Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2020

“ต่างครอบครัว แต่รักเหมือนกัน” อีเวนต์ของเด็กประถมไอร์แลนด์เทศกาล Dublin Pride Week
Education trend
30 June 2020

“ต่างครอบครัว แต่รักเหมือนกัน” อีเวนต์ของเด็กประถมไอร์แลนด์เทศกาล Dublin Pride Week

เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Different Families, Same Love โปรเจกต์ที่ชวนเด็กประถมไอร์แลนด์มาจัดโชว์เคสต์ประเด็นความหลากหลายทางเพศ กิจกรรมนี้จัดโดยกลุ่มครูผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศจากองค์การครูแห่งชาติไอริช (INTO LGBT+ Teachers’ Group)
  • ในผลงานของเด็กๆ ที่ส่งประกวดนั้นมีการสื่อสารเกี่ยวกับความหลากหลายของสมาชิกครอบครัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่ปู่ย่าตายายเป็นผู้ปกครอง ครอบครัวพ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวขนาดใหญ่ ครอบครัวที่นับถือศาสนาต่างๆ รวมถึงครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นกลุ่ม LGBTQ+
  • ผลงานที่เข้าประกวดก็มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับครอบครัวของพวกเรา มีทั้งงานศิลปะ ภาพการ์ตูน เรื่องเล่า บทกลอน บทเพลง วิดีโอ รวมถึงละครหุ่น

เด็กประถมในไอร์แลนด์อวดผลงานประกวดจากความภาคภูมิใจในหัวข้อ 

“ต่างครอบครัว แต่รักเหมือนกัน – Different Families, Same Love” 

โดยกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญเฉลิมฉลองสัปดาห์แห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ในเมืองดับลิน (Dublin Pride Week) เมืองหลวงของประเทศไอร์แลนด์ ถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว และได้รับรางวัล ‘Event of the Year’ ในงานประกาศรางวัล 2020 GALAS National LGBT+ Awards เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

“ครอบครัวที่แตกต่างนำมาซึ่งความสนุกสนาน สีสัน และความรัก
รักก็คือรัก ต่างเพียงครอบครัว แต่ความรักไม่ต่างกัน”

ผู้จัดการประกวด Different Families, Same Love ที่เชิญชวนให้เด็กและครอบครัวได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองความหลากหลายของผู้คนและความหลากหลายของครอบครัวในชุมชน คือกลุ่มครูผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศจากองค์การครูแห่งชาติไอริช (INTO LGBT+ Teachers’ Group) 

ความน่าสนใจของคุณครู LGBT+ กลุ่มนี้คือ พวกเขาเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้องค์การครูแห่งชาติไอริชโดยตรง เพื่อที่จะเป็นเครื่องหมายย้ำเตือนถึงความเท่าเทียมทางเพศในวิชาชีพครูแห่งประเทศไอร์แลนด์ สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางความคิดของคนในประเทศที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ

 โดยเป้าหมายในการรวมกลุ่มของครู LGBT+ มีดังนี้

  1. เพื่อให้ครูและผู้บริหารตระหนักถึงความเท่าเทียมกันในการจ้างงาน
  2. ส่งเสริมการมีตัวตนของครูผู้มีความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนและสังคมโดยรวม
  3. ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องความแตกต่างแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดปัญหาการกลั่นแกล้งที่เกิดจากความเกลียดชังผู้มีความหลากหลายทางเพศ
  4. เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรการเรียนมีการทำความเข้าใจกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
  5. เพื่อรับรองและสนับสนุนการทำงานของกลุ่มวิชาชีพอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายร่วมกัน เช่น BeLonGTo, Shout Out, LGBT Ireland และ TENI
  6. เพื่ออำนวยพื้นที่สำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสำหรับสนับสนุนกันและกัน และจัดกิจกรรมพบปะในกลุ่ม

กลุ่ม INTO LGBT+ Teachers จะอัปโหลดผลงานของผู้ได้รับคัดเลือกทั้งหมดลงบนโซเชียลมีเดียเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงในแคมเปญ Digital Dublin Pride Festival 

ในผลงานของเด็กๆ ที่ส่งประกวดนั้นมีการสื่อสารเกี่ยวกับความหลากหลายของสมาชิกครอบครัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่ปู่ย่าตายายเป็นผู้ปกครอง ครอบครัวพ่อ/แม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวขนาดใหญ่ ครอบครัวที่นับถือศาสนาต่างๆ รวมถึงครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นกลุ่ม LGBTQ+

ฌอน เฮการ์ตี้ จากองค์การครูแห่งชาติไอริชเปิดเผยว่า “เราภูมิใจที่จะรายงานว่าเด็กๆ ไอร์แลนด์นั้น มีความใส่ใจ เห็นอกเห็นใจ และนึกถึงกลุ่ม LGBTQ+ อยู่เสมอ เราภูมิใจในตัวพวกเขา รวมถึงภูมิใจกับคุณครูและพ่อแม่ของเขาเช่นกัน”

ฌอนเสริมว่า “เราภูมิใจที่จะแบ่งปันผลงานของผู้ชนะทุกท่านบนโซเชียลมีเดียของเรา เป็นระยะเวลาตลอดสัปดาห์แห่งความหลากหลายในเมืองดับลิน โดยติดแฮชแท็ก #DifferentFamiliesSameLove” นอกจากนี้ผู้ได้รับคัดเลือกผลงานทุกคนจะได้รับบัตรกำนัลแทนเงินสดโดยบริษัทของเล่น Smyth’s Toys

เซซิเลีย กาวิน จากองค์การครูแห่งชาติไอริชเสริมว่า “การประกวดนี้เป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายอย่างแท้จริงและครอบคลุมในบริบทของโรงเรียนประถมศึกษา ผลงานที่เข้าประกวดก็มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับครอบครัวของพวกเรา มีทั้งในรูปแบบของงานศิลปะ ภาพการ์ตูน เรื่องเล่า บทกลอน บทเพลง วิดีโอ รวมถึงละครหุ่น เรารู้สึกปลาบปลื้มกับมาตรฐานผลงานประกวดในปีนี้ อีกทั้งผลตอบรับจากผู้ปกครอง คุณครู และที่สำคัญจากเด็กๆ ก็ออกมาดีเยี่ยม”

“ในการเผยแพร่ข้อความ ‘Different Families, Same Love’ นั้นถือเป็นการสร้างความเท่าเทียมที่มากขึ้น ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจและความใส่ใจให้เติบโตขึ้นในไอร์แลนด์ ไม่มีหนทางไหนที่จะแสดงความภาคภูมิใจ ได้ดีไปกว่าการเฉลิมฉลองโดยที่กลุ่ม LGBTQ+ มีส่วนร่วมอยู่ในนั้น”

การประกวดในหัวข้อ “ต่างครอบครัว แต่รักเหมือนกัน” ถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว และได้รับรางวัล ‘Event of the Year’ ในงานประกาศรางวัล 2020 GALAS National LGBT+ Awards เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่า Dublin Pride Week ในปีนี้จะไม่มีการเดินพาเหรด LGBTQ+ บนถนนโอคอนเนลล์เช่นปีก่อนๆ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แต่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในเมืองดับลินก็ยังคงดำเนินแคมเปญนี้ต่อไปในรูปแบบดิจิทัล (Digital Dublin Pride Festival) โดยจะมีการเสนอภาพการเดินพาเหรดเสมือนจริงและการจัดคอนเสิร์ตออนไลน์

แคมเปญ Digital Dublin Pride Festival ในปีนี้เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 18-28 มิถุนายน

สามารถติดตามกิจกรรมต่างๆได้ทางเว็บไซต์ Dublin LGBTQ Pride Events 

อ้างอิง
Primary School children share their Pride with Different Families Same Love competition
Digital Dublin Pride Festival
INTO LGBT+ Teachers
ผลงานเด็กๆ https://twitter.com/intolgbt และ https://www.facebook.com/INTOLGBTeachersGroup

Tags:

Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)LGBTQ+Dublin Pride Week

Author:

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Related Posts

  • Dear Parents
    พ่อแม่ควรทำอย่างไรดี เมื่อรู้ว่าลูกเป็น LGBTQ+

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ

  • ห้องน้ำ All Gender : การออกแบบพื้นที่ ‘ปลดทุกข์’ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจความต่างระหว่างเรา โดย เปเปอร์-ศุทธา มั่นคง

    เรื่อง วายุ เอี่ยมรัมย์

  • Family Psychology
    ภาพในความคิดแบบเหมารวมของสังคมต่อเพศชายหญิง และ LGBTQ+ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็ก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    อาริยา มิลินธนาภา: เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม
Relationship
29 June 2020

ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สำหรับใครหลายคนที่พยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ร้าวราน จากงานวิจัยของจอห์น เอ็ม ก็อทแมน (John M. Gottman) พบว่า การทะเลาะหรือโมโหใส่กันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหัก เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้เลิกกันคือ การดูหมิ่น ปกป้องตัวเอง และเมินเฉยอีกฝ่าย 
  • การทะเลาะคือ โอกาสในการทำความเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ ความกังวลและตัวตนของอีกฝ่าย ยิ่งทะเลาะ ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้รู้จักและเข้าใจกันมากขึ้นเท่านั้น และระหว่างนี้เองเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเข้าใจก็จะทำให้สารแห่งความรัก (Oxytocin) หลั่งออกมาส่งผลให้ทั้งคู่รู้สึกสนิทใจและเชื่อมโยงกันมากขึ้น
  • การทะเลาะที่ดีหรือ Healthy Fight คือ การทะเลาะบนพื้นฐานที่ต่างฝ่ายต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ ทำความเข้าใจกันและกัน โดยประนีประนอมและใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถพูดสิ่งที่ขุ่นเคืองออกมาได้ แต่ให้พูดด้วยใจที่ไม่ใช้อารมณ์รุนแรงจนเกินไป โดยเริ่มได้การที่รับฟังกันและกันอย่างตั้งใจ

บางคนอาจมีทัศนคติต่อการทะเลาะว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด เพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ร้าวราน จึงพยายามหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น แต่โรเบิร์ต วาลดิงเจอร์ (Robert Waldinger) หัวหน้างานวิจัย Harvard Study of Adult Development ได้ค้นพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ไม่ทะเลาะกันแต่อย่างใด 

คู่รักวัย 80 บางคู่ อาจจะทะเลาะไม่หยุดไม่หย่อน แต่ตราบเท่าที่พวกเขายังรู้สึกว่าสามารถพึ่งพากันได้เมื่อทุกอย่างแย่ การทะเลาะก็ไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์และบุคคล

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการทะเลาะเกิดจากความต้องการพื้นฐานของคนแต่ละรูปแบบไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ (Attachement Style) ของมนุษย์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 

อย่างแรก มนุษย์มั่นคง (Secure) คือ คนที่รู้สึกว่ามันง่ายที่จะใกล้ชิดหรือสนิทกับใครสักคน และไม่กังวลที่จะขอความช่วยเหลือ พึ่งพาผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กลัวผู้อื่นจะมาพึ่งพา และไม่กังวลกับการถูกปฎิเสธหรือไม่ยอมรับ

ต่อมา มนุษย์วิตกกังวล (Anxious) คือ คนที่รู้สึกอยากสนิทกับคนอื่นอย่างมาก แต่หลายครั้งก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่รักหรือไม่อยากสนิทกับเรา และก็กลัวว่าเขาจะไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ทำให้มักกังวลอยู่เสมอว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเอง

ท้ายสุด มนุษย์หลีกหนี (Avoidant) คือ คนที่กลัวความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด มักมีขอบเขตในความสัมพันธ์กับผู้อื่นว่า ถ้าเข้ามาใกล้เรามากกว่านี้ เราจะหนีแล้วนะ คนแบบนี้มักถูกมองว่าเป็นคนเฉยเมย เย็นชา ไม่มีหัวใจ แต่ความจริงเขาเองก็ต้องการความรักเช่นเดียวกัน เพียงแต่กลัวการปฎิเสธจนต้องพยายามหลีกหนีการแสดงความรู้สึกหรือตัวตนที่แท้จริง

ลองนึกภาพถ้ามนุษย์หลีกหนี (Avoidant) ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากเกินไปจนล้ำเส้น เขาก็อาจถอยห่างออกไปจนความสัมพันธ์บั่นทอนได้ แต่ถ้ามนุษย์วิตกกังวลได้รับการดูแลเอาใจใส่เพียงครั้งคราว เขาก็อาจรู้สึกไม่มั่นคงจนอาจต้องพยายามพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายรักเขาไหมด้วยการน้อยใจ หรือชวนทะเลาะเพื่อให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงสนใจและห่วงใย แต่สำหรับมนุษย์มั่นคงอาจไม่ได้มีปัญหานัก หากไม่ใช่ปัญหาที่รุนแรง เช่น การหักหลัง การโกหกที่รุนแรง เป็นต้น 

การตีความสถานการณ์จากประสบการณ์ในอดีตก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการทะเลาะ เพราะในตัวเราทุกคนมีสิ่งที่เรียกว่า “เสียงภายใน” (Inner Voice) ที่คอยตีความและให้ความหมายสถานการณ์ และมักมีแนวโน้มจะตีความเหตุการณ์โดยอิงจากประสบการณ์ในอดีตมากกว่ามองเหตุการณ์ในปัจจุบัน

ยกตัวอย่าง เพื่อนอาจถามเราว่า “ทำไมถึงเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ เห็นพึ่งใช้เครื่องก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน” ถ้าก่อนหน้านี้เราเคยถูกแม่ดุ เพราะเปลี่ยนมือถือใหม่ ก็อาจทำให้เราตีความว่าเพื่อนกำลังดูถูกที่เราไม่สามารถดูแลมือถือได้ดี ซึ่งความเป็นจริงอาจเป็นแค่การถามด้วยความสงสัยเฉยๆ หากแต่เราตีความด้วยอารมณ์จากความขุ่นเคืองในอดีต เพราะเหตุการณ์นั้นเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีตที่เคยเกิดและฝังใจมา 

สำหรับใครหลายคนที่พยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ร้าวราน จากงานวิจัยของจอห์น เอ็ม ก็อทแมน (John M. Gottman) พบว่า การทะเลาะหรือโมโหใส่กันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหัก เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้เลิกกันคือ การดูหมิ่น ปกป้องตัวเอง และเมินเฉยอีกฝ่าย 

พูดง่ายๆ เราสามารถทะเลาะกันได้และมันก็เกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะทุกคนต่างเกิดมาในสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม การเลี้ยงดูที่ต่างกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นพ้องต้องกันหมดซะทุกเรื่อง สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การทะเลาะหรือไม่ทะเลาะ แต่คือวิธีการทะเลาะต่างหาก 

ลีนเน่ ฮาล์ท (Leanne Hart) นักจิตบำบัดครอบครัวอธิบายถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่เธอพบว่า คู่ที่ไม่ทะเลาะกันเลยมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์ ในทางตรงกันข้าม คู่ที่ฝ่ายหนึ่งทะเลาะอีกฝ่ายหนึ่งเงียบก็เกิดผลลัพธ์เดียวกัน 

จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาใดคลี่คลาย หากทั้งสองฝ่ายไม่สื่อสารกัน ซึ่งคู่ที่ต่างฝ่ายต่างทะเลาะกันมักมีแนวโน้มที่จะสนิทและเข้าใจกันมากกว่าสองคู่ที่กล่าวไปก่อนหน้า

การทะเลาะคือ โอกาสในการทำความเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ ความกังวลและตัวตนของอีกฝ่าย ยิ่งทะเลาะ ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้รู้จักและเข้าใจกันมากขึ้นเท่านั้น และระหว่างนี้เองเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเข้าใจก็จะทำให้สารแห่งความรัก (Oxytocin) หลั่งออกมาส่งผลให้ทั้งคู่รู้สึกสนิทใจและเชื่อมโยงกันมากขึ้น 

ในทางกลับกัน การไม่ทะเลาะก็คือ การทะเลาะในอีกรูปแบบที่เป็นกับตัวเองแทน เพราะรู้สึกขุ่นเคืองกับปัญหาที่ถูกกดทับอยู่ภายใน

ทุกความสัมพันธ์ ยิ่งหลีกหนีการทะเลาะก็จะยิ่งทำให้รู้สึกห่างเหินกันและกันมากเท่านั้น แม้ภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีความขัดแย้ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกครุกรุ่นที่รอวันระเบิด

การพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งทำให้ทั้งคู่เชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างสามารถแสดงตัวตนออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยปกปิดความรู้สึก 

สำหรับใครหลายคนที่ชอบอยู่กับคนที่สนิทก็อาจเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ อย่างการที่ไม่ต้องคอยปกปิดหรือกดความรู้สึกตัวเอง การเปิดเผยตัวตนจึงสำคัญมาก หากต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในรูปแบบคู่รัก พ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อน

ซึ่งก็สามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการพูดคุยถึงปัญหาโดยไม่หลีกหนี

แล้วควรทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม ?

การทะเลาะที่ดีหรือ Healthy Fight คือ การทะเลาะบนพื้นฐานที่ต่างฝ่ายต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ ทำความเข้าใจกันและกัน โดยประนีประนอมและใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถพูดสิ่งที่ขุ่นเคืองออกมาได้ แต่ให้พูดด้วยใจที่ไม่ใช้อารมณ์รุนแรงจนเกินไป โดยเริ่มได้การที่รับฟังกันและกันอย่างตั้งใจ ถ้าอีกฝ่ายพูดเราก็ฟังก่อน แม้เขาอาจพูดในสิ่งที่ผิดก็ให้ฟังให้จบก่อนแล้วค่อยอธิบายทีหลัง เพราะนี่คือเวลาที่เขาจะได้ปลดปล่อยอารมณ์ ความรู้สึก และตัวตน

ลองนึกภาพง่าย ๆ ถ้าวันนี้คุณกำลังระบายความรู้สึกอยู่ แล้วอีกฝ่ายมาพูดขัดเพื่ออธิบาย แม้สิ่งที่เขาพูดจะถูก แต่ก็คงยากที่คุณจะอยากรับฟัง เพราะคุณเองก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเขาเข้าใจและรับฟังตัวเองอย่างตั้งใจ 

สิ่งสำคัญ เวลาเกิดปัญหาให้ระวังการพูดโจมตีที่ตัวบุคคล (Personal Attack) ซึ่งประกอบด้วย สิ่งที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญ และสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น 

การโจมตีสิ่งที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญ เช่น “เพราะพ่อแม่สั่งสอนไม่ดี แกเลยเป็นแบบนี้ใช่ไหม” “เพราะมัวแต่นั่งวาดรูป ชาตินี้จะมีเงินกับเขาไหม” 

การโจมตีสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น เช่น “เพราะเกิดมาเป็นคนจนไง ชีวิตนี้เลยไม่ไปไหนกับเขาสักที” “หน้าเป็นสิวเยอะแบบนี้ ใครเขาจะอยากอยู่ด้วย” 

แต่เวลาเกิดปัญหา ให้มุ่งเน้นไปที่สถานการณ์หรือพฤติกรรมมากกว่า ยกตัวอย่าง หากวันนี้คนในครอบครัวพูดไม่ดีใส่ แทนที่จะบอกว่า “เพราะแม่เป็นคนใจร้ายเลยพูดไม่ดี” ลองพูดใหม่ว่า “หนูเข้าใจเลยว่าแม่เป็นห่วงแต่คำพูดเมื่อกี้ทำให้หนูไม่สบายใจ  เป็นไปได้ไหมถ้าแม่จะบอกหนูด้วยน้ำเสียงที่ใจดีขึ้น” 

ผลของการพูดถึงพฤติกรรมคือ เขาจะรู้ถึงสาเหตุที่ชัดเจนว่าการกระทำรูปแบบไหนที่ส่งผลต่อคนอื่น เพื่อให้มีโอกาสได้ปรับปรุงตัวในการกระทำครั้งต่อไป ซึ่งดีกว่าการพูดถึงตัวตนเพราะอาจกระทบถึงความเชื่อมั่นและคุณค่าในตัวเอง

บางคนชอบใช้ประโยคประเภท You Message ที่เน้นการโยนความผิดและความรับผิดชอบให้อีกฝ่ายอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกว่าถูกโจมตี ไม่ได้รับความเข้าใจจนอาจทำให้ไม่อยากคุยต่อ อย่างประโยค “ทำไมเธอไม่ทำแบบนั้นเลย” “ทำไมแม่ไม่เป็นเหมือนแม่คนอื่นบ้าง” 

ดังนั้นอาจลองเปลี่ยนไปใช้ประโยค I Message ที่เน้นพูดถึงความรู้สึกตัวเองเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเรากำลังอยากพยายามทำความเข้าใจมากกว่าโจมตี จะทำให้ลดการสร้างความตึงเครียดได้ เช่น “ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยที่แม่ขึ้นเสียง แม่พอเล่าให้ฟังได้ไหมว่าตอนนั้นผมทำอะไรผิดหรือป่าว” 

เข้าใจดีว่า บางครั้งการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือพูดในสิ่งที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนั้น การพูดความรู้สึกตัวเองออกมาตรง ๆ ก็ดูเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลายคนเลยอยากจะให้กำลังใจว่าค่อยเป็นค่อยไปกับตัวเอง ถ้าวันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ก็เอาใหม่ อย่าพึ่งเร่งรีบกับตัวเองนัก ทำไปเรื่อย ๆ จะพบเองว่าการพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็นึกถึงความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยมันรู้สึกปลดปล่อยแค่ไหน และการทะเลาะแบบนี้ (Healthy Fight) นี่แหละที่จะเป็นหนึ่งในกุญแจสู่ความสัมพันธ์ที่ดี 

คุณว่าไหม ? 

อ้างอิง
A Psychologist Reveals What It Really Means When Couples Never Fight, & It Might Surprise You
5 Healthy Arguing Techniques All Happy Couples Use In A Fight
3 Reasons Why Fighting in a Relationship is Actually Healthy
Healthy Fighting vs. Unhealthy Fighting – What’s the Difference
Why Do Couples Fight — and How Can They Stop?
เวลาเด็กทำผิด เราควรตำหนิเด็กที่ “พฤติกรรม” ที่เขาทำ ไม่ใช่ “ตัวตน” ที่เขาเป็น
หนังสือ Love Never Fails ไม่มีความรักครั้งไหนที่สูญเปล่า 
เอกสารบรรยายประกอบวิชา PY228, ผศ. โมนิล เตชะวชิรกุล

Tags:

จิตวิทยาความสัมพันธ์การทะเลาะ

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Atypical: มุมมองครอบครัวที่ลูกมีภาวะออทิสติก แต่สมาชิกทุกคน (ต้อง) สำคัญเท่ากัน

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Relationship
    Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (2): ตามหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก
อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
26 June 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (2): ตามหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • พ่อแม่มือใหม่ที่ต้องการหาความรู้ประดับสมองก่อนที่ลูกน้อยจะลืมตาดูโลก มักจะต้องผงะกับจำนวนหนังสือเลี้ยงลูกสารพัดวิธีแนวทางบนชั้นหนังสือ ซึ่งหลายครั้งความรู้เหล่านั้นในแต่ละเล่ม แต่ละเพจ หรือแต่ละเว็บไซต์กลับขัดแย้งกันเองจนชวนงุนงงว่าทางไหนคือทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
  • หลังจากอ่านหนังสือเลี้ยงลูกมานับสิบเล่มและบทความทั้งไทยและเทศอีกจำนวนไม่น้อย ผมได้ข้อสรุปว่าสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูกนั้นไม่มีอยู่จริง สุดท้ายก็คงตัดสินใจไปตามสัญชาตญาณที่เกิดจากการหยิบเกร็ดจากเล่มนู้นนิดผสมนั่นหน่อย แต่ที่สำคัญคือแนวทางนั้นจะต้องเห็นพ้องต้องกันระหว่างสามีภรรยา รวมถึงประนีประนอมกับความต้องการของปู่ย่าตายายด้วย
หากผู้อ่านคนไหนยังไม่ได้อ่านบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อนตอนที่ 1 สามารถอ่านได้ที่ บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (1): ความไม่ง่ายของการตัดสินใจเป็นพ่อ

แม้ผลตรวจจะยืนยันมั่นเหมาะแล้วว่าผมกำลังจะเป็นพ่อคน แต่มันก็ยังมึนงงเหมือนเดินวนอยู่ในหมอก กระทั่งอายุครรภ์เริ่มมากขึ้นหน่อย จากจุดเล็กๆ เริ่มกลายเป็นรูปร่าง มองเห็นสองแขนสองขาและกระดูกสันหลัง รวมทั้งเสียงหัวใจที่เต้นขยุกขยิกบนหน้าจอที่ก้องสะท้อนในห้องตรวจและสั่นไปถึงหัวใจของผม

‘ตุ่บ ตุ้บ ตุ่บ ตุ้บ ตุ่บ ตุ้บ ตุ่บ ตุ้บ’

ผลตรวจโครโมโซมบอกว่าเจ้าตัวเล็กปกติดีและคอนเฟิร์มชัดว่าเป็นเด็กชาย ในฐานะที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่ใครมาก่อน ผมและภรรยาต่างก็ร้อนใจอยากจะหาความรู้มาประดับสมอง เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนที่ลูกน้อยจะลืมตาดูโลกในช่วงเดือนธันวาคม

ผมเป็นนักอ่านตั้งแต่มัธยมต้นและอ่านต่อเนื่องมาเป็นนิสัย ไปไหนมาไหนก็ต้องมีหนังสือติดมือตลอด แต่จวบจนปัจจุบัน ผมไม่เคยย่างกรายเข้าใกล้ชั้นหนังสือเด็กหรือคู่มือเลี้ยงลูกแต่อย่างใด จึงตัดสินใจแวะไปร้านหนังสือขนาดกะทัดรัดใกล้บ้าน แล้วเราก็ต้องผงะเพราะหนังสือประเภทนี้เยอะมาก มองดูเล่มไหนก็น่าซื้อไปเสียหมดจนต้องกลับมาตั้งหลัก สรรหาเล่มที่คิดว่าน่าจะดีโดยพิจารณาจากสารพัดรีวิวในอินเทอร์เน็ต โดยมีเป้าหมายคือหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก

หลังจากค้นคว้าสักพักและได้ผ่านตาหนังสือเกินสิบเล่ม ผมขอเลือกหยิบหนังสือ 3 เล่ม 3 รส มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เล่มแรกคงกล่าวได้ว่าเป็นหนังสือคลาสสิคสำหรับพ่อแม่สมัยใหม่ นั่นคือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ โดดเด่นด้วยเนื้อหากระชับ เล่มบางน่ารักพลิกอ่านไม่นานก็จบ

หัวใจของเล่มนี้คือการปูทางให้ลูกน้อยมีทักษะในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า EF Executive Function หรือ EF ซึ่งคล้ายกับการสร้างบันไดที่แต่ละช่วงชั้นมีความสำคัญในการก้าวต่อไป คุณหมอประเสริฐแนะนำว่าการปูทางสู่ EF ต้องเริ่มตั้งแต่วันแรกโดยการสร้าง ‘แม่ที่มีอยู่จริง’ ผ่านการอุ้ม กอด บอกรัก เมื่อโตขึ้นพอจะยืนด้วยขาสองข้างของตัวเอง แม่ก็จะต้องเป็นกองหนุนคอยยินดีเมื่อทำสำเร็จ สร้างสายสัมพันธ์ที่จะดึงรั้งให้ลูกน้อยกลับมาหาแม่ ภายใต้กติกาพื้นฐานคือห้ามทำร้ายคน ห้ามทำลายข้าวของ และห้ามทำร้ายตัวเอง

หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนการวางวิธีคิดในการเลี้ยงลูก โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสายสัมพันธ์ในขวบปีแรกของเด็กน้อยซึ่งจะสะท้อนออกมาได้เด่นชัดเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า รวมถึงขยายประเด็นเรื่องทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 รวมถึงกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ 

แต่ผมอ่านไปก็รู้สึกน้อยใจนิดหน่อยเพราะทั้งเล่มให้ความสำคัญกับแม่มาก จนผมต้องแทนคำว่าแม่ด้วย ‘พ่อ’ อยู่ในใจ

เลี้ยงลูกทางสายกลาง โดยผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

หากเล่มของคุณหมอประเสริฐคือการวางวิธีคิดในการเลี้ยงดูลูก หนังสือที่ครอบคลุมภาคปฏิบัติที่ผมอยากแนะนำคือเลี้ยงลูกทางสายกลาง โดยผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือ หมอวินเจ้าของเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เนื้อหากระชับ อีกทั้งยังเขียนด้วยภาษายียวนชวนยิ้ม เรียกว่าอ่านไปขำไปเพราะเรื่องที่เขียนไว้นั้นจริงแสนจริง

หนังสือเล่มนี้จะเริ่มจากการทำความเข้าใจอารมณ์และการแสดงออกของลูก ช่วยคลายความโหดหินที่พ่อแม่มือใหม่ต้องประสบพบเจอระหว่างปรับจูนกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าซึ่งสื่อสารกันคนละภาษา ต่อด้วยรายละเอียดเรื่องการกิน การนอน รวมถึงการดูแลสุขลักษณะเบื้องต้นแบบตามใจหมอ พร้อมทั้งอธิบายข้อข้องใจของพ่อแม่หลายคนว่า ‘ลูกร้องทำไม?’ ปิดท้ายด้วยการสังเกตอาการผิดปกติที่ควรรีบพาเจ้าตัวเล็กไปส่งโรงพยาบาลเมื่อมีอาการเจ็บป่วย

สำหรับผม เล่มนี้คือหนังสืออ้างอิงสามัญประจำบ้านสำหรับค้นประเด็นต่างๆ เบื้องต้น รวมถึงมีคำแนะนำที่ชัดเจนเหมือนไปปรึกษากับกุมารแพทย์แบบไม่ต้องยกหูโทรศัพท์

แต่บทที่ผมท่องจำจนขึ้นใจคือการหาทางออกจากความขัดแย้งเรื่องวิธีดูแลทารกระหว่างพ่อแม่รุ่นใหม่กับปู่ย่าตายายที่ข้อมูลหลายอย่างยังไม่ทันอัพเดท ตัวอย่างเช่นการให้ทารกดื่มน้ำซึ่งความรู้สมัยใหม่บอกว่าไม่จำเป็นเพราะทารกได้รับน้ำจากนมแม่เพียงพอแล้ว แต่ด้วยความเคยชิน ปู่ย่าตายายจะพยายามตอแยให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำให้ได้ 

หากมีปากเสียงกันก็มักจะจบที่ว่าปู่ย่าตายายเลี้ยงลูก (คือผมและภรรยา) แบบนี้ก็เห็นว่าโตมาได้ดิบได้ดี แล้วทำไมจะใช้ความรู้เดิมมาดูแลหลานบ้างไม่ได้

สถานการณ์ข้างต้นคงเป็นเรื่องที่พ่อแม่มือใหม่หลายคนต้องเผชิญและคุณหมอวินแนะนำให้ประนีประนอม โดยมองว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ไม่กระทบสุขภาพ ไม่เพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อลูกน้อย พ่อแม่ก็ต้องยอมบ้างเพื่อให้ปู่ย่าสบายใจ เช่นกรณีของการดื่มน้ำ พ่อแม่อาจต้องยอมเทนิดๆ หน่อยๆ พอให้เจ้าตัวเล็กได้จิบ เพื่อสันติสุขของทั้งบ้าน

Bringing Up Bébé (ฉบับแปลไทยว่าเลี้ยงลูกแบบผ่อนคลาย สไตล์คุณแม่ฝรั่งเศส) 

เล่มที่สามอาจไม่ใช่หนังสือขึ้นแท่นเบสต์เซลเลอร์ในไทย แต่เพื่อนชาวต่างชาติของภรรยาผมแนะนำให้อ่านซึ่งเนื้อหานับว่าน่าสนใจดี คือ Bringing Up Bébé (ฉบับแปลไทยว่าเลี้ยงลูกแบบผ่อนคลาย สไตล์คุณแม่ฝรั่งเศส) บันทึกของนักข่าวชาวอเมริกันที่ตั้งครรภ์ คลอด และเลี้ยงลูกที่ฝรั่งเศส โดยตลอดเส้นทางต้องเผชิญภาวะช็อกทางวัฒนธรรมกับวิธีการเลี้ยงลูกของคุณแม่ชาวฝรั่งเศสซึ่งแตกต่างจากอเมริกันอย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งปลาบปลื้มกับความสงบเรียบร้อยของเด็กๆ ชาวฝรั่งเศสที่สามารถมานั่งเล่นที่คาเฟ่รอแม่จิบกาแฟได้โดยไม่สร้างความโกลาหล

แกนกลางของการเลี้ยงดูแบบฝรั่งเศส คือการเคารพความเป็นปัจเจกบุคคลของพ่อ แม่ และทารก โดยไม่ได้มองว่าเจ้าตัวเล็กด้อยกว่าผู้ใหญ่แต่อย่างใด หนังสือเล่มนี้จึงแนะนำว่าพ่อแม่ควรพูดคุยกับทารกอย่างสุภาพ พาทำความรู้จักห้องต่างๆในบ้านเมื่อกลับมาโรงพยาบาลวันแรก บอกกล่าวทุกครั้งว่ากำลังจะพาไปอาบน้ำ อยากให้นอน หรือจะให้กินนม รวมถึง ‘การหยุดชั่วคราว’ กล่าวคือการปล่อยให้ลูกร้องงอแงประมาณ 5 นาทีในเวลากลางคืนก่อนที่พ่อแม่จะเข้าไปหา เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเองและกลับไปนอนหลับต่อ

แต่ประเด็นที่ผมชอบที่สุดสำหรับเล่มนี้คืออาหาร ที่ฝรั่งเศสไม่มีอาหารสำหรับเด็กเพราะไม่ว่าใครก็รับประทานอาหารเหมือนกัน การจัดเมนูอาหารจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งเพราะนั่นคือกระบวนการที่จะพาเจ้าตัวเล็กไป

สำรวจรสชาติและรสสัมผัสของวัตถุดิบแต่ละประเภท แม้แต่ในสถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐ ยังมีคณะกรรมการอาหารที่ต้องร่วมกันออกแบบมื้ออาหารแบบคอร์สสำหรับเด็กสองขวบ เริ่มจากออเดิร์ฟ จานหลัก จบด้วยขนมหวานและผลไม้ เพื่อให้มั่นใจว่านอกจากเด็กๆ จะได้รับสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีประสบการณ์ที่ดีกับอาหารอีกด้วย

ในระหว่างที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในกองคู่มือเลี้ยงลูกซึ่งบรรจุข้อมูลมหาศาล สิ่งที่พบเจอบ่อยครั้งคือข้อแนะนำที่แตกต่างกันในหนังสือแต่ละเล่ม เช่น ข้อแนะนำเรื่องการนอน เล่มหนึ่งบอกว่าควรแยกห้องแต่ต้องเดินไปหาทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้อง อีกเล่มหนึ่งบอกว่าเมื่อได้ยินเสียงร้องให้รอก่อนอย่างน้อย 5 นาที ส่วนบางที่ก็แนะนำว่าหากต้องการให้ลูกน้อยนอนหลับยาวได้ก็ปล่อยให้ร้องไปแบบไม่ต้องกังวล บทความบนเว็บไซต์ซึ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้กลับระบุว่าทางที่ดีกว่าคือการให้นอนห้องเดียวกันแต่แยกเตียงเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่เผลอไปนอนทับเจ้าตัวเล็ก ส่วนปู่ย่าตายายส่งเสียงเชียร์ให้นอนเตียงเดียวกันเพื่อความอบอุ่น แถมยังสำทับว่าอย่าใจร้ายใจดำให้หลานร้องนานนัก ฯลฯ

หากนี่คืองานวิจัยหัวข้อ ‘สูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก’ หลังจากทบทวนข้อมูลทั้งหมดผมคงสรุปว่า ‘ไม่มีข้อสรุป’ แต่ผมคงตอบแบบนั้นไม่ได้ในสถานการณ์ที่ลูกน้อยร้องไห้อยู่ตรงหน้าแล้วภรรยาหันมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็คงตัดสินใจไปตามสัญชาตญาณที่เกิดจากการหยิบเกร็ดจากเล่มนู้นนิดผสมนั่นหน่อย

หากสรุปแบบนวนิยายกำลังภายในก็คงประมาณว่า “เรียนรู้ทุกกระบวนท่าแล้วหลงลืมให้หมดเพื่อกรุยทางสร้างวิทยายุทธ์ของตัวเอง” แต่ที่สำคัญคือแนวทางนั้นจะต้องเห็นพ้องต้องกันระหว่างสามีภรรยา รวมถึงประนีประนอมกับความต้องการของปู่ย่าตายายด้วย

วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ผมและภรรยาไปพบคุณหมอตามนัดเพื่อเตรียมการก่อนผ่าคลอดตามกำหนดการที่วางไว้คือวันที่ 20 ธันวาคม แต่ผลตรวจอัลตร้าซาวด์กลับพบเรื่องไม่คาดฝันเพราะเจ้าตัวเล็กน้ำหนักลดแถมน้ำคร่ำก็หดหายแทบไม่เหลือโดยไม่ทราบสาเหตุ

“หมอว่าเราคงต้องเลื่อนการผ่าคลอดนะคะ” สูตินรีแพทย์ที่ดูแลเราร่วมแปดเดือนบอกกับอย่างยิ้มแย้ม “หมอว่าเราผ่าคลอดพรุ่งนี้เช้าดีกว่าค่ะ คืนนี้มานอนค้างที่โรงพยาบาลได้เลยนะคะ อาการยังไม่น่ากังวลอะไรแต่หมอว่าผ่าคลอดเอาตัวเล็กออกมาไว้กอดน่าจะสบายใจกว่า”

คืนนั้นเองที่ผมนอนลืมตาโพลงในโรงพยาบาลด้วยใจระทึกเพราะกำหนดการการเป็นพ่อคนถูกเลื่อนขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์โดยไม่คาดฝัน ความรู้สึกเหมือนกับคืนก่อนเข้าห้องสอบที่ต้องบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเราเตรียมตัวมาดี อ่านหนังสือมาเยอะ แต่ก็เหมือนสัจธรรมนะครับ เพราะต่อให้เราเตรียมตัวมามากมายแค่ไหน โจทย์ที่เจอในวันจริงนั้นหินกว่าที่อ่านหลายสิบเท่า

Tags:

หนังสือพ่อบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อนอ่านความรู้จากบ้านอื่น

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    Olive Kitteridge : อาจใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะยอมรับ เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอารมณ์ร้ายๆ ของแม่

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life classroomอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (4): หน้าที่ของพ่อคือเปิดโอกาสให้แม่ไม่ต้องเป็นแม่

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (3): โกลาหลหลังคลอด และต้องลุ้นว่าน้ำนมจะมารึเปล่า

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (1): ความไม่ง่ายของการตัดสินใจเป็นพ่อ

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ
Dear Parents
26 June 2020

เสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กหญิงที่ดังไม่มากพอ

เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ในวัยเด็กผมเคยอธิษฐานอยู่เป็นประจำว่าขอให้ได้เป็นผู้ชาย เมื่อโตมาผมจึงรู้เป็นความใฝ่ฝันของเด็กชายอีกหลายคนที่เกิดมาในร่างกายของเด็กหญิง เด็กชายข้ามเพศเหล่านี้ล้วนรับรู้ต่อความแตกต่างของเพศหญิงและเพศชายได้ไวที่สุด เพราะพวกเขารู้ตั้งแต่เริ่มจำความได้กันแล้วว่า จุดยืนของตัวเองว่าอยู่ในกลุ่ม “สีฟ้า” ไม่ใช่ “สีชมพู” ตามที่ผู้ใหญ่เลือกให้
  • 1 ใน 6 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ เคยพยายามฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปีที่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกเลือกปฏิบัติจากคนในครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงสุด และ ร้อยละ 47.5 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยถูกเลือกปฏิบัติรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากคนในครอบครัว โดยรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการถูกบอกกล่าวให้ “ระมัดระวังเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือวิธีการพูดและการวางตัว”
  • หากวันหนึ่งลูกหลานของคุณกระทำอัตวินิบาตกรรมสำเร็จเพราะทนความยากของการใช้ชีวิตจากเสียงของพวกคุณไม่ไหว คุณคงเข้าใจความทุกข์เหล่านี้ ความทุกข์จากการที่ไม่สามารถเป็นตัวเองได้ และไม่สามารถดูแลและแสดงออกความรักแก่คนที่รักสุดหัวใจได้

“When I was a boy they used to call me she.
When I was a boy they told me how I was supposed to be.”

คือประโยคแรกของเนื้อเพลง Boy โดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเยอรมณี Tom Henrik (ขออนุญาตชวนผู้อ่านให้ลองเปิดเพลงนี้ไปพร้อมๆ กับการอ่านบทความ) ซึ่งเป็นเสียงความรู้สึกของผู้ชายข้ามเพศหลายๆ คนที่ฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก เล่าถึงชีวิตของเขาที่ภายในเป็นผู้ชาย แต่สิ่งที่คนภายนอกรับรู้และมองเห็นคือเด็กผู้หญิงทโมนคนหนึ่ง

June – Rainbow Pride Month

เดือนแห่งการรำลึกถึงเหตุการณ์ Stonewall Riots ณ มหานครนิวยอร์ก ปี 1969 ที่ตำรวจเข้าจับกุมลูกค้าของคลับเกย์ในข้อหา ‘แต่งกายไม่เหมาะสมตามเพศ’ จัดมาตั้งแต่ปี 1979 จนถึงปัจจุบัน ยังคงเป็นเสียงที่สะท้อนว่าความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางเพศและการแสดงออกยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนมากนัก พวกเราจึงต้องเรียกร้อง รณรงค์ สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจให้แก่คนในสังคมมากขึ้น

ผู้เขียนเองก็ทำงานรณรงค์ด้านความหลากหลายทางเพศ เพราะเพศกำเนิด (Sex Assigned at Birth) เป็นผู้หญิง แต่อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ไปทางผู้ชาย คำศัพท์ที่ใช้เรียกทุกวันนี้คือ ทรานส์แมน หรือผู้ชายข้ามเพศ (Transgender Male) 

ผมเคยร่วมแสดงละครแทรกสดในเทศกาลละครกรุงเทพ 2019 เรื่อง เห็นฉัน ไม่เห็นฉัน Now You See Me, Now You Don’t ซึ่งเป็นละครที่เปิดให้ผู้ชมขึ้นมามีบทบาทในการแสดง เพื่อสานเสวนาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ของตัวละครผู้ถูกกดขี่จะเลือกทำเพื่อเปลี่ยนแปลงตอนจบ ผมร่วมจัดเวิร์คช็อป เหนี่ยวนำการเรียนรู้ที่ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นความแตกต่างของชายหญิงและการกดทับสิทธิเสียงเพศหลากหลายในตัวเองและสังคม รวมถึงการทำให้เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องที่พูดได้ทั่วไป มองเซ็กส์ผ่านศิลปะและการเป็นพลังงานเดียวกับการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ สักชิ้น

สิ่งที่ทำให้ผมต้องขวนขวายหาที่ทางเพื่อแสดงจุดยืนของตัวตนผ่านกิจกรรมเหล่านี้ ก็เพียงเพราะว่าต้องการการยอมรับและเข้าใจความเป็นตัวผมก็เท่านั้น เพราะว่าในวัยรุ่นผมไม่สามารถได้รับสิ่งเหล่านี้จากคนในครอบครัว ช่วงวัยรุ่นที่ต้องเติบโตตามกรอบของเด็กผู้หญิงมีเสียงที่ดังในหัวของผมแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้ร้องบอกว่า “อยากให้พ่อแม่เข้าใจทุกอย่างแต่กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก” และ “ถ้าพ่อแม่เข้าใจแต่จะสามารถยอมรับและรักเราอย่างที่เราเป็นได้อยู่หรือเปล่า” 

ตราบใดที่ความทุกข์จากความไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับยังมีอยู่ในสังคม ผมก็ยังคงต้องประกาศเสียงของตัวเองที่อยากพูดมานานแต่ถูกกดทับไว้ ส่งเสียงของเด็กชายที่ไม่มีใครได้ยิน และแทนเสียงเด็กหญิงอีกนับล้านที่ดังไม่เท่ากัน

รายงานผลการสำรวจเพื่อสอบถามประสบการณ์การถูกตีตราและเลือกปฏิบัติของผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย UNDP 2019 พบว่าเกือบ 1 ใน 6 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยพยายามฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปีที่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกเลือกปฏิบัติจากคนในครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงสุด และ ร้อยละ 47.5 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยถูกเลือกปฏิบัติรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากคนในครอบครัว โดยรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการถูกบอกกล่าวให้ “ระมัดระวังเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือวิธีการพูดและการวางตัว”

เพราะเหตุใดเราถึงยังคงส่งเสริมค่านิยมความเชื่อเช่นนี้และส่งต่อไปให้ลูกหลานที่รักของเรา หากวันหนึ่งลูกหลานของคุณกระทำอัตวินิบาตกรรมสำเร็จเพราะทนความยากของการใช้ชีวิตจากเสียงของพวกคุณไม่ไหว คุณคงเข้าใจความทุกข์เหล่านี้ ความทุกข์จากการที่ไม่สามารถเป็นตัวเองได้ และไม่สามารถดูแลและแสดงออกความรักแก่คนที่รักสุดหัวใจได้

“I wore dresses for my birthdays and flowers in my hair.
I had a dozen baby dolls for which I did not care.”

การเลี้ยงดูที่แตกต่างของเด็กหญิงเด็กชาย

ในวัยเด็กผมเคยอธิษฐานอยู่เป็นประจำว่าขอให้ได้เป็นผู้ชาย เมื่อโตมาผมจึงรู้เป็นความใฝ่ฝันของเด็กชายอีกหลายคนที่เกิดมาในร่างกายของเด็กหญิง เด็กชายข้ามเพศเหล่านี้ล้วนรับรู้ต่อความแตกต่างของเพศหญิงและเพศชายได้ไวที่สุด เพราะพวกเขารู้ตั้งแต่เริ่มจำความได้กันแล้วว่า จุดยืนของตัวเองว่าอยู่ในกลุ่ม “สีฟ้า” ไม่ใช่ “สีชมพู” ตามที่ผู้ใหญ่เลือกให้ 

ผมจำได้ว่าตอนอายุสองขวบเคยนั่งเศร้าที่เนิร์สเซอรี่เพราะต้องใส่ชุดกระโปรงสวยแต่กลับไม่ชอบใจสักนิด น่าเสียดายที่เสียงนั้นดังไม่มากพอให้ผู้ใหญ่รับรู้ เสียงนั้นจึงต้องถูกเก็บซ่อนไว้ ไม่ให้ใครรู้ในคราบของ เด็กดี เด็กน่ารัก เพราะเมื่อใดที่เสียงนั้นออกมาอีกก็จะกลายเป็น “ไม่น่ารัก” “ผิดปกติ ฝืนธรรมชาติ” “ไม่มีใครเขาทำกันอย่างนี้” “ทำไมถึงแต่งตัวอย่างนี้” “ต้องพูดหางเสียงถึงจะสุภาพ เรียบร้อย” ลองจินตนาการตามดูว่าหากคุณต้องเติบโตมาแล้วเจอคำพูดเหล่านี้เรื่อยๆ จะมีความยอมรับนับถือตัวเองมากได้หรือเปล่า

คำพูดเหล่านี้เริ่มมีตั้งครอบครัว โรงเรียน และสังคม ซึ่งสั่งสอนหล่อหลอมให้เด็กหญิง “ไม่ควรนั่งถ่างขา” “ต้องใส่กระโปรงและคอยระหว่างไม่ให้กางเกงในโผล่” “เลือดประจำเดือนเป็นของต่ำ เลือดที่เสียเป็นของสกปรก” “ต้องตากผ้าต่ำกว่าเสื้อผ้าของผู้ชายในบ้าน” “ต้องรักนวลสงวนตัว” “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” “ห้ามไปไหนยามดึกดื่นคนเดียว” “ระวัง แต่งตัวให้มิดชิด” “ต้องสวย ผอม ดูดี ถึงจะมีคนรัก” “ถ้าพูดเรื่องเซ็กส์ก็คือผู้หญิงแรด ใจง่าย” “อีวันทองสองใจ”

ต่างจากเด็กชายซึ่งมักถูกเสียงสังคมหล่อหลอมให้ “ต้องเป็นผู้นำ กล้าหาญ” “ลูกผู้ชายต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้ออก” “ห้ามแสดงความรู้สึกอ่อนไหว เดี๋ยวเป็นตุ๊ด” “ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้” “ใส่กระโปรงไม่ได้” “ต้องมีเหตุผล” “ต้องดูแลคนในบ้านเมื่อโตขึ้น จะเป็นเสาหลักของบ้าน” “บวชแล้วพ่อแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์” “เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิง” “หาประสบการณ์เต็มที่ อย่าไปทำใครท้องก็พอ” “กากว่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอา” “เกาะเมียกิน อีแมงดา” “ขุนแผนมีเมียห้าคน”

“The years went by, I lost my way. It mattered more what others say.
And my reflection’s haunting me with every breaking day.”

หากยังนึกไม่ออกว่าการเลี้ยงเด็กผู้ชายและผู้หญิงจะไปต่างกันขนาดนั้นได้อย่างไร ลองนึกถึงนิทานต่างๆ ที่เด็กชายหญิงได้รับฟังในช่วงวัยของพวกเขา นิทานพื้นบ้าน นิทานอีสป หรือการ์ตูนดิสนีย์ต่างๆ ผู้ใหญ่เราคงไม่เล่านิทานทำนองที่ว่า “ชายหนุ่มเกิดในครอบครัวยากจนอาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยงใจร้ายและพี่ชายใจดำสองคน แต่ด้วยความเป็นคนจิตใจดีและอดทนจึงเป็นที่ต้องใจของเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักร และลงเอยด้วยการครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป” หากผู้ใหญ่เราไม่อยากเล่านิทานทำนองนี้ให้ลูกชายฟัง เหตุใดจึงสามารถเลือกเล่าให้ลูกสาวฟังมาหลายสิบปี หรืออาจถึงหลายร้อยปีได้

โลกทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนในเกมที่ออกแบบมาให้ผู้ชาย (ที่ตรงตามกรอบมาตรฐาน) เป็นผู้ชนะเสมอ สังเกตได้จากผู้นำศาสนา ผู้บริหารประเทศ ผู้นำองค์กรส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หากเป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นคนที่ทุ่มเทพยายามอย่างมากยิ่งกว่าความพยายามของผู้ชายเพื่อที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สิ่งใดที่ท้าทายขนบประเพณีเดิมจะถูกจับจ้องและถูกสั่งเก็บซ่อนต่อไป โดยการถูกตีตราว่า “วิปริตผิดเพศ” “บาปกรรมเก่า” “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้นะ” 

สิ่งที่ถูกกดทับและปกปิดไว้ไม่ยอมพูดถึงมันมีมากเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนว่าคุณค่าดีงามที่ถูกละเลยและมองข้ามก็มีมากเท่านั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังมีเกมจะเปลี่ยนกติกาให้ทุกเพศเป็นผู้ชนะได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ หรือแม้การไม่นิยามเพศใดๆ เลยก็ตาม ขอให้เสียงที่หลากหลายของเด็กและผู้ใหญ่เราได้เป็นผู้ชนะร่วมกันในเกมความเข้าใจและการเคารพยอมรับกระดานนี้ 

ขอให้เด็กน้อยไม่ต้องอึดอัดกับความคาดหวังเรื่องเพศของใคร ไม่ต้องมีการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปเพียงเพราะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัวเองว่า ภายในใจของเขาปรารถนาจะเป็นสิ่งใด จนกว่าเสียงของผู้ใหญ่จะเงียบลง และเปิดพื้นที่ให้เสียงของเด็กน้อยได้เปิดเผยออกมา ผมเองมีความสุขมากขึ้น เรียกได้ว่ามากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ เมื่อได้รับฟังทั้งเสียงเด็กหญิงและเด็กชายในตัวเอง ผมเลือกที่จะยอมรับและโอบกอดตัวเองอย่างที่เป็นจากข้างใน

“Until I start to fight again; fight for the man I could have been
I’m picking up my dreams again, this time I won’t give in.”

อ้างอิง
Tolerance but not Inclusion: A national survey on experiences of discrimination and social attitudes towards LGBT people in Thailand
เพลง Boy ช่อง Tom Henrik

Tags:

การเติบโตเพศLGBTQ+วัยรุ่น

Author:

illustrator

ณัชชาพร มีสัจ

คนรุ่นใหม่ที่สนใจการศึกษาที่ออกแบบได้เอง มีสไตล์การเรียนรู้เฉพาะตัว ชอบอ่านหนังสือและฟังเรื่องราวความทุกข์ของคน เพราะรู้ว่าอาจเป็นครั้งเดียวเขาจะได้เล่าเรื่องนั้นก็เป็นได้

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม
Adolescent Brain
25 June 2020

Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สภาวะทางจิตใจของวัยรุ่นที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสมองในช่วงวัยนี้ ดึงดูดให้พวกเขาเข้าหาความเสี่ยงและความท้าทายที่มีอันตรายถึงชีวิต เป็นที่มาให้ผู้ใหญ่นิยามวัยรุ่นว่า “บ้าคลั่ง” “ควบคุมตัวเองไม่ได้” หรือ “ไม่รู้จักโต”
  • จากการศึกษายืนยันชัดเจนว่า อคติที่ผู้ใหญ่มีต่อวัยรุ่น และสภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อพฤติกรรมเชิงลบของพวกเขา เพราะการทำงานของสมองในช่วงนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาตนเองไปตามคำตัดสินของผู้อื่น (ไม่ใช่เพราะฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว)
  • ช่วงเริ่มต้นของวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรได้รับการสนใจอย่างเข้าใจ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของสมองด้านอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นไปจนกระทั่งอายุราว 24 ปี วิธีบริหารสมองที่บทความนี้แะนำ คือ มายด์ไซท์ (Mindsight) การเชื่อมโยงการทำงานของสมองส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เหตุผลเข้ามาปิดกั้นอารมณ์ และไม่ให้โอกาสอารมณ์ได้อยู่เหนือเหตุผล

หากใครกำลังคิดว่าเรื่องสมองเป็นเรื่องซับซ้อน การบริหารสมองแต่ละส่วนเพื่อพัฒนาศักยภาพตนเองเป็นเรื่องเข้าใจยาก เราอยากบอกว่าบทความนี้เป็นบทความวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสมองวัยรุ่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้การท่องจำ

ขอแค่ให้คุณมีสติอยู่กับปัจจุบัน และยังมีลมหายใจอยู่ก็พอ!!

บทความนี้เชื่อมโยงมาจากบทความก่อนหน้าที่พูดถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัยรุ่นและสาระสำคัญของสมองวัยรุ่น (ESSENCE) (อ่านบทความได้ที่นี่) ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจที่มาที่ไปพฤติกรรมที่วัยรุ่นแสดงออก และหากวัยรุ่นได้อ่าน ก็น่าจะทำให้พวกเขาเท่าทันความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของตัวเอง

สภาวะทางจิตใจของวัยรุ่นที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสมองในช่วงวัยนี้ ดึงดูดให้พวกเขาเข้าหาความเสี่ยงและความท้าทายที่มีอันตรายถึงชีวิต เป็นที่มาให้ผู้ใหญ่นิยามวัยรุ่นว่า “บ้าคลั่ง” “ควบคุมตัวเองไม่ได้” หรือ “ไม่รู้จักโต”

แต่หากมองแค่ผลลัพธ์เชิงลบที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการแสดงออกเหล่านั้น โดยไม่ทำความเข้าใจความลับในสมองของเด็กและเยาวชนวัยนี้ คงไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเขาเท่าไรนัก

จากการศึกษายืนยันชัดเจนว่า อคติที่ผู้ใหญ่มีต่อวัยรุ่น และสภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อพฤติกรรมเชิงลบของพวกเขา เพราะการทำงานของสมองในช่วงนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาตนเองไปตามคำตัดสินของผู้อื่น (ไม่ใช่เพราะฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว)

อ่านเพิ่มเติม: สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้ และ วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ทำให้ค้นพบกระบวนการตัดแต่งวงจรประสาทที่ไม่ถูกใช้งาน (Synaptic Pruning) ซึ่งเริ่มต้นในสมองเมื่อมีอายุราว 12 ปีและสิ้นสุดเมื่ออายุราว 15 ปี สมองส่วนไหนที่ถูกใช้งานในช่วงนี้จะถูกเก็บรักษาไว้ให้มีอายุการใช้งานต่อไปได้ แต่…สมองส่วนที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกลดบทบาทและถูกตัดขาดจากการเชื่อมโยงของระบบสมอง จนหายไปในที่สุด นี่คือข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังบอกว่า ช่วงเริ่มต้นของวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรได้รับการสนใจอย่างเข้าใจ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของสมองด้านอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นไปจนกระทั่งอายุราว 24 ปี

แต่จะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้? จะมีวิธีการไหนที่ช่วยให้วัยรุ่นควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น?

สถาบันมายด์ไซท์ (Mindsight Institute) นำโดย แดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel) ผู้อำนวยการสถาบัน และศาสตราจารย์คลินิกจิตเวชศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทชีววิทยาระหว่างบุคคล (interpersonal neurobiology) ได้นำเสนอแนวทางบริหารสมองเรียกว่า “Mindsight” – “มายด์ไซท์” ที่ช่วยเชื่อมโยงการทำงานของสมองส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เหตุผลเข้ามาปิดกั้นอารมณ์ และไม่ให้โอกาสอารมณ์ได้อยู่เหนือเหตุผล

มายด์ไซท์ – การมีสติที่จะนำไปสู่ปัญญา

จากการศึกษาถึงระดับโครโมโซมพบว่า การทำสมาธิช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบการทำงานของร่างกายในระดับเซลล์ สามารถตรวจพบเอนไซม์เทโลเมอเรสระดับสูงในร่างกายของผู้ที่ทำสมาธิ ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยให้เซลล์รักษาตัวเองได้แข็งแรงและช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ในปี ค.ศ. 2009  อลิซาเบซ เอส. แบล็คเบิร์น (Elizabeth H. Blackburn), คาโรล กราย์เดอร์ (Carol Greider) และ แจ็ค ซอว์สแท็ก (Jack Szostak) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้รับรางวัลโนเบลทางการแพทย์ร่วมกัน จากการค้นพบกลไกการป้องกันโครโมโซมไม่ให้ถูกทำลายด้วยโครงสร้างเทโลเมียร์ (Telomere) ส่วนปลายโครโมโซมที่มี DNA ลักษณะพิเศษ และเอนไซม์เทโลเมอเรส (Telomerase Enzyme) ที่ช่วยซ่อมแซมเทโลเมียร์ให้เป็นปกติ เป็นการค้นพบองค์ความรู้ด้านการชะลอวัยครั้งสำคัญ ช่วยสร้างความหวังในการหยุดยั้งและชะลอการแก่ในระดับเซลล์

นอกจากนี้การทำสมาธิ ยังกระตุ้นให้สมองสร้างเส้นใยประสาทเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างสมองแต่ละส่วน รวมถึงส่วนที่ช่วยควบคุมอารมณ์ ความสนใจและการคิด

วิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่า การฝึกบริหารควบคุมจิตใจช่วยพัฒนาและควบคุมการทำงานของระบบสมอง และมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย

การทำสมาธิจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางศาสนา แต่เป็นเรื่องของการฝึกบริหารสมอง ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม (Emotional and Social Intelligence) อีกทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความฉลาดทางสติปัญญาในการคิด วิเคราะห์ คำนวณ รวมถึงการเรียนรู้ทักษะและความรู้ต่างๆ

มายด์ไซท์ เป็นเรื่องของความสามารถในการเห็นและรู้จักจิตใจตัวเอง นำไปสู่การเห็นและเข้าใจผู้อื่น แล้วสร้างเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม – ทำให้วัยรุ่นไม่ตัดสินใจทำในสิ่งที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น

ซีเกล กล่าวว่า จิตใจมีความยืนหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ผ่านประสบการณ์ เราสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สภาพจิตใจได้ หากเข้าใจพื้นฐานของมายด์ไซท์ 3 ประการ ได้แก่

การหยั่งรู้ตนเอง (Insight) ความสามารถในการเข้าใจจิตใจภายในของตนเอง ตอบคำถามกับตนเองได้ว่า เราเป็นใครในปัจจุบัน เราเป็นใครในอดีต และเราอยากเป็นใคร (เป็นแบบไหน) ในอนาคตอันใกล้ เชื่อมโยงตัวตนในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน

ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจจิตใจภายในของผู้อื่น ทำให้เราเข้าใจการกระทำของผู้อื่นจากมุมมองของเขาโดยไม่ใช้ประสบการณ์หรือความรู้สึกของเราตัดสิน เหมือนจินตนาการว่า “ถ้าเราเป็นเขาแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร?”

การเข้าใจเจตนาและความจำเป็นของผู้อื่น จะทำให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติมากขึ้น

การหลอมรวม/ การเชื่อมรวม (Integration) ความสามารถในการเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลายเข้าด้วยกัน ทั้งภายในและภายนอกตัวเรา

“ไทม์-อิน” – “Time-In” เป็นวิธีการปฏิบัติ ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของมายด์ไซท์ ทำให้แต่ละคนสร้างระบบมายด์ไซท์ของตัวเองขึ้นมาได้ ซีเกล กล่าวถึงขั้นตอนไทม์-อิน ในหนังสือ Brainstorm: The Power and Purpose of the teenage brain ว่าเป็นการฝึกกำหนดให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ในอิริยาบถใดก็ได้  บางคนฝึกจดจ่อกับลมหายใจขณะล้างจาน ทำสวน เดิน ยืน นอน หรือนั่ง ซึ่งถือเป็น “การทำสมาธิ” อย่างหนึ่ง หากเผลอไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็แค่ให้กลับมารับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกของตัวเอง หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ

ซีเกล กล่าวว่า ไทม์-อิน คือ การให้ “เวลา” เพื่อใช้พิจารณาภายในจิตใจของตัวเองอย่างตั้งใจ ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ อาจจะวันละ 2 นาที 20 นาที หรือกี่นาทีก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่เป็นสิ่งที่ควรทำทุกวัน

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งนี้ไม่เก็บค่าเล่าเรียนและไม่มีการสอบ เน้นพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งด้านความรู้และความเป็นมนุษย์

ตารางเรียนในแต่ละวันของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา มีความสัมพันธ์กับปัญญาภายใน (Emotion and Spiritual Quotients) และ ปัญญาภายนอก (Intellectual Quotients)

จิตศึกษาเป็นการพัฒนาปัญญาจากภายในอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งนักเรียนจะได้ทำกิจกรรมจิตศึกษาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทุกเช้า เพื่อฝึกสติ การใคร่ครวญ การเคารพคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น เป็นการปรับคลื่นสมองจากที่เพิ่งได้วิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ มาในตอนเช้า ให้อยู่ในสภาวะคลื่นสมองต่ำที่พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อความจำและอารมณ์ร่วมในการเรียน

ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เราจะได้เห็นการนั่งจับกลุ่มเป็นวงกลมของครูกับนักเรียน ครูไม่นั่งสูงกว่านักเรียน แต่นั่งเป็นวงล้อมรอบที่ทุกคนอยู่เสมอกัน

กิจกรรม ‘Brain Gym’ หรือ กิจกรรมบริหารสมอง เป็นส่วนหนึ่งของจิตศึกษา การจัดท่าทางร่างกายที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อจึงจะทำได้ เช่น การกำหนดให้มือข้างซ้ายชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย มือข้างขวากำหลวมๆ จากนั้นจึงสลับมาชูนิ้วชี้และนิ้วก้อยด้วยมือข้างขวา ขณะที่ข้างซ้ายเปลี่ยนมากำหลวมๆ แทน สลับกันไปอย่างนี้จำนวน 20 ครั้ง หรือ ออกแบบการเคลื่อนไหวสลับข้างอื่นๆ เพื่อบริหารการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา 

กิจกรรม Brain Gym เป็นการใช้เวลาก่อนเข้าคาบเรียน ปรับสภาพจิตใจ อารมณ์ เตรียมสมาชิกให้กลับมามีสติที่ตัวเอง ละทิ้งความคิด ความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่เผชิญมาก่อนหน้านี้ ให้นักเรียนพร้อมสำหรับการเรียนรู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า

การมีสติจดจ่อกับปัจจุบันขณะ (presence) และการรับรู้อย่างมีสติ (mindful awareness) ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ระบบสมอง กระบวนการที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนฝึกฝนและพัฒนาได้โดยเฉพาะในวัยรุ่น

เรากำลังพูดถึงการทำงานของสมองในระดับโมเลกุลของเซลล์ที่เชื่อมการทำงานของสมองส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน แม้ว่าแต่ละส่วนจะทำหน้าที่แตกต่างกัน ยิ่งสมองแต่ละส่วนสร้างเครือข่ายการทำงานเชื่อมโยงกันได้มากเท่าไร เรายิ่งสามารถควบคุมอารมณ์ ความนึกคิด การตัดสินใจ และการแสดงออกทางพฤติกรรมได้มากเท่านั้น

แน่นอนว่าการฝึกฝนนี้ต้องอาศัยเวลาและการให้โอกาส สุด้ทายแล้วกระบวนการพัฒนาที่เกิดขึ้นจะทำให้วัยรุ่นปล่อยวางตัวเองจากคำตัดสินหรือจากสายตาของผู้อื่น ยอมรับตัวเองแทนการคาดหวัง มีความมั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่าและมีความรักให้กับตัวเองและผู้อื่น 

บทความที่เกี่ยวข้อง
จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น
วิเชียร ไชยบัง แห่งลำปลายมาศพัฒนา: ครูไม่ใช่ ‘ผู้สอน’ แต่เป็น ‘ผู้ร่วมทาง’
อ้างอิง
หนังสือ Brainstorm: The Power and Purpose of the teenage brain โดย แดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel)
Drdansiegel.com
Presence, Parenting, and the Planet | Dan Siegel | Talks at Google

Tags:

วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent BrainMindsight

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent Brain
    รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู

    เรื่อง

This is my Generation. This is our Generation เข้าใจวัยที่แตกต่างเพราะเราเติบโตจากโลกที่ต่างกัน
Social Issues
25 June 2020

This is my Generation. This is our Generation เข้าใจวัยที่แตกต่างเพราะเราเติบโตจากโลกที่ต่างกัน

เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ลำพังแค่คนอายุห่างกันไม่กี่ปี แต่อยู่ในโลกออนไลน์คนละใบ ใช้โซเชียลมีเดียคนละชุด เวลามาเจอหน้ากันจริงๆ ไม่ว่าจะทำงานด้วยกัน เสียงที่ต่างชัดเจนในวาระเลือกตั้ง หรือการต่อสู้ระหว่างประเทศในโลกทวิตภพ ก็ว่า ‘ห่าง’ แล้ว แต่หากคนต่างรุ่นอย่าง Baby Boomer มาเจอกันเจนอัลฟ่า หรือมารับรู้ว่าทุกวันนี้เจนเอ็กซ์พูดคุยกันเรื่องอะไร คิดและเชื่อมตัวเองสู่โลกภายนอกอย่างไร หลายครั้งทำให้เกิดการดูแคลนระหว่างกัน
  • เช่น คำศัพท์ใหม่อย่าง OK Boomer! หรือวาทกรรมดูแคลนคนรุ่นใหม่ที่มีคำฮิตติดปาก ‘ของมันต้องมี‘ ปรากฎการณ์เหล่านี้ทำให้คำว่า ‘ความแตกต่างระหว่างวัย’ หรือ ‘Generation Gap’ ถูกยกมาอธิบายขึ้นเรื่อยๆ
  • ชวนทำความเข้าใจ ‘ชีวิต’ ของคนต่างวัย ผ่านการเติบโตที่ต่างกัน ตั้งแต่ลักษณะครอบครัว บริบททางเศรษฐกิจและการเมือง การสื่อสาร และอื่นๆ ที่บ่มเพาะบุคลิกเฉพาะไม่เหมือนกัน

การปะทะกันระหว่างคนต่างรุ่นถูกพูดถึงบ่อยครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งมุมมองการใช้ชีวิต การทำงาน โดยเฉพาะในประเด็นการเมืองที่มี “คนรุ่นใหม่” เข้ามา มีทั้งคำชื่นชม เสียงเสียดสีในเชิงเด็กที่ไร้เดียงสาทางด้านการเมือง นอกจากนี้ยังมีคำอย่าง Generation Me ที่ใช้เรียกคนเจนหลังที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และการสวนกลับว่า OK Boomer! ยังสะท้อนว่าความขัดแย้งระหว่างคนแต่ละช่วงอายุเป็นปัญหาที่มีทั่วโลก แม้ความขัดแย้งจะมีมากขึ้น แต่อย่างไรการทำงาน การอยู่ร่วมกันในสังคม ยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือของคนหลายเจเนอเรชันในการทำงานและการอยู่ร่วมกัน ความเข้าใจจึงเป็นเครื่องมืออีกเครื่องมือที่จะช่วยลดความขัดแย้ง 

The Potential ชวนไปทำความรู้จักกับผู้คนในแต่ละเจนกันมากขึ้นผ่านงานวิจัย คำสัมภาษณ์ของคนในเจนนั้น รวมไปถึงบทสัมภาษณ์จากผู้ที่ศึกษาเรื่องราวของคนเจนอื่น

เข้าใจวิธีการแบ่ง generation

ก่อนที่จะไปเข้าใจพฤติกรรม รากเหง้าความคิดของคนแต่ละเจน เราพาไปเข้าใจการเริ่มต้นแบ่งยุคกันเสียก่อน แนวคิดเรื่อง Generations แบบที่พูดถึงอยู่บ่อยครั้งนั้นเป็นแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1923 โดยนักสังคมวิทยาชาวฮังการีที่ชื่อคาร์ล แมนไฮม์ (Karl Mannheim) ได้ตีพิมพ์งานเขียนของเขาในชื่อ “The Problem of Generations”

แมนไฮม์ ขยับขยายคำว่า generation ว่าเป็นรุ่นของผู้คนในสังคมซึ่งเกิดและเติบโตท่ามกลางเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์บางเหตุการณ์ที่มีแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง พวกเขาจะได้รับอิทธิพลจากบริบททางสังคมและทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นแบบเดียวกัน อันส่งผลให้เกิดลักษณะร่วมบางอย่าง มีค่านิยม แนวคิด และพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเดียวกันทั่วโลก แต่ก็ไม่อาจเหมารวมไปเสียหมด บางคนที่ถูกจัดว่าเป็นคนในเจเนอเรชันเดียวกันอาจมีลักษณะแนวคิดหรือพฤติกรรมที่ต่างกันได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น ชนชั้นทางสังคม, พื้นที่ที่อยู่อาศัย, การเลี้ยงดู หรือวัฒนธรรม ทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีทัศนคติที่แตกต่าง เฉพาะตัวจากคนในรุ่นเดียวกัน

Baby boomer

หนึ่งในรุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่คือ Baby boomer ยุคสมัยของคนที่เกิดในช่วงหลังของสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1944-1964 (พ.ศ. 2489 – 2507) ซึ่งปัจจุบันพวกเขาเป็นจัดเป็นผู้สูงอายุแล้ว

แม้ไม่ได้เจอกับเหตุการณ์โดยตรง แต่เป็นรุ่นที่ยังได้รับผลกระทบจากสงคราม สภาพสังคมทั่วโลกบอบช้ำ เศรษฐกิจย่ำแย่ เป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศพยายามฟื้นฟูตัวเอง ทั้งทางทรัพยากรมนุษย์ คนที่เกิดในเจเนอเรชันนี้มีจำนวนมากสมกับชื่อ baby boomer เนื่องจากมีการผลิตทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมาทดแทนทรัพยากรมนุษย์ที่เสียไปจากสงคราม และเพื่อใช้คนเป็นแรงงานในการขับเคลื่อนประเทศ และทางเศรษฐกิจ

ลักษณะครอบครัว: คนเจเนอเรชันนี้มักเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อแม่บางส่วนไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างทั่วถึงทั้งหมด การเลี้ยงดูจะต้องให้ลูกรับผิดชอบกับสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก พี่คนที่มีอายุมากกว่าจะต้องรับภาระในการเลี้ยงดูน้องคนเล็ก จึงทำให้ต้องเคารพระบบอาวุโส การปลูกฝังเรื่องการเชื่อฟัง ทำตามคำสั่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลครอบครัว

วิถีชีวิต: ตื่นเช้ามืดและนอนหัวค่ำ เพราะระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังไม่ได้ถูกพัฒนา ไฟฟ้าก็ไม่ได้เข้าถึงทุกพื้นที่ รวมถึงเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกยังไม่ได้ถูกประดิษฐ์ คนเจเนอเรชันนี้จำเป็นต้องตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัวทำมาหากิน  จะหุงข้าวก็ต้องเริ่มตั้งแต่จุดเตา มีขั้นตอนในการทำงานเยอะ บ่มเพาะนิสัยอดทนและการรอคอย ทำให้มองคนรุ่นหลังว่าสบาย (เมื่อเทียบกับวิถีชีวิตคนในรุ่นตัวเอง)

การเมือง: ช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อในการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย แต่ภายหลังก็ขาดเสถียรภาพทางด้านการเมือง ขาดความมั่นคง เกิดการรัฐประหารอยู่บ่อยครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นรุ่นที่เติบโตแล้วไปต่อสู้เรื่องการเมือง ด้านเศรษฐกิจ

ในช่วงปลายยุค ประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์การสหประชาชาติได้เข้ามีส่วนในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศไทยเพื่อนำประเทศเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก และมีส่วนร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การสาธารณสุขพื้นฐาน การพัฒนาเศรษฐกิจส่งออก

ชีวิตการงาน จากการพัฒนาที่มากขึ้นดังที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้คนเจเนอเรชันนี้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของตนเอง และครอบครัวเช่นเดียวกัน baby boomer เป็นคนรุ่นต้นๆ ที่ทำงานในองค์กร ทำให้รักผูกพันกับองค์กรที่ตัวมีส่วนบุกเบิก ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยวิสัยทัศน์ พันธกิจและกลยุทธ์ ทุ่มเททำงานหนักเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมือง อยากทำให้สังคมดีกว่าที่เป็นอยู่ ต้องการความมั่นคงในอาชีพ ไม่ค่อยเปลี่ยนงานบ่อย นอกจากนี้คนรุ่นนี้ยังถูกปลูกฝังเรื่องการอดออม รู้จักคุณค่าของเงิน

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกร เป็นช่วงเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนจากทำเกษตรกรรมประมงมาทำธุรกิจ อุตสาหกรรม ช่วงวัยเด็กของคนที่เกิดรุ่นนี้ยังผูกพันกับการทำนา ทำสวน จับปลา ทำประมง เรียนรู้ทักษะอาชีพหลากหลายจากคนที่ใกล้ชิด เช่น วิธีทอผ้า วิธีถักอวน เป็นต้น เชื่อมั่นในเรื่องของการทำงานหนักไม่มีวันอดตาย สิ่งแวดล้อมยังคงอุดมสมบูรณ์ ในชนบทสามารถหาอาหารได้จากธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่มีรายได้เป็นตัวเงินก็ตาม

การสื่อสาร สมัยก่อนคนยุคนั้นเสพสื่อจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือภาพยนตร์ ซึ่งมีทั้งแบบกลางแปลง หนังขายยา หรือโรงแสตนด์อโลนง่ายๆ ที่ปิดล้อมสังกะสี และช่วงนี้เองที่ประเทศไทยมีสถานีโทรทัศน์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

Generation X

Gen X หมายถึงคนที่เกิดปี ค.ศ. 1965 – 1979 (พ.ศ. 2508 – 2522) ปัจจุบันพวกเขาเป็นคนวัยใกล้เกษียณและวัยทำงาน

คนที่เกิดช่วงนี้จะเป็นคนที่อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น การเปลี่ยนจากระบบอนาล็อก (Analog) มาสู่ระบบดิจิตอล (Digital) จึงทำให้คนกลุ่มนี้สามารถปรับตัวให้เหมาะกับยุคสมัยได้ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากการขยายตัวทางการค้าและวิทยาการเทคโนโลยีได้ก่อให้เกิดการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกมากมายที่ช่วยยกระดับและส่งเสริมคุณภาพชีวิตมากกว่าคนรุ่นเดิม

ลักษณะครอบครัว: คนเจเนอเรชันนี้เริ่มมีลูกลดลง ให้ความสำคัญกับการศึกษาที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต คนรุ่นนี้มีเครื่องอำนวยสะดวกที่ทันสมัย ทำให้สนใจความเจริญทางด้านวัตถุมากขึ้น แต่ยังได้รับการเลี้ยงดูจากคนรุ่นก่อนทำให้ยังคงมีแนวคิดบางอย่างหลงเหลืออยู่ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติ, คติเรื่องอดทน, การเห็นคุณค่าของเงิน เป็นต้น Gen-X เกิดและเติบโตในยุคที่เริ่มมีปัญหาด้านครอบครัวเนื่องจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงิน สภาพสังคมมองว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ 

การเมือง: บ้านเมืองที่คนรุ่นนี้เติบโตมีวิกฤตอยู่บ่อยครั้ง ทั้งระดับโลกอย่างความสูญเสียของสงครามเวียดนาม การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงปลายยุค ในประเทศไทย การพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศที่กระท่อนกระแท่น มีรัฐประหาร และการต่อสู้ของนิสิตนักศึกษา ปัญญาชนในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในช่วงต้นของชีวิตของคนรุ่น Gen-X ส่งผลให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะรักอุดมการณ์ ช่างสงสัย กล้าเรียกร้องสิทธิของตน

ด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยได้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและนับเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยพัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเศรษฐกิจแบบเปิดที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น เศรษฐกิจไทยนั้นพึ่งพาเศรษฐกิจโลก อีกทั้งได้รับผลระทบจากการเกิดโลกาภิวัตน์อย่างเต็มเปา

ชีวิตการทำงาน: งานวิจัยของ Gursoy D, Maier TA, Chi CG ในปี 2008 ชื่อ Generational differences: An examination of work values and generational gaps in the hospitality workforce. ได้เสนอว่า มุมมองของคนเจเนอเรชันนี้มักพึ่งพาอาศัยความรู้ความสามารถของตนเอง (Self-Reliant) ทั้งในการทำงานและชีวิตส่วนตัว พวกเขามองเห็นว่าชาว baby boomer ทำงานหนัก และไม่มีเวลาให้เวลากับครอบครัวจึงปรับมุมมองว่างานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ทำให้คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถในการทำงานควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งทางสังคม ครอบครัว และความเป็นส่วนตัว จนกระทั่งสามารถสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) มีความภักดีต่อองค์กร แต่สนใจผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม 

คนเจเนอเรชันนี้ยังมีอุปนิสัยส่วนตัวชอบความท้าทาย มีความมั่นใจในตัวเอง ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดี มีความยืดหยุ่น ชอบความเป็นอิสระ ในขณะเดียวกันภาพสะท้อนของสังคมที่คนเจเนอเรชันนี้อาศัยอยู่ยังคงเห็นความเหลื่อมล้ำด้านการกระจายรายได้ ระหว่างเมืองและชนบท

การสื่อสาร: ผลจากการพัฒนาระบบสื่อสารมวลชนที่สามารถติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่กลายเป็นสื่อยอดนิยมของคนทั่วไป ทำให้คนในเจเนอเรชันนี้มีความเป็นปัจเจกชน (individual) มากกว่าคนรุ่นก่อน เสพสื่อและแนวคิดจากต่างชาติมากขึ้น ทั้งทางภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด หรือคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงต่างชาติ เกิดรายการโลกดนตรี มีการตั้งวงดนตรีสตริง หรือร็อกแอนด์โรลของกลุ่มวัยรุ่น เกิดกระแสนิยมวิธีคิดการแต่งกายและการใช้ชีวิตแบบตะวันตก อีกทั้งคนไทยยังนิยมไปศึกษาในต่างประเทศ

Generation Y

ชื่อเรียกของคนที่เกิดในปีค.ศ. 1980 – 1997 (พ.ศ. 2523 – 2540) เรียกได้หลายชื่อ ทั้ง Gen-Y, Millennials,  Net Generation หรือ Digital Generation

คนที่เกิดในเจเนอเรชันนี้ปัจจุบันอยู่ในวัยทำงานที่อายุกลางคนจนไปถึงคนที่เพิ่งจะจบการศึกษา เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่มีฐานะทางการเงินที่ดี พร้อมจะสนับสนุน และให้ความสำคัญกับการให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กรุ่นนี้เติบโตมาอย่างมั่นใจ มีความเป็นตัวของตัวเอง มองโลกในแง่ดี

สภาพสังคมและการเมือง: ที่คนรุ่นนี้เกิดและเติบโตนั้น บางส่วนเกิดในช่วงที่ยังมีปัญหาเรื่องสงครามเย็น พวกเขาผ่านเหตุการณ์สำคัญอีกหลายครั้งในช่วงต้นของชีวิต อย่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในช่วงปี พ.ศ. 2535 การมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในปี 2540 ช่วงเวลาที่เป็นวิกฤต เช่น วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เหตุการณ์รัฐประหาร 2549 หลายคนเติบโตมาทันเผชิญความสูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อแนวคิดทางการเมือง และสังคม

การสื่อสาร ยุคของพวกเขายังเป็นยุคที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ทำให้พวกเขาเติบโตท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม พวกเขาได้รับอิทธิพลจากสื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกระแสเพลง หนังจากประเทศตะวันตก และกระแสคลื่น J-pop ที่เข้ามาในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรุ่นนี้มีความเป็นปัจเจก มีความสนใจที่เฉพาะเจาะจง เป็นยุคที่มีนิตยสารที่มีเนื้อหาเฉพาะเกิดขึ้นหลายหัว สื่อสิ่งพิมพ์ยังคงเฟื่องฟู เว็บบอร์ดถูกใช้ในการสื่อสาร ในช่วงต้นนี้เองมีค่ายเพลงเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น อาร์เอส แกรมมี่ รถไฟดนตรี สร้างสรรค์เพลงที่เป็นอมตะจนถึงปัจจุบัน ไปจนถึงเพลงวัยรุ่นช่วงนั้นอย่างกามิกาเซ่ นอกจากนี้แฟชั่นการแต่งตัวที่ได้รับมาก็มีความร้อนแรง ทั้งการแต่งตัวแบบตะวันตก แฟชั่น 90’s และแฟชั่นจากฝั่งญี่ปุ่น มีการคอสเพลย์

การใช้ชีวิต บางส่วนมองว่าคนเจเนอเรชันนี้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย วัตถุนิยม บริโภคนิยม ซึ่งมาจากรายงานผลการศึกษาพฤติกรรมการเงินจากข้อมูลโซเชียลมีเดียของคนกลุ่ม Gen-Y  (Generation Y) โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB (TMB Analytics) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พบว่า… 

คน Gen-Y ส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับทัศนคติว่า “ของมันต้องมี” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อโทรศัพท์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า นาฬิกาหรือเครื่องประดับ กว่า 69% มากกว่าการตั้งใจซื้อบ้านซื้อรถตามความฝันที่ตั้งไว้ว่าจะมีก่อนอายุ 40 ปี และผลสำรวจยังพบว่าส่วนใหญ่ซื้อสินค้าเหล่านั้น เพราะกลัวตกกระแส 42%  มากกว่า มองว่าเป็นของจำเป็น 37% ซึ่งอาจเป็นผลกระทบมาจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่พวกเขาผ่านความยากลำบากในวัยเด็ก และเมื่อมีรายได้จึงต้องการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปด้วย และผลกระทบเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาค่อนข้างสูงจนคนเจนวายที่อยู่ในชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่างไม่สามารถทำงานหาเงินเพื่อซื้อในเวลาอันใกล้จึงใช้เงินเพื่อบำบัดความทุกข์ใจ

มุมมองด้านการทำงาน: คนเจเนเรชันนี้จะชอบทำงานเป็นทีม ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ปรับตัวได้ดี มีทักษะในการทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน และมีความชำนาญในเทคโนโลยีอย่างมาก รักความก้าวหน้า มุ่งผลสำเร็จเป็นหลัก ใช้หลักการทำงานแบบ work life balance พวกเขาให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดมากกว่าการท่องจำ หรือการปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดตามคำสั่ง แต่มักมีความอดทนต่ำ ทั้งร่างกายและจิตใจ เก็บอารมณ์ไม่อยู่ คนปลายเจเนอเรชันนี้มักถูกบอกว่าไม่เอาการเอางาน เปลี่ยนสายการทำงานอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว

Generation z

รุ่นของคนที่เกิดในช่วงปีค.ศ. 1998-2009 (พ.ศ. 2541 – 2552) ปัจจุบันพวกเขาอยู่ในช่วงของการเล่าเรียน ประถมศึกษาไปจนถึงมหาลัย

พวกเขาเติบโตในครอบครัวที่มีลูกน้อยลง ได้รับความรักจากคนในครอบครัว ได้รับการศึกษาที่ดี เป็นรุ่นที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง อย่างการก่อการร้าย 911 สงครามในซีกโลกตะวันออก และความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในช่วงพิษแฮมเบอร์เกอร์

การสื่อสาร: คนรุ่นนี้เป็นรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มีเครื่องอำนวยความสะดวก พวกเขาใช้สื่อสังคมออนไลน์ในชีวิตประจำวัน โทรศัพท์แทบจะกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ซึ่งส่งผลทำให้ลักษณะของคนเจนนี้สามารถหาความรู้ได้หลากหลายช่องทาง เชื่อมั่นในตัวเอง เข้าใจประเด็นทางสังคม เปิดกว้างทางความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างมากขึ้น เนื่องจากสื่อสังคมออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโลก ทำให้พวกเขามีความเป็นพลเมืองโลก มีแนวโน้มที่จะปรับทัศนคติได้ดี ไม่แบ่งแยกชนชั้น สีผิว ศาสนา หรือประเพณีที่แตกต่าง

นอกจากนี้โลกดิจิทัลยังอนุญาตให้พวกเขาได้ลองผิดลองถูกในสิ่งที่เขารักด้วยต้นทุนที่ถูกลง ปัจจุบันเราสามารถฟังเพลงดีๆ ที่ผลิตได้จากคนเจเนอเรชันนี้ใน music streaming แตกต่างจากยุคก่อนที่ไม่ค่อยมีช่องทางนำเสนอ แต่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดี

วิถีชีวิต: พวกเขาต้องอยู่ทั้งโลกจริงและในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้พวกเขาถูกตัดสิน เจอคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่าย ความอดทนต่ำลง ติดโลกออนไลน์ ถูกบังคับให้ต้องประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และถูกกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึงมีแนวโน้มที่พวกเขาจะมีปัญหาทางด้านจิตใจ

สภาพสังคม: ใน TEDxDayton นั้น โครีย์ ซีมิลเลอร์ Corey Seemiller  อาจารย์วิทยาลัยที่ศึกษาเกี่ยวกับ Generation Z ยังได้พูดในหัวข้อ Generation Z: Making a Difference Their Way ว่าเด็กเจเนอเรชันนี้ได้เห็นวิกฤติในช่วงวัยเด็กของชีวิต ทำให้พวกเขามาพร้อมกับแนวคิดที่อยากให้โลกดีขึ้น พวกเขาจะไม่นั่งรอคนมาบอกว่าต้องทำยังไง แต่จะพยายามหาทางรอดที่ยั่งยืน และสร้างการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับที่เราเห็นคนเจน Z ลุกขึ้นมาต่อสู้ในประเด็นทางสังคม เช่น เกรต้า ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) นักรณรงค์สิ่งแวดล้อมชาวสวีเดนวัย 15 ปี

มุมมองเรื่องการทำงาน: คนเจเนอเรชันนี้ พวกเขาสามารถทำงานได้หลากหลาย multi-tasking และไม่ได้เลือกทำงานเพื่อความมั่นคงเพียงอย่างเดียว แต่ยังคงหางานที่ให้คุณค่าและท้าทาย เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทน เพราะมองเห็นทางเลือกในชีวิตที่มากมาย จะยอมรับคำสั่งหากได้รับเหตุผล และคำอธิบายที่ดี อยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ไม่เชื่อเรื่องการทำงานหนักตอนวัยรุ่นแล้วสบายตอนแก่ ซึ่งอาจส่งผลมาจากความเหลื่อมล้ำที่พวกเขาต้องเจอ เช่น อสังหาริมทรัพย์ราคาแพงเกินที่พวกเขาจะเอื้อมถึง ทำให้เลือกไลฟ์สไตล์ที่เป็น work life balance ตั้งแต่ตอนนี้ พอมีรายได้ก็อยากไปหาประสบการณ์ชีวิต กิน ท่องเที่ยว ไปต่างประเทศ ไม่ได้อยากรอผลลัพธ์ที่มาไม่ถึง แต่อยากใช้เวลาช่วงนี้ของชีวิตทำในสิ่งที่ชอบ จากสภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่พวกเขาจะมีลูกน้อยลง

Generation Alpha

เด็กยุคใหม่ที่เกิดในปี ค.ศ.2010 เป็นต้นไป ตอนนี้พวกเขามีอายุมากสุดคือ 10 ปีและหลายคนยังไม่เกิดเลย บางครั้งถูกเรียกว่า The Ipad Generation เนื่องจากปีค.ศ. 2010 เป็นปีเดียวกับที่ Ipad ถูกปล่อยออกมาครั้งแรก

ดร.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ได้พูดเสวนาในหัวข้อเด็กยุคดิจิทัลในสังคมพหุวัฒนธรรม ในการประชุม 2.0 เรื่อง ความอดกลั้นและการอยู่ร่วมกัน (Tolerance & Coexistence 2.0 Form) โดยได้ให้ความหมายของเด็กในเจนนี้ว่า…

เป็นยุคที่เด็กเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เริ่มต้นใช้สมาร์ทโฟนก่อนการใช้งานคอมพิวเตอร์เสียอีก หลายคนเรียน ABC ผ่านคลิปบน YouTube ทางโทรศัพท์มือถือ พวกเขาต่างคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เผชิญความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่รวดเร็ว สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อิสระ ค้นหาความรู้ได้นอกห้องเรียน ทำให้ลักษณะของคนยุคนี้จะมีความเป็นปัจเจกชนสูง เชื่อมั่นในตัวเอง กล้าตั้งคำถาม กล้าที่จะโต้แย้งในสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากเขาสามารถเจอชุดข้อมูลที่หลากหลายโดยไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่มาสอน นอกจากนี้พวกเขายังมีสำนึกของพลเมืองโลกผ่านการเสพสื่อออนไลน์ เป็นรุ่นที่จะมีความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Generation) กล้าเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ด้วยตัวเอง และอยู่ในยุคที่มี Internet of things ใช้มากมาย

ในบทความนพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก ยังเพิ่มเติมอีกว่าเด็กในยุคนี้ถูกฟูมฟักความรักอย่างมหาศาลจากพ่อแม่ รวมถึงเครือญาติ เนื่องจากครอบครัวมีลูกน้อยลงสามารถทุ่มเททรัพยากรไปยังลูกได้มาก ทำให้มีโอกาสที่เด็กจะได้ค้นหาความชอบ หรือได้ลงมือทำอะไรหลายอย่าง แต่อีกด้านก็มีส่วนทำให้เด็กถูกกดดันจากความคาดหวังที่มากเกินไป นอกจากนี้อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าพวกเขาต่างคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยี สภาพแวดล้อมที่เด็กเจเนอเรชันนี้เติบโตมักจะห่างไกลจากธรรมชาติ หลายคนวิเคราะห์ว่าจะส่งผลเสียตรงที่พวกเขาขาดทักษะทางสังคม soft skills อย่างขาดความยืดหยุ่นทางอารมณ์, มีความอดทนจำกัด, ทักษะการร่วมงานเป็นทีมน้อยลง, ขาดการสื่อสารระหว่างมนุษย์แบบเผชิญหน้ากัน ซึ่งหลายอย่างยังต้องคาดเดาต่อไป

นี่คือส่วนหนึ่งของการเติบโของคนแต่ละรุ่น ซึ่งอาจพาเราเข้าใจแนวคิดของแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น

อ้างอิง
Haserot, P.W. (2004). Another look at how Gen X and Gen Y differ, IOMA’s Report on Compensation and Benefits for Law Offices
From Millennials to Boomers: The Ultimate Generation-Gap Guide
Generational differences: An Examination of Work Values and Generational Gaps in the Hospitality Workforce
Generation gap
Generation Z: Making a Difference Their Way | Corey Seemiller | TEDxDayton
What Makes “Generation Z” So Different? | Harry Beard | TEDxAstonUniversity
Millennials vs Generation Z – How Do They Compare & What’s the Difference?:
ละเอียด รุ่งก่อน. สัมภาษณ์, 27 มกราคม พ.ศ.2563.
รายงานสุขภาพคนไทย  2559 : ตายดี วิถีที่เลือกได้
การศึกษาเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์และเจนเนอเรชั่นวายในมุมมองต่อคุณลักษณะของตนเองและความคาดหวังต่อคุณลักษณะของเจนเนอเรชั่นอื่น
พฤติกรรมการใช้สื่อของกลุ่มเจ็นเนอเรชั่น เอ็กซ์ และเจ็นเนอเรชั่น วาย
ของมันต้องมีหรือของมันต้องใช้? ชวนเข้าใจภาระทางการเงินที่คน Gen Y ต้องแบกรับ
ทำไมคนยุคนี้ไม่มีลูก | BI Opinion
TMB Analytics เผยบทวิเคราะห์พฤติกรรมการเงิน GEN Y
เข้าใจความต่างคน 4 เจเนอเรชั่น ทลายช่องว่างเพื่อการทำงานที่แฮปปี้
ธุรกิจถูกจริต Gen Y
ทำไม คนเจนวาย ถึงไม่รวยสักที
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก
Gen Y/Gen Me กลุ่มผู้กุมชะตาโลก

Tags:

generation gapโซเชียลมีเดียGeneration Alphaนพ.สุริยเดว ทรีปาตี

Author:

illustrator

กรกมล ศรีวัฒน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    7 คาแรคเตอร์ของเด็กเจนฯ อัลฟ่า

    เรื่อง The Potential

  • Social IssuesEarly childhood
    นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ
Movie
24 June 2020

Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ชวนดูวิธีรับมือของพ่อแม่เมื่อลูกเป็นกลุ่มคนเพศหลากหลายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผ่านซีรีส์ Queer as Folk
  • ประโยคหนึ่งที่เราชอบตอนแม่ๆ คุยกัน เป็นฉากที่เด็บบี้กับเจนนิเฟอร์นั่งปรับทุกข์ในบาร์ ขณะที่เจนนิเฟอร์กำลังเครียดอย่างหนัก เพราะเจออาการต่อต้านของจัสตินที่แม้ว่าเธอจะพยายามใช้ไม้อ่อนเข้าหาลูก แต่ดูเหมือนจะผลักเขาให้ยิ่งห่างออกไป เด็บบี้เลยพูดว่า ‘พวกเขาอาจจะพูดจาใหญ่โต ทำตัวแข็งแกร่ง แต่ความจริงคือสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด มากกว่าเรื่องที่พ่อจะรู้และอัดเขาซะน่วม คือ คุณจะเลิกรักเขา’ เจนนิเฟอร์ตอบว่า ‘ฉันไม่มีวันทำแบบนั้น’ เด็บบี้ตอบกลับ ‘งั้นคุณก็ต้องทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้เสียคุณไป’
ภาพประกอบจาก Showtime

เพศ เซ็กส์ เพื่อน ครอบครัว และสังคม

คือวัตถุดิบที่ใช้ปรุงแต่งอาหารที่ชื่อว่า Queer as Folk

Queer as folk ซีรีส์สัญชาติอเมริกัน สร้างขึ้นในปี 2000 รีเมคจากซีรีส์ชื่อเดียวกันสัญชาติอังกฤษ ตัวซีรีส์นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนเพศหลากหลายที่อาศัยอยู่ในเมืองพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh) รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ผ่าน 4 ตัวละครหลัก คือ ไบรอัน คินนีย์ (Brian Kinney) ไมเคิล โนวอตนีย์ (Michael Novotny) เอ็มเม็ต ฮันนี่คัท (Emmett Honeycutt) และ เท็ด ชมิดต์ (Ted Schmidt) พวกเขาทั้ง 4 คนไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งรูปร่างหน้าตา รสนิยม หรือนิสัย มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ เป็นเกย์…

และการเข้ามาของ จัสติน เทย์เลอร์ (Justin Taylor) เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่กำลังสับสนในตัวเอง เขาเดินทางมาเที่ยวแถวย่านบาร์เกย์ จนเจอเข้ากับไบรอัน และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

อ่านพล็อตคร่าวๆ ทุกคนอาจจะรู้สึกว่า มันโดดเด่นตรงไหน? ปัจจุบันมีซีรีส์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มเพศหลากหลายเยอะมาก แต่เราอยากให้ทุกคนลองนึกภาพเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่สังคมยังไม่เปิดกว้างกับความหลากหลายทางเพศ พร้อมกับมีความเชื่อผิดๆ เช่น เป็นเกย์ = ติดเชื้อ HIV หรือถ้าใครเปิดเผยว่าเป็นกลุ่มเพศหลากหลายอาจถูกฆาตกรรมได้ อย่างเช่นในปี 2002 Gwen Araujo วัย 17 ปี ชาวอเมริกัน-ลาติน ถูกวัยรุ่นชาย 4 คนรุมทำร้ายจนเสียชีวิตเพราะรู้ว่าเธอเป็นหญิงข้ามเพศ (Transgender woman) ซึ่งเหตุการณ์ทำร้ายกลุ่มเพศหลากหลายมีมาอย่างยาวนาน อย่างเคสฮาร์วีย์ มิลค์ (Harvey Milk) นักการเมืองชาวอเมริกันคนแรกในยุค 70 ที่ถูกยิงจนเสียชีวิต ด้วยบริบทสังคมที่ไม่เปิดรับแต่กลับมีคนกล้าหยิบเรื่องนี้มาทำ แถมนักแสดงนำเกือบทุกคนก็เป็นกลุ่มคนเพศหลากหลาย 

บวกกับเนื้อเรื่องที่เล่าถึงความสัมพันธ์ ชีวิตการทำงาน และประเด็นทางสังคมที่โดนใจใครหลายๆ คน เราว่านั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซีรีส์เรื่องนี้ที่ผ่านมา 20 ปีแล้ว ยังมีคนพูดถึงอยู่ และเราไม่รู้สึกว่ามันเก่าเลย เช่น การเหยียดเพศจนไปถึงขั้นทำร้ายร่างกาย การเลือกปฎิบัติในที่ทำงาน การแต่งงานอย่างถูกกฎหมายของกลุ่มเพศหลากหลาย (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบริบทบ้านเราในปัจจุบัน ก็ยังมีเหตุการณ์พวกนี้อยู่)

เพื่อให้เข้ากับกลุ่มคนอ่าน The Potential พาร์ทที่เราอยากหยิบมาเล่า คือ ครอบครัว การมีลูกเป็นกลุ่มคนเพศหลากหลาย เราอยากชวนทุกคนไปเคาะประตูดูแต่ละบ้านว่าเขารับมือกับมันอย่างไร

1.
พ่อแม่น้องใหม่

เริ่มที่ครอบครัวของจัสติน เครก เทย์เลอร์ (Craig Taylor) และ เจนนิเฟอร์ เทย์เลอร์ (Jennifer Taylor) สองสามี-ภรรยา เป็นสมาชิกน้องใหม่ของกลุ่มผู้ปกครองที่ลูกเพิ่งค้นพบตัวตนที่เขาอยากเป็น ภาพครอบครัวเทย์เลอร์เป็นไปตามสูตรครอบครัวที่สมบูรณ์แบบของสังคม พ่อออกไปทำงานนอกบ้าน เปิดกิจการขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนแม่เป็นแม่บ้านดูแลลูก 2 คน คือจัสตินและน้องสาว มอลลี่ เทย์เลอร์ (Molly Taylor) 

ซีรีส์ฉายให้เราเห็นว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัว ลูกๆ จะสนิทกับแม่มากกว่า เพราะพ่อต้องออกไปทำงานข้างนอกบวกกับนิสัยที่ชอบบงการและอารมณ์ร้อน ต่างจากแม่ที่ใจเย็นและรับฟังพวกเขาเสมอ พวกเขากล้าที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้แม่ฟัง ตัวเจนนิเฟอร์เองก็มั่นใจว่ารู้จักลูกดี แต่บางทีเธอก็ลืมไปว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องมีเส้นกั้น 

เจนนิเฟอร์และจัสติน

พักหลังๆ เจนนิเฟอร์สังเกตเห็นจัสตินเปลี่ยนไป แอบไปข้างนอกช่วงดึกๆ แถมมีเสื้อผ้าของผู้ชายคนอื่นอยู่ในห้องเขา แม้จะเริ่มสงสัยแต่เจนนิเฟอร์ก็ยังไม่เล่าให้ใครฟัง เพราะเธออยากแน่ใจกับเรื่องนี้และคุยกับลูกก่อน

วันหนึ่งด้วยจังหวะที่เป็นใจ เจนนิเฟอร์ตัดสินใจลองคุยกับจัสตินด้วยการถามว่า เสื้อผู้ชายที่อยู่ในห้องเขาเป็นของใคร? เขากำลังคบกับผู้ชายคนนั้นเหรอ? แน่นอนว่าปฏิกิริยาตอบกลับของจัสติน คือ โวยวายและคิดว่าแม่ล้ำเส้นชีวิตเขา นั่นเป็นฉากหน้า เพราะจริงๆ แล้วจัสตินกำลังกลัว เขาวิ่งหนีไปตั้งหลักที่บ้านเพื่อน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแย่กว่าที่เจนนิเฟอร์คิด เธอตัดสินใจคุยกับสามี แล้วบู้ม! เหมือนระเบิดเวลา เครกรับไม่ได้ที่ลูกเป็นเกย์ เขาต่อว่าเจนนิเฟอร์ที่ไม่ดูแลลูกให้ดี แล้วใช้ไม้แข็งจัดการบังคับให้จัสตินเปลี่ยน แน่นอนจัสตินไม่มีวันทำตามเพราะเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเลือกและเป็น เขาตัดสินใจเดินออกจากบ้าน และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจัสตินและครอบครัวพังลง

ส่วนเจนนิเฟอร์ เธอไม่ได้โกรธหรือรังเกียจจัสติน ตรงกันข้ามเธอไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไง นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ ทำให้เจนนิเฟอร์พยายามเข้าไปใกล้ชิดกับลูกเหมือนเดิม พยายามรักษาความสัมพันธ์ไม่ให้เธอเสียลูกไป โชคดีของเจนนิเฟอร์ที่ได้กุนซือคอยให้คำแนะนำเธออย่าง เด็บบี้ แม่ของไมเคิล (เราจะเล่าเรื่องเธอต่อไป)

เด็บบี้เข้าใจเจนนิเฟอร์เพราะเธอเคยเผชิญกับมันมาก่อน คำแนะนำแรกที่เธอให้เจนนิเฟอร์ คือ “อย่าถามลูกว่า ‘เธอเป็นใช่ไหม?’ เพราะเราจะไม่มีวันได้คำตอบ แค่พูดว่า ‘ฉันรู้’ ก็พอแล้ว” เด็บบี้เป็นทั้งคนให้คำแนะนำ เป็นพี่เลี้ยงพาเจนนิเฟอร์มารู้จักกับโลกของลูกพวกเขา และเป็นบ้านให้จัสตินอาศัยอยู่

ประโยคหนึ่งที่เราชอบตอนแม่ๆ คุยกัน เป็นฉากที่เด็บบี้กับเจนนิเฟอร์นั่งปรับทุกข์ในบาร์ ขณะที่เจนนิเฟอร์กำลังเครียดอย่างหนัก เพราะเจออาการต่อต้านของจัสตินที่แม้ว่าเธอจะพยายามใช้ไม้อ่อนเข้าหาลูก แต่ดูเหมือนจะผลักเขาให้ยิ่งห่างออกไป เด็บบี้เลยพูดว่า

‘พวกเขาอาจจะพูดจาใหญ่โต ทำตัวแข็งแกร่ง แต่ความจริงคือสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด มากกว่าเรื่องที่พ่อจะรู้และอัดเขาซะน่วม คือ คุณจะเลิกรักเขา’

‘ฉันไม่มีวันทำแบบนั้น’

‘งั้นคุณก็ต้องทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้เสียคุณไป’

เราในฐานะลูก เข้าใจความรู้สึกของจัสติน เขากลัวว่าถ้าตัวเองเปลี่ยนไปพ่อแม่จะไม่รักเขาเหมือนเดิม แล้วมันก็เป็นเรื่องจริง พ่อโกรธแถมไล่เขาออกจากบ้าน ส่วนแม่เองก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยมือเขาเมื่อไร จัสตินตัดสินใจว่าเขาต้องใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร เพราะเขาจะได้ไม่ถูกทิ้งอีก นั่นกลายเป็นการผลักไสแม่ออกไป งานยากของเจนนิเฟอร์ที่ต้องทำให้ลูกกลับมาเชื่อเธออีกครั้ง  

เราว่าพ่อและแม่จัสตินเหมือนยืนอยู่บนทางแยกว่าจะจับมือไปกับจัสตินหรือทิ้งเขา เครกเลือกที่จะปล่อยมือและเดินไปอีกทาง เพราะไม่สามารถยอมรับลูกได้ ส่วนเจนนิเฟอร์ เธอไม่ได้สนว่าลูกจะเป็นอะไร แค่เหตุผลว่ารักและไม่อยากเสียเขาไป ทำให้เธอตัดสินใจเดินไปทางเดียวกับลูก

2.
คุณแม่ในฝัน

เด็บบี้ โนวอตนีย์ (Debbie Novotny) เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงไมเคิลมากับพี่ชายของเธอ ตอนดูซีรีส์ เรารู้สึกว่าเด็บบี้ถือเป็นแม่ในฝันที่ลูกๆ อยากได้ เธอทั้งสดใสร่าเริง (บางทีก็มากเกินไปจนทำให้ไมเคิลปวดหัว) กล้าคิดกล้าพูด และยอมรับสิ่งที่ลูกเป็น (ถือเป็นคุณสมบัติแรร์ไอเทมเลยนะ) 

เมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ สิ่งที่เด็บบี้ทำคือ เธอไม่ตั้งคำถาม ไม่ต่อว่า แค่ยอมรับสิ่งที่ลูกเป็น (เด็บบี้บอกเจนนิเฟอร์ว่า เธอไม่บังคับให้ไมเคิลพูดว่าเขาเป็นอะไร เธอบอกแค่ว่า ‘ฉันรู้’ เพื่อลดความเจ็บปวดและความกังวลของไมเคิล) ไม่ใช่แค่พูดด้วยนะ ทั้งทำงานในร้านอาหารย่านเกย์ เข้าร่วมกลุ่ม PFLAG (ย่อมาจาก Parents and Friends of Lesbians and Gays) เข้าร่วมกลุ่มต่อสู้เพื่อให้กลุ่มเพศหลากหลายได้สิทธิ์ต่างๆ เด็บบี้พยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของไมเคิล

ไมเคิลและเด็บบี้

นอกจากเป็นพี่เลี้ยงให้เจนนิเฟอร์แล้ว เด็บบี้ก็เป็นแม่อีกคนของจัสติน เธอรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญมันหนัก ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาที่โรงเรียน สิ่งที่เด็บบี้ทำคือ พยายามให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ช่วยชี้ทางให้จัสตินเดินต่อไปได้

มีเหตุการณ์หนึ่งที่จัสตินถูกเพื่อนล้อ เขาบอกกับครู แต่ครูไม่ทำอะไรเลย นั่นทำให้จัสตินโมโหจนเผลอใช้คำพูดรุนแรงกับครู ทำให้เขาถูกพักการเรียน เด็บบี้ที่เห็นว่าจัสตินกำลังเศร้า เธอถือจานคุกกี้และนมมาปลอบใจเขา พร้อมกับเล่าเรื่องของไมเคิลให้ฟังว่า

‘มีคนหลายคนพอรู้ว่าไมเคิลเป็นเกย์ เขาพูดและทำสิ่งที่ใจร้ายกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ญาติฉันเองที่พอรู้ว่าไมเคิลเป็นอะไรก็ไม่ยอมให้ลูกมาเล่นด้วย คนทั่วไปมักจะเป็นอย่างนั้นเพราะไม่รู้เรื่องและกลัว และไม่มีอะไรที่เธอจะให้พวกเขาได้นอกจากให้การศึกษาหรือยิงพวกเขาทิ้ง สำหรับฉันเลือกเข้าร่วมกลุ่ม พี-เฟล็ก (PFLAG) เพราะมันดีกว่าไปยิงพวกเขา’

เรากดไลค์ให้กับประโยคนี้เลย เพราะมันจริงมากๆ ตัวเราเองเคยไม่เข้าใจเรื่องเพศ (ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเพศหลากหลายนะ แต่เรื่องเพศทั้งหมด) ทำให้บางทีแสดงออกแบบผิดๆ เช่น ล้อผู้ชายว่า ‘ไปนุ่งกระโปรงไป๊!’ แต่พอเรามีโอกาสทำความเข้าใจกับมันมากขึ้น เราถึงเปลี่ยนตัวเองได้ บางทีเวลาเห็นคนที่ทัศนคติไม่ดี ชอบเหยียด มันอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา หล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนี้ สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้ แต่ถ้าทำแล้วเขายังเป็นแบบเดิมก็คงต้องปล่อยวาง

อีกฉากที่เราชอบอยู่ตอนที่ 4 ซีซั่น 2 พูดเรื่อง Pride Month (เดือนมิถุนายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นเดือนของกลุ่มเพศหลากหลาย พวกเขาจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆ) ความฝันของเด็บบี้ คือ การได้เดินขบวนร่วมกับลูก แต่ไมเคิลไม่ยอมทำตามที่เธอขอ เพราะเขาต้องปิดบังความลับเรื่องที่เป็นเกย์ (สมัยนั้นการเปิดเผยว่าเป็นกลุ่มคนเพศหลากหลายไม่ได้รับการยอมรับ ทำให้มีการเลือกปฏิบัติ เช่น ถ้าที่ทำงานรู้อาจโดนให้ออก)

ไมเคิลบอกว่า ‘มันง่ายสำหรับแม่ที่จะโบกผ้าและเดินขบวน เพราะแม่ไม่มีอะไรต้องเสีย พระเจ้า! แม่ไม่ได้เป็นเกย์ด้วยซ้ำ’ แต่เด็บบี้ตอกกลับว่า เธออาจจะไม่ได้เป็นเกย์ แต่เธอก็ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ สุดท้ายไมเคิลยอมเดินขบวนกับแม่ โดยแต่งเป็น Drag queen (การแต่งกายเป็นเพศหญิง) 

แต่เด็บบี้ก็ไม่ใช่แม่ที่สมบูรณ์แบบตลอด เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำผิดได้ เช่น บังคับให้ไมเคิลเลิกกับแฟนหลังจากรู้ว่าเขาเป็น HIV แต่คุณสมบัติหนึ่งที่เธอมี (และเราอยากให้ผู้ปกครองทุกคนมีจัง) คือ การยอมรับ ถ้าตอนที่เด็บบี้รู้ว่าไมเคิลเป็นเกย์ เธอเลือกไม่ยอมรับหรือพยายามเปลี่ยนเขา เราว่าเรื่องคงไม่แฮปปี้แบบนี้

3.
พ่อแม่ที่ให้กำเนิด

ครอบครัวสุดท้าย แจ็ค คินนีย์ (Jack Kinney)และโจแอน คินนีย์ (Joanl Kinney) พ่อแม่ไบรอัน ก่อนอื่นขอบอกว่าตัวละครไบรอัน คือ ตัวละครที่เราชอบที่สุด ติด Top 10 อันดับตัวละครในดวงใจ เพราะเราชอบบุคลิกที่ซับซ้อนของไบรอันเหมือนสายโทรศัพท์บ้านเรา ไบรอันเป็นคนที่โดนด่ามากที่สุดในเรื่อง เพราะเขาเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยแคร์คนอื่น (จริงๆ สิ่งที่ไบรอันแคร์มีแค่เงินและเซ็กส์) แต่บุคลิกพวกนี้ก็มาจากสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา 

ไบรอันวัยเด็กโตมากับพ่อที่ชอบดื่มเหล้าและใช้ความรุนแรง ส่วนแม่ก็ไม่เคยสนใจลูกเอาแต่เข้าโบสถ์ ทำให้เขาโตมาแบบขาดความรัก เขาไม่เชื่อหรือศรัทธาในทุกความสัมพันธ์ พยายามไม่ผูกมัดกับใคร เข้าหาคนอื่นเพื่อความสุขชั่วคราว แถมเกลียดคำว่าครอบครัว

คนในครอบครัวไบรอันไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเกย์ จนวันหนึ่งพ่อที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีมาหาเขา และบอกว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะมะเร็ง ภายนอกไบรอันทำว่าไม่แคร์ ถามพ่อกลับว่า ‘แล้วมาบอกเขาทำไม?’ แต่เมื่อลองคำนวณเวลาที่เหลืออยู่ของพ่อ ไบรอันตัดสินใจบอกความจริง อย่างน้อยให้พ่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา และปฎิกิริยาของพ่อก็เป็นแบบที่ไบรอันคิดไว้ เขารับไม่ได้ และด่าว่าคนที่ควรตายไปไม่ใช่เขาแต่เป็นไบรอัน

แต่สุดท้ายแจ็คเดินกลับมาหาไบรอัน เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก แค่เอารูปถ่ายเขากับไบรอันสมัยที่ไบรอันยังเด็กมาให้ ซึ่งเราคิดว่าแจ็คคงอยู่ในจุดที่ไม่ได้สนว่ารับได้หรือรับไม่ได้ เขาแค่อยากใช้เวลาที่เหลือสร้างความทรงจำที่ดีกับลูก

ส่วนแม่ไบรอัน โจแอน เธอก็เหมือนกับแจ็คหลังจากที่รู้ความจริง เธอรับไม่ได้อย่างรุนแรง เพราะการที่ไบรอันเป็นเกย์มันขัดกับสิ่งที่เธอศรัทธา (โจแอนนับถือศาสนาคริสต์) เธอบอกว่า ไบรอันจะต้องตกนรกแน่นอน ลามไปถึงสั่งห้ามไม่ให้น้องสาวไบรอันไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก พร้อมกับตอกย้ำว่า ‘การผิดเพศ’ เป็นสิ่งที่เลวร้าย 

ไบรอันและโจแอน

ความสัมพันธ์ของไบรอันกับแม่อาจไม่ได้ดำเนินตามสูตรสำเร็จของซีรีส์ ที่สุดท้ายพวกเขาปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด เพราะขนาดไบรอันป่วยหนักกำลังจะตาย โจแอนยังโทษว่าเป็นเพราะไบรอันเป็นเกย์ พระเจ้าเลยลงโทษเขา เราว่าโจแอนไม่ผิดที่เธอไม่สามารถยอมรับลูกได้ เธอแค่เห็นว่าความเชื่อ ความศรัทธามันสำคัญเกินกว่าที่จะทิ้ง หรือทิ้งลูกอาจจะง่ายกว่า 

เราว่าพ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ ที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ทำผิดพลาดได้ มีความเชื่อ ความคิด หรือทัศนคติของตัวเอง แต่จะเป็นไปได้ไหมที่พ่อแม่จะมองข้ามสิ่งพวกนั้น มองให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของลูก พวกเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง แค่อย่าเอามาเป็นตัวผลักไสลูก สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดคงเป็นการได้รับการยอมรับจากคนที่เขาเรียกว่า ‘ครอบครัว’ 

Tags:

พ่อแม่ภาพยนตร์เพศLGBTQ+

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

“ขยะก็เหมือนความสัมพันธ์ ถูกผลักจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ทั้งที่เราสร้างมันขึ้นมา” ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป
Everyone can be an Educator
23 June 2020

“ขยะก็เหมือนความสัมพันธ์ ถูกผลักจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ทั้งที่เราสร้างมันขึ้นมา” ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • “มุมมองส่วนตัวก็มีผลต่อการจัดการขยะด้วย แทนที่จะเรียกเหมารวมของเหลือใช้ทุกอย่างเป็นขยะแล้วปัดความรับผิดชอบโยนทิ้งรวมๆ กันลงในถัง ให้ลองเปรียบเทียบขยะเหมือนความสัมพันธ์ของคนดู เป็นสิ่งที่ถูกผลักออกจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ ไม่สนใจและไม่อยากรับผิดชอบ ทั้งที่เราเองก็เป็นคนสร้างมันขึ้นมา”
  • เพราะเติบโตมากับธุรกิจรับซื้อของเก่าที่บ้าน เปรม พฤกษ์ทยานนท์ จึงเข้าใจว่าการแยกขยะนั้นยุ่งยาก รายละเอียดเยอะ หลายขั้นตอน เกินว่าที่จะโน้มน้าวให้คนทำได้ทุกวัน เพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไปจึงเกิดขึ้นด้วยความคิดง่ายๆ เหมือนการสะกิดบอกเพื่อนว่า ‘ลองเอาขยะในมือไปขายดูสิ’
  • “เอาเข้าจริงๆ แล้ว แหล่งข้อมูลสำคัญกลับมาจากการถกเถียงในเพจของเราเอง ผมชอบมากเลยเวลามีคนเข้ามาถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งที่นำเสนอ หรือแย้งกับผมโดยตรง หลังจากนั้นผมมักจะส่งข้อความส่วนตัวเข้าไปถามและรบกวนให้เขาอธิบายต่อ นั่นทำให้ข้อมูลความรู้ผมขยายกว้างขึ้นมาก”

ควรแยกขยะก่อนทิ้ง – ใครๆ ก็รู้

แต่การแยกขยะให้ถูกวิธีแบบที่ไม่เพิ่มภาระให้โลก – ใช่ว่าทุกคนจะรู้วิธี แต่ก็ไม่ยากจะค้นหา

บนแขนงซอกซอยนับไม่ถ้วนบนโลกออนไลน์มีเนื้อหาวิธีการแยกขยะสารพัดให้เลือกอ่านเลือกทำตาม ส่วนในโลกโซเชียลเมืองไทย เมื่อเกิดคำถามเรื่องการแยกขยะ หลายคนพร้อมใจกันผายมือไปทางเพจเฟซบุ๊คชื่อ ‘ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป’ เพจที่ว่าด้วยการแยกขยะ วิธีรักษ์โลกอย่างง่ายที่ใครก็ทำได้จริง จนกลายเป็นเหมือนชุมชนขนาดย่อมของคนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

หลังบ้านของเพจนี้ไม่ใช่คุณลุงที่ไหน แต่เป็นชายหนุ่มเจ้าของธุรกิจรับซื้อของเก่าที่นอกจากจะดูแลธุรกิจเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว เปรม พฤกษ์ทยานนท์ อดีตบัณฑิตวิศวกรคอมพิวเตอร์ ยังทำหน้าที่ดูแลเพจ ‘ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป’ มาสองปี ควบทุกหน้าที่เบ็ดเสร็จตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง สรรหาประเด็น สืบค้นข้อมูล และฝ่ายครีเอทีฟคอยย่อยข้อมูลยากๆ ให้ออกมาเข้าใจง่าย สำหรับคนอยากรักษ์โลกแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

หลังเดินผ่านกองกระดาษใหญ่โต กองขวดแก้วมหาศาล คนงานหลายคนกำลังทำงาน รถบรรทุกอีกหลายคัน ท่ามกลางเสียงรถเครนที่กำลังทำงานอยู่ไกลๆ The Potential ได้ชวน เปรม นั่งคุยถึงโลกความรู้ของขยะที่ไม่ได้จบแค่การแยกตามสีถัง – ทั้งในฐานะแอดมินเพจ คนในแวดวงรีไซเคิล และคนธรรมดาที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลง

เริ่มต้นเพจ ‘ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป’ ได้อย่างไร

บอกก่อนเลยว่า ถึงผมจะเติบโตมากับธุรกิจรับซื้อของเก่าของครอบครัว แต่นี่ก็ไม่ใช่งานที่อยากทำตั้งแต่แรก ในเมื่อต้องทำจริงๆ ผมจึงลองปรับมุมมองลองหาข้อดี ก่อนจะพบว่าเรามีของดีในมือ นี่คือธุรกิจที่ทุกคนได้ประโยชน์ถ้วนหน้า ตั้งแต่คนขายขยะ คนรับซื้อ โรงงาน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม วิน-วิน รอบด้านจนผมหาข้อเสียไม่เจอ แล้วจู่ๆ ก็ตกหลุมรักงานนี้จนหันมาศึกษาเรื่องขยะอย่างจริงจัง

ผมรู้สึกว่าคนทั่วไปคิดว่าเรื่องการรีไซเคิลเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริง หรืออาจเข้าใจผิดไปว่าเป็นแค่การทิ้งขยะให้ถูกถังก็พอ สำหรับผมแล้ว แต่ละวันที่เห็นรถขนของเก่าเข้ามาในโรงงาน บวกกับความรู้ต่างๆ ในการแยกประเภท และข้อมูลที่ค้นคว้ามาทำให้ยิ่งเห็นชัดว่า เพราะการจัดการขยะมีรายละเอียดมากกว่าแค่แยกสีถัง ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้พาลคิดไปว่า ยุ่งยาก วุ่นวายเกินกว่าจะทำได้ทุกวัน

จริงๆ แล้วการแยกขยะที่ถูกวิธีคือการทำให้ของเหลือใช้เหล่านั้นเข้าสู่ขั้นตอนการรีไซเคิลได้จริง ซึ่งแค่ทิ้งลงถังตามสีที่กำหนดยังไม่เพียงพอ ผมจึงอยากสื่อสารเรื่องนี้ออกมาให้คนเข้าใจได้ถูกต้อง

เพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป จึงเริ่มต้นจากความคิดง่ายๆ เหมือนกับการสะกิดบอกเพื่อนว่า ‘ลองเอาขยะในมือไปขายดูสิ’ คือถ้าเปลี่ยนทัศนคติให้เห็นขยะบางชิ้นมีมูลค่าและรู้วิธีจัดการขยะแต่ละชนิด ก็เริ่มช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย

นั่นคือสิ่งที่เพจต้องการสื่อสาร?

ใช่ครับ ผมอยากสร้างการเปลี่ยนแปลง และการแยกขยะเป็นส่วนเล็กๆ ที่เริ่มลงมือทำได้ง่าย ใกล้ตัว และเห็นผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด

เนื้อหาช่วงแรกก็เป็นการลองแยกขยะให้เห็นวันละชิ้นแบบง่ายๆ เช่น วันนี้หยิบเจออะไรก็แยกออกมาให้เห็นชัดๆ ถึงส่วนที่นำไปขายต่อได้ และส่วนที่ต้องทิ้งจริงๆ

แต่พอทำเพจไปสักพัก เนื้อหาก็เริ่มวนซ้ำอยู่ที่เรื่องเดียวจนผมคิดว่าน่าจะลองขยายขอบเขตเนื้อหาในเพจให้กว้างขึ้นตามสิ่งที่ตัวเองก็สนใจ ทั้งข่าวสิ่งแวดล้อม กิจกรรมการรณรงค์ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นรูปแบบของเพจลุงซาเล้งฯ ในปัจจุบัน

ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่มีแอดมินคนเดียว เนื้อหาที่นำเสนอส่วนใหญ่ก็มาจากความสนใจ อยู่ที่ว่าเราก็ติดตามข่าวสารอะไรเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นทุนเดิมของเราเอง ค่อนข้างฟรีสไตล์ไม่มีอะไรตายตัว หรือคนอ่านอยากรู้เรื่องอะไรในช่วงนั้นเราก็นำเสนอออกมา

นอกจากเพจและธุรกิจแล้ว เห็นว่ารับหน้าที่เป็นวิทยากรด้วย

ถือเป็นงานอดิเรกมากกว่าครับ ตั้งแต่ช่วงยอดผู้ติดตามเพจเริ่มขยับไปแตะ 3,000 – 5,000 คน หลายหน่วยงานก็เริ่มติดต่อให้ผมไปบรรยายเรื่องการแยกขยะในองค์กรแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชน ผมมองว่านี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ทำให้ผมส่งต่อความรู้ได้ แต่อีกโปรเจกต์ที่กำลังทำไปควบคู่กันกับการทำเพจและงานหลักคือ แอปพลิเคชัน Green 2 Get ที่ทำมาตั้งแต่ก่อนทำเพจเสียอีก

สำหรับผมแล้ว การทำเพจเหมือนเป็นการสื่อสารทางเดียว มีแต่เราที่คอยบอกว่าทำแบบนี้แล้วจบ แต่ไม่ได้คิดว่าคนที่อยากทำตามเราไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยเหมือนที่เรามี เมื่อมองไม่เห็นทางไปที่ชัดเจนว่าแยกแล้วยังไงต่อ แยกแล้วก็เอาไปทิ้งรวมกันอยู่ดี แม้จะอยากช่วยโลกแค่ไหน สุดท้ายก็เลิกทำ

แอปฯ Green2Get จึงเป็นอีกช่องทางที่ผมตั้งใจให้เป็นตัวอุดช่องโหว่ของการแยกขยะ ฟังก์ชันของมันคือการช่วยแยกส่วนประกอบของขยะเพียงแค่สแกนบาร์โค้ดสินค้า บอกครบตั้งแต่วิธีการแยกไปจนถึงจุดรับทิ้งหรือจุดรับซื้อในละแวกใกล้เคียง และยังเป็นช่องทางที่แทรกความรู้เรื่องการแยกขยะเข้าไปด้วย

เพราะเราคิดว่าแทนที่จะมานั่งบอกทุกคนทีละคน สู้มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีระบบที่จัดการอำนวยความสะดวกให้เขาเลยดีกว่า

ตอนนี้เปิดให้ใช้งานได้หรือยัง

กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาระบบครับ ยังเปิดให้ใช้งานไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ล้มเลิกนะ

จริงๆ จากความตั้งใจตั้งต้นเรื่องการสอนแยกขยะที่ถูกวิธี ตอนนี้ผมกำลังวางแผนทำคอร์สวิดีโอสอนการจัดการขยะแบบละเอียดไปด้วย ให้เป็นเหมือนคลังข้อมูลสำหรับการแยกขยะ เวลาที่คุณนึกสงสัยเกี่ยวกับการรีไซเคิลของที่อยู่ในมือก็เปิดเข้าไปเลือกฟังได้เลยทันที  

ทั้งสองอย่างนี้ผมค่อยๆ ทำไปเรื่อย พักบ้างทำต่อบ้าง แต่ทุกโปรเจกต์ที่คิดและกำลังทำล้วนยืนอยู่บนความตั้งใจเดิม คือการสื่อสารความรู้ที่เป็นประโยชน์และคนอ่านเอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ตอนนี้เวลาชีวิตยังไม่เอื้ออำนวยให้ทำทั้งหมดได้ราบรื่น (หัวเราะ)

คุณจัดการออกแบบเนื้อหาอย่างไรในวันที่เริ่มคิดจะเปิดเพจ เพราะอย่างที่บอกว่าขอบข่ายข้อมูลเรื่องขยะมันกว้างมาก

แรกเริ่มก็เอามาจากประสบการณ์ในธุรกิจรีไซเคิลของผมเองนี่แหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่ในแวดวงนี้แล้วจะรู้หมดทุกเรื่อง อย่างเรื่องพลาสติกเป็นเรื่องที่ผมไม่รู้เลยเพราะที่บ้านไม่รับ แต่พลาสติกดันกลายเป็นประเด็นสำคัญ เราก็พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายท่ามกลางการผลิตพลาสติกที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา

แม้จะไปเข้าคอร์สบ้าง ถามลูกค้าที่ทำเกี่ยวกับพลาสติกบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว แหล่งข้อมูลสำคัญกลับมาจากการถกเถียงในเพจของเราเอง ผมชอบมากเลยเวลามีคนเข้ามาถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งที่นำเสนอ หรือแย้งกับผมโดยตรง หลังจากนั้นผมมักจะส่งข้อความส่วนตัวเข้าไปถามและรบกวนให้เขาอธิบายต่อ นั่นทำให้ข้อมูลความรู้ผมขยายกว้างขึ้นมาก

การออกแบบเนื้อหาลำพังเฉพาะในเพจลุงซาเล้งฯ มีผลต่อความรับรู้ของคนทั่วไปได้หรือไม่ อย่างไร

ทุกเนื้อหาที่ผมทำเผยแพร่ในเพจยังเป็นไปตามจุดยืนและความตั้งใจเดิม คือ การสื่อสารความรู้ที่เป็นประโยชน์และนำไปใช้ได้จริง ด้วยรูปแบบของเฟซบุ๊คแล้ว คนอ่านจะสนใจเนื้อหาที่ดึงดูดและกระตุ้นให้แชร์ต่อได้ง่าย จึงต้องสมดุลให้ดีระหว่างทำให้เกิดกระแสกับทำให้เกิดประโยชน์

ถ้าโถมแต่ความรู้มากไปคนอ่านก็อาจจะอ่านผ่านๆ และไม่ค่อยแชร์ต่อ แต่ถ้าทำเนื้อหาที่เป็นกระแสสร้างการวิพากษ์วิจารณ์มากไปก็จะได้แค่ยอดแชร์แต่ไม่สร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นผมจึงพยายามผลิตเนื้อหาที่ทั้งให้ความรู้ มีประโยชน์ และสนุกจนอยากแชร์ได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

ถ้าหากคนอื่นๆ อยากสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการขยะบ้าง ควรเริ่มจากอะไร

เริ่มจากความรู้ที่เรามีอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องการแยกขยะมาบ้างแล้ว ก็ค่อยๆ เริ่มจากจุดนั้นได้ และสร้างระบบความเข้าใจเรื่องการจัดการขยะในรูปแบบของเราเอง ด้วยการหาทางไปให้ของเหลือใช้ก่อนมาแยกมันออกเป็นชิ้นๆ เช่น ออกไปหาคนรับซื้อ หรือคุณลุงคุณป้าซาเล้งตัวจริง หรือแม่บ้านอาคารสำนักงาน คนเหล่านี้คือกลไกหนึ่งของการแยกขยะ ซึ่งเขาจะรู้ดีว่าสิ่งของแต่ละชิ้นขายได้หรือไม่ ขายที่ไหน รวมถึงต้องแยกอย่างไร – คุณก็แค่ต้องถามพวกเขา

มุมมองส่วนตัวก็มีผลต่อการจัดการขยะด้วย แทนที่จะเรียกเหมารวมของเหลือใช้ทุกอย่างเป็นขยะแล้วปัดความรับผิดชอบโยนทิ้งรวมๆ กันลงในถัง ให้ลองเปรียบเทียบขยะเหมือนความสัมพันธ์ของคนดู เป็นสิ่งที่ถูกผลักออกจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ ไม่สนใจและไม่อยากรับผิดชอบ ทั้งที่เราเองก็เป็นคนสร้างมันขึ้นมา

ขยะและความสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการจัดการที่ดีพอก็จะค้างคาต่อไปให้เป็นพิษกับร่างกายจิตใจ หรือพูดอีกแง่คือเป็นพิษต่อสังคมโดยรวม กระบวนการคัดแยกขยะจึงจำเป็นต้องมองวัตถุทุกอย่างตามที่มันเป็น เช่น กระดาษ ขวดแก้ว ถุงพลาสติก เศษอาหาร เมื่อจำเพาะชื่อของทุกอย่าง ปลายทางที่จะจัดการกับมันก็ชัดเจนขึ้น

มันเริ่มและต่อยอดได้ไม่ยาก และผมเชื่อว่า ค่อยๆ จัดการมันไปทีละนิดจะทำให้การจัดการขยะในรูปแบบของคุณได้ผลดีและทำต่อไปได้เรื่อยๆ ด้วย

สำหรับการทำเนื้อหาสร้างความเข้าใจเรื่องขยะควรพาคนอ่านไปสู่อะไรที่ปลายทาง

ต้องนำไปสู่การที่ทำได้จริงครับ อันที่จริงผมเองก็เคยกังวล เพราะคนมักแชร์ข้อมูลความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมในโลกออนไลน์ แต่จะเอาไปทำจริงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ซึ่งอาจไม่มากมายนัก

ผมรู้สึกว่า บางเนื้อหาแม้กระทั่งเนื้อหาของผมเอง ไม่ได้บอกทางออกที่คนอ่านจะทำตามได้ เป็นเพียงเรื่องราวบอกเล่าที่เล่าให้ฟังแล้วจบไป ส่วนตัวผมแล้ว เนื้อหาที่ดีไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ต้องสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้จริง สำหรับเรื่องขยะ ถ้าคุณสอนให้เขาแยกเขาก็ต้องแยกได้จริง แทนที่จะสอนแยกขยะแบบกว้างๆ ก็น่าจะบอกขั้นตอนชัดเจนให้เขาสามารถโฟกัสได้เลย

ตรงนี้ผมเองก็ยังคงต้องพัฒนาเนื้อหาในเพจของผมต่อไป รวมถึงโปรเจกต์ต่างๆ ที่บอกไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน คลิปวิดีโอฮาวทู หรือคอร์สออนไลน์ ให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ทุกคนจัดการกับขยะได้

คุณวางตำแหน่งของเพจลุงซาเล้งฯ ในการขับเคลื่อนความรู้เรื่องการแยกขยะไว้ตรงไหน

ผมเองยังไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจัง แต่หากจะให้นิยามตอนนี้ เพจลุงซาเล้งฯ ก็เป็นเหมือนลุงซาเล้งคนหนึ่งที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการแยกขยะพอจะให้คำตอบเวลาที่คุณคิดไม่ออกหรืออยากได้คำตอบเกี่ยวกับขยะ ต่อให้ไม่รู้ในขณะนั้น ผมก็จะค้นคว้ามาให้คุณจนได้นั่นแหละ

ส่วนตัวแล้วผม อยากให้เพจลุงซาเล้งฯ เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่มคนที่อยากลองเริ่มทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มง่ายๆ จากการแยกขยะใกล้มือให้ได้ประสิทธิภาพ ส่วนตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่จะเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ต่อกัน เป็นชุมชนออนไลน์เล็กๆ ที่เปิดกว้างเรื่องการจัดการขยะมากพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดเพิ่มขึ้นบนโลกออนไลน์ เพราะนั่นหมายถึงการแสดงออกของกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ยิ่งถ้ามีเนื้อหาน่าสนใจ น่าติดตาม น่าแชร์ต่อ ก็จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนทางสังคมได้จริง

ระหว่างนักธุรกิจ นักสิ่งแวดล้อม และ Influencer ตอนนี้คุณมองตัวเองว่าเป็นอะไร

เหมือนกับเพจนั่นแหละ – ผมเองก็ไม่รู้

เวลาไปบรรยายเรื่องการจัดการขยะในที่ต่างๆ ผมมักได้รับคำต่อท้ายเป็น Influencer ด้านสิ่งแวดล้อม ลูกเพจหลายคนก็บอกว่าเพจของผมเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาเริ่มลงมือแยกขยะ แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเก่งหรือเข้มงวดกับตัวเองมากพอที่จะไปมีอิทธิพลหรือโน้มน้าวจิตใจใครได้ ลูกเพจของผมบางคนยังเจ๋งและเอาจริงเอาจังมากกว่าผมอีก

ไม่ว่าจะเป็นน้องประธานนักเรียนโรงเรียนหนึ่งที่อยากให้นักเรียนทั้งโรงเรียนมาช่วยกันเก็บขยะก็มาปรึกษาผมอย่างจริงจัง หรืออีกครั้งที่ผมเคยแนะนำในงาน TED Bangkok ว่า คุณไม่ต้องรักโลกมากมาย แค่เก็บขยะไว้วันละชิ้น เป็นชิ้นที่อันไหนที่คุณจะไม่เรียกมันว่าขยะและโยนมันทิ้งลงถัง ก็มีคนเอาไปทำตามได้ 3 เดือนก่อนจะถ่ายรูปส่งมาให้ผมดูว่าเขาเก็บขวดน้ำไว้หลายขวดเลย ทำเอาผมทึ่งไปเลย

พวกเขาเก่งกันขนาดนี้ จนบางทีผมยังรู้สึกอายๆ ด้วยซ้ำเวลาไปซื้อชาไข่มุกแล้วไม่ได้เอาแก้วไป (หัวเราะ) เอาเป็นว่า ผมมองตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่มคนจำนวนที่เริ่มเปลี่ยนแปลงสังคมจากตัวเองก็แล้วกัน  

ในวันที่ใครๆ ก็ทำเพจ มีเนื้อหาของตัวเองผ่านหลากหลายช่องทาง คุณเปรมคิดว่าแนวทางการถ่ายทอดความรู้ควรปรับตัวไปในทิศทางใดที่จะทำให้เกิดการนำไปใช้ได้จริง

ตอนนี้มันต้องเร็วและลงลึกไปถึงความรู้ระดับไมโครแล้ว เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อมก็ไม่ใช่วิชาสิ่งแวดล้อมที่ว่าด้วยภาพกว้างๆ แต่จะแยกย่อยเป็นหัวข้อเรื่องขยะ ก๊าซพิษ ฝุ่นละออง PM 2.5 เพราะการเรียนแต่ภาพกว้างทำให้รู้สึกเหนื่อยกับความกว้างใหญ่ของความรู้ จนไม่รู้จะหยิบจับตรงไหนมาปฏิบัติในชีวิตจริง ขณะที่เนื้อหาที่ลึก เจาะจง ชัดเจน จะทำให้เห็นภาพของความเป็นไปได้ชัดขึ้น

ผมคิดว่าอนาคตของการสื่อสารองค์ความรู้ในทุกเรื่องจะถูกผลิตมาจากกลุ่มคนที่รู้ลึกรู้จริง จับต้องคลุกคลีกับเรื่องนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้เรื่องการแยกขยะที่ลงลึกถึงระดับไมโครคืออะไร และจะช่วยเคลื่อนองค์ความรู้ไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมอย่างไรได้บ้าง

อย่างหลวมๆ ของเนื้อหาการแยกขยะคือการแยกออกเป็น 4 ถัง 4 สี แต่เมื่อลงลึกไปอีกก็จะเห็นได้ว่าเราสามารถจำเพาะเจาะจงไปได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ตัวถังควรเป็นสี่เหลี่ยมไหม ยังควรเรียกว่าถังขยะอยู่หรือเปล่าหรือมันเป็นอะไรก็ได้ บางครั้งความละเอียดละออตรงนี้มันสามารถช่วยให้เห็นปัญหาและทางแก้ชัดขึ้น

ความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องของคนที่เข้ามาจัดการนำเสนอองค์ความรู้จะช่วยให้มองปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยสายตาที่ละเอียดขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหาแบบตรงจุด ไม่ได้แก้แบบเหมาแข่งให้ผ่านไปที

การเรียนรู้ในมุมมองของคุณคืออะไร

ผมว่ามันก็ตรงกับหลักการทางศาสนาพุทธ เรื่องอิทธิบาท 4 คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา โดยฉันทะคือใจรัก หลงใหล สนใจในสิ่งที่ทำก่อน เป็นใจรักที่เกิดจากการเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ เหมือนที่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถมีส่วนช่วยโลกได้แค่เริ่มแยกขยะใกล้ๆ ตัว

ต่อด้วยวิริยะ คือความมุ่งมั่นศึกษาเรียนรู้ให้มากขึ้น เหมือนอย่างที่ผมบอกว่าเราสามารถพูดคุยกับคนที่เชี่ยวชาญกว่า ค้นคว้าข้อมูลให้ลึกขึ้น ส่วนจิตตะคือมีจิตใจจดจ่อในความตั้งใจที่จะเรียนรู้สิ่งนั้นๆ อย่างแน่วแน่ และวิมังสา คือการทบทวนที่เราต้องกลับมาทบทวน ทั้งทบทวนตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ได้คิดได้ทำ รวมถึงผลดีผลเสียที่เกิดขึ้น เพื่อปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของเราดีขึ้นกว่าเดิม

คุณคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้เป็นการจัดการเรียนรู้ไหม

แน่นอนครับ เพราะการเรียนรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจ และไม่ใช่เพียงแค่คนที่เข้ามาอ่านในเพจเท่านั้นนะ 

ถ้าจัดอันดับคนที่ได้รับความรู้จากเพจมากที่สุดก็คงเป็นผมเองนี่แหละ เหมือนการซักผ้าให้สะอาด สิ่งที่จะสะอาดเป็นลำดับแรกคือมือ ไม่ใช่ผ้า ด้วยความที่ต้องนำเสนอเนื้อหาที่ถูกต้องน่าสนใจ ก็ยิ่งทำให้เราค้นคว้า ต้องรู้ให้มากขึ้น เพราะคุณจะสอนหรือแนะนำใครไม่ได้เลยถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องนั้นจริงๆ โดยเฉพาะถ้าสามารถถ่ายทอดออกไปให้เข้าใจง่ายมากแค่ไหน คนที่ถ่ายทอดออกไปก็จะยิ่งเพิ่มทักษะและความรู้มากขึ้นเท่านั้น

จากที่บอกไปว่าการเรียนรู้ก็คืออิทธิบาท 4 ในทางพุทธ ซึ่งสำหรับผมแล้ว วิมังสา คือส่วนสำคัญ เพราะการเรียนรู้ควรเป็นการอนุญาตให้ตัวเองกลับมาทบทวนสิ่งที่เราเชื่อมั่นได้ตลอดว่าสิ่งนั้นยังถูกต้องอยู่หรือเปล่า เมื่อคำตอบยังคงเป็น ‘ใช่’ เราก็กำลังมาถูกทาง

ทุกวันนี้ผมเองก็คอยถามตัวเองเพื่อทบทวนตลอดว่า ทำเพจลุงซาเล้งฯ ไปทำไม ทำโปรเจกต์ต่างๆ ไปเพื่ออะไร และคำตอบที่ได้ยังคงเหมือนเดิมคือ ผมอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง

Tags:

สิ่งแวดล้อมeveryone can be an educatorเปรม พฤกษ์ทยานนท์

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Adolescent Brain
    6 วิธีจัดการชีวิตและสิ่งแวดล้อม สร้างสมาธิในการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Voice of New Gen
    ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน
Learning Theory
22 June 2020

Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • จัดบรรยากาศห้องเรียนให้น่าเรียนและมีผลลัพธ์สูง (high-performing classroom) ด้วยการใส่พลังการมีส่วนร่วม ความยอมรับนับถือ การฟัง การแลกเปลี่ยน ฯลฯ นอกจากจะดีต่อใจนักเรียนแล้ว ยังดีต่อใจครูอีกด้วย เพราะจะช่วยให้ชีวิตครูง่ายขึ้น มีปัญหาจากความประพฤติของนักเรียนน้อยลง
  • ปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมีอยู่ 4 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ร่ำรวยการยอมรับ (affirmation) ร่ำรวยสภาพที่ตรงตามความต้องการของนักเรียน (relevancy) ร่ำรวยการผูกพัน (engagement) ตัวนักเรียนและร่ำรวยปฏิสัมพันธ์ (relationship) ห้องเรียนไหนที่มีปัจจัยดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัย กล้าเรียนรู้แบบกล้าเสี่ยง ทั้งเสี่ยงเชิงวิชาการและเชิงพฤติกรรม รวมทั้งช่วยให้นักเรียนกล้าฝันในลักษณะของ ‘ฝันใหญ่’
  • ชุดความคิดนี้เริ่มจากการทำให้นักเรียนแต่ละคนรับรู้ว่า ครูและคนอื่นๆ ในชั้นเรียนรับรู้ตัวตนของนักเรียน รับรู้สิ่งที่นักเรียนมุ่งหวัง และรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน โดยเครื่องมือทำให้เกิดการรับรู้นี้มี 3 ชิ้น คือ หนึ่ง –  ความหมาย (relevance) ต่อนักเรียน สอง – เสียง (voice) ของนักเรียน และสาม – วิสัยทัศน์ (vision) ของนักเรียน

สาระหลักในบันทึกนี้ คือ นักเรียนจากครอบครัวขาดแคลนมาโรงเรียนพร้อมกับผลลบจากความเครียดเรื้อรัง ทำให้สมองไม่เปิดและขาดแคลนทักษะหลายด้านที่สำคัญต่อการเรียนรู้ มี ‘ยาวิเศษ’ แก้ข้อด้อยของนักเรียนเหล่านี้คือ ความรู้สึกว่าตนได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อนๆ หรือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของนักเรียนได้รับการยอมรับ หรือ เอกลักษณ์ (identity) ของนักเรียนแต่ละคนได้รับการยอมรับ รายละเอียดในบันทึกนี้ในส่วนต้นเป็นเรื่องทฤษฎีที่ได้จากการวิจัย และส่วนหลังเป็นภาคปฏิบัติซึ่งก็มีหลักฐานจากงานวิจัยเช่นเดียวกัน   

ทฤษฎี 

ชื่อของตอนที่ 4 ในหนังสือภาคภาษาอังกฤษใช้คำว่า rich (ร่ำรวย) ซึ่งพุ่งเป้าไปที่สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศที่ร่ำรวย ปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของนักเรียน 4 ปัจจัย ได้แก่ ร่ำรวยการยอมรับ (affirmation) ร่ำรวยสภาพที่ตรงตามความต้องการของนักเรียน (relevancy) ร่ำรวยการผูกพัน (engagement) ตัวนักเรียนและร่ำรวยปฏิสัมพันธ์ (relationship) ระหว่างมนุษย์   

บรรยากาศห้องเรียนเช่นนี้ ช่วยให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัยที่จะกล้าเรียนรู้แบบกล้าเสี่ยง ทั้งเสี่ยงเชิงวิชาการและเชิงพฤติกรรม รวมทั้งช่วยให้นักเรียนกล้าฝันในลักษณะของ ‘ฝันใหญ่’ 

คำว่า บรรยากาศ (climate) ในที่นี่มีองค์ประกอบ คือ พลังการมีส่วนร่วม สปิริต ความยอมรับนับถือ การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว การฟัง การแลกเปลี่ยน การใคร่ครวญสะท้อนความคิด และเป้าใหญ่ ทั้งหมดนี้นำไปสู่สภาพห้องเรียนที่มีผลลัพธ์สูง (high-performing classroom) และมีความเท่าเทียมสูง      

ห้องเรียนที่มีบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ใช่ดีต่อนักเรียนเท่านั้นแต่ยังดีต่อครูด้วย เพราะจะช่วยให้ชีวิตครูง่ายขึ้น มีปัญหาจากความประพฤติของนักเรียนน้อยลง     

ครูที่จัดให้ห้องเรียนมีบรรยากาศดังกล่าว ต้องมีชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม (rich classroom climate mindset) ซึ่งตรงกันข้ามกับชุดความคิดห้องเรียนแบบเดิมๆ (traditional classroom climate mindset)         

ในชุดความคิดห้องเรียนแบบเดิมกำหนดว่า นักเรียนต้องมาโรงเรียนพร้อมกับความตั้งใจเรียน รู้ว่าจะต้องประพฤติตัวอย่างไร รู้ว่าจะทำงานเป็นทีมอย่างไร รู้ว่าจะถามคำถามที่เหมาะสมอย่างไร และรู้ว่าจะต้องเรียนรู้หลักการยากๆ ด้วยตนเองโดยไม่มีคนช่วย วาทกรรมของครูที่มีชุดความคิดนี้ คือ ‘ฉันมีหน้าที่สอนเนื้อหาวิชาความรู้ หากคุณต้องการให้นักเรียนเรียนได้ดี จงบอกให้เขาตื่นและตั้งใจเรียน ห้องเรียนไม่ใช่สถานบันเทิง’     

ในขณะที่ครูที่มีชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้มยึดถือวาทกรรมที่ตรงกันข้าม ได้แก่ ‘ฉันโฟกัสที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และเชื่อมโยงสู่กระบวนการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของทุกวัน’ รวมทั้งวาทกรรม ‘นักเรียนรู้ว่าชั้นเรียนของฉันมีไว้เพื่อการเจริญเติบโตของนักเรียน นักเรียนสามารถเป็นตัวของตัวเอง ปฏิบัติงานผิดพลาด รวมทั้งกล้าเสี่ยงต่อความผิดพลาดในการเรียน โดยมั่นใจว่าจะมีครูอยู่เคียงข้าง’ 

วัฒนธรรมของชั้นเรียนกับบรรยากาศของชั้นเรียน 

หนังสือบอกว่า ‘วัฒนธรรมของชั้นเรียน’ กับ ‘บรรยากาศของชั้นเรียน’ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เรา ปฏิบัติ (พฤติกรรมและลักษณะนิสัย) ส่วนบรรยากาศเป็นสภาพความรู้สึกของเรา  

วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดและทำนายพฤติกรรม แต่บรรยากาศเป็นผลของพฤติกรรมและอารมณ์ร่วมของคนส่วนใหญ่ ซึ่งในกรณีของโรงเรียนบรรยากาศขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของนักเรียนทั้งหมดในขณะใดขณะหนึ่ง 

บรรยากาศเป็นเรื่องชั่วคราวหรือชั่วขณะใดชั่วขณะหนึ่ง ส่วนวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างถาวรและมาจากการสั่งสมระยะยาว การเปลี่ยนวัฒนธรรมต้องการการดำเนินการที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ และต้องดำเนินการต่อเนื่องระยะยาว แต่บรรยากาศเปลี่ยนได้ในบัดดล     

ในบันทึกตอนที่ 12 – 14 นี้เราเน้นที่บรรยากาศ โดยการสร้างบรรยากาศห้องเรียนที่มีการเรียนเข้ม มีพื้นฐาน จากวัฒนธรรมของโรงเรียนและชั้นเรียน เขาจึงแนะนำว่า ต้องสร้างวัฒนธรรมต้อนรับนักเรียนทุกคนให้มาโรงเรียน ไม่ใช่ต้อนรับเฉพาะนักเรียนที่ครูรัก หรือนักเรียนที่มีความประพฤติดีเท่านั้น     

สร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการใคร่ครวญสะท้อนคิดว่า พฤติกรรมของสมาชิกของแต่ละคนในโรงเรียนมีผลต่อสมาชิกทั้งหมดและต่อโรงเรียนอย่างไร เพื่อร่วมกันสร้างโรงเรียนให้เป็นชุมชนที่ยิ่งใหญ่     

สร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมวาทกรรมที่เอื้อให้เกิดความรู้สึกว่าตนมีเกียรติ  มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ และมีพลัง โดยการพูดวาทกรรมเชิงบวกซ้ำๆ รวมทั้งสร้างสภาพที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้สูงสุด 

บรรยากาศห้องเรียนเป็นผลรวมของสารพัดสิ่ง รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์ การสอน การเรียนแบบร่วมมือกัน กลยุทธสร้างวินัย หลักสูตร ความคาดหวัง และความเอาใจใส่ (engagement) มีผลงานวิจัยว่า การสร้างบรรยากาศห้องเรียนที่ดีของครู มี effect size เท่ากับ 0.80 หรือเท่ากับการเพิ่มการเรียนรู้ถึง 2 ปี     

บรรยากาศห้องเรียนที่มีบรรยากาศเชิงบวกสูงกับห้องเรียนที่มีบรรยากาศเชิงบวกต่ำเปรียบเทียบกันได้ตาม ตารางนี้

บรรยากาศเชิงบวกสูงบรรยากาศเชิงบวกต่ำ
ความริเริ่มสร้างสรรค์ความโกรธ
รู้สึกมีความหวังสมองตื้อ
ความอดทนมานะพยายามรู้สึกสิ้นหวัง
ปัญญาญาณอยากออกจากโรงเรียน
ความสนใจกว้างพฤติกรรมไม่ดี
ความยืดหยุ่นต่อการรับรู้คิดวกวน
มีทางเลือกในการแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมีทางเลือกในการแสดงพฤติกรรมจำกัด

ผลลัพธ์ของชั้นเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม ห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม มีกระบวนการที่ซับซ้อนทางด้านสังคม อารมณ์ และวิชาการ ไม่ใช่ชั้นเรียนที่ครูแสดงความเข้มงวด ดุด่าว่ากล่าวนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียน มีผลงานวิจัยระบุว่า ในสหรัฐอเมริกาโรงเรียนที่เด็กส่วนใหญ่ยากจนจำนวน 10 โรงเรียน พบว่า การจัดชั้นเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้มตามที่จะกล่าวถึงในบันทึกที่ 12 – 13 ทำให้ครึ่งหนึ่งของนักเรียนกลายเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีผลการเรียนอยู่ในร้อยละ 25 แรกของรัฐ      

ผลงานวิจัยบอกอีกว่า ประสิทธิผลของครู (teacher effectiveness) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความก้าวหน้าในการเรียนของศิษย์ (effect size 0.98) หากมีบรรยากาศชั้นเรียนแบบเรียนเข้มเสริมเข้าไป ผลดีที่เกิดต่อศิษย์จะยิ่งเพิ่มขึ้นได้อีกมากมาย              

การพัฒนาชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้มได้สำเร็จ จะช่วยให้ห้องเรียนเป็นทั้งสวรรค์ของนักเรียน และของครู    

ชุดความคิดนี้เริ่มจากการทำให้นักเรียนแต่ละคนรับรู้ว่า ครูและคนอื่นๆ ในชั้นเรียนรับรู้ตัวตนของนักเรียน รับรู้สิ่งที่นักเรียนมุ่งหวัง และรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน โดยเครื่องมือทำให้เกิดการรับรู้นี้มี 3 ชิ้น คือ หนึ่ง –  ความหมาย (relevance) ต่อนักเรียน สอง – เสียง (voice) ของนักเรียน และสาม – วิสัยทัศน์ (vision) ของนักเรียน  

มีความหมายต่อนักเรียน 

เรื่องที่มีความหมายต่อตัวนักเรียนมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน และมีความแตกต่างหลากหลายในนักเรียนในชั้น หากเน้นที่บทเรียนคำถามที่ใช้ในการหาความเหมาะสมหรือความจำเป็น คือ ‘ทำไมฉันต้องเรียนสิ่งนี้’ นั่นคือ บทเรียนต้องมีความหมายในความคิดของนักเรียนด้วย ไม่ใช่แค่มีความหมายในความคิดของครู     

มองอีกมุมหนึ่งครูต้องช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับชีวิตในอนาคตของตนได้ ยิ่งในชั้นเรียนที่นักเรียน ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวขาดแคลน ซึ่งมักมาจากครอบครัวที่มีวัฒนธรรมย่อยหรือเป็นชนกลุ่มน้อย ครูต้องช่วยให้นักเรียนมองเห็นหรือเข้าใจว่า บทเรียนนั้นมีความหมายตามนัยวัฒนธรรมของตนอย่างไร หนังสือเรียกครูที่เอาใจใส่เรื่องนี้ว่า culturally responsive teacher (ครูที่เอาใจใส่วัฒนธรรมของนักเรียน) โดยครูพึงตอบคำถาม 4 ข้อ ต่อไปนี้

  1. ครูช่วยเสริมความมั่นใจ (affirming) หรือไม่ ครูที่ตระหนักในปัจจัยด้านวัฒนธรรมต่อการเรียนรู้จะหมั่นทำความเข้าใจ (validate) และเสริมความมั่นใจให้แก่ศิษย์ โดยต้องหาทางให้นักเรียนได้เล่าประสบการณ์ของตนที่บ้านให้เพื่อนๆ และครูรับรู้ เพื่อครูหาทางช่วยเหลือส่งเสริมให้นักเรียนจัดการโลกที่บ้าน (หรือชุมชน) กับโลกที่โรงเรียน และเชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ของตนได้ เมื่อนักเรียนแชร์ประสบการในชุมชนของตนจบ ครูกล่าวว่า ‘ขอบคุณสมศรีมาก ครูดีใจที่เธอแชร์เรื่องนี้ต่อเพื่อนๆ การที่เราเรียนรู้เรื่องราวของกันและกันมีความสำคัญมาก’
  2. การสอนของครูมีความแตกต่างหลากหลายหรือไม่ การสอนนักเรียนที่มาจากครอบครัวขาดแคลน ต้องมีลักษณะที่ ‘สอดคล้องกับวัฒนธรรม (culturally relevant)’ โดยต้องใช้สื่อการสอนที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของนักเรียนเพื่อสร้างการเรียนรู้ ความรู้ ทักษะ คุณค่า และเจตคติ ผ่านบรรยากาศในห้องเรียน วิธีการสอน และวิธีประเมิน หากจะมีการฉายภาพคน ต้องพยายามหาคนที่มีหน้าตาบ่งบอกว่าเป็นคนในวัฒนธรรมเดียวกันกับนักเรียน และเน้นใช้ reciprocal teaching (ครูกับนักเรียนผลัดกันทำหน้าที่นำกระบวนการเรียนรู้ในหน่วยย่อยของคาบเรียน) และ cooperative learning (นักเรียนผลัดกันแสดงบทบาทหลากหลายบทบาทในชั้นเรียน)
  3. ครูช่วยเอื้ออำนาจ (empower) แก่นักเรียนหรือไม่ ทำโดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ผลัดกันแสดงบทบาทผู้นำในชั้น การเชิญบุคคลที่มีเชื้อชาติเดียวกันกับนักเรียนมาเป็นแขกหรือวิทยากรเฉพาะเรื่องก็เป็นการเอื้ออำนาจแก่นักเรียน การที่นักเรียนได้รับการเอื้ออำนาจ มีผลต่อสมรรถนะทางวิชาการ ความมั่นใจตนเอง ความกล้า และการแสดงบทบาทในชั้นเรียน
  4. ครูช่วยเปลี่ยนชีวิตให้แก่นักเรียนหรือไม่ นี่คือการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (transformative learning) ครูต้องร่วมกับนักเรียนทำความเข้าใจด้านลบของการศึกษาที่ไม่ดี ครูต้องช่วยให้นักเรียนเติบโตทางวิชาการ มีเป้าหมายชีวิต เตรียมตัวเข้าสู่การมีงานทำ รวมทั้งช่วยติวพิเศษเพื่อไปสอบเข้าโรงเรียนชั้นมัธยม เป้าหมายคือ ช่วยให้นักเรียนหลุดพ้นจากสภาพยากจนในอนาคต    

ครูที่เอาใจใส่วัฒนธรรมของนักเรียน จะทำความรู้จัก ให้ความยอมรับ และเอาใจใส่ นักเรียนทุกคน โดยกำหนดความคาดหวังสูง จัดหลักสูตรเข้ม และจัดการสนับสนุนที่ต้องการ เพื่อให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวังที่กำหนด และต้องหมั่นทบทวนไตร่ตรองพฤติกรรมของตนเองว่า เผลอแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง และดำเนินการแก้ไขตนเอง 

เสียงของนักเรียน 

เมื่อนักเรียนได้มีโอกาสพูดหรือแสดงออก นักเรียนจะรู้สึกว่าได้รับฟัง และได้รับความเข้าใจ ช่วยสร้างความมั่นใจตนเอง และความรู้สึกว่าสามารถกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ ครูต้องรับฟัง เสริมความมั่นใจ และค่อยๆ ทำให้นักเรียนเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเห็น (opinion) กับความจริง (fact) โดยครูอาจใช้คำพูดในทำนอง ‘ครูชอบมากที่เธอแชร์ความเห็นต่อชั้นเรียน และหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะแสดงความเห็นอีก’

การได้แสดงความคิดเห็นและได้รับการรับฟัง ถือเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ช่วยให้รู้สึกว่าตนมีความสำคัญ ได้รับความชื่นชม ได้รับเกียรติ ได้รับความยอมรับนับถือ ยิ่งนักเรียนจากครอบครัวด้อยโอกาส ยิ่งต้องการสิ่งนี้มากเป็นพิเศษ เพราะจะช่วยลดความเครียดและช่วยพัฒนาทักษะยืนหยัดในสถานการณ์เลวร้าย ให้ไม่เกิดความเครียด มีผลงานวิจัยบอกว่า นักเรียนที่รู้สึกว่าได้รับการยอมรับในชั้นเรียนตั้งแต่สองสามสัปดาห์แรกของเทอมจะเพิ่มความเอาใจใส่ในการเรียน และพฤติกรรมนี้จะดำรงต่อเนื่องไปตลอดรายวิชานั้น    

ในสหรัฐอเมริกามีขบวนการสร้างความรู้สึกมีตัวตนของเด็กด้อยโอกาส เพื่อแก้ปัญหาการเรียนและปัญหาสังคม ดังตัวอย่างโปรแกรม We All Have a Voice   

หนังสือแนะนำวิธีส่งเสริมให้นักเรียนแสดงออก ดังต่อไปนี้

  • เชื้อเชิญให้นักเรียนแชร์ความต้องการของตน โดยเปิดช่องทางเสนอความต้องการหลากหลายแบบ
  • ทำความเข้าใจนักเรียน และใช้เป็นฐานของปฏิสัมพันธ์ ครูทำความเข้าใจความรู้ปฏิบัติ (tacit knowledge) ทักษะด้านสังคมและด้านจิตใจ และแวดวงสังคมของนักเรียน
  • เชิญชวนให้นักเรียนระบายปัญหาส่วนตัวกับผู้ใหญ่ที่ยินดีรับฟัง มีผู้ใหญ่ที่นักเรียนไว้วางใจ และรับฟังนักเรียนเป็น เช่น ครูประจำวิชา ครูแนะแนว ผู้ปกครองนักเรียนบางคน โดยที่คนเหล่านี้ต้องมีทักษะรับฟังและรักษาความลับได้
  • ส่งเสริมให้นักเรียนกล้าเสี่ยง กล้าเสี่ยงในที่นี้หมายถึงเสี่ยงในการก่อการดี เช่น สร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียน สมัครเป็นกรรมการนักเรียน รวมทั้งทำกิจกรรมในชุมชน
  • เชื้อเชิญให้นักเรียนมีหุ้นส่วน โดยที่หุ้นส่วนอาจเป็นผู้ใหญ่ที่หวังดีที่จะช่วยให้คำแนะนำเรื่องวิธีสื่อสารกับพ่อแม่
  • สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนเขียนและพูดต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างทักษะทางสังคม

มีผลงานวิจัยบอกว่าในช่วงวัยรุ่นมนุษย์เราแต่ละคนจะแสวงหาอัตลักษณ์ หรือความมีตัวตนของตนเอง การช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ของตนเองจะส่งผลต่อการปรับตัวและพัฒนาการ

การที่ครูช่วยให้นักเรียนมีความยอมรับอัตลักษณ์ของตนเอง โดยการกล้าแสดงความคิดเห็นเป็นการเอื้ออำนาจให้แก่นักเรียน

วิสัยทัศน์ของนักเรียน

ในที่นี่วิสัยทัศน์ของนักเรียนหมายถึง ความคาดหวังต่ออนาคตของตนเอง หากความคาดหวังหรือเป้าหมายนี้เชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันกับการเรียน การเรียนหรือชีวิตในโรงเรียนก็จะมีพลัง นักเรียนจะเป็นเจ้าของการเรียนรู้เพื่ออนาคตของตนเอง

ครูพึงเชื่อมโยงวิสัยทัศน์ของนักเรียนนี้เข้ากับสาระในบันทึกที่ 5 ตั้งเป้าหมายสูง เพื่อให้วิธีการในบันทึกที่ 5 ช่วยส่งเสริมความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายในอนาคตระยะยาวของนักเรียน โดยพึงตระหนักว่าเป้าหมายตามในบันทึกที่ 5 เป็นเป้าหมายจำเพาะ เฉพาะเรื่องการเรียนและเป็นเป้าหมายระยะไม่ยาวมาก คือ 1 ปี หรือ 1 เทอม แต่เป้าหมายที่เรียกว่าวิสัยทัศน์เป็นเป้าหมายชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาวมาก เป็นหน้าที่ของครูที่จะช่วยส่งเสริมให้ ‘ฝันใหญ่’ ของนักเรียนโผล่ออกมา หรือพูดในอีกนัยหนึ่งว่าหนุนให้นักเรียนกล้าฝันและต้องไม่ใช่แค่ช่วยให้ฝัน ครูต้องช่วยฝึกทักษะในการทำให้ฝันเป็นจริงด้วย โดยเขาแนะนำ 3 วิธี

  1. ถาม ครูตั้งคำถามให้นักเรียนบอกความฝันในชีวิตว่า ในอนาคตเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ต้องการมีชีวิตอย่างไร อยากประสบความสำเร็จในชีวิตในลักษณะไหน นักเรียนจำนวนหนึ่งจะตั้งเป้าไม่เป็นหรือไม่กล้าฝันใหญ่ เขาแนะนำให้ฟังหรืออ่านความฝันในชีวิตของคนอื่น เช่น ค้นด้วย Google ด้วยคำค้นว่า “teens or students who have changed the world” เขาแนะนำว่า เมื่อครูตั้งคำถามและนักเรียนตอบเรื่องความฝันในชีวิตของตนให้รับฟัง และทำความเข้าใจ อย่าตัดสิน แต่บอกนักเรียนให้เขียนแล้วแชร์กับเพื่อนสนิท ทำความชัดเจน และระบุขั้นตอนเพื่อการบรรลุเป้าหมาย
  2. ช่วย ครูช่วยให้นักเรียนทำความชัดเจนของเป้าหมาย โดยใช้เกณฑ์ SMART (strategic & specific, measurable, amazing, relevant และ time bound) ให้นักเรียนบอกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายมีภาพเป็นอย่างไร อธิบายเป็นถ้อยคำได้อย่างไร และก่อความรู้สึกอะไร
  3. ฝึกตั้งเป้าหมาย โดยเขียนในคอมพิวเตอร์หรือเท็บเล็ต หรือกระดาษฟลิปชาร์ต ทำเป็นเส้นทางตามช่วงเวลา จากจุดเริ่มต้นถึงเป้าหมายสุดท้าย และระบุเป้าหมายรายทางเป็นช่วงๆ ดีที่สุดหากร่วมกันทำกับเพื่อนคู่หู ให้นักเรียนระบุเป้าหมายรายทางที่จะบรรลุให้ได้ เช่น ได้เกรดสูงขึ้น แล้วคิดย้อนทาง (คิดจากผลไปหาเหตุ) ว่าตนเองจะทำอย่างไรบ้าง จะปรับปรุงตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายรายทางนั้นอย่างไร ครูทำหน้าที่ช่วยให้นักเรียนมีจิตจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับเป้าหมายปลายทางและเป้าหมายรายทางอย่างไม่ละลด โดยจัด

กิจกรรมให้นักเรียนแสดงผลลัพธ์ของเป้าหมายปลายทางด้วยท่าทางประกอบเพลง ที่เป็นเพลงเฉลิมฉลองความสาเร็จ เช่น ท่าทางตอนเรียนจบปริญญาตรี มีผลงานวิจัยบอกว่ากิจกรรมเช่นนี้มีผลเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทาให้เทสโทสเทอโรน(ฮอร์โมนที่สาคัญที่สุดของเพศชาย) เพิ่มขึ้น คอร์ติซอล (ฮอร์โมนก่อความเครียด) ลดลง ช่วยเพิ่มความรู้สึกมั่นใจว่าตนจะบรรลุความสาเร็จได้ และช่วยเพิ่มความกล้าเสี่ยง เกิดแรงบันดาลใจต่อการเรียน นอกจากนั้นเมื่อนักเรียนบรรลุความสาเร็จตามเป้าหมายรายทาง ครูต้องจัดกิจกรรมเล็กๆ เป็นการเฉลิมฉลองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจต่อเนื่อง

เรื่องเล่าจากห้องเรียน

การเดินทางที่ท้าทายของคุณครูเกมส์ สาธิตา รามแก้ว ในปีการศึกษา 2562 ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อครูเกมส์ผันตัวเองจากครูผู้สอนหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยในระดับชั้น 5 มาสู่การสอนในระดับชั้น 6 เพราะต้องการสร้างการเติบโตให้กับตัวเอง ครูเกมส์บันทึกความคิดและการทางานในช่วงนี้เอาไว้ว่า 

ด้วยความเชื่อที่มีอยู่ในใจการรับฟังกันอย่างลึกซึ้งจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สำคัญ และผู้เรียนจะได้สัมผัสกับการเรียนรู้เช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเรื่องราวที่นำมาเรียนรู้กันในห้องเรียนในแต่ละคราว เอื้อให้เขาได้มีส่วนในการเปิดเผยตัวตนของแต่ละคนออกมาเรียนรู้ร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนและเติบโตไปด้วยกัน การเรียนรู้ชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสมาชิกในห้องทุกคนมีความรู้สึกว่า ได้เป็นเจ้าของการเรียนรู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง

ถ้าการทำให้ผู้เรียนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของการเรียนรู้ คือ โจทย์ปัญหาข้อใหญ่ของครู เค้าเงื่อนที่จะนำไปสู่วิธีการตอบโจทย์ท้าทายนี้ก็คือ การสร้างแผนการเรียนรู้ที่เอื้อให้พวกเขาได้แสวงหาอัตลักษณ์ และค้นพบที่มาของตัวตนนั่นเอง 

แผนการเรียนรู้ในภาคเรียนฉันทะของนักเรียนระดับชั้น 6 จึงตั้งต้นจากการสร้างปฏิสัมพันธ์ให้ครูได้มีโอกาสทำความรู้จักและสร้างความคุ้นเคยกับผู้เรียนผ่านกิจกรรม “ค้นหานักอ่าน” ด้วยการไปรวบรวมข้อมูลการอ่านของนักเรียนทุกคนจากสถิติที่มีอยู่ในห้องสมุด แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในชั้นเรียนซึ่งข้อมูลชุดนี้จะประกอบไปชื่อผู้ยืม ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง และประเภทของหนังสือ ที่ฉันใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการถักทอความชอบและความสนใจของแต่ละคนเข้ามาหากัน

กิจกรรมนี้ทำให้เราต่างได้เรียนรู้เหตุผลของแต่ละคนที่อยู่เบื้องหลังการเลือกอ่านหนังสือแต่ละเล่ม รับรู้ความสนใจที่หลากหลายของเพื่อนร่วมชั้นผ่านหนังสือที่พวกเขาเลือกหยิบมาอ่าน… แล้วทุกคนก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนแต่ละคนนั้นเป็นอย่างหนังสือที่เขาอ่านจริงๆ

กิจกรรม “นักเขียนในดวงใจ” เป็นกิจกรรมลำดับถัดมาที่นักเรียนแต่ละคนต้องไปสืบเสาะมาว่าคนในครอบครัวของตนชอบอ่านหนังสือของนักเขียนคนไหน แล้วบันทึกบทสัมภาษณ์มาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในห้อง นักเรียนบางคนมาสะท้อนผ่านทั้งการพูดคุยและบันทึกการเขียนประเมินท้ายคาบว่า กิจกรรมนี้ทำให้ได้รู้จักตัวตน ความชอบ และรสนิยมในการอ่านของคนในครอบครัวมากขึ้น เพื่อนๆ และครูได้เห็นว่าพ่อแม่ของใครเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต และเป็นแบบอย่างในเรื่องการอ่านบ้าง

นอกจากนี้นักเรียนยังได้สืบค้นต่อไปอีกว่านักเขียนที่พ่อแม่ชื่นชอบนั้น เป็นใคร อยู่ในยุคสมัยไหน หน้าตาเป็นอย่างไร มีผลงานอะไรที่น่าสนใจบ้าง ฯลฯ ในขณะที่นักเรียนได้ผลัดกันมานำเสนอนิทรรศการเล่าเรื่อง “นักเขียนในดวงใจ” ของคนในบ้านให้เพื่อนและครูฟังนั้น หลายคนได้นำหนังสือรุ่นเก๋า ที่หน้าปกและรูปเล่มชี้ชัดถึงความเก่าติดมือมาเพื่อใช้ประกอบการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ด้วยความภาคภูมิใจในเรื่องเล่าของตนเองด้วย 

บทบาทของผู้ฟังคือ การชื่นชมงานเขียนของเพื่อนว่ามีเสน่ห์ในการใช้ภาษาอย่างไรบ้าง เพื่อนทำอะไรได้ดี มีเรื่องใดน่าประทับใจ ซึ่งช่วงเวลานี้คือนาทีทองที่ทุกคนมีโอกาสได้แสดงความรู้สึกของตนเองออกสื่อ ฉันสัมผัสได้ว่าพลังของการเรียนรู้ในห้วงเวลานั้นแผ่กระจายไปทั่วทุกมุมห้องเลยทีเดียว 

กิจกรรมนี้ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การที่นักเรียนมีโอกาสได้พูดหรือได้แสดงออกโดยมีคนรับฟังอย่างตั้งใจ จดจ่อ ไม่ด่วนตัดสิน แต่ร่วมกันค้นหาข้อโดดเด่นที่เพื่อนทำได้ดีนั้น ทำให้ได้รับคำชื่นชม ได้รับการยอมรับนับถือจากกลุ่ม และนับเป็นการเปิดให้ผู้เรียนเห็นการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างดียิ่ง ยิ่งนักเรียนเติมการเรียนรู้ของตนเองซึ่งกันและกันได้มากเท่าไหร่ โลกทัศน์ของเขาก็จะแหลมคมขึ้นเพียงนั้น ซึ่งมีผลทำให้การมองเห็นคุณค่าภายในตนเองแจ่มชัดขึ้นด้วย

ฉันนำพานักเรียนเดินทางย้อนกลับไปยังอดีต ผ่านหลักฐานชิ้นสำคัญของเริ่มด้วยศิลาจารึกหลักที่ 1 ในยุคสมัยสุโขทัย ด้วยการซึมซับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นับเริ่มตั้งแต่การกำเนิดอักษร ไปสู่สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ผูกโยงเอาเรื่องราวของวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธาในพุทธศาสนาที่สืบสานมาช้านานเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการศึกษาศิลปกรรมของบ้านเมืองในยุคนั้น

บรรยากาศการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนวันนั้น มีพลังดึงดูดให้การเรียนรู้ของพวกเขาดำดิ่งอยู่กับเรื่องราวของยุคสุโขทัยได้อย่างจดจ่อ ในขณะเดียวกันก็มีความลื่นไหล มีสติ และสมาธิที่แนบแน่นอยู่กับการสร้างสรรค์ชิ้นงาน “จินตภาพแห่งสุโขทัย” ได้อย่างต่อเนื่อง

มาถึงตอนนี้ฉันได้เรียนรู้และตระหนักว่า เมื่อครูปรับปรุงแผนการเรียนรู้ให้ใหม่ สุข และสดอยู่เสมอ ผู้เรียนก็พร้อมมอบความสุข สดใหม่ให้แก่ครูเช่นกัน เพราะทันทีที่ครูเปิดกว้างทางความคิด ไม่ปิดกั้นการแสดงออกของการเรียนรู้ และมีความลึกซึ้ง แม่นยำในเรื่องที่สอน ชัดเจนในเป้าหมายการเรียนรู้ ครูก็จะสามารถปรับกระบวนการเรียนรู้หรือออกแบบโจทย์การทำงานที่ตอบสนองผู้เรียนได้อย่างหลากหลาย และสามารถนำพาผู้เรียนไปสู่เป้าหมายหลักได้ตามที่คาดหวัง

การนำพานักเรียนเข้าถึงภูมิปัญญาที่เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยในยุคสมัยต่อมาจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะถึงตอนนี้นักเรียนพร้อมเปิดใจ มีใจให้กับการเรียนรู้ และเกิดความเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว การซึมซับเรื่องราวในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์จึงเป็นไปอย่างลื่นไหล เพราะพวกเขามีสายตามองเห็นถึงเสน่ห์ของลีลาภาษา ที่สืบเนื่องไปจนถึงเส้นสายลวดลาย ซึ่งสะท้อนถึงความงามอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าความเป็นไทยที่บรรพบุรุษของเราได้มอบไว้เป็นมรดกให้เราได้เรียนรู้ สืบสาน และสร้างสรรค์ต่อ

ตลอดทั้ง 10 สัปดาห์ในภาคเรียนฉันทะ พวกเขาได้ฝึกการใช้ใจไปทำความรู้จักเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในอัตลักษณ์และเสน่ห์ความเป็นไทย ที่เป็นบ่อเกิดเป็นความภาคภูมิใจ ความมั่นคงทางจิตใจ และสติปัญญาของการหยั่งรากลึกลงไปในตัวเอง ด้วยความผูกพันกับแผ่นดินแม่อย่างลึกซึ้ง ในบรรยากาศของห้องเรียนที่อัตลักษณ์และความเป็นมาของนักเรียนได้รับการยอมรับ ห้องเรียนนี้จึงร่ำรวยด้วยสภาพที่ตรงความต้องการของนักเรียน ด้วยความผูกพัน และด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ทุกคนมีให้แก่กันอย่างเท่าเทียม

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ เป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ 1 ใน 3 บันทึกภายใต้ชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม (rich classroom climate mindset) ตีความจาก Part Four : Why the Rich Classroom Climate Mindset และ Chapter 10 : Engage Voice and Vision เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนRich classroom

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learning
    ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

“จะนำวิชาละครไปพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ยังไง” โจทย์ครั้งใหม่ที่ครูเฟียต ดังกมล ณ ป้อมเพชร กำลังทดลองเพื่อหาคำตอบ
Unique Teacher
21 June 2020

“จะนำวิชาละครไปพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ยังไง” โจทย์ครั้งใหม่ที่ครูเฟียต ดังกมล ณ ป้อมเพชร กำลังทดลองเพื่อหาคำตอบ

เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ชวนไปคุยกับครูเฟียต – ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดังกมล ณ ป้อมเพชร อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปการละคร ที่หยิบเอาวิชาการละครมาสร้างทักษะศตวรรษที่ 21 ให้กับนักศึกษา
  • “ทักษะที่สำคัญที่เราพยายามพัฒนาผ่านกระบวนการละคร คือ 4Cs ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร (Communication) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) โดยเริ่มสังเกตจากเทอมก่อนหน้าว่ามีวิชาไหนที่ช่วยพัฒนา 4Cs ได้บ้าง ก็เลยมาลงเอยที่วิชา Drama Everyday ซึ่งเป็นวิชาเลกเชอร์ และ Acting 1 ซึ่งเป็นวิชาปฏิบัติ”

ในวงการละครเวที ‘ดังกมล ณ ป้อมเพชร’ เป็นชื่อที่อยู่ในละครเวทีหลายเรื่อง ในฐานะผู้กำกับ นักแสดง คนเขียนบท เช่น แมคเบธ นางฟ้านิรนาม และ Hedwig and the Angry Inch  

ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ‘ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดังกมล ณ ป้อมเพชร’ เป็นรองคณบดีดูแลงานกิจการนิสิตและศิษย์เก่าสัมพันธ์ เขาให้นิยามสั้นๆ ว่านี่คือตำแหน่งที่คอยดูแลสารทุกข์สุขดิบของทุกคนในคณะตั้งแต่อาจารย์ นักเรียน ไปถึงแม่บ้าน 

ในห้องเรียนละคร… ‘ครูเฟียต’ คือครูสอนละครที่สอนทั้งวิชาพื้นฐานการละคร วิชาการแสดง และวิชากำกับการแสดง ซึ่งเราเองก็เคยเจอครูเฟียตในห้องเรียนละคร ยังจำฉากหนึ่งของเรากับครูได้ขึ้นใจ วันนั้นครูมอบหมายให้ทุกคนวิเคราะห์บทละคร 1 เรื่อง ซึ่งบทละครที่เราอยากวิเคราะห์ไม่ใช่บทละครคลาสสิกเหมือนที่เพื่อนเลือก แต่เราติดใจเรื่องนี้มากๆ เลยเดินไปขอครูเฟียตและอธิบายเหตุผล ครูเฟียตยืนฟังนิ่งๆ แล้วอนุญาตอย่างง่ายดาย พร้อมตั้งคำถามต่างๆ ให้เรากลับไปขบคิด จนเรารู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้นจากการทำงานนั้น

เราจำได้ขึ้นใจว่าครูคนนั้นใจดีและใจกว้างกับนักเรียนจังเลย

ในบทสัมภาษณ์นี้ เป็นอีกหนึ่งฉากของชีวิตที่เราได้โอกาสกลับมาพูดคุยกับครูคนหนึ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำช่วงมหาวิทยาลัย ครูละครผู้เป็นต้นแบบของเราในตอนนี้ที่โตไปเป็นครูแล้วเช่นกัน 


ฉาก ภายใน / โรงละครอักษร เย็น 

ตัวละคร ครูเฟียต / มะขวัญ

– ภายในโรงละครทาผนังสีดำทุกด้าน บรรยากาศมืดทึม มีไฟเปิด 1 ดวง กลางเวที ครูเฟียตกับมะขวัญเดินเข้ามาในโรงละครด้วยกันและนั่งลงที่เก้าอี้ของผู้ชม

มะขวัญ ตอนนี้หนูเป็นครูแล้วนะคะ 

ครูเฟียต คนบ้าๆ บอๆ โตไปเป็นครู สงสารเด็กจัง

มะขวัญ นี่ไงครู หนูถึงต้องกลับมาสัมภาษณ์ครู ว่าครูมีหลักการในการเป็นครูที่ดีของเด็กๆ ยังไง กับจะเอาวิชาละครไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนยังไง หนูจะได้เท่ๆ แบบครูบ้าง 

ครูเฟียต จ้ะ ก็จะตอบเท่าที่จะมีสตินะจ๊ะ

มะขวัญ งั้นเริ่มสัมภาษณ์แล้วนะคะ

– มะขวัญกดบันทึกเสียง ครูเฟียตยิ้มให้และเริ่มการสนทนา


เส้นทางชีวิตครูละคร…เริ่มต้นยังไงคะ?

น่าจะเริ่มจากการที่เราชอบสอนอยู่แล้ว เพราะที่บ้านก็เป็นครูมาตั้งแต่รุ่นไหนๆ การอธิบาย ถ่ายทอด สื่อสารให้เข้าใจ มันเป็นสิ่งที่ทำได้โดยธรรมชาติ และเราก็สนใจด้านละครมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณทวดทำสายละคร เราเคยอ่านบทละครตอนอยู่ประถมปลายแล้วลองเล่น มันรู้สึกว่านี่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่มหัศจรรย์พันลึกมาก การได้ลองเล่นเป็นตัวละครต่างๆ ทำให้เรารู้จักคนอื่น และรู้จักตัวเราที่อยู่ในสถานการณ์ มิติ หรือเงื่อนไขอื่น 

จำได้ว่าตอนนั้นอ่านเรื่องโพงพาง ของ ร.6 แล้วเล่นเป็นท่านเจ้าคุณ เรารู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเราสักอย่าง แต่อ่านไปเจอสิ่งที่เราเชื่อมโยงได้แล้วรู้สึกว่า เห้ย เราก็มีบางส่วนที่มันเป็นแบบนี้ได้นี่หว่า ทั้งเรื่องนิสัย พฤติกรรมบางอย่าง การอ่านบทละครมันเลยทำให้เจอตัวเราอีกคนหนึ่งและเจอมนุษย์คนอื่นๆ อีกเยอะในละคร 

เราเลยรู้สึกว่าศาสตร์นี้ใช่เลย จึงมาเรียนที่ภาควิชาศิลปการละคร อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนจบทำงานด้านละครไม่นานก็มาสอนที่นี่ แล้วไปต่อโท Master of Fine Arts (MFA) in Theater Directing, City University of New York City at Brooklyn College แล้วกลับมาสอนจนถึงตอนนี้…ก็เกือบ 30 ปีละนะ

นอกจากการได้ทำความเข้าใจมนุษย์ วิชาละครมันมหัศจรรย์พันลึกยังไงอีกคะ?

วิชาละครคือวิชาที่เรียนรู้มนุษย์ เลียนแบบมนุษย์ แล้วก็ทำให้มนุษย์รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่นผ่านภาพเสมือนเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่นักเรียนจะได้เรียนรู้จากวิชาละครคือการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพราะการทำละคร 1 เรื่องเราต้องทำงานเป็นทีม ต้องผสานทักษะความรู้ของแต่ละคนเข้าด้วยกัน ทำงานแบบ collaboration ดังนั้นทักษะที่สำคัญมากๆ คือการฟังคนอื่นให้เป็น การฟังนั้นมีประโยชน์มากๆ ในการทำงานสร้างสรรค์ ในการมีชีวิตเป็นมนุษย์

ห้องเรียนวิชาละครของครูเฟียตเป็นยังไงคะ?

การสร้างห้องเรียนเริ่มจากความเชื่อ เรามีความเชื่อในฐานะครูคนหนึ่งว่าห้องเรียนคือห้องทดลอง และในห้องนั้นมันไม่ใช่ครูกับนักเรียน เมื่อเข้าไปในห้อง acting ทุกคนคือนักแสดง เราเป็นผู้ฝึกการแสดง เขาได้ทดลอง ได้แชร์ ได้รู้จักตัวเอง ได้ฟังความคิดเห็นจากเพื่อน ได้เอาไปตกตะกอน แล้วเรียนรู้ตัวเอง ดังนั้นครูไม่ได้มีหน้าที่ไปสอน ครูมีหน้าที่สะท้อนสิ่งที่เขาทำได้ดีและสะท้อนสิ่งที่เขาควรจะพัฒนา มันเลยเป็นห้องที่ทุกคนได้เรียนรู้ชีวิตร่วมกัน 

ยกตัวอย่างห้องเรียนการแสดง แต่ละวันก็จะมีแบบฝึกหัดที่ทำให้เด็กเข้าใจร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง และมีบทละครให้เด็กได้ลองเล่น เด็กก็จะส่งซีนคือ ลองเล่นละครให้เราดู บางทีเขาเล่นเป็นฆาตกร โสเภณี โจร เราก็สอนให้เขาเข้าถึงบทบาทด้วยการเทียบเคียงประสบการณ์ ทำความเข้าใจตัวละครว่าเขามีความต้องการหรือเงื่อนไขอะไรที่คิดแบบนี้ ได้ฝึกทำความเข้าใจคนอื่น ฝึกเข้าถึงบทบาท ออกจากบทบาท และดูแลอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ก่อนจบคาบก็มานั่งสะท้อนบทเรียนกันว่าแต่ละคนได้เรียนรู้อะไร

ทราบมาว่าครูสอนวิชาที่นำกระบวนการละครไปพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21   

ใช่แล้ว มันเริ่มจากการที่เราเห็นว่าเด็กอักษรหรือเด็กจุฬาที่เราสอนมามีเป้าหมายสูงในการเรียน และหลายคนมักไม่ได้พัฒนาทักษะชีวิตเท่าไหร่ คือเขาคงมีสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้วแต่อาจไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ พอต้องออกไปทำงานจริงๆ แล้วอาจปรับตัวไม่ทัน เราเลยคิดว่าทักษะเหล่านี้มันน่าจะอยู่ในการเรียนการสอนได้นะ

ทักษะที่สำคัญที่เราพยายามพัฒนาผ่านกระบวนการละคร คือ 4Cs ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร (Communication) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) โดยเริ่มสังเกตจากเทอมก่อนหน้าว่ามีวิชาไหนที่ช่วยพัฒนา 4Cs ได้บ้าง ก็เลยมาลงเอยที่วิชา Drama Everyday ซึ่งเป็นวิชาเลกเชอร์ และ Acting 1 ซึ่งเป็นวิชาปฏิบัติ

กระบวนการเรียนการสอนในวิชา Drama Everyday ซึ่งมีนักเรียน 168 คน เราใช้วิธี blended learning คือมีทฤษฎีด้วย ปฏิบัติด้วย และ interactive ด้วย แต่ละวันเด็กก็จะได้เรียนพื้นฐานการละครและสื่อละครแบบต่างๆ แล้วเราจะตั้งประเด็นที่น่าสนใจ ให้เขาจับกลุ่มกันหาข้อมูล วิเคราะห์ ถกเถียง เกี่ยวกับประเด็นนั้นแล้วมานำเสนอ คือเราต้องเชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขาจะหาข้อมูล ถกเถียง นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด เด็กก็จะได้ความมั่นใจในการเรียนรู้ งานไฟนอลโปรเจคต์เราให้เด็ก ‘ทำอะไรก็ได้’ อะไรก็ได้ที่ใช้ความรู้ของวิชานี้สื่อสารสิ่งที่กลุ่มของหนูอยากสื่อสารกับโลกใบนี้ 

โอ้โห มันสนุกมาก บางกลุ่มก็ทำเรื่องการกลั่นแกล้งในโรงเรียน บางกลุ่มทำเรื่องเพศ เรื่องการค้นหาตัวเอง การนำเสนอของเขาบางกลุ่มก็อยู่ในไอจี บางทีก็เป็นหนังหรือละครวิทยุ เราไม่จำกัดรูปแบบ ให้เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำ สิ่งที่เขาสนใจ มันจะได้เกิดการเรียนรู้กับเขา เด็กก็สะท้อนว่าวิชานี้เปิดให้เขาได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

ส่วน ACTING 1 คือการเรียนการแสดง แต่เราเน้นฝึกทักษะต่างๆ ผ่านการเล่นละครและสะท้อนบทเรียน มีแบบฝึกหัดหนึ่งเราให้เด็กสวมบทบาทไปคุยกับตัวเองวันที่เราเสียใจ วันที่ชอบตัวเอง หรือวันที่ไม่เข้าใจตัวเอง ลองไปคุยกับตัวเองอีกครั้งว่าทำไมเราทำอย่างนั้น เขาก็รู้ว่าความขุ่นข้องหมองใจฉันมาจากไหน เมื่อหมดแต่ละแบบฝึกหัดก็ได้แชร์กัน ได้สะท้อนว่าชั้นเจออะไร ได้ฟังคนอื่น ได้แสดงความคิดเห็น ได้ฟังอย่างมีวิจารณญานด้วย  

แล้วถ้าวิชาอื่นๆ เช่น ภาษาไทย สังคม คณิตศาสตร์ จะเอาวิชาละครไปประยุกต์ใช้ สามารถทำได้ยังไงบ้างคะ

สมมตินะ ครูวิชาภาษาไทย ม.ปลาย อยากเอาละครไปใช้ หลักการมันง่ายมาก หยิบละครในบทเรียนมาสักเรื่อง แล้วทุกคนช่วยอ่านบท ตีความว่าเรื่องนี้พูดเรื่องอะไร หัวใจสำคัญที่ผู้เขียนอยากบอกคืออะไร โครงเรื่องคืออะไร แบ่งสองข้างตัวละครหลัก ตัวละครปะทะ แล้วลองเล่น เล่นเสร็จชวนเขามาอภิปราย สะท้อนบทเรียนว่าทำไมมันมีปัญหาแบบนี้ เขาเห็นใครหรือประเด็นไหนในชีวิตจริงมั้ย ในที่สุดต้องถอดปัญหาและพฤติกรรมในเรื่องว่าปัจจุบันมันมีรึเปล่า นี่คือวิธีการใช้ละครในการเรียนปกติ เราเรียนเพื่อรู้ว่ามันสะท้อนอะไร เรียนเพื่อเข้าใจตัวเอง เข้าใจปัจจุบัน เพื่อเกิดการพัฒนาชีวิตของแต่ละคน

ครูพูดถึงการเรียนเพื่อเข้าใจตัวเอง-เข้าใจสังคม บ่อยครั้ง นี่คือจุดเน้นของห้องเรียนของครูเฟี้ยตใช่มั้ย ทำไมการเรียนต้องไปถึงตรงนี้ อยากให้ครูทบทวนประสบการณ์การเป็นครูตลอดเกือบ 30 ปีนี้ มีเหตุการณ์ไหนที่เป็นจุดเปลี่ยนในการทำงานมั้ยคะ

เมื่อมาทำงานกิจการนิสิต เราพบว่าเราได้ใช้สิ่งที่เป็นครู เป็นผู้กำกับ เป็นนักการละครมาทำงานนี้หมดเลย เราต้องดูแลความทุกข์สุขทั้งหลายทั้งปวงของนิสิตทุกระดับไปจนศิษย์เก่ามากมาย นิสิตปัจจุบันก็เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพจิต การเงิน พฤติกรรม อนาคต การเสริมทักษะให้เขาก่อนจะเรียนจบ มันเป็นงานส่งเสริม แก้ปัญหา พัฒนา ป้องกัน งานนี้ทำให้เราได้เจอตัวเองว่า เออ… เราได้ฝึกจิต เราได้ฝึกทักษะที่จะเป็นโค้ชมากขึ้น รับฟัง เข้าใจ ระดับลึกขึ้น 

เมื่อก่อนตอนเป็นผู้กำกับ เราแก้ปัญหานี้กับนักแสดงหรือนิสิตเอกละคร ตอนนี้ก็กว้างขึ้นเป็นนิสิตทั้งคณะ ปัญหามันกว้างขึ้นและปัจจุบันก็ละเอียดซับซ้อนขึ้น เราเลยต้องส่งเสริมให้มีโครงการต่างๆ สร้างเสริมแบบแทรกซึมให้เขาไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ตอนนี้เด็กอยากทำโครงการอะไรเราจะช่วยส่งเสริมให้ได้ทำ เช่น ประกวดอาหาร เราคิดว่าแต่ละโครงการคนที่ทำก็ได้ฝึกเป็นผู้นำ ผู้ตาม แก้ปัญหา ฝึกเผชิญหน้ากับความผิดหวังหรือฝึกรับคำวิจารณ์จากคนอื่น เราอยากฝึกความเป็นมนุษย์ให้พร้อมซึ่งจำเป็นมาก ไม่งั้นเขาจะไม่มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์มากพอ จบแล้วเจอโลกทำงานจริงเขาไม่เสียเวลากับเรานักหนา เขาพูดตรงๆ ซึ่งบางทีถ้าเราทะนุถนอมเด็กเกินไป ไม่ปล่อยให้เขาเจ็บบ้างมันอาจไม่ทัน 

เราคิดว่าจุดประสงค์สำคัญในการทำงานกิจการนิสิต คือช่วยให้เด็กได้เป็นตัวของตัวเอง ให้เขาเลือกสิ่งที่เขาอยากเป็น พอใจ ภูมิใจ เราช่วยสนับสนุนให้เขาได้ทำสิ่งที่เขาอยากทำ ให้เขาได้ทดลอง และเปลี่ยนได้ ถ้าทำอันนี้แล้วไม่เวิร์ก ไม่ชอบ ไม่ได้แปลว่าชีวิตแย่ ให้รู้ว่ามันไม่เหมาะกับเขา ให้เขาได้ทดลองทำอย่างอื่นจนเจอตัวเขาเอง

ถ้าเกิดครูทุกคนมีเวทย์มนต์ เวทย์มนต์ของครูเฟียตคืออะไร

เวทย์มนต์ของเรา คือการเป็นกระจก เพราะเราเอาไว้สะท้อน เขาสามารถเป็นอย่างที่เขาเป็น แล้วเราเป็นกระจกสะท้อนกลับไปว่าเขามีความดี ความงาม ความแข็งแกร่ง ความอ่อนโยน อ่อนแอ อะไรตรงไหนบ้าง ทำให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น ให้มนุษย์ทุกคนได้เรียนรู้

Tags:

unique teacherดังกมล ณ ป้อมเพชรการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)

Author:

illustrator

วิภาดา แหวนเพชร

อดีตเด็กหญิงที่เห็นภาพตัวเองโตขึ้นเพื่อได้สอนวิชาแปลกๆ ในโรงเรียนและเป็นนักเขียนแสนสนุก เพื่อทำทั้งสองอย่างเลยเรียนต่อคณะนิเทศศาตร์ จุฬาฯ ต่อโทอีกใบที่วิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ. อายุ 29 อดีตเด็กหญิงกลายเป็นอาจารย์สอนวิชาทักษะแห่งความสุข กับ วิชามนุษยสัมพันธ์ที่ลาดกระบัง เขียนบทหนัง 3 เรื่อง / สารคดี 4 เรื่อง / บทความอีกมากมาย ตอนนี้อดีตเด็กหญิงมีความสุขจัง

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Unique Teacher
    เด็กผู้ชายชอบสีชมพู นักเรียนติครู ความปกติในห้องเรียนอนุบาลของ ‘ครูนกยูง’ ปานตา ปัสสา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    Cultural ecology (2) : เล่นละครใส่กัน เถียงกัน เคารพกัน จนกลายเป็นฉันที่เข้าใจตัวเองและผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนที่เท่ากัน กับ ความจริงใจที่ไม่ต้องเอาอะไรมาแลก ของครูโปเต้ ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนประวัติศาสตร์และพุทธศาสนาที่ชวนตั้งคำถามถึงความดี ความรู้ และความจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนแปลง “การศึกษา” ด้วยการค้นหาความ “Unique” ในตัวครู | กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel