Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: January 2020

แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก
Creative learning
31 January 2020

แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก

เรื่อง The Potential

ถ้าไม่ใช่ ‘โอ๊ค’ คฑา กับ ‘โรส’ วริสรา มหากายี ก็คงทำบ้านเรียนแบบนี้ไม่ได้…

บ้านเรียนที่สอนทั้ง อบขนมปัง ยิงธนู หินสี เดินจักรวาล ปลูกผัก และเลี้ยงไก่ 5 วิชานี้มีทั้งวิชาของพ่อ ของแม่ และของลูก

ปีแรกของบ้านเรียนทางช้างเผือก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลักสูตรเต็มไปด้วยความเฟี้ยวฟ้าวและอุดมไปด้วยวิชาการจนต้องหยุดและกลับมาตั้งหลักกันใหม่ 

ห้องเรียนปีที่ 4 ของบ้านเรียนทางช้างเผือกจึงออกมาแบบไร้สูตรแต่เต็มไปด้วยเซนส์ (ความรู้สึก) และความต้องการลูกจริงๆ 

หลายคนอาจทักท้วงว่า ใช่สิ! ถ้าไม่ใช่ ‘โอ๊ค’ คฑา กับ ‘โรส’ วริสรา มหากายี ก็คงทำห้องเรียนและบ้านเรียนแบบนี้ไม่ได้

คำตอบของทั้งคู่อยู่ในคลิปนี้แล้ว  

อ่านบทความเพิ่มเติมได้: ที่นี่

Tags:

คฑา มหากายีพ่อแม่บ้านเรียนทางช้างเผือกวริสรา มหากายีโฮมสคูล

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “แค่ไม่เรียกว่าวิชา ก็น่าเรียนแล้ว” 5 ห้องเรียนไร้หลักสูตรของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นCreative learning
    บ้านเรียนทางช้างเผือก: ทำให้ทุกวิชามีความรู้สึก บ้านหรือโรงเรียน ที่ไหนก็เรียนรู้

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

“พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน
How to get along with teenager
30 January 2020

“พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เด็กรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการก้าวเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 วงเสวนา “Unspeakable Voice เรื่องในใจที่พ่อแม่ไม่เคยรู้” จะพาเราไปฟังเสียงของเด็กๆ ถึงความในใจที่พวกเขาอยากให้ผู้ใหญ่ได้ยินไปจนถึงการรับมือกับศตวรรษที่ 21 ที่กำลังจะมาถึง
  • เรื่องราวที่นำมาแชร์ในวงสนทนามีตั้งแต่ปัญหาการถูกตัดสินจากภาพลักษณ์ภายนอก พื้นที่อิสระสำหรับแสดงตัวตน หน่วยสนับสนุนหลักของลูกคือพ่อแม่ รวมไปถึงทักษะสำหรับรับมือกับศตวรรษที่ 21 และมุมมองอาชีพที่เปลี่ยนไป
ภาพ: Flock Learning

“ใส่แว่นแบบนี้ต้องเรียนเก่งมากๆ เลยใช่ไหม”

หลายๆ คนคงเคยเจอกับการถูกตัดสินไปแล้วเพียงเพราะแค่เห็นภาพลักษณ์ภายนอก ใส่แว่นต้องเป็นเด็กเรียนเก่ง คนๆ นั้นก็จะถูกคาดหวังว่าต้องเรียนเก่งมาก สร้างความกดดันให้กับพวกเขา เด็กก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกตัดสินจากภายลักษณ์ ทั้งจากคนในครอบครัวหรือคนนอก การถูกตีตราทำให้เสียงของเด็กส่งไปไม่ถึงผู้ใหญ่ เพราะเขาถูกตัดสินไปแล้วและไม่มีโอกาสได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ

วงเสวนา Unspeakable Voice เรื่องในใจที่พ่อแม่ไม่เคยรู้ จัดโดย BASE Playhouse ภายในงาน Parent Relearn Festival ณ มิวเซียมสยาม เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา จะพาเราไปฟัง  ‘เสียง’ ที่ไม่ค่อยได้พูดของเด็กรุ่นใหม่ ที่อยากจะบอกเล่าความในใจถึงปัญหาการถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก การเตรียมตัวรับมือกับศตวรรษที่ 21 และสิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ พื้นที่อิสระที่จะได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาพร้อมกับได้รับการยอมรับตัวตนจากครอบครัว

สมาชิกในวงเสวนาที่จะออกมาส่งเสียงให้ผู้ใหญ่ได้ยิน เป็นเหล่าน้องๆ BASE Ambassador ตัวแทนจาก BASE Playhouse พื้นที่ฝึกทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับเด็กรุ่นใหม่ ได้แก่

  • โดม ชยธร มูลพันธ์ มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 สายศิลป์ภาษาจีน โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปีเตอร์
  • นายน้อย ยิ่งศักดิ์ เหลืองมณีเวชย์ นักศึกษาวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
  • แบมแบม ศุภรดา ทองประสิทธิ์ นักศึกษาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • แพรว ณิชชา เจตนานนท์ นักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีบริหาร คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

ถูกตัดสินจากลักษณะภายนอก ทำให้ส่งเสียงไปไม่ถึงผู้ใหญ่

เสียงแรกที่ส่งมาถึงเป็นเสียงของโดม เขาเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ฟังหลับตาพร้อมกับบรรยายลักษณะของผู้ชายคนหนึ่งที่สูง ผอม ใส่แว่น ให้คนฟังลองจิตนาการว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนยังไง จากนั้นโดมก็ให้ทุกคนลืมตาและเฉลยว่าผู้ชายคนนั้นคือตัวเขาเอง

โดมเล่าต่อว่า ด้วยลักษณะภายนอกของเขาทำให้ถูกคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเป็นเด็กเรียน เด็กที่วันๆ เอาแต่อ่านหนังสือ ไม่ออกไปเล่นข้างนอก ซึ่งคนที่เข้าใจผิดมีทั้งคนภายนอกและคนในครอบครัวเขาเองที่ไม่ใช่พ่อแม่ โดมบอกเขาไม่ใช่เด็กเรียน แค่เป็นคนชอบเรียนเฉยๆ การถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอกนำไปสู่ปัญหาเสียงที่ไม่ได้ยินของเด็ก เพราะเขาถูกตัดสินไปแล้วและไม่มีโอกาสได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ และถ้าไม่ได้รับการแก้ไขก็จะนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรง เช่น การฆ่าตัวตาย หนีออกจากบ้าน

โดมยกเอาสถิติเด็กที่หนีออกจากบ้านของมูลนิธิกระจกเงามาเล่าให้ฟัง ในสถิติรายงานว่า ในจำนวนเด็กที่หนีออกจากบ้าน 300 คนนั้น ร้อยละ 77 สมัครใจหนีออกมาเองเพราะอยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข

เมื่อพูดอะไรไปแล้วไม่มีคนฟังหรือถูกตัดสินไปก่อน สุดท้ายเด็กเลือกที่จะเงียบ ปิดตัวจากครอบครัวและสังคมเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด โดมบอกว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ พ่อแม่ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย อยากเล่าเรื่องราวให้ฟัง ทำให้ลูกรู้สึกว่ามีตัวตน ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้สภาพแวดล้อมต้องเอื้ออำนวย พ่อแม่เปิดใจรับฟังลูก ไม่ตัดสินหรือมีอคติไปก่อน ให้โอกาสลูกในการตัดสินใจชีวิตของเขา โดมยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองว่า เขากล้าที่จะพูดทุกเรื่องกับแม่เพราะเขารู้สึกว่าแม่เป็นเพื่อนสนิทของเขา แม่สนใจกิจกรรมที่เขาทำ สนใจที่จะฟังทุกเรื่องที่เขาเล่า มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยที่จะแชร์ความรู้สึก แชร์ปัญหาที่เจอให้พ่อแม่ฟัง

“ตอนเลือกโรงเรียนแม่ให้โดมเป็นคนตัดสินใจ แม่บอกโรงเรียนที่ดีที่สุดของโดมคือโรงเรียนที่โดมชอบมากที่สุด โรงเรียนที่โดมคิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง” โดมกล่าว

การให้พื้นที่อิสระ: พ่อแม่หน่วยสนับสนุนหลักของลูก

นายน้อย เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าการที่พ่อแม่เห็นลูกมีความสุขนั้น แท้ที่จริงแล้วลูกมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า บางครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเด็กทำแล้วมีความสุข จริงๆ แล้วเขาทำไปเพื่อให้พ่อแม่หรือคนรอบข้างมีความสุข แต่ตัวของเด็กเองไม่ได้มีความสุขไปกับสิ่งนั้น มันอาจจะเป็นแค่ความสุขช่วงขณะหนึ่ง ไม่ใช่ความสุขตลอดชีวิตที่เด็กจะเผชิญ

“สิ่งที่น่ากลัว คือ ความชอบกับความถนัด สองสิ่งนี้ฟังๆ ดูอาจจะเหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วมันแตกต่างกันมาก ความชอบหมายถึงสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข แต่ความถนัดเกิดจากที่เราฝึกฝนบ่อยๆ เราทำได้ การที่เราเล่นดนตรีเก่งไม่ได้แปลว่าเราชอบเล่นดนตรี” นายน้อยกล่าว

แบมแบม ยกประโยคหนึ่งขึ้นมาที่เธอคิดเอง คือ U R STOPP มีความหมายว่าการถูกห้าม อักษรแต่ละตัวในประโยคมีที่มาจากปัญหาที่เด็กต้องเผชิญ

  • U มาจาก Underestimate การที่เด็กถูกผู้ใหญ่มองแบบกดดัน ไม่ได้เห็นสิ่งที่เขาเป็น
  • R มาจาก Rough หรือ Rude ความรุนแรงที่เด็กต้องเผชิญ
  • S มาจาก Scold การถูกด่าถูกว่า
  • T มาจาก Threaten การถูกข่มขู่
  • O มาจาก Overshadow เด็กถูกลดทอนความสำคัญ เมื่อพูดถึงความต้องการของตัวเอง แต่ถูกพ่อแม่บอกว่ามันแย่ไม่ดี
  • P มาจาก Pressure ความกดดัน
  • P มาจาก Problem ลูกถูกทำให้รู้สึกว่าเป็นปัญหาของครอบครัว เป็นปมด้อยของครอบครัว

การถูกขัดขวาง ถูกปฎิเสธ หรือห้ามทำอะไรจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ มันส่งผลกับเด็กทั้งด้านร่างกาย เช่น การถูกทุบตี ถูกทำร้ายร่างกาย และจิตใจตั้งแต่คำพูดดูถูกเหยียดหยาม คำด่า คำพูดบั่นทอนจิตใจ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งมักจะเจอได้ในสังคมไทยที่พ่อแม่ใช้กับลูก

แบมแบมอธิบายต่อว่า เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนในสิ่งที่เขาอยากทำ ไม่ได้รับการมองเห็น ไม่ได้รับอิสระที่จะออกแบบชีวิตตัวเอง กลายเป็นปัญหาทำให้เขาไม่มีความสุขกับชีวิต ซึ่งถ้าพ่อแม่อยากแก้ไขแค่เปลี่ยน U R STOPP เป็น SUPPORT ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ พ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นและเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองสิ่งใหม่ๆ โดยที่พ่อแม่อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าสิ่งที่ลูกทำไม่ดี พ่อแม่อยู่เป็นหน่วยสนับสนุน

“พ่อแม่มองตัวเองว่าไม่อยากเป็น role model ให้กับลูก เพราะคนอื่นเก่งกว่าเยอะ ซึ่งพ่อแม่ทุกคนมี potential ที่จะทำให้ลูกเรามีความสุข แค่เราอยู่ข้างๆ ไม่ทิ้งลูกไปไหนก็เป็น role model แล้ว” แบมแบมกล่าว

นายน้อยกล่าวเสริมว่า การที่ลูกจะมีความสุขที่แท้จริงเขาต้องมีพื้นที่อิสระ พื้นที่ที่เขาจะได้ทำได้แสดงออกของความเป็นตัวเอง มีพ่อแม่เป็นหน่วยสนับสนุนเปิดพื้นที่ให้กับเขาและยอมรับสิ่งที่เขาเป็น การที่พ่อแม่ให้ลูกออกแบบดีไซน์ชีวิตของตัวเอง จะทำให้ลูกรู้สึกว่าชีวิตของเขามีความหมายมากขึ้น เพราะเป้าหมายในชีวิตเขาคือสิ่งที่เขาตั้งเอง ไม่ใช่คนอื่นยื่นหรือตั้งเป้าหมายให้

“คำว่าครอบครัว คำสั้นๆ แต่พูดแล้วมันให้ความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความอบอุ่น” นายน้อยกล่าว

การเตรียมพร้อมรับมือกับศตวรรษที่ 21 จากเสียงคนรุ่นใหม่

เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 พ่อแม่ถูกแนะนำว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อช่วยลูก ในฝั่งลูกเองก็มีการเตรียมตัวในแบบฉบับของพวกเขา ซึ่งทั้ง 4 คนตอบตรงกันว่า ทักษะที่จำเป็นมากในยุคหน้า เป็นทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ปัจจุบันข้อมูลมีมากมายจนล้นทะลักออกมา แม้จะมีเทคโนโลยีที่คอยอำนวยความสะดวกสบาย รวมถึงการเข้าถึงที่ง่าย เด็กจำเป็นต้องมีทักษะในการคัดกรองข้อมูลอย่างมีสติและรู้เท่าทัน

เมื่อพูดถึงทักษะที่จำเป็นต้องมี เรื่องต่อมาคือการหาเลี้ยงชีพของเด็กๆ ในอนาคต ผลสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทย ปี 2562 โดยบริษัทจัดหางานอเด็คโก้ ไทยแลนด์ ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าอาชีพที่เด็กไทยสนใจมีทั้งอาชีพยอดนิยมดั้งเดิมอย่างหมอ ทหาร ครู รวมทั้งอาชีพเกิดใหม่อย่างนักแคสเกมที่ติดอันดับ 5 ผลสำรวจยังบอกอีกว่า เด็กไทยในยุคนี้มีความเป็น Digital Native คือ คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีมาตั้งแต่เกิด เป็นเครื่องมือหลักสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน

แพรวบอกว่า คำถามที่ถูกถามบ่อยตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ คือ ‘โตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร’ เธอบอกว่าตอนเด็กๆ ไม่สามารถตอบได้ว่าอยากทำอะไร ได้แต่ตอบๆ ไปให้มันจบ แพรวเลยเกิดความคิดว่า ‘เราจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นให้ได้ด้วยเหรอ’ โลกเปลี่ยนไปตลอด มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย อย่างในยุคนี้อาชีพใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เช่น ยูทูปเบอร์ นักแคสเกม เป็นต้น ตัวเด็กเองก็มีความคิดที่หลากหลายเราไม่สามารถตอบได้ทันทีว่าอยากเป็นอะไร เพราะกำลังเรียนรู้ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ

นายน้อยกล่าวเสริมว่า วิธีแบบเก่าที่ผู้ใหญ่สอนว่าให้มีความรู้เยอะๆ ปัจจุบันอาจใช้ไม่ได้แล้วเพราะการใช้ชีวิตมันไม่ได้ใช้แค่ความรู้แต่ต้องใช้ทักษะ ทัศนคติ เช่น ถ้าเจอปัญหามีความรู้แต่ไม่มีทักษะก็อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ หรือมีทั้งความรู้ ทักษะ แต่ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์และความคิดได้ก็ลำบาก

แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยน คือ เด็กยังคงต้องการพื้นที่อิสระ พื้นที่ที่เขาจะได้รู้ความต้องการของตัวเอง และสิทธิที่จะได้แสดงมันออกมา คนที่ช่วยพวกเขาได้ก็คือพ่อแม่ หน่วยสนับสนุนหลักของพวกเขา

(ซ้ายไปขวา) แบมแบม ศุภรดา ,นายน้อย ยิ่งศักดิ์, โดม ชยธร, ชมพู่ นภัสรสธร , แพรว ณิชชา และแม็ก ภีศเดช
*BASE Ambassador Program คือโปรแกรมของ BASE Playhouse พื้นที่ฝึกทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับเด็กรุ่นใหม่ (www.baseplayhouse.co) ที่จะทำให้น้อง ๆ มัธยมมีโอกาสได้เห็น และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ เพื่อสร้างความสำเร็จในรูปแบบของตนเอง ผ่านการเรียนรู้ และเจาะลึกแบบ Exclusive กับพี่ ๆ ทีมงาน BASE Playhouse และได้ลองฝึกทำงานจริงร่วมกับทีมงาน BASE Playhouse ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมอีกด้วย นอกจากนี้น้อง ๆ จะได้ลองดูแลโปรเจค หรือสร้างธุรกิจใหม่ของตนเอง รวมถึงเป็นตัวแทนของ BASE Playhouse ในการประชาสัมพันธ์ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สังคมไทย
ที่มา: adecco.co.th/th

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นงานเสวนาBASE PlayhouseFlock Learning

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Voice of New Gen
    สเตลลา โบลส์ “HELLO, WORLD แม่น้ำสายนี้สกปรกมาก!”

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

“ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่” กับคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิตที่ม.เถื่อน
Creative learning
29 January 2020

“ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่” กับคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิตที่ม.เถื่อน

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • มือค่อยๆ คนแป้งที่ผสมกับน้ำจนวัตถุดิบค่อยเปลี่ยนจาก ผง สู่ของเหลว จนขึ้นเป็นรูปขนมปัง ครูโรส-วริศรา มหากายี เจ้าของคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิต บอกว่า “ตา จมูก ลิ้น หู มือ” ที่สัมผัสลงบนแป้ง คือช่องทางการสื่อสารกับแป้ง “ใจที่อ่อนน้อมและมั่นใจ” จะค่อยๆ ปั้นแป้งจนขึ้นเป็นก้อนอย่างมหัศจรรย์
  • ระหว่างนวดแป้งช่วงแรก บ้างติดมือ บ้างเละเหลว นั่นทำให้เราไม่มั่นใจว่าขนมปังจะพังหรือไม่ ครูโรสเดินผ่านและบอกเราอย่างมั่นคงว่า “ให้บอกเขาอย่างใจเย็น จงเปลี่ยน จงเปลี่ยน นวดเร็วขึ้น เร็วขึ้น” ไม่นานขนมปังก็เป็นก้อน “เนียน ชื้น และอุณหภูมิเย็นได้ที่” ดังตั้งใจ – ขนมปังเสกได้ ชีวิตก็เปลี่ยนได้
ภาพ ป้อมปืน วรวัส สบายใจ

“ขนมปัง บางทีก็สอนให้เรา confidence บางทีก็สอนให้เราอ่อนน้อม” 

ครูโรส-วริศรา มหากายี เจ้าของคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิต กล่าวระหว่างถ่ายทอดประสบการณ์การทำขนมปังกับพวกเรา ครูเล่าว่า ความสนใจในขนมปังของครูเกิดจากความคิดจะ “ลงมือทำ” อะไรสักอย่าง เปลี่ยนตัวเองจากการใช้ “หัว” มาใช้ “มือ” ทุกการสัมผัสจะสื่อสารกับทุกส่วนผสมจนเกิด “ขนมปังที่มีชีวิต” และนั่น ทำให้คลาสการทำขนมปังเพื่อเปลี่ยนชีวิตของผู้คนเริ่มต้นขึ้น

ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่

หลังจากเป็นนักเรียนคลาสทำขนมปังของครูโรสรุ่นแรกที่มหา’ลัยเถื่อนเมื่อห้าปีก่อน ครั้งนี้ผมไปเข้าเรียนขนมปังเปลี่ยนชีวิตเป็นรอบที่ 3 แล้ว ครูถามผมว่าทำไมถึงมาเรียนอีก? ยังทำขนมปังไม่ได้เหรอ? ผมตอบว่าทำได้! อย่างไรก็ตาม ผมอึ้งไปพักนึงเพราะกลับมาคิดหนักกับคำถามนี้ ก่อนจะตอบในใจว่า “ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่” การเรียนรู้มันเป็นไปตลอดชีวิต และการหาความหมายในสิ่งที่เรียนคือแนวคิดสำคัญของมหา’ลัยเถื่อน

ที่มหา’ลัยเถื่อน ห้องเรียนจะโอบล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขา ดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่ตรงหน้าให้พลังธรรมชาติคอยสนับสนุนชีวิตและการเติบโตของเหล่านักเรียนทุกคน ที่นี่มีวิชาเรียนหลากหลาย ครูหลากหลาย แนวทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งฟัง ทำ กิน สนทนา นักเรียนออกแบบการเรียนรู้เอง เรียนจากตัววิชา เรียนจากเพื่อน เรียนจากครูที่ต่างวัย หรือแม้แต่จะเรียนจากธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เราเรียนผ่านการลงมือทำ เข้าไปคลุกฝุ่นแล้วคุยอย่างออกรสเพื่อหาความหมายของสิ่งที่เรียนต่อชีวิตของเรา จากเรื่องเรียน มาเรื่องการงาน จนกระทั่งในทุกๆ เรื่อง เรียนทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อสร้างความหมายของการเรียนรู้ร่วมกัน

ผมออกจะรู้สึกทึ่งที่พบว่าระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มหา’ ลัยเถื่อนมีความหลากหลายมากมายเช่นเดียวกับระบบนิเวศของธรรมชาติที่มีความหลากหลายของชีวิตและจิตสำนึกที่เชื่อมโยงกันอยู่ ยิ่งมีความแตกต่างหลากหลายมากเท่าไร เรายิ่งมองเห็นความเป็นไปได้ของชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้อย่างน่าทึ่ง ระบบนิเวศที่ทะเลทราย ป่าเขา และท้องทะเล สอนให้เรารู้ว่าชีวิตที่ทะเล ป่าไม้ และเม็ดทรายงดงามอย่างไร ระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มหาลัย’เถื่อน ยิ่งมีความหลากหลายก็ยิ่งสร้างผลผลิตชีวิตเรียนรู้ที่งดงามไม่แพ้กัน

ที่ห้องเรียน “ขนมปังเปลี่ยนชีวิต” เรากำลังเรียนรู้ความหลากหลาย ส่วนผสมของขนมปัง ทั้งแป้ง  น้ำ ยีสต์ นม น้ำตาล เกลือ เนย มีที่มาหลากหลาย จากกระบวนการผลิตที่แตกต่าง จากระบบโรงเรือนสู่ระบบโรงงาน ยังไม่นับรวมดิน น้ำ อากาศ ธรรมชาติที่รอให้เราสัมผัสและนำเอาพลังงานแวดล้อมมาทำ “ขนมปัง” ให้คุณภาพของส่วนผสมที่พร้อมขึ้นรูปเป็นชีวิตขนมปังที่ให้รสแตกต่างกัน ให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพแตกต่างกันมากกว่าส่วนผสม ที่สำคัญคือ “ช่างปั้นขนมปัง” บ้างเรียกว่า Artisan Bread ที่พกพาสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่สำคัญคือสภาวะจิตใจ ณ ขณะทำขนมปังนั้นแตกต่างกัน

การเข้าห้องเรียน “ขนมปังเปลี่ยนชีวิต” ทำให้ผมค้นพบว่าคุณภาพของ “จิตใจ” ของผู้ทำ ส่งผลให้คุณภาพของ “ขนมปัง” ของแต่ละคนออกมาแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ

เห็นตัวเองระหว่างปั้น

กว่าจะเป็นขนมปัง เราใช้แป้ง น้ำ ยีสต์ เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนผสมแค่นี้ก็ขึ้นรูปแป้งได้แล้ว เราเติมเกลือ ไข่ไก่ น้ำตาล เนย นม เพื่อให้ “รสที่รื่นรมย์” ความตกใจของผมในการเรียนขนมปังครั้งแรกคือ จากส่วนผสมเหล่านี้มันปั้นขึ้นมาเป็น “ก้อนแป้ง” ได้อย่างไร ครูค่อยๆ เทส่วนผสมที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบทีละขั้นตอน

ใช้มือค่อยๆ คนแป้งที่ผสมกับน้ำจนวัตถุดิบค่อยๆ เปลี่ยนจาก ผงสู่ของเหลวจนขึ้นเป็นรูปขนมปัง ครูโรสบอกว่า “ตา จมูก ลิ้น หู มือ” ที่สัมผัสลงบนแป้ง คือช่องทางการสื่อสารกับแป้ง “ใจที่อ่อนน้อมและมั่นใจ” จะค่อยๆ ปั้นแป้งจนขึ้นเป็นก้อนอย่างมหัศจรรย์

ตา-มีไว้สำหรับ เช็ค สี ขนาด จมูก-ดมกลิ่นของทุกส่วนผสม และเช็คขนมปังเมื่อสุกพร้อมเอาออกจากเตา ลิ้น-สำหรับชิมรสส่วนผสมที่เราอยากได้ ทั้งน้ำตาล เกลือ เนยที่ให้รสและความมัน ตัวอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจคือเราสามารถสร้างรสน้ำตาลที่ชอบได้จากความหลากหลายของน้ำตาลที่มีอยู่บนโลกใบนี้  มือ-สัมผัสอุณหภูมิความร้อยเย็น และความเนียนนุ่มของแป้ง หู-สำหรับฟังเสียงการทำงานของยีสต์ ลม และแป้งที่สัมผัสกับมือและโต๊ะระหว่างนวดแป้งจนขึ้นรูป

ขนมปังเสกได้ ชีวิตที่เปลี่ยนได้

ราวกับเวทย์มนต์ เราค่อยๆ เห็นการสานกันของแป้งและส่วนผสม จากของเหลวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นก้อน ความประหลาดใจของผมคือ ระหว่างนวดแป้งช่วงแรก บ้างติดมือ บ้างเละเหลว นั่นทำให้เราไม่มั่นใจว่าขนมปังจะพังหรือไม่

ครูโรสเดินผ่านและบอกเราอย่างมั่นคงว่า “ให้บอกเขาอย่างใจเย็น จงเปลี่ยน จงเปลี่ยน นวดเร็วขึ้น เร็วขึ้น” ไม่นานขนมปังก็เป็นก้อน “เนียน ชื้น และอุณหภูมิเย็นได้ที่” ดังตั้งใจ

ขณะที่เรากลัว ไม่มั่นใจ มือเราทำงานผ่านใจ ขนมปังก็ออกมาเละเหมือนใจเราขณะนั้น ถ้าเราสื่อสารกับขนมปังด้วยใจอย่างพอดี ขนมปังจะได้ที่ตามที่เราตั้งใจ ครูย้ำว่า “ดูโดว์ เนื้อเนียนดี เย็น 24 องศา แป้งไม่แฉะ ห้ามแห้ง เนื้อไม่รัดไม่เป็นไต” เป็นอันว่าสำเร็จตามใจของแต่ละคน

กับขนมปัง ผมพบว่าถ้านวดแรงไปเพราะกลัวจะไม่ขึ้นรูปเสียที ขนมปังก็จะแข็ง แห้ง แต่หากนวดช้าไปขนมปังก็จะเหลวไม่เป็นก้อน ติดไม้ติดมือ นี่เองที่ทำให้ผมเข้าใจจิตใจตัวเองจากที่ครูโรสบอกว่า  “ขนมปัง บางทีก็สอนให้เรา confidence บางทีก็สอนให้เราอ่อนน้อม” พื้นฐานของจิตใจไม่ว่าจะริเริ่มลงมือทำอะไร มันจะปรากฎเมื่อตอนเราทำขนมปัง

แต่ไม่ว่าพื้นฐานของจิตใจเราจะเป็นอย่างไร ในทุกๆ ขณะของการขนมปังก็สอนให้เราปรับจิตใจของเราได้ การทำงานและการใช้ชีวิตเช่นกันเราสามารถปรับจิตใจของเราให้สมดุลพอเหมาะพอดีกับสถานการณ์ในชีวิตได้ และนั่นคือ “การเปลี่ยนชีวิต”

อร่อยปาก อร่อยใจ

ขั้นตอนของการทำขนมปังมี 10 ขั้น คือ mixing, clean up, bulk ferment, degas, devide, preshape, final shape, scroll, bake, overspring จากผสมแป้ง ปั้นขึ้นรูป รอให้ยีสต์หายใจ ปั้นเป็นรูปร่าง นำเข้าเตาอบ จนขนมปังขึ้นฟู หอมพร้อมกิน ในทุกช่วงทุกขั้นคือการใส่ใจ และสื่อสารกับผลงานที่เราลงมือทำ

ผลงานของความใส่ใจ คือเวลาทองของการรอคอย เมื่อเราได้ชิมขนมปังฝีมือของเรา เราจะรับรสความอร่อยเป็นพิเศษ เรายังเช็คความสมบูรณ์ของการทำงานปั้นแป้ง ด้วยการดูสี ดูกลิ่น การสานตัวของขนมปัง เมื่อฉีกขนมปังออก แล้วชิมรส นอกจากความอร่อยลิ้นเมื่อชิมรสแล้ว ความอร่อยใจยังตามมาด้วยคุณภาพของความทุ่มเท

ผมได้เรียนรู้ว่า อะไรก็ตามที่เราทำมันด้วยความใส่ใจและใจรัก อ่อนน้อมถ่อมตนเท่าๆ กับความมั่นใจ ผลงานที่ออกมาไม่ว่าจะผิดพลาดอย่างไร ความภูมิใจย่อมส่งผลให้เราพร้อมพัฒนาต่อ และนี่คือเส้นทางการเปลี่ยนชีวิตในห้วงเวลาหนึ่งของผม ที่ให้ผมมองเห็นความเป็นไปได้ว่า…

ชีวิตเสรี เกิดขึ้นได้อย่างไร

Tags:

วริสรา มหากายีมหาลัยเถื่อนอาหารเชียงใหม่

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “แค่ไม่เรียกว่าวิชา ก็น่าเรียนแล้ว” 5 ห้องเรียนไร้หลักสูตรของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    มหา’ลัยเถื่อน: เรียนข้ามศาสตร์ กับครูที่ไม่ต้องจบครู ในยุคที่การศึกษาถูก DISRUPTED

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Voice of New Gen
    SUNSET GELATO: ไอศกรีมโฮมเมด ‘รสขอนแก่น’ เด็ดจากสวน ส่งตรงถึงหน้าบ้าน

    เรื่อง สิทธิกร ขุนนราศัยรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

“แค่ไม่เรียกว่าวิชา ก็น่าเรียนแล้ว” 5 ห้องเรียนไร้หลักสูตรของบ้านเรียนทางช้างเผือก
Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
27 January 2020

“แค่ไม่เรียกว่าวิชา ก็น่าเรียนแล้ว” 5 ห้องเรียนไร้หลักสูตรของบ้านเรียนทางช้างเผือก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อบขนมปัง ยิงธนู หินสี เดินจักรวาล ปลูกผัก และเลี้ยงไก่ ห้าห้องเรียนที่เจ้าของบ้านเรียนทางช้างเผือกไม่อยากเรียกว่าวิชา
  • “ถ้าเราเรียกว่าวิชา คนก็ไม่อยากเรียนแล้ว” ‘โอ๊ค’ คฑา มหากายี พ่อบ้านแห่งบ้านเรียนทางช้างเผือก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ บอกว่าอย่างนั้น
  • ห้องเรียนเหล่านี้สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ต่างหากที่เรียนและรู้จากลูก
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

วิชาต่างๆ ของบ้านเรียนทางช้างเผือก (อ่านบทความ บ้านเรียนทางช้างเผือก: ทำให้ทุกวิชามีความรู้สึก บ้านหรือโรงเรียน ที่ไหนก็เรียนรู้) ถูกจัดวางไว้อย่างหลวมๆ อยู่ใน 3 หมวดนี้ คือ ตัวเอง (Individual) สังคม (Social) และ โลก (Earth) โดยมี ‘ความรู้สึก’ เป็นสารตั้งต้น 

ส่วนเป้าหมายหรือปลายทางว่าจะได้อะไร ผ่านคำถามยอดฮิตว่า “เรียนวิชานี้แล้วได้อะไรบ้าง” ทั้งพ่อ โอ๊ค คฑา และ แม่ โรส-วริสรา มหากายี เคยตั้งไว้เหมือนกันแต่ก็พลาดเป้าไปเกือบหมด เพราะสิ่งที่ ลูกชาย-ช้างน้อย วัย 11 และ ลิปตา ลูกสาววัย 8 ขวบ เรียนรู้และฟีดแบคกลับมาให้พ่อแม่ฟัง มันเซอร์ไพรส์มากกว่านั้น 

ที่สำคัญ อบขนมปัง ยิงธนู หินสี เดินจักรวาล ปลูกผัก และเลี้ยงไก่ – วิชา…ไม่สิ ห้องเรียนเหล่านี้สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ต่างหากที่เรียนและรู้จากลูก

“แค่ไม่เรียกมันว่าวิชา มันก็น่าเรียนแล้ว” เห็นด้วยไหม?

‘อบขนมปัง’ สอนด้วยเซนส์ ไม่ใช่สูตร

ครูผู้ก่อตั้งหลักสูตรวิชาขนมปังก็คือแม่ คุณโรส วริสรา ด้วยแนวคิดสำคัญคือ เพราะเป็นอาชีพของที่บ้าน

“แม่ทำเพื่อหารายได้เข้าบ้าน จะได้ทำบ้านเรียนได้สะดวกขึ้น ถ้าเราไม่เอามาก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเรียน แม่ก็ถูกแยกออกไปเลย และไม่มีเวลาสอนลูกได้เลย” 

สิ่งที่ได้ ไม่ใช่แค่ขนมปัง แต่ระหว่างทำยังได้เห็นตัวเองในมิติต่างๆ เพราะขนมปังของคุณโรส เน้นใช้เซนส์ ไม่ใช้สูตร 

ส่วนผสมทั่วไป ทุกอย่างมาเป็นถ้วย มาเป็นกรัม เตาอบก็เป็นอุณหภูมิ ควบคุมด้วยเวลา ทุกอย่าง วางไว้หมดแล้ว เราแค่ไปทำตาม 

“แต่จริงๆ แล้วการทำขนมปังมันไม่ใช่แค่นั้น แป้งที่บอกว่า 350 กรัม แป้งแต่ละวัน แต่ละพื้นที่ แต่ละยี่ห้อ ความชื้นไม่เท่ากัน แล้วขนมปังมันเป็นธรรมชาติ มันก็ไม่ประนีประนอมกับความ error ของมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องใช้เซนส์ อย่างน้ำ 200 มิลลิลิตร ก็เตรียมไว้ตามสูตร แต่ไม่ได้บอกว่าต้องใช้หมด ต้องใส่ไปทำไป แล้วก็นวด นิ่มหรือยังก็ใช้มือรู้สึก แห้งก็เติม เปียกก็หยุด สูตรทุกอย่างเป็นไกด์ไลน์ เวลาอบก็ไม่เกี่ยวกับเวลา เพราะเตาอบก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่วัดว่าสุกแล้วคือกลิ่น ต้องใช้จมูก มือ ตา ใช้เซนส์หมดเลย อันนี้เป็นความรู้สึกของเขา เขาอะรู้ แต่เรากำลังทำให้เขาไม่รู้ ตรงนี้อันตรายมาก” 

ถัดมา คือ วิชาคณิตศาสตร์ผ่านการคำนวณต้นทุน กำไร 

“แม่ทำ sour dough ต้นทุนแพงแต่เราขายถูกเพื่อให้เป็นห้องเรียนลูก ลิปตา (ลูกสาว) เล็กๆ ยังบวกเลขไม่เป็น ราคาจึงไม่มีตัวเลขยากเลย 5, 10, 15, 20 เพื่อให้รู้สึกว่าบวกง่าย ลิปตาคุยเก่ง พี่น้อย (ช้างน้อย-พี่ชาย) เป็นคนทอนเงิน” 

ขายได้เท่าไหร่ พ่อแม่ลูกก็ต้องมาประเมินร่วมกันว่า ใครควรได้เท่าไหร่ เช่น พ่อช่วยตั้งโต๊ะ แม่ออกค่าวัตถุดิบ ส่วนลูกๆ ตั้งใจขายแค่ไหน 

“เคาะกันออกมาเป็นคะแนน ประเมินออกมาเป็นเงิน ซึ่งเราก็ให้เขาตัดสินนะว่าควรได้เท่าไหร่ ใครควรได้ตังค์เยอะสุด” 

ย้อนกลับไปช่วงขาย พ่อแม่บ้านนี้ปล่อยให้ลูกไปตั้งโต๊ะขายกันเอง แน่นอน แรกๆ ย่อมเขินอายเป็นธรรมดา แต่ครั้งต่อมาเขาเริ่มเรียนรู้ว่าการอาย = ขายไม่ได้

“การเรียนรู้กระบวนการทำ ทำให้เห็นตัวเอง การเอาไปขาย ก็เท่ากับลดความอาย เกิดปฏิสัมพันธ์กับคนนอก เขาต้องลดตัวตน ลดทุกอย่าง เราทำบ้านเรียน เราอยู่เดี่ยวๆ ไม่รู้จะคุยกับใคร แต่พอพาไปตลาด เขาสื่อสารได้กับคนทุกเพศวัย เพื่อนของเขาไม่ใช่วัยเดียวกัน ใครมาเขาอยากเล่นด้วยหมดเพราะโหยหา อยากมีเพื่อนทุกที่”  

เมื่อทำๆ ขายๆ จนเอาอยู่ สิ่งที่ตามมาคือความเบื่อ ซึ่งแม่เห็นเพราะคอยสังเกตลูกอยู่ทุกช่วง เป็นความท้าทายต่อมาว่า วิชาขนมปังที่ช่วยฝึกเด็กๆ ให้อดทน รู้จักเวลา จะไปต่ออย่างไร แม่จึงลองเปลี่ยนให้เด็กๆ เป็นผู้สอนบ้าง วิชาน่าเบื่อก็สนุกขึ้นมาทันที 

“เลยเปิดคลาสเด็กขึ้น แกล้งบอก มาสอนไหม ได้ตังค์นะ (หัวเราะ) เขาอยากได้เพื่อน เลยตกลง

“แต่จะสอนได้ คุณต้องเก่งก่อน เขาตั้งใจมากเลยเพราะรู้ว่าต้องไปถ่ายทอด พอตั้งใจ เขาได้กับตัวเองก่อน ไม่เข้าใจถามก่อน รู้จักการแก้ปัญหาก่อน เขาจะเห็น process หมดแล้ว เราให้ formula (สูตร) ไป เขาจะแก้ให้เลยว่ามันยากไป เช่น ลดน้ำลงเหอะ เด็กทำไม่ไหว วาดรูปประกอบเอง ทำรูปเล่มเอง โตขึ้นก็หัดใช้คอมพิวเตอร์เอง ก็สนุกขึ้น” 

ไม่ใช่แค่คนสอนที่สนุก คนเรียนก็สนุก เพราะเรียนจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่พูดภาษาเดียวกัน 

“เด็กสอนเด็ก เด็กที่มาเรียนก็จะฟัง ไม่น่าเบื่อเหมือนผู้ใหญ่พูด บางทีเราชอบใช้ศัพท์ยาก หรือไม่ก็เสียงสองไปเลย เด็กไม่ชอบ เด็กจะพูดตรงๆ ไปเลย เขาจะสื่อสารกันง่าย เราแทบไม่ต้องดูอะไรเลย แค่เดินรอบๆ ช่วยดูเตา ที่เหลือเขาจัดการเอง” 

หลังจากสอนเสร็จทุกคืน ไม่ว่าดึกหรือง่วงแค่ไหน พ่อแม่ลูกต้องประชุม ประเมิน เพื่อถอดบทเรียน 

“วันรุ่งขึ้นเราก็แก้ไขในสิ่งที่เขา (ลูก) พูด เขาจะรู้ว่าการประชุมสำคัญ อะไรก่อน หลัง ช่วงเบรกทำอะไรดี ช้างน้อยช่วยดูน้องมากขึ้น เขาจะอยู่แต่โต๊ะเด็ก เป็นโมเมนต์ที่เราไม่เคยเห็น ลูกเราดูแลเป็น ยอมเป็น ไม่แย่งซีน ส่วนลิปตา ไม่ค่อยเปลี่ยนเยอะมาก แต่อดทนมากขึ้น อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ช่วยเก็บของ” 

’ยิงธนู’ ครูคือลูกที่ยิงพลาด

ทำไมต้องเป็นกีฬายิงธนู? วิชานี้เริ่มจากความอยากรู้ของพ่อ 

“เราไปอ่านสัมภาษณ์แชมป์โลกยิงธนูหญิงชาวไต้หวัน คำถามว่าเคล็ดลับในการยิงคืออะไร เขาตอบว่า ฉันน่ะไม่ได้ยิงเลย มันไปของมันเอง เราอ่านแค่ประโยคนี้ แบบ มันคืออะไร เป็นแชมป์โลกทำไมพูดแบบนี้ ไม่เข้าหูเลย” 

จุดนี้ทำให้พ่อเริ่มไปเรียนยิงธนู การเรียนรู้จึงเกิดขึ้นหลังจากนั้น 

“มันมีบทเรียนซ่อนอยู่ในนั้นหมด ตั้งแต่ท่ายิง self awareness รู้จักตัวเอง รู้จักอุปกรณ์ รู้จักสภาพแวดล้อม ผลของมันก็รูปธรรมมาก ยิงเข้าเห็นเลย ยิงออกก็เห็นเลย ไม่คลุมเครือ ลูกที่ออกมันบอกเราหมดเลยว่าเราควรจะปรับตัวเองอย่างไร มันไม่พูดสักคำว่าให้เราแก้ยังไง ยิงสูง ยิงต่ำ พอมันไม่ประนีประนอมแบบนี้ มันเป็นครูที่ดี เพราะมันแสดงความจริงให้เราเห็นว่าเราเป็นแบบนี้ self awareness เรามี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะได้ดั่งใจ และทุกอย่างเริ่มที่ตัวเอง

เพราะธนูที่ใช้เป็นแบบ traditional ไม่มีอะไรถ่วง หรือช่วย ใช้ตัวเองเล็งและยิง 

“ลูกที่ออก มันเอนไปทางซ้าย มันบอกเราโดยธรรมชาติเลยนะว่าเราต้องปรับขวา ยิงเข้าไม่เข้าก็เพราะฉันไม่ใช่เพราะคันธนู (หัวเราะ) โทษใครไม่ได้” 

ดังนั้นครูที่สำคัญของวิชานี้ คือลูกที่ฟิ้วววว ออกนอกเป้า 

“ลูกที่เข้า มันเฮอย่างเดียว ลูกที่ออกมันเป็นครู มันจึงเต็มไปด้วยความรู้สึก เศร้า ดีใจ เสียใจ พ่อแม่ก็ต้องหยิบให้ทัน คนที่ทำงานการศึกษาก็ต้องหยิบให้ทันว่าจะช่วยเขาได้อย่างไรจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้” 

เมื่อออกจากบ้านไปแข่งกับคนแปลกหน้ายังสนามต่างๆ วิชาที่ตามมาติดๆ คือ วินัย ผ่านความรู้สึกของผู้แพ้และผู้ชนะ 

“อันดับหนึ่งเลยคือการรู้จักตัวเอง ทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้ ทั้งหมดมาจากวินัยข้างในของเขา วินัยไม่ได้แปลว่ากฎ แต่แปลว่าเครื่องมือสู่ความสำเร็จ ถ้าเขาอยากทำท่านั้นก็ต้องมีวินัย ต้องฝึก โดยไม่ต้องบอก นี่สำคัญ เพราะพ่อแม่ไม่ใช่นักกีฬา ไม่มีทางที่เราจะสอนเขาได้ว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต เขาจะมีเจตจำนงสูงมาก 

ตามมาด้วย empathy การเป็นผู้ชนะที่เข้าใจผู้แพ้ และการที่แชมป์กอดคอที่สามแล้วขึ้นไปยืนบนแท่นเดียวกันมันเป็นไปได้เสมอ 

“ชนะคือการชื่นชมมันมีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเราก็ต้องชัดเจนด้วยว่าเราต้องคิดถึงคนที่ได้ลำดับอื่นๆ เราถามลูกว่าคนที่ได้ที่สองเขารู้สึกยังไง ทั้งที่เขาก็ฝึกมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เขาไม่ได้ตรงนี้เขาจะรู้สึกยังไง ไม่ใช่อันดับที่หนึ่งที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ประเด็นสำคัญคือเห็นคนอื่นไหม เราเข้าใจในมาตรฐานของกีฬา แต่เรื่องมาตรฐานของจิตใจมันไม่มีกฎมาควบคุม เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปเคารพกฎแบบนั้น เรามีสิทธิที่จะจูงมือเพื่อนที่อยู่ที่สองที่สามมายืนด้วยกันได้” 

ถ้าแพ้ พ่อโอ๊คบอกว่าสอนลูกง่ายกว่า เพราะพ่อก็แพ้ให้เห็นเป็นประจำ 

“บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากไปแข่งธนู แต่ไปแข่งเพื่อให้ลูกเห็นว่าแพ้ไม่เป็นไร โอเค แฮปปี้ นี่คือสิ่งที่ท้าทายเรา ที่หนึ่งก็ดีนะ เก่งมาก แต่เรายังไปไม่ถึง ต้องพยายามต่อไป ซึ่งการแพ้ของพ่อ แต่ละครั้งมันมีพัฒนาการ มันมีบันไดแต่ละขั้นให้ขึ้น ความรู้สึกกับพ่อแม่จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องสร้างความคิดที่ดีว่า แพ้ไม่ใช่ปัญหา แพ้เป็นครู เหมือนลูกธนูที่ออก ชนะมีแต่เฮ ไม่รู้หรอกชนะแล้วไงต่อ แต่แพ้นี่รู้ว่าต้องไปยังไงต่อ” 

’หินสี‘ ธรณีวิทยายาวไปถึงประวัติศาสตร์สงครามโลก

เริ่มจากการชวนช้างน้อยและลิปตาไปสำรวจธรรมชาติรอบๆ เชียงดาว พ่อชวนลูกเก็บหินในลำธารเอามาบดเป็นสี ก่อนจะพบว่า ‘สีของเชียงดาว’ มีเยอะมาก

“สีของหินพวกนี้มันมาจากไหน นี่เป็นเรื่องของการสังเกตและกิจกรรมที่อยู่ในลำน้ำ และการไปค้นหาว่าสีพวกนี้มันมาจากอะไร อันนี้เป็นวิชาธรณีวิทยา จากสีของหินที่เก็บมา เราพบว่าประเทศไทยสีโทนร้อนเยอะมากเลย และเราค้นพบอีกว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก เพราะให้สีสนิม แดง เหลือง ส้ม ส่วนสีอื่นๆ อย่าง เขียว เทา เกิดขึ้นมาเพราะว่าส่วนที่ oxidation กับอากาศ มันต่างกัน ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน เราเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก” 

หินสียังพาไปไกลถึงวิชาประวัติศาสตร์สงครามโลก และบูชิโดสปิริต

“จากธาตุเหล็กที่เราเริ่มต้น จนกระทั่งไปเห็นลูกระเบิด พลูโตเนียม ลูกก็ถามว่า ทำไมธาตุนี้เป็นรูประเบิด เราก็เล่าเรื่องระเบิดปรมาณูให้เขาฟัง ว่ามันมาจากธาตุพวกนี้ที่หายาก แล้วก็เล่าว่ามันถูกใช้งานครั้งแรกที่ไหน แล้วก็เล่าว่าญี่ปุ่นโดนอะไร ทำไมถึงโดน แล้วเขาทำอะไรต่อ สุดท้ายเราไปจบที่เครื่องบินซีโร่ซึ่งขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินของญี่ปุ่นโดยเติมน้ำมันเที่ยวเดียว 

จิตใจแบบไหนกันนะที่เขาเติมน้ำมันเที่ยวเดียว ไปถึงเพิร์ลฮาร์เบอร์แล้วกลับไม่ได้ สปิริตอันนี้ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในคนญี่ปุ่น เรียกว่าบูชิโดสปิริต ทั้งหมดนี้เราเริ่มจากเก็บหิน” 

ยังมีวิชาร่างกายของเรา เพราะบ้านเรียนทางช้างเผือก ทุกวิชาต้องมีความรู้สึกเป็นแกนสำคัญ 

“ตอนที่เขาดมสนิม เราก็พบว่ากลิ่นของสนิมกับเลือดเราใกล้กันมากเลย นั่นเพราะมันมีพื้นฐานอันเดียวกันกับเลือด คือธาตุเหล็ก เขาจึงรู้ว่าร่างกายเราก็มีธาตุเหล็กด้วย” 

คุณโอ๊คชี้ว่าทุกการเรียนรู้มีความรู้สึก อยู่ที่เราจะใช้ประโยชน์อย่างไร แต่ก็ต้องเผื่อใจให้คนทำกระบวนการอย่างพ่อแม่ว่าลูกอาจจะรู้สึกไม่เหมือนเรา ถ้าคนสอนปรับตัว-ปรับใจทัน และไม่มีเป้าว่าจะพาเขาไปไหนตั้งแต่แรก 

“มันจะง่าย”  

’เดินจักรวาล’ ปั่นจักรยานไปดาวพลูโตแค่สองชั่วโมงเอง

ถัดจากลุยน้ำ ก็ขี่จักรยานไปดาวพลูโต ทั้งหมดนี้อยู่ใน ‘ห้องเรียนสำรวจธรรมชาติ’

“ส่วนมากถ้าอยู่เชียงดาว ก็สำรวจรอบบ้านเลย ผลหมากรากไม้ พืช แมลง เขาเริ่มต้นจากแมลง ต่อด้วยเรื่องพืช ทุกอย่างที่เป็นสิ่งมีชีวิตเราเอาหมด เริ่มต้นผมนำให้ เรื่องดิน เรื่องฟ้า เอาทุกมิติ สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเอง เริ่มต้นจากกายภาพที่เขาเห็น สีในดิน แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์สำรวจไปทั่ว ขุดดิน แคะๆ แล้วมาเก็บดู เริ่มต้นอย่างนี้นะ ดิน พืช แมลง สัตว์ ท้องฟ้า โลก และจักรวาล” 

วิชาจักรวาล คุณพ่อบ้านนี้ก็หาวิธีทำให้ลูกๆ รู้ถึงระยะห่างระหว่าง ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์แต่ละดวง ด้วยการปั่นจักรยานตาม ‘โมเดลดวงดาว’ 

“เราทำเรื่องโมเดลดวงดาว คำนวณระยะห่างตามสเกล ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ฟรี) เข้ามาเป็นเครื่องมือ สมมุติว่าบ้านเราเป็นพระอาทิตย์ ตรงไหนเป็นดาวอะไร เราก็ขี่จักรยานไปจากดวงอาทิตย์ถึงดาวพุธ พล็อตจุดและไปตามจีพีเอส ดาวสุดท้ายที่เราขี่จักรยานไปคือดาวพลูโต ซึ่งตอนนี้ถูกลดชั้นไปแล้ว อยู่ห่างจากนี่ไป 11.5 กิโลเมตร อยู่ที่อ่างเก็บน้ำของอีกหมู่บ้านหนึ่ง” 

การขี่จักรยานเพื่อไปดาวต่างๆ มันให้อะไรบ้าง? 

“กิจกรรมนี้เราเรียกว่า ‘เดินจักรวาล’ ส่วนมากเราชวนคุย เดินไปที่โลก บอกว่านี่ไงโลก แล้วก็มองกลับมาที่บ้านซึ่งผมเปิดไฟทิ้งไว้ดวงนึง เพื่อให้เห็นว่านี่คือตำแหน่งดวงอาทิตย์ พอมองย้อนกลับมา เป็นไฟดวงจิ๋วเท่านั้นเอง เนี่ย เรื่องราวทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ทุกคนอยู่ตรงนี้ ผมว่ามิติแบบนี้เป็นมิติที่น่าสนใจ

ส่วนความรู้ในแง่ข้อมูล วิชาเดินจักรวาลให้เด็กๆ ได้ประสบการณ์ ความรู้สึก และความเข้าใจในระยะห่างระดับความเร็วแสงจากดาวต่างๆ ถึงโลก

“สมมุติเราอยู่พระอาทิตย์ เดิน 8 นาทีไปที่โลก นั่นเท่ากับเราเดินด้วยความเร็วแสงเลยนะ นี่มันเก็ตไอเดียเลย ถ้าพูดแค่ความเร็วแสงสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที เราไม่รู้หรอกมันคืออะไร ตัวเลขที่ขึ้นไปถึงหมื่นแสนมันไม่เข้าใจแล้ว ทีนี้เราจะทำยังไงให้เกิดความเข้าใจ ก็ใช้สเกล 1 ต่อ 500 ล้านสิ มันก็ยังเป็นคอนเซ็ปต์อยู่ แต่ทำให้แคบลงมาเพื่อให้เด็กมีความรู้สึกร่วม รู้สึกถึงระยะที่ห่าง”  

การปั่นจักรยานไปดาวพลูโตจึงไกลมาก ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าเลย 

‘เลี้ยงไก่ ปลูกผัก’ ลูกรู้แล้วว่าความรักเป็นอย่างไร

กลับมาสู่วิชาในรั้วบ้าน ทั้งเลี้ยงไก่และปลูกผัก กุญแจสำคัญของการร่างหลักสูตรคือ ความรับผิดชอบ 

รดน้ำ ใส่ปุ๋ย คือหน้าที่ที่ลิปตาและช้างน้อยต้องช่วยกันทำ 

“เช้ามาพี่น้อยมีหน้าที่ไปกวาดขี้ไก่ในเล้าแล้วเอามาเป็นปุ๋ยใส่ผักผลไม้” แม่โรสพูดถึงพี่ชาย 

ตอนนี้แปลงผักของมาลาดาราดาษหนักไปทางผลไม้เพราะเด็กๆ ชอบกิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รีทั้งหลาย 

“มีแบล็คเบอร์รี ราสเบอร์รี มันเก็บกินได้ทั้งปี ยังมี องุ่น แก้วมังกร เสาวรส ผักสวนครัวต่างๆ ทางโน้นก็จะเป็นเฮิร์บ (สมุนไพร) ของพ่อ เพราะชอบทำอาหารอิตาเลียน” 

ถัดไปไม่ไกลเป็นทุ่งข้าวสาลี วัตถุดิบของวิชาอบขนมปัง 

“เพราะบ้านเราทำขนมปัง เด็กจะได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นว่าก่อนจะมาเป็นขนมปัง ต้นมันเป็นแบบนี้ เกี่ยวเสร็จ แล้วเราก็ไปโม่แป้ง โม่เสร็จปุ๊บก็เอามาทำขนมปังกันค่ะ” 

แม่โรสบอกว่าอยากให้ลูกๆ รู้ว่าสิ่งที่กินเติบโตมาอย่างไร มีเวลาการรอคอยแค่ไหน ต้องดูแลมันอย่างไร ถ้าเอาแต่ซื้อกิน อาจไม่รู้ที่มาที่ไป 

“ของสดมันมีชีวิตนะ เก็บปุ๊บกินปั๊บเลย ลิ้นจะมีทักษะ รู้ว่ารสชาติที่แท้มันเป็นอย่างไร”

ไม่ใช่แค่คนเท่านั้น แมลงต่างๆ ก็ยังอยากกินด้วย โดยเฉพาะสตรอเบอร์รี 

“ปีที่แล้ว แมลงมากินหลายลูก ช้างน้อยก็ไปสังเกตว่าแมลงอะไร ปรากฏว่ามันเป็นหนอน เราก็ช่วยกันคิดหาวิธีที่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ช้างน้อยเลยช่วยออกแบบ หาไม้มาค้ำทีละลูกเพื่อไม่ให้สตรอเบอร์รีถูกเจาะ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฆ่าแมลง ฆ่าหนอน” 

สิ่งที่ช้างน้อยทำคือ พยายามเอื้อให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้กินด้วย 

“ผักมีรู เขาก็บอกว่าโอเค แบ่งๆ กันกิน ไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องเอาดีคนเดียว รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปันให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ” แม่โรสสรุป 

ส่วน เลี้ยงไก่ พ่อโอ๊คเล่าว่าเกิดมาจากการให้เลือกทำงานบ้านสักอย่างเพื่อฝึกหน้าที่และความรับผิดชอบ 

“คุยกันว่างั้นเลี้ยงไก่ก็แล้วกัน จะได้มีไข่ไว้ทำขนมปัง ไว้ทำอาหารด้วย เราคาดหวังเรื่องความรับผิดชอบเป็นหลัก ไม่ได้คิดเรื่องอื่น”

แต่หลังจากเลี้ยงไปหนึ่งปี พ่อลูกก็มานั่งถอดบทเรียนกันง่ายๆ นอกจากไก่จะมีชื่อทุกตัวแล้ว สิ่งที่ลูกชายเซอร์ไพรส์พ่อมากๆ กลับเป็นสิ่งนี้ 

“เขารู้แล้วว่าความรักคืออะไร ที่ป๊ารักเขามันหมายความว่าอะไร เราก็ถาม เพราะพี่น้อยเป็นพ่อไก่เหรอ เขาก็บอกว่าใช่ เขารู้แล้วว่าทำไมป๊าต้องคอยทำสิ่งดีๆ ให้ ทำไมต้องคอยดุ กระบวนการที่ได้ทั้งหมดเนี่ย เราดีไซน์ตั้งแต่ต้นไม่ได้ เราทำได้อย่างเดียวคือทำกิจกรรมที่มีปลายเปิดมากๆ เราหวังว่าเขาต้องได้เรียนรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ ด้วยความอิสระและธรรมชาติของเขาเอง” 

Tags:

โฮมสคูลคฑา มหากายีพ่อแม่บ้านเรียนทางช้างเผือกวริสรา มหากายี

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Creative learning
    แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง The Potential

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นCreative learning
    บ้านเรียนทางช้างเผือก: ทำให้ทุกวิชามีความรู้สึก บ้านหรือโรงเรียน ที่ไหนก็เรียนรู้

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

‘ครูเล็ก’ ภัทราวดี มีชูธน: เรียนไปเถอะตลอดชีวิต อายุเท่าไหร่ก็ช่างหัวมัน
Life Long Learning
27 January 2020

‘ครูเล็ก’ ภัทราวดี มีชูธน: เรียนไปเถอะตลอดชีวิต อายุเท่าไหร่ก็ช่างหัวมัน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คุยกับ ‘ครูเล็ก’ ภัทราวดี มีชูธน ที่กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน
  • “เพื่อเข้าใจเด็ก” คือเหตุผลสำคัญที่ครูกลับไปเป็นนักเรียนในวัย 72 ปี
  • ทุกคนจะรู้จักคำว่าเด็กพิเศษ แต่เด็กพิเศษของครูเล็กคือครูทุกคน รวมถึงตัวครูเองด้วย “เพราะความเป็นเด็กพิเศษมีอยู่ในตัวทุกคน”

ในวัยเลข 7 นำหน้า ‘ครูเล็ก’ ภัทราวดี มีชูธน กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน เพราะครูกลับไปเรียนทั้งกีตาร์ เล่นสเก็ตบอร์ด art therapy ฝึก รด. ครูก็ยังเรียนมาแล้ว

“จะอายุเท่าไหร่ก็ช่างหัวมัน ดิฉันยังมีใจเป็นเด็กอยู่ ดิฉันจะสนุกอยู่ตลอดเวลา เด็กเล่นสเก็ตดิฉันจะไปเล่นด้วย บางทีก็ต้องปรามๆ ตัวเอง คอยเตือนตัวเองว่า เฮ้ อายุไม่ใช่ 8 ขวบนะ เจอเด็กๆ เจอครูอื่นๆ ก็ยังยกมือไหว้ก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าสอนมาให้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ก็จะอายุ 16 เสมอต้นเสมอปลาย (ยิ้ม)” 

ลิปสติกสีชอคกิ้งพิงค์ของครูสดใสไม่แพ้น้ำเสียงตื่นเต้นและแววตาที่วิบวับตลอดการสนทนา ครูเล่าเหตุผลที่ต้อง re-learn หลายเรื่องให้ฟังว่าเพราะช่วงหลังทำงานคลุกคลีกับเด็กหลายกลุ่ม ทั้งเด็กขาดโอกาส เด็กพิเศษ ที่เรียกร้องความเข้าใจสูง ครูจึงต้องกลับไปเป็นนักเรียนอีกรอบ

และครูชอบเป็นนักเรียนมากกว่า

“การเป็นนักเรียนมันดี ดีกว่าการที่เราเป็นครู เพราะถ้าเราไม่ได้กลับมาเป็นนักเรียนเลย เราจะไม่เข้าใจหัวใจเด็ก ว่าทำไมเด็กมันถึงชอบหลับตอนเรียน เราเรียนเองเรายังง่วงเลย” 

ทราบว่าโรงเรียนภัทราวดี (หัวหิน) ของครูมีการเรียนการสอนที่ให้เด็กทั่วไปเรียนกับเด็กพิเศษ มีแนวคิดอย่างไรคะ

ต้องบอกว่าตอนที่เราเปิดโรงเรียนเราไม่รู้ว่าใครเป็นเด็กธรรมดา ใครเด็กพิเศษ เขาก็เรียนด้วยกัน และเราก็เริ่มมองเห็นปัญหาของเด็กพิเศษ เรามองเห็นและเราก็รู้ว่า ครูทั่วไปจะมองว่าเป็นเด็กแปลก เด็กเกเร เด็กพิเศษ แต่ว่าเด็กพวกนี้ ในบางวิชาก็เรียนได้ดี บางวิชาไม่เอาเลย บางวันก็น่ารักมาก นุ่มนวล บางวันมีปัญหาชกต่อย รุนแรง แต่เราก็ใช้เมตตาจิตสอนไปตามที่เรารู้ เพราะสมัยอยู่ที่ภัทราวดีเธียเตอร์ จะมีคุณครูส่งเด็กมา เรียกเขาว่า ‘กลุ่มเด็กเปรต’ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเปรตยังไง เปรตตรงไหน เพราะเขาก็ตั้งอกตั้งใจและเขาก็เก่งมาก เด็กๆ เหล่านั้นบางคนก็ไปเป็นนางแบบโลก ไปเป็นเจ้าของธุรกิจกิจการ 

เพราะฉะนั้นฉันก็ใช้วิชาเก่าๆ ที่ดีงามที่เคยเรียนรู้จากเด็กพวกนี้ ต้องนุ่มนวลกับเขาหน่อย เรียกว่าปากเปียกปากแฉะกับเขาเยอะหน่อย จนต้องไปเรียน art therapy ที่จุฬาฯ ไปฟังสัมมนาอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเด็กมีปัญหา ก็เลยรู้ว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กพิเศษ มีอะไรหลายๆ อย่างไม่เหมือนกันเลย มีความแปลกที่ไม่เหมือนกันเลย แต่ที่มีเหมือนกันคืออารมณ์ขึ้นลงเร็วมาก คุมตัวเองไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่บางคนทราบ บางคนไม่ทราบ บางคนแพทย์ก็ให้ยามากิน บางคนกินแล้วก็ซึม สงบดีแต่ซึม ดิฉันก็เลยคิดว่า เอ๊ะ ลองฝึกให้เขาไม่กินยาได้ไหม จะกินยาทั้งชาติเลยหรือไง ถ้าไม่มียาทำยังไง 

ที่เรามีเด็กทั่วไปกับเด็กพิเศษเรียนด้วยกันเนี่ย ทำให้เด็กทั่วไปจิตใจดีขึ้น มีเมตตา มีความอดทน เข้าใจมนุษย์อื่นๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งกลายเป็นว่ามันดีกับเด็กทั่วไป ส่วนเด็กพิเศษเขาก็มีพัฒนาการตัวเองที่ดีขึ้น มีเพื่อนๆ ช่วยกัน ครูบาอาจารย์ทุกคนก็เริ่มเข้าใจและช่วยกัน 

เริ่มต้นต้องเข้าใจธรรมชาติของเขาก่อน เข้าใจปลาต้องว่ายน้ำ นกต้องบิน และถ้าเขามีอารมณ์ขึ้นอารมณ์ลงนั่นถือเป็นปกติของเขา และเราต้องรู้ว่าจะอยู่กับเขาได้ยังไง ต้องไม่กลัว และดิฉันก็จะสอนวิธีหายใจเข้าหายใจออก หายใจลึกๆ เวลาโกรธเพื่อนหายใจเข้าลึกๆ 3 ที ถ้า 3 ทีไม่พอก็หายใจไปเรื่อยๆ เพื่อนฝูงก็ขัน ตัวเขาเองก็หายใจไปเรื่อยๆ ด้วยความตลก ก็เลยดูเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่าดูน่ากลัว 

พอเราให้อภัยกันและกันมากขึ้นเด็กพิเศษเขาก็จะเริ่มมั่นใจมากขึ้น และเราก็จะส่งเสริมเขา อย่างแต่ก่อนเราต้องเรียนเลข เราก็จะบอกเขาว่าเอางี้ หนูไปเรียนเลขที่หนูเรียนได้ สมมุติว่าชั้นนี้เรียนเลข ม.4 หนูเรียนเลข ม.4 ไม่ได้ หนูไปเรียนเลข ม.1 ม.2 ไปเรียนประถมยังได้เลย วิชานี้หนูเรียนไม่ได้ อะคุณครูก็จะบอกว่าให้ไปเรียน ม.นู้น บางคนก็ไปประถมเลยก็มี ไม่ต้องมาฝืนใจเรียนในคลาสที่ไม่รู้เรื่อง อย่างบางคลาสเราเรียนร่วมกัน อย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์ หนูก็ฟังเท่าที่หนูจะจำได้ หนูก็ปั้น หรือวาดอะไรไประหว่างที่ฟัง จะได้ไม่รบกวนเพื่อน 

วิชาหนึ่งเราเรียนทั้งวัน ก็ให้เขาทำไปกับเพื่อน จบคลาสก็ให้เขาบอกว่าจำอะไรได้บ้าง ซึ่งบางทีเขาก็จำได้เยอะกว่าเด็กทั่วไปที่เรียนอีกนะ เราก็ทดลองวิธีต่างๆ ครูก็สบายใจ เด็กๆ ก็สบายใจ เพื่อนไม่มารบกวน เพราะเวลาเขานั่งนานๆ เขาจะหงุดหงิดและรบกวนเพื่อนๆ ก็หาอะไรใส่มือให้เขาทำ ซึ่งพวกนี้ก็เป็นการงานอาชีพ ขายได้ งานโรงเรียน ครูบาอาจารย์ก็ซื้อกันจนขายไม่ทัน

เพื่อเข้าใจเด็กพิเศษมากขึ้น ครูเล็กศึกษาอะไรเพิ่มเติมบ้างคะ

เด็กๆ ก็สอนเราเยอะ เราก็คุยกับเด็กๆ คุยกับแพทย์ เวลามีสัมมนา คุณครูประถมมัธยมของโรงเรียนภัทราวดี (หัวหิน) ก็แห่กันไปฟัง คุณครูประถมหลายท่านก็ได้การฝึกโดยตรงจากหน่วยงาน หรือแพทย์ ด้านนี้ ซึ่งเราก็จะบอกผู้ปกครองตลอดเวลาว่า บอกเราเถอะว่าเป็นอะไร หรือถ้าไม่แน่ใจก็พากันไปเช็ค เพราะว่าถ้ามีใบรับรองแพทย์มา เราจะให้เขาอยู่ในโปรแกรมพิเศษ แล้วเด็กก็ไม่เครียด เขาก็ไม่ต้องสอบโอเน็ต เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ดีกับเด็ก และถ้าเรายอมรับ มันจะทำให้ทุกคนก็จะยอมรับ การปิดบังเนี่ยเป็นบาปนะ ให้รู้ดีกว่าไม่รู้ ความไม่รู้คืออวิชชา มันทำให้เกิดโทษหลายอย่าง  เพราะถ้ารู้แล้วแก้ปัญหากันดีกว่า

ครูเล็กไปเรียน Art Therapy ตอนไหนคะ เพราะอะไรถึงสนใจ

ปลายปีที่แล้ว เห็นโฆษณาจากจุฬาฯ พอดี ก็สมัครแบบไม่คิดเลย 

การเรียน art therapy เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องของการแก้ไข เพราะนั่นคือหน้าที่ของแพทย์ แต่มันคือเรื่องของการที่เราดูเด็กแล้วเราเข้าใจ จากศิลปศาสตร์ จากการพูด จากลักษณะใบหน้า จากการกระทำ ซึ่งเราจะเข้าใจเลยว่าเด็กมีปัญหาอะไร และพอเราเข้าใจเราก็จะคิดหาวิธีแก้ได้ง่ายขึ้น แต่ก่อนนี้เราไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้จะค้นหาด้วยวิธีอะไร 

ยกตัวอย่าง art therapy เนี่ย เราให้เขาวาดเราก็จะรู้เลยว่าปัญหาคืออะไร background ของเขาคืออะไร ความทุกข์ของเขาคืออะไร แล้วเราจะแก้ไขยังไง 

ครูช่วยยกตัวอย่างได้ไหมคะ อะไรที่ทำให้ครูเห็นภูมิหลังของเขามากขึ้น

จริงๆ แล้ว ดิฉันดูในเด็กทุกคนแม้กระทั่งเด็กปกติ เด็กทุกคนจะมีภูมิหลัง คือไม่ใช่ว่าพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ดีนะ พ่อแม่เลี้ยงมาดีทุกคน แต่จะมีบางอย่างที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ ซึ่งพ่อแม่ไม่ใช่จิตแพทย์ก็เลี้ยงกันไปตามนี้ บางทีรักมากไป บางทีรักน้อยไป บางทีตามใจมากไป แล้วถ้าลูกเป็นเด็กพิเศษ พ่อแม่ก็จะตามใจมาก ไม่ให้ทำอะไรเลย กล้ามเนื้อมือ กล้ามเนื้อมัดเล็กก็จะอ่อนแอมาก หยิบอะไรก็จะตกหกหมด แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เกรงว่า เขาจะทำของตก ก็ไม่ให้หยิบอะไรเลย 

เด็กจึงไม่เข้าใจเลยเพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้ทำแบบนั้น บางคนย้ายมาเรียนที่นี่เพราะถูกเพื่อนโรงเรียนเก่าแกล้ง ดูถูก อันนี้เราดูออกจากภาพที่เขาวาด หรือบางทีผู้ปกครองก็ทำโทษหนัก ถ้าเราเข้าใจภูมิหลังเขา ครูจะรู้ว่าควรพูดกับเพื่อนๆ ยังไง เพื่อนที่โรงเรียนก็จะไม่มีใครแกล้ง เราสอนเด็กทั่วไปเรื่องเมตตาจิต เรื่องการไม่แกล้งเพื่อนที่อ่อนแอกว่า เรามีกล้องวงจรปิดเยอะ ช่วยควบคุมตรงนี้ได้เยอะมาก 

เราเรียกครู เจ้าหน้าที่ คนงาน และเด็กๆ มาคุยเยอะ เรื่องการไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก อดทนนิดหนึ่ง ให้โอกาสคนอื่นบ้าง เวลาเขาพูดมากหรือเขาพูดไม่ค่อยชัดก็บอกให้เขาพูดชัดๆ หน่อย สอนเขาแทนครูหน่อย ช่วยเป็นครูกันหน่อย บอกว่าเด็กทุกคนมีปัญหา คนงาน ครู ก็มีปัญหา ก็ใช้วิชานี้ในการสอนครู หลายๆ คนที่เรียกว่าคนปกติเนี่ย จริงๆ แล้วไม่ได้ปกติสักเท่าไหร่หรอก ให้รู้ตัว แล้วก็ให้ปรับปรุง 

เวลาครูกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง อายุเป็นอุปสรรคไหมคะ

จริงๆ แล้วไม่รู้สึกอะไร เพราะดิฉันจะอายุเท่าไหร่ก็ช่างหัวมัน ดิฉันยังมีใจเป็นเด็กอยู่ ดิฉันจะสนุกอยู่ตลอดเวลา ดิฉันจะสนุก เด็กเล่นสเก็ตดิฉันจะไปเล่นด้วย บางทีก็ต้องปรามๆ ตัวเอง คอยเตือนตัวเองว่า เฮ้ อายุไม่ใช่ 8 ขวบนะ ดิฉันก็ยังสนุกและแข็งแรงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอาวุโสเท่าไหร่ ก็ยังเป็นเพื่อน เจอเด็กๆ เจอครูอื่นๆ ก็ยังยกมือไหว้ก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าถูกสอนมาให้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ก็จะอายุ 16 เสมอต้นเสมอปลาย (ยิ้ม) 

เคยถามตัวเองไหมคะว่าอะไรที่ทำให้พร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา

ดิฉันชอบเรื่องการเรียนรู้ ตอนเด็กๆ อยู่โรงเรียน ไม่ชอบเรียนหนังสือเลย เพราะไม่เข้าใจ แต่ชอบทำกิจกรรม พอไปอยู่เมืองนอกก็ประท้วงไม่เรียนหนังสือ พอกลับมาเมืองไทย อาจารย์สดใส พันธุมโกมล ที่จุฬาฯ บอกว่า ให้ดูว่าหนูชอบแบบไหน ถ้าหนูชอบศิลปะการแสดงหนูไปเรียนศิลปะการแสดง พอไปเรียนแล้วดิฉันก็เรียนได้ดี แล้วดิฉันก็อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ 

ดิฉันเลยคิดว่า ถ้าเราได้ทำอะไรที่เราชอบ เราจะมีความอยากรู้อยากพัฒนา มันคือความลับเดียว มันคือจุดเดียวเลย ที่มนุษย์จะเรียนรู้และพัฒนา เพราะชอบทำสิ่งที่ชอบ ชอบอะไรก็ไปตามนั้นอย่าบังคับกัน 

ดิฉันก็เติบโตกับผู้ใหญ่ที่เป็นปราชญ์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นปราชญ์ ซึ่งดิฉันก็ชอบฟังท่าน ดิฉันก็เลยใช้สิ่งนี้เวลาอยู่กับเด็กๆ จะเล่า คุย อะไรให้เขาฟัง เล่าประสบการณ์ชีวิต นั่งรถไปไหนก็คุย เด็กๆ ก็จะซึมซับ ยกตัวอย่าง มีเด็กคนหนึ่งที่ไม่คุยเลย วันหนึ่งเขาก็คุยเยอะ เลยถามเขาเพราะอะไรทำไมเธอเพิ่งมาพูดเอาปีนี้ เขาตอบว่าตอนนี้มีข้อมูลเยอะเพราะว่าฟังครู เราก็เลย อ๋อ เพราะแค่นี้เองเหรอ 

เด็กบางคนก็ชอบอ่าน บางคนก็ชอบฟัง บางทีฟังแล้วก็ไปอ่านต่อ เพราะบางทีมันยังไม่เต็มที่ ก็จะทำให้เด็กอยากอ่าน บางทีบอกให้เด็กอ่านหนังสือมันไม่อ่านหรอก แต่พอเด็กมาฟัง ฟังแล้วเอ๊ะ แล้วยังไง เขาก็จะไปหาอ่านต่อ อย่างในโรงเรียน เวลาเราคุยเราก็จะสอนคร่าวๆ เลย แค่ subject อยากรู้ต่อไหม อะ ไปเสิร์ช อันนี้คือสอนให้เด็กค้นหาเอง บางทีเด็กก็จะมาเล่าให้ฟังว่าไปเจอนั่นเจอนี่ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ แล้วก็มาแชร์ความรู้กัน ในยุคนี้ เด็กฉลาดและมีเครื่องมือสื่อสารเยอะ เพราะฉะนั้นการสอนมันก็คือการแชร์ความรู้ซะมากกว่าที่จะไปยืนสอนแล้วให้เด็กจด แล้วเรื่องใฝ่รู้มันก็ไม่ใช่แค่ไปเรียนนะคะ ใฝ่รู้กับเด็กบางทีมันก็ต้องถาม ทำไมเธอคิดอย่างนี้ เธอเอาตัวอะไรมา ซึ่งครูก็ไม่รู้จัก

เพราะฉะนั้นการใฝ่รู้ก็คือ conversation มันคือการสนทนาและมันคือการทำให้คนอื่นรู้สึกรีแล็กซ์ สบายใจที่จะคุยกับเรา ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการแบ่งครูนักเรียน ผู้ใหญ่เด็ก

ทราบมาว่าล่าสุดครูไปเรียนกีตาร์มาด้วย

เรียนหมดอะ สเก็ตบอร์ด กีตาร์ดิฉันก็เคยเล่นตอนเด็กๆ คุณฮาร์ท (สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล) ก็สอนต่อให้ ดิฉันก็เรียน ตอนเรียนก็ซื้อกีตาร์สวยงามแล้วทำท่าเท่ ดิฉันเรียนกีตาร์เพื่อให้เด็กบอกว่า เนี่ย หูย เก๋ เด็กๆ ก็เล่นตามกันเป็นแถว เดินไปที่ไหนเขาก็แซวกันว่าเป็นมือโปร แต่จริงๆ เล่นได้แค่ 4-5 คอร์ดเอง ดิฉันก็แค่จุดประกายให้เด็กอยากเล่น เหมือนสเก็ตบอร์ด ดิฉันก็ถือเดินไปเดินมาให้เด็กเห็น คิดว่าน่าจะเล่นง่าย ก็เล่นกันใหญ่

อยากให้เด็กทำอะไรเราต้องนำก่อน แต่พอเรานำ เราต้องดูสังขารตัวเองก่อนเพราะดิฉันไม่ใช่นักดนตรีด้วย ดิฉันต้องดีดกีตาร์สวยๆ และทำท่าเท่ ร้องเพลงอะไรไปเด็กก็มากัน แล้วเราก็ให้เขาต่อยอดกับครูที่เขาเก่งๆ พอเขาไปเราก็เสริมแล้วก็ชมเขานู่นนี่นั่น พอเขาไปกันต่อเราก็เหมือนเป็นทางผ่าน ก็แค่นั้นแหละ จุดประกาย

ดิฉันทำได้หมดแต่ไม่ได้เก่งอะไรสักอย่าง เก่งแต่การแสดง แต่ดิฉันใช้การแสดงเพื่อที่จะให้เด็กฝึกพูดให้ชัด มันคือการสื่อสารไง ผู้จัดการบริษัทหรือเป็นเสมียนเราก็ต้องเจรจา ขอตังค์แม่ก็ต้องเจรจาพูดให้เพราะ อันนี้มันคือศิลปะ รวมถึงระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ มันเป็นเรื่องของศิลปะการแสดง เราเล่นให้ดีเนี่ยไม่ใช่เพื่อเรานะ เพื่อช่วยเพื่อนให้เขาเล่นดีต่างหาก เพราะฉะนั้นเวลาเพื่อนเล่นได้ดีเราจะชมเพื่อนข้างๆ ด้วย เช่น เธอเก่งมากเลย เธอช่วยเพื่อนคนนี้ที่เขาเงอะๆ งะๆ ให้เป็นธรรมชาติ ให้เขาสบายใจ เพราะศิลปะของการแสดงละครมันคือการพึ่งพาอาศัยกัน พึ่งเพื่อนแล้วก็เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านเขา

อันนี้คือ เมตตาจิตในพุทธศาสนา แต่แบบนี้ดูเข้าใจง่ายกว่า ถ้าไปสอนธรรมะเป๊ะๆ ใช้คำพระบาลีเด็กก็งง แต่นี่เราทำให้เด็กเข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ แต่ไม่ใช่เรียนเพื่อไปสอบนะลูก เรื่องสอบครูไม่สนเลย เธอได้เกรดเท่าไหร่ฉันไม่สนเลย แต่ถ้าเธอปฏิบัติได้เนี่ยเธอจะสุดยอดมนุษย์  

ถ้าวันนี้เราเล่นละครแล้วพรุ่งนี้สอบโอเน็ต ก็จะบอกว่าเธอไม่ต้องไปสนใจเรื่องสอบเพราะทุกอย่างมันต้องอยู่ในหัวแล้วถ้าเธอบอกว่าเธอไม่รู้เนี่ยมันสามารถเดาได้ เพราะเธอมี common sense เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่มากของชีวิต

หลังจากเราจบจากโรงเรียนแล้วการสอบมีทุกวัน ไปสมัครงานไปทำงานเจอคนนู้นคนนี้นี่ก็คือการสอบ มันไม่มีการท่องหนังสือมาก่อนมันต้องอยู่ในหัวและมี common sense มาก่อน 

ตรงนี้จะแก้ปัญหายังไง หรืออยู่ในชุมชนนี้เธอควรจะปรับเนื้อปรับตัวยังไง วิธีเหล่านี้มันอยู่ในหัวหมดแล้ว เพราะฉะนั้นโอเน็ตมันก็ควรจะอยู่ในหัว แก้ไขปัญหาทันทีทันใดให้ไว คิดไว ตัดสินใจไว ตัดสินใจถูกต้อง อันนี้ฝึกปรือมาจากศิลปะการละคร 

ที่โรงเรียนภัทราวดีมีวิธีการประเมินเด็กอย่างไรบ้าง

การประเมินจะอยู่ในคลาส ครูจะประเมินเด็กทุกครั้งที่สอน ครูใหญ่จะรวบรวมแล้วเราก็จะประชุมกันทุกครั้งเพื่อประเมินเด็กทุกสิ้นเทอม ถ่ายวิดีโอบ้างเก็บภาพบ้าง อะไรแบบนี้ ถ่ายวิดีโอเพื่อที่จะเก็บตัวอย่างการพูด ทุกคนจะมาประชุมแชร์กันว่าคนนี้มีพัฒนาการยังไง เพราะบางวิชาเราไม่ได้สอน เราก็จะไม่รู้ว่าคนนี้เก่งมากในวิชากีฬา คนนี้เก่งมากนะในเรื่องนู่นนี่ ครูก็จะเป็นคนมาเล่า แล้วเราจะเก็บประวัติของเด็กแต่ละคนเอาไว้ 

ตอนนี้เราก็เริ่มรู้วิธีการแล้วเพราะแต่ก่อนเราก็แค่คุยกันเล็กๆ น้อยๆ เราแชร์กันว่าวิธีนี้เวิร์ค-ไม่เวิร์ค ตอนเปิดโรงเรียนใหม่ๆ ครูทุกคนมาแล้วก็สอน เสร็จ-ปิดหนังสือ-กลับบ้าน ความสามัคคีไม่ค่อยมีในโรงเรียน แต่ครูในคณะละครจะมาพร้อมกันเลิกพร้อมกัน คุยกันกินข้าวกันบางทีก็นอนด้วยกัน ความสามัคคีมันมีในการละคร แล้วเราก็เลยคิดว่าการละครมันจะเหมาะมากในการศึกษา พอเราเริ่มทำตรงนี้เราก็เลยจะเอาครูทุกคนมาอยู่ในการซ้อมทุกครั้ง เริ่มพร้อมกันเลิกพร้อมกัน แล้วก็ประชุมอยู่ด้วยกัน ครูภาษาไทย ครูเย็บปักถักร้อยจะต้องมาอยู่ด้วยกันในการซ้อม เพราะว่าเขาจะได้เห็นเช่น เด็กคนนี้ไม่ค่อยแข็งแรงนะอาจจะเอาไปวิ่งไม่ได้ หรือคนนี้รอเรือตัวกล้ำไม่ได้นะครูอาจจะช่วยเช็คเขาหน่อย ครูกับเด็กก็จะใกล้ชิด ครูกับครูก็จะสนิทกัน 

ละครเนี่ยคนจะบอกว่าเหลวไหล เต้นกินรำกิน เราก็จะบอกว่าโอ๊ยไม่ใช่ เพราะเด็กจะเป็นคนนำเสนอว่าคลาสหนูต้องการจะเล่นวิชาภาษาไทย หนูอยากทำมัทนะพาธา โอเคเธอไปเอาหนังสือมาอ่าน ใครจะเล่นเป็นพระเอกนางเอก ใครจะเล่นตัวอะไร ใครจะทำบท ใครจะเป็นหัวหน้าแก๊งใครจะทำดนตรีเอาไปคิดมาแล้วมานำเสนอ ทำบทมาก็เอาเท่าที่เขาทำได้ ทำอะไรแต่น้อยๆ แล้วครูก็ค่อยๆ ติวให้ เพราะฉะนั้นเด็กก็จะเริ่มเข้าใจภาษาไทย สนุกกับการอ่าน 

แล้วเขาก็อยากจะทำเรื่องนู้นเรื่องนั้นอีก แก๊งนี้ชอบประวัติศาสตร์ เธอจะทำเรื่องอะไรล่ะ เรื่องอะไรที่จำยาก อาณาจักรกรีกค่ะ ครูก็บอกทำมาเถอะ หรือเด็กคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย โอเคงั้นเล่นภาษาอังกฤษ โอเคคนนี้พูดไม่ชัดงั้นเป็นพิธีกรทั้งภาษาไทยทั้งภาษาอังกฤษ เด็กที่มีปัญหาเราจะให้เล่นสิ่งที่เขามีปัญหา เพราะฉะนั้นมันจะเหมือนการละครที่เป็นการเรียนการสอน เพราะเราไม่สามารถติวเด็กครบทุกคนได้ เราก็ใช้วิธีนี้ในการติวเป็นพิเศษ แล้วเด็กพิเศษไม่เคยอยู่นิ่งเลย ก็โอเคเธอมาเล่นละครเธอมาเล่นเป็นต้นไม้ยืนอยู่นิ่งๆ เธอมาเป็นก้อนหินอย่าขยับนะ (หัวเราะ) 

ถามถึง โครงการเสน่ห์รอยร้าว ที่ครูชวนเด็กๆ บ้านกาญจนาภิเษกหรือเด็กที่ขาดโอกาสต่างๆ มาทำละคร ทำไมถึงชวนเขามาและคิดว่าการแสดงละครจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง

ตอนเรียน art therapy จบมันจะมีให้ลงพื้นที่ ไปเจอเด็กที่พระประแดงก่อน เด็กพวกนี้ก็จะเป็นเด็กที่ติดยาเสพติด มาเจอเขาเล่นสเก็ต เราก็ถามติดยาแล้วมาเล่นสเก็ตได้ยังไง เด็กบอกผมไม่ได้เสพเยอะเหมือนแต่ก่อนเพราะผมเล่นสเก็ตบอร์ด 

เราก็บอกเขาว่าจะทำอะไรมันต้องมีครูนะลูก เราชวนคนเก่งอย่าง เก่ง จักรินทร์ (นักสเก็ตบอร์ดทีมชาติไทย) มาสอนให้ เขาก็มาสอนต่อเนื่อง เราก็เลยเห็นปัญหาว่าเออ นี่ไงเขาแค่มาเล่นกีฬาแล้วก็หยุดยาเสพติด 

เขาฝึกทุกวันข้างถนนจนเขาโดนไล่ เด็กจนไม่มีโอกาส เล่นข้างถนนเขายังโดนไล่เลย เด็กพวกนี้ไม่มีการศึกษาเพราะโดนไล่ออกจากโรงเรียน ถ้าประตูโรงเรียนปิดประตูคุกจะเปิด เราก็เลยทำโรงเรียนให้แล้วก็เอาครูไปสอนวิธีก่อสร้าง อย่างน้อยเธอมีวิชาก่อสร้าง เธอก็ทำลานสเก็ตสวยงาม แล้วเขาก็มาเล่นกัน จนเดี๋ยวนี้เขาเก่งมากสามารถไปแข่งได้ เด็กในซอยก็มาเล่นกัน ตอนนี้ลานสเก็ตพ่อแม่ก็มาพบปะกินข้าวกินขนมกัน กลายเป็นสถานที่พบปะที่คลีน ไม่มีบุหรี่ ไม่มียาเสพติดนะ 

เดี๋ยวนี้เราก็ส่งเสริมให้เด็กๆ ทำอาชีพก่อสร้าง ตอนนี้เด็กอีกหลายๆ คนก็ไปเรียน กศน. เพราะเขาบอกว่าเขาอยากเข้ามหา’ลัย เขาบอกเขาอยากเรียนวิชาชีพ ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำอะไรมากนะ แค่มีเมตตาจิต ไปคุยกับเขา เราเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เวลาเขาทุกข์อะไรเขาจะมาคุยด้วย เด็กที่โรงเรียนจะชอบคุณครูแบบนี้นะ 

เด็กที่เคยมีปัญหาบางคน กลับมาหาเราบอกว่าตอนนี้ผมมีครอบครัวแล้ว เขาบอกว่าแต่ก่อนเขาหนาวนะ แต่ตอนนี้เขาอบอุ่นแล้วก็เริ่มรักพ่อรักแม่เขามากขึ้น เพราะเราจะสอนวิธีให้เขาเข้าใจผู้ใหญ่ เช่น วาทศิลป์ พูดยังไงไม่ให้ท่านเสียใจไม่ให้ท่านเสียหน้า เอาโอกาสนี้ไปทำให้ผู้ใหญ่มีความสุข 

พอเราเจอเด็กคณะนี้ (พระประแดง) แล้ว เราก็เอ๊ะ เด็กในคุกเป็นยังไงนะ เราเจอเด็กที่มาดูละครลิลิตพระลอของเราที่โรงละครแห่งชาติ เรารู้สึกว่าในลูกตาเขาเนี่ยแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง คือนัยน์ตาอ่อนโยนพอสมควรแต่ลักษณะภายนอกดูน่ากลัว ข้างนอกข้างในผิดกัน มันน่าสนใจสำหรับดิฉัน ก็เลยเข้าไปในคุกไปเจอป้ามล-ทิชา ณ นคร 

ป้ามลเป็นครูอีกคนที่สอน art therapy ได้วิเศษมาก ท่านพูดเข้าใจง่าย แล้วพฤติกรรมที่ท่านสอนหรือตอนอยู่กับเด็ก เรารู้ได้เลยว่าตัวเองยังต้องเปลี่ยนแปลงความเป็นครูอีกเยอะมาก เราได้คุยกับป้ามลเยอะเรื่องการสอนเด็กๆ ในคุก จนวันหนึ่งเด็กก็เออ เก่งแล้วนะเราไปเปิดหมวกที่ลิโด้กันไหม ดิฉันก็ไม่เคยเปิดหมวกนะ ก็มือใหม่พอๆ กัน ทีแรกเด็กๆ ก็จะเขินๆ ดิฉันเล่นกีตาร์ได้ 4 คอร์ดก็ไปเล่นด้วย คนก็สนุกสนานกัน เด็กๆ พอเห็นครูเล่นกีตาร์ได้แค่นี้ยังเล่นได้ ผมก็เอาบ้าง คนก็บริจาคกันเยอะแยะ ครึ่งวันหลังเนี่ยเขาเป็นสตาร์เลยเขาหลุดออกมาจากการเป็นเด็กเก้อๆ เขินๆ

เราเห็นว่าพวกนี้มี potential เยอะมากในการเป็นมืออาชีพ เราอยากส่งเสริมให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เราก็เอ๊…แล้วเราจะทำอะไรล่ะ เราก็จะรวมกลุ่มเขากับเด็กพิเศษ กลุ่มเด็กสเก็ตบอร์ดจากพระประแดง แล้วก็ทำเป็นการแสดง เอาวิชาที่ได้จากป้ามล จาก art therapy มารวมกัน เพื่อที่จะเผยแพร่ไปพร้อมกัน ให้ประชาชน พ่อแม่ ครู คนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ไปกับเรา

บ้านเราพัฒนาแต่เรื่องการศึกษาด้านวิชาการอย่างเดียว ไม่เข้าใจเรื่องจิตใจ ไม่เข้าใจเรื่องสติสมาธิ ไม่เข้าใจเรื่องการนำศิลปะเบลนด์กับการศึกษา จริงๆ แล้วสองอย่างนี้มันคือเรื่องเดียวกัน มันต้องไปด้วยกัน ที่เขาไม่ค่อยเข้าใจเพราะไม่ค่อยมีครูประเภทนี้สักเท่าไหร่ในประเทศเรา 

เมื่อกี๊ครูบอกว่าตั้งแต่ครูเจอป้ามลความเป็นครูของครูก็เปลี่ยนไป?

ใช่ โดยสิ้นเชิง 

ก่อนหน้านี้ครูเป็นครูแบบไหน แล้วตอนนี้ครูเป็นครูอย่างไรคะ

ช่วงที่เด็กทำผิดเยอะๆ เด็กเกเรชกต่อย ทำของแตกหัก มีอาวุธหรือบางคนก็เสพยา เราก็ให้ออก แต่เจอป้ามล ป้ามลก็บอกว่าประตูโรงเรียนปิดประตูคุกเปิด มันใจหายแว้บเลยอะ แล้วเด็กที่เราให้ออกไป ก็ติดตามนะเขาก็ไม่ได้ติดตะรางอะไร แต่ถ้าเราเข้าใจเร็วกว่านั้น เขาก็จะมีที่เรียน 

เราก็เริ่มมองดูว่าไม่ได้ละ และประตูโรงเรียนจะปิดไม่ได้ เด็กมีปัญหาเราต้องแก้ เพราะเราเป็นครู หน้าที่เราคือแก้ปัญหาให้เด็กไม่ใช่ไล่ออก แล้วก็ไล่ให้เขาไปอยู่บนถนน มันเป็นปัญหาของบ้านเมืองประชาชนหรือตำรวจ เราต้องเป็นด่านแรกและต้องแก้ปัญหาให้เขาก่อน เพราะว่าคนอื่นจะได้แก้ปัญหาน้อยลง เราก็คิดไปถึงตรงนี้เลย 

ตอนนี้โรงเรียนจะไม่มีการไล่ออกไม่ว่าจะเคสใด นอกจากบางเคสที่หนักมากต้องพึ่งแพทย์ ให้เขาไปอยู่โรงพยาบาลก่อน หายดีแล้วค่อยกลับมาใหม่ เพื่อน ครู ทุกคนก็จะยอมรับสิ่งเหล่านั้น เพราะเราต้องช่วยกัน ไม่ใช่เป็นแค่หน้าที่ครูอย่างเดียว

แล้วป้ามลจะชมเด็ก ให้กำลังใจเยอะมาก ดิฉันเนี่ยจะเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ได้ตรงไหน จะติเลย วาทศิลป์ก็ทำไม่เป็น แต่ก่อนเรารู้สึกว่าวาทศิลป์มันไม่จริงใจหรือเปล่า แต่พอไปดูป้ามล การมีวาทศิลป์ที่ให้กำลังใจเนี่ยมันจริงใจได้ แล้วมันก็เป็นปกติได้ ไม่ต้องหวาน แกมีวิธีที่ทำให้เราเห็น

เช่น เด็กเล่นละครไม่เป็นสับปะรดเลย แล้วเพื่อนๆ ก็ปรบมือให้ ป้ามลก็จะขอบคุณเพื่อนๆ ที่ปรบมือให้เพื่อน แล้วบอกว่า เห็นไหมว่าเพื่อนๆ ให้กำลังใจเธอนะ ป้ามลมีวิธีพูดที่มันเจ๋งอะ แล้วแกก็จะทิ้งหน้าที่ที่จะแก้ไขต่อไปให้กับครู เราก็เอามาปรับใช้ แก้นิสัยตรงไปตรงมาเป็นการให้กำลังใจให้มากขึ้น แต่ความตรงไปตรงมาก็ยังต้องมีเพราะถ้าไม่ตรงไปตรงมาแล้วเด็กจะเก่งได้ยังไง ผิดพลาดต้องบอกให้เขารู้ แต่มันต้องมีวิธีที่นุ่มนวลขึ้น ก็ฝึกมาเรื่อยๆ พลาดบ้างดีบ้าง แต่ทุกครั้งที่เราทำได้เราก็ดีใจ ที่ทำไม่ค่อยได้เราก็เอาไงดี เอาไงดี เพราะฉะนั้นนี่คือการเรียนรู้ตัวเอง ที่ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ทุกวัน

เด็กคนหนึ่งที่ไปโรงเรียนภัทราวดีต้องเรียนอะไรบ้าง

เรียนเหมือนกันกับโรงเรียนอื่นค่ะ เรียนวิชาสามัญ 8 วิชาครบหมดทุกตัว วิชาอื่นๆ เราเพิ่มให้ ไม่ต้องจ่ายเงินพิเศษ พ่อแม่มาดูละครก็ดูฟรี พาไปเที่ยวไหนก็ฟรี คือมูลนิธิซัพพอร์ต โรงเรียนซัพพอร์ต 

ตอนนี้มีเด็กประมาณกี่คน

ไม่เยอะค่ะ มี 100 คน ห้องนึงเรารับ 15 คนเท่านั้น บางห้องก็ไม่ถึง ไม่มีการสอบเข้า เราใช้ระบบ First Come First Serve ใช้ระบบ ‘พรหมลิขิต’ คุณพ่อคุณแม่พามาแล้วเราคุยกัน ถ้าเห็นว่าเราน่าจะแก้ปัญหาให้ลูกท่านได้ แล้วท่านก็ไว้ใจเรา 

เราไม่ใช่โรงเรียนการแสดงนะ เราเป็นโรงเรียนปกติ แต่เราเสริมทักษะพวกนี้เพราะว่าเป็นเด็กประจำเยอะ เราก็อยู่กับเด็กจนเด็กหลับ ครูผลัดเวรกัน ถ้าใครอยากเรียนอะไร เช่นปีนึงจะมีเด็กที่เขาอยากเป็นดีไซเนอร์ เราก็เอาดีไซเนอร์จากนิวยอร์คที่เป็นเพื่อนกัน มาอยู่แล้วทำโปรเจ็คต์กับเขา สร้างแฟชั่นโชว์ใส่พอร์ตฟอลิโอ เด็กๆ คนอื่นก็ได้เรียนรู้ไปด้วย 

สอบโอเน็ตด้วยใช่ไหมคะ

โอเน็ตเราก็ได้เหรียญทองหลายครั้งนะ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเรายังเล่นละครกันอยู่เลย เราก็ได้เหรียญทอง ภาษาอังกฤษเนี่ยเราได้เหรียญทองประจำ ปีที่แล้วได้วิทยาศาสตร์ เราตกใจมาก เพราะว่าเราไม่ได้เก่งวิทยาศาสตร์เหมือนโรงเรียนอื่น แต่ว่าเด็กบางคนเขาก็เก่ง เพราะฉะนั้นใครเก่งอะไรเราก็ไปตามนั้น แล้วเขาก็จะช่วยเพื่อนช่วยฝูง ดึงกันขึ้นมา

ตอนนี้มีน้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษเยอะไหมคะ

เราว่าพิเศษทั้งโรงเรียนอะ รวมทั้งครูด้วย (หัวเราะ)

จริงๆ แล้วคำว่าเด็กพิเศษเนี่ย ดิฉันว่ามันไม่มี ทุกคนมีปัญหา เด็กเรียนเก่งก็มีปัญหา เด็กเรียนเก่งแล้วเอาแต่อ่านหนังสือเราต้องดึงมา เฮ้ย มานั่งคุยกัน มาตีลังกา มาเล่นสเกตบอร์ด มาร้องเพลง มาช่วยคนอื่นบ้าง มาช่วยครูทำนู่นทำนี่ ไม่งั้นเธอจะกลายเป็นเด็กเห็นแก่ตัวแล้วไม่ช่วยใครเลย เธอก็จะเป็นนักวิชาการที่พูดมากแต่ทำไม่เป็น บ้านเมืองมีเยอะเลย เพราะพอทำไม่เป็นเนี่ย เธอก็จะไม่ว่ารู้ปัญหาจริงๆ มันคืออะไร เพราะเธอไม่เคยลงไปถึงรากหญ้า เธอเอาแต่อ่านตำรา เธอต้องเอาตำรามาบวกกับปัญหาจริงๆ

ทำไมครูถึงคิดว่าทุกคนเป็นเด็กพิเศษ

ใช่ๆ เราก็ว่าเราเป็นเด็กพิเศษ เพราะว่าเรามีหลายอย่างที่คล้ายๆ เช่น อารมณ์ขึ้นอารมณ์ลงเราก็มี บางทีเราก็ทำอะไรตามใจตัวเอง เลอะเทอะ ไม่มีระเบียบวินัย เราก็เป็น แต่เราถูกฝึกมาดี เราควบคุมได้ แต่บางวันก็ควบคุมไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นความเป็นเด็กพิเศษมันมีอยู่ในทุกคน บางคนความจำเรื่องภาษาไม่ค่อยดีเลยแต่ความจำอื่นดีมาก บางคนไม่ชอบอาบน้ำ สกปรก ไม่มีระเบียบ ก็เพราะว่าทางบ้านไม่ฝึกมา บางคนก็พูดจาหยาบคาย ซึ่งเด็กปกติก็หยาบคายกันทั้งนั้น มันเป็นเหมือนกันทุกคนเลย ครูก็เป็น เพราะฉะนั้นเราก็บอกครูว่า เธออย่านึกว่าเธอเป็นคนปกตินะ  เห็นไหมน่ะ เธอก็เป็นเหมือนเด็ก บางทีเธอก็หงุดหงิดงุ่นง่านอะไรของเธอ พูดจาเลอะเทอะ นั่นแหละ เห็นไหม เหมือนไอ้เจ้านี่เลย

ระหว่างความเป็นครูกับความเป็นนักเรียน ครูชอบแบบไหนมากกว่ากัน

ชอบการเป็นนักเรียนมากกว่านะ เพราะเหลวไหลได้ แอบนั่งหลับได้ (หัวเราะ) แล้วก็ไม่เคยไม่ส่งการบ้าน เพราะถูกเทรนมาดีเรื่องการบ้าน แต่ว่าการที่เป็นนักเรียนอายุขนาดนี้ ต้องมีเพื่อนๆ น้องๆ ช่วยทำการบ้านนะ เช่นการใช้แอพฯ เราไม่เข้าใจครูส่งอะไรเข้ามาในกูเกิลไดรฟ์ เราหาไม่เจอ เราก็เรียนรู้จากเพื่อนๆ ก็เลยเข้าใจความเป็นเด็ก เข้าใจนักเรียนเรามากขึ้น เพราะเวลาเราสอนอะไรแล้วเราเห็นหน้าเด็ก เรารู้เลยหน้าอย่างนี้มันคือไม่รู้เรื่อง เพราะหน้าเหมือนเราเลยตอนที่เราเรียน เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้การสอนเราช้าลง ละเอียดขึ้น

การเป็นนักเรียนมันดี ดีกว่าการที่เราเป็นครู เพราะถ้าเราไม่ได้กลับมาเป็นนักเรียนเลย เราจะไม่เข้าใจหัวใจเด็ก แล้วบางทีเขาง่วงมากๆ เขาหลับแล้วเราก็เอ็ดเขา เราไม่เข้าใจหัวใจเด็ก เพราะเราเองก็หลับทุกครั้ง เพราะกินข้าวเสร็จแล้วมันก็ง่วงอะ (หัวเราะ) ก็ไม่ว่ากัน

การกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งมันเติมอะไรให้ครูบ้าง

เยอะมากค่ะ การเป็นนักเรียนมันสนุก (หัวเราะ) มันสนุกนะ ได้ตื่นเช้า ต้องไปโรงเรียน ต้องบอกทุกคนว่า เดี๋ยวครูไปโรงเรียน แล้วทุกคนก็ ฮะ ตกลงไปสอนหรอ บอกไม่ ไปเรียน (ยิ้มภูมิใจ) แล้วเวลาไปที่จุฬาฯ ทุกคนก็จะ สวัสดีค่า คุณครูมาสอนวิชาอะไรคะ เราบอกไม่ ครูมาเรียนหนังสือ มันมีความภูมิใจมาก แล้วทุกคนก็ทำหน้าไม่เชื่อ (หัวเราะ) มันทำให้เรา lively กระปรี้กระเปร่า เวลาครูสอนให้ทำอะไร ลุกนั่ง ลงนอน exercise วิ่งบ้าง ก็ทำด้วย มันเลยทำให้เราแข็งแรง ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้บังคับ แต่เราก็มีความรู้สึกว่าเฮ้ย มันต้องเสมอภาค ฝึกทหารก็ไปนะ

ฝึกทหารด้วย?

ฝึกผู้บังคับ รด. ผู้กำกับ รด.

เมื่อห้าปีที่แล้วเขาให้ส่งครูไปเรียนเป็นผู้กำกับ รด. แล้วไม่มีใครไป ดิฉันก็เลยไป ก็ไปโดดหอ โดดร่ม (หัวเราะ) ยิงปืน ท่องป่า อะไรอย่างนี้ สนุก ก็เป็นครูผู้อาวุโสแต่ว่าก็โดนทำโทษให้สก๊อตจั๊มพ์บ้าง ให้อะไร เหมือนกับทุกคน ก็คงสนุกเขาแหละ (หัวเราะ) 

มีวิชาอะไรที่ครูอยากเรียนอีกไหม

ดิฉันไม่ได้นึกอยากจะเรียนอะไรเลยนะ แต่ว่าชีวิตเนี่ยมันทำให้ต้องเรียนนี่ต้องเรียนนั่น ต้องไปเรียนกำกับไฟ ทำไฟ ต้องไปเรียนทำดอกไม้ ทำหุ่น เรียนร้องเพลง มันก็อย่างนี้แหละ เลยทำให้ต้องเรียนไปเรื่อย ตอนนี้ถ้าเจออะไรอีกก็เรียนได้อีก ดิฉันไม่จำกัดอายุ

ไม่จำกัดสาขาด้วยนะคะ?

ไม่จำกัดสาขาค่ะ เพราะว่าการเรียนรู้ทุกอย่างมันเสริมกัน เพราะฉะนั้นเด็กเราก็เลยให้เรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งวิชาการ กีฬา ดนตรี เย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ ไปเที่ยววัด ชมวัด เป็นล่าม เป็นพิธีกร เรียนรู้หมดทุกอย่าง ให้ทำให้เป็นหมดทุกอย่าง แล้วเธอค่อยไปเลือกเอง เพราะทุกอย่างที่เราเรียนน่ะ และบางทีที่พ่อแม่บังคับให้เรียน ได้ใช้หมดเลย 

เด็กๆ เคยเล่นสเก็ต ตอนนี้ก็เล่นได้ เพียงแต่ลูกๆ บอกอย่าเล่น เพราะว่าเดี๋ยวซิ่งแล้วล้ม เลยเล่นสกูตเตอร์แทน ง่ายๆ หน่อย ก็เชื่อฟังเขา แต่จริงๆ ก็เล่นได้เพราะเคยเล่นตั้งแต่เด็ก

คนที่มองเข้ามาในโรงเรียนของครูเล็กจะเจอแต่เด็กเก่ง เจอแต่เด็กมีพรสวรรค์ แต่ว่าหลังๆ ครูเล็กเริ่มมาทำงานกับเด็กพิเศษหรือว่าเด็กขาดโอกาสมากขึ้น ครูเล็กคิดอะไรถึงได้ลงมือทำงานแบบนี้

จริงๆ ในโรงเรียนนี้เด็กก็ไม่เก่งนะ เด็กมีพรสวรรค์ในจุดของเขา เราช่วยเขาค้นพบ เด็กทุกคนพอค้นพบแล้วก็จะเก่งทุกคน ไม่มีใครที่ไม่เก่งในอะไรเลย มันจะเก่ง บางคนกวาดบ้านเก่ง อย่างคนงานดิฉันเนี่ยบางคน โห มันกวาดบ้านสะอาด สะอาดกว่าคนงานอื่นๆ อะ นี่คือพรสวรรค์ เพราะฉะนั้นจะมาดูถูกไม่ได้ว่าเขาเป็นเมท ก็เลยบอกเด็กๆ ว่าดูสิ เห็นไหม บางคนมันตัดต้นไม้แล้วสวยมาก ไม่รู้มันตัดยังไง เราไปตัดก็ไม่สวยเหมือนเขา ทั้งๆ ที่เราก็มีวิชาเท่าเขา นี่ไง นี่เขาเรียกพรสวรรค์ ก็ให้เด็กทุกคนรู้ว่าหาให้เจอนะ

เหมือนเรา ไปเรียนวิชาการแสดงแล้วเราก็มีพรสวรรค์ ก็ได้ A ตลอด แล้วสนุก พอเรียนอื่นๆ ก็ง้องแง้งๆ เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้ว่าเด็กทุกคนควรจะมีโอกาสค้นพบว่าตัวเองเก่งอะไร 

คนสมัยก่อนเขาจะบอกว่าอย่าหยิบโหย่ง เรียนอะไรก็เรียนไปสักอย่าง แต่ปัจจุบันมันต้องเรียนหลายๆ อย่าง แล้วเราจะรู้ว่าอะไรคือใช่ ถ้าเรากินอาหารอยู่อย่างเดียว สารอาหารมันไม่ครบ เพราะฉะนั้นต้องกินอาหารหลายๆ อย่าง 

เพราะฉะนั้นเด็กๆ เนี่ย ให้ลองทุกอย่าง ลองแล้วเลิก เล่นเปียโน สามวันเลิก ไม่เป็นไร แสดงว่าเธอไม่ชอบ แล้วเดี๋ยวปีหน้า ผมขอเล่นใหม่ อะ โอเค มา คือเราจะไม่ปิดโอกาส ต้องให้เขาทำ จนเขาโตแล้วเขาจะเลือกไปเอง แล้วเขาก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ แต่วิชาอื่นๆ ที่เขาเรียนมันจะช่วยให้เขากว้าง มีเพื่อนที่กว้างขึ้น เอามาผสมผสานเชื่อมโยง 

กว้างก่อนแล้วค่อยลึกใช่ไหมคะ

ใช่ คือถ้าเรากว้างแล้วเราจะรู้ว่าตรงนี้ จุดนี้เราชอบ เราลงลึกแต่เราเอาวิชาอื่นลงมาด้วย ถึงวิชาอื่นไม่ลึกมากแต่มันจะช่วยทำให้ดูลึกลงไปได้อีกเยอะเลย เหมือนทำให้รากมันโตขึ้น วิชาอื่นๆ มันก็เหมือนแสงแดด อาหาร มันก็จะช่วยให้รากเจริญ พอรากเจริญเติบโต ต้นไม้ก็จะสูง ออกดอก ออกใบ ออกลูก 

เราจะเปรียบต้นไม้กับเด็ก เล่าให้เด็กฟังว่า ไอ้ต้นนี้ครูซื้อมาแปดหมื่น ไม่มีราก เห็นไหมลูก สามปีแล้วมันอยู่เหมือนเดิมเลย เลี้ยงก็ยาก ต้องดูแล ประคบประหงมเพราะมันไม่มีราก รากคือวัฒนธรรม รากคือศิลปศาสตร์ แต่ไอ้ต้นนี้ ครูถมเม็ดไปเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว มันโตเห็นไหม โตสูงด้วย ออกลูกเต็มเลย มันมีราก รากหยั่งลึก เพราะฉะนั้น คิดต่อเอาเอง (หัวเราะ)

Tags:

ศิลปะบำบัดทิชา ณ นครโรงเรียนภัทราวดี(หัวหิน)ภัทราวดี มีชูธน

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Education trend
    มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ: คุยเรื่องจิตบำบัดในโรงเรียนกับ โดม-ธิติภัทร รวมทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Space
    “ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

WILLING, FEELING, THINKING คือพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัย 0-21 ปี
Learning Theory
24 January 2020

WILLING, FEELING, THINKING คือพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัย 0-21 ปี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • ตามแนวมนุษยปรัชญา (anthroposophy) แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามการเรียนรู้เป็น 3 ช่วง
  • ระยะแรก 0-7 ปี เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิตที่เจตจำนง (willing) หมายถึงความมุ่งมั่นตั้งใจตามธรรมชาติ เช่น พัฒนาการของเด็กทารกตั้งแต่การตั้งไข่ พยายามเกาะ ยืน แล้วเดิน ซึ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องใช้ความรู้สึกหรือการคิดวางแผน
  • ระยะสอง 7-14 ปี เป็นช่วงเวลาแห่ง ‘ความรู้สึก’ (feeling) ดังนั้นการสอนควรเน้นให้เด็กรู้สึก – มีความสนุก เพลิดเพลินกับการเรียนรู้
  • ระยะต่อมา 21 ปี ช่วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่ ‘ระบบคิด’ (thinking) ในวัยนี้มีการคิดอย่างเป็นระบบ มีตรรกะ และใช้วิจารณญาณในการคิด 

ในทางวิทยาศาสตร์การพัฒนาสมองกล่าวว่า พัฒนาการในช่วงต้นของชีวิตสามารถสะท้อนการลงทุนทางสมองในช่วงวัยแรกเกิดหรืออันที่จริงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ‘การลงทุน’ ในที่นี้ไม่ได้เจาะจงที่เม็ดเงิน แต่หมายถึงการลงทุน ‘เวลา’ ของพ่อแม่ ผู้ปกครองเพื่อศึกษาหาความรู้และดูแลบุตรหลานอย่างถูกวิธีและเหมาะสมตามช่วงอายุ งานวิจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์และประสาทวิทยาในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาได้นำเสนอข้อมูลที่ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กตั้งแต่ในครรภ์จนถึงก่อนปฐมวัยว่าเป็นรากฐานสำคัญที่จะปูพื้นฐานสมองไปสู่อนาคต

แน่นอนว่าสมองของมนุษย์มีความยืดหยุ่น แถมเรายังได้รับการยืนยันจากงานวิจัยหลายชิ้นว่า สมองมนุษย์สามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน คือ สมองมนุษย์พัฒนาได้อย่างต่อเนื่องก็จริง แต่สมองแต่ละส่วนทำหน้าที่ด้วยศักยภาพสูงสุดตามพัฒนาการของสมองตามช่วงเวลา สมองบางส่วนมีศักยภาพพัฒนาได้ดีในช่วงต้นของชีวิต แล้วค่อยๆ ลดบทบาทลงเมื่ออายุมากขึ้น แล้วเปลี่ยนมือให้สมองส่วนอื่นรับช่วงต่อ

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Center on the Developing Child at Harvard University) ยกตัวอย่างวิทยาศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัยในช่วงปีแรกว่า สมองของเด็กที่ทำหน้าที่แยกความแตกต่างของเสียง เป็นสมองส่วนหลักที่ทำให้เด็กพัฒนาการเรียนรู้ด้านภาษาที่เป็นภาษาแม่ ขณะเดียวกันสมองจะค่อยๆ ลดบทบาทการเรียนรู้ภาษาที่สอง และภาษาอื่นๆ ลงไปตามลำดับ เป็นต้น

สอดคล้องกับทฤษฎีของ ฌอง เปียเจต์ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่กล่าวถึง กระบวนการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็ก ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยรุ่นไว้ 4 ขั้นตอน

ขั้นแรก การใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (sensorimotor period) ในช่วงอายุ 0-2 ปี เด็กเรียนรู้การประมวลการคิดจาก ‘คำ’ และ ‘การสื่อสาร’ รอบตัว โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู สัมผัส รสชาติ และกลิ่น

สิ่งที่ผู้ปกครองสามารถสังเกตเห็น คือ เด็กเกิดพัฒนาการใช้อวัยวะทำงานเบื้องต้นได้ เช่น ฝึกใช้มือหยิบจับสิ่งของต่างๆ ฝึกการได้ยินและการมอง ฝึกเดิน ยืน ฝึกพูดและโต้ตอบ

ขั้นที่สอง ขั้นก่อนการคิด (preoperational stage) ในช่วงอายุ 2-7 ปี เป็นช่วงที่พัฒนาการด้านภาษาพัฒนาได้ดี แต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจากความเข้าใจ

ขั้นที่สาม การคิดเป็นรูปธรรม (concrete operation stage) เริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้ เริ่มเข้าใจเหตุผลและมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ และมีความจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และ ขั้นที่สี่ การคิดแบบนามธรรม (formal operational stage) เริ่มจากอายุ 11-15 ปี เด็กในวัยนี้เริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ สามารถคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ได้

แม้ทฤษฎีการพัฒนาสติปัญญาของเปียเจย์ได้ถูกท้าทายโดยนักวิจัยในยุคหลังที่แสดงให้เห็นพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของแต่ละช่วงวัยที่มีความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันอย่างชัดเจนมากกว่าและเกิดขึ้นรวดเร็วกว่า แต่ทฤษฎีของเปียเจย์ก็ได้ทำให้เข้าใจภาพรวมของพัฒนาการในแต่ละขั้น ที่เริ่มต้นจากสัญชาตญาณแล้วพัฒนาขึ้นตามลำดับ

ย้อนกลับไปราว 100 ปี หากอธิบายตามแนวมนุษยปรัชญา (anthroposophy) ของ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปรัชญาผู้บุกเบิกด้านการศึกษาชาวออสเตรีย ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมและมัธยมสไตล์วอลดอร์ฟตามแนวมนุษยปรัชญาราว 1,100 แห่ง และโรงเรียนอนุบาลราว 2,000 แห่งทั่วโลก

สไตเนอร์แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ตามการเรียนรู้เป็น 3 ช่วง ตั้งแต่แรกเกิดถึง 21 ปี (ช่วงละ 7 ปี) กล่าวถึงการเรียนรู้ในช่วงต้นว่าเป็นการเรียนรู้ด้วยกาย หรือ การลงมือทำ (doing) ซึ่งเกิดจาก ‘เจตจำนง’ (willing) หรือความมุ่งมั่นที่มีตามธรรมชาติ

ตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 7 ปี เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิตที่เจตจำนง (willing) ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเพื่อวางรากฐานการใช้ชีวิต คำว่าเจตจำนงในที่นี้ให้ความหมายถึงความมุ่งมั่นตั้งใจตามธรรมชาติ เช่น พัฒนาการของเด็กทารกตั้งแต่การตั้งไข่ พยายามเกาะ ยืน แล้วเดิน การพูดและการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องใช้ความรู้สึกหรือการคิดวางแผน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กในช่วงวัยนี้จะไม่รู้สึกหรือไม่คิดอะไรเลย เพียงแต่แรงกระตุ้นที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ หรือการเลียนแบบ

ด้วยเหตุนี้ในช่วง 7 ปีแรก สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กจึงมีความสำคัญ เด็กวัยนี้ไม่ควรได้รับสื่อพร่ำเพรื่อ ไม่ว่าจะเป็นจากโทรทัศน์ มือถือ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การฝึกท่องหนังสือ ทั้งนี้ เพื่อเปิดพื้นที่จินตนาการของเด็กให้มีอิสระ หากเด็กเติบโตขึ้นท่ามกลางการดูแลที่มีตัวอย่างที่ดีจากผู้ใหญ่ อยู่ในสภาพแวดล้อมและสภาวะที่ไม่สร้างความกดดันและเครียด เด็กจะสามารถซึมซับพลังงานที่ดีจากสิ่งรอบตัวได้

ต่อมาช่วงอายุ 7-14 ปี เป็นช่วงที่ ‘ความรู้สึก’ (feeling) เข้ามามีอิทธิพล เด็กเรียนรู้จากความประทับใจ ดังนั้น การสอนควรเน้นให้เด็กรู้สึก – มีความสนุก เพลิดเพลินกับการเรียนรู้ ความรู้สึกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียง ‘อารมณ์’ เท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างพื้นที่ที่ทำให้เกิดความเคารพและความไว้วางใจกัน ในช่วงนี้เด็กสามารถสื่อสารความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านภาพวาด การระบายสี หรือการใช้จินตนาการลงมือทำสิ่งที่อยากทำได้ดี

แล้วเมื่อก้าวผ่านวัยแรกรุ่นจนถึงอายุราว 21 ปี ช่วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่ ‘ระบบคิด’ (thinking) ทำงานอย่างเต็มที่ เด็กมีการคิดอย่างเป็นระบบ มีตรรกะ และใช้วิจารณญาณในการคิด สไตเนอร์กล่าวว่า รากฐานที่ดีของการพัฒนาเจตจำนงและความรู้สึกในช่วงต้น จะนำมาสู่การพัฒนาระบบคิดที่ดีเมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ดังนั้น การสอนควรเน้นให้เด็กคิดอย่างมีตรรกะและมีศีลธรรม จนเกิดปัญญาเและเห็นความจริงของโลก

การเติบโตของเจตจำนง/ความมุ่งมั่น ความรู้สึก และระบบคิด จึงจำเป็นต้องอาศัยเวลาสั่งสม และผ่านการกลั่นกรองตามแต่ละบุคคล อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี ผู้อำนวยการสถาบันศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา กล่าวถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กที่สื่อสารผ่านกระบวนการทำงานศิลปะไว้ในหนังสือ ‘หนึ่งปีแสง’ ว่า

“การลงมือทำศิลปะสกุลนี้แบ่งเป็นสามหนทางใหญ่ หนทางอันมีจุดเริ่มต้นจาก ‘เจตจำนง’ นั่นคือการลงมือทำโดยไร้ความคิดล่วงหน้า เส้นทางการทำงานแบบนี้หากเป็นศิลปินใหญ่ก็อย่างเช่น แจ็คสัน พอลล็อค (Jackson Pollock) จิตรกรจากยุคโมเดิร์น ที่คล้ายสวมเสื้อคลุมแห่งกาลเวลา มองแบบมนุษยปรัชญา เขาวาดภาพด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่วาดแบบถั่งโถมกายในช่วง 7 ปีแรก

ประตูการวาดภาพที่เราจะเปิดต่อมาคือเส้นทางจาก ‘ความรู้สึก’ บนเฟรมผ้าใบที่เต็มไปด้วยสีสันในแบบฉบับศิลปินยุคอิมเพรสชันนิสม์ งานอย่างโคลด โมเนต์ (Claude Monet) เป็นคำตอบของโลกศิลปะจากหัวใจ เมื่อใจและจิตรกรได้ประสานกลมกลืนกัน เพ่งมองเข้าไปในภาพวาดเด็กช่วงวัย 7-14 ปี ภาพสาดจากสีสันผ่านไปที่ธรรมชาติที่มีดิน ฟ้า สายน้ำ ลำธาร จะมีความหมายมาจาก ‘ความประทับใจ’ กับโลกใบนี้ทั้งสิ้น

เส้นทางสุดท้ายที่อยู่ในยุคสมัยของเราคือการวาดภาพที่มาจาก ‘ระบบคิด’ ผู้วาดมักเริ่มการออกแบบวางแผนหาองค์ประกอบต่างๆ อย่างเคร่งครัด อาจเหมาะทีเดียวกับเด็กวัยรุ่นที่พร้อมนำความคิดตนเองแสดงออกสู่การรับรู้ของทุกคน ในผลงานศิลปะแบบนี้ เรามักพบได้ทันทีว่างานมักแฝงกลไก ‘ความคิด’ ทั้งในตัวชิ้นงานหรือวิธีการถ่ายทอดสู่ผู้ชม”

ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นศักยภาพด้านระบบคิดของนักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยซึ่งสมองกำลังพัฒนาความคิดได้เป็นอย่างดี นำเสนออยู่ในหนังสือ ‘What I Wish I Knew when I was 20’ หรือ ‘น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20’ หนังสือติดอันดับขายดี เขียนโดย ทีนา ซีลิก (Tina Seelig) ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด คณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิชานวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ

หนังสือเล่มนี้นำเสนอเนื้อหาและกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน โดยเฉพาะโปรเจ็คต์เกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการที่สถาบันการศึกษาสนับสนุนให้นักศึกษาลงมือทำสิ่งที่ชอบตามความถนัดหรืออยากทำจริงๆ เป็นการเรียนที่ไม่ใช่แค่ให้คิดแล้วผ่านเลยไป ปล่อยให้ความคิดล่องลอยอยู่แค่บนกระดาษรายงาน 

การให้โอกาสได้ปฏิบัติยิ่งทำให้นักศึกษามีความกล้า ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วเห็นผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์จากระบบคิดของพวกเขาเอง

ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษากลุ่มหนึ่งใช้เงิน 5 ดอลลาร์ทำธุรกิจที่หาเงินได้มากถึง 650 ดอลลาร์ ภายในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง อีกกลุ่มหนึ่งคิดค้นอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นแก่ทารก เพื่อประชากรในประเทศยากจนได้ในราคาแค่ 20 ดอลลาร์ จากที่เคยต้องจ่ายถึง 20,000 ดอลลาร์ เป็นต้น        

แม้คำอธิบายถึงพัฒนาการทางสมองของนักคิดหรือนักการศึกษาแต่ละคนจะมีความคาบเกี่ยวกันอยู่บ้างเรื่องช่วงอายุ แต่ใจความสำคัญร่วมกันซึ่งเป็นแก่นของการเรียนรู้ คือ การส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสมตามพัฒนาการ

ไม่ใช่แค่การยัด ‘ความรู้’ แต่สร้างให้เกิดพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป โดยให้เกิดความสมดุลในการเรียนรู้ด้วยกาย (การลงมือทำ) หัวใจ (ความรู้สึกและความประทับใจ) และสมอง (ความคิด)

ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดูแล ให้ความรู้ และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเด็กและเยาวชน จำเป็นต้องรู้ความต้องการของเด็กที่สอดคล้องกับพัฒนาการ เพราะหากผู้ใหญ่ไม่สามารถสื่อสารได้ตรงตามความต้องการของพวกเขา นั่นย่อมเป็นอุปสรรคต่อการทำให้เด็กคนหนึ่งมีความเคารพ เชื่อมั่น และเปิดใจยอมรับการเรียนรู้

‘การสื่อสารได้ตรงตามความต้องการ’ ไม่ใช่ ‘การตามใจให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการ’ แต่เป็นการรับมือกับธรรมชาติและพฤติกรรมของเด็กในแต่ละช่วงการเติบโต หากผู้ใหญ่พูดภาษาเดียวกับเขา พวกเขาจะรับฟัง อย่างน้อยต่อให้ไม่เชื่อฟังหรือปฏิบัติตามร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็จะไม่คัดง้างจนอาจนำมาสู่ปัญหาสังคมอื่นๆ ในระยะยาว

อ้างอิง:
In Brief: The Science of Early Childhood Development
Theories of Human Development

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้Adolescent Brainการเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    เปลี่ยนการเรียนรู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับสมองให้เป็นทีมเดียวกับวัยรุ่น ครูทำได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    “กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Adolescent Brain
    เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

มหา’ลัยเถื่อน: เรียนข้ามศาสตร์ กับครูที่ไม่ต้องจบครู ในยุคที่การศึกษาถูก DISRUPTED
Creative learning
23 January 2020

มหา’ลัยเถื่อน: เรียนข้ามศาสตร์ กับครูที่ไม่ต้องจบครู ในยุคที่การศึกษาถูก DISRUPTED

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ม.เถื่อน เกิดขึ้นจากการอยากสวนกลับระบบการศึกษาโดยเฉพาะระบบมหาวิทยาลัยที่พะรุงพะรังและแทบไม่มีชีวิต
  • ม.เถื่อน มีทั้ง ‘วิชา talk’ ที่ชวนคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมา talk เช่น ครูละครที่ชวนคุยเรื่องการใช้ละครพูดเรื่องการเมืองในความทรงจำ, นักขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาของเด็กชายขอบ รวมถึงมี ‘วิชาทำ’ ที่มีไฮไลต์คือเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ ผ่านกายและใจ เช่น เรียนทำน้ำพริก ทำขนมไทย ออกไปทัวร์กับเกษตรกรนักเคลื่อนไหว หรือใช้ศาสตร์ละครเพื่อสื่อสารและเรียนรู้
  • ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาที่เคลื่อนไหวน้อย มหาวิทยาลัยเถื่อน เป็นอีกเสียงที่ยืนยันว่าระบบนิเวศการเรียนรู้แบบนี้มันสนุก

1.

ม.ทง ม.เถื่อน… มันคือมหา’ลัย อะไรกัน?!

บ้านไม้สองชั้นยกสูงคือตึกเรียนหลัก ล้อมรอบด้วยตัวบ้านหน้าตาคล้ายกันร่วม 10 หลัง ต่างเพียงความยาว ขนาด ทิศทางการวางตัว และตัวเรือนที่หน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดถูกแนะนำว่าตลอด 4 คืน 5 วันของการเรียนหลังจากนี้ โรงละครหุ่นจะเป็นห้องเรียนคาบ ‘เถื่อน talk’ โดยมีวิทยากรที่เชิญตัวเองมาผลัดกันสอน ผลัดกันเล่าบทเรียนชีวิต จากการงาน หรือความสนใจส่วนตัว (ที่ปีนี้มีตั้งแต่การทำงานของสื่อในสามจังหวัดชายแดนใต้ ถึง การเป็นโอตะน้องๆ ไอดอล)

ชั่วโมงนี้นักศึกษาไร้ชุดฟอร์มซึ่งแตกต่างหลากหลายตั้งแต่อาชีพ วัย ความป่วยไข้ป่วยใจ อุดมการณ์ในใจเกี่ยวกับสังคม และอื่นๆ นั้น พวกเขาเลือกวิชาไม่ได้ (เพราะอยู่ที่ว่าวิทยากรอยากจะเชิญตัวเอง สมัครเข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องอะไร) ทุกคนต้องเข้าเรียนทั้งหมด แต่ด้วยเสน่ห์แห่งความเถื่อน เราก็อู้ (ได้แหละ) ไปเดินรับแดด นอน อาบน้ำ หรือ ‘ใดๆ’ ก็ได้แล้วแต่ใจต้องการ ไม่มีคนจดชื่อ ไม่มีผลต่อการตัดเกรด (เพราะไม่มีให้ตัด)

ส่วนภาคบ่าย นักศึกษาจะออกไปเรียนนอกสถานที่ที่เรียกว่าคลาส ‘เถื่อนทำ’ นอกสถานที่นี้หมายถึงระยะทางเดินเท้าตัดผืนหญ้าราบคั่นด้วยร่องน้ำไปยังบ้านของ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว บ้านมาลาดาราดาษ ของ คุณโอ๊ค-คฑา กับ คุณโรส-วริสรา มหากายี และอาจไกลขนาดต้องนั่งรถ (สองแถว) เหลืองออกไปเดินป่า หรือเข้าไปนั่งเรียนในบ้านของ ‘อาจารย์’ ผู้เป็นนักเขียนที่พำนักไกลออกไป ณ ตีนเขา ‘เชียงดาว’

เกริ่นให้ฟังอย่างอดไม่ได้ว่า คาบเรียนช่วงบ่ายนี่ ‘ฮอต’ หนัก ทุกคืนนักเรียนต้องแย่งกันลงทะเบียนด้วย platform กระดานไม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาเอาไปแอบไว้ไหนไม่รู้ โผล่มาอีกทีนักเรียนต้องวิ่งไปแย่งกันลงชื่อจับจองวิชาเรียน (ป่วนหนักยิ่งกว่ากดแย่งโควตาที่สำนักทะเบียน)

ไม่มีชุดฟอร์มนักศึกษา ไม่มีเช็คชื่อ ไม่มีรับน้อง ไม่มีผนังห้องเรียน ไม่มีแอร์คอนดิชั่น ไม่มีตัดเกรด แต่บรรยากาศการเรียนเริ่มอย่างเข้มข้น (วัดจากระดับเสียงคุยและรสชาติบทสนทนา) คลาสแรกคือ 9 โมงเช้า เลิกเรียนตามกำหนดเวลา 5 โมงเย็น และยังมีนักศึกษาจับวงธรรมชาติคุยกันถึงตี 2 ตี 3 บ้างยาวไปยันตี 5 เรียกว่าอาบน้ำแล้วกลับมาเข้า ‘เถื่อน talk’ น็อครอบอีกครั้งได้เลย

ไม่ต้องบอกก็น่าจะเดากันได้ ชื่อ ‘ม.เถื่อน’ ตั้งขึ้นจากการอยากสวนกลับระบบการศึกษาโดยเฉพาะระบบมหาวิทยาลัยที่รัดรึง พะรุงพะรัง และแทบไม่มีชีวิต จุดนี้ ก๋วย-พฤหัส พหลกุลบุตร หนึ่งในผู้ริเริ่มตั้งมหา’ลัยแห่งนี้ และผู้นำมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ซึ่งในพรมแดนรั้ว ‘ม.เถื่อน’ นี้ผู้คนพร้อมใจกันเรียกเขาว่า ‘อธิการบดีก๋วย’ ย้อนเวลาไปเมื่อ 7 ปีก่อน เขาเล่าให้ฟังว่า…

เพราะจุดยืนของมะขามป้อมคือนักเคลื่อนไหวที่ใช้กระบวนการละครเป็นเครื่องมือในการทำงานพัฒนาวัฒนธรรมชุมชนในฐานะ ‘สื่อ’ สะท้อนปัญหาชาวบ้านสู่สังคม ในช่วงปีนั้นมะขามป้อมสร้างสำนักงานใหญ่ขึ้นที่เชียงดาว โดยมีเพื่อนบ้านอย่างคุณโอ๊ค-คุณโรส จากมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ที่เคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ธรรมชาติให้กับเด็กและเยาวชนไทย และ พี่อ้อย-ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ มูลนิธิโลกสีเขียว สร้างบ้านในพื้นที่ใกล้กัน

ก๋วย-พฤหัส พหลกุลบุตร

ละคร – การศึกษา – สิ่งแวดล้อม สามพื้นที่ทำงานที่เหมือนมีประเด็นตัวเองชัดเจน แต่จุดร่วมคือการขยับขับเคลื่อน ‘การเรียนรู้’ ของคน ง่ายๆ แค่นี้ แล้ว ‘ม.เถื่อน’ ก็เกิดขึ้น

“ม.เถื่อนครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรากับเพื่อนที่อยู่ในวงการศึกษาเบื่อระบบ ออกไปขับเคลื่อนปฏิรูประบบแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน ประกอบกับกลุ่มเพื่อนอย่างพี่อ้อย พี่โอ๊ค ย้ายมาอยู่ที่เชียงดาวด้วย เราเห็นว่าพื้นที่อย่างนี้มันเหมาะเป็นมหา’ ลัยจริงๆ เพราะมีความหลากหลายมาก เริ่มจากเจ้าบ้านอย่างมะขามป้อม พี่อ้อย พี่โอ๊ค เป็นโฮสต์แล้วก็ชวนเพื่อนในวงการศึกษาประมาณ 25 คนมาตั้งวงกัน แค่นี้แหละ ง่ายๆ แบบนั้นเลย คิดกันสนุกๆ แค่ว่า เธอมีอะไร ฉันมีอะไร แล้วเราเอามาแชร์กัน แต่เป็นการแชร์กันบนประเด็นการศึกษาเป็นหลัก

“จัดกระบวนการเหมือนตอนนี้เลย เช้ามี ‘talk’ วันละ 4-5 เรื่อง บ่ายก็ ‘ทำ’ ใช้ space อย่างใต้ถุน ครัว ต้นไม้ เราพบว่า space แบบนี้มันจัดได้นี่หว่า และก็ไม่สำคัญว่าวิทยากรจะเป็นใคร คุณอาจเรียนกับเด็กๆ ที่รู้เรื่องนั้นจริง จริงแท้กับสิ่งนั้นจริงๆ อย่างลิปตา (ลูกสาวของคุณโอ๊คกับคุณโรส) เรียนเรื่องแมลง กับแปลน (รามิล กังวานนวกุล) หมายถึงว่าสำหรับที่นี่ มันไม่สำคัญว่าคุณต้องจบอะไรมาหรือได้รับได้ stamp รับรองจากสถาบันใด ถอดตรงนี้ออกก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่อยากรู้อยากเรียน จะเด็กเรียนกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เรียนกับเด็ก มันข้ามสายกันไปมาไม่มีกฎเกณฑ์” อธิการบดีก๋วยเล่า

2.

วิชา talk – ที่นี่ก็เลคเชอร์กันเข้มข้นมาก ที่สนุกคือวิทยากรไม่ได้มาพร้อมตำแหน่งวิชาการในรั้วมหา’ลัย แต่เป็นคนที่ทำงานในพื้นที่นั้นอย่างแตกฉานจริงๆ แล้วเอาประสบการณ์ที่ว่านั้นมา talk กัน เช่น ครูละครที่ชวนคุยเรื่อง การใช้ละครพูดเรื่องการเมืองในความทรงจำ, นักขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาของเด็กชายขอบ, โปรเจ็คต์ feeltrip เครือข่ายการศึกษาทางเลือก, สื่อมวลชนกับการทำงานสื่อในพื้นที่ชายแดนใต้, วิธีคิดแบบผู้ประกอบการสังคมของคนรุ่นใหม่ 

จุดที่คิดว่าทำให้การพูดคุยมันสนุกและปลอดภัยคือ ความไม่มี ‘ยศ’ ของคนเล่า แต่ใช้ข้อมูล ประสบการณ์ และข้อเท็จจริงมาเล่านี่เองที่มันสนุกมาก มากกว่านั้น นักศึกษาก็แตกต่างหลากหลาย มีหมดตั้งแต่ หมอ นักวิทยาศาสตร์ ทนาย นักออกแบบเกม และอื่นๆ ซึ่งอีกเดี๋ยวพวกเขาอาจลุกจากคนนั่งเรียนไปเป็นวิทยากรในห้องไหนสักห้อง เรียกว่าทุกคนผลัดกันเป็นผู้เรียนผู้สอนกันถ้วนหน้า ที่ตั้งใจจะพูดหมายถึงว่า… การแชร์กลับไปกลับมาระหว่างคนเล่าและคนฟังจึงได้วิธีคิดหลากมุมไปกว่าการพูดคุยกับคนหน้าเดิมๆ ทั้งคนสอนและคนเรียนได้สร้างความรู้ใหม่ร่วมกัน

วิชา ทำ – ที่นีก็มีให้เลือกหลากหลาย (และใช้แรงหนัก) ตั้งแต่สอนทำน้ำพริกกับเจ๊หมวย-ญาดา เกรียงไกรวุฒิกุล, ออกไปเรียนเขียน ‘กวี’ ที่กระต๊อบในสวนลำไยที่มีวิวหน้าบ้านเป็นดอยหลวงเชียงดาว, ทำขนมไทยกับป้านวล-พาฝัน ศุภวานิช, ขนมปังเปลี่ยนชีวิต กับคุณโรส หรือออกไปทัวร์แบบถิ่นนิยมกับเกษตรนักเคลื่อนไหวแห่งเชียงดาวอย่างคุณมล-จิราวรรณ คำซาว, ฐานกายต่อต้านความป่าเถื่อน กับคุณตัน, การใช้ศาสตร์ละครเพื่อสื่อสารและเรียนรู้ กับครูแพท-ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ และอื่นๆ 

จุดนี้ต้องไฮไลต์ไว้ด้วยว่าวิชา ‘ทำ’ ที่เปรียบเสมือนการเรียนด้วยฐานกาย เอาเข้าจริงก็มักต้องกลับเข้าไปสื่อสาร ทำความเข้าใจกับสมดุลข้างในกับโลกภายในของตัวเอง 

“มันไม่ใช่การเรียนเพื่อยังชีพและทุกวิชามันเกี่ยวเข้าไปกับเรื่องภายใน เรียนทำขนมปังไม่ใช่เพื่อการขายแต่เป็นขนมปังสำรวจสภาวะภายใน เรียนละครเพื่อพูดเรื่องการ connect กับตัวเอง มันเป็นมิติที่เราเข้าใจว่าที่อื่นไม่ค่อยพูดถึง” อธิการบดีก๋วยขยายความ 

ป้านวล-พาฝัน ศุภวานิช

ก่อนช่วยสรุปกระบวนการและหัวใจของ ม.เถื่อนว่า “สำหรับเรา ม.เถื่อน มันน่ารักและน่าสนใจอยู่ 3 อย่าง หนึ่ง-setting หรือสภาพแวดล้อม มันคือธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ ครัว เราไปเรียนในอาณาเขตบริเวณเหล่านี้ เราเรียนในบ้านที่เป็น home ที่ไม่ได้เป็นห้องเรียน ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นมิตรและเข้าถึงได้ สอง-ครู ครูคือตัวจริง ไม่ได้หมายความว่าคุณมีปริญญาเรื่องนั้นนะ แต่คุณทำสิ่งนั้นจนแตกฉาน พอคุณมีความรู้จริงๆ อย่าง authentic นะ แล้วคุณถ่ายทอดจากการเล่า พาทำ มันอยู่ในเนื้อในตัวจนไม่ต้องเตรียมอะไร จะรั่วหลุดก็ไม่เป็นไรและทุกคลาสก็เป็นแบบนั้น สาม-ผู้เข้าร่วมแตกต่างหลากหลายมาก ตั้งแต่หมอ นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน สื่อ

“แล้วสองอย่างหลังนี้ยิ่งทำให้เห็นว่า subject หรือตัววิชาไม่มีความหมาย วิชาไม่มีอยู่จริง มีแค่ issue หรือประเด็น บางอย่างให้เอามา cross กันว่าการจะเรียนรู้สิ่งนั้นต้องการความรู้เรื่องอะไรมาเติมอีก ตัววิชาก็มีความหมายนะแต่ไม่ได้มากจนสำคัญที่นี่… มั้ง (เน้นเสียง)” อธิการบดีก๋วยให้ความเห็น

พอมันได้ข้ามศาสตร์-ข้ามพรมแดน ได้ลงมือทำแต่ก็ต้องคิดกับมันอย่างถี่ถ้วนลงลึก เห็นชัดเลยว่านักศึกษาจำแม่น อยากเล่าต่อ ขยายประเด็นกับเพื่อนต่อ แม้ระฆังไร้เสียงดังขึ้นในวิชาสุดท้าย แต่ทุกคนเลือกจับกลุ่มทั้งแบบธรรมชาติและจัดตั้ง พูดคุยกันต่อยาวไปตลอดคืน

3.

อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้เขียนกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้ภาพของ ม.เถื่อนดู ‘หวาน’ ราวกับเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ ‘ดีต่อใจ’ จนเกินจริง อันที่จริงต้องไม่ลืมว่าจุดเริ่มต้นและเบื้องหลังคนทำงานคือภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนเรื่องหนักๆ หลายประเด็นในสังคมไทย เช่น การศึกษาของเด็กข้ามชาติ, สื่อในพื้นที่ชายแดนใต้, กระบวนการยุติธรรมในสังคม หลายองค์กรมารวมอยู่กันที่นี่ หลายๆ คนตั้งใจมาไม่ใช่แค่ต้องการขยายขอบความรู้ ถ่างมุมมองให้ไกลพ้น มองภาพกว้างไปกว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่ พบปะคนทำงานกลุ่มอื่นๆ เพื่อหาลู่ทางทำงานร่วมกันในอนาคต…

ไกลกว่านั้น อาจารย์โอ๋-ผศ. ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ หัวหน้าภาคและอาจารย์ประจำภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้พาลิเกไปโกอินเตอร์ ใช้คำว่า นักศึกษากลุ่มนี้ขอมา retreat, rethink (ทิ้ง), re-ปิ๊ง และ re-เพลิน  

อาจารย์โอ๋-ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์

“กลับมาครั้งที่ 3 แล้วกับ ม.เถื่อน คิดว่าเสน่ห์ของมันคือการได้กลับมาสำรวจตัวเองนะ เป็นวิชาที่ได้ทั้ง doing คือการทำ และก็รู้จัก being ของตัวเอง เรียกว่าตรงนี้เป็นอีกหนึ่งมหา’ลัย ปลูกปัญญาก็ได้ และมันเป็นการสร้างปัญหาบนความปลอดภัยน่ะ คนที่อยู่ตรงนี้มันหลากหลายมาก แตกต่างทั้งอายุ อาชีพ จริต ความคิดเห็นทางสังคมที่แตกต่าง วงคุยมันไม่ได้ไฮไลต์ความคิดที่แตกต่าง แต่เอาความคิดนั้นมาดู มาคุย มาเรียนรู้กัน ไม่มีอันตราย ไม่มีผิด อะไรที่ไม่เข้าท่าเราก็ช่วยกัน

“เราชอบคิดว่าการเรียนรู้ต้องผ่านฐานหัว ผ่านสมอง แต่การเรียนรู้มันเป็นไปได้ทั้งหมด เราเรียนรู้ผ่านการทำขนมปัง, ผ่านการทำเส้นอุด้งจากเด็ก 5 ขวบ, กลับไปเปิด senses ทั้ง 5 กับพี่อ้อย มันทำให้เราได้ retreat, rethink ซึ่งก็คือได้ ‘ทิ้ง’ คุณค่าบางอย่างที่มันรุงรังยึดถือ แล้ว re-ปิ๊ง ใหม่ ผ่านการเรียนรู้แบบเพลิดเพลิน ซึ่งก็ได้ re-เพลิน ด้วย” ครูโอ๋กล่าว

หรืออย่าง พี่แจง-ฐิตินบ โกมลนิมิฐิ สื่อมวลชนรุ่นบุกเบิกที่ลงไปลุยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งในนักศึกษาม.เถื่อนปีที่ 7 หรืออาจต้องบอกว่าเป็นนักศึกษาเก่าก็ได้เพราะเธอกลับเข้ามาเรียนที่นี่เป็นครั้งที่ 5 แล้ว พี่แจงแชร์ให้ฟังว่าตลอดการเป็นนักข่าว เธอถูกสอนให้ทำงานบนฐานข้อมูล ซึ่งในสมการของข้อมูลนั้นไม่เท่ากับความรู้สึก ไม่สิ… เธอทำงานบนฐานความรู้สึกแต่เป็นความรู้สึกของเจ้าของเรื่อง การเป็นผู้รับฟังปัญหา เรียบเรียง และมีหน้าที่ขับเคลื่อน หลายครั้งทำให้หัวใจของคนทำงานหนักอึ้ง พื้นที่ตรงนี้ โดยเฉพาะการติดเครื่องมือสื่อสารด้วยศาสตร์การละคร ช่วยทำให้เธอได้กลับทบทวนตรวจสอบความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งสำคัญมากในภาวะที่สถานการณ์ทางสังคมราวกับไม่เคลื่อนไหว

แจง-ฐิตินบ โกมลนิมิฐิ

“ม.เถื่อน หรือ มะขามป้อมให้เครื่องมือเรากลับมาตรวจสอบตัวเอง เช็คความรู้สึกของตัวเองนะ มากกว่านั้น การมาตรงนี้ทำให้เราเจอเพื่อน เจอเครือข่ายขยายผลงานหรือส่งต่อประเด็นที่เราทำงานอยู่ เช่น เราได้เล่า ได้อธิบายสถานการณ์ผู้หญิงแบบ on ground จากในพื้นที่จริงๆ”   

ขณะที่อีกหนึ่งคนรุ่นใหม่อย่าง โบ๊ท-วิษณุ กุลทวีวุฒิ จาก RISE Impact บริษัทผู้ประกอบการเพื่อสังคม ที่มาเป็นนักศึกษา ม.เถื่อน เป็นครั้งแรก แชร์ให้ฟังว่า…

บรรยากาศที่ชอบในมหา’ลัยแห่งนี้คือการได้มาแวดล้อมอยู่กับคนทำงานทางสังคมจริงๆ และจากหลากหลายองค์กร ชอบที่ได้ฟัง ‘เบื้องหลัง’ ได้ฟัง ‘ความรู้สึก’ ของคนทำงาน ได้เห็นเครือข่าย ได้เห็นสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่ ‘ไร้ฟอร์ม’ ทั้งหมดนี้โบ๊ทสะท้อนว่าเป็นพลังงานดีๆ ที่ทำให้เขาอยากขยายขอบ ทั้งขอบงานและขีดจำกัดความกลัวของตัวเองออกไปทีละนิดๆ

โบ๊ท-วิษณุ กุลทวีวุฒิ

การได้ retreat พักผ่อนจากการทำงานหนักๆ กลับมาสำรวจชุดคุณค่าที่ตัวเองเคารพนับถือ ปลดสัมภาระบางอย่าง ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าคนทำงานอื่น ส่งกำลังใจในรูปการสะท้อนความหมายต่อการดำรงอยู่ในการทำงานของเพื่อนๆ ทั้งหมดนี้เราคิดว่ามันคือพลังงานดีๆ ที่ ม.เถื่อนช่วยกันสร้างและส่งต่อให้กัน – หลายคนสะท้อนกันไว้แบบนี้ 

4.

วันแรกที่มาถึง เราไม่เข้าใจรูปแบบ-ฟอร์ม การเรียนรู้ที่มหา’ลัยเถื่อนๆ แห่งนี้เซ็ตขึ้น รู้แค่ว่าที่นี่คร่ำหวอดไปด้วยคนเก่ง คนจริง จริงที่หมายถึงเขา authentic กับหน้างานและความเชื่อของตัวเอง เราในฐานะคนทำงานที่ออกสตาร์ทไม่ถึง 4 ปี ไม่รู้จะมีอะไรไปแลกเปลี่ยนกับเขา 

เปล่า เราไม่ได้ดูถูกตัวเองว่าไร้คุณค่า แต่จะบอกว่าเชื่ออย่างที่อธิการบดีกล่าวเอาไว้ “แม้กับเด็กที่เพิ่งเริ่มเข้ามา เพิ่งเริ่มทำงาน ไม่ใช่แค่เขาได้สนุกกับบรรยากาศของวง แต่จะถูกขยับ ถูกเขย่าให้ชัดเจนขึ้นด้วย” 

ตรงนี้ทำให้คิดถึงคำของโบ๊ท “มันเป็นการเรียนรู้แบบไร้ฟอร์ม แต่สิ่งแวดล้อมหรือ ecosystem มันดีมากนะ มันผลักให้เราอยากขยายขอบตัวเองออกไปทำอะไรที่ท้าทายและใหญ่ขึ้น” 

“ในขณะที่โลกมันถูก disrupt สถาบันการเรียนรู้จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ มันไม่มีอะไรมารองรับเลย ซึ่งพี่คิดว่าการเรียนรู้แบบนี้ ไม่ใช่แค่ที่นี่นะ แต่อย่างกลุ่มรักษ์เขาชะเมา (คนทำงานเรื่องการเรียนรู้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดระยอง) กลุ่ม feeltrip หรือกลุ่มการเรียนรู้อื่นที่ถูกบอกว่ามันเป็นการเรียนรู้สร้างสรรค์ทางเลือกเชิง alternative พี่ว่ามันต้องไม่ใช่ alternative แล้ว แต่ต้องถูกยกเป็นสถาบัน ต้องยกระดับขึ้นมาและถูก accredit ด้วย” อธิการบดีก๋วยกล่าว

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาที่เคลื่อนไหวน้อย เราขอเป็นอีกเสียงที่ยืนยันว่าระบบนิเวศการเรียนรู้แบบนี้มันสนุกและทำงานกับนักศึกษาเถื่อนๆ อย่างเรามากกว่าจริงๆ 

Tags:

Disruptionคฑา มหากายีมหาลัยเถื่อนพฤหัส พหลกุลบุตรเชียงใหม่

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Creative learning
    “ขนมปังยังสอนผมได้ตลอด ถ้าผมยังปั้นมันอยู่” กับคลาสขนมปังเปลี่ยนชีวิตที่ม.เถื่อน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to enjoy life
    ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

“อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู
Early childhoodEF (executive function)
23 January 2020

“อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Sense of Self หรือ พัฒนาการด้านตัวตน หมายถึง การที่มนุษย์รู้สึกมีตัวตน ส่งผลต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ บุคคลแรกๆ ที่จะสามารถสร้างตัวตนให้ลูกได้ คือ พ่อแม่ 
  • ครูหม่อม หรือ ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร จะพาเราไปรู้จักกับวิธีสร้างตัวตนให้ลูก ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับลูก ซึ่งก็ได้มาจากวิธีเลี้ยงดูของพ่อแม่
  • การที่ลูกเข้ามาอ้อนพ่อแม่เป็นสัญญาณว่าลูกกำลังเสียเซลฟ์และต้องการให้พ่อแม่ช่วย เพราะการที่มีคนทำอะไรให้ตามที่ลูกร้องขอ ตัวตนของลูกจะกลับมา เช่น บอกให้พ่ออุ้มแล้วพ่อก็อุ้ม
ภาพ: พิศิษฐ์ บัวศิริ

เคยไหมที่รู้สึกว่าไม่กล้าเข้าหาใครเพราะกลัว หรือเคยไหมเวลาที่เจอปัญหาอุปสรรคแล้วไม่กล้าสู้กับมันเพราะคิดว่าทำไม่ได้ 

ทุกสิ่งที่เรารู้สึกหรือตัดสินใจมาจากตัวตนของเรา การที่เรารู้สึกมีหรือไม่มีตัวตนนั้นส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคม ถ้าเราไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของตัวตนเรา จะทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเอง ส่งผลไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง เป็นต้น ซึ่งบุคคลแรกๆ ที่สามารถสร้างการรู้สึกมีตัวตนให้เราได้ คือ พ่อแม่ ผ่านการเลี้ยงดู 

งานเสวนา ‘ตัวตนของลูกผ่าน EF ของพ่อแม่’ โดย ครูหม่อม หรือ ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ณ SCB academy จัดโดย ชมรมห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์ จะพาเราไปรู้จักกับ sense of self หรือการพัฒนาด้านตัวตน ขั้นตอนในการสร้าง ทำอย่างไรพ่อแม่จึงจะมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับลูกได้ และเทคนิค “เมื่อไหร่ปลอบ เมื่อไหร่สอน”

Sense of Self พัฒนาการด้านตัวตน มีผลต่อการตัดสินใจ

“พวกเราเคยเสียเซลฟ์ (self) กันไหม”

คำถามแรกที่ครูหม่อมถามกับพ่อแม่ในชั้นเรียน ก่อนจะอธิบายว่า sense of self หรือการพัฒนาด้านตัวตน หมายถึง การที่มนุษย์รู้สึกมีตัวตน รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง ซึ่งความรู้สึกพวกนี้มันมีผลต่อการตัดสินใจ การใช้ชีวิต บุคคลแรกๆ ที่จะสร้างเรื่องนี้ได้คือ พ่อแม่ ผ่านการเลี้ยงดู

นอกจากการเลี้ยงดูแล้ว สิ่งที่มีอิทธิพลในการสร้างตัวตนก็คือสภาพแวดล้อม ครูหม่อมยกตัวอย่างการเลือกที่นั่งในห้องเรียน ทำไมคนเลือกที่จะนั่งหลังห้องมากกว่าหน้าห้อง? ทั้งที่จริงๆ แล้วการนั่งหน้าห้องจะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีกว่า ครูหม่อมอธิบายว่าเพราะเคยเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี ถูกทำให้เสียเซลฟ์ เช่น การถูกประจาน หรือเวลาที่ครูพูดว่าใครมีอะไรสงสัยถามได้ พอถามไปแล้วโดนครูตอบกลับว่าทำไมไม่ฟัง สุดท้ายไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าถาม ลงเอยที่ครูต้องเดินไปถามนักเรียน หรือเจออาการหลบสายตาและหนีไปนั่งหลังห้องเรียนแทน

ครูหม่อมอธิบายต่อว่า ถ้าเด็กคนไหนรู้สึกว่าเขาเสียเซลฟ์ในเรื่องอะไรก็ตาม จะส่งผลทำให้เขาไม่มีพัฒนาการหรือการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ พ่อแม่เป็นคนที่สามารถช่วยสร้างตัวตนหรือ self ของลูกขึ้นมาได้ ทำให้ลูกสามารถเดินไปในสังคมอย่างมีตัวตนได้ ซึ่งการจะพัฒนาตัวตนลูกก็ขึ้นอยู่ที่ EF (Executive Functions การทำงานของสมองส่วนเหตุผลและการกำกับตัวเอง) ของพ่อแม่ ใช่แล้ว… EF ของพ่อแม่ ไม่ใช่ของลูก

พ่อแม่บางคนอาจเคยถูกเลี้ยงดูด้วยวิธีที่ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น การใช้อำนาจ การไม่ฟังเสียงลูก เป็นต้น หากไม่ได้รับการแก้ไขก็จะนำไปเลี้ยงลูกตัวเองต่อ ส่งต่อประสบการณ์ที่ไม่ดีไปให้กับลูก ทำให้เซลฟ์ หรือตัวตนของลูกไม่มั่นคง ครูหม่อมแนะนำว่า ต้องเริ่มจากการแก้ประสบการณ์การเลี้ยงดูแบบเดิมของพ่อแม่ เรียนรู้วิธีการเลี้ยงดูใหม่ ในแบบที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับลูก  

ขั้นตอนการพัฒนาตัวตนของลูก ผ่าน EF ของพ่อแม่

ก่อนที่พ่อแม่จะสร้างประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพให้กับลูก อยากให้พ่อแม่ลองกลับมาสำรวจประสบการณ์เดิมของตัวเองเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน? มีอะไรที่เราชอบไม่ชอบบ้าง ถ้ามีประสบการณ์ที่เราไม่ชอบ รู้สึกไม่ดี สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ ลบมันออกไป เรียนรู้วิธีการเลี้ยงใหม่ เป็นการสร้าง EF ของพ่อแม่ ถามตัวเองทุกครั้งที่สอนลูกว่าเรากำลังเสริมทักษะหรือซ้ำเติมลูก? คำพูดหรือการกระทำสามารถทำให้ลูกรู้สึกมีตัวตนหรือลดทอนความมั่นใจตัวเขาได้  

ขั้นตอนการพัฒนาตัวตน ครูหม่อมอธิบายว่า มีอยู่ 4 ขั้นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ในช่วงทารก สมองของเขาจะทำงานแบบอัตโนมัติ การแสดงอารมณ์จะไม่สลับซับซ้อนมาก หิว เสียใจ หรือดีใจ ลูกจะแสดงออกผ่านการร้องไห้ ช่วงเวลานี้พ่อแม่สร้างตัวตนให้เขาได้โดยให้ลูก ‘รับรู้ว่ามีอยู่จริง’ หมายความว่า ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเขามีตัวตนอยู่จริง แม้จะไม่ได้อยู่ในสายตา

ยกตัวอย่างเวลาที่ลูกร้องไห้เพราะหิวนม ถ้าแม่เดินมาหาลูก อุ้มเขาขึ้นมา ป้อนนมให้เขากิน เขาเกิดความสุข ลูกจะรับรู้ว่ามีเขามีแม่เพราะแม่อยู่ในสายตาเขา ซึ่งขั้นตอนแบบนี้พ่อแม่ทำซ้ำทำวนไปจนลูกอายุ 8 เดือน พอถึงจุดนั้นเวลาที่ลูกร้องไห้พ่อแม่แค่ส่งเสียงมาเขาจะหยุดร้องทันที เพราะเขารู้แล้วว่าพ่อแม่กำลังมาทำให้เขามีความสุข ลูกสามารถดึงข้อมูลจากสมองส่วน EF มาใช้ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ อาการแบบนี้ทางจิตวิทยาเรียกว่า ความมั่นคงทางจิตใจ หรือ trust

จาก 8 เดือนไปจนถึง 2 ขวบ ลูกจะเข้าสู่ขั้นตอน การพัฒนาความสัมพันธ์ หรือ object relations พอมีพ่อแม่แล้วลูกจะเกิดความรู้สึกคิดถึงกัน สมองจะเกิดการทำงานที่ดีถ้าพ่อแม่ใส่ประสบการณ์ที่ดีกับลูก เช่น พอเด็กร้องไห้พ่อแม่ก็เดินมาหา ถ้าเจ็บปวดพ่อแม่ก็มาหา เป็นต้น ระหว่างนี้พัฒนาการทั้ง 4 ด้าน (ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคม) จะเริ่มขึ้นแล้ว

“ยกตัวอย่างสามครอบครัว ครอบครัวที่หนึ่ง เวลาที่ลูกเดินแล้วล้ม พ่อแม่จะเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะเอาใหม่ๆ การแสดงออกของพ่อแม่ทำให้การตัดสินใจของลูกที่จะก้าวข้ามอุปสรรค์มีสูงเพราะมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ครอบครัวที่สอง ลูกล้มแล้วไม่มีใครมาช่วย การตัดสินใจก้าวเดินอีกทีลูกจะคิดเยอะ ครอบครัวที่สาม ทุกครั้งที่ลูกล้มจะถูกดุตลอด การที่ลูกจะตัดสินใจเดินหรือให้ความร่วมมือจะไม่มี” ครูหม่อมยกตัวอย่าง พร้อมกับให้พ่อแม่ลองถามตัวเองว่าเป็นแบบบ้านไหน

เมื่อลูกอายุ 3 ปีจะเข้าสู่ขั้นตัวตนถูกแยกออกมา เด็กจะเริ่มแยกตัวเองออกจากพ่อแม่และรับรู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ (เซลฟ์ใครเซลฟ์มัน) พอถึงอายุ 5 ปี จะเข้าสู่ self-concept เริ่มมองว่าตัวเองเป็นใครแบบไหน เช่น เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นลูกใคร พร้อมกับพัฒนา self-esteem ฉันทำอะไรได้บ้าง ตัวเองมีคุณค่ากับใคร ช่วงนี้พ่อแม่สามารถทำให้ลูกรู้ว่าตัวเขาเป็นที่รักของพ่อแม่ การโดนดุหรือไม่ฟังสิ่งที่ลูกพูดจะทำให้ลูกไม่มั่นใจในตัวเอง เด็กจะเกิดอาการเสียเซลฟ์

สิ่งสำคัญที่สุด คือ ปฏิกิริยาตอบกลับของพ่อแม่ที่แสดงให้เห็นว่าฟังสิ่งที่ลูกพูด เช่น ลูกบอกกินข้าวอิ่มแล้ว ถ้าพ่อแม่ตอบกลับด้วยการให้ลูกกินข้าวต่อ ‘อีกสองคำ’ ตัวตนของลูกไม่ได้ถูกให้เกียรติ เขาไม่ได้มีตัวตน

“ถ้าลูกบอกว่าอิ่ม แต่จริงๆ เขารีบไปเล่น ต้องถามพ่อแม่ก่อนว่าเราอยากสอนลูกเรื่องอะไร สิ่งที่เราจะพูดออกไปกำลังจะเสริมทักษะอะไรให้ลูก เช่น เรากำลังสื่อสารกับลูกว่าการกินนั้นจะกินเป็นมื้อ ให้ลูกตัดสินใจให้ดีๆ ถ้าลูกเลือกเล่น พ่อแม่อาจจะตอบว่า “มื้อนี้จบแล้วนะ มื้อต่อไปอีกสี่ชั่วโมง” ถ้าเขายืนยันจะเล่นก็ต้องปล่อยไป ถ้าลูกเล่นเสร็จแล้วบอกหิว พ่อแม่ก็ตอบว่าให้อดทน ซึ่งอยู่ที่น้ำเสียง ท่าทาง และสายตา ให้รู้ว่าพ่อแม่กำลังเสริมทักษะไม่ใช่ซ้ำเติมลูก ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน มีจุดยืดหยุ่นได้ บอกลูกว่า “รู้ว่าหิว กินน้ำไปก่อน มื้อหน้าค่อยกิน”

“หรือถ้าจะสอนให้ลูกกินข้าวให้หมด พ่อแม่ลองเปิดโอกาสให้ลูกเป็นคนตักข้าวเอง ให้เขาประเมินตัวเอง บอกลูกก่อนตักว่าให้ถามตัวเองว่าหิวไม่หิว ตักกี่ทัพพีดี ถ้าลูกตักเยอะไปกินไม่หมด พ่อแม่ก็บอกลูกว่าวันนี้เยอะไปพรุ่งนี้ลองตักใหม่ คุณค่าอยู่ที่ให้ลูกได้รู้จักตัวเอง ลองผิดลองถูก” ครูหม่อมกล่าว

ลูกอ้อนเมื่อไหร่แปลว่าเขากำลังเสียเซลฟ์: ขอให้พ่อแม่เติมเซลฟ์ให้กับเขา

“แม่ตักข้าวให้หน่อย พ่ออุ้มหนูหน่อย”

การที่ลูกอ้อนหรือมาขอให้พ่อแม่ทำอะไรให้ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองทำได้ ครูหม่อมบอกว่าเป็นสัญญาณแสดงว่าลูกกำลังเสียเซลฟ์ เขาต้องการให้พ่อแม่ช่วย พ่อแม่อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าลูกขี้เกียจหรือเรียกร้องความสนใจ เพราะการที่มีคนทำอะไรให้ตามที่ลูกร้องขอ ตัวตนของเขาจะมา เช่น บอกให้พ่ออุ้มแล้วพ่อก็อุ้ม ตัวตนของลูกจะกลับมาและเขาจะมั่นใจในตัวเอง

“หรือเวลาที่ลูกแสดงอารมณ์สุดโต่ง เช่น น่าเกลียดที่สุด แย่ที่สุด เขาต้องการอะไร? เขาต้องการให้พ่อแม่ช่วยเพราะเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ การที่พ่อแม่รู้จักพัฒนาการเด็กเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ สิ่งที่เราจะสอนลูกคือทักษะ คำพูดที่พ่อแม่พูดออกไปกำลังสอนทักษะเขาหรือซ้ำเติมอารมณ์เขา?” ครูหม่อมกล่าว

คำถามต่อมาคือ แล้วพ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเสียเซลฟ์? ครูหม่อมยกตัวอย่าง 3 ข้อที่พ่อแม่ทำเมื่อไหร่จะทำให้ลูกเกิดอาการเสียเซลฟ์ทันที

  • พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้า
  • ไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันหรือต่างคนต่างอยู่
  • ช่วงนั้นเราเข้มงวดอะไรบางอย่างกับลูก

อีกเทคนิคหนึ่งที่ครูหม่อมแนะนำให้กับพ่อแม่ คือ เมื่อไหร่ปลอบเมื่อไหร่สอน แม้ว่าทุกการกระทำของพ่อแม่ กำลังเสริมทักษะบางอย่างให้กับลูก แต่ก็ต้องพิจารณาว่าตอนไหนที่ควรเติมหรือตอนไหนที่ควรปลอบ ครูหม่อมแนะนำว่าต้องดูที่อารมณ์ลูกเป็นหลัก สมมุติถ้าเขากำลังโกรธกระทืบเท้า พ่อแม่พูดอะไรไปเขาก็จะไม่ฟัง เพราะกำลังมีแต่อารมณ์ สิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือ พูดถึงสิ่งที่ลูกกำลังทำ ‘รู้ว่าโกรธเลยกระทืบเท้า’ เท่านี้พอ ไม่ต้องทำอะไรต่อ รอให้ลูกอารมณ์เย็นลง แล้วถึงจะพูดกับเขาใหม่ค่อยเสริมทักษะตอนนั้น

“กุญแจสำคัญของการเป็นพ่อแม่ คือ ทำใจยอมรับในพัฒนาการของลูก ลูกเกิดมาแล้วหน้าที่พ่อแม่ดำเนินต่อไป เวลาพ่อแม่อยากได้อะไรจะผิดหวังทันที เช่น เคยคิดไหมเมื่อไหร่ลูกจะเดินได้สักที อยากให้ลูกกลับไปเป็นเด็กทารก มันทำให้พ่อแม่ท้อ” ครูหม่อมกล่าว

เมื่ออ่านจนถึงตรงนี้พ่อแม่หลายๆ คนคงเกิดความรู้สึก ทำไมยากจัง? ฉันจะทำได้ไหมนะ? อยากบอกไว้ตรงนี้ว่าพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกอย่าง พวกเรามีสิทธิที่จะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูกของเราเอง การเลี้ยงดูต้องอาศัยเทคนิค ‘ทำซ้ำวนไป’ ทำวนไปจนลูกเกิดความชินและเขาจะเรียนรู้ แม้ว่าพ่อแม่อาจจะเคยผ่านวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่ดี แต่เราก็สามารถสร้างใหม่ได้เพื่อลูกของเราเอง

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยวินัยเชิงบวกEFดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

บ้านเรียนทางช้างเผือก: ทำให้ทุกวิชามีความรู้สึก บ้านหรือโรงเรียน ที่ไหนก็เรียนรู้
อ่านความรู้จากบ้านอื่นCreative learning
22 January 2020

บ้านเรียนทางช้างเผือก: ทำให้ทุกวิชามีความรู้สึก บ้านหรือโรงเรียน ที่ไหนก็เรียนรู้

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ปีที่ 4 ของบ้านเรียนทางช้างเผือก ยังสุขภาพแข็งแรงและเติบโตไปพร้อมๆ กับ ‘ช้างน้อย’ พี่ชายวัย 11 และ ‘ลิปตา’ น้องสาววัย 8 ขวบ ของพ่อโอ๊ค-คฑา กับ แม่โรส-วริสรา มหากายี ที่ย้ายมาอยู่ที่เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อทำโฮมสคูล
  • หลักสูตรปีแรกกับปีนี้เปลี่ยนไปมากมาย ยืดหยุ่นและเติบโตตาม(ใจ)ผู้เรียน แต่สิ่งที่ยังคงไว้คือ “การเรียนรู้ที่ต้องมีความรู้สึก” ตามที่พ่อแม่ออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น
  • ยิงธนู อบขนมปัง เลี้ยงไก่ ปลูกผัก เก็บหินสี เดินจักรวาล คือตัวอย่างวิชาล่าสุดของบ้านเรียนทางช้างเผือกที่เหมือนจะไม่เรียนแต่มีความรู้ซ่อนแทรกอยู่แทบทุกบรรทัด
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

วันนี้ บ้านเรียนทางช้างเผือก ของ คุณพ่อโอ๊ค คฑา กับ คุณแม่โรส-วริสรา มหากายี ที่ทำให้ลูกชาย ‘ช้างน้อย’ และ ลูกสาว ‘ลิปตา’ เดินทางมาถึงปีที่ 4 แล้ว

ปีแรกๆ พ่อโอ๊ค ให้คำจำกัดความไว้ว่า “เฟี้ยวฟ้าวมาก” เพราะออกแบบกันเองแบบคนร้อนวิชา ใส่วิชาอะไรลงไป แค่ไหนบ้าง แม่โรสอธิบายถึงหลักสูตรที่อัดแน่นด้วยประโยคนี้

“กลัวลูกโง่ (หัวเราะ)” 

เสียงหัวเราะไล่หลังเมื่อย้อนถึงสิ่งที่ทำลงไป ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำไปผิดหรือถูก เพราะระหว่างทางสี่คนพ่อแม่ลูกประเมินร่วมกันตลอดว่าโอเคไหม โดยใช้หลักเกณฑ์สำคัญคือความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกนี้เองคือแกนกลางที่จะกำหนดหลักสูตรว่าบ้านเรียนทางช้างเผือกควรมีวิชาอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งวิชาพ่อ วิชาแม่ และวิชาของลูก

ยิงธนู อันนี้ของพ่อ, ขนมปัง มาสเตอร์คือแม่ ส่วนดูนก ไอซ์สเก็ต คือของลูก ทั้งหมดนี้พ่อ แม่ ลูก สลับกันเป็นครู/นักเรียน และสิ่งที่ทั้งสี่คนได้คือสิ่งนี้ 

“เราไม่จำเป็นต้องลากใครไปตรงไหนแล้วไง ก่อนหน้านี้เราพยายามที่จะลากๆๆ ก็เหนื่อย ไม่ต้องลาก ทุกคนมีภูเขาของตัวเอง เราก็แค่แชร์กันตรงกลาง เท่านั้นเอง” 

ทำไมการเรียนรู้ต้องมีความรู้สึก

มนุษย์เต็มไปด้วยความรู้สึกทุกโมเมนต์ ความรู้สึกอะไรไม่ว่ากันนะ จะหนาวจะร้อน อึดอัด ทุกครั้งที่มีความรู้สึกจะตามมาด้วยความคิด

ถ้าเราเอาความรู้สึกออกจากการเรียนรู้เอย การศึกษา หรือหลักสูตรต่างๆ มันไม่ใช่การศึกษาของมนุษย์แล้ว แต่เป็นการศึกษาเพื่อสร้างอะไรบางอย่าง การศึกษาแบบไม่มีความรู้สึกมันสร้างได้นะ แต่มันไม่สร้างมนุษย์หรอก สร้างอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่รู้นะ

เราก็ต้องมาทบทวนอีกว่า แล้วความรู้สึกแบบไหนที่เอื้อต่อการเติบโตของเขา มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกบวกอย่างเดียว ความรู้สึกลบมันก็เอื้อ เราจะมองมันอย่างไร เราจะให้ความหมายต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นในกระบวนการอย่างไร ที่สำคัญเราจะใช้ประโยชน์เพื่อการเติบโตของเขายังไง ความรู้สึกล้มเหลวเนี่ยดีมาก มันเป็นครูใหญ่ 

เราไม่อยากพูดเรื่องเก่า แต่ปัญหาของการศึกษาคือ เราพยายามไม่ให้รู้สึกแล้วก็บอกให้คิด มันข้ามขั้นตอน ธรรมชาติของมนุษย์ รู้สึกก่อนแล้วค่อยคิด เขาเค้นหรือฝึกให้คิดได้ แต่สุดท้ายพอหมดโจทย์ให้คิด เขาก็ลืมเพราะมันไม่ใช่ส่วนสำคัญของชีวิตเลย 

เช่น ตอนเรียน สอบผ่านมาแล้ว แต่ท่องจำนะ มาถึงวันนี้เราลืมหมดแล้วว่ามันเรื่องอะไร เอ๊ะ นี่มันการศึกษาเหรอ หรือมันทำให้เราเอาตัวรอดในโจทย์ของการสอบเท่านั้นเอง เราน่าจะทำการศึกษาให้มันศักดิ์สิทธิ์กว่านั้นไหม เหมือนพ่อแม่ลงทุนในสิ่งที่ฉาบฉวย มันก็งงๆ เฮ้ย ทำไมเราทำอย่างนั้นล่ะ 

หลักสูตรช่วงแรกของบ้านเรียนทางช้างเผือกเป็นอย่างไร

เฟี้ยวฟ้าว (หัวเราะ) มาจากพ่อแม่ล้วนๆ ถึงแม้จะมาจากการสังเกตเขาก็เถอะ แต่พ่อแม่ต้องออกแบบให้ก่อน ว่าอะไรจำเป็น ควรเป็นทักษะอะไร 

เราเขียนหลักสูตรไว้ 3 เรื่อง 3 เส้า 

1. Health รู้จักตัวเอง หัวข้อย่อยๆ เช่น 

  • สุขภาพ แบ่งเป็นใจ กาย และพลังชีวิต
  • self awareness รู้จักตัวเอง ทำอะไรได้ ไม่ได้ อะไรคล่อง อะไรไม่ หรือเรื่องโภชนาการ ดูแลตัวเอง กินอย่างไร
  • รู้จักใจ อิงตามท่านพรหรมคุณาภรณ์เขียนไว้ว่า การรู้จักจิต มี 3 หมวด

หนึ่ง คุณภาพจิต – จิตที่คิดเป็นคุณ จิตที่มีภาพของคุณประโยชน์ คิดสร้างประโยชน์ทั้งตนและคนอื่น โลก มันคือพื้นฐานของการคิด 

สอง สมรรถภาพจิต – อดทน ไม่ย่อท้อ ไม่ง่วงหงาวหาวนอน ไม่ยอมแพ้ 

สาม สุขภาพจิต – แจ่มใส เบิกบาน ร่าเริง ไม่ห่อเหี่ยว 

สามข้อนี้ ท่านบอกว่าทำแค่สองเรื่อง คือ สมรรถนะของจิตและคุณภาพจิต ส่วนสุขภาพจิตจะตามมาเอง

2. Life Skill ทักษะชีวิต – สื่อสารกับตนเอง รู้จักคุยกับตัวเอง ประเมินตัวเอง 

แบ่งเป็นสามหมวด คือ  self, social, routine

การเรียนภาษาอยู่ในหมวดนี้ (ทั้ง self และ social)

self เพราะการสื่อสารกับตัวเอง ภาษาเป็นสิ่งสำคัญ การอธิบายสิ่งที่ได้คิดหรือเจอมา 

สือสารกับตัวเอง แล้วค่อยสื่อสารกับคนอื่น คือ social ขณะเดียวกัน การเข้าใจตนเองก็พาไปเข้าใจคนอื่น เราไม่ชอบแบบนั้น เขาก็น่าจะรู้สึกแบบนั้น 

ทักษะทางสังคมอีกเรื่องหนึ่งคือความรับผิดชอบ เริ่มต้นจากความรับผิดชอบในหน้าที่ที่เขามี คือ routine งานบ้าน เลี้ยงไก่ ล้างจาน  ถึงจะนำไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม

3. Nature เป็นเรื่องโลกทั้งหมด คือวิชาวิทยาการทั้งหลายแต่เราไม่ได้แยกเป็นเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ เพราะเป็นการเรียนรู้กระบวนการของโลก มีทุกเรื่อง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็เชื่อมโยงกับโลก 

เช่น พาไปเก็บหินในลำธารแล้วมาดูกันว่ามีสีอะไร ฝึกทักษะของการสังเกต เราให้เก็บหินที่สีต่างกัน ดูว่าลำน้ำนี้มีหินสีอะไรบ้าง เราก็ได้หลายๆ เฉดสี 

พอสังเกตเสร็จ ตามมาด้วยการ grouping for order เมื่อเรามีเรื่องเดียวกันอยู่เยอะๆ เราจะเห็น order หรือ รูปแบบบางอย่างเบื้องหลัง เช่น จากสีหินที่เก็บมา เราพบว่าประเทศไทยสีโทนร้อนเยอะมากเลย แล้วสีพวกนี้มันมาจากไหน เป็นเรื่องของการสังเกตและกิจกรรมที่อยู่ในลำน้ำ และการไปค้นหาว่าสีพวกนี้มันมาจากอะไร 

อันนี้เป็นวิชาธรณี เราค้นพบว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ให้สีสนิม แดง เหลือง ส้ม และสีอื่นๆ อย่าง เขียว เทา เกิดขึ้นมาเพราะว่าส่วนที่ oxidation กับอากาศ มันต่างกัน ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน เราเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก 

หลังจากที่ดูทางกายภาพ ก็ค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องก็พบว่า ธาตุมีมากมายหลายร้อยชนิด มีคุณประโยชน์แตกต่างกันไป จนเขามาสนใจที่ธาตุหนึ่งที่มีรูประเบิดขนาดใหญ่ในหนังสือ เด็กๆ ถามว่านั่นคืออะไร เราเลยเล่าเรื่องยูเรเนียม พลูโตเนียมและระเบิดนิวเคลียร์ ยาวไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ฟัง นิทานสุสานหิ่งห้อย และบูชิโดสปิริตของนักบินเครื่องบินซีโร่ที่เติมน้ำมันเที่ยวเดียวขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินของญี่ปุ่น บินไปเพิร์ลฮาร์เบอร์ ก็เป็นเรื่องสุดท้ายที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่การเก็บหินตะกอนสีตามลำธาร

แต่ละวิชา ตั้งเป้าหมายไว้ไหมคะ และตั้งแบบไหน

เป้าเป็นไกด์ไลน์ มันเปลี่ยนได้เสมอ แต่ถ้าเรามีเป้าแข็งๆ เราจะเหนื่อยมากเลย

ซึ่งเมื่อก่อนผมเคยทำตอนทำค่าย เพราะทุกคนต้องไปที่เดียวกัน ต้องขึ้นไปที่ภูเขาลูกเดียวกัน 

ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้อยากไปภูเขาก็ได้?

ถ้าเป็นกิจกรรมที่เรามีเป้าประสงค์ชัดเจน ก็อาจจะทำได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อการศึกษาของเขา มันคนละเรื่องกัน บางทีเราอาจจะงงๆ หรือนัวๆ กันไปว่า กระบวนการคิดกิจกรรมมีเป้าประสงค์เพื่อรู้จักสิ่งนี้ แล้วพอเราทำ เราว่าไม่ใช่ จากที่เราเทสต์กับลูกเรา ก็ค้นพบว่า เขาเห็นไม่เหมือนเรา

ผมเคยพาเด็ก 20 คนไปดูที่ท้องฟ้าจำลอง กลับมาผมเทสต์กระบวนการนี้แบบไม่มีเป้า โดยให้เขาเขียนโพสต์อิทว่าเห็นอะไรจากการไปท้องฟ้าจำลอง แต่เราไม่ถามนะว่า รู้จักระบบสุริยะไหม ถ้าเราถามนำเขาขนาดนั้นเขาก็จะตอบแบบนั้นแหละ ตอบได้หมด เพราะข้อมูลวางอยู่ตรงนั้น แต่พอเปลี่ยนมาถามว่าเขาเห็นอะไร เขาเห็นเป็นเรื่องอื่นเลย 

เด็ก 20 คนเขียนโพสต์อิทไปแปะหน้ากระดานเกือบร้อยอัน เราเอามาแยกว่าเป็นหมวดอะไร ปรากฏว่าตรงกับที่เราวางแผนไว้น้อยมาก เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันเป็นแบบนี้ไง ถ้าเขามีอิสระและไม่ได้ถูกครอบ เขาก็จะบอก แล้วมันเห็นตัวตนเขา เด็กบางคนไปดูท้องฟ้าจำลองกลับมาพูดแต่เรื่องดารา เขาไปเชื่อมโยงกันเอง คำว่าดาราศาสตร์ คือ ดารา-ศาสตร์ (หัวเราะ) อันนี้ถ้าเราเป็นครูวิทยาศาสตร์ เราจะไปยาก ถ้าเราไม่เปิดพอ แต่จริงๆ แล้วมันสามารถใช้โอกาสที่เขาสนใจมาโยงว่า ทำไมเขาถึงเรียกนักแสดงว่าเป็นดารา มันมีเรื่องราวน่าสนใจ แล้วเขาไปต่อเองได้ด้วยนะ นี่เป็นวิถีของเขา 

แล้วห้องเรียนที่มีความหลากหลายขนาดนั้น ผมว่ามันทำให้ผู้เรียนไม่เป็นหัวสี่เหลี่ยม การไปดูดาราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องไปเรียนวิทยาศาสตร์นะ เขากลับมาแล้วพูดถึงหนังสือเล่มนึง แล้วเขาก็ยกบทนั้นขึ้นมาเชื่อมกัน ซึ่งผมรู้สึกว่าห้องเรียนที่เป็นวงกลมแบบนั้นดูมีความหวังมากเลย เหมือนมันเห็นเมล็ดอะไรซักอย่าง 

สุดท้ายเราก็มาสรุปว่า ห้องเรียนมันควรเรียกว่า เบสแคมป์ (Base Camp) เหมือนกับรอบๆ นี้มีภูเขาหลายลูก เราไม่รู้ว่าใครจะเลือกขึ้นลูกไหน แต่เบสแคมป์เป็นที่แชร์ แชร์อุปกรณ์ประสบการณ์ แชร์เรื่องราว ปลอบใจ ให้กำลังใจ อะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องเลือกภูเขาของตัวเอง ต้องพยายามด้วยตัวเอง คุณอยู่คนเดียวตอนที่พยายามปีนขึ้น แต่เมื่อเขาเหนื่อย หรือหมดอะไรสักอย่าง ก็ลงมาตรงนี้ เบสแคมป์นี้จะเป็นที่ให้เขาเล่าให้ฟังว่าผ่านอะไรมา ฉันอาจจะไปขึ้นภูเขาอีกลูกนึงซึ่งไม่เหมือนตรงนี้ แต่ประสบการณ์ของคนมัน inspire บางอย่าง มันทำให้เกิดอะไรบางอย่างกับคนอื่นด้วย และอันนี้ทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตในหนทางของเขา 

ระหว่างทางมีการประเมินบ่อยแค่ไหน เช่น ถามตัวเองว่าเรายังโอเคที่จะไปต่อหรือเปล่า

เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราจะเห็นคนโน้นคนนี้ทำแบบนั้น บ้านนั้นทำแบบนี้ เราก็โอนเอนโงนเงนเป็นปกติ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลยแสดงว่าคุณแข็งไป นั่นเท่ากับว่าคุณจะไม่ปรับเปลี่ยนอะไรกับสิ่งที่คิดมาแล้ว การอหังการว่าเราเก่งแล้วมันอันตรายมาก

ไอ้การรู้สึกโอนเอนแบบนั้นมันโอเค มันช่วยทำให้เราต้องทำอะไรบางอย่างให้ชัดขึ้น เหมือนลูกธนูที่ออกไปนอกเป้า มันสอนเรา แต่ถ้าเรายิงเข้าเป้าตลอด มันก็จะมีแต่เสียงเฮตลอด อันตรายมาก ลูกเราไม่ใช่เป้า ลูกเราไม่ใช่ลูกธนู

ตอนเกิดความรู้สึกโงนเงน ก็สับสนอยู่พักใหญ่ว่าจะยังไงดี ตั้งคำถามกับสิ่งที่ทำ เอามาค้นมาดูว่ามันใช่ไหม ที่ตั้งเป้าไว้มันใช่ไหม ระหว่างทางที่ทำไปมันใช่อยู่ไหม จากการ observe ก็ค้นพบว่าเมื่อกลับมาดูที่ลูกว่าเขามีพัฒนาการยังไงบ้าง ผมว่าอันนี้แหละจำเป็น เป็นตัวที่ทำให้เราเห็นว่า เออ เริ่มเห็นละ ค่อยๆ งอกขึ้นมา ไม่ใช่ปลูกปุ๊บเก็บเกี่ยวทันที 

นี่แหละที่เป็นตัวที่ทำให้เรากลับมายืนแล้วไปต่อได้

โอเค อาจจะไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์แบบที่เราฝันหรอก แต่มันมีจุดเล็กๆ เมล็ดพันธุ์เล็กๆ บางอย่างที่เราเห็น แล้วมีข้อหนึ่งที่เราต้องพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่า เขาอยู่ในระหว่างการฝึก เขายังเป็นคนที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่พัฒนาเสร็จแล้ว เวลาประเมินเขาก็ควรจะหาเกณฑ์ประเมินที่เหมาะกับเขาด้วย ไม่ใช่เอาเกณฑ์ประเมินที่ฉันเตรียมมาประเมินเขา อันนี้เป็นหลุมพรางที่พ่อแม่ต้องระวัง เกรดเอย ดูคนนั้นซิ ดูมาตรฐานซิ อันนั้นมันเป็นเกณฑ์มาจากไหนไม่รู้ 

สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้คือ เรามักจะไปเชื่อหลักสูตร แนวทาง ไกด์ไลน์ต่างๆ แต่เราไม่เคยเชื่อในเด็กเลย ถามว่าทำไมเราไม่เชื่อในเขาเลย เรามาพิจารณาชีวิตดีๆ ไม่มีชีวิตไหนอยากโง่นะ ไม่มีชีวิตไหนอยากไม่มีความสามารถ พิจารณาเขาแล้วเราค้นพบว่า เขาก็อยากจะเติบโตเหมือนกัน ไม่ว่าจะมีกระบวนการหรือไม่มีก็ตาม 

การบอกตัวเองให้เชื่อในตัวเขา มันมีวิธีไหมคะ

กระบวนการที่เราจะเชื่อในเขาได้นี่มันไม่ใช่ว่าถูกกล่อมเกลาด้วยแนวทางหรือความเข้าใจที่มันควรจะเป็น แต่ว่ารู้สึกกับมันเลย จากการสังเกต โดยที่ไม่มี bias ไว้ก่อน ผมไม่เคยเห็นเด็กคนไหนอยากจะขี้เกียจ ไม่อยากคิด หรือคิดด้านที่เป็นลบ มันไม่ใช่ค่าเซ็ตติ้งของชีวิตเลย ชีวิตมันอยากจะรู้ อยากทำ อยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งนั้นแหละ เราต้องดูปัจจัยลบต่างหากว่าอะไรที่ทำให้พวกนั้นถดถอยไป และไอ้ความรู้สึกเชื่อในเด็กนี่แหละที่เราจะเอามาถ่วงดุลกับความหวั่นไหว เมื่อเราไปเห็นอะไรข้างนอกแล้วโงนเงน 

ปัจจุบันในสังคมก็มีหลายบ้านที่อยากจะทำบ้านเรียน แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ถามว่าถ้าจะทำบ้านเรียนที่บ้านแค่เสาร์อาทิตย์จะได้ไหม

ผมเข้าใจว่ามันไม่ใช่ว่าจะต้องมีหลักสูตรที่เหมือนกัน สำคัญที่ว่าตอนนั้นพ่อแม่มีเวลากับเขาหรือเปล่า สมมุติเรียนในโรงเรียนแบบวิชาการจ๋า แต่เวลาเลิกเรียนทำอะไร สุดท้ายก็ไปเรียนพิเศษ อะไรก็ตามที่ทำมันเอื้อกับการเติบโตของเขาหรือเปล่า มันไม่ใช่แค่สำหรับเด็กทำบ้านเรียนเท่านั้น แต่ตอนอยู่ข้างนอก โมเมนต์ที่เราอยู่กับเขา คุณภาพคืออะไร เรียนในโรงเรียนไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่ว่าเวลาอยู่กับพ่อแม่ต่างหากมันจะเป็นเวลาที่จะปรับทิศทางของลูก ความสัมพันธ์ของลูกกับพ่อแม่ต้องดีด้วยนะ เพราะความรู้สึกเป็นพื้นฐานสำคัญ ความสัมพันธ์ที่ดีมันนำไปสู่การน้อมรับทั้งความคิดและการกระทำ มันแชร์กันในครอบครัวได้

อย่าคิดว่าเราจะโยนความรับผิดชอบให้กับโรงเรียน พอมาถึงบ้านก็เอาละ อยู่กันคนละมุม อันนี้ก็แน่นอน เขาก็คงรับเอาอะไรซักอย่างมาจากโรงเรียนแน่ ผมเห็นหลายบ้านที่ไม่ได้ทำบ้านเรียน แล้วมีเวลาให้กับลูกจริงๆ หลังเลิกเรียน ผมได้เห็นแววตาเด็ก การพูด การแสดงออก เรารู้สึกว่า โอเคเลย มันดี มันงอกงาม เติบโต น่ารักมาก มีความชัดเจน มีการตั้งคำถาม มีความกล้า ไม่หด 

ปัจจัยแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ผมว่ามันไม่ได้อยู่ที่ต้องทำบ้านเรียนเท่านั้น โรงเรียนใกล้บ้านก็สบายละ ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง แต่มาลงทุนกับการเรียนรู้ มีเวลาอยู่ด้วยกัน แล้วก็เรียนที่บ้าน ทำกิจกรรมด้วยกัน 

ถ้าพ่อแม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่อยู่ที่บ้านไปสู่การเรียนรู้ได้ ทุกงานที่มนุษย์ทำมันนำไปสู่การเรียนรู้นะ แต่บางทีเราให้ค่ามันแบบไม่ให้ค่า ไม่เอา ลูกไม่ต้องมาทำ ซึ่งการล้างจาน ยังเรียนรู้เต๋าได้เลย นี่ก็สุดยอดวิชาแล้วนะ เป็นการจัดการที่ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นระหว่างทาง คุณจะทำอะไรก็ทำ 

สำหรับบ้านเรียนทางช้างเผือก บทบาทของพ่อ แม่ ครู ต้องแยกกันไหม

แยกไม่ได้ (ตอบทันที)

แล้วมีความอ่อนไหวหรือจุดที่ควรระวังบ้างหรือเปล่า ในความเป็นพ่อ แม่ และครูของลูก

คือมันเหมือนกันเลย จริงๆ พ่อแม่เป็นครูโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราแค่มาสอนบางอย่างจริงๆ จังๆ คำถามอยู่ที่ว่าเขาเลือกเราเป็นครูหรือเปล่า

สิทธิในการเลือกครูเป็นของเขา ไม่ใช่เรา ถึงแม้จะอยู่โรงเรียนก็ตามแต่ แต่เขาอาจจะไม่ได้เลือกครูคนที่กำลังสอนอยู่ให้เป็นครูของเขาก็ได้ เพราะเราไปสั่งเขาไม่ได้ คุณอาจจะยัดครูคนนี้เข้ามาในห้องเรียนได้ แต่คุณไม่สามารถยัดเข้าไปข้างในเขาได้ เพราะสิทธิในการเลือกครูที่แท้เป็นของเขา

ในฐานะที่ทำบ้านเรียนก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับการเป็นครูของเขาด้วย อย่างที่เราเคยเป็นคือ เป็นครูที่มีเป้าหมายชัดเจน ทำกระบวนการ แต่ค้นพบว่ามันไม่โอเค วิธีการแบบนั้นทำให้เขาเบื่อ 

ยกตัวอย่าง ผมให้เขาเรียนสูตรคูณ เราก็เอ๊ะ จะให้เขามานั่งท่องสูตรคูณดีไหม เคยคุยกันเรื่องนี้บ้าง บวกลบเขาทำได้ละ เขาก็รู้แหละว่าคูณคืออะไร แต่ผมก็ไม่ได้ให้เขามานั่งท่องสูตรคูณ มีวันหนึ่ง เรามาตั้งคำถามว่า มันมีอะไรคูณกันแล้วได้ 24 บ้าง เขา (ช้างน้อย) ก็เอาไปเขียน เขียนเสร็จ ก็มาละ 3 ตัว (เช่น 2×12, 24×1, 4×6 ) ผมก็ถามว่า น่าจะมีอีกไหม เขาก็ดู ตอบว่าไม่รู้สิ ผมก็บอกน่าจะมีอีกนะ ลองหาดู เขาก็คิดเพิ่ม แล้วก็อ้อ รู้ละ มีเพิ่ม เขาเขียน 8×3 ต่อจากที่เขียน 4×6 พอเขียนได้เท่านั้น เขาก็มอง แล้วก็บอกว่า อ๋อ ป๊าดูสิ ข้างนี้มันลดลงครึ่งนึง อีกข้างมันเพิ่มขึ้นเท่านึง แล้วเขาก็เขียนใหม่ เริ่มจาก 24×1 แล้วก็ 12×2, 6×4 ลดข้างนึงลงทีละครึ่งแล้วเพิ่มอีกข้างขึ้นสองเท่า จะได้ 3×8, 1.5×16 และ 0.75×32

ถามว่า หนึ่งจุดห้า ใครจะไปท่อง ถ้าเราท่องสูตรคูณ เราจะไม่ไปถึงตรงนี้แน่ๆ เพราะแม่สูตรคูณมีแต่หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปด แต่อันนี้มันเข้าใจโครงสร้างได้โดยไม่ต้องท่องสูตรคูณ เราก็เออ พ่อก็ไม่เข้าใจวิธีนี้มาก่อนนะ แต่ตอนนั้นที่เขียน เพราะอยากให้เห็นความสัมพันธ์กันของตัวเลขแค่นี้เอง แต่เขาเห็นโดยไม่จำเป็นต้องท่องสูตรคูณ เราก็สะท้อนตัวเองว่า อ้อ ในกระบวนการเรียน สมมุติเราสอนเขา 100 เขาก็คงไปได้มากสุดที่ 100 แต่ถ้าเราต้องการ 101 ขึ้นไป เราต้องพิจารณาที่กระบวนการสอนของเรา ดูสิ เราจบแค่ 8×3, 6×4 เอง แต่สิ่งที่เขาพบมันคือวิธีการคิดไง เราก็เลยคิดว่ากระบวนการท่องสูตรคูณมันก็ดีนะ แต่มันก็ทำให้เราพร่องวิธีการคิดไปหรือเปล่า เรารีบเอาวิธีการสำเร็จรูปมาใช้เกินไปไหม 

สิ่งที่เราได้คือการตอบโจทย์การเรียนรู้คณิตศาสตร์ คือตรรกะ ไม่ใช่ท่องสูตรคูณ

เด็กทั่วไปอาจจะถามว่า เรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม หลายคนไม่เข้าใจว่าเรียนไปเพื่ออะไร เขาเลยไม่อยากเรียน

มันเป็นการเทรนนิ่ง คิดแบบตรรกะ จริงๆ การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เพื่อเป็นแม่ค้าหรืออะไร แต่เป็นการคิดแบบตรรกะในรูปแบบต่างๆ แล้วสุดท้าย ชีวิตเราก็ไม่ได้เอาตัวเลขไปใช้ แต่เอาตรรกะนั้นไปใช้ได้ในชีวิตด้วย เพราะนี่คือความเป็นสากลของความรู้ ไม่ใช่ว่าใช้เฉพาะขอบเขตที่เป็นคณิตศาสตร์นะ ความสัมพันธ์กับมนุษย์ การจัดการพื้นที่ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของตรรกะหมดแหละ 

พอโตขึ้น ลูกๆ อยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอยากรู้ในเรื่องที่เราไม่รู้ พ่อแม่ทำอย่างไร

แรกๆ เราจะทำกระบวนการปูพื้นฐาน คือสังเกต เพราะการสังเกตมันเป็นช่องทางการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของมนุษย์  ตอนนี้คุณภาพของการสังเกตของเรามีแค่ไหน

 สมมุติเราไปยืนอยู่ตรงทางเดินเข้าทุ่งนาตอนกลางคืน เราจะกล้าเดินไปหรือจะวิ่งเข้าไปหาเลย อันนี้อยู่ที่คุณภาพการมองของแต่ละคนเลยนะ ถ้าเรามองแล้วเห็นว่าเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เราก็ถอย เต็มไปด้วยผีสางเราก็วิ่งหนี แต่ถ้าเต็มไปด้วยสิ่งที่อยากรู้เขาก็วิ่งเข้าไป เวลาเดียวกันเด็กสามสี่คนแอคชั่นไม่เหมือนกัน รีแอคชั่นที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน แล้วรีแอคชั่นแบบไหนที่ทำให้เขาเติบโต อันนี้ก็เป็นสิ่งที่จะต้องมาทำในเรื่องการสังเกต มนุษย์มันต้องสังเกตมันต้องใช้เซนส์อยู่แล้ว แต่พอไม่ใช้เซนส์ที่มีคุณภาพ เซนส์ที่ไม่มีคุณภาพก็จะขึ้นมาแทนที่ นั่นคือเรื่องของอคติ น่ากลัว เช่น เปิดเข้าไปในห้องมืดๆ อะ มีผีแน่ แต่พอเปิดไฟปุ๊บ ไม่มีอะไรเลย

ความรู้สึกตอนแรกมาจากไหน ก็มาจากคุณภาพของการสังเกต เมื่อก่อนที่เราทำเรื่องเซนส์ ก็รู้สึกนะว่ามันจำเป็น แต่เรายังไม่เห็นลึกๆ ของมันเท่าปัจจุบัน จริงๆ เราทำเรื่องเซนส์มายี่สิบกว่าปี เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกเท่านั้น มันนำไปสู่การคิด กระบวนการที่เขาตระหนักหลายอย่าง มันเชื่อมไปสู่กระบวนการเรียนรู้ได้ เราถึงพูดตลอดว่า เฮ้ย การศึกษามันต้องทำเรื่องความรู้สึกด้วย 

เพราะเวลาเด็ก เป็นวัยรุ่น เขาเป็นวัยที่ใช้ความรู้สึกเยอะ เพลงเอย แอคชั่นต่างๆ เป็นเรื่องความรู้สึกหมดเลย แต่ผู้ใหญ่ก็…อย่าไปรู้สึกอะไร ให้เรียนเยอะๆ เพราะต้องสอบเข้ามหา’ลัย เหมือนกับเราไปทำงานแล้วมันขัดขวางความจริงก็ยากที่จะสำเร็จ ทำไมเราไม่มองมันดีๆ แล้วให้มันเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการการเรียนรู้นะ

ยกตัวอย่าง ตอนผมอยู่ ม.ปลาย เราเรียนเคมีไม่รู้เรื่องเลย มันมีแต่การทดลอง ต้องจำพันธะต่างๆ ทั้งที่ตอน ม.ปลาย เป็นช่วงที่เคมีทำงานกับร่างกายเรามากๆ เราไม่เคยหยิบเรื่องพวกนั้นมาพูดกับเด็ก ทำไมเราถึงมองเขา (คนที่ชอบ) แล้วหน้าแดง ทำไมเรามือสั่น ทำไมตัวเรามีกลิ่น มีขน มีความต้องการ ทุกอย่างเป็นเคมีหมดเลย แล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ touch ความรู้สึกผมมาก แต่เราไม่พูดเรื่องพวกนี้ มันตัดความรู้สึกออกไปจากกระบวนการเรียนรู้หมดเลย 

เราเรียนเคมีแบบไม่รู้เป็นโลกของใคร ทั้งที่เรื่องเคมีตัวเองกลับไม่พูดถึง ซึ่งมันควรพูดถึงเรื่องว่าทำไมเขาเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา มันมีกระบวนการเคมีในสมองยังไง มีพลังงานยังไง มันเป็นวิชาเคมีที่เป็นของเขา 

เรื่องที่เราไม่รู้แต่ลูกอยากรู้ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนไหม หรือรู้ไปพร้อมกับลูก

เตรียมการบางอย่าง ถ้าไปเรียนรู้อะไรบางอย่างแล้วมันเกิดความกระท่อนกระแท่นของการเรียนรู้ แทนที่จะเกิดประโยชน์มันอาจจะเกิดความเบื่อขึ้นมาได้ บางอย่างก็ไปพร้อมกัน บางอย่างไม่จำเป็นต้องเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือหรือสถานที่ ก็ลุยไปด้วยกันได้เลย อย่างทุกวันนี้ลูกเล่นเกมจับไดโนเสาร์ มีคนถามว่าทำไมให้ลูกเล่นเกม ก็ มันสนุกอะ เราก็มาดูว่าเล่นเกมนี้มันเทิร์นไปเป็นกระบวนการเติบโตของเขาได้ไหม 

การให้เล่นเป็นเรื่องท้าทายของเรามากกว่าไม่ให้เล่น ไม่ให้เล่นนี่ง่ายมาก ทีนี้ให้เล่นแล้วไง ให้เล่นแล้วทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ได้ อะ เล่นเกม มาดูกันว่าไดโนเสาร์ที่คุณไปจับมาเนี่ย ชื่ออะไรบ้าง แรกๆ ผมก็นำทางไป ไดโนเสาร์ชื่ออะไร เขียนแบบนี้ใช่ไหม แล้วมาดูกันว่าเขาพูดว่าอะไร ให้เขาทำสมุดบันทึก เล่นเกมเสร็จไปดูเลยว่าสามตัวที่หาได้วันนี้ ชีวิตมันเป็นยังไง ชื่อมาจากไหน นี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ได้จากการเล่นเกม 

แล้วอะไรบ้างที่เราจะต้องเตรียมการมาก่อน

เช่น บอกว่าเดี๋ยวจะมาปั้นไดโนเสาร์กัน ผมก็ต้องไปดูก่อนละว่าปั้นยังไง อ๋อ มันมีเครื่องมือ ก็ไม่ใช่ว่าปั้นเลย สุดท้ายก็กลับมาทำด้วยกัน ส่วนมากเป็นเรื่องพื้นที่และอุปกรณ์มากกว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องความเข้าใจก็เรียนพร้อมเขาได้เลย พ่อแม่ไม่ต้องเป็นคนเก่ง แต่ต้องเก่งกว่าลูกนิดหนึ่งว่าพวกนั้นจะมาจากไหน ลูกยังไม่รู้ว่าจะหาความรู้พวกนี้ได้จากไหน สมมุติเรารู้จักใครบางคนที่รู้เรื่องพวกนี้ที่เราไม่รู้ เราก็เออ ไปหาคนนี้ดีกว่า ซึ่งอันนี้เราอาจจะเริ่มต้นให้เขาก่อนได้ แล้วเขาจะรู้แพทเทิร์นในการหาความรู้ด้วยตัวเอง หนึ่งหาจากคน สองหาจากคอมฯ สามศึกษาด้วยตัวเอง ซึ่งเครื่องมือพวกนี้เราแนะนำให้เขาได้ เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเขาจะได้ควบคุมกระบวนการเหล่านี้ด้วยตัวเอง

มีการเรียนรู้อันไหนไหมที่มาจากเขาเอง

มีๆ แต่ว่าจะเรียกว่าเตรียมการก็ได้นะ อย่างหนังสือพวกนี้เราก็เตรียมไว้ พอเขาสนใจเรื่องนกเขาก็ไปอ่านเอง หนังสือนกเมืองไทยอ่านจนหมดเล่มเลย ตอนที่ไปสอบที่สำนักงานเขตการศึกษา เราก็บอกให้เขา (ช้างน้อย) อ่านหนังสือที่เขาเรียน (เรื่องนก) เขาก็ยื่นหนังสือให้ศึกษานิเทศก์ บอกว่าเปิดหน้าไหนก็ได้ เขาอ่านได้ทุกหน้า 

เขาอ่านโดยที่เราไม่รู้ มันเป็นเรื่องที่เขาสนใจ ก่อนหน้าเรื่องนกก็เป็นเรื่องเต่าทอง อย่างเรื่องเต่าทองยังพอนำเขาได้เพราะเคยศึกษาเรื่องแมลงมาก่อน แต่ว่านกนี่ผมไม่เคยดู ไม่รู้เรื่องเลย ตอนนี้ก็มาดูพร้อมลูก ให้ลูกสอน อ่านหนังสือนก มีไลน์กลุ่มนกด้วย ผมงง ไปหากันได้ยังไง 

การเป็นบ้านเรียน พ่อแม่เป็นครูด้วย เวลาไปข้างนอกด้วยกัน เราต้องมองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้หรือเปล่า มีช่วงพักหรือเว้นบ้างไหม

ผมเข้าใจแบบนี้นะ เวลาเราออกไปไหน การเรียนหรือไม่เรียนมันเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย มันไม่ใช่ว่าอันนี้เรียน อันนี้รีแล็กซ์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันอาจจะไม่เข้ากับรูปแบบที่เราเติบโตกัน แต่มันเป็นเรื่องเดียวกัน 

ยกตัวอย่าง ขณะที่เราขับรถไปเวียงแหงเพื่อเก็บผลไม้กัน ถามว่ามันเรียนหรือรีแล็กซ์ ผมขึ้นไปเก็บลูกพลับ เก็บลูกพลับนี่ก็เหมือนไปเที่ยวนะ แต่กระบวนการที่เขาเก็บ กว่าจะได้ แบบไหนสุก กลิ่นแบบไหน มันเรียนไปโดยไม่รู้ตัว ถึงบอกว่ามนุษย์เรียนรู้ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เปิดห้องเรียน ไม่เรียนละ (หัวเราะ) 

เราเรียนรู้ตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตามา ถ้าเกิดเราปลูกฝังให้เขาเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดเวลาได้ ทุกที่มันก็เป็นที่เรียนรู้ได้ เรียนรู้และมีชีวิตมันแยกไม่ออกแล้ว 

มีวิชาอื่นๆ อีกไหม ที่เขาไปเรียนจากคนข้างนอก

วิชาที่เป็นภาษา อย่างภาษาจีน เพราะเริ่มต้นเขาเรียนวิชาภาษาจีนมาจากโรงเรียนเก่า เราว่าก็ดี มันก็มีพื้นฐานมาประมาณนึง ส่วนภาษาญี่ปุ่นมาจากการเดินทาง แล้วแม่ (คุณโรส) ก็พยายามที่จะเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 

ภาษาอังกฤษเพราะว่ามีคนมาที่บ้านเราเยอะ เด็กอินเตอร์ แรกๆ เขาคุยไม่รู้เรื่องเลย จนเขามาบอกว่าแม่ หนูอยากเรียนภาษาอังกฤษ เริ่มจากสอนกันที่บ้าน พูดกันเองก่อน สุดท้ายก็ไม่ค่อยเวิร์ค ตอนนั้นมีครูอาสาสมัครที่มะขามป้อม เป็นคนอังกฤษ ก็มาแบบกระท่อนกระแท่นนะ แต่ก็ inspire เขา ตอนนี้เขาเลยไม่กลัวคนฝรั่งเลย 

วิชาพวกนี้เป็นวิชาที่เราไม่ซีเรียส แต่เราให้เขาไปเรียนอย่างที่อยากเรียนก่อน ภาษามันคือเครื่องมือ คือทักษะอย่างหนึ่ง สุดท้ายเขาจะสนใจไปเรียนอะไร ให้เขามีเครื่องมือพอที่จะไปเข้าใจ

แล้วก็จะมีกีฬา ซึ่งเป็นเรื่องของการรู้จักร่างกาย รู้จักบาลานซ์ รู้จักอดทน แล้วก็ความพยายาม มุ่งมั่น  

ส่วนชนะ แพ้ เรียนรู้เรื่องของ empathy อันนี้มาทีหลัง การเรียนรู้ รู้จักโลก รู้จักคนอื่น รู้จักตัวเอง รู้หน้าที่ มีคุณภาพ อะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายก็นำไปสู่ empathy สามารถตระหนักถึงความรู้สึกของคนอื่นเข้าไปในหัวใจเขาได้ ถามว่าทำไมถึงมีเป้าหมายการศึกษาแบบนี้ เพราะว่าในกระแสหลักก็คงไม่ได้พูดถึงเรื่องแบบนี้มากเท่าไหร่ แล้วเราเห็นเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของโลกนี้ ไม่ใช่แค่การศึกษาหรือประเทศไทย 

เราไม่ได้รอดด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ ความซับซ้อนของอนาคตที่มันจะเกิดขึ้น เราคิดว่าเราไม่สามารถรอดด้วยตัวคนเดียว กลุ่มเดียว ประเทศเดียว มันจำเป็นจะต้องประสาน ไม่มีทางอื่นเลย เพราะว่าธรรมชาติจะสาหัสขึ้น และไม่ประนีประนอมไม่ว่าคุณจะทำบุญมาแค่ไหนก็ตาม

การที่ไม่สามารถจะร่วมกับคนอื่นได้จะเป็นอุปสรรคอันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเอง สังคม คือพอเขาโตขึ้นไป สังคมจะยากกว่ายุคของเรา ไม่ใช่แค่เรื่องของอุดมคติเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องทรัพยากรที่นำมาสู่การทะเลาะกันทางอุดมคติด้วย ถ้าเกิดมันไม่มีเรื่องของการเข้าใจคนอื่น ผมว่ามันจะตายไปหมด

สอน Empathy เด็กๆ อย่างไรคะ

empathy นี่เราพูดไม่ได้ด้วย หมายถึงว่าเราไม่สอนเขา แต่เราทำเป็นกระบวนการ เช่น เรื่องการพัฒนาทักษะการสังเกต คุณไม่มี empathy เพราะคุณไม่สังเกต ไม่เห็นเท่านั้นเอง ไม่เห็นลึกลงไปในอีกชีวิตหนึ่ง เห็นอะไรเดินมาตัวเล็กๆ ก็เหยียบ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่แต่รากเหง้าก็คือไม่เห็น หนึ่งไม่เห็นกายภาพ สองไม่เห็นคุณค่าในชีวิตของเขา ของสิ่งนั้น 

กระบวนการการเห็นจึงจำเป็น แล้วเราก็มีความเชื่อว่า เมื่อเห็นแล้วเขาจะเข้าใจว่าควรทำอะไร กระบวนการแบบนี้เราสอนเลยไม่ได้ แต่เราคิดวิธีให้เขาสังเกต ให้เขามอง มองแล้วเป็นไง มันเชื่อมโยง มันเห็นความงาม เห็นชีวิต แล้วเขาก็เกิด empathy 

อันนี้คือเซ็ตติ้งของมนุษย์นะ เมื่อเห็นความงามของชีวิต ไม่ใช่เห็นประโยชน์ เพราะถ้าเห็นแต่ประโยชน์ก็จะเอามันมา  มันต้องเห็นความงาม และก็มีความรู้สึก กระบวนการพวกนี้ต้องทำ เราทำตั้งแต่เด็ก ยกตัวอย่าง หน้าฝน หอยทากเต็มหน้าบ้าน เรายังขับรถเข้าไม่ได้เป็นสิบนาทีเพราะลูกลงไปจับหอยทากออก เคลียร์ให้พ้นทางก่อน เก็บจนเสร็จ เรารู้สึกว่าอันนี้มันคือคุณภาพจิต 

ที่บอกว่าขั้นตอนการประเมินเป็นสิ่งที่สำคัญ ตัวพ่อแม่เอง คุณโอ๊คคุณโรสประเมินตัวเองยังไงบ้าง บ่อยไหม

ประเมินตัวเองให้เด็กฟังก่อนทุกครั้งที่จะให้เขาประเมินตัวเอง เพราะจริงๆ เขาไม่รู้หรอกว่าประเมินคืออะไร เราก็ต้องทำให้เขาเห็น อย่างครั้งแรกก็ไม่ได้เรียกมาประเมินนะ กินข้าวเสร็จนั่งผึ่งพุง แล้วก็พูดว่า อาทิตย์ที่ผ่านมาป๊าว่า ป๊าเป็นป๊าที่ไม่ค่อยดีเลย ใช้อารมณ์เรื่องนั้น ตัดสินใจเร็วเรื่องนี้ ถ้ามีคะแนนสิบคะแนนป๊าให้ตัวเองแค่สามพอ อะ ไหนหนูว่ามาซิว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาป๊าเป็นไงบ้าง เขาก็ไม่เข้าใจ แรกๆ เขาก็ดูเหมือนกับว่า แหม รักป๊าก็ดีนะ ให้เยอะ เหมือนกับแก้ตัวให้ 

พอเสร็จผมก็ลองให้เขาประเมินตัวเองดู คะแนน 1-4 พอ 10 มันเยอะไป เขาให้ตัวเองแค่ 2 เพราะอะไร เขาก็เล่า เราก็ประเมินเขา แต่แรกๆ ผมก็จะใช้วิธีประเมินเขาแบบอวยๆ หน่อย เพื่อเขาจะได้รู้สึกดีกับการประเมินว่าไม่ใช่เรื่องต้องมาซีเรียส ทำให้เขามีทัศนคติที่ดี กล้าประเมิน ไม่ใช่ว่าเราตัดสินเขาทั้งหมด ซึ่งเรารู้สึกว่าเขายังต้องเติบโตอีกเยอะ กระบวนการการประเมินมันต้องไปอีกไกล ตอนแรกเราต้องทำให้เกิดทัศนคติที่ดีก่อนว่าการประเมินไม่ใช่การตัดสิน แต่เป็นการที่จะบอกว่าตัวเองอยู่ตรงไหนแล้วเท่านั้นเอง

มันสะท้อนตัวเอง เวลาเราเรียนแล้วได้สมุดพก เรารู้สึกว่าไม่อยากให้แม่ดู เราไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้น ทำอะไรได้แล้วจะต้องซ่อน ต้องรู้สึกแย่ๆ ลำบากที่จะต้องเห็นตัวเอง เราก็มานั่งพิจารณาคำว่าประเมิน ไม่ได้แปลว่าตัดสินนะ มันแปลว่าอยู่ตรงไหนแค่นั้นเอง บอกว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของเส้นทาง จะช้าหรือเร็วแต่ละคนมันมีสปีดไม่เท่ากันหรอก แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าอยู่ตรงไหน ผ่านอะไรมา แล้วเป็นทิศทางในสิ่งที่อยากไปหรือเปล่า 

เหมือนดูเข็มทิศว่ามันยังใช่ในทางที่เราโอเคหรือเปล่า 

หลังๆ มีการประเมินจริงจังมากขึ้นมาก?

มากขึ้น โห ซัดกันร้องไห้อะ คือรับไม่ได้กับการถูกประเมินจากคนในครอบครัวนะ ซึ่งมันก็ต้องมีแหละ ซึ่งถ้าเขาทำไปเรื่อยๆ มันก็ต้องเจอ มันดีตรงที่ว่าเป็นการติติงกันแบบไม่ได้ใช้อารมณ์ เป็นการบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่โอเค การประเมินตัวเองเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็น

ต่อมาเจอคนอื่นประเมิน เพราะต้องไปที่สำนักงานเขตการศึกษา เราก็ไปคุยกับเจ้าหน้าที่เลยว่าจริงๆ แล้วกระบวนการประเมินมันแปลว่าอะไร ถ้าประเมินตามหลักสูตรกระทรวงฯ แน่นอน เขาก็ต้องเอาไม้บรรทัดมาวัดตามเกณฑ์ แต่ตามบ้านเรียนก็ควรประเมินตามสิ่งที่เขาเรียน ประเมินความก้าวหน้าของเขา มากกว่าที่จะประเมินถึงธง อันนี้เขตก็เข้าใจ ก็รู้ เราจูนเรื่องของอารมณ์ ปีนึงเรามาเจอกันที เพื่อบอกว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่ใช่เพื่อถูกตัดสิน

แล้ววางแผนหรือกำหนดตารางเรียนไว้ไกลแค่ไหนคะ

วางได้ไม่ไกล วางไกลๆ แค่พื้นฐานทักษะ self-directed learner ซึ่งอันนี้เราตั้งใจที่จะให้เขาเป็นผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเอง เราถึงใช้เรื่องเซนส์ เพราะพวกนี้เป็นเครื่องมือที่เขามีติดตัวตลอด จะมีเครื่องมืออื่นๆ หรือไม่มีเขาก็เรียนรู้ได้ 

แผนไกลๆ จะเป็นแค่ทิศทางไม่ใช่เป้าหรือปักธงว่าจะต้องเป็นอาชีพ ตำแหน่งอะไร แต่เป็นทักษะ เป็นบุคลิกที่เขาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง กับการวางแผนใกล้ๆ เป็นเรื่องที่เราต้องสอบถามเขา ยังเอาอยู่ไหม จะไปต่อไหม 

ล่าสุดช้างน้อยบอกว่าอยากเดินทางคนเดียว ฝึกเรื่องนั้นเรื่องนี้ อันนี้เป็นแผนใกล้ๆ แผนใกล้จะชัดหน่อย แผนไกลเป็นแค่แนวทาง อย่างทำไมมีเรื่องภาษา เพราะต่อไปเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ภาษาไทยอาจจะไม่ใช่ภาษาที่จะเข้าใจศาสตร์ทุกศาสตร์ที่เขาอยากเรียนได้ มันต้องมีภาษาอื่น กับทักษะที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะเราก็ไม่ได้อยู่สอนเขาตลอด บวกกับพื้นฐานทั้งหมดที่จะทำให้เขาเป็นผู้เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ คุณก็สร้างสตาร์ทอัพตัวเอง สร้างแชนแนลตัวเองขึ้นมาได้ เครื่องมือมันพร้อม แต่คนใช้พร้อมไหม

โลกที่หมุนเร็วมาก ทุกอย่างพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา หลายคนพูดถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 ทางบ้านเรียนทางช้างเผือกเอามาปรับใช้มากน้อยแค่ไหน

คิด เราอ่าน เห็นด้วยแล้วเราก็ทำ เพราะเราก็คงไม่ใช่คนที่จะคิดทุกอย่างได้หมด คนอื่นคิดมาดี สวมได้ก็สวม แต่บางอย่างที่เขาก็ไม่เขียนไว้ อย่าง empathy ก็ไม่เป็นไร บ้านเราก็ทำไป บางอันเราก็ไม่เอาด้วยนะ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องฉาบฉวย อย่างเรื่องอะไรที่เป็นเทคโนโลยีมากๆ เราคิดว่าเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำตามที่เขาแห่กันไปทำ เราอาจจะเชยๆ หน่อย แต่เรามองอะไรที่เป็นพื้นฐานชีวิตมากกว่า เราไม่ห่วงหรอกว่าทักษะการเรียนรู้ของเขากับทักษะทางเทคโนโลยีจะช้าเกินไป ไม่มีอะไรช้าหรอกถ้าพร้อม เรื่องเทคโนโลยีมันเรียนกันไม่นาน แต่สิ่งสำคัญคือมันมีศักยภาพพอที่จะทำให้สำเร็จหรือเปล่า 

การเป็นพ่อแม่อยู่บ้านเรียน ได้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงหรือเรียนรู้อะไรจากลูก จากสิ่งที่เราสอนลูกระหว่างทางบ้างไหมคะ

หลักๆ คือเรียนรู้จากลูก สิ่งต่างๆ นี่เราเรียนรู้มาก่อนหน้านี้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมีลูก แต่พอมีลูก ลูกไม่ประนีประนอมกับเราเลย อย่างเวลาเราไปจัดกิจกรรมในนามของอะไรก็แล้ว แต่คนที่มาค่าย มาทำเวิร์คช็อปเขาก็จะแบบพยักหน้า แล้วแต่จะพาไปเถอะ แต่ลูกนี่ถ้าไม่เอาคือไม่เอา ไม่เวิร์ค ต่อให้เตรียมดีแค่ไหนก็ตาม 

มันทำให้เรามาคิดใหม่หมดเลยว่า กระบวนการเรียนรู้ของเด็กมันมีกลิ่นประมาณไหน เราก็รู้สึกว่าการตั้งธงให้เขาก่อนนี่ไม่เวิร์ค ซึ่งก่อนหน้านี้เราตั้งธงหมด เพราะเราถูกสอนมาว่าต้องมีวัตถุประสงค์ มีวิธีการ แล้วก็มีการประเมิน เราแข็งขนาดนั้น แต่พอมาทำกับเด็ก ไม่เวิร์ค อันนี้เขาก็สอนเรา

นำมาปรับกับการใช้ชีวิตบ้างหรือเปล่า

มันเห็นธรรมชาติการเรียนรู้ของคน เวลาเราสื่อสารกับคนก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งเป้าอะไร ก็ลองดู เหมือนการเล่นปิงปอง โต้ไปโต้มา ส่งไปส่งมา เมื่อก่อนเราเหมือนตีเบสบอล ลูกมาก็ตีละ ไม่สนละ ตีให้เอ็งรับไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่ว่าไม่ใช่ อันนี้เหมือนปิงปองมากกว่า มันดูเขามากกว่า ดูคนที่เราสื่อสารด้วยมากกว่า

เราก็ไม่จำเป็นต้องลากใครไปตรงไหนแล้วไง ก่อนหน้านี้เราพยายามที่จะลากๆๆ ก็เหนื่อย ไม่ต้องลาก ทุกคนมีภูเขาของตัวเองนี่หว่า เราก็แค่แชร์กันตรงกลางเท่านั้นเอง

ระยะไกลก็ยังจะเป็นบ้านเรียนอย่างนี้ต่อไปหรือเปล่า

ใช่ จนกว่าจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เขาเห็น แต่เราก็มองว่า ระดับต่อไปสถาบันการศึกษาของเราต้องเปิดห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย มันต้องเปิด แล้วก็มีคนทำตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าเป็นมหา’ลัยชีวิตไปเลย เพราะงั้นคนเรียนจะน้อยมาก คุณจะไม่รอดทางธุรกิจเลย เพราะลูกค้าคุณน้อยมาก ทำไมน้อย ก็เพราะคุณทำไม่ได้จริงอย่างที่โฆษณา ต่อไปมหา’ลัยต้องเปิดเป็นตลาดวิชา ไม่ใช่เป็นคณะแล้ว เพราะคณะมันถูกพิจารณาจากอาชีพเมื่อวันก่อน

แต่วิชาไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงตามสังคม มันยังมีคุณค่าอยู่ แต่เขาน่าจะเป็นคนจัดเองว่าอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ

Tags:

บ้านเรียนทางช้างเผือกวริสรา มหากายีโฮมสคูลคฑา มหากายี

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อแม่ควรตั้งรับอย่างไร เมื่อต้องทำงานที่บ้านและลูกไม่ได้ไปโรงเรียน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “แค่ไม่เรียกว่าวิชา ก็น่าเรียนแล้ว” 5 ห้องเรียนไร้หลักสูตรของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน
Creative learning
21 January 2020

สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

เรื่อง The Potential

โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนที่นำวิชาโครงการฐานวิจัย (Research-Based Learning) หรือ RBL มาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการเรียนรู้ โดยหลักการคือให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ผ่านกิจกรรมหรือประสบการณ์ใกล้ตัว เช่น การศึกษาสีประกอบอาหารจากธรรมชาติ การทำขนมโรตีกรอบ รวมถึงการศึกษาพันธุ์ข้าวในชุมชนตัวเอง แบ่งออกเป็นขั้นตอน ทั้งสิ้น 14 ขั้นตอน เริ่มจาก…

1. เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว
เพื่อทำความรู้จักเรื่องที่จะทำ ได้รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น รู้จักชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดของตัวเอง

2. สำรวจ/วิเคราะห์/จำแนกและเลือกเรื่อง

เพื่อสำรวจเรื่องราวรอบตัว เช่น ทุนในชุมชน ทั้ง 5 ทุน ว่าพบอะไรบ้าง จากนั้น วิเคราะห์ข้อมูล และเลือกเรื่องที่สนใจขึ้นมาทำ

3. พัฒนาเป็นโจทย์วิจัย
ช่วยกันเหลาประเด็นให้เล็กลง ค้นหาความสำคัญของเรื่องไปเขียนเป็นหลักการและเหตุผลของโครงงาน จากนั้นตั้งคำถามย่อยในสิ่งที่อยากรู้ให้ได้มากที่สุด

4. ออกแบบวิจัย

ช่วยกันตรวจสอบคำถามวิจัย เพื่อค้นหาวิธีการหาคำตอบ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย แหล่งเรียนรู้ และผลที่คาดว่าจะได้รับ

5. นำเสนอโครงงาน

6. สร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูล
เพื่อค้นหาวิธีเก็บข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์ผู้รู้จริง

7. ลงพื้นที่เก็บข้อมูล

8. ตรวจสอบข้อมูล

นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้จากการลงพื้นที่ มาประเมิน วิเคราะห์ และสกัดผลออกมา

9. คืนข้อมูลสู่ชุมชน

10. กำหนดทางเลือกใหม่

11. จัดทำแผนปฏิบัติการ

12. ทดลองลงมือปฏิบัติ

13. สรุปผล

14. นำเสนอผลการวิจัย

เห็นได้ว่าหัวใจหลักในวิชาโครงงานฐานวิจัย RBL เริ่มจากเรื่องง่ายๆ โดยการตั้งโจทย์ให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว ผ่านการสำรวจต้นทุนในชุมชนของพวกเขาและคัดเลือกเรื่องที่จะศึกษาจากความสนใจของพวกเขาเอง ผลลัพธ์ของ RBL นอกจากติดอาวุธให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก และได้เรียนในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ยังเชื่อมโยงพ่อแม่ โรงเรียน และชุมชน ให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยมีเด็กเป็นศูนย์กลางอีกด้วย

หมายเหตุ: โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนหนึ่งในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จ.สตูล สนับสนุนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์วิจัยด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูล

อ่านบทความ การเรียนรู้โดยใช้วิชาโครงการฐานวิจัย (Research-Based Learning) โรงเรียนบ้านควนเก
อ่านบทความ ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนเทคนิคการสอนResearch Base Learning(RBL)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล ที่นี่พ่อแม่ โรงเรียน ชุมชน “ทุกคนเป็นครู”

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel