนี้เวลาไปกินข้าวตามร้านอาหาร ผมเห็นเด็กเล่นหัวพ่อแม่ เด็กเล็กๆ ขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหาร แต่ก่อนทำไม่ได้นะ เด็กต้องเคารพ และเด็กจะต้องถูกเลี้ยงดูมาให้รู้ว่า พื้นที่แบบไหนทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้

ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดี ผมจะไม่พูดถึงเรื่องความเครียดที่ทำให้ญี่ปุ่นมีปัญหาแบบของเขา เราจะไม่ตามแบบนั้นนะ แต่เด็กญี่ปุ่นจะถูกสอนให้เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ เช่น พื้นที่แบบไหนทำอะไรได้ ตรงนี้ต้องถอดรองเท้า ตรงนี้ห้ามเหยียบ ซึ่งเรื่องแบบนี้แต่ก่อนในบ้านเราก็มี เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยมีแล้ว ตอนเป็นเด็กผมเคยอยู่บ้านที่มีธรณีประตูซึ่งห้ามเหยียบ แต่เดี๋ยวนี้อยู่บ้านสมัยใหม่ ไม่ต้องระวังแบบนั้นแล้ว แต่ญี่ปุ่นถึงเขาย้ายออกจากบ้านแบบ traditional มาอยู่คอนโด ก็ยังทำ ตรงนี้ต้องถอดรองเท้า ตรงนี้ต้องสำรวม การพูดการจาก็มีภาษาของความเคารพเป็นลำดับ เด็กจะใช้ภาษากับผู้ใหญ่ยังไง ใช้ภาษากับคุณครูยังไง ไม่เหมือนภาษาของโลกตะวันตกที่ค่อนข้างเสมอกัน ซึ่งภาษาไทยเราก็มี ภาษาไทยที่แสดงความเคารพในกาลเทศะแบบต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้สอนเด็ก

ถ้าถามว่าการศึกษาต้องเป็นอย่างไร เราก็ต้องเลี้ยงเด็กของเราให้เข้าใจความหมายของวัฒนธรรมที่มีสัดส่วนและลำดับของความสัมพันธ์ที่ละเอียดซับซ้อน ไม่ใช่ว่าแบนราบไปหมด แล้วเกลี้ยงๆ โล้นๆ แบบเสรีนิยมของโมเดิร์น ซึ่งไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ทุกคนที่แบนราบเท่ากันหมด ตบหัวกันได้ อันนี้ประเด็นหนึ่ง

เรื่องต่อมาเซลฟ์จะต้องมีความผูกพันกับอดีตและอนาคตของสังคมวัฒนธรรมนั้นๆ ให้มากที่สุด ใกล้ตัวที่สุดเลย เด็กรุ่นใหม่รู้จักมั้ยว่าทวดตัวเองชื่ออะไร ปู่ย่าตายายยังไม่รู้เลย ถ้าทวดนี่ผมเชื่อว่าไม่รู้หมดแล้ว ชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน ไม่รู้ ความกตัญญูก็ไม่รู้ มันหมดหายไป ลึกไปกว่านั้นก็ต้องเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โอเค…อาจจะบอกว่า ประวัติศาสตร์รัฐแบบแต่ก่อนมันเชย ล้าสมัย ก็ไม่เป็นไร เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ให้เห็นว่า สังคมวัฒนธรรมถักทอความสลับซับซ้อนขึ้นมาอย่างไร มีพลวัตในบริบทของโลกมาอย่างไร ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างไร ความสมานฉันท์เกิดขึ้นอย่างไร 

ต่อมาเรื่องใหญ่คือความกตัญญู เช่น ชีวิตนี้พ่อแม่ให้กำเนิดเลี้ยงดูเรามาฟรีๆ สถานภาพประชาชนของรัฐเราก็ได้มาฟรีๆ จากชีวิตและน้ำพักน้ำแรงของคนในอดีตมากมายหลายชั่วคน สิ่งต่างๆ ที่เราได้มาฟรีๆ อันนี้สำคัญ เราควรทำยังไงต่อไป ไม่ใช่ว่าได้มาฟรีๆ แล้วรู้สึกว่ายังไงคุณก็ต้องให้ผม คุณทำให้ผมเกิดมา อันนี้เขาขาดการเรียนรู้เรื่องของการกตัญญู แล้วก็การให้ ต่อไปผมว่าการศึกษาก็ต้องสร้างตัวนี้ให้กลับขึ้นมา

เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องความเป็น We เป็น Us แล้ว ตอนนี้ก็เรื่องของความต่อเนื่องข้ามห้วงเวลา อดีตจะต้องมีลึกไปกว่าประวัติศาสตร์อีก ถ้าเราเข้าไปถึงศาสนา เราต้องสร้างเซลฟ์ที่มีความระมัดระวังว่าชีวิตไม่ได้มีชาตินี้เพียงชาติเดียว เช่น เซลฟ์แบบนิทานเรื่องปลาบู่ทอง แม่ของเอื้อยตายไปเกิดเป็นปลาบู่ ตายจากปลาบู่ไปเกิดเป็นต้นมะเขือ เป็นนกแขกเต้า ฯลฯ โอ้ ! มหัศจรรย์จริงๆ เซลฟ์แบบนี้ปัจเจกนิยมแบบโมเดิร์นทำลายทิ้งหมด เดี๋ยวนี้เขาไม่เชื่อกันนะ เอาล่ะ…คุณบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ ยืนยันไม่ได้ว่าจะมีชาติหน้า ผมก็จะตั้งคำถามศอกกลับ เพราะฉะนั้นช่วยพิสูจน์ด้านผิดหน่อย พิสูจน์ว่ามันไม่มีชาติหน้าให้ผมฟังหน่อยสิ อย่าบอกว่ามาท้าให้ผมพิสูจน์ด้านถูก ผมถามกลับว่าคุณพิสูจน์ด้านผิดหน่อย เด็กต้อง concern นะว่า เรื่องเหล่านี้พิสูจน์ด้านถูกก็ไม่ได้ พิสูจน์ด้านผิดก็ไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าประมาท ชีวิตเราอาจจะไม่มีแค่นี้ แล้วจะไปไหนต่อ อันนี้คือเซลฟ์แบบโบราณ มันมีลักษณะแบบนี้

ลองจินตนาการถึงเซลฟ์ซึ่งเรามีความผูกพันกับคนอื่น เรามีความสัมพันธ์กับคนอื่น เราแชร์ทุกอย่างกับคนอื่นทั้งปัจจุบัน อดีต อนาคต เราอาจจะมีชีวิตที่มากกว่าชีวิตนี้อีก ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน perception ของเซลฟ์แบบนี้มันจะคนละอย่างกับเซลฟ์ปัจเจกนิยมของโมเดิร์น ซึ่งโมเดิร์นมันมีแต่ ตัวฉัน วันนี้และชาตินี้ มันมีแค่นั้น มันตีกรอบอยู่แค่นี้ เพราะฉะนั้นมันก็แข็งตัวแน่นเป็นตัวของมัน แล้วมันก็ผิดสำแดงเพราะมันเริ่มป่วย ทีนี้ถ้าถามว่านักการศึกษาควรทำอะไรตอนนี้ ผมสรุปเลยว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องสมรรถนะในศตวรรษใหม่อีก

เรียกว่าเป็นการรื้อฟื้นระบบคุณค่าที่เคยมีมาได้ไหมคะ

ใช่ แต่คุณค่าเนี่ยมันสัมพันธ์กับ perception ของ The I ของความเป็นเซลฟ์ เพราะฉะนั้นทั้งเรื่องคุณค่าและเซลฟ์ควรถูกฟอร์มใหม่ จะเรียกว่าฟอร์มใหม่ก็ได้ แต่จริงๆ แล้วมันคล้ายของโบราณ ถ้าพูดกันแบบนักมานุษยวิทยาเลย อ่าน ethnographic (ชาติพันธุ์วิทยา) เกี่ยวกับพวกพื้นเมืองในแอฟริกา ในอเมริกา อบอริจินีในออสเตรเลีย ฯลฯ เซลฟ์ของเขานอกจากเป็น We เป็น Us แล้ว มันยังโยงกับสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า ไปจนถึงผีสางนางไม้สิ่งลี้ลับต่างๆ ตัวตนของเขาไม่ใช่แค่ The I แล้วไม่ใช่แค่ We และ Us ด้วย มันโยงอยู่กับธรรมชาติรอบตัวทั้งหมดทั้งที่สัมผัสได้โดยตรงและที่ต้องสัมผัสอย่างลึกลับ อันนี้เป็นเซลฟ์ที่ทรงคุณค่ามหาศาล เป็นเซลฟ์รุ่นโฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์เลย อาจจะเก่าแก่หลายหมื่นปี มองเซลฟ์กลุ่มนี้แล้วมองย้อนกลับมาดูเซลฟ์ปัจเจกนิยมของโมเดิร์นจะเห็นว่าแตกต่างกันลิบลับ เซลฟ์ปัจเจกนิยมช่างดูยากจนข้นแค้นและสิ้นไร้ไม้ตอกเสียนี่กระไร

พูดอย่างนี้จะถูกมองว่าเป็นพวกดึกดำบรรพ์ไหมคะ

ผมมองอย่างนี้นะ ผมมองว่า post modern (ยุคหลังสมัยใหม่) มีหลายอย่างมากที่เป็น pre modern (ยุคก่อนสมัยใหม่) สุดท้ายแล้วเราจะเห็นว่าโมเดิร์นหรือยุคสมัยใหม่คือสิ่งแปลกปลอมของธรรมชาติ ความคิดแบบโมเดิร์นมันเป็น reductionist มันตัดตอนความสลับซับซ้อนและความคลุมเครือลึกลับอื่นๆ ออก เซลฟ์ของโมเดิร์นจึงเหลือแต่ The I ที่โดดเดี่ยวเป็นปัจเจกลอยๆ 

โลกของมนุษย์ก่อนหน้าโมเดิร์นมันคือ holistic (องค์รวม) โลกของมนุษย์หลังโมเดิร์นก็คือ holistic แต่โลกของมนุษย์ในช่วงสมัยของโมเดิร์นต่างหากที่ประหลาดแล้วมันก็กำลังหมดอายุลงอยู่ตลอดเวลา 

ผมว่าปล่อยให้ปัจเจกนิยม เสรีนิยม แบบอเมริกันกับโลกตะวันตกตายไปพร้อมกับมันได้เลย มันจะหมดอายุภายในศตวรรษนี้ โลกในศตวรรษใหม่มันจะกลับไปสมานฉันท์กับความหลากหลาย ความสลับซับซ้อน การเปลี่ยนแปลง ความลื่นไหล ความคลุมเครือ และความลึกลับ เราอาจจะต้องกลับไปหาเซลฟ์องค์รวมแบบอบอริจินี แบบเนทีฟอเมริกัน ผมว่าเซลฟ์พวกนี้มันทรงพลัง แต่ต้องปรับใหม่ให้เข้ากับโลกที่มีเศรษฐกิจ สังคมและสภาพแวดล้อมของศตวรรษใหม่ด้วย

แล้วจะว่าดึกดำบรรพ์หรือตกรุ่นก็ไม่ใช่ นักมานุษยวิทยากายภาพยืนยันว่าสมองของโฮโมเซเปียนส์เมื่อ 40,000 ปีก่อน ไม่ต่างกันมากกับสมองของโฮโมเซเปียนส์วันนี้ บางคนถึงกับบอกว่า ถ้ามีการสื่อสารที่ดี มีระบบการเรียนรู้ที่ดี เราอาจจะสอนการสร้างคอมพิวเตอร์ให้กับโฮโมเซเปียนส์เมื่อ 30,000-40,000 ปีที่แล้วได้ มันบอกอะไรเรา มันบอกเราว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุมหาศาลที่เปลี่ยนแปลงมาหลายพันปีพร้อมกับสังคมเมือง ไม่ได้กระทบกับสมองของมนุษย์ชาวเมืองเท่าไหร่ แปลว่าเราคิดเอาเองว่าเราเป็น

ชาวเมืองที่มีอารยธรรมที่เจริญขึ้นมามากแล้ว เราคิดเอาเองว่าสังคมเมืองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากห่างไกลมากกับชีวิตในพงไพร แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะว่าถ้าสังคมเมืองมันซับซ้อนมากกว่าธรรมชาติในพงไพร สมองของคนเมืองต้องเปลี่ยนไปจากสมองของพวกชนเผ่า คนเมืองอาจจะกลายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ใช่โฮโมเซเปียนส์แต่ในความเป็นจริงสมองของคนเมืองและสมองของชนเผ่าไม่ต่างกัน นักมานุษยวิทยาอย่างโคล๊ด เลอวี สโตร๊ส (Claude Levi- Strauss) ก็เคยพยายามพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสมองของชนเผ่าที่ยังใช้ชีวิตแบบเดียวกับโฮโมเซเปียนส์เมื่อหลายหมื่นปีก่อนไม่ได้แตกต่างจากสมองของคนเมืองที่อยู่กับความเจริญทางวัตถุและความรู้มาหลายพันปีเลย 

มันบอกเราว่าความเจริญทางวัตถุและความรู้แบบคนเมืองหลายพันปีที่ผ่านมาไม่มีผลกระทบเท่าไรต่อสมองของคนเมือง แสดงว่าโลกซับซ้อนของเมืองไม่ได้ซับซ้อนไปกว่าธรรมชาติรอบตัวเลย

ทีนี้มันยืนยันกับเราว่าโฮโมเซเปียนส์เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้วกับชนเผ่าที่ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่ แม้จะใช้ชีวิตนุ่งผ้าเตี่ยว นอนในถ้ำ อายุสั้นเพราะติดโรคได้ง่ายก็จริง แต่สมองของเขาพร้อมเผชิญความซับซ้อนได้เท่ากับเราที่เป็นชาวอารยธรรมเมือง เพราะฉะนั้นความซับซ้อนที่มนุษยชาติเผชิญอยู่ ไม่ใช่ความซับซ้อนเชิงวัตถุ เชิงเศรษฐกิจ หรือความรู้แบบชาวเมือง แต่มันคือความซับซ้อนของการเผชิญต่อธรรมชาติที่ซับซ้อน ที่มันเป็น chaos มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง สมองของโฮโมเซเปียนส์ถูกพัฒนาให้เผชิญกับความจริงของธรรมชาติมาอย่างน้อยก็ 40,000 ปีแล้ว แล้ววันนี้ที่เรารู้สึกว่าโลกมันสลับซับซ้อน มันก็ไม่ได้ซับซ้อนมากไปกว่าเมื่อ 40,000 ปีก่อน

เราอยู่ในเมืองใหญ่ที่เราคิดว่าซับซ้อน ก้าวหน้า สูงส่ง มีระบบเศรษฐกิจ การเงิน และเทคโนโลยีพิศดาร แล้วเราไปดูชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ในถ้ำเห็นว่ามันไม่ซับซ้อน เพราะเราเอาวัตถุไปเทียบไง แต่ผมถามว่าความซับซ้อนของเมือง แม้กระทั่งระบบการเงินที่เราใช้ในวันนี้ มันมากไปกว่าความซับซ้อนของธรรมชาติที่อยู่หน้าถ้ำหรือเปล่า ไม่เลย ธรรมชาติที่อยู่หน้าถ้ำ หรือธรรมชาติที่อยู่ข้างในชีวิตจิตใจ ซับซ้อนกว่าสิ่งที่เราเห็นในอารยธรรมเมืองนี้มาก สมองของมนุษย์พร้อมเผชิญกับโจทย์ยากที่สุดของธรรมชาติมา 40,000 ปีแล้ว และนี่คือสิ่งที่ยืนยันกับผมว่าการกลับไปเป็นพรีโมเดิร์นไม่ล้าสมัย เพราะอะไร เพราะว่าโมเดิร์นไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ก้าวหน้าไปไหนเลย อาจจะถอยหลังลงด้วยในบางด้าน เราดูดีๆ ในช่วง 200-300 ปีที่ผ่านมาของโมเดิร์น ความรู้ของอารยธรรมเมืองเพิ่มขึ้นมากมายก็จริง ชีวิตอาจจะอายุยืนขึ้นก็จริง แต่มนุษย์อาจจะเสื่อมลงในเรื่องสำคัญๆ หลายเรื่อง โมเดิร์นไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป เราเก่งแบบนี้มาก่อนโมเดิร์น ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเราจะกลับไปอาศัยเซลฟ์แบบองค์รวมอีกครั้ง เซลฟ์ที่เป็นพหูพจน์และเปิดรับการมีภพชาติอย่างเอนกอนันต์

ถ้าอย่างนั้น นอกจากเรื่องการท้าทายด้วยข้อจำกัดให้สมองขยายความสามารถออกไป และเรื่องเซลฟ์แบบองค์รวมแล้ว การศึกษาน่าจะช่วยสร้างอะไรอีกให้เด็กไทยพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในอนาคตได้

นอกจาก 2 เรื่องใหญ่ที่ว่าไปแล้ว การศึกษาในยุคนี้จะต้องทำให้เด็กรักสิ่งยาก รักการทำงานหนัก ชอบความเหนื่อย แต่ไม่ใช่เป็นคนบ้างาน workaholic ลักษณะนั้นมันเป็นการบ้าความสำเร็จ คนละอย่างกันนะ อันนั้นมันเป็นไดรฟ์ที่เป็นเชิงลบนะ อยากมีตัวตน อยากมีชื่อเสียง ลาภยศสรรเสริญ ทำงานหนัก อย่างนั้นจะทุกข์ แต่อยากทำงานหนักเพราะอยากยืดศักยภาพ อันนี้ผมว่าบวก อยากทำของยาก อยากทำงานหนัก อยากลำบาก เพราะรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้วมีความสุข อันนี้คือลักษณะที่เรียกว่าเป็นการศึกษา แล้วคือธรรมชาติของสมองด้วย สมองมันชอบเรื่องยากๆ เป็นธรรมชาติของมัน

สุดท้ายอาจารย์อยากส่งสารอะไรเกี่ยวกับเสรีภาพที่กำลังเป็นคำขวัญของยุคสมัย

เสรีภาพไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในทางการศึกษาที่ต้องตั้งเป็นประเด็นโดดเด่นขึ้นมา ข้อจำกัดที่เหมาะสม ประกอบกับโจทย์ปลายเปิด จะปลุกเสรีภาพแห่งการสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วภายในสมอง จิตใจและร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา ส่วนการตั้งประเด็นให้เสรีภาพเป็นคติพจน์ มันเหมาะกับเวลาที่จิตใจเราชำรุด โดยเฉพาะเมื่อเซลฟ์ปัจเจกนิยมของโมเดิร์นที่มันผิดธรรมชาติมันทำให้เราป่วย แล้วความคิดเกี่ยวกับเสรีภาพก็อาจจะเป็นยามาบำบัดเยียวยาได้ มันเป็นคำขวัญที่ทำให้เรารู้สึกฟื้นฟูขึ้นได้ ในกรณีที่รู้สึกเจ็บป่วย หรือในมุมหนึ่งจะบอกว่าสังคมที่หมกมุ่นกับคติพจน์เรื่องเสรีภาพเป็นสังคมที่กำลังป่วยอยู่ก็ได้ 

คือผมมองว่าเวลามันป่วย มันก็เรียกร้องหาอะไรมาบำบัดความป่วยของมัน แต่อย่าลืมว่ายาบำบัดอาการทุกชนิดเป็นยาเสพติดที่ใช้ไปนานๆ จะดื้อยา ต้องเพิ่มโดสมากขึ้นๆ สุดท้ายป่วยมากกว่าเดิม 

ทางที่ดีรีบออกจากเซลฟ์แบบแห้งแล้งขัดสนนี้โดยด่วน

Tags:

การเรียนรู้เสรีภาพครูปาด-ศีลวัต ศุษิลวรณ์

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ทลายกำแพงห้องเรียน กับ 5 พื้นที่เรียนรู้รอบเขาใหญ่ เมื่อระบบการศึกษาแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel