Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: May 2021

ทำไมคุณภาพการศึกษาไทยยังไปไม่ถึงไหน? : ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค  ชวนหาคำตอบด้วยแนวคิดเศรษฐศาสตร์การศึกษา
Social Issues
11 May 2021

ทำไมคุณภาพการศึกษาไทยยังไปไม่ถึงไหน? : ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ชวนหาคำตอบด้วยแนวคิดเศรษฐศาสตร์การศึกษา

เรื่อง ศากุน บางกระ

  • ผลจากการขึ้นเงินเดือนครูในระบบราชการมาร่วม 20 ปี ช่วยให้ทุกวันนี้มีเด็กเก่งจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเรียนเพื่อเป็น “ครู” มากขึ้น แต่หลักสูตรครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์และระบบที่แวดล้อมรอบตัวครูไม่อาจเอื้อให้ครูรุ่นใหม่พัฒนาการศึกษาไทยไปได้ไกลกว่านี้
  • ครูยังขาดความรู้ความแม่นยำในวิชาที่สอน หรือขาด hard skills จนทำให้ห้องเรียนหลายแห่งไม่ได้คุณภาพ การอบรมทักษะต่างๆ ไม่สามารถทดแทนความรู้หลักๆ ที่ครูควรจะต้องมีตั้งแต่แรกได้
  • โรงเรียนสังกัดรัฐบาลในไทยมีกว่า 30,000 แห่ง หากพิจารณาทรัพยากรกับระบบการศึกษาที่เป็นอยู่จะทำให้โรงเรียนพัฒนา และสร้างครูที่กระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้หรือไม่ หากวันใดสามารถทำได้เกินครึ่งหนึ่ง ไทยก็จะเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูงได้ แต่ความจริงก็คือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทยกำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมครูไทยยังไม่เก่ง ทำไมคนเก่งไม่มาเป็นครู?

ครูไทยเข้าอบรมบ่อยแค่ไหน อบรมไปแล้วเกิดผลอะไรบ้าง?

ทำไมบางโรงเรียนยังขาดทรัพยากร? 

หากถกเถียงกันเรื่องการพัฒนาการศึกษาไทย คำถามเหล่านี้จะยังคงถูกวนเวียนเอามาถามอยู่ตลอด ซึ่งเราจะตอบคำถามไม่ได้เลยถ้าไม่ได้หันกลับไปดูว่าโครงสร้างระบบการศึกษาเป็นอย่างไร

The Potential หยิบมุมมองของ ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา ที่ได้อธิบายประเด็นนี้ไว้ในงานเสวนาที่ต่อยอดจากหนังสือ “ปั้นครู เปลี่ยนโลก ถอดนโยบายสร้างครูแห่งศตวรรษที่ 21(Empowered Educators: How High-Performing Systems Shape Teaching Quality Around the World)” ซึ่งจัดโดยสำนักพิมพ์ bookscape ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อไม่นานมานี้ 

ในการเสวนา ดร.ภูมิศรัณย์ ได้ให้ข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับ “ระบบการศึกษาไทย” พร้อมยกตัวอย่างกรณีต่างๆ ของประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูงไว้หลายกรณี ดังต่อไปนี้

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา

ทำไมครูไทยยังไม่เก่ง? ทำไมคนเก่งไม่เป็นครู?

ในสนามของการทำงานทุกอาชีพต้องการทักษะมากมาย หลักๆ ทักษะเหล่านี้จะแบ่งเป็น hard skills ทักษะด้านความรู้ที่ใช้ในการทำงาน กับ soft skills ทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนหรือการเข้าสังคม 

สำหรับอาชีพครู จะมี hard skills จากความรู้ในเนื้อหาสาระวิชาที่สอน และมี soft skills เป็นทักษะต่างๆ ที่นำมาใช้สอนเด็กหรือทำงานร่วมกันในโรงเรียน แต่ตอนนี้ปัญหาสำคัญของครูไทยก็คือ การที่ครูขาดความรู้ความแม่นยำในวิชาที่สอน หรือขาด hard skills จนทำให้ห้องเรียนหลายแห่งไม่ได้คุณภาพตามที่ควรจะเป็น

กรณีนี้ ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. เห็นว่า แม้จะมีความพยายามในการอบรมพัฒนาต่างๆ ขณะที่เป็นครูก็อาจจะช่วยเรื่อง hard skills ไม่ได้ 

“สิงคโปร์ครูเขาจบวิชาพื้นฐานหลักแล้วก็มาเรียน 1 ปีที่ National Institute of Education (สถาบันการศึกษาแห่งชาติ) มีแค่ 1 ใน 3 ที่จบทางครุศาสตร์โดยตรง และในหลายประเทศก็เรียกว่าเป็นคนที่มี hard skills เป็นพื้นฐานหลักอยู่แล้ว ส่วนของเรา ถ้าครูไม่ได้เป็นคนที่มี hard skills มาแต่เดิม ผมมองว่า พื้นฐานในเรื่องของวิชาหลักเรายังไม่แน่น ตรงนี้มันจะยาก พวกทักษะต่างๆ ที่เขาพูดถึงไม่ว่าจะเป็น PLC (Professional Learning Community ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ) อะไรต่างๆ ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะไปทดแทนความรู้หลักๆ ที่ครูควรจะต้องมีตั้งแต่ก่อนเข้ามา” ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าว

ทั้งนี้เขาได้ให้ความเห็นร่วมกับวงเสวนามาก่อนแล้วว่า “ครู” เป็นอาชีพที่ต้องส่งเสริมให้คนเก่งสนใจเข้ามาทำหน้าที่นี้กันให้มาก ซึ่งผลจากการขึ้นเงินเดือนครูในระบบราชการมาร่วม 20 ปี ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแล้ว

สำหรับ ดร.ภูมิศรัณย์ คำพูดที่ว่า ครูไทยมีรายได้น้อย คนเก่งๆ เลยไม่อยากเป็นครู เป็นเพียงมายาคติเท่านั้น เพราะครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่คิดเป็นครูส่วนใหญ่ในประเทศได้รับค่าตอบแทนที่ไม่น้อยหน้าใครตั้งแต่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจําตําแหน่งข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547

“ถ้าเป็นครู อายุประมาณ 40 กว่า เงินเดือนก็อาจจะถึงขั้น 60,000-70,000 ครูเกษียณไป เงินเดือนก็ประมาณ 40,000 ได้ ถ้าเทียบกับข้าราชการทั่วไปไม่ได้เงินเดือนน้อย แล้วอีกอย่างหนึ่งเท่าที่ผมทราบนักเรียนที่มาเรียนกับคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ก็จะเป็นเด็กที่มีคุณภาพสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ก็เรียกว่าตอบสนองต่อผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม จริงอยู่ที่ผลจากการเพิ่มเงินให้ครูได้ช่วยให้ทุกวันนี้มีเด็กเก่งจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเรียนเพื่อเป็น “ครู” กันมากขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลักสูตรครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์และระบบที่แวดล้อมรอบตัวครูไม่อาจเอื้อให้ครูรุ่นใหม่พัฒนาการศึกษาไทยไปได้ไกลกว่านี้

“ครู (ในคณะครุศาสตร์) ก็ยังใช้วิธีการเดิมแม้จะได้เด็กเก่งเข้า แต่วิธีการเรียนยังเป็นแบบเดิม เมื่อเขาจบไปอยู่ในโรงเรียน กระบวนการเรียกว่า in-service training (การฝึกอบรมเพื่อพัฒนา) ของครูไทยก็ยังเป็นแบบเดิม ทุกคนก็บ่นว่ามีปัญหาอะไรต่างๆ มากมาย ต้องทำเอกสารหรืออะไรต่างๆ ที่ไม่ได้มีการพัฒนา ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้ครู แม้ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ตาม พอเข้าไปอยู่ในระบบก็ท้อแท้ แล้วความกระตือรือร้นอะไรก็อาจจะหายไป อันนี้ผมก็คิดว่ามันต้องมีการพัฒนาไปตลอดทั้งระบบที่จะสามารถทำให้คนเก่งอยากที่จะมาอยู่ในวิชาชีพนี้ได้”

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น… ดร.ภูมิศรัณย์เห็นว่า เป็นเพราะที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างจริงจัง ปัญหาเรื่องการไม่มีกระบวนการคัดเลือกคนเก่งเข้ามาเป็นครูนั้นเป็นหนึ่งเรื่อง ที่จริงแล้วยังมีเหตุผลที่คนเก่งมากมายไม่เลือกที่จะเป็นครูคือพวกเขามองไม่เห็นว่า ใน “ระบบ” ที่เป็นอยู่จะทำให้พวกเขาพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไรบ้าง

“ผมคิดว่าเงินเดือนก็ไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยเดียว แต่ยังหมายถึงกระบวนการต่างๆ ในการพัฒนาตัวครูด้วย” เขาเอ่ยโดยเปรียบเทียบว่า มีคนเก่งจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเป็นครูในโรงเรียนเอกชนหรือองค์การมหาชนที่มีช่องทางให้คนเก่งได้แสดงฝีมือและสนับสนุนให้พวกเขาได้ฝึกฝนวิชาความรู้

“ผมไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะมีการปรับเงินเดือนครูมากไปกว่านี้ น่าจะเอาพลังงานไปทุ่มเทกับการเรียนการสอนของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ให้มีความทันสมัย ให้เหมาะกับโลกมากขึ้น แล้วก็รวมไปถึงกระบวนการฝึกครูที่จะออกไปอยู่ในระบบ ระบบการตอบแทนเป็นยังไง ระบบการเลื่อนขั้น ทำยังไงให้ครูเขามีความมั่นใจในตัวเอง”

ดร.ภูมิศรัณย์เห็นว่า ความภูมิใจในงานที่ได้พัฒนาศักยภาพของเด็ก ความภูมิใจที่ได้เจริญก้าวหน้าในการทำงาน รวมไปถึงการได้รับความยอมรับจากคนทั่วไปจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนที่มีความสามารถอยากที่จะกระโดดเข้ามาทำงานด้านการศึกษามากขึ้น

“อย่างฟินแลนด์ก็เป็นอีกแบบ คนเก่งก็จะไปเป็นครูเยอะ แม้ว่าเงินเดือนของครูก็สูง แต่ว่าก็ไม่ได้สูงมาก ไม่ได้สูงเกินไปถ้าเทียบกับอาชีพอื่นๆ ในประเทศเขา แต่ว่าด้วยกระบวนการ ด้วยความสุขในอาชีพ ด้วยความยอมรับในสังคม ด้วยการเป็นอิสระในกระบวนการทำงาน ก็ทำให้คนที่เก่งๆ ของฟินแลนด์เขาอยากเป็นครูกันเยอะ” ดร.ภูมิศรัณย์ ยกตัวอย่าง

นอกจากนี้ ดร.ภูมิศรัณย์ยังมองอีกด้านหนึ่งด้วยว่า ความเป็นข้าราชการของครูที่รับประกันไว้แล้วว่า จะมีเงินบำนาญให้หลังเกษียณได้ทำให้คนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเป็นครูโดยที่ไม่ได้ชอบจึงทำให้คุณภาพการศึกษาลดลงไป

“การเป็นข้าราชการมีข้อเสียในแง่ที่ว่าบางคนก็ไม่ได้อยากที่จะเป็นครูมากนัก ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบ แต่เมื่อเขาได้เป็นข้าราชการแล้วก็ทำให้เขารู้สึกว่า ก็อยู่จนได้บำเหน็จบำนาญไป ซึ่งผมก็คิดว่าตรงนี้น่าจะมีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ครูไทยที่ไม่ได้ชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะชอบนิดนึง แต่ว่าพอทำได้ ซึ่งหลายคนที่เราเห็นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์น่าจะเป็นคนกลุ่มนี้แหละ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับนักเรียน ใช้อำนาจในห้องเรียน ไม่มีความเป็นครู อะไรต่างๆ ที่ทำให้ภาพพจน์ในส่วนของวิชาชีพอาจจะไม่ค่อยดี”

ทำไมบางโรงเรียนถึงขาดแคลนทรัพยากร?

ตอนนี้ไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษาประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี คิดเป็นเงินสูงถึง 600,000-800,000 ล้านบาท 

ถ้าเป็นจริงตามนี้ ทำไมเรายังเห็นเด็กๆ ไม่ได้เรียนต่อเพราะฐานะยากจน หรือทำไมเรายังต้องช่วยกันบริจาคอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับโรงเรียนที่อยู่นอกเมือง

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการศึกษาเห็นว่า งบประมาณการศึกษาของไทยไม่ใช่งบประมาณที่มากเกินไปถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีเศรษฐกิจอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ปัญหาก็คือ การกระจายทรัพยากรอย่างไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป

“ไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ แคนาดา หรือแม้แต่เซี่ยงไฮ้ก็จะมีการจัดสรรงบประมาณในลักษณะการจัดสรรงบประมาณแบบเสมอภาค ในแง่ที่ว่าในจังหวัดหรือว่าในท้องถิ่น อาจจะเป็นท้องถิ่นที่ยากจนที่รัฐบาลท้องถิ่นเขาเก็บเงินได้น้อย รัฐบาลกลางเขาก็จะพยายามเสริมเงินงบประมาณเข้าไปเพื่อให้ในทุกท้องถิ่นได้เงินเท่าๆ กัน ไม่ได้มีอันไหนได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก” ดร.ภูมิศรัณย์อธิบาย

เมื่อมองมาที่ไทยซึ่งใช้หลัก “งบฯ ต่อหัว” กล่าวคือ โรงเรียนได้งบประมาณตามจำนวนนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่หรือว่าขนาดเล็ก แม้จะมีการบวกเพิ่มอัตรางบประมาณอุดหนุนรายหัวให้โรงเรียนขนาดเล็กบ้าง แต่ว่าโดยรวมการจัดการการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กหรือโรงเรียนในชนบทจะมีความเสียเปรียบมากกว่า เนื่องจากความประหยัดต่อขนาดจะไม่เท่าโรงเรียนขนาดใหญ่ กล่าวคือ 

โรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน จะได้รับงบประมาณรายหัวต่ำเนื่องจากจำนวนนักเรียนที่น้อย ทั้งที่จริงแล้วโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ต้องการงบประมาณมาจัดการการศึกษาไม่ต่างจากโรงเรียนที่มีนักเรียน 200 คน ซึ่งจากสถิติแล้วไทยมีโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากถึง 51 เปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนทั้งหมด  

ดร.ภูมิศรัณย์ได้ตั้งคำถามว่า โรงเรียนสังกัดรัฐบาลในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 30,000 แห่ง ในจำนวนนี้จะมีโรงเรียนที่สามารถจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพได้เท่าไร หากพิจารณาที่ทรัพยากรที่มีอยู่กับระบบการศึกษาที่เป็นอยู่จะทำให้โรงเรียนพัฒนา และจะทำให้โรงเรียนสร้างครูที่กระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้เกินครึ่งหรือไม่

หากวันใดสามารถทำได้เกินครึ่งหนึ่งของโรงเรียนทั้งหมด ไทยก็จะเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูงได้ แต่ความจริงก็คือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทยกำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

จากข้อมูลของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ประเทศไทยมีการแบ่งแยกของโรงเรียนระหว่างเด็กที่ร่ำรวยกับเด็กที่ยากจนสูงมากซึ่งอยู่ในระดับต้นๆ ใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาอย่างบราซิล โคลอมเบีย เปรู อุรุกวัย โดย ดร.ภูมิศรัณย์มองว่า ความแตกต่างของประชากรสองกลุ่มนี้จะมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเรื่องนี้

“การที่ให้เงินไปอุดหนุนโรงเรียนต่างๆ ณ ตอนนี้เรายังขึ้นอยู่กับรายหัวเด็กอยู่ ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหา ไม่สามารถที่จะไปลดความเหลื่อมล้ำของโรงเรียนที่มีคุณภาพแตกต่างกันได้เลย ยิ่งทำให้สถานการณ์ค่อนข้างที่จะแย่ลง ที่พูดถึงตั้งแต่เริ่มต้นมา เราพูดถึงเฉพาะโรงเรียนรัฐบาล พูดถึงครู พูดถึงระบบ ยังมีโรงเรียนเอกชน โรงเรียนที่มีครูเป็นครูอัตราจ้างอีกมากมาย แล้วคนกลุ่มนี้เขามีความลำบากมากกว่าครูของโรงเรียนรัฐบาล ถ้าเกิดอ่านในโซเชียลมีเดียก็จะเห็นอยู่ว่า มีการโพสต์รับสมัครงานครูเงินเดือน 4,000-5,000 อยู่”

“นอกจากนี้ แม้ว่าโรงเรียนทั่วไปเขาจะได้งบประมาณต่อหัวเด็กพอๆ กัน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้โรงเรียนต่างกันก็คือความสามารถในการระดมทรัพยากร ซึ่งโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนที่มีสมาคมครูและผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพหรือโรงเรียนที่ผู้ปกครองมีฐานะ โรงเรียนในชุมชนที่มีเศรฐกิจดี เขาก็จะสามารถระดมทุนแล้วก็เอาเงินอันนั้นมาใช้ในการพัฒนา ถ้าโรงเรียนอยู่ในฐานะที่ยากจน ชายขอบ ตามชนบท เขาก็ไม่สามารถที่จะระดมทุนได้” ดร.ภูมิศรัณย์เสริม

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นงบประมาณที่รัฐมีไว้สำหรับเรื่องการศึกษาส่วนใหญ่ก็คือ ส่วนที่เป็นเงินเดือนของข้าราชการครู ซึ่งส่วนที่เหลือจากนั้นก็ไม่ได้แบ่งไว้มากพอสำหรับเรื่องอื่นๆ ในระบบการศึกษา

“งบประมาณสัก 70-80 เปอร์เซ็นต์ ก็คืองบค่าใช้จ่ายของครู เงินเดือนวิทยฐานะต่างๆ ที่เหลือก็เป็นการบริหารจัดการ” ดร.ภูมิศรัณย์เอ่ย และขยายความด้วยว่า ในจำนวนนี้ก็มีเหลือไว้ใช้พัฒนาเด็กน้อยมาก

ต่างกับประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการจัดการการศึกษา ประเทศเหล่านั้นจะมีการกระจายอำนาจที่ชัดเจนทั้งในเรื่องของงบประมาณและการตัดสินใจในเรื่องนโยบาย

“การกระจายอำนาจของเขาจะไปอยู่ที่ตรงเมือง ตรงท้องถิ่น หรือว่าในระดับโรงเรียนค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นในระดับโรงเรียนหรือว่าท้องถิ่นก็จะมีอิสระในการตัดสินใจ เรียกว่ามีบทบาทในการตัดสินใจอะไรต่างๆ ในการเรียกร้องอะไรต่างๆ ค่อนข้างสูง แต่ประเทศไทย โดยโครงสร้างการศึกษา ในภาครัฐก็ค่อนข้างที่จะเป็นราชการที่รวมศูนย์อำนาจ”

ดร.ภูมิศรัณย์มองด้วยว่า ไทยยังไม่ได้มีกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมแบบตรงไปตรงมาในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษา การรวมกลุ่มครูในไทยก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อคอยเสนอนโยบาย ส่วนตัวเขามองว่า ถ้าให้ครูผู้ปฏิบัติงานโดยตรงได้สะท้อนเสียงในสิ่งที่ตัวเองคิดหรือต้องการก็จะช่วยเคลื่อนการศึกษาให้ก้าวหน้าไปได้

“เรื่องของการแต่งตั้งต่างๆ เรื่องของงบประมาณ ก็ไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนจริงๆ หรือว่าเรื่องของหลักสูตร โรงเรียนก็อาจจะมีอิสระที่จะตัดสินใจได้ แต่ครูหลายๆ ส่วน หลายๆ โรงเรียนเขาก็ยังไม่ค่อยมีความต้องการที่จะปรับหลักสูตรอะไรมากนักก็มักจะใช้ระบบที่ส่วนกลางคิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็นระบบที่ครูไทยอาจจะไม่ได้มีความพยายามในการเข้าไปกำหนดนโยบายมาก”

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ดร.ภูมิศรัณย์เห็นว่าต้องอาศัย “นโยบาย” จึงจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาได้จริงอย่างที่ประเทศอื่นได้ทำให้เห็นมาแล้ว

“ของฟินแลนด์ ช่วงปี 1970 คนไม่ได้นิยมการเป็นครูเท่าไร แล้วก็คณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ในปี 1970 ก็ไม่ได้ถือว่ามีคุณภาพสูงมาก เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายช่วงนั้นหลายอย่าง เช่น มีการยุบวิทยาลัยฝึกหัดครูที่อยู่ทั่วประเทศให้เหลือแค่ไปอยู่กับมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ แค่ 8 แห่ง แล้วก็โฟกัสไปที่ 8 แห่งนี้เพื่อให้มีคุณภาพสูง” 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การทำงานกับ “นโยบาย” อาจต้องใช้เวลา แต่ก็สามารถที่จะเป็นไปได้ 

Tags:

การศึกษาไทยดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาคปั้นครู เปลี่ยนโลกเศรษฐศาสตร์การศึกษา

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Related Posts

  • Social Issues
    ‘เปลี่ยนความพิเศษเป็นพลัง’ ลบคำว่า ‘สงเคราะห์’ ออกจากการศึกษาของเด็กพิเศษ: ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ข้อเสนอ ‘ปฏิรูปการศึกษา’ คลายปมปัญหาที่ฉุดรั้งเด็กไทย : ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential

  • โรงเรียนเล็ก โรงเรียนใหญ่ แก้ปัญหาแบบไหนที่ตรงจุด?: มองหาทางออกใหม่ ให้การศึกษาไทยได้ไปต่อ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Everyone can be an EducatorSocial Issues
    ‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

‘อาหารกลางวัน’ คือสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้ท้องและสมองของเด็กอิ่ม : โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา
11 May 2021

‘อาหารกลางวัน’ คือสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้ท้องและสมองของเด็กอิ่ม : โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • การเรียนคือการใช้สมอง ถ้าเด็กไม่ได้กินอะไรก็ไม่มีแรงไปเรียน สมองไม่พร้อมจะเรียนรู้ นี่คือสิ่งที่โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา สมุทรปราการ ทุ่มเทเพื่ออาหารคุณภาพสำหรับเด็กๆ ของเขา
  • กระบวนการผลิตอาหารกลางวันภายใต้งบ 20 บาท ของโรงเรียนแห่งนี้ นอกจากจะสามารถจัดการได้อย่างมีคุณภาพ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และน่าจะเป็นตัวอย่างให้กับสถานศึกษาอื่นๆ ที่สนใจได้ หาคำตอบกับ อรัญญา พิสุทธากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา
  • “การจัดอาหารเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งนะ สมมติวันนี้มีแกงกะทิ ของหวานก็ไม่ควรเป็นกะทิละ เพราะไม่งั้นมื้อนี้แคลอรี่อาจจะเกิน ซึ่งตัวโปรแกรม Thai School lunch ก็จะช่วยเราในการวางแผนเมนูอาหาร” 

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวที่อาจฟังดูเป็นข่าวดี ก็คือข่าวคณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มงบอาหารกลางวันนักเรียนจาก 20 บาท เป็น 21 บาท 

ที่บอกว่าอาจฟังดูเป็นข่าวดี เพราะการเพิ่มงบประมาณก็เหมือนเป็นการส่องสปอตไลท์ว่าพวกเขาเห็นเรื่องนี้สำคัญ แต่ก็ ‘อาจ’ เป็นแค่ข่าวดีสำหรับคนบางกลุ่ม เพราะหลายเสียงของคนที่อ่านข่าวนี้ต่างเป็นแง่ลบ ทั้งปัญหางบเดิม 20 บาท และงบใหม่ที่เพิ่มมาแค่ 1 บาท

ถ้าไล่เลียงเรื่องอาหารกลางวันนักเรียน เราเชื่อว่ามีประเด็นให้ถกเป็นร้อย แบบไม่นับรวมประสบการณ์อาหารกลางวันส่วนตัวแต่ละคน แค่ภาพอาหารกลางวันโรงเรียนที่เรามักเห็นตามโลกโซเซียล ไข่พะโล้ที่มีไข่ครึ่งลูก เนื้อสัตว์ชิ้นเล็กๆ หรือข่าวครูต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 – 4 ไม่ใช่เพื่อเตรียมการสอน แต่ลุกมาทำอาหารกลางวันจะได้ประหยัดเงินจ้างแม่ครัว

ทำให้บางคนตั้งคำถามว่าปัญหาอาหารกลางวันมาอาจจากงบประมาณที่ไม่เพียงพอ

ถ้าอย่างนั้นเราอยากถามคุณผู้อ่านว่า คุณคิดว่างบอาหารกลางวันโรงเรียน 20 บาทต่อคนเพียงพอหรือไม่?

เพื่อหาคำตอบดังกล่าวอีกทาง The Potential จัดงาน Chef’s Table ชวนคนในแวดวงทำงานประเด็นอาหารกลางวันมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไอเดียในการจัดการอาหารกลางวันโรงเรียน (อ่านบทความ)

ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมงานที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ที่ได้รับโจทย์ผลิตอาหารกลางวันภายใต้งบ 20 บาทเช่นกัน แม้งบจะจำกัด แต่โรงเรียนสามารถเสิร์ฟอาหารที่มีคุณภาพ โดยมีผู้ช่วยนักโภชนาการคอยดูแล

ทำไมโรงเรียนแห่งนี้ถึงใส่ใจกับการจัดอาหารกลางวัน และสามารถจัดการได้อย่างมีคุณภาพ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และน่าจะเป็นตัวอย่างให้กับสถานศึกษาอื่นๆ ที่สนใจได้ The Potential ชวนไปหาคำตอบกับ อรัญญา พิสุทธากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

อรัญญา พิสุทธากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

เด็กไทยแก้มใส

โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาเป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ สังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ จัดการศึกษาให้นักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 3

จุดเริ่มต้นที่ทำให้โรงเรียนสนใจเรื่องอาหารกลางวัน คงต้องย้อนกลับไปปี 2558 ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรกมีโอกาสพบกับดร.สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการด้านโภชนาการ และที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จนได้รู้จักกับโครงการ ‘เด็กไทยแก้มใส’ หรือโครงการเด็กไทยแก้มใสถวายเจ้าฟ้านักโภชนาการ เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนมีการบริหาร ผลิตอาหารโรงเรียนที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ก่อนที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ และกระทรวงมหาดไทยจะร่วมมือทำโครงการให้กับโรงเรียนในเมือง ผอ.มีความสนใจเลยชวนคนในโรงเรียนเข้าร่วมโครงการดังกล่าว

“สองปีแรกยากมาก (เน้นเสียง) เราไม่อยากทำเหมือนกัน ด้วยความกังวลว่าเราก็ค่อนข้างใหม่ ไม่รู้ว่าโครงการนี้เป็นยังไง ต้องทำอะไรบ้าง พอทางโครงการ เขาเชิญเข้าไปรับการอบรมหลายๆ ครั้ง เราก็มีความเข้าใจมากขึ้น  และดำเนินงานโครงการฯ มาตลอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน ทุกวันนี้โรงเรียนของเราเป็นที่รู้จักว่าเป็นโรงเรียนแม่ข่ายเด็กไทยแก้มใสฯ ในรูปแบบโรงเรียนในเมือง เป็นโรงเรียนต้นแบบที่มีการจัดอาหารกลางวันได้อย่างมีคุณภาพ มีโรงเรียนอื่นๆ ทั้งในและนอกจังหวัดเข้ามาศึกษาดูงาน” ครูอุ้ม – อุรสา เดชพละ ครูผู้ดูแลโครงการเด็กไทยแก้มใสฯของโรงเรียนเล่าให้ฟังถึงช่วงต้นๆ ของการเริ่มทำโครงการ 

เธอเล่าต่อว่า ใช้เวลา 2 ปีทุกคนในโรงเรียนก็สามารถปรับตัวเข้ากับโครงการได้ เมื่อเข้าโครงการเด็กไทยแก้มใสจะมีแนวทางให้โรงเรียนปฎิบัติอยู่ 8 ด้าน ได้แก่ การทำเกษตรในโรงเรียน สหกรณ์นักเรียน การจัดบริการอาหารของโรงเรียน การติดตามภาวะโภชนาการ การพัฒนาสุขนิสัยของนักเรียน การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ การจัดการบริการสุขภาพ และการบูรณาการทั้ง 7 ด้านข้างต้นเข้ากับการเรียนรู้นักเรียน

“ตามหลักโครงการเด็กไทยแก้มใส การทำแปลงเกษตรก็เพื่อให้ได้ผลผลิตไปประกอบอาหาร แต่ว่าพื้นที่โรงเรียนเราไม่พอปลูกแน่นอน ไม่สามารถส่งวัตถุดิบเข้าโรงครัวได้ 100 % แล้วจริงๆ ทางครัวเองก็สามารถหาซื้อวัตถุดิบได้จากข้างนอก

ฉะนั้น แปลงผักนี้ก็เป็นเหมือนห้องเรียนให้เด็กๆ ได้รู้จักวิธีปลูกผัก ได้ทดลองทำ เช่น เห็ด ต้นอ่อนทานตะวัน  เราใช้ชื่อว่า ‘เกษตรน้อยในป่าปูน’ ผลผลิตที่ได้เด็กๆ ก็จะเก็บไว้กินเอง หรือส่งเข้าครัว หรือนำมาขายให้ผู้ปกครอง บุคลากรโรงเรียน ผ่านกิจกรรมที่เราจัด เช่น ตลาดนัดโรงเรียน สมมติว่ามีแพลนอีก 3 เดือนจะจัดตลาดนัด เด็กแต่ละห้องก็จะเริ่มวางแผนว่าจะที่แปลงที่ปลูกตอนนี้ผลผลิตจะพอขายไหม จะปลูกอะไรเพิ่มอีกดี เงินที่ขายได้เด็กๆ จะนำไปฝากสหกรณ์ห้องเรียน เป็นทุนหมุนเวียนในแต่ละห้อง”

แปลงสาธิตการเกษตร ‘เกษตรน้อยในป่าปูน’

ทุกคนในโรงเรียนมีส่วนร่วมในมื้ออาหาร 

หัวใจหลักของโครงการเด็กไทยแก้มใส คือ นักเรียนต้องได้กินอาหารโรงเรียนที่มีคุณภาพ แต่ด้วยปัจจัยและข้อจำกัดที่โรงเรียนแต่ละแห่งต้องเผชิญ ทำให้การเดินทางไปถึงเป้าหมายค่อนข้างยากลำบาก

ที่แพรกษาวิเทศศึกษาก็เช่นเดียวกัน ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน อรัญญา พิสุทธากุล เล่าว่า ด้วยงบอาหารกลางวันที่จำกัด ทำให้ทุกขั้นตอนในการจัดอาหารกลางวัน ทางโรงเรียนต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้ใช้งบได้คุ้มค่าที่สุด 

แต่ที่โรงเรียนก็มีปัจจัยอื่นช่วยสนับสนุน คือ นโยบายของเทศบาลแพรกษา ‘Education come first การศึกษาต้องมาก่อน’ ซึ่งเทศบาลก็จะช่วยสนับสนุนความต้องการของโรงเรียนในเรื่องอาหารกลางวัน ทางเทศบาลตั้งงบประมาณในการจ้างแม่ครัว ผู้ช่วยนักโภชนากร และจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์งานบ้านงานครัว ต่างๆ ให้กับโรงเรียน งบอาหารกลางวันของโรงเรียนทั้งหมด 20 บาทต่อคน เลยสามารถทุ่มไปที่การซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหารกลางวันให้กับเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่

“พอมาอยู่หน้างานจริงๆ รู้เลยว่างบ 20 บาทต่อคนทำยาก อย่างราคาหมูเนื้อแดงแบบเกรดดีเลยนะ ปีที่แล้วกิโลกรัมละประมาณ 130 บาท แต่ปีนี้ขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 170 – 180 บาท ฉะนั้น เราต้องวางแผนการใช้วัตถุดิบให้ดี โดยจะวางเมนูอาหารแบบรายเดือน แต่ต้องดูราคาวัตถุดิบด้วย เช่น วันนี้มีแผนจะทำแกงจืดเต้าหู้หมูสับ แต่ผักกาดขาวราคาสูง เราก็อาจจะเปลี่ยนดึงเมนูอื่นที่ราคาวัตถุดิบถูกกว่ามาแทน

พี่ไปเจอว่านโยบายของสสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ควรมีนักโภชนาการประจำโรงเรียน เลยส่งเรื่องไปที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เขาก็มีหนังสือมาที่เทศบาลและจังหวัดให้จัดจ้างผู้ช่วยโภชนาการหรือนักโภชนาการ เพื่อเข้ามาดูแลกระบวนการทำอาหารทุกอย่าง เดิมที่โรงเรียนจะเป็นครูดูแล เขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ามาทำงาน กว่าจะเสร็จก็บ่ายถึงจะได้เริ่มการสอน ซึ่งมันก็ไม่ใช่หน้าที่เขา พอเราได้ผู้ช่วยนักโภชนาการมาครูก็งานเบาลงมาทุ่มการสอนเต็มที่” ผอ.อรัญญาเล่า

กระบวนการผลิตอาหารจะเริ่มจากวางแผนว่าเดือนนี้โรงครัวจะทำอาหารอะไรบ้าง โดยมีผู้ช่วยนักโภชนากรและหัวหน้างานโภชนาการของโรงเรียนออกแบบเมนู มีผู้ช่วยเป็นเจ้าโปรแกรม Thai School lunch จากโครงการเด็กไทยแก้มใสฯ ในการคิดเมนูอาหาร ความพิเศษของโปรแกรมนี้ คือ เมื่อกรอกเมนูเข้าไป ตัวโปรแกรมจะโชว์ว่ามื้อนี้เด็กๆ ได้รับคุณค่าทางโภชนาการเท่าไร

เมื่อได้เมนูครบแล้ว ก็จะส่งสายพานไปที่การสั่งซื้อวัตถุดิบและเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตต่อไป ผอ.อรัญญาสร้างกรุ๊ปไลน์ดึงฝ่ายโภชนาการทุกคนในโรงเรียนมาช่วยกันดูกระบวนการผลิต ตรวจสอบคุณภาพอาหาร

“การจัดอาหารเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งนะ สมมติวันนี้มีแกงกะทิ ของหวานก็ไม่ควรเป็นกะทิละ เพราะไม่งั้นมื้อนี้แคลอรี่อาจจะเกิน ซึ่งตัวโปรแกรม Thai School lunch ก็จะช่วยเราในการวางแผนเมนูอาหาร 

คือ เราสามารถกรอกรายละเอียดเมนูที่เราเตรียมไว้ โปรแกรมก็จะคำนวณมาเลยว่าอาหารของเรามีคุณค่าทางอาหารเท่าไร ขาดตัวไหนไปบ้าง อย่างเช่นธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่เด็กขาดเยอะ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือน นอกจากนี้ก็จะบอกเรื่องปริมาณอาหารที่เด็กควรได้รับด้วย” 

“โครงการแก้มใสจะมีพาร์ทดูแลสุขภาพ เป็นหน้าที่ครูที่จะต้องเช็คสุขภาพของเด็กแต่ละคน เราจะชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เอาข้อมูลไปประมวลผลในโปรแกรม INMU-Thaigrowth จะรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีภาวะโภชนาการเป็นอย่างไร และรายงานให้ผู้ปกครองทราบ ถ้าคนไหนมีปัญหาครูประจำชั้นก็จะดูแล เช่น เด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ก็ต้องคุมน้ำหนัก จัด Slim Zone โดยมีการตักอาหารตามธงโภชนาการ โดยเฉพาะ ข้าว หรือเส้น ต่างๆ อย่างเวลากินข้าวถ้าไม่อิ่มเขาอยากเติมเราให้เติม เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้แทนได้

“แรกๆ เด็กไม่เข้าใจไปบอกกับผู้ปกครองว่า อยู่โรงเรียนกินข้าวไม่อิ่ม (หัวเราะ) จึงมีการทำความเข้าใจถึงแนวทาง เขาเริ่มเข้าใจก็จะปรับตัวได้ โรงเรียนก็มีจัดบริบทสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้เด็ก เด็กที่น้ำหนักเกินก็ต้องหาวิธีให้เขาออกกำลังกาย ส่วนเด็กที่น้ำหนักตามเกณฑ์ก็ส่งเสริมให้เขาดียิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เขาทำสิ่งที่อยากทำ” ครูอุ้มเล่า

การใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่าถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตอาหารกลางวันภายใต้งบประมาณจำกัด ผอ.อรัญญา เล่าว่า หลังจากครูเช็คชื่อนักเรียนเสร็จ หัวหน้าแต่ละชั้นเรียนก็จะส่งจำนวนนักเรียนที่มาเรียนวันนี้ เพื่อให้ครัวรู้ว่ามีนักเรียนกี่คนต้องปรับลดหรือเพิ่มปริมาณอาหาร เพราะโรงเรียนเคยเจอช่วงเสาร์อาทิตย์โรงเรียนจัดค่ายลูกเสือให้นักเรียนชั้นมัธยม เปิดเรียนวันจันทร์เด็กขาดไป 100 กว่าคน แม่ครัวรู้จำนวนเด็กที่มาทำให้เขาสามารถลดวัตถุดิบ ทำอาหารเพียงพอกับปริมาณนักเรียน แล้ววัตถุดิบที่ลดวันนี้ก็อาจจะเอาไปเพิ่มในวันอื่นที่เด็กมาเยอะ หรือวันที่เด็กๆ อยากกินอะไรเป็นพิเศษ เช่น สปาเก็ตตี้ ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่

สาเหตุที่โรงเรียนแพรกษาทุ่มเทกับกระบวนการผลิตอาหาร ใส่ความใส่ใจลงไป ทั้งหมดเพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อใดที่เด็กๆ ท้องอิ่ม พวกเขาก็จะมีแรงไปเรียนต่อ 

“เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่ การเรียนคือการใช้สมอง ถ้าไม่ได้กินอะไรก็ไม่มีแรงไปเรียนหรอก สมองไม่รับ ไม่พร้อมจะเรียนรู้ แน่นอนว่าโรงเรียนมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมศักยภาพเขา แต่ถามว่าถ้าสมองเขาไม่พร้อม ส่งอะไรเขาก็ไม่รับหรอก นี่คือสิ่งที่โรงเรียนต้องพยายามทำอาหารให้มีคุณภาพ

“ตอนหาข้อมูลอาหารกลางวัน พี่ไปศึกษาหลายที่ อย่างฟินแลนด์ ประเทศที่เราฟังว่า โอ้ เขาจัดการศึกษาดีที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นหนึ่งมาจากอาหารกลางวันนะ เขาเชื่อว่าอาหารที่ดีช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ก็ออกนโยบายเลยว่านักเรียนทุกคนต้องได้กินอาหารกลางวันโรงเรียนฟรี แล้วอาหารก็ต้องมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือที่ญี่ปุ่น ให้เวลาพักเที่ยงนับเป็นหนึ่งชั่วโมงการเรียน เขาถือว่าการทานอาหารของเด็กก็เป็นการเรียนอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ถือถาดอาหาร กินข้าว รับผิดชอบตัวเอง ใส่ไปในแผนการเรียน” ผอ.อรัญญาเล่า

เรียนรู้ผ่านจานอาหาร

มิชชั่นอีกหนึ่งข้อของโครงการเด็กไทยแก้มใส คือ นำกระบวนการผลิตอาหารทั้งหมดไปบูรณาการสร้างการเรียนรู้ ซึ่งความน่าสนใจคงอยู่ตรง ‘อาหาร’ จะสร้างการเรียนรู้ได้อย่างไร

ครูอุ้มตอบด้วยการถามกลับว่า เด็กๆ รู้จักสารอาหารแต่ละชนิดถือเป็นการเรียนรู้ไหม? หรือการบวกลบคำนวณเงินที่ฝากกับสหกรณ์ หรือรู้จักวิธีปลูกผัก การบูรณาการอาหารเข้ากับการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับครูแต่ละรายวิชา เท่านี้คงพอทำให้เราเห็นภาพอาหารในเวอร์ชั่น ‘สื่อการเรียนรู้’ 

นอกจากเรียนรู้ผ่านอาหาร ระบบการเรียนที่โรงเรียนแพรกษาฯ เป็นแบบพหุภาษา คือ สอนโดยใช้ 2 ภาษา ไทยและอังกฤษ ปัจจุบันมีพ่วงภาษาจีนเพิ่ม ทำให้การเรียนการสอนและกิจกรรมในโรงเรียนเน้นใช้ภาษา เด็กๆ ที่นี่จึงเก่งภาษากัน

ผอ.อรัญญา ยกตัวอย่างกิจกรรมที่โรงเรียนเพิ่งเริ่มทำเมื่อเดือนที่แล้ว โดยปกติรูปแบบวันเรียนของแพรกษาจะเป็นแบบ Six days rotation คือจะไม่นับว่าเป็นวันจันทร์ – ศุกร์ แต่จะนับเป็นเดย์วัน (Day one) ไปเรื่อยๆ จนถึงเดย์ซิก (Day Six) เพื่อที่ว่าหากวันเรียนไหนตรงกับวันหยุดก็จะไม่ขาดไป สมมติวันศุกร์ตรงกับวันหยุดราชการ ถ้านับตามวันปกติก็จะถือว่าการเรียนวันนี้หยุด ไปเริ่มวันจันทร์ แต่การนับแบบ Six days rotation จะรันไปตามปกติ หากวันพฤหัสบดี คือ เดย์วัน วันศุกร์ที่หยุดก็ไม่นับเป็นเดย์ทู แต่ไปนับวันจันทร์เป็นเดย์ทูแทน 

เดิมเดย์ซิกจะเป็นวันที่เด็กๆ ใช้เวลาทำกิจกรรมของโครงการเด็กไทยแก้มใส เช่น ลงแปลงผัก ดำเนินกิจกรรมสหกรณ์ เป็นต้น ผอ.อรัญญาอยากให้เด็กได้ทำกิจกรรมและฝึกภาษาเพิ่มขึ้น เธอและครูในโรงเรียนตกลงทำกิจกรรมที่เรียกว่า ‘ฐานการเรียนรู้โดยใช้ภาษาเป็นฐาน’ โดยจะแบ่งงานให้ครูแต่ละหมวดวิชารับผิดชอบคิดฐานกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์ เช่น สัปดาห์ที่ 1 เป็นของหมวดสาระวิชาอังกฤษ ครูประจำหมวดนี้ก็จะช่วยกันคิดฐานกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้ฝึกภาษา

“ฐานแรกเป็นฐานสนามบิน ครูก็จะจำลองสถานที่ให้เหมือนสนามบินเลย มีเคาท์เตอร์เช็คอิน ก็ฝึกเด็กๆ ว่าเขาต้องปฎิบัติตัวยังไง เช็คอินต้องทำอะไรบ้าง เขาก็จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้บวกกับใช้ภาษาไปด้วย หรืออีกฐานเป็นฐานหาหมอ ครูสวมบทบาทสมมติเป็นหมอรอเด็กๆ มาพบ เขาก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ไทย จีน ในการสื่อสาร ถ้าปวดหัวต้องพูดยังไง รับยาต้องพูดว่าอะไร” 

แต่จำนวนบุคลากรมีน้อย ทำให้ผอ.อรัญญาต้องขอแรงพี่ๆ ชั้นมัธยมมาช่วยประจำฐานกิจกรรมด้วย เด็กๆ เกือบทุกคนถ้าเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาได้ดีมาก ทำให้สามารถเป็นวิทยากรช่วยคุณครูได้

“พี่เคยถามครูว่าทำกิจกรรมนี่เป็นไงบ้าง เขาบอกเหนื่อยแต่สนุก ถามว่าจะทำต่อไหม ทุกคนบอกเสียงเดียวกันว่าทำต่อ เพราะคนทำสนุกแล้วตัวเด็กก็สนุกด้วย พี่มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความรู้ที่ยั่งยืนเกิดจากทักษะที่ได้จากการปฏิบัติ ในห้องเรียนครูพูดไปเถอะ เด็กอาจจะรับได้ 50 – 80% ไม่ได้เต็มร้อย แต่การทำกิจกรรมแบบนี้ มันทำให้เขาได้ใช้จริง ฝังเข้าไปในตัวเขา”

การจัดการเรียนรู้ให้น่าสนใจเหมาะสมกับคนเรียนย่อมสำคัญ แต่ผอ.อรัญญาเน้นย้ำว่า ฐานสำคัญ คือ เด็กๆ ต้อง ‘ท้องอิ่ม’ ก่อนพวกเขาถึงจะมีแรงไปเรียน 

“วันหนึ่งเรากินอาหาร 3 มื้อ มื้อที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กๆ พี่ว่าเป็นอาหารกลางวันโรงเรียนนะ อาหารเช้าผู้ปกครองก็ไม่ค่อยมีเวลาเตรียมหรอก หรือแม้กระทั่งอาหารเย็นเหมือนกัน ถ้าเช้าๆ เด็กไม่ได้กินข้าว สายๆ เขาก็เริ่มหิวละ แล้วการเรียนคือการใช้สมอง แน่นอนว่าถ้าท้องว่างก็เกิดความอ่อนเพลีย ส่งอะไรไปเขาก็ไม่รับ”

“โรงเรียนมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมศักยภาพเขา อาหารเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำ ไม่ใช่แค่โรงเรียน แต่ฝั่งผู้ปกครองก็อาจจะทำยาก เพราะต้องเป็นคนที่มีเวลา มีปัจจัย 4 ครบถ้วน มีส่วนที่ส่งเสริมสนับสนุนซับพอร์ตได้” ผอ.อรัญญาทิ้งท้าย

Tags:

โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษาภาษาอาหารกลางวัน

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • 041-Novels & Poems-nologo
    Character building
    อ่านนิยาย ร่ายบทกวี ไม่มีเสียเปล่า

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • How to enjoy life
    อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Adolescent Brain
    ความรู้และทักษะแบบไหนที่เด็กยุคดิสรัปชันควรเติมก่อนโต พร้อมวิธีฝึกผ่านการทำกิจกรรมในครอบครัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

Chef’s table: 4 เมนูอาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน”  วันนี้เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีพอหรือยัง?
Creative learning
10 May 2021

Chef’s table: 4 เมนูอาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน” วันนี้เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีพอหรือยัง?

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • เปิดวงสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการอาหารสำหรับเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน เพราะอาหารโรงเรียนเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก 
  • การจะขับเคลื่อนประเด็นนี้จำเป็นต้องร่วมกันทั้งฝั่งโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการดูแลอาหารเด็กๆ

ย้อนกลับไปในวัยเด็กสมัยประถมฯ มื้อกลางวันเรากินอะไรกัน แล้วมีเมนูไหนที่ทำเราฝังใจจนลืมไม่ลงบ้าง… อย่างเช่น บรรดาวิญญาณหมู เห็ด เป็ด ไก่ แกงหม้อใหญ่ที่ปริมาณน้ำเกินครึ่ง ผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มักถูกทำออกมาได้ไม่น่ารับประทานนักสำหรับเด็กเล็กๆ บางคนถึงขนาดเป็นเหตุผลให้ไม่ชอบกินเมนูนั้นไปเลย และอาจหมายความว่า อาหารกลางวันมื้อนั้นเป็นมื้อที่ทำให้เด็กคนหนึ่งมีโภชนาการที่ไม่ดีนัก 

จงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้จัดการโครงการศูนย์เรียนรู้ต้นแบบโรงเรียนเด็กไทยแก้มใส สถาบันสร้างเสริมวิถีบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และในฐานะผู้ที่นำโปรแกรม Thai School Lunch พัฒนาโดยสวทช.และสถาบันโภชนาการ ไปถ่ายทอดให้กับโรงเรียนในโครงการเด็กไทยแก้มใส แสดงความเห็นในงาน ‘อาหารกลางวันโรงเรียนในฝัน’ จัดโดย The Potential อีเวนท์เล็กๆ ที่ชวนเปิดวงสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการอาหารสำหรับเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนไว้ว่า 

“ภาวะทางโภชนาการของเด็กแต่ละคน แก้ไขเฉพาะที่โรงเรียนและมื้ออาหารกลางวันอย่างเดียวไม่พอ จะต้องแก้ไขไปที่พ่อแม่พฤติกรรมการกินของตัวเด็กเอง ผู้ปกครองต้องเอาใจใส่ด้วย ถ้าไปคาดหวังว่าเด็กจะต้องสอบโอเน็ตได้คะแนนสูง เรียนได้คะแนนดีๆ เป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออาหารและโภชนาการไม่ถึง เด็กจะเอาสติปัญญาที่ไหน สมาธิไม่มี ปวดท้องเพราะหิว ไม่มีอาหารไปเสริมสมอง” 

อีกหนึ่งเสียงจาก อิทธิพล ด่วนกลิ่นคง นักศึกษาคณะวิทยาการการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้ทำวิจัยและสารคดีเรื่องอาหารกลางวันเด็ก เล่าว่า  

“จากที่ไปเก็บข้อมูลในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดท้องถิ่น อาหารกลางวันโรงเรียนเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งที่เด็กหลายๆ คนพูดถึง ส่งเสียงให้เราได้ยิน ข้าวขาวแบบแห้งๆ ราดแกงเขียวหวานไก่ที่มีแต่มะเขือ เศษไก่สับ หรือเป็นหนังไก่ ยกตัวอย่างอีกอันปลาซิว ปลาตัวเล็กๆ ทอดกรอบ ซึ่งมันเค็มมาก เมนูพวกนี้ทำให้น้องทานอาหารที่โรงเรียนน้อยลง เขารู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ควรได้รับในมื้ออาหารนั้น และทำให้การเรียนตอนบ่ายไม่โอเค”

ซึ่งตอกย้ำว่า ปัญหาอาหารกลางวันเด็กไทยยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง คำถามคือ หากเราใส่ใจมื้อกลางวันของเด็กๆ มากพออาหารที่มาถึงพวกเขาอาจจะดีกว่านี้หรือไม่ 

what’s existing

สะท้อนความจริงปัญหาอาหารกลางวันโรงเรียนผ่านอาหารจานแรก 

ข้าวขาว 1 ทัพพี ปลานิลทอด 2 ชิ้นเล็กๆ  ไข่ต้ม แอปเปิ้ลเขียว ถั่วเขียวต้มน้ำตาล และนม 1 กล่องถูกเสิร์ฟมาในถาดหลุมที่คุ้นตา นี่คือเมนูมื้อกลางวันจานแรกที่ เชฟมนต์เทพ กมลศิลป์ เชฟอาหารไทยประยุกต์ ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นประจำห้องอาหาร TAAN (ธาน) ณ โรงแรม Siam @ Siam และเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง 4 เมนูอาหารกลางวันที่จะพูดถึงต่อไป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของงานนี้ 

เชฟมนต์เทพเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้เห็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลางวันที่ดูมีโภชนาการดีของโรงเรียนบ้านนาสาร โรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพอได้คุยคุณครูที่โรงเรียนปรากฏว่า เป็นรูปแบบการบูรณาการแบบครอบครัว ชุมชน พ่อแม่ และครูตั้งกลุ่มกันเอง เอาวัตถุดิบในชุมชนมาทำ ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ เราจะต้องทำอาหารให้ลูกหลานกิน กลายเป็นภาพอาหารกลางวันที่สมบูรณ์ ซึ่งไม่ใช่สมบูรณ์เพียงรูปลักษณ์ หรือนโยบาย แต่สมบูรณ์ด้วยองค์รวมที่ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วม 

“สิ่งที่ผมมาเสนอวันนี้คือ อารมณ์ของอาหารในจาน ไม่ได้หมายถึงเราจะมาร้องรำ แต่หมายถึงอาหารมันมีอารมณ์เชิงลึก-เชิงตื้น อยากนำเสนอสิ่งที่มันอิมแพคเรา สิ่งที่เราเจอที่บ้านนาสารในวันนั้น เอามากางบนโต๊ะอาหารให้ผู้ที่เข้าร่วมเห็นภาพว่าเราเจออะไร เราอยากนำเสนออะไร ออกมาในรูปแบบจานอาหาร 4 จาน เพื่อที่เขาจะได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปอินสปายต่อ”  

เชฟมนต์เทพ กมลศิลป์ เชฟอาหารไทยประยุกต์ ห้องอาหาร TAAN (ธาน) ณ โรงแรม Siam @ Siam

ในจานแรกเชฟมนต์เทพจึงเลือกหยิบความจริงที่อยู่ในถาดหลุมมากางบนโต๊ะอาหาร แต่ปัญหาคือ ไม่ใช่ทุกชุมชนจะลุกขึ้นมาจัดการเช่นนั้นได้ 

“สมัยก่อนพ่อแม่จะใกล้ชิดลูก และโรงเรียนคือหัวใจของชุมชน พ่อแม่เลยไปช่วยกันปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เพื่อเอามาเป็นอาหารกลางวัน พอถึงเวลาอาหารกลางวันก็พ่อแม่นั้นแหละมาช่วยกันทำ เอาลูกๆ เข้ามาช่วยด้วย กินด้วยกัน เป็นวัฒนธรรมแบบเดิม ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะต่างคนต่างมีงานที่ต้องทำ” คุณจงกลนีเสริม 

นำไปสู่การนำเสนอปัญหาในจานที่สอง นั้นคือการเอาความจริงที่มีอยู่มาวางทับกัน สะท้อนปัญหาที่มีอยู่แล้วมาสุมกัน ผ่านอาหารที่เป็นวัตถุดิบเชิงเดียวแล้วมาประกอบร่างกันจนเกิดเป็นอาหารจานใหม่ คล้ายจะให้เห็นกับปัญหานั้นมีทางออกเสมอ ในจานมีมะละกอดิบ ไก่บ้านต้มที่ถูกฉีกเป็นฝอยๆ น้ำพริกเผา กะปิ ไข่ต้ม ผักชีลาว ใบสาระแหน่ หอมแดง พริก แยกน้ำยำซึ่งเสิร์ฟใส่กล่องนมโรงเรียน 

อาหารมีผลต่อร่างกายและการเรียนรู้ของเด็ก 

เพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัย เด็กๆ จำเป็นต้องได้รับสารอาหารในมื้อกลางวันอย่างเต็มที่ ทั้งอิ่มอร่อย อิ่มท้อง และเต็มอิ่มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 

“ทำไมต้องใส่เลือดในแกงเขียวหวานไก่ ทำไมต้องให้กินผัก เพราะว่าจากการประเมินอาหาร ทั้งในโรงเรียนของโครงการเด็กไทยแก้มใสของเราเอง สิ่งที่เด็กขาดมากที่สุด คือ ธาตุเหล็ก แล้วก็วิตามินเอ ธาตุเหล็กมาจากไหน ตับส่วนหนึ่ง แต่ที่มากที่สุด คือ เลือดสัตว์ แล้วตับก็มีวิตามินเอสูง ถัดมาคือแคลเซียมที่เด็กจะต้องโต ต้องสูง สามตัวนี้ขาดไม่ได้ในการทำอาหาร และส่วนใหญ่ที่เราเจอเด็กประถมปลาย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นวัยที่มีประจำเดือน จะซีด ขาดธาตุเหล็ก รัฐบาลกระทรวงสาธารณะสุขเลยต้องเสริมการทานธาตุเหล็ก” คุณจงกลนี อธิบาย

อีกทั้งในโปรแกรม Thai school lunch ยังแนะนำว่าต้องเสริมธัญพืชให้เด็ก พวกถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเขียวซึ่งสารอาหารที่ดี มีประโยชน์ แต่ถ้าให้วิเคราะห์สารอาหารในจานๆ นี้ คุณหน่อยแนะนำว่า ข้าวขาวไม่มีสารอาหาร ควรจะให้เด็กกินข้าวกล้องผสม เพราะมีใยที่เคลือบวิตามินบี 1และ 2 ส่วนปลาค่อนข้างเค็ม โซเดียมสูง และในจานก็ไม่มีผักที่เป็นใยอาหารเลย แม้จะมีถั่วเขียว แต่ก็ให้ปริมาณน้อย และหวานเกินไป

“ข้าวประมาณ 1 ทัพพีสำหรับเด็กก่อนวัยอนุบาล จริงๆ ถ้าใช้วิธีเติมก็ไม่ถูก เพราะว่าโปรแกรมคำนวนมาให้แล้วว่าวัยขนาดนี้กินเท่านี้ที่พอดีกับร่างกายของเด็ก ถ้าเด็กประถมฯ 2 ทัพพี เด็กมัธยมฯ 2 ทัพพีครึ่งถึง 3 ทัพพี ขึ้นอยู่กับว่าเด็กต้องใช้พลังงานมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน เราอาจจำกัดข้าว แต่ไปเน้นที่ผักผลไม้ได้ ซึ่งผลไม้มีทุกวันได้ก็จะดี ผักต้องมีให้ครบเพราะผู้ใหญ่ต้องกินวันละ 400 กรัม ถ้าเด็กก่อนวัยอนุบาลประมาณ 30 กรัม เด็กวัยโตขึ้นมาประถมต้น 250 กรัม ประถมปลายมื้อหนึ่งประมาณ 70 กรัม 2 ช้อน กินเกินไม่เป็นไร”

จงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้จัดการโครงการศูนย์เรียนรู้ต้นแบบโรงเรียนเด็กไทยแก้มใส

Solution

นโยบาย งบประมาณ และการบริหารของแต่ละโรงเรียน

ในส่วนของโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา สมุทรปราการ ผอ.อรัญญา พิสุทธากุล ผู้อำนวยการโรงเรียน เล่าว่า 

“อย่างของเรามีหลายๆ บริบท วันไหนที่เป็นข้าวแกงเขียวหวานกับขนมจีน ซึ่งเด็กๆ ชอบมาก ราคาต่อวันที่เราซื้อหัวเฉลี่ยจะต้องคุมให้ได้ในงบ 19,000 บาท เฉลี่ยหัวละ 20 บาท เด็ก 1,056 คนเบื้องต้น จะต้องคอนโทรลให้อยู่ใน 18,200 บาท แต่เราไม่ใช้หลักการนั้น เราเอางบรวมตั้ง วันที่เด็กๆ ทานแกงเขียวหวานขนมจีน แม้ว่าจะต้องจ่ายถึง 23,000 บาท ไม่เป็นไร เรามองว่าในวันรุ่งขึ้น ผัดบล็อกโคลี่กุ้งกับแกงจืดเต้าหู้ปลา อันนี้อาจจะใช้งบประมาณรวม 16,000 บาท มันก็คือหัวเฉลี่ยอยู่ในก้อนนั้น รายละเอียดตรงนี้จะทำให้เราบริการจัดการงบประมาณและปริมาณอาหารกลางวันของเด็กได้” 

โดยจะต้องจัดการแบ่งมื้ออาหารในหนึ่งอาทิตย์ รวมถึงทำรายการใช้จ่ายทั้งของสดของแห้ง และในทุกวันจะต้องรายงานผอ.อรัญญาก่อน 9 โมงเช้า เพื่อให้แม่ครัวดำเนินการต่อ หากวันนั้นป็นเทศกาลตรุษจีน เด็กๆ อาจหยุดถึง 20% ของนักเรียน ก็สามารถลดงบประมาณในวันนี้ได้ โดยงบที่เหลือสามารถนำไปจัดในสัปดาห์สุดท้ายของภาคเรียนได้  

“เมื่อก่อนเคยซื้อหมูเนื้อแดงกิโลละ 130 บาท ตอนนี้ 170 บาทต่อกิโลกรัม บอกเลยว่าถ้าไม่ใช่การบริหารจัดการ เด็กไม่สามารถทานกันได้ ตอนนี้ก็ได้รับการซัพพอร์ทพอสมควรจากเทศบาล แต่โรงเรียนที่ไม่ได้รับการซัพพอร์ทอย่างเรา การที่จะให้เขาเดินหน้าอย่างสวยงามหรือว่ายอมทำ เด็กได้ทานข้าวไรซ์เบอรี่ ทานข้าวกล้องหอมทุกๆ วัน ทำได้ยาก”  

ซึ่ง รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ อดีตคณบดีคุรศาสตร์ จุฬาฯ และผู้บริหารโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นด้วยว่า เป็นสิ่งที่จะตอบโจทย์เรื่องอาหารกลางวันทั้งหมดว่า อยู่ที่การบริหารจัดการ 

“ในการจะบริหารโรงเรียน ยกตัวอย่างรูปแบบที่หนึ่งคือทำด้วยตัวเองในงบ 20 บาท รูปแบบที่สอง ผลิตผลผลิตวัตถุดิบด้วยตัวเองเสริม เน้นปลา เน้นผัก ซึ่งอาจจะต้องใช้เงินทุน รูปแบบที่สาม ก็ให้ทางอบต. สนับสนุน รูปแบบที่สี่คือการต้องไปขอสปอนเซอร์ อย่างนี้มันจะกลายเป็นรูปแบบของการบริหารโครงการ ซึ่งจะต้องอบรมผ่านการกลั่นกรองและแนะนำจากคนที่เกี่ยวข้องว่าควรจะทำอย่างนี้ และต้องมีกลไกติดตามการทำงานของผอ.ด้วย แล้วถ้ามีคนมีผู้ปกครองมาโวยวายว่าอาหารกลางวันไม่ดี ก็ย้ายเลย มันจะเกิดสำนึกขึ้นทันที”

รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ อดีตคณบดีคุรศาสตร์ จุฬาฯ และผู้บริหารโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ด้านคุณจงกลนี แลกเปลี่ยนว่า ในงบประมาณ 20 บาท ถ้าเด็ก 1,000 คนก็วันละ 20,000 บาท สามารถไปซื้ออาหารที่ดีได้ เนื่องจากซื้อปริมาณมากราคาถูก แต่ถ้าเด็ก 40 คน ก็ได้ 800 บาท ให้แม่ครัว 300 บาท ค่าแก๊สวันละ 40 บาท ค่ารถไปจ่ายกับข้าว หากตัดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปแล้วจะเหลือเงินค่าวัตถุดิบจริงๆ เท่าไรกัน แต่แม้โรงเรียนทั่วประเทศจะมีโปรแกรมที่ทราบอยู่แล้วว่าคุณค่าทางอาหารที่เด็กควรได้รับในแต่ละช่วงวัย แต่เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงยังออกมาเป็นวิญญาณไก่กันอยู่ ปัญหาอยู่ตรงไหนกัน 

“อยู่ที่การบริหารจัดการ ปัจจัยสำคัญคือ ผู้บริหาร จริงๆ เป็นงบจากรัฐบาลกลางให้มาหัวละ 20 บาท ให้ทุกสังกัดเหมือนกันหมดเลย แต่ให้กรมส่งเสริมไปช่วยกระจายลงท้องถิ่น ท้องถิ่นเป็นคนจัดสรรงบตรงนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สพฐ เป็นการกระจายอำนาจ ซึ่งงบมีอยู่ 2 หมวด หมวดที่มาจากรัฐบาลกลาง แต่ยังมีงบอีกงบหนึ่ง เป็นงบที่เป็นรายได้ของท้องถิ่น สามารถเอางบตรงนี้ไปสมทบเพิ่มได้ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีของบุคคลที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ มีหน้าที่ต้องดูแลลูกหลานของเขาด้วย”

“อยากจะให้ผู้ใหญ่ได้มองเห็นและมุ่งไปที่ตัวเด็กจริงๆ ว่า อาหารสมองสำคัญที่สุดสำหรับเด็กไทยทุกยุคทุกสมัยหลายคนฟังและอยากจะแก้ แต่ก็มัวไปสนใจเรื่องนโยบาย แล้วพ่อแม่ผู้ปกครองจริงๆ ก็เริ่มต้นจากที่บ้านได้ เช้ามาต้องให้ลูกทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการกินที่ถูกต้องตั้งแต่ในครัวเรือน”

จานที่สาม จึงเป็นเมนูถาดหลุมธรรมดาๆ ที่นำเสนอการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์กับ solution ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้กลไกการปรับราคาขับเคลื่อนได้โดยเห็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านการใช้วัตถุดิบพื้นบ้านที่ได้มาจากแต่ละท้องถิ่นจริงๆ ไม่ใช่แค่ให้มื้อหนึ่งจบๆ ไป โดยองค์ประกอบในถาดหลุมจานนี้มีข้าวอบตะไคร้พวงไข่ ไก่บ้านต้มขมิ้นพันกับผักน้ำพริกเผากะปิมาโยเนส ต้มมะละกอดองปลานิล ใบกระเพรา โหระพา และถั่วเขียวต้มน้ำผึ้งเนย 

“สิ่งที่พยายามจะนำเสนอมันคือเรื่องของ Local วัตถุดิบของจานแรกกับจานที่สองรวมกัน จะเห็นว่ามีถั่วเขียวผมเอาไปผัดกับน้ำผึ้งและเนย ในการเสิร์ฟในโรงอาหารโรงเรียนอาจเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราพยายามนำเสนอว่า ถ้าเราใส่ของที่แตกต่างไปนิดเดียว มันสร้างความแตกต่างได้นะ ตัวซุปที่บอกว่าเป็นแกงเลียงจริงๆ คือซุปมะละกอ ที่มีข่า ตะไคร้ และก็มีปลานิลเค็มจากจานแรก แต่พอมาอยู่ในบริบทที่ถูกต้อง จานนี้ผมไม่ได้ปรุงรสชาติเพิ่มเลย จะมีความกลมกล่อมพื้นฐานของไก่บ้านเหนียวๆ ที่อยู่ในจานที่สอง ทานคู่กับน้ำพริก แล้วก็ผมเสิร์ฟแนมกับตัวผักที่ใส่อยู่ในจานแรกด้วย 

จริงๆ จานนี้อยากจะให้เห็นภาพว่ามันไม่สามารถทำอะไรมุมเดียวได้เลย เราเอาความจริงมาวางทับกันเราเห็นแต่ปัญหา แล้วเราก็จะมองว่าฝั่งฉันทำอย่างนี้แล้ว อีกฝั่งหนึ่งทำไรไม่ได้เลย แต่พอมันบูรณาการกันในจานนี้แล้ว เราเอาชุดความคิดของจานแรกมาโมดิฟลายด์ให้เป็นจานที่สอง และมาปรับให้กลายเป็นจานนี้ ซึ่งอยู่ในงบ 37 บาทที่สามารถจัดการได้บางมื้อ ซึ่งมื้ออาหารวันนี้ผมพยายามจะรวมทั้งหมดให้อยู่ประมาณ 1,000 บาท ” เชฟมนต์เทพ อธิบาย 

อาหารในจินตนาการจากรากฐานความจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้ 

ฟอร์แมทในการนำเสนอไล่มาตั้งแต่จานแรกฉายภาพความเป็นจริงและปัญหาอาหารกลางวันโรงเรียน จากนั้นก็ว่ากันด้วยโซลูชั่นที่มีในปัจจุบันและเราจะร่วมมือแก้ไขกันได้อย่างไร ซึ่งสำหรับจานสุดท้ายนี้ เชฟมนต์เทพมองว่า มันคือความต่าง เป็นจานหนึ่งที่ยากมากสำหรับเขา 

“เราทำทาร์ตทั้งหมดจากแป้งข้าวเจ้า แล้วก็เราเอาของที่มีอยู่ในเมนู เช่น น้ำพริกกะปิ มาเป็นส่วนประกอบของจานนี้ด้วย เพราะฉะนั้นวิธีการเสิร์ฟมันคือเรื่องของความคิดที่คลี่คลาย แนะนำให้ทุกๆ ท่านค่อยๆ คลี่กระดาษออก ด้านในก็จะพบว่ามีขนมอยู่หนึ่งชิ้นที่จริงๆ แล้วเป็นวัตถุดิบตั้งแต่จานแรกเลย คือ แอปเปิ้ลเขียว มะละกอ ข้าว แล้วก็มีซอสน้ำพริกกะปิคาราเมล จานนี้สำหรับผมผมรู้สึกว่ามันคือความกล้า มันอาจจะไม่ได้ทำให้อร่อยขึ้น แต่ว่าอย่างน้อยคนที่ไม่เคยทานเปิดใจมากขึ้น ซึ่งจริงๆ เราทานกะปิกับผลไม้กันอยู่แล้ว อย่างเช่น มะม่วงเราก็จิ้มกับกะปิ แต่พอมันอยู่ในบริบทที่เปลี่ยนไปเรามักจะกลัว” 

จะเห็นว่า วัตถุดิบหนึ่งอย่างสามารถทำได้หลายเมนู หลายรูปแบบ บางครั้งก็เป็นวัตถุดิบหลักของเมนูนั้น ขณะที่บางครั้งก็เป็นวัตถุที่ช่วยเสริมให้จานๆ นั้นมีรสชาติมากขึ้น โดดเด่นขึ้น หรือทำให้กินได้ง่ายขึ้น อย่างผักพื้นบ้าน ถ้านำมาปรุงแล้วช่วยดับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ลงได้ เด็กอาจยอมกิน ซึ่งทำให้เขากินได้หลากหลาย 

“ความความสร้างสรรค์ อาจจะสร้างความสนใจให้เด็กๆ อยากทานอาหารมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก แต่ก็ยังต้องเชื่อมโยงไปสู่เรื่องของคุณค่าอาหารด้วย สารอาหารครบ 5 หมู่ไหม เพราะว่าอย่างที่เราทำ Thai School Lunch ยังต้องมีว่าอันนี้กี่กรัมๆ รวมออกมาแล้วผลจะได้ 5 ดาว เด็กๆ ต้องทานอย่างน้อย 4 ดาว ถึง 5 ดาว อย่างวันนี้ทำทำแกงส้มกุ้งกับมะละกอ แต่ยังขาดแคลเซียมก็เอาปลากระป๋องใส่เพื่อให้เด็กได้ทานแคลเซียม แล้วรสชาติไม่เสียหายด้วย” ผู้อำนวยการโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ทิ้งท้าย    

ผอ.อรัญญา พิสุทธากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

Tags:

โภชนาการความคิดสร้างสรรค์(Creativity)อาหารกลางวันปัญหาอาหารกลางวันโรงเรียน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เมนู ‘มนต์เทพ กมลศิลป์’ ที่เกิดจากวัตถุดิบประกอบด้วยห้องครัว ปรัชญา และโลคอล

    เรื่อง The Potential ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Social Issues
    มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่?

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • 21st Century skills
    อย่าเอาความคิดผู้ใหญ่ มาทำลายความคิดสร้างสรรค์เด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

อาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน”
Creative learningSocial Issues
7 May 2021

อาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน”

เรื่อง The Potential

เคล็ดในการจัดการอาหารกลางวันโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จคืออะไร? ชวนหาคำตอบได้ในงาน ‘อาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน” ‘ จัดโดย The Potential ร่วมกับเชฟมนต์เทพ กมลศิลป์ เชฟประจำห้องอาหาร TAAN (ธาน) โรงแรม Siam @ Siam รังสรรค์งานอีเวนท์ในรูปแบบของ Chef’s table ให้เป็นพื้นที่สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการอาหารสำหรับเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนผ่านจานอาหาร 4 จาน

แรงบันดาลใจในการทำอาหารของเชฟมนต์เทพ ได้จากการไปโรงเรียนบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ๆ พวกเขามีกระบวนการจัดการอาหารกลางวันที่น่าสนใจ คือชุมชนและโรงเรียนร่วมมือกันทำอาหารที่มีคุณภาพให้นักเรียนกิน

เบื้องหลังวิธีคิดอาหารแต่ละจานของเชฟมนต์เทพจะเป็นอย่างไรและเคล็ดลับในการผลิตอาหารกลางวันโรงเรียนคืออะไร คน งบประมาณ หรือนโยบาย? ชวนหาคำตอบในคลิปกันเลยค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่?
พ่อแม่ควรเตรียมอาหารให้ลูกอย่างไร เมื่ออาหารและโภชนาการเด็กวัยเรียน ไม่ได้อยู่แค่ที่โรงเรียน
เมนู ‘มนต์เทพ กมลศิลป์’ ที่เกิดจากวัตถุดิบประกอบด้วยห้องครัว ปรัชญา และโลคอล

Tags:

โรงเรียนอาหารกลางวัน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • โรงเรียนควรเป็นเขตปลอด ‘การลงโทษ’ ฝึกให้เด็กรับผิดชอบผลการตัดสินใจของตัวเอง: ครูพรรณทิพย์พา ทองมี โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Everyone can be an Educator
    เมนู ‘มนต์เทพ กมลศิลป์’ ที่เกิดจากวัตถุดิบประกอบด้วยห้องครัว ปรัชญา และโลคอล

    เรื่อง The Potential ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Social Issues
    การศึกษาพื้นฐานในยุคโควิด-19: จะเปิด-ปิดโรงเรียนอย่างไร?

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

Human Walker : เป็นมนุษย์ อย่าหยุดเดิน
Book
7 May 2021

Human Walker : เป็นมนุษย์ อย่าหยุดเดิน

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • “ก้าวเดิน Walking : One Step at a Time” หนังสือแต่งโดย เออร์ลิง คักเก (แปลโดย ธันยพร หงษ์ทอง) ที่อยากบอกเราว่า การเดินไม่ใช่แค่เคลื่อนไหวร่างกาย แต่ยังเป็นช่วงเวลาให้เราได้หยุด คิด และทบทวนชีวิตที่ผ่านมา
  • แม้ว่าการเดินจะเป็นรูปแบบการเดินทางที่กินเวลามากที่สุด สมมติว่าเราจะเดินทางไปที่ๆ หนึ่ง ถ้านั่งรถยนต์อาจใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเลือกเดินเราอาจใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ การเดินทำให้เราเป็น “ผู้ครอบครองเวลา” ได้ใช้เวลาของตัวเองจริงๆ สำรวจสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ถนน อาคาร ท้องฟ้า หรือนกที่บินผ่าน
  • หลายต่อหลายครั้งที่การเดินถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวน “สัตยาเคราะห์เกลือ” ของมหาตมะ คานธี เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษยกเลิกการค้าเกลือแบบผูกขาด หรือการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิคนผิวดำ ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

จากวานรที่เคลื่อนไหวด้วยการเดิน 4 ขา มนุษย์ ค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นยืนหลังตรง และก้าวเดินด้วย 2 ขา เป็นครั้งแรก เมื่อราว 6 ล้านปีที่แล้ว หลังจากนั้น การเดิน 2 ขา ก็ทำให้มนุษย์มีความพิเศษเหนือวานรและสัตว์อื่นๆ มาจนถึงปัจจุบัน

ทว่า ทุกวันนี้ มนุษย์กลับเดินน้อยลง เพราะเรามีสิ่งอำนวยความสะดวก ที่ทำให้ความจำเป็นในการก้าวเท้าเดินลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นยวดยานพาหนะต่างๆ หรือระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ในโลกโดยไม่จำเป็นต้องก้าวเท้าออกจากห้อง

ครั้งสุดท้าย ที่คุณก้าวเดินอย่างจริงจัง คือ เมื่อไหร่?

เดินเพื่อเป็นผู้ครอบครองเวลา

เช้าวันนั้น ไม่สิ ต้องบอกว่า เช้ามืดวันนั้นถึงจะถูก เพราะตอนนั้น พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นจากหลับไหล ขอบฟ้ายังไร้สีสัน บรรยากาศรอบตัวผม มีแต่ความมืดสลัวและเงียบงัน

ผมก้าวเดินช้าๆ อยู่ในความมืด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะเส้นทางที่ผมเดิน อยู่ในอาณาบริเวณด้านนอกของสนามกีฬาแห่งหนึ่ง ซึ่งพื้นที่ด้านในที่เป็นสนามฟุตบอล มีผู้คนที่รักสุขภาพและชื่นชอบการออกกำลังกายจำนวนไม่น้อยเลย พากันมาวิ่งบนลู่วิ่งมาตรฐานราดยางสังเคราะห์

สีทองอมส้ม เริ่มทอแสงทาบทับขอบฟ้า สรรพสิ่งรอบตัวเริ่มปรากฎให้เห็น ขณะที่การก้าวเดินอย่างช้าๆ ทำให้ผมมีเวลาสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่เคยมองข้ามไปเวลาที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่านี้

เสียงร้อง “ต๊ง ต๊ง” ดังมาจากเรือนยอดของต้นปีบ ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เจ้าของเสียงร้องที่ว่ากันว่า เหมือนเสียงของค้อนตีทองของช่างทอง คือ นกตีทอง นกตัวเล็กสีเขียวสด แซมด้วยสีเหลืองและแดงสด เกาะอย่าบนกิ่งไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะผมแค่ไม่กี่ฟุต

ผมไม่เคยเข้าใกล้นกตีทองได้มากขนาดนี้ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงฝีเท้าจากการวิ่งของผม น่าจะทำให้เจ้านกเมืองแสนสวยบินหนีไปแล้ว

หรืออาจกล่าวอีกอย่างว่า ที่ผ่านมา ผมมัวแต่มุ่งมั่นกับจังหวะก้าววิ่งให้เร็วที่สุด จนไม่ทันได้สังเกตเห็นความงดงามที่อยู่ใกล้ตัว

ในตอนนั้นเอง ผมนึกถึงประโยคหนึ่งในหนังสือ “ก้าวเดิน Walking : One Step at a Time” ของ เออร์ลิง คักเก (แปลโดย ธันยพร หงษ์ทอง)

“ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลงเมื่อผมเดิน โลกอ่อนละมุนขึ้น และในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ก็ไม่มีทั้งเรื่องงานบ้าน ประชุม หรือต้นฉบับที่ต้องอ่าน มนุษย์ผู้เป็นอิสระจะได้ครอบครองเวลา ในช่วงไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมงนั้นอีกเช่นกันที่ความคิดเห็น ความคาดหวัง ความรู้สึกของคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานและเพื่อน หมดความสำคัญลงไป เมื่อเริ่มออกเดิน ผมกลายเป็นจุดศูนย์กลางในชีวิตของตัวเอง แต่แล้วไม่นานหลังจากนั้น แม้แต่ตัวตนของผมเองก็มลายหายไป”

แน่นอนว่า ในแง่ของประสิทธิภาพ ประสิทธิผล การเดินเป็นรูปแบบการเดินทางที่กินเวลามากที่สุด สมมติว่าที่ทำงานของเราอยู่ห่างจากบ้านสัก 5 กม. หากเราเดินทางโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะ หรือกระทั่งรถไฟฟ้า เราอาจเสียเวลาเดินทางทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะที่หากเราเลือกเดินทางด้วยการเดิน เราจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ การเดินทำให้เราเป็น “ผู้ครอบครองเวลา” ตามคำกล่าวของเออร์ลิง คักเก แทนที่จะเห็นแค่ภาพเบลอๆ นอกหน้าต่างรถโดยสาร เราจะได้เห็นดอกคูนสีเหลืองบานสะพรั่งอยู่ข้างทาง เราจะได้ยินเสียงนกกางเขนร้องจากบนหลังคาบ้าน เราจะได้กลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่จากร้านเบเกอรี่ ปะปนกับกลิ่นจางๆ ของกาแฟร้อนจากร้านกาแฟเปิดใหม่ที่อยู่อีกฟากของถนน และดีไม่ดี เราอาจได้ลิ้มรสของข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าอร่อยที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

หนึ่งชั่วโมงจากการเดินทางของเรา จะเป็นหนึ่งชั่วโมงที่เราได้พบเจอประสบการณ์มากมาย เราอาจเสียเวลาในการเดินทางมากกว่าเดิม แต่เราได้เวลาที่เป็นของเราจริงๆ กลับมา

เพียงแค่สองขาเริ่มขยับ

“ชาร์ลส์ ดาร์วิน ออกไปเดินเล่นวันละสองครั้ง เพื่อเรียบเรียงความคิดของตัวเอง นักปรัชญา เซอร์เรน เคียร์กเคอกอร์ด ออกเดินไปทั่วโคเปนเฮเกนเหมือนโสกราตีส… ทุกครั้งที่หงุดหงิดจากเรื่องงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จะหนีเข้าไปเดินเล่นในป่ารอบๆ พรินซ์ตัน  ส่วนสตีฟ จอบส์ มักเดินเล่นกับเพื่อนร่วมงาน เวลาที่ต้องการต่อยอดความคิด… เฮนรี เดวิด ธอโร สรุปเรื่องนี้ไว้ว่า “วินาทีที่ขาของผมเริ่มขยับ ความคิดของผมก็ลื่นไหล”

หลายคนคงเคยได้ยิน หรือเคยอ่านเจอประโยคทำนองนี้มาแล้วว่า การเดินช่วยให้สมองปลอดโปร่ง หรือเวลาคิดอะไรไม่ออกให้ออกไปเดิน ซึ่งก็ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เพราะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ยืนยันในเรื่องนี้ อาทิ

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก ระบุว่า คนที่ออกไปเดินเล่นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บความทรงจำระยะยาว จะมีการเจริญเติบโตขึ้น 2 % ซึ่งส่งผลให้ความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่อย่างเข้าวัยชรา ลดน้อยลง

ขณะที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี จำนวน 6,000 คน พบว่า ผู้หญิงที่เดินวันละ 4 กม. (ประมาณ 5,000 ก้าว) จะมีอัตราการสูญเสียความทรงจำ 17 % ขณะที่ผู้หญิงที่เดินน้อยกว่า 0.8 กม.ต่อสัปดาห์ จะมีอัตราการสูญเสียความทรงจำถึง 25 

นอกเหนือจากข้อดีต่อการทำงานของสมองและความทรงจำแล้ว การเดินยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลดความดันโลหิต เสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ ลดการสูญเสียมวลกระดูก เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น ซึ่งหมายถึงการหมุนเวียนของออกซิเจนในกระแสเลือดจะเพิ่มขึ้น

และที่สำคัญ การเดินยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย

เดินเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก-เดินเพื่อเปลี่ยนแปลงเรา

การเดิน เป็นหนึ่งในกิจกรรมของมนุษย์ ที่มีนัยยะนอกเหนือจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางร่างกาย หลายต่อหลายครั้งที่การเดิน ถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวน “สัตยาเคราะห์เกลือ” ของมหาตมะ คานธี ในระยะทางกว่า 380 กม. เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษยกเลิกการค้าเกลือแบบผูกขาด

หรือการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิคนผิวดำ ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการประท้วงครั้งนั้นมากกว่า 300,000 คน โดย 80 % เป็นคนผิวสี

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเหล่าผู้นำโลกถูกบังคับให้ออกไปเดินบนท้องถนนปะปนกับประชาชนของตนทุกวัน? แน่นอน สำหรับผู้มีอำนาจ นี่จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก พวกเขาอาจต้องมีรถสีดำมาจอดรอรับอยู่ที่ไหนสักแห่ง… ยิ่งผู้มีอำนาจถอยห่างจากประชาชน นโยบายและการทำงานของพวกเขาก็จะยิ่งด้อยประสิทธิภาพ” ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ “ก้าวเดิน Walking : One Step at a Time” 

เออร์ลิง คักเก อาจโชคดีกว่าหลายคน เพราะในนอร์เวย์ ประเทศบ้านเกิดของเขา แม้แต่นักการเมืองผู้มีอำนาจระดับสูง ก็ยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนธรรมดา พวกเขายังเดินถนนปะปนกับประชาชน ดื่มกาแฟในร้านเดียวกับประชาชนที่เลือกเขาเข้าไปทำงานสภา

นอกเหนือจากการเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองแล้ว การเดินยังมีนัยยะถึงการท่องโลกด้านใน ในหลายๆความเชื่อทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือพุทธ

ย้อนกลับไปเมื่อสักห้าปีก่อน ผมเคยเดินอยู่บนถนนที่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเส้นทางแสวงบุญเขาโคยะซัง ซึ่งถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธนิกายชินงอน ในจังหวัดวากายามะ ประเทศญี่ปุ่น เขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร แต่มีสภาพอากาศหนาวเย็น โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยแค่ 10 องศาเซลเซียส

แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาบ่าย ตัวเลขอุณหภูมิไม่ได้ลดลงถึงระดับเลขหลักเดียว แต่ลมที่พัดแรง บวกกับสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าสนสูงใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกหนาวยะเยือกจนนิ้วชา ขณะที่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การเดินแสวงบุญ ซึ่งมักจะเป็นการเดินเท้าบนเส้นทางทุรกันดารฟันฝ่าอุปสรรคยากเย็น มีเป้าหมายเพื่ออะไร

เพื่อแสดงถึงศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า หรือเพื่อลดทอนอัตตาตัวตนให้เล็กลง เมื่อยามที่เผชิญหน้ากับความยิ่งใหญ่และโหดร้ายของธรรมชาติ

หรือเพียงเพราะ “มันอยู่ตรงนั้น” อย่างที่จอร์จ มัลลอรี หนึ่งในผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ กล่าวไว้

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม การเดินเท้า การเดินแสวงบุญ การเดินพิชิตยอดเขา การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือกระทั่งการเดินจากสถานีรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน คือ ส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่อาจทิ้งไปได้

การเดินทำให้เราเป็นคนอย่างที่เราเป็นในทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ค่อยได้เดิน เราก็คงค่อยๆ หยุดเป็นคนที่เราเป็น และสุดท้าย เราอาจกลายเป็นสิ่งอื่น

Tags:

หนังสือ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • BookHow to enjoy life
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เมนู ‘มนต์เทพ กมลศิลป์’ ที่เกิดจากวัตถุดิบประกอบด้วยห้องครัว ปรัชญา และโลคอล
Everyone can be an Educator
6 May 2021

เมนู ‘มนต์เทพ กมลศิลป์’ ที่เกิดจากวัตถุดิบประกอบด้วยห้องครัว ปรัชญา และโลคอล

เรื่อง The Potential ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • “อาหารเป็นสื่อกลางอย่างหนึ่ง เหมือนเราเขียนภาพหนึ่งภาพ แต่ว่าเขากินได้ สัมผัสได้ว่า อ๋อ นี่คือเรื่องที่เรากำลังพูดด้วย”
  • มนต์เทพ กมลศิลป์ เชฟประจำห้องอาหาร TAAN เสิร์ฟอาหารไทยประยุกต์ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น เขาไม่ได้เสิร์ฟแค่อาหารรสละมุนลิ้นแต่ยังเป็นอาหารสมองที่ใส่ใจชุมชน ทำให้คนทานได้คิดทบทวนถึงพฤติกรรมการกินของตัวเองที่ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้
  • ไขเบื้องหลังการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงอาหารที่ไม่ใช่แค่เลือกๆ มา แต่คนทำต้อง ‘เข้าใจ’ วัตถุดิบซะก่อน และนอกจากวิธีประกอบอาหาร กรรมวิธีประกอบ ‘มนต์เทพ’ จะใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ชวนหาคำตอบในบทความ

มื้ออาหารเเบบตามใจเชฟ หรือ Chef’s table กำลังเป็นที่นิยมของเหล่านักชิมให้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ บทจานข้างหน้าเรามีตั๋วรถไฟหนึ่งใบ เมื่อไล่สายตาดู ทำให้พอเดาได้ว่า ตั๋วรถไฟที่วางอยู่บนจานใบนี้ กำลังจะพาเราไปลิ้มรสชาติของอาหารไทยจากเมืองเหนือจรดเมืองใต้ผ่าน คอร์สอาหารที่ถูกออกแบบมาอย่างใส่ใจ เมนูปลายทางมีทั้ง ยำผักหวานกับปลาร้าโหน่ง ไก่บ้านผัดน้ำปู๋ แกงรัญจวน จนมาถึงอาหารจานสุดท้าย ซอร์เบต์สีส้มนวล ที่มีกลิ่นน้ำปลา มะนาว เชฟเพียงยืนยิ้มเหมือนมาส่งที่ชานชาลา ให้เราเป็นคนเดาเองว่ารสชาติของปลายทางนั้นคืออะไร

“ส้มตำ”

“ใช่ เราใช้ มะขามเปียก กระเทียม พริกแดง น้ำปลา ข้าวเหนียว น้ำตาลปี๊บ มาปั่นเป็นไอศกรีม หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า ในมื้ออาหารอีสาน ส้มตำเป็นจานล้างปากที่ดีเยี่ยม กินสลับกับไก่ย่างมันๆ หรือ ลาบ น้ำตก ทำให้มื้อนั้นแซ่บขึ้น” 

นั่นคือครั้งแรกที่เราได้เจอ มนต์เทพ กมลศิลป์ เราจำอาหารของเขาได้แม่น ชายที่ใช้รสมือ ปรุงมื้อค่ำให้กลายเป็นห้องเรียนพาเหล่านักชิมไปเรียนรู้เรื่องราวของวัตถุดิบท้องถิ่นจากยอดดอย ความใส่ใจของเจ้าของฟาร์มเลี้ยงหมู ไปจนถึงพืชผักชื่อไม่คุ้นที่เริ่มทยอยหายไปจากแผงผักในตลาดใกล้บ้าน 

มนต์เทพ กมลศิลป์

มนต์เทพ เป็นเชฟประจำที่ห้องอาหาร TAAN (ธาน) ตั้งอยู่ที่โรงแรม Siam @ Siam เสิร์ฟอาหารไทยประยุกต์ ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น เขาไม่ได้เสิร์ฟแค่อาหารรสละมุนลิ้นแต่ยังเป็นอาหารสมองที่ใส่ใจชุมชน ทำให้คนทานได้คิดทบทวนถึงพฤติกรรมการกินของตัวเองที่ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้ The Potential ชวนเขามาเล่าเบื้องหลังการสร้างสรรค์ Chef’s table เผยสูตรลับว่าปรุงการเรียนรู้แสนรื่นรสนี้ได้อย่างไร และอะไรคือส่วนผสมสำคัญให้เขาเป็นเขาในวันนี้ ชวนมาชิมไปพร้อมกัน

Bon appetite 

ถ้า ‘มนต์เทพ’ คืออาหารหนึ่งจาน คุณอธิบายจานนี้ว่าอย่างไร

คงเป็นอาหารฟิวชันที่ปรุงด้วยเทคนิคการทำอาหารจากหลากหลายวัฒนธรรม ผสมผสานเข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทย ออกมาเป็นจานอาหารที่เรียบง่ายแต่ก็มีความซับซ้อน ร่วมสมัย ทำให้คนกินได้ประสบการณ์ทั้งที่คาดเดาได้และก็สร้างความประหลาดใจ 

คุณเริ่มต้นเข้าครัวได้อย่างไร

เราเป็นคนที่เรียนได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม เลยหาสายเรียนที่มันมีทั้งวิชาการและอาชีพอยู่ในนั้น ในยุคนั้นมันมีแค่เศรษฐศาสตร์ บัญชี หรือไม่งั้นก็ไปเป็นหมอ ตำรวจ ทหาร ไม่มีอะไรที่น่าจะเหมาะกับความเป็นเรา ก็เลยเลือกเรียนการโรงแรม (สาขาวิชาการจัดการโรงแรม คณะวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร) แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะเป็นเชฟนะ คิดแค่ว่าเรียนด้านนี้จบออกมาน่าจะได้เงินเยอะกว่าจบบัญชี

เราพบว่าการโรงแรมมีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ มันมีหลายแผนก ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ได้เห็นตัวเองเร็วขึ้น ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละแผนกที่ต่างกัน สิ่งนี้เราถนัดนะ สิ่งนี้เราทำได้ จนมาถึงแผนกครัวเราที่รู้สึกว่าครัวมันเป็นโลกใบใหญ่มาก มันไม่ใช่แค่ยืนอยู่หน้าสเตชันทำอาหาร เพราะมันไม่มีขอบเขตเลยในโลกอาหาร

พอเจอแล้วว่าอยากเป็นเชฟ ต้องไปเรียนต่อสถาบันทำอาหารโดยเฉพาะไหม

จริงๆ สำหรับเราคนจะมาเป็นเชฟไม่ใช่แค่เรียนจบอะไรมา เพราะเวลาพูดถึงอาหาร เราไม่ได้มองว่าอาหารที่คนเป็นเชฟทำคืออาหารหนึ่งจาน เรามองว่ามันคือศิลปะมากกว่าว่าเชฟคนนั้นจะถ่ายทอดอะไรลงไปบนจาน 

สิ่งที่จำเป็นสำหรับคนเป็นเชฟ คือ คุณต้องมีความมุ่งมั่น สำรวจ ทดลองสิ่งใหม่ เข้าใจในธรรมชาติ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกคอนเนกกับอาหารได้เร็ว เพราะเราเข้าใจธรรมชาติของมัน ความรู้เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ อีก 90 เปอร์เซ็นต์ คือพรแสวงที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

และคุณสมบัติที่ดีของการเป็นเชฟหรือทำอาชีพอะไรก็ตามที่ต้องผลิตงานให้คนอื่น คือ การเปิดรับ นอกจากเข้าใจตัวเอง ต้องเข้าใจคนอื่นและสิ่งแวดล้อม

อาหารมีหลายตำรับทั่วโลก ทำไมเลือกมาเป็นเชฟอาหารไทย?

พอเราได้ศึกษาการทำอาหารลึกขึ้น ทำให้เรารู้เลยว่า สภาพอากาศมีผลต่อการเลือกกินอาหารของคน เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้อาหารบางประเภท เช่น อาหารฝรั่งเศส ที่แม้จะได้รับความนิยมแต่ก็มาเป็นกระแสพักๆ ด้วยสภาพอาการบ้านเราที่ไม่เอื้ออำนวย กินอาหารแบบนี้แล้วมันไม่สบายตัว ฉะนั้น ก็เลยกลับมาที่ทำอาหารไทยด้วยโจทย์ที่ว่า จะทำอาหารไทยขายยังไงให้ไม่ซ้ำกับที่มีในตลาดและยังคงความเป็นตัวเราสูง เลยมาจบที่อาหารไทยประยุกต์ เพราะมันพอมีช่องว่างที่เราสามารถเอาความรู้การทำอาหารฝรั่งเศสที่มีมาใช้ได้

เรามองการทำอาหารไทยประยุกต์เป็นอีกรูปแบบที่อาจแตกต่างกับเชฟทั่วไป เราไม่ได้คิดว่าการทำอาหารไทยเป็นทุกอย่างหรือคือที่สุด แล้วอาหารชาติอื่นไม่ดี แต่วัตถุดิบในบ้านเรามันหลากหลาย เราเลยมีเทคนิคดั้งเดิมน้อย ในขณะที่อาหารชาติอื่นๆ มีวัตถุดิบที่จำกัดด้วยฤดูกาล อากาศ ภูมิศาสตร์ ทำให้เขาต้องดิ้นรน และผลักดันตัวเองเพื่อความอยู่รอด เลยเกิดเทคนิคและการพัฒนาที่หลากหลายมากกว่า นี่เป็นช่องว่างเดียวที่เกิดขึ้นในอาหารไทย ทำให้เราคิดว่าเราสามารถปรับ เปลี่ยน และไปต่อได้

อาหารที่เคยทำแต่ในครัวเรือน วันหนึ่งมันถูกพัฒนาเป็นอาชีพ ทักษะคนทำเลยพัฒนาตาม เราเคยเจอคนขายส้มตำที่รู้สึกว่าโคตรเจ๋ง ตำแล้วมีคาแรกเตอร์ และมีความคงเส้นคงวา (consistency) สูงมากๆ ถ้ากินที่ร้านแต่ไม่ใช่คนนี้ตำ รสชาติอาหารจะไม่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่อยู่ในร้านเดิม 

เราคิดว่ามันเป็นเรื่องการสะท้อนตัวตน หรือรสมือที่เขาทำจนมันกลายเป็นความทรงจำบันทึกอยู่ในกล้ามมัดเนื้อเขาว่า ต้องตักของเท่านี้เพื่อให้ได้รสชาติเดิม หรือถ้าใส่เครื่องปรุงไม่เท่าเดิม แต่เขารู้ว่าจะแก้เกมยังไง ต้องตำแบบไหน ปรับอะไร ทุกอย่างมันมีผลหมดเลย อาจจะดูเหมือนแค่ใส่ๆ ลงไป เราว่าชั่งของให้เท่าสูตรทุกคนก็ทำได้ แต่ชั่งให้พอดีมันไม่เหมือนกัน คนทำต้องเข้าใจ มั่นใจ นี่แหละคำว่ามืออาชีพ แต่แก่นที่จะทำให้แต่ละคนหลุดจากจุดคนทำอาหารอร่อยออกมาเป็นเชฟแล้วคนจำได้ คือการสร้างตัวตนนำเสนอออกไป

คิดว่าตัวตนของคุณในวันนี้มีส่วนผสมมาจากอะไรบ้าง?

จริงๆ ตัวเราก็ไม่มีทิศทางหรอก ก่อนทำอาหารไทยก็เป็นเชฟคนหนึ่งที่จะเลิกทำอาหารแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าทำไปไม่มีประโยชน์ อย่างหนึ่งที่การศึกษาไทยให้เรา คือ ความมึนงง เราสงสัยมาตลอดว่า เราเกิดมาทำไม เราทำทุกอย่างไปทำไม มันไม่เคยตอบโจทย์อะไรให้ชีวิตเราเลย

จนเราไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของปราชญ์อินเดียที่ชื่อว่ากฤษณมูรติ เขาบอกว่า realistic (ความจริง) กับ truth (ความเป็นจริง) เป็นคนละเรื่องกัน

ทำให้เราเห็นว่าชีวิตไม่ต้องการอะไร ทุกอย่างเป็นมายาที่เราสร้างขึ้นมา มันคือตัวตน มันมีมนต์เทพ มันมีชื่อสมมติขึ้นมา จริงๆ เราคือธรรมชาติหนึ่งสิ่งที่แม่เราเรียกชื่อสมมติต่างๆ สุดท้ายเราอาจเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งอย่างที่อาจมีประโยชน์น้อยกว่าหญ้าอีก

เราใช้เวลาในชีวิตไปกับการเรียนประถมถึงมหาลัย 16 ปี จบด้วยการไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่คืออะไร 

แต่พอเริ่มทำงาน ได้คิดงานเอง หยิบเอาของโลคอล (local) มาใช้ทำงานวันนั้นเราได้คำตอบแล้วว่า เราจะใช้ชีวิตแบบสร้างประโยชน์ให้คนอื่นเพราะสุดท้ายตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ สิ่งนี้เลยเป็น call ที่ว่าถ้าเราจะทำงานอะไรสักอย่าง มันต้องมีประโยชน์กับคนอื่น ตลอดเวลาที่ทำงานมา เรามองประโยชน์ส่วนตัวเป็นหนึ่งส่วน และต้องมีส่วนที่สองพ่วงมาเสมอ ส่วนร่วมต้องได้อะไรบ้าง จนสิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตลอด

พอเจอแล้วว่าตัวตนคือเชฟที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น คุณเจอความท้าทายอะไรบ้าง 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจเรื่องโลคอล ไม่มีใครซื้อ เพราะ ณ วันนั้นเร็วเกินไป เราก็โอเค คิดว่ามันไม่เวิร์ค แต่เราเคยลองเอาสิ่งนี้ทำเป็นคอนเซ็ปต์ส่งไปประกวดที่ฝรั่งเศสเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปรากฎว่าได้ที่ 2 ในบรรดาทีมที่เข้าแข่งกว่า 20 ทีม การที่เราได้ที่ 2 แปลว่ามันบอกอะไรบางอย่าง ในระดับโลกเรื่องโลคอลกำลังมา เราก็เก็บสิ่งนี้เป็นความเชื่อไว้กับตัวเอง

เราพยายามทำสโลว์ฟู้ด (Slow food การให้ความสำคัญ ละเมียดละไมกับขั้นตอนการปรุงอาหาร) ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นก็ไม่มีใครสนใจ เราก็ทำต่อมาเรื่อยๆ สุดท้ายเชฟก็กลายเป็นอาชีพที่ทำเงินให้เราสามารถตอบความฝันตอนเด็ก ได้ซื้อรถ ซื้อจักรยาน ทำเรื่องราวที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ชื่นชอบ ตอบแพชชั่นด้านหนึ่ง ก็กะว่าจะเลิกทำงานละ เพราะมันไม่เห็นได้ประโยชน์แบบที่เราอยากได้ เลยตัดสินใจออกจากงาน 

แล้วเริ่มออกเดินทาง ไปขึ้นดอยที่เชียงราย เจอเชฟแบล็ก (ภานุภน บุลสุวรรณ) เชฟก้องวุฒิ (ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร) เชฟแวน (เฉลิมพล โรหิตรัตนะ) ที่เป็นรุ่นพี่เรา โห ไม่น่าเชื่อจะได้มาเจอพวกเขาที่นี่ แล้วมันเป็นโลกที่เราอยากอยู่ เป็นโลกที่เราชอบ เงียบๆ ไม่ได้เป็นใคร ไม่มีใครมาเรียกเป็นเชฟ ถึงแม้มันจะมีเชฟอยู่หลายคน

เราเจอว่ามันมีคนคิดแบบเดียวกัน เอาวัตถุดิบท้องถิ่นมาใช้ เลยกลับมาคุยที่โรงแรม เล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา โรงแรมก็สนใจ ถามว่าอยากกลับมาทำอีกรอบไหม คราวนี้ให้ทำสิ่งที่อยากทำ สุดท้ายเรามีโอกาสเปิดร้านชื่อ TAAN นี่แหละ

เอกลักษณ์เด่นของอาหารที่ร้านธาน นอกจากความเป็นอาหารไทยประยุกต์ปรุงด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น คือการเรื่องเล่าในจาน คุณมีวิธีคิดอย่างไร

เราเคยตั้งคำถามว่าทำไมราคาอาหารไทยมันถึงไม่เท่ากับราคาอาหารฝรั่งเศส อาหารญี่ปุ่น หรืออาหารจีน หรือถ้าจะดูมีคุณค่าราคาก็ต้องประกบด้วยสรรพคุณ เช่น เนื้อแกะจากนิวซีแลนด์ สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าของที่ใช้นำเข้าทั้งหมดเลย 

เราพยายามนำเสนอคุณค่าที่แท้จริงของอาหารไทย โดยใช้วัตถุดิบไทยผสมเข้ากับเทคนิคการทำอาหารที่เรามี เราอยากแลกเปลี่ยนเล่าเรื่องราวของวัตถุดิบผ่านจานอาหาร ซึ่งอันนี้เป็นพาร์ทที่สำคัญมาก เพราะ 20 เปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้ร้านอาหารประสบความสำเร็จ คือ การสื่อสาร มาจากความตั้งใจของฝั่งผู้ผลิตที่ใส่ลงไปในอาหาร ทำให้ฝั่งคนขายเองสามารถหยิบมาเล่าเป็นเรื่องราวได้

จุดสำคัญอยู่ตรงการเลือกใช้วัตถุดิบให้เหมาะสมกับอาหารแต่ละจาน ต้องมีความเข้าใจในตัววัตถุดิบและโครงสร้างการทำอาหาร เวลาเราจะเอาวัตถุดิบท้องถิ่นสักอย่างมาใช้ทำอาหาร เราต้องไปเรียนรู้มันก่อนเพื่อสร้างเข้าใจ แล้วถึงจะนำมาต่อยอดได้ ทำให้คนกินเข้าใจได้ว่าวัตถุดิบชนิดนี้โตมาในพื้นที่แบบไหนและมีสิ่งแวดล้อมอย่างไร  

ถ้าขาดเหตุผลและความเข้าใจในการใช้วัตถุดิบ มันก็จะกลายเป็นแค่ฉู่ฉี่ปลาแซลม่อนที่ฟังแล้วดูแพงขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของอาหารจานนั้นๆ

ระบบการศึกษาก็ปลูกฝังความเป็นไทย ผ่านทั้งการเรียนประวัติศาสตร์ เรียนวัฒนธรรมไทย มีหนัง มีละครย้อนยุค ความไทยในอาหารมันต่างกับสื่อพวกนั้นยังไง

เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันตายไปแล้วไง ความเป็นไทยเหล่านั้นมันหยุดนิ่ง อะไรที่มันไม่ได้อยู่ในเดลี่ไลฟ์สไตล์มันจะกลายเป็นอดีตที่จบ คือไม่ว่าเราจะรักแฟนเก่ามากแค่ไหน แต่ถ้าเขาเป็นแฟนเก่าเมื่อไร แฟนใหม่ก็จะมีค่ามากกว่าเสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังชื่นชมอยู่ วัดพระแก้ว วัดอรุณ แม่น้ำเจ้าพระยา เกาะพีพี บ้านฉันมีภูเก็ต เราไม่ได้สร้างอะไรใหม่ขึ้นมาเลย 

เราอาจเป็นแค่คนที่มาอวตารในพื้นที่นี่แล้วบอกว่าความเป็นไทยเจ๋ง เราเป็นชนชาติที่มีความละเมียดละไม สุดท้ายเราก็เป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มาใช้ทรัพยากรในประเทศนี้ แล้วไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลย ไม่มีใครหยิบของเหล่านี้มาพัฒนา ทุกคนมองวัดอรุณ แล้วไงว่ะ? อยู่ริมแม่น้ำสวยๆ เหลือแค่นั้น

ถ้าลองไปไล่ดูดีๆ ความเป็นไทยมันมินิมอลมากเลยนะ แต่ว่าทรงพลัง เราเรียนรู้คำว่าไทยผ่านอาหารเยอะมากๆ 

เช่น?

ประเทศไทยเรามีความอุดมสมบูรณ์ ความง่าย เราเลยไม่ดิ้นรนขวนขวาย หรือรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน แต่สามารถปรับตัวและอ้าแขนรับอิทธิพลจากที่ได้จากการค้า ศาสนา หรือสงคราม นำมาปรับใช้ได้อย่างละเมียด 

อาหารอีสานอย่างส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เนื้อย่าง มันก็สะท้อนคาแรคเตอร์ของคนอีสานได้เป็นอย่างดี คือ สามารถสร้างความสนุกบนทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด สิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดลงมาในอาหาร หรือการทำพริกแกงที่เพิ่มความซับซ้อนจากวัตถุดิบพื้นฐานอย่างสมุนไพรแห้ง ที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ มาผสมกับสมุนไพรสด ทำให้เกิดมิติมากขึ้น

เทคนิคเฉพาะตัวอย่างหนึ่งของคนไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่ายุคไหน คือ รับกระแสไว ปรับตัวเร็ว เรียนรู้เร็ว เห่อเป็นพักๆ และดัดแปลงเก่ง ไอการมีกรอบต่ำก็เป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

เราไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องแย่นะ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของการรีเคลม ยกตัวอย่างความรีเคลมเก่งของคนไทย เราเอาเครื่องเทศ เอาแกงที่ได้จากปากีสถานมารีเคลม ด้วยบ้านเรามีของสด มีตะไคร้ ใบมะกรูด มีเทคโนโลยีทำกะปิ ก็หยิบเอาของพวกนี้มาใส่ในแกง กลายเป็นแกงฉบับบ้านเรา พอเราเข้าใจว่าอาหารไทยเป็นแบบนี้ คือ การรีเคลมการดัดแปลง ทำให้เราไม่ไปยึดติดว่าไทยวันนี้ หรือไทยวันนั้น เพราะจะเอากรอบอะไรมาวัด ความอาหารไทยแท้เป็นยังไง ไข่ลูกเขยคืออาหารไทยหรือเปล่า?

ที่เรียกว่ารีเคลมเพราะโครงสร้างหลักคุณไม่ได้คิด เราเอาระบบเขามาแล้วใส่ความเป็นตัวเอง จนทำให้เรามองว่าตัวเองเจ๋ง บางทีเราเคลมจนชาติอื่นเสียหาย อย่างข้าวแช่ที่ฟังดูเหมือนจะโคตรไทย แต่จริงๆ เราได้รับอิทธิพลมาจากมอญ มันมีรายละเอียดแบบไทยเป็นสิ่งที่เราใส่เพิ่ม ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เรารู้สึกว่าคนไทยก็อปตลอด แต่เรารู้สึกว่าคนไทยเอามาพัฒนาแล้วดันมาร์เก็ตติ้งเก่ง แต่เก่งแบบแปลกๆ นะ เพราะโม้เก่ง เพราะถ้ามาร์เก็ตติ้งเก่งจริงจะรู้จักเอาของที่ตัวเองมีไปขาย เพราะเรามีของเยอะจนเกิดปัญหาเกลือกินด่าง เช่น ไม่เคยเห็นค่าข้าวพันธุ์อื่นๆ นอกจากข้าวหอมมะลิ ไม่ได้ให้ค่าความหลากหลาย (diversity) แต่ให้ค่าที่คนพูด เช่น ฝรั่งบอกมัสมั่นอร่อย เป็นอันดับหนึ่งของโลก คราวนี้โม้กันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ถามว่าก่อนหน้านี้เคยชื่นชมมัสมั่นไหม? 

ผัดไทย ไทยพอไหม?

เราเคยถกในกลุ่มเชฟว่าอาหารไทยแท้คืออะไร จบด้วยคำตอบว่าไทยแท้แล้วทำไม? มันจะเอาอะไรมาแท้ เพราะแทบจะไม่มีอะไรแท้จริง อาหารไทยขึ้นชื่อที่ฝรั่งรู้จักอย่างผัดไท…ซึ่งอะไรที่ขึ้นต้นด้วยผัดหรือเส้น แค่นี้ก็ไม่ไทยละ นี่คือจีน หรือแม้แต่ผัดกะเพรา เทคโนโลยีการผัดหมูแบบนั้นมันมาพร้อมกับการใช้กระทะจากจีน ลองนึกถึงอาหารจีนหรืออาหารเสฉวนที่หมูผัดกับมะเขือยาวใส่กระเทียม บ้านเขาไม่มีใบกระเพรา มีแต่เต้าเจียว พอเอาเข้ามาบ้านเรา ซึ่งยุคแรกๆ เราไม่มีเมล็ดถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ก็เอาสิ่งที่มีอย่างเกลือ น้ำตาล ใบกะเพรามาใส่เข้าไปแท้ เออ อร่อย กลายเป็นกะเพรา 

คุณกำลังสื่อสารความเป็นไทยในมุมมองของคุณผ่านอาหาร แต่ในมุมคนกินเขาอาจมีภาพอาหารไทยมาอีกแบบหนึ่ง คุณรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร 

ประโยคที่สำคัญมากๆ ที่ต้องพูดมากกว่าอาหารอร่อย คือ บอกให้คนกินเตรียมตัวอย่างไร เรามักจะบอกว่า ‘ให้ทุกคนเปิดใจนะครับ นี่เป็นอีกมุมหนึ่งของอาหารไทยเท่านั้นเอง’ คำว่าอร่อยสำหรับเราเป็นเรื่องเบื้องต้น แต่อร่อยกับความชอบดันเป็นเรื่องเดียวกัน สมมติเราไม่ชอบอาหารแบบนี้ กินไป 9 จานอาจจะไม่ชอบสักจานเลยก็ได้

ความคาดหวังที่มากับอาหาร ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้ยินอะไรมา ขึ้นอยู่กับว่าเราสื่อสารอะไรไป ถ้าเราบอกให้เขาเปิดใจ ทุกคนก็จะเริ่มคลายละ โอเค มื้อนี้ต้องเจออะไรแปลกแน่ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาคาดหวังจะไม่ใช่อาหารไทยแบบเดิม ในเมนูเราเขียนไปเลยว่าแต่ละจานมีส่วนประกอบอะไร เขียนแบบฝรั่ง สมมติจานนี้ไก่ทอด เสิร์ฟกับมะแขว่น ยำใหญ่ และซอสมันปู ซึ่งสามอย่างนี้พอเขาได้ยิน เออ มันคือของไทยหมดเลย แต่พอกินรสชาติเหมือนไก่นัมบังเลย (Chicken Nanban ไก่ทอดชุบน้ำสัมสายชูหวาน ราดด้วยซอสทาร์ทาร์) คนกินจะรู้สึกว่าวัตถุดิบไทย รสชาติคุ้นเคย แต่เทกเจอร์ไม่ใช่ กลิ่นก็ไม่ใช่กลิ่นเดิม มันแปลกและตามมาด้วยความสนุก

อาหารสำหรับคุณคืออะไร ถ้าไม่นับว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตมนุษย์

อาหารเป็นสื่อกลางอย่างหนึ่ง เหมือนเราเขียนภาพหนึ่งภาพ แต่ว่าเขากินได้ สัมผัสได้ว่า อ๋อ นี่คือเรื่องที่เรากำลังพูดด้วย

ช่วงเวลา 32 ปีในการเดินทางของมนต์เทพ ถ้าให้เปรียบกับอาหาร คุณคิดว่ามันจะเป็นอะไร?

คงเหมือนคนที่ถูกหมักดองอยู่มั้ง กำลังค่อยๆ ถูกบ่มไปเรื่อยๆ เรามักจะได้ยินแต่เรื่องแย่ๆ ของการหมักดองว่า ต้องใส่สารนี่นั่นโน่น ใส่สารกันบูด แต่จริงๆ การหมักดองมันเกิดขึ้นในธรรมชาติอยู่แล้ว มันคือความสวยงามของธรรมชาติมากๆ สะท้อนความเป็นจริงว่า ธรรมชาติตรงนั้นเหมาะกับการหมักดองไหม เช่น ขาหมูที่แช่น้ำเกลือในเมือง Parma (เมืองในประเทศอิตาลี) จะถูกเรียกว่า Parma Ham เนื่องจากบริเวณนั้นอากาศเย็น ไม่ต้องใส่สารอะไร แต่ที่เกาะ Sicily ในประเทศเดียวกัน อากาศร้อนกว่าเพราะอยู่ติดริมทะเล จะดองขาหมูแบบ Parma ไม่ได้เพราะเน่าแน่ๆ ก็ต้องหมักกับเครื่องเทศหรือวัตถุดิบที่กลิ่นแรงเพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นแอนตี้แบคทีเรียในแท่งเนื้อหมู ทำให้อยู่รอดในอากาศแบบนั้น กลายเป็น Salumi ใส่พริกไทยดำ สิ่งเหล่านี้ถูกดัดแปลงจากธรรมชาติ

เราคืออาหารอย่างหนึ่งที่ถูกดอง ถูกบ่มไปเรื่อยๆ แปรไปตามอากาศ วันนี้ร้อน วันนี้ฝนตก อุณหภูมิสูงขึ้น เหตุปัจจัยบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติหล่อหลอมเรา

Tags:

Growth mindsetเชฟอาหารกลางวันพระพุทธศาสนา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Everyone can be an EducatorLife Long Learning
    พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

The Queen’s Gambit (2020) นิยาม ‘ครอบครัว’ ที่ไม่จำเป็นต้องสายเลือดเดียวกัน ขอแค่เป็นคนที่เราต้องการมากที่สุด
Movie
6 May 2021

The Queen’s Gambit (2020) นิยาม ‘ครอบครัว’ ที่ไม่จำเป็นต้องสายเลือดเดียวกัน ขอแค่เป็นคนที่เราต้องการมากที่สุด

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • The Queen’s Gambit (2020) ซีรีส์จาก Netflix เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นนักหมากรุกอันดับหนึ่งของเบธ ฮาร์มอน (Beth Harmon) ในยุคที่หมากรุกถือเป็นกีฬาของผู้ชาย
  • หมากรุกเปรียบเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เด็กกำพร้าอย่างเบธ เมื่อวันหนึ่งที่เธอพ่ายแพ้ในการแข่งขัน มันทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้าง สูญเสียความมั่นใจ คิดว่าตัวเองไม่มีใคร แต่เบธก็ได้พบว่าแท้จริงแล้ว ยังมีคนแอบให้กำลังใจ ห่วงใยเธอมาตลอด
  • “เราว่าการเป็น ‘ครอบครัว’ ไม่จำเป็นที่จะต้องสืบเชื้อสายเดียวกัน ขอแค่เป็นคนที่ห่วงใยกัน คอยซัพพอร์ตในตอนที่เราต้องการความช่วยเหลือที่สุด เท่านั้นก็พอแล้วที่จะเรียกเขาว่าครอบครัว”
  • เบธ

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ซีรีส์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    The Big Bang Theory (2007-2019) อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เพราะไม่ว่าใครก็สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์ที่มีหัวใจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

4 เคล็ดลับสู่การเริ่มต้นเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี : ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ
Voice of New Gen
5 May 2021

4 เคล็ดลับสู่การเริ่มต้นเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี : ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • ช่างสังเกต จดบันทึกไอเดีย ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และลงมือทำ คือ ฮาวทูการเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยีฉบับหรรษา – ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ สาวน้อยวัยมัธยมศึกษาปีที่ 5 หนึ่งในทีมพัฒนาโปรแกรมเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ในชื่อ Play Plern Learn Ground
  • การเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนไทยที่เน้น Grammar มากเกินไป ทำให้นักเรียนเกิดความเครียดในห้องเรียน จนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ หรรษาและทีมงานคิดทางออกด้วยโปรแกรมสอนภาษาอังกฤษที่จะช่วยลดความเครียดและช่องว่างระหว่างคนสอนและคนเรียน ผ่านการเล่นเกม

ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ หรือ หรรษา สาวน้อยวัยมัธยมศึกษาปีที่ 5 หนึ่งในทีมพัฒนาโปรแกรมเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ในชื่อ Play Plern Learn Ground เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาที่บอกว่าใครๆ ก็สามารถเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่เด็กแบบเธอได้ 

หรรษา – ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ

ชวนดูฮาวทูการเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยีฉบับหรรษา ที่เริ่มตั้งแต่สังเกตสิ่งรอบๆ ตัว จดบันทึกทุกไอเดียที่แล่นมาในหัว เพื่อที่วันหนึ่งไอเดียจะกลายเป็น ‘ของจริง’ 

เพ้อฝันคือเรื่องสร้างสรรค์ ดึงมาใช้แก้ปัญหา 

สำหรับหรรษา เธอบอกว่าตนเองมีไอเดียต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มากมายจนต้องจดรวมใส่ลงสมุดไว้เป็นเล่มๆ เลยทีเดียว

“การเกิดไอเดียสำหรับหนูมันง่ายมากๆ เช่น คนที่บ้านบ่นว่ามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็คิดต่อว่าถ้ามีนวัตกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ที่ช่วยแก้ปัญหานั้นๆ ได้ก็น่าจะดี เราก็จะจดไว้ จนบางอย่างที่เราจดไว้แล้วมีคนผลิตออกมาแล้ว เราก็จะโละไป เพราะเทคโนโลยีมันโตเร็ว ถ้ามีคนอื่นทำไปแล้วเราก็ต้องคิดใหม่ไปเรื่อยๆ เช่น แว่น Google Glass (แว่นอัจฉริยะ ที่พัฒนาโดย Google กับทีมวิจัยทางด้านแว่นตา ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีจากหลากหลายแขนง มีความพิเศษโดดเด่นโดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ่มเข้าไป แว่นตาทำหน้าที่ได้หลายอย่างคล้ายกับคอมพิวเตอร์) หนูก็เคยคิดว่าถ้ามีแว่นที่ค้นหาข้อมูลได้ก็คงจะดี”

“หนูเหมือนเป็นคนเพ้อฝัน (ยิ้ม) ชอบคิดชอบเขียน แล้วก็ชอบเทคโนโลยีด้วย เวลาคิดอะไรขึ้นมาได้ก็คิดว่าอันนี้ต้องทำให้ได้ แล้วถ้าอยากจะทำให้ได้เราต้องเรียนอะไร คือตอนนี้ในหัวมีงานด้านนวัตกรรมเยอะมาก แต่ความรู้เรายังไม่ถึง ต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมก่อนถึงจะทำได้”

อย่าง Play Plern Learn Ground โปรแกรมสื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ก็เกิดมาจากนิสัยชอบคิดแก้ปัญหาของหรรษานั่นเอง

“วิชาภาษาอังกฤษในมุมมองของหนูซึ่งเป็นนักเรียน มองว่าหลักสูตรของไทยเน้นไปที่การเรียน Grammar มากเกินไป ทำให้นักเรียนเกิดความเครียดในห้องเรียน ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอคือเด็กไทยไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษก็เพราะว่าเรียนภาษาอังกฤษในห้องไม่สนุก ไม่กล้าถามครู เราเลยอยากสร้างเกมที่จะมาเป็นสื่อกลางทำให้การเรียนสนุกขึ้น”

Play Plern Learn Ground เป็นเกมที่จะช่วยฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนชั้นประถมปลายถึงมัธยมต้น โดยพัฒนาเป็น 4 มินิเกมในรูปแบบ MMO (Massive Multiplayer Online) ที่สามารถเล่นพร้อมกันได้ถึง 50 คนในคราวเดียว และมีโหมด Quiz Arena ที่ครูสามารถเข้าไปตั้งคำถามได้ เป็นการเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนถาม – ตอบกันผ่านโปรแกรม ซึ่งจะช่วยลดความเกร็งจากการที่นักเรียนต้องพูดสื่อสารกับครูโดยตรงลงได้ และทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น

เรียนรู้เองบ้าง และลองลงมือทำ

ต่อจากการมีไอเดียเพ้อฝัน อยากคิดแก้ปัญหาของหรรษา หลายไอเดียของเธอถูกหยิบมาตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่าจะสามารถเป็นไปได้หรือไม่ มีอะไรที่เธอต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกบ้าง ความอยากรู้อยากเห็นกับโจทย์ที่เธอตั้งขึ้นมาเอง ทำให้เธอไม่รีรอที่จะกระโจนเข้าไปหาคำตอบและริเริ่มลงมือทำด้วยตนเอง 

“หนูชอบเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอขึ้น ม.ต้น มีวิชาการเขียนภาษาซีเบื้องต้น หนูเลยสนใจมาก ครูสอนเบื้องต้น แล้วเราก็ไปหาเปิดใน Youtube ดูเองเรียนเองจนจบ Youtube ถือเป็นอาจารย์ของเราเลย (หัวเราะ) จากนั้นก็เริ่มเขียนโปรแกรมอย่างจริงจังตั้งแต่ม.2 จากการที่อาจารย์ชวนไปทำโครงงาน”

และทักษะนี้เองที่กลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลงานของหรรษา ซึ่งก็คือเกมภาษาอังกฤษ 2D ก่อนที่เธอจะพักไปทำงานอื่น และกลับมาพัฒนาผลงานส่ง NSC ตอนขึ้นมัธยมปลาย ก่อนจะรวมทีมผสานผลงานกับทีมของรุ่นพี่ที่ทำเกมภาษาอังกฤษ 3D จนต่อยอดมาเป็นผลงาน Play Plern Learn Ground ในที่สุด

“การเขียนโค้ดเราจะช่วยกันเขียนกับรุ่นพี่ ทำไปด้วยกัน เรียนรู้เพิ่มเติมไปด้วยกัน แล้วมันจะทำได้ไปเอง แต่อะไรที่ไม่รู้ก็จะค้นหาข้อมูลก่อนว่าทำอย่างไร แล้วก็จะปรึกษารุ่นพี่ ปรึกษาคุณครูเพิ่มเติม แล้วก็ลองเขียนดู”

อย่าทำเองคิดเอง ให้คลำทางจากคนใช้งาน

เรื่องทักษะด้านไอที หรรษาถือว่ามีความพร้อมอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อต้องลงมือพัฒนาผลงาน ก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมไปพร้อมๆ กับกระบวนการทำงานได้ แต่สำหรับทักษะด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้ใช้ ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เธอไม่เคยคิดถึงมาก่อน จนกระทั่งได้มาเรียนรู้ลองทำ จึงพบว่ามันเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาผลงานในฐานะนวัตกร

“การทดลองใช้งานกับผู้ใช้ เป็นเรื่องที่ตอนแรกเราไม่รู้เลยว่าต้องทำในส่วนนี้ด้วย (ยิ้ม) จนเราได้เข้ามาร่วมในโครงการถึงเพิ่งรู้ว่ามันเป็นส่วนที่สำคัญมาก ที่เราจะต้องไปเก็บฟีดแบคของผู้ใช้มาเพื่อพัฒนาโปรแกรม มันสำคัญมากที่ได้รู้ว่าผู้ใช้ต้องการอะไร เพราะบางครั้งเราทำหรือไปแก้ผิดจุด เพราะเรามองในมุมมองของนักพัฒนา ไม่ได้มองในมุมมองของผู้ใช้”

หรรษาทำงานร่วมกับผู้ใช้ โดยมุ่งไปที่กลุ่มรุ่นน้อง ม.3 ที่โรงเรียน เก็บฟีดแบคที่ผู้ใช้สะท้อนกลับมา รวมไปถึงการสังเกตพฤติกรรมการใช้งานที่เป็นอวัจนภาษา เพื่อนำกลับมาพัฒนาผลงาน

“ให้น้องลองมาเล่นให้ดู แล้วเราก็ถามความคิดเห็นว่าเขาต้องการให้แก้ตรงไหน สังเกตการณ์เล่นของเขาว่าเขาติดปัญหาหรือไม่เข้าใจตรงไหน ซึ่งปัญหาที่เจอส่วนใหญ่จะเป็น bug ในเกม และตัว UI ของเราที่คิดว่าผู้ใช้เข้าใจ แต่เขาไม่เข้าใจ (หัวเราะ) ก็ได้เก็บรวบรวมปัญหาที่พบมาแก้ในเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งหนูก็จะจัดลำดับความสำคัญ โดยแก้ตัวที่สำคัญก่อน แล้วค่อยไล่มาแก้ตัวที่ไม่ค่อยสำคัญ แต่ก็จะพยายามเก็บให้หมดทุกตัว”

“หนูรู้สึกว่าการทดสอบกับผู้ใช้เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ เพราะมันสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสายงาน ต่อให้เราทำเกี่ยวกับด้านอื่นๆ ก็ตาม สมมติเราทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เราก็ต้องเก็บข้อมูลลูกบ้านมาว่าเขารู้สึกอย่างไรกับโครงการของเราเพื่อจะพัฒนาโครงการให้ดีขึ้น”

ย่อยเป้าหมายใหญ่ให้อยู่ในทุกกิจวัตรประจำวัน

ในความโชคร้ายที่หรรษามีปัญหาสุขภาพเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องเข้มงวดดูแลสุขภาพตัวเอง ถือเป็นข้อดีที่ให้หรรษารอบคอบกับการใช้ชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก หรรษาจะทำแผนตารางชีวิตทุกวัน และพยายามทำให้ได้มากที่สุด

“ตอนแรกอาชีพในฝันคืออยากเป็นนักบิน แต่หนูเป็นโรคหัวใจเลยเป็นไม่ได้”

“หนูจะมีตารางของตัวเองว่าเวลาไหนต้องทำอะไร อย่างช่วงทำผลงานหนูจะตื่นเวลาเดิมตลอดตามตารางที่เขียนไว้ ตื่นไปเรียน ถ้ามีเรียนพิเศษก็ไปเรียน มีเวลาอ่านหนังสือ มีเวลาทำอะไรส่วนตัว ตารางอ่านหนังสือก็จะสอดคล้องกับตารางเรียน ถ้าวันไหนเราไม่อยากทำเรื่องส่วนตัวเราก็ใส่การเขียนโปรแกรมเข้าไปทำในเวลาส่วนตัวได้ หลักๆ คือการจัดสรรเวลา แล้วทำให้ได้ตามตารางที่ตัวเองเขียนไว้ ต้องทำแบบนี้เพราะถ้าไม่เป็นเวลามันจะกินเวลานอนไป ซึ่งถ้าไม่นอนก็จะต้องเข้าโรงพยาบาลยาวเลย”

เป็นการใช้ตารางชีวิตสร้างวินัยให้กับตนเอง แน่นอนว่าหนึ่งคือ เพื่อสุขภาพ

และประการที่สองนั้นคือ เพื่อความฝันของชีวิต

“หนูจะแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ตรงที่คนอื่นเขาจะมองจากใกล้ไปไกล แต่หนูจะมองจากไกลมาใกล้ หนูมีความฝันที่เป็นเป้าหมายในชีวิตคือ การเป็นเจ้าของบริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยี นั่นคือเป้าหมายที่ปักธงไว้ ซึ่งเมื่อเรามีเป้าหมายใหญ่เราจะต้องมีวินัยเพื่อที่จะไปหามันให้ได้”

เป็นรูปแบบของการวางแผนชีวิต ที่ตั้งเป้าหมายปลายทางไว้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ วางแผนระยะสั้นย้อนกลับมาหาตัว ใช้ตารางชีวิตเป็นเข็มทิศนำทางไปตามเส้นทางที่วางไว้ในแต่ละวัน กระนั้นเธอก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดต้องก้าวไปบนเส้นทางอย่างเป๊ะๆ แต่หากเหลือพื้นที่ว่างไว้ให้ชีวิตได้เรียนรู้และชื่นชมสิ่งอื่นๆ ระหว่างทางไว้ด้วย

“การวางเป้าหมายชีวิตมันทำให้เราเห็นเส้นทาง ทำให้เรารู้ว่าวันนี้เราจะทำอะไร และการเขียนตารางชีวิตมันทำให้เราก้าวไปทีละขั้นได้อย่างตรงทาง หนูจะค่อยๆ ก้าวไป ถ้าเหนื่อยก็พักก่อน เพราะการจะไปถึงจุดหมายไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางที่กำหนดแบบเป๊ะๆ เสมอไป สามารถแวะตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อยได้ ระหว่างทางอาจจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาของเราไปก่อน มันจะได้ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป เช่น ตอนนี้หนูตั้งใจแล้วว่าจะเรียนสาขา Software Engineering แต่ยังไม่รู้ว่าอยากเข้ามหาวิทยาลัยอะไร” หรรษาทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

เพราะข้อจำกัดในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทุกคนมีคือความชอบและความฝัน ซึ่งสำหรับหรรษา เธอเลือกที่จะพาตัวเองเข้าไป Play – Plern – Learn – Ground กับความชอบและความฝันของตัวเอง…อย่างมีวินัยและมีชีวิตชีวา

สมกับชื่อหรรษาของเธอเอง

Tags:

ภาษาGeneration of InnovatorGritนวัตกร

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

illustrator

มณฑลี เนื้อทอง

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ‘เครื่องล้างหอยนางรม’ นวัตกรรมโดยเด็กเมืองหอยใหญ่ ที่จะทำให้การกินหอยนางรมหรอยอย่างแรงแบบปลอดภัย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ปิยะธิดา อินทะนัย: จากนักเรียนสู่นักวิจัยรุ่นเยาว์ ผ่านโครงการทำอาหารกุ้งฝอยจากเบต้ากลูแคน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    Nexplore กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ทุกคนคิดแบบ Superhero Thinking ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    ‘เราจะก้าวสู่จุดที่เด็กทำวิจัยกับนักวิจัยเพื่อส่งของขึ้นอวกาศอย่างเป็นเรื่องปกติ’ ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

เลี้ยงลูกปฐมวัยอย่างไรในยุคเทคโนโลยี
Family Psychology
5 May 2021

เลี้ยงลูกปฐมวัยอย่างไรในยุคเทคโนโลยี

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • เด็กรุ่นนี้จะเป็นเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า (Generation Alpha) ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้เขาเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว แต่หากไม่มีการเตรียมพร้อมที่ดี การใช้เทคโนโลยีอาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เด็กสูญเสียทักษะบางอย่าง
  • ในเด็กปฐมวัยพวกเขาควรเข้าถึงเทคโนโลยีให้ช้าที่สุด และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่หน้าจอ เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของเด็กวัยนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง และการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง
  • พ่อแม่ไม่ควรใช้หน้าจอเป็นสิ่งกระตุ้นให้ลูกทำอะไร โดยเฉพาะการให้ลูกดูหน้าจอเพื่อรับประทานอาหาร เพราะในเด็กปฐมวัยการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันอาจทำให้สมองเกิดอาการสับสน และเด็กอาจเลือกดูหน้าจอมากกว่ากินข้าว พ่อแม่ต้องป้อนอาหารแทน ทำให้ขาดโอกาสพัฒนากล้ามเนื้อหยิบจับอาหาร

ในปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เทคโนโลยี’ เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส เราทุกคนก็สามารถดูภาพยนตร์ ซีรีส์ และการ์ตูน, เล่นเกม, ซื้อ-ขายของ ทำธุรกรรมในธนาคาร ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โลกเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สังคมก็เช่นกัน เราพยายามเดินให้เร็วขึ้นเพียงเพื่อหวังว่าเราจะก้าวทันคนอื่นๆ และสามารถควบคุมชีวิตของเราได้ดีขึ้น สำหรับพ่อแม่หลายท่าน พวกเรายังต้องพยายามก้าวไปข้างหน้าไปพร้อมๆ กับลูกของเราอีกด้วย 

สำหรับเด็กๆ ที่เกิดยุคนี้ คือ เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า (Generation Alpha) เด็กที่เกิดหลังปี พ.ศ.2553 / ค.ศ.2010 เป็นต้นมา เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีสื่อโซเชียลมีเดียแปลกใหม่มากมาย ทำให้พวกเขาเรียนรู้เร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว และเป็นตัวของตัวเองสูง ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของลูกๆ ที่เกิดในยุคนี้จะต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อม เพื่อที่จะรับมือกับลูกๆ ได้อย่างเหมาะสม

เทคโนโลยีไม่ใช่ผู้ร้ายที่แท้จริง: เหรียญสองด้านของเทคโนโลยี

แม้เทคโนโลยีจะได้มอบความรวดเร็วและความสะดวกสบายให้กับชีวิต แต่ก็ทำให้เราต้องสูญเสียบางอย่างไปเช่นกัน เช่น ความสามารถในการอดทนรอคอย, ความปราณีตละเมียดละไมในการมองเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัว, ความเห็นอกเห็นใจ และความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนในชีวิตจริง

ดังนั้น ก่อนที่เราจะมอบเทคโนโลยีให้แก่เด็กๆ ผู้ใหญ่ควรพิจารณาความสำคัญของพัฒนาการเด็กในแต่ละวัย และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับเด็กก่อนที่จะมอบสิ่งนี้ให้กับเขา เพราะปัจจุบันพบว่า มีปัญหามากมายที่เกิดจากการที่เด็กได้รับและใช้เทคโนโลยีอย่างไม่เหมาะสม เช่น พัฒนาการล่าช้าในด้านต่างๆ โรคสมาธิสั้น (ADHD / ADD) โรคติดเกม (Gaming Disorder) โรคขาดธรรมชาติ (Nature Deficit Disorder: NDD) โรคซึมเศร้า(Depression) โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) และการกลั่นแกล้งในสังคมออนไลน์ (Cyber Bullying) เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้หากทิ้งเอาไว้ นานวันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากเกินจะแก้ไข ชีวิตหนึ่งชีวิตอาจจะสูญเสียโอกาสที่เติบโตอย่างมีความสุข

เทคโนโลยีไม่ได้ทำร้ายเด็กโดยตรง แต่คือการส่งมอบเทคโนโลยีเหล่านั้นให้กับเด็กก่อนวัยอันควร และไม่สอนให้เขาใช้เทคโนโลยีอย่างถูกวิธีต่างหากที่ทำร้ายเขาโดยตรง สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำ คือ การชะลอเวลาในการให้เด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี) เข้าถึงเทคโนโลยีให้ช้าที่สุด ด้วยการส่งเสริมให้เขาทำกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับเขา การอ่านหนังสือนิทานให้เขาฟัง การชวนเขาทำงานบ้าน และการสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองตามวัย

เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของเด็กวัยนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งเขาควรจะได้เรียนรู้จากของจริง และการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง

คำแนะนำในการใช้เทคโนโลยีสำหรับเด็กปฐมวัย

ถ้าหากเด็กปฐมวัยมีความจำเป็น (ย้ำว่าจำเป็นจริงๆ) ต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จริงๆ (ดูหน้าจอ) อ้างอิงจาก the American Academy of Pediatrics (AAP) แนะนำว่า

ข้อที่ 1 เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือนไม่ควรดูหน้าจอใดๆ เลย มากที่สุดที่เด็กวัยนี้สามารถเข้าถึงหน้าจอ คือ อาจจะแค่เป็นวีดีโอคอลเพื่อให้คนไกลได้เห็นลูกหลานของตัวเองเท่านั้น ในกรณีอื่นควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

ข้อที่ 2 เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 18 เดือน ถึง 2 ปี ถ้าหากมีความจำเป็น (จำเป็นมากๆ ไม่ใช่ดูเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือเล่นสำหรับเด็ก) เป็นต้องดูหน้าจอจริงๆ ไฟล์นั้น (วิดีโอนั้น) ต้องมีคุณภาพความละเอียดสูง และมีผู้ใหญ่คอยควบคุมกำกับดูแลตลอดเวลา ระยะเวลาในการดูแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 นาที ในหนึ่งวันไม่ควรเกิน 1 ครั้ง

ข้อที่ 3 เด็กที่มีอายุ 2 – 5 ปี ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ที่ต้องดูหน้าจอ ผู้ใหญ่ควรให้การกำกับดูแลตลอดเวลา และระยะเวลาในการดูไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และรายการ หรือ application นั่นควรมีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของเด็ก

ข้อที่ 4 เด็กที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปควรได้รับการจำกัดเวลา ตามตารางกิจกรรมต่อวันที่เหมาะสมของเด็ก (เด็กๆ ควรทำกิจวัตรประจำวันที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเขาก่อนการมาดูหน้าจอ เช่น การกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เก็บที่นอน ทำงานบ้าน ทำการบ้าน หน้าจอควรมีไว้สำหรับเวลาว่าง ไม่ใช่เวลาหลักในชีวิตของเขา) และควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิดเช่นกัน (เราสามารถดูไปพร้อมกับเขา หากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เราสามารถสอนสอดแทรกเข้าไปได้ในทันที เพราะบางครั้งเราไม่สามารถห้ามเขาไม่ให้ดูได้ ถึงห้ามเขาก็ไปดูได้จากที่อื่นอยู่ดี เช่น ไปดูกับเพื่อน หรือฟังเพื่อนเล่ามา สู้เราดูไปพร้อมเขาเลยเสียดีกว่า)

เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทน ‘เวลาคุณภาพระหว่างพ่อแม่ลูก’ ได้

เด็กทุกคนต้องการเวลาคุณภาพจากพ่อแม่ ไม่ใช่่พี่เลี้ยงหน้าจอ พวกเขาต้องการสัมผัสรักจากพ่อแม่ของตัวเอง ทั้งสายตาจากพ่อแม่ที่มองมา มือของพ่อแม่ที่พร้อมจะกอดพวกเขาด้วยรัก และการใช้เวลาร่วมกัน โดยไม่มีหน้าจอหรือสิ่งใดมาแย่งความสนใจของพ่อแม่จากพวกเขาไป

โต๊ะอาหาร: เขตปลอดหน้าจอ

ปัญหาสุดคลาสสิคของพ่อแม่ยุคเทคโนโลยี ‘ในวันที่พ่อแม่ให้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงของลูก’

“ลูกไม่ยอมกินข้าวเอง”

“ลูกไม่กินข้าว ถ้าไม่เปิดการ์ตูนให้ดู”

“ลูกอมข้าว”

“ลูกกินข้าวช้า”

“เราไม่มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว”

ฯลฯ

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลลัพธ์ปลายเหตุของการดูหน้าจอระหว่างมื้ออาหาร ‘หน้าจอ’ ในที่นี้หมายรวมตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ, โทรทัศน์, แท็บเล็ต, ไอแพดต่างๆ ผู้ใหญ่มักใช้หน้าจอเป็นเงื่อนไขในการให้ลูกอยู่นิ่งๆ หรือ ใช้หน้าจอเป็นตัวช่วยระหว่างมื้ออาหาร

เหตุผลที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ไม่ควรดูหน้าจอระหว่างมื้ออาหาร 

  1. เราอาจพลาดโอกาสสำคัญในการปฏิสัมพันธ์กับคนในโต๊ะอาหารของเรา การใช้เวลาร่วมกันบนโต๊ะอาหารถือเป็นโอกาสดีที่เราจะใช้ เวลาคุณภาพ กับลูกและคนในครอบครัว โอกาสที่เราจะได้พูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องราวในแต่ละวันที่เกิดขึ้น หากเรามัวแต่ก้มหน้าดูหน้าจอ เราคงไม่มีโอกาสได้สบตาอีกฝ่าย ได้มองเห็นการเติบโต และเรื่องราว ความรู้สึกที่อีกฝ่ายอยากจะเล่าให้เราฟัง อีกทั้งเราไม่มีโอกาสจะได้เล่าเรื่องราวของเราเองให้อีกฝ่ายฟังด้วย 

นานวันกำแพงที่มองไม่เห็นด้วยตาจะค่อยก่อตัวขึ้นช้าๆ เมื่อรู้ตัวอีกที แม้จะนั่งใกล้กัน แต่เหมือนกลับห่างไกลกันเหลือเกิน ดังนั้น หากเรารู้ตัวแล้ว ลองเป็นคนแรกที่เริ่มวางหน้าจอลง และหันกลับมามองคนในครอบครัวของเรา

  1. เราอาจกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับลูก หากเราอยากสอนให้ลูก ‘ทำทีละอย่าง’ ‘กินข้าวด้วยตัวเอง’ และ ‘ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น’ พ่อแม่ก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ถ้าพ่อแม่ยังดูหน้าจอระหว่างมื้ออาหาร คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้ลูกไม่ดูหน้าจอและกินข้าว ดังนั้น เราควรเก็บหน้าจอไปก่อน และกินข้าวกับลูกด้วยรอยยิ้มดีกว่า
  2. เราอาจพลาดโอกาสที่ได้เติมเต็มและมองเห็นการเติบโตของลูกไม่ใช่แค่เพียงการใช้หน้าจอระหว่างมื้ออาหาร แต่การใช้หน้าจอระหว่างที่ใช้เวลาอยู่กับลูกของเรา เด็กๆ โตเร็วกว่าที่เราคิดนัก แค่ผ่านไปจากวันนี้ เป็นพรุ่งนี้ พวกเขาก็มีอะไรให้เราประหลาดใจเสมอ หากเราใช้สายตาของเรากับหน้าจอ มากกว่าลูกของเรา เราอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นพวกเขาเติบโต เด็กๆ ต้องการความสนใจจากพ่อแม่มาก พวกเขาต้องการสายของเราที่มองดูเขาอยู่ไม่ห่าง ต้องการการตอบสนองของเรา หากพวกเขาได้รับอย่างเหมาะสม พื้นฐานทางจิตใจของพวกเขาจะได้รับการเติมเต็ม ทำให้มีความมั่นคง และพร้อมที่จะเติบโตไปขั้นต่อไป

ทำไมเราไม่ควรให้เด็กๆ ดูหน้าจอระหว่างมืออาหาร (หรือไม่ควรให้เด็กเล็กดูหน้าจอเลย)

  1. เด็กๆ จะพลาดโอกาสที่ได้ฝึกฝนทักษะการช่วยเหลือตัวเอง (Self help) และพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก-ใหญ่ ทักษะการช่วยเหลือตัวเองแรกในชีวิตของเด็กๆ คือ การกินข้าวด้วยตัวเอง แม้จะยังใช้อุปกรณ์ไม่เป็น แต่เด็กๆ สามารถใช้สายตามองอาหาร และใช้มือของเขาจับอาหารป้อนเข้าปากตัวเองได้ตั้งแต่วัยประมาณ 9 เดือน และเมื่อพวกเขาเคยชินกับการหยิบจับอาหาร และมือของเขาทำงานประสานกับตาแล้ว (Eye-hand coordination) เด็กๆ จะสามารถมองอาหารที่ต้องการ แล้วใช้ช้อน – ส้อม ตัก – จิ้มอาหารเข้าปากตัวเองได้ 

แต่ถ้าเด็กๆ ใช้ “สายตา” ของพวกเขาไปกับการดูหน้าจอ สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ พวกเขาไม่สามารถใช้สายตาประสานกับมือของเขาเพื่อตักอาหารเข้าปากได้ สิ่งที่ตามมา คือ เด็กๆ จะรอให้ผู้อื่นป้อนพวกเขา เพราะถ้าให้เด็กเล็กๆ เลือกว่า ระหว่างกินข้าวกับดูหน้าจอ พวกเขาส่วนใหญ่ย่อมเลือกดูหน้าจอมากกว่า เมื่อเด็กๆ เข้าโรงเรียน หรือไปกินข้าวในที่สาธารณะ ปัญหาที่จะเกิดขึ้น คือ ถ้าหากไม่มีคนป้อนเขา เขาจะช่วยเหลือตัวเองได้ยากลำบากกว่าเด็กวัยเดียวกับเขา หรือเมื่อทำได้ไม่ดี ความมั่นใจในตัวเองอาจจะถูกบั่นทอนโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อกลับมาบ้าน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เขากลายเป็นที่เอาแต่ในที่บ้านมากขึ้น เพราะเมื่ออยู่นอกบ้าน เขาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเขานั่นเอง 

ดังนั้น เราไม่ควรให้หน้าจอ (และของเล่นอื่น) อยู่บนโต๊ะอาหาร เพื่อให้เด็กๆ ได้กินข้าวของพวกเขาด้วยตัวเอง สำหรับเด็กที่มีร่างกายปกติ ไม่มีโรคประจำตัว หรือโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการกิน ผู้ใหญ่สามารถกำหนดเวลาอาหารแต่ละมื้อไว้ที่ 30 นาที ทุกคนนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองและกินข้าวร่วมกัน 

ที่สำคัญผู้ใหญ่ไม่ควรพูดบ่น หรือตำหนิหากเด็กกินได้น้อย หรือไม่ยอมกินบางสิ่ง เรามีหน้าที่เชิญชวน พูดคุย และจัดเตรียมอาหารให้ครบห้าหมู่ ถ้าพวกเขาไม่ยอมกิน หรือกินไม่หมด ไม่เป็นไร หมดเวลาก็เก็บอาหาร ไม่มีของว่าง และนมระหว่างมื้อถัดไป เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะกินอาหารหลักเป็นสำคัญ เพราะโต๊ะอาหารไม่ควรเป็นสมรภูมิรบระหว่างเรากับลูก ช่วงเวลากินข้าวร่วมกันควรเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่มีความหมาย และการดูหน้าจอไม่ควรเป็นเงื่อนไขหรือข้อต่อรองให้ลูกต้องกินข้าว เพราะการกินข้าวเป็นสิ่งจำเป็น เป็นหน้าที่ที่เด็กๆ ต้องทำอยู่แล้ว

  1. เด็กๆ ควรเรียนรู้ที่จะทำทีละอย่างอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อที่เขาจะสามารถเรียงลำดับความสำคัญก่อน – หลังได้ การให้เด็กๆ ดูหน้าจอไปด้วย กินข้าวไปด้วย จะเป็นการทำให้สมองของพวกเขาต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน (Multi – Tasking) 

สำหรับเด็กๆ แล้ว พวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก – ใหญ่ และทักษะการช่วยเหลือตัวเอง ทำให้ระยะเวลาในการจดจ่อของพวกเขายังไม่ได้มีมากเท่ากับผู้ใหญ่ การที่เขาต้องทำหลายสิ่งพร้อมกัน ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการพัฒนาด้านร่างกาย และความคิดของเขา เมื่อทำหลายอย่างพร้อมกันสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเด็กๆ คือ สมองจะสับสนว่า ‘สิ่งใดสำคัญกว่ากัน’ ส่งผลให้เด็กๆ อาจจะเรียงลำดับความสำคัญก่อน – หลังไม่ได้ในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ เมื่อทำหลายอย่างพร้อมกัน ย่อมไม่สามารถให้การจดจ่ออย่างเต็มที่กับงานแต่ละงานได้ ส่งผลให้เด็กๆ อาจจะทำแต่ละอย่างได้ไม่ดีสักอย่าง ที่สำคัญทำงานแต่ละอย่างให้เสร็จภายในเวลา ก่อนจะไปทำอย่างอื่นที่อยากทำ เป็นหนึ่งในการฝึกฝนที่จะทำให้เด็กๆ เกิดทักษะการยับยั้งชั่งใจ เรียงลำดับความสำคัญก่อน – หลัง พวกเขาจะเรียนรู้ว่า สิ่งจำเป็น (Need) ต้องมาก่อนสิ่งที่ต้องการ (Want) เสมอ 

เมื่อฟังแบบนี้พ่อแม่อาจกังวลว่า ในอนาคต หากเด็กๆ ต้องรับมือกับงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน เขาจะสามารถทำได้ไหม เมื่อร่างกายและจิตใจของเขาได้รับการพัฒนาตามวัย ความคิดของพวกเขาจะเติบโตได้อย่างเหมาะสม เด็กๆ จะคิดวางแผน และจัดการเวลาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

  1. เวลาอาหาร ควรเป็นอีกหนึ่งเวลาคุณภาพที่พ่อแม่และผู้ใหญ่มีให้กับเด็กๆ โอกาสทองที่เด็กๆ จะได้ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่และคนในครอบครัว ได้มองหน้าสบตา พูดคุย แลกเปลี่ยน เรียนรู้ที่จะรับฟังซึ่งกันและกัน ในวัยรุ่นเวลากินข้าวอาจจะเป็นเวลาเดียวที่ลูกนั่งลง พ่อแม่นั่งลง และได้มองเห็นซึ่งกันและกัน

แม้เวลาอาหารจะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่หากพ่อแม่และผู้ใหญ่ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นและมีความหมาย เมื่อเด็กๆ เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะจดจำช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ติดตัวเขา และส่งต่อไปให้กับเด็กๆ หรือลูกๆ ของพวกเขาในอนาคต

สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับลูกปฐมวัย

เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีมากมาย บางครั้งก็มีอันตรายแฝงมาด้วย พอ่แม่อาจมีคำถามว่า ‘เราจะดูแล และปกป้องลูกจากสื่อเหล่านี้ ได้อย่างไร’ เราไม่สามารถปกป้องลูกโดยการกีดกันไม่ให้เขาใช้เทคโนยีหรือดูสื่อเหล่านั้นได้ตลอดชีวิตของเขา แต่เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ติดตัวลูกเราไปจนโตได้

ขั้นที่ 1 สร้างสายสัมพันธ์กับลูก

สายสัมพันธ์ที่ดี เกิดจากการมีเวลาคุณภาพให้ลูก เล่นกับลูก อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง สอนสิ่งต่างๆ ที่สำคัญให้กับเขา สัมผัสรัก รับฟัง และเคียงข้าง

หากเราจำเป็นต้องทำงาน ขอให้ยึดความคิดคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ ดังนั้น เวลาอันน้อยนิดที่เรามีในแต่ละวันกับลูก ขอให้เราใช้อย่างมีคุณภาพที่สุด วางทุกอย่างลง มีสายตาทั้งสองมองไปที่ลูก กอดเขา เล่นกับเขา และรับฟังเขา

ในกรณีที่ยากที่สุด คือ เราไม่สามารถกลับบ้านไปหาลูกได้ในทุกๆ วัน ให้เราใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ด้วยการโทรศัพท์ไปหาลูก หรือจะเป็นการวิดีโอคอลไปหาเขาทุกวัน เวลาเดิม สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกรับรู้ว่า พ่อแม่ยังรักและคิดถึงเขาอยู่ เมื่อใดที่มีโอกาสกลับไปหาลูก ให้ใช้ช่วงเวลานั้นกับเขาให้ดีที่สุด

เมื่อสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกแข็งแกร่ง เราเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงสำหรับลูก และลูกจะรับรู้ว่าเขาเองก็มีอยู่จริงสำหรับเราด้วยเช่นกัน

ขั้นที่ 2 สร้างโครงสร้างให้ลูกได้ยึดเหนี่ยว 

เมื่อสายสัมพันธ์แข็งแกร่งแล้ว ขั้นนี้เด็กๆ ควรมีโครงสร้างให้เขายึดเป็นหลักอ้างอิงในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต นั่นคือ สอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองตามวัย สอนวินัยที่สำคัญ และการมีกติการ่วมกันภายในครอบครัวที่ชัดเจนเช่น กฏ 3 ข้อ: ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำลายข้าวของ, เวลากินข้าวร่วมกัน คือ เวลาที่คนทั้งบ้านงดใช้หน้าจอ เป็นต้น ก่อนจะถึงวันที่ลูกใช้เทคโนโลยีอย่างอิสระ เขาควรจะที่เรียนรู้การควบคุมตัวเอง และความสำคัญของการใช้ชีวิตก่อน เพื่อที่ลูกจะสามารถเรียงลำดับความสำคัญก่อน-หลังได้อย่างดี

ขั้นที่ 3 สร้างความมั่นใจให้กับลูก

สายสัมพันธ์ดี (เขามีที่พึ่งทางใจคือพ่อแม่ของเขา) วินัยมี (มีหลักในการดูแลชีวิตตัวเอง) ขั้นนี้พ่อแม่ควรให้โอกาสลูกในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้เขาเรียนรู้ว่า ตนเองทำสิ่งใดได้บ้าง มีข้อจำกัดใดบ้าง เพื่อให้เขามีความมั่นใจในตนเอง ส่งเสริมความมั่นคงในใจเขา

สิ่งแรกๆ ที่เด็กๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง คือ การช่วยเหลือตัวเองตามวัย เช่น กินข้าวเอง อาบน้ำเอง แปรงฟันเอง แม้ว่าพวกเขาอาจจะทำได้ไม่ดีเทียบเท่าผู้ใหญ่ แต่การได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองนั้น ทำให้เด็กๆ รับรู้ความสามารถของตนเองได้อย่างดี ที่สำคัญเมื่อปล่อยให้พวกเขาลงมือทำเองแล้ว ผู้ใหญ่สามารถให้ความช่วยเหลือหรือทำซ้ำย้ำเตือนในภายหลังได้

ขั้นที่ 4 สอนให้ลูกรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเสมอ

เมื่อเขาได้มีโอกาสตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ดูแลชีวิตตนเอง เมื่อเกิดความผิดพลาด เราควรสอนให้เขาเผชิญกับมัน ไม่หนีปัญหา ไม่โทษคนอื่น และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ด้วยตนเอง พ่อแม่จะช่วยหนุนหลังเขา แต่ไม่เป็นกองหน้าแน่นอน

ขั้นที่ 5 มอบความไว้วางใจ และเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังของลูก

สุดท้ายเขาจะเรียนรู้การดูแลตนเองและคนรอบข้าง เขาจะไม่ทำให้ตนเองหรือใครเดือดร้อน ในวันที่เป็นผู้ใหญ่ ลูกเราอาจจะยังเล่นเกมเหมือนเดิม แต่เขาจะดูแลตัวเองให้ไปทำงานและไม่ทำให้ชีวิตตัวเองพังได้ หรือทุกวันนี้อาจจะมีวัยรุ่นมากมายใช้ facebook หรือดูซีรีส์ใน Netflix แต่เขาสามารถควบคุมตัวเองให้ทำวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์ตรงเวลา ไปสอบตรงวัน และรับผิดชอบตนเองได้ ณ จุดนี้พ่อแม่คงถึงคราที่ต้องปล่อยวางจากเขา เพราะเราไม่สามารถห้ามพวกเขาดูหน้าจอได้ แต่เราสามารถสอนเขาให้รับผิดชอบต่อหน้าที่และชีวิตของตนเองได้

ถ้าหากวันนี้ลูกของเราเป็นวัยรุ่นแล้ว อย่าคิดไปต่อกรฝืนบังคับหักดิบห้ามใช้เด็ดขาด เพราะวัยรุ่นอาจจะยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เราควรเข้าใจโลกของเขาก่อน ถ้าเขาดูแลกำกับชีวิตตนเองได้ เราควรไว้ใจเขาให้มากขึ้น แต่ถ้าชีวิตลูกยุ่งเหยิง เราก็ไม่ควรเอากรรไกรไปตัดฉับอยู่ดี การแก้ปมนั้น เราควรเข้าไปหาเขาด้วยความเข้าใจ รับฟัง ไม่ใช่การโทษเขาหรือเทคโนโลยี (เพราะเราเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลูกเราเป็นเช่นนั้นด้วย) การโทษกันไม่นำไปสู่หนทางการแก้ปัญหา แต่การหาทางออกร่วมกันต่างหากที่จะช่วยให้ปัญหาได้รับการคลี่คลาย

สุดท้าย สิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรตระหนักอยู่เสมอ คือ สำหรับเด็กๆ แล้ว เทคโนโลยีไม่สามารถแทนที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่รักเขาได้ เด็กๆ ต้องการเวลาคุณภาพจากผู้เลี้ยงดู ไม่ใช่พี่เลี้ยงหน้าจอ ที่สำคัญการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัตถุจริง และคนจริงๆ มีความสำคัญต่อการพัฒนาร่างกายและจิตใจของเด็กๆ เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงในทุกๆ ส่วนของสังคม ทำให้เด็กๆ ยุคนี้มีความจำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ และการบริหารจัดการความคิด ซึ่งถือเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับคน เพื่อให้เขาสามารถเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจตนเอง และพร้อมที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 

อ้างอิง
AAP.org. (n.d.). Retrieved March 21, 2021, from https://www.aap.org/en-us/Pages/Default.aspx

Tags:

ความปลอดภัยไซเบอร์Family psychologyThe Untold Stories

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.2 การเลี้ยงลูกเป็นเทวดา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’
Early childhood
3 May 2021

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’

เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • หากเงือกน้อยแอเรียลไม่ดื้อรั้นฝืนคำสั่งราชาแห่งมหาสมุทร เธอย่อมขาดโอกาสที่จะเผชิญโลกกว้าง ได้พบความท้าทายใหม่ๆ ที่เรียกร้องการคิดและตัดสินใจ
  • แอเรียลยอมแลกเสียงอันไพเราะที่ประทับในความทรงจำของเจ้าชายและเป็นจุดดีเด่นของตัวเอง กับเรียวขาที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ ทำให้เจ้าชายก็เลยจำเธอไม่ได้ แล้วไปตกลงปลงใจกับหญิงอื่น แอเรียลจึงต้องสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทั้งคนที่รักและตัวตน
  • สิ่งที่เด็กควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ คือการประเมินความเป็นไปได้ของข้อเสนอต่างๆ รู้จักการปฏิเสธถ้าเห็นว่าเป็นจริงได้ยาก มองหาทางเลือก หรือมีวิธีการต่อรองเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในฝ่ายที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ

“แอเรียล” เงือกวัยใส พ่อของเธอซึ่งเป็นเจ้าสมุทรสั่งนักหนาว่าเธอและพี่สาวห้ามไปเที่ยวไหนไกล โดยเฉพาะแถวๆ เมืองมนุษย์ แต่แอเรียลไม่เชื่อ แอบหนีเที่ยวจนไปเจอเรือสำราญของเจ้าชายที่พายุพัดเรือจม 

เงือกน้อยช่วยเจ้าชายให้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย เธอร้องเพลงระหว่างรอให้คนมาช่วยเจ้าชายซึ่งนอนสลบที่ชายหาด แต่ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า เธอก็รีบว่ายน้ำหลบไป เมื่อเจ้าชายได้สติ เขาจำได้ถึงเสียงเพลงแสนไพเราะ

แอเรียลหลงรักเจ้าชาย แม่มดปลาหมึกเลยหลอกล่อให้เธอแลกเสียงหวานๆ กับการเป็นมนุษย์ โดยตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เจ้าชายตกหลุมรักได้เธอถึงจะกลายเป็นมนุษย์แบบถาวร  ในการ์ตูนดิสนีย์ แอเรียลได้ครองรักกับเจ้าชาย แต่เวอร์ชันดั้งเดิมของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เจ้าชายไปแต่งงานกับเจ้าหญิงอื่น เงือกน้อยพลาดหวัง ร่างสลายกลายเป็นฟองอากาศ 

ว่ากันว่า ในปี ค.ศ. 1805 ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักเขียนชาวเดนมาร์ก สร้างเงือกน้อยขึ้นจากปมชีวิตส่วนตัวที่ต้องเผชิญข้อกีดกันของครอบครัวและสังคมในประเด็นความรักของคนเพศเดียวกัน เมื่อพล็อตเรื่องมาถึงมือดิสนีย์ ทีมงานปรับโทนเรื่องให้สดใสขึ้นเพื่อตอบโจทย์แอนิเมชันซีรีส์เงือกน้อยแสนซนผจญภัย พร้อมผองเพื่อนสัตว์ทะเลน่ารักๆ 

ในมุมมองของ ‘หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน’ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี นิทานเรื่องนี้มีหลากหลายแง่มุมที่สามารถชวนเด็กๆ ในช่วงวัยต่างๆ คุยและคิดเพื่อสร้างการเรียนรู้

นอกวังบาดาล คือชีวิตจริง

เป็นธรรมดา พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูกเชื่อฟัง ตั้งกรอบ และหวังให้ลูกอยู่ในกรอบอันอบอุ่นและปลอดภัย แต่หากเงือกน้อยแอเรียลไม่ดื้อรั้นฝืนคำสั่งราชาแห่งมหาสมุทร เธอย่อมขาดโอกาสที่จะเผชิญโลกกว้าง ได้พบความท้าทายใหม่ๆ ที่เรียกร้องการคิดและตัดสินใจ ค้นเจอความเป็นไปได้ คือความสุขสันต์ตามแบบฉบับดิสนีย์ หรือมีเคราะห์กรรมเป็นของตัวเองอย่างในนิทานแอนเดอร์เซน

นิทานเรื่องนี้ถือเป็นโอกาสของพ่อแม่ที่จะสื่อสารกับเด็กๆ ว่าถ้ามีสิ่งใดที่ลูกไม่เห็นด้วยกับพ่อแม่ ขอให้บอกความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตัวเองแบบตรงไปตรงมา อย่าแอบทำโดยปิดบังพ่อแม่ เพราะอาจทำให้ลูกต้องพบกับความเสี่ยงหรือเป็นอันตราย 

แต่จะพูดกับลูกแบบนี้ได้ พ่อแม่ต้องยอมรับก่อนว่าความคิดและกติกาของเราอาจไม่ถูกต้อง หรือใช้การได้ดีมีประสิทธิภาพเสมอไป บางครั้งความหวังดีอาจกลายเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้และเส้นทางที่ใช่สำหรับลูก รวมทั้งต้องเปิดใจด้วยว่า การเรียนรู้จากความผิดพลาดถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตของลูกด้วยเช่นกัน

แลกการเป็นตัวเองกับความรัก คุ้มค่าแค่ไหน

เราแต่ละคนมีข้อดีและข้อด้อยในตัวเองแตกต่างกันไป การที่แอเรียลเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเงือกน้อยให้กลายเป็นมนุษย์ โดยหวังให้เจ้าชายผู้เป็นที่รักพึงพอใจ กลับทำให้ความสัมพันธ์วุ่นวายสลับซับซ้อน ทั้งที่จริงแล้ว ชีวิตน่าจะดีกว่านี้ถ้าเธอได้พบกับคนที่รักในสิ่งที่เธอเป็น ซึ่งถ้ามองแบบนี้แล้ว เงือกน้อยของแอนเดอร์เซนดูเหมือนจะให้ข้อคิดที่น่าสนใจกว่าชีวิตในความฝันของเวอร์ชันการ์ตูนดิสนีย์ 

เงือกน้อยในนิทานโบราณยอมแลกเสียงอันไพเราะเพราะพริ้งที่ประทับในความทรงจำของเจ้าชายและเป็นจุดดีเด่นของตัวเอง กับเรียวขาที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ ทำให้ผลสุดท้าย เจ้าชายก็เลยจำเธอไม่ได้ แล้วไปตกลงปลงใจกับหญิงอื่น แอเรียลจึงต้องสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทั้งคนที่รักและตัวตน กลายเป็นแค่ฟองอากาศไร้ความหมายในท้องทะเลกว้างใหญ่

เพื่อนแท้ อยู่ด้วยกันเสมอ

เพื่อนแท้ คือคนที่ยอมรับเราเสมอ ไม่ว่าเราจะพลั้งพลาด ตกระกำลำบาก เพื่อนก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือ เข้าใจ และให้กำลังใจ แอเรียลมีเพื่อนมากมายเป็นปลาปูในท้องทะเลที่คอยสนับสนุนเธอทุกทาง ไม่ว่าเธอจะมีหางเป็นปลาหรือมีขาเป็นมนุษย์ 

กระนั้น เพื่อนแท้ไม่สนับสนุนให้เพื่อนทำสิ่งไม่ดี ตรงกันข้าม ถ้าเห็นว่าเพื่อนกำลังทำไม่ดี เพื่อนที่ดีจะบอกอย่างตรงไปตรงมา และยืนยันว่าสิ่งที่เพื่อนทำนั้นไม่ถูกต้อง เพื่อนไม่เห็นด้วย แต่ในวันหนึ่งหากเพื่อนพลั้งพลาด เพื่อนก็พร้อมจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ย่อมมีวันที่ผิดพลาด เพื่อนจะให้อภัย และอยู่ข้างๆ เสมอ 

ในทางกลับกัน เราต้องรู้ว่าใครที่ไม่ใช่เพื่อน แอเรียลหลงกลแม่มดร้ายที่ให้เธอแลกสิ่งมีค่าคือเสียงไพเราะกับความเป็นมนุษย์ นั่นย่อมไม่ใช่มิตรภาพ เพื่อนที่ดีจะไม่ทำให้เพื่อนต้องแลกสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตกับอะไรอย่างอื่น

สัญญาเสียเปรียบ ต้องระวัง

ในเวอร์ชันของแอนเดอร์เซน เงือกน้อยทำข้อตกลงกับแม่มด ว่าจะทำให้เจ้าชายตกหลุมรักเพื่อแลกกับการได้เป็นมนุษย์ตลอดไป เธอก็ยังหลงเชื่อยอมแลกเสียงของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าชายจำได้ กับการเป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาที่เจ้าชายไม่เคยรู้จัก ไม่มีความทรงจำอะไรด้วย นับว่าเป็นเดิมพันที่สูงเกินไป และแอเรียลเสียเปรียบเต็มประตู แต่เธอกลับยอมเสี่ยง เพราะมองว่าเป็นทางเดียวที่จะได้พบและครองรักกับเจ้าชาย 

สิ่งที่เด็กควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ คือการประเมินความเป็นไปได้ของข้อเสนอต่างๆ รู้จักการปฏิเสธถ้าเห็นว่าเป็นจริงได้ยาก มองหาทางเลือก หรือมีวิธีการต่อรองเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในฝ่ายที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ

การชวนคุยด้วยเรื่องราวจากนิทาน คือการฝึกให้เด็กได้คิดด้วยเหตุและผล  ในความเป็นจริง ความรักเป็นเรื่องของทั้งเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะในวันที่พวกเขาเติบโตเป็นวัยรุ่น และอารมณ์เป็นใหญ่ กระนั้น การให้เด็กได้มีโอกาสทดลองความคิดและฝึกการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล วันหนึ่งข้างหน้า หากเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ท้าทายและอยู่ในจังหวะเวลาที่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง อย่างน้อยก็มีเรื่องราวที่อาจย้ำเตือนความทรงจำ และเป็นตัวช่วยให้พ้นจากความสับสนอลม่านได้บ้างก็เป็นได้

แนวคำถามชวนลูกคิด

สำหรับเด็กเล็ก:

  • ถ้าลูกเป็นแอเรียลจะยอมแลกเสียงกับขาไหม ลูกว่ามันเป็นการแลกที่คุ้มค่าหรือไม่ เพราะอะไร? 

สำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อย: 

  • ถ้าลูกเป็นแอเรียล แล้วอยากทำอะไรที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ลูกจะทำอย่างไร ความรักที่ต้องทำให้เราสูญเสียบางอย่างที่เป็นตัวเอง ลูกคิดว่ามันคุ้มค่าไหม เพราะอะไร 
  • ลูกว่าทำไมดิสนีย์ถึงปรับเนื้อเรื่องให้ต่างไปจากต้นฉบับเดิม ลูกชอบเงือกน้อยจบแบบไหนมากกว่ากัน เพราะอะไร 

Tags:

นิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่าLittle Mermaidพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรความรักเลี้ยงลูกด้วยนิทาน

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep3 : เรียนรู้โลกสีเทาจากนิทานขาว-ดำ ‘ฮันเซลกับเกรเทล’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel