Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: January 2021

ไอเดีย – ไอซี : เส้นทางสู่ ‘อวกาศ’ ของเด็กไทยที่เริ่มต้นจากนิทาน จินตนาการ และการเรียนรู้ โดยไม่หยุดแค่คำว่า… เป็นไปไม่ได้
13 January 2021

ไอเดีย – ไอซี : เส้นทางสู่ ‘อวกาศ’ ของเด็กไทยที่เริ่มต้นจากนิทาน จินตนาการ และการเรียนรู้ โดยไม่หยุดแค่คำว่า… เป็นไปไม่ได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทุกวันนี้อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือไกลเกินฝัน ไม่เฉพาะกับเด็กๆ ในประเทศมหาอำนาจ แต่ยังเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ไม่ได้ตีบตันสำหรับเด็กไทย ถ้าได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างถูกทาง
  • ไอเดียและไอซีเติบโตมาในครอบครัวที่มีนิทานเป็นสื่อกลาง ไอเดียชอบศิลปะ ส่วนไอซีช่างซักช่างถาม ทั้งสองคนสนใจเรื่องอวกาศมาตั้งแต่สมัยประถม ด้วยเหตุผลว่าเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น อยู่นอกโลกและดูยิ่งใหญ่ 
  • อวกาศเป็นเรื่องสนุก ไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีขั้นสูงในการสอนเรื่องอวกาศให้ก้าวล้ำกว่าประเทศอื่น ไม่จำเป็นต้องมีห้องแล็บไร้แรงโน้มถ่วง แค่สอนกระตุ้นให้นักเรียนรู้ว่ามีเรื่องราวเหล่านี้อยู่ แล้วนักเรียนที่สนใจจะไปหาคำตอบเอง

ภาพ: ไอเดีย ไอซี

เวลาที่เด็กสักคนพูดว่า “หนูอยากเป็นนักบินอวกาศ” หรือฝันถึงการทำงานบนอวกาศ ถ้าไม่เจอกับคำพูดดับฝันอย่าง “เป็นไปไม่ได้” “โอกาสมันน้อยมากสำหรับเด็กไทย” ก็คงตามมาด้วยเสียงหัวเราะ เอ็นดูกับความฝันไร้เดียงสาแบบเด็กๆ 

แต่ในความจริง ทุกวันนี้อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือไกลเกินฝัน ไม่เฉพาะกับเด็กๆ ในประเทศมหาอำนาจ แต่ยังเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ไม่ได้ตีบตันสำหรับเด็กไทย ถ้าได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างถูกทาง

ไอเดีย – ศวัสมน ใจดี อายุ 20 ปี กับ ไอซี – วริศา ใจดี อายุ 18 ปี คือ สองพี่น้องที่เริ่มต้นเส้นทางสู่อวกาศแบบไม่ต้องปีนหอคอยสูงเสียดฟ้า การไต่ระดับความฝันของทั้งคู่เริ่มต้นจากการเปิดกว้างของคนในครอบครัว การเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยไม่กลัวที่จะล้มเหลว การกล้าทำในสิ่งที่คิดว่ายากและพยายามจนสำเร็จ ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลายๆ บ้านได้ 

ตั้งแต่เด็กไอเดียและไอซีเป็นเด็กช่างถามช่างจินตนาการ พอเริ่มสนใจเรื่องอวกาศ ก็เริ่มหาความรู้ด้วยตัวเองและเดินตามความฝันด้วยการส่งแนวคิดเพื่อเข้าร่วมการทดลองบนอวกาศกับโครงการระดับนานาชาติ จนได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับอวกาศหลายต่อหลายครั้ง และแม้ตอนนี้ไอเดียจะเรียนอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ก็ยังสนใจเรื่องอวกาศ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันหมด ส่วนไอซีกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ที่คณะวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์

ในความรู้สึกของทั้งคู่อวกาศจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่อยู่ใกล้ขนาดที่สามารถเดินเข้าหาและสัมผัสได้ พวกเธอบอกว่า ทุกคนสามารถฝันถึงอวกาศได้ ตั้งแต่ยังคำนวณสูตรวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยังไม่เข้าใจหลักการฟิสิกส์ หรือแม้แต่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป ขอแค่มี ‘จินตนาการ’ และความมุ่งมั่น ก็เป็นต้นทุนที่ดีแล้ว 

“ในขณะที่เรื่องอวกาศในบ้านเรายังถูกมองเป็นเรื่องห่างไกล แต่ที่โน่น (จีน) ศึกษาและสอนเด็กๆ เรื่องเคลียร์พื้นที่ในอวกาศกันแล้ว ตอนนี้ก็มีสาขาเรียนใหม่เกี่ยวกับกฎหมายอวกาศ การใช้พื้นที่ทางอวกาศ เตรียมรองรับไว้ก่อนแล้ว ไปไกลกันขนาดนั้น…” 

จักรวาลเริ่มต้นที่บ้าน นิทานคือบทเรียนที่ 1

“ไอเดีย (Idea) ชอบเตะท้องแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่ถ้าเปิดเพลงให้ฟังแล้วจะหยุดเตะ พ่อบอกว่า เออ… ลูกคงกำลังคิดอะไรอยู่นะ ก็เลยได้ชื่อนี้มา”” 

“ไอซี (I see) ลืมตาไวและตาโตมาก เหมือนรู้เรื่องแล้ว เข้าใจแล้ว แปลตรงตัวเลยก็แปลว่าฉันเห็น ฉันเข้าใจ” ทั้งสองคนอธิบายถึงที่มาที่ไปของชื่อเล่นตัวเอง

ด้วยวัยที่ห่างกันเพียง 2 ปี ทั้งไอเดียและไอซีทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ไปร้านหนังสือ เล่นบทบาทสมมุติ เล่านิทาน เขียนนิยาย ในวัยประถมไอเดียช่วยสอนหนังสือน้อง โตขึ้นมาก็ชวนกันสมัครเข้าร่วมโครงการวิทยาศาสตร์ ยิ่งโตขึ้นก็กลายเป็นบัดดี้ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันได้ 

“เคยเล่นบทเป็นเม็ดเลือดขาวในร่างกายวิ่งไปวิ่งมา เพราะแม่ชอบพูดให้ฟังว่าไอเดียกับไอซีต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่นะ ไม่อย่างนั้นเม็ดเลือดขาวจะไม่แข็งแรง ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค เราก็มาเล่นบทบาทสมมุติเป็นเม็ดเลือดขาว หน่วยปราบปรามเชื้อโรคในร่างกาย หรือบางเรื่องก็มาจากนิทาน เรื่องเล่าจากหนังสือที่เราอ่าน” ไอเดีย เล่า

ไอเดียและไอซี บอกว่า พวกเขาเติบโตขึ้นจากครอบครัวที่มีนิทานเป็นสื่อกลาง ยายชอบเล่านิทานให้แม่ฟัง แม่ก็เล่านิทานให้ลูกๆ ฟังอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งทั้งสองคนได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมญาติซึ่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ระหว่างรออยู่ในห้องสมุด ก็มีโอกาสได้เล่านิทานให้น้องๆ นักเรียนในห้องสมุดฟัง 

ภาพที่เกิดขึ้นวันนั้น ทั้งสองคนถูกล้อมรอบด้วยน้องๆ หลายสิบคนที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากนิทานอย่างตั้งใจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่จึงชักชวนไอเดียและไอซีอาสาไปเล่านิทานให้กับน้องๆ และเพื่อนๆ นักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ อยู่บ่อยๆ จนถึงขั้นขึ้นประกวดเวทีเล่านิทาน ซึ่งการเล่านิทานของพวกเขา ไม่ใช่แค่การเปิดหนังสือแล้วอ่านตามตัวอักษรไปทีละหน้าเท่านั้น หลายๆ ครั้งเป็นการเล่าที่ทั้งสองคนลงมือออกแบบและประดิษฐ์อุปกรณ์เพื่อนำไปใช้แสดงบทบาทสมมุติประกอบการเล่านิทาน

“เริ่มจากครอบครัวเราเองที่มีหลายวัยไปสู่คนข้างนอกซึ่งเป็นอีกสังคมหนึ่ง เราก็คิดหาวิธีเล่าเพื่อให้นิทานออกมาสนุก ทั้งคนที่เล่ากับเราและผู้ฟัง ซึ่งเราก็สนุกไปด้วย ได้เจอเพื่อนหลากหลายวัยหลากหลายความคิด ต้องนำเล่าบ้าง  ตามเขาบ้าง หรือต้องสอนเขาบ้าง ทำให้ได้พัฒนา​ทั้งด้านการพูดและรู้จักรับฟัง เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงตัวเองเสมอ” ไอซี เล่า ขณะที่ไอเดียเสริมว่า

“เวลาเรียนรู้เรื่องอะไรมาแล้วรู้สึกว่ายาก แม่จะพยายามนำเรื่องนั้นมาทำเป็นนิทาน เป็นเรื่องเล่า ให้มีความสนุก ทำให้เราจำได้ หลังจากแม่เล่าให้ฟังก็ทำให้เดียอยากเขียนนิทานเองบ้าง เวลาเราเขียนเรียงความ เขียนกลอน เขียนวิเคราะห์ในห้องเรียนก็ทำออกมาแล้วครูชมว่ามันเชื่อมโยงดีนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ดีนะ  ซึ่งเราได้มาจากการเล่านิทานทั้งหมด แล้วเอามาใช้โดยไม่รู้ตัว” 

การอ่านและเปิดรับการเรียนรู้ ทำให้ไอเดียได้มาพบกับความลี้ลับของอวกาศ เธอเริ่มสนใจเรื่องอวกาศมาตั้งแต่สมัยประถม ด้วยเหตุผลว่าเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น อยู่นอกโลก และดูยิ่งใหญ่ แล้วก็ชักชวนไอซีให้มาอ่านมาเรียนรู้ด้วยกัน 

“ตอนเด็กเดียเป็นคนพูดมาก อ่านอะไรมาก็จะเอามาเล่าให้พ่อแม่ให้ไอซีฟัง ไอซีก็เริ่มสนใจด้วยเหมือนกัน คุยกันไปคุยกันมา ชวนกันออกไปดูดาวที่สวนหน้าบ้าน ช่วงที่มีฝนดาวตกเราก็ตื่นเต้นกันมาก คิดว่าถ้าได้ไปอวกาศจริงๆ ก็คงจะดี ความฝันตอนเด็กๆ เลยอยากเป็นนักบินอวกาศ พอโตขึ้นมาได้รู้เพิ่มขึ้น เราก็รู้ว่าเรียนสายอื่นก็เอามารวมกันได้ เป็นหมอแล้วมาเป็นนักบินอวกาศด้วยก็ได้ งั้นเรามาเป็นหมอก่อนไหม” 

“แรงบันดาลใจหลักๆ เรื่องอวกาศของพวกเราก็น่าจะได้มาจากการอ่านและดูหนัง ทั้งหนังสารคดีของนาซ่า (NASA) ดิสคัฟเวอรี่ (Discovery) เนชั่นแนล จีโอกราฟิก (National Geographic) และหนังไซไฟ (sci-fi) พี่เดียชวนดู ชวนอ่าน ซีเริ่มมองว่ามันเรื่องจริงนะ วันหนึ่งโลกอาจจะอยู่ไม่ได้ เราต้องไปอยู่กันที่อวกาศแน่นอน ซีสนใจเรื่องอวกาศจริงจังตอน ม.3 ที่ได้เรียนฟิสิกส์ดาราศาสตร์ แล้วตอนนั้นเอาความรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ทำในการนำเสนองานที่ค่ายแล้วได้รางวัลมา เลยรู้สึกดีใจว่า ดีนะที่เรารู้เรื่องพวกนี้มันเอามาใช้ได้จริงๆ” ไอซี กล่าว

แสวงหาโอกาสและประสบการณ์ บันไดขั้นแรกสู่อวกาศ

“ใครๆ ก็ร่วมทำการทดลองกับนักบินอวกาศได้” ไอเดีย เอ่ยขึ้นก่อนอธิบายถึงโครงการ Space Seeds For Asian Future 2013 ที่ได้ทำการทดลองปลูกถั่วแดงญี่ปุ่นร่วมกับนักบินอวกาศ เพื่อเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตของถั่วแดงในภาวะไร้แรงโน้มถ่วง สนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การวิจัยและพัฒนาการสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA (Japan Aerospace Exploration Agency) 

ตอนนั้นไอเดียเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดูเหมือนว่าความฝันเรื่องไปอวกาศของเธอค่อยๆ ชัดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งไอเดียและไอซีได้นำคำถามที่ติดค้างคาใจอีกหลายอย่างเกี่ยวกับอวกาศ มาตั้งเป็นหัวข้อเพื่อทดลองทำในอวกาศ แล้วส่งความคิดที่มาจากจินตนาการเหล่านั้นเข้าร่วมภารกิจ  Asian Try Zero G 2015 ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนอายุไม่เกิน 27 ปี ส่งแนวความคิดการทดลองด้านอวกาศเข้าร่วมประกวด เพื่อคัดเลือกให้นักบินอวกาศ JAXA นำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นการทดลองที่ไม่เคยทำบนอวกาศมาก่อน ใช้อุปกรณ์ที่มีให้เลือกในแคตตาล็อก และใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที

ฟังดูแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องที่คิดได้ง่ายๆ แต่ทั้งคู่คิดตรงกันข้าม 

…บนโลกมนุษย์มีเหตุการณ์และการทดลองต่างๆ เกิดขึ้นมากมายก็จริงแต่ไม่ใช่บนอวกาศ ดังนั้น เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นปกติบนโลกมนุษย์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นเรื่องใหม่สำหรับการนำไปทดลองในอวกาศ ได้แทบทุกเรื่อง…

การทดลองของทั้งคู่ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2015 คือ Zero G painting ทั้งสองคนต้องการรู้ว่าในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงจะสามารถวาดภาพบนอวกาศได้หรือไม่ ภาพวาดจะออกมาเป็นอย่างไร โดยมีนักบินอวกาศญี่ปุ่น คิมิยะ ยูอิ ใช้พู่กันจุ่มกาแฟ (แทนสีน้ำ) ระบายบนแผ่นกระดาษในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนสถานีอวกาศ

ส่วนอีกโครงการที่ได้รับเลือกในปี 2017 คือ Inside the Slinky การจำลองการเดินทางของวัตถุในสลิงกี้ (ของเล่นเด็กแบบสปริง) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับมวลหรือน้ำหนักที่ต่างกันของวัตถุรูปทรงกลมเดียวกันขนาดเท่าๆ กันในลูปของสลิงกี้ด้วยแรงกระทำภายนอกที่ต่างกัน

“พวกเราส่งหัวข้อกันทุกปี ตั้งแต่ปี 2015 รวม 4 เรื่อง เรื่องที่ส่งแล้วได้รับเลือกมี 2 เรื่องเป็นคำถามพื้นฐานที่ชวนให้คิดว่าถ้าวันหนึ่งเราได้ไปอยู่ในอวกาศจริงๆ กิจวัตรประจำวันที่เราเคยทำมันจะแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร พี่เดียกับซีพยายามคิดด้วยกันบ่อยๆ การตั้งคำถามไม่มีผิดถูกอยู่แล้ว เรื่องการได้รับคัดเลือกหรือไม่ เราไม่ได้คาดหวัง แต่คงเป็นเพราะเราส่งทุกปี ปีสุดท้ายเราก็เลยได้ไปประเทศญี่ปุ่น JAXA เปิดโอกาสให้เจ้าของแนวคิดที่ได้รับการคัดเลือก เดินทางไปชมการทดลองของนักบินอวกาศแบบสดๆ ด้วยตนเองที่ศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินเมืองสึคุบะ (Tsukuba)” ไอซี เล่า

นอกจากนี้ ไอซี ยังได้ออกแบบยานกำจัดขยะอวกาศ (The DEBRIS BUGS) ฉายเดี่ยวในโครงการ APSCO Youth Space Contest  2017,  Theme “Future Space Homeland” ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน  

“ซีต่อยอดจากที่เคยได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปเข้าค่ายอวกาศที่ประเทศเกาหลี นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารกับเพื่อนๆ ต่างชาติ พอกลับมาสมัครโครงการนี้ระดับเยาวชนในหัวข้อวิธีการกำจัดขยะอวกาศ เป็นส่วนหนึ่งของงาน GEO-SCIENCE YOUTH FORUM 2017 ที่ไทย ผลงานนี้ได้รับคัดเลือกจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน  APSCO Youth Space Contest 2017 เรียกว่าทำต่อไปเรื่อยๆ ผ่านมาทีละขั้น แต่ละขั้นไม่ได้คิดว่าต้องได้รับเลือก แต่ตั้งใจเรียนรู้จากค่ายแล้วนำแนวคิดมาปรับใช้เรื่อยๆ”

จากความฝันและจินตนาการ บวกกับความคิดและความอยากมองเห็นคำตอบในสิ่งที่สงสัย จุดประกายให้ทั้งสองคนค้นหาและเรียนรู้อย่างไม่ลดละและไม่ท้อแท้ แต่กลับสนุกกับการได้คิดและได้ทดลองทำระหว่างทาง

“เราทำไปเพราะชอบ เราส่งในสิ่งที่เราสงสัย คิดในสิ่งที่มันสนุก ไม่ได้คิดเรื่องได้รางวัล สุดท้ายจะได้หรือไม่ได้รับการคัดเลือกอย่างน้อยก็สบายใจว่าได้ให้โอกาสตัวเองได้ทำ ถือเป็นแรงบันดาลใจอีกเรื่องที่ผลักดันตัวเราในอนาคตให้ก้าวไปข้างหน้า”

“ซีทำความเข้าใจกับตัวเองทุกครั้งว่าเราต้องฝึกฝนเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้  แล้วก็ศึกษาจากเพื่อนๆ ที่ได้รับการคัดเลือก ทุกครั้งซีนึกถึงความสนุกตอนที่คิดจะทำ ว่าเป็นการใช้เวลาที่มันคุ้มค่ามากๆ แล้วเราก็เต็มที่แล้ว” ไอซี กล่าว

การเรียนรู้ที่เริ่มจากความสนใจ ตั้งคำถามและกล้าคิดกล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ 

 ปัจจุบัน ไอเดียกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ แต่ยังมีความสนใจเรื่องอวกาศ เพราะเชื่อว่าทุกเรื่องในชีวิตประจำวันเชื่อมโยงกับอวกาศได้หมด ส่วนไอซีก็กำลังเตรียมตัวเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ หรือทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และอาจกลับมาเรียนต่อที่ไทยหลังจบการศึกษาจากองค์การสหสากลวิทยาลัย หรือ United World Colleges (UWC) แห่งแรกของโลกที่ประเทศเวลส์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ UWC Atlantic College 

“ถ้าคุณตั้งคำถามได้เหมาะสม การได้คำตอบก็เป็นเรื่องง่าย” 

หนึ่งในประโยคที่เป็นใจความสำคัญจากหนังสือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy ซึ่งทั้ง 2 คนชอบ ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเดียวกับที่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของบริษัทเทสลา (Tesla) ผู้ผลิตรถพลังงานไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยตัวเอง และ ผู้ก่อตั้งบริษัท Space Exploration Technologies Corp หรือ “สเปซเอ็กซ์” (SpaceX) ที่สามารถผลิตจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้

“หนังสือเล่มนี้ทำให้เดียรู้สึกว่าอวกาศเป็นเรื่องสนุก ครูไม่จำเป็นต้องโฟกัสว่าต้องมีเทคโนโลยีขั้นสูงในการสอนเรื่องอวกาศให้ก้าวล้ำกว่าประเทศอื่น ไม่จำเป็นต้องมีห้องแล็บไร้แรงโน้มถ่วง แต่แค่สอนกระตุ้นให้นักเรียนรู้ว่ามีเรื่องราวเหล่านี้อยู่ แล้วนักเรียนที่สนใจจะไปหาคำตอบเอง 

เพราะการเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวยังไงก็ไม่มีวันพอ เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลเองได้ แค่สอนให้เด็กเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและอ่านให้เป็น ครูแค่ระวังอย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง แล้วไม่กล้าเรียนต่อก็พอ ถ้าเราปั้นทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ด้านนี้มามากพอสักวันหนึ่งเราก็จะไปอวกาศจริงๆ ได้เอง” ไอเดีย กล่าว

ทั้งสองคนเล่าถึงวิธีการเรียนรู้ของตัวเองว่ามาจากเรื่องที่สนใจ ความสนใจช่วยสร้างแรงบันดาล แรงผลักดัน รวมถึงแพชชั่นในการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ หลังจากนั้น คือ การตั้งคำถามในเรื่องที่สงสัยเพื่อหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โตเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ เพราะคำตอบที่ได้อาจเป็นความรู้ที่มากขึ้น การได้พัฒนาตัวเอง หรืออาจนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน

“เดียเป็นคนที่ชอบทำอะไรก็จะลงมือทำ แล้วก็ทำจนกว่าจะทำสิ่งนั้นได้ดี ยกตัวอย่างเรื่องการวาดรูป ไม่ว่าจะเป็นช่วงสอบ หรือต้องทำอะไรก็ตาม ถ้าตอนนั้นรู้สึกว่ามีแพชชั่น มีแรงบันดาลใจอยากวาดรูป เดียก็จะวาดตอนนั้นเลย หรือว่านอนอยู่กลางดึกแล้วมีไอเดีย มีพล็อตเกี่ยวกับนิยายที่จะเขียนผุดขึ้นมา ก็จะตื่นมาจดเลย เพราะปล่อยไว้ก็จะลืม เป็นคนที่ทำอะไรต้องทำให้เสร็จ ชอบวางแผนไว้ก่อนแล้วก็ทำ เช่น ตั้งใจจะเขียนหนังสือเล่มนี้ภายใน 3 เดือน ก็จะต้องทำให้เสร็จ”

“ซีเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ ชอบหาอะไรมาทำเรื่อยๆ โต๊ะซีจะรกมากเพราะทำอันโน้นอันนี้เยอะไปหมด สมัยเด็กๆ ก็มีพี่เดียชวนอ่านหนังสือแล้วทำให้ซีมีสมาธิขึ้น โฟกัสให้งานเสร็จเป็นอย่างๆ ไป อ่านหนังสือให้จบทีละเล่มๆ ซีมองว่าตัวเองเป็นคนจริงจัง คิดมาก ซีหยุดคิดไม่ได้จะมีอะไรในมือกับในหัวตลอดเวลา แต่มันดีตรงที่ทำให้มีสติแล้วไม่ค่อยลืมตัว ไม่ทำอะไรที่ต้องมาตามแก้ทีหลัง”

“แรงบันดาลใจทำให้ซีกล้าคิดกล้าทดลองทำในสิ่งใหม่ๆ ทำให้ซีกล้าก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เช่นการมาเรียนที่เวลส์ แล้วเลือกเรียนฟิสิกส์ตัวยากแต่ชอบ ทั้งที่ตอนเรียนอยู่ไทยสอบตกต้องนั่งซ่อมด้วยการคัดโจทย์หลายร้อยข้อมาก่อน แรงบันดาลใจผลักดันให้ซีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เปลี่ยนเรื่องเหนื่อยเป็นสนุกแล้วพอสำเร็จเราก็มีความสุข” 

ประสบการณ์ไม่จำกัดกรอบ แรงหนุนจากครอบครัว

“เรามาเรียนรู้เรื่องนี้กันเถอะ” เป็นประโยคที่แม่ใช้พูดกับทั้งสองคนอยู่เสมอ เป็นคำพูดที่ไม่จำกัดกรอบ ไม่จำแนกว่าสิ่งที่จะเรียนรู้ต่อไปนี้เป็นวิชาอะไร ทำให้ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ

“สมัยเด็กๆ พ่อแม่ไม่เคยบังคับว่าเราต้องเรียนสายวิทย์-คณิต หรือบอกให้ไปทางไหน พ่อแม่ไม่เคยมาจำแนกให้ฟังว่าแบบนี้คือวิทย์ คณิตนะ ถ้าเป็นแบบนี้คือฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หรือเกี่ยวกับศิลปะ ภาษา เดียรู้สึกว่าทั้งวิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะ ทุกเรื่องรวมกันได้หมด 

เพราะถ้าเดียไม่รู้ภาษาอังกฤษ เดียก็ไม่สามารถเข้าไปค้นหา อ่านงานวิจัยที่เป็นภาษาอังกฤษได้ ถ้าเดียวาดรูปไม่ได้ หรือไม่ชอบวาดรูปเดียอาจจะเรียนวิทยาศาสตร์ไม่สนุกก็ได้ เพราะแค่การอ่านเรามองไม่เห็นภาพ มันเลยกลายเป็นวิธีการเรียนรู้ของเดีย เพราะพ่อแม่ไม่เคยใส่กรอบมาตั้งแต่เด็กๆ เลยชอบได้ทุกอย่าง สิ่งที่เดียชอบหลายๆ อย่างค่อนข้างขัดแย้งกัน เดียชอบภาษา ชอบวาดรูป หลายๆ คนเลยไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเดียชอบวิทยาศาสตร์  แล้วก็มาเรียนหมอ ไม่ได้ใช้สมองซีกใดซีกหนึ่ง” ไอเดีย เล่า

“ซีรู้สึกเสมอว่าตัวเองไม่ได้เก่ง เลยต้องตั้งใจมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เวลาทำงานหรืออ่านหนังสือเตรียมสอบซีใช้เวลาเยอะมากในการเตรียมตัว ทำให้ต้องพัฒนาทักษะตนเองอยู่เสมอ พ่อกับแม่สอนไว้คือให้ตั้งใจทำทุกอย่างจนเข้าใจด้วยตนเอง และเมื่อรู้แล้วให้สอนคนอื่นต่อ การสอนคนอื่นกลายเป็นการฝึกฝนทักษะอีกทางหนึ่งของซี ทั้งด้านการสื่อสาร และวิชาความรู้ที่ต้องหามาให้คำตอบคนอื่นได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ซียังเดินอยู่ในเส้นทางของการทดลอง และจินตนาการไปเรื่อยๆ ให้โอกาสตัวเองได้ทำสิ่งใหม่ๆ”

“แม่บอกว่าพี่เดียหาเรื่องยากให้ตัวเองด้วยการเรียนหมอ ส่วนซีก็ตั้งใจเป็นครูมาตลอดเพราะวัยเด็กใช้เวลาไปเล่านิทานสอนเด็กเยอะมาก  ซีหาเรื่องยากด้วยการมาอยู่ที่เวลล์ ซีรู้ว่ามันยาก แต่พอเราผ่านพ้นไปได้ เราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเสมอ ซีถือว่าเป็นประสบการณ์​ชีวิตที่ดี ประสบการณ์​ตรงนี้แหละเป็นตัวบอกว่าเราควรวางตัวอย่างไรในสังคมเพื่อให้ชีวิตราบรื่น” ไอซี กล่าวอย่างแน่วแน่ 

เป้าหมายของการไปอวกาศคงไม่ใช่แค่การไปเหยียบดวงจันทร์หรือไปถึงดาวอังคาร เพราะหากเป็นอย่างนั้นเราคงไปได้ไม่ไกลกว่าการเดินตามหลังมหาอำนาจชาติอื่น ที่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศจนก้าวล้ำหน้ามาหลายทศวรรษ แต่การทำให้อวกาศเป็นเรื่องใกล้ตัว เข้าถึงง่าย ไม่น่ากลัวและไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเด็กและเยาวชน จนทำให้เกิดความสนใจศึกษาค้นคว้าต่อ จะเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอีกมากมาย

“สำหรับสังคมปัจจุบัน การศึกษาเรื่องอวกาศจำเป็นและสำคัญต่อการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่เป็นหลัก ซีเคยไปค่ายอวกาศที่จีน เป็นที่น่าสนใจมากว่าเด็กเขาพูดถึงแต่การไปอยู่อวกาศ ถึงขั้นว่าต้องจับจองพื้นที่กัน มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องขยะอวกาศ  

ซีไปนำเสนอแนวคิดเรื่องยานกำจัดขยะอวกาศ อาจารย์คนหนึ่งเอานามบัตรมาให้ พอค้นหาชื่ออาจารย์ในอินเทอร์เน็ตเจอว่าเขาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก ในขณะที่เรื่องอวกาศในบ้านเรายังถูกมองเป็นเรื่องห่างไกล ที่โน่นเขาศึกษาและสอนเด็กๆ เรื่องเคลียร์พื้นที่ในอวกาศกันแล้ว ตอนนี้ก็มีสาขาเรียนใหม่เกี่ยวกับกฎหมายอวกาศ การใช้พื้นที่ทางอวกาศ เตรียมรองรับไว้ก่อนแล้ว ไปไกลกันขนาดนั้น 

เด็กไทยจึงควรมีโอกาศศึกษาเรื่องนี้กันไว้บ้างเพื่อเตรียมความพร้อม ถ้าเราไม่รู้เราก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางด้านการศึกษา หรือ การทำธุรกิจระหว่างประเทศ” ไอซี สะท้อนจากประสบการณ์

การเชื่อว่าทุกความฝันและจินตนาการเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ จะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยได้ใช้จินตนาการอย่างอิสระมากขึ้น หากมีเด็กสักคนไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลไหนในประเทศไทย เอ่ยขึ้นมาว่า “อยากเป็นนักบินอวกาศ” “อยากไปท่องอวกาศ” หรือ ไม่ว่าอยากเป็นอะไรก็ตาม เด็กคนนั้นไม่ควรถูกส่ายหน้าหรือถูกมองอย่างขำขัน เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อความฝันถูกขยายออก ไม่ใช่เมื่อความฝันนั้นถูกทำให้หดเล็กลงจนไร้ตัวตน

Tags:

การเรียนรู้อวกาศspace

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Life classroomSocial Issue
    Zookeeper ‘หมูเด้ง’ ผู้ไม่เคยผ่านหลักสูตรเลี้ยงฮิปโป แต่เรียนรู้ทุกวันจากการสังเกต: เบนซ์-อรรถพล หนุนดี

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Space
    Space Inspirium:  แหล่งการเรียนรู้ที่ชวนคนทุกวัยท่องอวกาศไปด้วยกัน

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ชั่วโมงห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร: Makerspace ที่เน้นการเรียนรู้ระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

รับมือกับความเครียดในวันที่พ่อแม่ Work from home ลูกเรียนออนไลน์:  คุยกับนักจิตวิทยา ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
Family Psychology
12 January 2021

รับมือกับความเครียดในวันที่พ่อแม่ Work from home ลูกเรียนออนไลน์: คุยกับนักจิตวิทยา ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

เรื่อง ศากุน บางกระ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การกลับมากักตัวอยู่บ้านรอบนี้ แม้ทุกคนจะมี how-to มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจดูเหมือนว่าจะเริ่มไม่ไหวและอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
  • เมื่อบ้านกลายเป็นที่รวมของภาระหน้าที่ที่ซ้อนทับกัน ทั้งความเป็นพ่อแม่/ความเป็นพนักงาน/ความเป็นสามีภรรยา, ความเป็นลูก/ความเป็นนักเรียน จัดการอย่างไรไม่ให้กลายเป็นชวนทะเลาะ
  • “การตั้งเป้าหมายควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง คุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร”

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวต้องกลับมาประจำการอยู่ที่บ้านอีกครั้ง เมื่อโลกการทำงานของพ่อแม่ โลกการเรียนของลูก กับโลกในบ้านต้องกลายมาเป็นโลกใบเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบหลายอย่างพร้อมๆ กัน ความกังวลสารพัดเรื่องที่ประดังกันเข้ามาทำให้หลายบ้านจับต้นชนปลายไปต่อไม่ถูก 

ไหนจะการเรียนของลูก… ค่าใช้จ่าย… ภาระงานของตัวเอง… ความสัมพันธ์สามีภรรยา… รวมๆ กันแล้วทำเอาหลายบ้านใกล้ถึงจุดเดือด ภาวนาขอให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติในเร็ววัน แต่นั่นก็เป็นแค่ความคาดหวัง เพราะในความเป็นจริงยังไม่อาจทราบได้ว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป พ่อแม่ลูกหลายๆ บ้านยังคงต้องใช้บ้านเป็นทั้งที่เรียน ที่ทำงาน รวมไปถึงใช้เป็นสถานที่ปลอดภัยจากโรคระบาด

The Potential นำความกังวลนี้ไปคุยกับ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาแนวทางในการรับมือกับความยุ่งเหยิงทางอารมณ์ จัดการความสัมพันธ์ในวันที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน ซึ่งน่าจะช่วยพ่อแม่ยุคโควิด-19 ผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง

ไม่มีช่วงโปรโมชั่น สำหรับการกลับมาอยู่บ้านรอบสอง 

“ในแง่ how-to เรารู้มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจมันยากมากขึ้น” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เกริ่นก่อนจะอธิบายถึงความกังวลที่ทวีคูณขึ้นในใจของพ่อแม่

“อยู่ดีๆ มันกลับมาอีก ภาวะอารมณ์ของคนรู้สึกช้ำ รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า ไม่พร้อมที่จะกลับไปสภาพนั้นอีก มีความกลัว มีความกังวล รอบแรกกับรอบสองนี้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเจอ ลูกกำลังเจอ มันคือความรู้สึกว่า รู้แหละว่าจะต้องทำยังไง แต่เห็นไหมว่าความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำมันลดลง แล้วมันยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ขึ้น”

คำแนะนำในมุมของนักจิตวิทยาคือ ขั้นแรกเมื่อพ่อแม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยังไม่ทันได้ตั้งรับเช่นนี้ว่าให้ “เข้าใจ” เริ่มตั้งแต่การเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้ ความเข้าใจจะทำให้พ่อแม่รู้ว่าถ้ามีความเครียดเกิดขึ้นมาบ้างคือเรื่องปกติ ยิ่งเมื่อหน้าที่ที่สมบูรณ์แบบ (picture-perfect) ของพ่อแม่ถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะครอบครัวที่เคยไม่ให้ลูกนั่งเฝ้าจอหรือให้เวลากับกิจกรรมการเล่นของลูกอย่างเต็มที่ก็ต้องมายอมรับว่า “จอ” คือทางออกที่ดีที่สุด พ่อแม่ก็ยิ่งเครียดได้ง่ายขึ้น

“บางคนไม่สามารถที่จะทำงานได้เลยถ้าเกิดลูกเข้ามากวน ก็ต้องยอมให้ลูกดูจอ บางทีมันเกิดขึ้นแล้วเราก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง งานก็ทำได้ไม่เต็มที่ บทบาทของพ่อแม่ที่เคยเป็น ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีสมบูรณ์แบบก็รู้สึกไม่เต็มที่ ขั้นที่หนึ่งก็คือให้เข้าใจ แล้วก็ให้เข้าใจด้วยว่า ความยากที่เราเจอมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเราไม่ดี หรือเพราะว่าเราทำงานไม่สำเร็จ เราเป็นพ่อแม่ที่ดีแบบที่เราตั้งใจไว้ไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายโดยย้ำว่า พ่อแม่ต้องตระหนักด้วยว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะมีสิ่งที่ต้องจัดการเพิ่ม นั่นคือความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง

“หน้างานที่หนึ่งคืองานที่มันไม่มีเวลาทำเพียงพอ เพราะเราต้องดูแลลูกด้วย หน้างานที่สองก็คือลูก เราต้องมีเวลาให้ลูกเท่าที่เคยให้ แต่เพราะเราต้องทำงานด้วย ก็จะเกิดหน้างานที่สามแล้ว เกิดความไม่พึงพอใจในตัวเราเอง มันก็จะส่งผลต่อการรับรู้ตัวเรา ส่งผลต่อปัญหาต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นตามมาอีก” 

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วพ่อแม่ก็ต้องหันมามองในมุมของลูก เข้าใจสถานการณ์ของลูกให้ได้เช่นกันว่า เขาต้องเจอกับอะไร รู้สึกอย่างไรอยู่

“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเฉพาะกับตัวพ่อแม่นะ กับลูกก็เป็นเหมือนกัน” ผศ.ดร.ณัฐสุดาเอ่ย ก่อนจะยกตัวอย่างว่า ลูกเองก็เคยรับรู้ว่าเวลาที่พ่อแม่อยู่บ้านคือ เวลาของเขา แต่สถานการณ์เป็นแบบนี้ การรับรู้ของลูกก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ต้องพยายามถามถึงความรู้สึกลูก พยายามให้ลูกมีโอกาสได้เล่ามุมมองที่เขารับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า เขาเป็นอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง หรือบางทีลูกอาจจะบอกไม่ได้ว่าตัวเองเครียด หากพ่อแม่เริ่มเห็นความผิดปกติก็ต้องหาวิธีที่จะสื่อสารกับลูก เมื่อลูกบอกปัญหาของเขาแล้ว อย่างแรกที่พ่อแม่ต้องทำก็คือ การแสดงความเข้าใจ

“บอกเขาว่า เราเข้าใจนะว่ามันไม่ง่ายเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาคนแสดงอารมณ์อะไรต่อเรา คือการรับรู้อารมณ์นั้นและการแสดงความเข้าใจที่เรามีต่ออารมณ์นั้น ความรู้สึกในขั้นต้นนี้จะเบาไปเยอะเลย เพราะมีคนเข้าใจฉัน แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะตอบว่าก็ทนๆ กันไปเถอะ แม่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันก็กลายเป็นว่า ฉันไม่ดีเหรอที่อดทนไม่ได้” 

กล่าวโดยสรุปก็คือ การพูดคุยต้องเริ่มจากพยายามเข้าใจ ไม่ด่วนเสนอแนะ จากนั้นก็สำรวจลึกลงไปว่าปัญหาคืออะไร แล้วลงมือแก้ไข โดยระลึกเสมอว่าความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกจะกระทบกับอารมณ์และจิตใจของลูกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ควรแสดงออกถึงความกังวลมากไป

ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรจะสื่อสารกับลูก

: เมื่อลูกบอกว่า ไม่ชอบเรียนออนไลน์ 

“แม่รู้มันไม่ง่ายเลยลูก เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังซิ หนูไม่ชอบยังไง แล้วทำยังไงดีคะ ให้มันดีขึ้น ให้แม่ช่วยอะไรได้มั้ย”

: เมื่อลูกถามว่า เราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน 

“ไม่มีใครตอบได้เลยลูก แต่แม่เข้าใจ หนูไม่ชอบที่จะอยู่อย่างนี้ใช่มั้ยคะ จริงๆ เราก็ยังไม่รู้ว่าถ้ามีวัคซีนจะดีขึ้นมั้ย ภาวะที่เราอยู่มันยากมากจริงๆ แม่เข้าใจเลยนะว่ามันยาก แต่ถ้าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สามารถดูแลตัวเองได้นะ”

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

ชวนกันจัดตารางเวลาและหากิจกรรมทำด้วยกัน

เมื่อเส้นแบ่งของโลกการทำงานและโลกที่บ้านไม่ชัดหรือเริ่มหายไป พ่อแม่ต้องทำเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่เพื่อจัดสรร ‘เวลา’ และ ‘พื้นที่’ ของตัวเองและของลูกให้ชัดเจน โดยอธิบายให้ลูกได้เข้าใจถึงพื้นที่ เวลา และกิจกรรมที่เขาต้องทำ ผศ.ดร.ณัฐสุดาแนะว่า ตารางสำหรับลูกควรทำให้เหมือนกับตารางที่ลูกอยู่โรงเรียน พ่อแม่ลูกช่วยกันเขียนเลยว่า ตื่นเช้ากี่โมง เดินเล่นถึงกี่โมง ใช้เวลาไหนเล่นกับพี่น้อง ดูทีวี เรียนหนังสือ ทำการบ้าน ฯลฯ 

“เราคงต้องค่อยๆ บอก ถ้าเกิดเมื่อไหร่แม่อยู่ในห้องนี้แปลว่าแม่ทำงานนะ อาจจะต้องขอ ถ้าหนูเรียน หนูต้องเรียนตรงนี้นะ ไม่ใช่เรียนไปแล้วหนูก็ดูการ์ตูนไปอีกช่องนึง คือทุกคนต้องมีพื้นที่เพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้เราต้องทำอะไร” 

คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่ทำงานที่บ้านทั้งคู่ก็คือ แบ่งเวลาช่วยกันดูลูก เช่น แบ่งให้ชัดเลยว่า ตอนเช้าลูกจะได้อยู่กับแม่แล้วตอนบ่ายจะได้อยู่กับพ่อ เพื่อที่ตัวพ่อแม่เองก็จะได้จัดการเวลาที่ต้องทำงานของตัวเองด้วย สำหรับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า อย่างไรก็ต้องจัดตารางเวลาและสถานที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้แต่ละบ้านควรทำตารางเวลาเหล่านี้โดยการชวนลูกคุย ชวนลูกทำ แล้วตกลงร่วมกัน 

“การตั้งเป้าหมายที่ดีมันควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง การตั้งเป้าหมายก็คือเราคุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร อย่าลืมให้เขารู้ว่าเขายังมีโอกาสที่จะได้คุยกับเพื่อน เขายังต้องมีกิจกรรมที่ทำกับคนในครอบครัวด้วย” 

พ่อแม่ต้องไม่ลืมที่จะจัดตารางให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนเพื่อช่วยเตรียมให้ลูกกลับไปเรียนตามปกติได้โดยไม่สะดุดและไม่รู้สึกแปลกแยกกับเพื่อน ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า ถ้าเด็กอายุต่ำกว่าเจ็ดขวบนั้นให้เจอกับเพื่อนระหว่างการเรียนออนไลน์ของโรงเรียนก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นวัยที่มากขึ้นที่เริ่มถอยห่างจากพ่อแม่ การจัดให้มีการวิดีโอคอลคุยกับเพื่อนในตารางเวลาของลูกจะช่วยลดความรู้สึกคิดถึงเพื่อนได้ หรือถ้าบ้านไหนมีเด็กที่เข้าสู่วัยรุ่น เรื่องเหล่านี้ลูกๆ อาจจัดการเองได้เลย เพียงแต่พ่อแม่ต้องแบ่งเวลาให้ชัดว่าควรจะเป็นเวลาไหนที่เขาจะได้มีอิสระ

ทั้งนี้การสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็นเสมอโดยเฉพาะในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจ ไม่ได้รับรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร เรื่องนี้ ผศ.ดร.ณัฐสุดา ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกว่า การทำงานที่บ้านครั้งที่แล้ว ระหว่างที่กำลังสอนนักศึกษาผ่านโปรแกรมอยู่ ลูกที่ยังเล็กก็เคาะประตูเข้ามาในห้องแล้วร้องไห้บอกว่า “นักเรียนไม่ใช่ลูกของแม่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะแบ่งตารางเวลากับลูกชัดแล้ว แต่ลูกยังต้องการการสื่อสารการอธิบายให้เข้าใจด้วย

นอกจากนี้พ่อแม่ควรใช้โอกาสนี้ที่มีเวลาอยู่กับลูกเพิ่มทักษะต่างๆ ให้ลูกไปพร้อมๆ กับกิจกรรมการผ่อนคลาย เช่น ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ระบายสี เล่นทราย ออกกำลังกาย พ่อแม่สามารถชวนลูกวางแผนได้เลย โดยการถามเขาว่าเวลาที่ไม่สบายใจอยากจะทำอะไรแล้วเพิ่มลงไปให้ตาราง โดยผศ.ดร.ณัฐสุดา เน้นว่าสิ่งที่จะต้องทำคือต้องเข้าใจความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัย หากลูกอยู่ในวัยรุ่นที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็เพียงจัดพื้นที่และโอกาสให้ลูก 

“การเรียนมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องเรียน ในห้องเรียนเป็นการเรียนเอาความรู้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เป็นช่วงที่อยู่นอกห้องเรียน เรียนเนื้อหาผ่านออนไลน์ แต่ว่าการอยู่บ้าน เขาก็สามารถจะเรียนรู้ได้ บางทีก็คือการให้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ตัวเอง มาช่วยกันทำกับข้าว ชั่งตวงวัดก็เป็นการเรียนรู้เรื่องเลขได้ การทำสวนก็เป็นการได้ออกกำลัง หากิจกรรมเถอะที่มาทำร่วมกันกับลูก อย่าตีค่ากิจกรรมต่างๆ ที่จะทำร่วมกันว่าเป็นการเล่น” 

เปลี่ยนความล้าเป็นพลังแล้วดูแลใจตัวเอง

เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะรู้สึกล้าในเวลานี้ อาจจะมีบ้างที่เอาพลังงานด้านลบไปใส่ลูก ฉะนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ การตั้งสติแล้วตระหนักว่าตอนนี้ลูกไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กประถมหรือวัยรุ่น คนที่เขาหวังพึ่งก็คือ พ่อแม่

“แม้จะล้า เราจะต้องกลับมามองให้เห็นว่าตัวเรามีความหมายกับคนอีกคนนึงที่เราดูแลมากขนาดไหน บางทีความล้าอาจจะหายไปเมื่อเราเห็นความหมายของคนที่เราต้องดูแล ยิ่งเห็นความยากของสถานการณ์ที่เจอแล้วต้องผ่านไปให้ได้ ก็จะยิ่งเห็นความหมาย สิ่งนี้จะกลับมาเป็นกำลังใจ เป็นพลังใจให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ฮึดขึ้นมา” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายและเตือนด้วยว่า “ลูกก็อาจจะล้าอยู่เหมือนกัน” พ่อแม่จึงยิ่งต้องเป็นหลักให้ลูก หากพ่อแม่เกิดความกังวลก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองโดยการทำในสิ่งที่ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย การดูแลความสะอาดให้ลูก การลดความเสี่ยงต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถทำและควบคุมได้เพื่อลูก

เมื่อพ่อแม่ตั้งสติ จัดการตารางให้ลูกและตัวเองได้แล้ว การจัดการอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะลืมไม่ได้ก็คือ การกลับมาดูแลตัวเอง ทั้งพ่อและแม่ต้องยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้พักจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ การจัดตารางเวลาแบ่งหน้าที่กันจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้พ่อแม่ออกห่างจากความเครียดในชั่วระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้พ่อควรจะต้องหาวิธีคลายเครียดอื่นๆ มาเสริมกันด้วย เช่น พูดคุยกับเพื่อน ทำกิจกรรมที่ชอบ

“เราพูดเหมือนกับพ่อกับแม่เป็นยอดมนุษย์ แต่ความจริงพ่อกับแม่ก็เหนื่อย พ่อกับแม่ก็ล้า แม้จะมีความหมายเกิดขึ้นแล้วว่าฉันจะต้องทำเพื่อลูก แต่บางทีมันก็มีความล้า มันก็มีความเครียดเนอะ หาวิธีที่จะจัดการกับความเครียด ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราเคยทำได้ที่เราเคยทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยเรา” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดาเห็นว่า ข้อดีอย่างหนึ่งเมื่อได้อยู่บ้านอย่างพร้อมหน้ากันก็คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติในกรณีที่ครอบครัวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การจัดการแบ่งเวลา จัดพื้นที่ หากิจกรรมทำระหว่างที่อยู่ที่บ้านจึงไม่ใช่แค่การลดความกังวล ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่เป็นทางที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ และพ่อแม่ยังใช้โอกาสในวิกฤตนี้รู้จักตัวเองในด้านอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เคยเห็นมาก่อนได้ด้วย

“เราอาจจะเคยเชื่อเกี่ยวกับตัวเรา ฉันคงเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อยู่ๆ เหตุการณ์โควิดเกิดขึ้น ทำให้เราต้องสู้สุดชีวิต สู้ที่สุด อดทนที่สุด นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรานิยามตัวเราใหม่ก็ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เหนื่อยมากๆ อย่างการระบาดรอบสองนี้คนเหนื่อยขึ้นเยอะเลย ถ้าเกิดเรากำลังเหนื่อยอยู่ อยากให้บอกตัวเองว่า เอ้อ เหนื่อยอยู่ เราอดทน ถ้าเราผ่านไปได้ อย่างน้อยเหมือนเราได้ปลดล็อกความสามารถใหม่นะ” ผศ.ดร.ณัฐสุดากล่าวทิ้งท้าย

Tags:

เรียนออนไลน์ความเครียดWork from homeผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dr.Yongyud-1
    How to enjoy life
    จิตวิทยาสติ (Modern Mindfulness) ทางเลือกในการดูแลจิตใจและรับมือกับความเครียด: นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    หากโควิดบังคับให้ครูเปลี่ยน จะสอนออนไลน์ยังไงให้ป็อปและยังมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์อยู่?

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

“เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง
Social Issues
12 January 2021

“เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • เมื่อการลงโทษในสถานศึกษาที่แม้ตัวครูมีจุดประสงค์หวัง ‘ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม’ นักเรียนให้ดีขึ้น แต่หลายครั้งอีกเช่นกันที่เกินเลยเข้าข่ายคำว่า ‘ทำร้ายร่างกาย’ และ ‘ละเมิดสิทธิ’ ไปมาก 
  • “จากเคสครูถ่ายคลิปลงโทษเด็กและเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย ประเด็นคือ หนึ่ง – การกระทำของครูกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของนักเรียนแน่นอน สอง – ครูอาจไม่เข้าใจเรื่อง Digital footprint (ร่องรอยของเราบนโลกดิจิทัล) และสาม – ครูกำลังส่งสารที่สำคัญมากเข้าไปในตัวเด็กว่า การสัมผัสร่างกาย หรือการถ่ายภาพเขา เป็นเรื่องที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าตัว”
  • ชวนตั้งหลักว่าเราจะสร้างวินัยเชิงบวก (ไม่ใช่ลงโทษ) เด็กอย่างไรไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิเขากับ กอล์ฟ – พงศธร จันทร์แก้ว นักสังคมสงเคราะห์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง

ตอนที่เรียนมัธยมเราเคยสอบไม่ผ่านวิชาหนึ่ง โดนครูลงโทษด้วยการตีให้เท่ากับจำนวนคะแนนที่ขาดไป ซึ่งเรา ณ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเพราะเป็นความผิดตัวเองที่สอบไม่ผ่านโดนทำโทษก็ถูกแล้ว แถมยิ่งดีด้วยผ่านโดยไม่ต้องสอบใหม่ แต่เรา ณ วันนี้ก็ฉุกคิดได้ว่ามันแปลกมาก ทำไมการสอบไม่ผ่านถึงกลายเป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ แล้วการถูกตีมันจะช่วยให้เราจำเรื่องที่เรียนได้เหรอ?

เหตุการณ์หนึ่งที่คิดว่ามันเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ คือ การที่ครูคนหนึ่งถ่ายคลิปลงโทษนักเรียนให้ลุกนั่งและยกเก้าอี้ไว้บนหัวลงโซเซียลมีเดีย ซึ่งเสียงของชาวโซเชียลก็แตกเป็น 2 ด้าน ฝั่งหนึ่งบอกว่าครูทำถูกแล้วที่ลงโทษเด็ก ส่วนอีกฝั่งมองว่าครูกำลังละเมิดสิทธิเด็กทั้งการถ่ายคลิป และบทลงโทษที่เกินกว่าเหตุ

เพื่อไขว่าเรื่องนี้ควรจบลงอย่างไร เราควรตั้งหลักมองมันด้วยกรอบคิดแบบไหน The Potential ชวน กอล์ฟ – พงศธร จันทร์แก้ว นักสังคมสงเคราะห์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง มาคุยกันในประเด็นสิทธิเด็กกับการลงโทษในสถานศึกษา เรื่อง digital footprint การถ่ายรูปหรือคลิปเด็กลงโซเชียลมีเดีย และการเคลื่อนไหวประเด็นสิทธิเด็กในสังคมไทยปัจจุบัน

วัฒนธรรมในสังคมที่เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่

จากเคสครูถ่ายคลิปลงโทษเด็กและเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย สำหรับกอล์ฟมองเห็น 3 ประเด็น คือ หนึ่ง – การกระทำของครูกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของนักเรียนแน่นอน สอง – ครูอาจไม่เข้าใจเรื่อง Digital footprint (ร่องรอยของเราบนโลกดิจิทัล) และสาม – ครูกำลังส่งสารที่สำคัญมากเข้าไปในตัวเด็กว่า การสัมผัสร่างกาย หรือการถ่ายภาพเขา เป็นเรื่องที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าตัว

“มันเป็นการลดทอนพลังอำนาจของเด็กในการทำความเข้าใจกับสิทธิเรือนร่างของตัวเขาเอง มันสำคัญมากนะในการประกอบสร้างตัวตนเขาต่อไปในอนาคต”

ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ครูรวมถึงคนส่วนใหญ่มีทัศนคติเช่นนี้ คือ วัฒนธรรมในสังคมที่ให้พลังอำนาจครูอยู่เหนือนักเรียน จนกลายเป็นว่าครูสามารถทำอะไรกับเด็กก็ได้เป็นเรื่องปกติ เช่น ครูล้อเลียนเด็ก ‘ดำเป็นเงาะป่าเลยนะ’ แต่ถูกมองว่าเป็นการหยอกล้อสนุกสนาน แสดงความเอ็นดู เพราะเราต่างหลงลืมที่จะมองในมุมเด็กหรือคนที่ถูกกระทำ และตัวครูเองก็ลืมเช่นกัน หรือถ้าไม่ลืมก็เอนจอยกับการใช้อำนาจนั้น

กอล์ฟยกประสบการณ์ที่เขาเคยไปเรียนต่อประเทศนอร์เวย์ บรรยากาศสังคมที่นั่นต่างกับไทยมาก ครูนอร์เวย์ต้องขอคอนเซนต์ (consent ความยินยอม) จากเด็กและผู้ปกครองก่อนจะทำอะไรทุกครั้ง เช่น ถ่ายภาพ หรือทำกิจกรรมต่างๆ บางโรงเรียนจะมีแบบฟอร์มขอความยินยอมให้ผู้ปกครองเซ็นเลย แต่เมืองไทยเส้นแบ่งของการทำได้ – ทำไม่ได้มันสั้นมาก เพราะผู้ใหญ่ไม่ให้อำนาจ หรือไม่ได้มองเด็กคนหนึ่งว่าเขาก็เป็นมนุษย์ (human being) ที่มีอารมณ์ความรู้สึก มีพลังในการเซเยสหรือโนได้ด้วยตัวเอง 

“เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แบบ… กว่าเราจะมารู้เรื่องสิทธิของตัวเองได้ก็คือต้องโตแล้ว” กอล์ฟกล่าว

สุดท้ายสภาพแวดล้อมมันก็หล่อหลอมให้เด็กต้องยอมจำนนรับสภาพไป การที่เขาถูกล่วงละเมิดถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ อาจจะมีคนแย้งว่าเด็กบางคนก็โอเคกับการกระทำของครู ไม่ได้มองว่าตัวเองถูกละเมิดสิทธิ ในมุมกอล์ฟมองว่า ‘การโอเคของเด็ก’ มันเป็น ‘การโอเค’ ที่เขารู้สึกจริงๆ หรือโอเคเพราะมี norm (บรรทัดฐานสังคม) บางอย่างกดทับเขาอยู่ให้รู้สึกว่าสิ่งนี้โอเค

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้สื่อความว่าครูจะไม่สามารถลงโทษเด็กหรือแตะต้องเด็กได้เลย กอล์ฟบอกว่า สิ่งที่ครูและผู้ใหญ่ทุกคนต้องท่องไว้ในใจ คือ ทุกๆ การกระทำของพวกเขาไม่ควรไปกระทบสิทธิเด็ก หรือการประกอบสร้างตัวตนของเด็ก

กระบวนการทางกฎหมาย

ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 ให้นิยาม ‘การลงโทษ’ ไว้ว่า “การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน มีขอบเขตวิธีลงโทษ ระเบียบกระทรวงฯ กำหนดไว้ 4 สถานด้วยกัน คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับปรุงพฤติกรรม”

ข้อที่เราคิดว่าน่าสนใจ คือ ข้อ 6 ข้อห้ามสำหรับการลงโทษเด็ก คือ ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้สำนึกในความผิด และกลับไปประพฤติตนในทางที่ดีต่อไป

กอล์ฟบอกว่าความท้าทายของเรื่องนี้ คือ การตีความการกระทำ “เวลาเราพูดเรื่อง child abuse หรือ การทารุณกรรมเด็ก มันเกี่ยวโยงกับสังคมมากๆ เลยนะ เพราะแต่ละสังคมก็ให้นิยามคำว่า ‘ทารุณกรรม’ หรือ ‘การละเมิดเด็ก’ ไม่เท่ากัน

“เราชอบนิยามคำว่า ‘ทารุณกรรม’ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก คือ เป็นการกระทำที่ทำให้เด็กเสื่อมเสียเสรีภาพ หรือเกิดอันตรายกับร่างกายและใจ ซึ่งฟังดูมันก็ค่อนข้างความหมายกว้างอยู่เนอะ ปัญหาก็เลยอยู่ตอนตีความ ใครจะเป็นคนตี แล้วตีออกมารูปแบบไหน อย่างเคสครูถ่ายคลิปลงโทษเด็ก ก็ต้องมาถกเถียงว่ามันเป็นการกระทำที่ละเมิดหรือทารุณกรรมเด็กตามกฎหมายไหม”

กอล์ฟเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงขั้นตอนทางกฎหมายหากเด็กที่ถูกครูลงโทษรุนแรงเกินเหตุ จนกลายเป็นการละเมิดสิทธิเขา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นคนรับผิดชอบเคสแบบนี้ คือ พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะมีสองแบบ แบบแรก คือ เป็นโดยตำแหน่ง ถ้าใครอยู่ตำแหน่งนั้นคุณจะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่โดยอัตโนมัติ เช่น ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกระทรวง เป็นต้น กับอีกแบบ คือ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่โดยผ่านการอบรม อาจขึ้นตรงกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรเอกชน

ตามกฎหมายให้อำนาจและหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ว่า ถ้ามีการกระทำที่เป็นการทารุณกรรม หรือทำให้เด็กอยู่ในอันตราย พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาจัดการ แต่ปัญหาคือพนักงานเจ้าหน้าที่เองจะให้นิยามการกระทำที่เกิดขึ้นว่า เป็นการทารุณกรรมเด็ก หรือเป็นการทำให้เด็กอยู่ในสภาวะอันตรายหรือไม่?

“พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจทางกฎหมาย เช่น สามารถเข้าไปวางเงื่อนไขได้ว่า ครูจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไรกับเด็ก แต่ความท้าทายของมันคือ เขาจะตีความการกระทำนั้นอย่างไร

“เราที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ เวลามีเคสและเราต้องการเทคแอคชันอะไร ก็ต้องแจ้งไปพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะเราไม่มีอำนาจทางกฎหมาย เช่น เคสเด็กถูกทารุณกรรม (abuse) จากผู้ปกครอง ตัวเรารู้สึกว่าเด็กจำเป็นต้องถูกแยกออกมา อำนาจที่จะสั่งแยกเด็กกับผู้ปกครองได้ก็ต้องเป็นของพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น เขาสามารถออกคำสั่งแล้วไม่ถูกฟ้องจากพ่อแม่เรื่องสิทธิการปกครอง”

ปัญหาเรื่องการตีความการกระทำไม่ได้มีเฉพาะแค่ที่ไทย แต่กอล์ฟบอกว่าเป็นกันทั่วโลก เพราะมันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ไม่สามารถมองได้แค่เฉพาะตัวการกระทำ เช่น ที่ประเทศนอร์เวย์ มีกฎหมายห้ามผู้ปกครองตีเด็ก เขาตั้งคำถามกลับว่าถ้าพ่อแม่เป็นผู้อพยพละ? ที่เขาตีลูกเนื่องด้วยวัฒนธรรมของเขา หรือถ้าเป็นการตีแบบ good intention (เจตนาดี) ถามว่าแบบนี้ถือเป็นการกระทำผิดไหม? ถ้ายึดตามกฎหมาย คือ ผิด แต่เราก็ไม่สามารถละเลยเจตนาหรือละเลยเรื่องของข้อจำกัดในการเลี้ยงลูกไปได้จริงๆ

“ครูที่ทำไปแบบนั้น เขาอาจมีเจตนาเพื่อปรับปรุงความประพฤติของเด็กจริงๆ แต่พูดถึงการดำเนินคดีปุ๊บ มันสมควรแล้วไหม? หรือการที่ครูได้รับการทัวร์ลง คนคอมเมนต์ต่อว่าก็โอเคแล้ว ให้เขาค่อยๆ เปลี่ยนมายเซ็ตเรื่องนี้

“เพราะเราว่า social sanction (การลงโทษทางสังคม) ช่วยได้ในระดับหนึ่งนะ หรือจริงๆ อาจไม่ต้องถึงขั้นดำเนินคดีแต่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานกับครู ทำความเข้าใจว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ครูทำไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายที่หมายถึงการฟ้องร้องนู่นนี่นั่นก็ได้ แต่ใช้เครื่องมือที่กฎหมายให้เรามา เช่น การเข้าไปพูดคุย ตั้งบันทึกข้อตกลง การทำความเข้าใจกับครู

“เราว่าเคสแบบนี้ไม่ต้องถึงขั้นจับครูติดคุกหรอก คือ เรากำลังมองการกระทำของครูในแง่ที่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจมีข้อจำกัดในการรับรู้บางเรื่องเหมือนกัน เขาเองก็ต้องได้รับโอกาสในการ ‘ถูกอธิบาย’ (เน้นเสียง) หลักการบางอย่าง เพราะตัวครูอาจโตมาด้วยคอนเซปต์แบบนั้น (ลงโทษเพื่อปรับปรุงพฤติกรรม)

“การเพิ่มคอนเซปต์ใหม่เข้าไปในชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ต้องให้เวลาในการเปลี่ยนโปรแกรมใหม่นิดหนึ่ง เพราะสำหรับเราบางครั้งกฎหมายอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้มนุษย์เปลี่ยน”

ถ่ายรูปเด็กควรหรือไม่ควรโพสต์ลงโซเชียล?

การถ่ายรูปเด็กโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันตลอดว่า ควรหรือไม่ควร สำหรับกอล์ฟมองว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็ก เพราะยังมีเด็กที่ชอบถ่ายรูป แชร์รูปตัวเอง และเด็กที่ไม่ชอบ สิ่งสำคัญ คือ ในฐานะผู้ใหญ่ควรคำนึงตลอดว่า รูปถ่ายหรือคลิปที่เราอัดและลงวันนี้ มันจะถูกเผยแพร่ไปที่ไหนได้บ้าง หรือถ้าลงไปแล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กคนนี้ที่โตไปเป็นผู้ใหญ่รู้สึกไม่แฮปปี้กับการที่มีคลิปนี้อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตตลอดไปไหม เพราะหน้าที่หนึ่งของผู้ใหญ่ คือ เราต้องปกป้องเด็กจาก discomfort (ความอึดอัด) ในอนาคตให้เขาด้วย 

“สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ แม้แต่ในกรณีที่เราจะลงรูปเด็กและได้รับความยินยอมจากเขา เราก็ต้องอธิบายเขาเสมอว่าเราจะนำรูปเขาไปลงที่ไหน ใครที่จะมีโอกาสเห็นบ้าง เพื่อที่จะให้เขาสามารถตัดสินใจได้ด้วยข้อมูล มิใช่แค่ความเกรงใจที่เขามีต่อเรา เราว่านี่คือการคืนกลับพลังอำนาจให้เขาในฐานะเจ้าของร่างกายตัวเองที่สามารถเซเยส หรือเซโนกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาได้”

แม้ประเทศไทยจะไม่มีกฎหมายที่พูดเรื่อง digital footprint โดยตรง แต่ในมุมกอล์ฟไม่อยากให้มองว่าต้องมีกฎหมายแล้วถึงจะต้องปฎิบัติตาม เพราะเราไม่จำเป็นต้องสวมแว่นกฎหมายแล้วถึงเข้าใจเรื่องนี้ เพราะมันคือแว่นวัฒนธรรมที่ทุกคนควรเข้าใจเรื่องสิทธิเด็ก อย่ามองว่า ‘มันก็เรื่องเล่นๆ น่ะ นิดเดียวเอง’

“สำหรับเรา ถ้าไม่ใช่เด็กที่เป็นญาติพี่น้อง เราไม่ลงรูปเด็ดขาด เพราะว่าเราคือใคร? มีสิทธิอะไรไปลงรูปเขา แล้วในฐานะครูเป็นคนที่ทำงานกับเด็ก อาจจะยังไม่ขอพ่อแม่เขาด้วยซ้ำแล้วมาถ่ายลงแบบนี้เราว่าไม่โอเค

“ตอนอยู่นอร์เวย์เราเคยถ่ายรูปเด็กในสวนสาธารณะ ถ่ายห่างๆ ด้วยนะ พ่อแม่เขาเห็นปุ๊บเดินมาเราเลย ถามว่าถ่ายรูปลูกเขาทำไม ช่วยลบได้ไหม? ตอนแรกเรารู้สึกเสียเซลฟ์มากนะ พอมาคิดๆ ดูก็แบบ เออ… แล้วเราเป็นใครไปถ่ายรูปลูกเขาทำไม? ขนาดพ่อแม่เขายังเคารพสิทธิลูกเขาเลย ตอนแรกเราก็เกือบตอกกลับไปแบบอิพี่ไทย ‘ทำแหม่ะ?’ แต่เอ๊ะ…กลับมาก่อน (หัวเราะ)”

เด็กไทยวันนี้ คือ คนที่รู้จักสิทธิตัวเองดีที่สุด และสอนผู้ใหญ่ด้วยว่า ‘สิทธิคืออะไร’

หลังจากคุยกับกอล์ฟไปสักพักสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวเราตลอดเวลา คือ ทำไมสังคมนี้ถึงไม่พยายามทำให้เด็กรู้เรื่องสิทธิตัวเอง ทำไมต้องมารู้เมื่อโตแล้ว เราตั้งคำถามกับกอล์ฟว่า หรือการที่ผู้ใหญ่ไม่อยากให้สิทธิเด็กมาก เพราะกลัวว่าสิทธิตัวเองจะน้อยลง ส่งผลเรื่องการปกครองเด็กไหม? กอล์ฟถามเรากลับว่า “ถ้าให้สิทธิเด็กเยอะแล้วสิทธิผู้ใหญ่จะน้อยลง คำถามเรา คือ แล้วเรากลัวอะไรกับการที่ผู้ใหญ่จะมีสิทธิน้อยลงในการควบคุมกำกับเด็ก น่าสนใจนะว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงมองว่า ถ้าเด็กมีสิทธิมากกว่าแล้วมันจะเป็นปัญหา แสดงว่าเรายังไม่ได้มองว่าเด็กมีศักยภาพในการคิดและตัดสินใจเอง”

มายเซ็ตแบบนี้ยิ่งตอกย้ำว่า การที่ผู้ใหญ่มีสิทธิเหนือกว่าเด็กเป็นเรื่องชอบธรรม ถ้าจะมองในมุมที่ผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า มีวุฒิภาวะมากกว่าเด็ก ก็ถือเป็นข้อเท็จจริง แต่อย่าลืมว่าเด็กเองก็มีศักยภาพในการคิด ตัดสินใจ และบอกความต้องการของตัวเอง ยิ่งในโลกปัจจุบัน มีหลายพื้นที่ทางสังคม หลายพื้นที่ทางความรู้ที่ผู้ใหญ่เองอาจไม่รู้จักเลย แต่เด็กกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มากกว่า

ในฐานะคนที่ทำงานกับเด็ก หน้าที่ของกอล์ฟ คือ ต้องช่วยดึงศักยภาพของพวกเขาออกมา ช่วยซับพอร์ตการเติบโตของเด็ก ในหลายครั้ง เราเองกลับเป็นคนที่ได้เติบโตไปด้วยผ่านประสบการณ์และความรู้ของเขา เขาบอกว่าถ้าผู้ใหญ่มีมายเซ็ตว่า ‘เด็กคิดเองไม่ได้หรอก’ จบเลย เป็นการปิดประตูตัดโอกาสเด็กในการใช้และพัฒนาศักยภาพตัวเอง สิ่งที่เราควรสนใจคือ ‘เด็กคิดอย่างไรกับเรื่องนี้นะ’ ซึ่งจะช่วยเปิดประตูทั้งเราและเขาให้ได้เรียนรู้โลกของกันและกันมากขึ้น

“เป็นเรื่องการถูกปลูกฝังของเราด้วยแหละว่า เด็กคือเด็ก เด็กคิดไม่ได้ ก็ต้องมารื้อระบบใหม่ ทั้งกฎหมายด้วย หรือทางปฏิบัติ เพราะตอนนี้บริบทเด็กบ้านเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ความเป็นเด็กหรือการรับรู้ความเป็นเด็กมันต่างกันแล้วนะ สมัยตอนเราเป็นเด็กมันยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้เรา ณ วันนั้นยังไม่เข้าถึงชุดความรู้ขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นอีกแบบหนึ่ง หลายอย่างเด็กรู้เยอะกว่าเราที่เป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้เด็กเขาไปไกลกว่าเราแล้ว ดังนั้นก็ต้องมาคิดกันใหม่เหมือนกันว่า บ้านเราเด็กอายุเท่าไรถึง have a say ได้ อายุเท่าไรเขาจึงตัดสินใจในเรื่องที่กระทบกับชีวิตเขาได้  เราว่าต้องมานั่งคุยกันใหม่

“พอยท์ที่สำคัญ คือ เราที่เป็นคนทำงานเทรนด์เรื่องสิทธิให้เด็ก แต่ทุกวันนี้เราคุยกันกับพี่ๆ ในวงการว่า เราไม่ต้องขอเงินทุนมาทำโครงการให้เด็กเรียนรู้เรื่องสิทธิเด็กแล้ว เพราะกลายเป็นว่าระบอบวัฒนธรรมการเมืองที่บีบคั้น ทำให้เขาเรียนรู้เรื่องและเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่แบบเราไปนั่งบอกว่า เธอมีสิทธิอะไร” กอล์ฟทิ้งท้าย

อ้างอิง
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546

Tags:

การลงโทษสิทธิเด็กนักสังคมสงเคราะห์พงศธร จันทร์แก้ว

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • โรงเรียนควรเป็นเขตปลอด ‘การลงโทษ’ ฝึกให้เด็กรับผิดชอบผลการตัดสินใจของตัวเอง: ครูพรรณทิพย์พา ทองมี โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ปลดกุญแจมือแล้วกอดเขา จนกว่าคนสีเทานั้นจะอ่อนแอลง: มองมุมกว้างเมื่อเด็กก้าวพลาด กับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร 

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    เพราะเด็กเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง คุยเรื่องเส้นแบ่งความเอ็นดูกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก กับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen
Voice of New Gen
9 January 2021

ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

เรื่อง The Potential

  • เมื่อ ‘เด็ก’ ‘เยาวชน’ ‘คนรุ่นใหม่’ วัยที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เฟี้ยว อยากทดลองกับชีวิต สงสัยใคร่รู้ และอยากจะออกไปทดลองกับชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม 
  • ในวาระวันเด็กแห่งชาติ 2564 ชวนไปฟัง 5 เสียงจากคนรุ่นใหม่ที่กำลังทำงานตัวเอง ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมนี้

ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) เด็ก หมายถึง บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

แปลว่าหากดูจากนิยาม ‘เด็ก’ ‘เยาวชน’ จริงๆ แล้วไม่ใช่ ‘เด็กเล็ก’ ในนัยแห่งความอ่อนแอ ถูกปกป้อง หรือต้องมีคนตัดสินใจให้ตลอดเวลา นิยามเป็นแค่นิยาม แต่จริงๆ แล้วคนที่อยู่ในวัยนี้เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เฟี้ยว อยากทดลองกับชีวิต สงสัยใคร่รู้ และอยากจะออกไปทดลองกับชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม 

ไม่เชื่อลองหันไปดูเด็กรอบๆ ตัวเรา หรือเด็กๆ ที่อยู่ตามข่าว หลายรายออกมาเป็นตัวแทนทำเรื่องสร้างสรรค์ มีพลัง ขับเคลื่อนเรื่องยากๆ หรือทดลองทำอะไรบางอย่างที่ผู้ใหญ่เผลอคิดและตัดสินด้วยซ้ำว่าทำไม่ได้ 

ในวาระ #วันเด็ก วันแห่งการเฉลิมฉลองให้กับคนหนุ่มสาวและวัยรุ่น The Potential ชวนฟัง ‘เสียง’ ของคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนประเด็นที่ตัวเองสนใจและตั้งใจอยากทำให้มีประโยชน์ต่อสังคม 

1.

ไครียะห์​ ระหมันยะ หรือที่รู้จักในนาม ‘ลูกสาวแห่งจะนะ’ คือผู้ที่ไปปักหลักที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา วันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เพื่อขอยื่นหนังสือถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด คัดค้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ และขอให้ยุติเวทีรับฟังความเห็นของโครงการ

ความมุ่งมั่นของเธอในวันนั้นได้รับเเรงสนับสนุนจากสังคม และแรงนั้นมากพอที่จะเลื่อนเวทีรับฟังความคิดเห็นออกไป ทำให้ประชาชนหันมาสนใจโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะและมีชาวบ้านเดินทางสู่กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการชะลอโครงการ ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลก็ประกาศชะลอการประชุมโครงการในที่สุด 

หรือกล่าวให้สั้นคือ จากการต่อสู้ของ(เยาวชน)ผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าหาญ สู่การจุดติดวาระทางสังคม จะบอกว่าเธอคือ เกรต้า ธันเบิร์ก เมืองไทยในแง่การยืดหยัดต่อสู้เพื่อให้คนรับฟังปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ผิดนัก 

ไครียะห์ ไม่ได้ต่อสู้โดยไร้ที่มาที่ไป แต่เธอคือหนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม ‘บ้านสวนกง’ บอกเล่าถึงชีวิต ความเป็นอยู่ ระบบนิเวศน์ ที่ทำให้เธอแข็งแรงทางประเด็นเพียงพอจะออกไปต่อสู้เรียกร้องประเด็นทางสังคม 

ชวนอ่านงานวิจัยโดยกลุ่มเด็กรักหาดสวนกง บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ
และ เรื่องของไครียะห์: สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต 

2.

หลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์รับน้องทราบดีว่า ความรู้สึกต่ำต้อย ความรุนแรงจากการถูกเหยียดหยามที่มาพร้อมการละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายเต็มรูปแบบ ให้ความรู้สึกเจ็บแค้น หวาดกลัว และรู้สึกแย่ต่อตัวเองแค่ไหน 

ที่น่าสนใจคือ ‘กิจกรรมรับน้อง’ เคยเป็นเรื่องที่พูดและวิจารณ์ไม่ได้มาตลอด จะต้องมีรุ่นพี่ที่เห็นด้วยกับการหลอมรวมเป็นพวกเดียวกันด้วยอำนาจแบบนี้ออกมาปกป้องอยู่เสมอ หากมีใครลุกขึ้นมาต่อต้าน จะถูก sanction จากคนในคณะจนอาจมีผลต่อการเป็นอยู่ในคณะ – สังคม – อาจเกือบตลอด 4 ปี 

แต่ แฟรงค์-ธนวัฒน์ นุ่มเจริญ และ กลุ่มศิลปิน whistleblower ไม่อยากให้ความจริงเช่นนี้สูญหายไป เค้าและทีมรวมตัวกันสร้างนิทรรศการ ‘SOTUS Object’ นิทรรศการที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ในการจัดกิจกรรมรับน้องของคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร ขึ้นมาเพื่ออยากให้ทุกคนถอดบทเรียนกับมัน 

SOTUS Object มีวันนี้เพราะพี่ให้ นิทรรศการแสดง ‘หลักฐาน’ รับน้อง ที่ต้องการยืนยันว่าการละเมิดมีจริงและไม่ควรถูกทำให้หายไป

3. 

ภูมิ – ภูมิปรินทร์ มะโน ผู้ที่ลาออกจากโรงเรียนอายุ 15 ปี แล้วเดินทางตามฝันไปเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับโลก และเมื่ออายุ 17 ปี ภูมิก็ได้ทำงานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) ที่อายุน้อยที่สุดของบริษัท OmniVirt สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ต่อมาภูมิสร้างค่าย YCC (Young Creator’s Camp) เพื่อเป็นพื้นที่ให้เด็กคนอื่นๆ ค้นหาและพัฒนาตัวเอง

“เราอยากให้คนที่เขียนโปรแกรมได้ เป็นมากกว่าคนที่เขียนโปรแกรมตามคนอื่น แต่เป็นคนที่สามารถเสกสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เราอยากให้เขาเป็นนวัตกรจริงๆ ไม่ใช่แค่คนเขียนโปรแกรมเป็น” 

ชวนอ่านเรื่องของภูมิ การลาออกจากโรงเรียน: ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

และบทบาทนักพัฒนาซอร์ฟแวร์และการทำค่ายให้เด็กและเยาวชนสร้างนวัตกรรม: ‘เราจะก้าวสู่จุดที่เด็กทำวิจัยกับนักวิจัยเพื่อส่งของขึ้นอวกาศอย่างเป็นเรื่องปกติ’ ภูมิปรินทร์ มะโน

4.

แดน – แดนไท สุขกำเนิด หนึ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ออกแบบบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ชื่อ Deschooling Game เขาเป็นคนหนึ่งที่กำลังเรียนการศึกษาทางไกล (กศน.) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 

ชวนอ่านเรื่องของคนทำและขั้นตอนการทำบอร์ดเกมที่ไม่ต่างจากการทำงานวิจัยขนาดย่อม พวกเขาต้องเริ่มจากศึกษากลุ่มเป้าหมายก่อนถึงจะออกแบบเกมได้ จนมาถึงขั้นออกแบบตัวเกมที่ไม่ใช่แค่คิดเนื้อเรื่องหรือรูปแบบ แต่ต้องออกแบบด้วยว่าทุกๆ มิชชั่น ทุกๆ เควส ที่ผู้เล่นเจอ เขาจะได้รับอะไรกลับไป

อีกหนึ่งแรงบันดาลใจจากกลุ่มคนทำงานที่เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นได้หลากหลาย Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

5.

ปีที่ผ่านมา ที่คึกคักและทรงพลังที่สุดคือกองทัพติ่งเกาหลีที่เป็นผู้ขยับขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมแทบทุกประเด็นโดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตย 

คนรุ่นใหม่กล้าแสดงจุดยืนในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ โดยพวกเขาส่วนหนึ่ง (เเละอาจจะเป็นส่วนใหญ่) คือคนที่เรียกตัวเองว่า ติ่งเกาหลี หรือ กลุ่มเเฟนคลับศิลปินเกาหลี หากคุณสงสัยว่าเขาคือใคร ให้สังเกตชื่อเเละรูปโปรไฟล์ของเเอคเคาท์นั้นจะเป็นรูปที่เกี่ยวข้องกับศิลปินเกาหลี คนที่พร้อมจะเเท็กทีมในเเต่ละโอกาสเพื่อซัพพอร์ตศิลปินที่เขาชอบ เกิดเป็นชุมชนเเฟนคลับที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม เเละภาษา เเม้ไม่เคยเจอกันมาก่อน เเต่คนในชุมชนนี้รู้สึกสนิทกัน (เข้าอกเข้าใจกันมาก) มานานหลายปี

ชวนอ่านอีกหนึ่งเสียงของคนรุ่นใหม่ว่าจริงๆ เเล้วติ่งเกาหลีในตอนนี้คือใคร การตามศิลปินส่งผลต่อความคิดของพวกเขาอย่างไรบ้าง จนกลายเป็นชุมชนที่เรียกได้ว่ามีอิทธิพลต่อความคิดของคนในสังคมเเละช่วยผลักประเด็นทางสังคมไปในวงกว้างได้ในเวลาไม่กี่นาที 

จากติ่งเกาหลีสู่ Active Citizen: ลำโพงขนาดใหญ่ผู้ขับเคลื่อนประเด็นสังคมและการเมือง

Tags:

วัยรุ่นประชาธิปไตยนวัตกรสิ่งแวดล้อมบอร์ดเกมประเด็นทางสังคม

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    65 ปี คำขวัญวันเด็ก คำท่องจำที่สะท้อนความคาดหวังต่อเด็กจากรัฐ แต่ไม่เคยสะท้อนเสียงของเด็กเลยสักครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    การเมือง เรื่องที่ควรเริ่มคุยจากในครอบครัว : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

65 ปี คำขวัญวันเด็ก คำท่องจำที่สะท้อนความคาดหวังต่อเด็กจากรัฐ แต่ไม่เคยสะท้อนเสียงของเด็กเลยสักครั้ง
Social Issues
9 January 2021

65 ปี คำขวัญวันเด็ก คำท่องจำที่สะท้อนความคาดหวังต่อเด็กจากรัฐ แต่ไม่เคยสะท้อนเสียงของเด็กเลยสักครั้ง

เรื่อง The Potential

  • เนื่องในวาระวันเด็กแห่งชาติปีที่ 65 ชวนดู “8 คำยอดนิยม” ที่ถูกใส่ไว้ในคำขวัญวันเด็ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 – 2564 ว่าเด็กแบบไหนที่ผู้ใหญ่ (รัฐ) ไทยต้องการ แล้วคำขวัญที่ผู้ใหญ่พร่ำสอนสั่งเด็กในวันนั้น ผลิตพลเมืองแบบที่ต้องการได้จริงไหม หากเด็กชายวัยสามขวบที่ได้เข้าร่วมงานวันเด็กครั้งแรกในวันนั้น กลายมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ แถมมีอำนาจออกคำสั่งสอนเด็ก แล้วพวกเขาทำได้อย่างที่สั่ง เป็นแบบอย่างที่ดีให้เยาวชนในวันนี้หรือเปล่า

วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราของทุกปีถูกจัดให้เป็นวันเด็กแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก โดยธรรมเนียมของทุกปีนายกรัฐมนตรีจะมอบคำขวัญวันเด็ก โดยคำขวัญวันเด็กประจำปี 2564 จาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”

ในวาระครบรอบ 65 ปีวันเด็กแห่งชาติ ประเทศไทยมีคำขวัญวันเด็กมาแล้วทั้งหมด 61 คำขวัญ ชวนคิดว่าอะไรที่ซ่อนอยู่ในคำขวัญวันเด็ก คำท่องจำที่สะท้อนสภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีในแต่ละยุคถึงอนาคตของชาติ (แต่ไม่เคยสะท้อนเสียงของเด็กเลยสักครั้ง)

ผ่าน “8 คำยอดนิยม” ที่ถูกใส่ไว้ในคำขวัญวันเด็ก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 – 2564 ว่าเด็กแบบไหนที่ผู้ใหญ่ (รัฐ) ไทยต้องการ แล้วคำขวัญที่ผู้ใหญ่พร่ำสอนสั่งเด็กในวันนั้น ผลิตพลเมืองแบบที่ต้องการได้จริงไหม หากเด็กชายวัยสามขวบที่ได้เข้าร่วมงานวันเด็กครั้งแรกในวันนั้น กลายมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ แถมมีอำนาจออกคำสั่งสอนเด็ก แล้วพวกเขาทำได้อย่างที่สั่ง เป็นแบบอย่างที่ดีให้เยาวชนในวันนี้หรือเปล่า

เนื่องในโอกาสวันเด็กปีนี้ ก่อนจะไปบอกเด็กว่าควรเติบโตไปอย่างไร อยากชวนผู้ใหญ่มาทบทวนตัวเองว่าเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวน่าเคารพสำหรับเด็กแล้วหรือยัง 

จุดกำเนิดวันเด็กแห่งชาติไทย: เพื่อปลูกฝังให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดี

การจัดงานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกเกิดจากคำชวนของ วี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ มีจุดหมายเพื่อให้สังคมเห็นถึงความสำคัญและความต้องการของเด็ก และอีกนัยหนึ่งเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทตัวเองในประเทศ สร้างการมีส่วนร่วมให้กับพวกเขา

จุดประสงค์ของการจัดงานวันเด็กของรัฐบาลไทยเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดี และเพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก

และเป็นธรรมเนียมที่ทุกๆ ปี นายกรัฐมนตรีจะมอบคำขวัญเนื่องในวันเด็ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่เริ่มทำคำขวัญวันเด็ก คือ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ในปีพ.ศ. 2499

หากมองลึกลงไปในประโยค คำขวัญแต่ละปีนั้นสะท้อนคำสั่งและความคาดหวังจากผู้ใหญ่หรือรัฐ ถึงคุณลักษณะที่อนาคตของชาติพึงมี รวมถึงสะท้อนบริบททางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ไปจนถึงอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น

ชวนย้อนมอง ”8 คำยอดนิยม” ที่ถูกใส่ไว้ในคำขวัญวันเด็ก ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 – 2564 ว่าเด็กแบบไหนที่ผู้ใหญ่(รัฐ)ไทยต้องการ แล้วคำขวัญที่ผู้ใหญ่พร่ำสอนสั่งเด็กในวันนั้น ผลิตพลเมืองแบบที่ต้องการได้จริงไหม 

ตั้งแต่ปี 2499 – 2564 ไทยมีคำขวัญวันเด็ก 61 คำขวัญ แต่มีคำสำคัญที่กล่าวถึงซ้ำๆ อยู่จำนวนหนึ่ง อย่าง ชาติ  วินัย คุณธรรม ขยัน สามัคคี ประหยัด ซื่อสัตย์ ประชาธิปไตย

ชาติ

ดูเหมือนความรักชาติจะเป็นคุณสมบัติหลักที่ผู้ใหญ่คาดหวังต่อเด็ก หากไล่เลียงดูคำว่าชาตินั้นปรากฏอยู่ในคำขวัญวันเด็กมากถึง 16 ปี (19 ครั้ง) มีตั้งแต่ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดพาชาติเจริญ รักชาติ ทำเพื่อชาติ ไปจนถึงเด็กไทยคือหัวใจของชาติ

นัยของคำว่า ‘ชาติ’ ในคำขวัญส่วนใหญ่สื่อถึงประเทศ ทำให้บริบทการใช้จึงส่งเสริมให้เป็นหน้าที่ของเด็กไทยที่ต้องนำพาชาติให้เจริญ ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินเกิด ซึ่งคำขวัญที่มีคำว่าชาติที่ฮอตฮิตตลอดกาลคงหนีไม่พ้น ‘เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ’ ของจอมพล ถนอม กิตติขจร วลีเด็ดที่เรายังคงได้ยินอยู่ทุกวันนี้ ถ้าพิจารณาตามบริบทสังคม ณ สมัยปี 2516 ที่เกิดคำขวัญดังกล่าว ถือเป็นปีแห่งความขัดแย้งระหว่างนักศึกษาและรัฐบาล จนเกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญ คือ 14 ตุลาคม คำขวัญวันเด็กจึงเป็นเครื่องมือในการสร้างเด็กที่สังคมนี้ต้องการ

หากเด็ก คือคนที่จะพาชาติเจริญอย่างที่ผู้ใหญ่บอกจริง เราคงต้องกลับมาดูว่าเด็กแบบไหนที่จะขับเคลื่อนประเทศ เด็กตามความหมายเดิม หรือเด็กไทยทุกคนที่ควรได้รับโอกาส แม้เขาอาจไม่ตรงตามกรอบ ‘เด็กดี’ ที่สังคมไทยต้องการ

วินัย

การใช้คำว่า ‘วินัย’ ในสังคมไทยมักหมายถึง การรู้จักหน้าที่ ปฎิบัติตัวตามกรอบที่กำหนดไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ในคำขวัญวันเด็กคำว่าวินัยมักมาคู่กับชาติ คือ เมื่อเด็กไทยมีวินัย ก็ย่อมส่งผลให้ชาติรุ่งเรือง และไม่น่าแปลกใจที่คำนี้จะครองความนิยมเป็นอันดับสอง เพราะหากไปไล่เรียงดูอาชีพของนายกฯ จะพบว่ากว่าครึ่งเป็นทหารซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการฝึกระเบียบวินัย ที่น่าแปลกใจคือเหตุใดทหารถึงเป็นอาชีพของนายกส่วนใหญ่ 

นอกจากนั้นในโลกปัจจุบันเราอาจไม่ได้ต้องการหรือทำให้เด็กต้องตรงตามกรอบ แต่คือ การเปิดกว้างและซับพอร์ตการเติบโตของพวกเขา โดยคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ ความคิดเป็นของตัวเอง วินัยในวันนี้อาจไม่ใช่การอยู่ในกรอบ แต่คือรู้จักสิทธิและหน้าที่อย่างพลเมืองโลก

คุณธรรม

อีกหนึ่งคุณสมบัติยอดฮิตของเด็กไทยที่ถูกวางว่าต้องมี ซึ่งคำว่า คุณธรรม ความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง สภาพคุณงามความดี และเมื่อพูดถึงความดีในสังคมไทยมักผูกเข้ากับศาสนาตามวิถีชาวพุทธ นั่นหมายความว่าคุณธรรมที่เด็กไทยควรมี คือ การปฎิบัติตัวตามแบบวิถีชาวพุทธ เช่น รักษาศีล 5 รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่เราถูกสอนให้ศรัทธา แต่ปัจจุบันท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่พวกเขาต่างถูกสอนให้ศรัทธา รวมถึงตัวบุคคลที่เป็นคนสอนเขาเอง 

ขยัน

การใช้คำว่า ‘ขยัน’ ในคำขวัญจะมีสองนัยด้วยกัน คือ ขยันในเชิงการเรียนรู้ เช่น ขยันหมั่นเพียร ขยันศึกษา และขยันในเชิงเศรษฐกิจ มักมาคู่กับคำว่า ประหยัด เป็นการปลูกฝังทัศนคติเด็กไทยว่า ถ้าเราขยันแล้วชีวิตจะเจริญ ประสบความสำเร็จ สามารถเลื่อนสถานะทางสังคมได้

ข้อมูลสถิติจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อปี 2020 ระบุว่าการกระจุกของรายได้ในประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มชนชั้นบน ทำให้การแบ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจยังไม่ทั่วถึงชนชั้นล่าง และระยะห่างทางฐานะระหว่างกลุ่มชนชั้นบนและล่างนั่นอยู่ที่ 20 เท่า ฉะนั้น ประโยคที่ว่าขยันแล้วจะรวย อาจเป็นเพียงการวาดวิมานในอากาศให้กับเด็กไทย เพราะในสังคมเหลื่อมล้ำ ความรู้ ความสามารถ หรือความขยันคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถเลื่อนสถานะทางสังคมได้

สามัคคี

การปรากฏตัวของคำนี้ในคำขวัญของนายกฯหลายยุคสมัย สะท้อนให้เห็นว่า คุณสมบัติข้อนี้ เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องการในทุกยุคทุกสมัย หรืออาจมองได้ว่า สามัคคี ถูกใช้เป็นยาที่จ่ายโดยรัฐเพื่อสมานแผลในยามที่ประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด 

หรืออีกมุมหนึ่งอาจมองได้ว่า ความเห็นต่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัยในทุกๆเรื่อง แม้แต่ในชีวิตประจำวัน กลับถูกมองเป็นขั้วตรงข้ามของความสามัคคี ความแตกต่างไม่เคยได้รับการโอบรับจากสังคม ความเห็นต่างถูกแปลเป็นความแตกแยก เพราะเป็นสิ่งที่รัฐไม่ยอมรับให้เกิดขึ้น ความสามัคคีจึงถูกหยิบมาเป็นคำสั่งจากรัฐในวาระที่มีคนเห็นไม่ตรงกับสิ่งที่รัฐต้องการ 

เพราะหากรัฐมีความจริงใจที่จะส่งเสริม “ความสามัคคี” ให้แก่เยาวชน สามัคคีที่หมายถึง “ความพร้อมเพรียง ความปรองดอง การร่วมมือร่วมใจกันทำ” การร่วมมือร่วมใจกันเรียกร้องความยุติธรรม ของนักศึกษา การเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดการปรองดอง ไปจนถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนและคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน (แต่อาจไม่ตรงกับรัฐ) คงไม่ถูกสลายและคุกคามจากรัฐอย่างที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกยุคทุกสมัยอย่างที่เป็นอยู่ 

ในวาระที่ประเทศอยู่ท่ามกลางความเห็นต่างอีกครั้ง อยากชวนมาคิดถึงความหมายของคำนี้กันอีกที ว่าสามัคคียังเป็นยาสมานความเห็นต่างได้อยู่ไหม หรือการรับฟังและเคารพความคิดที่แตกต่างอาจเป็นวัคซีนในโมงยามนี้

ประหยัด

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ระบุว่า “ประหยัด” มีสองความหมาย 1. การยับยั้ง ระมัดระวัง เช่น ประหยัดปาก ประหยัดคำ 2. การใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ 

คำนี้ถูกหยิบมาใส่ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2505 สมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในยุคของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ช่วงพ.ศ. 2524-2531 หากมองย้อนกลับไปในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ยุคนั้นเศรษฐกิจไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาทิ การเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมสู่การผลิตแบบอุตสหกรรม รายได้หลักของประเทศเปลี่ยนจากการส่งออกสินค้าทางการเกษตรมาเป็นการผลิตสินค้าโดยเฉพาะสิ่งทอ เกิดการจ้างงานในระบบโรงงานมากขึ้น รัฐหันมาเน้นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกมาขึ้น และออกนโยบายลดภาษีส่งออก มีการปรับลดค่าเงินบาท และผลักดันโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้ภาคตะวันออกกลายมาเป็นพื้นที่อุตสากรรมอย่างทุกวันนี้ ไทยก้าวเข้าสู่ฐานการผลิตที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก 

สรุปได้ว่าเป็นช่วงที่มีความตื่นตัวทางเศรษฐกิจ มีรายได้เข้าประเทศและการลงทุนด้านอุตสหกรรมในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็ถ่างช่องความเหลื่อมล้ำของภาคเกษตรและอุตสหกรรมให้กว้างยิ่งขึ้น รายได้เพิ่มขึ้นอย่างกระจุกตัว คำนี้กลับมาปรากฏอีกครั้งในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 2 ที่รับไม้บริหารต่อจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง การรู้จักคุณค่าของเงิน ใช้จ่ายอย่างมีสติพอควรแก่ฐานะจึงเป็นคุณสมบัติที่รัฐเลือกมาปลูกฝังให้เยาวชนในยุคนั้น 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการประหยัดนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำและควรส่งเสริมตั้งแต่เด็ก หากแต่ในวันที่สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันกำลังดับฝันเยาวชน อยากชวนมาพิจารณาคำนี้กันอีกครั้ง ว่าเด็กไทยควรประหยัด หรือใครกันที่ควรใช้งบประมาณแต่พอควรแก่ฐานะ และใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม 

ซื่อสัตย์

ซื่อสัตย์ หรือสัตย์ซื่อ นั้นไม่ใช่แค่ปรากฏในคำขวัญวันเด็ก แต่ความซื่อสัตย์ยังได้ถูกพูดถึงบนเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ว่าความซี่อสัตย์นั้นมีหลายประเภท เช่น ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อมิตร และซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ และเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อสังคม อีกนัยนึงความซื่อสัตย์ยังสะท้อนวัฒนธรรมและความเชื่อแบบเมืองพุทธ ที่ชูการรักษาศีล 5 และดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์สุจริต 

คำนี้ถูกหยิบมาใส่ในคำขวัญครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 จนวันนี้ผ่านมา 40 ปี เด็กในวันนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่การเมืองไทยกลับตอกย้ำให้เห็นว่าผลตอบแทนของความซื่อสัตย์ทั้งต่อตัวเอง ต่อหน้าที่ ต่อประเทศชาติ ในการยืนหยัดพูดความจริง กลับเป็นสาเหตุให้หลายคนต้องเอาอิสรภาพและชีวิตเข้าแลก ในขณะที่การคอรัปชั่น การบิดเบือนความจริงกลับยังมีให้เห็นรายวัน 

ประชาธิปไตย

คำที่เราได้ยินกันบ่อยในปีที่ผ่านมา คำนี้ถูกกล่าวถึงเพียง 4 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดโดย นาย ชวน หลีกภัย ในปี พ.ศ. 2536 – 37 (รัฐบาลชวน1) และ ปีพ.ศ. 2543 – 2544 (รัฐบาลชวน 2) 

ซึ่งปัจจุบันนาย ชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งประธานสภา ที่หวังว่าท่านจะทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และส่งเสริมสนับสนุนประชาธิปไตย อย่างที่ท่านเคยมอบคำนี้ให้เด็กๆ ไว้กว่ายี่สิบปีมาแล้ว

ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา คำขวัญวันเด็กบอกเราว่าเด็กแบบไหนที่ผู้ใหญ่ต้องการ คุณลักษณะแบบใดที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เมื่อคำขวัญเป็นเพียงคำขวัญที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเมื่อถึงวาระ แต่ไม่เคยมีการเตรียมการหรือวางแผนนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ศักยภาพนั้นเกิดขึ้นจริง ยิ่งไปกว่านั้นคำที่พร่ำบอกเด็กยังกลายเป็นคำหลอกเด็กจากหัวหน้าผู้ใหญ่ในสภา ที่แทบจะไม่เคยมีรัฐบาลไหนเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงเด็กดีที่รัฐไทยต้องการเลยสักครั้ง 

และหากวันเด็กคือวันสำหรับเด็ก เรากลับไม่เคยได้ยินเสียงความต้องการของเด็กอย่างจริงจังเลยสักปี การสอนสั่งด้วยเหตุผลว่าหวังดีนั้นยังใช้ได้กับเด็กในวันนี้อยู่อีกไหม อะไรคือสิ่งที่เด็กๆ ต้องการ? 

โอกาส การถูกยอมรับในสังคม ความเชื่อมั่นในตัวเอง การส่งเสริมให้เขาได้เจอศักยภาพในตัวเอง รักตัวเอง อิสระในการแสดงความคิดเห็น และอีกสารพัดสิ่งที่เด็กๆ คงจะเป็นคนตอบได้ดีที่สุด

อยากชวนผู้ใหญ่ทุกคนในวันนี้มามอบคำขวัญที่เด็กๆ อยากได้เนื่องในวันเด็กปีนี้กันค่ะ

Tags:

ประชาธิปไตยประเด็นทางสังคมวันเด็กวัยรุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    “ไม่รู้สึกว่าถูกเด็กตำหนิ แต่คิดว่าคนรุ่นเราไม่ได้สร้างระบบการศึกษาที่ดีพอให้เด็กรุ่นนี้” สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Dear Parents
    การเมือง เรื่องที่ควรเริ่มคุยจากในครอบครัว : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ
8 January 2021

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

เรื่อง The Potential

เล่านิทานกับพี่เบิร์ดคิดแจ่ม Bird KidJam อีพีนี้พี่เบิร์ดไม่ได้มาเล่าตัวคนเดียว แต่พาเพื่อนอย่างป่าน – ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ แห่งร้าน Fathom bookspace และเต๋า – ปรมะ นิมิตรอานันท์

พวกเขาจะมาเล่านิทานที่เด็กฟังได้ ผู้ปกครองฟังยิ่งดี เพราะนิทานเรื่องนี้คุยกับผู้ปกครองโดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงลูก กับ ‘ปลาฉลามฟันหลอ’ โดย บินหลา สันกาลาคีรี นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ปกครองสามารถคุยเรื่องยากๆ กับลูกได้ด้วย

Tags:

นีลชา เฟื่องฟูเกียรติปฐมวัยนิทาน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul
Dear ParentsMovie
7 January 2021

Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

เรื่อง พิมพ์พาพ์

หมายเหตุ: มีเปิดเผยเส้นเรื่องและบางเหตุการณ์ของแอนิเมชันเรื่อง Soul นิดหน่อย แต่ไม่ได้เฉลยตอนจบ สามารถอ่านได้แต่ไม่เสียอรรถรสค่ะ ^^

Tags:

ภาพยนตร์ดนตรีการเติบโตพิมพ์พาพ์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • MovieDear Parents
    The Umbrella Academy: ความรู้สึกเป็นคนนอกครอบครัว เพราะตัวเองไม่(มีพลัง)พิเศษ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

’10 ทักษะชีวิต’ ที่ต้องมี กับคีย์เวิร์ดดีๆ ที่ช่วยให้ปีฉลูผ่านฉลุย
Character building
6 January 2021

’10 ทักษะชีวิต’ ที่ต้องมี กับคีย์เวิร์ดดีๆ ที่ช่วยให้ปีฉลูผ่านฉลุย

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

จะปีเก่าหรือปีใหม่ ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น ก้าวหน้าอย่างที่หวัง มีความสุขความสำเร็จตามสมควร แต่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เราเองก็ต้องฝึกฝนเพิ่มเติมศักยภาพให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือการทำงาน ซึ่งทั้งหมดมีแต้มต่อมาจากฐานแน่นๆ ที่เรียกว่า  ‘ทักษะชีวิต’ หรือความสามารถที่ช่วยให้สามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น  พร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต เพื่อที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

เมื่อปี 1997 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้บัญญัติคำว่า ‘ทักษะชีวิต’ (Life Skills) ขึ้นมา และได้กำหนดองค์ประกอบไว้ 10 องค์ประกอบ ได้แก่

  • ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking skills) 
  • ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking skills)
  • ทักษะการตระหนักรู้ในตน (Self awareness building skills)
  • ทักษะการเข้าใจผู้อื่น (Empathy skills)
  • ทักษะการตัดสินใจ (Decision making skills)
  • ทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving skills)
  • ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication skills)
  • ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal Relationship skills)
  • ทักษะการจัดการกับอารมณ์ (Coping with emotion skill)
  • ทักษะการจัดการกับความเครียด (Coping with stress skills)

แน่นอนว่าถ้าใครมีครบทุกข้อย่อมดีที่สุด แต่ก็เป็นธรรมดาที่แต่ละคนจะมีทักษะแต่ละข้อไม่เท่ากัน ถ้าอยากรู้ว่าข้อไหนคือทักษะที่ใช่ที่สุดสำหรับเราในปีนี้ ให้เอาหมายเลขภาพตามที่เลือกไว้ ไปดูคำขยายในคีย์เวิร์ดแต่ละหัวข้อ เผื่อว่าจะใช้เป็นไกด์ไลน์สำหรับชีวิตดีๆ ในปี 2021 นี้ได้บ้าง (ไม่มากก็น้อย)  

1.โปรดจงตัดสินใจ

ถ้ายังรักพี่เสียดายน้อง ลังเลเลือกไม่ได้กับอะไรหลายๆ อย่าง นั่นคือสภาวะไม่กล้าตัดสินใจที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับปัญหายุ่งยากซับซ้อนตัวแปรเยอะ แต่การปล่อยให้เรื่องบางเรื่องคาราคาซังยืดเยื้อ มักย้อนวนกลับมาสร้างภาระด้านสุขภาพจิตให้กับตัวเอง  

ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) หรือการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม เป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราประเมินทางเลือกและผลที่จะได้รับจากการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่สร้างภาระทางความคิดและความรู้สึกให้กับตัวเองและผู้อื่น ซึ่งเรื่องแบบนี้สามารถฝึกกันได้

วิธีฝึกทักษะการตัดสินใจ 

ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น > แยกแยะเหตุผลออกจากความรู้สึก > จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกให้ได้ > หาข้อมูลสำคัญมาประกอบ > พิจารณาทางเลือกต่างๆ > ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย > ตัดสินใจเลือกอย่างมีสติ

2.ปัญหามาปัญญามี

ไม่มีใครที่ไม่เคยเจอปัญหาหนักอกหนักใจ แต่จะรับมือได้ดีแค่ไหน ผ่อนหนักให้เป็นเบาหรือแก้ไขให้ลุล่วงได้หรือไม่ ต้องอาศัยความสามารถในการจัดการความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างมีระบบ และทุกครั้งที่ลงมือแก้โจทย์ยาก ขอให้เชื่อเถอะว่าสิ่งที่ตามมาจะเป็นบทเรียนชั้นดีของชีวิต

ทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving) นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยคลายปมต่างๆ ก่อนเข้าสู่เงื่อนตายแล้ว ยังช่วยให้ปัญหาสารพัดไม่สะสมจนเกิดเป็นความเครียด หรือลุกลามบานปลายจนยากจะแก้ไข ถ้าใครรู้สึกว่ายังแก้ปัญหาได้ไม่ดีพอ ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดู 

วิธีฝึกทักษะการแก้ปัญหา 

กำหนดปัญหาให้ชัดเจน > รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง > วิเคราะห์ข้อมูลและปัจจัยแวดล้อม > หาแนวทางการแก้ไขหลายๆ ทาง > เลือกวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุด > วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน > ประเมินผลลัพธ์ > ปรับวิธีการหากยังไม่ลุล่วง

3. ช่างคิดไม่ติดกรอบ

ชีวิตก็ไม่ได้แย่ แค่เหมือนย่ำอยู่กับที่ อาจเป็นเพราะบ่อยครั้งเราปล่อยให้ความเคยชินเป็นตัวกำหนดวิธีปฏิบัติไปจนถึงเป้าหมาย ใช้กรอบคิดเดิมๆ ในการรับมือกับสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามา ซึ่งดีที่สุดก็คงจะเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ต่างไปจากเดิม 

เริ่มต้นปีนี้ลองติดตั้ง ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) เพื่อเป็นตัวช่วยค้นหาทางเลือกใหม่ๆ โดยเริ่มจากการมองโลกหรือมองปัญหาให้พ้นไปจากกรอบเดิม ใช้ความคิดที่หลากหลายเชื่อมโยงและหาทางออก แสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ  และพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

วิธีฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์ 

ลองตั้งโจทย์ที่ต่างออกไป หรือค้นหาเป้าหมายใหม่ > แสวงหาข้อมูลความคิดที่หลากหลาย (พูดคุยแลกเปลี่ยน) > ออกแบบทางเลือกโดยไม่ยึดติดกับข้อจำกัด > ลงมือทำด้วยวิธีการที่ต่างไปจากเดิม > ยอมรับและเรียนรู้จากความล้มเหลว

4.มองรอบทิศคิดรอบคอบ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีคำถามกับทุกเรื่องราว มีความเห็นในทุกวงสนทนา เป็นไปได้ว่า ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ  หรือบางทีก็ใช้คำว่า ‘การคิดเชิงวิพากษ์’ เริ่มมีในเนื้อในตัวแล้ว แต่จะพัฒนาจากการช่างวิพากษ์วิจารณ์เป็นทักษะได้จริงหรือไม่นั้น จำเป็นต้องมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่เป็นระบบ 

ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking)  จะช่วยให้เราสามารถประเมินข้อสรุปจากหลักฐานหรือสภาวการณ์ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง โดยไม่มีอารมณ์และทิฐิมาชักนำ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน ยังช่วยป้องกันการถูกครอบงำทางความคิดได้ด้วย

วิธีฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 

รู้จักตั้งคำถาม สงสัยในทุกคำกล่าวอ้าง > ไม่เชื่อข้อมูลจากแหล่งเดียว > หาข้อมูลอย่างรอบด้าน > ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล > วิเคราะห์เหตุผลและความเป็นไปได้ตามหลักภววิสัย > ทบทวนและตรวจทานตนเองเสมอ  

5.คารมเป็นต่อ

เป็นเหมือนกันมั้ย…แค่เตือนเพื่อนก็หาว่าด่า อุตส่าห์ชมกลับถูกมองว่ากระแนะกระแหน บอกว่า ‘ไม่’ ก็ไม่มีใครสน แต่พอไม่พูดกลายเป็นหยิ่งไปอีก ถ้าใครกำลังเจอสถานการณ์แบบนี้ บอกได้เลยว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร หรือเรียกว่าไม่มี ‘วาทศิลป์’ นั่นเอง

ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) แม้จะดูไม่ได้ล้ำลึกอะไรแต่ก็สร้างแต้มต่อในชีวิตได้มากมาย เพราะความสามารถในการใช้คำพูดและท่าทางเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้อย่างเหมาะสม ทั้งกับบริบททางวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่างๆ คือด่านแรกที่ทำให้ได้รับการยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นในการแสดงความคิดเห็น การแสดงความชื่นชม การเจรจาต่อรอง การตักเตือน การช่วยเหลือ หรือแม้แต่การปฏิเสธ

วิธีฝึกทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 

ชัดเจนในเรื่องที่จะสื่อสาร > ใช้ภาษา น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง สอดคล้องกับเจตนา > พูดจาชัดถ้อยชัดคำ กระชับได้ใจความ > แสดงทัศนคติหรือมุมมองที่เป็นประโยชน์ > สังเกตอากัปกิริยาและให้เกียรติคู่สนทนา > ฟังและตอบสนองด้วยความใส่ใจ

6.เติมใจให้กัน

ลองนับนิ้วดูว่าแต่ละปีที่ผ่านไป เรามีเพื่อน(ในโลกจริง)เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง และในบรรดาคนที่ได้พบปะเจอะเจอนั้นมีสักกี่คนที่สามารถแชร์สุขทุกข์กันได้จริงๆ บางครั้งจำนวนเพื่อนในโซเชียลมีเดียอาจสวนทางกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เวลาเผชิญกับปัญหา และนั่นเป็นเหตุผลว่า ‘สัมพันธภาพ’ สำคัญแค่ไหน

ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal relationship) เป็นความสามารถที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และมากไปกว่านั้นคือการรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ได้ยาวนาน แต่ดูเหมือนว่าหลายครั้งเราอาจหลงลืมหรือตกหล่นเรื่องนี้ไป

วิธีฝึกทักษะสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล 

นับถือผู้อื่นเช่นเดียวกับนับถือตนเอง > เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ > ไว้วางใจซึ่งกันและกัน > มีความยืดหยุ่น > แบ่งปันประสบการณ์ความคิดความรู้สึก > ช่วยเหลือเกื้อกูล > รู้จักการให้เท่าๆ กับการรับ

7. ฟังเสียงข้างใน

บ่อยครั้งที่สับสน ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไร ทั้งหมดนี้อาจเริ่มต้นมาจากเรื่องง่ายๆ ที่เข้าใจยากมาก อย่างการเข้าใจตัวเอง เพราะคนเรามักถูกชักนำด้วยเสียงจากคนรอบข้าง จากครอบครัว จากสังคม จนไม่เคยฟังเสียงข้างในของตัวเองจริงๆ สักครั้ง  

ทักษะการตระหนักรู้ในตน (Self-awareness) จะช่วยให้เราค้นหา รู้จักและเข้าใจตนเอง รู้ข้อดีข้อด้อยของตนเอง รู้ความต้องการและสิ่งที่ไม่ต้องการของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้สามารถเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี และเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทักษะอื่นๆ เช่น การสื่อสาร การสร้างสัมพันธภาพ การตัดสินใจ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

วิธีฝึกทักษะการตระหนักรู้ในตน  

หมั่นสังเกตและรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง > ไม่บิดเบือนความรู้สึก (รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา เหงา เศร้า) > ให้เวลาตัวเองทำความเข้าใจกับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น > รู้ข้อดีและยอมรับข้อด้อยของตัวเอง > พร้อมเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

8. เข้าอกเข้าใจผู้อื่น

เพราะเราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย การเปิดใจยอมรับคนที่ต่างไปจากเราจึงเป็นความสวยงามของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ซับซ้อนและย้อนแย้ง แต่การละวางอคติ ตีแตกมายาคติ เพื่อเข้าใจคนอื่นอย่างที่เขาเป็นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ   

ทักษะการเข้าใจผู้อื่น (Empathy) ถือเป็นทักษะสำคัญของคนยุคนี้เลยทีเดียว เป็นความสามารถที่พึงมีในการเข้าใจความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะเป็น เพศสภาพ สีผิว การศึกษา ศาสนา อาชีพ ความคิด ความเชื่อ  ฯลฯ ซึ่งการยอมรับความแตกต่างหลากหลายนี้จะทำให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูล ลดความขัดแย้งรุนแรง และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในโลกของความเป็นจริง

วิธีฝึกทักษะการเข้าใจผู้อื่น (Empathy)

ไม่ตัดสินหรือตีตราผู้อื่นด้วยเหตุแห่งความแตกต่าง > ละวางอคติและฟังอย่างตั้งใจ > ถามหากสงสัยไม่ใช่ตีรวน > พยายามทำความเข้าใจโดยจินตนาการให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์หรือเงื่อนไขเดียวกัน > รับรู้สุขทุกข์ของคนอื่น

9.โอบกอดตัวเอง

ปีที่ผ่านมาช่างเป็นปีที่เหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจสำหรับหลายๆ คน  ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตส่วนตัว ความสัมพันธ์ การเรียน การทำงาน และอีกสารพัด …สับสน เหงา เศร้า หงุดหงิด โกรธ กลัว ฯลฯ ความปั่นป่วนทั้งหมดล้วนมาจากความไม่มั่นคงทางอารมณ์ที่มากมายเกินจะรับไหว 

ทักษะการจัดการกับอารมณ์ (Coping with emotion) จะทำให้เราสามารถรับรู้อารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น รู้ว่าอารมณ์มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมอย่างไร และรู้วิธีจัดการอารมณ์ที่สับสนปนเปนั้น ก่อนที่มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเองและคนรอบข้าง

วิธีฝึกทักษะการจัดการกับอารมณ์ 

เมื่อเริ่มมีความรู้สึกในทางลบให้หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ > พิจารณาถึงเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้นๆ> หยุดโทษตัวเองและคนอื่น > มองสุขทุกข์ให้เป็นธรรมดาโลก > เมตตาต่อตัวเอง ปลอบโยนตัวเอง > ฝึกมีสติอยู่กับปัจจุบัน > เพิ่มมุมมองด้านบวก

10. ปล่อยวางบ้างก็ได้

กับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น เหตุบ้านการเมือง รวมไปถึงปัญหาที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญอย่างการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ปัจจัยที่รุมเร้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งระดับความเครียดให้พุ่งสูง และถ้าเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะเกินขีดจำกัด สิ่งแรกที่ต้องรับมือให้ได้ก็คือ ‘ความเครียด’ นี่แหละ 

ทักษะการจัดการความเครียด (Coping with stress) เป็นความสามารถของแต่ละคนในการรับรู้ถึงสาเหตุของความเครียด รู้จักวิธีผ่อนคลาย และแนวทางในการควบคุมไม่ให้เครียดจนสร้างปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้กับตัวเอง

วิธีฝึกทักษะการจัดการความเครียด 

หาสาเหตุของความเครียดให้เจอ > จัดอันดับความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อตัวเอง > หาวิธีรับมือหรือเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ > (ถ้ายังไม่ดีขึ้้น) ปรึกษาคนรอบข้าง หาคนรับฟัง > ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย > รู้จักปล่อยวางและพักผ่อนอย่างเหมาะสม

คำแนะนำทั้งหมดนี้อ้างอิงจากทักษะชีวิต 10 องค์ประกอบ ขององค์การอนามัยโลก (WHO: 1997) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนรู้จักดูแลตนเองทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ  เน้นความสามารถในการปรับตัวและทักษะการจัดการปัญหารอบๆ ตัว เพื่อใช้ชีวิตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข

ย้ำทิ้งท้ายว่า ทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอแล้วจะกลายเป็นทักษะชีวิตที่ติดตัวเราไปเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้แบบมั่นๆ

Tags:

ความคิดสร้างสรรค์(Creativity)ทักษะชีวิตความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learning
    ‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘ทักษะชีวิตพิชิตการรังแก’  วิชาที่ชวนเด็กๆ ตั้งการ์ดสูง ยืนยันสิทธิที่จะไม่ถูกบูลลี่:  ผศ.นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์   

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Creative learning
    Chef’s table: 4 เมนูอาหารกลางวันโรงเรียน “ในฝัน” วันนี้เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีพอหรือยัง?

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Education trend
    Hybrid Learning : เทรนด์การเรียนรู้แบบผสมผสานตอบโจทย์สถานการณ์โควิด-19

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’
Everyone can be an Educator
5 January 2021

วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • วิธีสมุดบันทึก  เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะส่งเสริมการอ่านของเด็กไทย ด้วยวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลดี
  • กฎ 3 ประการของวิธีนี้คือ ใช้สมุดที่ไม่มีเส้นบรรทัด เริ่มต้นด้วยดินสอ และพ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่บังคับ
  • สิ่งที่เด็กได้รับจากการเขียนบันทึก คือการเรียนรู้ผ่านการเติบโตทางความคิดของตัวเอง ซึ่งผู้ใหญ่อาจใช้อ่านแผนที่ชีวิตของเด็กได้ด้วย

โดยธรรมชาติของเด็กมักอยากเล่าเรื่องตัวเอง แต่วิธีที่ใช้เพื่อส่งเสริมการอ่านให้เขา คือเอาเรื่องของคนอื่นไปเล่าให้เด็กฟัง การเอาสมุดไม่มีเส้นให้เด็ก จึงเป็นการฟังเรื่องเล่าของเขาในรูปแบบหนึ่งที่ไม่กดดัน ไม่เร่งเร้า ไม่ตีกรอบ และไม่จำกัดวิธีการ

“สมุดบันทึกมันเหมือนเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่จะต้องเติบโตเองและต้องไม่มีอะไรมาครอบ หน้าที่ของพ่อแม่ครูมีอยู่อย่างเดียวคือ คอยใส่ปุ๋ยบำรุงดินเท่านั้นเอง ไม่ใช่เอาฝาชีไปครอบ ซึ่งการเอาอะไรไปครอบมันก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะมันจะไม่เติบโตอย่างธรรมชาติ” 

อาจารย์มกุฏ อรฤดี ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ หรือคุณตาสมุดบันทึกของเด็กๆ เอ่ยถึงสมุดบันทึก เครื่องมือที่ราคาถูกที่สุดที่ใช้ในการผลักดันการอ่านและเขียนของเด็กๆ มาตลอด 6 ปี 

หลายคนอาจรู้จักอาจารย์มกุฏ อรฤดี ในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2555 นักเขียนเรื่องสั้น นวนิยายและวรรณกรรมเยาวชน ผู้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพไว้มากมาย ทว่าอีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือการเป็นผู้สร้างหลักสูตรบรรณาธิการศึกษาและวิชาหนังสือขึ้นในมหาวิทยาลัย, โครงการระบบหนังสือหมุนเวียนในโรงเรียนและมัสยิด, โครงการห้องสมุดหนังสือดี, โครงการฝึกฝนผู้มีดวงตาพิการให้เขียนหนังสือ รวมถึงโครงการสมุดบันทึกวัยเยาว์ ที่หวังว่าจะทำให้เด็กๆ มีกำลังใจในการฝึกฝนตนเองจนอ่านออกและเขียนได้ 

หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าวิธีสมุดบันทึกจะสร้างนักเขียนและนักวาดการ์ตูนรุ่นจิ๋วมาแล้วหลายต่อหลายคน แต่สมุดบันทึกกว่าสามพันเล่มที่เด็กกว่าสามพันคนเขียนจดหมายมาขอ ‘คุณตา’ ด้วยความตั้งใจนั้น มีความหมายซ่อนอยู่มากกว่าการฝึกเป็นนักอ่าน นักเขียนเสียอีก 

วิธีสมุดบันทึก มีสารตั้งต้นจากความสงสัยในวิธีการส่งเสริมการอ่านแก่เด็กที่ผ่านมาว่า แท้จริงแล้วเราควรจะส่งเสริมให้เด็กอ่านหนังสือด้วยวิธีไหนกันบ้าง? นอกจากแนะนำให้เด็กอ่านหนังสือ มีห้องสมุดโรงเรียนหรืออำเภอ หรือสารพัดวิธีเท่าที่เคยทำมากว่าครึ่งศตวรรษ

อาจารย์มกุฏจึงเริ่มบทบาทคุณตาสมุดบันทึกเมื่อปี 2557 โดยร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม แจกสมุดบันทึกให้เด็กตั้งแต่ 5-9 ปี จำนวน 1,100 คนทั่วประเทศ ปรากฏว่ามีเด็กหลายคนแสดงทั้งฝีมือและความคิด หรืออาจจะเรียกว่าศักยภาพในตัวเองออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เกิดเป็นหนังสือจากการบันทึกหลายเล่ม เช่น บันทึกส่วนตัวซายูริ, ความสุขของเด็กสมาธิสั้น, จนกว่าเด็กปิดตาจะโต เป็นต้น เหล่านี้เป็นหนังสือรางวัลวรรณกรรมเยาวชนดีเด่นทั้งสิ้น และในชั้นเรียนวิชาบรรณาธิการศึกษาของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ใช้วิธีการสมุดบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนเช่นกัน  

“เราจะรู้ว่าเด็กคิดอะไร มีความสามารถอะไร มีปัญหาอะไร ก็จากการบันทึก การสอนด้วยวิธีนี้จะดำเนินไปได้ดีกว่าการสอนปกติ ฝึกพัฒนาการของพวกเขาในแต่ละช่วงวัย เช่น ในเด็กเล็กเราจะเห็นความพยายามในการใช้มือของเขาจับดินสอวาดและเขียนเป็นรูปเป็นร่าง ในขณะที่เด็กเขียนคนอาจจะคิดว่าเด็กไม่ได้คิดอะไรเลย เขียนไปเรื่อยเปื่อย แต่แท้จริงแล้วการลากเส้นทุกเส้น การเขียนตัวหนังสือทุกคำมาจากความคิดของเขา” 

จากความสงสัยที่ว่า ทำไมเด็กไทยถึงอ่านหนังสือน้อย? ซึ่งการที่เขาอ่านหนังสือน้อย ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมากจากการเข้าไม่ถึงหนังสือด้วยทุนทรัพย์ หรือในระดับโรงเรียนเมื่อห้องสมุดในโรงเรียนไม่ดีพอ เด็กเข้าไปก็ได้รับความรู้ไม่เต็มที่ทำให้ไม่สนุก เมื่อไม่สนุกก็ไม่อยากอ่านเท่านั้นเอง 

“เพราะฉะนั้นหนังสือที่เด็กจะอ่านต้องสนุกก่อน เด็กจึงอยากอ่าน และเด็กที่ยังอ่านไม่ออกเขาย่อมชอบการ์ตูนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ธรรมชาติเด็กมีอยู่อย่างหนึ่งคือชอบเล่าเรื่อง เขาไม่สามารถอ่านเรื่องของคนอื่นไปได้ตลอด ย่อมมีชั่วขณะหนึ่งที่เด็กอ่านไปแล้วรู้สึกว่าฉันก็อยากเล่าเรื่องของฉันเหมือนกัน แต่เราไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เขาเล่า” 

สมุดบันทึกสักเล่ม จึงเป็นเครื่องมือให้เด็กได้ขีดเส้น ได้ระบายสีถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวหนังสือเรื่องที่เขาอยากเล่า อยากบ่น ในสมุดบันทึกแต่ละเล่มจึงเต็มไปด้วยกระบวนการเติบโตทางความคิดของเด็กคนนั้น 

กฎการเรียนรู้ผ่านวิธีสมุดบันทึก  

กระบวนการสำคัญที่จะทำให้สมุดบันทึกแต่ละเล่ม ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน 

  1. สมุดต้องไม่มีเส้นบรรทัด เพื่อเปิดเสรีให้เด็กเต็มที่

เพราะเส้นบรรทัดคือเส้นที่ขีดบังคับตั้งแต่ต้นให้เด็กจะต้องเขียนเฉพาะตัวหนังสือ วาดรูปไม่ได้ ถ้าวาดรูปลงไปบนเส้นบรรทัดรูปจะถูกทำลายตั้งแต่แรก ถ้าเราใช้กระดาษที่ไม่มีเส้นก็จะเปิดโอกาสให้เด็กเขียนหรือวาดรูปได้อย่างอิสระ แล้วถ้าเด็กอยากได้เส้นบรรทัดเขาจะขีดเอง หรือถ้าเขาเขียนไปแบบเบี้ยวๆ บูดๆ ก็ไม่เป็นไร นั่นคือการที่เขาได้ระบายความคิดออกมาเต็มที่ และที่สำคัญคือธรรมชาติของเด็กเขาจะวาดรูปก่อนเพราะยังเขียนตัวหนังสือไม่ได้

  1. เริ่มต้นจากดินสอดีที่สุด 

ไม่ควรจะให้เด็กเขียนหรือวาดด้วยปากกาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะปากกาลูกลื่น เพราะปากกาลูกลื่นมันลื่นเกินกว่าที่มือเด็กจะควบคุมได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอ ลายมือจึงเสียตั้งแต่ตอนนั้น ดังนั้นควรให้เด็กฝึกด้วยดินสอก่อน เนื่องจากเด็กจะสามารถใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กบังคับดินสอได้ง่ายกว่า ลากไปไหนก็ได้ตามจินตนาการ ทำให้เขารู้จักใช้กล้ามเนื้อ แล้วก็ค่อยๆ ฝึกจนบังคับนิ้วให้ลากไปเป็นตัวหนังสือได้ 

  1. พ่อแม่หรือครูต้องไม่บังคับเด็กให้เขียน 

เพื่อให้เขาคิดอย่างอิสระ จนกว่าจะถึงเวลาที่เด็กเริ่มสะกดคำหรืออยากสะกดคำ ในตอนแรกเราจะเห็นว่า เด็กที่ได้สมุดบันทึกไปเขาจะวาดรูป เพราะยังเขียนไม่ได้ ให้สังเกตว่าในรูปนั้นมีอะไรบ้าง เพราะในรูปวาดนั้นมักจะซ่อนเรื่องราวต่างๆ มีตัวละคร มีเหตุการณ์ มีองค์ประกอบที่จะบอกเล่าเรื่องได้ หรืออาจแฝงด้วยความรู้สึกของเด็กเอง 

แต่ถ้าใครอยากได้สมุดบันทึกจากอาจารย์มกุฏเงื่อนไขมีอย่างเดียวคือ จะต้องเขียนจดหมายมาขอกับคุณตาสมุดบันทึก เพื่อที่จะอธิบายถึงความต้องการของตัวเอง ขณะนี้มีจดหมายหลายพันฉบับ บางคนก็พยายามเขียนและจ่าหน้าซองด้วยตัวเอง บางคนก็ให้พ่อแม่ช่วย แต่การที่เด็กเขียนเองเขาก็ภูมิใจและรอคอยที่จะได้รับสมุดกลับไป พร้อมสัญญาว่าจะเขียน แม้ว่าบางคนจะต้องใช้เวลาเป็นปีก็ตาม 

บันทึกไม่ลับของเด็ก 3 แบบ

“อย่างคนหนึ่งที่เรากำลังจะทำหนังสือให้กับเขาชื่อว่า ยูโตะ เขาขอสมุดมาตั้งแต่ 7 ขวบ เวลาผ่านไป 2 ปี ไม่ได้ข่าวเลย จนไปเห็นรูปวาดของยูโตะในเฟซบุ๊กแม่เขา เราก็พยายามให้แม่เขาติดต่อมา ปรากฏว่าผ่านไป 2 ปี ยูโตะเขียนแค่ 3-4 หน้า ถามว่าทำไม เขาบอกขี้เกียจและเขาสอบตกภาษาไทย เขาไม่ชอบภาษาไทย เราก็พยายามพูดคุย ท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปเรากำลังจะมีหนังสือหนึ่งเล่มของยูโตะ ที่เขียนเรื่องแมววัดในขณะที่เขาไปบวชและรูปวาดฝีมือเขาเอง”

นอกจากนี้ยังมีบันทึกของเด็กสมาธิสั้นที่เริ่มต้นด้วยสมุดบันทึกเช่นเดียวกัน โดยเขียนความรู้สึกในฐานะเด็กสมาธิสั้นและได้รับการบำบัด เล่าตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าสมาธิสั้น ปัญหาที่เจอ ไปจนถึงเป้าหมายในชีวิต สมุดบันทึกเป็นเครื่องมือที่ดีอย่างหนึ่งในการบำบัด ขณะนี้เด็กคนนั้นลดยาได้เกินครึ่ง และมีสมาธิมากขึ้น มีวิธีคิดที่เป็นระบบมากขึ้น 

ส่วนบันทึกของเด็กตาบอด เป็นเด็กที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ในวิชาบรรณาธิการศึกษา ซึ่งงานอย่างหนึ่งคือการบันทึกทุกวัน แต่เนื่องด้วยตาบอดตั้งแต่เด็ก วิธีเขียนของเขาก็คือฝึกจากพิมพ์ดีด และในคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมหนึ่งในการแปลงตัวหนังสือเป็นเสียง และแปลงจากเสียงเป็นข้อความ ทำให้สามารถเล่าเรื่องที่อยากเล่าผ่านตัวหนังสือได้เช่นกัน ปัจจุบันเขาสามารถเขียนลายมือได้แล้วหลังจากจบปริญญาตรี โดยทดลองให้เขาจับดินสอหรือปากกาค่อยๆ ลากเส้นจนกลายเป็นตัวหนังสือและรูปวาดต่างๆ ด้วยสองมือของเขาเอง

อ่านแผนที่ชีวิตด้วยวิธีสมุดบันทึก

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีนี้เด็กกำลังเติบโตไปอย่างถูกทาง ก็จะต้องเฝ้าดูทุกๆ วันที่เด็กเริ่มวาดหรือเริ่มเขียน ซึ่งต้องอาศัยความใส่ใจของผู้ปกครองในการติดตามผล ถ่ายรูปและส่งมาให้คุณตาสมุดบันทึกประเมินเสียหน่อยว่าพัฒนาไปถึงขั้นไหนหรือระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง 

“เราเฝ้าดูถึงขนาดที่รู้ว่าเด็กจะมาทางวาดรูป หรือเขียนหนังสือ หรือจะไปทางอื่น เช่น นักออกแบบ นักวิทยาศาสตร์ เด็กบางคนเราเห็นแววความเป็นนักคิด นักทดลอง เพราะเขาเขียนหรือวาดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ บางคนเขียนแต่เลข ในขณะที่บางคนวาดรูปชุด ออกแบบชุด ซึ่งวิธีสมุดบันทึกเราสามารถค้นพบตัวตนได้หมดที่ไม่ใช่แค่นักเขียนอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้เรามีเด็กเหล่านี้อยู่ในมือเกือบ 20 คน” 

ส่วนที่เน้นเรื่องการเขียนหนังสือเป็นพิเศษ ก็เพราะนี่เป็นพื้นฐานสำคัญในการจะพัฒนาตัวเองไปสู่การเรียนรู้ด้านอื่นๆ อย่างการเป็นนักเขียน เรามักมาสอนกันที่หลังเมื่อโตแล้ว และสอนด้วยทฤษฎีที่ครูรู้มา ถามว่าครูที่สอนเอาทฤษฎีมาจากไหน ก็เอามาจากครูของครูของครูที่สอนกันมาเป็นสิบๆ ปี ท้ายที่สุดเรามีเพียงทฤษฎีเดียวเท่านั้น 

“แต่เราไม่เคยเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงทฤษฎีของตัวเองที่มีมาตั้งแต่เกิดเลย สิ่งที่เราได้หลังจากที่เริ่มโครงการมาเพียง 2 ปี คือเราเห็นว่าเด็กหลายๆ คนที่เริ่มเขียนหนังสือดีแต่ละคนเขียนไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าเราไม่ได้มีฝาชีไปครอบเด็ก เราไม่มีทฤษฎีไปบอกให้เด็กเชื่อว่าการเขียนต้องเริ่มต้นแบบนี้ ดำเนินเรื่องแบบนี้ ผูกปมอย่างนี้ แล้วหักมุมจบอย่างนี้ หรือคลี่คลายอย่างนี้ ดังนั้นเด็กจึงไม่มีทฤษฎีของครู แต่เด็กมีทฤษฎีของตัวเองที่เกิดการเรียนรู้ผ่านการเติบโตทางความคิดของตัวเอง”

“เด็กแต่ละคนเขามีลักษณะเฉพาะของตัวเอง มันไม่มีสูตรสำเร็จว่าอายุเท่านี้จะเป็นอย่างนี้บอกไม่ได้ เรารู้เพียงว่าเมื่อเด็กยังเขียนหนังสือไม่เป็น ยังสะกดคำไม่ถูก สิ่งที่จะเห็นได้คือความคิดของเด็กผ่านรูปที่วาด เมื่อเด็กเริ่มสะกดคำเป็น เด็กจะพยายามสะกดคำเพื่อที่จะอธิบาย ถ้าเด็กสะกดคำไม่เป็นเด็กจะถามพ่อแม่ แล้วก็จะเขียนตามและพยายามคิดตาม นั่นคือการพัฒนา” 

บันทึกแต่ละหน้าคือการเติบโตทางความคิด

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาจารย์มกุฏหรือคุณตาสมุดบันทึก ช่วงวัยของเด็กๆ ที่เหมาะสมในการเริ่มฝึกอ่านเขียนนั้น ขึ้นอยู่กับการเติบโตของเด็กแต่ละคนซึ่งอาจไม่เท่ากัน ช่วง 3-5 ขวบ เด็กจะเริ่มวาดรูปตามฝาผนัง อยากจะวาดรูป เมื่อยื่นเครื่องมือให้เด็กจะขีดเขียน ระบายสี กระทั่งช่วง 5 ขวบ เด็กอยากเขียนเป็นตัวหนังสือ เพราะได้เห็นและเริ่มรู้จักตัวหนังสือมากขึ้นจากหนังสือที่พ่อแม่ให้อ่านหรือจากป้ายบอกทาง เมนูตามร้านอาหาร เห็นโดยที่ยังไม่ต้องสอนด้วยซ้ำ ซึ่งช่วงนี้เด็กจะเริ่มเล่าเรื่องเป็นและเล่าได้ดีถ้าฝึกให้เด็กเขียนบันทึกสิ่งที่อยากเล่า

“เพราะการบันทึกทำให้เด็กเติบโตทางความคิด ดังนั้นเราจะทำไปจนเป็นที่มั่นใจว่าวิธีนี้กระทรวงศึกษาธิการควรจะนำมาใช้เหมือนที่อังกฤษกับญี่ปุ่นเขาใช้กัน ก็คือให้เด็กเขียนบันทึกเป็นกิจจะลักษณะ ถ้าให้เด็กไทยทุกคนเขียนบันทึกเราจะได้ความคิดของเด็กมหาศาล แล้วเรารู้เร็วว่าเด็กแต่ละคนควรจะไปทางไหน ไม่ต้องรอจนกระทั่งจบมัธยมแล้วไปเข้ามหาวิทยาลัย แค่ประถมก็รู้ได้แล้ว”  

‘วิธีสมุดบันทึก’  จึงเป็นเครื่องมือค้นหาศักยภาพของเด็กที่เร็วที่สุด ได้ผลดีที่สุด และราคาถูกที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะจำเป็นหลายอย่างที่เป็นพื้นฐานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทักษะการอ่าน การจับใจความ การเล่าเรื่อง การคิดอย่างเป็นระบบ คิดอย่างสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ มีสมาธิ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของเด็กอีกหลายคน

Tags:

วิธีสมุดบันทึกหนังสือการอ่านมกุฏ อรฤดีการเขียนการเรียนรู้

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Kru-gar_cover 2
    Creative learning
    ‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • phonics-nologo
    Learning Theory
    สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

การศึกษาจะไปทางไหนและปรับตัวอย่างไร เมื่อโควิด-19 ยังไม่จบลงง่ายๆ
Education trend
4 January 2021

การศึกษาจะไปทางไหนและปรับตัวอย่างไร เมื่อโควิด-19 ยังไม่จบลงง่ายๆ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • โควิด-19 คือเลนส์ขยายของความเหลื่อมล้ำ โจทย์ที่คนทั่วโลกควรให้ความสำคัญคือ จะแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาที่มีอยู่ก่อนแล้วได้อย่างไร
  • การจัดการศึกษาควรได้รับการทบทวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุม ยุติธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับทุกคน
  • การศึกษาที่สร้างขึ้นบนฐานความไว้วางใจ ยืดหยุ่นและมีอิสระ สามารถรับมือกับการหยุดชะงักทางการศึกษาท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ได้มากกว่า

โควิด-19 กลับมาสร้างความวิตกกังวลให้คนไทยอีกครั้ง และแม้ว่ารอบนี้จะยังไม่มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่โรงเรียนก็เป็นจุดอ่อนไหวที่ทำให้หลายแห่งจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอนชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการระบาด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง การศึกษาของเด็กๆ ก็เป็นอีกโจทย์ใหญ่สำหรับคนไทยและคนทั่วโลกในช่วงเวลาของการเกิดโรคระบาดเช่นนี้

บทความนี้เริ่มจากการประเมินผลกระทบที่เกิดกับแวดวงการศึกษาทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำ รวมถึงวิเคราะห์บริบทที่แตกต่างกันระหว่างออสเตรเลียและฟินแลนด์ โดยนักการศึกษาชาวฟินแลนด์ ปาสิ ซอห์ลเบิร์ก (Pasi Sahlberg) พร้อมนำเสนอตัวอย่างการจัดการเรียนการสอน 4 แนวทางที่น่าจะสนใจ ก่อนจะไปถอดประสบการณ์กับครูไทยถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดห้องเรียนเพื่อสอดรับกับนโยบายรัฐในการป้องกันการระบาดของโควิด-19

มิติคู่ขนาน โรคระบาดกับความเหลื่อมล้ำ 

ผลจากรายงานการพัฒนามนุษย์ด้านการศึกษาโดยธนาคารโลก (World Bank) ปี 2562 ได้ประกาศวิกฤตการเรียนระดับโลก ทั้งนี้ ระบบการศึกษาหลายแห่งทั่วโลกเผชิญหน้ากับปัญหาตั้งแต่ก่อนการเข้ามาของโคโรนาไวรัส ซึ่งถูกประกาศให้เป็นเชื้อที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 11 มีนาคม 2563 ท่ามกลางสาเหตุของวิกฤตมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นผู้ที่ควรได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาที่ดี 

ผลลัพธ์จากโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ริเริ่มโดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ผลการเรียนโดยรวมของประเทศในกลุ่มโออีซีดีไม่ได้พัฒนาขึ้น แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 15 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 

นอกจากนี้รายงานการติดตามผลด้านการศึกษาทั่วโลก ปี 2563 โดย องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization – UNESCO) ระบุว่า การประมาณการก่อนการระบาดของโควิด-19 พบเด็ก วัยรุ่นและเยาวชนจำนวน 1 ใน 6 หรือ 260 ล้านคนทั่วโลก ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนหรือได้รับการศึกษา มีเพียง 3 ใน 4 ของเด็กอายุ 15 ปีที่มีฐานะปานกลางเท่านั้นที่ยังอยู่ในระบบการศึกษาและนักเรียนกลุ่มนี้เพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า การขาดโอกาสและขาดการเข้าถึงการศึกษาของเด็กด้อยโอกาส เป็นเรื่องใหญ่ที่ลดทอนศักยภาพของมนุษย์ และทำให้ความไม่เท่าเทียมกันฝังรากลึกลงไปอีก สิ่งที่หลายๆ ประเทศกำลังประสบเหมือนกันคือ การไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้แบบดิจิทัลเมื่ออยู่ที่บ้าน และโรงเรียนไม่สามารถเอื้ออำนวยเทคโนโลยีสื่อการสอนเพื่อการเรียนทางไกลได้อย่างเพียงพอ 

นักการศึกษาฟินแลนด์ชวนตั้งโจทย์ใหม่

“การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้จะช่วยให้เราแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาได้อย่างไร?”

ปาสิ ซอห์ลเบิร์ก (Pasi Sahlberg) นักการศึกษาชาวฟินแลนด์ ที่เป็นทั้งครูในโรงเรียน เป็นครูสอนนักการศึกษา นักวิจัยและที่ปรึกษานโยบายการศึกษาของฟินแลนด์ ชวนตั้งคำถามนี้ 

ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของฟินแลนด์ถูกชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง แต่ซอห์ลเบิร์ก บอกเสมอว่า “Don’t Try This at Home”.  – “อย่าลองทำวิธีการเหล่านี้ที่บ้าน” เพราะการลอกเลียนแบบโดยปราศจากความเข้าใจบริบททางสังคมอย่างลึกซึ้ง อาจนำหายนะมาให้มากกว่าการพัฒนา ครั้งนี้ซอห์ลเบิร์กได้หยิบยกระบบการศึกษาที่แตกต่างระหว่างออสเตรเลียและฟินแลนด์ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นผลกระทบที่แตกต่างกันต่อครูและนักเรียนจากการหยุดชะงักของการศึกษาในช่วงโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่

การแข่งขันทางการศึกษา นักเรียนไทยรู้จักและเข้าใจคำนี้ ไม่ต่างจากนักเรียนในประเทศออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ แต่ไม่ใช่สำหรับนักเรียนฟินแลนด์ที่ให้อิสระในการเลือกเรียน มากกว่าการแข่งขัน 

ซอห์ลเบิร์ก ยกตัวอย่างผลกระทบด้านการศึกษาจากโควิด-19 ในประเทศออสเตรเลียและฟินแลนด์ว่า นอกจากสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ออสเตรเลียและฟินแลนด์ยังมีสภาพสังคมที่แตกต่างกัน ด้วยประวัติศาสตร์ ประเพณี ค่านิยมและวัฒนธรรม ชาวออสเตรเลียชอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่และรวดเร็ว แต่ชาวฟินแลนด์มองว่าเรื่องเล็กๆ เป็นสิ่งสวยงาม ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้การศึกษาของทั้งสองประเทศตอบรับและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เหมือนกัน 

ระบบการศึกษาของฟินแลนด์กระจายอำนาจให้หน่วยงานท้องถิ่นกว่า 310 แห่ง ดำเนินการด้านการศึกษาในพื้นที่ของตนเอง มีการสอนแบบตัวต่อตัวร่วมกับการเซ็ทระบบการเรียนทางไกลจากบ้านมายังโรงเรียนอยู่ก่อนแล้ว ครูสามในสี่ของฟินแลนด์มีสื่อการเรียนการสอนแบบดิจิทัลในโรงเรียนพร้อมไว้อยู่แล้ว และครูส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้สื่อและอุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างกันไปตามแต่ละโรงเรียนในแต่ละพื้นที่

นักเรียนฟินแลนด์คุ้นเคยกับการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านโครงการและการแก้ปัญหาในชีวิตจริง พวกเขาถูกฝึกฝนวินัยในการเรียนและความรับผิดชอบกับการศึกษาค้นคว้าอิสระและประเมินการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญพวกเขาได้มีส่วนร่วมในการวางแผนหลักสูตรการเรียนร่วมกับครูมาตั้งแต่ต้น 

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจยังพบว่า 1 ใน 5 ของนักเรียนระดับประถมศึกษา พบปัญหาเรื่องการใช้เทคโนโลยีและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และนักเรียนในสัดส่วนเดียวกันยอมรับว่า พวกเขานอนดึกขึ้นเมื่ออยู่กับอุปกรณ์ดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย 

ขณะที่ออสเตรเลียมีระบบการศึกษาแบบรวมศูนย์และมีมาตรฐานทางการศึกษาจากส่วนกลาง มีการทดสอบมาตรฐานการเรียนรู้อยู่บ่อยครั้ง เช่น แนปแลน (NAPLAN) ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มีคำถามหนาหูจากผู้ปกครองว่า

การเรียนรู้ทางไกลแบบนี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อคะแนนสอบและทำให้ผลประเมินการเรียนของนักเรียนต่ำลงหรือไม่ อย่างไร? 

1 ใน 3 ของนักเรียนออสเตรเลียเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีทรัพยากรบุคคลและสื่อการเรียนการสอนที่ดีกว่าโรงเรียนรัฐหลายแห่ง ขณะที่เด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่เข้าเรียนโรงเรียนรัฐ สถาบันแกรทัน (Grattan Institute) ในออสเตรเลียสรุปว่า นักเรียนที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปิดโรงเรียน เพราะสภาพทางบ้านและสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้ปกครองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนที่ได้เปรียบพวกเขา 

จากการสำรวจพบว่าเด็กโดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาส ประสบปัญหาเรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การขาดแคลนอุปกรณ์ และขาดพื้นที่เงียบๆ ในบ้านที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้

การระบาดของโควิด-19 จึงเพียงเปิดเผยความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและการศึกษา ซึ่งมองในมุมกลับ นี่เป็นโอกาสในการปรับปรุง และส่งเสริมการศึกษาให้กับนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่ต้องการการสนับสนุนทางการศึกษาเป็นพิเศษ 

ซอห์ลเบิร์ก ย้ำว่า การจัดการศึกษาควรได้รับการทบทวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุม ยุติธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับทุกคน โรงเรียนและนักเรียนควรได้รับการสนับสนุนให้รู้จักการจัดการตนเอง เป็นผู้นำตนเองและเป็นผู้นำในการเรียนรู้ของตัวเอง

การเรียนรู้เพื่ออยู่กับโลกและอนาคตที่ผันผวน

การปฏิรูปการศึกษาเพื่อความเสมอภาคมีบริบททางสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ภายหลังจากนี้คงมีงานวิจัยอีกมากมายที่จะแสดงให้เห็นว่าการศึกษาระบบต่างๆ จัดการและรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคครั้งนี้อย่างไรและทำได้ดีแค่ไหน แต่บทเรียนเชิงเปรียบเทียบอย่างแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ 

การศึกษาที่สร้างขึ้นบนฐานความไว้วางใจ (ไว้วางใจในตัวครูและผู้ปกครองที่มีความใกล้ชิดกับเด็ก) มีความยืดหยุ่น และมีอิสระในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนให้เข้ากับสถานการณ์ สามารถรับมือกับการหยุดชะงักทางการศึกษาท่ามกลางโควิด-19 ได้มากกว่า

4 เทรนด์ห้องเรียนโลกยุคโควิด  

ดูเหมือนว่าการปรับตัวเพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติง่ายๆ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า โลกยังอาจต้องเผชิญกับโรคระบาดอีกในอนาคต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตหลายสิ่งหลายอย่างจำเป็นต้องดำเนินต่อไป รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนในช่วงที่ผ่านมา 

ลองมาดูกันว่าตลอด 1 ปีของการระบาด ทั่วโลกมีรูปแบบการเรียนการสอนอะไรบ้างที่ได้รับความสนใจมากขึ้น และมีแนวทางไหนบ้างที่ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเสริมสมรรถนะให้เด็กไทยในช่วงเวลาที่โควิด-19 ยังไม่จบลงง่ายๆ รวมทั้งเป็นแนวทางสำหรับการเรียนรู้ในอนาคต 

1. โฮมสคูล (Homeschool) หรือบ้านเรียน ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ยังต้องเอ่ยถึง เพราะการเข้ามาของโควิด-19 และอาจรวมไปถึงข่าวคราวความรุนแรงในโรงเรียน ทำให้การเรียนที่บ้านกลายเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะสอดคล้องกับสถานการณ์แล้ว ผู้ปกครองยังสามารถช่วยออกแบบการเรียนที่มุ่งเน้นในสิ่งที่เด็กสนใจ เช่น การทำอาหาร การทำขนม การทำงานศิลปะ หรือแม้แต่การเล่น ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเรียนรู้ ปลูกฝังระเบียบวินัยและความรับผิดชอบให้เกิดแก่ตัวผู้เรียนตั้งแต่ต้น ที่สำคัญผู้ปกครองต้องสามารถจินตนาการถึงปลายทางของการเรียนรู้แต่ละอย่างได้ว่า เด็กได้อะไรจากการเรียนหรือจากการลงมือทำในสิ่งที่เขาสนใจ 

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ประกาศให้บ้านเรียนเป็นสถานศึกษาทางเลือกที่ถูกต้องกฎหมาย ผู้ปกครองและผู้เรียนสามารถวางแผนจัดการเรียนร่วมกัน โดยเน้นความสนใจของผู้เรียน วิถีครอบครัวและชุมชน แล้วนำแผนการเรียนนั้นเข้าหารือกับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้ปกครองสามารถจดโฮมสคูลได้ด้วยตนเอง หรือสามารถฝากชื่อไว้กับโรงเรียนและศูนย์การเรียนที่รับจดทะเบียนโฮมสคูล เช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ กรุงเทพฯ, โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก กาญจนบุรี, โรงเรียนนันทชาติ เชียงใหม่, ศูนย์การเรียนเด็กเรียนรู้เอง เชียงใหม่, ศูนย์การเรียนบ้านไร่ปลายฟ้านาบุญ เลย และศูนย์การเรียนฟิวเจอร์เวิลด์ สมุทรปราการ เป็นต้น  

2. ไฮบริด โฮมสคูล (Hybrid Homeschooling) ลูกผสมระหว่างการเรียนกับผู้ปกครองที่บ้านแบบโฮมสคูลและการเรียนในโรงเรียน การเรียนในระบบนี้จัดการเรียนการสอนให้ในหนึ่งสัปดาห์ เด็กมาโรงเรียนเพียง 2 – 3 วัน แล้วแต่หลักสูตรที่พ่อแม่เลือกและออกแบบร่วมกับโรงเรียน ส่วนวันที่เหลือของสัปดาห์เป็นหน้าที่ผู้ปกครองในการจัดการความรู้ 

ในสหรัฐอเมริกามีจำนวนโรงเรียนที่เปิดระบบไฮบริดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นโมเดลที่ช่วยสนับสนุนผู้ปกครองที่อยากทำโฮมสคูลให้ลูกแต่ไม่ได้มีเวลาร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอบโจทย์ปัญหาด้านพัฒนาการเข้าสังคมของเด็ก และสอดคล้องกับสิ่งที่ซอห์ลเบิร์กกล่าวถึงความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน บางคนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ดี แต่บางคนก็เรียนรู้จากการมีครูหรือมีผู้ช่วยชี้แนะได้ดีกว่า ซึ่งในส่วนนี้นอกจากผู้ปกครองแล้ว ครูสามารถทำหน้าที่เป็นโค้ชให้คำปรึกษา 

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไฮบริด สคูลหลายแห่งใช้สื่อออนไลน์เข้ามาเป็นตัวช่วย จัดตารางห้องเรียนเสมือน (Virtual Learning) ผ่านซูมมีทติ้งและโปรแกรมอื่นๆ เพื่อให้ครูติดตามการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างต่อเนื่อง

3. ออนไลน์ สคูล (Online School) เป็นการเรียนออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในวิชาเรียนที่ผู้เรียนเลือก เช่น Edx.org และ MOOC.org ไม่มีการเปิดหรือปิดเทอม แต่อาจมีช่วงระยะเวลาการเรียนกำหนดไว้ตามมาตรฐานของแต่ละวิชา มีการสอบวัดผลเพื่อผ่านระดับชั้นในห้องเรียนออนไลน์ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหากเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต มีแล็บท็อป คอมพิวเตอร์ หรือมือถือก็สามารถเข้าห้องเรียนได้ เช่น นักเรียนในไทยสามารถเรียนไฮสคูลหรือลงทะเบียนวิชาเรียนระดับมหาวิทยาลัยบางรายวิชาได้จากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีการออกแบบหลักสูตรออนไลน์ไว้ให้ 

รูปแบบนี้เหมาะสมกับเด็กตั้งแต่ระดับมัธยมขึ้นไป ที่เป็นผู้นำการเรียนรู้ให้กับตัวเอง และจัดการเรียนรู้ของตัวเองได้ เพราะการเรียนให้สำเร็จต้องอาศัยระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ 

4. ดิจิทัล สคูล (Digital School) แม้ชื่อมีความคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ดิจิทัล สคูล เน้นไปที่การออกแบบซอฟท์แวร์ หรือช่องทางการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ เรียกว่าเป็นตัวช่วยการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน เช่นเดียวกับการเซ็ตระบบการเรียนทางไกลในฟินแลนด์ 

การเรียนรูปแบบนี้ยังมีการเปิด-ปิดเทอม มีตารางเข้าเรียนตามคาบเรียนแต่ไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียน บางคาบเรียนสดกับครู พร้อมเพื่อนๆ บนช่องทางออนไลน์ที่โรงเรียนจัดเตรียมไว้ ผสมผสานกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง วางแผนออกแบบโครงงานที่ตนเองอยากทำ หรือ PBL (Project-Based Learning) แต่ครูยังเป็นผู้ประเมินความคืบหน้าและวัดผลการเรียนให้กับนักเรียน

จัดการเรียนการสอนอย่างไรดี เมื่อโรงเรียนต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง

สำหรับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมามีการจัดการศึกษาทางไกลผ่านโทรทัศน์ระบบดิจิทัลใน เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายเสียง การโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ อุปสรรคที่ไม่เกินคาดหมาย คือ ความคมชัดของสัญญาณในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงความพร้อมด้านการเรียน โดยเฉพาะนักเรียนยากไร้ที่บางบ้านอาจไม่มีทีวี ไม่มีมือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือหากบ้านไหนมีลูกหลายคน หรือพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ก็เป็นการยากที่จะจัดการการเรียนที่มีคุณภาพได้

ครูยอร์ช – ณัฐพงศ์ อนุสนธิ์  ครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่เพิ่มเติม โรงเรียนวัดบางขวาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส แชร์ประสบการณ์ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงก่อนปิดเทอม ระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมาว่า 

“ส่วนกลางมีคำสั่งออกมาว่าพอเปิดเทอมมาใหม่ให้นักเรียนเรียนผ่านดีแอลทีวี (DLTV – มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์) ผมก็กลับมานึกถึงนักเรียนของตัวเอง แล้วมองว่าไม่น่าจะเวิร์ก เนื้อหาในดีแอลทีวีเป็นการจัดกิจกรรมในห้องเรียนของเขา ยิ่งวิชาวิทยาศาสตร์ที่ผมสอน ต้องแบ่งกลุ่มทำการทดลอง นักเรียนที่นั่งดูก็ต้องสมมุติเอา จินตนาการเอา ไม่ได้มีส่วนร่วม ผมก็ต้องคิดทางเลือกให้เด็ก แต่จะสอนล้อไปกับดีแอลทีวีนี่แหละ”

ทางเลือกที่ครูยอร์ชนำเสนอให้กับนักเรียนประมาณ 60 คน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ที่เขาดูแลรับผิดชอบอยู่ มีทั้งหมด 3 ทาง ทางเลือกแรกคือ การเรียนผ่านดีแอลทีวี ที่สามารถดูการเรียนการสอนผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้ มีนักเรียนเลือกแนวทางนี้ประมาณ 10 คน

ทางเลือกที่สอง มาจากการสรุปสาระสำคัญของเนื้อหาบทเรียนดีแอลทีวี แล้วออกแบบกิจกรรมใบงาน ตั้งโจทย์ใกล้ตัวให้เด็กสืบค้น การทำการทดลองที่บ้านอย่างง่ายโดยยังคงยึดตัวชี้วัดจากส่วนกลาง ผสมผสานห้องเรียนห้องไลน์ผ่านซูมและกลุ่มเฟซบุ๊ก มีนักเรียนเลือกแนวทางนี้ประมาณ 40 คน

และทางเลือกที่สาม การจับคู่บัดดี้ช่วยกันเรียนร่วมกันรู้ มีนักเรียนประมาณ 10 คน 

“เด็กละแวกนี้บางคนถ้าอยู่บ้าน วันทั้งวันเขาต้องทำงานช่วยพ่อแม่ เช่น ร้อยมาลัย เป็นสิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางเลือกที่สามผมออกแบบขึ้นมาสำหรับนักเรียนที่ไม่พร้อมเรียนทั้งดีแอลทีวี ไม่สามารถทำใบงาน และไม่สามารถมาเจอกันในห้องเรียนออนไลน์ได้ เด็กกลุ่มนี้ผมรู้แล้วว่าต้องมากวดขันตอนเปิดห้องเรียน แต่ระหว่างนี้ผมจับคู่บัดดี้ไว้ให้ ส่งใบงานให้ไว้กับเพื่อน อย่างน้อยเขาจะได้มีเพื่อนคู่คิด มีเพื่อนคอยให้คำปรึกษา พร้อมตอนไหนก็ค่อยเอาใบงานมาส่ง”

นอกจากนี้ครูยอร์ชยังไปเยี่ยมบ้านนักเรียนทุกวันจันทร์ อังคาร และติดตามงานนักเรียนทุกวันเสาร์ อาทิตย์ โดยเฉพาะนักเรียนที่ไม่ได้ส่งงานและติดต่อไม่ได้

หากประมวลผลย้อนกลับไปถึงความเสมอภาคที่ซอห์ลเบิร์กกล่าวถึง ไม่ว่าการเรียนจะถูกพัฒนาไปในรูปแบบใดเพื่อตั้งรับกับโควิด-19, ศตวรรษที่ 21 หรืออนาคต การสร้างความเสมอภาคให้เด็กด้อยโอกาสหรือเด็กที่มีโอกาสน้อย ให้พวกเขาเข้าถึงปัจจัยการเรียนรู้ได้เท่าเทียมเด็กกลุ่มอื่น เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง 

สำหรับประเทศไทยที่เด็กส่วนใหญ่อยู่ในระบบโรงเรียน ทำอย่างไรให้โรงเรียนสนับสนุนเด็กทุกคนให้เรียนรู้ได้ดีเสมอกันในช่วงการแพร่ระบาดของโรคที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดเรียนได้ ขณะที่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถสนับสนุนการเรียนของลูกได้ ครูจะติดตามนักเรียนแต่ละคนอย่างใกล้ชิดด้วยวิธีการใดได้บ้าง นี่เป็นโจทย์ที่ครู โรงเรียน และผู้ปกครองต้องร่วมมือกันหาทางออกให้เหมาะสมกับเงื่อนไขของตนเอง 

ไม่เช่นนั้นไม่ว่ารูปแบบการเรียนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาก็ไม่ต่างจากการทิ้งเด็กบางคนที่ไม่มีความพร้อมไว้ข้างหลังอยู่ดี

ปิซา (PISA) คือ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment: PISA) ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในการ เตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง โดย ปิซาเน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ปัจจุบันนี้มีประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วมปิซามากกว่า 80 ประเทศ

ประเทศไทยไม่ใช่สมาชิกโออีซีดีแต่สมัครเข้าร่วมปิซาในฐานะประเทศร่วม (Partner countries) เพื่อต้องการตรวจสอบคุณภาพของระบบการศึกษา และสมรรถนะของนักเรียนวัยจบการศึกษาภาคบังคับของชาติเกี่ยวกับความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต

ประเทศในกลุ่มโออีซีดี ปัจจุบันมีทั้งหมด 36 ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ เกาหลีใต้ เยอรมันนี ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และสวีเดน เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย
อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

อ้างอิง

https://link.springer.com/article/10.1007/s10671-020-09284-4

https://pasisahlberg.com/

Tags:

โฮมสคูลการศึกษาทางเลือกเรียนออนไลน์ความเหลื่อมล้ำการศึกษา

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Beyond Schooling : 3 รูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่หยุดแค่รั้วโรงเรียน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    ‘เรียนดีมีสุข’ ห้องเรียนลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาเด็ก Dropout

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    การเรียนออนไลน์ : สมองของเด็กที่ชำรุดและสุขภาพจิตที่แปรปรวนของพ่อแม่

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel