Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: January 2021

จดหมายถึงพ่อ – เมื่อโลกของเด็กถูกสร้างด้วยความรู้สึกผิด
Book
29 January 2021

จดหมายถึงพ่อ – เมื่อโลกของเด็กถูกสร้างด้วยความรู้สึกผิด

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • จดหมายถึงพ่อ โดย ฟรันซ์ คาฟคา นักเขียนชาวยิว เป็นจดหมายความยาวกว่า 50 หน้า ที่คาฟคาเขียนถึงพ่อเพื่อแก้ปมในใจที่เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อ
  • คาฟคาเติบโตมากับพ่อที่เป็น ‘ชาย’ สมบูรณ์แบบตามขนบธรรมเนียมสังคมในยุคนั้น ทำให้เขารู้สึกกดดันว่าตนเองดีสู้พ่อไม่ได้ และยิ่งเขาถูกพ่อต่อว่าบ่อยๆ มันทำให้คาฟคายิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เพราะไม่สามารถแม้แต่ทำให้คนที่เขารักภาคภูมิใจได้
  • คาฟคาย้ำบ่อยครั้งว่าเขารู้เสมอว่าพ่อรักเขา และไม่ได้มีเจตนาร้ายแก่เขาเลย แต่การที่พ่อนั้นคอยแต่ดุว่า ถากถาง และไม่เคยรับฟัง ยิ่งทำให้คาฟคารู้สึกผิด รู้สึกไร้ค่า เพราะเขารู้สึกว่าไม่อาจทำให้คนที่รักตนพอใจได้เลย

ท่านคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องมีความสุขเสมอไปไหมครับ

ผมอยากให้ท่านมาทำความรู้จักชายผู้หนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่พอมีใช้ เรียนจบมัธยมด้วยคะแนนสูง จบมหาวิทยาลัยที่ดี ได้งานทำมั่นคง ได้ทำตามความฝันของตนคือเป็นนักเขียนเป็นงานเสริม แถมผลงานก็เป็นที่ยอมรับพอสมควร 

แต่เชื่อไหมครับว่า เขาเป็นคนที่ไม่น่ามีความสุขในชีวิตเท่าไรนัก เพราะผลงานเขียนของชายที่ผมพูดถึงมีชื่อเสียงในด้านความหมองหม่น เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความสิ้นหวังและความรู้สึกผิดของตัวละคร ท่ามกลางความมืดดำของสังคมและการเมือง ประวัติที่ได้จากคนรอบตัวและบันทึกของเขาก็ใช้ยืนยันได้ว่า ผลงานของเขานั้นสะท้อนถึงบุคลิกของผู้แต่งไว้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนอมทุกข์ มองโลกในแง่ร้าย ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง ถึงขั้นที่เขาได้สั่งเสียให้เผาผลงานของตนทิ้งให้หมดหากเขาตาย 

ผู้อ่านหลายท่านน่าจะรู้แล้วว่าผมกำลังพูดถึง ฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka) นักเขียนชาวยิว (เกิดและอาศัยในราชอาณาจักรโบฮีเมียน ซึ่งบริเวณดังกล่าวคือสาธารณรัฐเช็กในปัจจุบัน) ผู้โด่งดังในวรรณกรรมที่มืดมนและแปลกประหลาด

จะว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่เพื่อนผู้รับคำสั่งเสียของคาฟคานั้นเสียดายผลงานของคาฟคาเกินกว่าจะเผาทิ้ง แถมยังนำมาเผยแพร่แทน จนโลกได้รู้จักผลงานทรงคุณค่าหลายเรื่องที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ตอนคาฟคามีชีวิต และหนึ่งในผลงานนั้นคือ จดหมายถึงพ่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เนื้อหาคัดลอกมาจากจดหมายที่คาฟคาเขียนถึงพ่อของเขา และผลงานเล่มนี้เองจะมาตอบคำถามว่า ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จอย่างคาฟคา ถึงไม่มีความสุข

‘จดหมายถึงพ่อ’ เป็นจดหมายแค่ฉบับเดียว แต่มันมีความยาวเกือบ 50 หน้า เนื้อหานั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่คาฟคาคิดในใจอยู่เสมอ และอยากถามหรือบอกเรื่องนี้กับพ่อของเขามานาน แต่ก็ไม่เคยได้ทำเสียที 

จนกระทั่งเขาอายุ 36 ปี มีเหตุให้เขาเหลืออดกับชีวิตที่ดูสิ้นหวังไร้ค่าในหลายๆ ด้าน เขาเลยคิดว่าต้องการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในใจของเค้าเสียที คาฟคาตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อปรับความเข้าใจกับพ่อ เพราะเขาคิดว่าต้นตอของปัญหาใหญ่ๆ ในชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กจนโตล้วนมีสาเหตุมาจากพ่อ

โลกของเด็กเริ่มต้นในโลกใบเล็ก ซึ่งก็คือครอบครัวหรือตัวเด็กกับผู้เลี้ยงดู เมื่ออ่านจดหมายถึงพ่อเราจะพบว่าโลกของคาฟคาในวัยเด็กมีราชาผู้ปกครองคือพ่อของเขา ด้วยสังคมยุโรปในราวๆ ค.ศ. 1880 ที่ยังให้คุณค่าว่าชายเหนือกว่าหญิง ชายคือผู้นำที่คนในครอบครัวต้องเคารพยำเกรง ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือภรรยา เฮอร์แมน-พ่อของคาฟคานั้นมีบุคลิกโผงผาง เสียงดัง พูดแรง ช่างตำหนิ และชอบถากถาง และสิ่งนั้นก็ไม่ยกเว้นแม้แต่กับลูกๆ ซึ่งส่งผลให้โลกของคาฟคานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราชาคนนี้ 

แต่ปัญหาของคาฟคานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความกลัว ปัญหาใหญ่อีกอย่างคือ การแบกรับความคาดหวังจากพ่อที่ตัวคาฟคายอมรับว่าเป็น ‘ชายในแบบฉบับ’ ของบุคคลสมัยนั้น คือตัวใหญ่ ร่างกายแข็งแรง เล่นกีฬาเก่ง พูดจามีวาทศิลป์ เป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถและความทะเยอทะยาน แต่คาฟคากลับไม่มีคุณสมบัติอะไรเลยในวัยเด็กที่มีแววว่าจะเหมือนพ่อ เขาทั้งตัวเล็ก ผอมแห้ง ไร้เรี่ยวแรง ขี้อาย แถมพูดติดอ่าง ซึ่งหลายๆ เรื่องน่าจะแก้ไขได้ แต่เฮอร์แมนเน้นเพียงแต่การใช้คำพูดตำหนิ เย้ยหยัน ดูถูก ถากถาง ซึ่งเหมือนตอกย้ำคาฟคาว่าตนไร้ความสามารถจริงๆ และเชื่อว่าไม่อาจทำอะไรได้ดี หรือเป็นคนที่พร้อมแบบพ่อเขาได้ 

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโลกของเด็กชายคาฟคาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทุกครั้งที่เขาเห็นพ่อมีหลายอย่างในอุดมคติ และทำสิ่งต่างๆ ได้ แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขาจะมีโอกาสทำได้ หรือเป็นอย่างพ่อ

เมื่อโตขึ้นหน่อย คาฟคาเองก็เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่เริ่มมีความคิดอ่านของตนเอง ซึ่งหลาย ๆ อย่างก็ไม่ตรงกับสิ่งที่พ่อแม่สอน แต่ความคิดอ่านที่เพิ่มมากลับกลายเป็นทำให้คาฟคารู้สึกแย่ไปกว่าเดิม เพราะไม่ว่าเขาจะโต้แย้งอะไร เขาไม่อาจเถียงชนะพ่อของเขาได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คือในหลายๆ ครั้ง พ่อไม่แม้แต่จะฟังเขาด้วยซ้ำ พ่อเขาวางตนเองเป็นกฎที่ถูกต้องเสมอ แต่กฎของเฮอร์แมนกลับความไม่คงเส้นคงวา เช่น การดุว่าลูกหากลูกกินอาหารแล้วทำเศษร่วงแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับทำเศษอาหารร่วงมากกว่าใคร และในบางครั้งก็ว่าในสิ่งที่ลูกยังไม่ได้ทำเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายมันเลยกลายเป็นความสับสน และสิ้นหวังของคาฟคาเพราะไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ถูกใจพ่อเขาสักเรื่อง หรือหากคิดเห็นต่างอะไร สิ่งนั้นผิดเสมอหากคิดต่างจากพ่อ

ชีวิตในวัยเรียนทำให้คาฟคามีโลกหรือสังคมที่กว้างขวางขึ้น แต่กรอบจากโลกใบเล็กสมัยเขายังเด็กยังคงไม่หายไป พ่อยังคงเป็นมาตรฐานในชีวิตไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ แม้คาฟคาเก่งในบางเรื่อง แต่หากสิ่งนั้นพ่อไม่ได้ให้ความสำคัญ ก็ยากที่เขาจะรู้สึกว่าตนเองทำได้ดี เช่น เขามีผลการเรียนดีมาตลอด แต่เขากลับไม่รู้สึกภูมิใจกับคะแนนสอบ เพราะพ่อของเขาไม่ได้แสดงความยินดีหรือยอมรับความสามารถแต่อย่างใด คาฟคาถึงขั้นสงสัยว่าโรงเรียนนี้ผิดปกติอย่างไรหรือเปล่า ที่คนอย่างเขาถึงสอบผ่านและได้คะแนนดี 

แม้เขาสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว คาฟคาไม่คิดว่าจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจแบบพ่อได้ แต่ถึงเขาอยากเป็นนักเขียน เขาก็เลือกทำงานเอกสารในบริษัทที่เขาไม่ชอบ เพราะเขายึดเกณฑ์ของชายที่มีอาชีพมั่นคงเหมือนพ่อ ซึ่งก็ไม่ตอบสนองให้เขารู้สึกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตการงานเลย เขารู้สึกว่าตนล้มเหลวทั้งในงานประจำที่ยังไม่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งเหมือนการค้า และทั้งงานเสริมคือการเป็นนักเขียน แม้เขาจะเริ่มได้มีหนังสือตีพิมพ์ของตนเอง แต่พ่อไม่เคยอ่านหนังสือของเขาเลยสักเล่ม ความสำเร็จเหล่านี้เลยกลายเป็นสิ่งไร้ค่าด้วยมาตรฐานจากพ่อ

คาฟคานั้นพยายามแต่งงานหลายครั้งด้วยความรู้สึกว่าการได้บท ‘พ่อ’ ของครอบครัวจะทำให้เขาหลุดพ้นจากความรู้สึกว่าตนไม่ดีพอในสายตาพ่อเสียที แต่เขาก็ยกเลิกงานแต่งหลังหมั้นหมายไปแล้วหลายครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วเขารู้สึกกดดันกับมาตรฐานการเป็น ‘พ่อ’ ที่เขาคิดไว้เหลือเกิน และในแผนแต่งงานครั้งสุดท้าย พ่อของเขากลับไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เพราะไม่ชอบคนรักเขา ซึ่งมันเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คาฟคารู้สึกว่าชีวิตเขาผิดพลาดไปเสียหมด จนเขาตัดสินใจเขียนจดหมายเพื่อปรับความเข้าใจกับพ่อ

ถึงตรงนี้อาจจะฟังเหมือนคาฟคากล่าวโทษพ่อแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่หากได้อ่านจดหมายถึงพ่อจนจบ จะพบว่าทุกครั้งที่คาฟคากล่าวโทษพ่อ เขาจะก็กล่าวโทษตนเองไปพร้อมๆ กัน เขาอาจจะพูดว่าเขาไม่ผิด แต่เขาก็แสดงความรู้สึกผิดทุกครั้งในสิ่งที่พ่อต่อว่าเขาไม่ว่าเรื่องอะไร และภาวะนั้นเกิดขึ้นเป็นเวลาสิบๆ ปี และคือเกือบชั่วชีวิตของคาฟคาที่เสียชีวิตตอนอายุเพียง 41 ปีเพราะโรคร้าย สิ่งที่น่าเสียดายคือหลังเขียนจดหมายเสร็จ แม่ของเขาไม่ต้องการให้พ่อลูกทะเลาะกัน จึงไม่ยอมส่งจดหมายให้พ่อหลังคาฟคาฝากไว้ เราจึงไม่อาจรู้ได้ว่าผลลัพธ์ของจดหมายเล่มนี้จะช่วยแก้ไขให้ชีวิตของคาฟคาสดใสขึ้นหรือไม่

ที่ผมอยากแนะนำให้อ่านจดหมายถึงพ่อก็เพราะเป็นงานเขียนรูปแบบที่หาได้ยาก น้อยคนที่จะเขียนความรู้สึกที่เกี่ยวกับความรู้สึกเรื่องการเลี้ยงดูของพ่อหรือแม่ในสมัยเด็กๆ และเทียบผลกระทบของมันในวัยผู้ใหญ่ได้ละเอียดลออถึงเท่างานเขียนชิ้นนี้ จดหมายถึงพ่อเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าชีวิตในวัยเด็กนั้นมีผลต่อการสร้างบุคลิกในวัยผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก และประเด็นนี้คือหนึ่งในรากฐานของทฤษฎีจิตวิทยาเลยก็ว่าได้

หนึ่งในทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการที่ได้รับการยอมรับ คือ ‘พัฒนาการทางจิตสังคม’ ของ อีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมันที่เสนอว่า ในบุคคลแต่ละวัยนั้นมี ‘งาน’ สำคัญที่ต้องทำให้ลุล่วง ซึ่งแต่ละวัยจะมีงานแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่แรกเกิดจนแก่ชรา หากวัยไหนทำงานของวัยนั้นไม่ผ่าน บุคคลก็อาจจะผ่านงานของวัยถัดไปยากขึ้น หรืออาจจะย้อนกลับมาหมกมุ่นในงานที่ไม่เหมาะสมกับวัย 

เช่น ในวัย 3 – 5 ปี งานคือการมั่นใจว่าเริ่มลงมือทำสิ่งต่างๆ หรือคิดสิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง หากทำไม่สำเร็จ จะกลายเป็นความรู้สึกผิดและกลัวถูกตำหนิหรือลงโทษหากตนต้องการทำอะไรเอง ต่อมาในวัย 6-11 ปี งานคือการรับรู้ว่าตนเองทำอะไรได้เก่งหรือชำนาญหรือไม่หากเทียบกับคนอื่น หากไม่ จะกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า ไม่มีความสามารถเพียงพอ เราจะเห็นว่าชีวิตในวัยเด็กของคาฟคานั้นเจอแต่การลงโทษด้วยคำพูด และไม่ได้รับความชื่นชมในความสามารถใดๆ และนั่นอาจจะทำให้เขากลับมาหมกมุ่นกับเรื่องความรู้สึกผิด และด้อยค่าเหล่านี้แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว

โลกของเด็กนั้นมีคนอยู่จำกัด บุคคลที่มีอิทธิพลในครอบครัวจึงเหมือนบุคคลที่ตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด ณาคส์ ลากอง นักจิตวิเคราะห์และจิตแพทย์ชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวไว้ว่าบุคคลที่มีอำนาจที่สุดในครอบครัว เช่น พ่อ จะเป็นเหมือนตัวแทนของศีลธรรมที่เด็กได้เรียนรู้ผิดชอบชั่วดี 

ในจดหมายถึงพ่อเราได้เห็นว่า คาฟคาตัดสินโลกในแนวทางเดียวกับพ่อของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจ แต่เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกรอบที่สร้างขึ้นในวัยเด็ก สิ่งที่เขาชอบ ที่เขาทำได้ดี เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไร้ค่าด้วยกฎของพ่อที่ฝังอยู่ในใจ

จดหมายถึงพ่อคงไม่ใช่หนังสือที่เหมาะสำหรับพ่อเท่านั้น แต่เหมาะกับทั้งแม่หรือใครก็ตามที่เลี้ยงดูเด็ก จริงอยู่ว่าทุกคนอยากให้ลูกของตนเป็นคนดี คนเก่ง มีความสามารถในอนาคต พ่อแม่หลายๆ ท่านเลยมีความเข้มงวด และใส่ความคาดหวังของตนให้ลูกมากเป็นพิเศษ หลายคนก็ปั้นลูกออกมาได้ดั่งใจ แต่ก็มีหลายครั้งที่เด็กโตมาถึงจะเก่ง ได้งานการที่ดี แต่กลับไม่มีความสุข เพราะถ้าเลือกทำตามกรอบที่พ่อแม่วาง ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ถ้าทำตามใจตนเอง แต่ไม่ตรงกับที่พ่อแม่คาดหวัง ก็จะรู้สึกผิดแทน ทำให้ทุกข์ใจทั้งสองทาง การปลูกฝังบุคลิกในวัยเด็กส่งผลต่อการมองโลกว่าเป็นที่ที่เขาจะมีหนทางซึ่งหาความสุขได้หรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้ผู้เลี้ยงดูมีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมเรื่องนี้เหลือเกิน

แม้ว่าหลายๆ ท่านอาจจะบอกว่าที่เข้มงวด ใจร้าย คอยว่าคอยด่า ก็เพราะรัก แต่เมื่อท่านอ่านจดหมายถึงพ่อ จบ ท่านอาจจะรู้สึกได้ว่า ‘รัก’ ในแบบนั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะคาฟคาย้ำบ่อยครั้งว่าเขารู้เสมอว่าพ่อรักเขา และไม่ได้มีเจตนาร้ายแก่เขาเลย แต่การที่พ่อนั้นคอยแต่ดุว่า ถากถาง และไม่เคยรับฟัง ยิ่งทำให้คาฟคารู้สึกผิด รู้สึกไร้ค่า เพราะเขารู้สึกว่าไม่อาจทำให้คนที่รักตนพอใจได้เลย 

ดังนั้นการแสดงความชื่นชมในตัวเด็กอย่างจริงใจ การทำให้เด็กรู้ว่าตนมีข้อดี มีความสามารถ เป็นคำพูดที่เด็กต้องการอย่างยิ่ง เด็กทุกคนย่อมอยากได้รับคำชมจากพ่อแม่ หรือบุคคลที่เลี้ยงตนมา เด็กที่ไม่อาจภูมิใจตัวตนของเขาในสายตาพ่อแม่ ก็อาจจะไม่มีวันภูมิใจในตัวเองเลยในอนาคต ไม่ว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จแค่ไหน 

และเหนือสิ่งอื่นใดที่เห็นได้ชัดจากจดหมายถึงพ่อ คือ การเปิดใจรับฟังลูกนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเราคงอยากให้ลูกเปิดใจกับเราทันทีหากเขารู้สึกคับข้องใจอย่างมาก ไม่ใช่เปิดใจกับเราในวันที่เขาสุดทน เหมือนคาฟคาที่อดทนมาเป็นสิบๆ ปี จึงค่อยเขียนจดหมายถึงพ่อของเขาในวันที่อาจจะสายเกินไปแล้ว

หนังสือที่รีวิว: จดหมายถึงพ่อ ประเภท: วรรณกรรม เขียนโดย: ฟรันซ์ คาฟคา แปลโดย: ถนอมนวล โอเจริญ สำนักพิมพ์: ไลบราลี่ เฮาส์ (พิมพ์ครั้งที่ 2)
ชวนอ่านบทความเพิ่มเติมในหมวดจิตวิทยากับการ ‘ชื่นชม’ 
ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมาเรื่องการชื่นชมเด็ก
โรค ‘ปั้นลูกให้เก่ง’ 

Tags:

ปม(trauma)การไม่ถูกชื่นชม

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค” จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (2): หอบหืด ประจำเดือนผิดปกติ โรคกลัวผู้หญิง / ผู้ชาย มาจากการถูกกักขังเสรีภาพในนามของความรัก

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/CrisisMovie
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Education trend
    ถึงเวลาเอาคะแนน ‘ยกมือตอบในห้อง’ ออกได้หรือยัง?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย ในห้องเรียนที่กว้างเท่าผืนป่า : ‘ครูหนุ่ม-นิติศักดิ์’ ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน
Unique Teacher
28 January 2021

เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย ในห้องเรียนที่กว้างเท่าผืนป่า : ‘ครูหนุ่ม-นิติศักดิ์’ ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน

เรื่อง ศากุน บางกระ

  • บ้านแม่ลามาน้อย ห่างจากอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 75 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ร่วม 3 ชั่วโมง บนเส้นทางแสนขรุขระและยากลำบากโดยเฉพาะในหน้าฝน ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถไปเรียนนอกชุมชนได้ และเป็นที่มาของการริเริ่มโครงการศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน
  • ก่อนก่อตั้งศูนย์ฯ เด็ก ผู้ปกครองและครู ช่วยกันออกแบบการเรียนรู้โดยนำแนวคิดของชาวปกาเกอะญอ ‘ต่ามาโละ ต่าโอมู – การเรียนรู้เพื่อการมีชีวิตที่ดีงาม’ มาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางโดยมีหัวใจสำคัญคือ วิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต
  • ที่ศูนย์การเรียนฯ เด็ก 1 คนจะเป็นเจ้าของอย่างน้อย 1 โครงการ (Project-based Learning) และมีโครงการใหญ่ที่ทุกคนทำร่วมกัน โดยครู (1 คนที่สอนทุกระดับชั้น) มีหน้าที่ตั้งคำถามและเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กๆ ด้วย
ภาพ เฟซบุ๊กศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน

การเรียนเพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมายเป็นสิ่งที่การศึกษาในปัจจุบันไม่ค่อยพูดถึง ซ้ำร้ายระบบการศึกษาตอนนี้ยังตอกลิ่มปัญหาความไม่เข้าใจความแตกต่างของเด็กและพื้นที่ด้วยแบบประเมินผลชุดเดียวกันทั้งประเทศ การเรียนที่มุ่งไปสู่การแข่งขันเช่นนี้ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าได้ ในขณะที่เด็กจำนวนมากยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไร้เป้าหมายจนกลายเป็นโจทย์ที่ภาคการศึกษาช่วยกันคิดแก้ไขมาตลอด

นิติศักดิ์ โตนิติ หรือ ครูหนุ่ม เห็นว่า คำตอบของโจทย์ข้อนี้คือการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และตัวผู้เรียน จึงตั้งใจสร้าง ‘ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน’ เพื่อให้เด็กๆ ชาวปกาเกอะญอในชุมชนบ้านแม่ลามาน้อย อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เข้าถึงการศึกษา เข้าใจตัวเอง และเข้าใจชุมชนไปพร้อมๆ กัน เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวินมาตั้งแต่เริ่มตั้งไข่จนถึงปัจจุบันที่สามารถก้าวเดินเติบโตจนเป็นยอมรับในฐานะโรงเรียนทางเลือก และปัจจุบันเขายังเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนวัตกรรมการจัดการการศึกษาแม่ฮ่องสอนด้วย 

ย้อนกลับไปในปี 2556 หลังจากที่ครูหนุ่มได้เข้าไปเป็นผู้ประเมินผลโครงการของครูอาสาในชุมชนแม่ลามาน้อยได้ไม่นาน โรงเรียน กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ที่เด็กๆ ในชุมชนไปเรียนเป็นประจำถูกยุบจนทำให้เด็กหลายคนต้องย้ายไปเรียนกับโรงเรียนของ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ที่อยู่ไกลออกไป ไม่ว่าเด็กเล็กหรือโตก็จะต้องไปอยู่หอพักเป็นเดือนหรือเป็นปี ชาวบ้านในชุมชนจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า “หมู่บ้านเราตั้งโรงเรียนไม่ได้เหรอ” 

ด้วยคำถามนี้เองทำให้ครูหนุ่มกลับมาค้นคว้ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการศึกษาโดยองค์กรชุมชน ซึ่งพบคำตอบว่า “เป็นไปได้” แม้จะไม่ใช่คนในชุมชนหรือคนแม่ฮ่องสอน แต่การคลุกคลีอยู่กับกลุ่มเด็ก เยาวชน และชาวบ้านในพื้นก็ทำให้ครูหนุ่มเข้าไปเป็นคนอำนวยความสะดวกและผลักดันให้เกิดศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวินขึ้นมาได้สำเร็จและได้รับอนุมัติให้จัดการศึกษาจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 2 ในปี 2558

ปัจจุบันปีการศึกษา 2563 ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวินมีเด็กในชุมชนเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย 2 คน มัธยมศึกษาตอนต้น 3 คน มัธยมศึกษาตอนปลาย 2 คน และมีครูซึ่งเป็นคนในชุมชน 1 คนสอนเด็กทุกระดับชั้น การจัดการเรียนแบบฉบับของศูนย์การเรียนฯ จะเน้นการบูรณาการความรู้ในชุมชนกับความรู้ทางวิชาการ ห้องเรียนก็มีตั้งแต่อาคารของศูนย์ฯ สนามหญ้า ผืนป่า ลำธารในชุมชน โดยมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนเป็นครูไปจนถึงการลงไปในเมืองเพื่อหาความรู้กับผู้รู้อื่นๆ

การศึกษาต้องเปิดให้เด็ก (และผู้ปกครอง) จัดการเรียนรู้เอง

“พ่อแม่เขามองว่า เด็กเล็กๆ ถ้าไม่ได้เรียนรู้ความรู้ในพื้นที่ที่เป็นวิชาชีวิต หรือว่าวิชาที่พ่อแม่สอนในครอบครัว โตขึ้นจะสอนไม่ได้ แล้วอย่างนี้เขาก็จะออกจากบ้านไปเรื่อยๆ ไม่ได้มองกลับมาที่บ้าน เพราะว่าเขาไม่ได้มีอะไรสัมพันธ์กับบ้าน” ครูหนุ่มเล่าถึงที่มาของศูนย์การเรียนฯ ที่สอนเรื่องพืชอาหาร พืชสมุนไพร งานจักสาน สีย้อมผ้า และร่วมกับวิทยาลัยชุมชนในการสอนวิชาชีพด้านต่างๆ เช่น การเกษตรเชื่อมกับเรื่องการเรียนรู้ที่นำไปสู่การอ่านออกเขียนได้ การคิดคำนวณ การจัดการ การดูแลตัวเอง การดูแลครอบครัว ฯลฯ

จากความตั้งใจที่จะให้เป็นศูนย์การเรียนของเด็กในชุมชน ครูหนุ่มจึงชวนเด็ก ผู้ปกครอง ครู ล้อมวงหารือเพื่อตกลงร่วมกันว่าจะออกแบบการเรียนอย่างไรตั้งแต่เริ่มก่อตั้งศูนย์การเรียนฯ จนเกิดการนำแนวคิดของชาวปกาเกอะญอ ‘ต่ามาโละ ต่าโอมู – การเรียนรู้เพื่อการมีชีวิตที่ดีงาม’ มาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางของการเรียนรู้ โดยเห็นตรงกันว่า ระดับชั้นประถมศึกษาจะเป็นการเรียนเพื่อให้ดูแลตัวเองได้ ระดับมัธยมศึกษาเป็นการเรียนเพื่อให้ดูแลครอบครัวได้ในด้านเศรษฐกิจ ระดับมัธยมต้นต้องรู้จักลดรายจ่าย มัธยมปลายรู้จักเพิ่มรายได้ และถ้าเรียนถึงระดับอุดมศึกษา เป้าหมายก็จะอยู่ที่การกลับมาดูแลชุมชนได้รวมไปถึงดูแลเรื่องดิน น้ำ ป่าด้วย

‘วิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต’ คือสามอย่างที่ศูนย์การเรียนฯ ยึดเป็นหลัก เช่น เมื่อเรียนเรื่องการย้อมสีฝ้าย เด็กจะได้รู้เรื่องปริมาตรน้ำกับการย้อมเส้นฝ้าย ความเข้มข้นของสีใช้ขมิ้นเท่าไร น้ำต้มกี่องศา น้ำเดือดแบบไหน สีที่ย้อมติดกับสีที่ลอกเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้เด็กจะได้บูรณาการความรู้ทั้งสามอย่าง แต่ในเทอมหนึ่งจะเรียนเรื่องอะไรบ้างนั้น เด็กๆ สามารถเลือกที่จะเรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจได้ 

นั่นหมายความว่า เด็กแต่ละคนจะมีตารางเรียน มีวิธีการเรียนที่ตัวเองเลือกเอง และการได้เลือกเองเช่นนี้ที่ครูหนุ่มเห็นว่า จะทำให้เด็กซึมซับวิธีการที่จะช่วยให้เด็กสร้างทางเลือกของตัวเองต่อไปได้ และจะอยู่ในกรอบของการเรียนเพื่อมี “ราก” ที่ทำให้เด็กเติบโตไปอย่างมีตัวตนโดยที่เข้าใจทั้งตัวเองและชุมชน

เมื่อได้เรียนรู้เรื่องใดแล้ว ครูหนุ่มยังออกแบบให้การประเมินผลการเรียนอยู่ในอำนาจของผู้เรียน เด็กๆ ที่ศูนย์การเรียนฯ จะได้ประเมินตัวเองว่าความรู้หรือสิ่งที่พวกเขาได้มาจากอะไร แล้วต้องฝึกฝนเรื่องใดต่อ ในขณะเดียวกันเพื่อนก็ยังได้ประเมินเพื่อนด้วยกัน และครูกับผู้ปกครองก็ได้ประเมินด้วยเช่นกัน 

“เราทำเป็นการประเมิน มีโครง มีหัวข้อ ถ้าทำง่ายๆ ก็ออกแบบเป็นตารางกิจกรรม แล้วประเมินเช่นว่า รังแกสัตว์มั้ย มีเด็กเขาให้คะแนนตัวเอง 2 เราถามว่าทำไมให้แค่นี้ เขาบอก ผมไปขุดไส้เดือนมาตกปลา เราบอกเขาว่า ก็ไม่ได้ผิดอะไรหนิ เขาแย้งว่า ผมเอามาดึงเล่น ผมรังแกสัตว์ พอเราถามว่าแล้วอยากได้เท่าไร เขาบอก อยากได้ 4 อยากได้ 5 คะแนน ถามต่อแล้วต้องทำยังไงบ้าง” ครูหนุ่มยกตัวอย่าง และแม้คะแนนไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา แต่เด็กที่จบจากศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวินจะมีใบรับรองวิชาต่างๆ ที่พวกเขาได้เรียนและสามารถเทียบวุฒิกับการศึกษาในระบบได้

อีกด้านหนึ่งของครูหนุ่มที่สวมหมวกผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนวัตกรรมการจัดการการศึกษาแม่ฮ่องสอน ทำให้แนวคิดในการเปิดโอกาสให้เด็กได้จัดการเรียนรู้เช่นนี้ได้เดินทางต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ครูหนุ่มกำลังทำโครงการฯ กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ด้วยความตั้งใจว่า จะชวนเด็กที่หลุดออกนอกระบบ เช่น เด็กที่ยากจน มีปัญหาสุขภาพ หรือเป็นแม่วัยใสให้ได้กลับมาเรียนรู้เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน และที่สำคัญการเรียนรู้เหล่านี้ต้องต้องมีกระบวนการคิดที่จะเชื่อมโยงไปสู่การลงมือปฏิบัติที่ทำให้เด็กๆ จัดการตัวเองให้อยู่ได้ เช่น รู้จักวิเคราะห์รายได้ที่จะเกิดขึ้นหากเด็กมีครอบครัว หรือเมื่อมีคนในบ้านป่วย 

“ตอนนี้อยู่ในขั้นการไปทำงานกับเขาก่อนแล้วพอเขาสนใจแล้วก็ดูความต้องการที่จะได้วุฒิ ที่จะมีโอกาสต่อในเรื่องการศึกษา เรื่องการทำงาน เรื่องในเรื่องชีวิตเขา เราสามารถเอาสิ่งที่เขาทำ มีการบันทึกผลการเรียนรู้ไปคิดต่อ เขาทำเรื่องอาชีพเป็นเรื่องนึงแต่ว่าเรามองเรื่องการเรียนรู้เป็นสำคัญว่า ตัวเขาจะออกแบบและจัดการชีวิตตัวเขายังไง ดูแลครอบครัวยังไง ซึ่งการเรียนจะเข้าไปช่วยรับเยาวชนลักษณะนี้”

Project-based Learning ทำโปรเจกต์ที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน

กิจกรรมในชุมชนชาวปกาเกอะญอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิธีกรรมไปจนถึงการจัดการผลผลิตล้วนเป็น “ภาคปฏิบัติ” ที่เด็กๆ สามารถเห็นได้เอง ดังนั้นทางครูหนุ่มและชุมชนบ้านแม่ลามาน้อยจึงเลือกที่จะจัดการเรียนรู้ภายในศูนย์การเรียนฯ โดยใช้ “โปรเจกต์” เป็นฐาน หรือ Project-based Learning  เด็กๆ จะเริ่มจากการมองเรื่องใกล้ตัว พวกเขาจะระดมความเห็นออกมาว่า มองเห็นปัญหาอะไรในชุมชนบ้าง และอยากจะรู้หรือทำอะไรในเรื่องนั้น เช่น สร้างสรรค์ศิลปะจากธรรมชาติ ปลูกผักในหน้าแล้ง ทำนาข้าว ขุดบ่อเพื่อเลี้ยงปลา ฯลฯ แล้วจึงเริ่มหาความรู้ในเรื่องนั้นๆ นั่นหมายถึง การจะเกิดโปรเจกต์ได้ เด็กจะต้องเรียนโดยมี “ปัญหา” เป็นฐาน หรือ Problem-based Learning ขึ้นมาก่อนด้วย 

“ตัวอย่างที่ผ่านมา มีเด็กเขาตั้งชื่อว่า ศิลปะบนผืนดิน เขาทำเรื่องเมล็ดพันธุ์ เขาสำรวจเมล็ดพันธุ์ในชุมชนแล้วเห็นว่า เมล็ดพันธุ์มันลดลง ชนิดพันธุ์ข้าวมันลดลง จาก 26 ชนิด มาเป็น 13 จาก 13 เหลือ 6 ทีนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันลดลง มันควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไปมั้ย ถ้ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ต้องทำอะไรบ้าง ก็จะเป็นโครงการเกิดขึ้นมา ก็คือไปเรียนรู้สถานการณ์ก่อน”

ที่ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน เด็ก 1 คนจะเป็นเจ้าของอย่างน้อย 1 โครงการ หรือบางครั้งจะมีโครงการใหญ่ที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมกับโครงการของคนอื่นๆ และถือโอกาสเรียนรู้ไปด้วยกัน โดยมีเจ้าของโครงการเป็นเจ้าภาพหลัก หรือแม้แต่ครูเองที่นอกจากจะมีหน้าที่ตั้งคำถามแล้วก็จะเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กๆ ด้วย ครูจะต้องไปทำการบ้านมาในเรื่องโครงการนั้นๆ เพื่อที่ว่าจะได้ช่วยสานต่อการเรียนรู้ได้ เช่น คอยบอกว่าใครจะเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในเรื่องที่เด็กอยากหาคำตอบหรืออยากลงมือทำ หรือชวนให้เด็กหาข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต

“เวลาแต่ละคนทำ มันต้องสร้างความร่วมมือ ชวนคนนู้นคนนี้ทำ มีบทบาทกัน เช่น เขาอยากจะขุดบ่อเลี้ยงปลา แต่ว่าทำคนเดียวไม่ได้ เพราะว่าบ่อปลามันใหญ่ก็จะต้องชวนเพื่อนว่าใครจะมาช่วยกันบ้าง แล้วมันมีเรื่องมิติทางสังคมด้วย มีบางคนไม่อยากมาเรียนก็ต้องออกแบบกันว่า เอาความสูงของคนนั้นเป็นความลึกของบ่อปลา เพราะฉะนั้นคนนี้ก็จะต้องมาเพราะต้องวัดว่าความสูงของบ่อปลาขุดได้ระดับรึยัง”

ครูหนุ่มเล่าว่า จากที่เคยทำมา ความซับซ้อนหรือความยากง่ายของโปรเจกต์จะเพิ่มระดับขึ้นตามระดับชั้น เช่น เด็กประถมจะสนใจเรื่องศิลปะ ในขณะที่เด็กโตจะมองไปถึงเรื่องการแก้ปัญหาผลผลิตของชุมชน 

“เด็กโตหน่อยก็จำเป็นจะต้องรู้ว่า ชุมชนมีเหตุการณ์ มีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง เช่น เรื่องข้าวไม่พอกิน เราจะทำให้ข้าวพอกินจะต้องหาความรู้ยังไง ที่ปลูกเดิมมันเป็นยังไง แล้วถ้าเราปลูกด้วยวิธีการแบบเดิม ข้าวพันธุ์เดิม เราก็น่าจะได้คำตอบเหมือนเดิม แต่ถ้าเราต้องการคำตอบใหม่ที่ไปแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชน เราควรจะทำอะไรบ้าง ก็ต้องมองตั้งแต่ว่าผู้รู้ของแต่ละเรื่องนี้อยู่ที่ไหน จะเดินทางไปหายังไง จะไปเอาพันธุ์ข้าวอะไรมาทดลองยังไง”

PBL ของเด็กที่ศูนย์การเรียนฯ เริ่มจากความสนใจในตัวปัญหา หลังจากนั้นครูหนุ่มบอกว่า วิธีการอาจกลับไปกลับมาได้ เช่น เด็กอาจคิดแล้วลงมือทำเลย หรืออาจจะไปถามผู้รู้ก่อน หรือถามแล้ว ลงมือทำแล้วไม่ดีก็กลับไปถามผู้รู้ใหม่ได้ ซึ่งครูหนุ่มได้ย้ำว่า เด็กจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“การทำโปรเจกต์ ถ้าทำไม่เสร็จ ทำแล้วไม่ได้เรื่อง ทำแล้วเสียหาย นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ เราไม่ได้เน้นความสำเร็จ เน้นว่าเราทำเนี่ย เราเรียนรู้อะไร ถ้าสำเร็จได้เรียนรู้อะไร ทำไม่สำเร็จ ได้เรียนรู้อะไร สิ่งที่ได้ก็มี hard skills กับ soft skills นะ ถ้า hard skills ก็เป็นความรู้ที่เป็นวิชาการ เป็นเรื่องทักษะต่างๆ ทักษะอาชีพ การทำอะไรเป็น แต่ว่า soft skills จะเป็นคุณลักษณะภายใน เช่นว่า คุณสมบัติที่อดทนต่อเรื่องนั้นมากพอมั้ย” 

การศึกษาเพื่ออยู่ร่วมและอยู่รอด

ครูหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธการเรียนใน ‘ระบบ’ แต่การเรียนต้องปรับให้เด็กสามารถที่จะอยู่ในอนาคตได้ ส่วนตัวเขาเห็นว่า เราต้องไม่มองการศึกษาแยกจากชีวิตและสังคม เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้เด็กอยู่รอดได้ การศึกษาต้องเป็นการศึกษาเพื่อการมีชีวิตและการอยู่ร่วมกัน 

เมื่อได้เห็นภาพรวมการศึกษาของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและได้ทำงานร่วมกับหลายโรงเรียน ครูหนุ่มตั้งใจจะให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันระหว่างชุมชน เช่น เด็กที่บ้านสบเมยซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำสาละวินจะได้มีโอกาสเรียนเรื่องกาแฟที่อยู่บนดอย ขณะที่เด็กที่อยู่บนดอยที่รู้เรื่องกาแฟอยู่แล้วก็จะได้เรียนรู้เรื่องจิ้งหรีดที่แม่น้ำสาละวิน เพราะเขาเห็นว่า การแลกเปลี่ยนความรู้กันจะทำให้เด็กอยู่รอดได้

“พอเราหยิบประเด็นจากชุมชนและสร้างการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เด็กเริ่มเห็นวิธีการเรียนรู้ที่ไม่ใช่สำคัญแค่ตัวองค์ความรู้ แต่ว่ายังเป็นวิธีการที่จะสร้างความรู้ ที่จะสร้างความร่วมมือ เป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับตัวเองที่จะอยู่รอดในอนาคตได้”

เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องทำให้เกิดให้ได้ในระบบการศึกษาที่ครูหนุ่มมองเห็นคือการต่อยอดระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ โดยเฉพาะการจัดการศึกษาในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีความหลายหลายทางชาติพันธุ์ สิ่งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีของคนในพื้นที่ที่ใช้ความแตกต่างทางองค์ความรู้หรือวัฒนธรรมมาช่วยเหลือกัน

“เราพูดถึงอนาคตที่เป็นเรื่องของ well-being เรียกว่าการอยู่แบบมีสุขภาวะที่ดี ถ้าเราจะทำการศึกษาที่สร้างบุคลากรไปสู่การจัดการแบบนั้นได้ ผมคิดว่ามันต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ว่า เราจะจัดการการกินการอยู่ยังไงให้สมดุลและช่วยเหลือกันได้ ก็เลยคิดว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมในชุมชนมีความสำคัญที่จะต้องได้รับโอกาสในการต่อยอด ความรู้ใหม่หลายตัวที่ลงไปถึงระดับนาโนเทคโนโลยีอะไรแบบนี้มีโอกาสมาต่อยอดยังไงในเรื่องของอาหาร เรื่องของการดูแลสุขภาพ 

ในแม่ฮ่องสอนมีโอกาสเยอะ ความรู้ที่มีอยู่เดิมเนี่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่แต่ละชาติติพันธุ์มี เช่น วิธีการของการผลิตว่าจะต้องกินอะไร ผลิตอะไร จะต้องมีการรวมตัวกันจัดการเรื่องทางสังคมยังไง แต่ที่ผ่านมาการจัดระเบียบความรู้การจัดระเบียบสังคมมันไม่ได้ถูกถ่ายทอดหรือว่าช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ทุกคน”

เพราะการกระจายทรัพยากรที่ยังไม่ทั่วถึง โครงสร้างในระบบที่กุมอำนาจทางการศึกษาที่ไม่ยืดหยุ่น รวมไปถึงวิธีจัดการศึกษาที่ไม่คำนึงถึงตัวเด็กและพื้นที่ ทำให้การเรียนของเด็กโดยเฉพาะเด็กชาติพันธุ์อาจจะอยู่รอดได้ยากในสายตาครูหนุ่ม ดังนั้นนอกจากจะทำงานในระดับชุมชนแล้ว เขายังมองภาพใหญ่ และพยายามปลดล็อกปัญหาเหล่านี้โดยการทำงานกับหลายๆ ภาคส่วนเพื่อให้มาเป็นภาคีร่วมในการจัดการศึกษาด้วย

“การศึกษาถ้าจะคำนึงถึงกันจริงๆ ต้องสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ หลายพื้นที่มีโรงเรียนเข้าไปก็จริงแต่มันไปริดรอนสิทธิ ทำให้เด็กหลุดจากความรู้ชุมชนแล้ววันนึงเขาโตขึ้นมา เขาไม่ได้รู้สึกว่าบ้านมีความหมายอะไรกับเขา อันนี้มันเหมือนกับน็อคน้ำเย็น เราค่อยๆ ตายไปแบบไม่รู้ตัว” 

ที่จริงแล้ว ‘อยู่ร่วม เพื่ออยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย’ คือหลักคิดของชุมชนปกาเกอะญอที่ครูหนุ่มเอามาปรับใช้กับเรื่องการศึกษา ครูหนุ่มเห็นว่าที่จริงแล้วก็คือหลักการอยู่ในสังคมทั่วไป แต่การศึกษาปัจจุบันพูดเรื่องนี้น้อยมาก เขาย้ำว่า สิ่งที่เขากำลังคิด กำลังทำก็คือ การชวนมองเรื่องอำนาจการเรียนรู้ด้วยสายตาใหม่ 

ไม่ใช่แค่ที่แม่ฮ่องสอน… แต่คือการศึกษาในทุกพื้นที่

Tags:

ระบบการศึกษาproject based learningสิ่งแวดล้อมปกาเกอะญอชาติพันธุ์นิติศักดิ์ โตนิติโรงเรียนทางเลือก

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Related Posts

  • Voice of New GenCreative learning
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Character buildingCreative learning
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.2 การเลี้ยงลูกเป็นเทวดา
Family Psychology
28 January 2021

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.2 การเลี้ยงลูกเป็นเทวดา

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • เพราะไม่อยากให้ลูกเหนื่อย ลำบาก และความกลัวว่า ‘ถ้าขัดใจลูกแล้วลูกร้องไห้ ลูกจะไม่รักตัวเอง’ ผู้ปกครองหลายคนจึงอาสาที่จะสรรหาและทำให้ลูกทุกอย่าง โดยที่ลูกแทบไม่ต้องทำอะไรเอง การกระทำเช่นนี้อาจเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม ทำให้เขาขาดโอกาสพัฒนาร่างกายและจิตใจตามวัยอย่างที่ควรเป็น
  • เมื่อไม่ได้รับพัฒนาการตามช่วยวัย สิ่งที่ตามมา คือ ความมั่นใจในตัวเองของลูกก็จะขาดหายไป เพราะเขาได้นำความมั่นใจนั้นไปแขวนไว้กับพ่อแม่หรือผู้อื่นเสียแล้ว กลายเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
  • เพื่อไม่ให้ความรักของผู้ปกครองส่งผลกระทบแง่ลบกับลูกโดยไม่ได้เจตนา ชวนปรับวิธีเลี้ยงลูกใหม่ เริ่มด้วยการปรับมายเซ็ตเชื่อมั่นในตัวลูกว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เอง ปล่อยให้ลูกลงมือทำกิจกรรมต่างๆ โดยใช้หลักการ ‘เผื่อเวลาให้กับลูกเสมอ’ และ ‘กฎ 5 นาที’ ลดบทบาทของเราลงเป็นเพียงคนคอยซับพอร์ต เข้าไปช่วยเหลือเมื่อเขาทำไม่ได้
หมายเหตุ 1 เนื้อหาต่อไปนี้มีการปรับแต่งเนื้อหาและรายละเอียดเพื่อปกป้องสิทธิ์ของคนไข้ แต่โครงเรื่องยังคงไว้เช่นเดิม
หมายเหตุ 2 บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

ลูกเทวดา

วันเปิดเรียนวันแรกของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เด็กน้อยวัย 4 ขวบ ถูกอุ้มลงจากรถ และพาเข้าโรงเรียน โดยที่เท้าไม่ได้แตะพื้น ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาเดินจูงมือพ่อกับแม่เข้ามาด้วยตัวเอง เด็กน้อยเริ่มหวาดหวั่น และแผดเสียงร้องดังลั่น พ่อกับแม่ของเขาทำตัวไม่ถูก จึงตัดสินใจพูดออกมาว่า ‘ไม่เป็นไรนะ วันนี้ไม่เรียนก็ได้ ไม่ร้องนะๆ กลับบ้านกัน’ จากนั้นก็รีบพาเด็กน้อยกลับขึ้นรถพากลับบ้านทันที

พ่อกับแม่คงคิดว่านี่เป็นเพียงวันแรกของการปรับตัวของลูก แต่ยิ่งนานวันไป จนเวลาเลยผ่านมาเกือบครึ่งปี เด็กน้อยก็ไม่สามารถปรับตัวได้ พ่อกับแม่ต้องผลัดกันไปเฝ้าเขาที่โรงเรียน เพื่อให้เด็กน้อยยอมไปเรียน

เวลาทำกิจกรรมศิลปะที่ห้องเรียน เด็กน้อยไม่สามารถนั่งทำกิจกรรมได้จนจบ เพราะมือของเขาไม่แข็งแรงพอจะจับสีระบายบนกระดาษเหมือนเพื่อนๆ และเขาไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะรอคนอื่นๆ ทำกิจกรรมจนเสร็จได้ เด็กน้อยจึงมักวิ่งออกไปนอกห้องเรียนเพื่อไปเล่น โดยมีคุณครูต้องวิ่งไล่ตามพาเขากลับมา

เวลาอาหาร เด็กน้อยไม่แตะอาหารแม้แต่อย่างเดียว พ่อกับแม่จึงเตรียมอาหารจากบ้านซึ่งล้วนแต่เป็นของโปรดของเขา พร้อมตัดแบ่งไว้พอดีคำ รอเด็กน้อยหยิบจับเข้าปากก็พอแล้ว

เวลาเข้าห้องน้ำ เด็กน้อยไม่ต้องเข้าเหมือนเพื่อนๆ วัยเดียวกับเขา เพราะเขาสามารถทำธุระในแพมเพิร์สของเขาได้ทันที เขาไม่เคยได้รับการสอนให้ใช้ห้องน้ำเลย

เวลาเล่นกับเพื่อน หากเขาอยากเล่นอะไร เขาจะแย่งมาทันที ถ้าเพื่อนไม่ให้ หรือเขาไม่ได้เล่นในสิ่งที่เขาต้องการ เด็กน้อยจะร้องแผดเสียงทันที จนคุณครูต้องเข้าไปช่วยเหลือก่อนที่เด็กน้อยจะลงไปดิ้นกับพื้น เพื่อนๆ ต่างถอยหนี และไม่อยากเล่นกับเด็กน้อย เขามักจะเล่นคนเดียวบ่อยขึ้น

แม้เด็กน้อยจะได้ทุกอย่างอย่างที่เขาต้องการ แต่เขากลับไม่มีความสุขเลย เด็กน้อยเริ่มร้องไห้บ่อยขึ้น อารมณ์เหวี่ยงขึ้นลง จนพ่อแม่ของเขาเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาสับสนว่า ‘ทั้งๆ ที่ให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการแล้ว ทำไมลูกยังไม่มีความสุขอีก และตรงกันข้าม ดูเขาเป็นทุกข์มากขึ้น’

พ่อแม่ตัดสินใจพาลูกมาปรึกษานักจิตวิทยา และพวกเขาได้รับคำตอบว่า ‘การที่ลูกไม่มีความสุข เพราะเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองต้องพึ่งพาพ่อกับแม่ตลอดเวลา เขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ตามวัย ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเพื่อนๆ ของเขา ความแตกต่างนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขามาอยู่ที่โรงเรียน’

ความรักที่เกิดจากความเข้าใจผิด ไม่อยากให้ลูกเหนื่อย ไม่อยากให้ลูกลำบาก พ่อแม่จึงอาสาที่จะสรรหาและทำให้ลูกทุกอย่าง โดยที่ลูกแทบไม่กระดิกตัว หรือเอ่ยปากใดๆ ความรักที่มีให้เกินความพอดี หรือให้แบบผิดทาง อาจจะนำไปสู่การทำร้ายโดยไม่ได้เจตนา ลูกจึงขาดโอกาสในการพัฒนาร่างกายและจิตใจตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น ภูมิคุ้มกันทางกายใจที่ควรจะมีก็ไม่เกิดขึ้น และความมั่นใจในตัวเองก็ขาดหายไป เพราะเขาได้นำความมั่นใจนั้นไปแขวนไว้กับพ่อแม่หรือผู้อื่นเสียแล้ว จากการต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา และตลอดชีวิต

นอกจากนี้ เวลาที่เขาอยู่ที่บ้าน ทุกๆ อย่าง และทุกๆ คนหมุนรอบตัวเขาตลอดเวลา  ทุกคนต้องยอมตามและปรับตัวเข้าหาเขา ตัวเขาเป็นผู้ควบคุมทุกคน ซึ่งตรงกันข้ามเมื่อเขาก้าวออกมาสู่สังคมโรงเรียน ทุกคนไม่ได้หมุนรอบตัวเขาอีกต่อไป เขาต้องเรียนรู้ที่จะอดทนรอคอย ผลัดกันเล่น แบ่งปัน เขาต้องปรับตัวเข้าหาคนอื่น ไม่ใช่คนอื่นปรับตัวเข้าหาเขา และกติกาเป็นผู้ควบคุมทุกคน รวมทั้งตัวเขาด้วย เด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ จึงรู้สึกอึดอัดเมื่อเขาเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่น

เลี้ยงลูกเป็นเทวดา

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Diana Baumrind (1971) ได้แบ่งรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ออกเป็น 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบจะส่งผลต่อเด็กที่เติบโตมาแตกต่างกัน หนึ่งในนั้น คือ ‘พ่อแม่ที่เอาใจลูกและทำตามคำเรียกร้องของลูกแทบจะทุกอย่าง (Permissive parenting style)’ หรือ ที่เรามักคุ้นเคยกันดีกับประโยคนี้ ‘เลี้ยงลูกเป็นเทวดา’

พ่อแม่รูปแบบนี้มักจะทำตามคำเรียกร้องจากลูกเสมอ แม้ว่า ‘สิ่งนั้นจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ตาม’ ถ้าพวกเขาไม่ติดขัดอะไร ลูกจะได้รับสิ่งนั้นในทันที พ่อแม่กลุ่มนี้จะกลัวการขัดใจลูก เพราะกลัวว่า ‘ถ้าขัดใจลูกแล้วลูกร้องไห้ ลูกจะไม่รักตัวเอง’ รูปแบบของการให้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีขอบเขต อาจจะมีความพยายามในการสอนลูกบ้าง แต่จะเป็นไปในลักษณะพูดขอร้องให้ลูกทำมากกว่าการบอกว่ามันจำเป็นต้องทำ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปในลักษณะที่พ่อแม่อยู่ใต้การควบคุมของลูกเสียมากกว่า

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่ตามใจลูกในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม เด็กจะยึดตัวเป็นศูนย์กลาง (ของทุกสิ่ง) ไม่พยายามควบคุมตัวเอง ไม่มีวินัยและความรับผิดชอบ รอคอยไม่เป็น และไม่ต้องการแบ่งปันอะไรให้ใคร เมื่อเข้าสู่สังคม แม้จะเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวเองสูง แต่กลับไม่รู้สึกมั่นคง เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอ มักจะชอบการควบคุมบงการให้ผู้อื่นทำตามข้อเรียกร้องของตน ไม่มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ไม่ต้องการอยู่ภายใต้กฎกติกา เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเอาอกเอาใจเขาอยู่เสมอ ไม่เคยขัดใจ เมื่อเจอเรื่องขัดใจจะยอมรับสิ่งนั้นไม่ได้

ขั้นพัฒนาการที่ไม่อาจกระโดดข้าม

แม้บันไดขั้นแรกในชีวิตของลูก คือ การที่เขาสามารถเชื่อใจพ่อแม่ของเขาได้ (Trust) ซึ่งความเชื่อใจนั้นเกิดจากการที่พ่อแม่มอบความรักที่สัมผัสได้จากการมีเวลาคุณภาพให้กับลูกในวัย 0 – 2 ปี

แต่บันไดขั้นต่อมา คือ การรับรู้ความสามารถในด้านร่างกายของตัวเอง และรับรู้ว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำสิ่งใดได้บ้าง

ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development) ของอีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้กล่าวไว้ว่า ‘พัฒนาการขั้นที่สองของมนุษย์ (วัย 2 – 3 ปี) คือ ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)’ เด็กวัยนี้มีอิสรภาพทางร่างกายมากขึ้น เขาสามารถคลาน เดิน วิ่ง และหยิบคว้าอย่างรวดเร็ว เพราะกล้ามเนื้อของเขาเริ่มแข็งแรงพอจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง แต่อาจจะกะน้ำหนักมือไม่ได้และยังไม่คล่องแคล่วมากนัก ทำให้เขาอาจจะทำน้ำหก ทำของหลุดมือ จับของแล้วเผลอบีบจนเละคามือ และหกล้มได้บ่อยครั้ง

ดังนั้น ความสามารถที่ต้องพัฒนามาพร้อมกับด้านร่างกาย คือ ‘การควบคุมร่างกายตัวเอง’ ซึ่งทักษะนี้จะเกิดขึ้นได้ หากเด็กได้ลงมือทำ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

ภารกิจที่สำคัญของพ่อแม่และผู้ใหญ่ของเด็กวัยนี้ คือ ‘การสอนเด็กช่วยเหลือตัวเองตามวัย (Self-care) เพื่อให้เขาได้ฝึกทำอะไรด้วยตัวเอง’ ได้แก่ การกิน การล้างหน้าแปรงฟัน การอาบน้ำ การถอด-ใส่เสื้อผ้า การถอด-ใส่รองเท้า การเก็บของเล่น และการเข้าห้องน้ำ

ทั้งนี้เราไม่ได้คาดหวังว่า เด็กวัย 2 – 3 ปี ต้องทำทุกอย่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ แต่เราคาดหวังให้เขาเรียนรู้การลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเขาเอง และเมื่อทำเสร็จพ่อแม่และผู้ใหญ่มีหน้าที่ดูแลตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง โดยอาจจะทำย้ำให้ในครั้งที่สอง เช่น…

  • ให้เด็กได้แปรงฟันด้วยตัวเอง 1 นาที เมื่อแปรงเองแล้ว พ่อแม่มาแปรงย้ำอีกครั้ง
  • ให้เด็กอาบน้ำเอง เขาอาจจะทำได้เพียงราดน้ำ และถูสบู่แค่บริเวณที่เขาเอื้อมถึง พ่อแม่มาช่วยย้ำและถูในบริเวณที่เขาทำไม่ถึงได้อีกครั้ง เป็นต้น

เมื่อลูกทำได้ด้วยตัวเอง อย่าลืมชื่นชมทุกก้าวเล็ก ๆ ของลูก เพราะทุกกำลังใจจากพ่อแม่มีความหมายสำหรับเขาเสมอ สิ่งสำคัญอีกประการของพ่อแม่ที่มีลูกวัยนี้ คือ ‘ความอดทนรอคอย’ หากเราเข้าไปช่วยเหลือลูกเร็วเกินไป เด็กจะขาดโอกาสในการฝึกฝนการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และทำให้เขาเลือกที่จะไม่ทำสิ่งนั้น เพราะเขารู้ว่า ‘พ่อแม่พร้อมจะทำให้เขา’ และเด็กจะรับรู้ว่า ‘พ่อแม่ไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะรอเขา’

เคล็ด (ไม่) ลับสำหรับพ่อแม่ คือ ‘การเผื่อเวลาให้กับลูกเสมอ’ และ ‘ใช้กฎ 5 นาที’ 

กฎ 5 นาที คือ การชะลอเวลาก่อนเข้าไปช่วยเหลือลูก เราให้เวลาลูกลงมือทำ 5 นาที และเมื่อเลยเวลา 5 นาที ค่อยเข้าไปสอนหรือช่วยเหลือเขา ในกรณีที่ลูกไม่อยากทำและไม่ลงมือทำ เราบอกลูกชัดเจนได้ว่า ‘ให้ลูกพยายามทำเองก่อน 5 นาที ถ้าลูกทำไม่ได้ พ่อแม่จะเข้าไปช่วยสอน’ ย้ำว่าเข้าไปสอน ไม่ใช่ทำให้เขาเลย

ขั้นตอนการสอนเด็กที่ดีที่สุด ได้แก่

ขั้นที่ 1 ทำให้ดูเป็นแบบอย่าง และให้เขาลองทำตาม (หากเด็กทำไม่ได้ ให้ไปที่ขั้นที่ 2)

ขั้นที่ 2 จับมือเขาทำไปด้วยกัน เพื่อให้เขาจดจำการเคลื่อนไหวแล้วทำตามได้ และให้เขาลองทำด้วยตัวเองอีกครั้ง

ขั้นที่ 3 ฝึกฝนจนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีพ่อแม่ช่วย

เมื่อเด็กรับรู้ว่า ‘ตัวเองสามารถทำสิ่งใดได้ด้วยตัวเอง’ เขาจะรับรู้ถึงความสามารถของตน ซึ่งนำไปสู่ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (Sense of Autonomy) และการควบคุมตัวเอง (Self Control) จะเกิดขึ้นตามมา

ขั้นบันไดพัฒนาการที่หยุดชะงัก (Fixation)

ความมั่นใจที่หายไป เมื่อขาดโอกาสพัฒนาตามวัย…

ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ที่ปกป้องลูกจนเกินเหตุ ห้ามลูกทำนู่นทำนี่จนทำให้เด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองตามวัย หรือพ่อแม่ที่ตำหนิทุกสิ่งทุกอย่างเวลาลูกทำอะไร จนลูกไม่กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง และรอคำสั่งจากผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว เด็กจะเกิดข้อสงสัยในตัวเองว่า ‘แท้จริงแล้วเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง’ ซึ่งนำไปสู่ความวิตกกังวลและไม่มั่นใจในตัวเอง (Shame and doubt) ในเวลาต่อมา

เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองตามวัยไม่ได้ อาจจะแสดงออกใน 2 รูปแบบ คือ…

​1. เด็กที่เอาแต่ใจ เพราะเขาต้องรอให้ผู้อื่นมาทำสิ่งต่างๆ ให้กับตัวเอง การต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาหงุดหงิด เพราะสิ่งที่ผู้อื่นทำให้อาจจะไม่ได้ดั่งใจเขา

2. เด็กที่ไม่กล้าทำอะไรเอง ต้องรอผู้ใหญ่มาบอกหรือตัดสินใจให้ว่า ‘เขาต้องทำอะไร’

ปัญหาที่ขึ้นตามมาของเด็กทั้ง 2 รูปแบบนี้ คือ เด็กอาจจะปรับตัวได้ยาก เมื่อเขาต้องเข้าโรงเรียนหรือเข้าสู่สังคม เขาจะไม่กล้าลองสิ่งใหม่ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง หรือทำสิ่งนั้นได้โดยไม่ต้องมีใครมาช่วย

กิจกรรมที่ทำให้เด็กได้ใช้ร่างกายของเขาอย่างเต็มที่

ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับเด็กวัยนี้ คือ ให้เด็กๆ เล่นโดยใช้ร่างกายให้มากที่สุด เพื่อสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่ที่แข็งแรงพร้อมใช้งานในช่วงวัยต่อไป อย่าเพิ่งมุ่งอ่านเขียนเป็นสำคัญ

  • เล่นปีนป่าย เช่น ปีนเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น ปีนต้นไม้
  • เล่นกับธรรมชาติ  เช่น เล่นน้ำ เล่นดิน เล่นทราย  เล่นโคลน เล่นใบไม้ ใบหญ้า เรียงหิน เป็นต้น
  • เล่นเลอะเทอะ (Messy play) เช่น เล่นกับอาหาร ได้แก่ ข้าวสารแห้ง เส้นมักกะโรนี เส้นสปาเก็ตตี้ หั่นผักผลไม้ แป้งข้าวโพดใส่น้ำ เป็นต้น
  • เล่นทำงานบ้าน เช่น ช่วยแม่ทำอาหาร ช่วยพ่อล้างรถ ช่วยกวาดพื้น ถูพื้น ซักผ้า เป็นต้น

เพราะการเล่นเช่นนี้ทำให้เด็กได้ทดสอบร่างกายของตัวเอง และส่งเสริมให้ร่างกายได้ใช้งานอย่างเต็มที่นั้นเอง

แม้การฝึกฝนช่วยเหลือตัวเองของลูกในช่วงแรกจะทำให้บ้านเลอะเทอะบ้าง ร่างกายลูกไม่ได้สะอาดเอี่ยมอ่องดังหวังบ้าง ขอให้พ่อแม่และผู้ใหญ่มองข้ามจุดนี้ไป และปล่อยให้ลูกได้ลองทำอย่างเต็มที่ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นค่อยชวนเขามาเก็บกวาดหลังทำเสร็จ หรือช่วยสอนเขาทำความสะอาดร่างกายอย่างเหมาะสมอีกรอบก็ย่อมได้ เมื่อเด็กได้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เขาจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความชำนาญ และความมั่นใจในตัวเอง

สุดท้าย เด็กที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ใช่แค่เพียงทำให้พ่อแม่สบายใจที่ปล่อยลูกไปสู่โลกภายนอก แต่เป็นความมั่นใจที่เกิดขึ้นในตัวเด็กด้วยว่า ‘เขาสามารถทำได้’ เด็กจะพร้อมเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างมีความสุขเพราะฐานของเขานั้นมั่นคงและเเข็งแรง

ถ้าหากอยากให้ลูกมีความสุขที่แท้จริง พ่อแม่ไม่ควรเป็นผู้มอบความสุขให้เขาเพียงอย่างเดียว แต่ตัวเขาเองต้องเป็นผู้ค้นหา ลงมือทำ และสร้างความสุขด้วยตัวเขาเองด้วยเขาเองด้วย

อ้างอิง
Baumrind, D. (1971). Current patterns of parental authority. Developmental psychology, 4(1p2), 1.
Cline, F., & Fay, J. (2020). Parenting with love and logic: Teaching children responsibility. NavPress Publishing Group.
Darling, N (1999) Parenting Style and Its Correlates ERIC Digest
Widick, C., Parker, C. A., & Knefelkamp, L. (1978). Erik Erikson and psychosocial development. New directions for student services, 1978(4), 1-17.

Tags:

การเลี้ยงลูกThe Untold Storiesรูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.1 ชวนสำรวจว่าเรากำลังเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์อยู่หรือเปล่า?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Burn out(1) ชวนดูโลกภายในคนที่ทำงานจนหมดไฟ/เสี่ยงหมดไฟ ลึกลงไปมีอะไรซ่อนอยู่?
Myth/Life/Crisis
27 January 2021

Burn out(1) ชวนดูโลกภายในคนที่ทำงานจนหมดไฟ/เสี่ยงหมดไฟ ลึกลงไปมีอะไรซ่อนอยู่?

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ชวนศึกษาลักษณะของคนหมดไฟหรือเสี่ยงหมดไฟในการทำงาน เช่น จริงจังและบ้างาน, ปฏิเสธหรือต่อรองคนไม่เก่ง ฯลฯ อีกทั้งชวนลงไปค้นโลกภายในใต้ภูเขาน้ำแข็งของคนที่หมกมุ่นกับงานจนป่วย หลายคนมีภูมิหลังสะเทือนอารมณ์และใช้งานเป็นการหนี บ้างก็ใช้การทำเป้าหมายให้สำเร็จเพื่อหลีกลี้จากความรู้สึกว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ดีพอให้ใครมาชื่นชม
  • แม้จะมีผู้บริหารที่เชื่อว่าคนหมดไฟไม่แกร่งพอ แต่การที่ใครคนหนึ่งหมดไฟไม่ได้แปลว่าเขาไม่สู้งาน ตรงกันข้าม คนหมดไฟมักมีบุคลิกแบบ A ซึ่งมักทะเยอทะยาน เข้มงวด วิตก บีบตัวเองให้เข้ากับกำหนดเวลาส่งงาน ฯลฯ และมักเป็นพวก “บ้างาน” ที่ประสบความสำเร็จสูง แต่ความบ้างานนั้น ไม่ได้หมายความแค่ว่าทำงานเยอะหรือไม่ยอมไปพักร้อนเมื่อมีโอกาส แต่หมายถึงการทำงานเยอะกระทั่ง ลืม มิติอื่นๆ ของชีวิตไป เช่น การนอนหลับและสุขภาพ
  • ขยายภาพไปถึงปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อคนทำงาน เช่น ความคาดหวังของวิชาชีพหรือขององค์กร, กลไกในธรรมชาติที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทำอะไรตามๆ กัน พร้อมให้ลิงค์แนวคิดต่างๆ ที่สามารถเป็นทางเลือกสำหรับการทำงานในวิถีที่ต่างออกไป

1. 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอัศวินคนหนึ่งที่วันๆ ต้องทำภารกิจร้อยแปดพันเก้า การช่วยเจ้าหญิงน่ะไฟล์ทบังคับอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แค่นั้น อัศวินยังแบกรับงานจับฉ่ายไว้อีกหลายอย่างไม่เว้นแม้แต่การช่วยแมวน้อยลงจากต้นไม้ ความยุ่งวุ่นวายต่างๆ ทำให้อัศวินรู้สึกเหนื่อยล้าและอิดโรยอย่างมากกระทั่งในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกเดินทางพักผ่อน โดยเจ้ามังกรของเขาก็งอแงติดมาด้วย แล้วในระหว่างเดินทางนั้นพวกมังกรก็หยุดแล้วหยุดอีก เดี๋ยวก็ขอยืดแข้งยืดขา เดี๋ยวก็ขอไปพุ่มไม้ ทุกครั้งที่เหล่ามังกรขอหยุด อัศวินไม่ได้อยากจะหยุดสักหน่อย เอาน่า อัศวินอย่างเขาย่อมขวนขวายหาพื้นที่อันสงบสันติให้ตัวเองจนได้ แต่พอเขาเริ่มจะผ่อนคลาย เจ้ามังกรของเขาก็ร้องจะเดินทางต่ออีก ความไม่สงบนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดพวกมังกรก็เข้าใจเสียทีว่าอัศวิน “อยากพักผ่อนจริงๆ” และพวกมันก็หาทางให้อัศวินได้พัก (แนวเรื่องจากนิทานเด็กเรื่อง A Good Knight’s Rest โดย Shelley Moore Thomas)

เรื่องราวของอัศวินที่ทำภารกิจมากมายกระทั่งเหนื่อยล้าเกินทนแต่พอถึงเวลาพักก็พักไม่ได้เพราะโดนเหล่ามังกรรบกวนอยู่ร่ำไป ทำให้นึกถึงหนึ่งในอาการของคนที่มีภาวะหมดไฟ พวกเขาเหนื่อยล้ามาก แต่บรรดามังกร(เช่น ความเครียดและความวิตก, บาดแผลในอดีตที่ยังไม่ได้จัดการอันกลายเป็นแรงขับเข้าควบคุมวิถีการทำงานของเรา) ทำให้พวกเขาพักไม่ได้ นอนก็ไม่หลับหรือคุณภาพการนอนแย่มากทั้งที่รู้สึกปานจะขาดใจ บางคนถึงขั้นมีปัญหาการนอนเกือบทุกคืน ส่งผลลบต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ได้โชคดีเหมือนอัศวินในนิทาน เพราะอาการดังกล่าวและสัญญาณอื่นๆ มักจะเกิดขึ้นเรื้อรังก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงในที่สุด

2.

องค์การอนามัยโลก(WHO) อธิบายว่าภาวะหมดไฟ หรือ “Burn-out” เป็นปรากฏการณ์ทางการประกอบอาชีพ และเป็นกลุ่มอาการอันเป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานซึ่งยังจัดการไม่ได้ โดยสำแดงออกมาเป็นการมีประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพลดลง รู้สึกหมดพลัง เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และเอาใจออกห่างจากงานที่ทำมากขึ้นหรือรู้สึกแย่เกี่ยวกับงานที่ทำ ส่วนดร. Geri Puleo ผู้ทำการศึกษาเรื่องภาวะหมดไฟและการเปลี่ยนแปลงองค์กร บรรยายว่าคนหมดไฟมักจะเป็นพวกพนักงานดีเด่นที่หนักเอาเบาสู้ แต่ในเรื่องการฟื้นฟูจากภาวะหมดไฟนั้น เธอบอกว่ากว่าคนจะฟื้นได้ก็มักใช้เวลาถึงประมาณ 2 ปี และมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของคนในงานศึกษาของเธอ ซึ่งได้ลาออกจากองค์กรไปเพื่อจะขจัดภาวะหมดไฟกลับกลายเป็นมะเร็ง (ดู Burnout and post-traumatic stress disorder) 

ในกรณีศึกษาอื่นๆ น่าแปลกที่ยังมีคนพูดทำนองว่าการที่คุณหมดไฟ “เป็นความผิดของคุณ” มี CEO คนหนึ่งถึงขนาดบอกว่าดีแล้วที่คนทำงานหมดไฟเพราะ “ถ้าพวกเขาหมดไฟ แปลว่าพวกเขาไม่ดีพอ ไม่แข็งแกร่งพอ รับไม่ไหว” พอหมดไฟก็จะออกไปเอง เขาจะได้ไม่ต้องไล่ออก (ดู Understanding Job Burnout โดยดร. Christina Maslach อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเบิร์คลีย์)   

จริงจังและบ้างาน 

แท้จริงแล้ว การที่ใครคนหนึ่งหมดไฟไม่ได้แปลว่าเขาไร้ประสิทธิภาพหรือไม่สู้งาน ตรงกันข้าม คนหมดไฟมักมีบุคลิกอย่างหนึ่งเรียกว่าบุคลิกแบบ A ซึ่งมักเข้มงวด ทะเยอทะยาน ใส่ใจเรื่องสถานะมาก วิตก บีบตัวเองให้เข้ากับกำหนดเวลาส่งงาน ไม่ชอบประวิงเวลา ฯลฯ และมักเป็นพวก “บ้างาน” ที่ประสบความสำเร็จสูง

แต่ความบ้างานนั้น ไม่ได้หมายความแค่ว่าทำงานเยอะหรือไม่ยอมไปพักร้อนเมื่อมีโอกาส แต่หมายถึงการทำงานเยอะกระทั่ง ลืม มิติอื่นๆ ของชีวิตไป เช่น ความสัมพันธ์ การนอนหลับพักผ่อน สุขภาพ หรือทำงานมากเกินกว่าที่ถูกคาดหวังให้ทำ และอาจจะหมกมุ่นกับงานเกินพอดีจนไม่มีความสุขด้วยไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม 

(แพทย์โรคหัวใจชื่อ Meyer Friedman and Ray Rosenman บอกเป็นครั้งแรกว่าบุคลิกกภาพแบบ A อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ)

แบกรับไว้: ไม่กล้าปฏิเสธหรือต่อรอง

อีกบุคลิกที่เจอในคนที่มีภาวะหมดไฟคือ คนนั้นมักไม่กล้าปฏิเสธหรือต่อรองคนไม่ค่อยเก่ง และมักรับทุกงานมาใส่ตัว “ได้ค่ะพี่ ดีค่ะนาย สบายค่ะท่าน” อีกทั้งมักจะพยายามทำงานให้เสร็จตามกำหนดส่งงานแม้จะเป็นงานเสกลใหญ่เกินเวลาที่ให้มา เช่น เร่งทำงานเสกล 6 วันให้เสร็จใน 2 วัน ตามที่เจ้านายคาดหวังโดยเอาเวลานอนตัวเองเข้าแลก 

โลกภายในใต้ภูเขาน้ำแข็ง

ถ้าตัดเรื่องกลัวตกงานและเศรษฐกิจออกไป ข้างใต้ภูเขาน้ำแข็งในใจคนเหล่านี้ บ้างก็เจอความรู้สึกไม่ต้องการความขัดแย้ง หรือกลัวการแยกจากคนอื่นและอยากจะรู้สึก belong  นอกจากนี้ก็อาจต้องการอย่างอื่นด้วย เช่น ต้องการการยอมรับ อยากมีค่า หรือต้องการเป็นที่รัก และเมื่อสาวลึกลงไป บ้างก็พบการถูกปฏิเสธบางอย่างในวัยเด็ก

ในกรณีคนที่หมกมุ่นกับงานจนสุขภาพเสื่อมโทรมนั้น หลายคนมีภูมิหลังสะเทือนอารมณ์ที่อยากหนี พนักงานผู้ที่มีแผลใจคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “การทำงานและการเคลื่อนที่ตลอดเวลา เป็นวิธีเลี่ยงความรู้สึกของตัวเอง” หรืออีกตัวอย่างเป็นผู้บริหารองค์กรและเจ้าของกิจการผู้เล่าเรื่องการทำธุรกิจที่ได้ชัยชนะมาอย่างบ้าบิ่นและประสบความสำเร็จในด้านการเงินอย่างสูง แต่พวกเขากลับป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อนั่งลงคุยกัน แนวเรื่องหลักกลับเปลี่ยนเป็นการตัดพ้อเรื่องแฟนเก่าที่ไม่รักพวกเขาอีกต่อไป หรือเล่าเรื่องที่เจ็บใจเพราะคนใกล้ชิดแสดงอาการไม่ยอมรับบางอย่างในอดีต เช่น หน้าตาและฐานะ 

น่าสำรวจเพิ่มว่าในบรรยากาศกรุ่นความโกรธและต้องการพิสูจน์คุณค่าให้โลกเห็นนั้น ยังมีอะไรอยู่อีกบ้าง? 

ในการค้นคว้าเพิ่มเติม เราพบคนบุคลิกภาพประเภทหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนเข้าหาความสำเร็จตามเป้าหมายอยู่ตลอด เพราะในขณะเดียวกันเขาก็กำลังพยายามวิ่งหนีออกจากความละอายใจด้วย เนื่องด้วยคลางแคลงใจในคุณค่าตามตัวตนที่แท้จริง เขามักมีแรงขับเคลื่อนจากคำถามในใจว่าจะประสบความสำเร็จในเรื่องงานมากกว่านี้ให้เร็วที่สุดได้อย่างไร ส่วนคำถามว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นใคร? กลายเป็นคำถามที่น่ากลัว ชีวิตจึงกลายเป็นลู่วิ่งแข่งอันไร้จุดจบ ซึ่งต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่ซื้อคืนไม่ได้หรือการสูญเสียความสัมพันธ์ พบบ่อยว่าคนเช่นนี้มักเป็นเจ้าของกิจการหรือมีตำแหน่งงานที่มีลูกน้องจำนวนมาก และนั่นก็ทำให้เขาสามารถส่งต่อวงจรดังกล่าวไปให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอีกทอด กระนั้นเมื่อเขาไปถึงจุดหมายแห่งเกียรติยศอันอลังการก็อาจเพิ่งตระหนักว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ 

มีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้คนทำงานสะสมความเครียดและเหนื่อยล้าต่อเนื่อง อย่างรูปแบบการทำงานที่ไม่เข้ากับลักษณะตามธรรมชาติของเขา(หรือบางกรณีก็ไม่เข้ากับร่างกายมนุษย์เลยนะ!) เช่น นาย A เป็นคนไวต่อเสียง สิ่งละเอียดอ่อนและอารมณ์ผู้คนในสภาพแวดล้อม อีกทั้งไวต่อสิ่งเร้าอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัส (ดูเพิ่มเรื่องความอ่อนไหวไวต่อสิ่งเร้า ในบทความ เจ้าหญิงกับเม็ดถั่ว และหนังสือ The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You) ความไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ ทำให้เขามีความลึกซึ้งในการคิดวิเคราะห์และมีความสามารถในการเขียน ทั้งยังทำให้เขาสัมผัสความรู้สึกของผู้คนที่ต้องพบปะในการทำงานได้ไว ซึ่งเนื้องานก็ต้องการสิ่งเหล่านี้จากเขาทั้งหมด

แต่ในขณะเดียวกัน ความไวต่อสิ่งเร้าของเขาทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิกับการคิดและเขียนงานออกมาในสถานที่ที่คนคุยกันเสียงดังๆ ข้ามหัวเขาไปมาแทบตลอดทั้งวันได้ เขาเคยทดลองขอนายนำงานกลับไปทำที่บ้านหนึ่งวัน ผลคือเขาทำงานคุณภาพดีได้ในปริมาณมหาศาล เท่ากับทำที่ออฟฟิศหลายวันรวมกัน แต่เนื่องจากที่ทำงานของเขาก็เหมือนที่ทำงานประจำทั่วๆ ไปซึ่งเน้นการดำรงอยู่ในพื้นที่กายภาพรวมกันในเวลาและเกินเวลาที่กำหนดไว้ เขาไม่อาจเลือก เขาจึงมักต้องหอบงานส่วนหนึ่งกลับไปทำที่บ้านนอกเวลางาน เพราะมันจะไม่เสร็จแบบมีคุณภาพเท่านี้ในที่ทำงาน และเวลาที่เขาควรต้องมีให้ครอบครัวก็ถูกพรากไปด้วย หรืออีกกรณี นางสาว B ทำงานได้ปริมาณมากและมีคุณภาพมากที่สุดแค่ช่วง 10 โมงถึงหนึ่งทุ่ม ในพื้นที่ปลอดโปร่ง แต่เธอต้องทำงานในที่อากาศอับ โดยต้องเริ่มงานเช้ากว่านั้นและเลิกงานดึกๆ ติดต่อกันเป็นประจำ เพราะมักมีงานด่วนแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ในแต่ละวัน เธอไม่เคยได้รับค่าล่วงเวลาทั้งที่เงินเดือนของเธอต่ำมากอยู่แล้ว วันแล้ววันเล่า เธอต้องเร่งโหมงานต่อไปหลังเวลาเลิกงานและในวันหยุดอย่างไม่อาจต่อรอง เธอย่อมเหนื่อยล้าสะสมและเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ อีกทั้งยังระคนไปกับความอัดอั้นตันใจด้วย 

หากสนใจประเด็นทำนองดังกล่าว และแนวทางการแก้ปัญหาในการทำงาน ลองดู Making the Switch from Time-Oriented to Task-Oriented Productivity, Why Work Does not Happen at Work: Jason Fried at TEDxMidwest, The Remote Working Revolution Has Arrived, The Power of When Book Review Trailer With Dr. Michael Breus และหนังสือ Quiet: The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking ฯลฯ) 

ความคาดหวังของวิชาชีพและองค์กร

พวกเรามากมายอาจอยู่ในลักษณะวิชาชีพ หรือวัฒนธรรมองค์กรที่คาดหวังให้เราตะบี้ตะบันทำงานราวกับหุ่นยนต์ อย่างในบรรษัทอเมริกันบางส่วนมีการแข่งขันดุเดือดถึงขนาดมีการใช้ยากระตุ้นระบบประสาทที่ใช้รักษา ‘โรค’ สมาธิสั้น มาใช้เพิ่มสมรรถนะในการทำงานกันเป็นปรกติ มีพนักงานคนหนึ่งในสารคดีเกี่ยวกับการใช้ยาขนานนี้ให้สัมภาษณ์ว่า “ “พนักงานดีเด่น” ของธนาคารเพื่อการลงทุนหรือบริษัทเทคโนโลยีคือ “คนที่ไม่เคยปฏิเสธงาน” มีวัฒนธรรมการตื่นอยู่ 16 ชั่วโมงรวด 7 วันรวด และถ้าคนทางซ้ายและขวาทำงานได้ผลแบบนั้น คุณก็ควรจะได้ผลงานแบบเดียวกัน” ผู้ให้สัมภาษณ์ทำแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนถึงวันที่ทนไม่ได้แล้วเดินออกมาจากออฟฟิศเลย และวันต่อมาเพื่อนของเขาที่ทนฝืนร่างกายทำงานต่อก็เข้าโรงพยาบาลไปเรียบร้อย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเครื่องจักรที่ไม่มีใครใยดีในฐานะมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราอยู่ในวัฒนธรรมที่ความภักดีต่อองค์กรถูกวัดด้วยระยะเวลาที่ใช้ไปกับที่ทำงาน(รวมถึงการเอ็นเทอร์เทนลูกค้านอกออฟฟิศ พร้อมกับคำกล่าวที่ว่า “เล็บที่ยื่นออกมา จะถูกตอกกลับเข้าไป” ซึ่งแปลว่าอย่ารินอกรีตแตกแถวเชียว ก็มีโอกาสที่จะหมดไฟได้มากเหมือนกัน

การบีบตัวเองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเกินมนุษย์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกิดภาวะหมดไฟ หรือเจ็บป่วยร้ายราย หรืออาจถึงตายนั้น บางส่วนก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความอยู่รอด แต่เป็นความรู้สึกว่า คนอื่นทำแบบไหน เราก็ต้องทำอะไรทำนองนั้น 

กลไกการสอดประสานของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ

อาจารย์เอียน (Iain Couzin) นักวิจัยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดได้ทำภาพจำลองเพื่อแสดงกฎการทำงานของฝูง เช่น สิ่งมีชีวิตจะรับรู้เฉพาะวงเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุดและแต่ละตัวมีแนวโน้มที่จะเรียงแถวจัดแนวกัน ส่วนนักคณิตศาสตร์ชื่อ สตีเฟน สโตรแกตซ์ (Steven Strogatz) ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตอย่างเครื่องเคาะจังหวะ เมื่อวางใกล้ๆ กัน ก็ยังปรับจังหวะเข้าหากันกระทั่งเคาะพร้อมกันไปในที่สุดด้วยกลไกของพวกมันเอง จึงไม่แปลกที่มนุษย์อย่างเราจะรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอะไรไปตามแบบแผนที่คนส่วนใหญ่รอบตัวเราทำ ซึ่งในสังคมเมืองที่ต้องแข่งขันสูงก็มักหมายรวมถึงการตั้งหน้าตั้งตาเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ คนเมืองในโลกสมัยใหม่ไม่ค่อยได้มีรูปแบบชีวิตที่ขึ้นกับจังหวะธรรมชาติ พวกเรามากมายถูกหลอมมาในระบบการศึกษาที่ตัดเอาทักษะการสร้างปัจจัยสี่เองออกจากหลักสูตร เราจึงรู้สึกว่ามีทางเลือกชีวิตน้อยและลงเอยด้วยการไปทำงานหามรุ่งหามค่ำข้ามเขตเวลาเหมือนว่าดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เรามากมายทำงานในองค์กรต่างๆ ที่ให้ค่าการทำกำไรสูงสุดมากกว่าสุขภาวะของพนักงาน 

ซึ่งก็น่าเห็นใจเพราะเราส่วนใหญ่ก็อาจไม่ได้มี หรือมองไม่เห็นทางเลือกมากนัก เพียงแต่สุดท้ายแล้วมันก็สามารถจะทำให้เราต้องตัดขาดจากคนในครอบครัวในทางหนึ่งๆ หรือตัดขาดจากการเห็นคุณค่าของตัวเองในมิติอื่น (เช่น ความเรียบง่าย ความใจดี รวมถึงใจดีต่อตัวเองด้วย) หรือตัดขาดความต้องการของร่างกายเราเองกระทั่งล้มป่วยลง 

แทนที่จะรอให้หมดไฟหรือล้มป่วยลงก่อน มันจะดีกว่าหรือไม่หากเราเริ่มตั้งคำถามตั้งแต่ตอนนี้ว่าวิถีการทำงานที่เป็นอยู่ทำลายสุขภาวะหรือไม่ และยั่งยืนหรือไม่? 

บทความตอนที่สอง นำเสนอทางเลือกที่อาจเป็นทางออกสู่การงานที่มีสุขภาวะและยั่งยืนมากขึ้น

อ้างอิง
สารคดี Take Your Pills ใน Netflix
A Good Knight’s Rest โดย Shelley Moore Thomas, illustrated by Jennifer Plecas
Burn-out an “occupational phenomenon”: International Classification of Diseases โดยองค์การอนามัยโลก
Burnout and post-traumatic stress disorder (PTST) หรือภาวะหมดไฟและอาการเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ โดย ดร. Geri Puleo
Making the Switch from Time-Oriented to Task-Oriented Productivity โดย Joe Martin 

Quiet: The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking โดย Susan Cain

The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You โดย Elaine N. Aron
The Psychological Link Between Trauma And Work Addiction

The Remote Working Revolution Has Arrived โดย Justin Jones 

Understanding Job Burnout โดยดร. Christina Maslach อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเบิร์คลีย์
Where Do You Fall on the Burnout Continuum? Recognize the danger signs of burnout. Why Work Does not Happen at Work: Jason Fried at TEDxMidwest โดย Jason Fried

Tags:

ชีวิตการทำงานburn outMidlife crisis

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • ‘Bai Lan’ เมื่อชีวิตไม่อยากทำอะไร นอกจากการตื่นสายและใช้ชีวิตไปวันๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    ใช่หรือไม่ ว่าสิ่งที่เรามักจะขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น นั่นคือตัวตนที่เราไม่สามารถเป็นได้

    เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    SACRED MOUNTAIN สนามเด็กเล่นทางจิตวิญญาณที่บอกเราว่า โลกคือปาฏิหาริย์และชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

คำพูดอาจส่งเสริม หรือเป็นอุปสรรคกับพัฒนาการ ถ้อยคำเหล่านี้ชวนคิดอีกที ก่อนพูดกับเด็กๆ ของเรา
Family Psychology
26 January 2021

คำพูดอาจส่งเสริม หรือเป็นอุปสรรคกับพัฒนาการ ถ้อยคำเหล่านี้ชวนคิดอีกที ก่อนพูดกับเด็กๆ ของเรา

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • รวม ‘ถ้อยคำทำร้ายลูก’ ในอีพีที่ 1-3 จาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ นำมาเล่าใหม่อีกครั้งเพื่อชี้ว่า ถ้อยคำที่เหมือนจะดี และถูกใช้บ่อย ทำไมจึงไม่ดีอย่างที่คิด และอาจทำร้ายลูกอย่างไรบ้าง 

อีกหนึ่งคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมล้นหลามของ The Potential ในปีที่ผ่านมา คือพอดแคสต์รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ 

ที่ว่า ‘ได้รับความนิยมล้นหลาม’ อาจเพราะรายการเลือกหยิบ pain point ประเด็น ‘ความสัมพันธ์’ ของคนเป็นพ่อแม่ กับ ลูก ที่หลายครั้งก็ทำเกินไป เป็นห่วงเกินไป บ้างก็รักเกินไป จนหลายครั้งทำให้ลูกอึดอัดข้องใจ หลายการกระทำทำร้ายกันขนาดเกิดแผลกินลึกในใจคนเป็นลูก

ส่วนในทวิตเตอร์ เราได้รับคอมเมนต์จากวัยรุ่น หรือ คนเป็นลูกมากมาย ที่รีทวิตไปแล้วบอกว่า ‘นี่คือตัวฉันเลย’ ‘พ่อแม่ทำแบบนี้กับฉัน ฉันจึงได้รับผลกระทบทางใจและกายแบบนี้’ มากไปกว่าการตีแผ่มูลเหตุของบาดแผล  พิธีกรทั้งสองยังพาไปเข้าใจสาเหตุของปมวัยเด็ก พอเจอแล้วก็ชวนค่อยคลี่คลายมันได้… ไม่มากก็น้อย 

โพสต์นี้เราขอยก ‘ถ้อยคำทำร้ายลูก’ ในอีพีที่ 1-3 มาเล่าใหม่อีกครั้งเพื่อชี้ว่า ถ้อยคำที่เหมือนจะดี และถูกใช้บ่อย ทำไมจึงไม่ดีอย่างที่คิด และอาจทำร้ายลูกอย่างไรบ้าง 

“ทำไมโง่อย่างนี้”

คำจากพ่อแม่ที่อาจกลายเป็นคำสาปของคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิตว่า ‘ฉันคือคนที่โง่ๆๆๆ’  

หลายคนคิดว่า การพูดว่า “ทำไมโง่อย่างนี้” ก็เพื่อปรับเปลี่ยนอยากให้เด็กพัฒนาตัวเองเพื่อฉลาดขึ้น แต่ครูณาชวนมองว่า การพูดเช่นนี้อาจต้องคุยกับคนที่โตแล้ว แข็งแรงแล้ว มีความคิดที่ซับซ้อนพอจะเปลี่ยนคำดูถูกต่อว่าเป็นลูกฮึด (ถ้าเชื่อเช่นนั้นว่าการต่อว่าจะกระตุ้นให้คนมีลูกฮึดได้) หรือมีพื้นฐานเข้มแข็งและรักตัวเองมากพอจะเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเอง

แต่กับเด็กเล็กๆ อยากให้มองว่า “เด็กคนหนึ่ง ตอนที่เขาเกิดมาใหม่ เขาเป็นชีวิตใหม่ เพิ่งเกิดมาใหม่บนโลกใบนี้ ยังไม่รู้ว่า “ฉันคือใคร” ฉันเป็นใครบนโลกใบนี้นะ ฉันมีศักยภาพยังไง ฉันเป็นคนแบบไหน แล้วคำพูดของพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่ไปใส่ว่า ‘ทำไมโง่อย่างนี้’ สุดท้ายสิ่งที่เขาได้มาก็เหมือนเป็นคำสาปว่า ฉันคือคนโง่ๆๆ”

อยากให้มองว่าการเริ่มต้นชีวิตของเด็กคนหนึ่ง เค้าจะค่อยๆ เติบโตขึ้นพร้อมกับเก็บคลังคำศัพท์ไว้ในหัว คำศัพท์มาพร้อมกับนิยามตัวตนของเค้า บันทึกลงใน ‘แฟ้ม’ หรือกล่องความทรงจำถึงนิยามตัวตน ลองคิดดูว่าหากเด็กคนหนึ่งเติบโตพร้อมกับ ‘คำยืนยันว่าตัวเองห่วย’ แฟ้มในชีวิตเค้าก็จะมีแต่คำๆ นี้เวลาที่เด็กไปเจอกับสถานการณ์บางอย่างในชีวิตแล้วสมองต้องประมวลเพื่อตัดสินใจ ก็อาจค้นไม่เจอเลยว่าจะใช้นิยามตัวตนที่ดีๆ ของตัวเองแบบไหนมาใช้ต่อสู้กับปัญหา แฟ้มในชีวิตเค้าเลยอาจกลายเป็น ‘แฟ้มคำสาปแช่ง’ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาจะถือมันไปทั้งชีวิต 

เมื่อต้องประมวลเลือกหยิบตัวตนมาใช้ ก็อาจเหลือแต่เสียงในหัวที่ว่า ‘ใช่แล้ว เพราะฉันมันโง่ ฉันทำได้หรอก’ ‘ฉันมันห่วย ฉันก็ทำได้แค่นี้’ 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/
Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/ep1-2/

“แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย” / หลอกว่าเก็บมาเลี้ยง

คำพูดที่อาจทิ้งคำถามในใจเร้นลึก ‘รักฉันไหม ฉันเป็นลูกที่เธอรักไหม’

พ่อแม่หลายคนพูดด้วยความโกรธ เมื่อหายโกรธแล้วก็อาจ (ทำเป็น) ลืมมันไป แต่ลึกลงไปข้างในของลูก สิ่งที่เหลืออยู่อาจเป็นเสียงในหัวที่ว่า ‘จริงๆ แล้วพ่อแม่/ผู้ปกครอง รักเราหรือเปล่า’ 

“เชื่อไหม คำพูดว่า ‘ไม่น่าเป็นลูกเลย’ ‘แกไม่น่าเกิดมาเลย’ มันรุนแรงมาก ในคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนประโยค พูดคำนี้ไปครั้งเดียวแต่ลูกอาจจำประโยคนี้ไปทั้งชีวิต แล้วมันทำให้เขาเกิดความสงสัยเสมอเลยว่า “รักฉันไหม ฉันเป็นลูกที่เธอรักไหม” มีเด็กที่ได้ยินประโยคนี้แล้วเขาเจ็บปวดไปทั้งชีวิต”

อีกคำหนึ่งที่เชื่อว่าพูดเล่นๆ และอาจไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่พูด แต่เป็น ลุง ป้า น้า อา พี่ ที่มักหยอกด้วยมุกตลกว่า ‘เก็บมาเลี้ยง’ แต่จริงๆ แล้วมันสร้างบาดแผลเร้นลึก และมีคำถามในใจคล้ายๆ กันว่า ‘จริงๆ แล้วพ่อแม่/ผู้ปกครอง รักเราหรือเปล่า’  

“พอคนในครอบครัวพูดบ่อยก็เริ่มเกิดความสงสัย เพราะเด็กก็ยังไม่รู้อะไร แล้วเราดันหน้าไม่เหมือนพี่น้อง มันเป็นความสงสัยไงพอเวลาที่ทุกข์จากเรื่องครอบครัวหรือมีเหตุการณ์ที่มันพ้องกัน เราก็จะไปดึงเหตุผลมาประกอบ เช่น ซื้อทุกอย่างให้กับคนอื่น แต่ไม่ซื้อให้เรา สงสัยว่า เอ๊ะ..หรือว่าเราไม่ใช่ลูก แล้วพอเมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกเชื่อมโยงเป็นวงจรว่า ‘หรือเราไม่ใช่ลูก?’ คราวนี้วงจรมันจะเริ่มแตกขยาย คิดขึ้นว่า ‘หรือว่าไม่รักเรา’ ‘หรือว่าเราไม่ใช่ลูกจริงๆ’”

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/
Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/ep1-2/

โกหก! เพราะพูดความจริงแล้วถูกลงโทษ ต่อไปจึง… ก็จะโกหกนี่แหละแต่ให้เนียนขึ้น

สำหรับเด็กเล็ก ทั้งคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ และครูณา พูดในเทปนี้คล้ายกันว่า เด็กเล็กไม่ได้อยากโกหก เพียงแต่เค้าไม่อยากถูกดุ วิธีที่ครูณาแนะนำคือ ทุกครั้งที่เด็กพูดความจริงให้กอดเค้าและบอกว่า “ขอบคุณนะที่ลูกบอกความจริงกับแม่ แม่จะได้รู้” เพื่อย้ำว่า เราชอบที่เค้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพูดความจริง คล้ายๆ การสร้างแฟ้ม ‘ความซื่อสัตย์’ ให้กับเค้า 

ส่วนวิธีคิดสำหรับพ่อแม่ที่ใช้ทั้งกับเด็กเล็กและโต คือ “เด็กที่พูดโกหกกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ใช้วิธีลงโทษแล้วเด็กไม่กล้าพูดความจริง เด็กถึงต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงด้วยการโกหก ดังนั้นคนที่โกหกเพราะเขากลัวถูกลงโทษ พ่อแม่ต้องกลับมาที่ตัวเองว่า อะไรในตัวเราที่ทำให้เด็กไม่กล้าพูดความจริง เราต้องหยุดกระบวนการที่บอกว่า “ทำไมลูกเป็นเด็กที่โกหก” เพราะถ้าพูดแบบนี้เขาจะทำให้มันเนียนขึ้น เขาจะรู้สึกถึงความสูญเสียบางอย่างในจิตใจเขา แล้วเขาก็ไม่อยากกระทบจากคำพูดรุนแรง เขาก็จะทำให้มันเนียนขึ้น หรือหาทางที่จะทำให้จับไม่ได้” 

คำแนะนำเชิงจิตวิทยาสำหรับผู้ปกครองที่รู้ว่าเด็กโต กำลัง trickly แต่ไม่อยากต่อว่าตรงๆ คือ…

“ถ้าเป็นพี่ก็จะกอดเขาแล้วก็บอกว่า ‘แม่เข้าใจนะ แม่รัก แล้วครั้งนี้แม่ก็จะเชื่อ แต่ลูกต้องเข้าใจนะว่า ความเชื่อหรือศรัทธามันหายไปได้ ถ้าไม่แน่ใจหรือว่าลูกมีอะไรที่อยากจะพูดมากกว่านี้ก็มาบอกแม่ได้นะ’ พี่ก็จะพูดกับเขาโดยที่ให้เขารู้ว่าเขามีทางเลือกนะว่า เขามาพูดความจริงกับพี่ได้ หรือการพูดโกหกเนี่ย พี่รู้นะ แต่พี่จะไม่ใช้คำพูดว่า ‘เธอเป็นคนพูดโกหก’ แต่พี่จะทำให้เขารู้ว่า เขาควรจะเป็นคนที่ทำตัวเองให้มีความวางใจ” 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/
Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/ep1-2/

ระวัง, อย่า, ไม่ : ยิ่งไม่ ก็ยิ่งทำ (เพราะสมองสั่งแบบนั้นจริงๆ)

ความน่าตกใจของคำว่า ‘ไม่’ ก็คือ ยิ่งพูดว่าไม่ สมองก็ยิ่งเห็นภาพนั้นแล้วก็ทำให้อยากทดลองโดยไม่รู้ตัว เพราะสมองเราไม่ซับซ้อน บอกไม่ให้นึกถึงอะไร มันก็เห็นเป็นภาพนั้นแหละ อย่าแหย่ปลั๊กไฟนะ… ภาพแหย่ปลั๊กไฟขึ้นมาทันที / อย่าวิ่งนะ …ภาพวิ่งขึ้นมาทันที 

วิธีการที่ได้ผลคือวิธีการที่ไม่ขัดกับวงจรสมอง คือ เมื่อไม่อยากให้ลูกทำอะไร ให้บอกในสิ่งที่ ‘อยากให้เขาทำ’ แทน เช่น เปลี่ยนจากคำว่า อย่าเสียงดัง! เป็น พูดเสียงเบาลงอีกนิดลูก / อย่าเล่นบาสเสียงดัง! เป็น ไปเล่นบาสข้างนอกลูก 

แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ อย่างการแหย่ปลั๊กไฟ ครูณาแนะว่า แค่ทำเสียง “แหนะ” หรือ “ฮึ่มมม” แค่นี้เด็กก็รับรู้พลังงานการห้ามปรามจากแม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ครูณาก็ว่า… ปล่อยให้เด็กได้ทดลองบาดเจ็บ มีบาดแผล และเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผจญภัยด้วยตัวเอง 

ซึ่ง ถ้าลูกพลาดมาแล้วก็ขอให้ระวังอีกคำคือ  ‘แม่บอกแล้ว’ ‘ครูบอกแล้ว’ ‘ฉันบอกเธอแล้ว’ ซึ่งมันไม่ดียังไง คลิกหน้าถัดไปเลยค่ะ 🙂 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep2/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/

“เห็นไหม บอกแล้วไม่เชื่อ” สิ่งที่คิดในใจลูกก็คือ “ได้ ต่อไปฉันจะทำให้เนียนขึ้น!”

เชื่อว่าหลายคนไม่ชอบคำนี้ค่ะ “เห็นไหม บอกแล้วไม่เชื่อ” “ฉันเตือนเธอแล้วไง เคยบอกแล้วใช่มั้ย” เพราะการพูดแบบนี้ไม่ได้ทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขหรือดีขึ้นมาเลย คนฟังรู้สึกถูกสั่งสอน ถูกปัด และเหมือนซ้ำเติมให้ความรู้สึกยิ่งแย่ลง 

เวลาพูดคำนี้ แปลว่าเราต้องเพิ่งไปทำอะไรมาบางอย่าง เพิ่งไปเรียนรู้บางสิ่งมาแต่อาจตัดสินใจพลาด กระบวนการที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ ‘เรียนรู้ความผิดนั้น และจะไม่ทำอีก’ ซึ่ง ครูณาบอกว่า เมื่อพ่อแม่พูดคำเหล่านี้ไป กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้จะสิ้นสุดทันที กลายเป็นความโกรธ เป็นความผิดหวัง เป็นอัตตาที่ตีขึ้นมาแทน 

“จริงๆ เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองได้เยอะมากนะ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสอนเขาแล้ว เราสร้างประสบการณ์ให้เขาแล้ว แต่สุดท้ายเขาทำพลาด สิ่งที่เราควรทำคือ ต้องเชื่อใจและวางใจเลยว่าเขาเรียนกับมันแล้ว แล้วก็กอดเขา บอกเขาว่า ‘รู้สึกแย่จังเลยเนอะ’ แล้วจบ เราต้องวางใจว่ามนุษย์เรียนรู้แล้ว เชื่อไหมว่าถ้าเราทำ Process นี้ได้ สงบปากสงบคำกับคำนี้ได้ หลังจากนั้นเขาจะทำมันจริงๆ เขาจะตั้งใจกับมันจริงๆ”

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep2/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/

อย่าไปทำแบบนั้น เดี๋ยวตำรวจมาจับ / ตุ๊กแกมากินตับ 

การสร้างเงื่อนไขให้เด็กกลัวกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผล 

อีกหนึ่งประโยคคลาสสิคที่เรียกว่าต้องได้ยินกันแทบทุกบ้าน และหลายยุคหลายสมัยก็คือ “อย่าไปทำแบบนั้น เดี๋ยวตำรวจมาจับ / ตุ๊กแกมากินตับ” ซึ่งบางที โตมาเราก็งงว่า เรื่องแค่นี้ตำรวจก็มาจับแล้วเหรอ เราทำผิดอะไร? 

การสร้างเงื่อนไขแบบนี้คือการทำให้เด็กหยุดการกระทำด้วยความกลัว แต่ไม่ได้เข้าใจ และนี่แปลว่าเรากำลังสร้างความกลัวให้กับสิ่งที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน ไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน 

วิธีที่ดีคือ เราอยากให้เค้าทำอะไร เราบอกเค้าไปตรงๆ 

“‘ระมัดระวัง’ กับ ‘ขี้กลัว’ คนละแบบกันนะ เด็กที่ขี้กลัว กลัวกับเรื่องไม่เข้าเรื่อง ทำไมต้องอยากให้เด็กกลัวตำรวจล่ะ ในเมื่อตำรวจเป็นคนที่ช่วยชีวิตเรา ช่วยสิ่งที่ดี แล้วทำไมเวลาที่บอก ‘อย่าไปทำงั้นนะ เดี๋ยวตำรวจจับ’ 

“มันคล้ายกับว่าคุณค่าของมนุษย์ที่ตำรวจจะจับเนี่ยมันต่ำต้อยมากเลย แค่ทำแค่นี้ตำรวจก็จะมาจับแล้ว เด็กเขาไม่ได้คิดซับซ้อนแบบนั้น แต่เราเอาลำดับการคิดวิเคราะห์ของเด็กไปเทียบกับสิ่งที่…มันแค่ทำแบบนี้ตำรวจก็จับ แล้วมันทำให้เขากลัวตำรวจโดยไม่เข้าเรื่อง บางทีเราไปสร้างเงื่อนไขที่ทำให้เขารู้สึกกลัวกับสิ่งที่ไม่ได้มีเหตุผลที่ดี ถ้าเราไม่อยากให้เขาทำอะไร เราก็สื่อสารให้ชัดเจนว่า ทำไมควรหรือไม่ควรทำ บอกไปเลย ‘อย่าไปทางนั้นนะลูก เดี๋ยวแม่มองไม่เห็นแล้วแม่จะเป็นห่วง’”

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep2/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/

(ลูกล้มแล้วตีพื้น) นี่แหนะ พ่อ/แม่จัดการให้แล้ว 

การฝึกให้ลูกโทษอย่างอื่น ไม่โทษตัวเอง 

“นี่เป็นการฝึกให้โทษอย่างอื่น ไม่โทษตัวเอง ไม่เรียนรู้ที่จะจัดการตัวเอง เพราะฉะนั้นก็จะบ่มเพาะบางอย่างว่าพอมีอะไรปุ๊บ เขาจะชี้ออกนอกตัวทันทีว่าเขาจะไปจัดการกับอะไรดี ถ้าเราอยากปลอบประโลมเขา อยากทำให้เขาหายเร็วๆ ล้มก็ดูแลจิตใจ ดูแลอารมณ์ ลูกล้มเขาเจ็บ ให้สะท้อนอารมณ์เลย ‘เจ็บใช่ไหมลูก มากอดที’ แล้วเขาก็จะเรียนรู้ของเขาเลย ไม่ต้องฝึกเขาเรื่องโทษคนอื่น” 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep2/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/

ไม่ต้องร้องลูก 

เราไม่ควรถูกสอนให้ ‘ปฏิเสธ’ อารมณ์ แต่ต้อง ‘รู้จัก เท่าทัน’ อารมณ์

เข้มแข็งลูกไม่ร้อง ไม่เจ็บลูกเหมือนมดกัด อย่าอ่อนแอกับเรื่องแค่นี้ …หลายคนถูกฝึกให้เติบโตมากับความเข้มแข็ง แต่อีกด้านของเหรียญเดียวกัน นี่คือการปฏิเสธอารมณ์ เก็บกด นานวันเข้าก็ไม่รู้ว่า ที่กำลังรู้สึก มันเรียกว่าอะไร 

โดยเฉพาะวัยเด็กซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการ ‘เรียนรู้อารมณ์’ (ในแง่พัฒนาการด้วย) รู้จักกับความรู้สึก ซึ่ง… ต้องคิดบนฐานว่าเด็กๆ เกิดมายังไม่ค่อยมีประสบการณ์ความเจ็บปวด ล้มลุกคลุกคลานเชิงชีวิต 

เวลาที่เจ็บกาย เจ็บใจ เด็กๆ ควรได้รู้จัก รู้จักทั้งก้อนความรู้สึก และคำศัพท์ และรู้ว่าเมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ มันเป็นแบบไหนกันนะ เจ็บที่ตรงไหน แบบนี้เรียกว่าเจ็บ โกรธ ไม่พอใจ งอน เสียใจ และอื่นๆ ควรรู้จักให้หมด 

การรู้จักความรู้สึกไม่เท่ากับความเปราะบางหรืออ่อนแอ แต่เป็นพัฒนาการ เป็นช่วงวัย และได้รู้จักชีวิต 

“พอบอกว่า ‘อย่าร้องๆ’ ‘ไม่ร้องๆ’ นั่นน่ะ… คือการปฏิเสธอารมณ์ พอปฏิเสธอารมณ์ไปเรื่อยๆ ก็มองว่าการแสดงออกทางอารมณ์เป็นสิ่งที่ผิด จะทำให้เด็กเลือกที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ เลือกที่จะไม่ทำความเข้าใจกับอารมณ์ วันหนึ่งเขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร เหมือนผู้ใหญ่ในรุ่นพวกเรา เต็มไปหมดเลยนะ วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คือหงุดหงิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“แล้วก็มองว่าคนที่ร้องไห้คือคนอ่อนแอ และท้ายที่สุดเขาไม่ได้อยู่กับมัน หรือบางทีเด็กไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดหมายถึงอะไร เช่น เขาล้มครั้งแรกของชีวิต เลือดไหล เกิดมาไม่เคยมีประสบการณ์นี้ แล้วแม่บอกว่า “ไม่เป็นไรๆ ไม่เจ็บ” แต่เขางงว่า แล้วไอที่เขาผิดปกติอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร? เราพูดมาทุกตอนว่าสมองเหมือนเป็นกล่องเปล่าที่เราค่อยๆ ใส่ข้อมูล เขายังไม่มีพจนานุกรมของความรู้สึกเกิดขึ้นมาเลย แล้ววันหนึ่งที่เขามีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น แล้วแม่บอกไม่เป็นไร แล้วไอที่รู้สึกอยู่เนี่ย มันต้องเป็นอะไรสักอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กก็ไม่เข้าใจ” 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/episodes-3/

เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องนะ / เป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่ 

แต่ความรักและเสียสละ ไม่ได้มาจากการถูกบังคับ(ให้รัก)

ในเบื้องหลังของประโยคคือนี้ ความอยากให้พี่น้องรัก เคารพ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ต้องย้ำว่า เราบังคับให้รักและเสียสละไม่ได้ สิ่งที่ได้อาจไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความไม่เข้าใจและหลายๆ ครอบครัว ลามไปถึงความเกลียดชัง 

“แต่ความเสียสละหรือว่าความรักต้องถูกสร้างจากจิตใจเด็กข้างใน ถ้าเราไปบังคับให้เขาเสียสละ ให้มีน้ำใจแบ่งปัน ให้ยอมรับผิดหรือขอโทษ หากเราบังคับเขาให้ทำ… มันไม่มีประโยชน์เลยนะ เพราะมันไม่ได้เกิดคุณค่าจากข้างใน เด็กสองคนแย่งของกัน แล้วเราก็บอกว่า “แบ่งน้อง” “ให้น้อง” “เป็นพี่ต้องเสียสละ” ถามหน่อย วิธีการแบบนี้คนที่เป็นพี่จะรู้สึกว่า “ได้ครับ ผมรักน้อง” มันจะมีไหม?

“ความยุติธรรม ต้องเกิดจากที่คนสองคนดีลกันแล้วไปเจอความยุติธรรม ลองนึกภาพสิ จะมีพ่อแม่หลายคนมากที่เข้ามาจัดการว่า ‘เอามานี่ แม่แบ่ง(ของ)ให้เท่าๆ กันเอง’ (ซึ่งของสิ่งนั้น เดิมเป็นของคนพี่มาก่อน) อย่างงี้ลูกคนโตเขาจะยอมไหม เพราะมันไม่ได้เกิดจากกระบวนการข้างในของเขา เขาก็จะรู้สึกเหมือนกับว่า ‘ก็มันของผม’ แต่การที่เราให้ลูกหาทางออกของเขา ให้เขาเห็นว่าเขาคิดกับมันได้นะ แล้วทำให้เขาแสดงมันออกมาด้วยตัวเอง นี่คือความยุติธรรม นี่คือความเสียสละ” 

ชวนอ่านบทความฉบับเต็ม ที่จะแชร์เคล็ดลับจากสถานการณ์จริง ว่าด้วยการเข้าไปแทรกแซงของผู้ปกครองอย่างได้ผล ไม่บังคับให้รักกัน แต่สุดท้ายเด็กๆ จะได้เรียนรู้สร้างความสัมพันธ์จากการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/episodes-3/

ต้องทำได้ดิ ง่ายนิดเดียว 

ถ้าทำได้ก็ไม่ภูมิใจเพราะมันง่ายนิดเดียว แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะโทษตัวเอง เรื่องนิดเดียวทำไมฉันทำไม่ได้

“ให้พ่อแม่ลองทบทวนนะ สมมติว่าสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ตรงหน้ามันยากมากๆ สำหรับเขา เช่น ปีนหน้าผา แล้วเราพูดว่า ‘ง่ายนิดเดียว’ ถ้าเขาทำได้ เขาจะภูมิใจกับสิ่งที่ง่ายนิดเดียวไหม? แล้วเขาก็คงงงอะว่า มันง่ายตรงไหนนะ ทำไมฉันทำแล้วมันยากจัง เพราะฉะนั้นคำว่า ‘ง่ายนิดเดียว’ เด็กทำได้ก็จะไม่ค่อยภูมิใจ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่นิดเดียว คนอื่นเขาก็ทำกัน หรือไม่ก็สงสัยว่า ทำไมกูทำแทบตายแต่คนบอกว่าง่ายนิดเดียวนะ”

วิธีที่ครูณาใช้คือ ถ้าอย่างนั้น พ่อแม่ต้องทดลองทำดู ให้รู้ไปเลยว่าง่ายอย่างที่เราคิดจริงๆ เปล่า เช่น การปีนหน้าผา ครูณาจับมือลูกไปลองปีนเอง เมื่อลองและรู้ว่ามันยาก ก็พูดกับลูกว่า “มันยากจริงๆ กลับบ้านกันเถอะ” เมื่อลูกเห็นแล้วว่ามันยากสำหรับแม่เหมือนกัน ถ้าลูกได้ลองแล้วทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าแม่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าลูกลองแล้วทำได้ ความภูมิใจเกิดกับเค้าทันที 

กุศโลบายก็คือ ผู้ปกครองได้เข้าใจว่ามันยาก และลูกจะได้เห็นว่า พ่อแม่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พ่อแม่ก็ผิดพลาดได้เหมือนกัน ได้เห็นความ ‘ไม่เก่ง’ ของการเป็นพ่อแม่ ความกดดันมันก็ลดระดับลง แล้วอาจจะพานอยากมีลูกฮึดขึ้นมาก็ได้! 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/episodes-3/

เรียนหนังสือเก่งๆ นะ / เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่นะ 

แต่เด็กทุกคน ‘เก่ง’ ในแบบของตัวเอง และเราไม่ต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง แต่เราควรสื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้ 

หากเชื่อว่าเด็กทุกคนเกิดมาไม่มีอะไรเหมือนกัน ทุกคนเก่งและมีตัวตนในแบบของตัวเอง การให้พรด้วยความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ ก็อาจไปจำกัดความเก่ง หรือ ศักยภาพที่เค้ายังเติบโตขึ้นในทางของเค้า ให้เหลือรูปเดียวคือ ‘เรียนให้เก่ง’ 

“พี่พูดจริงๆ นะ ถ้าเราไม่รู้จะอวยพรอะไร กอดคืออะไรที่เราอยากจะส่งความรู้สึกดีๆ ให้กับเขา เราลูบหัวเขา แล้วบอกว่า ‘ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก’ มันเป็นพรที่มีพลังมหาศาลเลย 

“หรือคำว่า เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่นะ’ ไม่รู้นะ แต่สำหรับพี่กับลูก เราฝึกว่าเราจะเท่ากัน เขาไม่จำเป็นจะต้องเชื่อว่าพี่เป็นคนที่ถูกทุกอย่าง เวลาบอกว่า ‘ต้องเชื่อฟังพ่อแม่นะ’ สู้เราพูดว่า ‘ลูก มีอะไรก็คุยกับพ่อแม่นะ’ อย่างงี้ยังรู้สึกว่าเราสามารถที่จะคุยอะไรได้ แต่พอบอกว่าเชื่อฟัง มันเหมือนพ่อกับแม่มีคำตอบอยู่อีกอย่างหนึ่งที่อาจไม่ตรงกับเราแล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเชื่อฟัง การไม่เชื่อฟังพ่อแม่เป็นสิ่งที่ผิด ความจริงเราไม่ต้องเชื่อฟัง เราเห็นต่างได้ เราคุยกันได้ แต่สื่อสารกันดีๆ ในบ้าน”

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/episodes-3/

ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูกนะ

“เป็นสิ่งที่พ่อหรือแม่มักคิดเสมอแหละ แต่ประเด็นคือ เรากำลังเอาความดีของเราทั้งหมดไปให้ลูกแบก เหมือนกับว่าฉันทำมาทั้งหมดก็เพื่อเธอ เธอทำผิดพลาดไม่ได้นะ เธอหลุดจากความดีหรือความรักที่ฉันนิยามไว้ไม่ได้นะ เพราะฉันอุทิศทั้งหมดให้แก่เธอ แล้วมันทำให้เขาแบกมากเลย แล้วเวลาที่เขารู้สึกว่าเขากำลังทำบางอย่างที่ไม่ได้สอดคล้องกับความรักและความดีในนิยามของแม่เนี่ย เขารู้สึกว่าเขากำลังผิด เขากำลังทำบาป

“ฉะนั้นในความรัก พี่กลับมองว่าคนที่พูดแบบนี้เขาเห็นแก่ตัวกับลูกนะ เพราะเขาให้และทำทุกอย่างโดยที่หวังว่าลูกจะเห็นคุณค่าตรงนี้ ซึ่งสุดท้ายความรักที่เขาทำมาตั้งเยอะ มันกลายเป็นไม่มีคุณค่าหรือมันกลายเป็นไม่บริสุทธิ์ แล้วมันทำให้ลูกสงสัย พี่รู้สึกว่าคำพูดนี้มันหนักไปสำหรับคนที่เป็นเด็ก” 

บทความ: https://thepotential.org/family/overprotective-parents-ep3/

Podcast: https://thepotential.org/podcasts/overprotective-parents/episodes-3/

Tags:

ถ้อยคำทำร้ายจิตใจอังคณา มาศรังสรรค์ความสัมพันธ์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์โรคพ่อแม่ทำ

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Weaponized-Incompetence-1
    Relationship
    Weaponized Incompetence: ทำไมการ ‘แกล้งทำไม่เป็น’ เพื่อโยนงานให้คนอื่น ถึงเป็นเรื่องท็อกซิกในความสัมพันธ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เพจทำอาหารที่ชวนกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ “แม่ เมนูนี้ทำไง”

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Early childhoodFamily Psychology
    มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(3): ไม่ต้องร้อง เป็นพี่ต้องเสียสละ เป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่ เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyEarly childhood
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(2): อย่าทำนะ เดี๋ยวตำรวจมาจับ, ตีพื้น นี่แหนะจัดการให้แล้ว, นิสัยเหมือนพ่อ/แม่ไม่มีผิด

    เรื่อง ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์อังคณา มาศรังสรรค์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Loose Parts เล่นอย่างไรในยุคโควิด ไม่ให้วิกฤติหยุดจินตนาการเด็ก
Space
26 January 2021

Loose Parts เล่นอย่างไรในยุคโควิด ไม่ให้วิกฤติหยุดจินตนาการเด็ก

เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Loose Parts คือ การสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็ก จัดหาของเล่นที่ทำให้เด็กๆ สามารถทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือสนใจ ของเล่นที่ว่านี้จะเน้นวัสดุที่เป็นธรรมชาติ แปรเปลี่ยนรูปร่างได้
  • ไม่ควรใช้ของเล่นสำเร็จรูป เพราะบั่นทอนจินตนาการเด็ก และต้องปล่อยให้เด็กออกแบบการเล่นด้วยตนเองอย่างอิสระ
  • สำคัญคือ ผู้ดูแลการเล่น ซึ่งหมายถึงผู้ใหญ่ในครอบครัว ต้องไม่แทรกแซงการเล่น มีหน้าที่เฝ้าดู หรือนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ และหากเด็กต้องการให้เล่นด้วยก็ต้องเล่นตามกติกาของเด็ก
ภาพ Loose Parts

ในช่วงที่โลกหยุดพัก ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน ชะลอการเดินทาง และรักษาระยะห่าง แน่นอนว่าผลกระทบเหล่านี้ส่งผลถึงเด็กๆ ของเราด้วยเช่นกัน โอกาสที่จะได้ออกมาเล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ หายไป โอกาสที่จะได้เดินทางไปเรียนรู้ตามสถานที่ต่างๆ หายไป ต้องอยู่บ้านและมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเท่านั้นเป็นเพื่อนเล่น ทำเอาหลายๆ บ้านเริ่มโอดครวญว่าหมดมุกจะหาของเล่นมาเล่นกับลูกแล้ว แต่อย่าเพิ่งท้อ บทความนี้ชวนพ่อแม่ผู้ปกครองมารู้จักกับอีกหนึ่งแนวคิดของการเล่น ที่เป็นตัวช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองในช่วงเวลาที่ยุ่งยากอย่างนี้

Loose Parts คือ แนวคิดหนึ่งของการเล่นอิสระ (Free Play) เป็นการสร้างสรรค์ของเล่นที่แปรรูปได้ หลากหลายและสร้างจินตนาการ

เด็กๆ ต้องการเพื่อนเล่นก็จริง แต่ถ้าเราเข้าใจ และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะที่จะเล่น เหมาะที่จะปลดปล่อยจินตนาการ จะพบว่าเด็กๆ สามารถเล่นคนเดียวได้เป็นวัน

ก่อนจะมีการระบาดอย่างหนักของ โควิด 19 ระลอกใหม่ กลุ่มไม้ขีดไฟออกแบบการเล่นตามแนวคิด Loose Parts แล้วสัญจรไปติดตั้งตามโรงเรียนอนุบาลและศูนย์เด็กเล็กกว่า 20 แห่ง เพื่อให้เด็กๆ ได้ออกมาปลดปล่อยจินตนาการ เราจึงพบว่าเด็กๆ สามารถออกแบบวิธีเล่นได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่เราจัดสภาพแวดล้อมจัดของเล่นให้เหมาะสม โดยช่วงวัยที่เหมาะที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาจินตนาการและการเรียนรู้ของเด็กคือ ช่วง 3 – 6 ขวบ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าช่วงวัยอื่นจะเล่นไม่ได้ เราพบเด็ก 7 – 9 ขวบ ก็เล่นอย่างสนุกสนานเช่นกัน

Loose Parts คืออะไร?

Loose Parts คือ การสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับเด็ก จัดหาของเล่นที่ทำให้เด็กๆ สามารถทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือสนใจ ของเล่นที่ว่านี้จะเน้นวัสดุที่เป็นธรรมชาติ แปรเปลี่ยนรูปร่างได้ เช่น ท่อ รางไม้ แผ่นไม้ ผ้า สภาพแวดล้อมนั้นต้องมีกลิ่น สี และสถานะที่หลากหลาย ทั้งของแข็ง ของเหลว มีความหลายหลาย ทั้งผ้า ไม้ ก้อนหิน ดิน น้ำ รวมทั้งต้องเป็นของเล่นที่ท้าทายความสามารถของเด็กด้วย ไม่ง่ายจนเกินไป ไม่ปลอดภัยจนหมดความท้าทาย หรือสรุปง่ายๆ คือ ของเล่นนั้นต้องแปรเปลี่ยนได้หลากหลาย ไม่ถูกจำกัดตายตัว หรือถูกคิดว่าแล้วว่าต้องเล่นอย่างไร ต้องเล่นตามกติกา ทุกอย่างต้องปรับได้ จับคู่ใหม่ได้ จัดวางใหม่ได้ ตามใจเด็ก ยิ่งหลากหลายยิ่งส่งเสริมให้เด็กค้นพบความมหัศจรรย์ของการเล่น แค่เตรียมพื้นที่ เตรียมวัสดุอุปกรณ์เอาไว้ เด็กจะเป็นผู้ออกแบบวิธีเล่นเอง

เมื่อสภาพแวดล้อมและของเล่นพร้อม การเล่นของเด็กจะเป็นอย่างไร

การเล่นของเด็ก ‘ไม่มีเพศ’: เด็กเล็ก 3 – 6 ขวบเล่นทุกอย่างที่เป็นการเลียนแบบชีวิตประจำวัน หรือจากที่เห็นตามสื่อต่างๆ โดยยังไม่สนใจความเป็นเพศใดใด เราจึงเห็นเด็กผู้หญิงเอาท่อมาทำปืนไล่ยิงเพื่อน และในขณะเดียวกันเราก็เห็นเด็กผู้ชายมาเล่นทำกับข้าวตรงโซนเครื่องครัว แม้กระทั่งโซนตุ๊กตาและเศษผ้าก็ยังมีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเล่นด้วยกัน ความจริงแล้วนี่คือการเล่นที่ขับเคลื่อนด้วยเจตจำนงของเด็กอย่างแท้จริง 

เพราะธรรมชาติไม่ได้แบ่งแยกการเล่นของเด็กตามเพศสภาพ มีแต่ผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือคุณครูเท่านั้น ที่เป็นผู้แทรกแซงเจตจำนงนี้ของเด็ก ด้วยการกะเกณฑ์ว่า เด็กผู้ชายต้องเล่นปืน เด็กผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตา ซึ่งนั่นเป็นการบั่นทอนเจตจำนงการเล่นของเด็กลงอย่างสิ้นเชิง

การเล่นของเด็ก ‘ไม่มีแบบแผน’: การไม่มีแบบแผนไม่ได้เท่ากับความวุ่นวาย และไม่ได้เท่ากับความไม่เป็นระเบียบ เพราะเอาเข้าจริงแล้วผู้ใหญ่ไม่มีทางคิดวิธีเล่นได้ดีเท่าเด็ก ผู้ใหญ่ไม่มีทางคิดวิธีเล่นได้โดนใจเด็กเท่าตัวเด็กเอง เราจึงเห็นเด็กจับคู่วัสดุที่ไม่เข้ากันเลย (ในสายตาเรา) เป็นของเล่นชิ้นใหม่ เราเห็นเด็กผสมวิธีเล่นจากการเล่น 2 อย่างเข้าด้วยกัน เราเห็นรูปแบบการเล่นที่เราเองแทบจะคิดไม่ถึง และนั่นคือการทำงานของจินตนาการของเด็กอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว เมื่อไม่มีผู้ใหญ่คนไหนแทรกแซง

เล่นเลียนแบบ: เด็กๆ เริ่มเล่นจากการเลียนแบบ เลียนแบบพฤติกรรมคนใกล้ตัว เลียนแบบธรรมชาติ รวมทั้งเลียนแบบเพื่อนที่เล่นก่อนหน้า ในเด็กที่ขี้อาย หรืออาจจะมีทักษะการเล่นน้อย เราจะเห็นเด็กกลุ่มนี้ค่อยๆ มองดูเพื่อนเล่น แล้วขยับมาเล่นตามเพื่อน ในขณะที่กำลังมองนั้น คือการที่ค่อยๆ รวบรวมความกล้า ค่อยๆ รวบรวมเจตจำนงของตัวเอง เมื่อพร้อมจึงลงมือเล่น จากที่เลียนแบบเพื่อน จนกลายเป็นสามารถออกแบบวิธีเล่นด้วยตัวเองได้

เล่นชิ้นเดียว เล่นอย่างเดียว: ตั้งแต่ต้นจนจบกิจกรรมเกือบ 2 ชั่วโมง เราเห็นเด็กบางคนเล่นของเล่นประเภทเดียว แต่เขาเล่นตั้งแต่ค่อยๆ เล่นจนชำนาญ ตัวอย่างการเล่นลูกไม้ไต่ตามราง เริ่มจากการวางรางยังไงให้ลูกไม้กลมๆ กลิ้งตามรางและมาลงตะกร้าที่วางไว้ได้โดยไม่ร่วงระหว่างทาง เราเห็นเด็กที่ค่อยๆ ทำแบบลองผิดลองถูก แก้ปรับทิศทางราง วางองศาของรางให้รับกับลูกไม้ได้แบบพอดิบพอดี ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเป็นที่พอใจ บางคนเล่นตรงนี้อย่างเดียวจนหมดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แววตาแห่งความภูมิใจที่สามารถเอาชนะเจ้าลูกไม้กลมๆ ให้กลิ้งตามรางได้โดยไม่ร่วงระหว่างทาง นั่นมันสุดยอดแล้วสำหรับการเล่นครั้งนั้น

เล่นแปลงร่าง: เป็นรูปแบบการเล่นที่โดนใจเด็กๆ มาก เพราะเด็กต่างมีจินตนาการของตัวเอง จากนิทาน จากสื่อต่างๆ ก็แล้วแต่ แต่ละคนอยากแปลงร่างเป็นอย่างอื่นในจินตนาการที่ไม่ใช่ตัวเอง วัสดุอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เด็กหยิบจับมาแปลงร่างได้ ไม่ว่าจะเป็นลังกระดาษ ผ้า สี ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการสร้างสรรค์จินตนาการให้เด็กได้ทั้งสิ้น เราจึงเห็นมงกุฎพระราชา เห็นสไบพระราชินี เห็นปีกนก หรือสัญลักษณ์ซุปเปอร์ฮีโร่ เต็มไปหมด

เล่นด้วยกันหลายคน แต่ต่างมีจินตนาการของตัวเอง: บางครั้งเราเห็นเด็กๆ นั่งเล่นด้วยกันเป็นกลุ่ม ลองเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วจะพบว่า ต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างมีจินตนาการของตัวเอง เพราะเด็กเล็กสามารถเล่นคนเดียวด้วยเจตจำนงของตัวเองได้ ขอแค่มั่นใจว่ามีพ่อแม่ ครู อยู่ใกล้ๆ ขอแค่มั่นใจว่าจะปลอดภัยก็พอ

ครอบครัวจะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมแบบนี้ให้เด็กได้อย่างไร

ในสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดแบบนี้ที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน เด็กก็เช่นกันที่ต้องหยุดอยู่บ้าน แต่เจตจำนงการเล่นของเด็กไม่ได้หยุดตามไปด้วย หากครอบครัวจะลองหาพื้นที่เท่าที่มีมาสร้างสรรค์การเล่นตามแนวคิด Loose Parts ให้ลูกๆ ที่บ้านก็จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ที่ต้องคอยคิดกิจรรมมาเล่นกับลูกทุกวันลงได้ แถมยังช่วยเพิ่มจินตนาการให้ลูกได้ด้วย โดยการหาของเล่นที่สามารถให้เด็กได้ผจญภัย ได้เล่นโดยมีมุมมองจากที่สูงบ้าง ได้ซ่อน ได้ค้นหา ได้เชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น สัตว์เลี้ยง แมลง มีมุมลับที่เป็นที่พัก ผ่อนคลาย หรือมีการเล่นตามจินตนาการเพ้อฝัน

ทั้งนี้สามารถปรับได้ตามสภาพพื้นที่ของแต่ละครอบครัวได้ ไม่ตายตัว ไม่มีข้อจำกัด เน้นวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นธรรมชาติ ของที่มีในบ้าน เช่น ลังกระดาษ ท่อพลาสติกเก่าๆ เศษผ้า เครื่องครัวที่พังๆ รวมทั้งวัสดุที่เป็นธรรมชาติ เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ ก้อนหินก็ได้ ไม่เอาของเล่นสำเร็จรูป ซึ่งบั่นทอนจินตนาการเด็กไปหมดแล้ว เริ่มจากมุมเล็กๆ ในบ้านก่อนก็ได้ เพื่อให้อยู่ในสายตา แล้วค่อยๆ ขยับมาที่สวนหลังบ้านก็ได้ เพื่อให้การเล่นท้าทายขึ้น

สิ่งสำคัญอีกอย่างของการเล่น ที่สำคัญไม่แพ้วัสดุอุปกรณ์ที่เราเตรียมไว้ให้เด็กได้เล่น นั่นคือ ผู้ดูแลการเล่น (Play Worker) ซึ่งหมายถึงผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ใกล้ชิดเด็กนั้นแหละ ต้องไม่แทรกแซงการเล่นของเด็ก

มีหน้าที่เฝ้าดู หรือนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ หากเด็กต้องการให้เราเล่นด้วยก็ต้องเล่นตามกติกาของเด็ก ไม่ใช่ของเรา ไม่ยุ ไม่ห้าม ไม่บอกว่าทำไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่า มันจะอันตรายเอามากๆ มีนักการศึกษาท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ความปลอดภัยเป็นเรื่องของ Play Worker แต่ความเสี่ยงเป็นงานของเด็ก”

การเล่นที่ปลอดภัยจนเกินไปก็ขาดความท้าทาย ความเสี่ยงจะช่วยพัฒนาทักษะของเด็กขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของ Play Worker ด้วย

เพราะการเล่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เด็กจึงไม่ควรหยุดเล่น

ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ หากลองเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ใช้เวลาที่ต้องอยู่บ้านออกแบบพื้นที่เล่นในบ้านให้กับลูกๆ ของเราดู เผลอๆ ช่วงวิกฤติของใครใคร อาจกลายเป็นช่วงเวลาทองของครอบครัวเราก็ได้

ติดตามหรือขอข้อมูลได้ที่ เพจกลุ่มไม้ขีดไฟ หรือ Let ‘s Play More เพราะเราเชื่อว่า “การเล่นเป็นการงานสำคัญที่เด็กทุกคนต้องทำให้บรรลุผลก่อนก้าวเข้าสู่วัยรุ่น”

Tags:

การเล่นอิสระ(free play)การเรียนรู้

Author:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โฮมสคูลบนดอยของ ‘น้องเททีกับคุณพ่อคลีโพ’ : ร้อง เล่น และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก 

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว
Movie
22 January 2021

Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Indian Matchmaking เรียลิตีโชว์ความยาว 8 ตอน ฉายอยู่บน Netflix เล่าเรื่องราวของ สิมา ทาปาเรีย (Sima Taparia) นักจัดหาคู่ (Matchmaker) ชื่อดังชาวอินเดีย
  • กาลเวลาที่เปลี่ยนทำให้วิถีชีวิตการแต่งงานของชาวอินเดียเปลี่ยนไปด้วย พวกเขาไม่ต้องแต่งงานตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี หรือไม่สามารถเลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ครอบครัวยังคงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกคู่ชีวิต
  • ซีรีส์ฉายให้เห็นภาพการทำงานของสิมา ขณะเดียวกันก็สะท้อนทัศนคติของหญิงสาวที่มาใช้บริการนักจัดหาคู่ รวมถึงมุมมองเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานที่ถ่ายทอดให้เราเข้าใจวัฒนธรรมอินเดียในปัจจุบันมากขึ้น
ภาพ Netflix

“เพราะเราเลือกพ่อแม่ก็ไม่ได้ เลือกลูกเองก็ไม่ได้ แต่เราเลือกสามีได้”

นี่คงเป็นประโยคที่สรุปใจความสำคัญทั้งหมดของ Indian Matchmaking เรียลิตีโชว์ความยาว 8 ตอน ฉายอยู่บน Netflix เล่าเรื่องราวของ สิมา ทาปาเรีย (Sima Taparia) นักจัดหาคู่ (Matchmaker) ชื่อดังชาวอินเดีย กว่า 134 คู่แต่งงานที่จัดโดยเธอคงเป็นเครื่องการันตีตำแหน่ง ‘แม่สื่ออันดับหนึ่ง ณ มุมไบ’ ได้ดี

สิมา ทาปาเรีย (Sima Taparia)

ผู้เข้าใช้บริการของสิมามีหลากหลายตั้งแต่ทนายความสาวสุดมั่นที่อยู่ในช่วงกังวลว่าตัวเองจะได้แต่งงานหรือไม่ ทายาทธุรกิจร้านเพชรที่ยังไม่สนใจเดินบนถนนชีวิตคู่แต่ถูกครอบครัวรบเร้า นักจัดงานแต่งที่เริ่มตั้งคำถามว่าเธอจะได้มีโอกาสจัดงานแต่งตัวเองไหม หรือครูประจำชั้นประถมที่อยากหาคนมาช่วยเติมเต็มความสุข ถึงแม้แบ็คกราวน์พวกเขาจะแตกต่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องการหาคู่ชีวิต หลังจากลองทำมาทุกวิธี สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจให้แม่สื่อช่วยแทน

ซีรีส์ฉายให้เราเห็นภาพการทำงานของสิมา เริ่มด้วยการเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการตั้งแต่ประวัติส่วนตัว การศึกษา อุปนิสัยใจคอ และสเปกที่พวกเขาอยากได้ โดยเธอจะเดินทางไปพบพวกเขาที่บ้าน เพื่อสำรวจที่พักอาศัย เห็นวิถีชีวิต รวมถึงพูดคุยกับครอบครัวพวกเขาด้วย เพื่อให้ได้รู้จักตัวตนลูกค้าจริงๆ 

หลังจากเก็บข้อมูลเสร็จแม่สื่อสิมาก็จะนำข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดเก็บไว้ในแฟ้ม และวิธีจับคู่ของเธอ คือ ดูว่าคนไหนเหมาะสมกันจากข้อมูลที่มี จากนั้นก็จะส่งรายละเอียดให้แต่ละฝ่ายดูเบื้องต้นเพื่อตัดสินใจว่าอยากนัดเจอตัวไหม ถ้าพวกเขาเซย์เยสก็เข้าขั้นตอนไป คือ การนัดเจอตัวครั้งแรก หากเดทแรกผ่านไปด้วยดีและมีเดทครั้งต่อๆ ไปก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขาอาจมีโอกาสตกลงปลงใจกัน แต่หากเดทแรกไม่ผ่าน สิ่งที่สิมาต้องทำต่อ คือ จับคู่ใหม่ให้พวกเขา

เมื่อการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของ 2 ครอบครัว

สิ่งที่ดึงดูดให้เราตัดสินใจคลิกดูซีรีส์เรื่องนี้ คือ การแต่งงานของชาวอินเดีย ต้องบอกก่อนว่าความรู้เรื่องประเทศอินเดียของเรามีเท่าหางอึ่ง สิ่งที่เรามักได้ยินเวลาพูดถึงเรื่องการแต่งงานของคนอินเดีย คือ ต้องแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆ ไม่ได้หาคู่เองแต่เป็นครอบครัวที่จัดหาคู่ให้ ต้องเป็นคนที่อยู่ในวรรณะเดียวกันด้วย ฯลฯ

ซึ่งในอินเดิยการแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญในอินเดียมากตามหลักความเชื่อศาสนาฮินดู ศาสนาหลักของชาวอินเดียที่ระบุอาศรม 4* หลักการดำเนินชีวิต 4 ขั้น โดยขั้นที่ 2 คือ คฤหัสถ์ วัยที่สมควรออกเรือนและสร้างครอบครัว นั่นทำให้พวกเขาให้ความใส่ใจเรื่องการแต่งงาน 

the hindu businessline รายงานว่า ประชาชนอินเดียเต็มใจใช้จ่ายเงินออม 1 ใน 3 ไปกับการจัดงานแต่ง และอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมการจัดงานแต่งงานในอินเดียต่อปีประมาณ 25 – 30 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งบริบทชีวิตคู่ของชาวอินเดียที่ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดยังคงเหมือนที่เราได้ยินมาเพียงครึ่งหนึ่ง เพราะกาลเวลาที่เปลี่ยน ทำให้ค่านิยมของประชาชนเปลี่ยนตาม พวกเขาไม่จำเป็นต้องแต่งงานตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปีดี ไม่ต้องถูกจับแต่งงานโดยที่ไม่เคยเห็นหน้าคู่ตัวเอง 

“ที่อินเดียเราไม่พูดคำว่า ‘คลุมถุงชน’ มันมีแต่แต่งงานกับแต่งด้วยความรัก และการแต่งงานเป็นเรื่องของสองครอบครัว ที่มีหน้าตาและทรัพย์สินเป็นเดิมพัน พ่อแม่จึงต้องนำทางลูก และนั่นเป็นหน้าที่ของแม่สื่อ” สิมาอธิบาย

‘ครอบครัว’ ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกคู่ชีวิต สิมาไม่ได้ถามแค่ความต้องการของลูกค้า แต่รวมถึงความต้องการของครอบครัวด้วย และลูกค้าหลายคนพ่อแม่ก็มีส่วนและตัดสินใจเลือกคู่ชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องชนชั้นวรรณะ ชาติตระกูล การศึกษา และดวงชะตาที่เป็นปัจจัยในการเลือกคู่เช่นกัน

‘เลือกให้ตรงไปตั้งแต่แรกดีกว่า เพราะการมาปรับตัวทีหลังมันยาก’

อปารณา (Aparna)

เคสลูกค้าของสิมามีหลากหลาย แต่เคสหนึ่งที่จับความสนใจและทำให้เราเอาใจช่วยเธอ คือ อปารณา (Aparna) ทนายความสาวชาวอินเดีย วัย 34 ปี ด้วยบุคลิกที่มั่นใจในตัวเองสูงพอๆ กับสเปคชายในฝัน ทำให้สิมาหนักใจไม่น้อย จนเอ่ยปากว่าการหาคู่ให้อปารณาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่ และสมดังคำเธอ เพราะไม่ว่าสิมาจะหาผู้ชายมาให้เธอกี่คน อปารณาก็ไม่พอใจ ไม่ตลกเกินไป ก็ความทะเยอทะยานไม่มากพอที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอได้

ตอนดูแรกๆ เราก็คิดเหมือนสิมาว่าอปารณาเรื่องเยอะ ตั้งสเปคสูงเกิน แต่พอได้ดูชีวิตเธอไปเรื่อยๆ ทำให้เราเข้าใจเธอมากขึ้น อปารณาโตมากับแม่และพี่สาว แม่ของเธอเป็นผู้หญิงแกร่งที่พาลูกๆ มาตั้งหลักที่อเมริกาตั้งแต่พวกเขายังอายุยังไม่ 10 ปีดี แม่ของเธอเล่าว่าหลังจากก้าวเท้าแรกเหยียบอเมริกา ประโยคแรกที่เธอพูดกับลูก คือ ‘อย่าทำให้แม่ผิดหวังและอย่าทำให้แม่ขายหน้า’ พร้อมกับตั้งเป้าหมายชีวิตให้ลูก คือ ห้ามได้เกรดบีในใบเกรด และปริญญาต้องไม่ต่ำกว่า 3 ใบ นั่นคงจะพอบอกได้ว่าสภาพแวดล้อมที่อปารณาโตขึ้นมาเป็นอย่างไร หล่อหลอมให้เธอทะเยอทะยาน ต้องการแต่สิ่งที่ดีและสมบูรณ์แบบ

หลังจากหาคู่ให้อปารณาไม่ได้สักทีจนสิมาเริ่มท้อ เธอตัดสินใจลองเปลี่ยนทัศนคติของอปารณาด้วยการอธิบายว่า การเลือกชีวิตคู่ไม่ใช่เมนูอาหาร เราไม่สามารถเลือกได้ทั้งหมด และเรื่องที่เธอต้องการ (ให้ผู้ชายมี) ส่วนใหญ่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข แต่คือการปรับตัวและการประนีประนอมต่างหากที่จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุข แต่อปารณาไม่เห็นด้วย เธอตอบกลับว่า ‘ฉันไม่คิดว่ามีตรงไหนที่ต้องปรับ เปลี่ยน หรือพัฒนาเพื่อจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีของใคร’ อปารณารู้สึกว่าถ้าเธอมีสิทธิ์เลือกอะไรได้ เธอจะเลือกให้เต็มที่ เธอจะไม่กดดันตัวเองหรือเลือกอย่างจำใจ นั่นจึงเป็นที่มาของประโยคแรกในบทความนี้ 

ถ้าถามว่าการเลือกชีวิตคู่ต้องเลือกคนที่เหมือนหรือต่างกัน หรือการใช้ชีวิตคู่ต้องรู้จักประนีประนอม ปรับเปลี่ยนเข้าหากัน หรือคงไว้ซึ่งความเป็นตัวเอง คงไม่มีใครสามารถบอกได้ พอๆ กับคำถามที่ว่า เคล็ดลับอะไรที่ทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จ เพราะชีวิตคู่ไม่ใช่สูตรเลข ไม่มีทางตายตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้บอกเรา คือ ตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตคู่

เราขอปิดท้ายบทความด้วยบทสนทนาจากไลฟ์โค้ชที่สิมาส่งเคสหนึ่งไปพบเธอ เขาคนนั้นมีปัญหาไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการแต่งงานจริงๆ หรือที่อยากหาคู่เพราะถึงวัยที่ต้องมีแล้ว ซึ่งไลฟ์โค้ชก็บอกเธอว่า

“คุณคิดว่าคุณรู้จักตัวเองดีหรือเปล่า? ปัญหาความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อคนเราไม่ได้นั่งทำความเข้าใจตัวเอง ยิ่งรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ก็ง่ายที่จะพูดความต้องการออกไป อย่าลืมมองคุณค่าตัวเอง คุณต้องใช้เวลาหันกลับใส่ใจตัวเองบ้าง”

อ้างอิง
Newdelhi.thaiembassy
the hindu businessline

Tags:

ความรักซีรีส์ความสัมพันธ์

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy lifeRelationship
    ความรักคืออะไร: รู้จัก เข้าใจ และรักใครสักคน

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า
Voice of New GenCreative learning
22 January 2021

กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การเพิกถอนสิทธิในที่ดินทำกิน ทำให้เยาวชนบ้านแม่ปอคี แม่อมยะ และซอแขระกลา อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก รวมกลุ่มทำโครงการการใช้กีฬาสร้างพลังร่วมเครือข่ายเยาวชนเทือกเขาเบอบาตู ใช้กีฬาพื้นบ้านเพื่อรักษารากเหง้าและสร้างความเข้มแข็งในกลุ่ม
  • “เคยมีกรณีเจ้าหน้าที่เข้าไปในชุมชนของผม (บ้านแม่ปอคี) วันนั้นกลุ่มเยาวชนประชุมกันอยู่ เลยขอแรงขึ้นไปช่วยกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจชุมชนของผม กลุ่มเบอบาตูช่วยอธิบายให้ชาวบ้านฟัง เพราะปกติชาวบ้านจะกลัวเจ้าหน้าที่ พอเราลุกขึ้นมาแบบนี้เจ้าหน้าที่ก็เห็นว่า หมู่บ้านนี้มีการรวมกลุ่ม กล้าโต้ตอบ สร้างความเกรงให้เขา เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ ที่ผ่านมาเวลาเจ้าหน้าที่เข้ามาในชุมชนมักไม่เห็นหัวพวกเรา” ปราโมทย์ เวียงจอมทอง หนึ่งในตัวแทนเยาวชนโครงการ

ร้อยกว่าปีกับการอยู่อาศัยในเขตป่า โดยที่ทรัพยากรธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์ คือภูมิทัศน์ที่ทำให้เยาวชนปกาเกอะญอ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ลุกขึ้นมารวมกลุ่มเรียกร้องสิทธิในการใช้ชีวิตบนแผ่นดินเกิด        

“ชาวบ้านแทบฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เพราะการศึกษาเข้ามาไม่ถึงบ้านของเรา แต่เรามีบัตรประชาชน ยืนยันได้ว่าเราอาศัยอยู่ที่นี่และเป็นคนไทยเหมือนกัน เราเกิดและใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ ถ้าพวกเราไม่ลุกขึ้นมาให้ความรู้แก่ชาวบ้าน มันก็จะเป็นปัญหา ต่อไปวันหนึ่งเราอาจต้องอพยพออกไปจากชุมชนของตัวเอง”

เทือกเขาเบอบาตู หรือ “เบ๊อะบละตู” ตามสำเนียงภาษากะเหรี่ยง “บละตู” หมายถึง เทือกเขาหลายลูกที่อยู่ซ้อนกัน เป็นชื่อเรียกแนวเทือกเขาถนนธงชัย แถบอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก

ท่ามกลางความสวยงามของทิวเขา ยอดดอย และทะเลหมอกที่รับกับแสงอาทิตย์ ไล่เฉดสีชมพูไปจนถึงสีส้มระเรื่อทาบขอบฟ้าในยามเช้า เบื้องล่างผืนดินบางส่วนตีนดอยเบอบาตูแถบบ้านแม่ปอคี แม่อมยะ และซอแขระกลา อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ชาวบ้านกำลังเผชิญหน้ากับ การเพิกถอนสิทธิในที่ดินทำกิน ที่กำลังประกาศขึ้นเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ

นี่เป็นเหตุผลให้เยาวชนในพื้นที่ บ้านแม่ปอคี บ้านแม่อมยะ บ้านซอแขระกลา บ้านปอเคลอะเด บ้านเคาะทีโค๊ะ บ้านปางทอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ชุมชนกะเหรี่ยง 6 หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตตามลุ่มน้ำหุบเขาของดอยเบอบาตู ซึ่งมีเชื้อสายเครือญาติร่วมกันระหว่างหมู่บ้าน รวมกลุ่มทำ โครงการการใช้กีฬาสร้างพลังร่วมเครือข่ายเยาวชนเทือกเขาเบอบาตู

จักรพล มรดกบรรพต อายุ 24 ปี จากบ้านปอเคอะเด และ ปราโมทย์ เวียงจอมทอง อายุ 24 ปี จากบ้านแม่ปอคี เป็นตัวแทนเยาวชนกลุ่มเบอบาตู มาร่วมพูดคุยกับ The Potential 

เยาวชนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายพลังเยาวชน จังหวัดตาก พวกเขาเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการซึ่งดูเหมือนเป็นจังหวะของความบังเอิญที่เหมาะเจาะ ให้ได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชุมชนของตนเอง

จักร เล่าว่า เป้าหมายของโครงการเป็นไปตามชื่อโครงการ พวกเขาต้องการใช้กีฬาเป็นสื่อกลาง สร้างพลังรวมกลุ่มเยาวชนทั้ง 6 หมู่บ้าน สืบสานภูมิปัญญาด้านกีฬาที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ด้วยการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับกีฬาพื้นบ้าน และจัดกิจกรรมกีฬาในชุมชน  เป็นพื้นที่ให้เด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ใหญ่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันผ่านการเล่นกีฬา

แต่ไม่ทันได้เริ่มทำกิจกรรม กลับเจอปัญหาเข้าเสียก่อน!!

ปัญหาที่ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากขาดความเข้มแข็งของคนในชุมชน ย่อมนำมาสู่การล่มสลายของชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน

  • จักรพล มรดกบรรพต
  • ปราโมทย์ เวียงจอมทอง

พื้นที่ของชุมชนทั้ง 6 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านชาติพันธุ์ปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานมานานกว่า 150 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สมัยนั้นยังเป็นป่าลึกที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ชีวิตเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่นบนผืนดินแห่งเดิม การพัฒนาจากภายนอกคืบคลานเข้ามาจนทำให้พื้นที่แห่งนี้สามารถเข้าถึงได้ แต่ก็ยังไม่ง่ายนักเพราะสภาพภูมิประเทศมีความลาดชันและถนนหนทางยังไม่ได้สะดวกสบาย

ปัจจุบันบางส่วนในชุมชนของพวกเขากำลังจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแม่เงา ที่มีอาณาเขตอยู่ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดตาก ไม่ว่าเหตุผลเกิดจากการเป็นหมู่บ้านชายขอบที่ตกสำรวจ หรือเกิดจากการไม่ได้สนใจและใส่ใจของหน่วยงานราชการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตของปกาเกอะญอในพื้นที่ดังกล่าว

“เคยมีกรณีเจ้าหน้าที่เข้าไปในชุมชนของผม (บ้านแม่ปอคี) วันนั้นกลุ่มเยาวชนประชุมกันอยู่ เลยขอแรงขึ้นไปช่วยกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจชุมชนของผม กลุ่มเบอบาตูช่วยอธิบายให้ชาวบ้านฟัง เพราะปกติชาวบ้านจะกลัวเจ้าหน้าที่ พอเราลุกขึ้นมาแบบนี้เจ้าหน้าที่ก็เห็นว่า หมู่บ้านนี้มีการรวมกลุ่ม กล้าโต้ตอบ สร้างความเกรงให้เขา เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ ที่ผ่านมาเวลาเจ้าหน้าที่เข้ามาในชุมชนมักไม่เห็นหัวพวกเรา” ปราโมทย์ เล่า

“เราได้เจอกับสถานการณ์ด้วยตัวเอง เป็นแรงขับให้พวกเราทั้ง 6 ชุมชนรวมกลุ่มกันเพื่อเป็นตัวแทนชาวบ้าน เป็นตัวกลางในการเจรจากับรัฐ จากหมู่บ้านเดียวขยายรวมกับหมู่บ้านอื่นเกิดเป็นเครือข่าย หมู่บ้านผม (ปอเคลอะเด) มีคนพูดภาษาไทยได้อยู่ไม่ถึง 20 คน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเห็นทุกหมู่บ้านมีสำนักงานชุมชน เพราะหมู่บ้านแต่ละแห่งตั้งอยู่กันคนละทิศคนละทาง ชุมชนไหนมีปัญหาจะได้เข้าไปปรึกษา ถูกจุด ถูกคน ถูกกลุ่ม มีตัวตนและเป็นที่พึ่งพาให้ชาวบ้าน สร้างความเข้มแข็งจากในชุมชนเอง” จักร ขยายความ

“มานึกๆ ดู วันนั้นพวกเราได้ขึ้นไปเจรจากับเจ้าหน้าที่เพราะกำลังประชุมกลุ่มกันอยู่พอดี ถ้าไม่มีการประชุม เราคงไม่ได้ขึ้นไปช่วย” ปราโมทย์ กล่าวเสริม

กีฬารวมใจ สร้างมิตรภาพ

โครงการการใช้กีฬาสร้างพลังร่วมเครือข่ายเยาวชนเทือกเขาเบอบาตู นอกจากช่วยสร้างการรวมกลุ่มของเด็กและเยาวชนปกาเกอะญอไม่ให้หลงลืมรากเหง้าของตัวเองแล้ว ระหว่างเส้นทางการเรียนรู้ยังช่วยสร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนมีความเชื่อมั่นในพลังของเด็กและเยาวชนมากขึ้น 

“ก่อนหน้านี้ในกลุ่มเยาวชนเอง พวกเราบางคนยังแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ” จักร เอ่ยขึ้น แล้วเล่าต่อว่า เดิมทีผู้ใหญ่บางชุมชนไม่เห็นด้วยกับการรวมกลุ่มของเยาวชน  ตั้งคำถามกับการทำกิจกรรมของเยาวชนว่า ทำไปทำไม? เพื่ออะไร? สงสัยไปถึงขนาดว่า กลุ่มเยาวชนทำงานให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือเปล่า ความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นอุปสรรคที่บั่นทอนจิตใจ แต่ทีมงานก็แก้ปัญหาด้วยการอธิบาย ให้ข้อมูลและลงมือทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจ ทำให้การทำกิจกรรมของพวกเขามีพลัง เปิดพื้นที่ให้กลุ่มเยาวชนได้มีโอกาสพูดคุย และทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่ในชุมชนมากกว่าแต่ก่อน

ปราโมทย์ เล่าถึงวิธีการทำงานว่า กิจกรรมแรกที่ทำ คือ การประชุมทีมงานที่เป็นแกนนำจากทั้ง 6 หมู่บ้าน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามความถนัดและความสมัครใจ หลายคนได้เรียนรู้จากการทำงานจริง สิ่งไหนไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ก็ได้ลงมือฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง

เยาวชนเบอบาตูแต่ละหมู่บ้านลงพื้นที่สอบถามข้อมูลชุมชนจากคนเฒ่าคนแก่ เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับชุมชนและกีฬาพื้นบ้านปกาเกอะญอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พวกเขาช่วยกันออกแบบแผนที่ทำมือแสดงพิกัดของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อให้เห็นภาพรวมของพื้นที่ ทำปฏิทินกิจกรรมของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อศึกษาการละเล่นและประเพณีที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาสรุปผล วิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อออกแบบกิจกรรมกีฬาชุมชน

จักรและปราโมทย์บอกว่า การทำโครงการเกี่ยวข้องกับกีฬาพื้นบ้านมีความท้าทาย เพราะเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ไม่ให้ความสนใจ พวกเขาจึงต้องประยุกต์กิจกรรมผสมผสานทั้งการละเล่นแบบเก่าและแบบใหม่ เพื่อสร้างความสนุกสนาน ขณะเดียวกันยังสามารถดึงเยาวชนให้รวมกลุ่มด้วยกันได้ การแข่งขันกีฬาฟุตซอลเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้น 

พวกเขาใส่ความเท่าเทียมลงไปในกีฬา ให้แต่ละทีมส่งผู้เล่น 5 คน ที่ประกอบด้วย ผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 3 คน โดยไม่แบ่งแยก เพราะเชื่อว่าผู้หญิงมีศักยภาพและมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่ต่างจากผู้ชาย

“กีฬาและการละเล่นแต่ละชนิด มีที่มาที่ไป มีความหมาย นอกจากได้เล่น เราได้ให้ความรู้น้องๆ เช่น การยิงลูกสะบ้า ขาหยั่ง หนังสติ๊กคันธนูยิงลูกก้อนดิน กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำวิ่งแข่งกัน ในอดีตคนปกาเกอะญอไม่มีแกลลอนน้ำ แต่ใช้กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ ข้อมูลหลายอย่างพวกเราเองไม่เคยรู้มาก่อน กีฬาบางชนิดมีเรื่องของความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย บางชนิดก็เล่นตามฤดูกาล หรือเวลาเราจะตัดต้นไม้ ตัดไม้ไผ่มาใช้งาน เรามีความเชื่อว่าต้องขอขมาเจ้าของต้นไม้ก่อน

พวกเราอยากเห็นน้องๆ ในชุมชนกลับมาเรียนรู้และสนใจวิถีชีวิต ภูมิปัญญา วัฒนธรรมและความเป็นปกาเกอะญอเหล่านี้ แล้วสามารถเผยแพร่และสร้างความเข้าใจให้คนภายนอกรับรู้อย่างถูกต้องว่า คนปกาเกอะญอไม่ได้ทำลายป่า ไร่หมุนเวียนไม่ได้ทำลายป่า และเราอยู่กับป่าได้อย่างไร การที่เราจะรวมกลุ่มคนรุ่นใหม่ในชุมชนได้ ที่ผ่านมาเราเห็นว่าต้องใช้เรื่องกีฬาและการละเล่นเข้ามาช่วยดึงความสนใจ” ปราโมทย์ เล่า

“เคยเห็นน้องบางคนออกไปเรียนนอกชุมชน แล้วกลับมาดูถูกวิถีชีวิตของปกาเกอะญอ เลยอยากให้น้องๆ รุ่นหลังได้เรียนรู้ จะได้เข้าใจ ไม่ลืมและไม่รังเกียจวิถีชีวิตตัวเอง” จักร กล่าว

ชุมชนแต่ละแห่งตั้งอยู่ในทำเลที่ห่างไกลกัน การเดินทางสัญจรลำบาก ถนนเข้าหมู่บ้านเป็นพื้นที่ลาดชัน ส่วนใหญ่เป็นถนนดินลูกรัง ยิ่งฤดูฝนด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง ดินโคลนทำให้การเดินทางค่อนข้างอันตราย บางครั้งเส้นทางถูกตัดขาด สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย และบางพื้นที่ยังไม่มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม กลุ่มแกนนำเยาวชนได้พยายามจัดสรรเวลาเจอกันอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อติดตามการทำงานและหารือปัญหาเร่งด่วนต่างๆ

“พวกเราอยากเจอกันให้มากกว่านี้ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง ผมเมื่อก่อนเรียนอยู่เชียงใหม่ ตอนนี้น้องๆ หลายคนก็เรียนอยู่นอกชุมชน แต่ถึงไม่ได้เจอกันก็ยังคุยกันในแชทกลุ่ม ยิ่งมาเจอปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เรายิ่งมีเรื่องคุยกันได้ไม่สิ้นสุด” จักร กล่าว

แน่นอนว่าระหว่างการทำโครงการย่อมมีปัญหาเกิดขึ้น แกนนำเยาวชนเบอบาตู บอกว่า พวกเขาเน้น ‘การทำงานเป็นทีม’ ‘เปิดใจ’ และ ‘ไว้วางใจ‘ ซึ่งกันและกัน นอกจากช่วยสร้างความเข้มแข็งภายในทีมแล้ว ยังเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องได้เห็น

“ถ้ามีปัญหา เราคุยกันต่อหน้าเลยครับ ไม่เอาไปพูดให้คนอื่นฟัง เพราะเราต้องสร้างความไว้วางใจกัน เปิดอกเปิดใจ แล้วจะไม่โกรธกันเลยเพราะแป๊บเดียวก็ปรับตัวได้” จักร กล่าว 

“สิ่งที่เราทำ น้องๆ ในชุมชนชื่นชม เห็นความกล้าหาญของรุ่นพี่ บอกกับพวกเราว่าจะตามมาทำงานกับพวกเราด้วย เป็นอีกกำลังใจและเป็นเหตุผลให้พวกเราเดินหน้าต่อ เพราะไม่อยากทิ้งพวกเขา ถ้าไม่มีน้องๆ พวกเราคงไม่มีกำลังใจแบบนี้ ส่วนน้องๆ มีพี่นำก็มีพลังขับเคลื่อนตามไปด้วย”

“เรามีมิตรภาพเป็นพื้นฐาน บางทีเครียดหนักให้กำลังใจพูดคุยกัน กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สุด ทำให้ทีมเราอยู่ต่อ หลายครั้งพวกเราถูกมองในแง่ลบ ท้อจนไม่รู้กี่รอบ เคยคิดเหมือนกันว่าเลิกเลยไม่ต้องทำแล้ว แต่พอได้กลับมาเจอกัน ได้คุยปัญหา หาทางออก ก็มีกำลังใจขึ้นมาอีก พวกเรามีอุดมการณ์และมองที่เป้าหมาย การทำโครงการลักษณะนี้ไม่ได้เป็นแค่การทำงาน แต่ผมได้เรียนรู้ด้วย ได้เข้าใจรากเหง้า วิถีชีวิตของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ผมได้เรียนจากโรงเรียนข้างนอก” ปราโมทย์ เสริม

‘ไร่หมุนเวียน’ ไม่ใช่ ‘ไร่เลื่อนลอย’ และไม่ใช่การทำลายป่า

จากการสำรวจและการวิจัยเชิงวิชาการ ยืนยันชัดเจนว่า ระบบการทำไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอไม่ใช่ไร่เลื่อนลอยที่ทำลายป่าไม้ พื้นที่ทำไร่หมุนเวียนไม่ใช่แค่ไร่ทำการเกษตร ที่คนข้างล่างมองขึ้นมาเห็นเหมือนภูเขาหัวโล้น แต่เป็นระบบการดูแลจัดการทรัพยากรธรรมชาติระหว่างคนกับป่า

คำว่า “หมุนเวียน” มาจากวัฎจักรการใช้สอยพื้นที่เพื่อทำเกษตรกรรมไปพร้อมๆ กับการดูแล รักษา และพื้นฟูพื้นที่อื่นๆ ที่มีอยู่ วัฎจักรของไร่หมุนเวียน จึงประกอบไปด้วย หนึ่ง ไร่ทำกินที่ใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน สอง ไร่ที่กำลังฟื้นฟู ดูแลให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์จนกลายเป็นป่า หรือที่เรียกว่า “ไร่เหล่า” (Secondary Forest) ซึ่งชาวบ้านให้เวลาผืนดินพักฟื้นอย่างน้อย 7 ปี จนกลับมาเป็นพื้นที่สีเขียวที่อุดมสมบูรณ์เช่นเดิม และ สาม ป่าชุมชน พื้นที่จิตวิญญาณที่มีข้อตกลงร่วมกันในชุมชนว่าเป็นผืนป่าที่ห้ามตัดไม้มาใช้ประโยชน์

งานวิจัย พบว่า ไร่เหล่าแต่ละจุดมีความหลากหลายของพันธุ์พืชต่างกันไปตามระยะเวลาฟื้นฟู บางพื้นที่พบต้นไม้ถึง 242 ชนิด และมีลูกไม้ถึง 345 ชนิด เป็นแหล่งอาหารชั้นดีและเป็นที่หลบภัยของสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์มีกีบ เช่น หมูป่า ที่ตามธรรมชาติไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าทึบ

1 ใน 3 ของนกในประเทศไทย หรือประมาณ 300 สปีชีส์ จาก 900 สปีชีส์ เป็นนกที่อาศัยอาหารจากไร่นา (Farmland Bird) จากแปลงไร่หมุนเวียน ที่สำคัญชาวปกาเกอะญอมีทักษะและความรู้เรื่องการทำแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไฟไหม้ลุกลามเข้าป่า พวกเขาเป็นด่านหน้าเข้าจัดการกับไฟป่าก่อนใครเสมอ เพราะเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งหมดนี้เป็นองค์ความรู้ที่อยู่ในวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ และถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเกื้อกูลกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์

แต่สิ่งที่กลับถูกหยิบยกมาพูดถึงเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด และสร้างความเข้าใจผิดอย่างมหาศาลมาจนถึงปัจจุบัน

“หลักของการตัดต้นไม้ที่คนพื้นราบมองขึ้นมาแล้วคิดว่าต้นไม้ตาย ความเป็นจริงไม่ใช่เลยนะครับ เพราะต้นไม้ไม่ได้ถูกตัดจนถึงราก เราตัดเพื่อให้ไม้งอกขึ้นมาใหม่ได้ ตัดต้นเดียวสามารถแตกงอกออกมาได้อีก 4-5 ต้น ส่วนการทำไร่หมุนเวียนของทั้งหมู่บ้าน แต่ละปีเราทำรวมกันแค่เพียงผืนเดียว แล้วทำแนวกันไฟให้พื้นที่อื่นๆ ทั้งหมดโดยรอบเพื่อป้องกันไฟป่า 

การใช้ชีวิตกับธรรมชาติของชาวปกาเกอะญอ ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ แต่เราให้ความเคารพธรรมชาติ ถ้าวิถีชีวิตของเราทำลายป่าจริง อยู่มาร้อยกว่าปีขนาดนี้ ป่าคงไม่เหลืออยู่แล้ว” ปราโมทย์ อธิบาย

“เกิดมาผมรู้ว่าเราเติบโตมากับอะไร ถ้าไม่มีข้าว ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดิน ไม่มีฝน ไม่มีอากาศให้หายใจ ผมจะเกิดมาได้ยังไง มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าต้นข้าวที่มีให้กิน ถ้าไม่ปลูกคงไม่ขึ้นมา ป่าที่มีถ้าไม่รักษาก็คงไม่มีให้เห็น ผมจึงต้องรักษา ต่อยอดเพื่อดูแลให้คงอยู่” จักร กล่าว

การจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของชุมชน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ชุมชนท้องถิ่นยังคงขาดสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิชุมชน ขาดการสนับสนุนจากรัฐและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาแม้มีความพยายามสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ แต่ชาวเขาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยยังคงตกเป็นจำเลยทางสังคม หนำซ้ำยังถูกตีตราและยังแบ่งแยกความเป็นชาวเขาชาวเราอยู่เสมอ

ปกาเกอะญอและชาวเขาในหลายพื้นที่อาศัยอยู่กับป่ามาเป็นเวลานับร้อยปี มีภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่ทำให้พวกเขาอยู่กับป่าได้อย่างพึ่งพิงอาศัยไม่ใช่ผู้ทำลาย การลุกขึ้นมารวมกลุ่มของเยาวชนเบอบาตู ส่งพลังไปถึงชาวบ้านในชุมชน ทำให้พวกเขายืนหยัดเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐ ขอกันเขตพื้นที่ชุมชนออกจากพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติแม่เงา

“โซนบ้านผมโดนป่าสงวนทั้งหมดเลยตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ที่ผ่านมาไม่มีชาวบ้านกล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้ตัวเอง แต่ปัจจุบันเราเท่าทันข่าว ทันเหตุการณ์รอบตัว เป็นเยาวชนกลุ่มแรกที่รวมกลุ่มกันอย่างจริงจังลุกขึ้นมายืนยันกับรัฐ ชุมชนเรากำลังเผชิญปัญหา ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาก่อนคงไม่มีใครทำ ผมว่าแต่ละชุมชนมีปัญหาต่างกัน แต่ไม่มีใครรู้จักปัญหาดีเท่าคนในชุมชนเอง” ปราโมทย์ กล่าว

“โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมมีเหตุผลมากขึ้น รู้จักการทำงานอย่างมีแบบแผน ทำให้ผมเข้าใจปัญหา และสามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจสิ่งที่ชุมชนต้องการได้ ไม่ใช่แค่เพราะต้องการต่อต้านหรือเอาชนะ” จักร กล่าวทิ้งท้าย

ตัวอย่างการละเล่นพื้นบ้านปกาเกอะญอจากการสำรวจโดยกลุ่มเบอะบาตู

อูแกว่
แต่เดิมตอนเช้าก่อนออกไปไร่ จะใช้เครื่องอูแกว่เป่าปลุกและให้สัญญาณคนในหมู่บ้านว่าถึงเวลาไปไร่แล้ว ตามธรรมเนียมผู้ชายเป็นคนเป่า เป็นเสียงปลุกใจในการทำงาน

สไลเดอร์ดอย
เป็นกุศโลบายในการชวนลูกน้อยไปไร่ เนื่องจากบ้านของชาวบ้านอยู่บนดอยและมีไร่อยู่ตีนดอย ตอนไปไร่แม่จะหาไม้ไผ่ท่อนหนึ่งเป็นของเล่นให้ลูกนั่ง ไหลลงจากดอยตามแม่ไปทำไร่ ทำให้เกิดความสนุกสนานจนอยากไปไร่กับแม่อีก
โครงการการใช้กีฬาสร้างพลังร่วมเครือข่ายเยาวชนเทือกเขาเบอบาตู เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองผ่านการพัฒนาศักยภาพการวิจัยให้แก่เยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก ดำเนินการโดย วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ จังหวัดตาก สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

สิ่งแวดล้อมปกาเกอะญอชาติพันธุ์active citizen

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย ในห้องเรียนที่กว้างเท่าผืนป่า : ‘ครูหนุ่ม-นิติศักดิ์’ ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Character buildingCreative learning
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว
22 January 2021

Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ชวนอ่าน Juno ภาพยนตร์วัยรุ่นท้องไม่พร้อมคลาสสิคอีกครั้ง ในวันที่เราเพิ่งผ่านกฎหมายร่างกฎหมายทำแท้งที่อายุครรภ์ไม่ถึง 12 สัปดาห์
  • “ถึงพ่อแม่ของจูโน่จะตกใจแต่ทั้งสองก็ดูมีสติ ใจเย็น ตั้งใจรับฟังเธออย่างดี พ่อถามว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องและก็บอกว่าจะไปเป็นเพื่อนตอนที่เธอต้องไปคุยกับครอบครัวบุญธรรม เพราะยังไงเธอก็ยังเด็ก พ่อไม่อยากเห็นว่าเธอถูกหลอก ส่วนแม่ก็เป็นห่วงว่าเธอจะรีบตัดสินใจเกินไปมั้ย แต่ก็เคารพการตัดสินใจของจูโน่และรับบทเป็นนางดูแล บอกว่าเธอจะต้องทำยังไงบ้างต่อจากนี้ เธอจะต้องเริ่มเฮลตี้ กินวิตามิน และเดี๋ยวต้องไปฝากท้องกับหมอนะจะได้รู้วันคลอด”

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นมายาคติการเป็นแม่พิมพ์พาพ์ความสัมพันธ์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    หน้าที่ของวัยรุ่นคือ ไม่ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต
Early childhoodFamily Psychology
22 January 2021

พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทฤษฏี ‘พันธะทางอารมณ์’ (Emotional bonding) โดยจอห์น โบลบี เชื่อว่าพันธะทางอารมณ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ลูก จะส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของลูกที่มีกับคนอื่นในอนาคตด้วย โดยเฉพาะมีผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์กับคนรักของเขา 
  • พัฒนาการความสัมพันธ์ในเด็กทารกแบ่งได้เป็น 4 ขั้น ได้แก่ ขั้นก่อนสร้างความสัมพันธ์ (Pre-Attachment Stage), ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูหลักกับผู้เลี้ยงดูรอง (Indiscriminate Attachment), ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูกับคนแปลกหน้า (Discriminate Attachment) และ ขั้นสร้างความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ (Multiple Attachments)
  • ในทารกวัย 3 เดือน ไปจนถึง 7 เดือน จะเริ่มแสดงความต้องการที่มีต่อผู้เลี้ยงดูที่แตกต่างกัน เขารับรู้ได้ว่าใครเป็นผู้เลี้ยงดูหลัก ใครเป็นผู้เลี้ยงดูรอง วัดจากใครเข้ามาดูแลตอบสนองและใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด วัยนี้ยังคงไม่แยกแยะว่าใครเป็นคนแปลกหน้า ใครเป็นพ่อหรือแม่เขา แต่เขาจะติดคนที่อยู่กับเขามากที่สุด หากเด็กวัยนี้อยู่กับใครมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นจะแนบแน่นกับบุคคลดังกล่าว

หลายคนพบว่าความรักความสัมพันธ์ที่เรามีในวันนี้ ต่างมีผล (กระทบ) มาจากตัวอย่างความสัมพันธ์ของพ่อแม่ในวัยเด็ก หรือความรักความสัมพันธ์ที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเรา 

ยังมีคำอธิบายที่ลึกลงไปกว่านั้นอีกว่า ทุกความสัมพันธ์ (ไม่เฉพาะคู่รัก) ที่เรามีกับใครอื่น มีต้นตอมาจากชีวิตแรกเกิด (1 – 18 เดือน) ทฤษฏีนั้นเรียกว่า ‘พันธะทางอารมณ์’ (Emotional bonding) โดยจอห์น โบลบี (ผู้เป็นที่รู้จักในแง่ผู้สร้างทฤษฎีความผูกพัน Attachment Theory) 

Emotional bonding เชื่อว่าพันธะทางอารมณ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่ลูก จะส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของลูกที่มีกับคนอื่นในอนาคตด้วย โดยเฉพาะมีผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์กับคนรักของเขา 

ความสัมพันธ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เลี้ยงดูกับเด็กทารกช่วยเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอดของเด็กทารกมากขึ้น โดยสัญชาตญาณของเด็กทารกที่เกิดมาจึงพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู (โดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นพ่อหรือแม่) ด้วยการเกาะติดและแสดงออกถึงความต้องการให้เลี้ยงดู เช่น การร้องไห้ให้อุ้ม ให้มาสัมผัส ให้นม และอื่นๆ

นักวิจัย Rudolph Schaffer และ Peggy Emerson (1964) ได้ศึกษาเด็กทารกจำนวน 60 คน ผ่านการเข้าไปสังเกตการณ์พฤติกรรมของเด็กทารกทุกคน ทุกๆ 4 สัปดาห์/ครั้ง ตลอด 1 ปีแรกของชีวิต และอีกครั้งหลังจากเด็กๆ ทุกคนอายุครบ 18 เดือน จากการสังเกตการณ์ระยะยาวครั้งนี้ ทำให้พบว่า เด็กๆ มีพัฒนาการความสัมพันธ์แบ่งเป็น 4 ขั้นด้วยกัน 

  1. ขั้นก่อนสร้างความสัมพันธ์ (Pre-Attachment Stage)
  2. ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูหลักกับผู้เลี้ยงดูรอง (Indiscriminate Attachment)
  3. ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูกับคนแปลกหน้า (Discriminate Attachment)
  4. ขั้นสร้างความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ (Multiple Attachments)

ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนสร้างความสัมพันธ์ (Pre-Attachment Stage)

เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัย 3 เดือน เขาจะไม่แสดงความต้องการสร้างความสัมพันธ์แบบเฉพาะเจาะจงกับผู้เลี้ยงดูคนไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อหรือแม่ เป็นใครก็ได้ที่เข้ามาอุ้มและดูแล เขาจะไม่ต่อต้านใดๆ เด็กวัยนี้จะแสดงออกผ่านการร้องไห้หรือส่งเสียงร้องอ้อแอ้ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เลี้ยงดูให้มาดูแลเขาใกล้ๆ และตอบสนองเขา ซึ่งเด็กวัยนี้ต้องการความสนใจแทบจะตลอดเวลา

ดังนั้นวัยนี้ไม่มีคำว่า ‘อุ้มมากไป’ หรือ ‘ติดมือ’ เด็ดขาด เพราะธรรมชาติสร้างให้เขาต้องเรียกร้องให้เราเข้าไปใกล้ตอบสนองเขา เพื่อให้เขาได้พัฒนาความไว้วางใจขึ้นมา (Trust buiding) 

ขั้นที่ 2 ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูหลักกับผู้เลี้ยงดูรอง (Indiscriminate Attachment)

พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้น โดยขั้นที่ 2 คือ ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูหลักกับผู้เลี้ยงดูรอง (Indiscriminate Attachment)

ทารกวัย 3 เดือน ไปจนถึง 7 เดือน จะเริ่มแสดงความต้องการที่มีต่อผู้เลี้ยงดูที่แตกต่างกันแล้วเขารับรู้ได้ว่า ใครเป็นผู้เลี้ยงดูหลัก ใครเป็นผู้เลี้ยงดูรอง วัดจากใครเข้ามาดูแลตอบสนองและใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด วัยนี้ยังคงไม่แยกแยะว่าใครเป็นคนแปลกหน้า ใครเป็นพ่อหรือแม่เขา แต่เขาจะติดคนที่อยู่กับเขามากที่สุด

ด้วยเหตุนี้เอง หากเด็กวัยนี้อยู่กับใครมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นจะแนบแน่นกับบุคคลดังกล่าว หากพ่อแม่เลี้ยงเขาเอง เขาจะติดเรา แต่ถ้าให้คนอื่นเลี้ยงเด็กจะติดคนนั้นมากกว่าเรา

ขั้นที่ 3 ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูกับคนแปลกหน้า (Discriminate Attachment)

พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้น โดยขั้นที่ 3 คือ ขั้นแยกแยะระหว่างผู้เลี้ยงดูกับคนแปลกหน้า (Discriminate Attachment)

ทารกวัย 7 – 11 เดือน เขาจะเริ่มแสดงออกถึงความต้องการและติดกับผู้เลี้ยงดูหลักของเขา จะเริ่มไม่ยอมให้ใครก็ได้มาอุ้ม และต่อต้านที่จะให้คนแปลกหน้ามาจับตัว ที่สำคัญเป็นช่วงวัยที่เกิดความวิตกกังวลเมื่อต้องแยกจากจากผู้เลี้ยงดูหลักของเขา (Seperation anxiety) และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมีคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่รอบตัวเขา (Stranger anxiety)

จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กจะร้องไห้ทันทีเมื่อเราทิ้งเขาไว้กับคนอื่นที่เขาไม่คุ้นเคย หรือเด็กจะไม่ยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ อีก ดังนั้น ถ้าพ่อหรือแม่ที่ฝากลูกไว้ให้คนอื่นเลี้ยงในช่วงวัยนี้มาตลอด โดยไม่ได้ไปหาเขาบ่อยๆ หรือให้ลูกได้เห็นหน้าเรา เราอาจกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูก ถ้าอยากให้ลูกเชื่อใจ ควรค่อยๆ เข้าไปอยู่ในชีวิตเขาให้มากขึ้น เริ่มจากนั่งใกล้ๆ เล่นใกล้ๆ และใช้เวลากับเขาจนเด็กเริ่มชินกับเรา จึงค่อยเข้าไปอุ้มสัมผัสเขา

ทางเลือกของพ่อแม่ทางไกล คือ การไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ หรือ ใช้วิดีโอคอลหาลูกเป็นประจำเวลาเดิม สม่ำเสมอ ระยะเวลาไม่ต้องยาว เพราะเด็กวัยนี้ไม่ควรใช้หน้าจอหากไม่จำเป็น

ขั้นที่ 4 ขั้นสร้างความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ (Multiple Attachments)

พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้น โดยขั้นที่ 4 คือ ขั้นสร้างความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ (Multiple Attachments)

ทารกวัย 9 เดือนขึ้นไปจะเริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้เลี้ยงดูหลักของเขาได้แล้ว เขารับรู้ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงดูหลักแตกต่างจากคนอื่นในชีวิตเขา ดังนั้น เด็กวัยนี้สามารถสร้างและแยกแยะความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นกับคนอื่นๆ ได้ เช่น ความสัมพันธ์กับปู่ย่าตายาย พี่น้อง ลุงป้าน้าอา เป็นต้น

เด็กวัยนี้จึงแสดงออกกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นกับบุคคลดังกล่าว เช่น อยู่กับแม่เด็กอาจจะทำตัวทะเล้น อยู่กับปู่ย่าอาจจะเข้าไปอ้อน และอยู่กับพี่น้องอาจจะแสดงออกเป็นผู้ควบคุม เป็นต้น

อ่านบทความต่อได้ที่ ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

Tags:

The Untold Storiesแบบแผนทางความสัมพันธ์ทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)ความสัมพันธ์

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    Wednesday’s child : แค่ความรักที่พร่อง (ของพ่อแม่) ไม่ได้ทำให้เด็กสูญเสียคุณค่า

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel