Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Education trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skills
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Family Psychology
12 January 2021

รับมือกับความเครียดในวันที่พ่อแม่ Work from home ลูกเรียนออนไลน์: คุยกับนักจิตวิทยา ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

เรื่อง ศากุน บางกระ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การกลับมากักตัวอยู่บ้านรอบนี้ แม้ทุกคนจะมี how-to มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจดูเหมือนว่าจะเริ่มไม่ไหวและอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
  • เมื่อบ้านกลายเป็นที่รวมของภาระหน้าที่ที่ซ้อนทับกัน ทั้งความเป็นพ่อแม่/ความเป็นพนักงาน/ความเป็นสามีภรรยา, ความเป็นลูก/ความเป็นนักเรียน จัดการอย่างไรไม่ให้กลายเป็นชวนทะเลาะ
  • “การตั้งเป้าหมายควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง คุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร”

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวต้องกลับมาประจำการอยู่ที่บ้านอีกครั้ง เมื่อโลกการทำงานของพ่อแม่ โลกการเรียนของลูก กับโลกในบ้านต้องกลายมาเป็นโลกใบเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบหลายอย่างพร้อมๆ กัน ความกังวลสารพัดเรื่องที่ประดังกันเข้ามาทำให้หลายบ้านจับต้นชนปลายไปต่อไม่ถูก 

ไหนจะการเรียนของลูก… ค่าใช้จ่าย… ภาระงานของตัวเอง… ความสัมพันธ์สามีภรรยา… รวมๆ กันแล้วทำเอาหลายบ้านใกล้ถึงจุดเดือด ภาวนาขอให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติในเร็ววัน แต่นั่นก็เป็นแค่ความคาดหวัง เพราะในความเป็นจริงยังไม่อาจทราบได้ว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป พ่อแม่ลูกหลายๆ บ้านยังคงต้องใช้บ้านเป็นทั้งที่เรียน ที่ทำงาน รวมไปถึงใช้เป็นสถานที่ปลอดภัยจากโรคระบาด

The Potential นำความกังวลนี้ไปคุยกับ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาแนวทางในการรับมือกับความยุ่งเหยิงทางอารมณ์ จัดการความสัมพันธ์ในวันที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน ซึ่งน่าจะช่วยพ่อแม่ยุคโควิด-19 ผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง

ไม่มีช่วงโปรโมชั่น สำหรับการกลับมาอยู่บ้านรอบสอง 

“ในแง่ how-to เรารู้มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจมันยากมากขึ้น” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เกริ่นก่อนจะอธิบายถึงความกังวลที่ทวีคูณขึ้นในใจของพ่อแม่

“อยู่ดีๆ มันกลับมาอีก ภาวะอารมณ์ของคนรู้สึกช้ำ รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า ไม่พร้อมที่จะกลับไปสภาพนั้นอีก มีความกลัว มีความกังวล รอบแรกกับรอบสองนี้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเจอ ลูกกำลังเจอ มันคือความรู้สึกว่า รู้แหละว่าจะต้องทำยังไง แต่เห็นไหมว่าความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำมันลดลง แล้วมันยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ขึ้น”

คำแนะนำในมุมของนักจิตวิทยาคือ ขั้นแรกเมื่อพ่อแม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยังไม่ทันได้ตั้งรับเช่นนี้ว่าให้ “เข้าใจ” เริ่มตั้งแต่การเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้ ความเข้าใจจะทำให้พ่อแม่รู้ว่าถ้ามีความเครียดเกิดขึ้นมาบ้างคือเรื่องปกติ ยิ่งเมื่อหน้าที่ที่สมบูรณ์แบบ (picture-perfect) ของพ่อแม่ถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะครอบครัวที่เคยไม่ให้ลูกนั่งเฝ้าจอหรือให้เวลากับกิจกรรมการเล่นของลูกอย่างเต็มที่ก็ต้องมายอมรับว่า “จอ” คือทางออกที่ดีที่สุด พ่อแม่ก็ยิ่งเครียดได้ง่ายขึ้น

“บางคนไม่สามารถที่จะทำงานได้เลยถ้าเกิดลูกเข้ามากวน ก็ต้องยอมให้ลูกดูจอ บางทีมันเกิดขึ้นแล้วเราก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง งานก็ทำได้ไม่เต็มที่ บทบาทของพ่อแม่ที่เคยเป็น ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีสมบูรณ์แบบก็รู้สึกไม่เต็มที่ ขั้นที่หนึ่งก็คือให้เข้าใจ แล้วก็ให้เข้าใจด้วยว่า ความยากที่เราเจอมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเราไม่ดี หรือเพราะว่าเราทำงานไม่สำเร็จ เราเป็นพ่อแม่ที่ดีแบบที่เราตั้งใจไว้ไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายโดยย้ำว่า พ่อแม่ต้องตระหนักด้วยว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะมีสิ่งที่ต้องจัดการเพิ่ม นั่นคือความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง

“หน้างานที่หนึ่งคืองานที่มันไม่มีเวลาทำเพียงพอ เพราะเราต้องดูแลลูกด้วย หน้างานที่สองก็คือลูก เราต้องมีเวลาให้ลูกเท่าที่เคยให้ แต่เพราะเราต้องทำงานด้วย ก็จะเกิดหน้างานที่สามแล้ว เกิดความไม่พึงพอใจในตัวเราเอง มันก็จะส่งผลต่อการรับรู้ตัวเรา ส่งผลต่อปัญหาต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นตามมาอีก” 

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วพ่อแม่ก็ต้องหันมามองในมุมของลูก เข้าใจสถานการณ์ของลูกให้ได้เช่นกันว่า เขาต้องเจอกับอะไร รู้สึกอย่างไรอยู่

“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเฉพาะกับตัวพ่อแม่นะ กับลูกก็เป็นเหมือนกัน” ผศ.ดร.ณัฐสุดาเอ่ย ก่อนจะยกตัวอย่างว่า ลูกเองก็เคยรับรู้ว่าเวลาที่พ่อแม่อยู่บ้านคือ เวลาของเขา แต่สถานการณ์เป็นแบบนี้ การรับรู้ของลูกก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ต้องพยายามถามถึงความรู้สึกลูก พยายามให้ลูกมีโอกาสได้เล่ามุมมองที่เขารับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า เขาเป็นอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง หรือบางทีลูกอาจจะบอกไม่ได้ว่าตัวเองเครียด หากพ่อแม่เริ่มเห็นความผิดปกติก็ต้องหาวิธีที่จะสื่อสารกับลูก เมื่อลูกบอกปัญหาของเขาแล้ว อย่างแรกที่พ่อแม่ต้องทำก็คือ การแสดงความเข้าใจ

“บอกเขาว่า เราเข้าใจนะว่ามันไม่ง่ายเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาคนแสดงอารมณ์อะไรต่อเรา คือการรับรู้อารมณ์นั้นและการแสดงความเข้าใจที่เรามีต่ออารมณ์นั้น ความรู้สึกในขั้นต้นนี้จะเบาไปเยอะเลย เพราะมีคนเข้าใจฉัน แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะตอบว่าก็ทนๆ กันไปเถอะ แม่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันก็กลายเป็นว่า ฉันไม่ดีเหรอที่อดทนไม่ได้” 

กล่าวโดยสรุปก็คือ การพูดคุยต้องเริ่มจากพยายามเข้าใจ ไม่ด่วนเสนอแนะ จากนั้นก็สำรวจลึกลงไปว่าปัญหาคืออะไร แล้วลงมือแก้ไข โดยระลึกเสมอว่าความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกจะกระทบกับอารมณ์และจิตใจของลูกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ควรแสดงออกถึงความกังวลมากไป

ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรจะสื่อสารกับลูก

: เมื่อลูกบอกว่า ไม่ชอบเรียนออนไลน์ 

“แม่รู้มันไม่ง่ายเลยลูก เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังซิ หนูไม่ชอบยังไง แล้วทำยังไงดีคะ ให้มันดีขึ้น ให้แม่ช่วยอะไรได้มั้ย”

: เมื่อลูกถามว่า เราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน 

“ไม่มีใครตอบได้เลยลูก แต่แม่เข้าใจ หนูไม่ชอบที่จะอยู่อย่างนี้ใช่มั้ยคะ จริงๆ เราก็ยังไม่รู้ว่าถ้ามีวัคซีนจะดีขึ้นมั้ย ภาวะที่เราอยู่มันยากมากจริงๆ แม่เข้าใจเลยนะว่ามันยาก แต่ถ้าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สามารถดูแลตัวเองได้นะ”

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

ชวนกันจัดตารางเวลาและหากิจกรรมทำด้วยกัน

เมื่อเส้นแบ่งของโลกการทำงานและโลกที่บ้านไม่ชัดหรือเริ่มหายไป พ่อแม่ต้องทำเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่เพื่อจัดสรร ‘เวลา’ และ ‘พื้นที่’ ของตัวเองและของลูกให้ชัดเจน โดยอธิบายให้ลูกได้เข้าใจถึงพื้นที่ เวลา และกิจกรรมที่เขาต้องทำ ผศ.ดร.ณัฐสุดาแนะว่า ตารางสำหรับลูกควรทำให้เหมือนกับตารางที่ลูกอยู่โรงเรียน พ่อแม่ลูกช่วยกันเขียนเลยว่า ตื่นเช้ากี่โมง เดินเล่นถึงกี่โมง ใช้เวลาไหนเล่นกับพี่น้อง ดูทีวี เรียนหนังสือ ทำการบ้าน ฯลฯ 

“เราคงต้องค่อยๆ บอก ถ้าเกิดเมื่อไหร่แม่อยู่ในห้องนี้แปลว่าแม่ทำงานนะ อาจจะต้องขอ ถ้าหนูเรียน หนูต้องเรียนตรงนี้นะ ไม่ใช่เรียนไปแล้วหนูก็ดูการ์ตูนไปอีกช่องนึง คือทุกคนต้องมีพื้นที่เพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้เราต้องทำอะไร” 

คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่ทำงานที่บ้านทั้งคู่ก็คือ แบ่งเวลาช่วยกันดูลูก เช่น แบ่งให้ชัดเลยว่า ตอนเช้าลูกจะได้อยู่กับแม่แล้วตอนบ่ายจะได้อยู่กับพ่อ เพื่อที่ตัวพ่อแม่เองก็จะได้จัดการเวลาที่ต้องทำงานของตัวเองด้วย สำหรับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า อย่างไรก็ต้องจัดตารางเวลาและสถานที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้แต่ละบ้านควรทำตารางเวลาเหล่านี้โดยการชวนลูกคุย ชวนลูกทำ แล้วตกลงร่วมกัน 

“การตั้งเป้าหมายที่ดีมันควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง การตั้งเป้าหมายก็คือเราคุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร อย่าลืมให้เขารู้ว่าเขายังมีโอกาสที่จะได้คุยกับเพื่อน เขายังต้องมีกิจกรรมที่ทำกับคนในครอบครัวด้วย” 

พ่อแม่ต้องไม่ลืมที่จะจัดตารางให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนเพื่อช่วยเตรียมให้ลูกกลับไปเรียนตามปกติได้โดยไม่สะดุดและไม่รู้สึกแปลกแยกกับเพื่อน ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า ถ้าเด็กอายุต่ำกว่าเจ็ดขวบนั้นให้เจอกับเพื่อนระหว่างการเรียนออนไลน์ของโรงเรียนก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นวัยที่มากขึ้นที่เริ่มถอยห่างจากพ่อแม่ การจัดให้มีการวิดีโอคอลคุยกับเพื่อนในตารางเวลาของลูกจะช่วยลดความรู้สึกคิดถึงเพื่อนได้ หรือถ้าบ้านไหนมีเด็กที่เข้าสู่วัยรุ่น เรื่องเหล่านี้ลูกๆ อาจจัดการเองได้เลย เพียงแต่พ่อแม่ต้องแบ่งเวลาให้ชัดว่าควรจะเป็นเวลาไหนที่เขาจะได้มีอิสระ

ทั้งนี้การสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็นเสมอโดยเฉพาะในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจ ไม่ได้รับรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร เรื่องนี้ ผศ.ดร.ณัฐสุดา ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกว่า การทำงานที่บ้านครั้งที่แล้ว ระหว่างที่กำลังสอนนักศึกษาผ่านโปรแกรมอยู่ ลูกที่ยังเล็กก็เคาะประตูเข้ามาในห้องแล้วร้องไห้บอกว่า “นักเรียนไม่ใช่ลูกของแม่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะแบ่งตารางเวลากับลูกชัดแล้ว แต่ลูกยังต้องการการสื่อสารการอธิบายให้เข้าใจด้วย

นอกจากนี้พ่อแม่ควรใช้โอกาสนี้ที่มีเวลาอยู่กับลูกเพิ่มทักษะต่างๆ ให้ลูกไปพร้อมๆ กับกิจกรรมการผ่อนคลาย เช่น ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ระบายสี เล่นทราย ออกกำลังกาย พ่อแม่สามารถชวนลูกวางแผนได้เลย โดยการถามเขาว่าเวลาที่ไม่สบายใจอยากจะทำอะไรแล้วเพิ่มลงไปให้ตาราง โดยผศ.ดร.ณัฐสุดา เน้นว่าสิ่งที่จะต้องทำคือต้องเข้าใจความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัย หากลูกอยู่ในวัยรุ่นที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็เพียงจัดพื้นที่และโอกาสให้ลูก 

“การเรียนมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องเรียน ในห้องเรียนเป็นการเรียนเอาความรู้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เป็นช่วงที่อยู่นอกห้องเรียน เรียนเนื้อหาผ่านออนไลน์ แต่ว่าการอยู่บ้าน เขาก็สามารถจะเรียนรู้ได้ บางทีก็คือการให้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ตัวเอง มาช่วยกันทำกับข้าว ชั่งตวงวัดก็เป็นการเรียนรู้เรื่องเลขได้ การทำสวนก็เป็นการได้ออกกำลัง หากิจกรรมเถอะที่มาทำร่วมกันกับลูก อย่าตีค่ากิจกรรมต่างๆ ที่จะทำร่วมกันว่าเป็นการเล่น” 

เปลี่ยนความล้าเป็นพลังแล้วดูแลใจตัวเอง

เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะรู้สึกล้าในเวลานี้ อาจจะมีบ้างที่เอาพลังงานด้านลบไปใส่ลูก ฉะนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ การตั้งสติแล้วตระหนักว่าตอนนี้ลูกไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กประถมหรือวัยรุ่น คนที่เขาหวังพึ่งก็คือ พ่อแม่

“แม้จะล้า เราจะต้องกลับมามองให้เห็นว่าตัวเรามีความหมายกับคนอีกคนนึงที่เราดูแลมากขนาดไหน บางทีความล้าอาจจะหายไปเมื่อเราเห็นความหมายของคนที่เราต้องดูแล ยิ่งเห็นความยากของสถานการณ์ที่เจอแล้วต้องผ่านไปให้ได้ ก็จะยิ่งเห็นความหมาย สิ่งนี้จะกลับมาเป็นกำลังใจ เป็นพลังใจให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ฮึดขึ้นมา” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายและเตือนด้วยว่า “ลูกก็อาจจะล้าอยู่เหมือนกัน” พ่อแม่จึงยิ่งต้องเป็นหลักให้ลูก หากพ่อแม่เกิดความกังวลก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองโดยการทำในสิ่งที่ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย การดูแลความสะอาดให้ลูก การลดความเสี่ยงต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถทำและควบคุมได้เพื่อลูก

เมื่อพ่อแม่ตั้งสติ จัดการตารางให้ลูกและตัวเองได้แล้ว การจัดการอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะลืมไม่ได้ก็คือ การกลับมาดูแลตัวเอง ทั้งพ่อและแม่ต้องยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้พักจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ การจัดตารางเวลาแบ่งหน้าที่กันจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้พ่อแม่ออกห่างจากความเครียดในชั่วระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้พ่อควรจะต้องหาวิธีคลายเครียดอื่นๆ มาเสริมกันด้วย เช่น พูดคุยกับเพื่อน ทำกิจกรรมที่ชอบ

“เราพูดเหมือนกับพ่อกับแม่เป็นยอดมนุษย์ แต่ความจริงพ่อกับแม่ก็เหนื่อย พ่อกับแม่ก็ล้า แม้จะมีความหมายเกิดขึ้นแล้วว่าฉันจะต้องทำเพื่อลูก แต่บางทีมันก็มีความล้า มันก็มีความเครียดเนอะ หาวิธีที่จะจัดการกับความเครียด ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราเคยทำได้ที่เราเคยทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยเรา” 

ผศ.ดร.ณัฐสุดาเห็นว่า ข้อดีอย่างหนึ่งเมื่อได้อยู่บ้านอย่างพร้อมหน้ากันก็คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติในกรณีที่ครอบครัวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การจัดการแบ่งเวลา จัดพื้นที่ หากิจกรรมทำระหว่างที่อยู่ที่บ้านจึงไม่ใช่แค่การลดความกังวล ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่เป็นทางที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ และพ่อแม่ยังใช้โอกาสในวิกฤตนี้รู้จักตัวเองในด้านอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เคยเห็นมาก่อนได้ด้วย

“เราอาจจะเคยเชื่อเกี่ยวกับตัวเรา ฉันคงเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อยู่ๆ เหตุการณ์โควิดเกิดขึ้น ทำให้เราต้องสู้สุดชีวิต สู้ที่สุด อดทนที่สุด นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรานิยามตัวเราใหม่ก็ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เหนื่อยมากๆ อย่างการระบาดรอบสองนี้คนเหนื่อยขึ้นเยอะเลย ถ้าเกิดเรากำลังเหนื่อยอยู่ อยากให้บอกตัวเองว่า เอ้อ เหนื่อยอยู่ เราอดทน ถ้าเราผ่านไปได้ อย่างน้อยเหมือนเราได้ปลดล็อกความสามารถใหม่นะ” ผศ.ดร.ณัฐสุดากล่าวทิ้งท้าย

Tags:

Work from homeผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์เรียนออนไลน์ความเครียด

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Spotlight Effect : โดนจ้องจับผิดหรือคิดไปเอง

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    การเรียนออนไลน์ : สมองของเด็กที่ชำรุดและสุขภาพจิตที่แปรปรวนของพ่อแม่

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    เน็ตป๊าม้า (Net PAMA) หลักสูตรออนไลน์สำหรับพ่อแม่ กับสูตร 3Rs ในการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel